The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือสวดมนต์ทำวัตรเย็น วัดป่าจันทรังษี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Luangta Narongsak, 2021-08-26 19:28:20

หนังสือสวดมนต์ทำวัตรเย็น วัดป่าจันทรังษี

หนังสือสวดมนต์ทำวัตรเย็น วัดป่าจันทรังษี

นตั ถิ เม สะระณัง อญั ญงั พทุ โธ เม สะระณงั วะรงั ,

ท่พี ึง่ อื่นของขา้ พเจ้าไมม่ ,ี พระพทุ ธเจา้ เป็นทพ่ี ่ึงอนั ประเสรฐิ
ของข้าพเจา้

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โหตุ เต (เม) ชะยะมงั คะลงั .

ดว้ ยการกล่าวค�ำสตั ย์นี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน (เรา)

นัตถิ เม สะระณัง อญั ญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง,

ทพ่ี ง่ึ อน่ื ของข้าพเจา้ ไม่ม,ี พระธรรมเปน็ ท่พี ่ึงอนั ประเสริฐของข้าพเจา้

เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โหตุ เต (เม) ชะยะมงั คะลงั .

ด้วยการกล่าวค�ำสตั ย์นี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน (เรา)

นัตถิ เม สะระณงั อัญญงั สังโฆ เม สะระณัง วะรงั ,

ทพี่ ึง่ อื่นของข้าพเจ้าไมม่ ,ี พระสงฆเ์ ปน็ ที่พง่ึ อนั ประเสริฐของขา้ พเจ้า

เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ โหตุ เต (เม) ชะยะมงั คะลงั .

ดว้ ยการกลา่ วค�ำสตั ยน์ ้ี ขอชัยมงคลจงมแี ก่ท่าน (เรา)

ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปถุ ุ,

รัตนะอันใดอนั หนงึ่ ในโลก มมี ากมายหลายอย่าง

ระตะนงั พทุ ธะสะมงั นตั ถ ิ ตสั ม๎ า โสตถี ภะวนั ตุ เต (เม).

รัตนะทเี่ สมอพระพทุ ธรัตนะย่อมไม่ม,ี
เพราะเหตนุ นั้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน (เรา)

ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วชิ ชะติ ววิ ธิ งั ปุถ,ุ

รัตนะอันใดอันหนง่ึ ในโลก มีมากมายหลายอย่าง

ระตะนงั ธมั มะสะมงั นตั ถ ิ ตสั ม๎ า โสตถี ภะวนั ตุ เต (เม).

รัตนะทีเ่ สมอพระธรรมรัตนะยอ่ มไมม่ ี,
เพราะเหตุน้นั ขอความสวัสดีจงมแี ก่ทา่ น (เรา)

หนังสือสวดมนต์ 94

ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วชิ ชะติ วิวิธงั ปถุ ุ,

รตั นะอนั ใดอนั หนึง่ ในโลก มีมากมายหลายอย่าง

ระตะนงั สงั ฆะสะมงั นตั ถ ิ ตสั ม๎ า โสตถี ภะวนั ตุ เต (เม).

รตั นะที่เสมอพระสงั ฆรัตนะยอ่ มไม่มี,
เพราะเหตุน้ัน ขอความสวสั ดจี งมแี กท่ ่าน (เรา)

สักกตั ๎วา พทุ ธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรงั ,

เพราะท�ำความเคารพพระพุทธรตั นะ, อนั เป็นดงั โอสถ
อันอดุ มประเสรฐิ

หติ ัง เทวะมะนุสสานงั พุทธะเตเชนะ โสตถนิ า,
นสั สนั ตุปัททะวา สพั เพ ทกุ ขา วปู ะสะเมนตุ เต (เม).

เป็นประโยชน์แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย,
ดว้ ยเดชแหง่ พระพทุ ธเจา้ , ขออุปัทวะทง้ั หลายจงพินาศไป,
ขอทกุ ข์ท้งั หลายของท่าน (เรา) จงสงบไป โดยสวสั ดเี ถิด

สักกตั ๎วา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมงั วะรัง,

เพราะท�ำความเคารพพระธรรมรัตนะ, อนั เปน็ ดงั โอสถ
อนั อุดมประเสริฐ

ปะรฬิ าหูปะสะมะนัง ธมั มะเตเชนะ โสตถินา,
นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วปู ะสะเมนตุ เต (เม).

ส�ำหรบั ระงบั ความกระวนกระวาย, ดว้ ยเดชแหง่ พระธรรม,
ขออปุ ัทวะทงั้ หลายจงพินาศไป, ขอภยั ทั้งหลายของท่าน (เรา)
จงสงบไป โดยสวสั ดเี ถิด

สักกตั ว๎ า สังฆะระตะนัง โอสะถงั อุตตะมงั วะรัง,

เพราะทำ� ความเคารพพระสงั ฆรตั นะ, อนั เปน็ ดงั โอสถอนั อดุ มประเสรฐิ

95 ทพ่ี กั สงฆ์จนั ทรังษี

อาหุเนยยัง ปาหเุ นยยงั สังฆะเตเชนะ โสตถนิ า,
นสั สันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เต (เม).

ควรแกก่ ารบูชา ควรแก่การต้อนรบั , ด้วยเดชแหง่ พระสงฆ,์
ขออุปทั วะทั้งหลายจงพินาศไป, ขอโรคทั้งหลายของทา่ น (เรา)
จงสงบไป โดยสวัสดีเถิด

สพั พีตโิ ย วิวัชชนั ต ุ ความจัญไรทัง้ ปวง จงบ�ำราศไป
สพั พะโรโค วนิ ัสสะต,ุ โรคทง้ั ปวงของท่านจงหาย
มา เต ภะวตั ว๎ ันตะราโย อนั ตรายอยา่ มีแก่ท่าน
สุขี ทฆี ายโุ ก ภะวะ, ทา่ นจงเป็นผู้มีความสขุ มอี ายุยืน
อะภิวาทะนะสลี ิสสะ ธรรม ๔ ประการ,
นิจจัง วฑุ ฒาปะจายิโน, คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ,
จตั ตาโร ธมั มา วัฑฒันต ิ ยอ่ มเจรญิ แกบ่ คุ คลผมู้ ปี กตกิ ราบไหว,้
อายุ วัณโณ สุขงั พะลงั . มีปกตอิ ่อนน้อมตอ่ ผู้ใหญ่ เปน็ นิตย์

แมผ้ ้ใู ดพงึ มชี ีวติ อยถู่ ึง ๑๐๐ ปี
ผูน้ น้ั กม็ คี วามตายอยู่เบ้อื งหนา้
ความตายไม่ละเว้นใครๆ
ย่อมย่ำ�ยสี ตั ว์ท้ังหมดทเี ดยี ว

หนงั สือสวดมนต์ 96

องั คลุ ิมาละปะริตตัง

พทุ ธมนต์ส�ำหรับทำ� น้ำ� มนตใ์ ห้คลอดบตุ รงา่ ย

ประวัติ

สมัยหน่ึง พระองคุลีมาลออกเท่ียวบิณฑบาต เห็นหญิงมีครรภ์คนหน่ึง
ก�ำลังเป็นทุกข์เพราะคลอดบุตรไม่ได้ ท่านเกิดความสงสารจึงกลับมาเข้าเฝ้า
พระพุทธเจ้า กราบทลู ให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาจงึ ตรัสสอนปรติ รนี้แก่พระ
องคลุ ิมาล ซงึ่ ท่านก็ได้นำ� กลบั ไปสาธยายให้หญงิ มคี รรภน์ น้ั ฟงั เมอื่ หญงิ นนั้ ไดฟ้ งั
พระปรติ รนี้ กค็ ลอดบตุ รไดโ้ ดยสะดวก ไดร้ บั ความสวสั ดี ทง้ั มารดาและบตุ ร

ยะโตหงั ภะคนิ ิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต,

ดกู อ่ นน้องหญงิ , ต้งั แตเ่ วลาท่ีเราเกดิ แลว้ โดยอรยิ ชาติ

นาภิชานามิ สญั จิจจะ ปาณงั ชวี ิตา โวโรเปตา,

จะแกลง้ ปลงสัตวม์ ชี ีวิตจากชีวิตทง้ั รูห้ ามิได้

เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คพั ภสั สะ.

ดว้ ยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแกท่ ่าน,
ขอความสวัสดจี งมีแก่ครรภ์ของท่านเถดิ

(สวด ๓ จบ)

ปัญญาย่อมประเสริฐกว่าทรพั ย์

97 ท่ีพักสงฆจ์ นั ทรังษี

โพชฌงั คะปะรติ ตงั

พทุ ธมนตส์ �ำหรบั ขจดั โรคภัยไขเ้ จบ็

ประวตั ิ

โพชฌงค์เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ มี ๗ ประการ (จากท้ังหมด
๓๗ ประการในโพธิปักขยิ ธรรม) ประกอบด้วยสติ (ความระลึกได้) ธมั มะวิจ
ยะ (ความเลอื กเฟ้นธรรม) วริ ิยะ (ความเพยี ร) ปีติ (ความอ่มิ เอมใจ) ปัสสัทธิ
(ความสงบกาย สงบใจ) สมาธิ (ความตงั้ จิตมนั่ ) และอุเบกขา (ความมีใจเป็นก
ลาง)
สมยั หน่งึ พระบรมศาสดาประทบั อยู่ทว่ี ัดเวฬวุ นั กรงุ ราชคฤห์ พระ
มหากัสสปเถระ ได้อาพาธหนักอยู่ที่ถ�้ำปิปผลิคูหา พระพุทธองค์ทรงเสด็จไป
เยยี่ ม และแสดงโพชฌงคเ์ จด็ ประการ
เมื่อพระเถระสดับโพชฌงค์เหล่านี้ เกิดความปีติว่า โพชฌงค์เจ็ด
ประการเคยปรากฏแก่เราในขณะรู้แจ้งสัจธรรมหลังออกบวชแล้วเจ็ดวัน ค�ำ
สอนของพระพุทธองค์เปน็ ทางพ้นทุกขโ์ ดยแท้ ดำ� รดิ ังน้แี ล้ว พระเถระก็เกดิ ปีติ
อิ่มเอิบใจ เลือดในกายและรปู ธรรมอน่ื ผอ่ งใสโรคของพระเถระจงึ อนั ตรธานไป
เหมือนหยาดน้�ำกลิง้ ลงจากใบบวั
อกี สมยั หนง่ึ พระพทุ ธองคย์ งั ตรสั โพชฌงคเ์ จด็ ประการแกพ่ ระมหาโมคคลั ลา
นะเถระผอู้ าพาธทภ่ี เู ขาคชิ ฌกฏู ครน้ั พระเถระสดบั โพชฌงคน์ แี้ ลว้ กห็ ายจากอาพาธ
นน้ั ทนั ที
อนงึ่ เมอื่ พระพทุ ธองคท์ รงพระประชวรขณะประทบั อยทู่ วี่ ดั เวฬวุ นั นนั้
พระพุทธองค์ทรงรับส่ังให้พระจุนทะเถระสาธยายโพชฌงค์เจ็ด ครั้นสดับแล้ว
พระองคก์ ท็ รงหายจากพระประชวรน้นั

หนงั สือสวดมนต์ 98

โพชฌงั โค สะตสิ งั ขาโต ธัมมานงั วจิ ะโย ตะถา,
โพชฌงค์ ๗ ประการ คอื สติ ธรรมวจิ ัย
วิรยิ มั ปีตปิ สั สทั ธิ- โพชฌงั คา จะ ตะถาปะเร,
วริ ิยะ ปีติ ปัสสทั ธิ เปน็ โพชฌงคเ์ พื่อเป็นไป
สะมาธเุ ปกขะโพชฌังคา สตั เตเต สัพพะทสั สินา,
สมาธิ อุเบกขา โพชฌงคเ์ หลา่ นี้, เหล่าน้ีเปน็ ธรรมท้งั สิ้นท่ีเห็นแล้ว
มุนินา สมั มะทกั ขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา,
อนั พระมนุ เี จา้ ตรัสไว้ชอบแลว้ , อนั บุคคลท�ำใหม้ ากแลว้
สงั วตั ตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธยิ า,
ย่อมเป็นไปเพ่ือความรยู้ ่ิง, เพือ่ นพิ พาน และเพอ่ื ความตรสั รู้
เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สพั พะทา.
ดว้ ยการกลา่ วคำ� สัตย์นี้, ขอความสวสั ดจี งมีแก่ทา่ นทุกเมอ่ื
เอกสั ม๎ งิ สะมะเย นาโถ โมคคัลลานญั จะ กัสสะปัง,
ในสมัยหนึ่งพระโลกนาถ, ทอดพระเนตรพระโมคคัลลานะและพระ
กสั สะปะ
คิลาเน ทกุ ขิเต ทสิ ๎วา โพชฌงั เค สัตตะ เทสะย,ิ
เปน็ ไขถ้ ึงทุกขเวทนาแลว้ , ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ประการ
เต จะ ตงั อะภนิ นั ทติ ๎วา โรคา มุจจงิ สุ ตังขะเณ,
ท่านทั้งสองก็เพลิดเพลนิ ภาษติ นน้ั , หายโรคในขณะนนั้
เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ด้วยการกลา่ วคำ� สัตย์นี้, ขอความสวัสดีจงมแี ก่ท่านทุกเมอ่ื
เอกะทา ธมั มะราชาปิ เคลญั เญนาภิปีฬโิ ต,
คร้งั หนง่ึ แมพ้ ระธรรมราชา, อันความประชวรเบยี ดเบียนแล้ว

99 ท่ีพักสงฆจ์ นั ทรังษี

จุนทตั เถเรนะ ตญั เญวะ ภะณาเปตว๎ านะ สาทะรงั ,

รับส่ังให้พระจนุ ทะเถระ, แสดงโพชฌงคน์ น้ั โดยยินดี

สมั โมทิตว๎ า จะ อาพาธา ตมั ๎หา วุฏฐาสิ ฐานะโส,

หายความประชวรไปโดยฐานะ, กท็ รงบนั เทงิ พระหฤทัย

เอเตนะ สจั จะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.

ดว้ ยการกล่าวคำ� สัตย์น้ี, ขอความสวัสดจี งมีแก่ท่านทุกเม่อื

ปะหนี า เต จะ อาพาธา ตณิ ณนั นัมปิ มะเหสนิ ัง,

กอ็ าพาธท้งั หลายนัน้ , พระมหาฤาษีทง้ั ๓ องค์ไดห้ ายแล้ว

มคั คาหะตะกิเลสา วะ ปัตตานุปปตั ติธมั มะตัง,

กิเลสอนั มรรคก�ำจัดแลว้ , ถงึ ความไมบ่ งั เกดิ อกี เป็นธรรมดา

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.

ด้วยการกลา่ วคำ� สัตย์น,้ี ขอความสวสั ดีจงมแี กท่ า่ นทุกเม่ือ

สัตว์ท้ังปวงย่อมกลัวความตาย สัตวท์ ้งั ปวง
ย่อมหวาดหวนั่ ต่ออาชญา
ชีวิตเปน็ ทีร่ กั ของทุกคน เราฉนั ใด
สัตว์เหล่าน้กี ฉ็ นั นัน้
สตั ว์เหลา่ น้ีฉันใด เรากฉ็ ันนัน้ นกึ ถงึ เขา
เอาตัวเราเข้าเทยี บแล้ว
ไมค่ วรเขน่ ฆ่า ไมค่ วรใหส้ ังหารกนั

หนังสอื สวดมนต์ 100

อะภะยะปะริตตัง

พุทธมนต์สำ� หรับป้องกนั การฝนั รา้ ย แก้ลางร้ายให้เปน็ ดี

ประวัติ

สมัยหนึง่ พวกศากยวงศแ์ ห่งกบิลพสั ด์กุ ับพวกโกลยิ วงศแ์ ห่งเทวทหะ ซง่ึ
ต่างกเ็ ปน็ พระญาตขิ องพระพทุ ธเจา้ เกดิ ทำ� ศกึ กันอันเน่ืองมาจากน้�ำ แย่งชิงนำ�้
อุปโภคบริโภคกัน แต่เดิมแม่น�้ำโรหิณีอันเป็นเส้นชีวิตของสองพระนครเคยใช้
รว่ มกนั ต่อมาเกดิ ไหลผดิ ทางเขา้ ไปอยใู่ นเขตแดนของพวกโกลยิ ะ ไมอ่ าจจะแบง่ ปนั
กนั ได้ เกดิ เปน็ ปากเปน็ เสยี งกนั เมอ่ื ตกลงกนั ไมไ่ ด้ ทง้ั สองฝา่ ยจงึ ตดั สนิ กนั ดว้ ย
แสนยานภุ าพทางการทหาร พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณ จึงทรงมา
ปรากฏประทับยนื อยทู่ า่ มกลางทพั ทัง้ ๒ ฝา่ ย ยกพระหัตถ์ทงั้ สองข้นึ ห้ามแลว้
ตรัสวา่ “ระหวา่ งน้�ำกับความเป็นพเ่ี ปน็ น้องอะไรสำ� คญั กวา่ กนั ” สองกษตั รยิ ส์ ำ� นกึ
ไดจ้ งึ ยตุ ศิ กึ ขออภยั ตอ่ เบอ้ื งพระพกั ตรพ์ ระพทุ ธองค์ กลบั คนื ดกี นั เชน่ เดมิ เหตกุ ารณ์
ครง้ั นนั้ เสมอื นต่ืนขึ้นจากฝนั รา้ ย
ดว้ ยอานุภาพแห่งพระรตั นตรยั ย่อมขจัดเสียซง่ึ ภยั ให้พนิ าศไปดงั นี้
๑. ลางอันชว่ั ร้าย ๒. อวมงคลใดๆ ๓. เสยี งนกสยองขวัญ
๔. บาปเคราะห์ตา่ งๆ ๕. ฝนั อนั น่าตกใจ
พทุ ธต�ำนานน้ี เปน็ ปางประทานอภยั ห้ามไวซ้ ่ึงความหายนะ ส่ิงเลวร้าย
ท้ังปวงจะบรรเทาเบาบางไป และหายไปในทส่ี ดุ

ยันทนุ นิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ,
โย จามะนาโป สะกณุ สั สะ สัทโท,

ลางชั่วรา้ ยอันใด, อวมงคลอนั ใด, เสยี งนกเป็นทีไ่ มช่ อบใจอันใด

101 ทพี่ ักสงฆ์จันทรังษี

ปาปัคคะโห ทุสสปุ ินัง อะกนั ตัง,
พทุ ธานภุ าเวนะ วินาสะเมนตุ.

บาปเคราะห์อนั ใด, และฝนั รา้ ยที่ไมน่ ่าปรารถนาอันใดมอี ยู่,
ขอสิ่งเหล่านน้ั จงถงึ ความพนิ าศไป, ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระพุทธเจา้

ยนั ทุนนิมิตตงั อะวะมังคะลญั จะ,
โย จามะนาโป สะกุณสั สะ สัทโท,

ลางชัว่ ร้ายอันใด, อวมงคลอันใด, เสยี งนกเปน็ ทีไ่ ม่ชอบใจอันใด

ปาปัคคะโห ทุสสปุ ินัง อะกนั ตงั ,
ธมั มานุภาเวนะ วินาสะเมนต.ุ

บาปเคราะห์อันใด, และฝนั รา้ ยทไ่ี มน่ า่ ปรารถนาอันใดมอี ย,ู่
ขอสิ่งเหล่านั้นจงถงึ ความพินาศไป, ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระธรรม

ยนั ทุนนิมิตตงั อะวะมงั คะลัญจะ,
โย จามะนาโป สะกณุ ัสสะ สทั โท,

ลางชั่วรา้ ยอันใด, อวมงคลอนั ใด, เสยี งนกเป็นที่ไม่ชอบใจอันใด

ปาปคั คะโห ทุสสปุ นิ ัง อะกนั ตัง,
สงั ฆานุภาเวนะ วินาสะเมนต.ุ

บาปเคราะห์อนั ใด, และฝนั ร้ายท่ไี มน่ ่าปรารถนาอันใดมีอยู่,
ขอสิ่งเหลา่ นั้นจงถงึ ความพนิ าศไป, ด้วยอานภุ าพแหง่ พระสงฆ์

คนผมู้ ีทรพั ย์มาก มีเงินทองของกนิ เหลอื เฟือ
กินของอรอ่ ยเพยี งคนเดียว น้นั เปน็ ทางแห่งความเสอื่ ม

หนงั สอื สวดมนต์ 102

เทวะตาอยุ โยชะนะคาถา

พทุ ธมนต์ส�ำหรับสง่ เทวดากลับเทวสถาน

ทกุ ขัปปตั ตา จะ นทิ ทุกขา ภะยปั ปัตตา จะ นิพภะยา,

ขอสตั วท์ ั้งหลายทปี่ ระสบทุกข์ จงพ้นจากทกุ ข์, ทปี่ ระสบภัย
จงพ้นจากภัย

โสกัปปตั ตา จะ นสิ โสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน,

และทีป่ ระสบโศก จงพน้ จากความโศกเสยี เถิด

เอตตาวะตา จะ อมั ๎เหหิ สมั ภะตงั ปญุ ญะสมั ปะทงั ,
สัพเพ เทวานุโมทนั ตุ สพั พะสัมปัตติสิทธิยา,

ขอเหลา่ ทวยเทพทั้งหลาย, จงได้อนุโมทนาซ่ึงบุญสมบตั ,ิ อันขา้ พเจ้า
ท้งั หลายไดส้ รา้ งสมไวแ้ ลว้ น,้ี เพ่ือความส�ำเรจ็ แหง่ สมบตั ทิ ั้งปวง

ทานงั ทะทนั ตุ สัทธายะ สีลงั รกั ขนั ตุ สัพพะทา,

มนษุ ย์ท้ังหลายจงให้ทานด้วยใจศรัทธา, จงรกั ษาศลี ในกาลทัง้ ปวง

ภาวะนาภริ ะตา โหนตุ คจั ฉันตุ เทวะตาคะตา.

จงเป็นผูย้ ินดีในการภาวนา, ทวยเทพท้งั หลายที่มาแล้ว
ขอเชิญกลับเถิด

สัพเพ พทุ ธา พะลปั ปัตตา ปจั เจกานญั จะ ยงั พะลงั ,

ดว้ ยพละธรรมแหง่ พระพุทธเจ้าทง้ั หลาย,
ด้วยพละธรรมแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าท้ังหลาย

อะระหนั ตานัญจะ เตเชนะ รกั ขัง พันธามิ สพั พะโส.

และดว้ ยพละธรรมแห่งพระอรหันตท์ ้งั หลาย,
ขอจงคมุ้ ครองรักษาโดยประการท้งั ปวงเถดิ

103 ที่พกั สงฆจ์ นั ทรงั ษี

อณุ ๎หิสสะวชิ ะยะคาถา

ประวัติ

พระคาถาบทน้ีพระพุทธเจ้าได้ทรงเมตตาประทานให้เทวดาองค์หนึ่งชื่อเทพ
อณุ หสิ วชิ ยั ที่ตระหนักว่าถึงเวลาส้ินอายุขัยไปใช้กรรมในภพอ่ืน แต่เทวดาองค์
นไ้ี ม่ตอ้ งการไปจตุ ใิ หม่ จึงทูลขอตอ่ พระพุทธเจ้า และพระพุทธองคท์ รงแนะให้
ภาวนาคาถาบทนี้ จะได้มีอายุยืนยาวนานตอ่ ไป เพือ่ ท่จี ะไดใ้ ช้เวลาทีเ่ หลืออยู่นี้
บ�ำเพ็ญภาวนา ใช้หนกี้ รรมทมี่ อี ยู่ ใหห้ มดไป
พระคาถาบทน้ี จงึ มพี ทุ ธานภุ าพมาก ถา้ ผู้ใดสวดเป็นประจำ� นอกจากจะ
มอี ายยุ นื ยาวกวา่ ปกติ แล้วยงั จะแคลว้ คลาดจากภยั พบิ ตั ิทง้ั ปวง มสี ขุ ภาพแขง็
แรงไม่เจบ็ ปว่ ยงา่ ยและเป็นพระคาถาที่ใชส้ วดในพระราชพิธสี ำ� คัญต่างๆ มาแต่
โบราณถงึ ปัจจุบนั

อตั ถิ อุณหî สิ สะ วชิ ะโย ธัมโม โลเก อะนตุ ตะโร,

พระธรรมอันชือ่ ว่า อุณหสิ วชิ ัย มอี ย,ู่ เป็นธรรมอนั ยอดเยยี่ มในโลก

สัพพะสัตตะหติ ตั ถายะ ตงั ตวî งั คณั หî าหิ เทวะเต.

ดกู อ่ นเทวดา ทา่ นจงเรยี นอณุ หสิ วชิ ยั ธรรมนนั้ , เพอ่ื ประโยชนเ์ กอ้ื กลู
แกส่ รรพสตั ว์

ปะริวัชเช ราชะทณั เฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก,

พงึ หลกี เว้นเสียได้ ซึง่ ราชทัณฑ์, อมนษุ ย์ทัง้ หลาย เพลงิ ไฟ

พîยคั เฆ นาเค วเิ ส ภเู ต อะกาละมะระเณนะ วา.

เหล่าเสอื นาค สตั ว์มีพิษรา้ ย, รอดพน้ จากอกาลมรณะ (ความตาย
ในเมอ่ื ยังไมถ่ งึ เวลาอนั ควร)

หนงั สอื สวดมนต์ 104

สพั พัสîมา มะระณา มุตโต ฐะเปตวî า กาละมารติ ัง,

จากความตายทกุ อยา่ งทกุ ประการ, เวน้ เสยี แตก่ าลมรณะ (ความตาย
ในเมอ่ื ถงึ เวลาอันควร)

ตสั เสวะ อานภุ าเวนะ โหตุ เทโว สขุ ี สะทา.

ดว้ ยอานุภาพแห่งอุณหิสวิชยั ธรรมนัน้ , ขอเทวดาจงเป็นผูม้ คี วามสขุ
ในกาลทุกเมอ่ื

สทุ ธะสีลงั สะมาทายะ ธัมมัง สุจะรติ งั จะเร,

พึงสมาทานศีลอนั บริสทุ ธิ์แลว้ , ประพฤตธิ รรมใหส้ ุจริต

ตัสเสวะ อานภุ าเวนะ โหตุ เทโว สขุ ี สะทา.

ดว้ ยอานุภาพแห่งอุณหิสวิชยั ธรรมนน้ั , ขอเทวดาจงเปน็ ผมู้ คี วามสุข
ในกาลทกุ เม่อื

ลกิ ขิตัง จินตติ ัง ปชู ัง ธาระณงั วะจะนงั คะรงุ ,

พระธรรมน้ี เอามาเขียนไว้ก็ดี นึกคิดกด็ ี บูชาก็ดี,
ทรงจำ� ก็ดี บอกกลา่ วโดยเคารพกด็ ี

ปะเรสัง เทสะนัง สุตวî า ตสั สะ อายุ ปะวฑั ฒะตตี .ิ

ฟังทา่ นทีแ่ สดงแก่ผู้อน่ื ก็ดี จะทำ� ให้มอี ายุเจริญแล
ถ้าภรรยาและสามี หวังทีจ่ ะได้พบกนั ทง้ั ในชาตินี้
และชาตหิ นา้ ทง้ั ค่พู งึ มีศรัทธาเสมอกัน มศี ลี เสมอกัน
มีจาคะเสมอกนั มีปญั ญาเสมอกนั
พวกเขาย่อมจะไดพ้ บกันท้งั ในชาตนิ ี้และชาติหนา้

105 ท่พี ักสงฆ์จนั ทรังษี

มงคลจักรวาลใหญ่

สริ ธิ ติ มิ ะตเิ ตโชชะยะสทิ ธมิ ะหทิ ธมิ ะหาคณุ าปะรมิ ติ ะ-
ปุญญาธิการัสสะ สัพพันตะรายะนิวาระณะสะมัตถัสสะ
ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธสั สะ
พระผูม้ ีพระภาคเจา้ เปน็ พระอรหนั ต์, ตรัสรูช้ อบโดยพระองคเ์ อง,
มบี ญุ ญาธกิ ารอนั หาประมาณมไิ ด,้ ด้วยพระฤทธิ์อันยง่ิ ใหญ,่
ด้วยพระคุณอนั ย่งิ ใหญส่ ำ� เรจ็ ดว้ ยสริ ,ิ มีปัญญาตงั้ มัน่ มีปญั ญารูร้ อบ,
มีพระเดชพระชัย, สามารถหา้ มเสยี ซง่ึ สรรพอันตราย
ท๎วัตติงสะมะหาปรุ สิ ะลกั ขะณานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาบรุ ุษลักษณะ ๓๒ ประการ
อะสีตย๎ านุพ๎ยัญชะนานุภาเวนะ
ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระอนุพยญั ชนะ ๘๐
อัฏฐตุ ตะระสะตะมงั คะลานภุ าเวนะ
ดว้ ยอานุภาพ แหง่ มงคล ๑๐๘ ประการ
ฉัพพณั ณะรงั สิยานุภาเวนะ ดว้ ยอานุภาพแหง่ พระรัศมีวรรณะ
๖ ประการ
เกตมุ าลานุภาเวนะ
ด้วยอานภุ าพแหง่ พระเกตุมาลา
ทะสะปาระมิตานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพแหง่ พระบารมี
๑๐ ประการ
ทะสะอปุ ะปาระมติ านุภาเวนะ
ด้วยอานภุ าพ แห่งพระอปุ บารมี ๑๐ ประการ
ทะสะปะระมัตถะปาระมติ านภุ าเวนะ
ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระปรมตั ถบารมี ๑๐ ประการ

หนังสือสวดมนต์ 106

สีละสะมาธปิ ัญญานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ ศลี สมาธิ ปญั ญา
พทุ ธานภุ าเวนะ
ธัมมานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แห่งพระพทุ ธรตั นะ

สงั ฆานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพ แหง่ พระธรรมรตั นะ

เตชานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แหง่ พระสังฆรัตนะ

อทิ ธานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระเดช

พะลานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แห่งพระฤทธ์ิ

ดว้ ยอานภุ าพ แห่งพระกำ� ลัง
เญยยะธมั มานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพ แห่งเญยยธรรม
จะตรุ าสีติสะหสั สะ-
ด้วยอานภุ าพ แหง่ พระธรรมขนั ธ์
ธมั มักขนั ธานภุ าเวนะ ๘ หมน่ื ๔ พัน
นะวะโลกตุ ตะระ-
ธัมมานุภาเวนะ ดว้ ยอานุภาพ แหง่ โลกตุ รธรรม

๙ ประการ
อฏั ฐงั คกิ ะมคั คานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แห่งพระอริยมรรค
มอี งค์ ๘ ประการ
อฏั ฐะสะมาปตั ติยานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพ แหง่ พระสมาบัติ
๘ ประการ
ฉะฬะภญิ ญานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพ แหง่ พระอภิญญา
๖ ประการ
จะตสุ จั จะญาณานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระญาณ
ในสัจจะ ๔
ทะสะพะละญาณานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระญาณมกี ำ� ลงั
๑๐ ประการ

107 ท่พี กั สงฆจ์ ันทรังษี

สพั พญั ญตุ ะญาณานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพแหง่
พระสัพพญั ญุตญาณ
เมตตากะรุณามทุ ิตา-
อุเปกขานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพ แห่งพระเมตตา

พระกรณุ า พระมทุ ติ า พระอเุ บกขา
สพั พะปะรติ ตานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพ แหง่ พระปรติ รทง้ั ปวง
ระตะนัตตะยะสะระณานุภาเวนะ
ดว้ ยอานุภาพ แห่งการมีพระรตั นตรัยเปน็ ทีพ่ ึ่ง
ตยุ ๎หัง สพั พะโรคะโสกุปทั ทะวะทุกขะโทมะนสั สปุ ายาสา
วนิ ัสสนั ตุ,
แมเ้ หล่าโรค โศก อุปทั วะ ทุกข์ โทมนสั , ความคับแคน้ ใจทัง้ ปวง
ของท่าน จงสิ้นไป
สัพพะอนั ตะรายาปิ
วินัสสันตุ, แม้เหล่าอนั ตรายทั้งปวง

จงสิ้นสูญไป
สพั พะสงั กปั ปา ตุย๎หัง สรรพความคดิ ทั้งหลายของทา่ น
สะมิชฌนั ตุ,
จงสำ� เร็จด้วยดี
ทฆี ายตุ า ตยุ ๎หงั โหตุ, ความเป็นผูม้ อี ายุยนื จงมแี กท่ า่ น
สะตะวสั สะชเี วนะ
มีความพร้อมเพรยี งด้วยความ
สะมงั คิโก โหตุ สพั พะทา, เปน็ อย,ู่ ตลอดกาล ๑๐๐ ปี
อากาสะปัพพะตะวะนะ- เทพเจา้ ท้ังหลาย, ผ้คู ุม้ ครอง
ภมู ิคังคา มะหาสะมุททา อยู่ในอากาศ ในภูเขา ป่าไม,้
อารักขะกา เทวะตา,
ภูมสิ ถานแม่นำ�้ และมหาสมทุ ร
สะทา ตุมเ๎ ห อะนุรกั ขันตุ. จงตามรักษาท่านท้ังหลาย
ทกุ เม่อื เทอญ

หนงั สอื สวดมนต์ 108

ภะวะตุ สัพพะมงั คะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแก่ทา่ น,
รกั ขันตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหล่าเทวดาทงั้ ปวง จงรักษาท่าน
สัพพะพุทธานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธเจา้ ทงั้ ปวง,
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต. ขอความสวัสดที ั้งหลาย

จงมแี กท่ า่ นทกุ เมอื่

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน,
รักขันตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหลา่ เทวดาทั้งปวง จงรักษาทา่ น
สพั พะธัมมานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแหง่ พระธรรมท้งั ปวง,
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต. ขอความสวสั ดที งั้ หลาย

จงมแี ก่ท่านทกุ เม่ือ

ภะวะตุ สพั พะมังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมแี กท่ ่าน,
รกั ขันตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหลา่ เทวดาทง้ั ปวง จงรักษาท่าน
สพั พะสงั ฆานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพแหง่ พระสงฆ์ทั้งปวง,
สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอความสวสั ดีทงั้ หลาย

จงมแี ก่ท่านทุกเม่อื

นักขตั ตะยักข์

นกั ขัตตะยกั ขะภตู านงั ปาปคั คะหะนิวาระณา,
ความป้องกันบาปเคราะห์ท้ังหลาย, แตส่ ำ� นกั แหง่ เหล่านกั ษัตร
ยกั ษแ์ ละภตู ได้มีแล้ว
หนั ต๎วา เตสงั อปุ ทั ทะเว.
ปะรติ ตสั สานุภาเวนะ
ด้วยอานภุ าพแห่งพระปริตร, จงกำ� จัดเสยี ซึง่ อปุ ทั วะท้ังหลาย,
แตส่ ำ� นกั แห่งนักษตั ร ยักษ์และภตู เหล่านัน้
(สวด ๓ จบ)

109 ทีพ่ ักสงฆ์จันทรงั ษี

บทท้ายธะชคั คะสตู ร

พุทธมนต์ส�ำหรบั ป้องกนั และต่อสู้กับศตั รูหมปู่ จั จามิตร
ทำ� ให้ศตั รูครนั่ ครา้ มและเกรงกลัว

ประวัติ

สมยั หนง่ึ พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวนั วหิ าร ทรงตรสั พทุ ธพจน์
ถงึ สงครามระหว่างเทวดาและอสรู วา่
ในอดตี กาล มฆมาณพและสหายอกี ๓๒ คน ได้ไปอบุ ตั ิเป็นเทพบุตร
ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหล่าเทพในสวรรค์พากันเล้ียงต้อนรับด้วยน้�ำคันธบาน
เม่อื เหล่าเทพพากนั เมามายไม่ไดส้ ติ มฆมาณพเทพบุตรและพระสหายซง่ึ ไม่ได้
ด่มื นำ้� คันธบานนนั้ ด้วย จึงจบั เหล่าเทพโยนจาก เขาสิเนรตุ กลงในมหาสมุทรนที
สีทันดร ดว้ ยอานุภาพของเหลา่ เทพทยี่ ังคงมอี ยู่ จงึ บงั เกดิ เทพนครข้ึนใหมภ่ าย
ใต้เขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของเทพเหล่าน้ัน และเทพเหล่าน้ันมองเห็นโทษของการ
ขาดสติจากการดมื่ นำ�้ คนั ธบาน จึงไดเ้ ลกิ ดมื่ เหลา้ เทพเหล่านนั้ จงึ ไดช้ อื่ ใหมว่ ่า
อสรุ า หรอื อสรู
สว่ นมฆมาณพเทพบตุ ร เมอ่ื ไลเ่ ทพเจา้ ถนิ่ ไปหมดแลว้ กข็ น้ึ ปกครองสวรรค์
ชน้ั ดาวดงึ สส์ บื มา เปน็ จอมเทพทรงพระนามวา่ ทา้ วสกั กะเทวราช พระองคท์ รง
มอบหมายใหท้ า้ วมหาราชทง้ั ๔ จดั ทพั เทพบรวิ ารอารกั ขาเขาสเิ นรไุ วเ้ พอื่ ปอ้ งกนั
เหล่าอสรู ยกทัพกลบั มาแก้แค้น
แต่สมัยใดท่ีต้นแคฝอยในอสูรพิภพผลิบาน พวกอสูรก็หวนคิดว่าต้น
ปาริฉัตรในสวรรค์ก็คงจะบานเหมือนกัน กาลน้ีเป็นกาลที่เราได้รื่นเริงกัน คิด
แล้วกโ็ กรธท้าวสักกะเทวราช และพวกเทวดา อสูรจงึ รวมก�ำลังยกทัพขึน้ มาทำ�
สงครามกับเหล่าเทวดา
สงครามระหวา่ งเทวดาและอสรู มบี อ่ ยครง้ั ผลดั กนั แพ้ ผลดั กนั ชนะ คราว
ใดทีฝ่ า่ ยเทวดาเพลย่ี งพลำ้� ถอยรน่ หนอี สูรส่ยู อดเขาสิเนรุ จิตใจประหวน่ั พรัน่
พรงึ ทอ้ แท้ และเกิดความกลวั เม่อื ได้เห็นยอดธงของทา้ วสกั กะเทวราชโบก
สะบัดอยู่ ความกลัวของเทวดาเหลา่ นนั้ กห็ ายไป เกดิ ความฮกึ เหมิ และสามารถ
ต่อส้เู อาชนะพวกอสรู ได้

หนงั สือสวดมนต์ 110

พระพทุ ธองคท์ รงเปรยี บเทยี บวา่ เมอื่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายไปอยปู่ า่ หากเกดิ ความ
รู้สกึ กลัวก็ให้ระลึกถงึ พระพทุ ธองค์ พระธรรม และพระสงฆ์ ความกลวั นั้นกจ็ ะ
หายไป เปรียบเหมอื นเทวดาได้มองเห็นยอดธงของท้าวสกั กะเทวราช ฉันน้นั

อะรญั เญ รกุ ขะมูเล วา สุญญาคาเร วะ ภิกขะโว,

ดูก่อนภกิ ษุทง้ั หลาย, เธอทงั้ หลายอยู่ในป่ากด็ ี,
อยู่โคนไมก้ ็ดี, อยู่ในเรอื นวา่ งเปล่าก็ดี

อะนุสสะเรถะ สมั พทุ ธัง ภะยงั ตุม๎หากะ โน สยิ า,

เธอพงึ ระลกึ ถึงพระพุทธเจ้าเถิด, ภยั จะไมพ่ งึ มแี กเ่ ธอทั้งหลาย

โน เจ พทุ ธงั สะเรยยาถะ โลกะเชฏฐงั นะราสะภงั ,

ถา้ ว่าเธอทัง้ หลายไมร่ ะลึกถึงพระพุทธเจ้า,
ผเู้ ป็นใหญ่ในโลก องอาจกวา่ นรชน

อะถะ ธมั มงั สะเรยยาถะ นยิ ยานกิ งั สเุ ทสติ ัง,

ทีน้ัน เธอพงึ ระลกึ ถงึ พระธรรม,
เคร่อื งนำ� ออกจากทกุ ข์ ท่ีเราแสดงไว้ดแี ล้ว

โน เจ ธัมมงั สะเรยยาถะ นยิ ยานกิ งั สุเทสิตงั ,

ถา้ เธอทง้ั หลายไม่ระลกึ ถงึ พระธรรม,
เครอื่ งน�ำออกจากทกุ ข์ ท่ีเราแสดงไว้ดีแลว้

อะถะ สังฆัง สะเรยยาถะ ปญุ ญกั เขตตงั อะนตุ ตะรงั ,

ทนี นั้ เธอพงึ ระลกึ ถงึ พระสงฆ,์ ผเู้ ปน็ บญุ เขต ไมม่ นี าบญุ อน่ื ใดยง่ิ ไปกวา่

เอวัมพทุ ธงั สะรนั ตานัง ธมั มัง สังฆัญจะ ภกิ ขะโว,

ดกู อ่ นภิกษุท้งั หลาย, เมอ่ื เธอท้ังหลายระลกึ ถงึ พระพุทธเจา้ ,
พระธรรมและพระสงฆ์อยู่

ภะยัง วา ฉัมภิตตั ตงั วา โลมะหงั โส นะ เหสสะตตี .ิ

ความกลวั กด็ ี ความหวาดสะดุง้ กด็ ี,
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี จกั ไม่มเี ลย

111 ทพ่ี ักสงฆจ์ นั ทรงั ษี

พระสตู ร

ธัมมะจกั กัปปะวัตตะนะสุตตัง

ประวตั ิ

เมอื่ พระบรมศาสดาทรงตรสั รแู้ ลว้ เมอ่ื วนั ขน้ึ ๑๕ คำ�่ เดอื นวสิ าขะ (เดอื น
๖) พระองคไ์ ดท้ รงเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ พจิ ารณาทบทวนพระสทั ธรรมทพี่ ระองคท์ รงตรสั รู้
แจง้ แลว้ อย่บู ริเวณริมฝั่งแม่น้�ำ เนรญั ชรา ต�ำบลอุรุเวลาเสนานคิ ม แควน้ มคธ
ต่อไปอกี เป็นเวลา ๔๙ วนั จากนนั้ พระพทุ ธองค์ได้ทรงพิจารณาหมู่สตั ว์ วา่ หมู่
สตั วท์ งั้ หลายน้นั เปรยี บเหมอื นบวั ๔ เหลา่ คอื หมสู่ ตั วท์ มี่ ปี ญั ญาดี มปี ญั ญา
ปานกลาง มปี ญั ญานอ้ ย และหม่สู ัตว์ทเ่ี บาปญั ญา
ทรงพิจารณาดงั น้ีแล้ว พระบรมศาสดาจึงตดั สนิ พระทยั ที่จะส่งั สอนเวไนย
สัตว์ คอื หม่สู ตั วท์ ี่มีปญั ญาสัง่ สอนได้ โดยจะเริ่มเทศนาแสดงพระสัทธรรมแก่
ปัญจวคั คยี ์เปน็ หมแู่ รก
พระบรมศาสดาเสด็จพุทธด�ำเนนิ ถึงปา่ อิสิปะตะนะมฤคทายวัน ใกลเ้ มือง
พาราณสแี ละไดแ้ สดง ธมั มะจกั กปั ปะวตั ตะนะสตู ร แกป่ ญั จวคั คยี ์ ประกอบดว้ ย
พราหมณท์ ั้ง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททยิ ะ มหานามะ และอัสสชิ ในวนั
ข้ึน ๑๕ คำ�่ เดือนอาสาฬหะ (เดือน ๘) เปน็ ปฐมเทศนา
ธมั มะจกั กปั ปะวตั ตะนะสตู ร ทท่ี รงแสดงน้ี คอื “พระสตู รวา่ ดว้ ยการยงั ธรรมจกั ร
ใหเ้ ปน็ ไป” หรอื “พระสตู รวา่ ดว้ ยการหมนุ วงลอ้ แหง่ ธรรม” ความวา่ สว่ นทส่ี ดุ ๒ อยา่ ง คอื
กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค การประกอบตนใหพ้ วั พนั ในความสขุ ทางกาม ทางนช้ี อ่ื วา่ เปน็
ทางทีห่ ยอ่ นเกนิ ไป และ อัตตกิลมถานโุ ยค คอื การทรมานกายทำ� ตนให้ล�ำบาก
อันหาประโยชน์มไิ ด้ ชือ่ วา่ เป็นทางทต่ี ึงเกนิ ไป แล้วพระพุทธองคจ์ ึงทรงตรสั ถึง
ทางสายกลาง อนั ไมเ่ ขา้ ถึงสว่ นท่ีสุดสองอย่างนี้ คอื ว่าดว้ ย มัชฌมิ าปฏิปทา
กอปรดว้ ยมรรคมอี งค์ ๘ และวา่ ด้วย อรยิ สจั ๔ อนั ทำ� ใหพ้ ระองค์ สามารถ
ปฏิญาณวา่ ทรงไดต้ รสั ร้อู นตุ รสมั มาสมั โพธิญาณ คอื ความตรสั รู้เองโดยชอบ
อนั ยอดเยยี่ ม

หนังสือสวดมนต์ 112

หลงั จากจบปฐมเทศนาแลว้ โกณฑญั ญพราหมณ์ ไดธ้ รรมจกั ษุ มดี วงตาเหน็ ธรรม
ทลู ขออปุ สมบท ทรงประทานเอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา ทำ� ใหโ้ ลก มพี ระรตั นตรยั ครบ
ทง้ั องค์ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระอรยิ สงฆ์

เอวัมเม สุตงั , อนั ข้าพเจ้า (พระอานนท์)
ได้สดับมาแลว้ อยา่ งนว้ี า่

เอกงั สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่งพระผู้มพี ระภาคเจา้
พาราณะสิยงั วหิ ะระต,ิ อสิ ปิ ะตะเน มคิ ะทาเย,
ประทับอยทู่ ่ปี า่ อิสิปะตะนะมฤคทายวนั , ใกลเ้ มืองพาราณสี
ตตั ๎ระ โข ภะคะวา ปญั จะวัคคเิ ย ภิกขู อามันเตส,ิ

ในกาลนั้นแล พระผมู้ พี ระภาคเจ้า, ตรัสเตอื นพระภิกษุปัญจวัคคยี ,์

ใหต้ ง้ั ใจฟงั ภาษติ น้วี ่า
เทว๎ เม ภกิ ขะเว อนั ตา ดูกอ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทสี่ ุดสองอย่างนี้
ปพั พะชเิ ตนะ นะ เสวิตัพพา,

อันบรรพชิตไม่ควรเสพ
โย จายงั กาเมสุ กามะสุขลั ลิกานโุ ยโค,
คือการประกอบตนใหพ้ วั พนั , ดว้ ยความใครใ่ นกามท้งั หลายนใี้ ด
หโี น
คมั โม เปน็ ธรรมอันเลว

โปถุชชะนโิ ก เป็นเหตใุ หต้ งั้ บา้ นเรอื น

อะนะริโย เป็นของคนมีกเิ ลสหนา

อะนตั ถะสัญห๎ ิโต, ไม่ใช่ไปจากขา้ ศกึ คือกเิ ลส

ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์เลย,
นี้อย่างหน่ึง

113 ท่ีพักสงฆ์จันทรงั ษี

โย จายัง อตั ตะกลิ ะมะถานโุ ยโค,

อกี อย่างหนึ่งคือ, การประกอบตนให้ลำ� บากเหล่าน้ี
ทกุ โข
อะนะริโย ท�ำให้เกดิ ทุกขแ์ กผ่ ู้ประกอบ

อะนตั ถะสญั ๎หโิ ต, ไม่ใชไ่ ปจากขา้ ศึกคอื กิเลส

ไม่ประกอบดว้ ยประโยชนเ์ ลย
เอเต เต ภกิ ขะเว อโุ ภ อนั เต อะนปุ ะคมั มะ, มชั ฌมิ า
ปะฏปิ ะทา ตะถาคะเตนะ อะภสิ มั พทุ ธา,
ดูก่อนภิกษทุ ั้งหลาย, ขอ้ ปฏบิ ัติอันเปน็ กลาง, ไม่เข้าไปหาท่สี ุด
แหง่ การกระทำ� สองอยา่ งน้ี มอี ย,ู่ อันตถาคตไดต้ รัสรแู้ ล้ว

ด้วยปญั ญาอนั ยงิ่
จกั ขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภญิ ญายะ
สมั โพธายะ นิพพานายะ สงั วัตตะติ,
ท�ำดวงตา ท�ำญาณเครื่องรู้, ย่อมเป็นไปเพ่ือความเข้าไปสงบระงับ,

เพอ่ื ความรยู้ ง่ิ เพอื่ ความรพู้ รอ้ ม, เปน็ ไปเพอื่ ความดบั คอื พระนพิ พาน
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มชั ฌิมา ปะฏิปะทา
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา,
ดกู อ่ นภิกษุทั้งหลาย, ข้อปฏิบตั เิ ป็นทางสายกลางน้ันเป็นอยา่ งไรเลา่ ,

อนั ตถาคตไดต้ รัสรู้แล้ว ดว้ ยปัญญาอันย่งิ
จักขกุ ะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ
สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ,
ท�ำดวงตา ท�ำญาณเคร่ืองรู้, ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ,
เพอ่ื ความรยู้ งิ่ เพอ่ื ความรพู้ รอ้ ม, เปน็ ไปเพอ่ื ความดบั คอื พระนพิ พาน

หนงั สอื สวดมนต์ 114

อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐงั คโิ ก มัคโค,
นคี้ อื ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ปน็ หนทางอนั ประเสรฐิ , ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดประการ
เสยยะถีทัง,
ไดแ้ ก่สง่ิ เหล่าน้คี อื
สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสงั กัปโป, ปญั ญาอนั เห็นชอบ, ความดำ� รชิ อบ
สัมมาวาจา สมั มากัมมันโต สมั มาอาชโี ว,

วาจาชอบ, การงานชอบ, การเล้ยี งชวี ิตชอบ

สัมมาวายาโม สมั มาสะติ สัมมาสะมาธิ,

ความเพยี รชอบ, ความระลึกชอบ, ความต้ังใจมั่นชอบ
อะยัง โข สา ภกิ ขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ตะถาคะเตนะ อะภสิ ัมพุทธา,

ดกู ่อนภกิ ษุทงั้ หลาย, นแี้ ลคอื ข้อปฏิบตั ิอันเป็นทางสายกลาง,

ทตี่ ถาคตไดต้ รสั รู้แลว้ ดว้ ยปญั ญาอันยง่ิ
จักขกุ ะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภญิ ญายะ
สมั โพธายะ นพิ พานายะ สังวตั ตะติ,

ทำ� ดวงตา ท�ำญาณเคร่ืองร,ู้ ย่อมเป็นไปเพ่อื ความเขา้ ไปสงบระงับ,

เพอ่ื ความรยู้ งิ่ เพอื่ ความรพู้ รอ้ ม, เปน็ ไปเพอื่ ความดบั คอื พระนพิ พาน
อทิ งั โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทกุ ขงั อะรยิ ะสัจจงั ,

ดกู ่อนภิกษทุ ง้ั หลาย, ก็ความจริงคอื ทกุ ขน์ ี้ มีอยู่
ชาตปิ ิ ทุกขา
ชะราปิ ทุกขา ความเกิดกเ็ ปน็ ทุกข์

มะระณมั ปิ ทกุ ขัง, ความแกก่ ็เปน็ ทกุ ข์

ความตายกเ็ ปน็ ทุกข์

115 ทีพ่ กั สงฆจ์ นั ทรงั ษี

โสกะปะรเิ ทวะทุกขะโทมะนสั สุปายาสาปิ ทกุ ขา,

แมค้ วามโศก ความร่ำ� ไรรำ� พนั , ความไมส่ บายกาย ความไม่สบายใจ,
ความคบั แคน้ ใจ กเ็ ป็นทุกข์
อัปปเิ ยหิ สมั ปะโยโค ทกุ โข
ความประสบกับส่งิ ไมเ่ ป็นท่รี ักท่พี อใจกเ็ ป็นทกุ ข์
ปิเยหิ วปิ ปะโยโค ทุกโข

ความพลัดพรากจากส่ิงเปน็ ท่ีรักทพี่ อใจ กเ็ ป็นทกุ ข์
ยมั ปิจฉงั นะ ละภะต ิ มคี วามปรารถนาส่งิ ใดไมไ่ ดส้ ิง่ นนั้
ตมั ปิ ทุกขงั ,
นั่นกเ็ ปน็ ทุกข์
สงั ขิตเตนะ ปญั จุปาทานักขนั ธา ทุกขา,

วา่ โดยยอ่ , อปุ าทานขันธ์ท้ังหา้ เปน็ ตวั ทุกข์
อทิ ัง โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทุกขะสะมุทะโย
อะรยิ ะสจั จงั ,

ดกู ่อนภกิ ษุท้งั หลาย, กค็ วามจรงิ คือเหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์น้ี มีอยู่
ยายัง ตณั ห๎ า
โปโนพภะวกิ า ความทะยานอยากนี้

ทำ� ให้เกดิ ภพอกี
นนั ทิราคะสะหะคะตา อันประกอบอยูด่ ว้ ยความกำ� หนัด,

ดว้ ยอำ� นาจความเพลิน
ตตั ๎ระตตั ๎ราภินันทนิ ,ี เปน็ เครื่องให้เพลิดเพลินอยา่ งยงิ่

ในอารมณ์นั้นๆ
เสยยะถที ัง,
กามะตณั ห๎ า ไดแ้ กส่ ิง่ เหล่านค้ี อื

ภะวะตัณ๎หา คือความทะยานอยากในอารมณท์ ีใ่ คร่

คอื ความทะยานอยากในความมคี วามเปน็

หนังสือสวดมนต์ 116

วภิ ะวะตณั ห๎ า, คอื ความทะยานอยากในความไมม่ ไี มเ่ ปน็
อทิ ัง โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทุกขะนโิ รโธ อะริยะสัจจงั ,
ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, กค็ วามจรงิ คอื ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ขน์ ี้ มอี ยู่
โย ตสั สาเยวะ ตัณ๎หายะ คอื ความดบั สนทิ เพราะจางไป
โดยไมเ่ หลอื ,
อะเสสะวิราคะนิโรโธ ของตัณหานน้ั นัน่ เอง
จาโค
ปะฏินิสสัคโค ความสละตัณหานน้ั

มตุ ติ ความสลัดคืนตณั หาน้ัน

อะนาละโย, ความปล่อยวางตัณหานั้น

ความไม่พวั พนั แห่งตัณหาน้ัน
อิทงั โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทกุ ขะนิโรธะคามินี
ปะฏิปะทา อะริยะสจั จัง,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, กค็ วามจรงิ คอื ข้อปฏบิ ัต,ิ ทท่ี ำ� สัตว์ให้ลุถึงความ
ดับไม่ เหลอื แห่งทกุ ข์น้ี มอี ยู่
อะยะเมวะ อะรโิ ย อัฏฐังคิโก มัคโค,
นคี้ อื ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ปน็ หนทางอนั ประเสรฐิ , ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดประการ
เสยยะถที ัง,
ไดแ้ ก่สง่ิ เหล่านี้คือ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กปั โป, ปัญญาอันเห็นชอบ, ความดำ� ริชอบ
สัมมาวาจา สัมมากมั มันโต สัมมาอาชโี ว,
วาจาชอบ, การงานชอบ, การเล้ยี งชวี ติ ชอบ
สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธ,ิ
ความเพยี รชอบ, ความระลึกชอบ, ความตง้ั ใจม่นั ชอบ

117 ทพี่ ักสงฆจ์ นั ทรงั ษี

อิทงั ทุกขัง อะริยะสัจจนั ติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ
อะนะนสุ สุเตสุ ธมั เมส,ุ จักขงุ อุทะปาทิ ญาณัง
อทุ ะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วชิ ชา อทุ ะปาทิ อาโลโก
อทุ ะปาท,ิ

ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ได้เกดิ ขนึ้ แล้ว, วิชชาได้เกิดขน้ึ แล้ว, แสงสวา่ งไดเ้ กดิ ขึ้นแล้วแกเ่ รา,
ในธรรมทั้งหลาย, ท่ีเราไมไ่ ดเ้ คยฟังแลว้ ในกาลก่อนว่า,
นีเ้ ปน็ ทกุ ขอรยิ สจั

ตงั โข ปะนทิ งั ทุกขงั อะริยะสจั จงั ปะริญเญยยนั ติ เม
ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธมั เมส,ุ จกั ขงุ อทุ ะปาทิ
ญาณัง อทุ ะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ
อาโลโก อุทะปาทิ,

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ได้เกิดขน้ึ แลว้ , วชิ ชาได้เกิดขึ้นแล้ว, แสงสวา่ งได้เกิดขึน้ แลว้ แก่เรา,
ในธรรมทง้ั หลาย, ที่เราไม่ไดเ้ คยฟงั แลว้ ในกาลกอ่ นว่า,
ก็ทกุ ขอรยิ สจั น้ีนัน้ แล, ควรกำ� หนดรู้

ตงั โข ปะนิทงั ทกุ ขงั อะรยิ ะสจั จัง ปะริญญาตันติ เม
ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธมั เมส,ุ จกั ขงุ อทุ ะปาทิ
ญาณัง อุทะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ วิชชา อทุ ะปาทิ
อาโลโก อทุ ะปาท,ิ

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ได้เกิดขึ้นแล้ว, วิชชาไดเ้ กดิ ขึ้นแล้ว, แสงสวา่ งไดเ้ กดิ ขน้ึ แล้วแก่เรา,
ในธรรมทั้งหลาย, ทเี่ ราไมไ่ ดเ้ คยฟงั แล้วในกาลกอ่ นวา่ ,
ก็ทุกขอริยสัจนี้นนั้ แล, อันเราไดก้ ำ� หนดรูแ้ ล้ว

หนงั สอื สวดมนต์ 118

อทิ ัง ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสัจจันติ เม ภกิ ขะเว,
ปุพเพ อะนะนสุ สุเตสุ ธมั เมส,ุ จกั ขุง อุทะปาทิ ญาณงั
อุทะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ วชิ ชา อทุ ะปาทิ อาโลโก
อทุ ะปาทิ,

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ไดเ้ กิดขึ้นแลว้ , วิชชาไดเ้ กิดขึน้ แลว้ , แสงสว่างไดเ้ กดิ ข้นึ แลว้ แกเ่ รา,
ในธรรมท้ังหลาย, ที่เราไม่ไดเ้ คยฟงั แล้วในกาลก่อนว่า,
นเี้ ปน็ ทกุ ขสมุทยั อริยสจั

ตงั โข ปะนิทงั ทุกขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสัจจงั
ปะหาตพั พันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสเุ ตสุ
ธัมเมสุ, จกั ขุง อทุ ะปาทิ ญาณัง อทุ ะปาทิ ปัญญา
อทุ ะปาทิ วชิ ชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาท,ิ

ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ไดเ้ กดิ ขึ้นแล้ว, วชิ ชาได้เกิดขน้ึ แลว้ , แสงสวา่ งได้เกิดขน้ึ แล้วแก่เรา,
ในธรรมทัง้ หลาย, ทีเ่ ราไม่ได้เคยฟงั แล้วในกาลก่อนวา่ ,
กท็ ุกขสมทุ ยั อรยิ สจั นนี้ ้นั แล, ควรละเสีย

ตงั โข ปะนทิ ัง ทุกขะสะมทุ ะโย อะริยะสจั จัง ปะหีนนั ติ
เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสุเตสุ ธมั เมสุ, จกั ขุง
อุทะปาทิ ญาณงั อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วชิ ชา
อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาท,ิ

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ไดเ้ กิดข้ึนแลว้ , วิชชาได้เกดิ ขึน้ แล้ว, แสงสว่างได้เกดิ ขึน้ แล้วแก่เรา,
ในธรรมทงั้ หลาย, ทเ่ี ราไม่ไดเ้ คยฟังแลว้ ในกาลกอ่ นว่า,
กท็ ุกขสมทุ ัยอริยสัจนีน้ ัน้ แล, อนั เราได้ละแล้ว

119 ท่พี กั สงฆจ์ ันทรงั ษี

อิทงั ทกุ ขะนิโรโธ อะริยะสจั จนั ติ เม ภกิ ขะเว,
ปุพเพ อะนะนุสสเุ ตสุ ธัมเมส,ุ จกั ขุง อุทะปาทิ
ญาณงั อทุ ะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ วชิ ชา อทุ ะปาทิ
อาโลโก อุทะปาท,ิ

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ได้เกดิ ขึ้นแล้ว, วิชชาไดเ้ กิดขึน้ แลว้ , แสงสว่างได้เกดิ ขนึ้ แลว้ แก่เรา,
ในธรรมทงั้ หลาย, ทีเ่ ราไม่ไดเ้ คยฟังแลว้ ในกาลก่อนวา่ ,
น้ีเปน็ ทกุ ขนโิ รธะอริยสจั

ตัง โข ปะนทิ งั ทกุ ขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง
สัจฉิกาตัพพันติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสเุ ตสุ
ธมั เมส,ุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อทุ ะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ไดเ้ กดิ ขึน้ แล้ว, วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว, แสงสว่างได้เกดิ ข้ึนแลว้ แก่เรา,
ในธรรมทง้ั หลาย, ทเ่ี ราไม่ได้เคยฟงั แล้วในกาลกอ่ นวา่ ,
ก็ทกุ ขนิโรธะอรยิ สจั นนี้ ัน้ แล, ควรทำ� ใหแ้ จง้

ตงั โข ปะนิทัง ทกุ ขะนิโรโธ อะรยิ ะสจั จงั สัจฉิกะตันติ
เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สุเตสุ ธมั เมสุ, จักขงุ
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วชิ ชา
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาท,ิ

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ปญั ญา
ได้เกดิ ข้นึ แล้ว, วชิ ชาได้เกดิ ขนึ้ แล้ว, แสงสว่างไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ แก่เรา,
ในธรรมท้ังหลาย, ที่เราไม่ไดเ้ คยฟังแลว้ ในกาลกอ่ นว่า,
กท็ กุ ขนิโรธะอรยิ สัจนี้น้ันแล, อนั เราได้ทำ� ให้แจง้ แล้ว

หนังสือสวดมนต์ 120

อทิ งั ทกุ ขะนโิ รธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา อะริยะสัจจนั ติ
เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมส,ุ จักขุง
อทุ ะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญั ญา อุทะปาทิ วิชชา
อุทะปาทิ อาโลโก อทุ ะปาทิ,

ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ปญั ญา
ไดเ้ กิดขึ้นแล้ว, วชิ ชาไดเ้ กิดข้ึนแล้ว, แสงสว่างได้เกดิ ขนึ้ แล้วแกเ่ รา,
ในธรรมทงั้ หลาย, ที่เราไมไ่ ดเ้ คยฟงั แล้วในกาลก่อนวา่ ,
นีเ้ ปน็ ทกุ ขนิโรธะคามินีปฏปิ ทาอริยสัจ

ตงั โข ปะนทิ งั ทกุ ขะนโิ รธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา อะรยิ ะสจั จงั
ภาเวตพั พนั ติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธมั เมส,ุ
จกั ขงุ อทุ ะปาทิ ญาณงั อทุ ะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ วชิ ชา
อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,

ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ปญั ญา
ได้เกดิ ขน้ึ แล้ว, วชิ ชาได้เกิดขน้ึ แล้ว, แสงสว่างได้เกดิ ขน้ึ แลว้ แก่เรา,
ในธรรมท้ังหลาย, ทีเ่ ราไมไ่ ดเ้ คยฟงั แลว้ ในกาลก่อนวา่ ,
กท็ กุ ขนโิ รธะคามนิ ปี ฏิปทาอริยสัจ นีน้ ัน้ แล, ควรใหเ้ จริญ

ตงั โข ปะนทิ งั ทกุ ขะนโิ รธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา อะรยิ ะสจั จงั
ภาวติ นั ติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธัมเมส,ุ
จกั ขงุ อทุ ะปาทิ ญาณงั อทุ ะปาทิ ปญั ญา อทุ ะปาทิ วชิ ชา
อทุ ะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,

ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, จกั ษไุ ดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , ญาณไดเ้ กดิ ขนึ้ แลว้ , ปญั ญา
ไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ , วิชชาไดเ้ กิดข้ึนแล้ว, แสงสว่างไดเ้ กดิ ข้นึ แลว้ แกเ่ รา,
ในธรรมทง้ั หลาย, ท่ีเราไมไ่ ดเ้ คยฟงั แล้วในกาลก่อนว่า,
กท็ กุ ขนโิ รธะคามนิ ปี ฏิปทาอรยิ สจั นนี้ น้ั แล, อันเราเจรญิ แลว้

121 ทพี่ กั สงฆ์จนั ทรงั ษี

ยาวะกวี ญั จะ เม ภกิ ขะเว อเิ มสุ จะตสู ุ อะรยิ ะสจั เจส,ุ
เอวนั ตปิ ะรวิ ฏั ฏงั ทว๎ าทะสาการงั ยะถาภตู งั ญาณะทสั สะนงั
นะ สุวสิ ทุ ธัง อะโหส,ิ

ดกู ่อนภิกษทุ ง้ั หลาย, ปญั ญาอนั รู้เหน็ ตามความเปน็ จริง,
ในอรยิ สจั ๔ เหลา่ นี้ของเรา, ซง่ึ มรี อบ ๓ มอี าการ ๑๒ อยา่ งน้,ี
ยงั ไม่หมดจดเพียงใดแลว้

เนวะ ตาวาหัง ภกิ ขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพร๎ หั ม๎ ะเก, สสั สะมะณะพร๎ าหม๎ ะณยิ า ปะชายะ
สะเทวะมะนสุ สายะ, อะนุตตะรงั สัมมาสัมโพธงิ
อะภสิ ัมพุทโธ ปจั จญั ญาสิง,

ดกู อ่ นภกิ ษุทง้ั หลาย เราจะได้ยืนยนั ตนว่า, เป็นผู้ตรัสรพู้ รอ้ มเฉพาะ,
ซง่ึ ปญั ญาเคร่ืองตรัสรชู้ อบ, ไมม่ คี วามตรสั รอู้ น่ื จะยิง่ กว่าในโลก, เป็น
ไปกับดว้ ยเทวดา มาร พรหม ในหมสู่ ัตว,์ ทัง้ สมณพราหมณ์ เทวดา
และมนษุ ย์ ไม่ไดเ้ พยี งนัน้

ยะโต จะ โข เม ภกิ ขะเว อเิ มสุ จะตสู ุ อะรยิ ะสจั เจส,ุ
เอวันตปิ ะรวิ ฏั ฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภตู ัง
ญาณะทสั สะนงั สุวสิ ทุ ธัง อะโหสิ,

ดูก่อนภกิ ษุท้ังหลาย กเ็ มือ่ ใดแล, ปัญญาอันรเู้ หน็ ตามความเป็นจรงิ ,
ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา, ซ่งึ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างน,ี้
หมดจดดีแล้ว

อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพ๎รหั ๎มะเก, สสั สะมะณะพร๎ าหม๎ ะณิยา ปะชายะ

หนงั สือสวดมนต์ 122

สะเทวะมะนสุ สายะ, อะนุตตะรงั สัมมาสมั โพธิง
อะภิสมั พุทโธ ปัจจัญญาสงิ ,

เมือ่ นัน้ เราจึงไดย้ ืนยนั ตนว่า, เปน็ ผู้ตรัสร้พู ร้อมเฉพาะ, ซง่ึ ปัญญา
เครอื่ งตรสั รชู้ อบ, ไมม่ คี วามตรสั รอู้ น่ื จะยง่ิ กวา่ ในโลก, เปน็ ไปกบั ดว้ ย
เทวดา มาร พรหม ในหมู่สตั ว์, ทง้ั สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์

ญาณญั จะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อทุ ะปาทิ,

กแ็ ล ปัญญาอันรู้เห็นไดเ้ กิดขน้ึ แลว้ แก่เราว่า

อะกุปปา เม วิมุตติ, อะยะมันติมา ชาติ, นัตถิทานิ
ปุนัพภะโวติ,

ความหลดุ พน้ ของเราไม่กลบั กำ� เรบิ , ชาตนิ เ้ี ปน็ ทีส่ ุดแลว้ ,
บัดน้ี ไม่มีความเกิดอีก

อิทะมะโวจะ ภะคะวา,

พระผู้มีพระภาคเจ้า, ได้ตรสั ธมั มะจกั กปั ปะวัตตะนะสตู รน้ีแล้ว

อตั ตะมะนา ปัญจะวคั คยิ า ภกิ ขู ภะคะวะโต ภาสติ ัง
อะภนิ ันทงุ ,

ภกิ ษุปัญจวคั คยี ์ก็มีใจยนิ ด,ี
ช่ืนชมในพระภาษิตของพระผู้มพี ระภาคเจา้

อมิ ัสม๎ ญิ จะ ปะนะ เวยยากะระณสั ม๎ ิง ภัญญะมาเน,

ขณะท่ีพระผมู้ ีพระภาคเจ้า, ตรัสเทศนาพระภาษติ นี้อยู่

อายสั ๎มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลงั
ธมั มะจกั ขงุ อทุ ะปาท,ิ

ธรรมจกั ษุ อนั ปราศจากธุลี, ปราศจากมลทนิ ได้เกดิ ขน้ึ แล้ว,
แกพ่ ระผู้มีอายโุ กณฑัญญะ

123 ท่ีพักสงฆ์จันทรงั ษี

ยงั กิญจิ สะมทุ ะยะธัมมัง สพั พันตัง นโิ รธะธมั มนั ติ,

วา่ ส่ิงใดสิง่ หนง่ึ , มคี วามเกดิ ขนึ้ เป็นธรรมดา,
สิ่งท้ังปวงนั้น ยอ่ มมคี วามดับไปเปน็ ธรรมดา

ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก,

กค็ รัน้ เมือ่ ธรรมจกั ร, อันพระผู้มพี ระภาคเจ้าให้เปน็ ไปแลว้

ภมุ มา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสงุ ,

เหล่าภุมเทวดา, ก็ยงั เสยี งให้บนั ลือลน่ั

เอตมั ภะคะวะตา พาราณะสยิ งั อสิ ปิ ะตะเน มคิ ะทาเย
อะนุตตะรงั ธมั มะจกั กัง ปะวตั ติตัง, อัปปะฏวิ ัตติยัง
สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ
วา พ๎รหั ๎มนุ า วา เกนะจิ วา โลกัสม๎ นิ ติ,

วา่ นนั่ จกั รคอื ธรรม, ไมม่ จี กั รอนื่ ยง่ิ กวา่ , อนั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ใหเ้ ปน็
ไปแลว้ , ท่ีปา่ อิสปิ ะตะนะมฤคทายวัน, ใกล้เมืองพาราณสี,
อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม และใคร ๆ ในโลก,
ยงั ให้เปน็ ไปไม่ได้ ดังน้ี

ภมุ มานัง เทวานงั สัททงั สุตว๎ า,
จาตมุ มะหาราชกิ า เทวา สัททะมะนุสสาเวสงุ ,

เทวดาเหลา่ ชนั้ จาตมุ หาราช, ไดฟ้ งั เสยี งของเทวดาเหลา่ ภมุ เทวดาแลว้ ,
กย็ งั เสยี งให้บนั ลือล่ัน

จาตมุ มะหาราชกิ านัง เทวานงั สทั ทงั สุต๎วา,
ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุง,

เทวดาเหล่าช้ันดาวดึงส์, ได้ฟังเสียงของเทวดาเหล่าชั้นจาตุมหาราช
แล้ว, ก็ยงั เสยี งให้บนั ลอื ล่นั

หนังสอื สวดมนต์ 124

ตาวะติงสานงั เทวานัง สัททัง สุต๎วา,
ยามา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสงุ ,

เทวดาเหล่าชั้นยามา, ไดฟ้ งั เสยี งของเทวดาเหลา่ ชน้ั ดาวดึงสแ์ ลว้ ,
กย็ ังเสยี งให้บนั ลอื ลนั่

ยามานงั เทวานัง สทั ทัง สตุ ๎วา,
ตุสติ า เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,

เทวดาเหลา่ ชั้นดุสติ , ได้ฟงั เสียงของเทวดาเหล่าชั้นยามาแลว้ ,
กย็ ังเสยี งใหบ้ นั ลือลัน่

ตุสติ านัง เทวานัง สัททงั สุตว๎ า,
นมิ มานะระตี เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง,

เทวดาเหล่าช้ันนิมมานรดี, ได้ฟังเสียงของเทวดาเหล่าชั้นดุสิตแล้ว,
ก็ยังเสยี งให้บนั ลอื ลนั่

นิมมานะระตนี งั เทวานงั สัททงั สุตว๎ า,
ปะระนิมมติ ะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนสุ สาเวสงุ ,

เทวดาเหลา่ ชน้ั ปรนิมมติ วสวดั ตี, ไดฟ้ งั เสียงของเทวดาเหล่า
ชน้ั นมิ มานรดแี ลว้ , กย็ งั เสยี งใหบ้ ันลอื ล่นั

ปะระนมิ มติ ะวะสะวัตตนี งั เทวานงั สทั ทงั สตุ ว๎ า,
พ๎รหั ม๎ ะกายกิ า เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุง,*

เทพเจา้ เหล่าใดที่เกดิ ในหมูพ่ รหม, ไดฟ้ งั เสยี งของเทวดาเหลา่
ชน้ั ปรนมิ มิตวสวดั ตแี ล้ว, กย็ ังเสียงให้บันลอื ลัน่

* ¶éÒ¨ะÊÇ´àµçÁãËéá·น »ะÃะนÔÁÁÔµะÇะÊะÇѵµÕ à·ÇÒนѧ ÊÑ··Ñ§ ÊØµÇî Ò,
พîÃÑËÁî ¡ÒÂÔ¡Ò à·ÇÒ ÊÑ··ะÁะนØÊÊÒàÇÊØ§ ´éÇÂบทสวดในหนา้ ๑๒๗-๑๒๙

125 ทพ่ี กั สงฆ์จนั ทรงั ษี

เอตมั ภะคะวะตา พาราณะสิยัง อสิ ิปะตะเน
มิคะทาเย อะนตุ ตะรงั ธมั มะจกั กัง ปะวัตตติ งั ,
อปั ปะฏวิ ตั ตยิ งั สะมะเณนะ วา พร๎ าหม๎ ะเณนะ วา เทเวนะ
วา มาเรนะ วา พร๎ ัห๎มนุ า วา เกนะจิ วา โลกสั ๎มนิ ติ,

วา่ นน่ั จกั รคอื ธรรม ไมม่ จี กั รอน่ื ยงิ่ กวา่ , อนั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ใหเ้ ปน็
ไปแลว้ , ทป่ี ่าอสิ ปิ ะตะนะมฤคทายวนั , ใกล้เมอื งพาราณส,ี
อนั สมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม และใครๆ ในโลก, ยังใหเ้ ป็น
ไปไมไ่ ด้ ดงั นี้

อติ หิ ะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหตุ เตนะ,
ยาวะ พร๎ หั ม๎ ะโลกา สัทโท อพั ภุคคัจฉ,ิ

โดยขณะครู่เดียวนัน้ , เสยี งขนึ้ ไปถงึ พรหมโลก, ดว้ ยประการฉะนี้

อะยัญจะ ทะสะสะหสั สี โลกะธาตุ,

ทั้งหมนื่ โลกธาตุน้ี

สงั กัมปิ สมั ปะกัมปิ สัมปะเวธิ,

ได้หวัน่ ไหวสะเทือนสะท้านล่นั ไป

อปั ปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตรุ ะโหสิ,

ทัง้ แสงสวา่ งอนั ยง่ิ ไมม่ ีประมาณ, ได้ปรากฏแล้วในโลก

อะตกิ กมั เมวะ เทวานัง เทวานุภาวงั ,

ล่วงเทวานภุ าพของเทวดาทง้ั หลายเสียหมด

อะถะโข ภะคะวา อทุ านงั อทุ าเนส,ิ

ล�ำดับนน้ั แล พระผมู้ ีพระภาคเจ้า, ไดท้ รงเปลง่ อุทานว่า

อญั ญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ, อญั ญาสิ วะตะ โภ
โกณฑญั โญต,ิ

โกณฑัญญะไดร้ ู้แลว้ หนอ, ผเู้ จริญ โกณฑัญญะได้รูแ้ ลว้ หนอ

หนงั สือสวดมนต์ 126

อิติหิทงั อายัสม๎ ะโต โกณฑัญญสั สะ,
อญั ญาโกณฑัญโญ เต๎ววะ นามัง, อะโหสตี ิ.

เพราะเหตนุ ั้น, นามว่า อญั ญาโกณฑัญญะนี้นน่ั เทยี ว, ไดม้ ีแลว้ แก่
พระผ้มู อี ายโุ กณฑญั ญะ, ด้วยประการฉะน้ีแล ฯ

* ¶éÒ¨ะÊÇ´àµçÁãËéá·น »ะÃะนÔÁÁÔµะÇะÊะÇѵµÕ à·ÇÒนѧ ÊÑ··Ñ§
ÊØµÇî Ò, พÃî ÑËÁî ¡ÒÂÔ¡Ò à·ÇÒ ÊÑ··ะÁะนØÊÊÒàÇÊØ§ ´éÇÂบทตอ่ ไปนี.้

ปะระนมิ มติ ะวะสะวัตตี เทวานัง สทั ทงั สุตว๎ า,
พร๎ ัหม๎ ะปารสิ ัชชา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง,

เทพเจ้าเหล่าช้นั พรหมปาริสชั ชา, ได้ฟงั เสียงของเทวดาเหล่า
ชั้นปรนิมมิตวสวัดตีแล้ว, ก็ยังเสยี งให้บนั ลือล่ัน

พ๎รัหม๎ ะปาริสชั ชานัง เทวานัง สทั ทัง สุต๎วา,
พร๎ หั ๎มะปะโรหิตา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ ,

เทพเจา้ เหล่าช้นั พรหมปโรหติ า, ได้ฟังเสียงของเทพเจา้ เหล่า
ช้นั พรหมปารสิ ัชชาแล้ว, ก็ยังเสียงให้บันลอื ลนั่

พ๎รัห๎มะปะโรหิตานัง เทวานัง สทั ทัง สุตว๎ า,
มะหาพร๎ ัห๎มา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุง,

เทพเจ้าเหล่าช้ันมหาพรหม, ไดฟ้ งั เสยี งของเทพเจ้าเหล่า
ชั้นพรหมปโรหิตาแลว้ , กย็ งั เสยี งให้บันลอื ลนั่

มะหาพร๎ หั ๎มานงั เทวานัง สัททงั สุต๎วา,
ปะรติ ตาภา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง,

เทพเจา้ เหลา่ ชั้นปรติ ตาภาพรหม, ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่า
ชนั้ มหาพรหมแลว้ , กย็ งั เสียงใหบ้ นั ลือล่นั

127 ที่พักสงฆจ์ ันทรงั ษี

ปะรติ ตาภานัง เทวานงั สทั ทงั สุต๎วา,
อัปปะมาณาภา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง

เทพเจา้ เหลา่ ชั้นอัปมาณาภาพรหม,ไดฟ้ งั เสยี งของเทพเจ้าเหล่า
ชั้นปรติ ตาภาพรหมแล้ว, ก็ยงั เสยี งใหบ้ นั ลือล่นั

อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สตุ ว๎ า,
อาภสั สะรา เทวา สัททะมะนสุ สาเวสุง,

เทพเจา้ เหล่าช้นั อาภสั สราพรหม,ได้ฟังเสียงของเทพเจา้ เหลา่
ชั้นอัปมาณาภาพรหมแล้ว, กย็ งั เสยี งให้บนั ลือล่นั

อาภัสสะรานัง เทวานงั สทั ทงั สุต๎วา,
ปะริตตะสภุ า เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสุง,

เทพเจ้าเหลา่ ชั้นปรติ ตสุภาพรหม,ไดฟ้ ังเสียงของเทพเจ้าเหล่า
ช้ันอาภัสสราพรหมแล้ว, ก็ยงั เสียงใหบ้ นั ลอื ลนั่

ปะริตตะสภุ านงั เทวานงั สทั ทัง สตุ ๎วา,
อัปปะมาณะสุภา เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสุง,

เทพเจ้าเหลา่ ชัน้ อปั ปมาณสุภาพรหม, ไดฟ้ ังเสยี งของเทพเจา้ เหลา่
ชนั้ ปริตตสุภาพรหมแล้ว, ก็ยังเสยี งใหบ้ นั ลอื ลัน่

อัปปะมาณะสภุ านงั เทวานงั สทั ทงั สุตว๎ า,
สภุ ะกิณหะกา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง,

เทพเจ้าเหลา่ ชน้ั สุภกณิ หกาพรหม, ไดฟ้ งั เสยี งของเทพเจ้าเหลา่
ชัน้ อปั ปมาณสุภาพรหมแล้ว, กย็ งั เสียงให้บันลอื ลน่ั

สภุ ะกิณหะกานัง เทวานัง สทั ทงั สตุ ๎วา,
เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,

เทพเจา้ เหลา่ ชน้ั เวหปั ผลาพรหม, ได้ฟงั เสยี งของเทพเจ้าเหล่า
ชัน้ สภุ กิณหกาพรหมแล้ว, กย็ งั เสียงใหบ้ นั ลอื ลน่ั

หนังสือสวดมนต์ 128

เวหัปผะลานงั เทวานงั สัททงั สตุ ๎วา,
อะวิหา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสงุ ,
เทพเจ้าเหลา่ ช้ันอวหิ าพรหม, ได้ฟงั เสยี งของเทพเจ้าเหล่า
ชั้นเวหปั ผลาพรหมแลว้ , กย็ งั เสยี งให้บนั ลอื ลนั่
อะวหิ านงั เทวานงั สัททัง สุต๎วา,
อะตัปปา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชั้นอตัปปาพรหม, ไดฟ้ งั เสยี งของเทพเจ้าเหลา่
ชัน้ อวหิ าพรหมแลว้ , กย็ ังเสยี งให้บันลือลน่ั
อะตปั ปานงั เทวานัง สทั ทงั สุตว๎ า,
สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจา้ เหลา่ ช้ันสทุ สั สาพรหม, ได้ฟังเสยี งของเทพเจ้าเหล่า
ชั้นอตัปปาพรหมแลว้ , กย็ ังเสยี งใหบ้ นั ลอื ลัน่
สุทัสสานงั เทวานัง สทั ทงั สตุ ๎วา,
สทุ ัสสี เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ ,
เทพเจา้ เหลา่ ชัน้ สทุ สั สีพรหม, ได้ฟงั เสียงของเทพเจ้าเหล่า
ช้นั สุทัสสาพรหมแลว้ , ก็ยังเสียงให้บันลอื ล่ัน
สุทัสสนี งั เทวานงั สัททงั สตุ ว๎ า,
อะกะนิฏฐะกา เทวา สทั ทะมะนุสสาเวสุง,
เทพเจ้าเหล่าชน้ั อกนฎิ ฐกาพรหม, ได้ฟงั เสียงของเทพเจ้าเหลา่
ชั้นสทุ สั สีพรหมแล้ว, กย็ งั เสียงให้บนั ลอื ลัน่

หมายเหตุ ในพระไตรปฎิ กใช้ค�ำวา่ พ๎รัหม๎ ะกายกิ า ไม่ได้แจงช่ือพรหมแต่ละชั้น ส่วน
ช่ือพรหมทง้ั ๑๕ ชนั้ นี้ อรรถกถาจารยไ์ ดแ้ ตง่ ขยายความข้นึ ภายหลงั ทัง้ น้ไี ม่ได้รวม
รปู พรหมช่อื อสัญญี (พรหมลูกฟกั ) เน่ืองจากเปน็ พรหมมขี ันธ์เดียว คือรปู ขันธ์ไม่
สามารถยังเสยี งใหบ้ ันลอื ล่ันได้

129 ที่พักสงฆจ์ นั ทรังษี

อะนตั ตะลกั ขะณะสตุ ตัง

ประวัติ

พระพุทธเจา้ ทรงจำ� พรรษา ณ ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ทรงสง่ั สอนบรรพชติ
ทง้ั ๔ รปู ทเ่ี หลอื อยนู่ นั้ ดว้ ยพระธรรมเทศนาตา่ งๆ ตอ่ มาทา่ นวปั ปะกบั ทา่ นภทั ทิ
ยะไดธ้ รรมจกั ษดุ วงตาเห็นธรรม ทลู ขออุปสมบท พระบรมศาสดาทรงประทาน
เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทาให้ และต่อมาท่านมหานามะกบั ทา่ นอัสสชไิ ดธ้ รรมจักษุ ทูล
ขออปุ สมบท และพระผู้มีพระภาคเจา้ ทรงประทาน เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทาใหเ้ ชน่
กัน
คร้ันพระภิกษปุ ัญจวคั คยี ์ตงั้ อยใู่ นทีพ่ ระสาวกและมีอินทรีย์ มศี รทั ธา แก่
กลา้ สมควรสดบั ธรรมจ�ำเริญวปิ ัสสนาเพอื่ วมิ ุตติสุขเบอ้ื งสงู แลว้ ครัน้ ถงึ วนั แรม
๕ คำ�่ เดอื น ๙ พระบรมศาสดา จงึ ไดแ้ สดงพระธรรมสงั่ สอนพระภกิ ษปุ ญั จวคั คยี ์
ด้วย “อนตั ตลักขณสูตร” คอื พระสูตรทีแ่ สดง ลักษณะแห่งเบญจขนั ธ์ คอื รูป
เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ลว้ นไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตาไมค่ วรยดึ มนั่
วา่ เปน็ ตวั ตนของเรา ใหล้ ะวาง เมอื่ พระบรมศาสดาตรสั พระธรรมเทศนา แสดงอนตั
ตลกั ขณสตู รอยู่ จติ ของพระภกิ ษปุ ญั จวคั คยี ผ์ พู้ จิ ารณาภมู ธิ รรมตามกระแสเทศนา
นน้ั พน้ แลว้ จากอาสวะ ไมถ่ ือมน่ั ด้วยอปุ าทาน ส�ำเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ทง้ั หมด
ครง้ั นนั้ มีพระอรหนั ต์เกิดขึน้ แลว้ ในโลก ๖ องค์ คอื องค์สมเด็จพระ
สมั มา-สัมพทุ ธเจา้ ๑ กบั พระอริยสาวก ๕ คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๑ พระ
วัปปะ ๑ พระภทั ทยิ ะ ๑ พระมหานามะ ๑ พระอสั สชิ ๑ รวมเปน็ ๖ ด้วย
ประการฉะน้ี

ความบริสทุ ธ์แิ ละไม่บรสิ ุทธ์ิ เปน็ ของรูไ้ ดเ้ ฉพาะตวั

หนังสอื สวดมนต์ 130

อะนตั ตะลักขะณะสตุ ตงั

เอวัมเม สตุ ัง, อนั ขา้ พเจ้า (คือพระอานนท)์
ได้สดบั มาแล้วอยา่ งน้วี ่า,
เอกงั สะมะยงั ภะคะวา, สมยั หนง่ึ พระผมู้ ีพระภาคเจ้า,
พาราณะสิยงั วหิ ะระติ ประทบั อยู่ ณ ป่าอิสิปตนะ-
อสิ ปิ ะตะเน มิคะทาเย, มฤคทายวนั ใกลเ้ มืองพาราณส,ี
ตตั ร๎ ะ โข ภะคะวา ปัญจะวคั คิเย ภิกขู อามันเตส,ิ
ในกาลนน้ั แล พระผู้มีพระภาคเจา้ , ตรสั เตือนภกิ ษุปัญจวคั คยี ,์
ให้ตั้งใจฟังภาษติ นีว้ า่ ,
รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา, ดูก่อนภกิ ษทุ ้ังหลาย,
รปู คอื ร่างกายนี้ ไม่ใช่ตวั ตน,
รปู ญั จะหทิ ัง ภิกขะเว ดูก่อนภกิ ษุท้ังหลาย, กห็ ากวา่ รูปน้ี
อตั ตา อะภะวสิ สะ,
เป็นตัวตนแล้วไซร,์
นะยิทัง รปู งั อาพาธายะ รูปน้ี คงไม่เป็นไปเพ่อื อาพาธ
สงั วัตเตยยะ,
ลพั เภถะ จะ รูเป, (ความลำ� บาก)

เอวัง เม รูปัง โหต,ุ ทง้ั ยงั จะไดต้ ามความปรารถนาในรปู วา่

ขอรูปของเราจงเป็นอยา่ งนเ้ี ถดิ ,
เอวัง เม รปู ัง มา อะโหสตี ิ, อย่าไดเ้ ป็นอย่างนัน้ เลย,
ยสั ม๎ า จะ โข ภิกขะเว ดูกอ่ นภิกษุทัง้ หลาย,
รูปงั อะนัตตา,
กเ็ พราะเหตทุ ่ีรปู ไมใ่ ช่ตัวตน,
ตัส๎มา รปู งั อาพาธายะ รูปจึงเปน็ ไปเพื่ออาพาธ
สังวัตตะต,ิ
(ความลำ� บาก)

131 ทพ่ี กั สงฆ์จนั ทรงั ษี

นะ จะ ลัพภะติ รูเป, และไม่ไดต้ ามความปรารถนาในรูปว่า
เอวัง เม รูปงั โหตุ
ขอรปู ของเราจงเป็นอย่างน้เี ถดิ ,
เอวัง เม รปู ัง มา อะโหสตี ,ิ อย่าได้เป็นอยา่ งนั้นเลย
เวทะนา อะนตั ตา, เวทนา คอื ความเสวยอารมณ์
ไม่ใช่ตัวตน
เวทะนา จะ หทิ ัง ภิกขะเว ดกู ่อนภิกษทุ ัง้ หลาย,
อตั ตา อะภะวิสสะ,
ก็หากว่าเวทนานีเ้ ปน็ ตวั ตนแล้วไซร้
นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ เวทนานีก้ ็คงไม่เป็นไปเพอ่ื อาพาธ
สงั วัตเตยยะ,
ลพั เภถะ จะ เวทะนายะ, ทั้งยงั จะได้ตามความปรารถนา
ในเวทนาวา่
เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสตี ,ิ
ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนีเ้ ถิด, อยา่ ไดเ้ ป็นอย่างนนั้ เลย
ยสั ๎มา จะ โข ภิกขะเว ดกู ่อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย,
เวทะนา อะนัตตา,
ก็เพราะเหตุที่เวทนาไม่ใชต่ วั ตน
ตสั ม๎ า เวทะนา อาพาธายะ เวทนาจึงเปน็ ไปเพื่ออาพาธ
สังวตั ตะต,ิ
นะ จะ ลพั ภะติ เวทะนายะ, และไมไ่ ดต้ ามความปรารถนาในเวทนาวา่
เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสตี ิ,
ขอเวทนาของเราจงเป็นอยา่ งน้ีเถิด, อยา่ ได้เปน็ อยา่ งน้นั เลย
สัญญา อะนตั ตา,
สัญญา คือความจ�ำ ไมใ่ ช่ตัวตน
สัญญา จะ หทิ ัง ภิกขะเว ดกู ่อนภกิ ษุทั้งหลาย,
อัตตา อะภะวิสสะ,
ก็หากว่าสญั ญานเ้ี ปน็ ตวั ตนแลว้ ไซร้

หนงั สือสวดมนต์ 132

นะยทิ ัง สัญญา อาพาธายะ สญั ญานกี้ ค็ งไมเ่ ป็นไปเพือ่ อาพาธ
สงั วัตเตยยะ,
ลพั เภถะ จะ สัญญายะ, ท้ังยังจะไดต้ ามความปรารถนา
ในสัญญาวา่
เอวงั เม สัญญา โหตุ เอวงั เม สัญญา มา อะโหสตี ิ,
ขอสญั ญาของเราจงเป็นอยา่ งน้เี ถดิ , อย่าไดเ้ ปน็ อย่างนน้ั เลย
ยสั ๎มา จะ โข ภิกขะเว ดูก่อนภกิ ษุทัง้ หลาย,
สัญญา อะนัตตา,
กเ็ พราะเหตทุ ่สี ญั ญาไมใ่ ช่ตวั ตน
ตสั ม๎ า สัญญา อาพาธายะ สญั ญาจึงเปน็ ไปเพอ่ื อาพาธ
สังวตั ตะติ,
นะ จะ ลพั ภะติ สัญญายะ, และไมไ่ ดต้ ามความปรารถนาในสญั ญาวา่
เอวงั เม สัญญา โหตุ เอวงั เม สัญญา มา อะโหสตี ิ,
ขอสญั ญาของเราจงเป็นอย่างนเ้ี ถิด, อยา่ ได้เปน็ อย่างนนั้ เลย
สงั ขารา อะนัตตา, สงั ขาร คอื ความคดิ นกึ ปรุงแต่ง
ไมใ่ ชต่ ัวตน
สงั ขารา จะ หทิ งั ภิกขะเว ดกู อ่ นภกิ ษุทง้ั หลาย,
อัตตา อะภะวิสสังส,ุ
ก็หากว่าสงั ขารนเี้ ป็นตวั ตนแลว้ ไซร้
นะยิทงั สงั ขารา อาพาธายะ สังขารน้ีก็คงไมเ่ ป็นไปเพอ่ื อาพาธ
สงั วตั เตยยงุ ,
ลัพเภถะ จะ สังขาเรส,ุ ท้ังยงั จะได้ตามความปรารถนา
ในสังขารว่า
เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสนุ ต,ิ
ขอสงั ขารของเราจงเป็นอยา่ งนีเ้ ถดิ , อย่าได้เปน็ อยา่ งนนั้ เลย

133 ที่พกั สงฆ์จนั ทรงั ษี

ยัสม๎ า จะ โข ภิกขะเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,
สังขารา อะนตั ตา,
ก็เพราะเหตุทส่ี ังขารไมใ่ ชต่ ัวตน
ตสั ม๎ า สงั ขารา อาพาธายะ สงั ขารจึงเป็นไปเพ่อื อาพาธ
สงั วตั ตนั ติ,
นะ จะ ลพั ภะติ สงั ขาเรสุ, และไมไ่ ดต้ ามความปรารถนาในสงั ขารวา่
เอวงั เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สงั ขารา มา อะเหสนุ ต,ิ
ขอสงั ขารของเราจงเปน็ อย่างนีเ้ ถดิ , อยา่ ไดเ้ ป็นอยา่ งนน้ั เลย
วิญญาณงั อะนัตตา, วิญญาณ คอื ความร้แู จ้งอารมณ์
ไม่ใชต่ ัวตน
วิญญาณญั จะ หทิ ัง
ดกู ่อนภิกษทุ ้ังหลาย,
ภกิ ขะเว อตั ตา อะภะวสิ สะ, ก็หากวา่ วิญญาณน้ีเป็นตัวตนแล้วไซร้
นะยิทัง วิญญาณงั
อาพาธายะ สงั วตั เตยยะ, วิญญาณน้ีก็คงไมเ่ ปน็ ไปเพ่ืออาพาธ

ลพั เภถะ จะ วญิ ญาเณ, ทง้ั ยงั จะได้ตามความปรารถนา
ในวิญญาณว่า
เอวงั เม วญิ ญาณงั โหตุ เอวงั เม วญิ ญาณงั มา อะโหสตี ,ิ
ขอวิญญาณของเราจงเปน็ อย่างนี้เถิด, อยา่ ได้เปน็ อย่างนน้ั เลย
ยสั ม๎ า จะ โข ภิกขะเว ดกู อ่ นภิกษทุ ้ังหลาย,
วญิ ญาณัง อะนัตตา,
ตสั ม๎ า วิญญาณงั กเ็ พราะเหตทุ ีว่ ิญญาณไมใ่ ช่ตวั ตน

อาพาธายะ สงั วัตตะต,ิ วิญญาณจงึ เป็นไปเพอ่ื อาพาธ

นะ จะ ลพั ภะติ วิญญาเณ, และไมไ่ ดต้ ามความปรารถนา
ในวิญญาณวา่

หนังสือสวดมนต์ 134

เอวงั เม วญิ ญาณงั โหตุ เอวงั เม วญิ ญาณงั มา อะโหสตี ,ิ

ขอวญิ ญาณของเราจงเปน็ อยา่ งนี้เถิด, อย่าได้เปน็ อยา่ งนัน้ เลย

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ภิกษทุ ัง้ หลาย, เธอจะ

ส�ำคญั ความขอ้ นเี้ ปน็ ไฉน

รปู ัง นจิ จัง วา อะนิจจัง วาต,ิ รปู เทย่ี งหรือไมเ่ ทีย่ ง ?
อะนิจจัง ภันเต, ภกิ ษุเหล่านน้ั กราบทลู ว่า,

ไม่เทีย่ ง พระเจา้ ข้า

ยมั ปะนานิจจัง ทุกขงั วา ก็สิ่งใดไมเ่ ท่ียง,
ตัง สุขงั วาต,ิ ส่งิ นั้นเป็นทกุ ข์หรือเป็นสุขเลา่ ?
ทุกขงั ภันเต, เป็นทุกข์ พระเจา้ ข้า
ยมั ปะนานจิ จงั ทุกขงั ก็ส่ิงใดไมเ่ ท่ียง เปน็ ทกุ ข,์
วิปะรณิ ามะธัมมัง, มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา
กัลลงั นุ ตงั สะมะนุปัสสติ งุ , ควรแล้วหรือ ที่เราจะตามเห็นสงิ่ นั้น
เอตัง มะมะ เอโสหะมสั ๎ม ิ วา่ นั่นของเรา น่ันเปน็ เรา,
เอโส เม อตั ตาต,ิ นน่ั เป็นตวั ตนของเรา ?
โน เหตัง ภนั เต, ไม่ควรเหน็ อยา่ งนั้น พระเจ้าขา้
ตัง กงิ มญั ญะถะ ภิกขะเว ภกิ ษุทงั้ หลาย, เธอจะ

ส�ำคัญความขอ้ นี้เป็นไฉน

เวทะนา นจิ จา วา อะนจิ จา วาต,ิ เวทนา เที่ยงหรือไม่เทย่ี ง ?
อะนิจจา ภนั เต, ไมเ่ ท่ียง พระเจ้าขา้
ยัมปะนานิจจัง ทกุ ขงั วา กส็ ่งิ ใดไม่เทย่ี ง,
ตงั สขุ ัง วาติ, สิ่งน้นั เปน็ ทกุ ข์หรือเปน็ สุขเล่า ?
ทกุ ขงั ภนั เต, เป็นทกุ ข์ พระเจา้ ข้า

135 ท่พี กั สงฆจ์ นั ทรงั ษี

ยัมปะนานจิ จัง ทุกขัง กส็ ่งิ ใดไม่เท่ียง เปน็ ทุกข,์
วปิ ะริณามะธมั มัง,
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
กัลลงั นุ ตงั สะมะนุปสั สติ งุ , ควรแล้วหรอื ทีเ่ ราจะตามเหน็ สงิ่ น้นั
เอตงั มะมะ เอโสหะมสั ๎ม ิ วา่ น่ันของเรา น่นั เปน็ เรา,
เอโส เม อัตตาติ,
โน เหตงั ภนั เต, นน่ั เป็นตัวตนของเรา ?

ไม่ควรเห็นอยา่ งนนั้ พระเจา้ ขา้
ตงั กงิ มัญญะถะ ภิกขะเว
ภกิ ษุทั้งหลาย, เธอจะสำ� คัญความข้อนเ้ี ปน็ ไฉน
สญั ญา นจิ จา วา อะนจิ จา วาติ, สัญญา เท่ียงหรือไม่เทย่ี ง ?
อะนิจจา ภนั เต,
ไมเ่ ทยี่ ง พระเจ้าขา้
ยมั ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ก็ส่ิงใดไม่เที่ยง,
ตัง สขุ งั วาต,ิ
ทุกขงั ภนั เต, สิ่งนัน้ เป็นทกุ ข์หรอื เปน็ สขุ เลา่ ?

ยัมปะนานจิ จงั ทุกขงั เปน็ ทกุ ข์ พระเจา้ ข้า
กส็ ิ่งใดไมเ่ ทยี่ ง เป็นทุกข์,
วิปะริณามะธัมมงั ,
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
กลั ลัง นุ ตัง สะมะนปุ ัสสติ ุง, ควรแลว้ หรอื ทเ่ี ราจะตามเห็นสงิ่ นั้น
เอตงั มะมะ เอโสหะมสั ๎ม ิ ว่าน่นั ของเรา นนั่ เปน็ เรา,
เอโส เม อตั ตาติ,
โน เหตัง ภนั เต, นนั่ เป็นตวั ตนของเรา ?

ไมค่ วรเห็นอย่างน้ัน พระเจา้ ข้า
ตัง กิง มัญญะถะ ภกิ ขะเว
ภกิ ษทุ ัง้ หลาย, เธอจะสำ� คญั ความข้อน้ีเป็นไฉน
สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาต,ิ สงั ขาร เทย่ี งหรอื ไมเ่ ที่ยง?

หนังสอื สวดมนต์ 136

อะนิจจา ภันเต, ไม่เทีย่ ง พระเจ้าขา้
ยัมปะนานจิ จงั ทุกขัง วา กส็ ิ่งใดไม่เที่ยง,
ตงั สุขัง วาติ,
ทกุ ขัง ภนั เต, สิ่งนัน้ เป็นทุกข์หรอื เป็นสุขเลา่ ?

เป็นทกุ ข์ พระเจ้าขา้
ยัมปะนานจิ จัง ทุกขงั ก็ส่ิงใดไมเ่ ท่ยี ง เป็นทุกข์,
วปิ ะริณามะธมั มัง,
มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา
กัลลัง นุ ตงั สะมะนปุ ัสสิตงุ , ควรแล้วหรือ ทีเ่ ราจะตามเห็นส่ิงน้ัน
เอตงั มะมะ เอโสหะมัส๎ม ิ วา่ นั่นของเรา นนั่ เป็นเรา,
เอโส เม อตั ตาต,ิ
โน เหตงั ภนั เต, นน่ั เปน็ ตวั ตนของเรา ?

ไม่ควรเหน็ อยา่ งน้นั พระเจ้าขา้
ตัง กงิ มญั ญะถะ ภกิ ขะเว
ภิกษุทั้งหลาย, เธอจะส�ำคัญความข้อน้ีเปน็ ไฉน
วญิ ญาณัง นิจจัง วา
อะนิจจงั วาติ, วิญญาณ เทย่ี งหรือไม่เท่ียง ?

อะนิจจัง ภนั เต, ไม่เท่ยี ง พระเจ้าข้า
ยัมปะนานิจจงั ทุกขงั วา กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง,
ตัง สุขงั วาต,ิ
ทกุ ขงั ภันเต, ส่งิ นั้นเปน็ ทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?

ยมั ปะนานิจจัง ทกุ ขัง เปน็ ทกุ ข์ พระเจ้าข้า

วิปะรณิ ามะธมั มัง, ก็ส่ิงใดไม่เทย่ี ง เป็นทกุ ข,์

มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา
กัลลัง นุ ตัง สะมะนปุ ัสสิตุง, ควรแล้วหรอื ท่ีเราจะตามเห็นส่งิ นั้น

137 ท่พี กั สงฆ์จนั ทรงั ษี

เอตงั มะมะ เอโสหะมัส๎มิ วา่ น่นั ของเรา น่นั เปน็ เรา,
เอโส เม อัตตาติ,
โน เหตงั ภันเต, นน่ั เปน็ ตัวตนของเรา ?

ไมค่ วรเห็นอย่างนนั้ พระเจ้าขา้
ตัส๎มาติหะ ภิกขะเว, ดกู อ่ นภกิ ษุท้ังหลาย,
กเ็ พราะเหตุน้นั แล
ยังกญิ จิ รปู งั
รูปอย่างใดอย่างหน่งึ ,
อะตีตานาคะตะปัจจุปปนั นงั , ทั้งทเี่ ป็นอดตี อนาคต และปจั จบุ นั
อัชฌตั ตัง วา พะหิทธา วา, ภายในกต็ าม ภายนอกกต็ าม
โอฬารกิ ัง วา สุขมุ ัง วา, หยาบกต็ าม ละเอยี ดก็ตาม
หีนงั วา ปะณีตัง วา,
ยนั ทเู ร สันติเก วา, เลวกต็ าม ประณีตกต็ าม

สพั พัง รปู งั , อยูไ่ กลกต็ าม อยใู่ กล้กต็ าม

รปู ท้ังหมดน้ัน
เนตัง มะมะ เนโสหะมสั ม๎ ิ นะ เมโส อัตตาต,ิ
เอวะเมตัง ยะถาภูตงั สมั มัปปญั ญายะ ทฏั ฐพั พัง,
เธอทง้ั หลาย, พงึ เห็นด้วยปัญญาอนั ชอบ, ตามความเปน็ จรงิ อยา่ งนี้
วา่ , นัน่ ไมใ่ ชข่ องเรา น่นั ไมเ่ ป็นเรา, นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
ยา กาจิ เวทะนา เวทนาอยา่ งใดอย่างหน่ึง
อะตตี านาคะตะปัจจปุ ปนั นา, ทัง้ ทเ่ี ป็นอดีต อนาคต และปัจจบุ นั
อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
โอฬารกิ า วา สุขุมา วา, หยาบกต็ าม ละเอียดกต็ าม
หีนา วา ปะณีตา วา,
ยา ทูเร สนั ติเก วา, เลวก็ตาม ประณตี ก็ตาม

อยไู่ กลก็ตาม อย่ใู กลก้ ็ตาม

หนงั สอื สวดมนต์ 138

สัพพา เวทะนา, เวทนาทง้ั หมดนั้น
เนตงั มะมะ เนโสหะมสั ม๎ ิ นะ เมโส อตั ตาติ,
เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สมั มัปปัญญายะ ทัฏฐัพพงั ,
เธอทง้ั หลาย, พงึ เห็นด้วยปญั ญาอันชอบ, ตามความเปน็ จริงอย่างน้ี
ว่า, นน่ั ไมใ่ ชข่ องเรา น่นั ไม่เปน็ เรา, นั่นไมใ่ ชต่ ัวตนของเรา
ยา กาจิ สญั ญา
สัญญาอย่างใดอยา่ งหน่งึ
อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา, ทั้งที่เปน็ อดตี อนาคต และปัจจุบนั
อชั ฌตั ตา วา พะหิทธา วา, ภายในก็ตาม ภายนอกกต็ าม
โอฬารกิ า วา สุขุมา วา, หยาบกต็ าม ละเอียดก็ตาม
หนี า วา ปะณตี า วา
ยา ทเู ร สนั ตเิ ก วา, เลวกต็ าม ประณตี กต็ าม

สพั พา สญั ญา, อยู่ไกลกต็ าม อยู่ใกล้ก็ตาม

สัญญาท้งั หมดนั้น
เนตงั มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อตั ตาติ,
เอวะเมตัง ยะถาภูตงั สัมมัปปญั ญายะ ทัฏฐัพพงั ,
เธอท้งั หลาย, พงึ เหน็ ดว้ ยปัญญาอนั ชอบ, ตามความเป็นจรงิ อย่างนี้
วา่ , น่ันไม่ใชข่ องเรา นนั่ ไมเ่ ป็นเรา, นน่ั ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เย เกจิ สังขารา
สงั ขารเหล่าใดเหล่าหน่ึง
อะตีตานาคะตะปัจจปุ ปันนา, ท้ังทเี่ ปน็ อดีต อนาคต และปจั จุบนั
อัชฌตั ตา วา พะหิทธา วา, ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
โอฬาริกา วา สุขมุ า วา, หยาบกต็ าม ละเอียดก็ตาม
หนี า วา ปะณีตา วา,
เย ทเู ร สันติเก วา, เลวก็ตาม ประณตี ก็ตาม

อยไู่ กลกต็ าม อยใู่ กลก้ ็ตาม

139 ที่พกั สงฆ์จันทรงั ษี

สพั เพ สังขารา, สงั ขารทงั้ หมดน้นั
เนตัง มะมะ เนโสหะมัสม๎ ิ นะ เมโส อัตตาติ,
เอวะเมตงั ยะถาภูตงั สัมมัปปญั ญายะ ทัฏฐัพพงั ,
เธอทง้ั หลาย, พงึ เหน็ ด้วยปัญญาอนั ชอบ, ตามความเปน็ จริงอย่างน้ี
วา่ , นั่นไม่ใช่ของเรา นน่ั ไม่เปน็ เรา, น่ันไม่ใช่ตัวตนของเรา
ยังกญิ จิ วญิ ญาณงั วิญญาณอยา่ งใดอย่างหนึง่
อะตตี านาคะตะปัจจุปปนั นัง, ทง้ั ทีเ่ ปน็ อดตี อนาคต และปัจจุบัน
อชั ฌัตตงั วา พะหทิ ธา วา, ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
โอฬารกิ ัง วา สุขมุ ัง วา, หยาบกต็ าม ละเอียดกต็ าม
หนี ัง วา ปะณตี งั วา,
ยันทเู ร สนั ตเิ ก วา, เลวก็ตาม ประณีตกต็ าม

สพั พงั วญิ ญาณงั , อยไู่ กลกต็ าม อย่ใู กลก้ ็ตาม

วญิ ญาณท้งั หมดนนั้
เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ,
เอวะเมตงั ยะถาภตู ัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง,
เธอท้งั หลาย, พึงเหน็ ดว้ ยปัญญาอนั ชอบ, ตามความเป็นจรงิ อยา่ งนี้
ว่า, นน่ั ไม่ใช่ของเรา น่ันไม่เปน็ เรา, น่นั ไมใ่ ชต่ วั ตนของเรา
เอวงั ปสั สงั ภิกขะเว ดูก่อนภิกษทุ งั้ หลาย,
สุต๎วา อะริยะสาวะโก, อริยสาวกผ้ไู ดส้ ดับแลว้ อยา่ งน้ี
รูปัสม๎ งิ ปิ นพิ พนิ ทะติ, ยอ่ มเบือ่ หนา่ ยในรปู
เวทะนายะปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบือ่ หนา่ ยในเวทนา
สัญญายะปิ นพิ พินทะต,ิ ย่อมเบ่อื หน่ายในสญั ญา
สังขาเรสปุ ิ นพิ พนิ ทะต,ิ ย่อมเบอื่ หนา่ ยในสังขาร

หนังสอื สวดมนต์ 140

วิญญาณสั ม๎ งิ ปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบอื่ หน่ายในวิญญาณ
นิพพนิ ทงั วริ ัชชะติ,
วิราคา วิมจุ จะติ, เมอ่ื เบอ่ื หนา่ ย ยอ่ มคลายก�ำหนดั

เมือ่ คลายก�ำหนดั จติ ยอ่ มหลุดพน้
วิมุตตสั ๎มิง วิมตุ ตะมิติ เม่ือจิตหลดุ พน้ แลว้ , ย่อมมีญาณ
ญาณัง โหต,ิ
หย่ังร้วู า่ จติ หลดุ พ้นแล้ว
ขีณา ชาต,ิ วสุ ิตงั พ๎รัหม๎ ะจะรยิ งั , กะตงั กะระณียงั ,
นาปะรัง อิตถตั ตายาติ ปะชานาตตี ,ิ
รชู้ ดั ว่าชาตสิ ้นิ แลว้ , พรหมจรรย์อยูจ่ บแล้ว, กิจทค่ี วรทำ� ไดก้ ระทำ�
ส�ำเรจ็ แล้ว, กจิ อน่ื เพื่อความเปน็ อย่างนี้ มิได้มีอีกแลว้
อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผ้มู ีพระภาคเจ้า, ได้ตรสั
อะนัตตะลกั ขะณะสูตรนีจ้ บลง
อัตตะมะนา ปญั จะวัคคยิ า ภกิ ษุปัญจวคั คีย์ตา่ งกม็ ีใจยนิ ดี,
ภกิ ขู ภะคะวะโต ภาสติ งั ช่นื ชมในพระภาษิตของ
อะภนิ นั ทงุ ,
พระผมู้ พี ระภาคเจา้
อิมสั ๎มญิ จะ ปะนะ เวยยากะระณสั ๎มิง ภัญญะมาเน,
ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรสั เทศนาพระภาษติ นีอ้ ยู่
ปญั จะวัคคิยานงั ภิกขนู งั ภิกษปุ ัญจวคั คยี ์ก็มีจิตหลดุ พน้ แล้ว,
อะนปุ าทายะ, อาสะเวหิ จากอาสวะท้งั หลาย, เพราะไม่ยึด
จิตตานิ วิมจุ จิงสูต.ิ
มั่นถอื ม่นั ด้วยอุปาทาน, ดังนี้แล

141 ทพี่ กั สงฆจ์ นั ทรงั ษี

อาทติ ตะปะรยิ ายะสตุ ตัง

ประวัติ

หลงั จากทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาแกพ่ ระปญั จวคั คยี แ์ ลว้ ตอ่ มา
พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงธรรมโปรดยสกลุ บตุ รและสหายอกี ๕๕ คน และทรงสง่
พระอรหันตสาวกทงั้ ๖๐ องค์นน้ั ใหจ้ ารกิ ไปทศิ ต่างๆ เพ่อื เผยแผพ่ ระสัทธรรม
สว่ นพระบรมศาสดาได้เสด็จไปยัง อุรุเวลาประเทศ ทรงแสดงปาฏิหาริย์ทำ� ลาย
ทิฏฐิของชฎลิ บูชาไฟ ๓ พ่นี ้อง คอื อรุ เุ วละกสั สปะ นทีกัสสปะ และคยากสั ส
ปะ ทมี่ ีบริวาร ๑,๐๐๐ จนชฎิลพากนั ออกบวชท้งั ส้นิ
ตอ่ มาพระผมู้ พี ระภาค เสดจ็ จารกิ ไปสตู่ ำ� บลคยาสสี ะ ทรงพจิ ารณาวา่ ธรรม
ใดหนอจะเปน็ ทีพ่ อใจ ธรรมใดหนอจะเปน็ ทส่ี ัปปายะ (พอเหมาะพอสม เปน็
ที่สบาย) แกภ่ ิกษเุ หล่านี้ ทรงตกลงพระทัยวา่ ภิกษเุ หลา่ นีเ้ คยบูชาไฟมากอ่ น
พระองคจ์ ึงทรงแสดงอาทติ ตปริยายสูตร เปรยี บเทียบสงิ่ ทัง้ ปวงวา่ เป็นของรอ้ น
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมมนี ยั ว่า
“ดูกอ่ นภกิ ษุทัง้ หลาย สิง่ ทัง้ ปวงเป็นของร้อน ก็อะไรเลา่ ชื่อวา่ สง่ิ ท้งั ปวง
เปน็ ของร้อน?
อายตนะภายใน คอื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ เปน็ ของรอ้ น อายตนะภายนอก
คอื รูป รส กล่นิ เสยี ง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เปน็ ของร้อน เวทนาคอื ความ
เสวยอารมณ์เปน็ สุข เปน็ ทุกข์ หรือไมส่ ุขไม่ทกุ ข์ ก็เปน็ ของร้อน
ร้อนเพราะไฟคือ ราคะ โทสะ และโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย
รอ้ นเพราะไฟ คอื ความโศก ความรำ่� ไรรำ� พนั ความทกุ ขก์ าย ทกุ ขใ์ จ และความ
คบั แคน้ ใจ เมอ่ื เหน็ จรงิ วา่ นเ่ี ปน็ ของรอ้ น จติ จงึ จะเบอ่ื หนา่ ย คลายกำ� หนดั และ
หลดุ พน้ เมอื่ นั้นชาตกิ ส็ ิน้ กจิ ทคี่ วรท�ำอีกไมม่ ี”
เมือ่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรัสพระภาษิตนี้อยู่ จติ ของภกิ ษุ ๑,๐๐๐ รปู นนั้
พ้นแล้ว จากอาสวะทัง้ หลาย

หนังสอื สวดมนต์ 142

อาทิตตะปะริยายะสุตตงั

เอวมั เม สุตัง, อันข้าพเจ้า (พระอานนท)์
ได้สดับมาแลว้ อย่างน้วี า่
เอกงั สะมะยัง ภะคะวา, สมยั หนึ่ง พระผู้มพี ระภาคเจ้า
คะยายัง วหิ ะระติ คะยาสเี ส, เสด็จประทับอยูท่ ีค่ ยาสสี ะประเทศ,
ใกลแ้ มน่ ำ้� คยา
สัทธงิ ภิกขสุ ะหัสเสนะ, กบั ด้วยภกิ ษพุ ันหน่ึง
ตัตร๎ ะ โข ภะคะวา ภกิ ขู ในกาลนนั้ แล พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ,
อามันเตสิ,
ตรสั เตือนพระภกิ ษุทั้งหลาย,
ใหต้ ้งั ใจฟงั ภาษติ น้วี ่า
สัพพัง ภกิ ขะเว อาทติ ตัง, ดูกอ่ นภิกษทุ ั้งหลาย
สิ่งท้ังปวงเปน็ ของร้อน
กญิ จะ ภกิ ขะเว สพั พงั ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็อะไรเลา่
อาทิตตัง,
ชอื่ ว่าสิง่ ทั้งปวงเปน็ ของรอ้ น
จกั ขงุ ภิกขะเว อาทิตตงั , ดูก่อนภกิ ษทุ ั้งหลาย
จักษุ (คอื ตา) เป็นของร้อน
รปู า อาทติ ตา,
รูปทั้งหลาย เป็นของร้อน
จกั ขุวญิ ญาณัง อาทติ ตัง, วญิ ญาณอาศยั จักษุเปน็ ของร้อน
จักขุสมั ผัสโส อาทติ โต, สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน
ยัมปิทงั จักขสุ มั ผัสสะปจั จะยา ความรสู้ กึ อารมณน์ ,ี้ เกดิ ขนึ้ เพราะ
อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, จกั ษุสัมผสั เป็นปจั จัย, แม้อันใด

143 ทีพ่ กั สงฆจ์ ันทรังษี


Click to View FlipBook Version