อะสงั คะหิเตนะ อะสงั คะหติ ัง, สง่ิ ทไ่ี ม่สงเคราะห์เขา้ กับสงิ่
ทสี่ งเคราะห์ไมไ่ ด้
สัมปะโยโค วปิ ปะโยโค, การอยดู่ ว้ ยกนั การพลดั พรากกนั คอื
สัมปะยตุ เตนะ วิปปะยตุ ตงั , การพลัดพรากจากสิง่ อันเปน็ ท่รี ัก
วิปปะยตุ เตนะ สมั ปะยตุ ตงั , การประสบกับส่ิงอนั ไมเ่ ปน็ ท่ีรัก
อะสงั คะหติ ัง.
จดั เปน็ สิง่ ทส่ี งเคราะห์ไม่ได้
พระปุคคะละปญั ญัตติ
ฉะ ปัญญัตตโิ ย, บัญญัติ ๖ ประการ, อันบณั ฑติ ผู้รู้
พึงบญั ญตั ิขึน้ คอื
ขนั ธะปญั ญตั ต,ิ การบญั ญัตธิ รรมทเี่ ป็นหมวดหมูก่ นั
เรียกว่าขนั ธ์ มี ๕
อายะตะนะปญั ญตั ติ, การบญั ญัตธิ รรมอันเป็นบอ่ เกิดแหง่ ทกุ ข์
และไม่ทกุ ข,์ เรยี กว่าอายตนะ มี ๑๒
ธาตปุ ัญญัตต,ิ
การบญั ญัติธรรมทท่ี รงตวั อย่เู รียกวา่ ธาตุ
มี ๑๘
สัจจะปัญญตั ติ, การบญั ญตั ธิ รรมทเ่ี ปน็ ของจรงิ เรยี กวา่ สจั จะ
มี ๔, คอื อริยสจั ๔
อินทร๎ ยิ ะปญั ญัตต,ิ การบัญญัติธรรมทเี่ ปน็ ใหญเ่ รียกว่าอนิ ทรีย์
มี ๒๒
ปคุ คะละปญั ญตั ติ, การบญั ญตั จิ ำ� พวกบคุ คลของบคุ คลทงั้ หลาย
หนังสอื สวดมนต์ 194
กิตตาวะตา ปุคคะลานัง บุคคลบญั ญตั ิของบุคคลมีเท่าไร
ปคุ คะละปญั ญตั ต,ิ
สะมะยะวิมุตโต
ผู้พ้นในกาลบางคราว,
อะสะมะยะวิมุตโต, ผู้พน้ อย่างเด็ดขาด
กปุ ปะธมั โม อะกปุ ปะธมั โม, ผูม้ ธี รรมที่ก�ำเริบได้,
ผู้มธี รรมที่กำ� เรบิ ไมไ่ ด้
ปะริหานะธมั โม
อะปะรหิ านะธมั โม, ผมู้ ีธรรมที่เสอื่ มได,้
เจตะนาภพั โพ ผมู้ ธี รรมทเี่ สือ่ มไม่ได้
อะนรุ กั ขะนาภัพโพ, ผมู้ ีธรรมที่ควรแก่เจตนา,
ผู้มธี รรมท่คี วรแก่การรกั ษา
ปุถุชชะโน โคต๎ระภ,ู ผเู้ ป็นปถุ ุชน, ผ้คู ร่อมโคตร
(ผกู้ ้าวสูอ่ รยิ ธรรม)
ภะยูปะระโต อะภะยปู ะระโต, ผู้เว้นช่วั เพราะกลัว,
ผูเ้ ว้นช่ัวไมใ่ ชเ่ พราะกลวั
ภพั พาคะมะโน
อะภัพพาคะมะโน, ผ้คู วรแก่มรรคผลนพิ พาน,
นิยะโต อะนยิ ะโต, ผู้ไม่ควรแก่มรรคผลนพิ พาน
ผู้เท่ยี ง, ผู้ไมเ่ ที่ยง
ปะฏปิ ันนะโก ผะเล ฐิโต ผปู้ ฏิบตั ิอริยมรรค,
ผตู้ ั้งอย่ใู นอริยผล
อะระหา อะระหตั ตายะ ผู้เป็นพระอรหนั ต์,
ปะฏิปันโน.
ผปู้ ฏิบัตเิ พ่ือเปน็ พระอรหันต์
195 ท่พี กั สงฆ์จันทรังษี
พระกะถาวัตถุ
ปคุ คะโล อุปะลัพภะติ, คน้ หาบคุ คลไมไ่ ดใ้ นปรมตั ถ,์
สจั ฉกิ ตั ถะปะระมตั เถนาต.ิ คอื ความหมายอนั แทจ้ ริงหรือ?
อามนั ตา.
ถูกแลว้
โย สจั ฉกิ ตั โถ ปะระมตั โถ, ตะโต โส ปคุ คะโล อปุ ะลพั ภะต,ิ
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ.
ปรมตั ถค์ อื ความหมายอนั แทจ้ รงิ อนั ใดมอี ย,ู่ คน้ หาบคุ คลนน้ั ไมไ่ ดโ้ ดย
ปรมัตถ์, คอื ความหมายอนั แท้จรงิ อนั นัน้ หรอื
นะ เหวงั วัตตัพเพ.
ทา่ นไมค่ วรกล่าวอย่างน้นั
อาชานาหิ นคิ คะหัง หัญจิ, ทา่ นจงร้นู ิคหะ (การขม่ ปราม) เถดิ
ปคุ คะโล อปุ ะลพั ภะต,ิ สัจฉกิ ัตถะปะระมตั เถนะ,
ถา้ ทา่ นคน้ หาบคุ คลไมไ่ ดโ้ ดยปรมตั ถ์ คอื โดยความหมายอนั แทจ้ รงิ แลว้
เตนะ วะตะ เร วตั ตัพเพ, ท่านกค็ วรกลา่ วด้วยเหตุนั้นว่า
โย สจั ฉกิ ตั โถ ปะระมตั โถ, ตะโต โส ปคุ คะโล อปุ ะลพั ภะต,ิ
สจั ฉิกตั ถะปะระมัตเถนาติ, มิจฉา.
ปรมตั ถค์ อื ความหมายอนั แทจ้ รงิ อนั ใดมอี ย,ู่ เราคน้ หาบคุ คลนน้ั ไมไ่ ดโ้ ดย
ปรมัตถ์, คอื โดยความหมายอนั แท้จรงิ น้ัน, อนั นัน้ จงึ ผดิ
คนโง่ คนพาล ไมค่ วรเปน็ ผู้น�ำ
หนงั สอื สวดมนต์ 196
พระยะมะกะ
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, ธรรมบางเหล่าเปน็ กศุ ล
สัพเพ เต กุสะละมูลา, ธรรมเหลา่ นน้ั ทั้งหมดมกี ุศลเปน็ มลู
เย วา ปะนะ กุสะละมูลา, อกี อยา่ งหนง่ึ ธรรมเหลา่ ใดมกี ศุ ลเปน็ มลู
สัพเพ เต ธมั มา กสุ ะลา, ธรรมเหลา่ น้นั ทง้ั หมดกเ็ ป็นกศุ ล
เย เกจิ กสุ ะลา ธมั มา, ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล
สพั เพ เต กสุ ะละมเู ลนะ ธรรมเหลา่ น้นั ทั้งหมด, มีมูล
เอกะมูลา,
อนั เดยี วกับธรรมทีม่ กี ุศลเป็นมูล
เย วา ปะนะ กุสะละมเู ลนะ อกี อย่างหนง่ึ , ธรรมเหลา่ ใดมมี ูล
เอกะมูลา, อันเดียวกับธรรมทีม่ กี ุศลเป็นมลู
สพั เพ เต ธมั มา กุสะลา. ธรรมเหล่านัน้ ทั้งหมดเป็นกศุ ล
พระมะหาปัฏฐาน
เหตปุ ัจจะโย, ธรรมท่ีมีเหตเุ ปน็ ปัจจยั
อารมั มะณะปัจจะโย, ธรรมท่มี อี ารมณเ์ ป็นปัจจัย
อะธปิ ะติปจั จะโย, ธรรมที่มีอธบิ ดีเป็นปัจจยั
อะนนั ตะระปัจจะโย, ธรรมที่มีปัจจยั ไมม่ อี ะไรคนั่ ในระหว่าง
สะมะนันตะระปัจจะโย, ธรรมทม่ี ีปจั จยั มที ี่สุดเสมอกนั
สะหะชาตะปจั จะโย, ธรรมที่เกดิ พร้อมกบั ปัจจัย
197 ทพ่ี ักสงฆ์จนั ทรังษี
อญั ญะมญั ญะปจั จะโย, ธรรมทเ่ี ปน็ ปจั จยั ของกันและกนั
นิสสะยะปัจจะโย, ธรรมที่มนี ิสยั เป็นปัจจัย
อุปะนิสสะยะปัจจะโย, ธรรมที่มีอุปนสิ ยั เปน็ ปจั จัย
ปเุ รชาตะปัจจะโย, ธรรมทม่ี กี ารเกดิ กอ่ นเปน็ ปัจจยั
ปจั ฉาชาตะปจั จะโย, ธรรมที่มกี ารเกดิ ภายหลงั เปน็ ปจั จัย
อาเสวะนะปัจจะโย, ธรรมทม่ี กี ารเสพเป็นปจั จยั
กมั มะปจั จะโย, ธรรมที่มีกรรมเปน็ ปจั จยั
วปิ ากะปัจจะโย, ธรรมที่มวี ิบากเปน็ ปจั จยั
อาหาระปจั จะโย, ธรรมทม่ี อี าหารเป็นปจั จัย
อินท๎รยิ ะปัจจะโย, ธรรมที่มีอินทรียเ์ ป็นปจั จัย
ฌานะปัจจะโย, ธรรมทม่ี ีฌานเป็นปัจจยั
มัคคะปจั จะโย, ธรรมทม่ี ีมรรคเปน็ ปจั จัย
สัมปะยตุ ตะปจั จะโย, ธรรมที่มกี ารประกอบเปน็ ปจั จยั
วปิ ปะยุตตะปจั จะโย, ธรรมที่ไมม่ ีการประกอบเป็นปัจจัย
อัตถิปัจจะโย, ธรรมทมี่ ปี ัจจัย
นตั ถปิ จั จะโย, ธรรมที่ไมม่ ปี จั จัย
วคิ ะตะปจั จะโย, ธรรมทม่ี ีการอยปู่ ราศจากเป็นปัจจัย
อะวคิ ะตะปจั จะโย. ธรรมที่มกี ารอยู่ไมป่ ราศจากเปน็ ปัจจยั
หนังสอื สวดมนต์ 198
บงั สกุ ุลตาย
อะนจิ จา วะตะ สงั ขารา อปุ ปาทะวะยะธมั มโิ น,
สงั ขารท้งั หลายไม่เที่ยงหนอ, มีความเกดิ ข้ึนแลว้ ยอ่ มเสอ่ื มไป
เปน็ ธรรมดา
อปุ ปชั ชิต๎วา นิรุชฌันติ เตสัง วปู ะสะโม สุโข.
เมอื่ เกดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มดบั ไป, ความเขา้ ไปสงบระงบั แหง่ สงั ขารเหลา่ นนั้
ได้, ยอ่ มน�ำมาซึ่งความสุข
สพั เพ สัตตา มะรนั ติ จะ มะริงสุ จะ มะรสิ สะเร,
สัตวท์ งั้ หลายทงั้ ปวง, ทีก่ ำ� ลังตายอยู่เดีย๋ วนี้ก็ดี, ท่ีจกั ตายต่อไปกด็ ี
ตะเถวาหัง มะริสสามิ นตั ถิ เม เอตถะ สังสะโย.
ตัวของเราก็จักตายอย่างน้ันเหมือนกันแล, ความสังสัยในเรื่องตายนี้,
ไม่มีแกเ่ ราเลย
บงั สกุ ุลเปน็
อะจริ งั วะตะยงั กาโย ปะฐะวิง อะธเิ สสสะติ,
ร่างกายนีค้ งไม่นานหนอ, จกั นอนทับซึ่งแผน่ ดนิ
ฉุฑโฑ อะเปตะวญิ ญาโณ นิรัตถงั วะ กะลงิ คะรงั .
คร้นั ปราศจากวิญญาณ อันเขาทิ้งเสียแล้ว, ประดจุ ดังว่าทอ่ นไมแ้ ละ
ท่อนฟนื , หาประโยชนม์ ไิ ด้
199 ท่ีพักสงฆจ์ ันทรงั ษี
คาถาต่างๆ
ภทั เทกะรตั ตะคาถา
อะตีตงั นานวาคะเมยยะ นปั ปะฏกิ งั เข อะนาคะตงั ,
ผมู้ ปี ญั ญาไมค่ วรตามคดิ ถงึ สงิ่ ทล่ี ว่ งไปแลว้ ดว้ ยอาลยั , และไมพ่ งึ พะวง
ถงึ สิง่ ทีย่ ังไม่มาถึง
ยะทะตีตมั ปะหนี ันตงั อปั ปตั ตญั จะ อะนาคะตงั .
สิ่งเป็นอดตี กล็ ะไปแลว้ , สิ่งเป็นอนาคตกย็ ังไมม่ าถึง
ปจั จปุ ปนั นัญจะ โย ธมั มงั ตตั ถะ ตัตถะ วิปัสสะติ,
อะสังหิรงั อะสงั กปุ ปงั ตัง วทิ ธา มะนพุ ร๎ ูหะเย.
ผูใ้ ดเหน็ ธรรมอนั เกิดข้นึ เฉพาะหนา้ ในท่นี น้ั ๆ อยา่ งแจม่ แจง้ ไม่ง่อน
แงน่ คลอนแคลน, เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้
อชั เชวะ กจิ จะมาตัปปัง โก ชญั ญา มะระณงั สเุ ว,
ความเพียรเป็นกจิ ท่ตี ้องทำ� ในวันนี้, ใครพึงจะร้คู วามตาย ในวนั พรุง่ นี้
นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจนุ า.
เพราะการผดั เพ้ียนตอ่ มจั จรุ าชซ่ึงมีเสนามาก, ย่อมไมม่ สี ำ� หรบั เรา
เอวงั วหิ าริมาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตงั ,
ตงั เว ภัทเทกะรัตโตต ิ สันโต อาจิกขะเต มุนตี ิ.
มนุ ผี ู้สงบ ยอ่ มกลา่ วเรียกผูม้ ีความเพยี รอยเู่ ชน่ นัน้ , ไม่เกยี จคร้านทงั้
กลางวัน กลางคืนวา่ , ผเู้ ป็นอยแู่ มเ้ พียงราตรเี ดยี ว ก็น่าชม
หนงั สอื สวดมนต์ 200
ตลิ กั ขะณาทิคาถา
สัพเพ สงั ขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ,
เมื่อใดบุคคลเหน็ ดว้ ยปัญญาวา่ , สงั ขารทัง้ ปวงไมเ่ ท่ียง
อะถะ นพิ พินทะติ ทกุ เข เอสะ มัคโค วสิ ุทธิยา,
เมื่อนนั้ ยอ่ มเหนื่อยหน่ายในส่งิ ทเ่ี ป็นทุกข์ทีต่ นหลง,
นัน่ แหละ เป็นทางแหง่ พระนิพพาน, อนั เปน็ ธรรมหมดจด
สพั เพ สงั ขารา ทกุ ขาติ ยะทา ปญั ญายะ ปสั สะต,ิ
เมือ่ ใดบุคคลเหน็ ด้วยปัญญาว่า, สงั ขารทงั้ ปวงเปน็ ทกุ ข์
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสทุ ธิยา,
เมอื่ นั้น ยอ่ มเหน่อื ยหนา่ ยในสิ่งท่ีเปน็ ทุกข์ท่ตี นหลง,
นัน่ แหละ เปน็ ทางแห่งพระนพิ พาน, อนั เปน็ ธรรมหมดจด
สพั เพ ธัมมา อะนตั ตาติ ยะทา ปญั ญายะ ปสั สะต,ิ
เมอ่ื ใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
อะถะ นิพพินทะติ ทกุ เข เอสะ มคั โค วสิ ุทธิยา,
เมื่อนน้ั ย่อมเหนื่อยหนา่ ยในสิ่งท่เี ป็นทกุ ข์ทตี่ นหลง,
นั่นแหละ เป็นทางแหง่ พระนพิ พาน, อนั เปน็ ธรรมหมดจด
อปั ปะกา เต มะนุสเสส ุ เย ชะนา ปาระคามโิ น,
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย, ผูท้ ี่ถงึ ฝ่ังแหง่ พระนิพพานมนี อ้ ยนัก
อะถายัง อติ ะรา ปะชา ตีระเมวานธุ าวะต,ิ
หมู่มนุษย์นอกน้นั ยอ่ มวิ่งเลาะอยู่ตามฝงั่ ในน่เี อง
เย จะ โข สัมมะทกั ขาเต ธัมเม ธัมมานวุ ัตตโิ น,
ก็ชนเหล่าใด ประพฤติสมควรแก่ธรรม, ในธรรมทต่ี รสั ไวช้ อบแล้ว
201 ท่ีพกั สงฆจ์ ันทรังษี
เต ชะนา ปาระเมสสันต ิ มัจจุเธยยัง สทุ ตุ ตะรงั ,
ชนเหลา่ นน้ั จกั ถงึ ฝ่งั แหง่ พระนพิ พาน, ขา้ มพ้นบ่วงแหง่ มัจจุราช
ทีข่ า้ มได้ยากนกั
กณั ๎หัง ธมั มัง วิปปะหายะ สกุ กัง ภาเวถะ ปณั ฑิโต,
จงเปน็ บัณฑติ ละธรรมด�ำเสีย แล้วเจริญธรรมขาว
โอกา อะโนกะมาคัมมะ วเิ วเก ยัตถะ ทูระมัง,
ตตั ๎ราภิระติมจิ เฉยยะ หิตว๎ า กาเม อะกญิ จะโน,
จงมาถึงในทีไ่ ม่มนี ้�ำ จากที่มีนำ�้ , จงละกามเสยี เป็นผไู้ มม่ ี
ความกังวล, จงยนิ ดีเฉพาะต่อพระนพิ พาน, อันเปน็ ทีส่ งัด
ซ่งึ สัตวย์ ินดไี ด้โดยยาก
ปะรโิ ยทะเปยยะ อตั ตานงั จติ ตกั ๎เลเสหิ ปณั ฑิโต,
บณั ฑติ ควรยงั ตนให้ผอ่ งแผว้ , จากเครอื่ งเศร้าหมองแห่งจติ ท้งั หลาย
เยสัง สมั โพธิยังเคส ุ สัมมา จติ ตัง สภุ าวติ ัง,
จิตอันบณั ฑติ ทั้งหลายเหลา่ ใด, อบรมดีแลว้ โดยถูกตอ้ ง,
ในองค์เป็นเหตุตรสั รทู้ ้งั หลาย
อาทานะปะฏนิ ิสสคั เค อะนปุ าทายะ เย ระตา,
บัณฑติ ทัง้ หลายเหลา่ ใดไมถ่ ือมน่ั , ยินดแี ลว้ ในอันสละความยึดถอื
ขีณาสะวา ชุตมิ นั โต เต โลเก ปะรินพิ พตุ าติ.
บัณฑติ ทัง้ หลายเหล่าน้ัน ยอ่ มเปน็ ผู้ไม่มอี าสวะ,
มคี วามโพลงดับสนทิ ในโลก, ดงั นี้แล
นตถฺ ิ โลเก อนนิ ฺทโิ ต (ผไู้ ม่ถูกนนิ ทา ไมม่ ใี นโลก)
หนงั สอื สวดมนต์ 202
ธัมมุทเทส ๔
อุปะนียะติ โลโก, โลกคือหม่สู ัตวอ์ นั ชราน�ำไป
อทั ธุโว,
อะตาโณ โลโก, ไม่มีความยง่ั ยนื
โลกไมม่ ีผตู้ ่อตา้ น
อะนะภสิ สะโร,
อัสสะโก โลโก, ไมม่ ใี ครเป็นผยู้ ง่ิ ใหญ่
โลกไม่มีอะไรเปน็ ของๆ ตน
สัพพงั ปะหายะ คะมะนียงั , จำ� ต้องละท้งิ ส่งิ ทง้ั ส้นิ แลว้ ตอ้ งไป
อูโน โลโก, โลกยังพร่องอยู่
อะตติ โต,
ตณั ห๎ า ทาโส. เปน็ ผูไ้ ม่อิม่ ไม่เบ่ือ
จงึ ต้องตกเปน็ ทาสของตณั หา
ภาระสุตตะคาถา
ภารา หะเว ปญั จักขันธา, ขนั ธ์ทงั้ ห้า เปน็ ของหนกั แล
ภาระหาโร จะ ปคุ คะโล, กบ็ คุ คลเปน็ ผแู้ บกของหนกั พาไป
ภาราทานงั ทกุ ขงั โลเก, การแบกถอื ของหนัก
เปน็ ความทกุ ข์ในโลก
ภาระนกิ เขปะนงั สุขัง, การสลดั ของหนกั ท้ิงลงเสีย
เปน็ ความสขุ
นกิ ขิปติ ว๎ า คะรงุ ภารงั ,
พระอรยิ เจ้า สลัดทง้ิ ของหนัก
ลงเสียแล้ว
203 ทพ่ี กั สงฆจ์ ันทรังษี
อญั ญัง ภารงั อะนาทิยะ, ทัง้ ไมห่ ยิบฉวยของหนักอันอ่นื
ข้ึนมาอกี
เป็นผู้ถอนตณั หาพร้อมท้ังราก
ไดแ้ ลว้
สะมลู งั ตัณห๎ งั อัพพุย๎หะ, เปน็ ผู้หมดความปรารถนาแล้ว,
ดบั สนทิ ไมม่ สี ว่ นเหลอื ปรนิ พิ พาน
นจิ ฉาโต ปะรินพิ พุโตต.ิ
สลี ุทเทสะปาฐะ
ภาสิตะมิทงั เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปสั สะตา
อะระหะตา สัมมาสมั พุทเธนะ,
สมเด็จพระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็น, ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองคน์ ัน้ , ได้ทรงภาษติ ไว้ดังนวี้ ่า
สมั ปันนะสลี า ภกิ ขะเว วหิ ะระถะ
สัมปันนะปาฏิโมกขา,
ภิกษทุ งั้ หลาย ทา่ นทั้งหลายจงเปน็ ผมู้ ศี ลี ถึงพรอ้ มแล้ว, มปี าฏโิ มกข์
ถงึ พรอ้ มแลว้ อยเู่ ถิด
ปาฏโิ มกขะสงั วะระสงั วุตา วิหะระถะ
อาจาระโคจะระสัมปันนา,
ทา่ นทง้ั หลายจงเปน็ ผสู้ ำ� รวมแลว้ , ดว้ ยความสำ� รวมในพระปาฏโิ มกข,์
มีอาจาระคอื มารยาท มโี คจระคอื ที่เที่ยว, ถงึ พร้อมแลว้ อยเู่ ถิด
อะณุมตั เตสุ วัชเชสุ ภะยะทสั สาวี สะมาทายะ สิกขะถะ
สกิ ขาปะเทสูติ,
หนังสอื สวดมนต์ 204
พวกท่านจงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลาย, มาตรว่าเล็กน้อย,
สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททัง้ หลายเถิด
ตัสม๎ าตหิ ัม๎เหหิ สกิ ขติ พั พัง,
เพราะฉะนน้ั อนั เราทงั้ หลายควรสำ� เหนยี กดังนวี้ ่า
สัมปนั นะสลี า วิหะรสิ สามะ สมั ปนั นะปาฏโิ มกขา,
เราทง้ั หลาย จกั เป็นผมู้ ีศีลถึงพรอ้ มแล้ว, มปี าฏโิ มกข์ถงึ พร้อมแล้ว
ปาฏโิ มกขะสังวะระสังวตุ า วิหะรสิ สามะ อาจาระโคจะระ
สัมปนั นา,
เราทงั้ หลายจกั เป็นผ้สู �ำรวมแล้ว, ด้วยความสำ� รวมในพระปาฏิโมกข,์
มีอาจาระคอื มารยาท มีโคจระคือท่ีเทยี่ ว, ถงึ พร้อมแล้ว อยู่เถดิ
อะณุมัตเตสุ วชั เชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขิสสา
มะ สกิ ขาปะเทสตู ิ,
เราทง้ั หลาย จกั เปน็ ผมู้ ปี กตเิ หน็ ภยั ในโทษทงั้ หลาย, มาตรวา่ เลก็ นอ้ ย,
สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททงั้ หลายดงั นี้
เอวัญหิ โน สกิ ขิตัพพงั .
อนั เราทง้ั หลาย ควรสำ� เหนยี กอยา่ งนี้แล
ตายะนะคาถา
ฉินทะ โสตัง ปะรกั กมั มะ กาเม ปะนทู ะ พร๎ าหม๎ ะณะ,
ท่านจงพยายามตัดตณั หา เพียงดังกระแสน�ำ้ เสีย, จงถา่ ยถอนกามทง้ั
หลายเสียเถดิ นะพราหมณ์
นปั ปะหายะ มนุ ิ กาเม เนกัตตะมปุ ะปัชชะติ,
เพราะพระมนุ ไี มล่ ะกามทง้ั หลายแลว้ , จะเขา้ ถงึ ความเปน็ คนผเู้ ดยี วไมไ่ ด้
205 ท่ีพักสงฆ์จนั ทรงั ษี
กะยิรา เจ กะยิราเถนัง ทฬั ๎หะเมนัง ปะรักกะเม,
ถา้ จะทำ� ก็พึงทำ� กจิ น้นั เถิด, แตพ่ งึ บากบั่นท�ำกจิ นน้ั ให้จริง
สถิ โิ ล หิ ปะริพพาโช ภิยโย อากริ ะเต ระชงั ,
เพราะสมณธรรมเครือ่ งละเวน้ ทีย่ อ่ หยอ่ น, ย่ิงโปรยโทษดุจธลุ ี
อะกะตงั ทุกกะฏัง เสยโย ปจั ฉา ตัปปะติ ทกุ กะฏัง,
ความชวั่ ไมท่ ำ� เสยี เลยดกี วา่ , เพราะทำ� แลว้ ยอ่ มเดอื ดรอ้ นในภายหลงั
กะตัญจะ สุกะตงั เสยโย ยงั กตั ๎วา นานุตัปปะต,ิ
ทำ� ความดนี น้ั แหละดกี วา่ , เพราะทำ� แลว้ ยอ่ มไมเ่ ดอื ดรอ้ นในภายหลงั
กโุ ส ยะถา ทุคคะหโิ ต หัตถะเมวานุกนั ตะติ,
หญา้ คาท่ีบุคคลจบั ไมด่ ี ย่อมบาดมือตนเองฉันใด
สามญั ญัง ทุปปะรามตั ถงั นริ ะยายูปะกฑั ฒะต,ิ
ความเปน็ สมณะ อนั บรรพชติ รกั ษาไม่ดี, ยอ่ มฉุดไปนรกฉนั นนั้
ยังกิญจิ สิถิลัง กมั มัง สงั กลิ ิฏฐญั จะ ยงั วะตัง,
การงานอันใดอันหนึ่งท่ีย่อหย่อนด้วย, ความประพฤติอันใดที่เศร้า
หมองแล้วด้วย
สังกสั สะรงั พร๎ หั ๎มะจะรยิ ัง นะ ตัง โหติ มะหัปผะลนั ติ.
พรหมจรรย์อันใดท่ีตนระลึกด้วยความรังเกียจ, กิจสามอย่างนั้น ย่อม
เป็นของไม่มีผลมาก, ดังน้ี
ผไู้ มม่ ีศีล ไมม่ ัน่ คง ถงึ จะเปน็ อย่ตู ้ังรอ้ ยปี
สว่ นผมู้ ีศีล เพ่งพนิ จิ มีชวี ิตอยวู่ นั เดยี วประเสริฐกว่า
หนงั สือสวดมนต์ 206
โอวาทะปาฏิโมกขาทปิ าฐะ
ประวตั ิ
โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นค�ำสอนหัวใจของพระพุทธศาสนา มีพระพุทธพจน์ ๓
คาถากงึ่ คอื การไมท่ ำ� ความชวั่ ทงั้ ปวง ๑ การบำ� เพญ็ แตค่ วามดี ๑ การทำ� จติ ของตน
ใหผ้ อ่ งใส ๑ ในการประชมุ สงฆ์ ณ วดั เวฬวุ นั มหาวหิ ารทเ่ี รยี กวา่ จาตรุ งคสนั นบิ าต
เช่นนี้มีครั้งเดียว คือในปีแรกหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน
อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี เปน็ วนั มาฆะฤกษ,์ ภกิ ษุ ๑,๒๕๐ รปู มาประชมุ กนั
โดยไม่ได้นัดหมาย, ภิกษุท้ังหมดน้ันล้วนเป็นพระอรหันตขีณาสพผู้ได้
อภิญญา ๖, เป็นเอหภิ กิ ขุอุปสมั ปทา (พระพทุ ธเจา้ ทรงบวชให้)
การประชุมครัง้ นั้นเป็นวนั ที่พระสารีบุตรบรรลอุ รหันต์ พระพุทธองคจ์ ึงได้
สถาปนาพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ให้เป็นคู่อัครสาวก ตรัสว่าสาวก
บารมีญาณท้ังสองท่านน้ีได้บ�ำเพ็ญบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว นับด้วยอสงไขย
กำ� ไรแสนมหากัป จากน้ันทรงแสดง โอวาทปาฏโิ มกข์ในท่ามกลางประชมุ สงฆ์
อันมภี กิ ษุ ปรุ าณชฎลิ ๑,๐๐๐ รปู ภกิ ษุบริวารของพระสารีบุตร และ
พระโมคคลั ลานะ อกี ๒๕๐ รูป
อุททิฏฐัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา
อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ. โอวาทะปาฏิโมกขัง ตีหิ
คาถาหิ.
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงยกโอวาทปาฏโิ มกข,์ ขน้ึ แสดงดว้ ยพระคาถา
๓ บท กงึ่ วา่
ขนั ตี ปะระมงั ตะโป ตตี ิกขา,
ขนั ติ คือความอดกล้นั เป็นธรรมเครอื่ งเผากเิ ลสอย่างยงิ่
นิพพานัง ปะระมงั วะทนั ติ พุทธา,
ผู้รทู้ ั้งหลาย กล่าวพระนพิ พานวา่ เป็นธรรมอันยง่ิ
207 ท่ีพกั สงฆจ์ ันทรงั ษี
นะ หิ ปัพพะชโิ ต ปะรูปะฆาต,ี
ผกู้ �ำจดั สัตวอ์ น่ื อยู่ ไมช่ ื่อวา่ เปน็ บรรพชิตเลย
สะมะโณ โหติ ปะรงั วเิ หฐะยันโต.
ผู้ทำ� สตั ว์อนื่ ให้ล�ำบากอยู่ ไมช่ ื่อว่าเปน็ สมณะเลย
สัพพะปาปสั สะ อะกะระณงั การไมท่ �ำบาปทง้ั ปวง,
กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การท�ำกศุ ลใหถ้ ึงพร้อม
สะจติ ตะปะริโยทะปะนัง การช�ำระจิตของตนใหข้ าวรอบ,
เอตงั พุทธานะ สาสะนัง, ธรรม ๓ อย่างน้ี เปน็ คำ� สง่ั สอน
ของพระพทุ ธเจา้ ท้งั หลาย
อะนปู ะวาโท อะนปู ะฆาโต การไมพ่ ดู รา้ ย การไมท่ �ำร้าย,
ปาฏโิ มกเข จะ สังวะโร, การสำ� รวมในปาฏโิ มกข์
มตั ตญั ญุตา จะ ภัตตสั ๎มงิ ความเปน็ ผรู้ ปู้ ระมาณในการบรโิ ภค,
ปนั ตัญจะ สะยะนาสะนงั , การนอน การนงั่ ในทีอ่ นั สงัด
อะธิจิตเต จะ อาโยโค ความหมนั่ ประกอบในการทำ� จติ
เอตัง พุทธานะ สาสะนนั ต.ิ ให้ยงิ่ , ธรรม ๖ อย่างนี้ เปน็ คำ�
ส่ังสอนของพระพุทธเจ้าทง้ั หลาย
เธอจงพิจารณาดูกายน้ี อนั ไม่สะอาด มกี ลนิ่ เหมน็
เบ้ืองบนแตพ่ น้ื เทา้ ขึน้ มา เบื้องตำ่�แตป่ ลายผมลงไป
เมอื่ ทำ�อย่อู ยา่ งนี้ กจ็ ะถอนความก�ำ หนัดยนิ ดีทงั้ ปวง
ถอนความเรา่ ร้อนได้ กจ็ ะเปน็ ผดู้ บั เย็น
หนังสือสวดมนต์ 208
ปัจฉมิ พุทโธวาทปาฐะ
หันทะทานิ ภิกขะเว ดูกอ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, บัดนี้,
อามนั ตะยามิ โว, เราขอเตือนทา่ นทั้งหลายวา่
วะยะธัมมา สงั ขารา, สังขารทง้ั หลายมีความเสอื่ มไป
เปน็ ธรรมดา
ทา่ นท้งั หลายจงท�ำความ
ไมป่ ระมาทให้ถึงพร้อมเถดิ
อปั ปะมาเทนะ สมั ปาเทถะ, นเ้ี ป็นพระวาจามีในครง้ั สุดท้าย
ของพระตถาคตเจ้า
อะยัง ตะถาคะตสั สะ
ปจั ฉิมา วาจา
ธมั มะคาระวาทิคาถา
หันทะ มะยงั ธมั มะคาระวาทคิ าถาโย ภะณามะ เส.
(เชญิ เถดิ เราทงั้ หลาย, จงกลา่ วคาถาแสดงความเคารพพระธรรมเถดิ )
เย จะ อะตีตา สมั พทุ ธา เย จะ พทุ ธา อะนาคะตา,
โย เจตะระหิ สมั พทุ โธ พะหนุ นงั โสกะนาสะโน,
พระพุทธเจา้ บรรดาท่ลี ่วงไปแล้วดว้ ย, ท่ยี งั ไมม่ าตรสั ร้ดู ้วย,
และพระพทุ ธเจ้าผู้ขจดั โศกของมหาชนในกาลบดั นด้ี ้วย
สัพเพ สทั ธมั มะคะรุโน วิหะรงิ สุ วหิ าติ จะ,
อะถาปิ วิหะริสสันติ เอสา พทุ ธานะธัมมะตา,
พระพุทธเจ้าทง้ั ปวงนน้ั , ทกุ พระองค์เคารพพระธรรม,
209 ทพ่ี ักสงฆจ์ นั ทรงั ษี
ได้เป็นมาแลว้ ดว้ ย, ก�ำลังเปน็ อยูด่ ้วย, และจักเป็นอย่ดู ้วย,
เพราะธรรมดาของพระพทุ ธเจา้ ท้ังหลายเป็นเช่นน้นั เอง
ตสั ๎มา หิ อตั ตะกาเมนะ มะหตั ตะมะภิกังขะตา,
สทั ธมั โม คะรุกาตพั โพ สะรัง พุทธานะสาสะนัง,
เพราะฉะนนั้ บคุ คลผรู้ กั ตน, หวงั อยเู่ ฉพาะคณุ เบอ้ื งสงู , เมอ่ื ระลกึ ได้
ถงึ คำ� สงั่ สอนของพระพุทธเจา้ อยู่, จงท�ำความเคารพพระธรรม
นะ หิ ธัมโม อะธัมโม จะ อุโภ สะมะวิปากิโน,
ธรรมและอธรรมจะมผี ลเหมอื นกนั ท้งั สองอย่าง หามิได้
อะธัมโม นิระยงั เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะตงิ ,
อธรรมยอ่ มนำ� ไปนรก, ธรรมย่อมนำ� ไปถงึ สคุ ติ
ธัมโม หะเว รักขะติ ธมั มะจารงิ ,
ธรรมแหละยอ่ มรกั ษาผู้ประพฤติธรรมเป็นนจิ
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ,
ธรรมท่ปี ระพฤติดีแลว้ ยอ่ มนำ� สุขมาใหต้ น
เอสานิสังโส ธัมเม สจุ ิณเณ.
นีเ่ ป็นอานิสงสใ์ นธรรมทต่ี นประพฤตดิ ีแล้ว
“มกี ายอยู่ จงใช้กายนีส้ ร้างบุญกศุ ลคุณความดี
กายน้อี นั หนง่ึ ต้องสญู สิ้น แต่ใจไปหาทอ่ี ย่ใู หม่
ผมู้ ีปัญญาพึงรูว้ ่า ใจนเ้ี รยี กร้องเครอ่ื งรกั ษา
ส่งิ นนั้ คือ การสวดมนต์ ภาวนา”
โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบวั ญาณสัมปันโน
หนงั สือสวดมนต์ 210
อารกั ขะกมั มฏั ฐาน
พทุ ธานุสสะติ เมตตา จะ อะสภุ ัง มะระณัสสะติ,
อิจจิมา จะตรุ ารักขา กาตพั พา จะ วปิ ัสสะนา.
ภาวนาทง้ั ๔ น้ี คือ, พุทธานุสสตริ ะลึกถึงพระคุณพระพทุ ธเจ้า,
เมตตาปรารถนาจะให้เปน็ สุข, อสุภะพจิ ารณากายใหเ้ ป็นของไม่งาม,
มรณัสสติระลึกถึงความตาย, ช่ือว่าจตุรารักษ์และวิปัสสนาอันพึง
บำ� เพ็ญ
วิสุทธะธมั มะสนั ตาโน อะนุตตะรายะ โพธยิ า,
โยคะโต จะ ปะโพธา จะ พทุ โธ พุทโธติ ญายะเต.
พระพทุ ธเจ้ามีพระสนั ดานอันบรบิ รู ณ์, ด้วยพระธรรมอันบริสุทธ,์ิ
อนั สตั วโ์ ลกรอู้ ยวู่ า่ พทุ โธๆ ดงั น,ี้ เพราะพระปญั ญาตรสั รอู้ ยา่ งเยย่ี ม,
เพราะทรงชักโยงหมู่สัตว์ไว้ในธรรมปฏิบัติ, และทรงปลุกใจหมู่สัตว์
ให้ตนื่ อยู่
นะรานะระติรัจฉานะ เภทา สตั ตา สุเขสิโน,
สพั เพปิ สุขิโน โหนตุ สขุ ติ ัตตา จะ เขมโิ น.
สตั ว์ทั้งหลาย, ตา่ งโดยมนษุ ย์ อมนษุ ยแ์ ละดริ จั ฉาน, เปน็ ผ้แู สวงหา
ความสขุ ,
ขอสัตวเ์ หล่านั้นแมท้ ้งั ส้นิ , จงเปน็ ผถู้ งึ ซึ่งความสขุ ,
และเปน็ ผู้เกษมสำ� ราญ ถงึ ซึ่งความสุขเถดิ
เกสะโลมาทิฉะวานงั อะยะเมวะ สะมุสสะโย,
กาโย สพั โพปิ เชคจุ โฉ วณั ณาทิโต ปะฏิกกโุ ล.
กายนแ้ี ล เปน็ ทป่ี ระชุมแห่งซากศพ, มผี ม ขน เปน็ ต้น,
แม้ทงั้ ส้นิ เปน็ ของนา่ เบือ่ หน่าย, เปน็ ปฏิกลู โดยสว่ น มสี ี เปน็ ตน้
211 ท่ีพกั สงฆจ์ ันทรงั ษี
ชวี ิตินทร๎ ิยุปจั เฉทะ- สงั ขาตะมะระณัง สยิ า,
สัพเพสงั ปีธะ ปาณนี งั ตณั หิ ธวุ ัง นะ ชวี ิตงั .
ความตาย กล่าวคือ, ความแตกขาดแห่งชีวติ ินทรีย,์
พงึ มแี ก่สัตวท์ งั้ หลายในโลกนี้, เพราะความตายเปน็ ของเทย่ี ง,
ชีวิตความเปน็ อยู่เป็นของไม่เทีย่ งแล
ปฐมพุทธภาสิตคาถา
ประวตั ิ
เมอื่ พระพทุ ธองค์ทรงตรัสรู้ หมดกิเลสอาสวะทั้งปวง ในเวลากอ่ นรุ่งอรณุ
ทีใ่ ตต้ น้ พระศรีมหาโพธิ์ ริมฝง่ั แมน่ ้�ำเนรัญชรา ตำ� บลอรุ เุ วลา แคว้นมคธ ทรง
เปล่งอุทานเย้ยตัณหาด้วยความเบิกบานพระทัย เป็นพระคาถาว่า “อเนกชา
ตสิ สํ ารํ ......ตณฺหานํ ขยมชฌฺ คา” ตอ่ มาพระอานนท์ทูลถาม จงึ ทรงตรัสเลา่
ให้พระอานนทฟ์ งั อีกคร้งั
หันทะ มะยัง ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถาโย
ภะณามะ เส.
(เชิญเถิด เราท้ังหลาย, จงกล่าวคาถาพุทธภาษิตคร้ังแรกของ
พระพทุ ธเจ้าเถิด)
อะเนกะชาตสิ ังสารัง สันธาวิสสัง อะนพิ พิสงั ,
เม่อื เรายังไมพ่ บญาณ, ไดแ้ ลน่ ท่องเทย่ี วไปในสงสารเป็นอเนกชาติ
คะหะการงั คะเวสันโต ทกุ ขา ชาติ ปนุ ัปปนุ ัง,
แสวงหาอย่ซู ่ึงนายช่างปลูกเรอื น,
คือตณั หาผูส้ รา้ งภพ, การเกดิ ทกุ คราวเปน็ ทุกขร์ ่�ำไป
หนงั สอื สวดมนต์ 212
คะหะการะกะ ทฏิ โฐสิ ปุนะ เคหงั นะ กาหะส,ิ
นี่แนะ่ นายช่างปลูกเรือน, เรารจู้ กั เจา้ เสียแล้ว,
เจา้ จะทำ� เรือนใหเ้ ราไม่ไดอ้ กี ต่อไป
สพั พา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วสิ ังขะตงั ,
โครงเรอื นทง้ั หมดของเจา้ เราหกั เสยี แลว้ , ยอดเรอื นเรากร็ อ้ื เสยี แลว้
วิสงั ขาระคะตงั จิตตงั ตณั ห๎ านงั ขะยะมชั ฌะคา.
จติ ของเราถึงแลว้ , ซ่งึ สภาพทีอ่ ะไรปรุงแตง่ ไม่ได้อีกตอ่ ไป,
มันได้ถงึ แลว้ ซง่ึ ความส้ินไปแห่งตณั หา, คือถึงนิพพาน
พุทธอุทานคาถา
โพธกิ ถา วา่ ด้วยเหตกุ ารณแ์ รกตรัสรู้
ประวตั ิ
เมอื่ พระพทุ ธองคท์ รงตรสั รอู้ นตุ ตรสมั มาสมั โพธญิ าณแลว้ ทรงเสวยวมิ ตุ ติ
สขุ คอื ความสขุ ทเี่ กดิ จากการหลดุ พน้ จากกเิ ลส ทใ่ี ตต้ น้ พระศรมี หาโพธิ์ ใกลฝ้ ง่ั
แมน่ ้ำ� เนรัญชราเปน็ เวลา ๗ วัน ระหวา่ งน้นั ทรงพิจารณาปฏิจจสมปุ บาท ท้งั
แบบตามลำ� ดบั และทวนลำ� ดบั ตลอดชว่ งหวั คำ�่ ตง้ั แตเ่ วลา ๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ น.
(ปฐมยาม) พร้อมกบั ทรงเปล่งอทุ านคาถา สลบั กับพจิ ารณาปฏจิ จสมุปบาทใน
เวลาน้นั ด้วย
ยะทา หะเว ปาตุภะวนั ติ ธัมมา
อาตาปโิ น ฌายะโต พร๎ าห๎มะณสั สะ,
เมอ่ื ใดแล ธรรมท้งั หลาย, ปรากฏแกพ่ ราหมณ์ผู้มคี วามเพียรเพง่ อยู่
213 ทีพ่ ักสงฆจ์ นั ทรังษี
อะถัสสะ กังขา วะปะยันติ สพั พา
ยะโต ปะชานาติ สะเหตธุ ัมมงั .
เม่อื นั้น, ความสงสัยทง้ั ปวงของพราหมณ์นัน้ ย่อมสิน้ ไป,
เพราะมารแู้ จ้งธรรมพรอ้ มทง้ั เหตุ
ยะทา หะเว ปาตภุ ะวันติ ธัมมา
อาตาปิโน ฌายะโต พ๎ราห๎มะณัสสะ,
เม่อื ใดแล ธรรมทงั้ หลาย, ปรากฏแกพ่ ราหมณผ์ ู้มคี วามเพยี รเพ่งอยู่
อะถสั สะ กังขา วะปะยนั ติ สพั พา
ยะโต ขะยัง ปัจจะยานัง อะเวทิ.
เมอ่ื นั้น, ความสงสยั ทงั้ ปวงของพราหมณ์น้ันยอ่ มสิ้นไป,
เพราะไดร้ ูค้ วามสิน้ แหง่ ปจั จยั ทง้ั หลาย
ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธมั มา
อาตาปโิ น ฌายะโต พ๎ราหม๎ ะณสั สะ,
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย, ปรากฏแกพ่ ราหมณ์ผมู้ ีความเพียรเพ่งอยู่
วธิ ูปะยงั ตฏิ ฐะติ มาระเสนงั
สูโรวะ โอภาสะยะมันตะลิกขันต.ิ
เมอื่ นน้ั , พราหมณน์ น้ั ยอ่ มกำ� จดั มารและเสนาเสยี ได,้ ดจุ พระอาทติ ย์
อทุ ัยก�ำจดั ความมดื , และส่องแสงสวา่ งอย่ใู นอากาศ ฉะน้นั
หนังสอื สวดมนต์ 214
พิธีฉนั
ถวายพรพระ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธสั สะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธสั สะ.
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พุทธัสสะ.
ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ น้ั ซง่ึ เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส
เปน็ ผตู้ รัสร้ดู ว้ ยพระองค์เองโดยชอบ
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสมั พทุ โธ, วิชชา-
จะระณะสมั ปนั โน สคุ ะโต โลกะวิท,ู อะนตุ ตะโร ปรุ ิสะ-
ทมั มะสาระถิ สัตถา เทวะมะนสุ สานงั พุทโธ ภะคะวาติ.
เพราะเหตอุ ย่างนๆี้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นัน้ เปน็ ผูไ้ กลจากกิเลส และ
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เปน็ ผู้ไปแลว้ ดว้ ยดี เป็นผู้รโู้ ลกอย่างแจม่ แจง้ เปน็ ผูส้ ามารถฝกึ บรุ ษุ ท่ี
สมควรฝกึ ไดอ้ ยา่ งไมม่ ีใครยงิ่ กวา่ เปน็ ครผู สู้ อนของเทวดาและมนษุ ย์
ทง้ั หลาย เป็นผ้รู ู้ ผู้ตื่น ผู้เบกิ บานดว้ ยธรรม เปน็ ผู้มีความเจริญ เปน็
ผู้จ�ำแนกธรรมสั่งสอนสตั ว์ดงั น้.ี
สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทฏิ ฐิโก อะกาลโิ ก
เอหิปัสสโิ ก, โอปะนะยิโก ปัจจัตตงั เวทติ พั โพ วิญญหู ีติ.
พระธรรม ที่พระผู้มพี ระภาคเจ้าได้ตรสั ไวด้ ีแลว้ เปน็ ส่งิ ท่ีผศู้ ึกษาและ
ปฏบิ ตั พิ ึงเหน็ ได้ด้วยตนเอง เปน็ สงิ่ ท่ีปฏบิ ัตไิ ด้ และใหผ้ ลได้ ไม่จำ� กดั
กาล เป็นสงิ่ ทค่ี วรกล่าวกับผู้อน่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถิด เป็นสง่ิ ท่คี วรน้อม
เข้ามาใสต่ ัว เปน็ ส่งิ ทผี่ ู้รพู้ งึ รไู้ ดเ้ ฉพาะตน ดงั น้ี
215 ท่พี ักสงฆ์จนั ทรงั ษี
สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, อชุ ปุ ะฏปิ นั โน
ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะ
สงั โฆ, ยะททิ งั จตั ตาริ ปรุ สิ ะยคุ านิ อฎั ฐะ ปรุ สิ ะปคุ คะลา,
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, อาหเุ นยโย ปาหเุ นยโย
ทกั ขเิ ณยโย อญั ชะลกิ ะระณโี ย, อะนตุ ตะรงั ปญุ ญกั เขตตงั
โลกัสสาต.ิ
พระสงฆ์สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ หมูใ่ ด ปฏบิ ตั ดิ ีแล้ว, พระสงฆ์
สาวกของพระผ้มู ีพระภาคเจา้ หม่ใู ด ปฏบิ ตั ติ รงแลว้ , พระสงฆส์ าวก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์
แลว้ , พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ หมใู่ ด ปฏบิ ตั สิ มควรแลว้ ,
ได้แก่ บคุ คลเหลา่ นคี้ ือ คู่แห่งบุรษุ ๔ คู่ นบั เรยี งตัวบรุ ษุ ได้ ๘ บุรษุ
นนั่ แหละพระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทา่ นเปน็ ผคู้ วรแกส่ กั
การะทเี่ ขานำ� มาบูชา เป็นผคู้ วรแกส่ กั การะทเี่ ขาจดั ไวต้ ้อนรับ เปน็ ผู้
ควรรบั ทกั ษณิ าทาน เปน็ ผทู้ บ่ี คุ คลทวั่ ไปควรทำ� อญั ชลี เปน็ เนอ้ื นาบญุ
ของโลก ไม่มนี าบญุ อ่ืนย่ิงกว่า ดังนี้
พุทธะชะยะมงั คะละคาถา
ประวัติ
บทพาหงุ มหากา เปน็ บทสวดมนตท์ ี่ สมเดจ็ พระพนรตั น์ วดั ปา่ แกว้ ไดถ้ วาย
ให้ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ไวส้ วดเปน็ ประจำ� พระองค์ กลา่ วถงึ ชยั ชนะ ๘ ครงั้
ของพระพทุ ธเจา้ ทมี่ ตี อ่ พญาวสั สวดั ตมี าร อาฬวกะยกั ษ์ ชา้ งนาฬาครี ี องคลุ มิ าล
นางจญิ จมานวกิ า สัจจะกะนคิ รนถ์ พญานันโทปนนั ทนาคราช และทา่ นท้าวผกา
พรหม เปน็ ชยั ชนะทพ่ี ระพทุ ธองค์ ทรงไดม้ าดว้ ยอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ์ และดว้ ยอำ� นาจ
แหง่ บารมธี รรมโดยแท้
หนังสือสวดมนต์ 216
พาหุง สะหสั สะมะภนิ ิมมิตะสาวุธันตงั ,
คร๎ ีเมขะลงั อุทิตะโฆระสะเสนะมารงั ,
ทานาทิธมั มะวิธนิ า ชติ ะวา มุนินโท,
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.*
พระจอมมุนไี ด้เอาชนะพญามาร, ผเู้ นรมิตแขนมากตั้งพนั ถอื
อาวุธครบมือ, ข่ชี ้างครเี มขละ, มาพรอ้ มกับเหล่าเสนามาร ซ่งึ โหร่ อ้ ง
กกึ ก้อง, ดว้ ยวิธอี ธษิ ฐานถึงทานบารมี เปน็ ต้น, ขอชัยมงคลท้งั หลาย
จงมีแกท่ า่ น, ดว้ ยเดชแหง่ พระพุทธชัยมงคลนนั้ เถดิ
มาราตเิ รกะมะภยิ ชุ ฌิตะสพั พะรตั ตงิ ,
โฆรัมปะนาฬะวะกะมกั ขะมะถัทธะยกั ขัง,
ขนั ตสี ทุ ันตะวิธินา ชติ ะวา มนุ ินโท,
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ *
พระจอมมุนีไดเ้ อาชนะยักษ์ชอ่ื อาฬวกะ ผู้มีจติ หยาบกระดา้ ง
ผู้ไม่มีความอดทน, มีความพิลึกน่ากลัวกว่าพญามาร, ซ่ึงได้เข้ามา
ตอ่ สอู้ ยา่ งยิ่งยวด, จนตลอดคืนยนั รงุ่ , ด้วยวิธีทรมานอนั ดี คอื ขันติ
ความอดทน, ขอชยั มงคลทงั้ หลายจงมแี กท่ า่ น, ดว้ ยเดชแหง่ พระพทุ ธ
ชัยมงคลน้นั เถิด
นาฬาคริ ิง คะชะวะรงั อะตมิ ตั ตะภตู ัง,
ทาวัคคจิ ักกะมะสะนีวะ สทุ ารุณนั ตงั ,
เมตตมั พเุ สกะวธิ นิ า ชติ ะวา มนุ ินโท,
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ.*
* ถ้าสวดเปน็ ท�ำนองมคธใช้ ชะยะมงั คะลคั คัง
217 ทีพ่ ักสงฆจ์ ันทรงั ษี
พระจอมมุนไี ด้เอาชนะช้างตวั ประเสริฐ ชื่อนาฬาคิร,ี เปน็ ช้าง
เมาย่ิงนัก และแสนจะดุรา้ ย, ประดุจไฟปา่ และจักราวธุ และสายฟา้ ,
ดว้ ยวธิ ีรดลงด้วยน�ำ้ คือความมพี ระทยั เมตตา, ขอชัยมงคลท้งั หลาย
จงมีแก่ทา่ น, ดว้ ยเดชแห่งพระพทุ ธชัยมงคลน้ันเถิด
อุกขติ ตะขคั คะมะตหิ ัตถะสุทารณุ นั ตงั ,
ธาวันตโิ ยชะนะปะถังคุลมิ าละวนั ตัง,
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มนุ นิ โท,
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ.*
พระจอมมุนีทรงมีพระทัย, ในการจะกระท�ำอิทธิปาฏิหาริย์,
จงึ ไดเ้ อาชนะโจรชอ่ื องคุลิมาล (ผู้มีพวงคอื นิว้ มือมนุษย)์ , ผูแ้ สนจะ
รา้ ยกาจมฝี ีมือ, ถือดาบวิง่ ไลพ่ ระองคไ์ ป สน้ิ ระยะทาง ๓ โยชน์, ขอ
ชยั มงคลทง้ั หลายจงมแี กท่ า่ น, ดว้ ยเดชแหง่ พระพทุ ธชยั มงคลนน้ั เถดิ
กตั ว๎ านะ กัฏฐะมทุ ะรัง อวิ ะ คัพภนิ ยี า,
จิญจายะ ทุฎฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ,
สันเตนะ โสมะวธิ นิ า ชติ ะวา มุนินโท,
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ *
พระจอมมนุ ไี ดเ้ อาชนะคำ� กลา่ วใสร่ า้ ย, ของนางจญิ จมาณวกิ า,
ซ่ึงท�ำอาการประหน่งึ วา่ มคี รรภ,์ เพราะทำ� ไม้มีสณั ฐานอันกลม ผูกไว้
ทหี่ นา้ ทอ้ ง, ดว้ ยวิธีทรงสมาธอิ ันงาม, คือความสงบระงบั พระทัย,
ใหต้ ง้ั มนั่ นง่ิ เฉย ในทา่ มกลางหมชู่ น, ขอชยั มงคลทง้ั หลายจงมแี กท่ า่ น,
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนัน้ เถดิ
หนังสือสวดมนต์ 218
สจั จัง วิหายะ มะติสจั จะกะวาทะเกตุง,
วาทาภิโรปิตะมะนงั อะติอันธะภูตงั ,
ปัญญาปะทปี ะชะลิโต ชติ ะวา มุนนิ โท,
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลาน.ิ *
พระจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่างคือปัญญา, ได้เอาชนะ
สจั จกะนคิ รนถ,์ ผมู้ คี วามคดิ มงุ่ หมาย, ในการจะละเสยี ซง่ึ ความสตั ย,์
มีใจคิดจะยกถ้อยค�ำของตน, ให้สูงประดุจยกธง และมีใจมืดมนยิ่ง
นกั , ดว้ ยเทศนาญาณวธิ ,ี คอื รอู้ ชั ฌาสยั แลว้ ตรสั เทศนาใหถ้ กู ใจ, ขอ
ชยั มงคลทงั้ หลายจงมแี กท่ า่ น, ดว้ ยเดชแหง่ พระพทุ ธชยั มงคลนนั้ เถดิ
นนั โทปะนันทะภชุ ะคัง วิพธุ งั มะหิทธิง,
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยนั โต,
อทิ ธปู ะเทสะวธิ ินา ชิตะวา มนุ ินโท,
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ *
พระจอมมุนไี ดเ้ อาชนะพญานาคราช, ชื่อนันโทปนนั ทะ
ผมู้ คี วามรผู้ ดิ มฤี ทธม์ิ าก, ดว้ ยวธิ บี อกอบุ าย, ใหพ้ ระโมคคลั ลานเถระ
พุทธชโิ นรส, เนรมิตกายเปน็ นาคราช, ไปทรมานพญานาค
ชอ่ื นนั โทปนนั ทะนนั้ , ขอชยั มงคลทงั้ หลายจงมแี กท่ า่ น, ดว้ ยเดชแหง่
พระพุทธชยั มงคลนนั้ เถิด
ทคุ คาหะทิฏฐภิ ชุ ะเคนะ สุทฏั ฐะหตั ถงั ,
พ๎รัห๎มงั วสิ ุทธชิ ตุ ิมทิ ธิพะกาภธิ านัง,
ญาณาคะเทนะ วธิ นิ า ชิตะวา มุนนิ โท,
ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลาน.ิ *
219 ทีพ่ กั สงฆจ์ ันทรังษี
พระจอมมุนีได้เอาชนะพรหม, ผู้มีนามว่า ท้าวผกาพรหมผู้
มฤี ทธ,์ิ มคี วามสำ� คญั ตนวา่ , เปน็ ผรู้ งุ่ เรอื งดว้ ยคณุ อนั บรสิ ทุ ธ,์ิ มมี อื อนั
ท้าวภชุ งค์ คอื ทฏิ ฐิที่ตนถือผดิ , รัดรงึ ไว้แน่นแฟน้ แลว้ , ด้วยวธิ วี างยา
คอื ทรงแสดงเทศนาใหถ้ กู ใจ, ขอชยั มงคลทงั้ หลายจงมแี กท่ า่ น, ดว้ ย
เดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนน้ั เถดิ
เอตาปิ พทุ ธะชะยะมังคะละอฏั ฐะคาถา,
โย วาจะโน ทนิ ะทเิ น สะระเต มะตันท,ี
หติ ว๎ านะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ,
โมกขัง สุขัง อะธคิ ะเมยยะ นะโร สะปญั โญ.
บุคคลใดมปี ญั ญา ไมเ่ กียจครา้ น, สวดกด็ ี ระลกึ ถงึ กด็ ี, ซ่งึ
พระพทุ ธชยั มงคล ๘ คาถา, แม้เหลา่ นท้ี ุกวันๆ, บคุ คลน้ันจะพงึ ละ
เสียได้, ซ่ึงความจญั ไรอันตรายท้ังหลาย, และเขา้ ถึงวโิ มกความหลุด
พ้น, คอื พระนิพพาน อนั บรมสขุ นนั้ แล
ชะยะปะริตร
ï มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณนิ งั ,
ปเู รตว๎ า ปาระมี สพั พา ปตั โต สมั โพธมิ ุตตะมัง,
พระผูม้ ีพระภาคเจ้าเปน็ ทพ่ี ง่ึ , ทรงประกอบดว้ ยพระมหากรุณาอนั ย่งิ
ใหญ,่ ทรงบำ� เพ็ญพระบารมที งั้ สิน้ , เพอื่ ประโยชนเ์ กื้อกูลแกส่ ตั ว์ท้งั
ปวง, ทรงบรรลสุ มั โพธิญาณอนั อดุ มแลว้
เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง.
ดว้ ยการกล่าวค�ำสัตยน์ ี้, ขอชยั มงคลพึงมีแก่ทา่ น
หนงั สือสวดมนต์ 220
ï ชะยันโต โพธิยา มูเล สกั ย๎ านงั นันทวิ ฑั ฒะโน,
เอวงั ตว๎ ัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล,
ขอจงมีชัยชนะเหมือนพระพุทธเจ้า, ผู้เป็นท่ีเคารพรักของเจ้าศากยะ,
ทรงชนะพญามาร ณ โคนตน้ โพธิพฤกษ,์ ขอท่านจงชนะ ไดร้ ับ
ชยั มงคลเถดิ
อะปะราชิตะปัลลงั เก สีเส ปะฐะวโิ ปกขะเร,
อะภเิ สเก สัพพะพทุ ธานัง อคั คัปปัตโต ปะโมทะติ.
ขอให้บรรลถุ ึงความเปน็ เลศิ เบกิ บานใจ, เหมือนพระพทุ ธเจ้า,
บรรลุธรรมอันประเสริฐเบิกบานพระทัย, เหนือบัลลังก์แห่งชัยชนะ,
ณ พื้นปฐพีอันประเสริฐเลิศแผ่นดิน, เป็นท่ีตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ทกุ ๆ พระองค์
สนุ ักขตั ตัง สุมังคะลงั สปุ ะภาตงั สหุ ฎุ ฐิตัง,
สขุ ะโณ สมุ ุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจารสิ ุ,
วนั ทท่ี �ำความดีทง้ั ทางกาย ทางวาจาและทางใจ, ช่ือว่าเป็นฤกษด์ ี
มงคลด,ี ยามรงุ่ ดี ยามตื่นด,ี ขณะดีและครดู่ ี, ทานท่ถี วายแก่
ผปู้ ระพฤติพรหมจรรย์ ในวันนัน้ , เป็นทานดี
ปะทักขณิ ัง กายะกมั มัง วาจากัมมงั ปะทักขณิ ัง,
ปะทกั ขิณงั มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทกั ขิณา,
ปะทักขิณานิ กัตว๎ านะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ.
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม, และความตั้งใจทีท่ �ำในวนั น้ัน
เปน็ การกระท�ำทด่ี ,ี เม่อื ทำ� ความดีแลว้ ยอ่ มได้รบั ผลดี
221 ท่ีพักสงฆ์จันทรงั ษี
ï ภะวะตุ สัพพะมงั คะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแกท่ ่าน,
รกั ขนั ตุ สัพพะเทวะตา, ขอเหล่าเทวดาท้ังปวง จงรกั ษาทา่ น
สัพพะพทุ ธานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ปวง,
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต. ขอความสวสั ดีทง้ั หลาย
จงมีแกท่ า่ นทกุ เมอ่ื
ï ภะวะตุ สพั พะมงั คะลงั ขอสรรพมงคลจงมแี กท่ า่ น,
รกั ขันตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหลา่ เทวดาทง้ั ปวง จงรกั ษาทา่ น
สัพพะธัมมานภุ าเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระธรรมท้ังปวง,
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต. ขอความสวัสดีท้ังหลาย
จงมีแกท่ ่านทกุ เมื่อ
ï ภะวะตุ สัพพะมงั คะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแก่ทา่ น,
รักขนั ตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหลา่ เทวดาทัง้ ปวง จงรกั ษาทา่ น
สพั พะสังฆานุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพแหง่ พระสงฆ์ทั้งปวง,
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต. ขอความสวสั ดที ้ังหลาย
จงมแี ก่ทา่ นทุกเมื่อ
คำ� อธบิ าย
คำ� แปล “พาหงุ มหากา” หรอื “พทุ ธชยั มงคลคาถา” มอี ยู่ ๘ บท
และมคี วามมงุ่ หมายแตกตา่ งกันท้งั แปดบท กลา่ วคอื
บทที่ ๑ สำ� หรบั เอาชนะศตั รหู มู่มาก เชน่ ในการสู้รบ
บทท่ี ๒ สำ� หรบั เอาชนะใจคนทกี่ ระด้างกระเดื่องเป็นปฏิปักษ์
หนงั สือสวดมนต์ 222
บทที่ ๓ สำ� หรับเอาชนะสตั ว์รา้ ยหรือคู่ต่อสู้
บทท่ี ๔ ส�ำหรบั เอาชนะโจร
บทท่ี ๕ ส�ำหรับเอาชนะการแกลง้ ใสร่ า้ ยกล่าวโทษ หรือ
คดคี วาม
บทท่ี ๖ ส�ำหรบั เอาชนะการโตต้ อบ
บทที่ ๗ สำ� หรับเอาชนะเลห่ ์เหล่ยี มกศุ โลบาย
บทที่ ๘ สำ� หรับเอาชนะทิฏฐิมานะของคน
เราจะเห็นได้ว่า ของดีวิเศษอยู่ในน้ี และถ้าพูดถึงการท่ีจะ
เอาชนะหรือการแสวงหาความมีชัย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอก
เหนอื ไปจาก ๘ ประการทก่ี ลา่ วขา้ งต้น ก่อนท่จี ะสวดมนตบ์ ทน้ี
ควรจะต้องท�ำความเข้าใจค�ำอธิบายบทต่างๆ ให้แจ่มแจ้งไว้ก่อน
จงึ จะเกิดความเล่ือมใสในบทสวด
ในบทท่ี ๑. เปน็ เรอ่ื งผจญมาร ซง่ึ มเี รอื่ งวา่ พญามารและเสนามารยก
พลใหญห่ ลวงมา พระพทุ ธเจา้ กท็ รงสามารถเอาชนะได้ จึงถอื เป็นบท
ทใ่ี ช้สำ� หรบั เอาชนะศตั รูหมูม่ าก เช่น ในการสู้รบ
ในบทที่ ๒. เรื่องเล่าว่า มยี กั ษ์ตนหน่ึง ชื่ออาฬะวกะ เปน็ ผู้
มีจิตกระด้างและมกี ำ� ลังยิง่ กวา่ พญามารพยายามมาใช้ก�ำลังท�ำรา้ ย
พระองคอ์ ยจู่ นตลอดคนื ยันรงุ่ พระพุทธองคก์ ็ทรงทรมานยักษต์ น
นใ้ี หพ้ า่ ยแพ้ไปได้จงึ ถอื เปน็ บททใี่ ชเ้ อาชนะปฏปิ ักษห์ รอื คู่ตอ่ สู้
ในบทท่ี ๓. มเี รอื่ งวา่ เมอื่ พระเทวทตั ทรยศตอ่ พระพทุ ธเจา้ ได้
จดั การให้คนปลอ่ ยช้างสาร ซ่งึ เป็นชา้ งเมาย่ิงนักและแสนจะดุร้าย
ชอ่ื นาฬาครี ี เพอื่ มาทำ� รา้ ยพระพทุ ธเจา้ แตเ่ มอื่ ชา้ งมาถงึ กไ็ มท่ ำ� รา้ ย
จึงถือเปน็ บททีใ่ ชเ้ อาชนะสตั ว์รา้ ย
223 ทีพ่ กั สงฆจ์ ันทรังษี
ในบทที่ ๔. เป็นเร่ืองขององคุลีมาล ซึ่งเรารู้กันแพร่หลาย
คอื องคุลีมาลฆา่ คนและตดั นว้ิ มอื ได้ ๙๙๙ เหลอื อกี นวิ้ เดยี วจะครบ
พนั กม็ าพบพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคท์ รงสามารถเอาชนะทำ� ใหอ้ งคุ
ลมี าลเลิกเปน็ โจรและยอมเข้ามาบวช กลายเป็นสาวกองค์สำ� คัญ
องค์หนึ่ง จงึ ถอื เปน็ บทท่ีใชเ้ อาชนะโจรผ้รู า้ ย
ในบทท่ี ๕. หญิงคนหน่ึงมีนามว่า จิญจมาณวิกา ใส่ร้าย
พระพทุ ธเจา้ โดยเอาไมก้ ลมๆ ใส่เขา้ ทที่ อ้ งแล้วกไ็ ปเท่ียวป่าวขา่ ว
ให้เล่าลือว่าต้ังครรภ์กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ
ให้ความจริงปรากฏแก่คนท้ังหลายว่าเป็นเรื่องกล่าวร้ายใส่โทษ
พระองคโ์ ดยแท้ จงึ ถอื เป็นบททีใ่ ช้เอาชนะคดีความหรอื การกลา่ ว
ร้ายใส่โทษ
ในบทที่ ๖. เปน็ เรอ่ื งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงเอาชนะสจั จะกะนคิ รนถ์
ซงึ่ เปน็ คนเจา้ โวหาร เขา้ มาโตต้ อบกบั พระพทุ ธเจา้ จงึ ถอื เปน็ บททใ่ี ช้
เอาชนะในการโต้ตอบ
ในบทท่ี ๗. เป็นเร่ืองท่ีพระพุทธเจ้า ให้พระโมคคัลลานะ
อัครมหาสาวกไปต่อสู้เอาชนะพญานาคช่ือ นันโทปนันทะ ผู้
มีเล่ห์เหล่ียมในการต่อสู้มากหลาย จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะ
เลห่ เ์ หล่ียมกศุ โลบาย
ในบทท่ี ๘. เปน็ เรอ่ื งทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงเอาชนะ ผกาพรหม ผมู้ ี
ทฏิ ฐแิ รงกลา้ สำ� คญั วา่ ตนเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามสำ� คญั ทส่ี ดุ แตพ่ ระพทุ ธเจา้
กท็ รงสามารถทำ� ใหผ้ กาพรหมยอมละทง้ิ ทฏิ ฐมิ านะ จงึ ถอื เปน็ บทท่ี
ใช้เอาชนะทิฏฐมิ านะของคน
หนงั สือสวดมนต์ 224
อะนโุ มทะนาวิธี
อะนุโมทะนารัมภะคาถา
ยะถา วารวิ ะหา ปูรา ห้วงน�ำ้ ทีเ่ ตม็ , ยอ่ มยงั สมทุ รสาคร
ปะริปเู รนติ สาคะรัง, ใหบ้ รบิ รู ณไ์ ด้ฉนั ใด
เอวะเมวะ อโิ ต ทนิ นัง ทานทีท่ ่านอทุ ิศใหแ้ ลว้ ในโลกนี้,
เปตานงั อุปะกัปปะต,ิ ยอ่ มส�ำเรจ็ ประโยชน,์
แก่ผู้ทีล่ ะโลกน้ไี ปแลว้ ไดฉ้ นั นัน้
อิจฉติ ัง ปตั ถติ งั ตมุ ๎หงั ขออิฏฐผลท่ีท่านปรารถนาแล้ว
ต้ังใจแลว้
ขปิ ปะเมวะ สะมิชฌะต,ุ จงสำ� เรจ็ โดยฉับพลนั
สัพเพ ปเู รนตุ สังกัปปา ขอความด�ำรทิ ้ังปวงจงเต็มท ี่
จนั โท ปัณณะระโส ยะถา, เหมอื นพระจนั ทรใ์ นวนั เพ็ญ
มะณิ โชตริ ะโส ยะถา. เหมอื นแกว้ มณอี นั สวา่ งไสว ควรยนิ ดี
สามัญญานุโมทะนาคาถา
สพั พตี ิโย ววิ ชั ชนั ตุ ความจัญไรทัง้ ปวงจงบำ� ราศไป
สัพพะโรโค วนิ สั สะตุ, โรคท้งั ปวงของทา่ นจงหาย
มา เต ภะวัต๎วนั ตะราโย อันตรายอย่ามีแกท่ า่ น
สุขี ทฆี ายโุ ก ภะวะ,
ทา่ นจงเป็นผมู้ คี วามสขุ มีอายยุ นื
อะภิวาทะนะสลี สิ สะ นจิ จงั พรสป่ี ระการ คอื อายุ วรรณะ
225 ทีพ่ ักสงฆ์จันทรงั ษี
วฑุ ฒาปะจายิโน, จตั ตาโร สขุ ะ พละ, ยอ่ มเจรญิ แก่บุคคล
ธัมมา วัฑฒันติ อายุ ผ้มู ีปกตกิ ราบไหว,้ มีปกติออ่ นน้อม
วณั โณ สุขัง พะลัง. ตอ่ ผูใ้ หญ่ เปน็ นิตย ์
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมแี ก่ท่าน,
รักขนั ตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหล่าเทวดาทง้ั ปวง จงรักษาท่าน
สพั พะพุทธานภุ าเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ปวง,
สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอความสวัสดีท้งั หลาย
จงมีแก่ท่านทกุ เมอื่
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน,
รักขันตุ สัพพะเทวะตา, ขอเหลา่ เทวดาทง้ั ปวง จงรักษาท่าน
สัพพะธมั มานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพแหง่ พระธรรมทง้ั ปวง,
สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอความสวสั ดีทัง้ หลาย
จงมแี กท่ า่ นทุกเมือ่
ภะวะตุ สพั พะมงั คะลงั ขอสรรพมงคลจงมีแกท่ ่าน,
รักขนั ตุ สพั พะเทวะตา, ขอเหลา่ เทวดาทั้งปวง จงรักษาท่าน
สัพพะสังฆานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพแหง่ พระสงฆ์ทงั้ ปวง,
สะทา โสตถี ภะวนั ตุ เต. ขอความสวัสดที ง้ั หลาย
จงมแี ก่ท่านทกุ เม่ือ
หนังสือสวดมนต์ 226
มงคลจักรวาลนอ้ ย
สัพพะพุทธานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ปวง
สพั พะธมั มานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระธรรมทง้ั ปวง
สพั พะสงั ฆานภุ าเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ทงั้ ปวง
พทุ ธะระตะนงั
ธมั มะระตะนงั ด้วยอานภุ าพแห่งรตั นะท้งั สาม
คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ
สังฆะระตะนงั ติณณงั สงั ฆรตั นะ
ระตะนานัง อานภุ าเวนะ
จะตรุ าสตี สิ ะหัสสะ-
ด้วยอานภุ าพแห่งพระธรรมขนั ธ์
ธมั มกั ขนั ธานุภาเวนะ แปดหม่นื ส่พี ัน
ปิฏะกตั ตะยานุภาเวนะ ดว้ ยอานุภาพแห่งพระไตรปิฎก
ชนิ ะสาวะกานภุ าเวนะ ด้วยอานภุ าพแห่งสาวกพระชนิ เจา้
สัพเพ เต โรคา สัพเพ โรคทั้งหลายของท่าน,
เต ภะยา ภยั ทั้งหลายของทา่ น
สพั เพ เต อันตะรายา อนั ตรายทง้ั หลายของทา่ น,
สพั เพ เต อุปัททะวา อปุ ัทวะทง้ั หลายของท่าน
สัพเพ เต ทนุ นิมติ ตา นมิ ิตรา้ ยทัง้ หลายของท่าน,
สัพเพ เต อะวะมงั คะลา สง่ิ ไมเ่ ปน็ มงคลทั้งหลายของทา่ น,
วนิ ัสสนั ต,ุ
อายุวฑั ฒะโก จงพินาศไป
ธะนะวฑั ฒะโก ความเจรญิ ดว้ ยอายุ
ความเจรญิ ด้วยทรัพย์
227 ท่ีพกั สงฆ์จันทรังษี
สริ ิวฑั ฒะโก ความเจรญิ ดว้ ยสริ ิ
ยะสะวัฑฒะโก
พะละวฑั ฒะโก ความเจริญด้วยยศ
วณั ณะวฑั ฒะโก ความเจริญด้วยกำ� ลัง
สุขะวัฑฒะโก โหต ุ ความเจรญิ ด้วยวรรณะ
สัพพะทา. ความเจรญิ ดว้ ยความสุข,
จงมีแกท่ า่ นในกาลทง้ั ปวง
ทกุ ขะโรคะภะยา เวรา ความทุกข์ โรค ภัย และเวร
โสกา สัตตุ จุปทั ทะวา, ทั้งหลาย, ความโศก ศัตรู
และความชั่วท้งั ปวง
อะเนกา อันตะรายาปิ อนั ตรายทงั้ หลายเปน็ อเนกประการ,
วนิ ัสสันตุ จะ เตชะสา. จงพนิ าศไปด้วยเดชะ
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภงั ความชนะ ความสำ� เร็จ ทรพั ย์
โสตถิ ภาคย๎ ัง สขุ ัง พะลงั , และลาภ, ความสวสั ดี ความมโี ชค,
ความสขุ และก�ำลงั
สิริ อายุ จะ วณั โณ จะ อายุ วรรณะ โภคทรพั ย,์
โภคัง สริ ิ วุฑฒี จะ ยะสะวา, ความเจรญิ และความเปน็ ผมู้ ยี ศ
สะตะวัสสา จะ อายู จะ การไดอ้ ายยุ นื เปน็ รอ้ ยป,ี และความ
ชวี ะสทิ ธี ภะวนั ตุ เต. สำ� เร็จกจิ ในความเปน็ อย่,ู จงมแี ก่
ทา่ น ในกาลทกุ เม่อื เทอญ
(มงคลจักรวาลน้อย ต้ังแต่ อายุวัฑฒะโก ถึง โหตุ สัพพะทา นั้น ถ้าผู้
รับพรเป็นสตรี ทา่ นนยิ มเปล่ยี นดงั นี้ อายุวัฑฒะกา ธะนะวฑั ฒะกา สิริวัฑฒะกา
ยะสะวัฑฒะกา พะละวฑั ฒะกา วัณณะวัฑฒะกา สุขะวัฑฒะกา โหตุ สัพพะทา.
นอกน้นั เหมอื นกนั )
หนงั สือสวดมนต์ 228
กาละทานะสุตตะคาถา
กาเล ทะทันติ สะปัญญา วะทญั ญู วีตะมจั ฉะรา,
ผมู้ ีปัญญารอบร,ู้ และปราศจากความตระหน่ี
กาเลนะ ทนิ นัง อะรเิ ยส ุ อุชภุ เู ตสุ ตาทิส.ุ
ยอ่ มถวายทานตามกาลสมยั , ในพระอรยิ เจา้ ทง้ั หลายผู้ประพฤติ
ตรงคงท่ี
วิปปะสันนะมะนา ตัสสะ วปิ ุลา โหติ ทักขณิ า,
เมื่อมีใจเล่ือมใสศรทั ธาแลว้ , ทกั ษิณาทานยอ่ มมผี ลอนั ไพบลู ย์
เย ตัตถะ อะนโุ มทนั ต ิ เวยยาวัจจัง กะโรนติ วา.
ชนท้ังหลายเหลา่ ใดรว่ มอนโุ มทนา, หรือช่วยกระทำ� การขวนขวาย
ในทานนี้
นะ เตนะ ทักขณิ า โอนา เตปิ ปุญญสั สะ ภาคิโน,
ทกั ษณิ าทานนน้ั มไิ ดบ้ กพรอ่ งไป, ดว้ ยเหตแุ หง่ การอนโุ มทนานนั้ เลย,
แมช้ นผู้รว่ มอนุโมทนา, ก็มีสว่ นแห่งบญุ นนั้ ด้วย
ตสั ม๎ า ทะเท อปั ปะฏวิ านะจติ โต ยตั ถะ ทนิ นงั มะหปั ผะลงั ,
เพราะฉะนนั้ เมอ่ื บคุ คลมจี ติ ไมท่ อ้ ถอยในทาน, ทานนน้ั ยอ่ มมผี ลมาก
ปุญญานิ ปะระโลกัสม๎ งิ ปะตฏิ ฐา โหนติ ปาณนิ นั ต.ิ
บญุ ท่ที �ำแล้ว ยอ่ มเป็นทีพ่ ึง่ ของทา่ นทงั้ หลาย, ในกาลข้างหนา้ ไดแ้ ล
ศลี ยังประโยชน์ใหส้ �ำ เรจ็ ตราบเท่าชรา
229 ทพ่ี ักสงฆ์จันทรังษี
วิหาระทานะคาถา
สีตงั อณุ ๎หัง ปะฏหิ นั ติ ตะโต วาฬะมิคานิ จะ,
เสนาสนะยอ่ มปอ้ งกนั เย็นรอ้ น และสัตว์ร้าย
สิริงสะเป จะ มะกะเส สสิ ิเร จาปิ วฏุ ฐิโย.
งูและยุง ฝนทตี่ งั้ ขึน้ ในสสิ ริ ฤดู
ตะโต วาตาตะโป โฆโร สญั ชาโต ปะฏหิ ัญญะติ,
แตน่ ัน้ ลมและแดดอนั กลา้ เกดิ ขนึ้ แลว้ ย่อมบรรเทาไป
เลนตั ถญั จะ สขุ ตั ถัญจะ ฌายิตุง จะ วปิ สั สิตุง.
วหิ าระทานัง สังฆสั สะ อคั คงั พทุ เธหิ วัณณติ ัง,
การถวายวหิ ารแกส่ งฆ,์ เพอ่ื พำ� นกั อยู่ เพอ่ื ความสขุ , เพอ่ื เพง่ พจิ ารณา
และเพอ่ื เห็นแจ้ง, พระพทุ ธเจา้ สรรเสรญิ วา่ เป็นทานอันเลศิ
ตัส๎มา หิ ปัณฑิโต โปโส สมั ปัสสงั อตั ถะมัตตะโน.
เพราะเหตุน้นั แล บรุ ุษบณั ฑติ เมอื่ เล็งเหน็ ประโยชน์ตน
วหิ าเร การะเย รมั เม วาสะเยตถะ พะหสุ สเุ ต,
พึงสร้างวิหารอนั ร่ืนรมย์, ใหภ้ ิกษุทง้ั หลาย ผู้เป็นพหสู ตู อยูเ่ ถดิ
เตสงั อนั นญั จะ ปานญั จะ วัตถะเสนาสะนานิ จะ.
อนงึ่ พึงถวายขา้ วนำ้� ผา้ เสนาสนะแกท่ ่านเหลา่ นั้น
ทะเทยยะ อชุ ภุ เู ตสุ วิปปะสันเนนะ เจตะสา,
ดว้ ยน้ำ� ใจอนั เลือ่ มใสในท่านผูซ้ ื่อตรง
เต ตัสสะ ธมั มงั เทเสนติ สพั พะทุกขาปะนูทะนงั ,
ยัง โส ธัมมะมิธญั ญายะ ปะรนิ พิ พาต๎ยะนาสะโวต.ิ
เขารู้ธรรมอนั ใดในโลกนีแ้ ลว้ , เป็นผ้ไู มม่ อี าสวะปรินพิ พาน, เขายอ่ ม
แสดงธรรมน้ัน, อนั เป็นเคร่อื งบรรเทาทุกข์ทัง้ ปวงแก่ท่าน ดังนี้แล
หนังสือสวดมนต์ 230
เทวะตาทสิ สะทกั ขณิ านโุ มทะนาคาถา
ยสั ๎มงิ ปะเทเส กัปเปติ วาสัง ปัณฑิตะชาติโย,
บณั ฑติ ชาติ สำ� เร็จการอยใู่ นประเทศสถานท่ีใด
สีละวันเตตถะ โภเชตว๎ า สญั ญะเต พร๎ หั ม๎ ะจารโิ น.
พงึ เชิญเหล่าทา่ นผู้มีศีลส�ำรวมระวงั , ประพฤตพิ รหมจรรย์
เลีย้ งดกู ันในที่น้นั
ยา ตตั ถะ เทวะตา อาสงุ ตาสงั ทกั ขณิ ะมาทิเส,
เทวดาเหลา่ ใดมใี นทนี่ นั้ , ควรอทุ ศิ ทกั ษณิ าทานเพอื่ เทวดาเหลา่ นนั้ ดว้ ย
ตา ปูชติ า ปชู ะยันติ มานิตา มานะยนั ติ นงั .
เทวดาทไี่ ดบ้ ชู าแลว้ ทา่ นย่อมบูชาบ้าง, ทีไ่ ด้นบั ถือแลว้
ทา่ นยอ่ มนบั ถือบ้าง
ตะโต นงั อะนกุ มั ปนั ติ มาตา ปุตตังวะ โอระสงั ,
แตน่ นั้ ทา่ นยอ่ มอนเุ คราะห์เขา, ประหน่ึงมารดาอนุเคราะหบ์ ตุ ร
ผู้เกดิ จากอก
เทวะตานกุ มั ปิโต โปโส สะทา ภัทร๎ านิ ปสั สะต.ิ
บรุ ุษได้อาศัยเทวดาอนุเคราะห์แล้ว, กจิ การใดทีท่ ำ�
ยอ่ มเจริญทกุ เมื่อ แล
เมอื่ ภิกษุมมี านะ ประมาทแลว้ มีความหวังในภายนอก
ศีล สมาธิ และ ปญั ญา ยอ่ มไม่ถงึ ความบริบูรณ์
231 ท่พี กั สงฆจ์ ันทรงั ษี
อัคคัปปะสาทะสุตตะคาถา
อคั คะโต เว ปะสนั นานงั อคั คัง ธัมมงั วิชานะตัง,
เม่ือบุคคลรูจ้ ักธรรมอันเลศิ , เลื่อมใสแลว้ โดยความเป็นของเลิศ
อคั เค พุทเธ ปะสนั นานงั ทักขเิ ณยเย อะนตุ ตะเร.
เล่ือมใสแลว้ ในพระพุทธเจ้าผ้เู ลศิ , ซงึ่ เป็นทักขิเณยบคุ คล
อันยอดเยี่ยม
อคั เค ธมั เม ปะสันนานัง วิราคปู ะสะเม สเุ ข,
เลื่อมใสแล้วในพระธรรมอันเลิศ, ซ่ึงเป็นธรรมอันปราศจากราคะ,
สงบระงับและเปน็ สขุ
อคั เค สงั เฆ ปะสนั นานัง ปญุ ญกั เขตเต อะนตุ ตะเร.
เล่อื มใสแล้วในพระสงฆ์ผู้เลิศ, ซึ่งเป็นเน้อื นาบุญอยา่ งยอดเย่ียม
อคั คัสม๎ ิง ทานงั ทะทะตงั อคั คงั ปญุ ญงั ปะวฑั ฒะต,ิ
ถวายทานในท่านผ้เู ลศิ นน้ั , บญุ ทีเ่ ลศิ กย็ ่อมเจริญ
อัคคัง อายุ จะ วณั โณ จะ ยะโส กิตติ สขุ งั พะลงั .
อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ และเกยี รตคิ ณุ ท่ีเลิศ, ยอ่ มเจริญ
อัคคสั สะ ทาตา เมธาวี อัคคะธมั มะสะมาหิโต,
ผู้มีปัญญายอ่ มใหท้ านแก่ท่านผ้เู ลิศ, และเปน็ ผตู้ ั้งมน่ั อยู่
ในธรรมอันเลศิ
เทวะภูโต มะนสุ โส วา อคั คปั ปตั โต ปะโมทะตตี .ิ
จะไปเกดิ เปน็ เทวดา หรอื เกิดเปน็ มนษุ ย์ก็ตาม,
ย่อมถึงความเป็นผเู้ ลิศ บันเทิงอย,ู่ ดังนี้แล
หนงั สอื สวดมนต์ 232
โภชะนะทานานโุ มทะนาคาถา
อายุโท พะละโท ธโี ร วณั ณะโท ปะฏิภาณะโท,
ผู้มีปญั ญาย่อมให้อายุ ให้ก�ำลัง, ให้วรรณะ และปฏภิ าณ
สุขสั สะ ทาตา เมธาว ี สขุ งั โส อะธคิ ัจฉะติ.
ผูม้ ปี ญั ญาใหค้ วามสุข ยอ่ มไดป้ ระสพสุข
อายุง ทัต๎วา พะลงั วัณณงั สุขัญจะ ปะฏภิ าณะโท,
บคุ คลผู้ให้อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ และปฏิภาณ
ทีฆายุ ยะสะวา โหต ิ ยตั ถะ ยัตถูปะปชั ชะตตี ิ.
จะไปเกดิ ในทใี่ ดๆ ย่อมเปน็ ผู้มีอายยุ ืน, มยี ศในที่นัน้ ๆ ดังน้ี
อาทิยะสุตตะคาถา
ภตุ ตา โภคา ภะฏา ภจั จา วิติณณา อาปะทาสุ เม,
โภคะทงั้ หลาย เราไดบ้ ริโภคแล้ว, บุคคลทง้ั หลายทค่ี วรเลี้ยง
เราได้เลยี้ งแล้ว, อันตรายทั้งหลาย เราไดข้ ้ามพน้ ไปแลว้
อุทธัคคา ทกั ขณิ า ทินนา อะโถ ปญั จะ พะลี กะตา.
ทักษณิ าท่ีเจริญผล เราได้ให้แล้ว, อนึ่ง พลีหา้ * เราไดท้ �ำแล้ว
อปุ ัฏฐิตา สลี ะวนั โต สญั ญะตา พร๎ หั ม๎ ะจารโิ น,
ท่านผมู้ ีศีลส�ำรวมแลว้ ประพฤตพิ รหมจรรย์ เราได้บ�ำรุงแลว้
* พลีหา้ หมายถงึ ๑. ญาติพลี สงเคราะหญ์ าติ ๒. อตถิ พิ ลี ต้อนรบั แขกผมู้ าเยอื น
๓. ปุพพเปตพลี ท�ำบญุ อุทิศใหผ้ ตู้ าย ๔. ราชพลี ถวายใหห้ ลวงมภี าษีอากรเปน็ ต้น
๕. เทวตาพลี ท�ำบุญอุทิศใหเ้ ทวดา
233 ทพี่ กั สงฆ์จนั ทรังษี
ยะทัตถงั โภคะมจิ เฉยยะ ปัณฑิโต ฆะระมาวะสงั .
บัณฑิตผู้ครองเรอื น ปรารถนาโภคะเพอ่ื ประโยชนอ์ ันใด
โส เม อัตโถ อะนุปปัตโต กะตัง อะนะนุตาปิยงั ,
ประโยชน์นนั้ เราได้บรรลแุ ล้ว, กรรมไมเ่ ปน็ ทต่ี ้ังแหง่ ความเดือดร้อน
ภายหลงั เราได้ทำ� แล้ว
เอตงั อะนุสสะรงั มัจโจ อะริยะธมั เม ฐิโต นะโร.
นรชนผูจ้ ะต้องตาย เม่ือตามระลกึ ถงึ คณุ ข้อนีอ้ ยู่,
ย่อมเป็นผตู้ งั้ อยูใ่ นอรยิ ธรรม
อเิ ธวะ นงั ปะสงั สนั ติ เปจจะ สคั เค ปะโมทะตตี .ิ
เทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย ยอ่ มสรรเสรญิ นรชนนนั้ ในโลกน้ี,
นรชนน้นั ละโลกน้ีไปแล้ว ย่อมบันเทงิ ในสวรรค์ ดังนแี้ ล
โส อัตถะลทั โธ
โส อัตถะลัทโธ สุขิโต วิรุฬโ๎ ห พุทธะสาสะเน,
ทา่ นชายจงเปน็ ผมู้ ีประโยชนอ์ นั ไดแ้ ล้ว, ถงึ แลว้ ซึ่งความสขุ ,
เจรญิ ในพระพทุ ธศาสนา
อะโรโค สขุ ิโต โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตภิ .ิ
เปน็ ผ้ไู มม่ ีโรค ถงึ แล้วซง่ึ ความสขุ , พร้อมกบั ด้วยญาติทัง้ หลาย
สา อตั ถะลัทธา สขุ ิตา วริ ฬุ ๎หา พุทธะสาสะเน,
ท่านหญงิ จงเป็นผ้มู ปี ระโยชนอ์ ันได้แลว้ , ถงึ แล้วซ่งึ ความสขุ ,
เจรญิ ในพระพุทธศาสนา
อะโรคา สุขติ า โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตภิ ิ.
เป็นผไู้ ม่มโี รค ถงึ แล้วซ่ึงความสุข, พรอ้ มกับด้วยญาติทงั้ หลาย
หนงั สือสวดมนต์ 234
เต อตั ถะลัทธา สุขติ า วิรุฬ๎หา พทุ ธะสาสะเน,
ทา่ นชายและท่านหญงิ จงเปน็ ผู้มปี ระโยชน์อันได้แลว้ ,
ถงึ แลว้ ซึ่งความสขุ , เจรญิ ในพระพุทธศาสนา
อะโรคา สขุ ิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิ ญาติภ.ิ
เปน็ ผไู้ มม่ โี รค ถึงแล้วซึ่งความสุข, พรอ้ มกบั ดว้ ยญาติท้งั หลาย
ระตะนตั ตะยานภุ าวาทิคาถา
ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนตั ตะยะเตชะสา,
ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรยั , ดว้ ยเดชแห่งพระรตั นตรยั
ทกุ ขะโรคะภะยา เวรา โสกา สัตตุ จุปทั ทะวา.
ความทุกข์ โรค ภยั และเวรท้งั หลาย, ความโศก ศตั รู
และความชว่ั ท้ังปวง
อะเนกา อนั ตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต,
อนั ตรายท้งั หลายเป็นอเนกประการ, จงพนิ าศไปโดยไม่เหลือ
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสตถิ ภาคย๎ งั สขุ งั พะลงั .
ความชนะ ความสำ� เร็จ ทรพั ย์และลาภ, ความสวัสดี ความมีโชค,
ความสขุ และกำ� ลงั
สริ ิ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคงั วฑุ ฒี จะ ยะสะวา,
สริ ิ อายุ วรรณะ โภคทรัพย,์ ความเจรญิ และความเป็นผูม้ ียศ
สะตะวสั สา จะ อายู จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต.
การได้อายยุ ืนเปน็ รอ้ ยป,ี และความสำ� เร็จกจิ ในความเป็นอยู,่
จงมีแก่ท่านในกาลทุกเมอื่ เทอญ
235 ที่พกั สงฆจ์ ันทรงั ษี
ติโรกุฑฑะกัณฑะสตุ ตะคาถา (ยอ่ )
อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาตมิ ติ ตา สะขา จะ เม,
เมอื่ บคุ คลมาระลกึ ถงึ อปุ การคุณ, อันทา่ นได้กระทำ� แลว้ ,
แก่ตนในกาลกอ่ นวา่ , ผนู้ ้ไี ดใ้ ห้สง่ิ นแ้ี กเ่ รา, ผนู้ ีช้ ่วยท�ำกจิ นีข้ องเรา,
ผนู้ ้เี ปน็ ญาตเิ ป็นมิตรของเราดงั นี้
เปตานงั ทกั ขณิ งั ทชั ชา ปพุ เพ กะตะมะนสุ สะรงั .
กค็ วรให้ทกั ษิณานปุ าทาน, เพ่อื ผทู้ ่ลี ะโลกน้ีไปแลว้ น้ัน
นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยา วญั ญา ปะรเิ ทวะนา,
การร้องไห้ก็ดี, การเศร้าโศกก็ดี, หรือการร่�ำไรร�ำพันอย่างอื่นก็ดี,
บคุ คลไม่ควรทำ� อยา่ งนัน้ เลย
นะ ตัง เปตานะมตั ถายะ เอวัง ติฏฐนั ติ ญาตะโย.
เพราะวา่ การร้องไหเ้ ป็นตน้ นั้น, ไม่เป็นประโยชน์ แกญ่ าติท้ังหลาย,
ผู้ทีล่ ะโลกนี้ไปแลว้ , ญาติทัง้ หลายย่อมตง้ั อยูอ่ ยา่ งน้นั
• อะยญั จะ โข ทักขิณา ทนิ นา สงั ฆมั หิ สปุ ะติฏฐติ า,
ก็ทักษณิ านปุ าทานน้แี ล, อันท่านไดใ้ ห้แล้ว, ประดษิ ฐานไว้ดแี ล้ว
ในพระสงฆ์
ทีฆะรตั ตงั หิตายสั สะ ฐานะโส อปุ ะกัปปะติ.
ยอ่ มสำ� เรจ็ ประโยชนเ์ กื้อกูล, แกผ่ ทู้ ่ลี ะโลกนีไ้ ปแล้วนน้ั ,
ตลอดกาลนานตามฐานะ
โส ญาติธัมโม จะ อะยงั นทิ ัสสโิ ต,
ญาตธิ รรมนน้ั ทา่ นได้แสดงให้ปรากฏแลว้ , แก่ญาตทิ ้งั หลาย
ผทู้ ลี่ ะโลกน้ไี ปแลว้
เปตานะ ปชู า จะ กะตา อุฬารา.
หนังสือสวดมนต์ 236
และบูชาอย่างยิ่งท่านก็ไดท้ ำ� แล้ว, แก่ญาติทั้งหลายผู้ทลี่ ะโลกนี้
ไปแลว้ น้นั
พะลัญจะ ภกิ ขนู ะมะนปุ ปะทนิ นงั ,
กำ� ลงั แห่งภกิ ษุทงั้ หลาย, ช่ือวา่ ทา่ นไดเ้ พิ่มใหแ้ ลว้ ดว้ ย
ตุมเ๎ หหิ ปุญญงั ปะสุตัง อะนปั ปะกันต.ิ
บญุ ไม่น้อยเลยท่ีท่านไดข้ วนขวายแลว้ , ดังนแ้ี ล
เกณิยานุโมทะนาคาถา
อคั คิหุตตงั มขุ า ยญั ญา สาวติ ติ ฉันทะโส มุขัง,
ยัญท้ังหลาย มีการบูชาไฟเป็นหัวหน้า, สาวิตติฉันท์* เป็นประมุข
แห่งฉันทศาสตร์ (เป็นศิลปศาสตร์อย่างหนึ่งในศิลปศาสตร์สิบแปด
ประการ)
ราชา มขุ ัง มะนสุ สานงั นะทนี งั สาคะโร มขุ งั .
พระมหาราช เปน็ ประมขุ แหง่ มนุษย์นิกร,
สมทุ รสาคร เป็นประมขุ แหง่ แมน่ ้�ำทั้งปวง
นกั ขตั ตานงั มุขัง จนั โท อาทิจโจ ตะปะตัง มุขงั ,
ดวงจนั ทร์เปน็ ประมขุ แห่งดาวนักษัตรฤกษ,์
ดวงอาทิตย์ เป็นประมขุ แห่งของทีม่ ีแสงร้อนท้ังหลาย ฉนั ใด
ปญุ ญะมากังขะมานานงั สังโฆ เว ยะชะตงั มุขงั .
สงฆ์ยอ่ มเปน็ ประมขุ แห่งทายกผหู้ วงั บุญ บำ� เพญ็ ทาน ฉนั นัน้
* เปน็ ฉันทท์ ีต่ ้องสาธยายกอ่ นในการสาธยายพระเวทย์
237 ทีพ่ ักสงฆจ์ ันทรงั ษี
ภะณสิ สามะ มะยงั คาถา กาละทานปั ปะทีปกิ า,๑
เราจักกลา่ วคาถา แสดงอานสิ งส์ของการใหต้ ามกาล
เอตา สณุ ันตุ สักกจั จงั ทายะกา ปุญญะกามิโน.
ขอทายกทั้งหลาย ผู้ตอ้ งการบุญ จงต้ังใจฟงั คาถาเหล่านเี้ ถิด
สังคะหะวตั ถุคาถา
ทานัญจะ เปยยะวชั ชัญจะ อตั ถะจะรยิ า จะ ยา อธิ ะ,
การใหท้ าน ๑ ถ้อยค�ำอนั ไพเราะ ๑ การบำ� เพ็ญประโยชน์ ๑
สะมานัตตะตา จะ ธัมเมสุ ตตั ถะ ตตั ถะ ยะถาระหงั .
เอเต โข สังคะหา โลเก ระถสั สาณีวะ ยายะโต,
การเปน็ ผปู้ ระพฤตติ นสมำ�่ เสมอ (เสมอตน้ เสมอปลาย) ในธรรมนนั้ ๆ
ตามควร ๑, เหล่าน้ีแล เปน็ ธรรมเคร่ืองสงเคราะหใ์ นโลก,
เปรยี บเหมอื นล่มิ สลัก (ทห่ี วั เพลา) คุมรถทีแ่ ล่นไปอยู่ ฉะน้ัน
เอเต จะ สงั คะหา นาสสุ นะ มาตา ปตุ ตะการะณา,
ละเภถะ มานัง ปูชงั วา ปติ า วา ปตุ ตะการะณา,
ถา้ ธรรมเครื่องสงเคราะห์เหล่านไ้ี ม่พงึ มีไซร,้
มารดา หรือ บดิ า ก็จะไม่พงึ ได้รบั ความนับถอื หรือบูชาจากบุตร
ยัส๎มา จะ สงั คะหา เอเต สะมะเวกขนั ติ ปณั ฑติ า,
กเ็ พราะเหตุที่บัณฑิตทัง้ หลาย, ยังเหลียวแลธรรม เครอ่ื งสงเคราะห์
เหลา่ นีอ้ ยู่
๑ แบบน้ี นำ� สวด กาละทานะสุตตะคาถา
ถา้ น�ำสวด วหิ าระทานะคาถา เปลีย่ นทข่ี ีดเสน้ ใต้ให้เปน็ วิหาระทานะทปี ิกา
หนงั สือสวดมนต์ 238
ตัสม๎ า มะหตั ตัง ปปั โปนต ิ ปาสงั สา จะ ภะวนั ติ เตต.ิ
เพราะเหตุน้ัน บัณฑิตเหลา่ น้นั จึงได้รบั ความเปน็ ใหญ่,
และเปน็ ท่ีนา่ สรรเสริญ ดังน้แี ล
ทานานโุ มทะนาคาถา
อนั นงั ปานัง วัตถงั ยานงั มาลา คันธัง วเิ ลปะนัง,
เสยยาวะสะถงั ปะทเี ปยยัง ทานะวตั ถู อเิ ม ทะสะ.
ทานวตั ถุ ๑๐ อย่างเหล่านี้ คอื ขา้ ว นำ�้ ผ้า ยานพาหนะ, ระเบยี บ
ดอกไม้ ของหอม เครอ่ื งลบู ไล,้ ทน่ี อน ทพี่ กั อาศยั และเครอื่ งประทปี
อนั ทะโน พะละโท โหติ วตั ถะโท โหติ วณั ณะโท,
ผูใ้ หข้ า้ ว ช่อื ว่าใหก้ ำ� ลัง, ผ้ใู ห้ผ้า ช่อื วา่ ใหว้ รรณะ
ยานะโท สุขะโท โหต ิ ทปี ะโท โหติ จักขโุ ท.
ผู้ใหย้ านพาหนะ ชอื่ วา่ ใหค้ วามสุข, ผูใ้ ห้ประทีป ช่อื วา่ ใหด้ วงตา
มะนาปะทายี ละภะเต มะนาปงั
อัคคัสสะ ทาตา ละภะเต ปุนัคคัง,
ผ้ใู ห้ของท่ีพอใจ ย่อมไดข้ องทพี่ อใจ, ผู้ใหว้ ัตถอุ ันเลิศ ย่อมไดว้ ตั ถุ
อันเลศิ
วะรสั สะ ทาตา วะระลาภิ โหติ เสฏฐะนัทโท เสฏฐะมุ
เปติ ฐานัง.
ผู้ใหข้ องดี ยอ่ มไดข้ องด,ี ผใู้ หฐ้ านะอนั ประเสรฐิ ยอ่ มเขา้ ถงึ ฐานะ
อนั ประเสริฐ
239 ท่ีพักสงฆจ์ ันทรงั ษี
อคั คะทายี วะระทายี เสฏฐะทายี จะ โย นะโร,
นรชนใดให้ของท่ีเลิศ ใหข้ องทด่ี ี, และให้ฐานะอนั ประเสริฐ
ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยตั ถะ ยตั ถปู ะปชั ชะตตี .ิ
นรชนนนั้ ไปเกิดในทีใ่ ดๆ, ย่อมเปน็ ผมู้ อี ายุยนื มยี ศ ในทน่ี น้ั ๆ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ สวุ ตั ถิ โหตุ สัพพะทา,
อาโรคิยะสุขัญเจวะ กสุ ะลญั จะ อะนามะยงั .
ดว้ ยสัจจะวาจาภาษติ นี,้ ขอความสุข ความสวัสดี ความไม่มีโรค,
และอนามยั เป็นอนั ดี จงมีแก่ทา่ นทั้งหลายทกุ เม่ือ
สิทธะมตั ถุ สิทธะมัตถุ สทิ ธะมัตถุ อิทัง ผะลงั ,
ขอผลท้งั ปวงน้ี จงเป็นผลสำ� เร็จ จงเปน็ ผลส�ำเร็จ จงเป็นผลสำ� เรจ็
เอตัส๎มงิ ระตะนัตตะยัส๎มงิ สัมปะสาทะนะเจตะโส.
แกท่ า่ นผู้มีใจเลื่อมใสในพระรตั นตรัยนนั้ เทอญ
สภุ าสิตะคาถา
สาธุรโู ป จะปาสงั โส ท๎วารตั ตะเยนะ สจั จะวา,
ผูม้ ีความสตั ย์ ดว้ ยทวารท้งั สาม, ครบท้ังกาย วาจา ใจ ดจี ริง
ควรสรรเสรญิ
ฉนั โท จะวิริยงั จติ ตัง วิมังสา จาตถะสาธิกา.
ความพอใจในการกระท�ำหน่ึง ความเพียรหนึ่ง, การมีใจจดจ่อหน่ึง
ปญั ญาทรี่ เู้ ลอื กเฟน้ หนง่ึ , ทงั้ สส่ี งิ่ น้ี ใหป้ ระโยชนน์ น้ั ๆ สำ� เรจ็ ทกุ กจิ การ
ทะทายะ อิริตา วาจา โสตุนา อะนุการนิ า,
วาจาทบี่ คุ คลกล่าวดว้ ยความเอน็ ดแู ละกรณุ า, ควรทผี่ ้ฟู ังจะทำ� ตาม
หนังสอื สวดมนต์ 240
โสตหู ิ อะนุกาตัพพา เมตตะ จิตเตนะภาสติ า.
วาจาของท่านผู้มีจติ เมตตากล่าว ผฟู้ ังทัง้ หลายพึงทำ� ตาม
โสตูหิ สุฏฐุ โสตัพพา อตั ถะกาเมนะ ภาสติ า,
วาจาทีผ่ ปู้ รารถนาประโยชนก์ ล่าว, ผฟู้ ังพึงฟังให้ดี โดยเคารพเถดิ
กะตสั สะ นัตถิ ปะฏิการงั ปะเควะตัง ปะริกขิตัง.
สง่ิ ทตี่ นทำ� แลว้ จะทำ� คนื ไมไ่ ด,้ ผจู้ ะทำ� ควรพจิ ารณาเสยี กอ่ นแลว้ จงึ ทำ�
อะวิจินติยะ กะตัง กมั มัง ปัจฉาตาปายะ วตั ตะเต,
กรรมทบ่ี ุคคลทำ� โดยไมไ่ ด้คิด, เปน็ ไปเพ่อื เดือดร้อนเม่ือภายหลงั
กะยริ า เจ กะยิราเถนัง เอวันตัง ตงั สะมชิ ฌะต.ิ
ถา้ จะท�ำแลว้ กใ็ ห้ทำ� จริงๆ จงึ จะดี, ท�ำอยา่ งนี้ กิจน้ันๆ กจ็ ะส�ำเรจ็ ได้
โดยประสงค์
รกั เขยยะ อตั ตะโน สาธงุ ละวะณงั โลณะตงั ยะถา,
ให้รักษาคณุ ความดีของตนไว้, ดงั เกลือรกั ษาความเคม็ ไว้ ฉะนัน้
สมั มาปะฏเิ วกขติ ว๎ า ตงั ตงั กะเรยยะอสิ สะโร.
บุคคลควรพิจารณาใหด้ ีใหช้ อบเสยี ก่อน จึงค่อยท�ำกิจการนั้นๆ
กะเรยยงั กิญจิ ปาสงั สัง เอวัง โนสสา นตุ ัปปะนัง,
ทำ� กจิ อนั ใดทผ่ี รู้ สู้ รรเสรญิ , อยา่ งนจ้ี งึ จะไมม่ คี วามรอ้ นใจเมอ่ื ภายหลงั
สมั มุขา ยาทสิ งั จณิ ณัง ปะรัมมขุ าปิ ตาทิสัง.
ตอ่ หน้าคนประพฤติเช่นไร, ถึงลับหลงั คน ก็ให้ประพฤตเิ ชน่ นนั้
ภูมเิ ว สาธรุ ปู านัง กะตัญญู กะตะเวทติ า,
ความเปน็ ผู้กตญั ญกู ตเวที เป็นพนื้ ฐานของคนดีทัง้ หลาย
สทุ าชชะโว อะโนลิโน กุพพัง ปะรัมมขุ า อะป.ิ
ผ้ซู ือ่ ตรงดีไมท่ อ้ ถอย, เมอื่ ทำ� กจิ การแม้ในทล่ี บั หลงั
241 ท่ีพกั สงฆ์จันทรังษี
รกั ขะมาโน สะโต รักเข อปั ปตั โตโน จะ อลุ ละเป,
ผูจ้ ะรกั ษาให้มสี ตริ ะวังรกั ษา, อนึง่ เมือ่ ยงั ไม่ถึงอยา่ พงึ พดู อวด
อัตตาหิ อตั ตะโน นาโถ โกหิ นาโถ ปะโร สิยา.
ตนแลเป็นทีพ่ ึ่งของตน, ใครผ้อู นื่ จะเป็นท่ีพึ่งแกต่ นได้
ปะฏิกจั เจวะตัง กะยิรา ยงั ชญั ญา หติ ะมตั ตะโน,
ถ้ารู้ว่าส่งิ ใดเป็นประโยชน์แกต่ นแล้ว, พึงรบี กระทำ� กจิ นนั้ ๆ เถดิ
สะทัตถะ ปะสุโต สยิ า สะทตั ถะ ปะระมา อตั ถา.
พงึ เป็นผขู้ วนขวายในประโยชน์ของตนเถดิ ,
ประโยชนท์ ั้งหลาย มีประโยชน์ของตนเปน็ อย่างยิ่ง
ขันตะยาภิยโย นะ วชิ ชะติ สามญั เญ สะมะโณ ตฏิ เฐ,
สิ่งอื่นๆ ไม่มียิ่งกว่าขันติความอดทน, ตนเป็นสมณะ พึงต้ังอยู่ใน
ธรรมของสมณะ
ปเู รยยะ ธมั มะมัตตะโน อุจโจหิ อุจจะตัง รกั ขัง.
พงึ บ�ำเพ็ญธรรมของตนๆ ใหบ้ รบิ ูรณเ์ ถิด, ตนเป็นคนใจสูง ใหร้ ักษา
ความใจสงู ของตนไว้
คณุ ะวา จาตตะโน คุณัง สาธโุ ข ทุลละโภ โลเก,
ผู้มีคุณความดีให้รักษาคุณความดีของตนไว้ให้ดี, คุณความดีหายาก
ยง่ิ นักในโลก
อะสาธุ สุละโภ สะทา.
สิง่ ท่ีไม่ดีไมช่ อบหางา่ ยทุกเม่ือ
หนังสอื สวดมนต์ 242
เทวะตาภิสัมมนั ตะนะคาถา
ยานีธะ ภตู านิ สะมาคะตานิ
หมูภ่ ูตเหล่าใดซงึ่ มาประชุมกันแล้วในทีน่ ้ี
ภมุ มานิ วา ยานิ วะ อันตะลกิ เข,
สถิตอยู่ตามแผน่ ดนิ กด็ ี สถิตอยู่ในอากาศก็ด ี
สพั เพ วะ ภตู า สมุ ะนา ภะวันตุ
ขอหม่ภู ตู เหลา่ นน้ั ทง้ั ปวง จงเป็นผู้มใี จดี
อะโถปิ สกั กจั จะ สณุ นั ตุ ภาสิตัง.
และจงฟังสภุ าษิตโดยเคารพ
สุภาสติ งั กญิ จปิ ิ โว ภะเณมุ
เราจะขอกล่าวสภุ าษติ บางประการแกพ่ วกท่าน
ปญุ เญ สะตปุ ปาทะกะรัง อะปาปงั ,
ซึง่ เปน็ ภาษิตทก่ี อ่ ใหเ้ กิดสตใิ นบญุ ไมเ่ ป็นบาป
ธมั มปู ะเทสงั อะนกุ าระกานงั
เป็นอุบายเครอ่ื งแนะนำ� ธรรม, ส�ำหรบั ผู้ใครจ่ ะท�ำตาม
ตสั ม๎ า หิ ภูตานิ สะเมนตุ สัพเพ.
เพราะฉะนัน้ แล หมภู่ ตู ท้งั ปวงจงสดบั ตรบั ฟงั
เมตตัง กะโรถะ มานสุ ิยา ปะชายะ
ขอทา่ นจงกระทำ� ความเมตตา, คอื ความรกั ความปรารถนาดแี กม่ นษุ ย์
ภูเตสุ พาฬห๎ งั กะตะภัตติกายะ,
ผกู้ ระท�ำความภกั ดอี ยา่ งมัน่ คงในหมภู่ ูตทง้ั ปวง
ทิวา จะ รตั โต จะ หะรนั ติ เย พะลิง
มนษุ ยท์ ้งั หลายเหล่าใด, ทำ� พลกี รรมทัง้ กลางวนั และกลางคนื
243 ท่พี กั สงฆจ์ นั ทรังษี