The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รศ.พิชญา สุ่มจินดา และยุทธนาวรากร แสงอร่าม, ถอดรหัสพระจอมเกล้า, พิมพ์ครั้งที่ ๒ (แก้ไขเพิ่มเติม), กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๕

บรรณานุสรณ์เนื่องในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระราชวชิราภินันท์ (ม.ร.ว.นันทวัฒน์ ชยวฑฺฒโน) วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๕

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panyabalo, 2022-10-01 04:57:48

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

รศ.พิชญา สุ่มจินดา และยุทธนาวรากร แสงอร่าม, ถอดรหัสพระจอมเกล้า, พิมพ์ครั้งที่ ๒ (แก้ไขเพิ่มเติม), กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๕

บรรณานุสรณ์เนื่องในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระราชวชิราภินันท์ (ม.ร.ว.นันทวัฒน์ ชยวฑฺฒโน) วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๕

Keywords: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,รัชกาลที่ 4,พระจอมเกล้า,ถอดรหัส,สัญลักษณ์

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

33

พระพุทธปริตร
พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นตามหนังสือสุคตวิทตฺถิวิธาน
การสอบสวนพระพทุ ธลกั ษณะของพระพทุ ธรปู ใหต้ รงตามพระอรรถกถา
บาลนี น้ั มไิ ดเ้ พงิ่ เกดิ ขนึ้ ในความคดิ แบบธรรมยตุ กิ นกิ าย หากเกดิ ขน้ึ มากอ่ นหนา้
นั้นแล้วอย่างน้อยที่สุดก็นับต้ังแต่เริ่มสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์กันเลยทีเดียว
ความสนใจของชนช้ันน�ำท่ีต้องการฟื้นฟูพระศาสนาหลักการที่ถูกต้องตามพระ
อรรถกถาบาล๕ี ๓ ไดก้ อ่ ให้เกดิ ความเอาใจใสใ่ นความถกู ต้องตรงตามพระคมั ภรี ์
เหลา่ นนั้ มากขนึ้ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกซงึ่ มกี ารเชญิ
พระพุทธรูปมาจากหัวเมืองท่ีรกร้าง นอกจากจะต้องปฏิสังขรณ์ให้บริบูรณ์เป็น
องค์แล้ว “พระลักษณส่ิงใดมิต้องด้วยพระพุทธลักษณะให้ช่างซ่อมแปลงแต่ง
ให้ต้องด้วยพระอรรถกถาบาล”ี ๕๔ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (ม)ี ในรชั กาลพระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ได้ทรงแปลพระพุทธลักษณะจากพระบาลีขึ้น
มาแล้วเม่ือพุทธศักราช ๒๓๕๗๕๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้า
อยู่หัวก็ได้มีความพยายามในการสอบสวนพุทธลักษณะเช่นกัน ดังปรากฏใน
ปฐมสมโพธิกถา ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส๕๖
พัฒนาการของการสอบสวนพุทธลักษณะในสมัยรัตนโกสินทร์ไปไกลถึงข้ันมี
การศึกษาขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าให้ตรงกับพระอรรถกถาบาลี ดังที่
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ทรงพระนิพนธ์เรื่อง
“สุคตวิทตฺถิวิธาน” หรือ “วิธีก�ำหนดคืบพระสุคต” เป็นภาษาบาลี ด้วยการ
ตรวจสอบพุทธลักษณะของพระพุทธเจ้าซึ่งในพระไตรปิฎกมิให้ผิดเพี้ยน เพ่ือ
ทรงพิสูจน์ว่า “แท้จริงในกาลนั้นพระผู้มีพระภาคหาได้มีพระกายใหญ่กว่ากาย
ปกติของมนุษย์เกินไปไม่” ถึงขนาดทรงค�ำนวณเปรียบเทียบหน่วยวัดในสมัย
พุทธกาลกับหน่วยวัดปัจจุบันเทียบกับความยาวของเมล็ดข้าวเปลือกหรือถ่ัว
ราชมาส อนั เปน็ หนว่ ยวดั ทอี่ า้ งถงึ ในพระบาลี เมอ่ื น�ำมาตอ่ กนั ๗ เมลด็ จะเทา่ กบั
๑ นิว้ ช่างไม้ หรอื เท่ากบั ๑ นิ้วของมชั ฌิมบรุ ษุ คือ บุรษุ ท่ีมคี วามสงู ปานกลาง
จนได้ความสูงของพระพทุ ธองค์ประมาณ ๑ วาถ้วน หรือ ๑๒๙ นิว้ ของมชั ฌิม
บุรษุ ในสมยั พุทธกาล คอื ประมาณ ๒ เมตร ในขณะท่มี ชั ฌมิ บุรษุ ในสมยั นนั้
สูง ๙๒ นวิ้ ๑ กระเบียด สมยั ผู้ทรงพระนพิ นธ์สูง ๗๕ นิ้ว๕๗
เช่ือกันว่าพระนิพนธ์น้ีได้เป็นต้นแบบที่ท�ำให้พระวชิรญาณทรง
สรา้ งพระพทุ ธรปู องคห์ นงึ่ ดว้ ยโครงไมไ้ ผส่ านพอกปนู นำ้� มนั แลว้ ระบาย
สี มขี นาดพระวรกายสอดคลอ้ งกับพระนพิ นธ์ดังกลา่ ว๕๘ ท�ำพระอวัยวะ

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

34

ภาพท่ี ๓ พระพุทธปริตร (สาน)
ประมาณรัชกาลที่ ๓ ไม้ไผ่พอกปูน
น้�ำมันระบายสี สูง ๑๙๐ เซนติเมตร
หอศาสตราคม หมู่พระมหามณเฑียร
พระบรมมหาราชวงั
(ภาพจาก มูลนิธิพิรยิ ะ ไกรฤกษ)์

ต่างๆ กล่าวกนั ว่าแม้จนคยุ หฐาน (ของลบั ) กส็ ร้างขึ้น๕๙ อันได้แก่ พระพทุ ธ
ปริตร หรือพระสาน๖๐ (ภาพที่ ๓) พระพุทธรูปประทับสมาธิราบ ปางมาร
วิชัย ปัจจุบันเป็นพระประธานของหอศาสตราคมในพระบรมมหาราชวัง เหตุ
ท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธปริตรด้วยโครง
ไม้ไผ่หุ้มปูนนั้น เพราะมีพระราชประสงค์เพื่อให้เบาจนสามารถอัญเชิญไปตั้ง
เป็นประธานในพิธีเล้ียงพระได้๖๑ นับเป็นการปรับขนาดจากเดิมที่เช่ือว่าพระ
พทุ ธเจ้าทรงสงู ๑๘ ศอกหรอื ประมาณ ๙ เมตรทเ่ี รียกกันว่า “พระอฏั ฐารส”
ให้เหลือลงประมาณ ๔ ศอกหรอื ๒ เมตร แต่ถงึ จะปรบั ปรงุ แล้วความสงู ของ
พระพุทธองค์รวมทั้งพระพุทธปริตรท่ีสร้างตามพระนิพนธ์ดังกล่าวก็ยังมีขนาด
โตใหญก่ วา่ คนปกตอิ ยดู่ ๖ี ๒ และคงเพราะมขี นาดใหญเ่ กนิ ไปจนดู “ขม่ ” พระสงฆ์
ภายหลงั จึงทรงงดไม่เชญิ ประดษิ ฐานในการพิธ๖ี ๓
การปรับปรุงพุทธลักษณะอกี ประการหนึ่งซึง่ ไม่เคยกระทำ� กันมา

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

35

ภาพที่ ๔ เจ้าชายสิทธัตถะ
ทรงเปล้ืองกุณฑลเม่ือคราวเสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์ วิหารอนันทา เมือง
พกุ าม ประเทศพม่า

กอ่ น หากปรากฏเปน็ ครงั้ แรกในพระพทุ ธรปู ธรรมยตุ ในพระพทุ ธปรติ ร
ก็คือ พระกรรณ โดยทั่วไปปลายพระกรรณของพระพุทธรูปทั่วไปจะยาวจน
บางครั้งเกือบจรดพระอังสาและเป็นช่องกลวงตลอด แต่พระพุทธปริตรกลับ
มีปลายพระกรรณเป็นปกติธรรมดามิได้แตกต่างไปจากของมนุษย์สามัญ ท้ังที่
ในมหาปุริสลักขณะท้ัง ๓๒ ประการและอสีตยานุพยัญชนะหรือลักษณะย่อย
๘๐ ประการ ไม่ได้กล่าวถึงเร่อื งปลายพระกรรณ จงึ อาจเป็นมลู เหตทุ ที่ รงทำ� ให้
พระกรรณของพระพทุ ธปรติ รและพระพทุ ธรปู ธรรมยตุ รนุ่ หลงั เปน็ ปกติ อยา่ งไร
ก็ดี การท่ีพระพุทธรูปมีปลายพระกรรณเป็นช่องยาวเนื่องมาจากครั้นทรงออก
มหาภเิ นษกรมณไ์ ดท้ รงเปลอ้ื งกณุ ฑลออกจงึ ท�ำใหป้ ลายพระกรรณเปน็ ชอ่ งกลวง
และหย่อนคล้อยลงมา การเปลื้องกุณฑลของพระองค์จึงเป็นสัญลักษณ์ของ
การหันหลังให้กับโลกียสุขด้วย๖๔ ดังตัวอย่างจากภาพสลักในวิหารอนันทาที่
เมอื งพุกาม ประเทศพม่า (ภาพท่ี ๔)

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

36

พระวชิรญาณและพระสานุศิษย์เม่ือทรงร่วมกันสอบสวนพุทธลักษณะ
ตามพระบาลจี นเปน็ มตอิ อกมาเปน็ คมั ภรี แ์ ละแสดงออกเปน็ รปู ธรรมในพระพทุ ธ
ปริตร อาจจะไม่ทรงทราบความเป็นมาเรื่องปลายพระกรรณดังกล่าว แต่ด้วย
ความ “เคร่ง” ในพระอรรถกถาบาลพี ุทธลกั ษณะทมี่ ีมายาวนานนับพันปีนี้จงึ ถกู
ตดั ออกไปจากพระพทุ ธปรติ ร อยา่ งไรกด็ ี นา่ สงั เกตวา่ การสอบสวนพทุ ธลกั ษณะนี้
ไม่ได้เกิดขึ้นต้ังแต่แรกสถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุต ดังเห็นได้จากพระสัมพุทธ
พรรณซี ึ่งคงมปี ลายพระกรรณยาวเหมอื นพระพทุ ธรูปปกติ (ดูภาพท่ี ๒)
พุทธลักษณะท่ีส�ำคัญอีกประการหน่ึงอันถูกเว้นไว้ไม่ท�ำในพระพุทธรูป
ของธรรมยตุ แตเ่ ปน็ จดุ เดน่ ทน่ี กั วชิ าการตา่ งกห็ ยบิ ยกมาอธบิ ายถงึ แนวคดิ เบอื้ ง
หลังของการสร้างพระพุทธรูปของธรรมยุตก็คือ พระอุษณีษะ หลักฐานเดียว
ท่ีกล่าวถึงการละเว้นไม่ท�ำพระอุษณีษะในพระพุทธรูปธรรมยุตมาจากสมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเล่าถึงค�ำกราบทูลจากพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ (นายช่างส�ำคัญในการปั้นหล่อพระพุทธรูปและ
ประติมากรรมถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลายองค์) ในเรื่องพระราชดำ� ริของพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเก่ียวกับพระอุษณีษะของพระพุทธรูป ถวาย
สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม
พุทธศกั ราช ๒๔๗๗ ดังนี้
“ทูลกระหม่อม (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-ผู้เขียน) ทรง
พระด�ำรพิ พิ กั พิพ่วน (กงั วล-ผู้เขยี น) ในเร่ืองพระเกตุมาลา (ในทีน่ หี้ มายถึงพระ
อษุ ณษี ะ-ผเู้ ขยี น)๖๕ โดยพระราชดำ� รเิ หน็ วา่ ไมค่ วรมพี ระเกตมุ าลา ดว้ ยทา่ นพระ
อรรถกถาจารย์กล่าวความไว้เกินเหตุว่า ทรงอัดพระอัสสาสะปัสสาสะบ�ำเพ็ญ
เพยี รเพอ่ื ใหส้ ำ� เรจ็ พระโพธญิ าณ ลมจงึ ดนั ขนึ้ ไปบนกระหมอ่ มทำ� ใหเ้ กดิ เปน็ ตอ่ ม
ข้นึ ทลู กระหม่อมไม่ทรงเช่ือว่าจะเป็นได้ หากว่าเป็นจริงหัวเป็นปมก็นบั ว่าเป็น
ลกั ษณะบุรษุ โทษ หาใช่ลักษณะแห่งมหาบุรษุ ไม่ แต่กเ็ หตไุ ฉนพระพทุ ธรูปทที่ ำ�
กันมาเก่าก่อนไม่ว่าประเทศไหนย่อมท�ำมีพระเกตมุ าลาทั้งน้ัน ทรงพระราชด�ำริ
สงสยั จนถงึ ทรงอธษิ ฐานใหท้ รงพระสบุ นิ เหน็ องคพ์ ระพทุ ธเจา้ ทแี่ ทจ้ รงิ กเ็ หน็ มแี ต่
พระเกตมุ าลาอยา่ งพระพทุ ธรปู นนั้ เอง ไดท้ รงคน้ พระสตู รตา่ งๆ กไ็ มป่ รากฏวา่ มี
พระเกตุมาลา เช่นในพระสตู รอนั หนึง่ ว่ามีใครต้องการอยากเฝ้าพระพทุ ธเจ้าหา
นายหนา้ นำ� เฝา้ เวลานน้ั พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยกู่ บั พระสงฆใ์ นธรรมสภา ผนู้ �ำชใ้ี ห้
ผู้อยากเฝ้าเข้าใจว่าองค์ท่ีนั่งอยู่ข้างเสาน้ันแลคือพระพุทธเจ้า ทรงพระวินิจฉัย

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

37

ว่าพระพทุ ธเจ้าไม่มพี ระเกตมุ าลาอย่างเดียว ยังปลงพระเกศาเหมอื นภิกษสุ าวก
ท้ังหลายด้วย จนรู้ไม่ได้ว่าใครเป็นใคร บอกกันว่าองค์ท่ีหัวเป็นปมก็แล้วกัน
ตกลงในทีส่ ุดจงึ ทรงตัดสินไม่ให้ทำ� พระเกตมุ าลา”๖๖
ค�ำอธิบายน้ีนับเป็นค�ำอธิบายโดยละเอียดเก่ียวกับพระอุษณีษะของพระ
พุทธรูปท่ีสร้างในคณะสงฆ์ธรรมยุตซึ่งปรากฏเป็นคร้ังแรก จนแม้สมเด็จฯ
กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพเองก็ไม่ทรงทราบมาก่อน ได้กราบทูลตอบไปว่า
“เรอ่ื งพระพทุ ธรปู นน้ั หมอ่ มฉนั ยงั ไมเ่ คยไดย้ นิ พระราชปรารภของทลู กระหมอ่ ม
ถ้วนถ่ีเท่าท่ีท่านทรงพรรณนามา นึกเสียดายท่ีฝร่ังยังมิได้ตรวจค้นในสมัย
เมื่อยังเสด็จอยู่ ถ้าทูลกระหม่อมทรงทราบรายการที่ตรวจพบดังคนช้ันหลัง
ลักษณะพระพุทธรูปทที่ รงสร้างกค็ งแปลกไปอีก”๖๗
อยา่ งไรกด็ ี คำ� อธบิ ายเชน่ วา่ นดี้ จู ะไมส่ อดคลอ้ งกบั พระนพิ นธข์ องสมเดจ็
พระสงั ฆราช (ม)ี ท่กี ล่าวว่า “อุณฺหีสสีส นนั้ บังเกิดด้วยอ�ำนาจกุศลท่พี ระองค์
เป็นใหญ่เป็นประธานแก่มหาชนในการกุศลธรรม”๖๘ เช่นเดียวกับพระนิพนธ์
ปฐมสมโพธิกถา ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้
กล่าวไว้ว่าเป็นเพราะผลบุญทพ่ี ระพทุ ธองค์ “ได้เป็นใหญ่ในการกศุ ล ชกั ชวนให้
มหาชนกระท�ำบญุ ต่างๆ มีทานเป็นต้น แลขณะเมอ่ื ทำ� การกศุ ลนน้ั มไิ ด้ก้มหน้า
ยอ่ มเงยพระพกั ตรข์ น้ึ ดว้ ยจติ ปรดี าปราโมทยโ์ สมนสั จงึ ไดพ้ ระมหาบรุ ษุ ลกั ษณะ
น้ี”๖๙ นอกจากนย้ี งั ทรงพระนพิ นธ์ถงึ รายละเอยี ดของมหาปุรสิ ลักขณะดงั กล่าว
ด้วยว่า
“อณุ หสิ สโี ส พระราชกมุ ารมพี ระนลาตแลพระเศยี รอนั บริบูรณ์ประกอบ
ด้วยอรรถ ๒ ประการ อธิบายว่าพื้นพระมังสะนูนขึ้นต้ังแต่หมวกพระกรรณ
เบื้องขวาปกขอบพระนลาตมาถึงหมวกพระกรรณเบ้ืองซ้าย งามเหมือนอุณหิส
ปัฏ คือ กระบังหน้าประการ ๑ อนงึ่ พระเศยี รน้ันกลมงามบริบูรณ์มไิ ด้พร่อง
แล่นข้ึนเบื้องบนมีสัณฐานดังต่อมแห่งน้�ำ แลพระลักษณะทั้งสองรวมเข้าเป็น
อนั เดยี วกนั ว่า มพี ระเศยี รประดบั ด้วยพระอณุ หสิ ”๗๐
ดงั นั้น ค�ำกราบทลู ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการถวาย
สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ท่ีทรงพระปรารภถึงพระบรม
ราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เร่ืองพระอุษณีษะจึงไม่
สอดคล้องกับค�ำอธิบายในบทพระนิพนธ์ปฐมสมโพธิกถา อันเป็นค�ำอธิบายที่
แพร่หลายในยุคสมยั นัน้
พระไตรปฎิ กฉบบั ภาษาไทยแปลมหาปรุ สิ ลกั ขณะวา่ “มพี ระเศยี รประดจุ

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

38

ภาพท่ี ๕ อุณหิสหรือกรอบ
พระพักตร์ แกะสลักบนบานหน้าต่าง
กลางของพระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวหิ าร
กรุงเทพมหานคร

ประดับด้วยกรอบพระพักตร์” ค�ำว่า “กรอบพระพักตร์” หรือ “กะบังหน้า”
เป็นการแปลความหมายจากภาษาบาลี คือ “อุณหิส” ท่ีไทยมักแปลว่ากะบัง
หน้า หรือกรอบหน้า เช่ือได้ว่าพระวชิรญาณคงแปลมหาปุริสลักขณะน้ี คือ
“อณุ หสิ สโี ส” วา่ กรอบหนา้ หรอื กะบงั หนา้ เชน่ กนั ดงั เหน็ ไดจ้ ากรปู กรอบหนา้ หรอื
“อุณหิส” (ภาพท่ี ๕) แกะสลักบนบานหน้าต่างกลางของพระอุโบสถ วัดบวร
นิเวศวิหาร ด้านหนึ่งสลักเป็นรูปเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ เคร่ืองหมายแห่งความ
เป็นพระราชา อกี ดา้ นเป็นรปู อฐั บรขิ ารของพระภกิ ษุ มจี ารกึ ทพี่ ระวชริ ญาณทรง
พระนิพนธ์ก�ำกบั ภาพไว้ด้วยว่า “วาฬวีชนิ อณุ หฺ ีสํ ขคโฺ ค ทณโฺ ฑ จ ปาทุกา”๗๑
น่าสังเกตว่าในขณะท่ีเร่ืองพระอุษณีษะเป็นสิ่งท่ีค่อนข้างจะกำ้� กึ่งกันว่า
จะเป็นกรอบหน้าหรือต่อมกลางพระเศยี ร หรือจะผนวกทงั้ ๒ อย่างเข้าด้วยกัน
นบั เปน็ เรอ่ื งทคี่ อ่ นขา้ งสรา้ งความสบั สนมใิ ชน่ อ้ ย๗๒ แตพ่ ระวชริ ญาณกท็ รงเลอื ก
ท่ีจะสร้างพระสัมพุทธพรรณีโดยตัดพระอุษณีษะอันเป็นเร่ืองท่ีค่อนข้างจะ
คลุมเครือออกไป แต่ในขณะท่ีปลายพระกรรณของพระสัมพุทธพรรณีซ่ึง

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

39

แนน่ อนวา่ ไมม่ ใี นมหาปรุ สิ ลกั ขณะกลบั คงเดมิ และมาปรบั ปรงุ ใหส้ น้ั ลงภายหลงั
ท่ีพระพุทธปริตรและพระพุทธรูปองค์อื่นๆ ของธรรมยุต ดังนั้น หากมีการ
ตรวจสอบพุทธลักษณะให้ตรงกับพระอรรถกถาบาลีอย่างถี่ถ้วนตั้งแต่แรก
ทรงสถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุตแล้ว การเปลี่ยนแปลงพุทธลักษณะต่างๆ จึง
ควรที่จะเกิดข้ึนไปพร้อมกันมิใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง มาตรฐานที่แตกต่างกัน
เช่นน้ีท�ำให้ดูเหมือนกับว่าพระอุษณีษะเป็นส่ิงเดียวที่พระวชิรญาณทรงให้ความ
ส�ำคัญมาต้ังแต่แรกเท่าน้ันโดยมิได้ทรงเปล่ียนแปลงมหาปุริสลักขณะประการ
อื่นของพระสัมพุทธพรรณี ค�ำอธิบายว่าการสร้างพระพุทธรูปภายใต้แนวคิด
ของธรรมยุตเป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับความที่ปรากฏในพระบาลีเพียงอย่าง
เดียวจึงไม่เพียงพอที่จะอธิบายพุทธลักษณะท่ีเปล่ียนไปของพระพุทธรูปแบบ
ธรรมยตุ ได้เช่นกนั
พระนิรันตราย
กับรอยยับย่นของจีวร
เม่ือพระวชิรญาณทรงครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงสรา้ งพระพทุ ธรปู แบบธรรมยตุ ขนึ้ อกี หลายองค์ แตท่ สี่ ำ� คญั และ
รู้จกั กันอย่างแพร่หลายคือ “พระนริ นั ตราย” (ภาพที่ ๖) ตามประวตั ิกล่าวว่าใน
พุทธศกั ราช ๒๓๙๙ นายปั้นได้ไปขุดร่อนหาทองคำ� บรเิ วณดงพระศรมี หาโพธิ
ซ่งึ อยู่ระหว่างเมืองฉะเชิงเทราต่อกับปราจนี บรุ ี (ปัจจบุ นั คือ อำ� เภอศรีมหาโพธิ
จังหวัดปราจีนบุรี) พบพระพุทธรูปทองค�ำองค์หน่ึงสูงประมาณ ๔ น้ิว กรม
การเมอื งจงึ ไดเ้ ชญิ มาทลู เกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๗๓
(ภาพที่ ๗) ทรงเชญิ ไปประดษิ ฐานยงั หอเสถียรธรรมปรติ รคู่กับพระกรงิ่ ทองคำ�
องค์น้อย แต่ปรากฏว่าในพทุ ธศักราช ๒๔๐๓ ได้มีผู้ร้ายลกั พระกร่งิ ไปแทนท่ี
จะลกั พระพทุ ธรปู ทองคำ� ซง่ึ เปน็ ของใหญก่ วา่ ทรงพระราชดำ� รวิ า่ เปน็ การบงั เอญิ
แคลว้ คลาด เชน่ เดยี วกบั ผขู้ ดุ ไดก้ ม็ แี กใ่ จนำ� มาถวายไมเ่ อาไปเปน็ ของตวั แตแ่ รก
นับเป็นอัศจรรย์ จงึ ถวายพระนามพระพุทธรปู ทองคำ� องค์น้ีว่า “พระนิรันตราย”
(ดภู าพท่ี ๖) แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพทุ ธรปู ประทับสมาธิ
เพชร ปางสมาธิ ให้ต้องตามพทุ ธลักษณะด้วยทองคำ� เพอื่ ครอบพระนริ นั ตราย
องค์เดิมอกี ช้ัน และอีกองค์ทำ� ด้วยเงนิ บริสทุ ธใ์ิ ห้เป็นคู่กัน (ภาพที่ ๘) เรียกว่า
“พระนริ นั ตราย” ทกุ องค๗์ ๔ ภายในพระนริ นั ตรายเงนิ ยงั ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู
ลงั กาสลกั จากงาช้างด้วย (ภาพที่ ๙)

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

40

(ซ้าย) ภาพที่ ๖ พระนิรันตรายทอง ปัน้ หลอ่ โดยพระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าประดษิ ฐวรการ
เมือ่ พ.ศ. ๒๔๐๓ ทองคำ� บรสิ ุทธิ์ สูงเฉพาะองค์ ๒๐.๕ เซนตเิ มตร หอพระสรุ าลยั พิมาน หมู่พระ
มหามณเฑยี ร พระบรมมหาราชวงั (ภาพจาก มูลนธิ ิพริ ยิ ะ ไกรฤกษ)์
(ขวา) ภาพท่ี ๗ พระนิรันตราย (องค์เก่า) บรรจุในครอบพระนิรันตรายทอง ได้จากดง
พระศรีมหาโพธิ จงั หวดั ปราจีนบรุ ี เมือ่ พ.ศ. ๒๓๙๙ ทองค�ำ สูงเฉพาะองค์ ๘.๙ เซนตเิ มตร หอพระ
สุราลยั พิมาน หมพู่ ระมหามณเฑยี ร พระบรมมหาราชวงั (ภาพจาก มูลนธิ พิ ริ ิยะ ไกรฤกษ)์

พระนิรันตรายทองค�ำและเงินที่ทรงสร้างขึ้นใหม่นี้นับเป็นท่ีสุดของการ
ปรบั ปรงุ พทุ ธลกั ษณะของพระพทุ ธรปู แบบธรรมยตุ ในระหวา่ งทพ่ี ระบาทสมเดจ็
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ยงั มพี ระชนมชพี กล่าวคือ นอกจากทำ� ปลายพระกรรณ
ให้สนั้ ลงเหมือนคนปกติแล้ว ช่างทีป่ ั้นหล่อพระนริ ันตราย คือ พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการยังทรงพระปรีชาสามารถในการปั้นจีวรให้มีความ
ยับย่นดูสมจริงตามแบบศิลปะตะวันตก มากกว่าท่ีขุนอินทรพินิจเคยท�ำไว้ที่
พระสมั พทุ ธพรรณี ความสมจรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ นเ้ี นอ่ื งมาจากพระวรวงศเ์ ธอ พระองค์
เจ้าประดิษฐวรการทรงเข้าพระทัยในการถ่ายทอดความสมจริงของศิลปะตะวัน
ตก ดว้ ยการลวงสายตาของผชู้ มใหเ้ หน็ วา่ จวี รของพระนริ นั ตรายดยู บั ยน่ สมจรงิ
เพราะต้องปน้ั ใหจ้ วี รดยู บั ยน่ มากกว่าความเป็นจรงิ สายตาของผ้ชู มจงึ จะเหน็ วา่

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

41

(ซา้ ย) ภาพท่ี ๘ พระนริ นั ตรายเงิน ป้นั หลอ่ โดยพระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าประดิษฐวรการ
เมือ่ พ.ศ. ๒๔๐๓ เงินบรสิ ทุ ธ์ิ สงู เฉพาะองค์ ๒๐.๕ เซนติเมตร หอพระสุราลัยพมิ าน หมู่พระมหา
มณเฑียร พระบรมมหาราชวัง (ภาพจาก มลู นิธิพิริยะ ไกรฤกษ)์
(ขวา) ภาพที่ ๙ พระพุทธรูปลังกา บรรจุในครอบพระนิรันตรายเงิน ประมาณปลายพุทธ
ศตวรรษท่ี ๒๔-ต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ งาช้าง สูง ๑๑.๕ เซนติเมตร หอพระสุราลัยพิมาน หมู่
พระมหามณเฑยี ร พระบรมมหาราชวัง (ภาพจาก มูลนิธิพริ ิยะ ไกรฤกษ)์

เหมือนจริงได้ เนื่องจากจีวรจริงๆ ตามธรรมดาแล้วคงไม่สามารถยับย่นได้
ขนาดนนั้ ในขณะทข่ี นุ อนิ ทรพนิ จิ ผปู้ น้ั พระสมั พทุ ธพรรณซี งึ่ อาจเขา้ ใจวธิ คี ดิ แบบ
นี้ยังไม่ดีพอจึงปั้นจีวรของพระสัมพุทธพรรณีตามความเป็นจริง (ดูภาพที่ ๒)
ผลกค็ อื เมอื่ นำ� พระสมั พทุ ธพรรณมี าเปรยี บเทยี บกบั พระนริ นั ตราย (ดภู าพที่ ๖)
แล้ว ผู้ชมจะเห็นว่าจีวรของพระสมั พทุ ธพรรณดี ูสมจริงน้อยกว่าพระนิรันตราย
อย่างไรก็ดี การท�ำจีวรให้ดูสมจริงตามแบบศิลปะตะวันตกอย่าง
เข้าใจในวิธีลวงสายตาผู้ชมนี้ไม่ได้หมายความว่าอิทธิพลของสัจนิยม
สมจริงแบบตะวันตกได้เข้ามาครอบง�ำแนวคิดของธรรมยุตท้ังหมดก็
หาไม่ ในที่น้ีมีความเห็นว่าตะวันตกเป็นเพียงการปรุงแต่งเปลือกนอก
ตามรสนิยมร่วมสมัยให้กับธรรมยุตเท่านั้น โดยยังไม่อาจก้าวล่วงเข้าไป

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

42

จัดการเปลย่ี นแปลงหรือลบล้างความเชอื่ ดง้ั เดมิ เร่อื งมหาปุรสิ ลกั ขณะ คือ พระ
วรกายของพระพทุ ธรูป อนั เป็นส่งิ ทมี่ แี บบแผนตามพระไตรปิฎกซึ่งยงั คงดำ� รง
ความจรงิ อย่างสูงสุด ยกเว้นเรอื่ งของจวี รไม่ได้เป็นสง่ิ ทรี่ ะบุไว้ในพระอรรถกถา
บาลีจึงสามารถท�ำได้โดยอิสระ
อกี ตวั อยา่ งหนงึ่ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ อทิ ธพิ ลของตะวนั ตกยงั ไมล่ งไปจดั การ
เปลี่ยนแปลงทางด้านพุทธสรีระก็คือ จิตรกรรมภาพพุทธประวัติของคณะ
สงฆ์ธรรมยุต ถึงแม้ว่าผู้วาดจะใช้เทคนิคการใช้ฝีแปรงของตะวันตกในการ
วาดต้นไม้เพื่อให้ดูสมจริงมีมิติของแสงและเงา หรือแม้แต่วาดภาพในกรอบซ่ึง
จบลงในตอนเดียวอันเป็นโลกทรรศน์ของจิตรกรรมตะวันตก ดังเห็นได้จาก
พระบฏภาพพทุ ธประวตั ิ แต่ภาพบคุ คล คือ พระพุทธองค์ เทวดา และสาวก
ยังคงเขียนตามแนวจารีตของไทย (ภาพท่ี ๑๐) โดยเฉพาะภาพพระพุทธองค์
ก็เปลี่ยนไปเพียงการละเว้นไม่วาดพระอุษณีษะตามแบบธรรมยุต หากแต่พระ

(ซา้ ย) ภาพท่ี ๑๐ พระบฏภาพพุทธประวตั ิ ประมาณรัชกาลที่ ๔ สีฝนุ่ และปดิ ทองบนผืนผา้
สมบัติส่วนบุคคล
(ขวา) ภาพที่ ๑๑ รายละเอียดภาพพระพทุ ธองคใ์ นพระบฏภาพพุทธประวัติ

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

43

วรกายก็ยังคงปิดทองเพื่อแสดงคุณลักษณะอันพิเศษของพระพุทธองค์อยู่
เชน่ เดมิ (ภาพที่ ๑๑) ดงั นน้ั อทิ ธพิ ลของตะวนั ตกบนจติ รกรรมของธรรมยตุ
จงึ อาจเป็นเพียงเทคนคิ และวธิ ีการท่ีน�ำมาใชเ้ พ่อื ชว่ ยในการมองโลกอกี
แบบหน่งึ เท่าน้ัน
อาจกล่าวได้ว่าในทรรศนะของพระวชิรญาณ มหาปุริสลักขณะยังเป็น
ส่วนหนง่ึ ของความรู้ “ทางธรรม” หรอื “โลกุตระ” ตามพระไตรปิฎก ในขณะที่
ความสมจริงของจีวรแม้จะเป็นความรู้แบบใหม่อันเหนือกว่าการท�ำจีวรแบบท่ีดู
ไมส่ มจรงิ ตามธรรมชาติ แตก่ เ็ ปน็ เพยี งความรู้ “ทางโลกย”์ หรอื “โลกยี ะ” เทา่ นน้ั
ชนชน้ั นำ� สยามในขณะนน้ั ถงึ แมจ้ ะยอมรบั ความก้าวหน้าทางโลกย์ของตะวนั ตก
ว่าเหนือกว่าของตนก็ตาม แต่ก็ยังคงเห็นว่าความรู้ทางพุทธศาสนาอันความรู้
ทางโลกุตระเป็นส่ิงที่เหนือกว่าอยู่เสมอ๗๕ ด้วยเหตุน้ี ตราบใดท่ีสาระส�ำคัญ
คอื พระวรกายของพระพทุ ธรปู ยงั มบี งั คบั ใหต้ อ้ งท�ำตามพระอรรถกถาบาลอี ยา่ ง
แข็งขัน ตราบน้ันอิทธิพลตะวันตกหรือแม้แต่ความเป็นมนุษยนิยมก็ยังไม่อาจ
กา้ วลว่ งเขา้ ไปเปลย่ี นแปลงโลกทรรศนท์ ม่ี ตี อ่ การสรา้ งพระพทุ ธรปู ตามจารตี เดมิ
ได้เลยนอกจากเปลอื กนอก คอื จีวรเท่านน้ั
ดงั นนั้ โลกทรรศนแ์ บบตะวนั ตกหรอื มนษุ ยนยิ มจงึ อาจจะยงั ไมม่ ี
อทิ ธพิ ลเพยี งพอตอ่ ความเปลย่ี นแปลงดา้ นพทุ ธสรรี ะของพระพทุ ธรปู ใน
ธรรมยุตได้ ตราบใดท่ีโลกทรรศนข์ องการสร้างพระพุทธรปู ตามคมั ภรี ์
ยังไม่ถกู ลบลา้ งไป

พระพุทธรูปแบบธรรมยุต
กับพระพุทธรูปลังกา

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับพระนิรันตรายเงิน (ดูภาพที่ ๘) อันอาจ
สะท้อนถึงความเก่ียวเน่ืองกันระหว่างพระพุทธรูปของธรรมยุตกับพระพุทธรูป
ของลังกาก็คือ ภายในครอบพระนิรันตรายเงินได้บรรจุพระพุทธรูปลังกาสลัก
จากงาช้างไว้ (ดูภาพที่ ๙) แม้ไม่ทราบที่มาของพระพุทธรูปองค์นี้แต่ก็อาจ
สนั นษิ ฐานไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั นา่ จะทรงไดร้ บั การถวาย
เป็นสมณบรรณาการจากทางลังกาเมื่อคร้ังทรงพระผนวช ที่น่าสนใจก็คือการ
ที่พระองค์ทรงเลือกท่ีจะบรรจุพระพุทธรูปลังกาไว้ในครอบพระนิรันตรายเงิน
แทนท่จี ะเป็นพระพทุ ธรูปองค์อื่นๆ น่าจะแสดงให้เห็นว่าพระพทุ ธรปู ลังกาสลัก

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

44

ภาพที่ ๑๒ พระพุทธรูปลังกา
ประทับสมาธิราบ ปางสมาธิ ประมาณ
พุทธศตวรรษที่ ๒๕ ปูนปั้นระบายสี
วัดถ�้ำดัมบุลละ ใกล้กับเมืองแคนดี้
ประเทศศรลี ังกา

จากงาช้างองค์นี้คงมีความส�ำคัญต่อพระองค์เทียบได้กับพระนิรันตรายทองค�ำ
องค์เดมิ จากดงพระศรมี หาโพธิ
อน่ึง เป็นท่ีน่าสังเกตว่าการสร้างพระพุทธรูปให้ปราศจากพระอุษณีษะ
ยังเป็นลักษณะเฉพาะท่ีปรากฏในพระพุทธรูปของธรรมยุตและพระพุทธรูป
ของลังกาเท่านั้น ดังตัวอย่างจากพระพุทธรูปลังกาสลักจากงาช้างในครอบพระ
นิรนั ตรายเงนิ (ดภู าพท่ี ๙) นอกจากน้หี ากพิจารณาพทุ ธลักษณะของพระพทุ ธ
ปริตรโดยเปรียบเทียบกับพระพุทธรูปของลังกาท่ีวัดถำ้� ดัมบุลละ ศิลปะลังกา
สมัยหลงั ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ แล้ว (ภาพท่ี ๑๒) กจ็ ะเห็นว่านอกจาก
จะไม่มีพระอุษณีษะเช่นเดียวกับพระพุทธรูปของลังกาแล้ว การลงสีพระเกศา
พระโอษฐ์ และพระวรกายยังใกล้เคียงกนั อกี ด้วย
ผู้เขียนสันนิษฐานว่าการละเว้นไม่ท�ำพระอุษณีษะของพระพุทธรูป
ธรรมยตุ ซงึ่ มพี ระสมั พทุ ธพรรณเี ปน็ องคแ์ รก นา่ จะเรม่ิ มาจากการทพ่ี ระวชริ ญาณ
ได้ทอดพระเนตรพระพุทธรูปของลังกา โดยเฉพาะอย่างย่ิงพระพุทธรูปลังกาท่ี

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

45

ภาพที่ ๑๓ พระพุทธรูปลังกา
ประทับสมาธริ าบ ปางสมาธิ ประมาณ
คร่ึงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๔ สัมฤทธ์ิ
กะไหล่ทอง สงู ๑๑.๒ เซนตเิ มตร หอ
พระสรุ าลยั พมิ าน หมพู่ ระมหามณเฑยี ร
พระบรมมหาราชวงั (ภาพจาก พระพทุ ธ
ปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง, ๒๕๕๓)

พระสงฆ์ลงั กานา่ จะถวายเป็นสมณบรรณาการ นบั ตงั้ แตร่ ชั กาลพระบาทสมเดจ็
พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นต้นมา เช่น พระพุทธรูปลังกาในหอพระสุราลัย
พิมาน หมู่พระมหามณเฑยี ร พระบรมมหาราชวัง (ภาพที่ ๑๓) ด้วยทรงพระ
ด�ำริและทรงยึดถือเป็นหลักต้ังแต่แรกสถาปนานิกายใหม่ของพระองค์แล้วว่า
สมณวงศ์ของลังกาเป็นต้นวงศ์ของนิกายเถรวาททั้งปวง และมีหลักปฏิบัติอัน
บรสิ ทุ ธกิ์ ว่าสมณวงศ์อน่ื ดงั ทไี่ ด้กล่าวมาแล้ว ปรารภเหตดุ งั กล่าวจงึ ได้ทรงสร้าง
พระพุทธรปู องค์แรกของธรรมยตุ คือ พระสัมพทุ ธพรรณี ไม่ให้มพี ระอษุ ณีษะ
เช่นเดียวกับพระพุทธรูปของลังกาข้ึนบ้าง ภายหลังเม่ือความเคร่งครัดในพระ
อรรถกถาบาลีได้กลายเป็นหัวใจหลักของธรรมยุตแล้ว พระองค์และสานุศิษย์
จงึ ไดท้ รงตรวจสอบพทุ ธลกั ษณะอนื่ ๆ เชน่ การละเวน้ ไมท่ ำ� ปลายพระกรรณของ
พระพุทธรูปให้ยืดยาวเพราะไม่ตรงกับพระบาลี ดังเห็นได้จากพุทธลักษณะท่ี
เปล่ียนไปของพระพทุ ธรปู ท่ีสร้างข้ึนภายหลังการสร้างพระสัมพุทธพรรณีตามที่
ได้กล่าวมาแล้ว

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

46

ปรารภเหตุดังกล่าว พระพุทธรูปลังกาสลักจากงาช้างในครอบพระนิรัน
ตรายเงิน (ดูภาพท่ี ๘) จึงน่าจะมีความสำ� คัญเก่ียวเน่ืองกับธรรมยุตในฐานะ
ที่เป็นต้นแบบให้กับพระพุทธรูปของคณะสงฆ์ธรรมยุตก็เป็นได้ ข้อค้นพบท่ีว่า
นี้ท�ำให้เห็นประจักษ์ว่า นอกเหนือไปจากหลักฐานลายลักษณ์อักษรจะแสดง
ให้เห็นถึงความสนพระทัยในสมณวงศ์ของลังกาแล้ว พระพุทธรูปที่สร้างขึ้น
ภายใต้อิทธิพลของธรรมยุตอันเป็นงานพุทธศิลป์ที่สามารถปรากฏเด่นชัด
เปน็ วตั ถธุ รรมกย็ งั สะทอ้ นถงึ พระดำ� รใิ นการดำ� เนนิ ตามแบบอยา่ งคณะสงฆล์ งั กา
ของพระวชิรญาณได้เช่นกนั

การฟื้นฟูเจดีย์ทรงลังกาของพระวชิรญาณ
และคณะสงฆ์ธรรมยุต

ปชู นยี วตั ถทุ พ่ี ระวชริ ญาณมหาเถระทรงสถาปนาขนึ้ หลงั จากทรงสถาปนา
คณะสงฆ์ธรรมยตุ ได้ปีเศษ นอกจากจะมพี ระสมั พทุ ธพรรณี พระพทุ ธรปู ทท่ี รง

ภาพท่ี ๑๔ เจดีย์ประธาน
วดั บวรนเิ วศวหิ าร ประมาณปลายพทุ ธ
ศตวรรษท่ี๒๔วดั บวรนเิ วศวหิ ารกรงุ เทพ
มหานคร

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

47

ภาพที่ ๑๕ พระสุทธเสลเจดีย์ สร้างโดยพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนราชสีหวิกรมและ
ช่างศิลาจีน พ.ศ. ๒๔๐๔ วดั พระแกว้ นอ้ ย พระนครครี ี จังหวดั เพชรบรุ ี

สรา้ งขนึ้ เพอื่ แสดงลกั ษณะเฉพาะของพระพทุ ธรปู แบบธรรมยตุ ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้
ยังได้ทรงสร้างเจดีย์ขึ้นให้มีแบบเฉพาะเป็นอัตลักษณ์ของคณะสงฆ์ธรรมยุต
ท่ีทรงสถาปนาขึ้นอีกองค์หน่ึง และกลายเป็นแบบอย่างของการสร้างเจดีย์ของ
ธรรมยุตในเวลาต่อมาด้วย อนั ได้แก่ “เจดียท์ รงลังกา” ปรากฏท่ัวไปในวัด
ธรรมยุตทั้งท่ีพระวชิรญาณทรงสร้างหรือวัดที่สร้างขึ้นโดยเจ้านายและขุนนาง
เม่ือทรงครองราชสมบัติแล้ว๗๖ นักวิชาการก�ำหนดให้เป็นตัวอย่างของศิลปะ
แบบพระราชนิยมอย่างหน่ึงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตัวอย่างเช่น พระเจดยี ์ประธานวัดบวรนเิ วศวหิ าร (ภาพท่ี ๑๔) พระสทุ ธ
เสลเจดยี ท์ ว่ี ดั พระแก้วน้อย พระนครครี ี จังหวัดเพชรบรุ ี (ภาพท่ี ๑๕) หรือ
ปาสาณเจดีย์ซึ่งเป็นเจดีย์ประธานของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
(ภาพที่ ๑๖) เป็นต้น ลักษณะของเจดีย์ทรงลังกาแท้ประกอบด้วย ฐานบัว
กลมรองรับชั้นมาลัยเถาหรือบางครั้งก็เป็นบัวถลาเรียงซ้อนลดหล่ันกัน ๓ ช้ัน
รองรบั องคร์ ะฆงั ทรงฟองน้�ำ (ตอ่ มาไทยไดป้ รบั ปรงุ ใหเ้ ปน็ ทรงโอคว่�ำหรอื เพรยี ว
ขน้ึ อย่างทรงลอมฟาง) บลั ลงั ก์สเ่ี หลยี่ มไม่เพมิ่ มุมรองรบั ปล้องไฉนและปลยี อด

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

48
ภาพที่ ๑๖ ปาสาณเจดยี ์ พ.ศ. ๒๔๑๐ วดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม กรงุ เทพมหานคร

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

49

ภาพท่ี ๑๗ พระสถูปถปู าราม เมอื งอนรุ าธปรุ ะ ประเทศศรีลงั กา

เช่น สถปู ถูปาราม เมืองอนุราธปรุ ะ ประเทศศรลี งั กา (ภาพที่ ๑๗) อย่างไรก็ดี
ถึงแม้คณะสงฆ์ธรรมยุตจะได้ปรับทรวดทรงองค์ระฆังของเจดีย์ให้มีความสูง
ชะลดู มากกว่าเจดีย์ทรงลังกาแท้ๆ และเพ่มิ เสาหานท่ีก้านฉตั ร อนั เป็นลกั ษณะ
เฉพาะของเจดยี ท์ ส่ี รา้ งขนึ้ ในประเทศไทยตง้ั แตส่ มยั อยธุ ยา ซงึ่ ไมม่ ใี นเจดยี ข์ อง
ลังกาแต่กย็ ังคงไว้ซ่งึ รูปแบบอนั แสดงให้เห็นว่าเป็นเจดยี ์ทรงลงั กาอยู่นัน่ เอง
ในสมัยแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์จนถึงก่อนหน้าท่ีพระวชิรญาณจะ
ทรงสร้างเจดีย์ทรงลังกาท่ีเป็นเอกลักษณ์ของธรรมยุต เจดีย์ท่ีสร้างขึ้นในช่วง
ระยะเวลาดังกล่าวมักเป็นเจดีย์เพิ่มมุม (ย่อมุม) เช่น พระมหาเจดีย์ประจ�ำ
รชั กาลท่ี ๑-๓ ในวดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม ทำ� ให้การสร้างเจดยี ์ทรงลงั กา
ของธรรมยตุ ซ่งึ ปรากฏขนึ้ เป็นคร้งั แรกในกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ได้รบั การอธิบายว่า
เปน็ เจดยี แ์ บบพระราชนยิ มของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โดยทรง
ร้อื ฟื้นรูปแบบของเจดยี ์โบราณซึ่งเคยสร้างกนั มาก่อนหน้าน้นั เช่นท่อี ยธุ ยาและ
สโุ ขทยั ขน้ึ ใหม่ หรอื มฉิ ะนน้ั กม็ กี ารอธบิ ายใหเ้ ปน็ คตเิ รอ่ื งการสรา้ งเจดยี ใ์ หถ้ กู ตอ้ ง
ตรงตามพระบาล๗ี ๗ เช่น คมั ภรี ์มหาวงส์ ทพ่ี ระมหานามเถระชาวลงั กาประพนั ธ์
ข้ึนเป็นภาษาบาลีประมาณต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ และพระยาธรรมปโรหิต

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

50

(ซา้ ย) ภาพท่ี ๑๘ พระเจดยี ล์ งั กาจำ� ลองจากประเทศศรลี งั กา โลหะกะไหลท่ อง ไดจ้ ากพระทน่ี งั่
จกั รพรรดพิ มิ าน หมพู่ ระมหามณเฑยี ร พระบรมมหาราชวงั ปจั จบุ นั จดั แสดงในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่
ชาติ พระนคร
(ขวา) ภาพท่ี ๑๙ พระเจดยี ล์ งั กาจ�ำลองจากประเทศศรลี ังกา โลหะกะไหลท่ อง ประดิษฐาน
ในคูหาพระเจดยี ์ประธานวัดบรมนวิ าส กรุงเทพมหานคร

แปลเรียบเรียงเป็นภาษาไทยเมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๙ ตรงกับรัชกาลพระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กล่าวถึงพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะกษัตริย์
ลังกามีรับส่ังถามพระมหามหินทเถระ พระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช
ผู้น�ำพุทธศาสนาจากชมพูทวีปมาเผยแผ่ยังลังกา ถึงรูปทรงสัณฐานของมหา
สถูปถปู ารามทีจ่ ะทรงสร้างข้ึนว่า
“เม่ือบรมกษัตริย์ได้พูนที่อันจะก่อพระสถูปส�ำเร็จแล้ว จึงตรัสถาม
มหาเถระว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สันฐานพระสถูปนั้นควรที่โยมจะพึงกระท�ำ
อยา่ งไร จะกระทำ� ให้เหมอื นดว้ ยสง่ิ อนั ใดด.ี ..พระมหาเถระถวายพระพรวา่ ดกู ร
บรมบพิตรผู้ประเสริฐ สันฐานแห่งกองข้าวเปลือกน้ันฉันใด พระองค์จงให้ก่อ
พระสถูปให้มีสัณฐานดังน้ัน บรมกษตั ริย์รับคำ� แห่งพระมหาเถระเจ้าว่าสาธแุ ล้ว
ก็กระท�ำตามอธิบายแห่งพระผู้เป็นเจ้า”๗๘

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

51

(ซ้าย) ภาพที่ ๒๐ พระเจดียท์ รงลงั กาจ�ำลอง พ.ศ. ๒๓๘๗ สมั ฤทธิ์กะไหลท่ อง ประดษิ ฐาน
ในคหู าพระเจดยี ์ประธานวัดบวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร
(ขวา) ภาพที่ ๒๑ พระปฐมเจดีย์องคเ์ ดมิ (จำ� ลอง) ประมาณรชั กาลท่ี ๔ ประดษิ ฐานดา้ น
ทศิ ใตข้ องพระปฐมเจดยี ์ วดั พระปฐมเจดยี ์ อ�ำเภอเมือง จังหวดั นครปฐม

มคี วามเปน็ ไปไดว้ ่าพระวชริ ญาณทรงได้รบั แบบอย่างของเจดยี ์ทรงลงั กา
จากเจดยี จ์ ำ� ลองทที่ างลงั กามอบใหเ้ ปน็ เครอ่ื งราชบรรณาการและสมณบรรณาการ
แก่สยาม ครั้งส่งคณะสมณทูตไปยังลังกาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลศิ หลา้ นภาลยั ๗๙ เชน่ เจดยี ท์ รงลงั กาจำ� ลองจากพระทน่ี ง่ั จกั รพรรดพิ มิ าน
ในพระบรมมหาราชวัง (ภาพที่ ๑๘) หรือเจดีย์ทรงลังกาจ�ำลองในคูหา
พระเจดยี ป์ ระธานวดั บรมนวิ าส กรงุ เทพมหานคร (ภาพที่ ๑๙) พระอาราม
ที่พระวชิรญาณทรงจัดให้เป็นที่จ�ำพรรษาของคณะสงฆ์ธรรมยุตคู่กับวัดบวร
นเิ วศวหิ าร
หมายรบั สงั่ ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ฉบบั หนง่ึ เมอื่
พทุ ธศกั ราช ๒๓๘๗ ระบวุ า่ กรมหมนื่ ณรงคห์ รริ กั ษม์ รี บั สงั่ ใหช้ า่ งหลอ่ เจดยี ล์ งั กา
ขึ้นองค์หนึ่งส�ำหรับประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระมหาสมณเจ้า

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

52

กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงสันนิษฐานว่าน่าจะได้แก่ เจดีย์จ�ำลองท�ำจาก
สมั ฤทธก์ิ ะไหล่ทอง (ภาพท่ี ๒๐) ปัจจุบันประดษิ ฐานภายในคหู าของพระเจดยี ์
ประธานวดั บวรนเิ วศวหิ าร๘๐ เจดยี อ์ งคน์ ต้ี รงกบั ลกั ษณะของเจดยี ท์ รงลงั กา
ทกุ ประการ คือ ประกอบด้วยฐานเขยี งทรงกลม ๒ ชั้น ถดั ขนึ้ ไปเป็นฐานบวั
รองรับชั้นมาลัยเถา ๓ ช้ัน ต่อจากช้ันมาลัยเถาไปเป็นทรงระฆังคว�่ำป้อมเตี้ย
บลั ลังก์สเ่ี หล่ยี มไม่เพ่มิ มุมรองรบั ก้านฉัตรของเจดีย์โดยไม่มเี สาหาน ถัดข้ึนไป
เป็นปล้องไฉนต่อด้วยปลียอด จากทรวดทรงขององค์ระฆงั ของเจดีย์ทีย่ งั ไม่สูง
ชะลูดและไม่มีเสาหานเหมอื นกับเจดยี ์ท่ีสร้างข้นึ ในภายหลงั
เป็นที่น่าสังเกตว่าเจดีย์สัมฤทธ์ิกะไหล่ทององค์นี้สร้างขึ้น ๑ ปีหลังจาก
พระสงฆ์ไทยชุดแรกที่ไปลังกาเดินทางกลับมาในพุทธศักราช ๒๓๘๖ คณะ
สมณทูตท่ีไปลังกาคร้ังน้ีคงน�ำเจดีย์จ�ำลองหรือน�ำรูปทรงของเจดีย์ทรงลังกา
ที่ได้พบเห็นได้ทั่วไปในลังกาทวีปกราบทูลถวายพระวชิรญาณ จึงน่าจะท�ำให้
พระองค์น�ำมาปรับปรุงทรงสร้างเจดีย์สัมฤทธ์ิกะไหล่ทองเลียนแบบเจดีย์ลังกา
ขน้ึ ดงั ทสี่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณท์ รงพระนพิ นธ์
ถงึ พระปฐมเจดยี ์องค์เดมิ (จำ� ลอง) (ภาพท่ี ๒๑) กล่าวคอื
“พระเจดีย์บูราณเช่นพระปฐมเจดีย์น้ี มีอยู่ในลังกาประเทศอีกองค์หนึ่ง
พวกเองคฤศห์ (องั กฤษ-ผู้เขียน) เห็นประหลาดจึง่ ได้ชักรปู ตีพิมพ์ไว้ องค์นน้ั
ยอดยังดีอยู่เป็นแต่บ่ินแตกไปบ้าง มีองค์เดียวเท่าน้ันแปลกกว่าพระเจดีย์ใน
ลงั กา เมื่อทูตไทยออกไปได้เข้ามาถวายในแผ่นดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้า
เจ้าสยาม ลวดลายเหมอื นกนั เหน็ เข้าก็รู้จักทเี ดียว”๘๑
ข้อความข้างต้นได้แสดงให้เห็นว่า เจดีย์ทรงลังกาน่าจะเป็นที่รู้จักกันใน
หมู่พระภิกษุของธรรมยุตก่อนหน้าท่ีจะมีการส่งสมณทูตไปแล้ว เพราะเห็นได้
ว่าพระสมณทูตเหล่าน้ีสามารถเทียบเคียงลักษณะของเจดีย์ทรงลังกาท่ีมีองค์
ระฆังเป็นรูปโอคว�่ำ กับรูปทรงของพระปฐมเจดีย์องค์เดิมท่ีคงเหลือเพียงแต่
ทรงระฆังรูปโอคว่�ำเช่นกันได้ เหตุน้ีพระด�ำริในการสร้างเจดีย์ทรงลังกาของ
พระวชริ ญาณจงึ นา่ จะเกดิ ขนึ้ กอ่ นหนา้ ทส่ี มณทตู จะไดเ้ ดนิ ทางไปยงั ลงั กาและน�ำ
ข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์ของลงั กามาเผยแพร่
อน่ึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชปรารภถึง
ลกั ษณะของพระปฐมเจดยี อ์ งคเ์ ดมิ ทไี่ ดเ้ สดจ็ ฯ ไปทรงนมสั การและทอดพระเนตร
ตัง้ แต่เมื่อครัง้ เป็นพระภกิ ษุเมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๔ และต่อมาอีกหลายคร้ังว่า
“ชะรอยว่าเมอื่ ยอดพระมหาสถปู ทำ� ลายกระจายพงั ยับเยินไปแล้ว ผู้สัทธาสำ� รบั

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

53

ใหม่ไม่รู้จักพระสถูปเจดีย์ของโบราณแรกต้ังพระพุทธศาสนา ว่ามีบังคับให้ท�ำ
เปน็ จอมเหมอื นลอมขา้ วแลกองขา้ วเปลอื ก นบั ถอื ไปแตข่ า้ งของประดษิ ประดอย
อุตตริอตุ ตรอยต่างๆ อย่างพระปรางค์แลพระเจดยี ์ใหม่ๆ ชน้ั หลังๆ ลงมา”๘๒
ดว้ ยความเกา่ แกข่ องลวดลายและมรี ปู แบบทไี่ มเ่ หมอื นกบั สถปู ทสี่ รา้ งกนั
ในยคุ สมัยของพระองค์ จึงทำ� ให้ทรงเลอ่ื มใสว่า พระปฐมเจดยี ์เป็นสถูปเก่าแก่
ทสี่ ดุ ในสยาม๘๓ “เปน็ องคพ์ ระมหาสถปู เจดยี ข์ องโบราณแรกตงั้ พระพทุ ธศาสนา
เหมอื นเปน็ อยา่ งเดยี วกบั พระสถปู ารามเจดยี ใ์ นกรงุ อนรุ าธบรุ ใี นเกาะสงิ หลทวปี ”
ได้ทรงตั้งพระปณิธานว่า เมื่อทรงครองราชสมบัติแล้วจะทรงบูรณะพระปฐม
เจดีย์ขึ้นใหม่ให้ “พระสถปู เจดยี ์เดิมจะได้คืนประดษิ ฐานตามรูปเดมิ ”๘๔
การทที่ รงเชอื่ วา่ พระปฐมเจดยี อ์ งคเ์ ดมิ เปน็ พระเจดยี ร์ นุ่ แรกตงั้ พทุ ธศาสนา
ทั้งในอินเดียและลังกา องค์ระฆังมีลักษณะดังท่ีทรงอ้างอิงข้อความจากคัมภีร์
มหาวงส์ วา่ มรี ปู ทรงเหมอื น “ลอมขา้ วแลกองขา้ วเปลอื ก” เปน็ “รปู พระสถปู เดมิ
เหมอื นอยา่ งของแตแ่ รกตง้ั พระพทุ ธศาสนาในลงั กาทวปี และทอ่ี น่ื ๆ ไมเ่ ปน็ ฝมี อื
ไทยสามญั ชน้ั หลงั ๆ เลย”๘๕ พระราชวนิ จิ ฉยั เช่นนจ้ี งึ นำ� ไปสู่ข้อสรปุ ทที่ รงแสดง
ให้เห็นว่า พระปฐมเจดีย์องค์เดิมมีรูปลักษณ์เดียวกับสถูปเจดีย์ครั้งเมื่อแรก
ต้ังพุทธศาสนาท่ีลังกา ส่วนสถูปเจดีย์ที่สร้างข้ึนในภายหลังรูปทรงต่างๆ เช่น
ปรางค์หรอื สถปู แบบอื่นๆ เป็นสถปู ท่สี ร้างขึ้นด้วยความ “อตุ ตรอิ ุตตรอยต่างๆ”
ด้วยเหตุนี้ รูปแบบของสถูปเจดีย์ที่ถูกต้องตามแบบอย่างของสถูปแรก
สรา้ งเมอ่ื แรกตงั้ พทุ ธศาสนาในทรรศนะของพระองคจ์ งึ ไดแ้ กส่ ถปู เจดยี ท์ รง “ลอม
ขา้ วแลกองขา้ วเปลอื ก” เชน่ ภาพพระสงฆน์ มสั การเจดยี ท์ รงลอมฟางในจติ รกรรม
บนผนงั พระอโุ บสถวัดโสมนสั วหิ าร (ภาพที่ ๒๒) ดงั น้นั ทรวดทรงของเจดีย์
ใกล้เคียงท่สี ดุ กับคำ� ว่าทรงลอมฟางมากกค็ งหนไี ม่พ้นเจดีย์ทรงลังกานั่นเอง
ในคมั ภรี ม์ หาวงส์ ซงึ่ ชำ� ระใหมใ่ นรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้
จุฬาโลกได้กล่าวถึงปูชนียสถานส�ำคัญ ๑๖ แห่งในลังกาทวีปซ่ึงรวมถึงสถูป
“ถูปาราม” ความส�ำคัญของถูปารามก็คือเป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ประทับ
นิโรธสมาบัติเมื่อคร้ังเสด็จไปโปรดพญานาคมณิอักขิกะที่ลังกา และท้ายที่สุด
ได้กลายเป็นสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญเบ้ืองขวา ตามที่
พระพทุ ธองคท์ รงอธษิ ฐานไว๘้ ๖ ตำ� นานศาสนาเลม่ นน้ี า่ จะทรงอทิ ธพิ ลตอ่ การรบั
รู้เร่ืองประวัติพระพุทธศาสนาและปูชนียสถานในลังกาทวีปของพระวชิรญาณ
ไม่น้อย เพราะปชู นยี สถานเหล่านต้ี ่างกไ็ ด้รบั การระบุว่ามคี วามเก่าแก่มาแต่ครงั้
เม่ือแรกต้ังพุทธศาสนา จึงน่าจะเป็นหลักฐานท่ีทำ� ให้ทรงเช่ือว่าเจดีย์ทรงลังกา

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

54

ภาพท่ี ๒๒ จิตรกรรมภาพพระ
สงฆ์นมัสการพระเจดีย์ทรงลอมฟาง
รัชกาลท่ี ๔ พระอโุ บสถวดั โสมนสั วหิ าร
กรุงเทพมหานคร

เป็นรูปแบบของสถูปเจดีย์ซ่ึงมีมาแล้วแต่แรกต้ังพุทธศาสนาในลังกาทวีป ซ่ึง
สืบทอดมาจากการเผยแผ่พุทธศาสนามายังลังกาคร้ังพระเจ้าอโศกมหาราช
อกี ทอดหนงึ่ ดงั เหน็ ไดจ้ ากการถวายนามใหก้ บั เจดยี ป์ ระธานของวดั ราชประดษิ ฐ
สถิตมหาสีมารามว่า “ปาสาณเจดีย์” อันมีความหมายว่าเจดีย์ศิลา และทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หุ้มหินอ่อนท้ังองค์ให้ตรงกับความหมายนั้น นาม
ของปาสาณเจดีย์ตรงกับนามของเจดีย์ศิลาท่ีพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้าง
ข้ึนเหนือห้องที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูและพระมหา
กัสสปะทรงสร้างข้ึนหลังจากพุทธปรินิพพาน ดังปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร
จึงท�ำให้ทรงน�ำแบบอย่างของเจดีย์ทรงลังกามาเป็นรูปแบบของเจดีย์ที่สร้างข้ึน
ภายใต้คณะสงฆ์ของพระองค์หรือภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ เพราะทรงเช่ือว่า
เป็นรูปแบบของสถูปเจดีย์ที่สืบต่อกันมาเม่ือแรกตั้งพุทธศาสนาของพระเจ้า
อโศกมหาราชผู้เป็นธรรมิกราชน่ันเอง ดังนั้น เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีการบูรณะพระปฐมเจดีย์องค์ใหม่เป็นเจดยี ์ทรงลงั กา (ภาพท่ี ๒๓) ก็ย่อม
หมายถึงการ “คืนรูป” เดิมของสถูปเจดีย์รุ่นแรกนับแต่ตั้งพุทธศาสนาทั้งใน

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

55

ภาพท่ี ๒๓ พระปฐมเจดยี ์ รชั กาล
ท่ี ๔ วัดพระปฐมเจดีย์ อ�ำเภอเมือง
จังหวัดนครปฐม

ลงั กาทวีปและในชมพทู วปี ให้กบั พระปฐมเจดีย์ด้วย
เจดีย์อีกองค์หนึ่งที่น่าสนใจและแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับสถูป
ทรงลงั กาของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กค็ อื พระสทุ ธเสลเจดยี ท์ ว่ี ดั
พระแกว้ นอ้ ย พระนครครี ี (เขาวงั ) จงั หวดั เพชรบรุ ี (ดภู าพที่ ๑๕) สรา้ งแลว้ เสรจ็
เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๔ เปน็ เจดยี ศ์ ลิ าขนาดเลก็ ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมน่ื ราชสีห
วกิ รมทรงรา่ งแบบใหช้ า่ งจนี ไปทำ� ทเี่ กาะสชี งั แลว้ นำ� มาประกอบเปน็ เจดยี ป์ ระธาน
ของวัดพระแก้วน้อยท่ีพระนครคีรี แบบร่างของเจดีย์องค์นี้ได้รับการระบุไว้ใน
ร่างประกาศเทวดาวันสวดมนต์ในการบรรจุพระบรมธาตุไว้เจดีย์องค์ดังกล่าว
ว่า “ร่างรูปพระเจดีย์สิลาตามอย่างพระเจดียของโบราณที่มีในสิหทวีป”๘๗ ซ่ึง
ต้ังนามตามพระเสลเจดีย์ท่ีปรากฏในคัมภีรม์ หาวงส์ ของลังกาและเป็นหน่ึงใน
โสฬสมหาสถาน ๑๖ แห่ง ของลงั กาทวีป อย่างไรก็ดี ในฉบบั ร่างประกาศเทวดา

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

56

ภาพท่ี ๒๔ พระสมทุ รเจดยี ์ รชั กาลท่ี ๔ ทรงบรู ณปฏสิ งั ขรณใ์ หมใ่ หเ้ ปน็ เจดยี ช์ า้ งลอ้ มทรงลงั กา
วัดพระสมทุ รเจดยี ์ อำ� เภอพระประแดง จงั หวัดสมุทรปราการ

ดงั กลา่ วพบการแกไ้ ขโดยวงกลมคำ� วา่ “สหิ ทวปี ” ออกแลว้ แทนทดี่ ว้ ย “สยามราฐ
ชนบทฝา่ ยเหนอื แลกรงุ เทพทวารวดศี รอี ยทุ ธยาราชธานโี บราณแลอน่ื ๆ” ขอ้ ความ
ทไี่ ด้รบั การแก้ไขแล้วนจ้ี ะปรากฏในอกี ประกาศฉบบั หนงึ่ ซง่ึ เป็นคำ� ประกาศทไ่ี ด้
รับการแก้ไขจนเป็นประกาศที่เรียบร้อยสมบรู ณ์แล้ว๘๘ ผู้เขียนเหน็ ว่าการแก้ไข
ดงั กล่าวคงเป็นการหลกี เลย่ี งข้อครหาว่าทรงสร้างสถูปเจดยี ์แบบลงั กาแทนทจ่ี ะ
เป็นเจดยี ์แบบสยามทผี่ คู้ นรจู้ กั มกั คนุ้ กนั ๘๙ ดงั เหน็ ไดจ้ ากสมดุ ไทยดำ� เรอื่ งพระ
เจดี ๔ กล่าวถงึ พระสมทุ รเจดีย์ ซ่ึงเป็นเจดีย์ช้างล้อมทรงลงั กา (ภาพที่ ๒๔) ว่า
“พระสฐูปเจดียองค์นี้ ผู้ดูผู้เหนท้ังปวง อย่าว่าพระเจดิยลังกาก็ดี พระ
เจดยิ อย่างมอญก็ดี ซุ่มซามงมงายไป ท่แี ท้น้นั พระเจดียอย่างไทยโบราณดอก
พระเจดิยกลมอย่างน้ีที่กรุงศรีอยุทธยาเก่าแลเมืองพระพิษณุโลกย์ เมืองโอฆ
บรุ ี เมอื งศรสี ชั นาไลยสวรรคโลกย แลเมอื งสโุ ฃทยั เมอื งก�ำแพงเพชร มดี น่ื ถมไป
เมอื งซ่งึ ออกช่อื มานั้น กเ็ ปนเมอื งไทยโบราณไม่ใช่ฤๅ เปนเมอื งลงั กาเมืองพม่า
เมืองมอญเม่ือไรเล่า คนที่ไปกรงุ เก่ากนั ดเู อาหมิ่นๆ แต่ทีเ่ หนง่ายได้ไกล้ๆ ตา
พระเจดยี ์วดั โปรดสัตจ พระเจดยี วดั สวนหลวงพระเจดิย์วัดภเู ฃาทองแล้วก็ถือ
เอาว่านน้ั เปนอย่างไทย”๙๐

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

57

ด้วยเหตนุ ี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าพระดำ� ริแรกในการสร้างพระสทุ ธเสลเจดยี ์
ตามแบบอย่างเจดีย์ของลังกาดูจะเป็นพระด�ำริที่แท้จริงในขณะท่ีข้อความ
ซง่ึ กล่าวถงึ การสร้างเจดยี ์ตามแบบอย่างทมี่ อี ยู่แล้วในสยาม เป็นเพยี งข้ออ้างใน
ภายหลงั เทา่ นน้ั จงึ เปน็ ทชี่ ดั เจนวา่ เจดยี ท์ รงลงั กาซงึ่ สรา้ งขน้ึ ในคณะสงฆธ์ รรมยตุ
มตี น้ แบบมาจากสถปู เจดยี ข์ องลงั กาทพ่ี ระวชริ ญาณทรงถอื วา่ เปน็ สถปู ทมี่ มี าแต่
แรกตงั้ พทุ ธศาสนาในลงั กาทวปี จงึ ทรงเชอื่ ว่าเป็นเจดยี ท์ ม่ี รี ปู แบบทถ่ี กู ตอ้ งกว่า
เจดยี แ์ บบอน่ื อาจกล่าวได้ว่าเจดยี ท์ รงลงั กาทส่ี ร้างขนึ้ ภายใต้คณะสงฆ์ธรรมยตุ
เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความส�ำคัญของลังกาในฐานะต้นรากของสมณวงศ์
นกิ ายเถรวาททพ่ี ระวชริ ญาณทรงนำ� พทุ ธศลิ ปข์ องลงั กามาใชเ้ ปน็ ตน้ แบบของการ
สถาปนาคณะสงฆข์ องพระองค์ ใหม้ แี นวทางใกลเ้ คยี งทส่ี ดุ กบั สมณวงศข์ องลงั กา
เชน่ เดยี วกบั พระพทุ ธรปู แบบธรรมยตุ ทไี่ ดร้ บั แบบอยา่ งมาจากพระพทุ ธรปู ลงั กา
นั่นเอง

บทสรุป

ถึงแม้ว่าคณะสงฆ์ธรรมยุตท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
สถาปนาข้ึนเมื่อครั้งทรงพระผนวชในพระราชฉายาว่า พระวชิรญาณ จะไม่ได้
เกิดข้ึนอย่างฉับพลันโดยขาดพัฒนาการและสัมพันธ์กับแนวโน้มทางความคิด
ในทางศาสนาซึ่งมีต้ังแต่ต้นรัตนโกสินทร์ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เกิดข้ึนโดยตัดขาด
จากความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาระหว่างสมณวงศ์นิกายเถรวาทจากภายนอก
ไปด้วย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์
ท่ีธรรมยุตมีต่อคณะสงฆ์มอญและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคณะสงฆ์ลังกาแล้ว
พระพทุ ธรปู และสถปู แบบธรรมยุตที่ทรงสร้างข้ึนแสดงอัตลักษณ์ของคณะสงฆ์
ธรรมยุตอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นถึงแนวพระด�ำริของพระองค์ที่ทรงให้
ความสำ� คญั กบั ลงั กาในฐานะทเ่ี ปน็ ตน้ รากของนกิ ายเถรวาท อนั เปน็ การสบื ทอด
จารตี ทางพทุ ธศาสนาทม่ี มี าอยา่ งยาวนานในสงั คมไทย แมจ้ ะดเู หมอื นการยดึ ถอื
แนวทางของคณะสงฆล์ งั กาจะเปน็ แนวพระดำ� รทิ ที่ รงรบั มาจากภายนอกประเทศ
กต็ าม แต่แนวคิดของการชำ� ระพระศาสนาตามแบบลังกาก็เป็นสงิ่ ท่ีอยู่ในจารีต
อันยาวนานของพุทธศาสนานิกายเถรวาทในสังคมไทยอย่างช้านานก่อนหน้าที่
พระวชิรญาณจะทรงสถาปนาคณะธรรมยุตของพระองค์เสียอีก

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

58

ดังนั้น สมณวงศ์ของลังกาจึงไม่ได้เป็นสิ่งท่ีแปลกแยกจากโลกทรรศน์
สังคมไทย หากแต่มีบทบาทความสัมพันธ์เก่ียวข้องกับคณะสงฆ์ในสยาม
ประหน่ึงเป็นสมณวงศ์เดียวกันมาตลอดอย่างไม่ขาดสาย พระวชิรญาณเพียง
แตท่ รงหยบิ ยกเอาจารตี ของนกิ ายเถรวาทอยา่ งลงั กามาฟน้ื ฟอู กี ครงั้ ในคณะสงฆ์
ใหม่ของพระองค์เท่าน้นั
พระพุทธรูปและเจดีย์ทรงลังกาของธรรมยุตยังแสดงถึงการผสมผสาน
กันระหว่างคตินิยมทางพุทธศาสนาเข้ากับโลกทรรศน์แบบตะวันตก กล่าวคือ
ในด้านหน่ึงก็เป็นการปรับปรุงพุทธลักษณะให้สอดคล้องกับพระพุทธรูปของ
ลงั กาเพอ่ื ยอ้ นกลบั ไปหาตน้ กำ� เนดิ อนั แทจ้ รงิ ของสมณวงศเ์ ถรวาทและความถกู
ต้องตามพระบาลี ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโลกทรรศน์ใหม่ให้กับกระแส
ของตะวันตกที่ไหล่บ่าเข้ามาในช่วงระยะเวลาน้ัน ดังเห็นได้จากการทำ� จีวรให้มี
ความยับย่นสมจริงตามแบบศิลปะตะวันตก การผสมผสานกันระหว่างจารีต
ด้ังเดิมของพุทธศาสนาให้เข้ากับรสนิยมแบบตะวันตกจึงถือเป็นลักษณะเฉพาะ
ของธรรมยตุ ทที่ รงสถาปนาขนึ้ มใิ ช่ถูกครอบงำ� โดยตะวันตกท้งั ในทางโลกและ
ทางธรรมไปเสียท้ังหมด เพราะแก่นแท้ของการสถาปนาธรรมยุตของพระวชิร
ญาณ คอื ความต้องการกลับไปสู่พระพทุ ธวจนะด้ังเดิมยังคงเกี่ยวข้องกบั การ
ด�ำเนินตามแบบอย่างของสมณวงศ์ของลังกา ซึ่งทรงเชื่อม่ันว่าถึงพร้อมไปด้วย
ความบรสิ ุทธ์ิอย่างแท้จริง
บทความช้ินน้ีจึงเป็นการมองธรรมยุตจากภายใน โดยถอยกลับไปดู
อดตี เพอ่ื สำ� รวจความสมั พนั ธก์ บั ภายนอกระหวา่ งคณะสงฆใ์ นสมณวงศเ์ ถรวาท
ด้วยกัน อันเป็นการสืบสานจารีตทางพุทธศาสนาที่มีมายาวนานอีกครั้งผ่าน
พุทธศิลป์ของคณะสงฆ์ธรรมยุตที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
สถาปนา

ปรับปรงุ จากเร่ือง “ธรรมยุติกนิกาย : การศกึ ษาความสัมพันธก์ ับสมณวงศข์ องลังกา
ผ่านพุทธศลิ ป.์ ” พมิ พใ์ นวารสารไทยคดศี ึกษา ปีท่ี ๓ (ตุลาคม-มีนาคม) หน้า ๑๖๑-๒๓๒
ผ้เู ขียนขอขอบพระคณุ ผู้ช่วยศาสตราจารยอ์ ดศิ ร หมวกพิมาย ภาควชิ าประวัติศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะคุณวารณุ ี โอสถารมย์ แห่งสถาบนั ไทย
คดีศึกษา มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ท่ีช่วยกรณุ าตรวจแกไ้ ขรวมทัง้ ให้คำ� แนะนำ� อันมีประโยชน์
และเห็นคณุ คา่ ของบทความช้ินน้ี
ศาสตราจารยพ์ เิ ศษ ดร. พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์ แหง่ มลู นธิ พิ ริ ยิ ะ ไกรฤกษ์ เออ้ื เฟอ้ื ภาพประกอบ
ส�ำหรับความรบั ผิดชอบในบทความเปน็ ของผู้เขยี นแต่เพยี งผเู้ ดียว

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

59

เชิงอรรถ

๑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. ปากไก่และใบเรือ : ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์วรรณกรรมต้น
รัตนโกสินทร์. (กรุงเทพมหานคร : แพรวสำ�นักพิมพ์, ๒๕๔๓), น. ๔๙๒.
๒ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ.์ “เรอื่ งอภนิ หิ ารการประจกั ษ,์ ”
ใน วชิรญาณวิเศษ ตอนที่ ๑๖. (กันยายน, ร.ศ. ๑๑๖) : ๓๔๔๓-๓๕๖๖.
๓ อาจกล่าวได้ว่าแทบไม่พบพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทกี่ ลา่ วถงึ ประวตั แิ ละมลู เหตขุ องการกอ่ ตงั้ คณะธรรมยตุ ของพระองคเ์ ลย หลกั ฐานเดยี วในการ
ท�ำความเข้าใจก�ำเนดิ และแนวคิดของคณะสงฆ์น้ีในระยะเร่ิมแรก จึงต้องอาศัยพระนิพนธ์ของ
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ พระสานศุ ษิ ยพ์ ระองคส์ �ำคญั เปน็ หลกั
เนอื่ งจากงานเขยี นรนุ่ หลงั กล็ ว้ นแลว้ แตอ่ าศยั พระนพิ นธข์ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ พระองคน์ ี้
เกอื บท้งั หมด.
๔ ดูรายละเอียดใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. เรื่องวัดสมอรายอันมี
นามว่าราชาธิวาส. (พระนคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๙๙). (พิมพ์เป็นที่ระลึกใน
งานถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยิกาเจ้า).
๕ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. ความทรงจ�ำ . (กรงุ เทพมหานคร : ศลิ ปวฒั นธรรม
ฉบับพิเศษ, ๒๕๔๖), น. ๕๕-๕๗.
๖ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส. เทศนาพระราชประวตั พิ ระบาท
สมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกฎุ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . (พระนคร : ม.ป.ท., ๒๕๐๐), น. ๘. (พมิ พ์
ในงานบำ�เพ็ญกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและกรมหมื่นทิวากรวงศ์
ประวัติ).; สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. ความทรงจำ�. (กรุงเทพมหานคร : ศิลปวัฒน
ธรรมฉบับพิเศษ), ๒๕๔๖, น. ๕๑-๖๐.
๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. เรื่องวัดสมอรายอันมีนามว่าราชาธิวาส,
น. ๔๗.
๘ อเล็กซานเดอร์ บี. กริสโวลด์. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม. แปลโดย
ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล (พระนคร : ม.ป.ท., ๒๕๐๘), น. ๔๕. (ม.จ. จงจิตรถนอม ดิศกุล ทรง
พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในมหามงคลสมัยพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระราชบิดา ๒๙
สิงหาคม ๒๕๐๘).
๙ อัจฉรา กาญจโนมัย. “การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ.
๒๓๒๕-๒๓๙๔),” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษร
ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓), น. ๑๔๙.
๑๐ นิธิ เอียวศรีวงศ์. ปากไก่และใบเรือ : ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์วรรณกรรมต้น
รัตนโกสินทร์, น. ๔๘๘.
๑๑ นฤมล ธีรวัฒน์. “พระราชดำ�ริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๕), น. ๘๓.
๑๒ ดรู ายละเอียดใน กี ฐานิสสร. ประวัติคณะสงฆ์ไทยกับธรรมยุติกประหาร. (กรุงเทพ

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

60
มหานคร : มณีกรวิทยา, ๒๕๑๘).
๑๓ กระจ่าง นนั ทโพธิ. มหานิกาย-ธรรมยุต ความขดั แย้งภายในของคณะสงฆ์ไทยกบั การ
ส้องเสพอำ�นาจปกครองระหว่างฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร. (กรุงเทพมหานคร : สันติธรรม,
๒๕๒๘), น. ๖๗-๖๘.
๑๔ นฤมล ธีรวัฒน์. “พระราชดำ�ริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว,” น. ๔๙.
๑๕ เรื่องเดียวกัน, บทที่ ๒.
๑๖ นิธิ เอียวศรีวงศ์. ปากไก่และใบเรือ : ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์วรรณกรรมต้น
รัตนโกสินทร์, น. ๔๙๒-๔๙๓.
๑๗ เรื่องเดียวกัน, น. ๔๙๕-๔๙๙.
๑๘ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ.์ “เรอื่ งอภนิ หิ ารการประจกั ษ,์ ”
น. ๓๔๔๕.
๑๙ เรื่องเดียวกัน, น. ๓๔๔๕.
๒๐ นฤมล ธรี วฒั น.์ “พระราชด�ำ รทิ างการเมอื งของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ,”
น. ๘๗-๘๘.
๒๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. สมณศาสน พระเถระธรรมยุติกา มีไปยัง
ลังกาทวีป. (พระนคร : หอพระสมุดวชิรญาณ, ๒๔๖๘), น. ๑๙๖. (พิมพ์ในงารพระศพพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง).
๒๒ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๘๓-๑๙๖.
๒๓ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ.์ “เรอื่ งอภนิ หิ ารการประจกั ษ,์ ”
น. ๓๕๔๖.
๒๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. สมณศาสน พระเถระธรรมยุติกา มีไปยัง
ลังกาทวีป, น. ๑๒.
๒๕ ห้องเอกสารตัวเขียน หอสมุดแห่งชาติ. สำ�เนาสมณสาส์น. จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓.
จ.ศ. ๑๒๐๕. เลขที่ ๑๔๙.
๒๖ นิธิ เอียวศรีวงศ์. ปากไก่และใบเรือ : ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์วรรณกรรมต้น
รัตนโกสินทร์, ๒๕๔๓, น. ๔๙๔.
๒๗ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ.์ “เรอื่ งอภนิ หิ ารการประจกั ษ,์ ”
น. ๓๕๔๖.
๒๘ นฤมล ธีรวัฒน์. “พระราชดำ�ริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว,” น. ๘๘.
๒๙ จารึกกัลยาณี. (กรุงเทพมหานคร : หอพระสมุดวชิรญาณ, ๒๔๖๘), น. ๑๐๘, ๑๑๒-
๑๑๔, ๑๖๘. (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์โปรดให้พิมพ์ในงารพระราชทานเพลิง
ศพ หม่อมสุภาพ กฤดากร ณ อยุธยา), น. ๑๐๘, ๑๑๒-๑๑๔, ๑๖๘).
๓๐ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกา
ทวีป. (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๐๓), น. ๔๐๑-๔๐๒. (คณะสงฆ์พิมพ์เป็นอนุสรณ์
ในงานพระเมรุพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์).

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

61
๓๑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. ปากไก่และใบเรือ : ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์วรรณกรรมต้น
รัตนโกสินทร์, น. ๔๙๕.
๓๒ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . มหามกฏุ ราชนสุ สรณยี ์ ประชมุ พระราชนพิ นธ์
ภาษาบาลีในรัชกาลที่ ๔ ภาคที่ ๑. (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๑), น. ๔.
๓๓ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ ฉบับ
เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ ฉบบั ตวั เขยี น. ประชมุ พงศาวดารฉบบั ราษฎร์ ภาคที่ ๑ (กรงุ เทพมหานคร
: อมรินทร์วิชาการ, ๒๕๓๙), น. ๒๐๖.
๓๔ พิมพ์รำ�ไพ เปรมสมิทธ์. “ความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาระหว่างไทยกับลังกาตั้งแต่
รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,”
(วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๕), น. ๙๕.
๓๕ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ ฉบับ
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ฉบับตัวเขียน, น. ๒๐๖.
๓๖ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒. (กรุงเทพ
มหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๒๖), น. ๖๕.
๓๗ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกา
ทวีป, น. ๓๐๓-๓๐๔.
๓๘ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒, น. ๖๖-๖๘,
๙๕.
๓๙ พิมพ์รำ�ไพ เปรมสมิทธ์. “ความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาระหว่างไทยกับลังกาตั้งแต่
รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,”
น. ๑๐๑.
๔๐ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. ความทรงจำ�, น. ๓๕๔, ๓๖๒.
๔๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ยุตตายุตตปฏปตอํกนี กำ�หนดข้อปฏิบัติที่
ควรและไม่ควร. แปลโดย พระญาณวิจิตร (สิทธิ โลจนานนท์) (พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์,
๒๔๗๐), น. ๑-๒, ๘. (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ โปรดให้พิมพ์เมื่อปีเถาะ
พ.ศ. ๒๔๗๐).
๔๒ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ (กรุงเทพ
มหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๓๘), น. ๘๕.
๔๓ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกา
ทวีป, ๒๕๐๓, น. ๓๖๖.
๔๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๓๙๘, ๔๐๒-๔๐๓.
๔๕ เรื่องเดียวกัน, น. ๔๐๑-๔๐๒.
๔๖ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ.์ “เรอื่ งอภนิ หิ ารการประจกั ษ,์ ”
น. ๓๕๔๖.
๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. เรื่องวัดสมอรายอันมีนามว่าราชาธิวาส,
น. ๔๙.

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

62
๔๘ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำ�รงราชานุภาพ. ตำ�นานพุทธเจดีย์สยาม. (พระนคร :
โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๙), น. ๑๔๖. (พิมพ์ในงารพระราชทานเพลิงศพ เจ้าจอม
มารดาชุ่ม รัชกาลที่ ๔ ทจว, รัตน มปร, ๒ วปร.๓ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๖๙).; ดรู ายละเอียด
ใน พิริยะ ไกรฤกษ์. “การปรับเปลี่ยนยุคสมัยของพุทธศิลป์ในประเทศไทย,” เมืองโบราณ. ๒๕
(เมษายน-มิถุนายน, ๒๕๔๒) : ๑๐-๓๖.
๔๙ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล. ศิลปะในประเทศไทย. (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์, ๒๕๓๔),
น. ๓๙.; สันติ เล็กสุขุม. ประวัติศาสตร์ศิลปะไทย (ฉบับย่อ) การเริ่มต้นและการสืบเนื่องงาน
ช่างในศาสนา. (กรุงเทพมหานคร : เมืองโบราณ, ๒๕๔๔), น. ๑๙๓.
๕๐ สันติ เล็กสุขุม. ประวัติศาสตร์ศิลปะไทย (ฉบับย่อ) การเริ่มต้นและการสืบเนื่องงาน
ช่างในศาสนา, ๒๕๔๔, น. ๒๐๑.
๕๑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. ปากไก่และใบเรือ : ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์วรรณกรรมต้น
รัตนโกสินทร์. ๒๕๔๓, น. ๔๘๔-๔๘๕.
๕๒ เรื่องเดียวกัน, น. ๔๕๐-๕๐๐.
๕๓ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๙๐.
๕๔ ประชมุ จารกึ วดั พระเชตพุ น. (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร,์ ๒๕๔๔), น. ๕๖. (คณะสงฆ์
วัดพระเชตุพนจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกสมโภชหิรัญบัฏและฉลองอายุวัฒนมงคล ๘๕ ปี พระธรรม
ปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร ป.ธ. ๔) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ๒๖-๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔).
๕๕ ดูรายละเอียดใน สมเด็จพระสังฆราช (มี). พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ.
(พระนคร : ศวิ พร, ๒๕๐๒). (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานวนั อดีตเจ้าอาวาสวดั มหาธาตุ จันทรคติ
เดอื น ๙ ข้นึ ๓ คำ่� (๗ สิงหาคม ๒๕๐๒) ประจ�ำปี ๒๕๐๒).
๕๖ ดูรายละเอียดใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. ปฐมสมโพธิ
กถา. (พระนคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๐๓).
๕๗ ดรู ายละเอยี ดใน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ.์ สคุ ตวทิ ตถฺ ิ
วิธาน วิธีกำ�หนดคืบพระสุคต. (กรุงเทพมหานคร : วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๐๔). (วัดบวรนิเวศ
วิหารพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชทานเพลิงศพ พระพรหมมุนี (สุวจเถระ) ณ เมรุ
วัดเทพศิรินทราวาส ๒๙ มิถุนายน ๒๕๐๔).
๕๘ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุ
ภาพ. สาส์นสมเด็จ. (พระนคร : คลังวิทยา, ๒๕๐๕), ๑๙ : ๑๓.
๕๙ เรื่องเดียวกัน, ๒๕ : ๒๑๑.
๖๐ นา่ สงั เกตวา่ การสรา้ งพระสานเปน็ ทนี่ ยิ มมากในหมชู่ าวไทยใหญ่ ผเู้ ขยี นเองเคยพบเหน็
พระสานที่หอคำ�เจ้าฟ้ายองห้วยที่ตองยี ไม่ไกลจากทะเลสาบอินเลในรัฐฉานของประเทศพม่า
ในอนาคตจงึ ควรมีการศึกษาเพิม่ เตมิ วา่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวทรงไดแ้ นวพระ
ราชด�ำ รใิ นการสรา้ งพระพทุ ธปรติ รหรอื พระสาน มาจากไทยใหญผ่ า่ นพระสงฆม์ อญในพมา่ หรอื
ไม่ อย่างไร.
๖๑ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ตั วิ งศ์ และสมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ.
สาส์นสมเด็จ, ๑๙ : ๒๗.
๖๒ เรื่องเดียวกัน, ๒๕ : ๒๓๗.

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

63
๖๓ เรื่องเดียวกัน, ๒๕ : ๒๑๑.
๖๔ Susan L. Huntington. The Art of Ancient India. (Japan : Weatherhill, 1985),
p. 136.
๖๕ พระเกตุมาลาเป็นหนึ่งในอสีตยานุพยัญชนะหรืออนุพยัญชนะลำ�ดับสุดท้ายจาก
ทั้งหมด ๘๐ ประการ ดังกล่าวว่า “วิจิตรไปด้วยระเบียบพระเกตุมาลา กล่าวคือ ถ่องแถว
แห่งพระรัศมีอันโชตนาการขึ้น ณ เบื้องบนพระอุตมังคสิโรตม์ฯ” มักเรียกพุทธลักษณะนี้ตาม
ที่คุ้นเคยกันว่า “พระรัศมี” ในที่นี้ผู้เขียนเลือกใช้คำ�ว่า “พระเกตุมาลา” ตามความหมายใน
อนุพยัญชนะในความหมายเดียวกับพระรัศมี และเลือกใช้คำ�ว่า “พระอุษณีษะ” เมื่อหมายถึง
มหาปุริสลักขณะดังกล่าว เพื่อให้แตกต่างจากพระเกตุมาลา ที่หมายถึงพระรัศมีรปู ต่างๆ เช่น
พระรศั มเี ปลว พระรศั มรี ปู ดอกบวั ตมู เปน็ ตน้ รวมไปถงึ เพอื่ เปรยี บเทยี บรปู ศพั ทแ์ ละความหมาย
ระหว่าง “อุษณีษะ” เป็นภาษาสันสกฤตอันบ่งถึงมหาปุริสลักขณะโดยตรงกับคำ�เดียวกันใน
ภาษาบาลี คือ “อุณหิส” ซึ่งมีความหมายที่หลากหลายกว่าในบริบทของพุทธศาสนานิกาย
เถรวาท.
๖๖ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชา
นุภาพ. สาส์นสมเด็จ, ๔ : ๒๙๕-๒๙๖.
๖๗ เรื่องเดียวกัน, ๔ : ๒๙๙.
๖๘ สมเด็จพระสังฆราช (มี). พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ, น. ๓๐.
๖๙ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. ปฐมสมโพธิกถา, น. ๖๒.
๗๐ เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
๗๑ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชา
นุภาพ. สาส์นสมเด็จ, ๑๐ : ๒๘-๒๙.; บานที่เห็นอยู่ในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ทดแทนบานเดิม
ซึ่งเป็นลวดลายปูนปั้นหรือรักปั้นลงบนไม้และน่าจะมีจารึกกำ�กับภาพไว้แต่ชำ�รุดเสียหายหนัก
ปัจจุบันทางวัดบวรนิเวศวิหารจึงได้นำ�บานเก่าไปเก็บรักษาไว้ และสร้างบานปัจจุบันขึ้นติดตั้ง
ทดแทน สำ�หรับบานปัจจุบันไม่พบว่ามีจารึก.
๗๒ Bellanwila Wimalaratana. A Study of the Concept of the Mahapurisa in Buddhist
Literature and Iconography. (Thesis submitted to the University of Lancaster fot the degree
of Doctor of Philosophy, 1981), pp. 193-201.
๗๓ “นายปนั้ ไดพ้ ระพทุ ธรปู ทองค�ำ ,” หอ้ งเอกสารตวั เขยี น หอสมดุ แหง่ ชาต,ิ จดหมายเหตุ
รัชกาลที่ ๔, หนังสือสมุดไทยดำ�, อักษรไทย, ภาษาไทย, เส้นดินสอ, จ.ศ. ไม่ปรากฏ, เลขที่
๒๖๙. ประวัติการได้พระนิรันตรายที่พบในเอกสารตัวเขียนฉบับนี้ต่างจากประวัติในจารึกวัด
นเิ วศธรรมประวตั ซิ งึ่ กลา่ ววา่ นายอนิ กบั นายยงั ผบู้ ตุ รนอนฝนั ไปวา่ จบั ชา้ งเผอื กไดจ้ งึ พากนั ไปขดุ
มันนกที่ชายป่าห่างจากดงพระศรีมหาโพธิ ๓ เส้นพบพระนิรันตราย ดู ประชุมศิลาจารึกภาค
ที่ ๖ ตอนที่ ๑ จารึกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่พบในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง.
(กรุงเทพมหานคร : คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำ�นักนายกรัฐมนตรี,
๒๕๑๗), น. ๘๖-๘๗. อยา่ งไรกด็ ี ผเู้ ขยี นจะถอื ประวตั ทิ ีพ่ บในเอกสารตวั เขยี นเปน็ ส�ำ คญั เพราะ
นอกจากจะเขยี นใกลเ้ หตกุ ารณก์ อ่ นจารกึ แลว้ ยงั ระบวุ นั เดอื น ปี ทไี่ ดพ้ ระพทุ ธรปู องคน์ มี้ าอยา่ ง
ละเอียด สำ�หรับพระนิรันตรายองค์นี้แสดงอิทธิพลของพระพุทธรูปอินเดียสมัยราชวงศ์ปาละ

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

64
และเสนะ (พทุ ธศกั ราช ๑๒๙๓-๑๗๗๓) จากการประทับสมาธเิ พชรผสมผสานกับพทุ ธลกั ษณะ
ของพระพุทธรูปในท้องถิ่นของกลุ่มชนที่ใช้ภาษามอญในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย.
๗๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๘๗-๘๘.
๗๕ ทวีศักดิ์ เผือกสม. “การปรับตัวทางความรู้ ความจริง และอำ�นาจของชนชั้นนำ�สยาม
พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๑๑,” (วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐), น. ๑๗๓.
๗๖ ที่มีเพียงบางวัดที่ไม่ได้สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต เช่น วัดพระปฐมเจดีย์ซึ่งเป็นวัดมหา
นิกายแต่มีเจดีย์ทรงลังกา คือ พระปฐมเจดีย์เป็นเจดีย์ประธานของวัด เพราะทรงถือว่าเป็น
ปชู นียสถานสำ�คัญยิ่งจึงทรงรับเป็นพระราชธุระในการบรู ณปฏิสังขรณ์จนตลอดทั้งรัชกาล.
๗๗ พิริยะ ไกรฤกษ์. “การปรับเปลี่ยนยุคสมัยของพุทธศิลป์ในประเทศไทย,” ๒๕๔๒, น.
๓๑.
๗๘ พระมหานามเถระ. วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑ (หมวดศาสนจักร) คัมภีร์
มหาวงศ์. แปลโดย พระยาธรรมปโรหิตและพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์)
(กรุงเทพมหานคร : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๓๔), น. ๒๓๓.
๗๙ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกา
ทวีป, น. ๓๕๔.
๘๐ วัดบวรนิเวศวิหาร. (พระนคร : ศิวพร, ๒๕๑๕), น. ๖๘.
๘๑ กรมศิลปากร. เรื่องพระปฐมเจดีย์. (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๘), น.
๘๐. (โดยเสด็จพระราชกุศลในงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมสิริชัย (ชิต ชิตวิปุลเถร) เจ้า
อาวาสวัดพระปฐมเจดีย์).
๘๒ เรื่องเดียวกัน, น. ๖๕.
๘๓ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ.์ “เรอื่ งอภนิ หิ ารการประจกั ษ,์ ”
น. ๓๕๔๗.
๘๔ กรมศิลปากร. เรื่องพระปฐมเจดีย์, น. ๖๔-๖๕.
๘๕ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . ชมุ นมุ พระบรมราชาธบิ ายในพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั หมวดโบราณสถานและโบราณวตั ถ.ุ (พระนคร : โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒ
ธนากร, ๒๔๗๕), น. ๑๓๖. (สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า
โปรดให้พิมพ์เป็นมิตรพลีขึ้นปีใหม่).
๘๖ พระมหานามเถระ. วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑ (หมวดศาสนจักร) คัมภีร์
มหาวงศ์, น. ๔๔.
๘๗ ห้องเอกสารตัวเขียน หอสมุดแห่งชาติ, เรื่องประกาศเทวดาวันสวดมนต์ในการบรรจุ
พระบรมธาตุในพระเจดีย์ศิลาที่พระนครคีรี, จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔, จ.ศ. ๑๒๒๓, เลขที่
๑๓๐; โปรดดูข้อเสนอต่อยอดจากงานเดิมของผู้เขียน ใน พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์. วัด-วัง ในพระ
ราชประสงค์พระจอมเกล้า. (กรุงเทพมหานคร : มติชน, ๒๕๖๑), น. ๘๐.
๘๘ หอ้ งเอกสารตวั เขยี น หอสมดุ แหง่ ชาต,ิ ค�ำ ประกาศเทวดาครงั้ บรรจพุ ระบรมธาตทุ เี่ มอื ง
เพชรบุรี, จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔, จ.ศ. ๑๒๒๓, เลขที่ ๑๓๒.

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

65
๘๙ เรื่องนี้ออกจะดูคล้ายกับตอนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวใกล้จะสวรรคต
และมีรับสั่งถึงผู้ที่จะสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ว่า “ที่สติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่
เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่คนเดียว แต่รังเกียจอยู่ว่าท่านฟ้าใหญ่ถืออย่างมอญ ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น
ก็จะให้พระสงฆ์ห่มผ้าอย่างมอญเสียหมดทั้งแผ่นดินดอกกระมัง กลัวเจ้านายข้าราชการเขาจะ
ไมช่ อบใจ” ดู ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๕๑. (พระนคร : โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒธนากร, ๒๔๗๒),
น. ๑๕๒. (พิมพ์พระราชทานในงานพระศพ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราช
ปดิวรัดา ครบสัปตมวาร). พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎจึงต้องทรงแก้ไขข้อบกพร่องนั้นเสีย อย่างแรก
ที่ทรงปฏิบัติ คือ ทรงเขียนคำ�สารภาพของพระองค์เมี่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช
๒๓๙๔ กล่าวถึงสาเหตุว่าทรงนุ่งห่มอย่างมอญ เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
มิได้ทรงห้ามปรามเพียงแต่ “รับสั่งถามเลยๆ มิได้มีรับสั่ง (ประการใด) ก็พลอยคิดดีใจไปว่า
ทรงพระกรุณาโปรดให้ถือตามชอบใจ จึงพลอยทำ�ด้วยต่อมา” คำ�สารภาพนั้นได้ลงพระนาม
กำ�กับเพื่อเป็นการปฏิญาณว่าจะรับสั่งให้พระสงฆ์ธรรมยุตและพระองค์เองครองผ้าใหม่ตาม
อย่างพระสงฆ์มหานิกายด้วย ดู เรื่องเดียวกัน, น. ๑๐.
๙๐ ห้องเอกสารตัวเขียน หอสมุดแห่งชาติ, ตำ�นานเรื่องพระเจดี, เอกสารหมู่ตำ�นาน, มัด
ที่ ๒, เลขที่ ๒๒.



แผ่นไม้จ�ำหลัก

เครื่องราชกกุธภัณฑ์

พิชญา สุ่มจนิ ดา

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

68

แผน่ ไมจ้ ำ� หลกั เครอื่ งราชกกธุ ภณั ฑ์ เปน็ โบราณวตั ถไุ มช้ นิ้ ส�ำคญั หนงึ่
ในหลายชิน้ ที่จดั แสดงในพพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำ� แหง จงั หวดั สุโขทัย
ความส�ำคัญของไม้จ�ำหลักแผ่นน้ีเห็นได้จากการท่ีนักวิชาการมักน�ำไปใช้อ้างอิง
เป็นตัวอย่างของเครื่องราชกกุธภัณฑ์โบราณท่ีอาจเรียกได้ว่าครบถ้วนท้ังส�ำรับ
ซึ่งแทบไม่มีหลักฐานหลงเหลือเป็นรูปธรรมให้เห็นมาจนถึงทุกวันน้ีนอกจาก
เครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑท์ ส่ี รา้ งขนึ้ ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก
แต่จะเป็นตัวอย่างของเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ยุคใดสมัยใดย่อมขึ้นอยู่กับ
ความเหน็ ทางดา้ นอายขุ องนกั วชิ าการแตล่ ะทา่ น ซงึ่ มที งั้ ทเ่ี ชอื่ วา่ ไมจ้ ำ� หลกั แผน่ นี้
คงสรา้ งขน้ึ ในสมยั สโุ ขทยั และเปน็ ตวั อยา่ งของเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑส์ มยั สโุ ขทยั
อนั มอี ยู่ ๕ สงิ่ คอื กรอบพกั ตรห์ รอื กะบงั พกั ตร์ (อณุ หสิ ) พระแส้ พระขรรค์
ธารพระกร และฉลองพระบาท เพมิ่ ขน้ึ จากทปี่ รากฏในจารกึ วดั ปา่ มะมว่ งของ
พญาลิไทย (พทุ ธศักราช ๑๘๙๐) ท่มี เี พียง ๓ สงิ่ คอื มงกฎุ พระขรรค์ชัยศรี
และเศวตฉัตร๑ หรือไม่ก็ให้ความเห็นว่า คงสร้างข้ึนในสมัยอยุธยาตอนปลาย
ราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ครองราชย์พุทธศักราช ๒๒๗๕-
๒๓๐๑) เมือ่ พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ ผู้ทรงบูรณปฏสิ ังขรณ์ปรางค์ประธานองค์น้ี
เป็นหนล่าสดุ และทรงพระราชูทิศถวายไม้จำ� หลกั แผ่นต่างเคร่อื งราชกกธุ ภัณฑ์
เป็นพทุ ธบูชาแด่พระบรมสารรี กิ ธาต๒ุ
ความเห็นด้านอายุเวลาของนักวิชาการท่ีกล่าวมาน้ีดูเหมือนจะข้ึนอยู่กับ
ที่มาของแผ่นไม้จ�ำหลักซึ่งว่ากันว่าได้มาจากปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตน
มหาธาตุ เชลียง (สวรรคโลกเก่า ปัจจบุ ันอยู่เขตพน้ื ที่ของอำ� เภอศรีสชั นาลยั
จังหวัดสุโขทัย) พระมหาธาตุส�ำคัญศูนย์กลางของเมืองสวรรคโลกเก่าท่ีสร้าง
ครอบเจดยี ย์ อดดอกบวั ตมู ของเดมิ ไวภ้ ายใน นกั วชิ าการจงึ มกั กำ� หนดอายเุ วลา
แผน่ ไมจ้ ำ� หลกั ใหอ้ ยใู่ นสมยั เดยี วกบั การสรา้ งหรอื การปฏสิ งั ขรณป์ รางคป์ ระธาน
องค์ดังกล่าว ซึ่งอาจครอบคลุมช่วงระยะเวลาตั้งแต่สมัยสุโขทัยได้จนถึงสมัย
อยุธยาตอนปลาย ประเด็นเร่ืองที่มาท่ีไปจึงเกี่ยวข้องกับอายุเวลาของแผ่นไม้
จ�ำหลักเครือ่ งราชกกุธภัณฑ์มาตงั้ แต่ต้น และกส็ ่งผลต่อความรู้เรอ่ื งพัฒนาการ
ของเคร่อื งราชกกธุ ภณั ฑ์ดังทเี่ รารบั ทราบกันอยู่ในปัจจบุ ันด้วย

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

69

ท่ีมาและท่ีไป

แผ่นไม้จ�ำหลักนี้ในหนังสือน�ำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามค�ำแหง
ฉบับตพี ิมพ์เมื่อประมาณพทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔-๒๕๔๕ สมัยพลอากาศตรี อาวธุ
เงนิ ชูกลนิ่ เป็นอธบิ ดกี รมศลิ ปากร (เพราะไม่ระบปุ ีทีพ่ ิมพ์ไว้) กล่าวว่า ได้มา
จากปรางค์ประธานวดั พระศรีรตั นมหาธาตุ เชลยี ง๓ ในหนังสอื เล่มเดียวกนั ยงั
กล่าวถึงโบราณวัตถไุ ม้อกี ๒ ช้นิ ทไ่ี ด้มาจากปรางค์ประธานแห่งนเ้ี ช่นเดยี วกัน
และปัจจุบันก็เป็นโบราณวัตถุชิ้นเอกของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามค�ำแหง
ทร่ี จู้ กั กนั เปน็ อยา่ งดี นน่ั คอื บานประตไู มจ้ ำ� หลกั รปู เทพทวารบาลทรงพระขรรค์
และดาวเพดานของคูหาปรางค์ประธาน๔ ท้ัง ๒ ส่ิงนไ้ี ด้รับการกล่าวถงึ เป็นครงั้
แรกเมอื่ พทุ ธศักราช ๒๔๔๔ ในจดหมายเหตุระยะทางไปพิษณโุ ลก พระนพิ นธ์
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์ เมอ่ื ทรง
พบโบราณวัตถุเหล่าน้ีขณะยังอยู่ภายในปรางค์ประธาน๕ แต่ก็มิได้ทรงกล่าวถึง
แผ่นไม้จ�ำหลักเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้ ส่วนพระราชนิพนธ์เท่ียวเมืองพระร่วง
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือคร้ังทรงด�ำรงพระราช
อิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราช
กุมาร ก็มไิ ด้ทรงกล่าวถงึ แผ่นไม้จำ� หลักเช่นกนั ๖
จะเหน็ วา่ ในขณะทบ่ี านประตแู ละเพดานปรางคไ์ มแ้ กะสลกั ลว้ นมขี อ้ ยนื ยนั
อยา่ งชดั เจนถงึ ทม่ี าทไี่ ปวา่ มาจากปรางคป์ ระธานดงั กลา่ ว ตง้ั แตก่ อ่ นขนึ้ ทะเบยี น
เปน็ โบราณวตั ถใุ นพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ รามคำ� แหง แตแ่ ผน่ ไมจ้ ำ� หลกั เครอื่ ง
ราชกกธุ ภณั ฑก์ ลบั ไมไ่ ดร้ บั การกลา่ วถงึ ในรายงานของเจา้ นายทงั้ ๒ พระองคน์ น้ั
ซ่ึงก็นบั ว่าตรงกับข้อมูลใหม่ของทางพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ รามคำ� แหง ท่ไี ด้
ติดป้ายจดั แสดงใหม่ท้ังภาษาไทยและภาษาองั กฤษอธบิ ายแผ่นไม้จำ� หลกั ว่า
แผน่ ไมส้ ลกั เครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์ ศลิ ปะอยธุ ยา พทุ ธศตวรรษที่ ๒๒-
๒๓ ได้จากศาลากลางจงั หวัดสุโขทยั
WOODEN SLAB REPRESENTING THAI REGALIA Ayudhya
Style, 17th-18th Century A.D.
เม่ือสอบถามไปยงั พพิ ธิ ภัณฑ์ก็ได้ความว่า ทะเบียนโบราณวัตถขุ องแผ่น
ไมจ้ ำ� หลกั เลขทะเบยี น อย ๕๕๙๙ ไดร้ ะบตุ รงกนั กบั ปา้ ยจดั แสดงวา่ ไมจ้ ำ� หลกั
แผ่นนี้มาจากศาลากลางจังหวัดสุโขทัย แต่ไม่ได้บอกไว้ว่าได้มาต้ังแต่เมื่อใด
และจากศาลากลางหลังใด (เพราะคงมีทั้งหลังเก่าและหลังใหม่) นอกจากนั้น

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

70
แผ่นไม้จ�ำหลักเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ ได้จากศาลากลางจังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันจัดแสดงใน
พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ รามค�ำแหง จงั หวดั สุโขทยั ทำ� จากไมท้ าสีปดิ ทองประดับกระจก สูง ๔๖
เซนติเมตร ยาว ๗๕ เซนติเมตร กรอบด้านนอกแสดงภาพเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ประกอบไปด้วย
อุณหิสหรอื กรอบพักตร์ พระขรรค์ชยั ศรี พระแสจ้ ามรี ธารพระกร และฉลองพระบาทเชงิ งอน พรอ้ ม
ขอ้ ความ “ราชะกๆุ พรระ” (ราชกกุธภัณฑ์) กรอบด้านในเปน็ อักขระ โอมฺ แบบหนังสอื อริยกะ ตอน
ลา่ งเป็นอักษรขอม ภาษาไทย อา่ นว่า พระบรมราชโองการ
พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรง
สถาปนาขนึ้ เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔ เพอ่ื ใชป้ ระทบั แทนพระราชลญั จกรมหาโองการหรอื มหาอณุ าโลม
องคเ์ ดิม (ภาพจาก พระราชลญั จกร, ๒๕๓๘)

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

71

ทะเบียนก็ไม่ได้แสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องเช่ือมโยงกับปรางค์ประธานวัดพระ
ศรีรตั นมหาธาตุ เชลยี ง เอาไว้เลย ข้อมูลของทางพพิ ธิ ภณั ฑสถานจงึ ออกจะให้
ความกระจ่างว่า แผ่นไม้จ�ำหลักเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์คงไม่ได้น�ำมาจากปรางค์
ประธานของวดั พระศรีรตั นมหาธาตุ เชลยี ง ดงั ที่เช่ือกันมา
ประเดน็ นม้ี คี วามสำ� คญั มใิ ชน่ อ้ ย เพราะดว้ ยความเขา้ ใจวา่ ไมจ้ �ำหลกั แผน่
น้ีมาจากปรางค์ประธานดังกล่าวมาตั้งนานแล้ว จึงเป็นมูลเหตุประการสำ� คัญที่
ท�ำให้นักวิชาการหลายท่านเชื่อกันว่าอายุเวลาของแผ่นไม้จำ� หลัก คงตกอยู่ใน
สมัยสุโขทัยหรืออยุธยาตามอายุเวลาของปรางค์ประธานไปด้วย แม้ในหนังสือ
นำ� ชมของทางพพิ ธิ ภณั ฑเ์ องกร็ ะบวุ า่ ไดม้ าจากปรางคป์ ระธานของวดั พระศรรี ตั น
มหาธาตุ เชลียง จนเพ่ิงได้รับการแก้ไขให้ตรงกับทะเบียนโบราณวัตถุของทาง
พพิ ธิ ภัณฑ์เองเมอ่ื ไม่นานมานี้

รูปพรรณสัณฐาน

แผน่ ไมจ้ ำ� หลกั มคี วามสงู ๔๖ เซนตเิ มตร ยาว ๗๕ เซนตเิ มตร รปู รา่ งเปน็
สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ มมุ ตดั มกี รอบ ๒ ชน้ั กรอบชนั้ นอกเปน็ รปู สเี่ หลย่ี มผนื ผา้ มมุ ตดั
ปดิ ทอง พน้ื กรอบทาสแี ดง ภายในกรอบดา้ นบนจำ� หลกั เปน็ รปู อณุ หสิ หรอื กรอบ
พกั ตร์รองรับด้วยขาหยัง่ ๒ ข้างอุณหสิ ขนาบด้วยตัวอักษรไทย ภาษาไทย ทง้ั
ขวาและซา้ ย ดา้ นขวาของอณุ หสิ จ�ำหลกั ค�ำว่า “ราชะกๆุ ” และดา้ นซา้ ยจ�ำหลกั
คำ� วา่ “พรระ” ตามลำ� ดบั คงตอ้ งการใหห้ มายถงึ “ราชกกธุ ภณั ฑ”์ สอดคลอ้ ง
กบั ภาพเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑบ์ นไมจ้ �ำหลกั แผน่ น้ี ดา้ นขวาของแผน่ ไมจ้ �ำหลกั เปน็
รูปพระแส้ด้ามยาว ปลายเป็นรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์ยอดแหลม ตรงข้ามกันทาง
ด้านซ้ายจ�ำหลักเป็นรูปพระขรรค์ คอื ดาบทีม่ ีคมทง้ั ๒ ข้าง ด้ามพระขรรค์เป็น
รปู เฟือง ปลายด้ามเป็นหัวเม็ดทรงมณั ฑ์ ด้านล่างจำ� หลกั เป็นรูปฉลองพระบาท
เชิงงอนหันส้นฉลองพระบาทเข้าหากันจำ� หลักลายใบเทศ บนฉลองพระบาทเชงิ
งอนเป็นธารพระกร ยอดเป็นหวั เม็ดทรงมัณฑ์ ส้นมี ๒ ง่าม ทงั้ ตวั อักษรและ
บรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ล้วนลงรักปิดทอง ประดับกระจกสีแดงสลับเขียว
เฉพาะท่ีกระจังของอุณหิสและลวดลายของฉลองพระบาทเชิงงอนประหน่ึงการ
ลงยา กรอบชั้นในเป็นรูปสี่เหล่ียมผืนผ้ามุมตัดปิดทอง พื้นกรอบทาสีเขียว
จำ� หลกั เป็นตัวอักษร ๓ บรรทัด บรรทดั บนสดุ เป็นอกั ขระขนาดเล็ก ๓ ตัว ตวั
แรกเปน็ เสน้ ขดี ลงในแนวตงั้ คลา้ ยไมเ้ อก ตวั กลางคลา้ ยเครอื่ งหมายการนั ต์ และ

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

72

ตวั สดุ ท้ายเป็นวงกลมกลวงประดบั กระจก บรรทัดต่อมาเป็นอักษรขอม ภาษา
ไทยขนาดใหญ่กว่าเขยี นว่า “พระบรม” บรรทดั ล่างสุดขนาดตัวอักษรเท่ากัน
เขยี นว่า “ราชโองการ” รวมกนั เป็นข้อความว่า “พระบรมราชโองการ”

อายุเวลาเดิมและอายุเวลาใหม่

ในหนังสือน�ำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามค�ำแหง ได้ก�ำหนดอายุ
เวลาแผ่นไม้จ�ำหลักไว้ในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒๗ แม้ไม่ได้ให้เหตผุ ล
ของอายุเวลาดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าก็คืออายุเวลาเดียว
กบั การสร้างหรอื บรู ณปฏสิ งั ขรณ์ปรางค์ประธานวดั พระศรีรตั นมหาธาตุ เชลียง
ซ่ึงนักวิชาการสันนิษฐานว่าตรงกับประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ น่ันเอง ดัง
เห็นได้จากบานประตูไม้จ�ำหลักรูปเทพทวารบาลทรงพระขรรค์ และเพดานไม้
จำ� หลักกก็ �ำหนดอายเุ วลาไว้ในช่วงเดียวกนั ๘ ซ่งึ ต่อมาทางพิพธิ ภัณฑสถานแห่ง
ชาติ รามคำ� แหง ไดต้ ดิ ปา้ ยจดั แสดงใหมว่ า่ ไมจ้ ำ� หลกั แผน่ นเี้ ปน็ ศลิ ปะอยธุ ยาใน
ช่วงพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ดงั ได้กล่าวมาแล้ว ส่วน พเิ ศษ เจียจันทร์พงษ์
ให้ความเห็นว่า คงสร้างข้นึ ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ ตรงกบั สมัยอยุธยาตอน
ปลายเมอื่ คราวสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศทรงบรู ณปฏสิ งั ขรณป์ รางคป์ ระธาน
วดั พระศรีรตั นมหาธาตุ เชลยี ง ซง่ึ ยังพบหลกั ฐานเป็นงานไม้ คอื เพดานและ
บานประตไู ม้จ�ำหลกั จากรัชสมยั ดงั กล่าว๙
ในท่ีนี้ขอเสนออายุเวลาใหม่ของแผ่นไม้จ�ำหลักเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ว่า
คงไม่ได้สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยหรือแม้แต่สมัยอยุธยาตอนปลายอย่างแน่นอน
เพราะค�ำว่า “พระบรมราชโองการ” เพิ่งมาเร่ิมใช้กันในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั (ครองราชย์พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔-๒๔๑๑) ก่อนหน้านค้ี ำ�
“ตรสั ” ของพระมหากษัตรยิ ์จะใช้คำ� ว่า “พระราชโองการ” เท่านน้ั โดยไม่มี
ค�ำว่า “บรม” นำ� หน้า แต่เนอ่ื งจากพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ได้
ทรงสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒ คือ พระบาทสมเดจ็ พระปิ่นเกล้าเจ้า
อย่หู วั (ครองราชย์พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔-๒๔๐๘) ให้มพี ระราชอสิ รยิ ยศเทยี บเท่า
พระมหากษตั ริย์ หรือเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หน่งึ ที่ฝร่งั เรียกว่า “The
Second King” การสถาปนาในครงั้ นจ้ี งึ มคี วามพเิ ศษแตกตา่ งจากการสถาปนา
พระมหาอุปราชหรือวังหน้าตามโบราณราชประเพณีเช่นแต่ก่อนมา ท้ังในสมัย
อยธุ ยาและรตั นโกสนิ ทร์ ดงั ที่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รง

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

73

ราชานภุ าพ ทรงอธิบายไว้ว่า
“นามวังน่าซึ่งเคยเรียกในราชการว่า ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’ ให้
เปลย่ี นนามเรยี กว่า ‘พระบวรราชวัง’ พระราชพิธอี ปุ ราชาภเิ ศกให้เรยี กว่า ‘พระ
ราชพิธีบวรราชาภิเศก’ พระนามท่ีจาฤกในพระสุพรรณบัตรแบบเดิมว่า ‘พระ
มหาอปุ ราช กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล’ พระราชทานพระนามอย่างพระเจ้า
แผน่ ดนิ วา่ ‘สมเดจ็ พระปวเรนทราเมศมหศิ เรศรงั สรรคฯ์ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ’
แลขานคำ� รบั สงั่ กรมพระราชวงั บวรฯ เคยใชว้ า่ ‘พระบณั ฑรู ’ โปรดใหเ้ ปลยี่ นเปน
‘พระบวรราชโองการ’ เตมิ ค�ำ ‘บรม’ เปนฝา่ ยวังหลวง แลค�ำ ‘บวร’ เปน
ฝ่ายวังน่าเปนคกู่ นั ”๑๐ (เน้นโดยผู้เขียน)
การเติม “บรม” หรือ “บวร” เข้าไปในคำ� ว่า “พระราชโองการ” คงเป็น
พระบรมราชกุศโลบายเพ่ือแยกให้เห็นความแตกต่างและไม่ให้สับสนระหว่าง
“พระเจา้ แผน่ ดนิ วงั หลวง” และ “พระเจา้ แผน่ ดนิ วงั หนา้ ” ดงั นน้ั ค�ำวา่ “พระบรม
ราชโองการ” จึงเพิ่งเริ่มใช้เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จข้ึน
ครองราชสมบตั เิ มอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔ เปน็ ตน้ มา อายเุ วลาของไมจ้ ำ� หลกั แผน่
น้จี ึงต้องไม่เก่าไปกว่าปีดังกล่าว
ข้อควรพิจารณาต่อมาก็คอื รปู แบบและองค์ประกอบของแผ่นไม้จำ� หลัก
ซ่งึ มีข้อความ “พระบรมราชโองการ” อกั ษรขอม ภาษาไทย ล้อมรอบด้วยเครอื่ ง
ราชกกธุ ภณั ฑไ์ ด้จ�ำลองแบบมาจาก “พระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ
(องค์ใหญ่)” ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นใหม่
ตงั้ แต่ทรงครองสริ ริ าชสมบตั เิ มอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔๑๑ เพอื่ ใช้ประทบั แทนพระ
ราชลญั จกรมหาโองการหรือมหาอณุ าโลมองค์เดิม๑๒ พระราชลัญจกรพระบรม
ราชโองการองค์ใหม่นี้เป็นดวงตราประจ�ำชาด แกะด้วยงาพญาช้างเผือก เป็น
รูปสี่เหล่ียมผืนผ้าตัดมุม ด้านบนตราสลักเป็นแง่สำ� หรับจับประทับ เลี่ยมแง่
และข้างด้วยทองค�ำเป็นรูปใบอะแคนทุส (Acanthus) ตรึงหมุดยึดองค์พระ
ราชลัญจกรท่ีเป็นงาไว้ ตัวลายภายในกรอบนอกของพระราชลัญจกรแกะเป็น
เคร่ืองราชกกุธภัณฑ์แบบเดียวกับแผ่นไม้จ�ำหลัก ต่างกันตรงพ้ืนหลังของพระ
ราชลญั จกรประดบั ดว้ ยลวดลายกา้ นขดของใบอะแคนทสุ ทว่ั ทง้ั กรอบซงึ่ ไมม่ ใี น
แผ่นไม้จ�ำหลัก และไม่ปรากฏค�ำว่า “ราชะกุๆ” และ “พรระ” (ราชกกุธภัณฑ์)
เหมือนเช่นในแผ่นไม้จำ� หลัก แต่ทเี่ หมอื นกนั คือ ตัวอกั ขระภายในกรอบช้นั ใน
บรรทดั บนสุดแกะเป็นอักขระ ๓ ตัว คล้ายกับท่ปี รากฏบนแผ่นไม้จำ� หลัก อีก
๒ บรรทดั ทเ่ี หลอื เปน็ อกั ษรขอม ภาษาไทย เปน็ ขอ้ ความวา่ “พระบรมราชโองการ”

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

74
องคพ์ ระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ)่ แกะจากงาพญาชา้ งเผอื กเล่ยี มทองคำ�
รูปใบอะแคนทสุ (ภาพจาก พระราชลญั จกร, ๒๕๓๘)

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

75

พระราชลญั จกรมหาโองการหรอื
มหาอุณาโลม (องค์เดิม) (ภาพจาก
พระราชลญั จกร, ๒๕๓๘)

เช่นเดียวกับแผ่นไม้จำ� หลักทุกประการ๑๓
พระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ (องคใ์ หญ)่ ยงั คงใชป้ ระทบั ในเอกสาร
ส�ำคัญสืบมาจนกระทั่งพ้นสมัยการใช้ประทับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
ปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (ครองราชย์พุทธศักราช
๒๔๗๗-๒๔๘๙) เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๓๑๔ เหตนุ ้ี เมอ่ื พจิ ารณาจากคำ� วา่ “พระ
บรมราชโองการ” ที่ริเร่ิมโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และจาก
ลกั ษณะของแผน่ ไมจ้ ำ� หลกั ซงึ่ จำ� ลองมาจากพระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ
(องค์ใหญ่) ท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึน้ แล้ว อย่าง
มากท่ีสุดไม้จ�ำหลักแผ่นน้ีก็คงมีอายุเวลาไม่เก่าไปกว่าปีที่พระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการองค์น้ี
เมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๔ หรืออยู่ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔-ปลาย
พุทธศตวรรษที่ ๒๕ คือ ต้ังแต่เร่ิมสถาปนาพระราชลัญจกรองค์นี้จนถึงพ้น
สมัยการใช้ประทับ แผ่นไม้จ�ำหลักเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์จึงไม่ได้สร้างข้ึนเมื่อ
ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๒๒-๒๓ ดังทเ่ี คยเข้าใจกัน

อักขระ “โอมฺ” แบบหนังสืออริยกะ

การท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปล่ียนค�ำตรัสของ
พระมหากษัตริย์จาก “พระราชโองการ” โดยเติมค�ำว่า “บรม” ลงไปข้างหน้า

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

76

เป็น “พระบรมราชโองการ” คงด้วยพระราชประสงค์เพ่ือทรงแยกพระบรมราช
อิสริยยศอัน “เทียบเท่า” แต่ “ไม่เท่าเทียม” กันระหว่าง “กษัตริย์วังหลวง”
กับ “กษัตริย์วังหน้า” ดังท่ีได้กล่าวมาแล้ว และคงเป็นเหตุทที่ ำ� ให้ทรงสถาปนา
พระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) ข้ึนแทนพระราชลญั จกรมหา
โองการหรือมหาอุณาโลม (องค์เดิม) เพ่ือทรงย้�ำพระราชด�ำริดังกล่าวให้เป็นท่ี
ชัดเจนลงในพระราชลัญจกรซ่ึงจะต้องใช้ประทับกำ� กับในเอกสารส�ำคัญอันเป็น
“ค�ำสั่ง” ของพระมหากษัตริย์ ด้วยการระบุค�ำว่า “พระบรมราชโองการ” เป็น
ตัวอักษรลงในพระราชลัญจกรจากเดิมท่ีเป็นเครื่องหมายอุณาโลมเช่นในพระ
ราชลญั จกรมหาอณุ าโลมหรือมหาโองการ (องค์เดมิ ) และทรงใช้อักษรขอมเพอื่
ให้ค�ำว่าพระบรมราชโองการดูศักด์ิสิทธ์ิเป็นประกาศิต แต่ก็ยังทรงรักษาสาระ
สำ� คญั ของพระราชลัญจกรมหาอณุ าโลมหรือมหาโองการ (องค์เดมิ ) ทปี่ ระกอบ
ด้วยเคร่อื งหมายอุณาโลมเอาไว้ด้วย ดงั เห็นได้จากอกั ขระ ๓ ตวั ทีอ่ ยู่ด้านบน
ของค�ำว่า พระบรมราชโองการซ่ึงประกอบกันเป็นคำ� ว่า “โอมฺ” ซ่ึงเทียบได้กับ
เครอื่ งหมาย “อุณาโลม”
ถงึ แมว้ ่าอกั ขระทงั้ ๓ ตวั เหนอื อกั ษรขอมวา่ พระบรมราชโองการดไู ปแลว้
ก็คงไม่ใกล้เคยี งกบั “โอม”ฺ หรอื “อุณาโลม” ทงั้ ท่ีเป็นอักขระหรือเคร่อื งหมาย
โอมฺ ตามทเ่ี ราคุ้นเคยกนั สักเท่าไรนกั เร่อื งน้ีจงึ มีข้อสนั นิษฐานของท่านผู้รู้แตก
ตา่ งกนั ไป สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์
ทรงอธิบายว่า เดิมเชอ่ื กันว่าเป็นอกั ษรพราหมณ์อ่านว่า โอม๑ฺ ๕ แต่ทง้ั น้ที รงเชอ่ื
ว่าเป็นอักขระที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำ� ริผูกข้ึน
เพอ่ื แทน อ-อุ-ม ตามคาถา อรหํ สมมฺ า สมพฺ ทุ ฺโธ ในพทุ ธศาสนา กล่าวคอื
อกั ขระตัวแรก คือ อ ตรงกับหนังสอื อรยิ กะที่ทรงพระราชด�ำริสร้างขึน้ อักขระ
ตวั กลางเทยี บไดก้ บั ตวั อุ เหมอื นอกั ษรขอมในพระราชลญั จกรมหาโองการหรอื
มหาอณุ าโลม (องคเ์ ดมิ ) ทปี่ ระกอบกนั เปน็ เครอ่ื งหมายอณุ าโลม และอกั ขระตวั
สดุ ทา้ ย “เปน็ ม คอื นฤคหติ ไม่มขี ้อสงสยั ” เมอ่ื อ่านรวมกนั จงึ ได้ความวา่ โอม๑ฺ ๖
สว่ นพระยาอนมุ านราชธนเหน็ พอ้ งกบั กระแสพระดำ� รขิ องสมเดจ็ พระเจา้ บรม
วงศ์เธอพระองค์น้ันเรื่องอักขระตัวแรกและตัวสุดท้าย แต่ให้ความเห็นต่างว่า
อักขระตัวกลางใกล้เคียงกับ โอ ในภาษาทมิฬ ซึ่งเมื่อผกู รวมกับนิคหิตแล้วก็
อ่านว่า “โอม”ฺ ได้เช่นกนั ๑๗
อยา่ งไรกต็ าม ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ อกั ขระ ๓ ตวั ดงั กลา่ วเปน็ สระใน “หนงั สอื
อรยิ กะ” ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประดษิ ฐข์ น้ึ ใหมค่ รง้ั ทรง

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

77

“หนังสอื อรยิ กะ” ของพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในแบบ
เทยี บคำ� อา่ นอกั ษรอรยิ กะกบั อกั ษรไทย
(ภาพจาก สวดมนตต์ วั อรยิ กะ. ๒๕๔๗,
ไมม่ เี ลขหน้า)

ด�ำรงสมณเพศเพ่ือใช้เขียนค�ำบาลีแทนอักษรขอมน่ันเอง๑๘ กล่าวคือ อักขระ
ตวั แรกเปน็ เสน้ ขดี ลงในแนวตงั้ แทนสระ อ อกั ขระตวั กลางคลา้ ยตวั การนั ตแ์ ทน
สระ อุ เนอื่ งจากปลายด้านขวาของอกั ษรตวั นี้ในองค์พระราชลญั จกรซึง่ สกึ หรอ
ไปท�ำให้ประทับไม่ติดยังพอเห็นว่าเป็นขมวดเล็กๆ ม้วนเข้าหาตัวเหมือนใน
หนงั สอื อกั ษรอรยิ กะ และตวั สดุ ทา้ ยเปน็ วงกลมกลวง คอื ตวั นคิ หติ หรอื นฤคหติ
(อังหรืออัม) ในหนังสืออริยกะ๑๙ ทั้งหมดจึงรวมกันอ่านออกเสียงโดยเร็วว่า
“โอง”ฺ หรอื แทนนิคหติ ด้วย ม (อัม) ตามแบบสนั สกฤตก็กลายเป็นคำ� ว่า “โอม”ฺ
“โอมฺ” แต่เดิมเป็นทั้งพยางค์ อักขระ และเครื่องหมายศักด์ิสิทธ์ิของ
ศาสนาพราหมณ์ ใช้เป็นค�ำข้นึ ต้นของมนตร์ คาถา หรือบทสวด ต่อมาเกดิ เป็น
ความเชอ่ื กันว่าประกอบขน้ึ จากอกั ขระ ๓ ตวั อันมีความหมายถงึ พระตรีมรู ติ
คอื “อะ” หมายถึง พระศิวะ “อ”ุ หมายถึง พระวษิ ณุ และ “มะ” หมายถึง พระ
พรหม โดยนำ� สระตวั ท้ายของเทพเจ้า ๓ องค์นม้ี าย่อ เมื่ออ่านประกอบกันโดย
เร็วก็จะกลายเป็นค�ำว่า “โอมฺ” พุทธศาสนาในประเทศไทยได้น�ำมาใช้บ้างแต่
เปล่ยี นความหมายเป็นพระรัตนตรัย อันได้แก่ “อะ” หมายถงึ อรหํ “อุ” หมาย

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

78

พระราชลัญจกรพระบรม
ราชโองการ (องค์น้อย) พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
สถาปนาขนึ้ เมือ่ พุทธศกั ราช ๒๓๙๗
โปรดสงั เกตเครอื่ งหมาย “อณุ าโลม”
ท่ีตอนบนซึ่งใช้แทนค�ำว่า “โอมฺ”
แบบหนังสืออริยกะในพระราช
ลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์
ใหญ่) (ภาพจาก พระราชลัญจกร,
๒๕๓๘)

ถงึ อตุ ฺตมธมมฺ “มะ” หมายถงึ มหาสงฺฆ และแทนด้วยเครอ่ื งหมาย “อณุ าโลม”
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รงสนั นษิ ฐานวา่
อณุ าโลม คือ พระเนตรท่ี ๓ ของพระอศิ วรอันประดษิ ฐานตรงกลางพระนลาฏ
เพราะพระราชลัญจกรมหาอุณาโลมหรือมหาโองการ (องค์เดิม) ก็หมายความ
ถึงพระอิศวรอยู่แล้ว แต่ภายหลังจึงลากเข้าทางพุทธศาสนาว่าหมายถึงขนค้ิว
กลางพระนลาฏของพระพทุ ธเจ้าอนั เป็นหนงึ่ ในมหาบรุ ษุ ลกั ษณะ๒๐ สว่ นพระยา
อนมุ านราชธนใหค้ วามเหน็ เพม่ิ เตมิ วา่ นา่ จะมเี คา้ มาจากพทุ ธศาสนาลทั ธมิ หายาน
ทกี่ ลา่ วถงึ พระพทุ ธเจา้ ทรงเปลง่ พระรศั มอี อกจากพระอณุ าโลมใหส้ วา่ งไสวไปทวั่
ทง้ั จกั รวาล๒๑
ส่วนผู้เขยี นสันนิษฐานว่า อกั ษรอรยิ กะ ๓ ตวั ในพระราชลญั จกรองค์น้ี
ท่ปี ระกอบกันเป็นคำ� ว่า “โอม”ฺ น้ัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั คงมี
พระราชดำ� รใิ ห้มคี วามหมายเช่นเดยี วกบั เครอ่ื งหมาย “อุณาโลม” ดงั เหน็ ได้จาก
พระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ (องค์น้อย) ท่ีทรงสร้างข้นึ เมอ่ื พุทธศกั ราช
๒๓๙๗ ลักษณะคล้ายกันกับพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่)
แต่มขี นาดย่อมกว่า ในพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์น้อย) ได้ทรง
เปลย่ี นหนงั สอื อรยิ กะ ๓ ตวั ดงั กล่าวให้เป็นเครอื่ งหมายอณุ าโลม๒๒ สนั นษิ ฐาน
ว่า ด้วยพระราชประสงค์เพื่อทรงรักษาความหมายของพระราชลัญจกรมหา
โองการ (องค์เดิม) ซ่ึงเป็นรูปอุณาโลมในบุษบก อันมีช่ือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
พระราชลัญจกรมหาอุณาโลมไว้๒๓

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

79

อนง่ึ ยงั เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ ในพระราชหตั ถเลขาบางองคข์ องพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงใช้เครื่องหมายอุณาโลมเป็นเคร่ืองหมายข้ึนต้น
บรรทัดด้วย๒๔ จึงอาจกล่าวได้ว่า หนังสืออริยกะ ๓ ตัวในพระราชลัญจกร
พระบรมราชโองการเป็นการน�ำคำ� ว่า “โอมฺ” อนั แทนด้วยเคร่ืองหมายอณุ าโลม
ซึ่งใช้เป็นพระราชลัญจกรมหาโองการหรือมหาอุณาโลม (องค์เดิม) มาใช้ใน
รูปแบบของหนังสืออริยกะ ทั้งน้ี เพ่ือให้พระราชลัญจกรเหล่านี้มีความหมาย
เป็นประกาศิตประดุจ “โองการ” ของพระมหากษัตริย์ซ่ึงทรงเป็นสมมติเทพ
ดงั ท่ี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รงวจิ ารณ์
ไวว้ า่ “อกั ขระ โอม นนั้ ไมม่ ที างเถยี งวา่ จะไมใ่ ชท่ างไสย ไมไ่ ดใ้ ชใ้ นทางพระพทุ ธ
ศาสนา และอกั ขระนน้ั เองท�ำให้พระราชลญั จกรนน้ั ได้ช่อื ว่า มหาโองการ และ
ตรงกับคำ� ทใี่ ช้เรียกพระเจ้าแผ่นดนิ ตรสั ว่า พระบรมราชโองการ”๒๕

เคร่ืองราชกกุธภัณฑ์

มาดทู ค่ี วามหมายของรปู เครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑใ์ นพระราชลญั จกรพระบรม
ราชโองการกันบ้าง ส�ำหรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นเครื่องหมายหรือส่ิงแสดง
ถึงความเป็นพระราชาธิบดี หากจะมีก่ีสิ่งหรือมีส่ิงใดบ้างที่จะนำ� มาประกอบกัน
เป็นส�ำรับเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์น้ันมีระบุไว้ในคัมภีร์หรือต�ำรับต�ำราแตกต่างกัน
ไปอย่างมากมาย เคร่ืองราชกกธุ ภัณฑ์สำ� รับที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากัน คอื สำ� รบั ที่
ใช้ในพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั
(ครองราชยพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๔๖๘-๒๔๗๗) เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๘ และในรชั กาล
ปัจจุบนั เมอื่ พุทธศกั ราช ๒๔๙๓ มอี ยู่ด้วยกัน ๕ ส่ิง คอื พระมหาพชิ ัยมงกฎุ
พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี (พัดวาลวิชนีกับพระแส้จามรีหรือ
พระแสห้ างชา้ งเผอื กนบั รวมเปน็ หนงึ่ ) และฉลองพระบาทเชงิ งอน ตา่ งจากเครอื่ ง
ราชกกธุ ภณั ฑ์ในพระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) อนั ประกอบ
ด้วยรปู อุณหิส พระแสงขรรค์ ธารพระกร พระแส้ และฉลองพระบาทเชงิ งอน
ตรงทจี่ งใจใชร้ ปู อณุ หสิ หรอื กรอบหนา้ แทนทพ่ี ระมหาพชิ ยั มงกฎุ อนั เปน็ ศริ าภรณ์
มยี อด รวมทงั้ ทำ� ใหว้ าลวชิ นมี แี ตร่ ปู พระแสจ้ ามรอี ยา่ งเดยี วโดยไมม่ พี ดั วาลวชิ นี
รวมอยู่ด้วย
ความแตกตา่ งดงั กลา่ วคงมนี ยั สำ� คญั เกยี่ วขอ้ งกบั พระราชดำ� รใิ นพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยเฉพาะด้านความหมายทางอักษรศาสตร์และ

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

80

ความถกู ตอ้ งตรงตามคาถาพระบาลมี ากกวา่ เรอ่ื งของววิ ฒั นาการทางดา้ นรปู แบบ
หรือความเหมาะสม กล่าวคือ การใช้อณุ หสิ หรือกรอบหน้าในพระราชลญั จกร
พระบรมราชโองการทง้ั ๒ องค์กค็ งไม่ได้เป็นเพราะอณุ หิสเป็นศิราภรณ์รุ่นเก่า
ที่ต่อมาได้พัฒนาการกลายมาเป็นพระมหาพิชัยมงกุฎซ่ึงเป็นศิราภรณ์มียอดใน
ภายหลงั ๒๖ หรอื เปน็ กระบวนชา่ งวา่ เปน็ เรอื่ งความเหมาะสมของการจดั สรรพนื้ ท่ี
เพอื่ จดั องคป์ ระกอบของรปู เครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑท์ ตี่ อ้ งบรรจภุ ายในกรอบแคบจงึ
ตอ้ งใชอ้ ณุ หสิ ซงึ่ มที รงเตย้ี กวา่ แทนพระมหาพชิ ยั มงกฎุ หากตอ้ งค�ำนงึ ถงึ ดว้ ยวา่
ผู้ทรงสถาปนาพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) คือ พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นปราชญ์เชี่ยวชาญภาษาบาลีมาต้ังแต่ครั้ง
ทรงพระผนวช ทรงเน้นและให้ความสำ� คญั ในเรอ่ื งของความหมายของค�ำทั้งใน
ภาษาไทยและภาษาบาลีเป็นพิเศษ จึงเป็นไปได้อย่างย่ิงที่ทรงศึกษาค้นคว้ามา
แล้วว่า เครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามท่ีระบุไว้ในพระอรรถกถาบาลีควรประกอบไป
ด้วยส่ิงใดบ้าง
พระคมั ภีร์มหาวงส์ ทพ่ี ระมหานามเถระชาวลังกาเรยี บเรยี งขน้ึ เป็นภาษา
บาลปี ระมาณตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ และพระยาธรรมปโรหติ แปลเรยี บเรยี งเปน็
ภาษาไทยเมอ่ื พุทธศักราช ๒๓๓๙ ตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้าจุฬาโลก กล่าวถึงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้า
เทวานมั ปิยตสิ สะว่ามที งั้ หมด ๕ สง่ิ ได้แก่ “วาลวชิ นี คอื พดั วาลวชิ นอี นั กระทำ�
ดว้ ยขนทรายจามรี ๑ อณุ ณฺ หสิ สํ คอื พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ๑ ขคคฺ คอื พระแสง
ขรรค์ ๑ ฉตตฺ ํ คอื เศวตฉัตร ๑ ปาทุกํ ฉลองพระบาทแก้ว ๑”๒๗ เช่นเดียวกบั
พระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา หรือพระคัมภีร์พจนานุกรมบาลีประเภทอภิธานซึ่ง
พระโมคคัลลานเถระแห่งคณะเชตวันมหาวิหารเรียบเรียงข้ึนที่ประเทศศรีลังกา
ในรชั สมยั พระเจ้าปรกั กรมพาหทุ ่ี ๑ เมือ่ ประมาณต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ และ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชนิ วรสิริวัฒน์ สมเดจ็ พระสังฆราชเจ้า ทรงแปล
และเรียบเรียงเป็นภาษาไทยเมื่อพทุ ธศักราช ๒๔๕๖๒๘ ในคาถาที่ ๓๕๘ กล่าว
ถงึ เครื่องราชกกธุ ภณั ฑ์ว่ามี ๕ สง่ิ คอื
“ราชกกธุ ภณั ฑ์ ๕ คอื พระขรรค,์ ฉตั ร, อณุ หสิ , ฉลองพระบาท, วาลวชี นี
ขคฺโค. (จ) ฉตตฺ , -มณุ หีส,ํ ปาทกุ า; วาฬวีชนี; (อเิ ม กกุธภณฑฺ านิ ภวนตฺ ิ ปญฺจ
ราชนุ ํ)”๒๙
อย่างไรกด็ ี แม้พระคัมภรี ์ทั้ง ๒ เล่มจะระบุเคร่ืองราชกกธุ ภณั ฑ์ตรงกัน
ทงั้ ๕ สง่ิ กแ็ ปลความตา่ งกนั พระคมั ภรี ม์ หาวงส์ แปลอณุ หสิ วา่ คอื พระมหาพชิ ยั

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

81
เคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ ประกอบด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร
วาลวชิ นี (พระแสจ้ ามรดี ้ามแก้วและพดั วาลวิชนี) และฉลองพระบาท (ภาพจาก จดหมายเหตบุ รม
ราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั พุทธศักราช ๒๔๖๘)

ถอดรหัสพระจอมเกล้า

82

มงกุฎ ในขณะทพี่ ระคัมภีร์อภธิ านัปปทปี ิกา คาถาท่ี ๘๖๒ แปลความหมายโดย
อรรถของ “อุณหสิ ” ว่า หมายถึง กรอบหน้าหรอื ผ้าโพก๓๐ ดังนัน้ การท่พี ระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกใช้อุณหิสในพระราชลัญจกรแทนพระ
มหาพิชัยมงกุฎ คงเพื่อให้ต้องตรงความหมายท่ีแท้จริงของพระบาลีมากที่สุด
มใิ ชจ่ ะทำ� รปู ทรงของพระมหาพชิ ยั มงกฎุ ใหด้ คู ลา้ ยกะบงั หนา้ หรอื อณุ หสิ ๓๑ ดงั ที่
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศไ์ ดท้ รงคน้ ควา้ มา
ว่า “ก็คำ� มกฏุ น้ันในภาษาบาลีมีความหมายอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นส่ิงอนั ใด
หากใช้เป็นเครอ่ื งศิราภรณ์แล้ว เรยี กมกฏุ ท้งั ส้นิ ”๓๒ แม้ในพระคัมภีร์อภธิ านัป
ปทีปิกา คาถาที่ ๒๘๓ และ ๒๘๔ เองก็จดั ให้มงกุฎกบั อุณหสิ เป็นของคนละ
อย่างกนั ๓๓
ส่วน “วาลวิชนี” กห็ มายถงึ แส้ทที่ ำ� จากขนจามรี ไม่ใช่พดั วาลวชิ นหี รอื
พชั นีฝักมะขามทท่ี ำ� จากใบตาล เรอื่ งน้ีทัง้ พระคมั ภีร์มหาวงส์ และอภธิ านปั ปที
ปิกา กล่าวความคล้ายคลึงกัน ดังพระคัมภรี ์อภธิ านปั ปทปี ิกา คาถาท่ี ๓๕๗ ว่า
“พดั ท�ำด้วยขนทราย (จามร) ๒ วชี น;ี -(ตฺถี จ) จามร,ํ ”๓๔ สมเดจ็ พระเจ้าบรม
วงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์ได้ทรงอธบิ ายถวายสมเดจ็ พระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพว่า
“วาลวชิ นี กบั จามร น้นั เป็นวัตถอุ ันเดียวกนั วาล กบั จมร เป็นสัตว์
อย่างเดยี วกัน (คอื Yak ปรากฏอยู่ในพจนานกุ รมของอาจารย์จลิ เดอส์) วชิ นี
แปลว่า เครอ่ื งปัด วาลวิชนี แปลว่า เครื่องปัดทำ� ด้วยขนวาล จามร แปลว่า แส้
ขนหางจมร (คอื จามรี)”๓๕
เร่ืองความหมายท่ีถูกต้องของวาลวิชนีคงเป็นมูลเหตุส�ำคัญประการหนึ่ง
ท่ีท�ำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระแส้จามรีเพิ่มเข้าไป
เป็นคู่กับพัดวาลวิชนีในส�ำรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ให้ตรงกับความหมายของค�ำ
ว่า “วาลวิชน”ี โดยไม่ทรงยกเลิกพดั วาลวชิ นีทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้า
จุฬาโลกทรงสร้างข้ึน แต่ทรงนับรวมท้ัง ๒ ส่ิงน้ีเป็นส�ำรับเดียวกันและเรียก
รวมว่า “วาลวิชนี” ด้วยกันสบื มา
รูปเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ในลักษณะเดียวกับแผ่นไม้จ�ำหลักและพระราช
ลญั จกรพระบรมราชโองการทง้ั องค์ใหญ่และองคน์ ้อย ยงั ปรากฏทบ่ี านหนา้ ตา่ ง
กลางท�ำจากไม้จ�ำหลักของพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
ปัจจบุ นั บานเดมิ ทางวดั น�ำไปเกบ็ รกั ษาไว้ เข้าใจวา่ บานเดมิ น่าจะแกะขน้ึ เมอื่ ครงั้
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงดำ� รงตำ� แหนง่ เจา้ อาวาสทพี่ ระอาราม


Click to View FlipBook Version