สุขัง วา ทุกขงั วา เป็นสขุ ก็ดี, ทุกข์ก็ด,ี
อะทกุ ขะมะสขุ งั วา,
ตัมปิ อาทติ ตงั , ไม่ใช่ทกุ ข์ ไม่ใชส่ ุขกด็ ี
เกนะ อาทติ ตัง, แม้อันน้นั กเ็ ปน็ ของร้อน
อาทิตตัง ราคัคคินา ร้อนเพราะอะไร
ร้อนเพราะไฟคือราคะ,
โทสคั คินา โมหัคคินา, เพราะไฟคือโทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
อาทิตตงั ชาตยิ า
ชะรามะระเณนะ, ร้อนเพราะความเกิด, เพราะความแก่
และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทกุ เขหิ รอ้ นเพราะความโศก เพราะความรำ�่ ไร
โทมะนัสเสหิ อุปายาเสห ิ ร�ำพัน, เพราะความทกุ ข์ เพราะความ
เสยี ใจ, เพราะความคบั แคน้ ใจทง้ั หลาย
อาทติ ตนั ติ วะทามิ,
โสตงั อาทติ ตัง, เราจงึ กล่าวว่าเปน็ ของรอ้ น
สทั ทา อาทติ ตา, โสตะ (คอื ห)ู เป็นของรอ้ น
เสยี งท้ังหลายเป็นของรอ้ น
โสตะวิญญาณัง อาทติ ตัง, วิญญาณอาศัยโสตะเปน็ ของร้อน
โสตะสัมผสั โส อาทิตโต, สมั ผัสอาศัยโสตะเปน็ ของรอ้ น
ยัมปทิ ัง โสตะสัมผสั สะปจั จะยา ความรสู้ ึกอารมณน์ ้,ี เกดิ ขน้ึ
อปุ ปัชชะติ เวทะยติ ัง, เพราะโสตะสมั ผสั เปน็ ปจั จัย,
แม้อนั ใด
สขุ ัง วา ทกุ ขงั วา
อะทุกขะมะสุขัง วา, เปน็ สุขกด็ ี, ทุกขก์ ด็ ี,
ตมั ปิ อาทิตตัง, ไมใ่ ชท่ กุ ข์ ไม่ใชส่ ุขก็ดี
แมอ้ ันนั้นกเ็ ปน็ ของรอ้ น
หนงั สือสวดมนต์ 144
เกนะ อาทติ ตัง, รอ้ นเพราะอะไร
อาทิตตัง ราคัคคินา
รอ้ นเพราะไฟคอื ราคะ,
โทสัคคินา โมหคั คินา, เพราะไฟคอื โทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
อาทติ ตัง ชาติยา
ชะรามะระเณนะ, รอ้ นเพราะความเกดิ , เพราะความแก่
และความตาย
โสเกหิ ปะรเิ ทเวหิ ทุกเขหิ รอ้ นเพราะความโศก เพราะความรำ�่ ไร
โทมะนัสเสหิ อุปายาเสห ิ ร�ำพนั , เพราะความทุกข์ เพราะความ
เสยี ใจ, เพราะความคบั แคน้ ใจทงั้ หลาย
อาทติ ตันติ วะทาม,ิ
ฆานัง อาทติ ตัง, เราจงึ กลา่ วว่าเป็นของร้อน
คันธา อาทิตตา, ฆานะ (คอื จมูก) เป็นของร้อน
กลน่ิ ท้งั หลายเปน็ ของรอ้ น
ฆานะวญิ ญาณัง อาทิตตงั , วญิ ญาณอาศยั ฆานะเป็นของรอ้ น
ฆานะสมั ผสั โส อาทติ โต, สัมผัสอาศัยฆานะเป็นของร้อน
ยมั ปทิ งั ฆานะสมั ผสั สะปจั จะยา ความรสู้ ึกอารมณน์ ี้, เกดิ ข้นึ
อุปปชั ชะติ เวทะยิตงั , เพราะฆานะสมั ผัสเป็นปัจจัย,
แมอ้ ันใด
สุขัง วา ทกุ ขัง วา
อะทกุ ขะมะสุขัง วา, เปน็ สขุ กด็ ี, ทุกข์ก็ดี,
ตมั ปิ อาทติ ตงั , ไมใ่ ชท่ กุ ข์ ไมใ่ ชส่ ขุ ก็ดี
เกนะ อาทติ ตัง, แมอ้ นั นน้ั กเ็ ป็นของร้อน
อาทิตตงั ราคคั คินา รอ้ นเพราะอะไร
ร้อนเพราะไฟคอื ราคะ,
โทสคั คินา โมหัคคนิ า, เพราะไฟคอื โทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
145 ท่พี ักสงฆ์จันทรงั ษี
อาทติ ตงั ชาติยา รอ้ นเพราะความเกิด, เพราะความแก่
ชะรามะระเณนะ,
และความตาย
โสเกหิ ปะรเิ ทเวหิ ทกุ เขหิ รอ้ นเพราะความโศก เพราะความรำ่� ไร
โทมะนสั เสหิ อุปายาเสห ิ ร�ำพนั , เพราะความทกุ ข์ เพราะความ
เสยี ใจ, เพราะความคบั แคน้ ใจทง้ั หลาย
อาทิตตนั ติ วะทามิ,
ชวิ ห๎ า อาทิตตา, เราจึงกล่าววา่ เปน็ ของร้อน
ระสา อาทิตตา, ชวิ หา (คือล้ิน) เปน็ ของร้อน
รสทั้งหลายเปน็ ของรอ้ น
ชิว๎หาวิญญาณัง อาทติ ตงั , วิญญาณอาศัยชิวหาเปน็ ของร้อน
ชวิ ห๎ าสัมผัสโส อาทติ โต, สมั ผสั อาศัยชวิ หาเปน็ ของร้อน
ยัมปิทงั ชิวห๎ าสัมผัสสะปัจจะยา ความรสู้ กึ อารมณ์น,้ี เกิดขน้ึ
อุปปชั ชะติ เวทะยติ งั , เพราะชิวหาสมั ผสั เปน็ ปัจจัย,
แม้อนั ใด
สุขัง วา ทกุ ขัง วา
อะทกุ ขะมะสขุ ัง วา, เป็นสุขกด็ ี, ทกุ ข์กด็ ี,
ตมั ปิ อาทิตตัง, ไมใ่ ชท่ กุ ข์ ไม่ใชส่ ุขกด็ ี
เกนะ อาทิตตัง, แมอ้ ันน้นั ก็เป็นของรอ้ น
อาทิตตงั ราคัคคินา ร้อนเพราะอะไร
ร้อนเพราะไฟคอื ราคะ,
โทสัคคนิ า โมหคั คินา, เพราะไฟคอื โทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
อาทิตตัง ชาตยิ า
ชะรามะระเณนะ, รอ้ นเพราะความเกิด, เพราะความแก่
และความตาย
หนงั สอื สวดมนต์ 146
โสเกหิ ปะรเิ ทเวหิ ทกุ เขหิ รอ้ นเพราะความโศก เพราะความรำ่� ไร
โทมะนัสเสหิ อุปายาเสห ิ ร�ำพนั , เพราะความทกุ ข์ เพราะความ
เสยี ใจ, เพราะความคบั แคน้ ใจทง้ั หลาย
อาทติ ตันติ วะทามิ,
กาโย อาทติ โต, เราจงึ กล่าววา่ เป็นของร้อน
โผฏฐัพพา อาทิตตา, กายเป็นของรอ้ น
โผฏฐพั พะ (คอื สมั ผสั ทมี่ าถกู ตอ้ งกาย)
เปน็ ของร้อน
กายะวิญญาณงั อาทติ ตงั , วญิ ญาณอาศัยกายเป็นของร้อน
กายะสมั ผัสโส อาทติ โต, สมั ผสั อาศัยกายเป็นของรอ้ น
ยัมปทิ ัง กายะสัมผัสสะปัจจะยา ความรู้สกึ อารมณ์น,้ี เกดิ ขนึ้
อปุ ปชั ชะติ เวทะยิตงั , เพราะกายสัมผัสเป็นปจั จัย,
แม้อนั ใด
สุขัง วา ทกุ ขงั วา
อะทุกขะมะสุขัง วา, เปน็ สุขกด็ ,ี ทุกขก์ ด็ ,ี
ตัมปิ อาทิตตัง, ไม่ใช่ทุกข์ ไมใ่ ช่สขุ ก็ดี
เกนะ อาทติ ตงั , แมอ้ นั นน้ั กเ็ ป็นของร้อน
อาทิตตงั ราคคั คินา ร้อนเพราะอะไร
รอ้ นเพราะไฟคือราคะ,
โทสัคคินา โมหัคคนิ า, เพราะไฟคอื โทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
อาทิตตงั ชาติยา
ชะรามะระเณนะ, รอ้ นเพราะความเกดิ , เพราะความแก่
และความตาย
โสเกหิ ปะรเิ ทเวหิ ทุกเขหิ รอ้ นเพราะความโศก เพราะความรำ�่ ไร
โทมะนสั เสหิ อุปายาเสห ิ ร�ำพนั , เพราะความทุกข์ เพราะความ
เสยี ใจ, เพราะความคบั แคน้ ใจทงั้ หลาย
147 ที่พักสงฆ์จนั ทรงั ษี
อาทติ ตันติ วะทามิ, เราจงึ กล่าววา่ เป็นของร้อน
มะโน อาทิตโต,
ธัมมา อาทิตตา, มนะ (คอื ใจ) เป็นของรอ้ น
ธรรมทงั้ หลาย (คืออารมณ์ทีเ่ กิด
กับใจ) เป็นของร้อน
มะโนวญิ ญาณัง อาทิตตงั , วญิ ญาณอาศยั มนะเป็นของร้อน
มะโนสมั ผัสโส อาทิตโต, สมั ผัสอาศยั มนะเปน็ ของร้อน
ยัมปิทัง มะโนสัมผัสสะปจั จะยา ความรู้สึกอารมณ์นี้, เกดิ ข้นึ
อุปปัชชะติ เวทะยติ ัง, เพราะมโนสัมผสั เป็นปจั จัย,
แม้อนั ใด
สุขัง วา ทุกขงั วา
อะทกุ ขะมะสุขงั วา, เป็นสุขก็ด,ี ทุกข์ก็ด,ี
ตัมปิ อาทติ ตงั , ไมใ่ ชท่ กุ ข์ ไม่ใช่สุขก็ดี
เกนะ อาทิตตงั , แม้อันนน้ั กเ็ ปน็ ของร้อน
อาทิตตัง ราคคั คนิ า รอ้ นเพราะอะไร
รอ้ นเพราะไฟคอื ราคะ,
โทสัคคินา โมหคั คินา, เพราะไฟคอื โทสะ, เพราะไฟคอื โมหะ
อาทติ ตัง ชาติยา
ชะรามะระเณนะ, ร้อนเพราะความเกิด, เพราะความแก่
และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทกุ เขหิ รอ้ นเพราะความโศก เพราะความรำ�่ ไร
โทมะนัสเสหิ อุปายาเสห ิ ร�ำพนั , เพราะความทกุ ข์ เพราะความ
เสยี ใจ, เพราะความคบั แคน้ ใจทงั้ หลาย
อาทติ ตนั ติ วะทามิ,
เราจึงกลา่ ววา่ เปน็ ของร้อน
หนังสือสวดมนต์ 148
เอวัง ปสั สงั ภิกขะเว ดกู อ่ นภิกษุท้งั หลาย, อริยสาวก
สตุ ว๎ า อะริยะสาวะโก, ผูไ้ ดส้ ดับแล้ว มาเหน็ อยู่อย่างนี้
จกั ขสุ ๎มงิ ปิ นิพพนิ ทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยท้ังในจกั ษุ
รเู ปสุปิ นิพพินทะต,ิ
ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทั้งในรปู ทั้งหลาย
จักขุวิญญาเณปิ นิพพินทะต,ิ ย่อมเบื่อหนา่ ยท้ังในวญิ ญาณ
อาศัยจักษุ
จักขุสัมผัสเสปิ นิพพินทะต,ิ ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทง้ั ในสมั ผสั อาศยั จกั ษุ
ยมั ปิทงั จกั ขสุ ัมผัสสะปัจจะยา ความรสู้ กึ อารมณ์นี,้ เกดิ ขึ้น
อปุ ปัชชะติ เวทะยติ ัง, เพราะจกั ษุสัมผัสเปน็ ปจั จยั ,
แม้อนั ใด
สขุ งั วา ทุกขัง วา
อะทกุ ขะมะสุขัง วา, เป็นสขุ กด็ ี, ทุกข์กด็ ,ี
ตัสม๎ ิงปิ นิพพินทะติ, ไม่ใชท่ กุ ข์ ไม่ใช่สขุ กด็ ี
ยอ่ มเบอ่ื หน่ายทง้ั ในความรสู้ ึกนั้น
โสตสั ม๎ งิ ปิ นิพพนิ ทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หน่ายท้งั ในโสตะ
สทั เทสุปิ นพิ พินทะต,ิ
ย่อมเบือ่ หนา่ ยท้งั ในเสยี งทง้ั หลาย
โสตะวญิ ญาเณปิ นพิ พนิ ทะติ, ย่อมเบอ่ื หนา่ ยทั้งในวญิ ญาณ
อาศยั โสตะ
โสตะสัมผัสเสปิ นิพพนิ ทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยทง้ั ในสมั ผสั อาศยั โสตะ
ยมั ปทิ งั โสตะสมั ผัสสะปัจจะยา ความรู้สกึ อารมณ์น,้ี เกดิ ขน้ึ
อปุ ปัชชะติ เวทะยติ ัง, เพราะโสตะสัมผสั เปน็ ปจั จัย,
แมอ้ นั ใด
สขุ ัง วา ทกุ ขงั วา
อะทุกขะมะสุขงั วา, เปน็ สขุ กด็ ,ี ทกุ ข์กด็ ,ี
ไมใ่ ชท่ กุ ข์ ไมใ่ ชส่ ขุ กด็ ี
149 ที่พักสงฆ์จันทรังษี
ตัสม๎ งิ ปิ นิพพินทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หน่ายทง้ั ในความรู้สกึ น้นั
ฆานัสม๎ ิงปิ นพิ พนิ ทะติ, ยอ่ มเบื่อหนา่ ยทงั้ ในฆานะ
คนั เธสุปิ นิพพนิ ทะติ,
ย่อมเบ่อื หน่ายทัง้ ในกลนิ่ ทง้ั หลาย
ฆานะวญิ ญาเณปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทงั้ ในวญิ ญาณอาศยั ฆานะ
ฆานะสัมผัสเสปิ นิพพนิ ทะติ, ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทง้ั ในสมั ผสั อาศยั ฆานะ
ยัมปทิ งั ฆานะสมั ผัสสะปจั จะยา ความร้สู ึกอารมณ์นี,้ เกดิ ขน้ึ
อปุ ปชั ชะติ เวทะยติ ัง, เพราะฆานะสัมผัสเปน็ ปจั จยั ,
แม้อนั ใด
สขุ ัง วา ทกุ ขงั วา
อะทุกขะมะสขุ ัง วา, เป็นสุขกด็ ,ี ทกุ ข์กด็ ,ี
ตสั ม๎ ิงปิ นิพพินทะติ, ไมใ่ ช่ทกุ ข์ ไมใ่ ช่สุขกด็ ี
ย่อมเบอ่ื หนา่ ยทง้ั ในความรูส้ ึกนั้น
ชิวห๎ ายะปิ นพิ พินทะต,ิ ย่อมเบอ่ื หน่ายทง้ั ในชิวหา
ระเสสปุ ิ นิพพินทะต,ิ
ยอ่ มเบื่อหน่ายทง้ั ในรสทงั้ หลาย
ชวิ ห๎ าวญิ ญาเณปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายท้งั ในวิญญาณ
อาศยั ชิวหา
ชวิ ห๎ าสมั ผัสเสปิ นพิ พินทะติ, ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทง้ั ในสมั ผสั อาศยั ชวิ หา
ยัมปิทัง ชวิ ๎หาสัมผสั สะปจั จะยา ความรสู้ ึกอารมณน์ ี,้ เกดิ ข้นึ
อปุ ปัชชะติ เวทะยิตัง, เพราะชิวหาสมั ผสั เปน็ ปัจจัย,
แม้อนั ใด
สขุ ัง วา ทุกขัง วา
อะทกุ ขะมะสขุ ัง วา, เปน็ สขุ กด็ ี, ทุกข์ก็ดี,
ตสั ม๎ งิ ปิ นพิ พนิ ทะติ, ไมใ่ ชท่ ุกข์ ไม่ใช่สุขกด็ ี
ย่อมเบอ่ื หน่ายทั้งในความรสู้ ึกนัน้
หนงั สือสวดมนต์ 150
กายสั ม๎ ิงปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ย่อมเบื่อหนา่ ยทั้งในกาย
โผฎฐพั เพสปุ ิ นิพพินทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยทงั้ ในโผฎฐพั พะทง้ั หลาย
กายะวญิ ญาเณปิ นพิ พินทะต,ิ ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยทง้ั ในวญิ ญาณอาศยั กาย
กายะสัมผัสเสปิ นิพพินทะต,ิ ยอ่ มเบื่อหน่ายท้ังในสัมผัสอาศยั กาย
ยมั ปิทงั กายะสมั ผสั สะปัจจะยา ความรู้สกึ อารมณ์นี,้ เกิดขึน้
อุปปชั ชะติ เวทะยติ งั , เพราะกายสัมผัสเปน็ ปัจจยั ,
แมอ้ นั ใด
สุขงั วา ทุกขงั วา
อะทุกขะมะสขุ ัง วา, เปน็ สขุ ก็ด,ี ทุกขก์ ็ด,ี
ตัส๎มิงปิ นิพพินทะต,ิ ไมใ่ ช่ทุกข์ ไม่ใช่สขุ ก็ดี
ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยทงั้ ในความรู้สึกน้นั
มะนัส๎มิงปิ นพิ พินทะต,ิ ยอ่ มเบื่อหน่ายทั้งในมนะ
ธมั เมสปุ ิ นิพพินทะต,ิ
ยอ่ มเบ่ือหนา่ ยทั้งในธรรมท้งั หลาย
มะโนวิญญาเณปิ นพิ พนิ ทะต,ิ ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยทงั้ ในวญิ ญาณอาศยั มนะ
มะโนสัมผัสเสปิ นพิ พินทะติ, ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยทง้ั ในสมั ผสั อาศยั มนะ
ยมั ปทิ ัง มะโนสมั ผสั สะปัจจะยา ความรสู้ ึกอารมณน์ ,ี้ เกิดขึน้
อปุ ปัชชะติ เวทะยิตงั , เพราะมโนสมั ผสั เปน็ ปัจจยั ,
แม้อนั ใด
สขุ ัง วา ทุกขงั วา
อะทกุ ขะมะสุขงั วา, เป็นสขุ ก็ดี, ทกุ ข์กด็ ี,
ตสั ๎มงิ ปิ นิพพินทะติ, ไม่ใชท่ ุกข์ ไมใ่ ชส่ ขุ ก็ดี
ย่อมเบอ่ื หนา่ ยทั้งในความรสู้ ึกนน้ั
นิพพนิ ทงั วิรัชชะต,ิ เมอ่ื เบอื่ หน่าย ยอ่ มคลายก�ำหนัด
วริ าคา วิมุจจะติ,
เพราะคลายก�ำหนดั จิตยอ่ มหลดุ พน้
151 ทีพ่ กั สงฆ์จนั ทรังษี
วมิ ุตตัส๎มิง วมิ ุตตะมิติ เพราะจติ หลุดพ้นแลว้ , ย่อมมี
ญาณัง โหต,ิ ญาณหยงั่ รู้วา่ จิตหลดุ พน้ แลว้
ขีณา ชาติ, วุสิตัง รู้ชดั ว่าชาติสิ้นแลว้ , พรหมจรรย์อยู่
พร๎ ัหม๎ ะจะรยิ ัง, จบแลว้ , กจิ ทค่ี วรทำ� ไดก้ ระทำ� สำ� เรจ็
กะตงั กะระณียัง, นาปะรงั แลว้ , กิจอ่นื เพ่ือความเป็นอย่างนี้
อิตถตั ตายาติ ปะชานาตีต.ิ มไิ ด้มีอกี แลว้
อิทะมะโวจะ ภะคะวา. พระผูม้ พี ระภาคเจ้า, ได้ตรัส
อาทติ ตะปะรยิ ายะสตู รนีแ้ ล้ว
ภิกษเุ หลา่ นัน้ ก็มีใจยนิ ดี,
ชน่ื ชมในพระภาษติ ของ
อตั ตะมะนา เต ภกิ ขู พระผมู้ ีพระภาคเจา้
ภะคะวะโต ภาสติ ัง ขณะทีพ่ ระผูม้ ีพระภาคเจา้ ,
อะภินันทงุ . ตรัสเทศนาพระภาษิตนี้อยู่
อิมสั ๎มิญจะ ปะนะ
เวยยากะระณัสม๎ งิ ภกิ ษุพนั รปู นนั้ ก็มีจติ หลดุ พน้ แล้ว,
ภญั ญะมาเน, จากอาสวะทง้ั หลาย, เพราะไม่
ตัสสะ ภิกขสุ ะหัสสสั สะ ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ดว้ ยอปุ าทาน, ดงั นแี้ ล
อะนปุ าทายะ, อาสะเวหิ
จิตตานิ วมิ จุ จิงสตู ิ.
ชอื่ วา่ ท่ลี ับของผทู้ ำ�บาปกรรม ไม่มใี นโลก
หนังสือสวดมนต์ 152
มะหาสะมะยะสตุ ตงั
ประวตั ิ
มหาสมัยสูตร เปน็ สูตรว่าดว้ ยสมัยเปน็ ท่ีประชมุ ใหญ่ของเหล่าเทพ ในยคุ
ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะมีการประชุมใหญ่ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย
เชน่ นเี้ พยี งครง้ั เดยี ว เทวดาทงั้ หลายจงึ พากนั คดิ วา่ พวกเราจะฟงั พระสตู รน้ี เมอื่
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ แสดงมหาสมยั สตู รจบลง เทวดาจำ� นวนหนง่ึ แสนโกฏไิ ดบ้ รรลุ
พระอรหนั ต์
พระสตู รน้ีจงึ เปน็ ท่รี กั ทช่ี อบใจของพวกเทวดา เทวดาทัง้ หลายต่างกค็ ดิ ว่า
เป็นพระสูตรของตน เมื่อสวดพระสูตรน้ีจะท�ำให้เหล่าเทวดาทั้งหลายประชุม
กัน เมือ่ เทวดาประชมุ กนั ก็จะท�ำใหส้ ่ิงท่ีไม่ดที ้งั หลายถอยห่างออกไป เปน็ การ
ปอ้ งกันสงิ่ ท่ไี ม่ดีไมใ่ ห้เข้ามาใกลต้ ัวเราน้นั เอง
เนื้อหาในพระสูตรน้ีไดแ้ สดงไว้ว่า เทวดาทัง้ หลายเมอื่ ทราบวา่ พระบรม
ศาสดาประทบั อยู่ทีป่ า่ มหาวนั ใกลก้ รุงกบิลพสั ด์ุ พร้อมดว้ ยภิกษุ ๕๐๐ รูป ล้วน
เปน็ พระอรหันต์บวชจากราชตระกูล ต่างกก็ ล่าวว่า นี้สมยั แหง่ การประชมุ ใหญ่
ในป่ามหาวนั พวกเราจักไปชมความงดงามของพระพุทธเจา้ และพระสงฆ์สาวก
ผหู้ มดจด ตา่ งก็แต่งคาถากล่าวสรรเสรญิ พระพุทธเจา้ และเหลา่ สาวก เทวดา
ทม่ี าประชมุ กนั ในวนั นนั้ มจี ำ� นวนมากมาย ภกิ ษบุ างรปู กเ็ หน็ เทวดารอ้ ยหนงึ่ บาง
รปู กเ็ หน็ พนั หนงึ่ บางรปู กเ็ หน็ หมนื่ หนง่ึ บางรปู กเ็ หน็ แสนหนง่ึ บางรปู กเ็ หน็ ไมม่ ี
ทส่ี ิ้นสุด แตกตา่ งกันไปตามกำ� ลังญาณของแต่ละองค์
ในยคุ ของพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะพระองคจ์ ะมกี ารประชมุ เทวดาจำ� นวนมากเชน่
น้กี เ็ พียงครงั้ เดียว พระพทุ ธองค์ไดต้ รสั กบั ภิกษุทั้งหลายวา่ เทวดาในโลกธาตุ
สบิ มาประชมุ กนั เพอื่ ชมตถาคตและหมภู่ กิ ษสุ งฆ์ เทวดาประมาณเทา่ นแี้ หละได้
เคยประชมุ กนั เพอื่ ชมพระผมู้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในอดตี กาล แลว้
พระองค์ก็ทรงแนะน�ำเทวดาแต่ละจ�ำพวกให้ภิกษุท้ังหลายฟังตามล�ำดับ ต้ังแต่
ภุมเทวดาไปจนถงึ พรหมโลก
153 ท่พี ักสงฆจ์ ันทรงั ษี
มะหาสะมะยะสตุ ตัง
เอวัมเม สตุ งั . อันข้าพเจ้า (คอื พระอานนท)์
ได้สดบั มาแลว้ อยา่ งนี้
สมยั หน่งึ พระผูม้ ีพระภาคเจ้า
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, เสด็จประทับอย่ใู นสักกชนบท
สกั เกสุ วิหะระติ
กะปลิ ะวัตถุสม๎ งิ มะหาวะเน, ณ ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบลิ พสั ด์ุ
มะหะตา ภกิ ขสุ งั เฆนะ สัทธิง กับดว้ ยภกิ ษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ปัญจะมัตเตหิ ภิกขสุ ะเตหิ คอื ภิกษุประมาณห้าร้อย
สัพเพเหวะ อะระหันเตห,ิ ล้วนเป็นพระอรหนั ต์ทั้งหมด
ทะสะหิ จะ โลกะธาตหู ิ
เทวะตา เยภุยเยนะ อนง่ึ เทวดาทงั้ หลาย, กม็ าแลว้ จาก
สนั นปิ ะตติ า โหนติ
ภะคะวนั ตัง ทสั สะนายะ โลกธาตุ ๑๐ โดยมาก,
ภกิ ขุสงั ฆญั จะ, เปน็ ผปู้ ระชุมกันแลว้
เพื่อทสั สนาพระผ้มู ีพระภาคเจ้า
อะถะโข จะตุนนงั และภิกษุสงฆ์
คร้ันนั้นแล ความปริวิตกน้ี,
สุทธาวาสะกายกิ านัง เทวานงั ไดม้ แี กเ่ ทวดาช้ันสุทธาวาส
เอตะทะโหสิ,
๔ องคว์ า่
อะยัง โข ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้านแ้ี ล ประทับ
สกั เกสุ วหิ ะระติ
อยู่ ณ ป่ามหาวนั ,
กะปิละวตั ถุสม๎ ิง มะหาวะเน, ใกล้กรงุ กบิลพัสด์ใุ นสักกชนบท
หนังสอื สวดมนต์ 154
มะหะตา ภิกขสุ ังเฆนะ สทั ธิง กบั ด้วยภกิ ษสุ งฆ์หมู่ใหญ่,
ปัญจะมตั เตหิ ภกิ ขสุ ะเตหิ คือภกิ ษปุ ระมาณหา้ รอ้ ย
สพั เพเหวะ อะระหนั เตหิ, ลว้ นเปน็ พระอรหันต์ทง้ั หมด
ทะสะหิ จะ โลกะธาตหู ิ อนง่ึ เทวดาทงั้ หลาย กม็ าแลว้ จาก
เทวะตา เยภุยเยนะ
สนั นิปะติตา โหนติ โลกธาตุ ๑๐ โดยมาก,
เปน็ ผ้ปู ระชุมกันแล้ว
ภะคะวันตงั ทัสสะนายะ เพือ่ ทัสสนาพระผู้มพี ระภาคเจ้า
ภกิ ขุสังฆญั จะ, และภกิ ษสุ งฆ์
ยนั นนู ะ มะยัมปิ
เยนะ ภะคะวา อยา่ กระนน้ั เลย แมเ้ ราทัง้ หลาย,
พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ประทบั โดย
เตนุปะสงั กะเมยยามะ, ทใ่ี ด, พึงเขา้ ไปโดยทน่ี น้ั
อุปะสังกะมติ ว๎ า
ภะคะวะโต สันตเิ ก ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว,
พึงกล่าวคาถาเฉพาะองค์ละคาถา,
ปจั เจกะคาถา ภาเสยยามาติ, ในสำ� นกั ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อะถะโข ตา เทวะตา,
ครั้งนน้ั แล เทวดาท้งั หลายนน้ั
เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุรโิ ส สมั มญิ ชติ ัง วา พาหงั
ปะสาเรยยะ ปะสาริตงั วา พาหงั สมั มญิ เชยยะ,
เปรียบเหมือนบรุ ษุ ผมู้ ีกำ� ลงั , พึงเหยียดแขนท่ีงอออก, หรือพึงคู้แขน
ทเ่ี หยยี ดออกแล้วเขา้ มา
เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ เทเวสุ อันตะระหติ า ภะคะวะโต
ปุระโต ปาตรุ ะหงั สุ,
อย่างเดียวกันฉันนั้น, ได้อันตรธานจากเทวโลกชั้นสุทธาวาส, มา
ปรากฏเบอื้ งพระพกั ตร์ของพระผ้มู พี ระภาคเจา้
155 ที่พักสงฆ์จันทรงั ษี
อะถะโข ตา เทวะตา ครั้งน้นั แล เทวดาท้งั หลายนั้น,
ภะคะวนั ตัง อะภิวาเทตว๎ า ถวายอภวิ าทพระผ้มู พี ระภาคเจา้ ,
เอกะมนั ตงั อัฏฐังสุ,
ไดย้ ืนอยสู่ ่วนข้างหนึง่
เอกะมนั ตัง ฐิตา โข เอกา เทวดาองค์หนง่ึ ซ่งึ ยืนอยแู่ ลว้
เทวะตา ภะคะวะโต สนั ติเก สว่ นขา้ งหน่งึ แล, ไดภ้ าษติ คาถาน้ี,
อมิ ัง คาถัง อะภาสิ.
ในสำ� นกั ของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ วา่
มะหาสะมะโย ปะวะนสั ม๎ งิ เทวะกายา สะมาคะตา,
วนั น้ีเปน็ มหาสมยั ในป่ามหาวัน, หมเู่ ทวดาทงั้ หลายมาประชมุ กนั แลว้
อาคะตมั ห๎ ะ อมิ ัง ธมั มะสะมะยัง ทกั ขติ าเยวะ
อะปะราชิตะสังฆนั ติ.
เราเปน็ ผมู้ าแลว้ ส่ธู รรมสมยั น,้ี ไดเ้ ห็นพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ลำ� ดบั นัน้ แล เทวดาอกี องค์หนง่ึ
ภะคะวะโต สนั ติเก อิมัง ไดภ้ าษิตคาถาน,้ี ในสำ� นักของ
คาถัง อะภาส.ิ
พระผู้มพี ระภาคเจา้ ว่า
ตัต๎ระ ภกิ ขะโว สะมาทะหังสุ, พระภกิ ษุท้งั หลายในท่ีประชมุ นัน้
มั่นคงแล้ว
จิตตงั อตั ตะโน อชุ ุกะมะกังสุ, ไดท้ �ำจิตของตนใหต้ รง
สาระถวี ะ เนตตานิ คะเหตว๎ า เหมือนสารถี ถอื เชอื กทัง้ หลาย
อินท๎ริยานิ รกั ขันติ ปณั ฑิตาต.ิ ยนื อยู่, ทา่ นเปน็ บณั ฑติ
รักษาอินทรยี ์ทัง้ หลาย ดังนี้
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ล�ำดบั นนั้ แล เทวดาอีกองค์หนง่ึ
ภะคะวะโต สันตเิ ก อมิ งั ไดภ้ าษติ คาถานี้, ในส�ำนักของ
คาถัง อะภาส.ิ
พระผ้มู ีพระภาคเจา้ วา่
หนังสือสวดมนต์ 156
เฉต๎วา ขีลัง เฉตว๎ า ปะลฆี ัง ภิกษุท้ังหลายเหลา่ นนั้ ตดั กเิ ลส
ดจุ ตะป,ู ตดั กเิ ลสดจุ ลมิ่ สลัก
อินทะขีลัง โอหจั จะมะเนชา, ถอนกเิ ลสดจุ เสาเข่ือนแลว้ ,
เป็นผู้ไมห่ วนั่ ไหว
เต จะรนั ติ สุทธา วมิ ะลา ทา่ นเปน็ ผู้หมดจด ไมม่ ีมลทนิ
จักขุมะตา สทุ ันตา สุสู เทย่ี วไป, ทา่ นเป็นพระนาคะหน่มุ ,
นาคาต.ิ
อะถะโข อะปะรา มีดวงตาทรมานดีแล้ว ดังน้ี
ลำ� ดบั นั้นแล เทวดาอกี องค์หน่ึง
เทวะตา ภะคะวะโต สนั ติเก ได้ภาษติ คาถาน,้ี ในส�ำนักของ
อมิ งั คาถัง อะภาสิ.
พระผู้มพี ระภาคเจ้าว่า
เย เกจิ พทุ ธงั สะระณัง ชนทงั้ หลายเหล่าใดเหลา่ หน่ึง,
คะตา เส,
นะ เต คะมิสสันติ ถึงพระพุทธเจา้ ว่าเปน็ สรณะ
อะปายะภมู งิ , ชนทัง้ หลายเหล่าน้นั ,
ปะหายะ มานสุ งั เทหงั จกั ไม่ไปสู่อบายภมู ิ
ละกายเปน็ ของมนุษย์แลว้ ,
เทวะกายงั ปะริปูเรสสันตตี ิ. จักยงั กายทิพยใ์ หบ้ รบิ รู ณ์ดงั น้ี
อะถะโข ภะคะวา ภกิ ขู ล�ำดบั นั้นแล พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ,
อามนั เตสิ,
รบั สั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
เยภยุ เยนะ ภกิ ขะเว ทะสะสุ โลกะธาตสู ุ เทวะตา
สนั นปิ ะตติ า โหนติ ตะถาคะตงั ทสั สะนายะ ภกิ ขสุ งั ฆญั จะ,
ภิกษุท้ังหลาย เทวดาท้ังหลายในโลกธาตุ ๑๐, ประชุมกันแล้วโดย
มาก, เพือ่ ทัสสนาตถาคตและภกิ ษุสงฆ์
157 ที่พกั สงฆ์จันทรังษี
เยปิ เต ภกิ ขะเว อะเหสงุ ภกิ ษุทงั้ หลาย, พระผมู้ พี ระภาค
อะตตี ะมทั ธานัง อะระหนั โต อรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย
สมั มาสมั พทุ ธา,
เตสมั ปิ ภะคะวนั ตานงั นัน้ , แม้ใด ไดม้ ีแลว้ ในอดตี กาล
เทวดาทง้ั หลาย มปี ระมาณเทา่ น้ี
เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา แหละ, ไดเ้ ปน็ ผปู้ ระชมุ กันแลว้
สนั นิปะตติ า อะเหสงุ ,
เพือ่ ทสั สนาพระผ้มู พี ระภาค,
อรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทง้ั หลาย
แม้นน้ั
เสยยะถาปิ มัย๎หัง เอตะระหิ, แม้เหมอื นเทวดาทั้งหลาย,
ประชมุ กัน เพอ่ื ทัสสนาเราในบดั น้ี
เยปิ เต ภิกขะเว ภะวสิ สนั ติ อะนาคะตะมัทธานัง
อะระหนั โต สัมมาสมั พทุ ธา,
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย, พระผมู้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลายนน้ั ,
แมใ้ ด จกั มใี นอนาคต
เตสัมปิ ภะคะวนั ตานัง
เทวดาทัง้ หลาย มปี ระมาณเทา่ น้ี
เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา แหละ, จกั เป็นผู้ประชุมกนั แล้ว
สันนิปะติตา ภะวิสสันติ, เพอ่ื ทัสสนาพระผูม้ ีพระภาค,
อรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจ้า
ทง้ั หลายแมน้ นั้
เสยยะถาปิ มัย๎หัง เอตะระห,ิ แม้เหมอื นเทวดาทั้งหลาย,
ประชมุ กนั เพือ่ ทสั สนาเราในบดั น้ี
อาจิกขสิ สามิ ภิกขะเว ภิกษทุ ้ังหลาย, เราจักบอกชื่อ
เทวะกายานงั นามานิ, ของพวกเทวดาท้ังหลาย
หนังสอื สวดมนต์ 158
กิตตะยิสสามิ ภิกขะเว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย, เราจกั ก�ำหนดชอ่ื
เทวะกายานงั นามานิ,
เทสสิ สามิ ภกิ ขะเว ของพวกเทวดาทงั้ หลาย
เทวะกายานัง นามานิ,
ตัง สณุ าถะ ภิกษทุ ้ังหลาย, เราจักแสดงช่ือ
สาธกุ งั มะนะสิกะโรถะ ของพวกเทวดาทั้งหลาย
ภาสสิ สามีติ. ท่านทั้งหลาย จงฟงั ซงึ่ การแสดงช่อื
เอวัมภนั เตติ โข เต ภกิ ขู ของเทวดานัน้ , จงทำ� ในใจให้สำ� เร็จ
ภะคะวะโต ปัจจสั โสสุง. ประโยชนเ์ ถดิ , เราจกั ภาษติ ณ บดั นี้
ภกิ ษทุ ัง้ หลายเหล่านัน้ , ทูลรบั แต่
พระผมู้ ีพระภาคเจา้ วา่ ,
อยา่ งน้นั พระเจ้าข้า ดังนี้แล
ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผูม้ พี ระภาคเจา้ จงึ ได้ตรัสภาษติ
นวี้ ่า
เราจะทำ� สโิ ลก, คอื ถอ้ ยคำ� ทป่ี ระพนั ธ์
ผูกเปน็ ค�ำฉนั ท์, ภมุ เทวดาทัง้ หลาย
สโิ ลกะมะนุกัสสามิ อาศัยแลว้ ในทีใ่ ด, ภิกษทุ ้งั หลาย
ยตั ถะ ภุมมา ตะทสั สติ า, อาศยั แล้วในทนี่ ้นั
ภิกษทุ งั้ หลายเหลา่ ใด, อาศัยแลว้ ซ่ึง
ซอกแห่งภูเขา มีตนอันส่งไปแลว้ ,
ตง้ั จิตมนั่ เปน็ อนั มาก
ซ่อนเรน้ อยูแ่ ล้วดงั ราชสหี ์,
ครอบงำ� เสียซึ่งขนพองสยองเกล้า
เย สิตา คิรคิ พั ภะรัง
ปะหติ ัตตา สะมาหิตา,
ปถุ ู สหี าวะ สัลลนี า
โลมะหังสาภิสัมภุโน,
159 ท่ีพักสงฆจ์ ันทรังษี
โอทาตะมะนะสา สทุ ธา มีใจผดุ ผ่อง หมดจด,
วปิ ปะสันนะมะนาวลิ า,
ภยิ โย ปญั จะสะเต ญตั ว๎ า ใสสะอาด ไม่ขุ่นมวั
วะเน กาปิละวัตถะเว, พระศาสดา, ทรงทราบภิกษุที่อยู่
ตะโต อามันตะยิ สัตถา ณ ป่ามหาวัน, ใกลก้ รงุ กบิลพัสด์ุ
สาวะเก สาสะเน ระเต, หา้ รอ้ ยเศษ, แตน่ ั้นจึงตรัสเรียก
พระสาวกทง้ั หลาย, ผ้ยู นิ ดีแลว้
ในพระศาสนาว่า
ภกิ ษทุ งั้ หลาย หมเู่ ทวดามงุ่ มากนั แลว้ ,
เทวะกายา อะภิกกนั ตา ทา่ นทัง้ หลายจงรจู้ กั หม่เู ทวดา
เต วิชานาถะ ภิกขะโว, เหลา่ นนั้
ภิกษเุ หล่านน้ั สดบั พทุ ธศาสน์แล้ว,
ไดก้ ระท�ำความเพียร
เจริญทิพยจ์ ักษญุ าณ
เต จะ อาตัปปะมะกะรุง ทิพยจ์ กั ษญุ าณ เครือ่ งเหน็ พวก
สตุ ๎วา พทุ ธัสสะ สาสะนัง, อมนุษย์, ได้ปรากฏแลว้ แก่ทา่ น
ภกิ ษทุ ง้ั หลายบางพวก ไดเ้ หน็ อมนษุ ย์
๑ รอ้ ย, บางพวก ไดเ้ หน็ อมนษุ ย์ ๗ พนั
บางพวก ไดเ้ หน็ อมนษุ ย์ ๑ แสน
เตสัมปาตุระหุ ญาณงั
อะมะนสุ สานะ ทัสสะนัง, บางพวก ได้เห็นอมนุษย์ไมม่ กี �ำหนด,
อัปเปเก สะตะมัททักขุง อมนุษย์ทั้งหลาย ได้แผ่ไปแล้วทัว่ ทศิ
สะหสั สงั อะถะ สัตตะรงิ ,
สะตงั เอเก สะหสั สานัง
อะมะนสุ สานะมัททะสุง,
อปั เปเกนนั ตะมัททกั ขงุ
ทสิ า สัพพา ผฏุ า อะหุง,
หนังสอื สวดมนต์ 160
ตญั จะ สัพพงั อะภิญญายะ พระศาสดาผูม้ ดี วงตา,
วะวักขิตว๎ านะ จกั ขมุ า,
ตะโต อามันตะยิ สตั ถา ทรงใครค่ รวญทราบเหตนุ น้ั สนิ้ แลว้ ,
สาวะเก สาสะเน ระเต, แต่นนั้ จึงตรสั เรียกพระสาวก,
เทวะกายา อะภิกกันตา ผ้ยู นิ ดีแลว้ ในศาสนาวา่
เต วชิ านาถะ ภกิ ขะโว, ภกิ ษุทง้ั หลาย หม่เู ทวดามาประชุม
กันแล้ว, ทา่ นทง้ั หลายจงรู้จัก
หมเู่ ทวดาเหล่าน้ัน
เย โวหงั กิตตะยสิ สามิ เราจกั บอกแก่ท่านทัง้ หลาย,
คิราหิ อะนุปพุ พะโส.
ดว้ ยวาจาโดยล�ำดับ
สัตตะสะหสั สา วะ ยกั ขา ยักษ์ทัง้ หลาย ๗ พนั เป็น
ภุมมา กาปลิ ะวตั ถะวา,
อิทธิมันโต ชุตมิ ันโต ภมุ เทวดา, อาศยั อยกู่ รงุ กบลิ พสั ด์ุ
มีฤทธิ์ มีอานุภาพ,
วัณณะวันโต ยะสัสสโิ น, มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามุง ยนิ ดีม่งุ มาสปู่ ่ามหาวนั ,
ภิกขูนัง สะมติ งิ วะนงั .
เป็นทปี่ ระชุมแหง่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย
ฉะสะหัสสา เหมะวะตา ยักษท์ ั้งหลาย ๖ พนั อยทู่ ีเ่ ขา
ยักขา นานัตตะวณั ณโิ น, เหมวตา, มีรศั มตี า่ งๆ กนั
อิทธิมันโต ชตุ มิ นั โต มีฤทธิ์ มีอานุภาพ,
วณั ณะวันโต ยะสัสสโิ น, มรี ศั มี มียศ
โมทะมานา อะภกิ กามุง ยินดีม่งุ มาสูป่ ่ามหาวนั ,
ภกิ ขูนงั สะมติ งิ วะนงั .
เปน็ ท่ปี ระชมุ แหง่ ภิกษุทง้ั หลาย
161 ทพ่ี กั สงฆ์จันทรังษี
สาตาคิรา ติสะหัสสา ยักษท์ ้ังหลาย ๓ พนั
ยักขา นานตั ตะวัณณิโน, อย่ทู เ่ี ขาสาตาครี ี, มรี ศั มตี ่างๆ กัน
อิทธิมนั โต ชุติมันโต
มฤี ทธิ์ มอี านภุ าพ,
วณั ณะวนั โต ยะสสั สโิ น, มีรศั มี มยี ศ
โมทะมานา อะภิกกามงุ
ภกิ ขูนงั สะมติ ิง วะนัง. ยนิ ดีมุ่งมาสปู่ า่ มหาวัน,
เปน็ ทปี่ ระชุมแห่งภกิ ษุท้ังหลาย
อจิ เจเต โสฬะสะสะหสั สา ยักษ์ทั้งหลายเหล่านนั้ รวมเปน็
ยกั ขา นานัตตะวัณณิโน, หมื่น ๖ พนั , มีรศั มตี ่างๆ กัน
อิทธมิ นั โต ชุตมิ ันโต
มีฤทธิ์ มีอานภุ าพ,
วัณณะวนั โต ยะสัสสิโน, มีรศั มี มียศ
โมทะมานา อะภกิ กามงุ
ภิกขูนงั สะมิตงิ วะนงั . ยนิ ดมี ุ่งมาสปู่ า่ มหาวัน,
เปน็ ที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย
เวสสามิตตา ปัญจะสะตา ยกั ษท์ งั้ หลาย ๕๐๐ อยู่ที่เขา
ยกั ขา นานัตตะวัณณโิ น, เวสสามติ , มรี ศั มีต่างๆ กนั
อิทธมิ นั โต ชตุ มิ นั โต
มฤี ทธ์ิ มีอานภุ าพ,
วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน, มรี ัศมี มยี ศ
โมทะมานา อะภกิ กามงุ ยนิ ดมี ่งุ มาสู่ป่ามหาวัน,
ภิกขนู งั สะมติ ิง วะนงั .
เป็นทีป่ ระชมุ แห่งภิกษทุ ัง้ หลาย
กุมภิโร ราชะคะหโิ ก ยักษช์ ือ่ กุมภีร์ อยแู่ ลว้ ใน
เวปุลลัสสะ นิเวสะนงั ,
กรุงราชคฤห,์ เขาชื่อเวปุลละ
เป็นท่ีอยู่ของยกั ษช์ ือ่ กมุ ภรี น์ ้ัน
หนังสอื สวดมนต์ 162
ภยิ โย นงั สะตะสะหัสสัง ยักษ์ท้ังหลายแสนเศษ, เข้าไปเฝา้
ยักขานงั ปะยิรปุ าสะติ, ยกั ษช์ ่ือกุมภีร์นัน้
กุมภโิ ร ราชะคะหิโก
ยักษ์ชอื่ กุมภีร์ ผู้อยแู่ ล้วใน
โสปาคะ สะมติ งิ วะนงั , กรุงราชคฤห,์ แม้นน้ั กไ็ ดม้ าแลว้
สปู่ า่ มหาวัน, เปน็ ที่ประชุมแหง่
ภกิ ษุทั้งหลาย
ปรุ มิ ัญจะ ทสิ ัง ราชา ทา้ วธตรฐ ผอู้ ยดู่ า้ นทศิ บรู พา,
ธะตะรฏั โฐ ปะสาสะต,ิ ปกครองอยู่ซงึ่ ทิศน้นั
คันธพั พานัง อาธปิ ะติ เป็นอธบิ ดขี องพวกคนธรรพ,์
มะหาราชา ยะสสั สิ โส, เธอเปน็ มหาราช มียศ
ปุตตาปิ ตสั สะ พะหะโว แมบ้ ตุ รท้งั หลายของเธอเป็นอันมาก,
อนิ ทะนามา มะหัพพะลา, มีนามว่าอินทร์ มกี �ำลังมาก
อิทธมิ นั โต ชุติมันโต
มีฤทธิ์ มอี านภุ าพ,
วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน, มรี ัศมี มยี ศ
โมทะมานา อะภกิ กามงุ ยินดีมุ่งมาสปู่ ่ามหาวัน,
ภกิ ขนู งั สะมิตงิ วะนัง. เปน็ ท่ีประชมุ แหง่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย
ทกั ขิณญั จะ ทิสัง ราชา ทา้ ววริ ฬุ หก ผู้อย่ดู า้ นทศิ ทกั ษณิ ,
วิรุฬโ๎ ห ตปั ปะสาสะต,ิ ปกครองอยูซ่ ึ่งทิศนน้ั
กุมภัณฑานงั อาธิปะติ เป็นอธบิ ดีของพวกกุมภณั ฑ์,
มะหาราชา ยะสัสสิ โส, เธอเป็นมหาราช มียศ
ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แม้บุตรทงั้ หลายของเธอเปน็ อนั มาก,
อนิ ทะนามา มะหัพพะลา, มนี ามวา่ อนิ ทร์ มีก�ำลงั มาก
163 ทพ่ี ักสงฆ์จนั ทรงั ษี
อิทธิมันโต ชุติมนั โต มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ,
วัณณะวนั โต ยะสสั สิโน, มีรัศมี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามงุ ยนิ ดมี ุง่ มาสูป่ ่ามหาวัน,
ภิกขูนัง สะมติ งิ วะนงั . เปน็ ที่ประชมุ แหง่ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย
ปจั ฉมิ ญั จะ ทสิ งั ราชา ทา้ ววริ ูปกั ข์ ผอู้ ยู่ดา้ นทิศปัจจิม,
วริ ูปักโข ปะสาสะติ,
นาคานงั อาธปิ ะต ิ ปกครองอย่ซู ึ่งทิศนัน้
เปน็ อธิบดขี องพวกนาค,
มะหาราชา ยะสสั สิ โส, เธอเป็นมหาราช มียศ
ปุตตาปิ ตสั สะ พะหะโว แมบ้ ตุ รทั้งหลายของเธอเปน็ อนั มาก,
อินทะนามา มะหพั พะลา, มนี ามว่าอินทร์ มีกำ� ลังมาก
อทิ ธมิ นั โต ชุตมิ ันโต
มีฤทธ์ิ มอี านุภาพ,
วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มยี ศ
โมทะมานา อะภกิ กามงุ ยนิ ดีมุ่งมาสู่ปา่ มหาวนั ,
ภิกขนู งั สะมติ งิ วะนงั . เป็นท่ปี ระชมุ แห่งภิกษทุ ัง้ หลาย
อุตตะรญั จะ ทสิ ัง ราชา ท้าวกเุ วร ผู้อยูด่ ้านทิศอดุ ร,
กเุ วโร ตปั ปะสาสะต,ิ
ยกั ขานงั อาธิปะติ ปกครองอยู่ซึ่งทิศนัน้
เปน็ อธิบดีของพวกยักษ,์
มะหาราชา ยะสัสสิ โส, เธอเป็นมหาราช มียศ
ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แม้บตุ รท้ังหลายของเธอเป็นอนั มาก,
อนิ ทะนามา มะหพั พะลา, มีนามว่าอินทร์ มีก�ำลงั มาก
อิทธมิ ันโต ชตุ ิมนั โต มีฤทธิ์ มอี านภุ าพ,
วัณณะวนั โต ยะสัสสิโน, มรี ศั มี มยี ศ
หนังสอื สวดมนต์ 164
โมทะมานา อะภิกกามุง ยินดมี ุง่ มาสปู่ ่ามหาวัน,
ภิกขนู งั สะมิตงิ วะนัง. เป็นที่ประชุมแห่งภกิ ษุทั้งหลาย
ปรุ มิ ะทสิ งั ธะตะรฏั โฐ ทา้ วธตรฐเปน็ ใหญท่ ิศบรู พา,
ทกั ขิเณนะ วิรุฬ๎หะโก, ทา้ ววิรุฬหกเปน็ ใหญท่ ศิ ทักษิณ
ปัจฉเิ มนะ วริ ูปักโข
กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง, ทา้ ววริ ปู ักขเ์ ป็นใหญ่ทศิ ปัจจิม,
ท้าวกเุ วรเป็นใหญ่ทิศอดุ ร
จตั ตาโร เต มะหาราชา มหาราชท้งั ๔ นน้ั ,
สะมนั ตา จะตุโร ทิสา, ยังทิศทง้ั ๔ โดยรอบใหร้ ุง่ เรอื ง,
ททั ทัลละมานา อัฏฐงั สุ ประทับอยู่ในป่ามหาวัน
วะเน กาปลิ ะวตั ถะเว, ใกลก้ รุงกบลิ พสั ดุ์
เตสัง มายาวิโน ทาสา
บา่ วท้งั หลายของมหาราชทงั้ ๔ นน้ั ,
อาคู วัญจะนิกา สะฐา, มีมายาล่อลวงโออ้ วดเจา้ เล่ห์
มาด้วยกัน คอื
มายา กุเฏณฑุ เวเฏณฑุ กุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วฏิ ู ๑
วิฏู จะ วฏิ โุ ต สะหะ,
วิฏตุ ะ ๑
จนั ทะโน กามะเสฏโฐ จะ จนั ทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑
กนิ นุฆัณฑุ นิฆณั ฑุ จะ, กินนฆุ ณั ฑุ ๑ นิฆณั ฑุ ๑
ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ ปนาทะ ๑ โอปมญั ญะ ๑
เทวะสโู ต จะ มาตะล,ิ เทวะสูตะ ๑ มาตลิ ๑
จติ ตะเสโน จะ คนั ธัพโพ จิตตเสนะ ๑ คนั ธัพพะ ๑
นะโฬราชา ชะโนสะโภ, นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑
165 ที่พักสงฆจ์ นั ทรังษี
อาคู ปญั จะสิโข เจวะ ปญั จสขิ ะ ๑ ตมิ พรู ๑ สรุ ยิ วจั ฉสา ๑
ตมิ พะรู สรุ ยิ ะวัจฉะสา, ก็มาท้ังนั้น
เอเต จัญเญ จะ ราชาโน คนั ธรรพราชาทงั้ หลายเหลา่ นนั้ และ
คันธัพพา สะหะ ราชภุ ิ, เหลา่ อ่นื , กับดว้ ยเทวราชท้ังหลาย
โมทะมานา อะภิกกามงุ ยนิ ดีมงุ่ มาสูป่ ่ามหาวัน,
ภกิ ขูนัง สะมติ ิง วะนงั . เปน็ ทป่ี ระชมุ แหง่ ภิกษทุ ั้งหลาย
อะถาคู นาภะสา นาคา อน่ึง นาคท้งั หลายอยใู่ นสระ
เวสาลา สะหะตจั ฉะกา, ชอื่ นาสภะบา้ ง, อย่ใู นเมอื งเวสาล ี
บ้าง, กบั ด้วยบรษิ ทั แห่ง
ตจั ฉกนาคราช ก็มา
กัมพะลสั สะตะรา อาคู กมั พลนาคและอัสสตรนาคก็มา,
ปายาคา สะหะ ญาตภิ ิ, นาคผอู้ ยใู่ นปา่ ชื่อปายาคะ,
กบั ดว้ ยญาตทิ ัง้ หลาย กม็ า
ยามนุ า ธะตะรัฏฐา จะ นาคผ้อู ย่ใู นแมน่ ำ�้ ยมนุ า เกิดใน
อาคู นาคา ยะสัสสโิ น, สกลุ ธตรฐ, ผ้มู ียศบริวาร ก็มา
เอราวัณโณ มะหานาโค เอราวณั เทพบตุ รผู้เปน็ ชา้ งใหญ,่
โสปาคะ สะมติ ิง วะนัง, แมเ้ ขากม็ าสปู่ า่ มหาวนั , เปน็ ทปี่ ระชมุ
แหง่ ภิกษทุ ้ังหลาย
เย นาคะราเช สะหะสา สตั ว์ทวชิ าติเป็นทพิ ย์ มีปีกมตี าอนั
หะรันติ, ทิพพา ทชิ า
ปักขิ วิสทุ ธะจักข,ู บริสุทธ์ิ, คือพญาครฑุ เหลา่ ใด,
น�ำนาคราชไปได้ โดยฉับพลนั
หนงั สือสวดมนต์ 166
เวหายะสา เต วะนะมัชฌะปัตตา จติ ๎รา สปุ ัณณา อิติ
เตสะ นามงั ,
พญาครฑุ เหลา่ นน้ั ไดม้ าโดยอากาศ, ถงึ ทา่ มกลางแหง่ ปา่ มหาวนั , ชอ่ื
ของพญาครฑุ เหลา่ นนั้ ว่า จิตรสุบรรณ
อะภะยันตะทา นาคะราชานะมาสิ, สปุ ัณณะโต
เขมะมะกาสิ พุทโธ,
ในกาลน้นั อภยั ได้มีแลว้ แก่นาคราชทง้ั หลาย, พระพทุ ธเจ้า ไดท้ รง
กระทำ� พญานาค, ให้เกษมจากพญาสบุ รรณ
สัณ๎หาหิ วาจาหิ อปุ ะวะหะยนั ตา, นาคา สุปัณณา
สะระณะมะกงั สุ พทุ ธงั ,
พญานาคกับพญาสุบรรณ, เจรจากันด้วยวาจาไพเราะ, กระท�ำ
พระพุทธเจ้าให้เปน็ สรณะ
ชิตา วะชริ ะหัตเถนะ
พวกอสรู ซงึ่ อยใู่ นสมทุ ร, อนั วชริ หตั ถ์
สะมุททัง อะสรุ า สิตา, คอื พระอนิ ทร์ ได้รบชนะแล้ว
ภาตะโร วาสะวัสเสเต นาคและสุบรรณน้ัน เป็นผู้มีฤทธ์ิ
อิทธมิ นั โต ยะสัสสิโน, มียศ, เคยเป็นพ่นี อ้ งของท้าววาสวะ
คอื พระอนิ ทร์
กาละกัญชา มะหาภิส๎มา พวกกาลกญั ชาอสรู มกี ายใหญพ่ ลิ กึ
อะสุรา ทานะเวฆะสา, กม็ า, พวกทานะเวฆะสาอสูรกม็ า
เวปะจิตติ สจุ ติ ติ จะ เวปจติ ติอสูรกม็ า สุจติ ตอิ สรู ก็มา,
ปะหาราโท นะมจุ ี สะหะ, และปหาราทอสรู กม็ า, นมจุ พี ญามาร
ก็มาดว้ ย
167 ท่ีพกั สงฆ์จันทรังษี
สะตญั จะ พะลิปุตตานงั บตุ รของพลอิ สูร ๑ ร้อย,
สพั เพ เวโรจะนามะกา, มชี ่อื ว่าไพโรจน์ทัง้ หมด
สันนยั หติ ว๎ า พะลิง เสนัง ผูกสอดเครอ่ื งเสนาอนั มกี �ำลงั ,
ราหุภัททะมปุ าคะมุง,
เข้าไปใกล้อสุรนิ ทราหูแล้ว กล่าวว่า
สะมะโยทานิ ภทั ทนั เต ดกู อ่ นทา่ นผเู้ จรญิ บดั นเี้ ปน็ สมยั กาล
ภิกขนู งั สะมิตงิ วะนัง. ทป่ี ระชุมกัน, ดังนีแ้ ลว้ ไดเ้ ข้าไปสปู่ ่
มหาวัน, เปน็ ท่ปี ระชมุ แห่งภกิ ษุ
ทัง้ หลาย
อาโป จะ เทวา ปะฐะว ี เทวดาทั้งหลาย ชื่ออาโปด้วย
จะ เตโช วาโย ตะทาคะมงุ , ชอื่ ปฐวีด้วย, ชอ่ื เตโชด้วย
ชอื่ วาโยดว้ ย กม็ าในกาลนั้น
วะรุณา วารุณา เทวา
เทวดาทง้ั หลาย ช่อื วรุณะด้วย
โสโม จะ ยะสะสา สะหะ, ชือ่ วารุณะดว้ ย, ช่ือโสมะ
และช่อื ยสะ ก็มาดว้ ยกนั
เมตตากะรณุ ากายิกา
เทวดาทง้ั หลาย ผ้บู ังเกดิ แลว้ ,
อาคู เทวา ยะสัสสโิ น, ดว้ ยเมตตาและกรณุ าฌาน,
เป็นผูม้ ียศ ก็มา
ทะเสเต ทะสะธา กายา พวกแหง่ เทวดาทัง้ หลาย ๑๐ เหล่านี,้
สพั เพ นานตั ตะวัณณโิ น, ตั้งอยแู่ ล้วโดยส่วน ๑๐,
ล้วนมีรศั มีตา่ งๆ กันท้ังหมด
อิทธิมันโต ชตุ มิ นั โต
มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ,
วณั ณะวันโต ยะสสั สิโน, มีรัศมี มียศ
หนงั สือสวดมนต์ 168
โมทะมานา อะภกิ กามุง ยนิ ดีมงุ่ มาสู่ป่ามหาวัน,
ภิกขนู งั สะมติ ิง วะนัง. เปน็ ทป่ี ระชมุ แหง่ ภกิ ษุท้ังหลาย
เวณฑู จะ เทวา สะหะล ี เทวดาท้งั หลาย ชือ่ เวณฑูด้วย
จะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา, ช่อื สหลีดว้ ย, ช่ืออสมาดว้ ย
ช่ือยะมะดว้ ย ทงั้ ๒ พวก ก็มา
จันทสั สปู ะนสิ า เทวา
จันทะมาคู ปุรกั ขติ า, เทวดาทั้งหลายผ้อู าศัยพระจันทร,์
สุริยสั สูปะนสิ า เทวา กระท�ำพระจันทร์ไวเ้ บื้องหน้ากม็ า
สรุ ยิ ะมาคู ปุรักขติ า,
นักขัตตานิ ปุรักขิตว๎ า เทวดาทง้ั หลายผ้อู าศยั พระอาทติ ย์,
กระทำ� พระอาทติ ย์ไว้เบ้อื งหน้าก็มา
เทวดาทงั้ หลาย, กระท�ำนกั ษัตรฤกษ์
อาคู มนั ทะพะลาหะกา, ท้งั หลายไว้เบอื้ งหน้ากม็ า,
วะสนู งั วาสะโว เสฏโฐ มนั ทะพะลาหกเทวดาทง้ั หลายก็มา
สักโกปาคะ ปรุ นิ ทะโท, แมท้ ้าวสักกะวาสะวะ ปรุ นิ ทะทะ,
ผปู้ ระเสรฐิ กว่าสุรเทวดาท้งั หลาย
ก็เสด็จมา
ทะเสเต ทะสะธา กายา หมู่แหง่ เทวดาท้ังหลาย ๑๐ เหล่านี้,
สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, ต้ังอยู่แล้วโดยสว่ น ๑๐,
ล้วนมรี ศั มตี า่ งๆ กันทั้งหมด
อทิ ธมิ นั โต ชตุ ิมันโต
วณั ณะวนั โต ยะสสั สโิ น, มฤี ทธ์ิ มอี านภุ าพ,
โมทะมานา อะภิกกามงุ
ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วะนัง. มรี ัศมี มยี ศ
ยนิ ดีมุง่ มาสปู่ า่ มหาวัน,
เป็นท่ีประชุมแหง่ ภิกษทุ ัง้ หลาย
169 ทพ่ี กั สงฆ์จันทรังษี
อะถาคู สะหะภู เทวา อน่ึง เทวดาทง้ั หลาย ชอื่ สหภกู ็มา,
ชะละมคั คสิ ิขาริวะ,
มรี ศั มรี ุ่งเรอื งดุจเปลวประทปี
อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ ชือ่ อริฏฐกะและชือ่ โรชะก็มา,
อมุ มา ปุปผะนิภาสิโน, มีรศั มดี ุจสแี ห่งดอกผักตบ
วะรณุ า สะหะธัมมา จะ ช่ือวรณุ ะ และชื่อสหธรรม,
อัจจตุ า จะ อะเนชะกา, ชื่ออัจจตุ ะ และช่อื อเนชกะ
สุเลยยะรจุ ริ า อาคู
อาคู วาสะวะเนสโิ น, ชื่อสเุ ลยยะรจุ ิระ ก็มา,
ช่ือวาสะวะเนสนิ ะ ก็มา
ทะเสเต ทะสะธา กายา หมู่แหง่ เทวดาทั้งหลาย ๑๐ เหล่าน้,ี
สัพเพ นานัตตะวณั ณโิ น, ต้งั อยแู่ ลว้ โดยสว่ น ๑๐,
ลว้ นมีรัศมีตา่ งๆ กนั ทั้งหมด
อิทธมิ นั โต ชุติมนั โต
มีฤทธิ์ มอี านภุ าพ,
วณั ณะวันโต ยะสสั สโิ น, มรี ัศมี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามุง ยินดมี ุ่งมาสปู่ ่ามหาวนั ,
ภิกขนู งั สะมติ งิ วะนัง. เปน็ ทีป่ ระชุมแห่งภิกษุทงั้ หลาย
สะมานา มะหาสะมานา เทวดาท้ังหลาย ชือ่ สมานะ
มานุสา มานุสุตตะมา, ชอ่ื มหาสมานะ, ชื่อมานสุ ะ
ชื่อมานุสุตตมะ
ขิฑฑาปะทสู กิ า อาคู
อาคู มะโนปะทูสกิ า, ชอื่ ขิฑฑาปทสู ิกะ ก็มา,
ชื่อมโนปทูสิกะ กม็ า
อะถาคู หะระโย เทวา อนงึ่ เทวดาทงั้ หลาย ช่อื หรยะ กม็ า,
เย จะ โลหติ ะวาสโิ น, เทวดาชอ่ื โลหิตะวาสี กม็ า
หนังสอื สวดมนต์ 170
ปาระคา มะหาปาระคา เทวดาทงั้ หลาย ช่อื ปารคะ,
อาคู เทวา ยะสัสสโิ น, ช่อื มหาปารคะ ผมู้ ียศ ก็มา
ทะเสเต ทะสะธา กายา หม่แู หง่ เทวดาทง้ั หลาย ๑๐ เหลา่ น้,ี
สัพเพ นานตั ตะวณั ณโิ น, ตั้งอยแู่ ลว้ โดยสว่ น ๑๐,
ล้วนมรี ศั มตี ่างๆ กันทง้ั หมด
อิทธมิ ันโต ชุตมิ ันโต
มฤี ทธิ มอี านภุ าพ,
วัณณะวนั โต ยะสัสสิโน, มีรศั มี มียศ
โมทะมานา อะภิกกามงุ ยนิ ดีมงุ่ มาสปู่ ่ามหาวัน,
ภกิ ขูนัง สะมิติง วะนัง. เปน็ ท่ปี ระชุมแห่งภกิ ษุทงั้ หลาย
สกุ กา กะรุมห๎ า อะรณุ า เทวดาทง้ั หลาย ช่ือสกุ กะ ชื่อกรุมหะ,
อาคู เวฆะนะสา สะหะ, ชอื่ อรณุ ะ ชอ่ื เวฆะนะสะ กม็ าดว้ ยกนั
โอทาตะคยั ห๎ า ปาโมกขา เทวดาทัง้ หลาย ชอ่ื โอทาตะคยั หะ
อาคู เทวา วิจักขะณา, ผู้เปน็ หวั หนา้ , ชื่อวจิ ักขณะ ก็มา
สะทามัตตา หาระคะชา ช่ือสทามัตตะ ชือ่ หาระคะชะ,
มสิ สะกา จะ ยะสสั สโิ น, และชื่อมสิ สกะ ผมู้ ยี ศ กม็ า
ถะนะยงั อาคา ปะชุนโน ปะชนุ นะเทพบตุ ร ซง่ึ ค�ำรามให้
โย ทสิ า อะภิวัสสะติ, ฝนตก ท่วั ทิศก็มา
ทะเสเต ทะสะธา กายา หมแู่ หง่ เทวดาท้ังหลาย ๑๐ เหลา่ น้,ี
สัพเพ นานตั ตะวัณณิโน, ต้ังอยู่แลว้ โดยสว่ น ๑๐,
ล้วนมรี ัศมตี า่ งๆ กนั ทงั้ หมด
อทิ ธมิ นั โต ชุติมันโต
มีฤทธิ์ มอี านุภาพ,
วณั ณะวนั โต ยะสัสสโิ น, มรี ศั มี มียศ
171 ทพี่ ักสงฆ์จนั ทรังษี
โมทะมานา อะภกิ กามุง ยนิ ดีมงุ่ มาส่ปู ่ามหาวัน,
ภกิ ขูนงั สะมิตงิ วะนัง.
เขมิยา ตสุ ิตา ยามา เป็นท่ปี ระชุมแหง่ ภกิ ษุท้งั หลาย
กัฏฐะกา จะ ยะสัสสโิ น, เทวดาทง้ั หลาย ช่อื เขมิยะ ชือ่ ตสุ ติ ะ,
ลมั พติ ะกา ลามะเสฏฐา ชอื่ ยามะ และชอื่ กฏั ฐกะ ผมู้ ยี ศ กม็ า
โชตนิ ามา จะ อาสะวา, ชอ่ื ลัมพติ ะกะ ชอ่ื ลามะเสฏฐะ,
นิมมานะระติโน อาคู ช่อื โชตนิ ามะ และช่ืออาสวะ
อะถาคู ปะระนมิ มิตา, ชือ่ นมิ มานรดี กม็ า, อนงึ่ เทวดา
ทะเสเต ทะสะธา กายา ท้งั หลาย ชอ่ื ปะระนมิ มิตะ ก็มา
สพั เพ นานตั ตะวัณณโิ น, หมแู่ ห่งเทวดาทงั้ หลาย ๑๐ เหลา่ น,ี้
ตง้ั อยูแ่ ลว้ โดยส่วน ๑๐,
ล้วนมรี ัศมตี า่ งๆ กันท้งั หมด
มีฤทธิ์ มีอานภุ าพ,
อิทธิมันโต ชุติมนั โต มรี ศั มี มยี ศ
วณั ณะวันโต ยะสัสสโิ น, ยินดีมงุ่ มาสปู่ า่ มหาวัน,
โมทะมานา อะภกิ กามุง เป็นทป่ี ระชุมแหง่ ภิกษทุ ง้ั หลาย
ภกิ ขูนัง สะมติ ิง วะนัง. หมู่เทวดาท้ังหลาย ๖๐ นี้,
สฏั เฐเต เทวะนกิ ายา ล้วนมีรัศมตี ่างๆ กันทง้ั หมด
สพั เพ นานตั ตะวณั ณโิ น,
นามนั วะเยนะ อาคญั ฉงุ มาแล้วโดยกำ� หนดชื่อ,
เย จัญเญ สะทิสา สะหะ,
เทวดาทงั้ หลายเหลา่ อื่นนน้ั
ก็มาพรอ้ มกัน, ดว้ ยคิดวา่
หนงั สือสวดมนต์ 172
ปะวตุ ถะชาตมิ กั ขีลงั เราทง้ั หลาย จกั เห็นพระนาคผู้
โอฆะติณณะมะนาสะวัง, ปราศจากชาต,ิ ผ้ไู ม่มกี ิเลสดจุ ตะปู,
ทกั เขโมฆะตะรงั นาคัง ผูม้ ีโอฆะอันขา้ มไดแ้ ล้ว, ผไู้ ม่มี
จันทังวะ อะสติ าติตัง, อาสวะพ้นจากโอฆะ, ผู้ลว่ งกรรมด�ำ
คืออกศุ ลไดแ้ ล้ว, ดจุ พระจันทร์พน้
จากเมฆะพลาหก ฉะนั้น
สุพ๎รหั ๎มา ปะระมตั โต จะ สุพรหมกับปรมตั ตพรหม,
ปุตตา อิทธมิ ะโต สะหะ, ผเู้ ปน็ บุตรของผู้มีฤทธิ์ กม็ าดว้ ย
สนั นงั กมุ าโร ติสโส จะ สันนังกมุ ารพรหมกบั ตสิ สพรหม,
โสปาคะ สะมติ งิ วะนงั , แม้เขากม็ าสูป่ ่ามหาวนั ,
เปน็ ทปี่ ระชุมแหง่ ภิกษุทั้งหลาย
สะหสั สะพ๎รหั ๎มะโลกานงั ท้าวมหาพรหม ยอ่ มปกครอง
มะหาพร๎ ัหม๎ าภิตฏิ ฐะต,ิ พรหมโลกพนั หนึง่
อุปะปนั โน ชตุ ิมนั โต
บงั เกดิ แล้วในพรหมโลก มอี านภุ าพ,
ภิส๎มากาโย ยะสสั สิ โส, มกี ายใหญ่โต มียศ กม็ า
ทะเสตถะ อสิ สะรา อาคู พรหมทง้ั หลาย ๑๐, เปน็ อสิ ระในพวก
ปัจเจกะวะสะวัตตโิ น,
พรหมพันหนึ่งนน้ั กม็ า,
มีอ�ำนาจอันเปน็ ไปต่างๆ กนั
เตสญั จะ มชั ฌะโต อาคา มหาพรหมน้นั ช่อื หารติ ะ อันบริวาร
หาริโต ปะริวารโิ ต,
แวดล้อมแลว้ , มาในท่ามกลางแหง่
พรหมทงั้ หลายเหลา่ นน้ั
173 ทพ่ี กั สงฆจ์ นั ทรงั ษี
เต จะ สัพเพ อะภกิ กนั เต มารเสนา ได้เหน็ พวกเทวดา,
สินเท เทเว สะพ๎รหั ม๎ ะเก, พรอ้ มด้วยพระอนิ ทร์ พระพรหม,
มาระเสนา อะภิกกามิ ทง้ั หมดนน้ั ก็มาดว้ ย, แลว้ กลา่ วว่า
ปสั สะ กัณห๎ ัสสะ มันทยิ ัง, ทา่ นจงดคู วามเขลาของพวกข้าศึก
เอถะ คัณ๎หะถะ พนั ธะถะ พญามารจึงกลา่ ววา่ , ทา่ นทั้งหลาย
ราเคนะ พนั ธะมตั ถุ โว, จงมาจบั พวกเทวดาเหลา่ นี้ผูกไว้,
ความผกู ด้วยราคะ จงมแี กท่ ่าน
ท้งั หลาย
สะมันตา ปะริวาเรถะ
ทา่ นท้งั หลาย จงแวดลอ้ มไวโ้ ดยรอบ,
มา โว มญุ จิตถะ โกจิ นงั , ท่านท้ังหลาย อย่าปล่อยใครๆ ไป
อติ ิ ตตั ถะ มะหาเสโน พญามาร บงั คับเสนามาร,
กณั ห๎ ะเสนงั อะเปสะยิ, ในที่ประชมุ นน้ั ดงั น้ี
ปาณินา ตะละมาหัจจะ แลว้ ตบพนื้ แผ่นดินด้วยฝ่ามอื ,
สะรัง กตั ว๎ านะ เภระวัง, กระทำ� เสียงนา่ กลัว
ยะถา ปาวสุ สะโก เมโฆ เหมือนมหาเมฆยงั ฝนใหต้ ก,
ถะนะยันโต สะวชิ ชุโก, คำ� รามอยู่ เปน็ ไปกับด้วยฟา้ แลบ
ตะทา โส ปจั จุทาวัตติ ในกาลนนั้ พญามารนนั้ , ไมย่ งั ใครใหเ้ ปน็
สังกุทโธ อะสะยงั วะเส, ไปในอำ� นาจ, กลบั เกดิ ความรสู้ กึ เสยี ใจ
ตญั จะ สัพพงั อะภญิ ญายะ พระศาสดาผู้มีดวงตา, พิจารณาแลว้
วะวกั ขติ ว๎ านะ จักขมุ า, ทราบเหตนุ น้ั ทง้ั สนิ้ , แตน่ น้ั จงึ ตรสั เรยี ก
ตะโต อามันตะยิ สัตถา ซ่งึ พระสาวกท้ังหลาย, ผู้ยนิ ดีแล้วใน
สาวะเก สาสะเน ระเต, พระศาสนาว่า
หนังสอื สวดมนต์ 174
มาระเสนา อะภิกกันตา ภิกษุท้งั หลาย มารเสนามาแลว้ ,
เต วชิ านาถะ ภิกขะโว, ทา่ นท้ังหลาย จงรจู้ กั เขา
เต จะ อาตัปปะมะกะรงุ ภกิ ษเุ หล่านนั้ สดบั พทุ ธศาสน์แล้ว,
สุต๎วา พทุ ธสั สะ สาสะนัง, ได้กระท�ำความเพยี ร,
เจรญิ ทิพยจ์ กั ษุญาณเห็นแลว้
มารเสนา ไดห้ ลกี ไปจากภกิ ษทุ ง้ั หลาย,
ผู้ปราศจากราคะ,
วตี ะราเคหิ ปักกามุง ไม่ยงั แม้โลมชาติของทา่ นใหไ้ หวได้
เนสงั โลมัมปิ อิญชะยงุ , พญามารกลา่ วสรรเสรญิ วา่ , พระสาวก
ทง้ั หลายของพระพทุ ธองค์ทง้ั หมด,
มสี งครามชนะแล้ว ล่วงความกลวั
เสียได้, มียศปรากฏแลว้ ใน
สัพเพ วชิ ติ ะสังคามา ประชมุ ชน, บนั เทงิ อย่ดู ว้ ยกบั ความ
ภะยาตีตา ยะสสั สโิ น, เปน็ พระอริยะ, บงั เกดิ ขึ้นแล้วใน
โมทนั ติ สะหะ ภูเตหิ ศาสนา ดงั นีแ้ ล
สาวะกา เต ชะเนสุตาต.ิ
บคุ คลผทู้ �ำ กรรมช่วั ไว้ หนไี ปแล้วในอากาศ
กไ็ ม่พึงพน้ จากกรรมชั่วได,้ หนไี ปในท่ามกลางมหาสมทุ ร
ก็ไมพ่ ึงพ้นจากกรรมชั่วได,้ หนเี ขา้ ไปสซู่ อกภูเขา
ก็ไมพ่ งึ พน้ จากกรรมชว่ั ได้, (เพราะ) เขาอยูแ่ ลว้
ในประเทศแหง่ แผน่ ดินใด พงึ พ้นจากกรรมช่วั ได้,
ประเทศแหง่ แผ่นดินนน้ั หามีอยู่ไม่.
175 ทพ่ี กั สงฆ์จนั ทรังษี
ธมั มะนยิ ามะสตุ ตงั
ประวตั ิ
สมัยหน่ึง พระพทุ ธเจ้า ผ้ทู รงไว้ซึง่ พระมหากรณุ าธคิ ุณ ประทบั อยู่ท่วี ัด
เชตวันวิหาร คร้ังนั้น พระพทุ ธองค์ตรัสเรยี กพระภกิ ษทุ ัง้ หลายมาเข้าเฝา้ เมอ่ื
ภกิ ษุทัง้ หลายรบั ทราบไดเ้ ข้าเฝา้ พระพทุ ธองคไ์ ด้ตรัสธรรมนิยาม ดงั ต่อไปนี้
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทงั้ ทพ่ี ระตถาคต คอื พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย จกั เกดิ ขน้ึ หรอื ไม่
ก็ตาม ธาตุ คือ ส่ิงทรงตวั เองอย่ไู ดอ้ ันน้นั ดำ� รงอย่ไู ด้โดยธรรมดาของมันอย่าง
นนั้ สงิ่ ทถ่ี กู กำ� หนดมาตามธรรมดาของมนั วา่ จะเปน็ อยา่ งนน้ั พระพทุ ธองคผ์ ทู้ รง
เปน็ ตถาคต ตรสั รธู้ าตนุ น้ั ทรงรแู้ จง้ ดว้ ยพระปญั ญาอนั ยงิ่ เปน็ สงิ่ ทไี่ มเ่ คยมใี ครรู้
มากอ่ นวา่ “สงั ขารทง้ั หลายทง้ั ปวงไมเ่ ทย่ี ง สงั ขารทงั้ หลายทงั้ ปวงเปน็ ทกุ ข์ ธรรม
ทงั้ หลายทงั้ ปวงเปน็ อนตั ตา” ครน้ั ไดต้ รสั รแู้ ลว้ ไดห้ ยงั่ รแู้ ลว้ จงึ นำ� มาบอกกลา่ ว
นำ� มาแสดง บญั ญัตติ ั้งไว้เปิดเผยใหท้ ราบ จ�ำแนกแยกแยะ ท�ำใหเ้ ขา้ ใจง่ายว่า
“สังขารท้งั หลายท้งั ปวงไม่เท่ยี ง สงั ขารทง้ั หลายทั้งปวงเปน็ ทกุ ข์ ธรรมท้ังหลาย
ทั้งปวงเปน็ อนัตตา”
ครนั้ พระพทุ ธองคผ์ ทู้ รงไวซ้ งึ่ พระมหากรณุ าธคิ ณุ ไดต้ รสั แสดงดงั กลา่ วมานี้
ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหลา่ นนั้ มคี วามซาบซงึ้ ยนิ ดเี พลดิ เพลนิ ในพระธรรมทพี่ ระพทุ ธองค์
ทรงแสดง
ถึงจะท่องจ�ำ ตำ�ราได้น้อย แต่ประพฤติชอบธรรม
ละราคะ โทสะ และโมหะได้
รแู้ จ้งเห็นจรงิ มจี ิตหลดุ พน้ ไม่ยึดม่ันถือมน่ั
ท้ังปัจจุบันและอนาคต
เขายอ่ มได้รับผลทีพ่ ึงได้จากการบวช
หนังสือสวดมนต์ 176
ธมั มะนยิ ามะสุตตัง
เอวัมเม สุตงั , อันขา้ พเจา้ (คอื พระอานนท)์
ได้สดับมาแลว้ อยา่ งนี้
เอกัง สะมะยงั ภะคะวา, สมัยหนงึ่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้
สาวัตถิยงั วิหะระติ, เสดจ็ ประทับอยใู่ กล้เมืองสาวตั ถี
เชตะวะเน อะนาถะปณิ ฑิกัสสะ, อาราเม,
ณ วดั เชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี
ตัตร๎ ะ โข ภะคะวา ภกิ ขู ในกาลคร้ังนัน้ , พระผู้มพี ระภาคเจ้า
อามันเตสิ ภิกขะโวต,ิ ไดต้ รัสเตอื นภกิ ษทุ ง้ั หลายว่า,
ดกู ่อนภิกษุทงั้ หลาย
ภะทันเตติ เต ภกิ ขู ภกิ ษทุ ั้งหลาย ทูลรบั พระผมู้ ี-
ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. พระภาคเจ้าว่า, พระพทุ ธเจ้าข้า
ภะคะวา เอตะทะโวจะ, พระผูม้ ีพระภาคเจา้ จงึ มีดำ� รัสวา่
อุปปาทา วา ภกิ ขะเว แม้เราตถาคตจะมาบังเกดิ กต็ าม,
ตะถาคะตานงั อะนปุ ปาทา หรอื ไมบ่ งั เกิดกต็ าม
วา ตะถาคะตานัง,
ฐิตา วะ สา ธาตุ ธมั มฏั ฐติ ะตา ธมั มะนยิ ามะตา.
ธาตสุ งิ่ ทเี่ ปน็ อยแู่ ทน้ นั้ , ตงั้ อยู่ มอี ย,ู่ ปรากฏมอี ยแู่ ลว้ เปน็ ธรรมดาคอื
สพั เพ สงั ขารา อะนจิ จาติ. สังขารเคร่อื งปรงุ แตง่ เป็นรปู นาม
ทงั้ หลายไมเ่ ทีย่ ง
ตัง ตะถาคะโต อะภสิ ัมพุชฌะติ อะภสิ ะเมติ,
เราตถาคตรู้พรอ้ มถงึ ความมีอยูน่ ้ัน
177 ทพี่ ักสงฆจ์ ันทรงั ษี
อะภสิ มั พุชฌติ ว๎ า อะภิสะเมต๎วา อาจกิ ขะติ เทเสติ,
เม่ือรพู้ ร้อม ถึงความมีอยู่และเปน็ ไป
ปญั ญะเปติ ปัฏฐะเปติ, จึงกล่าวแสดงบญั ญตั ิและแต่งตัง้
วิวะระติ วภิ ะชะติ
อุตตานีกะโรติ, จ�ำแนกโดยเปดิ เผยให้เข้าใจวา่
สพั เพ สงั ขารา อะนจิ จาต.ิ สังขารเคร่อื งปรงุ แตง่ เปน็ รปู นาม
ท้งั หลายไม่เทย่ี ง
อุปปาทา วา ภกิ ขะเว แม้เราตถาคตจะมาบงั เกดิ ก็ตาม,
ตะถาคะตานัง อะนปุ ปาทา หรือไม่บงั เกดิ ก็ตาม
วา ตะถาคะตานัง,
ฐิตา วะ สา ธาตุ ธมั มฏั ฐิตะตา ธมั มะนยิ ามะตา,
ธาตสุ งิ่ ทเี่ ปน็ อยแู่ ทน้ นั้ , ตงั้ อยู่ มอี ย,ู่ ปรากฏมอี ยแู่ ลว้ เปน็ ธรรมดาคอื
สัพเพ สังขารา ทุกขาต.ิ สังขารเครื่องปรุงแตง่ เปน็ รูปนาม
ท้งั หลายเป็นทกุ ข์
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ,
เราตถาคตรูพ้ รอ้ มถึงความมอี ย่นู น้ั
อะภสิ ัมพชุ ฌติ ๎วา อะภสิ ะเมต๎วา อาจิกขะติ เทเสต,ิ
เมื่อรพู้ รอ้ ม ถงึ ความมีอยู่และเปน็ ไป
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ, จึงกลา่ วแสดงบัญญัติและแตง่ ตัง้
วิวะระติ วิภะชะติ
อตุ ตานกี ะโรติ, จ�ำแนกโดยเปิดเผยให้เขา้ ใจวา่
สัพเพ สังขารา ทกุ ขาต.ิ สังขารเครือ่ งปรงุ แต่งเปน็ รูปนาม
ทั้งหลายเปน็ ทุกข์
หนังสอื สวดมนต์ 178
อุปปาทา วา ภิกขะเว แมเ้ ราตถาคตจะมาบังเกิดก็ตาม,
ตะถาคะตานงั อะนปุ ปาทา หรอื ไม่บงั เกดิ กต็ าม
วา ตะถาคะตานัง,
ฐติ า วะ สา ธาตุ ธมั มัฏฐติ ะตา ธัมมะนยิ ามะตา,
ธาตสุ ง่ิ ทเี่ ปน็ อยแู่ ทน้ นั้ , ตง้ั อยู่ มอี ย,ู่ ปรากฏมอี ยแู่ ลว้ เปน็ ธรรมดาคอื
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาต.ิ สิ่งท้ังหลายทัง้ ปวงนน้ั ไมใ่ ชต่ ัวตน
ตงั ตะถาคะโต อะภสิ ัมพุชฌะติ อะภสิ ะเมติ.
เราตถาคตรู้พร้อมถงึ ความมีอย่นู น้ั
อะภิสัมพุชฌิตว๎ า อะภสิ ะเมตว๎ า อาจิกขะติ เทเสต,ิ
เมอื่ รู้พร้อม ถงึ ความมอี ยู่ และเป็นไป
ปญั ญะเปติ ปัฏฐะเปติ, จงึ กล่าวแสดงบญั ญตั ิและแต่งต้งั
วิวะระติ วิภะชะติ
อุตตานีกะโรติ, จ�ำแนกโดยเปดิ เผยใหเ้ ขา้ ใจว่า
สัพเพ ธมั มา อะนตั ตาต.ิ ส่งิ ทัง้ หลายทง้ั ปวงนัน้ ไม่ใชต่ ัวตน
อิทะมะโวจะ ภะคะวา, เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดต้ รสั จบลง
อตั ตะมะนา เต ภิกขู ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหล่านน้ั ,
ภะคะวะโต ภาสติ ัง
อะภนิ นั ทนุ ต.ิ มีใจเพลดิ เพลนิ ยนิ ด,ี ในภาษิตของ
พระผูม้ ีพระภาคเจา้ , ดังนี้
ความรจู้ ักพอ เปน็ ทรพั ย์อย่างย่งิ
179 ทพี่ ักสงฆ์จนั ทรงั ษี
มาตกิ า
ธมั มะสงั คณิ มี าตกิ าปาฐะ
• กุสะลา ธมั มา ธรรมท่ีเป็นกุศล กม็ ี
อะกสุ ะลา ธมั มา
อพั ย๎ ากะตา ธมั มา, ธรรมทเ่ี ป็นอกศุ ล กม็ ี
ธรรมทไี่ มเ่ ปน็ ทงั้ กศุ ลและอกศุ ล กม็ ี
• สุขายะ เวทะนายะ ธรรมที่ประกอบด้วย
สัมปะยุตตา ธัมมา
ทกุ ขายะ เวทะนายะ ความรสู้ กึ เปน็ สขุ ก็มี
สัมปะยุตตา ธัมมา ธรรมที่ประกอบดว้ ย
ความรู้สกึ เปน็ ทุกข์ กม็ ี
อะทุกขะมะสุขายะ เวทะนายะ สัมปะยตุ ตา ธัมมา,
ธรรมท่ปี ระกอบด้วยความรู้สกึ ไม่สุขไม่ทุกข์ กม็ ี
• วปิ ากา ธัมมา
วปิ ากะธมั มะธัมมา ธรรมทเ่ี ป็นผล ก็มี
ธรรมทีเ่ ป็นเหตแุ หง่ ผล กม็ ี
เนวะวปิ ากะนะวปิ ากะธมั มะธัมมา,
ธรรมทท่ี ง้ั ไมเ่ ป็นผล, และไมเ่ ป็นเหตุแหง่ ผล ก็มี
• อุปาทนิ นปุ าทานยิ า ธมั มา ธรรมที่ถกู ยดึ มนั่ ,
และเป็นทตี่ ัง้ แห่งความยดึ มนั่ ก็มี
อะนปุ าทนิ นปุ าทานิยา ธมั มา ธรรมทไ่ี มถ่ ูกยดึ มน่ั ,
แตเ่ ปน็ ทต่ี ง้ั แห่งความยดึ ม่นั ก็มี
อะนุปาทินนานปุ าทานยิ า ธรรมที่ท้ังไมถ่ กู ยดึ ม่นั , และ
ธัมมา,
ไมเ่ ป็นท่ตี ั้งแหง่ ความยึดมน่ั กม็ ี
หนังสือสวดมนต์ 180
• สังกิลิฏฐะสงั กิเลสกิ า ธมั มา
ธรรมทเี่ ศรา้ หมอง, และเป็นท่ตี ้ังแหง่ ความเศร้าหมองได้ ก็ม ี
อะสังกลิ ิฏฐะสังกิเลสกิ า ธัมมา
ธรรมท่ีไม่เศร้าหมอง, แตเ่ ป็นทีต่ ้ังแห่งความเศร้าหมองได้ ก็ม ี
อะสังกลิ ิฏฐาสงั กิเลสกิ า ธัมมา,
ธรรมทท่ี ัง้ ไม่เศรา้ หมอง, และไม่เป็นทต่ี ั้งแห่งความเศรา้ หมองได้ กม็ ี
• สะวิตักกะสะวิจารา ธัมมา
ธรรมทม่ี ีวติ ก คอื ความตรึก, และมีวจิ าร คือความตรอง กม็ ี
อะวติ กั กะวิจาระมตั ตา ธมั มา ธรรมทไ่ี มม่ วี ิตก มแี ต่วจิ าร กม็ ี
อะวติ กั กาวิจารา ธัมมา, ธรรมท่ีไมม่ ที ้ังวิตก และวิจาร กม็ ี
• ปีตสิ ะหะคะตา ธมั มา ธรรมที่เปน็ ไปพร้อมกบั
ความเอบิ อิ่มใจ ก็มี
สุขะสะหะคะตา ธมั มา ธรรมทเ่ี ป็นไปพร้อมกบั ความสุข กม็ ี
อุเปกขาสะหะคะตา ธมั มา, ธรรมทีเ่ ป็นไปพร้อมกับ
ความวางเฉย กม็ ี
• ทสั สะเนนะ ปะหาตัพพา ธัมมา
ธรรมที่พึงละดว้ ยทสั สนะ ก็มี
ภาวะนายะ ปะหาตพั พา ธัมมา ธรรมทีพ่ งึ ละด้วยภาวนา ก็มี
เนวะทสั สะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตพั พา ธมั มา,
ธรรมท่ีละมิได้ด้วยท้ังทัสสนะ, และละมิได้ดว้ ยภาวนา กม็ ี
• ทสั สะเนนะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา
ธรรมมีสาเหตุที่พึงละดว้ ยทสั สนะ ก็มี
ภาวะนายะ ปะหาตพั พะเหตุกา ธัมมา
ธรรมมสี าเหตทุ ีพ่ งึ ละดว้ ยภาวนา กม็ ี
181 ที่พกั สงฆจ์ ันทรงั ษี
เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตพั พะเหตุกา ธัมมา,
ธรรมมีสาเหตุท่ีละมิไดด้ ว้ ยท้ังทสั สนะ, และละมไิ ดด้ ว้ ยภาวนา กม็ ี
• อาจะยะคามิโน ธมั มา ธรรมทน่ี �ำไปสูก่ ารสัง่ สม ก็มี
อะปะจะยะคามิโน ธัมมา ธรรมที่นำ� ไปส่คู วามปราศจาก
การส่งั สม ก็มี
เนวาจะยะคามิโน นาปะจะยะคามโิ น ธมั มา,
ธรรมทไ่ี ม่น�ำไปทัง้ ส่กู ารส่ังสม, และสคู่ วามปราศจากการสง่ั สม ก็มี
• เสกขา ธมั มา
ธรรมทเ่ี ป็นของอรยิ บุคคล,
ผู้ยังต้องศกึ ษาอยู่ ก็มี
อะเสกขา ธมั มา
ธรรมทเ่ี ปน็ ของผบู้ รรลอุ รหตั ตผล,
ซง่ึ ไมต่ ้องศกึ ษาแล้ว ก็ม ี
เนวะเสกขานาเสกขา ธัมมา, ธรรมท่ไี ม่เปน็ ทั้งของผู้ยังตอ้ งศกึ ษา,
• ปะริตตา ธัมมา และผู้ไมต่ อ้ งศึกษา ก็มี
มะหคั คะตา ธัมมา
อปั ปะมาณา ธัมมา, ธรรมทม่ี ีถึงสภาวะยังเลก็ นอ้ ย ก็มี
ธรรมทม่ี ถี ึงสภาวะใหญแ่ ล้ว กม็ ี
ธรรมท่มี ีถงึ สภาวะประมาณมิได้ ก็มี
• ปะริตตารมั มะณา ธมั มา ธรรมทม่ี ีสภาวะยงั เล็กนอ้ ย
เปน็ อารมณ์ ก็มี
มะหคั คะตารมั มะณา ธมั มา ธรรมท่ีมสี ภาวะใหญแ่ ลว้
เป็นอารมณ์ ก็มี
อัปปะมาณารมั มะณา ธมั มา, ธรรมทีม่ ีสภาวะอันประมาณมิได้
เปน็ อารมณ์ กม็ ี
• หนี า ธัมมา ธรรมอยา่ งทราม กม็ ี
หนงั สอื สวดมนต์ 182
มัชฌมิ า ธัมมา ธรรมอย่างกลาง กม็ ี
ปะณีตา ธัมมา,
ธรรมอยา่ งประณตี กม็ ี
• มจิ ฉัตตะนยิ ะตา ธัมมา ธรรมทีแ่ น่นอนฝ่ายผิด ก็มี
สัมมตั ตะนิยะตา ธัมมา ธรรมทแ่ี น่นอนฝา่ ยถกู กม็ ี
อะนยิ ะตา ธมั มา,
ธรรมทไ่ี มแ่ น่นอน ก็มี
• มคั คารัมมะณา ธัมมา ธรรมที่มีมรรคเปน็ อารมณ์ กม็ ี
มัคคะเหตกุ า ธมั มา
มัคคาธิปะติโน ธัมมา, ธรรมที่มมี รรคเปน็ เหตุ ก็มี
• อปุ ปันนา ธัมมา ธรรมท่ีมมี รรคเปน็ ประธาน กม็ ี
ธรรมที่เกดิ ขึ้นแล้ว ก็มี
อะนุปปันนา ธัมมา ธรรมทย่ี งั ไมเ่ กิดข้ึน กม็ ี
อุปปาทโิ น ธัมมา,
• อะตีตา ธมั มา ธรรมท่ีจักเกดิ ข้นึ ก็มี
อะนาคะตา ธมั มา ธรรมที่เป็นอดตี กม็ ี
ปจั จปุ ปนั นา ธมั มา, ธรรมที่เปน็ อนาคต กม็ ี
ธรรมทเ่ี ปน็ ปจั จบุ ัน ก็ม ี
• อะตตี ารัมมะณา ธัมมา ธรรมทม่ี ีอดตี เปน็ อารมณ์ ก็มี
อะนาคะตารมั มะณา ธัมมา ธรรมที่มอี นาคตเป็นอารมณ์ ก็ม ี
ปัจจปุ ปันนารมั มะณา ธัมมา, ธรรมที่มปี จั จุบันเป็นอารมณ์ ก็มี
• อัชฌตั ตา ธัมมา
ธรรมภายใน กม็ ี
พะหิทธา ธัมมา ธรรมภายนอก กม็ ี
อัชฌัตตะพะหทิ ธา ธัมมา, ธรรมทง้ั ภายในและภายนอก กม็ ี
• อัชฌตั ตารัมมะณา ธัมมา ธรรมมสี ภาวะภายในเปน็ อารมณ์ กม็ ี
183 ท่ีพักสงฆจ์ นั ทรงั ษี
พะหทิ ธารัมมะณา ธัมมา
ธรรมมสี ภาวะภายนอกเป็นอารมณ์ ก็มี
อชั ฌตั ตะพะหิทธารัมมะณา ธัมมา,
ธรรมมีสภาวะทั้งภายใน และภายนอกเป็นอารมณ์ กม็ ี
• สะนิทัสสะนะสปั ปะฏฆิ า ธัมมา
ธรรมที่เห็นได้ และกระทบได้ กม็ ี
อะนทิ ัสสะนะสปั ปะฏฆิ า ธัมมา
ธรรมทเ่ี หน็ ไม่ได้ แต่กระทบได้ ก็มี
อะนทิ สั สะนาปปะฏฆิ า ธมั มา.
ธรรมท้ังท่เี หน็ ไม่ได้, และกระทบไมไ่ ด้ กม็ ี
ภกิ ษุเห็นแกก่ ารกินดี
ภกิ ษุท้ังหลาย! ในภายภาคหนา้ จะมีภกิ ษุผตู้ ้องการความเอร็ดอร่อยในอาหาร
เมอ่ื เปน็ เช่นนน้ั อยู่ จักเลกิ ร้างจากการเที่ยวบณิ ฑบาต จกั เหนิ ห่างที่นงั่ อนั เปน็
ป่าและปา่ ชัฏอนั เงยี บสงัด จักมัว่ สมุ ชุมนมุ กนั อยู่ ในย่านหมู่บา้ น นคิ ม และ
เมอื งหลวง และจกั แสวงหาสง่ิ อนั ไมส่ มควร หลายแบบหลายวธิ ี เพราะความ
ต้องการความเอรด็ อร่อยในอาหารนัน้ เปน็ เหตุ
ภกิ ษุทัง้ หลาย! น้ี เปน็ ภยั ในอนาคต ทย่ี ังไม่เกิดข้ึนในบดั น้ี แตจ่ กั เกิดขึ้นใน
เวลาตอ่ ไป พวกเธอท้ังหลายพงึ สำ�นกึ ไว้ คร้ันไดส้ �ำ นกึ แลว้ กพ็ งึ พยายาม
กำ�จัดภยั น้นั เสยี .
ปญฺจก. อง.ฺ ๒๒ /๑๒๔ /๘o
หนังสือสวดมนต์ 184
วปิ ัสสะนาภมู ปิ าฐะ
• ปญั จักขันธา, ขนั ธห์ า้ คือ
รปู ักขันโธ, รูปขนั ธ์คือรูปกาย
เวทนากขันโธ,
เวทนาขันธค์ ือความเสวยอารมณ์
ทางกายและทางใจ
สญั ญากขันโธ,
สงั ขารกั ขันโธ, สัญญาขันธค์ ือความจ�ำไดห้ มายรู้
วิญญาณกั ขันโธ. สังขารขนั ธค์ อื ความนึกคิดปรงุ แตง่
วญิ ญาณขนั ธค์ อื ความรแู้ จง้ ในอารมณ์
• ทว๎ าทะสายะตะนานิ. อายตนะท้ังหลายสิบสอง
(คือ อายตนะภายในหก
อายตนะภายนอกหก) ได้แก่
จักขว๎ ายะตะนงั รูปายะตะนงั , อายตนะคือตา, อายตนะคอื รูป
โสตายะตะนัง สทั ทายะตะนัง, อายตนะคอื ห,ู อายตนะคอื เสยี ง
ฆานายะตะนงั คนั ธายะตะนงั , อายตนะคือจมกู ,
อายตนะคือกลนิ่
ชิว๎หายะตะนัง ระสายะตะนัง, อายตนะคอื ลน้ิ , อายตนะคอื รส
กายายะตะนัง โผฏฐัพพายะตะนัง,
อายตนะคอื กาย, อายตนะคือโผฏฐพั พะ (สมั ผสั ทีม่ าถกู ต้องกาย)
มะนายะตะนงั ธัมมายะตะนงั .
อายตนะคอื ใจ, อายตนะคือธรรมารมณ์ (อารมณท์ ี่มาสมั ผสั ใจ)
185 ทีพ่ กั สงฆ์จนั ทรังษี
• อฏั ฐาระสะ ธาตโุ ย.
ธาตทุ ้งั หลายสิบแปด ได้แก่
จักขธุ าตุ รูปะธาตุ จกั ขุวญิ ญาณะธาตุ,
ธาตุคือจักษ,ุ ธาตคุ ือรปู , ธาตุคือจกั ษุวญิ ญาณ (ความรูท้ างตา)
โสตะธาตุ สทั ทะธาตุ โสตะวญิ ญาณะธาตุ,
ธาตคุ อื ห,ู ธาตคุ อื เสียง, ธาตุคือโสตะวิญญาณ (ความรทู้ างห)ู
ฆานะธาตุ คันธะธาตุ ฆานะวญิ ญาณะธาต,ุ
ธาตุคือจมกู , ธาตุคือกลน่ิ , ธาตุคือ ฆานะวิญญาณ (ความร้ทู างจมกู )
ชวิ ห๎ าธาตุ ระสะธาตุ ชิวห๎ าวญิ ญาณะธาต,ุ
ธาตคุ อื ลน้ิ , ธาตุคอื รส, ธาตุคอื ชิวหาวญิ ญาณ (ความรูท้ างล้นิ )
กายะธาตุ โผฏฐัพพะธาตุ กายะวญิ ญาณะธาตุ,
ธาตคุ อื กาย, ธาตคุ อื โผฏฐพั พะ ธาตคุ อื กายะวญิ ญาณ (ความรทู้ างกาย)
มะโนธาตุ ธัมมะธาตุ มะโนวญิ ญาณะธาต.ุ
ธาตคุ ือใจ, ธาตคุ อื ธรรมารมณ,์ ธาตุคือมโนวิญญาณ (ความรูท้ างใจ)
• พาวีสะตนิ ท๎รยิ าน.ิ
อินทรยี ท์ ง้ั หลายย่ีสบิ สอง ได้แก่
จักขนุ ทร๎ ิยงั โสตนิ ท๎รยิ งั ฆานนิ ท๎ริยัง ชิวห๎ ินทร๎ ยิ ัง
กายินทร๎ ยิ งั มะนินท๎ริยัง,
อนิ ทรยี ค์ อื ตา, อนิ ทรยี ค์ อื ห,ู อนิ ทรยี ค์ อื จมกู , อนิ ทรยี ค์ อื ลน้ิ , อนิ ทรยี ์
คือกาย, อนิ ทรีย์คือใจ
อติ ถนิ ท๎รยิ งั ปรุ สิ นิ ท๎รยิ ัง ชีวติ นิ ท๎รยิ ัง,
อินทรียค์ ือหญิง, อนิ ทรยี ค์ อื ชาย อนิ ทรยี ์คอื ชีวิต
สขุ ินทร๎ ยิ ัง ทกุ ขินท๎ริยงั โสมะนสั สนิ ท๎ริยงั
โทมะนัสสนิ ท๎รยิ ัง อุเปกขินท๎รยิ ัง,
หนงั สอื สวดมนต์ 186
อนิ ทรยี ์คือสขุ กาย, อินทรยี ค์ ือทุกข์กาย อินทรยี ์คอื สขุ ใจ, อนิ ทรีย์
คอื ทุกข์ใจ อินทรีย์คือไม่สุขใจ ไม่ทกุ ข์ใจ
สัทธินท๎ริยัง วิริยินท๎ริยัง สะตินท๎ริยัง สะมาธินท๎ริยัง
ปญั ญนิ ทร๎ ยิ งั ,
อินทรยี ค์ อื ศรทั ธา, อินทรยี ์คอื ความเพยี ร, อนิ ทรียค์ อื สติ, อินทรยี ์
คือสมาธ,ิ อนิ ทรยี ค์ อื ปญั ญา
อะนัญญะตญั ญัสสามตี ินทร๎ ิยงั อญั ญินทร๎ ิยงั
อัญญาตาวินท๎ริยงั .
อนิ ทรยี ค์ อื อธั ยาศยั ทมี่ งุ่ บรรลมุ รรคผล อนิ ทรยี ค์ อื การตรสั รสู้ จั จธรรม
อินทรียค์ อื อรหตั ตผลญาณ, ซึ่งเปน็ อนิ ทรยี ์แห่งพระขีณาสพ
• จตั ตาริ อะริยะสัจจานิ.
อริยสัจ ๔ (คอื ความจริงอนั ประเสริฐส่ปี ระการ) ได้แก่
ทุกขัง อะริยะสจั จงั ,
อริยสัจคือทุกข์ ๑
ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสัจจงั ,
อรยิ สัจคือทกุ ขสมุทยั ๑ (เหตุให้เกิดทกุ ข)์
ทุกขะนิโรโธ อะรยิ ะสจั จงั ,
อริยสจั คือทุกขนโิ รธ ๑ (ธรรมเป็นทด่ี ับทกุ ข)์
ทุกขะนโิ รธะคามินี ปะฏปิ ะทา อะริยะสัจจัง.
อรยิ สัจคือทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา ๑
(ขอ้ ปฏิบตั ใิ หถ้ ึงธรรมเปน็ ที่ดับทุกข)์
187 ท่พี ักสงฆจ์ นั ทรังษี
ปะฏิจจะสะมปุ ปาทะปาฐะ
• อะวชิ ชาปจั จะยา สงั ขารา, สงั ขาระปจั จะยา วญิ ญาณงั ,
เพราะอวิชชา เป็นปัจจัยให้เกดิ สังขาร, เพราะสงั ขาร เปน็ ปัจจัยให้
เกดิ วิญญาณ
วิญญาณะปัจจะยา นามะรปู ัง, นามะรูปะปจั จะยา
สะฬายะตะนงั ,
เพราะวญิ ญาณ เปน็ ปัจจัยให้เกดิ นามรปู , เพราะนามรปู เป็นปัจจยั
ใหเ้ กิดสฬายตนะ
สะฬายะตะนะปจั จะยา ผสั โส, ผัสสะปัจจะยา เวทะนา,
เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดผัสสะ, เพราะผัสสะ เปน็ ปัจจยั
ให้เกิดเวทนา
เวทะนาปจั จะยา ตณั ๎หา, ตัณ๎หาปัจจะยา อุปาทานงั ,
เพราะเวทนา เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา, เพราะตัณหา เป็นปัจจัยให้
เกดิ อุปาทาน
อปุ าทานะปัจจะยา ภะโว, ภะวะปัจจะยา ชาติ,
เพราะอปุ าทาน เปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ ภพ, เพราะภพ เปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ ชาติ
ชาตปิ ัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทกุ ขะโทมะนสั
สปุ ายาสา สมั ภะวนั ติ.
เพราะชาติ เปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั
อปุ ายาส
เอวะเมตัสสะ เกวะลสั สะ ทกุ ขักขันธสั สะ,
สะมทุ ะโย โหต.ิ
เป็นอันว่า กองทุกข์ทง้ั มวลย่อมเกดิ ขนึ้ , ดว้ ยประการอยา่ งน้ี
หนงั สือสวดมนต์ 188
• อะวชิ ชายะเตว๎ วะ อะเสสะวริ าคะนโิ รธา สงั ขาระนโิ รโธ,
เพราะอวชิ ชาดับสนิทไม่เหลอื , ดว้ ยปราศจากราคะ, สงั ขารจึงดบั
สงั ขาระนโิ รธา วิญญาณะนิโรโธ,
เพราะสงั ขารดบั วิญญาณจงึ ดับ
วญิ ญาณะนโิ รธา นามะรูปะนโิ รโธ,
เพราะวิญญาณดบั นามรูปจงึ ดบั
นามะรปู ะนโิ รธา สะฬายะตะนะนโิ รโธ,
เพราะนามรปู ดับ สฬายตนะจึงดบั
สะฬายะตะนะนโิ รธา ผสั สะนิโรโธ,
เพราะสฬายตนะดับ ผสั สะจงึ ดบั
ผัสสะนโิ รธา เวทะนานิโรโธ, เพราะผัสสะดบั เวทนาจงึ ดบั
เวทะนานโิ รธา ตัณ๎หานิโรโธ, เพราะเวทนาดบั ตณั หาจึงดับ
ตณั ห๎ านิโรธา อปุ าทานะนโิ รโธ, เพราะตณั หาดบั อปุ าทานจงึ ดบั
อปุ าทานะนโิ รธา ภะวะนโิ รโธ, เพราะอุปาทานดับ ภพจงึ ดบั
ภะวะนโิ รธา ชาตนิ โิ รโธ, เพราะภพดบั ชาตจิ ึงดับ
ชาตนิ โิ รธา ชะรามะระณงั โสกะปะริเทวะทกุ ขะโทมะนสั สุ
ปายาสา นิรุชฌนั ติ.
เพราะชาตดิ บั , ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข์ โทมนสั อุปายาส
จงึ ดับ
เอวะเมตสั สะ เกวะลสั สะ ทุกขกั ขันธสั สะ, นโิ รโธ โหต.ิ
เป็นอนั ว่า กองทุกขท์ ้ังมวลยอ่ มดับ, ด้วยประการฉะน้ีแล
189 ท่ีพกั สงฆ์จันทรังษี
พระอภธิ รรม ๗ คัมภรี ์
ประวัติ
ล�ำดับน้ัน สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงพุทธด�ำริว่า “พุทธประเพณีแห่ง
พระพทุ ธเจา้ ในอดตี กาล เมือ่ ท�ำยมกปาฏหิ าริยแ์ ลว้ เสด็จจ�ำพรรษา ณ ที่ใด”
ทรงพจิ ารณาด้วยอตีตงั สญาณ กเ็ ห็นแจง้ ประจกั ษ์วา่ เสด็จจ�ำพรรษาในดาวดงึ ส์
เทวโลก แลว้ ตรสั แสดงอภธิ รรมปฎิ กทงั้ ๗ ปกรณ์ ถวายในไตรมาส เพอ่ื กระทำ�
การสนองคณุ พทุ ธมารดา ทพี่ ระชนนตี ง้ั ไวแ้ ทบบาทมลู พระวปิ สั สสี มั มาสมั พทุ ธ
เจา้ ในอดตี วา่ “ขอใหน้ างไดเ้ ปน็ มารดาของพระบรมครเู หน็ ปานดงั พระพทุ ธองค”์
ความปรารถนาอนั นนั้ กส็ ำ� เรจ็ สมประสงค์ และพระชนนมี พี ระคณุ แกพ่ ระตถาคต
เป็นอนั มาก ยากท่จี ะได้ตอบสนองพระคณุ พระมารดา ทรงจนิ ตนาการดงั นแี้ ลว้
เสดจ็ ลกุ จากรตั นบลั ลงั ก์ ขน้ึ สดู่ าวดงึ สเ์ ทวโลกประทบั นงั่ เหนือกัมพลศิลาอาสน์
ณ ดาวดึงส์เทวโลก
ในกาลนนั้ พระอนิ ทร์ เมอื่ ทอดพระเนตรเหน็ จงึ ประกาศใหเ้ หลา่ ทวยเทพ
ไดท้ ราบทวั่ กนั เทพเจา้ ทงั้ หลายตลอดหมน่ื จกั รวาลไดม้ าประชมุ กนั ถวายนมสั การ
แลว้ ประทบั นง่ั อยโู่ ดยรอบพระพทุ ธองค์ เมอ่ื ไมท่ รงเหน็ พระพทุ ธมารดา จงึ ตรสั
ถามพระอนิ ทร์ พระอนิ ทรจ์ งึ เสดจ็ ไปตามพระสริ มิ หามายาเทพบตุ ร ณ ดสุ ติ เทวโลก
เม่ือพระพุทธมารดา ไดส้ ดับทรงพระปีติปราโมทย์ เสด็จมายงั ดาวดงึ ส์เทวโลก
สสู่ ำ� นักพระบรมครู ถวายนมสั การ ประทบั นงั่ อยเู่ บอ้ื งขวาแหง่ พระผมู้ พี ระภาค
พลางดำ� รวิ า่ “ขา้ พเจา้ นม้ี บี ญุ ยง่ิ นกั มเิ สียทที ่ีอ้มุ ท้องมาไดพ้ ระโอรสอันประเสรฐิ
เหน็ ปานน”้ี สว่ นพระพทุ ธองคม์ พี ระทยั ปรารถนาจะสนองคณุ พระมารดา จงึ ดำ� ริ
วา่ “พระคณุ แหง่ พระมารดาทที่ ำ� ไวแ้ กต่ ถาคตนยี้ ง่ิ ใหญน่ กั สดุ ทจ่ี ะคณานบั ไดว้ า่
กว้างหนาและลึกซ้ึงปานใด และธรรมอันใดจึงจะสมควรที่จะทดแทนพระคุณ
ได้ พระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎกก็ยังน้อยนัก มิเท่าคุณแห่งพระมารดา
เห็นควรแต่พระอภิธรรมปิฎกที่จะพอยกขึ้นชั่งเท่ากันได้” ด�ำริดังน้ีแล้ว กวัก
พระหัตถเ์ รียกพระพุทธมารดาวา่ “ดกู ่อนชนนี มาน่ีเถิดตถาคตจะใชค้ า่ นำ้� นม
หนงั สอื สวดมนต์ 190
ขา้ วปอ้ นของมารดา อันเล้ยี งตถาคตนม้ี าแตอ่ เนกชาติในอดีตภพ” แล้วกระทำ�
พทุ ธมารดาเป็นประธานตรสั อภธิ รรมปฎิ ก ๗ คมั ภรี ์ ใหส้ มควรแกป่ ญั ญาบารมี
มสี งั คณิ ี วภิ งั ค์ ธาตกุ ถา ปคุ คลบญั ญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก และมหาปฏั ฐาน กาลเมอื่
สมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คมั ภรี จ์ บ
ลง องคพ์ ระสิร-ิ มหามายาเทพบุตร พทุ ธมารดา ก็บรรลโุ สดาปตั ติผล ประกอบ
ดว้ ยนยั ๑ พันบรบิ รู ณ์
พระสังคิณี
กสุ ะลา ธมั มา ธรรมทง้ั หลายท่ีเป็นกศุ ล, ใหผ้ ลเปน็ ความสขุ
อะกสุ ะลา ธมั มา ธรรมทั้งหลายท่ีเปน็ อกศุ ล, ให้ผลเป็นความทกุ ข์
อัพย๎ ากะตา ธมั มา, ธรรมทงั้ หลายทเ่ี ปน็ อพั ยากฤต, เปน็ จติ กลางๆ อยู่
กะตะเม ธมั มา กุสะลา, ธรรมเหลา่ ใดเป็นกศุ ล
ยัส๎มงิ สะมะเย ในสมัยใด
กามาวะจะรัง กุสะลงั จิตตัง อปุ ปันนงั โหติ,
โสมะนัสสะสะหะคะตงั ญาณะสัมปะยตุ ตัง,
กามาวจรกศุ ลจติ ทร่ี ว่ มดว้ ยโสมนสั คอื ความยนิ ด,ี ประกอบดว้ ยญาณ
คอื ปญั ญาเกดิ ขน้ึ
รปู ารัมมะณัง วา จะเป็นรูปารมณ์, คือยนิ ดใี นรปู เปน็ อารมณก์ ็ดี
สัททารัมมะณงั วา, จะเปน็ สทั ทารมณ,์ คอื ยนิ ดใี นเสยี งเปน็ อารมณก์ ด็ ี
คันธารัมมะณงั วา จะเปน็ คนั ธารมณ,์ คอื ยนิ ดใี นกลน่ิ เปน็ อารมณก์ ด็ ี
ระสารมั มะณัง วา, จะเปน็ รสารมณ,์ คือยนิ ดีในรสเปน็ อารมณก์ ด็ ี
191 ทีพ่ ักสงฆจ์ นั ทรังษี
โผฏฐพั พารมั มะณงั วา จะเปน็ โผฏฐพั พารมณ,์ คือยินดีในสง่ิ
ที่กระทบถูกต้องกายเป็นอารมณก์ ็ดี
ธัมมารัมมะณงั วา, จะเปน็ ธรรมารมณ,์ คอื ยนิ ดใี นธรรมเปน็ อารมณก์ ด็ ี
ยงั ยัง วา ปะนารพั ภะ, ปรารภอารมณ์ใดๆ ก็ดี
ตสั ม๎ งิ สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหต,ิ
ในสมัยนัน้ ผสั สะและความไมฟ่ ุ้งซ่านยอ่ มมี
เย วา ปะนะ ตัส๎มิง สะมะเย อัญเญปิ อตั ถิ
ปะฏิจจะสะมปุ ปันนา อะรูปโิ น ธมั มา,
อีกอย่างหนง่ึ ในสมยั น้นั ธรรมเหล่าใด, แมอ้ ่นื มีอยเู่ ปน็ ธรรมท่ไี ม่มี
รูป, อาศยั กันและกนั เกดิ ขน้ึ
อิเม ธมั มา กุสะลา. ธรรมเหล่านเี้ ป็นกุศล ให้ผลเปน็ ความสขุ
พระวิภงั ค์
ปัญจกั ขันธา, ขันธ์ห้าคือสว่ นประกอบห้าอย่าง,
ทีร่ วมเขา้ เป็นชีวติ ได้แก่
รูปขันธ์, คือร่างกายนี้ ประกอบด้วยธาตุ ๔
เวทนาขนั ธ์ คือความรสู้ ึกเสวยอารมณ,์
รูปกั ขนั โธ, ที่เปน็ สขุ เปน็ ทกุ ข์ หรือเฉยๆ
เวทะนากขนั โธ, สญั ญาขนั ธ์ คอื ความจำ� ไดห้ มายรใู้ นอารมณ์ ๖
สงั ขารขนั ธ์ คือความคดิ ทป่ี รุงแตง่ จิต,
ใหด้ หี รอื ชั่วหรอื เป็นกลางๆ
สัญญากขนั โธ,
สงั ขารักขนั โธ,
หนังสือสวดมนต์ 192
วิญญาณักขนั โธ, วญิ ญาณขนั ธ์ คอื ความรแู้ จง้ ในอารมณ์
ทางอายตนะท้งั ๖
ตัตถะ กะตะโม รูปักขนั โธ, บรรดาขนั ธท์ งั้ หมด รปู ขนั ธเ์ ปน็ อยา่ งไร
ยงั กิญจิ รูปัง รปู อยา่ งใดอย่างหนงึ่
อะตีตานาคะตะปจั จุปปนั นัง, ทเ่ี ปน็ อดตี อนาคต และปจั จบุ นั
อชั ฌัตตงั วา พะหทิ ธา วา, ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
โอฬารกิ ัง วา สขุ มุ งั วา, หยาบกต็ าม ละเอยี ดก็ตาม
หนี งั วา ปะณตี ัง วา, เลวกต็ าม ประณตี กต็ าม
ยงั ทเู ร วา สนั ตเิ ก วา, อยู่ไกลกต็ าม อยูใ่ กล้ก็ตาม
ตะเทกัชฌัง อะภสิ ญั ญหู ติ ๎วา อะภิสงั ขิปิต๎วา, ย่นกล่าวรวมกนั
อะยัง วจุ จะติ รปู กั ขนั โธ. เรยี กว่ารูปขันธ์
พระธาตุกะถา
สังคะโห อะสังคะโห, การสงเคราะห์ การไมส่ งเคราะห์ คอื
สงั คะหเิ ตนะ อะสังคะหติ ัง, สิง่ ทไี่ ม่สงเคราะห์เข้ากับส่ิง
ท่ีสงเคราะห์แล้ว
อะสงั คะหเิ ตนะ สังคะหติ ัง, สง่ิ ทสี่ งเคราะหเ์ ขา้ กับส่งิ ท่ี
สงเคราะหไ์ ม่ได้
สงั คะหิเตนะ สังคะหิตัง, สิ่งที่สงเคราะห์เขา้ กับสิ่งท่ี
สงเคราะหไ์ ด้
193 ท่ีพักสงฆ์จนั ทรงั ษี