ตะตยิ านสุ สะติฏฐานงั วันทามิ ตงั สเิ รนะหัง,
ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่น้ัน, อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกองค์ที่สาม
ดว้ ยเศยี รเกล้า
สงั ฆสั สาหสั ๎มิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ สงั โฆ เม สามิกสิ สะโร,
ขา้ พเจา้ เปน็ ทาสของพระสงฆ,์ พระสงฆเ์ ปน็ นายมอี สิ ระเหนอื ขา้ พเจา้
สงั โฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หติ สั สะ เม,
พระสงฆเ์ ปน็ เครอ่ื งกำ� จัดทุกข,์ และทรงไวซ้ ง่ึ ประโยชนแ์ ก่ขา้ พเจ้า
สังฆสั สาหัง นิยยาเทมิ สะรรี ัญชวี ิตญั จทิ ัง,
ข้าพเจา้ มอบกายถวายชวี ิตน,ี้ แดพ่ ระสงฆ์
วนั ทันโตหัง (ตีหงั )๒ จะริสสามิ สงั ฆัสโสปะฏปิ ันนะตงั ,
ข้าพเจ้าผ้ไู หวอ้ ย่จู ักประพฤติตาม, ซ่ึงความปฏิบัตดิ ีของพระสงฆ์
นตั ถิ เม สะระณัง อัญญัง สงั โฆ เม สะระณงั วะรัง,
ที่พึ่งอ่ืนของขา้ พเจ้าไม่มี, พระสงฆเ์ ป็นที่พง่ึ อันประเสรฐิ ของขา้ พเจ้า
เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ วฑั เฒยยัง สตั ถุ สาสะเน,
ดว้ ยการกลา่ วคำ� สตั ยน์ ,้ี ขา้ พเจา้ พงึ เจรญิ ในพระศาสนาของพระศาสดา
สังฆงั เม วนั ทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยงั ปุญญัง
ปะสตุ ัง อิธะ,
ขา้ พเจ้าผไู้ หว้อยู่ซึ่งพระสงฆ์, ไดข้ วนขวายบญุ ใดในบดั นี้
สพั เพปิ อนั ตะรายา เม มาเหสงุ ตสั สะ เตชะสา.
อนั ตรายท้งั ปวง, อย่าไดม้ แี ก่ขา้ พเจ้า, ดว้ ยเดชแห่งบุญนนั้
๑, ๒, ๓ ในวงเล็บ ( ) สตรสี วด 44
หนงั สือสวดมนต์
(หมอบกราบลง กลา่ วพรอ้ มกนั วา่ )
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,
ด้วยกายกด็ ี ดว้ ยวาจากด็ ี ด้วยใจกด็ ี
สงั เฆ กกุ ัมมัง ปะกะตงั มะยา ยัง,
กรรมนา่ ตเิ ตยี นอนั ใด, ทขี่ า้ พเจา้ กระท�ำแลว้ ในพระสงฆ์
สังโฆ ปะฏคิ คัณห๎ ะตุ อัจจะยันตงั ,
ขอพระสงฆ์จงงดซึง่ โทษล่วงเกินอนั น้ัน
กาลันตะเร สงั วะริตงุ วะ สังเฆ.
เพอื่ การสำ� รวมระวงั ในพระสงฆ์ในกาลต่อไป
(จบแล้วพงึ นงั่ พับเพียบ)
จบบทสวดมนตท์ �ำวัตรเย็น
ได้ลาภ เสอ่ื มลาภ ไดย้ ศ เสอ่ื มยศ นนิ ทา สรรเสริญ
สขุ และทุกข์ สง่ิ เหลา่ น้เี ปน็ ธรรมดาในหมมู่ นษุ ย์
ไมม่ คี วามเทย่ี งแทแ้ น่นอน
อยา่ เศรา้ โศกเลย ท่านจะเศร้าโศกไปทำ�ไม
45 ทพี่ กั สงฆจ์ ันทรงั ษี
ชมุ นุมเทวดา
บทสวดชมุ นุมเทวดา กล่าวถงึ การอญั เชญิ เทวดามาประชมุ ฟังพระ
ปรติ รทจี่ ะสวด แสดงไมตรจี ติ หวงั ใหเ้ ทวดามสี ขุ ปราศจากทกุ ข์ และขอใหเ้ ทวดา
คุ้มครองชาวโลกใหพ้ ้นภัย บทสวดนีเ้ ป็นบททีโ่ บราณาจารยป์ ระพันธ์ข้ึน
• สะมนั ตา จกั กะวาเฬสุ อัตร๎ าคจั ฉนั ตุ เทวะตา,
ขอเชิญเทวดาท้ังหลายในจักรวาลท้ังหลายโดยรอบ, จงมาประชุม
กัน ณ ท่ีนี้
สทั ธมั มงั มุนริ าชัสสะ สณุ ันตุ สคั คะโมกขะทงั ,
ขอเชญิ ฟงั พระสทั ธรรมทชี่ ที้ างไปสสู่ วรรคแ์ ละนพิ พาน, ของพระจอม
มนุ ีเจ้ากันเถิด
สัคเค กาเม จะ รเู ป คริ สิ ขิ ะระตะเฏ จนั ตะลกิ เข วิมาเน,
ขอเชิญเหลา่ เทพเจา้ ซึง่ สถิตอยใู่ นสวรรคช์ นั้ กามภพกด็ ี, รูปภพก็ดี,
และภุมเทวดาซง่ึ สถติ อยใู่ นวิมาน, หรือยอดเขาและหบุ ผา ในอากาศ
ก็ดี
ทเี ป รฏั เฐ จะ คาเม ตะรวุ ะนะคะหะเน เคหะวตั ถมุ ห๎ ิ เขตเต,
ในเกาะก็ดี, ในแวน่ แคว้นกด็ ี, ในบ้านกด็ ี, ในตน้ พฤกษาและปา่ ชัฏ
ก็ดี, ในเรือนก็ดี, ในทีไ่ รน่ าก็ดี
ภมุ มา จายนั ตุ เทวา ชะละถะละวสิ ะเม ยกั ขะคนั ธพั พะนาคา,
เทพยดาทง้ั หลาย ซง่ึ สถติ ตามภาคพน้ื ดนิ , รวมทงั้ ยกั ษ์ คนธรรพ์ และ
พญานาค, ซง่ึ สถิตอยใู่ นน้�ำ บนบก, และทอ่ี ันไมร่ าบเรยี บก็ดี
หนงั สือสวดมนต์ 46
ตฏิ ฐนั ตา สนั ตเิ ก ยงั มนุ วิ ะระวะจะนงั สาธะโว เม สณุ นั ต.ุ
ซึ่งอยูใ่ นทใ่ี กลเ้ คียง, จงมาประชมุ พรอ้ มกันในที่น,้ี คำ� ใดเป็นของ
พระมนุ ผี ูป้ ระเสริฐ, ทา่ นสาธชุ นท้งั หลาย, จงสดบั คำ� ขา้ พเจา้ น้นั
ธัมมสั สะวะนะกาโล อะยมั ภะทันตา,
ดกู อ่ น ทา่ นผู้เจริญทงั้ หลาย, กาลนเี้ ป็นกาลฟงั ธรรม
ธมั มัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทนั ตา,
ดูกอ่ น ทา่ นผู้เจริญทงั้ หลาย, กาลนีเ้ ป็นกาลฟังธรรม
ธัมมสั สะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา.
ดกู ่อน ท่านผู้เจรญิ ทง้ั หลาย, กาลนเ้ี ปน็ กาลฟังธรรม
ผถู้ ึงธรรม ไม่เศร้าโศกถงึ สง่ิ ทีล่ ่วง
แลว้ ไมพ่ ร่ำ�เพอ้ ถึงส่ิงที่ยังไม่มาถึง
ดำ�รงอยูด่ ว้ ยสง่ิ ทีเ่ ปน็ ปจั จุบนั ฉะนนั้ ผิวพรรณจงึ ผ่องใส
สว่ นชนท้ังหลายผยู้ งั อ่อนปญั ญา เฝ้า
แต่ฝันเพอ้ ถึงสิง่ ท่ยี งั ไม่มาถงึ
และหวนละห้อยถึงความหลัง
อันลว่ งแล้ว จึงซบู ซดี หมน่ หมอง
เสมือนต้นออ้ สด ที่เขาถอนขึน้ ทง้ิ ไวใ้ นทก่ี ลางแดด
47 ที่พกั สงฆ์จันทรังษี
บทต้นสวดมนต์และพระปริตรตา่ งๆ
ประวตั ิ
โดยทว่ั ไปพทุ ธศาสนกิ ชน มกั ทำ� บญุ โดยนมิ นตพ์ ระสงฆม์ าสวดสาธยาย
บทพระพุทธมนต์ ในพิธีมงคล หรือพิธีที่จัดขึ้นเพื่อความสุขความเจริญ
เป็นสิริมงคลแก่การด�ำเนินชีวิตในวาระต่างๆ ซ่ึงมักจะเรียกรวมกันว่า พิธี
เจริญพระพทุ ธมนต์ คำ� ว่า “พระพทุ ธมนต์” หมายถงึ พระพทุ ธพจน์
อันเป็นพระธรรมค�ำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ท่ีมีปรากฏใน
พระไตรปิฏกบ้าง เป็นค�ำที่แต่งขึ้นมาภายหลังบ้าง โดยถือกันว่าพระพุทธ
มนต์เป็นค�ำศักด์ิสิทธิ์ สามารถปัดป้องอันตรายต่างๆ ได้ จึงเรียกอีกอย่างว่า
“พระปรติ ร” คำ� ว่า “ปริตร” มคี วามหมายว่า คุม้ ครองรกั ษา หรอื เคร่ือง
คุ้มครองป้องกัน ซึ่งบทพระพุทธมนต์ที่นิยมว่าศักด์ิสิทธิ์เท่าที่ปรากฏรวบรวม
ไว้มี ๗ บท จึงเรียกว่า เจ็ดต�ำนาน (ตามปกติค�ำว่า ต�ำนาน จะหมายถึง
เรอ่ื งราวนมนานท่เี ลา่ กันสืบๆ มา แตใ่ นที่นีเ้ ป็นการเรียกพระปรติ รบทๆ หน่งึ
ว่าต�ำนาน ซ่งึ มผี ู้สนั นิษฐานว่า น่าจะแผลงมาจากคำ� ว่า ตาณ ในภาษาบาลีท่ี
แปลวา่ ต้านทาน หรือป้องกนั เชน่ เดยี วกับค�ำว่า ปริตร หรืออาจจะหมายถงึ
ตำ� นานอันเป็นทีม่ าของแต่ละพระสูตรก็เปน็ ได้)
การสวดพระปริตรหรอื เจ็ดต�ำนาน
เกิดขึ้นคร้ังแรกในประเทศลังกา ราวพ.ศ. ๕๐๐ ด้วยว่าชาวลังกา
ท่ีนับถือพระพุทธศาสนาในขณะน้ัน ประสงค์ให้พระสงฆ์ช่วยเหลือตนให้เกิด
ความเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายต่างๆ ด้วยการสวดมนต์และคาถา
ตามแบบอย่างพราหมณ์ ซ่ึงมีความเช่ือว่าผู้ทรงเวทย์จะท�ำให้เกิดความเป็น
สิริมงคล และป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได้ ด้วยเหตุน้ีพระสงฆ์ลังกาจึง
ได้คิดวิธีสวดพระปริตรข้ึน โดยเลือกเอาพระสูตร หรือคาถาท่ีสรรเสริญคุณ
พระรัตนตรยั อนั เกดิ ข้ึนเนือ่ งดว้ ยเหตุการณ์ตา่ งๆ มาสวดเปน็ มนต์
หนงั สอื สวดมนต์ 48
ปพุ พะภาคะนะมะการะ
(นำ� ) หันทะ มะยัง พทุ ธัสสะ ภะคะวะโต ปพุ พะภาคะ-
นะมะการัง กะโรมะ เส.
(เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย ทำ� ความนอบน้อมอนั เปน็ สว่ นเบ้อื งต้น
แด่พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เถิด)
(สวดพรอ้ มกัน)
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผู้มพี ระภาคเจ้า,
พระองค์น้นั
อะระหะโต
สมั มาสมั พทุ ธสั สะ. ซ่ึงเปน็ ผไู้ กลจากกิเลส
ตรัสรชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง
(ว่า ๓ คร้งั )
ผทู้ ม่ี ัวเพลิดเพลินประมาทอยู่กับสิ่งที่ชอบใจ
ส่งิ ท่รี ักและส่ิงที่เปน็ สุข จะถกู สิง่ ทไ่ี ม่ชอบ ไม่รัก
และความทกุ ข์เข้ามาครอบงำ�
สิ่งท่ไี ม่นา่ ยินดี มกั จะปลอมมาในรปู ทนี่ ่ายินดี
สิ่งทไ่ี มน่ ่ารกั มักจะมาในรูปแห่งสิง่ ท่นี า่ รัก
ความทุกขม์ กั จะมาในรปู แห่งความสขุ
เพราะดังนี้ คนจึงประมาทมัวเมากนั นัก
49 ทีพ่ ักสงฆ์จนั ทรังษี
สะระณะคะมะนะปาฐะ
(น�ำ) หนั ทะ มะยงั ตสิ ะระณะคะมะนะปาฐงั ภะณามะ เส.
(เชิญเถดิ เราทง้ั หลาย, จงกลา่ วคาถาเพ่อื ระลึกถึง
พระรัตนตรยั เถิด)
(สวดพร้อมกัน)
พุทธัง สะระณัง คัจฉาม,ิ
ข้าพเจา้ ถอื เอาพระพทุ ธเจ้าเปน็ สรณะ
ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามิ,
ข้าพเจา้ ถือเอาพระธรรมเปน็ สรณะ
สงั ฆัง สะระณงั คจั ฉามิ.
ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
ทุติยมั ปิ พุทธงั สะระณัง คจั ฉามิ,
แม้ครง้ั ท่ีสอง, ขา้ พเจา้ ถือเอาพระพุทธเจ้าเปน็ สรณะ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉาม,ิ
แม้ครั้งท่สี อง, ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเปน็ สรณะ
ทตุ ยิ มั ปิ สังฆงั สะระณงั คัจฉามิ.
แม้ครง้ั ทส่ี อง, ขา้ พเจา้ ถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตะตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณงั คจั ฉาม,ิ
แมค้ รั้งทส่ี าม, ขา้ พเจ้าถอื เอาพระพทุ ธเจา้ เปน็ สรณะ
ตะตยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณัง คจั ฉาม ิ
แมค้ ร้ังทส่ี าม, ข้าพเจา้ ถอื เอาพระธรรมเปน็ สรณะ
ตะตยิ ัมปิ สงั ฆงั สะระณัง คัจฉาม.ิ
แม้ครง้ั ทสี่ าม, ข้าพเจ้าถอื เอาพระสงฆ์เปน็ สรณะ
หนงั สอื สวดมนต์ 50
สจั จะกิริยาคาถา
นตั ถิ เม สะระณงั อญั ญงั พทุ โธ เม สะระณงั วะรงั ,
ทพี่ ง่ึ อนื่ ของขา้ พเจา้ ไมม่ ,ี พระพทุ ธเจา้ เปน็ ทพี่ ง่ึ อนั ประเสรฐิ ของขา้ พเจา้
เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สพั พะทา.
ด้วยการกลา่ วคำ� สัตยน์ ,ี้ ขอความสวสั ดีจงมแี ก่ท่านทกุ เมือ่
นตั ถิ เม สะระณงั อญั ญงั ธมั โม เม สะระณงั วะรงั ,
ทีพ่ ึง่ อน่ื ของข้าพเจ้าไม่ม,ี พระธรรมเปน็ ท่ีพง่ึ อนั ประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สพั พะทา.
ดว้ ยการกล่าวคำ� สัตยน์ ,้ี ขอความสวสั ดจี งมีแกท่ ่านทกุ เมอื่
นตั ถิ เม สะระณงั อญั ญงั สงั โฆ เม สะระณงั วะรงั ,
ทพ่ี ง่ึ อื่นของขา้ พเจา้ ไมม่ ี, พระสงฆ์เป็นทพี่ ึง่ อนั ประเสรฐิ ของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต๑ โหตุ สพั พะทา.
ดว้ ยการกลา่ วคำ� สัตย์น้ี, ขอความสวสั ดีจงมแี ก่ทา่ นทกุ เมื่อ
๑ สวดเพื่อผู้อนื่ ว่า เต (ท่าน) ถ้าเพือ่ ตนเองเปลีย่ นเปน็ เม (ขา้ พเจา้ )
51 ท่พี ักสงฆจ์ ันทรังษี
มะหาการณุ โิ กนาโถตอิ าทิกาคาถา
มะหาการณุ โิ ก นาโถ อตั ถายะ สัพพะปาณนิ ัง,
ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปตั โต สัมโพธมิ ตุ ตะมงั ,
พระพุทธเจ้าผเู้ ป็นทพ่ี งึ่ , ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่,
ทรงบ�ำเพ็ญพระบารมีทัง้ ส้ิน, เพอื่ ประโยชนแ์ ก่สตั วท์ ้งั ปวง,
ทรงบรรลสุ มั โพธิญาณอนั อุดมแล้ว
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สพั พปุ ทั ทะวา.
ด้วยการกลา่ วคำ� สัตยน์ ้ี, ขออุปัทวะท้ังหลายจงอย่าได้มี
มหาการณุ ิโก นาโถ หติ ายะ สัพพะปาณนิ งั ,
ปเู รต๎วา ปาระมี สพั พา ปัตโต สัมโพธมิ ตุ ตะมัง,
พระพุทธเจา้ ผ้เู ปน็ ทีพ่ งึ่ , ทรงประกอบด้วยพระมหากรณุ าอันย่งิ ใหญ่,
ทรงบ�ำเพญ็ พระบารมที ัง้ สน้ิ , เพื่อเก้ือกลู แกส่ ัตว์ทัง้ ปวง,
ทรงบรรลสุ มั โพธญิ าณอันอดุ มแลว้
เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ มา โหนตุ สพั พุปทั ทะวา.
ด้วยการกล่าวค�ำสัตยน์ ้,ี ขออุปัทวะท้งั หลายจงอย่าไดม้ ี
มหาการณุ โิ ก นาโถ สขุ ายะ สพั พะปาณนิ งั ,
ปเู รต๎วา ปาระมี สพั พา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง,
พระพทุ ธเจ้าผู้เป็นท่พี ง่ึ , ทรงประกอบด้วยพระมหากรณุ าอันยง่ิ ใหญ่,
ทรงบำ� เพ็ญพระบารมที ง้ั สน้ิ , เพ่อื ความสุขแกส่ ตั ว์ทัง้ ปวง,
ทรงบรรลุสมั โพธิญาณอนั อดุ มแล้ว
เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา.
ด้วยการกลา่ วค�ำสัตย์น,ี้ ขออปุ ัทวะท้ังหลายจงอย่าไดม้ ี
หนงั สอื สวดมนต์ 52
เขมาเขมะสะระณะคะมะนะปะรทิ ปี กิ าคาถา
พะหงุ เว สะระณงั ยนั ติ ปัพพะตานิ วะนานิ จะ,
อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนสุ สา ภะยะตชั ชติ า,
มนษุ ย์เป็นอนั มาก เมือ่ เกิดมภี ยั คุกคามแลว้ , กถ็ อื เอาภูเขาบ้าง
ป่าไมบ้ ้าง, อารามและรกุ ขเจดยี บ์ า้ งเปน็ สรณะ
เนตัง โข สะระณงั เขมงั เนตงั สะระณะมตุ ตะมงั ,
นั่นมิใชส่ รณะอนั เกษมเลย, นน่ั มใิ ชส่ รณะอันสงู สุด
เนตงั สะระณะมาคมั มะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะต,ิ
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว, ยอ่ มไม่พน้ จากทุกข์ทั้งปวงได้
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สงั ฆญั จะ สะระณงั คะโต,
สว่ นผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เปน็ สรณะแล้ว
จตั ตาริ อะริยะสจั จานิ สมั มปั ปญั ญายะ ปสั สะต,ิ
เห็นอรยิ สจั คอื ความจริงอันประเสรฐิ สี่, ด้วยปัญญาอันชอบ
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทงั ทกุ ขสั สะ จะ อะตกิ กะมงั ,
คอื เห็นความทกุ ข,์ เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์, ความก้าวลว่ งทุกข์เสียได้
อะรยิ ญั จฏั ฐังคิกงั มคั คงั ทกุ ขปู ะสะมะคามินัง,
และหนทางมอี งค์แปดอันประเสริฐ, เครอ่ื งถึงความระงับทุกข์
เอตงั โข สะระณัง เขมัง เอตงั สะระณะมุตตะมัง,
นนั่ แหละเป็นสรณะอันเกษม, น่ันเปน็ สรณะอันสงู สดุ
เอตงั สะระณะมาคัมมะ สพั พะทกุ ขา ปะมจุ จะตตี .ิ
เขาอาศัยสรณะนัน่ แล้ว, ย่อมพ้นจากทุกข์ท้งั ปวงได้
53 ทพ่ี กั สงฆจ์ ันทรังษี
อะรยิ ะธะนะคาถา
ยัสสะ สทั ธา ตะถาคะเต อะจะลา สปุ ะตฏิ ฐิตา,
ศรทั ธาในพระตถาคตของผูใ้ ด, ต้งั มน่ั อย่างดีไม่หว่นั ไหว
สีลัญจะ ยสั สะ กลั ย๎ าณัง อะริยะกันตงั ปะสังสิตงั ,
และศีลของผู้ใดงดงาม, เปน็ ที่สรรเสริญทพ่ี อใจของพระอริยเจา้
สังเฆ ปะสาโท ยัสสัตถิ อุชุภตู ญั จะ ทัสสะนัง,
ความเลือ่ มใสของผูใ้ ดมีในพระสงฆ์, และความเหน็ ของผใู้ ดตรง
อะทะลิทโทติ ตัง อาหุ อะโมฆนั ตสั สะ ชวี ติ งั ,
บัณฑิตกล่าวเรยี กเขาผ้นู ัน้ ว่า คนไม่จน, ชีวติ ของเขาไมเ่ ปน็ หมัน
ตสั ม๎ า สัทธัญจะ สีลญั จะ ปะสาทัง ธมั มะทัสสะนัง,
อะนุยุญเชถะ เมธาว ี สะรงั พทุ ธานะ สาสะนนั ต.ิ
เพราะฉะนนั้ , เมอื่ ระลกึ ได้ถึงค�ำส่งั สอนของพระพทุ ธเจ้าอย่,ู
ผู้มีปัญญาควรก่อสร้างศรัทธา, ศีล ความเล่ือมใส และความเห็น
ธรรมใหเ้ นอื งๆ
ปัพพะโตปะมะสตุ ตะคาถา
ยะถาปิ เสลา วปิ ลุ า นะภงั อาหจั จะ ปัพพะตา,
สะมนั ตา อะนปุ ะรเิ ยยยงุ นปิ โปเถนตา จะตทุ ทสิ า,
ภูเขาทั้งหลายแล้วด้วยหินอันไพบูลย์สูงจรดท้องฟ้า, บดกลิ้งเข้ามา
โดยรอบทั้ง ๔ ทศิ , แมฉ้ นั ใด
หนังสือสวดมนต์ 54
เอวงั ชะรา จะ มจั จุ จะ อะธิวัตตันติ ปาณโิ น,
ความแก่และความตาย, ยอ่ มครอบง�ำสตั วท์ ้ังหลายฉนั นัน้
ขัตติเย พ๎ราห๎มะเณ เวสเส สทุ เท จัณฑาละ ปุกกุเส,
คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ คนพลเรือน, คนไพร่ คนจัณฑาล
คนเทหยากเยื่อ
นะ กญิ จิ ปะริวัชเชต ิ สัพพะเมวาภิมัททะต,ิ
มไิ ดย้ กเวน้ ใครๆ เลย, ย่อมย�่ำยีสัตว์ทัง้ ปวงทีเดียว
นะ ตัตถะ หตั ถีนัง ภมู ิ นะ ระถานัง นะ ปตั ติยา,
ภมู แิ ห่งพลชา้ ง, ย่อมไม่มีในชราและมรณะน้นั , ภมู แิ หง่ พลรถกไ็ มม่ ี,
ภมู ิแหง่ พลทหารเทา้ ก็ไมม่ ี
นะ จาปิ มนั ตะยุทเธนะ สักกา เชตุง ธะเนนะ วา,
อน่ึง ไม่มีใครอาจที่จะชนะชรามรณะนั้นได้, ด้วยการสู้รบด้วยเวท
มนตห์ รอื ด้วยทรพั ย์
ตัสม๎ า หิ ปณั ฑโิ ต โปโส สัมปัสสัง อัตถะมตั ตะโน,
เพราะฉะนัน้ แล บรรพชติ ผู้เปน็ บัณฑติ มปี ญั ญา, เมอื่ เหน็ ประโยชน์
ของตน
พทุ เธ ธัมเม จะ สงั เฆ จะ ธโี ร สทั ธงั นิเวสะเย,
ควรทำ� ศรทั ธาให้ตั้งมน่ั ในพระพุทธเจ้า, และพระธรรมและพระสงฆ์
โย ธัมมะจารี กาเยนะ วาจายะ อุทะ เจตะสา,
ผใู้ ดประพฤติธรรมด้วยกาย ดว้ ยวาจา หรือด้วยใจ
อิเธวะ นัง ปะสงั สันติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะต.ิ
ย่อมสรรเสริญผู้น้ันในโลกนีน้ ่ีแล, ละโลกน้ีไปแล้วย่อมปราโมทย์
ในสวรรค์
55 ที่พักสงฆจ์ ันทรงั ษี
นะมะการะสิทธคิ าถา
บทนะมะการะสิทธิคาถาน้ี เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสเพอ่ื ใชส้ วดแทนบท สมั พทุ เธ ดว้ ยเหตผุ ลทว่ี า่ บทสมั
พทุ เธแสดงเหตผุ ลแบบมหายาน แต่บทสัมพทุ เธกย็ งั นยิ มสวดกันอยใู่ นปัจจบุ นั
สว่ นมากนยิ มสวด นะมะการะสทิ ธคิ าถานส้ี ลบั กบั บท สมั พทุ เธ คอื หากสวดบท
สัมพทุ เธก็ไม่ตอ้ งสวด นะมะการะสทิ ธิคาถา หรอื หากสวดบทนะมะการะสทิ ธิ
คาถาแลว้ กไ็ มต่ อ้ งสวดสมั พทุ เธ แตบ่ างแหง่ นยิ มสวดทง้ั สองบทในงานเดยี วกนั ก็
มี เนอ้ื หาของบทนะมะการะสทิ ธคิ าถานเ้ี ปน็ การขออำ� นาจคณุ พระศรรี ตั นตรยั ให้
ชว่ ยดลบนั ดาลชยั ชนะและความสำ� เรจ็ ใหเ้ กดิ ขน้ึ พรอ้ มกบั ปดั เปา่ สรรพอนั ตราย
และความไมเ่ ป็นสริ ิมงคลให้มลายหายไป
โย จักขุมา โมหะมะลาปะกฏั โฐ,
ทา่ นพระองคใ์ ด, มีพระปญั ญาจักษุขจดั มลทิน, คือโมหะเสียแลว้
สามงั วะ พทุ โธ สุคะโต วิมุตโต,
ไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ โดยลำ� พงั พระองคเ์ อง, เสดจ็ ไปดี พน้ ไปแลว้
มารสั สะ ปาสา วินโิ มจะยันโต,
ทรงเปล้ืองชุมชนอนั เปน็ เวไนยจากบ่วงแห่งมาร
ปาเปสิ เขมัง ชะนะตงั วเิ นยยงั ,
น�ำมาใหถ้ งึ ความเกษม
พุทธงั วะรนั ตัง สริ ะสา นะมาม,ิ
ข้าพระพทุ ธเจา้ ขอถวายนมสั การพระพทุ ธเจ้าผูบ้ วรพระองค์น้ัน
โลกัสสะ นาถญั จะ วนิ ายะกญั จะ,
ผู้เปน็ นาถะและเปน็ ผู้นำ� แหง่ โลก
หนงั สือสวดมนต์ 56
ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหต,ุ
ด้วยเดชแหง่ พระพทุ ธเจ้านน้ั , ขอความส�ำเร็จแหง่ ชยั ชนะจงมีแก่ท่าน
สัพพนั ตะรายา จะ วนิ าสะเมนต.ุ
และขออันตรายท้งั มวลจงถึงความพินาศ
ธัมโม ธะโช โย วิยะ ตัสสะ สัตถุ,
พระธรรมเจ้าเปน็ ดจุ ธงชัยแห่งพระศาสดาพระองคน์ ัน้
ทัสเสสิ โลกสั สะ วสิ ุทธมิ ัคคัง,
แสดงทางแห่งความบริสทุ ธ์ใิ ห้แก่โลก
นยิ ยานโิ ก ธมั มะธะรสั สะ ธาร,ี
เป็นคุณอนั คมุ้ ครองชนผ้ทู รงธรรมประพฤตดิ แี ลว้
สาตาวะโห สันติกะโร สุจณิ โณ,
นำ� ความสขุ มา ทำ� ความสงบใหเ้ กดิ ขน้ึ
ธัมมัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ,
ข้าพระพุทธเจา้ ขอถวายนมัสการพระธรรมอนั บวรนั้น
โมหัปปะทาลงั อุปะสันตะทาหงั ,
อันทำ� ลายโมหะระงับความเรา่ รอ้ น
ตันเตชะสา เต ชะยะสทิ ธิ โหตุ,
ดว้ ยเดชแหง่ พระธรรมเจา้ นน้ั , ขอความสำ� เรจ็ แหง่ ชยั ชนะจงมแี กท่ า่ น
สพั พนั ตะรายา จะ วินาสะเมนต.ุ
และขออันตรายท้ังมวลจงถงึ ความพนิ าศ
สทั ธัมมะเสนา สคุ ะตานโุ ค โย,
พระสงฆเจา้ ใดเป็นเสนาประกาศพระสัทธรรม,
ด�ำเนินตามพระศาสดาผเู้ สด็จไปดีแลว้
57 ทีพ่ กั สงฆจ์ นั ทรงั ษี
โลกสั สะ ปาปปู ะกิเลสะเชตา,
ผจญเสยี ซ่งึ อปุ กเิ ลสอันลามกของโลก
สนั โต สะยงั สันตนิ โิ ยชะโก จะ,
เปน็ ผ้สู งบเองดว้ ย, ประกอบผอู้ นื่ ไว้ในความสงบดว้ ย
สว๎ ากขาตะธมั มัง วทิ ิตัง กะโรต,ิ
ยอ่ มท�ำพระธรรมอนั พระศาสดาตรัสไวด้ แี ล้วใหม้ ีผ้รู ตู้ าม
สังฆงั วะรันตงั สิระสา นะมาม,ิ
ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอถวายนมัสการพระสงฆเจ้าผูบ้ วรนน้ั
พุทธานพุ ุทธงั สะมะสีละทฏิ ฐิง,
ผตู้ รัสรู้ตามพระพุทธเจ้า, มศี ีลและทฏิ ฐิเสมอกนั
ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ,
ด้วยเดชแหง่ พระสงฆเจา้ นัน้ , ขอความส�ำเรจ็ แหง่ ชยั ชนะจงมีแก่ท่าน
สัพพนั ตะรายา จะ วนิ าสะเมนต.ุ
และขออันตรายท้งั มวลจงถึงความพนิ าศ
ทา่ นด่าเราผ้ไู มด่ า่ อยู่ ทา่ นโกรธตอ่ เราผไู้ มโ่ กรธอยู่
ทา่ นมาทะเลาะกบั เราผู้ไมท่ ะเลาะอยู่ เรา
ไม่รับคำ�ด่าเปน็ ต้นของท่านนนั้ พราหมณ์
ดังน้นั ค�ำ ดา่ เปน็ ตน้ น้นั จงึ เปน็ ของท่านผู้เดียว
หนังสอื สวดมนต์ 58
สัมพทุ เธ
สมั พทุ เธ อัฏฐะวีสัญจะ ท๎วาทะสัญจะ สะหัสสะเก,
ปญั จะสะตะสะหสั สานิ นะมามิ สริ ะสา อะหัง,
ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทัง้ หลาย,
๕ แสน ๑ หมืน่ ๒ พัน ๒๘ พระองคน์ ั้น, ด้วยเศยี รเกล้า
เตสัง ธัมมญั จะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามหิ งั ,
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมและพระอริยสงฆ,์
ของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเหลา่ น้นั โดยความเคารพ
นะมะการานภุ าเวนะ หันต๎วา สพั เพ อุปทั ทะเว,
ดว้ ยอานุภาพแหง่ การกระท�ำความนอบนอ้ มตอ่ พระรัตนตรยั ,
จงขจัดเสยี ซึ่งอุปทั วะทงั้ ปวงให้หมดไป
อะเนกา อนั ตะรายาปิ วินัสสนั ตุ อะเสสะโต.
แม้อนั ตรายทัง้ หลายทัง้ ปวง, จงพินาศไปโดยไม่เหลือ
สัมพทุ เธ ปญั จะปัญญาสัญจะ จะตวุ สี ะติสะหัสสะเก,
ทะสะสะตะสะหสั สานิ นะมามิ สิระสา อะหัง,
ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมสมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าท้งั หลาย,
๑ ล้าน ๒ หมนื่ ๔ พัน ๕๕ พระองคน์ ัน้ , ด้วยเศยี รเกล้า
เตสัง ธัมมญั จะ สงั ฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามหิ ัง,
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมและพระอริยสงฆ์,
ของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าเหลา่ น้นั โดยความเคารพ
นะมะการานภุ าเวนะ หันตว๎ า สัพเพ อปุ ทั ทะเว,
ดว้ ยอานภุ าพแห่งการกระท�ำความนอบน้อมตอ่ พระรัตนตรัย,
จงขจดั เสียซงึ่ อุปัทวะท้ังปวงใหห้ มดไป
59 ท่ีพกั สงฆ์จันทรังษี
อะเนกา อันตะรายาปิ วนิ สั สันตุ อะเสสะโต.
แม้อันตรายทง้ั หลายท้งั ปวง, จงพนิ าศไปโดยไมเ่ หลือ
สัมพุทเธ นะวตุ ตะระสะเต อฏั ฐะจตั ตาฬสี ะสะหสั สะเก,
วีสะตสิ ะตะสะหสั สาน ิ นะมามิ สริ ะสา อะหัง,
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมสมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทัง้ หลาย,
๒ ลา้ น ๔ หมื่น ๘ พนั ๑๐๙ พระองคน์ น้ั , ดว้ ยเศยี รเกล้า
เตสัง ธมั มญั จะ สงั ฆญั จะ อาทะเรนะ นะมามิหัง,
ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมพระธรรมและพระอรยิ สงฆ์,
ของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ เหลา่ นั้นโดยความเคารพ
นะมะการานุภาเวนะ หันตว๎ า สพั เพ อุปัททะเว,
ด้วยอานุภาพแหง่ การกระทำ� ความนอบน้อมต่อพระรัตนตรยั , จงขจัด
เสียซึง่ อปุ ทั วะทัง้ ปวงให้หมดไป
อะเนกา อันตะรายาปิ วินสั สันตุ อะเสสะโต.
แมอ้ นั ตรายทั้งหลายทง้ั ปวง, จงพินาศไปโดยไมเ่ หลอื
เมอื่ เรือนถกู ไฟไหม้แลว้ เจา้ ของเรอื นขนเอา
ภาชนะใดออกไปได้
ภาชนะนน้ั ยอ่ มเปน็ ประโยชน์แก่เขา สว่ นส่ิงของที่
มไิ ด้ขนออกไป ย่อมถูกไฟไหม้ ฉนั ใด
บุคคลถูกชราและมรณะครอบง�ำ แลว้ กฉ็ นั น้ัน
ควรนำ�ออกดว้ ยการให้ทาน
เพราะทานทบ่ี ุคคลให้แลว้ ชอ่ื ว่านำ�ออกดแี ล้ว
หนงั สอื สวดมนต์ 60
นะโมการะอัฏฐะกะคาถา
นะโม อะระหะโต สมั มา- สมั พุทธสั สะ มะเหสิโน,
ขอนอบน้อมแด่พระผูม้ ีพระภาคอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจ้า,
ผแู้ สวงหาซง่ึ ประโยชนอ์ นั ใหญ่
นะโม อตุ ตะมะธมั มสั สะ สว๎ ากขาตสั เสวะ เตนธิ ะ,
ขอนอบน้อมแดพ่ ระธรรมอันสงู สดุ ในพระศาสนานี,้
ทพ่ี ระองคต์ รัสไวด้ ีแลว้
นะโม มะหาสังฆัสสาปิ วิสทุ ธะสีละทิฏฐโิ น,
ขอนอบนอ้ มแด่พระสงฆ์หม่ใู หญ่, ผมู้ ีศีลและทิฏฐอิ ันหมดจด
นะโม โอมาต๎ยารทั ธสั สะ ระตะนตั ตะยสั สะ สาธกุ งั ,
ขอนอบน้อมแดพ่ ระรตั นตรัย ทป่ี รารภดีแล้ว, ให้ส�ำเร็จประโยชน์
นะโม โอมะกาตตี สั สะ ตสั สะ วตั ถตุ ตะยัสสะปิ,
ขอนอบนอ้ มแม้แต่วัตถุ ๓*, อันล่วงพน้ โทษต�ำ่ ชา้ นัน้
นะโม การปั ปะภาเวนะ วคิ จั ฉนั ตุ อุปัททะวา,
ด้วยความประกาศการกระทำ� ความนอบน้อม,
อุปัทวะทงั้ หลายจงพินาศไป
นะโม การานุภาเวนะ สวุ ัตถิ โหตุ สัพพะทา,
ด้วยอานุภาพแหง่ การกระทำ� ความนอบนอ้ ม,
ขอความสวสั ดีจงมีทุกเมื่อ
นะโม การสั สะ เตเชนะ วิธมิ ห๎ ิ โหมิ เตชะวา.
ดว้ ยเดชแหง่ การกระทำ� ความนอบนอ้ ม,
เราจงเปน็ ผมู้ เี ดชในมงคลพิธเี ถิด
* วตั ถุ ๓ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
61 ที่พักสงฆจ์ ันทรงั ษี
มังคะละปะริตตงั
พุทธมนต์สำ� หรับคุ้มครองรกั ษาให้มสี ริ ิมงคล ๓๘ ประการ
และให้มีความสำ� เร็จถงึ ความเจรญิ รุ่งเรืองท้ังปวง
ประวัติ
เล่ากันมาว่า มนุษย์ในชมพูทวีปได้ถกเถียงกันว่าอะไรหนอเป็นมงคล
ฝ่ายหนึ่งว่าสิ่งท่ีเห็นเป็นมงคล อีกฝ่ายหน่ึงว่าเร่ืองที่ได้ยินเป็นมงคล และ
อีกฝ่ายหน่ึงว่าเรื่องที่ทราบเป็นมงคล ต่างฝ่ายต่างยืนยันความคิดของตนแต่
ก็ไม่สามารถอธบิ ายใหฝ้ า่ ยอ่นื ยอมรบั ได้ จงึ แตกเปน็ ๓ ฝา่ ย ปญั หานไี้ ดแ้ พร่
ไปสเู่ ทวโลกและพรหมโลก เทวดาและพรหม ก็แตกเป็น ๓ ฝ่าย เหมือน
มนุษย์ (ยกเว้นที่เป็นพระอริยสาวก) แต่ปัญหานี้ก็หาข้อยุติไม่ได้ เวลา
ผ่านไป ๑๒ ปี พวกเทวดาจึงไปเฝ้าท้าวสักกะ เพื่อให้ท้าวสักกะช่วยตัดสิน
ท้าวสักกะ จึงได้มอบหมายให้เทพบุตรองค์หน่ึงมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ซงึ่ พระบรมศาสดาก็ทรงแสดงส่ิงอนั เป็นมงคลสูงสุด ๓๘ ประการน้ี ดงั น้ี
พะหู เทวา มะนุสสา จะ มงั คะลานิ อะจนิ ตะยุง,
หมู่เทวดาและมนษุ ย์มากหลาย, ม่งุ หมายความเจริญก้าวหน้า,
ได้คิดถึงเร่อื งมงคลแล้ว
อากังขะมานา โสตถานัง พ๎รูหิ มงั คะละมุตตะมงั .
ขอพระองคท์ รงบอกทางมงคลอนั สูงสุดเถดิ ,
พระผู้มีพระภาคเจา้ ทรงตรัสตอบดังนวี้ ่า
• อะเสวะนา จะ พาลานัง การไมค่ บคนพาล
ปัณฑติ านญั จะ เสวะนา, การคบบณั ฑติ
ปชู า จะ ปูชะนยี านัง
การบชู าตอ่ บคุ คลควรบูชา
เอตมั มงั คะละมตุ ตะมัง. กจิ สามอยา่ งน้ี เปน็ มงคลอนั สงู สดุ
หนงั สอื สวดมนต์ 62
ปะฏริ ปู ะเทสะวาโส จะ การอยใู่ นประเทศอนั สมควร
ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา, การเปน็ ผมู้ บี ญุ ไดท้ ำ� ไวแ้ ลว้ ในกาลกอ่ น
อัตตะสัมมาปะณธิ ิ จะ การตง้ั ตนไวช้ อบ
เอตมั มงั คะละมตุ ตะมัง. กิจสามอย่างน้ี เปน็ มงคลอันสงู สดุ
พาหุสจั จัญจะ สปิ ปญั จะ การเปน็ ผไู้ ดย้ นิ ไดฟ้ งั มาก, การมศี ลิ ปวทิ ยา
วินะโย จะ สสุ ิกขโิ ต,
วินยั ที่ศึกษาดแี ล้ว
สุภาสิตา จะ ยา วาจา วาจาทเี่ ปน็ สุภาษติ
เอตมั มังคะละมุตตะมัง. กิจส่ีอย่างนี้ เปน็ มงคลอนั สงู สุด
มาตาปิตุอุปัฏฐานงั การบำ� รุงเล้ยี งมารดาบิดา
ปตุ ตะทารัสสะ สงั คะโห, การสงเคราะหบ์ ตุ รและสงเคราะหภ์ รรยา
อะนากุลา จะ กมั มนั ตา การงานทไี่ ม่ยงุ่ เหยิงสับสน
เอตัมมังคะละมุตตะมงั . กิจสอ่ี ยา่ งนเ้ี ปน็ มงคลอันสูงสดุ
ทานญั จะ ธมั มะจะรยิ า จะ การบำ� เพญ็ ทาน, การประพฤตธิ รรม
ญาตะกานัญจะ สังคะโห, การสงเคราะหห์ มู่ญาติ
อะนะวัชชานิ กัมมานิ
การงานอันปราศจากโทษ
เอตมั มังคะละมุตตะมงั . กิจส่ีอย่างนี้ เปน็ มงคลอันสูงสุด
อาระตี วริ ะตี ปาปา การงดเวน้ จากบาปกรรม
มัชชะปานา จะ สญั ญะโม, การยบั ย้ังใจไวไ้ ด้จากการดื่มน�ำ้ เมา
อัปปะมาโท จะ ธมั เมสุ การไมป่ ระมาทในธรรมทั้งหลาย
เอตัมมงั คะละมตุ ตะมัง. กจิ สามอยา่ งนี้ เปน็ มงคลอันสูงสุด
คาระโว จะ นิวาโต จะ ความเคารพ, ความอ่อนนอ้ มถอ่ มตน
สันตฏุ ฐี จะ กะตัญญตุ า, ความสนั โดษ, ความกตัญญู
63 ทพี่ ักสงฆจ์ ันทรังษี
กาเลนะ ธัมมสั สะวะนงั การฟงั ธรรมตามกาล
เอตัมมังคะละมตุ ตะมัง. กจิ ห้าอย่างนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด
ขนั ตี จะ โสวะจัสสะตา ความอดทน, ความเป็นคนวา่ งา่ ย
สะมะณานญั จะ ทสั สะนัง, การพบเหน็ ผู้สงบจากกิเลส
กาเลนะ ธมั มะสากจั ฉา การสนทนาธรรมตามกาล
เอตมั มงั คะละมุตตะมงั . กิจสอี่ ย่างน้ี เปน็ มงคลอนั สูงสุด
ตะโป จะ พร๎ หั ม๎ ะจะรยิ ญั จะ ความเพยี รเผากเิ ลส, การประพฤตพิ รหมจรรย์
อะริยะสจั จานะ ทสั สะนงั , การเห็นความจริงของพระอรยิ เจ้า
นพิ พานะสัจฉกิ ริ ิยา จะ การทำ� พระนพิ พานใหแ้ จง้
เอตมั มงั คะละมุตตะมงั . กจิ สอี่ ยา่ งนี้ เปน็ มงคลอันสูงสุด
ผฏุ ฐสั สะ โลกะธมั เมหิ จิตของผูใ้ ดอันโลกธรรมทั้งหลาย
จิตตงั ยสั สะ นะ กัมปะติ, ถกู ต้องแลว้ , ยอ่ มไมห่ วั่นไหว
อะโสกัง วิระชัง เขมงั เปน็ จติ ไมเ่ ศรา้ โศก,เปน็ จติ ไรธ้ ลุ กี เิ ลส,เปน็ จติ เกษมศานต์
เอตมั มงั คะละมุตตะมงั . กจิ สี่อยา่ งนี้ เป็นมงคลอนั สงู สดุ
เอตาทิสานิ กตั ๎วานะ สัพพัตถะมะปะราชติ า,
สพั พตั ถะ โสตถงิ คจั ฉนั ติ ตนั เตสงั มงั คะละมตุ ตะมนั ต.ิ
เทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย, ไดก้ ระทำ� มงคลเชน่ มงคลเหล่าน้ี,
ใหม้ ีในตนได้แลว้ , จงึ เปน็ ผู้ไม่พ่ายแพใ้ นที่ท้งั ปวง,
ยอ่ มถึงซงึ่ ความสวัสดีในทกุ สถาน, ข้อนัน้ เป็นมงคลอันสูงสุด,
ของเทวดาและมนุษย์ทัง้ หลายเหล่านน้ั โดยแท้, ด้วยประการฉะนี้แล
หนงั สือสวดมนต์ 64
ระตะนะปะรติ ตัง
พุทธมนตส์ ำ� หรบั ใชข้ จดั ปดั เป่า คมุ้ ครองป้องกัน โรคภัยไขเ้ จ็บ
และป้องกันอนั ตรายตา่ งๆ
ประวัติ
สมยั หนง่ึ เมอื งเวสาลเี กดิ ภาวะแหง้ แลง้ ฝนไมต่ กตอ้ งตามฤดกู าล ขา้ วกลา้
เสยี หายแหง้ เหยี่ วตาย เกดิ ทพุ ภกิ ขภยั ใหญแ่ ละมโี รคระบาด ผคู้ นอดอยากลม้ ตาย
ซากศพจำ� นวนมาก ถกู นำ� ไปทงิ้ ไวน้ อกเมอื ง พวกอมนษุ ยไ์ ดก้ ลนิ่ ซากศพจงึ พากนั
เขา้ เมือง ทำ� อนั ตรายใหผ้ คู้ นลม้ ตายกันมากย่งิ ขน้ึ
เม่อื เกิดภยั ๓ ประการคือ ทุพภกิ ขภัย (ข้าวยากหมากแพง) อมนษุ ยภ์ ัย
(ภยั จากพวกอมนษุ ย)์ และโรคภยั (ภยั จากโรคระบาด) ขนึ้ ในเมอื งเวสาลอี ยา่ งทไี่ มเ่ คย
ปรากฏมากอ่ น เจา้ ลจิ ฉวี ๗,๗๐๗ องค์ ซง่ึ รว่ มกนั ปกครองเมอื งในระบอบสามคั คธี รรม
จงึ ใหป้ ระชาชนมาประชมุ เพอ่ื รว่ มกนั พจิ ารณา หาความผดิ ของบรรดาเจา้ ลจิ ฉวี อนั
นา่ จะเป็นสาเหตใุ หเ้ กดิ ภยั ตา่ งๆ ดงั กลา่ ว แตก่ ็หาไม่พบ ทงั้ หมดจึงชว่ ยกันหา
วิธีกำ� จดั ภยั นี้ใหส้ งบ
คนบางพวกเสนอใหน้ มิ นตค์ รเู ดยี รถยี ท์ งั้ ๖ มาดบั ทกุ ขภ์ ยั แตบ่ างพวกเสนอ
ให้นมิ นตพ์ ระพทุ ธเจา้ ในทสี่ ดุ กเ็ หน็ ชอบมอบหมายใหเ้ จา้ ลจิ ฉวี ๒ องคเ์ ปน็ หวั หนา้
ไปนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่นครราชคฤห์ ให้เสด็จมา
เมอื งเวสาลี
พระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยทรงทราบว่า เม่ือพระองค์แสดง ระตะนะสูตร
ในเมอื งเวสาลแี ลว้ อารกั ขาจะแผไ่ ปตลอดแสนโกฏจิ กั รวาลในเวลาจบพระสตู ร
และธรรมาภสิ มยั จกั มแี กส่ ตั ว์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์จงึ น�ำพระภิกษุ ๕๐๐ รปู เสดจ็
ด�ำเนนิ ไปเมอื งเวสาลีตามลำ� นำ�้ คงคา
เมอื่ พระบรมศาสดายา่ งพระบาทประทบั บนแผน่ ดนิ นครเวสาลี กเ็ กดิ ฝนตก
ลงมาห่าใหญ่ นำ�้ ฝนไหลนองแผน่ ดิน สูงถงึ เขา่ บ้าง สงู ถงึ เอวบ้าง พัดพาเอา
ซากศพลอยลงแมน่ ำ�้ คงคาไปจนหมด ทำ� ใหพ้ นื้ ดนิ บรสิ ทุ ธส์ิ ะอาดขน้ึ โรคระบาด
ก็คอ่ ยสงบลง
65 ทีพ่ ักสงฆ์จันทรงั ษี
พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงประตูเมืองเวสาลีในตอนเย็น ขณะน้ัน ท้าวสักกะ
เทวราชและเทพยดาศักด์ิใหญ่น�ำเสด็จอยู่หนา้ ขบวน พวกอมนษุ ยท์ อ่ี ยใู่ นเมอื ง
เกรงกลวั อานภุ าพจงึ พากนั หลบหนไี ปเปน็ สว่ นมาก
พระบรมศาสดาทรงตรสั สอนระตะนะสตู รแกพ่ ระอานนท์ ใหพ้ ระอานนท์
พร้อมเจ้าลิจฉวีทั้งหลายเดินสาธยายให้รอบก�ำแพงเมืองทั้ง ๓ ชั้นตลอดท้ัง
คืน พวกอมนุษย์ท่ีเหลอื อยจู่ งึ พากนั หลบหนไี ปหมดสนิ้ เพราะเกรงกลวั อานภุ าพของ
ระตะนะสตู รนี้ ภยั ทงั้ หลายในเมอื งเวสาลจี ึงสงบลง
เมือ่ ภัยท้งั หลายสงบลงแล้ว ชาวเวสาลไี ดม้ าประชุมกันท่ีกลางนคร และ
นิมนต์พระพทุ ธเจา้ มาแสดงธรรม พระพุทธเจ้าจงึ ทรงแสดงระตะนะสตู รทกุ วัน
ตลอด ๗ วนั ทำ� ใหเ้ หลา่ สตั วค์ อื มนษุ ยแ์ ละเทวดาไดบ้ รรลธุ รรมถงึ วนั ละ ๘๔,๐๐๐
เมอื่ ทรงเหน็ วา่ ภยั ทุกอย่างสงบเรยี บร้อยแลว้ พระบรมศาสดาจึงเสด็จกลับ
กรงุ ราชคฤห์
ยานธี ะ ภตู านิ สะมาคะตานิ,
หมูภ่ ตู เิ หลา่ ใดซง่ึ มาประชุมกันแลว้ ในท่ีนี้
ภุมมานิ วา ยานวิ ะ อนั ตะลกิ เข,
สถติ อยูต่ ามแผ่นดนิ กด็ ี, สถิตอยู่ในอากาศกด็ ี
สพั เพ วะ ภตู า สุมะนา ภะวันต,ุ
ขอหมู่ภูตทง้ั ปวงน้นั , จงเป็นผ้มู ีใจดเี ถิด
อะโถปิ สกั กจั จะ สณุ นั ตุ ภาสติ ัง,
และเชญิ ฟงั คำ� สดุดพี ระรัตนตรยั , อนั ข้าพเจ้าจกั กลา่ วโดยเคารพเถิด
ตัสม๎ า หิ ภตู า นิสาเมถะ สพั เพ,
ดูกอ่ นภูตทง้ั หลาย เพราะเหตนุ นั้ แล, ขอท่านทัง้ หลายทั้งปวงจงฟัง
ข้าพเจา้ เถดิ
เมตตัง กะโรถะ มานุสยิ า ปะชายะ,
ขอทา่ นทั้งหลาย, จงกระท�ำเมตตาจิตในหมมู่ นษุ ย์ชาตเิ ถิด
หนงั สอื สวดมนต์ 66
ทวิ า จะ รตั โต จะ หะรนั ติ เย พะลิง,
ซึง่ มนุษยท์ ้ังหลาย, ทำ� เทวตาพลอี ยทู่ ง้ั กลางวนั และกลางคืน
ตสั ๎มา หิ เน รกั ขะถะ อปั ปะมัตตา.
เพราะเหตนุ น้ั แล ท่านทั้งหลาย, จงเปน็ ผ้ไู มป่ ระมาท, ช่วยคมุ้ ครอง
รกั ษาเขาเหล่านัน้ ด้วยเถิด
• ยงั กิญจิ วิตตัง อิธะ วา หรุ ัง วา,
สคั เคสุ วา ยงั ระตะนัง ปะณีตัง,
ทรัพยเ์ ครอ่ื งปลมื้ ใจอนั ใดอันหนึ่ง, ในโลกน้กี ด็ ี ในโลกหนา้ กด็ ี, หรอื
รัตนะอันใดอันประณีตในสวรรค์
นะ โน สะมงั อัตถิ ตะถาคะเตนะ,
ทรพั ยห์ รอื รตั นะน้นั ๆ, ที่จะเสมอดว้ ยพระตถาคตเจ้าไมม่ ีเลย
อิทมั ปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณตี ัง,
เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ัตถิ โหตุ.
แม้ขอ้ น,ี้ จดั เปน็ รัตนคุณอันประณีตในพระพทุ ธเจา้ , ด้วยค�ำสตั ย์นี้,
ขอความสวัสดจี งบังเกิดมีเถิด
• ขะยัง วิราคงั อะมะตัง ปะณีตัง,
ยะทชั ฌะคา สัก๎ยะมุนี สะมาหิโต,
พระศากยมนุ เี จา้ , ทรงมพี ระหฤทยั ดำ� รงมนั่ , ไดท้ รงบรรลธุ รรมอนั ใด,
เป็นทส่ี น้ิ กเิ ลส, เปน็ ท่ีส้ินราคะ, เป็นอมตะธรรมอันประณตี
นะ เตนะ ธมั เมนะ สะมตั ถิ กญิ จิ,
สง่ิ ใดๆ ทีเ่ สมอด้วยพระธรรมน้ัน, ยอ่ มไมม่ ี
อทิ ัมปิ ธมั เม ระตะนัง ปะณตี งั ,
เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ัตถิ โหต.ุ
แม้ขอ้ น้,ี จดั เปน็ รตั นคุณอันประณีตในพระธรรม, ด้วยคำ� สัตย์นี้,
ขอความสวสั ดีจงบังเกิดมเี ถดิ
67 ทีพ่ กั สงฆจ์ ันทรงั ษี
• ยมั พทุ ธะเสฏโฐ ปะรวิ ัณณะยี สุจงิ ,
สะมาธมิ านันตะรกิ ญั ญะมาหุ,
พระพทุ ธเจา้ ผปู้ ระเสรฐิ สดุ , ทรงสรรเสรญิ แลว้ ซงึ่ สมาธอิ นั ใด, วา่ เปน็
ธรรมอันสะอาด, บัณฑิตท้ังหลาย กล่าวถึงสมาธอิ นั ใด, วา่ เปน็ ธรรม
ที่ใหผ้ ลโดยลำ� ดบั
สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ,
สมาธิอื่นที่เสมอด้วยสมาธินน้ั , ย่อมไม่มี
อทิ มั ปิ ธมั เม ระตะนัง ปะณตี งั ,
เอเตนะ สัจเจนะ สวุ ตั ถิ โหต.ุ
แมข้ ้อน,ี้ จัดเปน็ รัตนคุณอันประณีตในพระธรรม,
ด้วยค�ำสตั ย์น้ี, ขอความสวัสดจี งบังเกิดมเี ถิด
• เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสตั ถา,
จัตตาริ เอตานิ ยคุ านิ โหนต,ิ
บุคคลเหล่าใด นบั เรยี งองค์ไดเ้ ปน็ ๘,
นับเป็นคู่ได้ ๔ คู,่ อันสตั บุรุษทั้งหลายสรรเสรญิ แลว้
เต ทกั ขเิ ณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา,
เอเตสุ ทนิ นานิ มะหัปผะลาน,ิ
บคุ คลเหลา่ นน้ั เปน็ สาวกของพระสคุ ตเจา้ , เปน็ ผคู้ วรแกท่ กั ษณิ าทาน,
ทานทง้ั หลายท่ีบคุ คลถวายในทา่ นเหลา่ น้ัน, ย่อมมผี ลเป็นอันมาก
อิทัมปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณตี ัง,
เอเตนะ สจั เจนะ สุวตั ถิ โหต.ุ
แม้ขอ้ นี,้ จัดเปน็ รัตนคณุ อนั ประณตี ในพระสงฆ์,
ดว้ ยค�ำสตั ยน์ ,้ี ขอความสวัสดจี งบงั เกิดมีเถดิ
หนังสือสวดมนต์ 68
• เย สปุ ปะยุตตา มะนะสา ทัฬ๎เหนะ,
นิกกามิโน โคตะมะสาสะนมั ห๎ ,ิ
พระอริยบคุ คลท้ังหลายเหล่าใด, มใี จอนั มั่นคง ไมย่ ินดใี นกาม,
ประกอบความเพยี รดีแล้ว, ในศาสนาพระโคตมเจ้า
เต ปตั ตปิ ัตตา อะมะตัง วคิ ยั ๎หะ,
ลทั ธา มธุ า นพิ พตุ ิง ภุญชะมานา,
พระอรยิ บคุ คลทั้งหลายเหลา่ น้ัน, บรรลุคุณอันควรบรรล,ุ คือพระ-
อรหตั ตผลแลว้ , หยงั่ เขา้ สพู่ ระนพิ พานเปน็ อารมณ,์ ไดเ้ ขา้ ถงึ ซง่ึ ความ
ดับกเิ ลส, แลว้ เสวยอยซู่ ่ึงพระนพิ พาน, อนั เป็นเคร่อื งดบั แห่งกิเลส
อทิ ัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณตี ัง,
เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ัตถิ โหตุ.*
แม้ขอ้ นี,้ จดั เปน็ รตั นคณุ อนั ประณตี ในพระสงฆ,์
ดว้ ยค�ำสัตยน์ ,ี้ ขอความสวสั ดีจงบงั เกิดมีเถิด
ยะถินทะขโี ล ปะฐะวงิ สิโต สยิ า,
จะตพุ ภิ วาเตภิ อะสัมปะกมั ปิโย,
เสาเข่ือนที่ฝงั ลงดนิ อย่างมนั่ คงแล้ว,
ลมทั้ง ๔ ทิศที่พัดมา, ไม่พงึ หว่ันไหวไดฉ้ นั ใด
ตะถูปะมงั สปั ปรุ ิสงั วะทามิ,
โย อะริยะสจั จานิ อะเวจจะ ปัสสะต,ิ
บุคคลใดเหน็ อรยิ สจั ทง้ั หลายโดยไมห่ ว่นั ไหว, เราเรียกผู้นั้นว่า,
เปน็ สัตบรุ ษุ ผู้ไมห่ วนั่ ไหว, อปุ มาเหมอื นเสาเข่อื นนัน้
* ถา้ สวดยอ่ ตอ่ ด้วยบท ขณี ัง หนา้ .... ที่พกั สงฆจ์ นั ทรงั ษี
69
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณตี ัง,
เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ัตถิ โหตุ.
แมข้ ้อน,้ี จดั เปน็ รตั นคณุ อนั ประณีตในพระสงฆ,์
ดว้ ยค�ำสตั ย์นี้, ขอความสวัสดจี งบังเกดิ มีเถิด
เย อะริยะสจั จานิ วภิ าวะยนั ติ,
คมั ภรี ะปัญเญนะ สเุ ทสิตาน,ิ
บคุ คลเหลา่ ใดทำ� อรยิ สจั ทง้ั หลาย, อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า,
ผมู้ พี ระปัญญาอนั ลึกซ้ึง, ทรงแสดงไว้ดีแลว้ , ใหแ้ จ่มแจ้งแก่ตนได้
กญิ จาปิ เต โหนติ ภุสปั ปะมัตตา,
นะ เต ภะวัง อฏั ฐะมะมาทิยนั ต,ิ
บุคคลเหลา่ นั้น, ถึงจะเปน็ ผปู้ ระมาทอย่บู ้าง, แต่ทา่ นกย็ อ่ มไม่ถือเอา
ภพ, มาเกดิ ในคำ� รพที่ ๘ (พระโสดาบนั เกดิ อกี อยา่ งมากเพยี งเจด็ ชาต)ิ
อิทมั ปิ สังเฆ ระตะนงั ปะณตี งั ,
เอเตนะ สจั เจนะ สุวตั ถิ โหต.ุ
แม้ขอ้ นี้, จัดเปน็ รตั นคณุ อันประณตี ในพระสงฆ,์ ด้วยค�ำสตั ย์นี,้
ขอความสวัสดีจงบังเกดิ มีเถิด
สะหาวสั สะ ทสั สะนะสัมปะทายะ,
ตย๎ สั สุ ธมั มา ชะหติ า ภะวันติ,
สักกายะทฏิ ฐิ วจิ ิกจิ ฉติ ัญจะ,
สลี ัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ,
สงั โยชน์ ๓ ประการคอื , สกั กายทฐิ ,ิ วิจิกจิ ฉา, และสลี พั พตปรามาส,
ซ่ึงเปน็ กิเลสเครอื่ งผกู สตั ว์ไว้ในภพ, อนั พระโสดาบนั ละได้แล้ว,
เพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทสั นะ
หนงั สอื สวดมนต์ 70
จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมตุ โต,
ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตงุ ,
อนึง่ พระโสดาบันเปน็ ผู้พน้ ไดแ้ ล้ว, จากอบายภูมทิ ัง้ ๔, ทงั้ ไมอ่ าจ
ทจ่ี ะท�ำอภิฐาน, คอื กรรมอันหนกั ๖ ประการ (๑. ฆ่าแม่ ๒. ฆา่ พ่อ
๓. ฆ่าพระอรหนั ต์ ๔. ทำ� พระพุทธเจา้ ให้ห้อพระโลหิต ๕. ทำ� สงฆ์
ให้แตกแยก ๖. ภิกษุผูไ้ ปเข้ารตี เดียรถีย)์
อทิ มั ปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตงั ,
เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ัตถิ โหตุ.
แมข้ ้อนี,้ จดั เปน็ รตั นคุณอนั ประณตี ในพระสงฆ์,
ดว้ ยค�ำสัตยน์ ,ี้ ขอความสวสั ดีจงบังเกิดมีเถดิ
กิญจาปิ โส กมั มัง กะโรติ ปาปะกงั ,
กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา,
พระโสดาบันน้ัน, ยังท�ำความผิดเล็กน้อย, ทางกาย ทางวาจาหรือ
ทางใจอยู่บา้ ง
อะภพั โพ โส ตสั สะ ปะฏจิ ฉะทายะ, อะภพั พะตา ทฏิ ฐะ
ปะทสั สะ วุตตา,
พระโสดาบนั นนั้ , กเ็ ปน็ ผไู้ มป่ กปดิ ความผดิ นน้ั ไว,้ เพราะการทบี่ คุ คล,
ผเู้ ขา้ ถึงกระแสพระนพิ พานแล้ว, จะปิดบงั กรรมชัว่ ของตนไว้นนั้ ,
พระตถาคตกล่าวว่าไม่อาจปิดบงั ได้
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณตี งั ,
เอเตนะ สัจเจนะ สุวตั ถิ โหต.ุ
แมข้ อ้ นี,้ จัดเป็นรัตนคุณอนั ประณีตในพระสงฆ,์ ดว้ ยคำ� สตั ย์น,ี้
ขอความสวัสดีจงบังเกดิ มีเถิด
71 ที่พกั สงฆ์จนั ทรังษี
วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค,
คมิ ห๎ านะมาเส ปะฐะมสั ม๎ งิ คิมเ๎ ห,
พุม่ ไมใ้ นป่าแตกยอดในเดือนตน้ คมิ หนั ต์, แห่งคิมหนั ตฤดฉู นั ใด
ตะถปู ะมัง ธัมมะวะรงั อะเทสะยิ,
นพิ พานะคามงิ ปะระมัง หติ ายะ,
พระตถาคตเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ, ซึ่งเป็นหนทางให้ถึง
พระนพิ พาน, เพอ่ื ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ แกส่ ตั วท์ งั้ หลาย, กม็ อี ปุ มาฉนั นนั้
อิทัมปิ พทุ เธ ระตะนงั ปะณีตัง,
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ.
แม้ขอ้ น,้ี กเ็ ปน็ รตั นคณุ อนั ประณตี ในพระพทุ ธเจา้ , ดว้ ยค�ำสัตยน์ ี้,
ขอความสวัสดจี งบงั เกิดมีเถดิ
วะโร วะรญั ญู วะระโท วะราหะโร,
อะนุตตะโร ธัมมะวะรงั อะเทสะย,ิ
พระตถาคตเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐ, ทรงเปน็ ผู้รสู้ ง่ิ อนั ประเสริฐ,
ทรงเปน็ ผใู้ หส้ ิ่งอนั ประเสริฐ, ทรงเปน็ ผูน้ ำ� มาซึง่ สิง่ อนั ประเสรฐิ ,
ทรงเป็นผ้ไู มม่ ใี ครยิง่ กว่า, ไดท้ รงแสดงแล้วซ่งึ พระธรรมอนั ประเสรฐิ
อทิ มั ปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง,
เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ัตถิ โหต.ุ
แมข้ ้อน,ี้ ก็เป็นรัตนคุณอนั ประณีตในพระพุทธเจ้า,
ดว้ ยค�ำสัตย์น,ี้ ขอความสวสั ดีจงบังเกิดมเี ถดิ
• ขณี ัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง,
วริ ตั ตะจติ ตายะตเิ ก ภะวัส๎มิง,
กรรมเกา่ ของพระอรยิ บคุ คลเหลา่ ใดสนิ้ แลว้ , กรรมใหมท่ จี่ ะเกดิ ในภพ
ใหมย่ อ่ มไมม่ ,ี พระอรยิ บคุ คลเหลา่ ใด, มจี ติ อนั หนา่ ยแลว้ ในภพตอ่ ไป
หนงั สอื สวดมนต์ 72
เต ขีณะพีชา อะวริ ุฬห๎ ิฉันทา,
นพิ พนั ติ ธีรา ยะถายมั ปะทีโป,
พระอรหันต์เหล่านั้น มีพืชคือวิญญาณ, อันจะเกิดในภพต่อไปส้ิน
แลว้ , ไมม่ คี วามพอใจทจ่ี ะเกดิ อกี ตอ่ ไป, เปน็ ผมู้ ปี ญั ญา ยอ่ มนพิ พาน,
เหมอื นดังดวงประทีปที่ดบั ไปฉนั นน้ั
อทิ ัมปิ สงั เฆ ระตะนงั ปะณตี ัง,
เอเตนะ สจั เจนะ สวุ ตั ถิ โหตุ.
แมข้ อ้ นี,้ จัดเปน็ รตั นคุณอนั ประณีตในพระสงฆ,์ ดว้ ยคำ� สัตยน์ ,ี้
ขอความสวสั ดีจงบงั เกดิ มีเถดิ
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตาน,ิ
ภมุ มานิ วา ยานิวะ อนั ตะลกิ เข,
ภูตประจำ� ถิ่นเหล่าใด, ประชุมกนั แลว้ ในพระนครก็ด,ี
ประชุมกนั แล้วในอากาศกด็ ี
ตะถาคะตงั เทวะมะนุสสะปูชติ ัง,
พุทธัง นะมัสสามะ สวุ ัตถิ โหต.ุ
เราทงั้ หลายจงนมสั การพระพทุ ธเจ้าผู้มาแลว้ , ผู้ซ่ึงเทวดาและมนุษย์
บูชาแลว้ , ขอความสุขสวสั ดีจงบงั เกิดมเี ถิด
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตาน,ิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อนั ตะลกิ เข,
ภูตประจ�ำถิน่ เหล่าใด, ประชมุ กนั แล้วในพระนครกด็ ,ี
ประชุมกันแลว้ ในอากาศกด็ ี,
73 ทพี่ กั สงฆ์จันทรงั ษี
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปชู ติ ัง,
ธัมมงั นะมัสสามะ สวุ ตั ถิ โหตุ.
เราทง้ั หลายจงนมสั การพระธรรมอนั มาแลว้ , อนั เทวดาและมนษุ ยบ์ ชู า
แลว้ , ขอความสุขสวัสดจี งบงั เกดิ มีเถดิ
ยานธี ะ ภูตานิ สะมาคะตานิ,
ภุมมานิ วา ยานวิ ะ อันตะลกิ เข,
ภตู ประจ�ำถิ่นเหล่าใด, ประชมุ กนั แลว้ ในพระนครก็ดี,
ประชมุ กันแลว้ ในอากาศก็ดี
ตะถาคะตัง เทวะมะนสุ สะปูชติ ัง,
สงั ฆงั นะมัสสามะ สวุ ัตถิ โหต.ุ
เราท้ังหลายจงนมสั การพระสงฆผ์ มู้ าแลว้ , ผ้ซู ่ึงเทวดาและมนษุ ย์บชู า
แลว้ , ขอความสขุ สวัสดจี งบงั เกิดมีเถดิ
ความรกั ความอาลยั เปน็ สาเหตแุ ห่งทุกข์
เพราะฉะน้นั คนมรี กั มากเท่าใด กม็ ที กุ ขม์ ากเท่านน้ั
มีรกั หน่ึงมีทกุ ขห์ นึง่ มรี ักสิบมีทุกขส์ บิ มีรักร้อยมีทกุ ข์รอ้ ย
ความทกุ ขย์ อ่ มเพม่ิ ขึ้นตามปริมาณแห่งความรกั
เหมือนความร้อนท่เี กดิ แตไ่ ฟ ย่อมเพม่ิ ข้นึ
ตามจำ�นวนเช้อื ท่ีเพ่มิ ข้ึน
หนังสือสวดมนต์ 74
กะระณียะเมตตะปะรติ ตัง
พุทธมนตเ์ พอ่ื ความเป็นมติ รและเมตตาแกเ่ ทวดา มนุษย์ และอมนุษย์ทง้ั
หลายทำ� ใหห้ ลบั เปน็ สขุ ต่ืนเปน็ สุข ไม่ฝันร้าย เป็นทรี่ กั ของเทวดา เทพพิทกั ษ์
รกั ษา ไมม่ ีภยนั ตราย จติ เป็นสมาธงิ า่ ย ใบหนา้ ผอ่ งใส มสี ริ มิ งคล ไมห่ ลงสติ
ในเวลาเสียชีวติ และเป็นพรหมเม่ือบรรลเุ มตตาฌาน
ประวตั ิ
สมยั หนึง่ เวลาก่อนเขา้ พรรษา มพี ระภิกษุ ๕๐๐ รปู มาเข้าเฝ้าขอรับ
กรรมฐานจากพระบรมศาสดาที่กรุงสาวัตถี ครั้นรับกรรมฐานแล้วก็ออกเดินทางไป
ยังปัจจันตประเทศพักจ�ำพรรษาในราวป่าแห่งหน่ึงซ่ึงเป็นที่สัปปายะ ซ่ึงชาว
ปัจจันตประเทศก็ได้เก้ือกูลบ�ำรุงพระภิกษุเหล่าน้ันเป็นอย่างดี ท�ำให้เหล่าพระ
ภกิ ษุสามารถบำ� เพญ็ เพียรเจริญสตภิ าวนาได้ทัง้ กลางวันและกลางคืน
เม่ือพระภิกษุผู้ทรงศีลมาเจริญภาวนาอยู่ตามโคนไม้ พวกรุกขเทวดาท้ัง
หลายกอ็ ยู่ไมไ่ ด้ จ�ำเป็นต้องลงจากวมิ านของตนเองมามองดูอยไู่ กลๆ วา่ เมื่อไร
หนอพระภิกษเุ หลา่ นจ้ี ะไป เมือ่ พจิ ารณาวา่ บดั น้ีเข้าพรรษาแลว้ พระภิกษุเหล่าน้ี
คงจะอยู่นานเป็นแน่ พวกรุกขเทวดาจึงได้แสดงอาการจะให้พระภิกษุย้ายออก
ไป โดยการทำ� เสียงท่นี า่ กลัวและเนรมติ กายเปน็ ยกั ษม์ าปรากฏ หลอกหลอน
ต่อหน้าเวลากลางคืน
พระภิกษุเหล่านั้นหวาดกลัว หลงลืมสติ ปวดศีรษะ ร่างกายซูบผอม
ผวิ เหลอื ง เปน็ โรคผอมเหลอื ง ไมอ่ าจปฏบิ ตั สิ มณธรรมได้ หลงั จากปรกึ ษากนั แลว้
จงึ พากนั ไปกราบทลู ถามพระบรมศาสดาวา่ สถานทน่ี น้ั ไมเ่ ปน็ ทสี่ ปั ปายะ (พอเหมาะพอ
สม เป็นท่สี บาย) หรอื อย่างไร
พระผูม้ พี ระภาคเจ้าทรงตรัสว่า เสนาสนะนั้นเปน็ ที่สัปปายะแล้ว พวกเธอ
เขา้ ไปอาศัยเสนาสนะน้ันนนั่ แหละจกั บรรลุธรรม แต่ถ้าพวกเธอปรารถนาความ
ไมม่ ภี ยั จากเทวดาทั้งหลายกจ็ งพากันเรียนพระปรติ รน้ี
ครน้ั แลว้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ไดต้ รสั พระปรติ รนเี้ พอื่ ใชเ้ จรญิ เมตตาและ
เพ่อื เจริญฌานอนั เปน็ บาทแหง่ วิปัสสนาแกภ่ ิกษเุ หล่านน้ั
75 ทีพ่ กั สงฆ์จนั ทรังษี
กะระณียะมัตถะกสุ ะเลนะ
ยันตัง สนั ตัง ปะทงั อะภสิ ะเมจจะ,
กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์, ปรารถนาจะตรัสรู้บทคือพระนิพพาน
อันสงบ
สกั โก อุชู จะ สุหชุ ู จะ
สุวะโจ จัสสะ มทุ ุ อะนะติมาน,ี
พึงเปน็ ผอู้ าจหาญ ผตู้ รง มน่ั คงดี ผู้ว่าง่าย, พงึ เป็นผอู้ อ่ นโยน
ไม่เยอ่ หยง่ิ
สันตสุ สะโก จะ สุภะโร จะ
อปั ปะกจิ โจ จะ สลั ละหุกะวตุ ติ,
เป็นผูส้ นั โดษ เล้ยี งงา่ ย มีกิจน้อย, ประพฤติตนเบากายเบาจติ
สันตนิ ทร๎ ิโย จะ นิปะโก จะ
อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคทิ โธ,
มีอินทรยี ์สงบระงับ, มปี ญั ญาเครือ่ งรกั ษาตน, เป็นผไู้ ม่คะนอง,
ไม่คลุกคลีในสกลุ
นะ จะ ขทุ ทงั สะมาจะเร กญิ จิ
เยนะ วิญญู ปะเร อปุ ะวะเทยยุง,
ไม่พงึ ประพฤติทจุ ริตแม้กรรมเพยี งเล็กนอ้ ย, เปน็ เหตุให้วญิ ญชู น
ตเิ ตยี นได้
สขุ ิโน วา เขมโิ น โหนตุ
สพั เพ สัตตา ภะวันตุ สขุ ิตตั ตา,
พงึ แผไ่ มตรจี ิตไปในสตั วท์ ง้ั หลายวา่ , ขอสตั วท์ ง้ั ปวงจงเปน็ สขุ
มคี วามเกษมเถิด
หนังสือสวดมนต์ 76
เย เกจิ ปาณะภูตตั ถิ
ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา,
สตั ว์มชี ีวิตทง้ั หลายเหลา่ ใดเหล่าหนง่ึ , สัตวท์ ้งั มวล,
ทีส่ ะดุง้ กลวั กด็ ี ทม่ี ่ันคงก็ดี
ทีฆา วา เย มะหันตา วา
มัชฌมิ า รสั สะกา อะณุกะถูลา,
มีอัตภาพยาวก็ดี ใหญ่ก็ดี, อัตภาพปานกลาง เล็ก หรอื ละเอียดกด็ ี
ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา
เย จะ ทูเร วะสนั ติ อะวทิ เู ร,
ทีเ่ ราเห็นก็ดี ไมเ่ หน็ กด็ ,ี ทีอ่ ย่ไู กลก็ดี อยใู่ กลก้ ็ดี
ภูตา วา สมั ภะเวสี วา
สพั เพ สตั ตา ภะวันตุ สุขติ ตั ตา,
ท่เี กิดแลว้ กด็ ี ทีก่ ำ� ลังแสวงหาทเ่ี กดิ กด็ ี, สตั วท์ ง้ั หมดนั้น,
จงเป็นผูม้ ีตนถึงความสขุ เถิด
นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ
นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นงั กญิ จ,ิ
สตั วอ์ ่นื ไมพ่ ึงข่มเหงสัตว์อ่ืน, ไม่พงึ ดหู ม่ินผหู้ นึ่งผู้ใดในท่ีใดๆ เลย
พย๎ าโรสะนา ปะฏฆี ะสัญญา
นาญญะมญั ญสั สะ ทกุ ขะมิจเฉยยะ,
ไมพ่ งึ ปรารถนาทกุ ขแ์ ก่กันและกนั , เพราะความกริ้วโกรธและ
ความเคียดแค้น
มาตา ยะถา นยิ งั ปตุ ตัง
อายสุ า เอกะปุตตะมะนุรักเข,
มารดาถนอมบตุ รคนเดยี วผเู้ กดิ ในตน, ดว้ ยการยอมสละชวี ติ ไดฉ้ นั ใด
77 ที่พกั สงฆ์จันทรงั ษี
เอวัมปิ สัพพะภเู ตสุ
มานะสัมภาวะเย อะปะรมิ าณัง.
ผู้ฉลาดพึงเจรญิ เมตตาในสัตว์ทัง้ ปวง, ไมม่ ปี ระมาณ ฉันนัน้
• เมตตัญจะ สพั พะโลกัสม๎ งิ
มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง,
ผ้ฉู ลาดพึงเจรญิ เมตตาในสตั ว์ทั้งปวง, ไมม่ ปี ระมาณในโลกทงั้ สนิ้
อทุ ธงั อะโธ จะ ตริ ยิ ัญจะ
อะสมั พาธงั อะเวรงั อะสะปตั ตงั ,
ทั้งเบือ้ งบน เบอ้ื งต่ำ� และเบื้องขวาง, ไมม่ ีขอบเขต ไมม่ ีเวร ไมม่ ีศัตรู
ติฏฐัญจะรัง นสิ นิ โน วา
สะยาโน วา ยาวะตสั สะ วิคะตะมทิ โธ,
ผู้เจรญิ เมตตาจิตนัน้ , ยนื อยกู่ ด็ ี เดนิ ไปก็ดี นงั่ แลว้ ก็ดี นอนแลว้ กด็ ,ี
ตลอดเวลาทตี่ นยงั ตนื่ อยู่
เอตงั สะตงิ อะธฏิ เฐยยะ พร๎ หั ม๎ ะเมตงั วหิ ารงั อธิ ะมาห,ุ
ควรต้ังเมตตาสติน้ีให้มั่นไว้, บัณฑิตทั้งหลาย, กล่าวถึงการอยู่ด้วย
เมตตานว้ี ่า, เปน็ การอย่อู ย่างประเสริฐในพระธรรมวินัยนี้
ทฏิ ฐญิ จะ อะนปุ ะคมั มะ สลี ะวา ทสั สะเนนะ สมั ปนั โน,
บุคคลทม่ี ีเมตตา ท่ีละความเหน็ ผดิ แลว้ , มศี ลี ถงึ พรอ้ มดว้ ย
ความเหน็ ชอบ
กาเมสุ วเิ นยยะ เคธัง
นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ.
ขจดั ความใครใ่ นกามทง้ั หลายเสยี ได,้ ยอ่ มไมถ่ งึ ความเกดิ ในครรภอ์ กี
โดยแทแ้ ล
หนงั สอื สวดมนต์ 78
ขันธะปะรติ ตัง
พุทธมนต์ส�ำหรบั คุม้ ครองป้องกันภัยจากอสรพิษและสตั ว์รา้ ยอืน่ ๆ
ประวตั ิ
สมัยหน่ึง พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันวิหาร มีภิกษุรูปหน่ึง
มรณภาพเพราะถูกงูกัดขณะก�ำลังผ่าฟนื อยู่ทปี่ ระตเู รือนไฟ
พระบรมศาสดาจงึ แสดงปรติ รนว้ี า่ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย หากภกิ ษรุ ปู นน้ั ไดเ้ จรญิ
เมตตาแผ่ถึงตระกลู พญางูทัง้ สีแ่ ล้ว งูกจ็ ะไมก่ ดั แมด้ าบสทัง้ หลายแต่ปางก่อน
กป็ ลอดภัย เพราะไดเ้ จริญเมตตาพญางูท้งั ๔ ตระกลู คือ ตระกูลวิรปู กั ข์ เอ
ราบถ ฉัพยาบุตร และกัณหาโคตมกะ
(พญางทู งั้ ๔ ตระกลู นี้ เปน็ ตระกลู งใู หญ่ คอื พญานาคชนั้ สงู ทมี่ กี ำ� เนดิ แบบ
โอปปาตกิ ะ ตระกูลงวู ิรูปักขม์ ีกายสีเขียว ตระกูลเอราบถมกี ายสที อง ตระกูล
ฉัพยาบตุ รมีกายสีเทา และตระกลู กณั หาโคตมกะมีกายสดี �ำ)
วริ ปู ักเขหิ เม เมตตัง เมตตงั เอราปะเถหิ เม,
ขอไมตรจี ติ ของเรา, จงมแี กพ่ ญางตู ระกลู วริ ปู กั ข,์ ขอไมตรจี ติ ของเรา,
จงมแี ก่พญางูตระกลู เอราบถ
ฉพั ๎ยาปตุ เตหิ เม เมตตัง เมตตงั กณั หî าโคตะมะเกหิ จะ,
ขอไมตรจี ิตของเรา, จงมแี ก่พญางตู ระกูลฉพั ยาบตุ ร,
ขอไมตรจี ิตของเรา, จงมีแกพ่ ญางูตระกลู กณั หาโคตมกะ
อะปาทะเกหิ เม เมตตงั เมตตัง ทปิ าทะเกหิ เม,
ขอไมตรจี ิตของเรา, จงมีกับสตั ว์ทีไ่ ม่มีเทา้ ,
ขอไมตรีจิตของเรา, จงมกี ับสัตว์ ๒ เท้า
79 ท่พี กั สงฆ์จันทรงั ษี
จะตปุ ปะเทหิ เม เมตตงั เมตตัง พะหปุ ปะเทหิ เม,
ขอไมตรีจติ ของเรา, จงมีกบั สัตว์ ๔ เท้า,
ขอไมตรีจติ ของเรา, จงมีกับสัตว์มีเท้ามาก
มา มงั อะปาทะโก หิงส ิ มา มัง หงิ สิ ทปิ าทะโก,
ขอสัตว์ที่ไมม่ ีเทา้ อย่าไดเ้ บยี ดเบยี นเราเลย,
ขอสตั วท์ ี่มี ๒ เทา้ อย่าไดเ้ บียดเบยี นเราเลย
มา มัง จะตปุ ปะโท หงิ สิ มา มงั หิงสิ พะหปุ ปะโท,
ขอสตั วท์ ีม่ ี ๔ เท้า อย่าไดเ้ บียดเบียนเราเลย,
ขอสัตวท์ ่มี ีเท้ามาก อยา่ ไดเ้ บียดเบยี นเราเลย
สพั เพ สัตตา สัพเพ ปาณา สพั เพ ภูตา จะ เกวะลา,
ขอสรรพสัตว์ผู้มีชีวิตทั้งหลาย, สตั ว์ผูเ้ กดิ แล้วท้งั หมดทั้งสิ้น
สพั เพ ภทั ๎รานิ ปัสสนั ต ุ มา กญิ จิ ปาปะมาคะมา.
จงประสบพบแตค่ วามเจริญทว่ั กนั , ความทุกขช์ ่วั ช้า
อยา่ ไดม้ าถงึ สัตวผ์ ู้ใดผ้หู นง่ึ เลย
• อัปปะมาโณ พทุ โธ, อปั ปะมาโณ ธมั โม,
อัปปะมาโณ สังโฆ,
พระพทุ ธเจ้าทรงพระคณุ หาประมาณมิได้, พระธรรมทรงพระคณุ
หาประมาณมิได้, พระสงฆ์ทรงพระคุณหาประมาณมิได้
ปะมาณะวนั ตานิ สิริงสะปานิ, อะหิ วจิ ฉิกา สะตะปะที
อุณณานาภี สะระพู มสู ิกา,
บรรดาสัตวเ์ ลอ้ื ยคลาน คือ, งู แมงปอ่ ง ตะขาบ,
แมงมมุ ตุ๊กแก และหน,ู ล้วนเป็นสตั วป์ ระมาณได้
หนงั สือสวดมนต์ 80
กะตา เม รักขา กะตา เม ปะรติ ตา,
ปะฏกิ กะมันตุ ภูตาน,ิ
เราได้ทำ� การรักษาตวั แลว้ ป้องกันตวั แลว้ , ขอสัตวท์ ั้งหลายจงพากัน
หลีกไป
โสหัง นะโม ภะคะวะโต, นะโม สัตตนั นัง
สัมมาสัมพทุ ธานัง.
ขา้ พเจา้ ขอนอบน้อมแดพ่ ระผูม้ พี ระภาคเจา้ ,
และพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ๗ พระองค์
โมระปะริตตัง
พทุ ธมนต์สำ� หรบั ป้องกันภยั ภยั จากผ้คู ิดร้ายไม่ให้มาถึงตน
(คาถานกยูงทอง)
ประวตั ิ
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร มีภิกษุ
รปู หนึง่ กระสันจะสกึ เพราะมาตคุ าม (สตร)ี พระบรมศาสดาจึงตรสั ว่า ดูกอ่ น
ภกิ ษุ มาตคุ ามนน้ั ยอ่ มรบกวนจติ แมส้ ตั วผ์ เู้ ปย่ี มดว้ ยยศสงู ใหถ้ งึ ความพนิ าศได้
แล้วทรงนำ� เรือ่ งในอดตี ชาตขิ องพระองค์ครงั้ เกิดเปน็ นกยูงทองมาตรสั เลา่
สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นนกยูงมีสีด่ังทอง นกยูงนี้จะรักษา
ชีวิตของตนเป็นอย่างดี ยามเช้าก่อนออกหากิน ก็จะขึ้นไปบนยอดเขาสูง
เฝ้ามองดวงอาทิตย์ก�ำลังจะขึ้น แล้วผูกพระปริตรข้ึน ตกเย็นก็จะกลับมาที่
เดิม ดูพระอาทิตย์ก�ำลังจะตกแล้วร่ายพระปริตรน้ันอีกเช่นน้ีทุกวัน นกยูง
ก็อยู่เป็นสุขและปลอดภัยมาช้านาน ต่อมามเหสีของพระเจ้าพรหมทัตทรง
สบุ ิน เหน็ นกยงู ทอง มาแสดงธรรมใหฟ้ งั พระนางจงึ ปรารถนาไดส้ ดบั พระธรรมตาม
นน้ั จึงทูลต่อพระเจ้าพรหมทตั พระราชาจึงรบั สัง่ ใหน้ ายพรานไปจับนกยงู ทอง
81 ท่ีพักสงฆ์จนั ทรงั ษี
มาใหไ้ ดโ้ ดยใหจ้ บั เปน็ มใิ หจ้ บั ตาย แตน่ ายพรานพยายามอยถู่ งึ ๗ ปี กไ็ มส่ ามารถจบั นก
ยงู นไี้ ดเ้ พราะแมว้ า่ นกยงู จะเหยยี บบว่ งทนี่ ายพรานดกั เอาไวบ้ ว่ งกไ็ มค่ ลอ้ งเทา้ ตอ่ มาสมยั
อนื่ มนี ายพรานเจา้ ปญั ญาคนหนงึ่ ใชว้ ธิ นี ำ� นกยงู ตวั เมยี ทฝ่ี กึ ใหฟ้ อ้ นรำ� ขบั รอ้ งอยา่ ง
ดแี ลว้ มาลอ่ นกยงู ทอง พอนกยงู ทองไดย้ นิ เสยี งนกยงู ตวั เมยี กม็ ใี จเรา่ รอ้ นดว้ ยกเิ ลส
มสิ ามารถรา่ ยพระปรติ รไดเ้ ชน่ เคย สดุ ทา้ ยเลยตดิ บว่ งนายพราน เมอ่ื ถกู นำ� มาตอ่ หนา้
พระพกั ตรพ์ ระเจา้ พรหมทตั นกยงู ไดเ้ ลา่ ถงึ อดตี ชาตขิ องตนให้ฟังว่า เคยเป็น
จกั รพรรดิครองแควน้ น้ีมาก่อน เล่าถงึ อานสิ งส์ของศีล ๕ ทไ่ี ด้เคยบ�ำเพ็ญมาจึง
ทำ� ใหม้ สี ดี งั่ ทอง แลว้ แสดงธรรมกถาแกพ่ ระเจา้ พรหมทตั พระราชาทรงเลอื่ มใส
ท�ำการสักการะเป็นการใหญ่ แลว้ ปล่อยนกยงู กลับไปยังถ่นิ เดิม
อุเทตะยญั จกั ขุมา เอกะราชา หะริสสะวณั โณ
ปะฐะวิปปะภาโส,
พระอาทิตย์เป็นดวงตาของโลก, เปน็ เจ้าแห่งแสงสวา่ งทอแสงงามดจุ
ทอง, ส่องสว่างเหนือพืน้ ปฐพี
ตัง ตงั นะมสั สามิ หะรสิ สะวัณณงั ปะฐะวิปปะภาสงั ,
ขา้ พเจ้าขอนอบน้อมทา่ นผู้เจริญ, ผมู้ แี สงสวา่ งเหนือแผน่ ดนิ นั้น
ตะยชั ชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสงั ,
ข้าพเจา้ อันท่านช่วยคุม้ กันแล้วในวนั นี,้ พงึ อยเู่ ปน็ สุขตลอดวัน
เย พ๎ราหม๎ ะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม,
พราหมณ์เหล่าใดผถู้ งึ เวทในธรรมทง้ั ปวง
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ,
ขอพราหมณเ์ หลา่ น้นั จงรบั ความนอบน้อมของขา้ พเจ้า, และค้มุ ครอง
ขา้ พเจา้ ดว้ ย
นะมัตถุ พุทธานงั นะมตั ถุ โพธิยา,
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย, ขอนอบน้อมแด่พระ
โพธิญาณ
หนังสือสวดมนต์ 82
นะโม วมิ ุตตานงั นะโม วมิ ตุ ตยิ า,
ขอนอบน้อมแดท่ ่านผู้หลดุ พน้ แล้ว, ขอนอบนอ้ มแด่วมิ ุตตธิ รรม
อิมงั โส ปะริตตงั กตั ๎วา โมโร จะระติ เอสะนา.
นกยูงนัน้ เจรญิ พระปรติ รนี้แลว้ ,จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร
อะเปตะยัญจกั ขมุ า เอกะราชา หะรสิ สะวณั โณ
ปะฐะวิปปะภาโส,
พระอาทติ ยเ์ ป็นดวงตาของโลก, เป็นเจ้าแห่งแสงสว่าง
ทอแสงงามดุจทอง, ส่องสว่างเหนอื พืน้ ปฐพีแลว้ อสั ดงไป
ตัง ตัง นะมสั สามิ หะรสิ สะวัณณงั ปะฐะวิปปะภาสัง,
ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มทา่ นผู้เจรญิ , ผมู้ แี สงสว่างเหนือแผน่ ดนิ นนั้
ตะยัชชะ คตุ ตา วิหะเรมุ รตั ติง,
ข้าพเจา้ อนั ท่านชว่ ยคมุ้ กันแล้วในวนั นี้, พึงอยู่เป็นสขุ ตลอดคืน
เย พ๎ราหม๎ ะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม,
พราหมณเ์ หลา่ ใดผถู้ งึ เวทในธรรมทั้งปวง
เต เม นะโม เต จะ มงั ปาละยันตุ,
ขอพราหมณ์เหล่าน้นั จงรับความนอบน้อมของขา้ พเจ้า,
และคมุ้ ครองขา้ พเจา้ ด้วย
นะมตั ถุ พุทธานงั นะมตั ถุ โพธยิ า,
ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย, ขอนอบน้อมแด่
พระโพธญิ าณ
นะโม วมิ ุตตานงั นะโม วมิ ุตตยิ า,
ขอนอบน้อมแดท่ ่านผหู้ ลดุ พ้นแล้ว, ขอนอบนอ้ มแด่วิมตุ ตธิ รรม
อิมัง โส ปะริตตัง กัต๎วา โมโร วาสะมะกัปปะยตี ิ.
นกยูงน้นั เจริญพระปรติ รนี้แล้ว, จึงส�ำเรจ็ การเข้าพกั อยูแ่ ล
83 ทพี่ กั สงฆจ์ ันทรงั ษี
วฏั ฏะกะปะริตตงั
พทุ ธมนต์สำ� หรับปอ้ งกนั อัคคภี ยั (คาถานกคุ้ม)
ประวตั ิ
สมยั หนง่ึ พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มหมภู่ กิ ษทุ รงเสดจ็ ดำ� เนนิ มาตามมรรคา ขณะนน้ั
เกดิ ไฟป่าไหม้ลุกลามอยู่ ไฟโหมแรงใกลเ้ ขา้ มาโดยรอบเร่ือยๆ แต่เกิดอศั จรรย์
ตรงทไ่ี ฟปา่ ไมส่ ามารถลกุ ลามเขา้ มาในบรเิ วณรศั มี ๑๖ กรสี (๑ กโิ ลเมตร) โดยรอบ
ท่ีพระพุทธเจ้าพร้อมสงฆ์สาวก ยืนประทับอยู่ ภิกษุจึงพากันกราบทูลถามพระผู้มี
พระภาคในเรื่องนี้ พระพทุ ธเจ้าทรงตรัสวา่ เป็นพลานภุ าพของสจั จกริ ยิ า ครั้ง
โบราณกาลของพระองค์เองสมัยพระองค์เสวยพระชาติเป็นลูกนกคุ้ม ครั้งนั้น
เกดิ ไฟปา่ รนุ แรง บรรดาฝงู สตั วท์ งั้ หลายตา่ งกก็ ลวั ตายพากนั หนกี นั ไปหมด รวม
ถงึ พ่อแมข่ องนกคุ้มด้วย แต่ลูกนกคุ้มโพธสิ ตั วย์ งั ไม่สามารถบินได้ จงึ ไดร้ �ำพึง
ถงึ ศลี และบารมขี องพระพุทธเจา้ ทัง้ หลายในอดีตแล้วทำ� สจั จกิรยิ า ดว้ ยอ�ำนาจ
แห่งสัจจกิริยานน้ั แล ไฟท้งั หลายก็เปน็ อนั ดบั ไปดงั่ เอาคบเพลงิ จมุ่ ลงน้ำ� ในรัศมี
๑๖ กรสี (๑ กโิ ลเมตร) โดยรอบและอานุภาพน้ีจะยงั คงอยู่ตลอดไปจนส้นิ กปั ป์
นค้ี อื ไฟจะไมล่ กุ ลามเขา้ มาในสถานทน่ี น้ั ไดเ้ ลย (เรยี กกนั วา่ กปั ปฏั ฐติ ปิ าฏหิ ารยิ )์
อัตถิ โลเก สีละคุโณ สัจจัง โสเจยยะนุททะยา,
คณุ ของศีล ความสัตย์ และความเอ็นดู, มีอยู่ในโลก
เตนะ สจั เจนะ กาหามิ สจั จะกริ ิยะมะนตุ ตะรัง,
ดว้ ยความสตั ย์นั้น, ข้าพเจ้าจักกระทำ� สัจจกิรยิ าอนั สงู สดุ
อาวชั ชติ ๎วา ธมั มะพะลัง สะรติ ๎วา ปพุ พะเก ชิเน,
ข้าพเจ้าค�ำนึงถึงก�ำลังของพระธรรม, ระลึกถึงพระพุทธเจ้าท้ังหลาย
ในกาลก่อน
หนังสือสวดมนต์ 84
สจั จะพะละมะวสั สายะ สจั จะกริ ยิ ะมะกาสะหงั ,
ขอกระทำ� สัจจกริ ิยา, แสดงก�ำลงั ความสัตยว์ ่า
สันติ ปกั ขา อะปตั ตะนา สันติ ปาทา อะวญั จะนา,
ปีกของขา้ พเจ้ามีอยู่ แตย่ งั บนิ ไปไมไ่ ด้, เทา้ ของข้าพเจา้ มีอยู่
แต่ยงั เดินไมไ่ ด้
มาตา ปติ า จะ นิกขันตา ชาตะเวทะ ปะฏิกกะมะ,
มารดาบิดากพ็ ากันบนิ ออกไปแล้ว, ดูก่อนไฟป่า จงกลับไปเถิด
สะหะ สัจเจ กะเต มยั ๎หงั มะหาปัชชะลโิ ต สิข,ี
ครนั้ เม่ือเราท�ำสัจจกิรยิ าแลว้ , เปลวไฟทลี่ ุกรงุ่ โรจน์
วชั เชสิ โสฬะสะ กะรีสานิ อทุ ะกัง ปตั ว๎ า ยะถา สิข,ี
๑๖ กรีส ก็ดับลง, ประหนง่ึ เปลวไฟตกลงในน�ำ้
สจั เจนะ เม สะโม นตั ถ ิ เอสา เม สัจจะปาระมีต.ิ
สิง่ ใดเสมอดว้ ยสจั จะของเราไม่ม,ี นี้เป็นสจั จบารมขี องเรา
กาลเวลากล็ ่วงไป คืนวนั กผ็ ่านไป
ชว่ งแหง่ วัยก็ละไปตามลำ�ดับ
เมอื่ มองเหน็ ภยั ในมรณะอยฉู่ ะนี้
ควรละอามิสในโลกเสีย มุ่งสสู่ นั ติเถิด
85 ท่ีพกั สงฆ์จนั ทรงั ษี
อาฏานาฏยิ ะปะริตตัง
พุทธมนต์สำ� หรบั ป้องกนั ภัยจากอมนษุ ย์ และภตู ผปี ศี าจ
ประวตั ิ
ในสมยั พทุ ธกาล พระภกิ ษสุ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทห่ี ลกี เรน้ ไปปฏบิ ตั ิ
สมณธรรมในราวปา่ มกั จะถกู พวกอมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ คนธรรพบ์ รวิ ารของทา้ วธตรฐ
กมุ ภณั ฑบ์ รวิ ารของทา้ ววริ ฬุ หก นาคบรวิ ารของทา้ ววริ ปู กั ข์ และยกั ษบ์ รวิ ารของ
ทา้ วกเุ วร บางพวก ซง่ึ ไมเ่ ลอ่ื มใสในพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เบยี ดเบยี น
ไมส่ ามารถบ�ำเพญ็ สมณธรรมได้
ท้าวเวสสุวัณและท้าวมหาราชท้ัง ๔ จึงประชุมกันท่ี อาฏานาฏิยะนคร
ในสวรรคช์ นั้ จาตมุ หาราชกิ า ไดผ้ กู มนตข์ นึ้ มาบทหนง่ึ ชอื่ วา่ อาฏานาฏยิ อารกั ขา
มจี ดุ ประสงคว์ า่ หากอมนษุ ยต์ นใดทำ� รา้ ยผสู้ าธยายมนตบ์ ทน้ี จะตอ้ งถกู ลงโทษ
อยา่ งรนุ แรง เมอื่ ผกู มนตเ์ สรจ็ แลว้ ทา้ วมหาราชทง้ั ๔ จงึ ไปเขา้ เฝา้ พระบรมศาสดา
ซงึ่ ประทบั อยทู่ เี่ ขาคชิ ฌกฏู เขตกรงุ ราชคฤห์ กราบทลู ขอใหพ้ ระพทุ ธองคท์ รงรบั
อาฏานาฏยิ ปรติ ร ประทานแกพ่ ทุ ธบรษิ ทั ส่ี เพอื่ ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งคมุ้ ครองรกั ษาพทุ ธ
บริษทั เหลา่ นน้ั ทงั้ ใหพ้ วกอมนษุ ยเ์ ลอื่ มใส ไมเ่ บยี ดเบยี นอบุ าสก อบุ าสกิ า ภกิ ษุ
และภกิ ษณุ ที ั้งหลาย ผสู้ าธยายปรติ รนี้
วปิ ัสสสิ สะ นะมัตถ ุ จักขุมันตัสสะ สริ ีมะโต,
ข้าพเจ้าขอนอบนอ้ มแดพ่ ระวิปสั สพี ุทธเจา้ , ผู้มีพระจักษุ มีพระสิริ
สิขิสสะปิ นะมตั ถุ สพั พะภูตานกุ มั ปิโน,
ขอนอบน้อมแด่พระสขิ พี ทุ ธเจา้ , ผู้ทรงอนุเคราะหแ์ กส่ ัตว์ทว่ั หนา้
เวสสะภสุ สะ นะมัตถ ุ น๎หาตะกสั สะ ตะปัสสโิ น,
ขอนอบน้อมแดพ่ ระเวสสภพู ทุ ธเจา้ , ผทู้ รงชำ� ระกิเลส มีความเพียร
หนังสอื สวดมนต์ 86
นะมัตถุ กะกสุ นั ธัสสะ มาระเสนัปปะมทั ทโิ น,
ขอนอบนอ้ มแด่พระกกสุ ันธพุทธเจ้า, ผทู้ รงยำ่� ยีมารและเสนามาร
โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถ ุ พ๎ราห๎มะณัสสะ วสุ ีมะโต,
ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระโกนาคมนะพทุ ธเจา้ , ผ้ลู อยบาปไปแล้ว
อยจู่ บพรหมจรรย์
กสั สะปัสสะ นะมัตถ ุ วิปปะมตุ ตัสสะ สัพพะธิ,
ขอนอบนอ้ มแด่พระกัสสปพทุ ธเจา้ , ผพู้ ้นพเิ ศษแลว้ ในธรรมท้งั ปวง
อังคีระสัสสะ นะมตั ถุ สัก๎ยะปุตตัสสะ สริ มี ะโต,
ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระองั ครี สพทุ ธเจา้ , ศากยบตุ ร ผมู้ ีพระสริ ิ
โย อมิ งั ธัมมะมะเทเสส ิ สัพพะทกุ ขาปะนทู ะนงั ,
พระพทุ ธเจ้าพระองค์ใด ไดท้ รงแสดงธรรมนี,้
อนั เปน็ เครอ่ื งบรรเทาทุกขท์ ัง้ ปวง
เย จาปิ นิพพุตา โลเก ยะถาภตู งั วปิ ัสสสิ ุง,
อนงึ่ พระพทุ ธเจา้ เหลา่ ใดผดู้ ับแล้วในโลก, ทรงเห็นแจง้ แลว้
ตามเปน็ จริง
เต ชะนา อะปสิ ณุ า มะหนั ตา วตี ะสาระทา,
พระพุทธเจา้ เหล่านัน้ เปน็ ผู้ไมส่ ่อเสยี ด,
เป็นผยู้ ่งิ ใหญ่ ปราศจากความครนั่ ครา้ ม
หติ งั เทวะมะนุสสานัง ยงั นะมัสสนั ติ โคตะมัง,
เทวดาและมนุษยท์ ้ังหลาย, นอบน้อมพระพทุ ธเจา้ พระองคใ์ ด,
ผเู้ ปน็ โคตมโคตร, ผูท้ รงเกอื้ กูลแก่ทวยเทพและมนุษย์
วชิ ชาจะระณะสัมปันนงั มะหนั ตงั วีตะสาระทงั ,
ผูท้ รงถงึ พรอ้ มด้วยวิชชาและจรณะ,
เปน็ ผยู้ ่ิงใหญ่ ปราศจากความคร่นั คร้าม
87 ทพี่ กั สงฆ์จันทรงั ษี
วิชชาจะระณะสัมปนั นงั พทุ ธงั วันทามะ โคตะมนั ต.ิ
ขา้ พเจา้ ขอนมสั การพระพทุ ธเจา้ โคตม, ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ
นะโม เม สพั พะพทุ ธานัง อปุ ปนั นานัง มะเหสินัง,
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายท้ังปวง,
ผูแ้ สวงหาคณุ อันใหญ่ ซ่งึ ไดอ้ ุบัติแลว้
ตัณห๎ งั กะโร มะหาวีโร เมธังกะโร มะหายะโส,
คอื พระตัณหังกร ผู้กลา้ หาญ, พระเมธงั กร ผู้มียศใหญ่
สะระณงั กะโร โลกะหิโต ทปี งั กะโร ชตุ ินธะโร,
พระสรณังกร ผู้เก้ือกูลแก่โลก,
พระทปี งั กร ผู้ทรงไว้ซ่ึงปัญญาอนั รุง่ เรอื ง
โกณฑญั โญ ชะนะปาโมกโข มังคะโล ปุริสาสะโภ,
พระโกณฑัญญะ ผ้เู ป็นประมขุ แหง่ หมูช่ น,
พระมงั คละ ผ้เู ป็นบรุ ุษประเสรฐิ
สมุ ะโน สุมะโน ธีโร เรวะโต ระติวฑั ฒะโน,
พระสมุ นะ ผเู้ ป็นธีรบุรุษ มีพระหทยั งาม,
พระเรวตะ ผ้เู พิ่มพูนความยนิ ดี
โสภิโต คณุ ะสัมปันโน อะโนมะทสั สี ชะนุตตะโม,
พระโสภิตะ ผูส้ มบรู ณ์ดว้ ยพระคณุ ,
พระอโนมทัสสี ผ้อู ดุ มอยใู่ นหมชู่ น
ปะทโุ ม โลกะปชั โชโต นาระโท วะระสาระถี,
พระปทมุ ะ ผู้ท�ำใหโ้ ลกสวา่ ง, พระนารทะ ผเู้ ปน็ สารถปี ระเสรฐิ
ปะทมุ ุตตะโร สัตตะสาโร สเุ มโธ อัปปะฏปิ ุคคะโล,
พระปทมุ ตุ ตระ ผเู้ ป็นท่ีพง่ึ ของหม่สู ตั ว์,
พระสเุ มธะ ผหู้ าบุคคลเปรยี บมไิ ด้
หนังสือสวดมนต์ 88
สชุ าโต สัพพะโลกคั โค ปิยะทัสสี นะราสะโภ,
พระสชุ าตะ ผู้เลศิ กวา่ สัตว์โลกทง้ั ปวง,
พระปิยทัสสี ผูป้ ระเสรฐิ กว่าหม่นู รชน
อัตถะทัสสี การณุ โิ ก ธมั มะทัสสี ตะโมนุโท,
พระอตั ถทัสสี ผมู้ พี ระกรุณา, พระธรรมทัสสี ผบู้ รรเทาความมืด
สทิ ธัตโถ อะสะโม โลเก ตสิ โส จะ วะทะตัง วะโร,
พระสิทธตั ถะ ผหู้ าบคุ คลเสมอมิไดใ้ นโลก,
พระตสิ สะ ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทง้ั หลาย
ปสุ โส จะ วะระโท พทุ โธ วปิ สั สี จะ อะนปู ะโม,
พระปสุ สะ ผปู้ ระทานธรรมอนั ประเสรฐิ , พระวปิ สั สี ผหู้ าทเี่ ปรยี บมไิ ด้
สิขี สัพพะหิโต สตั ถา เวสสะภู สุขะทายะโก,
พระสขิ ี ผู้เปน็ ศาสดาเกือ้ กูลแก่สรรพสตั ว,์
พระเวสสภู ผูป้ ระทานความสุข
กะกุสนั โธ สตั ถะวาโห โกนาคะมะโน ระณญั ชะโห,
พระกกุสนั ธะ ผู้น�ำสัตว์ออกจากกนั ดารคอื กิเลส,
พระโกนาคมนะ ผหู้ กั เสยี ซง่ึ ข้าศกึ คือกิเลส
กสั สะโป สิรสิ ัมปนั โน โคตะโม สัก๎ยะปงุ คะโว.
พระกัสสปะ ผูส้ มบรู ณ์ดว้ ยสริ ิ,
พระโคตมะ ผู้ประเสรฐิ แห่งหมศู่ ากยราช
เอเต จญั เญ จะ สมั พทุ ธา อะเนกะสะตะโกฏะโย,
พระพุทธเจา้ เหล่านกี้ ด็ ี เหล่าอื่นก็ด,ี หลายร้อยโกฏิ
สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สพั เพ พุทธา มะหิทธิกา,
พระพุทธเจา้ เหลา่ นนั้ ทงั้ หมดเสมอกัน,
พระพุทธเจ้าเหลา่ น้ันลว้ นมฤี ทธิม์ าก
89 ท่ีพกั สงฆจ์ ันทรงั ษี
สพั เพ ทะสะพะลูเปตา เวสารชั เชหุปาคะตา,
ลว้ นประกอบด้วยทศพลญาณ (ญาณอนั เปน็ กำ� ลังสิบประการ),
ประกอบดว้ ยเวสารชั ชญาณ (ญาณที่ทำ� ใหแ้ กล้วกลา้ อาจหาญ)
สัพเพ เต ปะฏชิ านันต ิ อาสะภณั ฐานะมตุ ตะมัง,
พระพุทธเจา้ เหลา่ น้นั ล้วนตรสั ร้แู ลว้ , ซ่งึ อาสภฐานอันอดุ ม
สหี ะนาทัง นะทนั เต เต ปะริสาสุ วสิ าระทา,
พระพุทธเจา้ เหล่านน้ั เปน็ ผอู้ งอาจ ไม่ครั่นคร้าม,
บันลอื สหี นาทในบริษัทท้ังหลาย
พ๎รัหม๎ ะจกั กัง ปะวตั เตนติ โลเก อัปปะฏิวัตตยิ ัง,
ยังพรหมจักรให้เป็นไป, อนั ใครๆ ยงั ไม่เคยทำ� ให้เป็นไปในโลก
อุเปตา พุทธะธัมเมหิ อฏั ฐาระสะหิ นายะกา,
พระพุทธเจ้าท้ังหลายนั้น, ประกอบดว้ ยพทุ ธธรรมทงั้ หลาย
๑๘ เปน็ นายก
ท๎วตั ตงิ สะลักขะณเู ปตา สตี ย๎ านพุ ๎ยญั ชะนาธะรา,
ผู้ประกอบด้วยพระลักษณะ ๓๒ ประการ,
และทรงซึ่งอนุพยัญชนะ ๘๐
พ๎ยามัปปะภายะ สปุ ปะภา สัพเพ เต มุนกิ ญุ ชะรา,
มีรศั มีอนั งามเป็นมณฑลขา้ งละวา,
พระพทุ ธเจา้ เหลา่ น้ันล้วนเป็นมุนอี ันประเสริฐ
พทุ ธา สพั พัญญโุ น เอเต สัพเพ ขีณาสะวา ชนิ า,
พระพทุ ธเจา้ เหล่านน้ั ล้วนเปน็ พระสัพพญั ญู,
ล้วนเป็นพระขณี าสพผู้ชนะ
มะหัปปะภา มะหาเตชา มะหาปญั ญา มะหัพพะลา,
มีรัศมมี าก มพี ระเดชมาก, มพี ระปญั ญามาก มีพระก�ำลงั มาก
หนังสือสวดมนต์ 90
มะหาการุณกิ า ธีรา สัพเพสานัง สุขาวะหา,
มีพระกรุณามาก เป็นนักปราชญ,์ นำ� สุขมาเพอ่ื สตั วท์ ้ังหลายทัง้ ปวง
ทปี า นาถา ปะติฏฐา จะ ตาณา เลณา จะ ปาณนิ งั ,
เปน็ เกาะ เปน็ ทพี่ ง่ึ และเปน็ ที่อยูอ่ าศยั ,
เปน็ ท่ตี า้ นทานและเป็นทเี่ รน้ ของสตั ว์
คะตี พนั ธู มะหัสสาสา สะระณา จะ หเิ ตสโิ น,
เป็นคติ เป็นเผ่าพันธ์ุ เป็นทยี่ ินดยี ่งิ ,
เปน็ ท่รี ะลึกและทรงแสวงหาผลประโยชน์
สะเทวะกสั สะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรายะนา,
พระพุทธเจา้ เหล่านน้ั , ลว้ นเปน็ เบื้องหนา้ ของสัตว์โลกและเทวโลก
เตสาหงั สริ ะสา ปาเท วนั ทามิ ปุริสุตตะเม,
ขา้ พเจ้าขอวนั ทาพระบาทพระพทุ ธเจ้าเหล่านนั้ ดว้ ยเศยี รเกล้า,
และขอวนั ทาผู้เป็นบุรษุ อนั อดุ ม
วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต,
ขอวันทาพระตถาคต ด้วยวาจาและดว้ ยใจ
สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สพั พะทา,
ในที่นอนด้วย ในทีน่ ง่ั ด้วย ในทย่ี ืนดว้ ย, แมใ้ นทเี่ ดินด้วย
ในการทุกเมอื่ ด้วย
สะทา สเุ ขนะ รักขันตุ พุทธา สนั ติกะรา ตวุ ัง,
พระพทุ ธเจา้ ผู้ทำ� ความระงบั , จงรกั ษาทา่ นใหส้ ุขในการทุกเมอื่
เตหิ ต๎วงั รกั ขิโต สันโต มตุ โต สพั พะภะเยนะ จะ,
ทา่ นผพู้ ระพทุ ธเจา้ ทรงรกั ษาแลว้ , จงเปน็ ผรู้ ะงบั พน้ แลว้ จากภยั ทง้ั ปวง
สพั พะโรคะวนิ มิ ตุ โต สัพพะสันตาปะวัชชิโต,
และพน้ แล้วจากโรคทงั้ ปวง, เวน้ แล้วจากความเดอื ดรอ้ นทง้ั ปวง
91 ทพ่ี กั สงฆจ์ นั ทรงั ษี
สพั พะเวระมะตกิ กนั โต นิพพโุ ต จะ ตุวัง ภะวะ.
ล่วงเสยี ซง่ึ เวรทง้ั ปวง, ทา่ นจงเปน็ ผู้ดบั ทุกข์ทั้งปวงดว้ ย
เตสัง สจั เจนะ สเี ลนะ ขันติเมตตาพะเลนะ จะ,
ดว้ ยสัจจะ ด้วยศลี และดว้ ยกำ� ลงั แห่งขนั ต,ิ
และเมตตาของพระพุทธเจา้ เหล่าน้ัน
เตปิ ตุมเ๎ ห* อะนุรักขนั ตุ อาโรคเ๎ ยนะ สเุ ขนะ จะ.
แม้คณุ ธรรมเหล่าน้ัน จงตามรักษาซึง่ ท่านทง้ั หลาย,
ดว้ ยความเปน็ ผูไ้ มม่ โี รคและด้วยความสขุ
ปรุ ัตถิมัส๎มิง ทสิ าภาเค สันติ ภูตา มะหทิ ธกิ า,
คนธรรพท์ งั้ หลายมฤี ทธิ์มาก มอี ยู่ในดา้ นทศิ บูรพา
เตปิ ตมุ เ๎ ห* อะนุรักขนั ตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ.
แมค้ นธรรพ์เหลา่ น้ัน จงตามรกั ษาซ่ึงทา่ นทัง้ หลาย,
ดว้ ยความเป็นผไู้ ม่มีโรคและดว้ ยความสขุ
ทักขณิ สั ๎มิง ทสิ าภาเค สันติ เทวา มะหทิ ธกิ า,
เทวดาทัง้ หลายผู้มฤี ทธิ์มาก มอี ยู่ในดา้ นทศิ ทักษิณ
เตปิ ตุมเ๎ ห* อะนรุ กั ขนั ต ุ อาโรคเ๎ ยนะ สเุ ขนะ จะ,
แมเ้ ทวดาเหล่านั้น จงตามรักษาซึง่ ทา่ นทัง้ หลาย,
ดว้ ยความเปน็ ผไู้ ม่มีโรคและด้วยความสุข
ปัจฉมิ สั ๎มิง ทิสาภาเค สันติ นาคา มะหทิ ธิกา,
นาคทั้งหลายมีฤทธิ์มาก มอี ยูใ่ นดา้ นทศิ ปจั จมิ
เตปิ ตุมเ๎ ห* อะนุรักขนั ต ุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ,
แม้นาคเหลา่ นนั้ จงตามรกั ษาซ่ึงทา่ นทงั้ หลาย,
ด้วยความเป็นผู้ไมม่ ีโรคและดว้ ยความสขุ
* ตุมเ๎ ห หมายถึง ท่าน ถ้าเปลีย่ นเป็น อัมเ๎ ห หมายถงึ ข้าพเจา้
หนงั สอื สวดมนต์ 92
อตุ ตะรัส๎มิง ทิสาภาเค สนั ติ ยกั ขา มะหทิ ธิกา,
ยกั ษ์ทงั้ หลายมฤี ทธิ์มาก มีอยใู่ นด้านทิศอุดร
เตปิ ตุม๎เห* อะนุรกั ขนั ตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ,
แมย้ กั ษ์เหลา่ นั้น จงตามรกั ษาซ่งึ ท่านทงั้ หลาย,
ดว้ ยความเปน็ ผูไ้ ม่มีโรคและด้วยความสุข
ปรุ ิมะทิสงั ธะตะรฏั โฐ ทกั ขเิ ณนะ วริ ุฬห๎ ะโก,
ท้าวธตรฐ อยปู่ ระจ�ำทศิ บรู พา, ทา้ ววิรฬุ หก อย่ปู ระจำ� ทศิ ทกั ษิณ
ปัจฉเิ มนะ วริ ปู กั โข กเุ วโร อุตตะรัง ทิสัง,
ท้าววริ ปู กั ข์ อยูป่ ระจำ� ทิศปัจจมิ , ทา้ วกุเวร อยูป่ ระจ�ำทศิ อุดร
จัตตาโร เต มะหาราชา โลกะปาลา ยะสสั สิโน,
มหาราชทัง้ ๔ เหลา่ นน้ั เป็นผมู้ ยี ศรักษาโลก
เตปิ ตุม๎เห* อะนรุ กั ขันต ุ อาโรคเ๎ ยนะ สุเขนะ จะ.
แมม้ หาราชเหล่านัน้ จงตามรกั ษาซง่ึ ทา่ นทั้งหลาย,
ดว้ ยความเปน็ ผ้ไู ม่มีโรคและดว้ ยความสุข
อากาสฏั ฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มะหทิ ธิกา,
เทวดาและนาคท้งั หลาย ผ้มู ฤี ทธ์ิมาก,
ซง่ึ สถติ อยใู่ นอากาศก็ดี สถติ อย่ใู นภาคพืน้ ก็ดี
เตปิ ตุมเ๎ ห* อะนุรักขันต ุ อาโรคเ๎ ยนะ สุเขนะ จะ.
แมเ้ ทวดาและนาคเหล่านน้ั , จงตามรักษาซง่ึ ทา่ นทง้ั หลาย,
ด้วยความเป็นผไู้ ม่มีโรคและดว้ ยความสขุ
* ตมุ เ๎ ห หมายถงึ ทา่ น ถ้าเปล่ยี นเปน็ อมั เ๎ ห หมายถงึ ขา้ พเจา้
93 ทพ่ี กั สงฆจ์ นั ทรังษี