ถอดรหัสพระจอมเกล้า
133
องค์ประกอบของหน้าบันพระวิหารหลวง
หน้าบันของพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า พระ
วิหารหลวง) ท�ำจากปูนปั้นปิดทองประดับกระจกหลากสีบนพ้ืนประดับกระจก
สีน�้ำเงินแก่ ทราบมาว่าได้รับการปฏิสังขรณ์คร้ังใหญ่เม่ือคราวสมโภชกรุง
รตั นโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๒๕ โดยสกดั ลายปูนปั้นของเดมิ ออก
เกือบท้ังหมดแล้วปั้นลายใหม่ทับลงบนของเดิม เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับ
ภาพถ่ายเก่าของสถาปนกิ ชาวเยอรมนั คือ คาร์ล ดอห์ริง่ (Karl Dohring)๑๗
ท่ีบันทึกไว้ประมาณรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พบว่ามี
ความแตกต่างจากหน้าบันของเดิมอย่างเห็นได้ชัด ท้ังปริมาตรของลายก้าน
ขดท่ีของใหม่ดูจะหนักแน่นและแข็งกระด้างกว่าของเดิมท่ีดูบอบบาง รวมท้ัง
พระมหาพชิ ัยมงกุฎ
หนา้ บันประธาน (พวรชะริ แาสวงธุ ขแรลระคพ์ ระแสงขรรค์ชัยศร)ี
หน้าบันช้นั ลด
ฉัตรประกอบ ๗ ชนั้
ช้างเผือกประจำ� รัชกาล
พระราชบันฦๅธาร
พระราชลัญจกรสังขพิมาน
พระราชมุทธาธร พระมหาพิชัยมงกฎุ
หนา้ บนั มขุ โถง พระแสงขรรค์ (วชริ าวธุ )
พระราชลัญจกรหงสพมิ าน ฉตั รประกอบ ๕ ชัน้
ลายเส้นจ�ำลองลวดลายประดับและสัญลักษณ์บนหน้าบันประธาน หน้าบันช้ันลด และหน้าบัน
มขุ โถง ของพระวหิ ารหลวงวดั ราชประดษิ ฐ (ภาพจาก รปู แบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมยั พระบาท
สมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว, ๒๕๔๗)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
134
อากัปกิริยาของรูปเทวดาท่ีไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วก็พอเช่ือได้ว่าผู้ปั้น
มคี วามพยายามในการคงรกั ษาไวซ้ ง่ึ รปู แบบลวดลายและตวั ภาพใหใ้ กลเ้ คยี งกบั
ของเดิมอยู่บ้างพอควร หน้าบันของพระวิหารหลวงแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วน
คอื หน้าบนั ประธาน หนา้ บนั ช้ันลด และหน้าบนั มุขโถง องค์ประกอบ
และการประดับตกแต่งเหมือนกันทง้ั ด้านทิศเหนอื และทศิ ใต้
หนา้ บันประธาน แกะสลกั เป็นรปู พระมหาพชิ ยั มงกฎุ บนพานพระมหา
กฐนิ คอื พานทอง ๒ ชัน้ หรอื พานแว่นฟ้าขนาบด้วยพระแสงขรรค์ ๒ องค์
ทอดบนพานรององค์ละพาน หันด้ามพระขรรค์เข้าหากัน ปลายพระขรรค์
จึงหันออกไปคนละทาง ท้ังหมดวางลงบนแท่นเทินด้วยช้างข้างละ ๓ ช้าง
รวมเป็นช้าง ๖ ช้าง ดูราวกับมีช้างเอราวัณถึง ๒ ช้างทูนไว้ ด้านซ้ายและ
ด้านขวาต้ังฉัตรประกอบ ๗ ชั้นตามพระบรมราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์
มีลายก้านขดช่อหางโตใบเทศประกอบตลอดท้ังหน้าบันคล้ายแบบหน้าบันใน
สมัยอยุธยาตอนปลายท่ีนิยมประดับตกแต่งหน้าบันด้วยลายก้านขดช่อ
หางโตใบเทศ
หนา้ บนั ชนั้ ลด แกะสลกั ลายกา้ นขดชอ่ หางโตใบเทศประกอบภาพ กลา่ ว
คือ ด้านซ้ายและขวาแกะสลักหงส์ยืนในปราสาทสามยอด และภาพสังข์บน
มังสี (พานรูปรีคล้ายกระจับส�ำหรับรองสังข์) ตามล�ำดับ ตรงกลางระหว่าง
ลายมรี ปู เทวดาทรงเครอื่ งเหาะอยู่ ๒ องค์ เทวดาองคซ์ า้ ยเชญิ พระเตา้ (หมอ้ น�้ำ)
หรอื อาจจะเป็นพระสุพรรณศรี (กระโถนเลก็ ) บนพานรอง แต่บางแห่งกว็ ่าเชิญ
หบี อญั มณ๑ี ๘ เทวดาองค์ขวาเชญิ พระแสงขรรค์ (ภาพลายเส้นหน้า ๑๓๓)
หน้าบันมุขโถง ของพระวิหารหลวงเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎและ
พระแสงขรรคท์ อดบนพานพระมหากฐนิ ขนาบดว้ ยฉตั รเครอื่ งสงู ๕ ชนั้ ประกอบ
มใี บอะแคนทุส (Acanthus) ลายใบไม้ม้วนแบบฝรงั่ ตามพระราชนยิ มประกอบ
เป็นเรือนแก้ว ทง้ั หมดน้ีล้อมรอบด้วยลายก้านขดช่อหางโตใบเทศ นบั เป็นการ
หนั กลบั ไปใชล้ วดลายทนี่ ยิ มใชป้ ระดบั ตกแตง่ หนา้ บนั ในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย
ตามแบบไทยประเพณี ฟน้ื ฟรู ปู แบบงานศลิ ปะครงั้ บา้ นเมอื งดมี ารบั ใชง้ านศลิ ปะ
ร่วมสมัยตามแบบพระราชนิยมของพระองค์โดยใช้กระบวนลายแบบตะวันตก
เข้ามาผสมผสานได้อย่างกลมกลนื
อาจกลา่ วไดว้ า่ หนา้ บนั พระวหิ ารหลวงวดั ราชประดษิ ฐโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
หน้าบันประธานเป็นหน้าบันท่ีมีความซับซ้อนในเชิงองค์ประกอบ และยากต่อ
การตีความมากท่ีสุดแห่งหนึ่งในบรรดาหน้าบันของพระอารามหลวงท้ังหมด
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
135
ภาพถ่ายเก่าหน้าบันพระวิหาร
หลวงวัดราชประดิษฐ (ด้านทิศใต้)
แสดงลวดลายปูนปั้นและสัญลักษณ์
บนหนา้ บนั ประธาน หนา้ บันช้นั ลด และ
หน้าบันมุขโถง ในช่วงประมาณรัชกาล
ท่ี ๖ แตกตา่ งจากลวดลายปัจจบุ นั ท่ไี ด้
รบั การปฏิสงั ขรณ์ใหญ่เมอื่ พ.ศ. ๒๕๒๕
(ภาพจาก Buddhist temples of Thailand
: an architectonic introduction, 2000)
ทพ่ี ระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างข้นึ หรอื ทรงบรู ณปฏิสงั ขรณ์
ใหม่ตามแบบอย่างพระราชนิยมของพระองค์ ส่วนมากสามารถตคี วามได้อย่าง
ชัดเจนเกอื บทั้งหมด ดังการศกึ ษาของ สมคดิ จริ ะทัศนกลุ นกั ประวตั ศิ าสตร์
สถาปตั ยกรรม๑๙ ความซบั ซอ้ นและไมซ่ ำ้� แบบพระอารามอนื่ ใดในรชั สมยั เดยี วกนั
ของสญั ลกั ษณท์ ป่ี รากฏบนหนา้ บนั สว่ นหนงึ่ นา่ จะเปน็ พระราชด�ำรขิ องพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเอง ทั้งน้ี โดยอนุมานจากพระราชนิพนธ์ของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “ทรงพระราชด�ำริตลอดทุกสิ่งทุก
อย่าง ไม่ได้มีเว้นเลยแต่สักส่ิงเดียว”๒๐ จึงเป็นไปได้ที่สัญลักษณ์บนหน้าบัน
พระวหิ ารหลวงจะไดร้ บั การกำ� หนดเนอ้ื หาภายใตพ้ ระราชดำ� รขิ องพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เชน่ กนั ในทน่ี ขี้ อน�ำเสนอการแกะรอยหนา้ บนั ของมขุ โถง
เปน็ ลำ� ดบั แรกซงึ่ เปน็ สว่ นทม่ี คี วามซบั ซอ้ นนอ้ ยกวา่ ตามดว้ ยหนา้ บนั ประธานและ
หน้าบันชน้ั ลด
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
136
หน้าบันประธานและหน้าบันช้ัน
ลดของพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ
(ด้านทิศใต้) หน้าบันประธานเป็น
รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ พระบรมราช
สัญลักษณป์ ระจำ� รชั กาลท่ี ๔ บนพาน
แว่นฟ้าขนาบด้วยพระแสงขรรค์ ๒
องค์ทอดบนพาน หมายถึง วชิราวุธ
ของพระอนิ ทรใ์ นรปู แบบของพระขรรค์
และพระแสงขรรค์ชัยศรีท่ีเป็นเคร่ือง
สิริราชกกุธภัณฑ์ ทั้งหมดวางอยู่บน
แท่นท่ีเทินด้วยช้างเผือกที่ได้มาใน
รัชกาลที่ ๔ ทั้ง ๖ ชา้ ง พรอ้ มฉัตร ๗ ช้ัน
ประกอบพระบรมราชอิสริยยศซ้ายขวา
ส่วนหน้าบันช้ันลดด้านทิศตะวันออก
เปน็ รปู เทวดาถอื พระขรรค์ ทรงพระนาม
ว่า พระราชบันฦๅธาร และรูปสังข์ใน
วิมาน คือ พระราชลัญจกรสังขพิมาน
ด้านทิศตะวันตกเป็นรูปเทวดาถือหีบ
พระราชลญั จกร ทรงพระนามว่า พระ
ราชมุทธาธร และรูปหงส์ในวิมาน คือ
พระราชลัญจกรหงสพิมาน
สัญลักษณ์บนหน้าบันมุขโถง
ไมม่ ปี ญั หาวา่ พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ทง้ั บนหนา้ บนั ประธานและหนา้ บนั มขุ
โถงเปน็ พระบรมราชสญั ลกั ษณท์ สี่ อ่ื ความหมายถงึ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจน ทรงเร่ิมใช้ตรา “พระมหาพิชัยมงกุฎ” ประดิษฐ์จาก
พระนามเดิม คือ “มงกุฎ” เป็นพระบรมราชสญั ลักษณ์ประจำ� พระองค์มาแล้ว
ต้ังแต่ทรงพระผนวช ดงั เหน็ ได้จาก “พระสมณปฏศิ าสน” หรอื จดหมายทที่ รงมี
ไปยังพระเถระในประเทศศรีลังกาซึ่ง “ประทับตรารูปมงกุฎอันแสดงนามของ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
137
หน้าบันมุขโถงพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ (ด้านทิศใต้) ประกอบด้วย พระมหาพิชัย
มงกุฎพร้อมพระแสงขรรคท์ อดบนพานแว่นฟา้ ขนาบด้วยฉัตรประกอบ ๕ ชั้น
ตนในตระกูลแต่ก่อนลงบนหน้าคร่ัง เพ่ือให้เป็นท่ีเชื่อได้อย่างแน่นแฟ้นด้วย
แล้ว”๒๑ หรอื ทรงประดบั รปู พระมหาพชิ ัยมงกุฎ กลางซุ้มสาหร่ายเหนอื พระ
พุทธชินศรีในพระอุโบสถของวัดบวรนิเวศวิหารอย่างโดดเด่น แต่ด้วยความ
เกรงพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จพระราช
ด�ำเนินมาพระราชทานผ้าพระกฐินจึงต้องเอาพระบฏไปบังไว้ไม่ให้เป็นท่ีสังเกต
ได้ จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐานพระมหา
มงกุฎของพระประธานวัดนางนองบนยอดนภศูลของพระปรางค์วัดอรุณราช
วราราม ชาวพระนครต่างพากันโจษจันว่า คือสัญลักษณ์ท่ีทรงประกาศเป็น
นัยว่า “เจ้าฟ้ามงกุฎ” จะทรงราชย์ข้ึนเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไป๒๒
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงพระผนวชจึงทรงถือเอาโอกาส
น้ันแสดงรูปพระมหาพิชัยมงกุฎน้ันออกมาใช้อย่างเปิดเผยมิได้น�ำพระบฏไป
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
138
ปิดบงั อกี ต่อไป จนขนึ้ ครองราชสมบตั กิ ท็ รงใช้พระมหาพชิ ยั มงกุฎเป็นพระบรม
ราชสัญลักษณ์ประจ�ำพระองค์ และแกะเป็นพระราชลญั จกรประจำ� รชั กาลอย่าง
เป็นทางการ ซ่ึงก็ได้ทรงเพ่ิมเติมพระแว่นสุริยกานต์หรือบางแห่งเป็นรูป
เพชรทอดบนพานข้างพระมหาพิชัยมงกุฎ เพื่อส่ือความถึงพระราชฉายา
ขณะทรงพระผนวชว่า “วชริ ญาโณ” ทรงแปลเองว่า “ผู้มีความสามารถอันสว่าง
ประดุจเพชร” ด้านตรงข้ามกันเป็นรูปสมุดตำ� ราทอดบนพานเช่นกัน หมายถึง
ทรงเป็นบัณฑิตผู้รอบรู้ ดังมีพระราชหัตถเลขาถึงชาวต่างชาติกล่าวถึงพระองค์
เองว่า “เราผู้มปี ัญญา”๒๓
รูปพระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมพระแสงขรรค์บนหน้าบันมุขโถงของพระ
วิหารหลวงเป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บนหน้าบันของพระวิหารหลวงวัดราช
ประดษิ ฐ และพระอุโบสถวดั บวรนิเวศวิหาร (ดูภาพหน้า ๑๒๖) รวมทั้งเพิม่ เติม
ลงในพระราชลัญจกรประจ�ำรัชกาลดังปรากฏในพัดรองท่ีระลึกงานฉลองวัด
ราชประดิษฐ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๘๒๔ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และภายหลงั ไดน้ ำ� มาใชเ้ ปน็ ตราประจำ� วดั สว่ นตราของวดั
บวรนเิ วศวหิ ารกเ็ ปน็ รปู พระแสงขรรคไ์ ขวก้ บั พระแวน่ สรุ ยิ กานตภ์ ายใตพ้ ระมหา
พิชัยมงกุฎ๒๕ จึงเป็นทน่ี ่าสงั เกตว่า พระแสงขรรค์อนั ประกอบกับพระบรมราช
สญั ลกั ษณพ์ ระมหาพชิ ยั มงกฎุ ประจำ� รชั กาลนี้ คงเปน็ เรอ่ื งทมี่ คี วามหมายโดยนยั
เกีย่ วข้องกบั ทางศาสนามากกว่าอาณาจักร เช่นที่สมคดิ จิระทศั นกลุ ได้ตีความ
ว่า คือการประกาศสิทธิและอ�ำนาจในความเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์
อย่างสมบูรณ์๒๖ เพราะเท่าท่ีทราบยังไม่พบว่าทรงใช้พระแสงขรรค์ประกอบ
กับพระบรมราชสัญลักษณ์พระมหาพิชัยมงกุฎในทางราชการหรือในการส่วน
พระองค์ อย่างไรก็ดี ยทุ ธนาวรากร แสงอร่าม ได้ตคี วามหมายของพระแสง
ขรรค์เป็นข้อเสนอใหม่ไว้อย่างน่าสนใจว่า คงส่ือความหมายถึง “วชิรญาณ”
ตามพระราชฉายา โดยให้เหตผุ ลประกอบว่า “ญาณ” หมายถงึ ความหยั่งรู้ใกล้
เคียงกบั “ปัญญา” คอื ความรอบรู้ ทง้ั น้ี คมั ภีร์ทางพทุ ธศาสนามกั เปรยี บเทียบ
พระขรรคก์ บั ญาณหรอื ปญั ญาอนั สามารถตดั เครอ่ื งจองจำ� คอื กเิ ลส ใหห้ ลดุ พน้
ปฐมสมโพธกิ ถา ตอนมารวิชยั ปรวิ รรต ก็กล่าวความอย่างชดั เจนว่า พระพุทธ
องค์ “ทรงพระขรรค์แก้ว คือ พระวชริ ญาณปัญญา” เป็นต้น๒๗
ผเู้ ขยี นเหน็ ดว้ ยกบั ยทุ ธนาวรากรในประเดน็ ทวี่ า่ พระขรรคเ์ ปน็ สญั ลกั ษณ์
ที่สื่อความหมายถึงปัญญาและอีกนัยหน่ึงหมายความถึงพระราชฉายา “วชิร
ญาโณ” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั อย่างไม่ต้องสงสยั แต่ขอ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
139
ภาพพระอินทร์ประทับใน
วิมานไพชยนต์เหนือเขาพระสุเมรุ
บนรอยพระพุทธบาทประดับมุกของ
พระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพน
วิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ทรงถือ
“วชิราวุธ” ในรูปแบบของพระขรรค์
สร้างขึ้นในรัชกาลท่ี ๓
เสนอเพมิ่ เตมิ ใหม่ว่า พระแสงขรรค์ในท่นี อ้ี าจไม่ได้หมายถงึ พระขรรค์ธรรมดา
ทว่ั ไปซงึ่ เป็นดาบทีม่ คี ม ๒ ด้านคล้ายใบหอก หรอื แม้แต่พระแสงขรรค์ชยั ศรี
อันเป็นหนึ่งในเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์เท่าน้ัน หากยังหมายถึง “วชิราวุธ” ใน
รูปแบบของ “พระขรรค์” เป็นทีท่ ราบกันดีว่า “วชิราวธุ ” หรอื “วัชระ” คือสายฟ้า
ของพระอนิ ทรซ์ งึ่ มคี ณุ สมบตั เิ ดยี วกบั เพชร จงึ ไดช้ อื่ วา่ “วชั ระ” ทแ่ี ปลวา่ เพชร๒๘
ทง้ั นี้ ในสมยั อยธุ ยาและรตั นโกสนิ ทร์ วชริ าวธุ หรอื สายฟา้ ของพระอนิ ทรม์ กั แสดง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
140
รปู พระอนิ ทร์ยนื แท่นทรงพระขรรค์หรอื “วชริ าวธุ ” บนหนา้ บันดา้ นทศิ ตะวันออกของพระท่ี
น่ังอาภรณภ์ โิ มกข์ปราสาท พระบรมมหาราชวัง สร้างขึน้ ในรชั กาลที่ ๔
เป็นรูปพระขรรค์มิได้เป็นรูปวัชระท่ีมีหลายง่าม เช่น รูปพระอินทร์ประทับใน
วิมานไพชยนต์เหนือเขาพระสเุ มรุบนรอยพระพุทธบาทประดับมกุ ของพระพุทธ
ไสยาสนว์ ดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธ)ิ์ สรา้ งในรชั กาลพระบาทสมเดจ็
พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั หรอื รปู พระอนิ ทรย์ นื แทน่ บนหนา้ บนั ของพระทนี่ ง่ั อาภรณ์
ภโิ มกขป์ ราสาททพี่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสรา้ งขน้ึ ๒๙ เปน็ ตน้
ต่างก็ทรง “วชิราวุธ” เป็นรปู พระขรรค์เหมอื นกัน แม้ในรปู จตุราวุธประกอบรปู
ยนั ต๓์ ๐ บนกะบงั พระแสงหลายองคข์ องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั
เชน่ พระแสงขรรคพ์ ธิ ี หรอื พระแสงดาบหตั ถน์ ารายณ์ เปน็ ตน้ กใ็ ชร้ ปู พระขรรค์
แทน “วชิราวุธ” ของพระอินทร์ ตรงกบั ทปี่ ฐมสมโพธิกถาได้เปรยี บ “วชริ ญาณ
ปัญญา” หรือปัญญาญาณอนั ใสสะอาดประดุจเพชรว่า คือ “พระขรรค์แก้ว”๓๑
ดังนั้น พระแสงขรรค์ในที่นี้จึงได้แก่ “วชิราวุธ” (พระขรรค์แก้ว) ของ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
141
พระอนิ ทร์ สอ่ื ความถงึ พระราชฉายา “วชริ ญาโณ” คอื “ผมู้ คี วามสามารถอนั สวา่ ง
ประดจุ เพชร” ไดอ้ ยา่ งลงตวั และหลกั แหลมทสี่ ดุ สว่ นวชั ระทมี่ หี ลายงา่ มดงั ทเ่ี รา
คนุ้ เคยกนั เชน่ วชั ระบนรปู พระอนิ ทรท์ รงช้างเอราวณั ทส่ี มเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์
เธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รงออกแบบเมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๖๓๒
และต่อมาได้ใช้เป็นตราของส�ำนักเขตปกครองกรุงเทพมหานครหรือตราของ
ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร รวมท้ังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
กท็ รงใชร้ ปู วชริ าวธุ ซง่ึ เปน็ รปู วชั ระมหี ลายงา่ มเปน็ พระบรมราชสญั ลกั ษณป์ ระจำ�
พระองค์ และพระราชลัญจกรประจ�ำรัชกาลน้ัน๓๓ อาจน�ำรูปทรงของวชั ระทีใ่ ช้
กันในพทุ ธศาสนาลทั ธติ ันตรยานมาปรับใช้
สัญลักษณ์บนหน้าบันประธาน
หนา้ บนั ประธานเปน็ สว่ นทตี่ คี วามคอ่ นขา้ งยาก เนอื่ งจากประกอบไปดว้ ย
สัญลักษณ์ท่ีไม่พบเห็นกันบ่อยนัก จึงไม่มีตัวอย่างให้เทียบเคียงความหมาย
ได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีปัญหาว่าพระมหาพิชัยมงกุฎบนเป็นพระบรมราช
สญั ลกั ษณป์ ระจำ� พระองค์ และเปน็ การบง่ บอกถงึ พระบรมราชอสิ รยิ ยศในฐานะ
ท่ีเป็นหนึ่งในเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ สัญลักษณ์แห่งความเป็นพระราชาธิบดี
รวมถึงฉัตรประกอบ ๗ ชั้นตั้งกระหนาบซ้ายขวาก็บ่งบอกถึงพระบรมราช
อิสริยยศในฐานะพระมหากษัตริย์ซ่ึงทรงพระนพปฎลเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตร
๙ ชัน้ จึงใช้ฉตั ร ๗ ช้นั ประกอบตามพระบรมราชอสิ รยิ ยศ แต่ปัญหาอยู่ตรงท่ี
รปู ชา้ ง ๖ เศยี รทดี่ ลู ะมา้ ยคลา้ ยชา้ งเอราวณั ๒ ชา้ งกำ� ลงั เทนิ พระมหาพชิ ยั มงกฎุ
เท่าที่พบกม็ แี ต่หน้าบันของพระวหิ ารหลวงวัดราชประดิษฐ หน้าบันพระอุโบสถ
วดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม ทน่ี ำ� แบบอยา่ งของหนา้ บนั ประธานวดั ราชประดษิ ฐ
ไปปรบั ใช้ และหนา้ บนั พระวหิ ารหลวงวดั พระสมทุ รเจดยี ์ จงั หวดั สมทุ รปราการ
เท่าน้ัน ในขณะท่ีหน้าบันของพระอุโบสถหรือพระวิหารในพระอารามหลวงท่ี
สร้างข้ึนหรือปฏสิ ังขรณ์ในรัชกาลที่ ๔ เช่น พระอโุ บสถ วัดโมลีโลกยาราม วัด
มหาพฤฒาราม กรุงเทพมหานคร วัดเสนาสนาราม หรือพระวิหารวัดสุวรรณ
ดาราราม จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ก็เป็นรปู ช้างเอราวัณ ๓ เศยี รทูน
พระมหาพิชัยมงกฎุ เท่านั้น๓๔
ในที่น้เี สนอว่าช้าง ๖ เศียรน่าจะเป็นตัวแทนของบรรดา “ช้างเผอื ก ๖
ช้าง” ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงได้มาสู่พระบารมี ดงั เหน็ ได้
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
142
หน้าบนั พระอุโบสถ (ด้านทิศตะวันออก) ของวัดราชบพิธสถติ มหาสมี าราม ไดร้ บั แบบอย่าง
จากหน้าบันพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ แต่เปล่ียนพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นพระจุลมงกุฎ
(พระเกย้ี วยอด) ให้สอดคลอ้ งกับรชั กาลที่ ๕ ผทู้ รงสถาปนาวดั รองรับดว้ ยช้างเผือก ๗ ช้าง และมี
ราชสหี ก์ บั คชสหี เ์ ชิญฉัตรทปี่ กั บนลูกโลกขนาบซา้ ยขวา
จากรปู พระยาชา้ งสมั ฤทธปิ์ ระจำ� รชั กาลของพระองคท์ งั้ ๖ ชา้ งรอบบษุ บกประดษิ
ฐานพระบรมราชสัญลักษณ์ประจ�ำรัชกาลท่ี ๔ บนฐานไพที วัดพระศรีรัตน
ศาสดาราม สรา้ งในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั คราวฉลอง
พระนครครบ ๑๐๐ ปเี มอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๔๒๕๓๕ พรอ้ มจารกึ หนิ ออ่ นบอกประวตั ิ
การได้มาของช้างเผือกเหล่าน้ี เช่นเดียวกับหน้าบันอีกด้านของพระวิหารหลวง
วดั พระสมุทรเจดยี ์ ท่ีเป็นรปู พระจลุ มงกุฎ (พระเกยี้ วยอด) เทินด้วยช้างเผอื ก
๙ ช้าง ก็น่าจะได้แก่ ช้างเผือกท้ัง ๙ ช้างประจ�ำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏรูปพระยาช้างสัมฤทธ์ิทั้ง ๙ ช้างรอบบุษบก
ประดิษฐานพระบรมราชสัญลักษณ์ประจ�ำรัชกาลที่ ๕ บนฐานไพทีเช่นกัน
ประวตั ิของช้างเผือกประจำ� รัชกาลที่ ๔ ทั้ง ๖ ช้างได้รับการกล่าวถงึ ใน พระราช
พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลท่ี ๔ ฉบับเจ้าพระยาทพิ ากรวงศ์ฯ ดงั นี้
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
143
หนา้ บนั พระวหิ ารหลวงวดั พระสมทุ รเจดยี ์ จงั หวดั สมทุ รปราการ ดา้ นหนงึ่ เปน็ พระมหาพชิ ยั มงกฎุ
เปล่งรัศมีพระบรมราชสัญลักษณ์ประจ�ำรัชกาลที่ ๔ บนพานแว่นฟา้ ทนู ด้วยช้างเผอื กประจำ� รัชกาลที่ ๔
ท้งั ๖ ชา้ ง ส่วนอีกดา้ นเปน็ พระจลุ มงกุฎเปลง่ รศั มี พระบรมราชสัญลกั ษณป์ ระจ�ำรัชกาลที่ ๕ บนพาน
แว่นฟา้ ทนู ด้วยช้างเผอื กประจ�ำรัชกาลท่ี ๕ ทั้ง ๙ ช้าง (ภาพถ่ายโดย ปิยะ สินธวารยัน)
ช้างเผอื กท่ี ๑ มนี ามว่า พระวมิ ลรตั นกิริณี เป็นช้างพงั เผือกตรี ทรงได้
มาเมื่อพทุ ธศักราช ๒๓๙๖
ช้างเผือกที่ ๒ มนี ามว่า พระวสิ ทุ ธรตั นกริ ิณี เป็นช้างพงั เผือกโท ทรงได้
มาเมื่อพทุ ธศกั ราช ๒๓๙๗
ชา้ งเผอื กที่ ๓ มนี ามวา่ พระมหาศรเี สวตรวมิ ลวรรณ เปน็ ชา้ งพลายเผอื ก
โท ทรงได้มาเมอื่ พทุ ธศักราช ๒๔๐๓
ช้างเผือกท่ี ๔ เป็นช้างพังเผือกโทเทียมเอก ทรงได้มาเม่ือพุทธศักราช
๒๔๐๓ แต่ป่วยล้มเสยี ก่อนจะพระราชทานนามขึน้ ระวาง
ช้างเผอื กท่ี ๕ มนี ามว่า พระเสวตรสวุ รรณาภาพรรณ เป็นช้างพงั เผอื ก
โท ทรงได้มาเมือ่ พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๕
ช้างเผือกที่ ๖ เป็นช้างพังเผอื กเอก ทรงได้มาเมื่อพทุ ธศกั ราช ๒๔๐๗
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
144
บุษบกประดิษฐานพระบรม
ราชสัญลักษณ์ประจ�ำรัชกาลที่ ๔ บน
ฐานไพที วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
แวดล้อมด้วยรูปจ�ำลองของพระยาช้าง
เผือกสัมฤทธ์ิซึ่งทรงได้มาสู่พระบารมี
ในรชั กาลท่ี ๔ ทงั้ ๖ ชา้ ง สรา้ งในรชั กาล
ที่ ๕ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๕ คราวฉลอง
พระนครครบ ๑๐๐ ปี
แต่ป่วยล้มเสียก่อนจะพระราชทานนามข้ึนระวาง๓๖ และนับเป็นช้างเผือกช้าง
สุดท้ายท่ีทรงได้มาสู่พระบารมี ปีท่ีทรงได้ช้างนี้ยังเป็นปีเดียวกับท่ีทรงเริ่มการ
ก่อสร้างในวัดราชประดิษฐ ส่วนหนึ่งของโรงช้างเผือกช้างสุดท้ายได้ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรงุ เป็น “การเปรยี ญ” ของวดั ด้วย๓๗
รูปพระขรรค์ ๒ องค์ทอดบนพานหันปลายไปคนละทางกัน เคยได้รับ
การตีความจาก สมคิด จิระทัศนกุล นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมว่า
หมายถึงประเทศสยามในขณะนั้นมีพระแสงขรรค์ชัยศรี ๒ องค์ คือมีพระ
มหากษัตริย์ ๒ พระองค์ อันได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเดจ็ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ช้างเผือกคู่พระบารมีท้งั ๖ ช้าง
และฉัตร ๗ ชั้นท่ีต้ังกระหนาบซ้ายขวาบ่งบอกถึงการเชิดชูพระบรมราชอิสริย
ยศ “เฉพาะ” พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั อยา่ งชดั เจน พระแสงขรรค์
ท้งั ๒ องค์ดังกล่าวคงมคี วามหมายแยกกนั เป็น ๒ ทางเหมือนองค์พระขรรค์
ทแี่ ยกปลายออกไปคนละทางกนั พระขรรคอ์ งคห์ นง่ึ คงเปน็ ตวั แทนของ “วชริ าวธุ ”
อาวุธของพระอินทร์ซึ่งมีรูปร่างเป็นพระขรรค์ดังได้ตีความไว้ในตอนต้นและ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
145
อาจเป็นตัวแทนของพระปัญญาปรชี าญาณใน “ทางธรรม” ของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏคำ� ยอพระเกียรตใิ น พระราชพงศาวดารกรงุ
รัตนโกสินทร์สังเขป ที่ว่า “พระองค์เป็นผู้คงแก่เรียนเป็นยอดเยี่ยม นับเป็น
แก้ว (ดวงหนึง่ ) ในไตรโลก ทรงฉลาดท้ังในพระสตู รและพระอภิธรรม”๓๘ ส่วน
พระแสงขรรค์อีกองค์อาจได้แก่ “พระแสงขรรค์ชัยศรี” หน่ึงในเครื่องสิริราช
กกธุ ภัณฑ์ สัญลกั ษณ์ของพระราชอำ� นาจและพระราชอาชญาสิทธิ์ “ทางโลกย์”
ในฐานะทท่ี รงเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ การเปรยี บเทยี บเรอื่ งทางโลกยแ์ ละทางธรรม
ของพระองค์ยังพบเห็นได้บนบานหน้าต่างของพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
บานหนึ่งแกะสลักเป็นภาพเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ อีก
ด้านเป็นอัฐบรขิ ารของพระภกิ ษุเทียบกนั ระหว่างสมบตั ทิ างโลกย์ (โลกียะ) กบั
ทางธรรม (โลกตุ ระ) ดงั ทที่ รงกล่าวไว้ในจารึกวดั ชมุ พลนิกายาราม พทุ ธศกั ราช
๒๔๐๖ ถึงสมบัติอันบริบูรณ์ในทางโลกย์ซึ่งเป็นหนทางลัดเพื่อเข้าสู่สมบัติทาง
ธรรม คือ พระนพิ พานในอนาคต๓๙
สัญลักษณ์บนหน้าบันชั้นลด
รปู หงสใ์ นปราสาทสามยอดของหนา้ บนั ชนั้ ลด สนั นษิ ฐานวา่ ตรงกบั “พระ
ราชลัญจกรหงสพิมาน” และรูปสังข์ในปราสาท ตรงกบั “พระราชลัญจกรสงั ข
พิมาน” ดังเห็นได้จากรูปพระราชลัญจกรหงสพิมานบนหน้าบันด้านหน้ามุขทิศ
เหนือ และพระราชลญั จกรสังขพมิ านบนหน้าบันมุขทิศใต้ของพลบั พลาจัตรุ มุข
พระราชวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างข้ึน และทรงน�ำพระราชลัญจกรองค์ส�ำคัญมาใช้เป็น
ลวดลายประดบั หน้าบนั มุขทัง้ ๖ หน้าบัน อันได้แก่ ลายพระราชลญั จกรมหา
โองการ พระราชลญั จกรพระครฑุ พา่ ห์ พระราชลญั จกรหงสพมิ าน พระราชลญั จกร
มงั กรคาบแก้ว พระราชลัญจกรไอราพต และพระราชลญั จกรสงั ขพิมาน๔๐ ท้ัง
ยังทรงน�ำพระราชลัญจกรเหล่านี้ อันได้แก่ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์
พระราชลัญจกรไอราพต พระราชลญั จกรสังขพิมาน และพระราชลัญจกรหงส
พิมาน เป็นลวดลายประดับที่หน้าพานพระขันหมากส�ำรับเล็กอันเป็นเคร่ือง
ราชปู โภคท่ีทรงสร้างขึน้ ด้วย
รปู พระราชลญั จกรหงสพมิ านทแ่ี สดงดว้ ยรปู หงสใ์ นปราสาท อาจสอื่ ความ
หมายแทนพระพรหมผู้ทรงหงส์เป็นพาหนะ อย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
146
รูปหงส์ในวิมานปราสาทสามยอด บนหน้าบันชั้นลดของพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ
(ดา้ นทศิ ใต)้ ฝง่ั ตะวนั ตก ไดแ้ ก่ พระราชลญั จกรหงสพมิ าน สอ่ื ความหมายแทนพระพรหมผทู้ รงหงส์
เปน็ พาหนะ
พระพรหมตามคตไิ ทยอาจมคี วามปะปนอยบู่ า้ งระหวา่ ง “พระพรหม” เทพเจา้ ใน
ศาสนาพราหมณ์กับ “พรหม” ในพุทธศาสนา ส่วนรปู สังข์ในปราสาทเป็นเรอ่ื งที่
ตอ้ งตคี วามอย่บู า้ ง เพราะโดยทว่ั ไปแลว้ เรามกั คดิ กนั ถงึ สงั ข์ทพี่ ระนารายณห์ รอื
พระวษิ ณุทรงถอื ประจำ� พระหตั ถ์ ดังนามหนึ่งของพระองค์ว่า “สงั ขกร” ในทีน่ ี้
เสนอว่า สังข์ในปราสาทน่าจะได้แก่ สังข์ของพระอนิ ทร์ ทท่ี รงใช้บันลือ (เป่า)
ในวาระส�ำคัญ ดังเห็นได้จากหน้าบันพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม เป็นรูป
พระอินทร์ทรงยืนกวัดแกว่งวชิราวุธในรูปแบบของพระขรรค์ภายในวิมานรูป
ปราสาทสามยอด คือไพชยนต์มหาปราสาท มีสังข์องค์หน่ึงต้ังบนพานแว่นฟ้า
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
147
หน้าบันรูปพระราชลัญจกรหงสพิมาน บนหน้าบันด้านหน้ามุขทิศเหนือของพลับพลา
จตั รุ มขุ พระราชวังจนั ทรเกษม จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา สรา้ งในรัชกาลที่ ๔
หน้าบันรูปพระราชลัญจกรสังขพิมาน บนหน้าบันด้านหน้ามุขทิศใต้ของพลับพลาจัตุรมุข
พระราชวงั จนั ทรเกษม จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา สรา้ งในรชั กาลท่ี ๔
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
148
หน้าบันพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม (ด้านทิศตะวันออก) เป็นรูปพระอินทร์ทรงยืนกวัด
แกวง่ วชริ าวธุ ในรปู แบบของพระขรรค์ ภายในวิมานไพชยนตท์ รงปราสาทสามยอด มี “วิชยั ยตุ สังข”์
ทอดบนพานแว่นฟ้าภายในวมิ านดา้ นซา้ ย และพานแว่นฟ้าพรอ้ มคลุมปักอยภู่ ายในวมิ านด้านขวา
ภายในวิมานด้านข้าง วิมานอีกข้างเป็นตั้งพานแว่นฟ้ามีคลุมปัก สอดคล้อง
กับพระราชลัญจกรสังขพิมานที่มีความหมายถึงสังข์ในวิมานของพระอินทร์
สันนิษฐานว่า สังข์ดังกล่าวน่าจะมีนามว่า “วิชัยยุตสังข์” ดังปรากฏใน อรรถ
กถา นิทานกถา อวิทูเรนิทาน เม่ือพระพุทธองค์ทรงปฏิญาณว่าไม่ทรงลุก
จากโพธิบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิจนกว่าจะตรัสรู้ “ท้าวสักกเทวราชได้
ยืนเป่าสังข์วิชัยยุตร ได้ยินว่าสังข์น้ันมีขนาด ๑๒๐ ศอก เพ่ือให้เก็บลมไว้
คราวเดียวแล้วเป่า จะมีเสียงอยู่ถึง ๔ เดือนจึงจะหมดเสียง”๔๑ หรือเมื่อ
พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์ก็ทรงบันลือสังข์ มีพระพรหมทรงถือฉัตร
กางกั้นถวายพระพุทธองค์ ดังปรากฏในงานจิตรกรรมฝาผนังหลายแห่ง อาทิ
จิตรกรรมฝาผนังในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล (พิพิธ
ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร)
ดังนั้น พระราชลัญจกรสังขพิมานจึงสื่อความหมายแทนพระอินทร์
ผู้ทรงสังข์วชิ ยั ยตุ ร
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
149
รูปสังข์ในวิมานปราสาทสามยอด บนหน้าบันช้ันลดของพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ
(ด้านทศิ ใต)้ ฝงั่ ตะวันออก ได้แก่ พระราชลัญจกรสงั ขพิมาน สื่อความหมายแทนพระอินทร์ผทู้ รง
“วิชยั ยตุ สังข”์
พระราชลัญจกรสังขพิมานและพระราชลัญจกรหงสพิมานยังอาจสอด
คล้องกับคติอนิ ทร์-พรหม ในทางพทุ ธศาสนาท่ีมกั ปรากฏในงานจิตรกรรมภาพ
พทุ ธประวตั ติ อนสำ� คญั เคยี งขา้ งพระพทุ ธองค์ อาทิ ตอนเสดจ็ โปรดพทุ ธมารดา
บนสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ สใ์ นงานจติ รกรรมฝาผนงั วดั เกาะ จงั หวดั เพชรบรุ ี เขยี นเมอื่
พุทธศักราช ๒๒๗๗ หรือตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์ในจิตรกรรมฝาผนังพระ
ทีน่ งั่ พทุ ไธสวรรย์ พระราชวงั บวรสถานมงคล เป็นต้น คติดงั กล่าวคงนำ� มาปรับ
ใช้เป็น “อินทร์-พรหม” ผู้ท�ำหน้าที่เชิญจามรหรือพุ่มดอกไม้เงินดอกไม้ทอง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
150
(ซ้าย) รูปเทพยดาเหาะถือพระเต้า (หม้อน้�ำ) บนหน้าบันช้ันลดของพระวิหารหลวงวัด
ราชประดษิ ฐ (ด้านทิศใต้) ฝั่งตะวันตก ป้ันใหมเ่ มอ่ื คราวบรู ณะใหญ่ พ.ศ. ๒๕๒๕ ซ่ึงท่จี รงิ แล้วควร
เป็นรูปเทพยดาถอื หบี พระราชลญั จกรคอื พระราชมทุ ธาธร ทรงถอื หบี บรรจุพระราชลัญจกรนามวา่
หบี พระราชมุทธา
(ขวา) รปู เทพยดาเหาะถอื พระแสงขรรค์ บนหนา้ บนั ชน้ั ลดของพระวหิ ารหลวงวดั ราชประดษิ ฐ
(ด้านทิศใต้) ฝั่งตะวันออก ได้แก่ พระราชบันฦๅธาร ทรงถือพระแสงขรรค์พิธี
เดินขนาบซ้ายขวาข้างพระราชยานในกระบวนเสด็จพระราชด�ำเนินทางสถล
มารคด้วย๔๒
ส�ำหรบั รปู เทวดาเหาะ ๒ องค์ สันนษิ ฐานว่า คงหมายถงึ รูปเทพยดา ๒
องคท์ พ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ ง
ขึ้นเป็นรูปเทวดาทรงเครื่องยืนทำ� จากโลหะกะไหล่ทอง รูปเทพยดาองค์หน่ึงทำ�
หน้าที่เชญิ พระแสงขรรค์ มพี ระนามว่า “พระราชบนั ฦๅธาร” เชญิ พระแสงขรรค์
นามว่า “พระแสงขรรค์พธิ ”ี ส่วนรปู เทพยดาอกี องค์หน่งึ ทำ� หน้าทเี่ ชญิ หีบ ทรง
พระนามว่า “พระราชมุทธาธร” เชญิ หีบศิลาหยกบรรจพุ ระราชลัญจกร เรยี กว่า
“หีบพระราชมทุ ธา” โดยทรงอาราธนาเทพยดาทเ่ี คยอภบิ าลบำ� รุงรักษาพระองค์
ต้ังแต่ทรงพระเยาว์มาตราบเท่าเถลิงถวัลยราชสมบัติมาสิงสถิต๔๓ ปัจจุบันรูป
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
151
“พระราชบันฦๅธาร” ทรงถือพระแสงขรรค์พิธี และ “พระราชมุทธาธร” ทรงถือหีบพระ
ราชมุทธาบรรจุพระราชลัญจกร ท�ำจากโลหะกะไหล่ทอง รัชกาลท่ี ๔ ทรงสร้างขึ้นโดยทรง
เชิญเทพยดาท่ีอภิบาลรักษาพระองค์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ตราบเท่าครองสิริราชสมบัติมาสิงสถิต
ปัจจุบันประดิษฐานด้านหน้าพระท่ีน่ังพุดตานถมบรมราชอาสน์ ในท้องพระโรงกลางพระที่น่ังจักรี
มหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง (ภาพจาก พระราชลญั จกร, ๒๕๓๘)
เทพยดาท้ัง ๒ องค์ประดิษฐานหน้าพระท่นี ง่ั พดุ ตานถมบรมราชอาสน์ ในท้อง
พระโรงกลางพระท่ีน่ังจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และจะเชิญออก
สมโภชในพระราชพิธีฉัตรมงคลหรอื พระราชพิธฉี ลองสริ ริ าชสมบตั ิ ดงั นน้ั รูป
เทวดาท้ัง ๒ องค์บนหน้าบันมุขลดของพระวิหารหลวง องค์ที่เชิญพระแสง
ขรรค์จงึ ได้แก่ พระราชบนั ฦๅธาร เชญิ พระแสงขรรค์พธิ ี ส่วนองค์ทเี่ ชญิ พระเต้า
พร้อมพานรองหรืออาจจะเป็นหีบใส่เพชรพลอยดังท่ีมีผู้ตีความไว้แล้วน้ันอาจ
จะเป็นหีบพระราชลัญจกรทีม่ ีนามว่า หีบพระราชมทุ ธา มีเทพยดานามว่า พระ
ราชมทุ ธาธรเชญิ ไว้ เพียงแต่ต่างกันท่รี ปู เทพยดาทงั้ ๒ องค์บนหน้าบันของวัด
ราชประดิษฐจะอยู่ในท่าเหาะ ส่วนรูปเทพยดาที่ทรงสร้างขน้ึ เป็นรูปยืน ท้ังน้ี รปู
เทพยดาทัง้ ๒ องค์ยังพบได้ทีบ่ านพระทวารประดบั มุกของพระพุทธรตั นสถาน
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
152
ในพระบรมมหาราชวงั ทรงยนื ขนาบข้างรปู พระท่ีนั่งราชบัลลงั ก์ทม่ี ชี ้างเผือก ๓
ช้างในปราสาทอยู่ด้านบน ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง
ข้นึ ในระยะเวลาใกล้เคยี งกับการก่อสร้างวดั ราชประดิษฐ๔๔
สรุปความหมายของสัญลักษณ์
บนหน้าบันพระวิหารหลวง
อาจกล่าวได้ว่า สัญลักษณ์ท่ีปรากฏบนหน้าบันพระวิหารหลวงวัดราช
ประดิษฐล้วนมีความหมายเก่ียวข้องกับการเชดิ ชูพระบรมราชอสิ รยิ ยศของ
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทงั้ สนิ้ สญั ลกั ษณบ์ นหนา้ บนั มขุ โถง
รูปพระราชบันฦๅธารและพระราชมุทธาธร ทรงยืนข้างพระท่ีนั่งราชบัลลังก์ซึ่งด้านบนมี
ชา้ งเผอื ก ๓ ช้างในวิมาน เป็นภาพประดับมกุ บนบานพระทวารพระพทุ ธรตั นสถาน พระบรมมหา
ราชวงั สร้างในรชั กาลที่ ๔ (ภาพจาก จติ รกรรมฝาผนังพระพทุ ธรัตนสถานตามแนวพระราชด�ำริ,
๒๕๔๘)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
153
คอื พระมหาพชิ ยั มงกฎุ และวชริ าวธุ ของพระอนิ ทร์ในรปู แบบของพระแสงขรรค์
ต่างท�ำหน้าท่ีสื่อความหมายถึงพระนาม คือ “มงกุฎ” และพระราชฉายาขณะ
ทรงพระผนวชว่า “วชิรญาณ” ผ่านเคร่อื งสริ ิราชกกุธภณั ฑ์สัญลักษณ์แห่งความ
เป็นพระมหากษัตรยิ ์ได้อย่างลึกซึง้ และแหลมคมยิ่ง
แนวคดิ เชงิ สญั ลกั ษณ์ดงั กล่าวยงั ได้รบั การยำ้� อกี ครง้ั บนหน้าบนั ประธาน
แตด่ ว้ ยความหมายทเี่ พม่ิ เตมิ เขา้ มา อนั ไดแ้ ก่ พระมหาพชิ ยั มงกฎุ รวมกบั พระแสง
ขรรค์ซึ่งปรากฏถงึ ๒ องค์ องค์หนึ่ง หมายถึง วชิราวุธในรูปแบบของพระขรรค์
ท่ีส่ือถึงพระปรีชาญาณทางธรรมของพระองค์ในฐานะท่ี “ทรงฉลาดทั้งในพระ
สูตรและพระอภิธรรม” และอีกองค์ คือ พระแสงขรรค์ชัยศรีหนึ่งในเคร่ือง
สิริราชกกุธภัณฑ์อันแสดงถึงพระบรมเดชานุภาพในทางโลกย์ในฐานะท่ีทรง
เป็นพระมหากษัตริย์ แสดงความสูงส่งทั้งทางโลกย์และทางธรรมของพระองค์
ทั้งหมดน้ไี ด้รบั การเชิดชโู ดยช้างเผอื กทั้ง ๖ ช้างทมี่ าสู่พระบารมี เช่นเดยี วกบั
การใช้ “พระราชลัญจกรหงสพิมาน” และ “พระราชลัญจกรสังขพิมาน” ก็สื่อ
ความหมายแทนพระพรหมและพระอินทร์เทพยดาผู้ทรงปรากฏพระองค์เคียง
ข้างพระพุทธองค์ในพุทธประวัติตอนส�ำคัญและได้รับการน�ำมาปรับใช้เป็น
อินทร์-พรหม ผู้ท�ำหน้าท่ีเชิญเครื่องสูงในกระบวนเสด็จพระราชด�ำเนิน และ
เทพยดา ๒ องค์ อันได้แก่ “พระราชบันฦๅธาร” เชิญพระแสงขรรค์พิธี
และ “พระราชมุทธาธร” เชิญหีบพระราชมุทธา ก็เป็นเทพยดาท่ีทรงอภิบาล
รักษาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาต้ังแต่ทรงพระเยาว์จนกระทั่ง
ขึ้นครองราชสมบัติ แสดงถึงพระบุญญาธิการท่ีทรงมีเทพยดาคอยค�้ำจุน
พทิ ักษ์รกั ษา
สัญลักษณ์ท่ีซับซ้อนและเปี่ยมไปด้วยความหมายนี้ นอกจากจะแสดง
ถงึ พระอจั ฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ผู้ทรงเป็น “พระ
จอมปราชญ์” อย่างแท้จริงแล้ว ยังอาจช่วยท�ำให้เราเข้าใจถึงระบบสัญลักษณ์
ของหน้าบนั ประธานของพระอโุ บสถและพระวหิ ารวดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม
พระอารามหลวงประจำ� รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้เป็น
พระบรมราชปิโยรสของพระองค์ทรงสร้างขึ้น ซ่ึงได้รับแบบอย่างและดัดแปลง
จากหน้าบันประธานของพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ๔๕ แต่เปลี่ยนพระมหา
พชิ ัยมงกฎุ เป็นพระจลุ มงกุฎให้สอดคล้องกบั ผู้ทรงสถาปนาพระอาราม เปลยี่ น
พระแสงขรรค์ทงั้ ๒ องค์ให้หันคมพระขรรค์ข้ึน เพม่ิ จำ� นวนช้างเผือกเป็น ๗
ชา้ งทอี่ าจจะสอดคลอ้ งกบั จำ� นวนของชา้ งเผอื กทท่ี รงไดม้ าในเวลานน้ั และเพมิ่ รปู
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
154
ราชสีห์และคชสีห์เชิญฉตั รประกอบ ๗ ช้ันบนลกู โลกซ่งึ สตั ว์ท้งั สองยืนเหยียบ
ไว้ สอื่ ความหมายถงึ ตราพระราชสหี ป์ ระจำ� สมหุ นายกและตราพระคชสหี ป์ ระจำ�
สมุหกลาโหม ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงโครงสร้างการปกครองในสมัยต้นรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตามแบบเก่าในยุคท่ีสยามกำ� ลังเข้าสู่
ยคุ เป็นหัวเลยี้ วหวั ต่อระหว่างความเป็น “ยคุ สมัยอย่างเก่า” และ “ยุคสมยั อย่าง
ใหม่” จากความผันแปรของสัญลักษณ์ท่ีเปล่ียนไปจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่น
ได้ไม่น้อย
พมิ พค์ ร้ังแรกในศิลปวฒั นธรรม ปที ี่ ๓๓ ฉบบั ที่ ๑ (พฤศจิกายน ๒๕๕๔) หน้า
๑๒๖-๑๔๕.
ผู้เขียนขอกราบนมัสการพระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหา
สมี าราม พระครวู นิ ยั ธรอารยพงศ์ อารยธมโฺ ม และ พระมหาอนลุ กั ษ์ ชตุ นิ นโฺ ท ซงึ่ ใหค้ วามเมตตา
อนุเคราะห์และอ�ำนวยความสะดวกในการบันทึกภาพภายในวัดราชประดิษฐ รวมท้ังให้ความ
อนุเคราะหภ์ าพถา่ ยหนา้ บนั ของพระวหิ ารหลวง ขอขอบคณุ คุณปยิ ะ สนิ ธวารยนั ท่ีช่วยบนั ทกึ
ภาพหนา้ บันพระวิหารหลวง วัดพระสมทุ รเจดีย์ จงั หวัดสมทุ รปราการ และคณุ ธชั ชัย ยอดพชิ ัย
ผู้ชว่ ยบรรณาธิการนติ ยสารศลิ ปวัฒนธรรม ท่ชี ่วยให้บทความนสี้ �ำเรจ็ ลงดว้ ยดี อยา่ งไรก็ตาม
ความรับผดิ ชอบตอ่ บทความนี้ย่อมเป็นของผ้เู ขยี นเท่านน้ั
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
155
เชิงอรรถ
๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วย
วัดพระนามบัญญัติ วัดราชประดิษฐ,” ใน ราชประดิษฐพิพิธบรรณ. บรรณาธิการโดย พิชญา
สุ่มจินดา. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, ๒๕๕๓), น. ๑๘-๒๐. (วัดราชประดิษฐสถิต
มหาสีมารามจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสที่วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพครบ ๒๐๖ ปี (วัน
จันทร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓) และคล้ายวันสวรรคต (วันศุกร์ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓)
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว).
๒ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๖ ตอนที่ ๒. ประมวลจารึกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่พบใน
ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง (กรุงเทพมหานคร : คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสาร
ทางประวัติศาสตร์ สำ�นักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), น. ๑๑.
๓ ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔. บรรณาธิการโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. (กรุงเทพ
มหานคร : มลู นธิ โิ ตโยตา้ ประเทศไทยและมลู นธิ โิ ครงการต�ำ ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร,์
๒๕๔๗), น. ๕๑๒-๕๑๔.
๔ สมคดิ จริ ะทศั นกลุ . รปู แบบพระอโุ บสถและพระวหิ ารในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว. (กรุงเทพมหานคร : เมืองโบราณ, ๒๕๔๗), น. ๖๑.
๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วยวัด
พระนามบัญญัติ วัดราชประดิษฐ,” น. ๒๒-๒๖.
๖ “ประกาศเรื่องสร้างวัดทางใต้ตึกดินเก่า มีแผนที่วัดด้วย,” ห้องเอกสารตัวเขียน
หอสมุดแห่งชาติ, หมายรับสั่งรัชกาลที่ ๓, จ.ศ. ๑๒๒๖, อักษรไทย, ภาษาไทย, เส้นดินสอ,
เลขที่ ๔๕.
๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วยวัด
พระนามบัญญัติ วัดราชประดิษฐ,” น. ๑๘-๒๒.
๘ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๘.
๙ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๐-๒๒.
๑๐ เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
๑๑ หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. “ความผูกพันที่รัชกาลที่ ๔ ทรงมีต่อวัดราชประดิษฐ
สถิตมหาสีมาราม,” ใน ราชประดิษฐพิพิธบรรณ, น. ๓๒.
๑๒ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวทรงบรรจพุ ระบรมสารีริกธาตใุ นปาสาณเจดยี ์
เมือ่ พ.ศ. ๒๔๑๐ ดู “ทรงรับสั่งเรื่องต่างๆ,” หอ้ งเอกสารตัวเขียน หอสมดุ แห่งชาติ, หมายรับสัง่
รัชกาลที่ ๓, จ.ศ. ๑๒๒๙, อักษรไทย, ภาษาไทย, เส้นดินสอ, เลขที่ ๔๕.
๑๓ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๖ ตอนที่ ๒, น. ๑๕-๓๕.
๑๔ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ เอกสารตวั เขยี นรว่ มสมยั และพระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเดจ็ พระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ได้เรียกอาคารหลังนี้ว่า “พระวิหารหลวง” แต่เรียกว่า “พระอุโบสถ”
ดู “ประกาศเรื่องสร้างวัดทางใต้ตึกดินเก่า มีแผนที่วัดด้วย,” จ.ศ. ๑๒๒๖.; พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วยวัดพระนามบัญญัติ วัดราช
ประดิษฐ,” น. ๒๒.
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
156
๑๕ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . ชมุ นมุ พระบรมราชาธบิ ายในพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคที่ ๑ หมวดวรรณคดี. (พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร,
๒๔๗๒), น. ๑๑. (สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าโปรดให้พิมพ์
เปนมิตรพลีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๔๗๒).
๑๖ สมคิด จิระทัศนกุล. รูปแบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, น. ๖๒-๖๓.
๑๗ Karl Dohring. Buddhist temples of Thailand : an architectonic introduction.
Walter E.J. Tips trans. (Bangkok : White Lotus, 2000).
๑๘ สมคิด จิระทัศนกุล. รูปแบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, น. ๖๓.
๑๙ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๖๒-๑๘๒.
๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วย
วัดพระนามบัญญัติ วัดราชประดิษฐ,” น. ๒๒.
๒๑ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม. “ ‘มงกุฎ’ พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำ�รัชกาลที่ ๔,” ใน
ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ ๓๒ ฉบับที่ ๔ (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔), น. ๑๓-๑๕.
๒๒ สมคิด จิระทัศนกุล. รูปแบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, น. ๑๗๙. อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่า การประดิษฐาน
พระมหามงกุฎบนยอดพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามเป็นสัญลักษณ์ของยอดวิมานพระอินทร์
บนเหนือยอดเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางแห่งจักรวาล จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอินทรคติที่แพร่
หลายในรชั กาลที่ ๓ ในขณะนนั้ มากกวา่ จะเปน็ ความหมายทเี่ กยี่ วขอ้ งเฉพาะบคุ คล คอื พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในภายหลัง ดู พิชญา สุ่มจินดา. “บุษบกธรรมาสน์ ‘ยอดมงกุฎ’
ในการเปรียญวัดราชประดิษฐฯ : จาก ‘อินทรคติ’ ในรัชกาลที่ ๓ สู่ ‘พระบรมราชสัญลักษณ์’
ประจ�ำ รชั กาลที่ ๔,” ใน ศลิ ปวัฒนธรรม. ปีที่ ๓๑ ฉบบั ที่ ๑๒ (ตุลาคม ๒๕๕๓), น. ๑๒๖-๑๔๕.
๒๓ สมคิด จิระทัศนกุล. รูปแบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, น. ๑๐๐. ใน กฎหมายตราสามดวง ลักษณะพระธรรมสาตร ได้กล่าวถึง
ความหมายของแว่นแก้วและพระขรรค์แก้วไว้ว่า “สมเด็จ์พระเจ้ามหาสมมุติราชว่าพระองค
บังคับบัญชาเปนธรรม...ดำ�รงพระไทยฟังอรรฐคดีซึ่งกระลาการพิจารณาโดยยุติธรรมนั้น
เปนแว่นแก้ว แล้วเอาคำ�ภีรพระธรรมสาตรเปนพระเนตร ดูเทศกาลบ้านเมืองโดยสมควรแล้ว
จึ่งเอาพระกรเบื้องขวาคือพระสะติสัมปะชัญะทรงพระขรรคแก้วคือพระวิจารณะปัญาวินิจฉัย
ตัดข้อคดีอนาประชาราษฎรทังปวงโดยยุติธรรม” ดู กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตย
สถาน, ๒ เลม่ . (กรงุ เทพฯ : อมรนิ ทร,์ ๒๕๕๐), ๑ : ๑๕๘-๑๕๙. (ราชบณั ฑติ ยสถานจดั พมิ พเ์ พอื่
เฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงประกาศใช้
กฎหมายตราสามดวงครบ ๒๐๐ ปี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรง
ครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี).
๒๔ ณัฏฐภัทร จันทวิช. ตาลปัตรพัดยศ ศิลปบนศาสนวัตถุ. (กรุงเทพมหานคร : ริเวอร์
บุ๊คส์, ๒๕๓๘), น. ๑๕๖.
๒๕ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม. “ ‘มงกุฎ’ พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำ�รัชกาลที่ ๔,”
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
157
น. ๑๓-๑๕.
๒๖ สมคดิ จริ ะทศั นกลุ . รปู แบบพระอโุ บสถและพระวหิ ารในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว, น. ๑๘๐.
๒๗ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม. “ ‘มงกุฎ’ พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำ�รัชกาลที่ ๔,”
น. ๑๓-๑๕.
๒๘ คัมภีร์อัคนีปุราณะ ของศาสนาพราหมณ์ให้อรรถาธิบายเรื่องกำ�เนิดรัตนชาติฉบับที่
นิยมแพร่หลายในอินเดีย กล่าวถึงกำ�เนิดของเพชรในเชิงเทพปกรณัมไว้ว่า ครั้งหนึ่งพระอินทร์
ทรงพ่ายแพ้แก่วฤตาสูรทำ�ให้เทพยดาในสวรรค์พากันหลบหนีจากวิมาน จึงทรงทูลขอความ
ช่วยเหลือจากพระพรหมซึ่งทรงแนะนำ�ให้พระอินทร์เสด็จไปหาพระฤษีทาธิจิซึ่งใกล้จะสำ�เร็จ
ตบะที่บำ�เพ็ญมาอย่างยาวนานเพื่อขอกระดูกสันหลังของท่านมาใช้เป็นเทพศาสตราอันแข็ง
แกร่งและไม่อาจทำ�ลายได้ คือวัชระหรือสายฟ้าปราบวฤตาสูร พระวิศวกรรมเทพได้ทรง
จำ�หลักกระดูกสันหลังนั้นเป็นเทพศาสตรา คือวัชระ ระหว่างที่จำ�หลักเศษวัชระร่วงหล่นลง
มายังโลกมนุษย์ ๔ แห่ง กลายเป็นเหมืองเพชร ๔ เหมือง เหตุนี้ เพชรจึงได้นามตามอาวุธของ
พระอินทร์อันเป็นต้นกำ�เนิดว่า “วัชระ” ส่วนรัตนชาติชนิดอื่นก็บังเกิดจากเศษวัชระที่ร่วง
หล่นจากสวรรค์แต่ครั้งนั้น ดู Harash Johari. The Healing Power of Gemstones. (Vermont,
United States : Destiny Books, 1988), p. 9.
๒๙ ม.ร.ว. แนง่ นอ้ ย ศกั ดศิ์ ร.ี สถาปตั ยกรรมพระบรมมหาราชวงั , ๒ เลม่ . (กรงุ เทพมหานคร :
สำ�นักราชเลขาธิการ, ๒๕๓๑), ๑ : ๔๒. (รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดชฯ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มอบให้สำ�นักราชเลขาธิการจัดพิมพ์น้อมเกล้าฯ
ถวายสนองพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา วันเสาร์
ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ และเนื่องในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก วันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๓๑).
๓๐ รูปจตุราวุธดังกล่าว ได้แก่ วชิราวุธในรูปแบบของพระขรรค์เป็นอาวุธของพระอินทร์
ทุสสาวุธหรือผ้าวิเศษเปล่งรัศมีของอาฬวกยักษ์ คทาวุธหรือกระบองของท้าวเวสสุวัณ และ
นัยนาวุธหรือดวงเนตรของพระยม ดังกล่าวถึงใน อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ยักขสังยุต อาฬวกสูตรที่ ๑๒ และ อรรถกถาอาฬวกสูตร จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย
สุตตนิบาต อุรควรรค ดู 84000.org [ออนไลน์]. “อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ยักขสังยุต อาฬวกสูตรที่ ๑๒,” จาก : <http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=
15&i=838>; “อรรถกถาอาฬวกสูตร จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค,”
จาก : <http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=310> [ตุลาคม ๒๕๕๔].
๓๑ นา่ สงั เกตวา่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กท็ รงสรา้ งพระขรรคข์ นึ้ องคห์ นงึ่
เลียนแบบพระแสงขรรค์ชัยศรี เรียกว่า พระแสงขรรค์เพชร หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ทรงใชน้ ามแฝงวา่ “พระขรรคเ์ พชร” สอื่ ความหมายถงึ พระนามเดมิ คอื “มหาวชริ าวธุ ”
๓๒ อภินันท์ โปษยานนท์. จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำ�นัก.
๒ เลม่ . พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒. (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร,์ ๒๕๓๗), ๒ : ๒๐๕, รปู ที่ ๒๓๙. (ส�ำ นกั พระราชวงั
จัดพิมพ์เนื่องในมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนม
พรรษา ๕ รอบ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕).
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
158
๓๓ ส�ำ นกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตร.ี พระราชลญั จกร. (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร,์ ๒๕๓๘), น.
๑๒๒. (ส�ำ นกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรจี ดั พมิ พเ์ พอื่ เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทร
มหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลย
ราชสมบัติ ๕๐ ปี วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๙ และในมหามงคลวโรกาสพระราชทาน
พระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างและจัดพระราชพิธีจารึกพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ทองคำ�
ประจำ�รัชกาล วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๘).
๓๔ สมคิด จิระทัศนกุล. รูปแบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, น. ๑๗๗.
๓๕ ม.ร.ว. แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. สถาปัตยกรรมพระบรมมหาราชวัง. ๒ : ๒๘๘-๒๘๙.
๓๖ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ฉบับ
เจา้ พระยาทพิ ากรวงศฯ์ (ข�ำ บนุ นาค). (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั พมิ พด์ ,ี ๒๕๔๗), น. ๙๑, ๑๐๗,
๑๙๒-๑๙๓, ๒๐๒-๒๐๔, ๒๔๒-๒๔๓, ๒๖๖-๒๖๗, ๒๖๙-๒๗๐.
๓๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วย
วัดพระนามบัญญัติ วัดราชประดิษฐ,” น. ๒๒-๒๖.
๓๘ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม. “ ‘มงกุฎ’ พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำ�รัชกาลที่ ๔,” น.
๑๓-๑๕.
๓๙ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๖ ตอนที่ ๒, น. ๓.
๔๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๕. (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร,์ ๒๕๓๙),
น. ๑๐๔. (คณะกรรมการอำ�นวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี จัดพิมพ์เป็นที่ระลึก
เนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙).
๔๑ 84000.org [ออนไลน์]. “อรรถกถานิทานกถา ว่าด้วยทเู รนิทาน อวิทเู รนิทาน สันติเก
นิทาน,” จาก : <http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27.0&i=0&p=7>. [ตุลาคม
๒๕๕๔].
๔๒ “อินทร์” และ “พรหม” ในอดีตผู้เป็นพรหมต้องคัดจากกรมวัง ส่วนอินทร์คัดจาก
มหาดเล็ก ต่อมาจึงใช้แต่มหาดเล็กมีทั้งหมดข้างละ ๘ ตน รวม ๑๖ ตน โดยให้ผู้เป็นอินทร์และ
พรหมเชญิ จามรหรอื พมุ่ ดอกไมเ้ งนิ พมุ่ ดอกไมท้ อง ทางเบอื้ งซา้ ยและขวาของพระราชยาน ตาม
ล�ำ ดบั ดูม.ร.ว.แสงสรู ย์ลดาวลั ย.์ กระบวนพยหุ ยาตรา.(กรงุ เทพมหานคร คณะกรรมการเอกลกั ษณ์
ของชาติ ส�ำ นกั นายกรฐั มนตร,ี ๒๕๒๕), น. ๙.; สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รา
นุวัดติวงศ์ทรงสันนิษฐานเกี่ยวกับเรื่องอินทร์-พรหมในกระบวนแห่ของหลวงว่า “อินทร์พรหม
ที่มีในกระบวนแห่ของหลวง จะหมายความถึงอะไรนั้นบอกไม่ถกู เปนแต่คิดเห็นว่า ที่ชื่อพรหม
นั้นเห็นจะเปนชื่อมีมาก่อนเก่า ด้วยได้เห็นในกฎมณเฑียรบาลมีพูดถึงกลิ้งพรหม แต่จะได้แก่
พวกอินทร์พรหมนี้หรือมิใช่ก็ได้แต่ทึกเอาว่าใช่เท่านั้น อันชื่ออินทร์นั้น เห็นจะเรียกขึ้นภายหลัง
อย่างเถื่อนๆ ด้วยชื่อพรหมนำ�ไปนั้นอย่างหนึ่ง กับใส่เสื้อเขียวนำ�ไปอีกอย่างหนึ่ง” ดู สมเด็จฯ
เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศแ์ ละพระยาอนมุ านราชธน. บนั ทกึ เรอื่ งความรตู้ า่ งๆ, ๕ เลม่ .
(พระนคร : สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, ๒๕๐๖), ๒ : ๗๘.
๔๓ “ประกาศเชญิ เทวดาใหส้ งิ ในรปู เทวดาทกี่ มั พฉู ตั รแลรปู เทวดาถอื หบี พระราชลญั จกร,”
ใน ประกาศพระราชพิธี ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์, ๒ เล่ม. พิมพ์ครั้ง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
159
ที่ ๓. (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๕๑), ๑ : ๑๖๓-๑๖๔. ต้องไม่ลืมว่าเมื่อขึ้นครองราชสมบัติ
แล้วตามคติความเชื่อแต่โบราณพระมหากษัตริย์จะทรงมีเทพยดาประจำ�พระนพปฎลมหา
เศวตฉัตรอันสิงสถิตอยู่ที่กำ�พูของพระมหาเศวตฉัตรทำ�หน้าที่อภิบาลรักษาพระองค์ ต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างเป็นรูปเทพยดาเหาะถือพระขรรค์ตรึงติดไว้
กับกำ�พฉู ัตร เรียกว่า เทพยดาหรือเทวดาประจำ�กำ�พูฉัตร.
๔๔ สายไหม จบกลศึก และคณะ. จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนวพระ
ราชด�ำ ร,ิ ๓ เลม่ . (กรงุ เทพมหานคร : กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๘), ๑ : ๑๘๑. (กรมศลิ ปากรจดั พมิ พเ์ ฉลมิ
พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมีพระราชกระแสให้กรมศิลปากรเขียน
ภาพจิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนวพระราชดำ�ริ พ.ศ. ๒๕๔๘).
๔๕ ในระยะแรกของรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบบสัญลักษณ์
ต่างๆ ที่ทรงใช้ยังคงอ้างอิงกับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตัวอย่างที่เห็นเด่น
ชัดนอกจากหน้าบันของวัดราชประดิษฐและวัดราชบพิธแล้ว ยังเห็นได้จากพระราชลัญจกร
ประจำ�รัชกาลรูปพระจุลมงกุฎขนาบด้วยพระแว่นสุริยกานต์และสมุดตำ�ราก็ดัดแปลงมาจาก
พระราชลัญจกรของสมเด็จพระบรมชนกนาถอย่างชัดเจน เพียงแต่เปลี่ยนพระมหาพิชัยมงกุฎ
เป็นพระจุลมงกุฎเท่านั้น ดู สำ�นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. พระราชลัญจกร, น. ๑๒๐-๑๒๑.
พระจอมเกล้า
กับ “ตรีกาย”
และ “พระธรรมกาย”
พชิ ญา สุ่มจินดา
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
162
อนสุ นธจิ ากบทความของ ผศ. พสั วสี ริ ิ เปรมกลุ นนั ท ์ แหง่ ภาควชิ าประวตั ิ
ศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง “ภาพพระพุทธเจ้า
มหายานในวัดธรรมยุตที่วัดปทุมวนาราม” ตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม
ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๕๘๑ นับเป็นก้าวใหม่ของการศึกษาภาพจิตรกรรม
ดงั กล่าว หลงั จากตกอยู่ในวงั วนของการเป็นภาพปรศิ นา (ทไี่ ม่ใช่ปรศิ นาธรรม)
มานานหลายปี
ภาพจิตรกรรมที่กล่าวถึงวาดบนผนังสกัดหลังของพระวิหารพระเสริม
วัดปทุมวนาราม ความพิเศษของภาพคือการน�ำภาพพระพุทธเจ้าและพระโพธิ
สัตว์ในลัทธิตันตรยาน๒ มาปรับใช้กับจิตรกรรมของวัดธรรมยุตซึ่งอยู่ในขอบ
ข่ายของนิกายเถรวาทได้อย่างน่าสนใจ และยังแสดงถึงความรู้ของพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงสถาปนาและอุปถัมภ์นิกายน ้ี ท่ีทรงมีต่อ
พุทธปรัชญาและประติมานิรมาณวิทยาของลัทธิตันตรยาน ท้ังท่ีลัทธิดังกล่าว
ได้เสื่อมสูญไปจากดินแดนประเทศไทยปัจจุบันต้ังแต่ช่วงประมาณปลายพุทธ
ศตวรรษท ่ี ๑๘ แลว้ ความรเู้ รอื่ งลทั ธติ นั ตรยานของพระองค ์ ไดร้ บั การอธบิ าย
จากบทความของ ผศ. พสั วสี ริ วิ า่ อาจทรงไดร้ บั ผา่ นการสนทนาธรรมกบั พระภกิ ษุ
องฮงึ พระภกิ ษฝุ ่ายอนมั นกิ ายผู้ถวายวสิ ชั นาเกย่ี วกบั พทุ ธศาสนาลทั ธมิ หายาน
มาต้งั แต่ทรงพระผนวช๓
การศึกษาท่ีผ่านมาแม้จะช่วยไขความกระจ่างในประเด็นด้านประติมา
นิรมาณวิทยา (iconography) ได้ในระดับหน่ึง แต่ก็ยังขาดการศึกษาเชิงนาม
ธรรมท่ีแฝงนัยด้านพุทธปรัชญาของลัทธิมหายาน-ตันตรยานซึ่งสามารถนำ� มา
วิเคราะห์และตีความได้อีก รวมไปถึงการตอบค�ำถามว่าเหตุใดพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเลือกใช้ประติมานิรมาณวิทยาของรูปเคารพใน
ลัทธิมหายาน-ตันตรยานในการวาดภาพจิตรกรรม ทั้งท่ีเน้ือหาของภาพไม่สอด
รับกับภาพอ่ืนๆ บนผนังท่ีเหลือซ่ึงเป็นนิทานพ้ืนบ้านอย่างศรีธนญชัย และการ
เสด็จพระราชด�ำเนนิ ทรงทอดผ้าป่าวิเศษของหลวงยังวัดปทุมวนาราม๔
บทความน้ีจึงเป็นการต่อยอดประเด็นท่ีมีการศึกษาด้านประติมานิรมาณ
วิทยา (iconography) ไว้แล้ว เพ่ือน�ำไปสู่การศึกษาด้านประติพิมพวิทยา
(iconology) หรือการสืบสาวเหตุผลเบื้องหลังในการสร้างภาพ เพื่อหยั่งทราบ
แนวพระราชด�ำริ (แนวคิด) ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้น่า
จะทรงมีส่วนส�ำคัญในการก�ำหนดเนื้อหาของภาพจิตรกรรมดังกล่าว การศึกษา
ต่อไปข้างหน้าจะแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
163
ความรู้และความเข้าใจพุทธปรัชญาและประติมานิรมาณวิทยาในพุทธศาสนา
ลัทธิมหายาน-ตันตรยานดี ในระดับท่ีทรงใช้เป็นสื่อสัญลักษณ์ผ่านภาพจิตร
กรรมได้อย่างแยบคาย โดยเฉพาะอย่างย่ิงการส่ือความหมายของพุทธปรัชญา
“ตรีกาย” ในลัทธิมหายาน และการใช้สัญลักษณ์ที่ส่ือถึง “พระธรรมกาย” อัน
เปน็ ๑ ใน ๓ ของพทุ ธปรชั ญาตรกี ายทพ่ี บทงั้ ในลทั ธมิ หายาน-ตนั ตรยาน รวม
ไปถงึ นกิ ายเถรวาทผ่านภาพจิตรกรรมได้อย่างซบั ซ้อนย่ิง
ประติมานิรมาณวิทยาของภาพจิตรกรรม
ประเดน็ ทางด้านประตมิ านริ มาณวทิ ยาบางเรอ่ื ง อาจซำ�้ ซ้อนกบั บทความ
“ภาพพระพทุ ธเจา้ มหายานในวดั ธรรมยตุ ทว่ี ดั ปทมุ วนาราม” อยบู่ า้ ง แตก่ จ็ ำ� เปน็
ส�ำหรับการปูพ้ืนเพ่ือน�ำไปสู่ความเข้าใจในประเด็นที่ซับซ้อนย่ิงข้ึนอย่างเร่ือง
ตรกี ายท่จี ะต้องอธิบายในล�ำดับต่อไป
ภาพจิตรกรรมที่กล่าวถึงวาดอยู่ทางตอนล่างของผนังสกัดหลัง จึงถูก
บดบังจากบุษบกประดิษฐานพระเสริมเม่ือมองจากทางด้านหน้า ภาพท้ังหมด
อยู่ภายในเรือนแก้วทรงคดโค้งยอดแหลมต่างเส้นสินเทา ก้ันกลุ่มภาพนี้ออก
จากภาพอื่นท่ีอยู่บนผนังเดียวกัน ภายในเรือนแก้วแบ่งออกเป็น ๔ ชั้น แต่ละ
ชัน้ บรรจภุ าพต่างกัน เรียงตามลำ� ดับจากบนลงล่างได้ดังต่อไปน ี้
ชั้นที่ ๔ แสดงภาพ “พระอุณาโลม” สีขาวขดเป็นวงเวียนทักษิณาวัฏ
(เวียนขวาตามเข็มนาฬิกา) แล้วหยักช้ีขึ้น ลอยเหนือปัทมาสน์รูปดอกบัวบาน
เปล่งรัศมีเป็นแสงเรืองรองแบบสมจริง ภายในขดพระอุณาโลม ปรากฏอักขระ
ขอมเป็นค�ำย่อว่า “อ อุ ม” ประกอบกันหมายถึงพยางค์ศักด์ิสิทธิ์ “โอมฺ” ๕
ใต้ภาพพระอุณาโลมมีอักษรขอม ภาษาบาลี ในกรอบลายฝรั่งพื้นแดง เขียน
ว่า “ธยานิพุทธา”๖
ช้ันที่ ๓ แสดงภาพ “ธยานิพุทธา” เป็นค�ำท่ีนักวิชาการด้านพุทธศาสน
ศกึ ษายคุ บกุ เบกิ ใชเ้ รยี กพระตถาคต ๕ พระองคข์ องพทุ ธศาสนาลทั ธติ นั ตรยาน
กอ่ นทว่ี งวชิ าการดา้ นพทุ ธศาสนศกึ ษาในปจั จบุ นั จะเปลยี่ นมาใชค้ �ำวา่ “พระชนิ ะ”
หรอื “พระปัญจชนิ ะ” อนั มคี วามหมายถงึ พระพทุ ธเจ้าผ้ชู นะ ๕ พระองคแ์ ทน๗
ในบทความนีจ้ ะเรียกว่าพระชนิ ะทงั้ ๕ หรือพระปัญจชินะ
พระชินะท้ัง ๕ มีพุทธลักษณะคล้ายกัน กล่าวคือ ประทับสมาธิราบ
ปางสมาธิ ทรงครองจีวรห่มเฉียงพาดสังฆาฏิ ไม่ปรากฏพระอุษณีษะตามแบบ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
164
จิตรกรรมภาพ “ตรีกาย” ประกอบด้วย ชั้นที่ ๔ ภาพพระอุณาโลมเปล่งรัศมีพร้อมอักขระ
อ อุ มะ ช้ันที่ ๓ ภาพพระชินะท้ัง ๕ (พระธยานิพุทธา) ช้ันท่ี ๒ ภาพพระมหาโพธิสัตว์ท้ัง ๕ และ
ชน้ั ท่ ี ๑ ภาพสตั วท์ ัง้ ๕ สญั ลักษณแ์ ทนพระพุทธเจ้าท้ัง ๕ ในภัททกัปป์ (ทมี่ า : สำ� นกั งานทรัพยส์ ิน
ส่วนพระมหากษัตรยิ ์. ปทมุ วนานุสรณ์ โครงการบรู ณปฏสิ งั ขรณ์วัดปทุมวนาราม. น. ๙๙.)
พระพุทธรูปธรรมยุต พระเกตุมาลารูปเปลว ประทับบนปัทมาสน์ห้อยผ้าทิพย์
ภายในเรือนแก้วเปล่งรัศมีปรกโพธ์ิเหมือนกันทุกองค์ ใต้ภาพของแต่ละองค์มี
อักษรขอม ภาษาบาลี จารึกพระนามก�ำกับไว้ในกรอบลายฝรั่ง เรียงล�ำดับจาก
ซา้ ยไปขวา ไดแ้ ก ่ ไวโรจนะ อกั โษภยะ รตั นสมั ภวะ อมติ าภะ และอโมฆสทิ ธ๘ิ
ตรงกบั พระนามของพระชินะท้งั ๕ ของลัทธติ นั ตรยาน
ตามประติมานิรมาณวิทยาของลัทธิตันตรยาน พระปัญจชินะเหล่าน้ี
ควรต้องแสดง “มุทรา” หรือปางท่ีแตกต่างกัน เพ่ือให้สามารถระบุได้ว่าเป็น
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
165
พระชินะองค์ใด อันได้แก่ พระไวโรจนะ ปางหมุนธรรมจักร พระอักโษภยะ
ปางมารวิชัย พระรัตนสัมภวะ ปางประทานพร พระอมิตาภะ ปางสมาธิ และ
พระอโมฆสิทธิ ปางประทานอภัย แต่ในภาพจิตรกรรมทุกองค์ล้วนแสดงปาง
สมาธิ ในทีน่ ้จี ึงมีเพียงจารึกก�ำกับภาพเท่าน้ันทีจ่ ะระบไุ ด้ว่าคือพระชินะองค์ใด
ช้ันที่ ๒ แสดงภาพ “พระมหาโพธิสัตว์” ทุกองค์มีลักษณะคล้ายคลึง
กัน ยกเว้นวัตถุที่ทรงถือในพระหัตถ์ซ่ึงต่างกัน กล่าวคือ มีพระวรกายสีขาว
แต่งพระองค์อย่างเทวดาไทย และสวมฉลองพระบาท ยกพระบาทขวาข้ึนเล็ก
น้อย พระหัตถ์ขวายกข้ึนถือวัตถุ เว้นแต่องค์สุดท้ายท่ีทรงยกพระหัตถ์ทั้งสอง
ข้ึนเสมอกัน พระโพธิสัตว์ทุกองค์ทรงยืนในเรือนแก้วท่ีมีรายละเอียดใกล้เคียง
กบั เรอื นแกว้ ของพระปญั จชนิ ะ แตไ่ มม่ ปี รกโพธแ์ิ ละยดื สงู กวา่ คงเพอื่ ใหร้ บั กบั
ท่ายนื ของพระโพธิสัตว์
พระมหาโพธสิ ตั วท์ งั้ ๕ เรยี งลำ� ดบั ตามจารกึ กำ� กบั ใตภ้ าพจากซา้ ยไปขวา
ได้แก่ สมันตภัทร วัชรปาณี รัตนปาณี ปัทมปาณี และวิศวปาณี ทรงถือจักร
พระธ�ำมรงค์ เพชรพลอย ดอกบัว และเทียนคู่ ตามล�ำดับ อย่างไรก็ดี ส่ิงที่
ทรงถือในพระหัตถ์ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในตำ� ราประติมานิรมาณวิทยา ซึ่งคงเกิด
จากความเข้าใจและการสื่อความที่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ พระวัชรปาณีจะต้อง
ทรงถือวัชระแทนที่จะเป็นพระธำ� มรงค์ และพระวิศวปาณีต้องทรงถือวิศววัชระ
หรือวัชระคู่แทนท่ีจะเป็นเทียนคู่๙
ช้ันท่ี ๑ อยู่ใต้ภาพพระมหาโพธิสัตว์ท้ัง ๕ แสดงภาพสัตว์ทั้ง ๕ สัญ
ลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ ในภัททกัปป์ (ภัทรกัลป์) เรียงล�ำดับจากซ้าย
ไปขวา ได้แก่ ไก่แทนพระกกุสันธะ (กรกุจฉันทะ) นาคแทนพระโกนาคมนะ
(กนกมุนี) เต่าแทนพระกัสสปะ (กาศยปะ) โคแทนพระโคตมะ (ศากยสิงห์)
และสิงห์แทนพระศรีอารยิ เมตไตรย (ไมเตรยะ)๑๐
สัตว์สัญลักษณ์ดังกล่าวมีที่มาจาก “ต�ำนานพระเจ้าห้าพระองค์” หรือ
ต�ำนานพญากาเผือก แพร่หลายอยู่ในทุกภาคของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ทนี่ บั ถอื นกิ ายเถรวาทอยา่ งพมา่ ลาว และกมั พชู า มชี อื่ เรยี กแตกตา่ งกนั ไปตาม
แต่ละภูมิภาค๑๑ เข้าใจว่าต�ำนานน้ีไม่ปรากฏในนิกายเถรวาทของลังกา แต่เป็น
การเล่าเรื่องพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าท้ัง ๕ ในกัปป์ปัจจุบันแบบพื้นบ้าน
ตง้ั แต่ก่อนเป็นพระพทุ ธเจ้าจนถงึ ตรัสรู้และปรินิพพาน๑๒
น่าสนใจว่าแม้ภาพในช้ันที่ ๒-๔ จะแสดงพุทธปรัชญาและประติมา
นิรมาณวิทยาของลัทธิมหายาน-ตันตรยานดังจะได้กล่าวต่อไป แต่การเลือกใช้
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
166
สัญลักษณ์รูปสัตว์แทนพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ ในช้ันท่ี ๑ กลับใช้ต�ำนานของนิกาย
เถรวาท ซ่ึงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการนับถือพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ ในกัปป์
ปัจจุบัน พบได้ทั้งในค�ำสอนของนิกายเถรวาทและลัทธิมหายาน-ตันตรยาน ใน
ฐานะ “พระมานษุ พิ ุทธะ” ผู้ทรงเป็นสัญลกั ษณ์แห่งการเริ่มกัปป์ของโลก๑๓
ตรีกายในภาพจิตรกรรม
สิ่งท่ีผู้ศึกษาประติมานิรมาณวิทยาของงานพุทธศิลป์ท้ังในลัทธิมหายาน
และลทั ธติ นั ตรยานควรตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจในเบอื้ งตน้ เมอ่ื จะศกึ ษารปู เคารพของ
ทั้ง ๒ ลัทธิน้ีก็คือพุทธปรัชญา “ตรีกาย” นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าตรีกาย
มีก�ำเนิดในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑๑๔ จากนิกายโยคาจารท่ีเสนอความเป็น
นิรันดรของจิต และการแสวงหาการหลุดพ้นของจิตด้วยตนเอง หรืออาจมี
เค้ามูลจากนิกายมหาสังฆิกวาทท่ีกล่าวถึงการด�ำรงอยู่ของพระตถาคตในฐานะ
พทุ ธสภาวะอันเป็นนิรันดร มีพระชนม์เป็นอนันตกาลไม่ดับสญู หรือเสื่อมสลาย
พระตถาคตท่ีปรากฏพระองค์บนโลกมนุษย์เป็นเพียงการแสดงปาฏิหาริย์ของ
พระตถาคตผู้ทรงเป็นโลกุตรสภาวะ๑๕ ขณะที่บางท่านเช่ือว่าตรีกายไม่ใช่เรื่อง
ใหม่ แต่มอี ยู่แล้วในแนวคดิ ดัง้ เดิมของศาสนาพราหมณ์๑๖
ในกายตรยสูตร ของลัทธิมหายาน พระศากยมุนีมีพุทธด�ำรัสกับพระ
อานนท์ว่าทรงมีพระกายสามมิใช่กายเดียว๑๗ พุทธปรัชญา “ตรีกาย” ประกอบ
ด้วย
ธรรมกาย (กายธรรม) คือ สภาวะของพระตถาคตในฐานะที่เป็นแก่น
สารของหลักธรรม ด�ำรงอยู่ตลอดไปไม่เส่ือมสูญ ดังสาธยายในวิมลเกียรติ
นิทเทสสูตร ของลัทธิมหายานว่าพระวรกายแท้จริงของพระตถาคตทั้งหลาย
คือพระธรรมกาย๑๘ ธรรมกายเป็นสัทธรรมในตนเอง ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มี
จดุ สนิ้ สดุ ๑๙ ในลทั ธมิ หายานพระตถาคตทกุ พระองคล์ ว้ นดำ� รงพทุ ธสภาวะธรรม
กาย ส่วนลัทธิตันตรยานซึ่งแยกพุทธสภาวะตรีกายของพระตถาคตค่อนข้าง
ชัดเจน จัดให้พระตถาคต เช่น พระมหาไวโรจนะ พระวัชรธร และพระสมันต
ภทั รวชั รสตั ว์เป็นธรรมกาย
ธรรมกายยังเป็นมูลฐานให้กับกายที่เหลืออีกสองกาย คือ สัมโภคกาย
และนริ มาณกาย เนอื่ งจากธรรมกายเปน็ พทุ ธสภาวะไรต้ วั ตน ไมอ่ าจโปรดสรรพ
สัตว์ได้ แต่ด้วยการด�ำรงพุทธสภาวะดุจเทวะผู้สร้างสรรค์จึงยังสามารถเนรมิต
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
167
รายละเอียดของจิตรกรรมภาพ “ตรีกาย” ช้ันที่ ๔ แสดงภาพพระอุณาโลมพร้อมด้วยอักขระ
อ อ ุ ม และกรอบบรรจขุ อ้ ความ “ธยานพิ ทุ ธา” ชน้ั ท ี่ ๓ แสดงภาพพระชนิ ะทงั้ ๕ (พระธยานพิ ทุ ธา)
ใต้ภาพเป็นกรอบบรรจุพระนาม ล�ำดับจากซ้ายไปขวา ได้แก่ ไวโรจนะ อักโษภยะ รัตนสัมภวะ
อมติ าภะ และอโมฆสิทธิ ตรงกับพระนามของพระชินะทงั้ ๕ ในลทั ธิตันตรยาน
รายละเอียดของจิตรกรรมภาพ “ตรีกาย” ช้ันท่ี ๒ แสดงภาพพระมหาโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พร้อม
กรอบบรรจพุ ระนามใตภ้ าพ ลำ� ดบั จากซา้ ยไปขวา ไดแ้ ก ่ สมนั ตภทั ร วชั รปาณ ี รตั นปาณ ี ปทั มปาณี
และวิศวปาณี ชั้นท่ี ๑ แสดงภาพสัตว์ท้ัง ๕ สัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ ในภัททกัปป์ ได้แก่
ไก่แทนพระกกุสันธะ นาคแทนพระโกนาคมนะ เต่าแทนพระกัสสปะ โคแทนพระโคตมะ และสิงห์
แทนพระศรอี าริยเมตไตรย
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
168
กายท่ีเหลืออีกสองกายเพื่อส่ังสอนพระธรรมแทนพระองค์ ในรูปของสัมโภค
กายและนริ มาณกาย
สัมโภคกาย (กายทิพย์) คือ สภาวะของพระตถาคตในฐานะร่างเนรมิต
ของธรรมกาย เพ่ือใช้สั่งสอนธรรมแทนพระองค์ สภาวะนี้จึงมีจุดเร่ิมต้น ไร้ขีด
จ�ำกัด แต่ก็เป็นนิรันดร์๒๐ กายเนรมิตนี้มีเพียงพระตถาคต พระโพธิสัตว์ และ
เทพเจ้าเท่านนั้ ทสี่ ามารถทอดพระเนตรได้ เช่น มหาบุรษุ ลกั ษณะ ๓๒ ประการ
และอสีตยานุพยัญชนะ หรือลักษณะย่อยอีก ๘๐ ประการ หรือแม้แต่พระ
ฉพั พรรณรงั ส ี มนษุ ยป์ ถุ ชุ นทว่ั ไปไมอ่ าจมองเหน็ ความพเิ ศษดงั กลา่ วไดโ้ ดยตรง
นอกจากผ่านทางพระพทุ ธรูปอันเป็นรปู จำ� ลองของสัมโภคกายเท่าน้นั ๒๑
สมั โภคกายเองกม็ คี วามสามารถในการเนรมติ พระตถาคต พระโพธสิ ตั ว์
หรอื เทพเจา้ เพอ่ื สงั่ สอนพระธรรมในรปู ของสมั โภคกายไดเ้ ชน่ กนั แตใ่ นกรณขี อง
พระตถาคตมักปรากฏในรปู ของนริ มาณกาย
นิรมาณกาย (กายเน้ือ) ในอดีตเรียกว่า “รูปกาย” เป็นกายท่ีธรรมกาย
หรือสัมโภคกายเนรมิตข้ึนในรูปของพระมานุษิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าผู้เป็น
มนุษย์ท่ียังเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกับทุกสรรพสัตว์ เพ่ือให้
มนุษย์ตระหนักถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสังขารและใช้สั่งสอนศาสนาในโลก
มนษุ ยแ์ ทนพระองค์๒๒ ดงั คำ� สอนของลทั ธติ นั ตรยานวา่ “พระศากยมนุ พี ทุ ธเจา้
เสด็จลงมายังชมพูทวีปในรูปของนิรมาณกาย ได้ทรงประกอบกิจอันยิ่งใหญ่
๘ ประการ และทรงตรัสรู้ ส่ิงทั้งมวลนี้ล้วนเป็นมายาจากองค์พระสมันตภัทร
วัชรสัตว์” ๒๓ กายนี้จึงมีท้ังจุดเริ่มต้นและจุดส้ินสุด ไม่เป็นนิรันดร์๒๔ พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอดีตพุทธะ พระปัจจุบันพุทธะคือพระศากยมุนี
หรือพระอนาคตพุทธะที่ประสูติและทรงสั่งสอนพระธรรมในโลกมนุษย์จึงล้วน
เป็นนริ มาณกาย
พทุ ธปรชั ญาตรกี ายทกี่ ลา่ วถงึ ขา้ งตน้ มคี วามสอดคลอ้ งกบั ภาพจติ รกรรม
ของวัดปทมุ วนารามดงั ต่อไปนี ้
“นริ มาณกาย” แสดงออกดว้ ยภาพสตั วท์ งั้ ๕ สญั ลกั ษณแ์ ทนพระพทุ ธเจา้
ทง้ั ๕ ในภทั ทกปั ป์ ในฐานะพระมานษุ พิ ทุ ธะผู้ทรงสงั่ สอนพระสทั ธรรมในโลก
“สัมโภคกาย” แสดงออกด้วยภาพ “พระชินะท้ัง ๕” ทุกองค์ล้วนเป็น
สัมโภคกายท่ีธรรมกายเนรมิตข้ึนเพื่อสั่งสอนพระธรรมแก่บรรดาพระโพธิสัตว์
และเทพเจ้า และพระมหาโพธิสัตว์ท้ัง ๕ ทรงเป็นสัมโภคกายท่ีพระชินะแต่ละ
องค์ทรงเนรมิตขนึ้ เพื่อช่วยเหลือสรรพสตั ว์ให้พ้นจากกองทุกข์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
169
“ธรรมกาย” แสดงออกด้วยภาพพระอณุ าโลมเปลง่ รศั ม ี ถงึ แมธ้ รรมกาย
จะเปน็ สภาวะไรต้ วั ตน แตก่ ารปลอ่ ยใหก้ ลายเปน็ ภาพวา่ งเปลา่ กค็ งไมเ่ หมาะสม
สำ� หรบั การแสดงออกเชงิ ศลิ ปะ เมอ่ื พจิ ารณาตำ� แหนง่ ของพระอณุ าโลมทอ่ี ยตู่ อน
บนสดุ ของภาพ ซงึ่ บง่ บอกความส�ำคญั เหนอื ภาพทอี่ ยถู่ ดั ลงมาทง้ั หมดอนั หมาย
ถึงสัมโภคกายและนิรมาณกาย ภาพพระอุณาโลมจึงควรอยู่ในต�ำแหน่งของ
ธรรมกาย ประกอบกับการเป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ ก็เหมาะสมที่พระอุณาโลม
จะเป็นส่ือสัญลักษณ์แทนธรรมกายอันเป็นนามธรรมได้ เพราะพุทธศาสนาเอง
ก็มักใช้สญั ลกั ษณ์ในการอธิบายสงิ่ ท่ีเป็นนามธรรมอยู่เสมอ๒๕
พระอุณาโลมเป็น ๑ ใน ๓๒ ของมหาบุรุษลักษณะของพระพุทธเจ้า
ล�ำดับที่ ๓๑ เม่ือนับจากพระบาทข้ึนมาจนถึงพระเศียร น่าสนใจท่ีภาพพระ
อุณาโลมสีขาวเปล่งรัศมีสีทองเรืองรอง คงวาดข้ึนตามค�ำพรรณนาท่ีปรากฏใน
คัมภีร์พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซ่ึงสมเด็จพระสังฆราช (มี) แห่งวัด
มหาธาตุ กรุงเทพฯ ทรงแปลถวายพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะ
ทรงด�ำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เม่ือ พ.ศ.
๒๓๕๗ ดังน้ี
“พระอณุ ณาโลมแหง่ พระมหาบรุ ษุ มอี ยใู่ นระหวา่ งแหง่ พระขนงทา่ มกลาง
พระนลาฏ มีพรรณอันขาวบริสุทธิ์เสมอด้วยพรรณดาวประกายพฤกษ์ และ
อ่อนดุจหน่ึงพ้ืนแห่งฝ้าย อันบุคคลดีดได้ร้อยวาระแล้ว และใส่ลงในน�้ำมันเนย
อันใดและต้ังไว้ อน่ึงว่าเสมอด้วยนุ่นดังน้ีว่าอุปมาด้วยพรรณอันขาว และพระ
อณุ ณาโลมนน้ั ถ้าและพระองค์จะถอื เอาทสี่ ดุ แล้วและคร่าออกกย็ าวประมาณกงึ่
พระพาหา คร้ันสละแล้วก็เวียนเป็นทักษิณาวรรต และมีปลายข้ึนเบื้องบนและ
ตั้งอยู่เป็นอันดี และรุ่งเรืองด้วยสิริอันพึงใจย่ิงนัก ดุจหน่ึงต่อมเงินอันบุคคล
ตง้ั ไวใ้ นทา่ มกลางแผน่ กระดานทอง ถา้ มฉิ ะนน้ั กเ็ สมอื นขรี ะธาราอนั ออกมาจาก
หม้อทอง ถ้ามิฉะนั้นดุจหน่ึงดาวประกายพฤกษ์อันรุ่งเรืองอยู่ในอากาศอันย้อม
ไปด้วยรศั มีแห่งอรุณ” ๒๖
อนึ่ง การจัดความสัมพันธ์ระหว่างพระชินะท้ัง ๕ พระมหาโพธิสัตว์ท้ัง
๕ และพระมานุษิพุทธะท้ัง ๕ ดังกล่าว ยังเป็นการจ�ำแนกตามระบบ “โคตร”
หรือตระกูลท้ัง ๕ ท่ีเร่ิมปรากฏในคัมภีร์วัชรเศขรสูตร ภาคต้นแห่งคัมภีร์
สรรวตถาคตตัตตวสัมครหะ ของลัทธิตันตรยาน๒๗ กล่าวคือ พระชินะแต่ละ
พระองคท์ รงเปน็ ประมขุ ของแตล่ ะโคตรตระกลู พระมหาโพธสิ ตั วแ์ ตล่ ะพระองค์
ทรงเป็นตัวแทนของพระมหาโพธิสัตว์ในแต่ละโคตร และพระมานุษิพุทธะทรง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
170
แผนภาพลายเสน้ จำ� ลองจากจติ รกรรมภาพ “ตรกี าย” แสดงพระนามของพระชนิ ะทง้ั ๕ และ
พระมหาโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ในกรอบสีแดงซึ่งแปลงจากอักษรขอม ภาษาบาลี และพุทธสภาวะตรีกาย
ของภาพในแต่ละชั้น ประกอบด้วย ชั้นท่ี ๔ ภาพพระอุณาโลมและอักขระ อ อุ ม เปล่งรัศมีแทน
“ธรรมกาย” ช้ันที่ ๓ ภาพพระชินะท้ัง ๕ แทน “สัมโภคกาย” ช้ันที่ ๒ ภาพพระมหาโพธิสัตว์ทั้ง ๕
แทน “สัมโภคกาย” และช้ันที่ ๑ ภาพสัตว์ท้ัง ๕ แทน “นิรมาณกาย” ได้แก่ พระมานุษิพุทธะท้ัง ๕
(จดั ท�ำโดย : บริษทั ทดู ีไซน ์ ซมั ติง จำ� กดั (เชียงใหม่))
เป็นนริ มาณกายของพระชนิ ะแต่ละองค์๒๘ ดังตารางต่อไปนี้
โคตรตระกูล ตถาคตโคตร วชั รโคตร รตั นโคตร ปัทมโคตร กรรมโคตร
พระชนิ ะ พระไวโรจนะ พระอักโษภยะ พระรตั นสมั ภวะ พระอมติ าภะ พระอโมฆสิทธิ
พระมหาโพธสิ ตั ว ์ พระสมันตภัทร
พระมานษุ ิพุทธะ พระกรกุจฉันทะ พระวชั รปาณ ิ พระรัตนปาณ ิ พระปทั มปาณิ พระวิศวปาณิ
พระกนกมนุ ี พระกาศยปะ พระศากยสิงห์ พระไมเตรยะ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
171
คำ� ถามทตี่ ามมาตอ่ จากนกี้ ค็ อื แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
มีพระราชด�ำริ (แนวคิด) เรื่องธรรมกายผ่านจิตรกรรมของวัดปทุมวนาราม
อย่างไร ระหว่างธรรมกายตามพุทธปรัชญาของลัทธิมหายาน-ตันตรยาน ท่ี
สอดคลอ้ งกบั ประตมิ านริ มาณวทิ ยาของภาพจติ รกรรม หรอื ธรรมกายตามพทุ ธ
ปรชั ญาของนกิ ายเถรวาทในฐานะทท่ี รงนบั ถอื นกิ ายนแ้ี ละทรงศกึ ษาพระบาลจี น
แตกฉานมาตงั้ แตท่ รงพระผนวช เพราะธรรมกายตา่ งกพ็ บไดท้ ง้ั ในลทั ธมิ หายาน-
ตนั ตรยาน และนกิ ายเถรวาท แต่กม็ เี น้อื หาสาระท่ตี ่างกนั
ธรรมกายในทรรศนะของนิกายเถรวาท
ในบรรดาพุทธสภาวะตรีกาย ธรรมกายเป็นกายที่มพี ัฒนาการและความ
ซับซ้อนทางด้านพุทธปรัชญามากที่สุด “ธรรมกาย” ตามรูปศัพท์ท่ีพระพรหม
คุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้แปลไว้ หมายถึง “กองแห่งธรรม หรือที่รวมหรือ
ทป่ี ระมวลไว้แห่งธรรม”๒๙ ความหมายดงั กล่าวดูจะสอดคล้องกบั พระไตรปิฎก
ของนิกายเถรวาท ตอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พราหมณ์วาเสฏฐะและ
ภารัทวาชะว่าพระสาวกของพระองค์คือผู้ที่ธรรมสร้างมา เป็นธรรมอันเกิดจาก
พระโอษฐ์ของพระองค์เองผู้เป็นธรรมกาย อีกนัยก็คือทรงเป็นแหล่งท่ีประมวล
ไว้ และเป็นท่ีหลั่งไหลของพระธรรมท่ที รงแสดง๓๐ ดงั พุทธด�ำรัสว่า
“แทจ้ รงิ พระตถาคตทรงคดิ พทุ ธพจนท์ ง้ั ไตรปฎิ กดว้ ยพระหทยั แลว้ ทรง
นำ� ออกแสดงดว้ ยพระวาจา ดว้ ยเหตนุ น้ั พระกายของพระองคก์ เ็ ทา่ กบั เปน็ ธรรม
เพราะแล้วด้วยธรรม ธรรมเป็นพระกายของพระตถาคตโดยนัยดังนี้ พระองค์
จงึ เป็นธรรมกาย” ๓๑
การค้นคว้าของนักวิชาการด้านพุทธศาสนาแสดงให้เห็นว่าในระยะแรก
ทง้ั ลทั ธหิ นี ยานอนั รวมถงึ นกิ ายเถรวาทและลทั ธมิ หายาน ตา่ งอธบิ ายความหมาย
ของธรรมกายในลักษณะดังกล่าวเหมือนกัน๓๒ ก่อนท่ีลัทธิมหายานจะพัฒนา
แนวคิดเร่ืองธรรมกายขึ้นใหม่ ด้วยการน�ำเสนอพุทธปรัชญาตรีกายท่ีควบรวม
ความหมายดง้ั เดมิ ของธรรมกาย ผนวกพลงั อำ� นาจประดจุ เทวะผสู้ รา้ งสรรคข์ อง
พระตถาคต ตวั อยา่ งเชน่ คมั ภรี ม์ หาวภิ าษา และอภธิ รรมโกศภาษยะ ของนกิ าย
สรรวาสติวาทในลัทธิหีนยานก่ึงมหายาน ระบุว่าธรรมกายคือธรรมท่ีเปลี่ยน
พระบรมโพธิสัตว์ให้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นการผลัดเปลี่ยนเป็นชีวิตหรือตัวตน
ใหม่ของพระพทุ ธเจ้าหรือพระอรหนั ต์๓๓
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
172
ภาพพระอุณาโลมพร้อมอักขระ อ อุ ม
เปล่งรัศมีบนดอกบัว ตรงกับที่พรรณนาไว้ใน
คัมภีร์พระมหาปุริสลักษณะว่ามีพรรณสีขาว
เวยี นทกั ษณิ าวฏั และมปี ลายชข้ี นึ้ เบอ้ื งบน มรี ศั มี
สีทองเปล่งประกายเป็นพื้นหลัง พระอุณาโลม
เป็นสัญลักษณ์แทนพระรัตนตรัย แต่ในจิตร
กรรมของวัดปทุมวนารามยังใช้เป็นสัญลักษณ์
แทนธรรมกายตามคติมหายาน-ตันตรยาน
ขณะเดียวกันก็เปรียบได้กับพระอุณาโลมของ
พระธรรมกายในคมั ภรี พ์ ระธรรมกายของนกิ าย
เถรวาท อันเป็นสัญลักษณ์ที่แทนวชิรสมาบัติ
ญาณอันเทียบได้กับสัพพัญญุตญาณของพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่กล่าวถึงในคัมภีร์
พระธมั มกายาทิดว้ ย
ในระยะแรกก่อนจะมีแนวคิดเร่ืองตรีกาย “ธรรมกาย” ยังคงได้รับการ
อธบิ ายควบคกู่ บั “รปู กาย” อยา่ งชดั เจน กอ่ นจะแยกอธบิ ายรปู กายเปน็ นริ มาณ
กายและสมั โภคกายตามพทุ ธปรชั ญาตรกี ายในภายหลงั ดงั ตวั อยา่ งจากชนิ้ สว่ น
คัมภีร์พุทธโบราณอย่างคัมภีร์ศตปัญจสัตกสโตตระ จากช่วงพุทธศตวรรษท่ี
๙-๑๑ พบในเอเชยี กลาง กลา่ ววา่ “ธรรมกายและรปู กายของเรากเ็ พอื่ ประโยชน์
แกผ่ อู้ น่ื ”๓๔ คมั ภรี ม์ หาปรนิ ริ วาณสตู ร ของลทั ธมิ หายานกลา่ วถงึ “กายของพระ
ตถาคตประกอบด้วย ๒ กาย หน่ึงคือรูปกายและสองคือธรรมกาย”๓๕ หรือใน
คัมภีร์อัษฏสาหสริกา ปราชญาปารมิตา ฉบับสมบูรณ์ของลัทธิมหายานก็กล่าว
ถงึ ธรรมกายว่า “ไม่พงึ เหน็ พระตถาคตโดยรปู กาย พระตถาคตทงั้ หลายมธี รรม
เป็นกาย” ๓๖ เป็นต้น
แนวคิดคู่ขนานกันระหว่างธรรมกายและรูปกาย ยังพบในคัมภีร์บาลี
ของนกิ ายเถรวาทอกี หลายแห่ง ทช่ี ดั เจนมากคอื ตอนพระนางปชาบดโี คตมตี รสั
สรรเสรญิ พระพทุ ธองคว์ า่ “ขา้ แตพ่ ระสคุ ตเจา้ รปู กายของพระองคน์ ี้ หมอ่ มฉนั
ไดเ้ ลย้ี งดใู หเ้ ตบิ โตขน้ึ มา แลพระองคก์ ไ็ ดพ้ ฒั นาธรรมกายของหมอ่ มฉนั ใหเ้ จรญิ
พรอ้ มดว้ ย”๓๗ ในคมั ภรี ์วสิ ทุ ธมิ รรค ของพระพทุ ธโฆสาจารย ์ กใ็ หอ้ รรถาธบิ าย
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
173
พระไวโรจนะทรงเปน็ ๑ ใน ๕ ของพระ
ชินะทั้ง ๕ หรือพระปัญจชินะ (พระธยานิ
พุทธา) ในลัทธิตันตรยาน ทรงเป็นสัมโภคกาย
ที่ธรรมกายเนรมิตขึ้น เพื่อใช้ส่ังสอนพระธรรม
แกบ่ รรดาพระโพธสิ ตั วแ์ ละเทพเจา้ แทนพระองค์
และทรงเป็นประธานของตระกูลตถาคต (ตถา
คตโคตร) ตามประติมานิรมาณวิทยา ต้องทรง
แสดงปางหมุนธรรมจักร แต่ในจิตรกรรมวัด
ปทุมวนารามก�ำหนดให้พระชินะทุกองค์แสดง
ปางสมาธ ิ จงึ ระบไุ ดจ้ ากจารกึ กำ� กบั ภาพเทา่ นน้ั
วา่ เป็นพระชินะองคใ์ ด
เรื่องรปู กายควบคู่กบั ธรรมกายต่างไปจากตรกี ายของลทั ธมิ หายานอย่างชดั เจน
ว่า
“พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น แม้พระองค์ใด ทรงมีพระรูปกายอันวิจิตรด้วย
มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ อันประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ทรงมีพระ
ธรรมกาย อนั สำ� เรจ็ ดว้ ยรตั นะ คอื พระคณุ เชน่ ศลี ขนั ธ ์ (กองศลี ) อนั บรสิ ทุ ธ์ิ
โดยอาการท้งั ปวง” ๓๘
แนวคิดดงั กล่าวได้รบั การขยายความในอรรถกถาพาหยิ สตู ร ดงั นี้
“(พระผู้มีพระภาคเจ้า) ‘ผู้น่าเลื่อมใส’ หมายความว่าทรงน�ำมาซ่ึงความ
เลอ่ื มใสทวั่ ทกุ ดา้ น แกช่ นผขู้ วนขวายในการเหน็ พระรปู กาย เพราะความสมบรู ณ์
ดว้ ยความงามแหง่ พระสรรี ะของพระองค ์ อนั ประดบั ดว้ ยมหาบรุ ษุ ลกั ษณะ ๓๒
อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีเปล่งออก ๑ วา โดยรอบ และพระเกตุมาลา น่า
เลอ่ื มใสทกุ สว่ น ‘ผเู้ ปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความเลอ่ื มใส’ หมายความวา่ เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ความ
เลื่อมใส เหมาะที่จะพึงเลื่อมใส หรือควรแก่ความเลื่อมใสของคนผู้มีปัญญา
อันสม เพราะความสมบูรณ์ด้วยพระธรรมกาย อันประกอบด้วยมวลแห่งพระ
คณุ อนั ประมาณมไิ ด ้ เรม่ิ แตพ่ ระทศพลญาณ เวสารชั ชญาณ ๔ อสาธารณญาณ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
174
๖ และพทุ ธธรรมท่ีเป็นคณุ สมบัติเฉพาะ ๑๘ ประการ” ๓๙
ในอรรถกถาสงั ฆาฏสิ ตู ร ยงั กลา่ วเพม่ิ เตมิ ดว้ ยวา่ รปู กายของพระพทุ ธเจา้
ไมใ่ ชก่ ายทแี่ ทจ้ รงิ ของพระองค ์ ธรรมกายตา่ งหากคอื กายทแ่ี ทจ้ รงิ ผเู้ หน็ รปู กาย
ของพระพุทธองค์ด้วยมังสจักษุของตนเอง หรือได้อยู่กับรูปกายของพระองค์
ก็มิใช่การเห็นหรือได้อยู่กับกายที่แท้จริงของพระองค์แต่อย่างใด ตรงกันข้าม
การเห็นพระองค์ด้วยญาณจักษุ และการอยู่กับธรรมกายของพระองค์ต่างหาก
จึงนับว่าได้เห็นและได้อยู่กับกายท่ีแท้จริงของพระองค์ ดังท่ีพระพุทธองค์ตรัส
เตือนสติพระวกั กลิผู้ลุ่มหลงในรปู กายของพระองค์ว่า “ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้น
กเ็ หน็ เราตถาคต ผู้ใดเหน็ เราตถาคต ผู้น้นั กเ็ ห็นธรรม”๔๐
กลา่ วโดยสรปุ คอื พทุ ธสภาวะ “ตรกี าย” นา่ จะมพี ฒั นาการมาจากแนวคดิ
คู่ขนานกันระหว่าง “รูปกาย” และ “ธรรมกาย” ก่อนจะพัฒนามาเป็นระบบตรี
กายทส่ี มบรู ณใ์ นลทั ธมิ หายาน กลา่ วคอื รปู กายพฒั นามาเปน็ นริ มาณกาย ขณะ
ที่ธรรมกายยังคงรักษาค�ำไว้แต่เปลี่ยนแนวคิดใหม่จนเกือบจะสิ้นเชิง ส�ำหรับ
นิกายเถรวาทคงรับรองพุทธสภาวะตรีกายเพียงสองกาย คือ นิรมาณกายและ
ธรรมกายเท่าน้ัน ไม่รับรองแนวคิดเร่อื งสมั โภคกาย และยังคงอธิบายมหาบรุ ษุ
ลักษณะ อสีตยานุพยัญชนะ และสามัญลักษณะเยี่ยงมนุษย์ของพระพุทธเจ้า
ว่าเป็น “รูปกาย” ไม่แยกความแตกต่างเป็น “นิรมาณกาย” และ “สัมโภคกาย”
เหมอื นในลทั ธิมหายาน-ตันตรยาน๔๑
ส�ำหรับพุทธปรัชญาเรื่องธรรมกายนั้น ในช้ันแรกลัทธิหีนยานและลัทธิ
มหายานต่างถือร่วมกัน มองธรรมกายว่าเป็นพุทธสภาวะอันเป็น “นามธรรม”
เป็นสภาวะท่ีสามารถเข้าถึงได้ในความหมายของพุทธคุณหรือสภาวธรรม มี
ลักษณะเป็นอจินไตย มนุษย์ธรรมดาสามารถพัฒนา “รูปกาย” ธรรมดาของ
ตนให้ถึงพร้อมซ่ึง “ธรรมกาย” ได้ ดังค�ำสรรเสริญพระพุทธองค์ของพระนาง
ปชาบดโี คตมี
ธรรมกายภายใตพ้ ทุ ธปรชั ญาตรกี ายมสี ภาวะไรข้ ดี จำ� กดั เหนอื โลก เหนอื
ธรรมชาติ เป็นผู้ก�ำหนดความเป็นไปของสัมโภคกายและนิรมาณกายด้วยการ
เนรมิตของตน ขณะท่ีธรรมกายในฐานะหลักธรรมไม่อาจทำ� เช่นนั้นได้ เป็นได้
แต่เพียงต้นแบบให้ยึดถือและปฏิบัติตามเท่านั้น ดังค�ำกล่าวปิดท้ายของคัมภีร์
พระธมั มกายาทิ ฉบับเทพชมุ นมุ ว่า “พทุ ธลักษณะอันเป็นธรรมกายน้ี อันพระ
โยคาวจรกลุ บตุ รผมู้ ญี าณอนั แขง็ กลา้ ซงึ่ ปรารถนาความเปน็ สพั พญั ญพู ทุ ธภาวะ
พงึ ระลึกถงึ เนอื งๆ” ๔๒
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
175
พระสมันตภัทรทรงถือจักร
ตามประติมานิรมาณวิทยาของพระ
องค์ ทรงเป็น ๑ ใน ๕ ของพระมหา
โพธสิ ตั วท์ ปี่ รากฏในจติ รกรรมของวดั
ปทุมวนาราม อันเกิดจากการเนรมิต
ของพระชนิ ะ (พระธยานพิ ทุ ธา) แตล่ ะ
องค์ ในที่นี้พระองค์ทรงเป็นสัมโภค
กายท่ีเกิดจากการเนรมิตของพระไว
โรจนะ จึงทรงเป็นพระมหาโพธิสัตว์
ในตระกลู ตถาคต (ตถาคตโคตร)
เหตุนี้ธรรมกายในทรรศนะของนิกายเถรวาท จึงเป็นธรรมกายในความ
หมายด้ังเดิม คือ พระกายของพระพุทธเจ้าที่ประกอบด้วยพระญาณหรือความ
หยงั่ ร้นู านาชนดิ ต่างจากธรรมกายของลทั ธมิ หายานภายใต้พทุ ธปรชั ญาตรกี าย
ที่มลี ักษณะประดจุ เทวะผู้สร้างสรรค์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
176
ธรรมกายตามคติเถรวาท
ในคัมภีร์พระธรรมกาย
ยังมีคัมภีร์อีกฉบับหน่ึงซ่ึงมิได้รวมอยู่ในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา
หรืออนุฎีกาท้ังปวง แต่เป็นผลผลิตของนิกายเถรวาทในภูมิภาคอุษาคเนย์
เนอ่ื งจากไมพ่ บคมั ภรี น์ ใ้ี นลงั กา๔๓ รวมทงั้ ไมพ่ บในคำ� สอนของลทั ธมิ หายานหรอื
ตันตรยาน๔๔ คือ “คัมภีร์พระธรรมกาย” นักวิชาการจัดคัมภีร์น้ีให้อยู่ในกลุ่ม
คมั ภรี ์โยคาวจร๔๕ สอดคล้องกบั ขอ้ ความตอนหนงึ่ ของคมั ภรี ์พระธรรมกายเอง
ที่กล่าวว่า “พุทธลักษณะอันเป็นธรรมกายนี้ อันพระโยคาวจรกุลบุตรผู้มีญาณ
อันแข็งกล้า ซ่ึงปรารถนาความเป็นสัพพัญญูพุทธภาวะ พึงระลึกถึงเนืองๆ” ดัง
ได้กล่าวมาแล้ว
วงวิชาการในประเทศไทยรู้จักคัมภีร์พระธรรมกาย เป็นครั้งแรกโดย ฉำ่�
ทองค�ำวรรณ นักอ่านจารึกและผู้เช่ียวชาญด้านภาษาศาสตร์ เม่ือมีการค้นพบ
จารกึ พระธรรมกาย หรอื จารกึ หลกั ท ่ี ๕๔ ในเจดยี ว์ ดั เสอื อำ� เภอเมอื งฯ จงั หวดั
พษิ ณโุ ลก ระบศุ กั ราชตรงกบั พ.ศ. ๒๐๙๒ ครนั้ ทา่ นไดอ้ า่ นและแปลภาษาบาลี
ของจารึกน้ันก็พบว่าข้อความที่เหลืออยู่ของจารึกตรงกับที่ปรากฏในคัมภีร์พระ
ธรรมกาย ซงึ่ พรรณนาพระพทุ ธญาณและพระพทุ ธคณุ ของพระพทุ ธองค ์ เปรยี บ
เทียบกับองคาพยพของพระวรกายภายนอก ต้ังแต่พระเศียรจนจรดพระบาท
รวมไปถึงสบง จีวร และสังฆาฏิของพระพุทธองค์ว่าสอดคล้องกับพระญาณ
หย่ังรู้หรือหัวข้อธรรมใดท่ีได้ตรัสแสดงไว้ ดังตัวอย่างตอนต้นของคัมภีร์ใน
จารกึ พระธรรมกาย ว่า
“พระพทุ ธลกั ษณะ คอื พระธรรมกาย มพี ระเศยี รอนั ประเสรฐิ คอื พระ
สัพพัญญุตาญาณ มีพระเกศางามประเสริฐ คือ พระนิพพานอันเป็นอารมณ์
แห่งผลสมาบัติ มีพระนลาฏอันประเสริฐ คือ จตุตถฌาณ มีพระอุณาโลมอัน
ประเสรฐิ ประกอบดว้ ยพระรศั ม ี คอื พระปญั ญาในมหาวชริ สมาบตั ิ มพี ระโขนง
ทั้งคู่อันงามเลิศ คือ พระปัญญาอันประพฤติเป็นไปในนีลกสิณ มีพระเนตรทั้ง
คู่อันประเสริฐ คือ... ...ธรรมจักษุ สมันตจักษุ ปัญญาจักษุ มีพระโสตท้ังคู่อัน
ประเสรฐิ คอื ทิพพ (โสตญาณ)” ๔๖
คมั ภรี แ์ ละคาถาพระธรรมกายพบแพรห่ ลายทวั่ ไปในดนิ แดนประเทศไทย
และเพ่ือนบ้านที่นับถือนิกายเถรวาท เช่นท่ีกัมพูชา ในประเทศไทยพบเป็น
จารึกลานเงินประกับทองบรรจุในพระเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณและคัมภีร์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
177
ใบลานที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สร้างในรัชกาลท่ี ๑ และรัชกาลท่ี ๓
ตามล�ำดับ ขณะที่ล้านนากเ็ รียกคาถาน้ีว่า คาถาพระธมั มกาย๔๗
คัมภีร์พระธรรมกาย น่าจะมีต้นเค้ามาจากคัมภีร์มโนรถปูรณี ซึ่งเป็น
อรรถถาขององั คตุ ตรนกิ าย เพราะเนอื้ ความตอนตน้ ไปตรงกบั คาถาทพี่ ระสาคต
เถระกล่าวทรมานพญานาคให้ละพยศ ต่างกันเพียงรายละเอียดปลีกย่อย และ
พบเฉพาะในอรรถกถาฉบับของไทยและพม่าเท่าน้ัน แต่ไม่พบในฉบับลังกา๔๘
จึงเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานอีกทางหน่ึงว่าคัมภีร์พระธรรมกาย เป็นผลผลิต
ของนิกายเถรวาทในอษุ าคเนย์
ส�ำหรับคัมภีร์พระธรรมกาย ที่ใช้ประกอบการตีความครั้งนี้ ผู้เขียนใช้
ฉบบั ทเี่ รยี กวา่ “คมั ภรี พ์ ระธมั มกายาท ิ ฉบบั เทพชมุ นมุ ” (ตอ่ ไปจะเรยี กวา่ คมั ภรี ์
พระธัมมกายาทิ) ค้นพบท่ีวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖
เป็นคัมภีร์ท่ีพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างถวายพร้อมกับพระ
ไตรปิฎกและคัมภีร์บาลีอ่ืน มีประกับเป็นลายรดน�้ำรูปเทพชุมนุม เป็นที่มา
ภาพโค เป็น ๑ ในสัตว์ท้ัง ๕ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า หรือพระมานุษิพุทธะทั้ง ๕
ในภัททกัปป์อันเป็นกัปป์ปัจจุบัน ตามต�ำนานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ นิทานพ้ืนบ้านท่ีแพร่หลาย
ทั่วไปในภูมิภาค ได้แก่ ไก่แทนพระกกุสันธะ (กรกุจฉันทะ) นาคแทนพระโกนาคมนะ (กนกมุนี)
เตา่ แทนพระกสั สปะ (กาศยปะ) โคแทนพระโคตมะ (ศากยสงิ ห)์ และสงิ หแ์ ทนพระศรอี ารยิ เมตไตรย
(ไมเตรยะ) พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์น้ีทรงเป็นที่นับถือท้ังในนิกายเถรวาทและลัทธิมหายาน-ตันตร
ยาน ซ่ึงในกรณีหลังทรงเป็นนิรมาณกายท่ีธรรมกายเนรมิตขึ้นเพ่ือใช้ส่ังสอนพระสัทธรรมบนโลก
มนุษย์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
178
ของช่ือฉบับ ต่อมาในปีเดียวกันพระครูปลัดนายกวรวัฒน์ (สุธรรม สุธมฺโม)
(สมณศกั ดใ์ิ นขณะนนั้ ปจั จบุ นั คอื พระครวู เิ ทศสธุ รรมญาณ) จงึ ไดป้ รวิ รรตจาก
คมั ภรี ์ใบลานอกั ษรขอม ภาษาบาลี เป็นภาษาไทย
ความพิเศษของคัมภีร์พระธรรมกายฉบับนี้อยู่ส่วนท้ายของคัมภีร์ ที่
ผนวกอรรถาธิบายพระญาณต่างๆ อันประกอบกันเป็นพระธรรมกายมาขยาย
ความอยา่ งละเอยี ด ซง่ึ ไมพ่ บในคมั ภรี พ์ ระธรรมกายอนื่ ใดทเี่ คยศกึ ษากนั มากอ่ น
นอกจากนย้ี งั รวมเอาคาถาอน่ื อยา่ งคาถาอณุ หสิ วชิ ยั และคาถาบชู าพระอดตี พทุ ธะ
มารวมไว้ในฉบับเดยี วกนั ด้วย อันเป็นทีม่ าของช่อื “ธัมมกายาทิ” ๔๙
ความสอดคล้องกันระหว่างภาพพระอุณาโลมในจิตรกรรมของวัดปทุม
วนารามกบั พระธรรมกายในทรรศนะของนกิ ายเถรวาท ปรากฏใหเ้ หน็ ชดั เจนใน
ภาคตน้ ของคมั ภรี พ์ ระธรรมกาย ตอนทก่ี ลา่ วถงึ พระอณุ าโลมของพระธรรมกาย
ว่าเทียบได้กับพระปัญญาในวชิรสมาบัติญาณ ดังข้อความจากจารึกพระธรรม
กายว่า “พระอุณาโลมอันประเสริฐประกอบด้วยพระรัศมีคือพระปัญญาในมหา
วชิรสมาบัติ” ซ่ึงแทบไม่ต่างกันเลยกับที่ปรากฏในคัมภีร์พระธัมมกายาทิ ว่า
“มีวชริ สมาบัติ (ญาณ) เป็นแสงพระอุณาโลม”๕๐
“วชริ สมาบตั ญิ าณ” เปน็ หนง่ึ ในบรรดาพระญาณทง้ั หลายทป่ี ระกอบกนั ขนึ้
เป็นพระธรรมกาย ไม่พบในคัมภีร์พระบาลีอื่นใดนอกจากคัมภีรพ์ ระธรรมกาย
คัมภีร์พระธัมมกายาทิ พรรณนาความหมายของค�ำดังกล่าวไว้ค่อนข้างเข้าใจ
ยากสักเลก็ น้อย ดังน้ี
“ที่ช่ือว่าวชิรสมาบัติ (ญาณ) นั้นเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงตรัส
ว่าช้างกาฬวกะ คงไคย บัณฑร ตามพะ ปิงคละ คันธะ มังคละ เหมะ อุโบสถ
และฉัททันต์ พลังของช้างฉัททันต์ ๑๐ ตัว เรียกว่า พลังนารายนะแห่งพระ
ตถาคต คำ� วา่ นารายนะดงั กลา่ ว อธบิ ายไดว้ า่ เปน็ การเปลง่ รศั มอี นั โชตชิ ว่ ง วชริ ะ
(สายฟ้า) เรียกว่านารายนพลัง ดงั น้ัน จงึ เรียกวชิรพลงั ว่านารายนพลัง
อกี ประการหนงึ่ ญาณใดทเี่ กดิ จากฌานสมาบตั ิ ปตั ผิ ลสมาบตั ิ และนโิ รธ
สมาบตั ิ ญาณนน้ั เรยี กวา่ สมาบตั ญิ าณ และสพั พญั ญตุ ญาณกช็ อื่ วา่ สมาบตั ญิ าณ
เพราะเหตนุ น้ั ญาณทง้ั หลายเหล่านจี้ งึ รวมอยู่ในญาณสมาบตั ิ พงึ ทราบไว้ว่าวชริ
ญาณสมาบตั นิ ี ้ เป็นรัศมีพระอุณาโลมแห่งพระธรรมกาย” ๕๑
จากขอ้ ความขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ คมั ภรี แ์ ยกการอธบิ าย “วชริ สมาบตั ญิ าณ”
ออกเปน็ ๒ คำ� คอื “วชริ ” และ “สมาบตั ญิ าณ”๕๒ โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพอื่ อธบิ าย
พระญาณและหย่งั ทราบพระก�ำลงั แห่งพระญาณดงั กล่าวของพระตถาคต
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
179
ในประเดน็ ของ “สมาบตั ญิ าณ” คมั ภรี ์อธบิ ายว่าหมายถงึ ญาณทเี่ กดิ จาก
ผลของฌานสมาบัติ ปัตติผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติ อันเทียบได้กับสัพพัญ
ญตุ ญาณ คอื ญาณหยง่ั รใู้ นทกุ สรรพสงิ่ ทเี่ ปน็ คณุ สมบตั ขิ องพระสมั มาสมั พทุ ธ
เจา้ ขณะทป่ี ระเดน็ ของการหยง่ั ทราบพระกำ� ลงั แหง่ พระญาณ คมั ภรี อ์ ธบิ ายดว้ ย
การเปรียบพระก�ำลังดังกล่าวกับช้าง ๑๐ ตระกูล อันมีก�ำลังเพ่ิมข้ึน ๑๐ เท่า
ก่อนหน้าช้างที่กล่าวมาเป็นล�ำดับ จนกระท่ังถึงช้างในตระกูลฉัททันต์ท่ีมีก�ำลัง
มากทสี่ ดุ คอื ๑๐ เท่าของก�ำลงั ช้างอโุ บสถทกี่ ลา่ วถงึ กอ่ นหนา้ ขณะทก่ี ำ� ลงั ของ
ช้างฉัททันต์ ๑๐ ตัวรวมกันเท่ากับพระกำ� ลังของพระตถาคต๕๓ เพียงพระองค์
เดียว๕๔ เรยี กพระก�ำลังดงั กล่าวว่า “พลงั นารายณ์แห่งพระตถาคต”
“นารายณ”์ ตามคมั ภรี ห์ มายถงึ การเปล่งรศั มอี นั โชตชิ ่วง “พลงั นารายณ์”
“นารายณ์พลัง” หรือ “วชิรพลัง” ซ่ึงคัมภีร์อธิบายว่าเป็นอย่างเดียวกัน จึงส่ือ
ความหมายเชน่ เดยี วกนั ถงึ พระกำ� ลงั ของพระตถาคต อนั แสดงออกดว้ ยพระรศั มี
โชติช่วงท่ีทรงเปล่งออกมา ดังนั้น “พลังนารายณ์แห่งพระตถาคต” จึงหมายถึง
การเปลง่ พระรศั มอี นั โชตชิ ว่ งจากพระกำ� ลงั แหง่ วชริ สมาบตั ญิ าณของพระตถาคต
หรอื กลา่ วอกี นยั หนงึ่ กค็ อื วชริ สมาบตั ญิ าณ อนั ประกอบดว้ ยญาณทงั้ สามทเ่ี ทยี บ
ได้กับสัพพัญญุตญาณ แสดงออกให้เห็นด้วยพระรัศมีที่เรืองรองเป็นอย่างยิ่ง
และพระรัศมีดังกล่าวกเ็ ปล่งออกมาจากพระอณุ าโลมของพระธรรมกาย๕๕
พระจอมเกล้ากับพระธรรมกาย
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงใชพ้ ระอณุ าโลมเปน็ สญั ลกั ษณ์
ทม่ี คี วามหมายเชน่ เดยี วกบั พยางค ์ “โอม”ฺ ในทางพทุ ธศาสนา ดงั เหน็ ไดจ้ ากพระ
ราชลัญจกรพระบรมราชโองการองค์ใหญ่ที่ทรงใช้อักษรอริยกะ คือ “อ อุ ม”
แทน “โอมฺ” ขณะทีพ่ ระราชลญั จกรพระบรมราชโองการองค์น้อย กท็ รงใช้พระ
อณุ าโลมแทนโอม ฺ ในตำ� แหนง่ เดยี วกนั ๕๖ ทงั้ พระอณุ าโลมและโอม ฺ ในทางพทุ ธ
ศาสนามคี วามหมายอยา่ งเดยี วกนั คอื เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนพระรตั นตรยั ดงั พระ
ราชนิพนธ์แปลคาถาภาษาบาลีว่า “ที่ขึ้นต้นด้วยค�ำว่าโอม (คือ อ. อุ. ม.) ดังนี้
เป็นการด ี ขอนอบน้อมแด่รัตนะท้ัง ๓ นัน้ อันล่วงพ้นโทษตำ�่ ช้า” ๕๗
ภาพพระอณุ าโลมทแ่ี ทนความหมายของพระรตั นตรยั มหี ลกั ฐานปรากฏ
มาชดั เจนอยา่ งนอ้ ยกใ็ นสมยั อยธุ ยาตอนปลาย ดงั ตวั อยา่ งจากภาพพระอณุ าโลม
ในบุษบกบนอกเลาของบานประตูประดับมุก วิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรี
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
180
รตั นมหาธาต ุ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก มจี ารกึ ระบ ุ พ.ศ. ๒๒๙๙ ตรงกบั รชั กาลสมเดจ็
พระเจ้าบรมโกศ ประกอบด้วยภาพพระอุณา โลม ต้ังอยู่เหนือภาพนิคหิต พาล
จนั ทร์ และอกั ขระอ ุ แบบอกั ษรขอมเรยี งซ้อนกันลงมาเป็นลำ� ดบั หมายถึงโอมฺ
และภาพพระอุณาโลมเด่ียวเหนือพานแว่น ฟ้าในบุษบก บนบานพระทวารของ
พระพุทธรัตนสถานในพระบรมมหาราชวัง พ ระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ ดังปรากฏใน
หมายรบั สั่ง๕๘
ขณะทใี่ นจติ รกรรมของวดั ปทมุ วนาราม พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้
อยู่หัวทรงใช้ภาพพระอุณาโลมคู่กับอักขระ อ อุ ม ที่ประกอบกันเป็นโอมฺ เพ่ือ
เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนธรรมกายตามคตเิ ถรวาท เพราะแมจ้ ะทรงออกแบบประตมิ า
นิรมาณวิทยาของภาพทั้งหมดภายใต้พุทธปรัชญาตรีกายของลัทธิมหายาน-
ตันตรยาน แต่ความหมายของธรรมกายในภาพซ่ึงแทนด้วยรูปพระอุณาโลม
กลับมีความสอดคล้องกับคัมภีร์ธรรมกาย ท่ีกล่าวถึงพระอุณาโลมว่าเป็น
ส่วนหนึ่งของพระวรกายแห่งพระธรรมกาย และพระรัศมีที่เปล่งออกมาจาก
พระอุณาโลมซึ่งในจิตรกรรมวาดเป็นแสงสีทองเรืองรองแบบสมจริง ก็ยังเป็น
สัญลักษณ์แทนพระก�ำลังของพระตถาคตอันเกิดจาก “วชิรสมาบัติญาณ” คือ
ญาณหยั่งรู้ของพระพุทธองค์ซึ่งเกิดจากผลของฌานสมาบัติ ปัตติผลสมาบัติ
และนิโรธสมาบัต ิ อนั เทยี บได้กับสัพพญั ญตุ ญาณดังได้กล่าวมาแล้ว
นอกจากน้ี ภาพพระอุณาโลมดังกล่าวยังอาจมีความหมายโดยนัยเช่ือม
โยงได้ถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย พระรัศมีเรืองรองรอบ
พระอุณาโลมที่สื่อความหมายถึง “วชิรสมาบัติญาณ” นับว่าพ้องกันกับพระราช
ฉายา “วชิรญาโณ” หรือวชิรญาณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมอ่ื ทรงพระผนวช อนั มคี วามหมายทท่ี รงแปลเองวา่ “ผมู้ คี วามสามารถอนั สวา่ ง
ประดุจเพชร” ๕๙ ความหมายดังกล่าวเทียบเคียงได้เช่นเดียวกับรูปพระขรรค์
แก้ววชริ าวธุ ของพระอนิ ทร์ หรอื พระแว่นสรู ยกานต์ ทที่ รงใช้เป็นสอ่ื สญั ลกั ษณ์
แทนพระราชฉายาดังกล่าวของพระองค์ ดังปรากฏบนหน้าบันของพระอาราม
ธรรมยุตหลายแห่ง และในพระบรมราชสัญลกั ษณ์ประจำ� รชั กาล๖๐
ดงั นน้ั จงึ มคี วามเปน็ ไปไดเ้ ชน่ กนั ทรี่ ปู พระอณุ าโลมภายใตพ้ ระมหาพชิ ยั
มงกฎุ เชน่ ทป่ี รากฏเหนอื ซมุ้ ประตแู ละหนา้ ตา่ งของพระอโุ บสถวดั มกฏุ กษตั รยิ า
ราม พระอารามธรรมยุตที่ทรงสร้างขึ้น จะสื่อความหมายถึงพระราชฉายาทาง
ธรรม คือ “วชิรญาโณ” ด้วยรูปพระอุณาโลม และพระนามเดิมทางโลกย์ คือ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
181
(ซา้ ย) พระอณุ าโลมประกอบอกั ขระโอม ฺ ประดษิ ฐานในบษุ บกบนอกเลาของบานประตปู ระดบั
มกุ พระวหิ ารพระพทุ ธชนิ ราช วดั พระศรรี ตั นมหาธาต ุ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก มจี ารกึ ระบปุ ที ส่ี รา้ งคอื พ.ศ.
๒๒๙๙ ตรงกบั รชั กาลสมเด็จพระเจา้ บรมโกศ
(ขวา) พระอณุ าโลมในบษุ บกบนบานพระทวารของพระพทุ ธรตั นสถานในพระบรมมหาราชวงั
สร้างในรัชกาลท่ี ๔ ราว พ.ศ. ๒๔๐๓ เป็นสัญลักษณ์แทนพระรัตนตรัย และอาจหมายถึงพระ
อณุ าโลมของพระธรรมกายตามคมั ภรี พ์ ระธรรมกาย (ทม่ี า : กรมศลิ ปากร. จติ รกรรมฝาผนงั พระพทุ ธ
รัตนสถานตามแนวพระราชด�ำริ. น. ๑๘๕.)
“มงกุฎ” ด้วยรูปพระมหาพชิ ัยมงกฎุ ไปพร้อมกนั
สญั ลกั ษณโ์ ดยทวั่ ไปมกั อา้ งองิ ถงึ ความหมายของสงิ่ ตา่ งๆ ในระดบั เดยี ว
ขณะที่สัญลักษณ์ของอินเดียซึ่งอาจรวมถึงโลกตะวันออก มีการอ้างอิงความ
หมายซ้อนกัน ๒ ระดับ๖๑ อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์ความหมายเชิงสัญลักษณ์
ที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมของวัดปทุมวนาราม ได้แสดงให้เห็นว่าภาพพระ
อณุ าโลมในจิตรกรรมของวัดปทมุ วนาราม อาจซ่อนนัยแห่งความหมายไว้อย่าง
ซบั ซ้อนถงึ ๔ ระดับด้วยกนั ดังต่อไปน ี้
ระดบั ท ี่ ๑ ภาพพระอณุ าโลมซง่ึ เปน็ หนง่ึ ในมหาบรุ ษุ ลกั ษณะ พรอ้ มดว้ ย
อกั ขระ อ อุ ม เป็นสัญลักษณ์แทนพระรัตนตรยั
ระดับท่ี ๒ ภาพพระอุณาโลมเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรมกาย ตาม
พุทธปรัชญาตรีกายของลัทธิมหายาน-ตันตรยาน อันประกอบด้วย นิรมาณ
กาย สัมโภคกาย และธรรมกาย กล่าวคือ “นิรมาณกาย” แทนด้วยภาพสัตว์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
182
พระอุณาโลมภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎเปล่งรัศมี เช่นท่ีปรากฏเป็นลายปูนปั้นประดับซุ้มประตู
และหน้าต่างพระอุโบสถวัดมกุฏกษัตริยาราม อาจส่ือความหมายถึงพระราชฉายา “วชิรญาโณ”
ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเม่ือทรงพระผนวช เพราะพ้องกับค�ำว่า “วชิรสมาบัติ
ญาณ” ท่ีปรากฏในคัมภีร์พระธรรมกาย หน่ึงในพระญาณท่ีประกอบกันเป็นพระธรรมกาย ซ่ึงมีพระ
อุณาโลมของพระธรรมกายเป็นสัญลักษณ์ ขณะท่ีพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์
แทนพระนามเดิมของพระองค์