The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fuangfacra, 2021-09-19 21:15:53

แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า พยญส 236
แนวคิดและทฤษฎีทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับ การพยาบาลผูใ้ หญแ่ ละผูส้ ูงอายุ
(ปรบั ปรงุ ครงั้ ท่ี 1)
บรรณาธกิ าร
ศิรพิ ันธุ์ สาสัตย์ สุขฤทยั ฉิมชาติ
ภาควชิ าการพยาบาลผใู้ หญแ่ ละผูส้ ูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ วทิ ยาลัยวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทยเ์ จา้ ฟา้ จุฬาภรณ์ ปกี ารศึกษา 2564


เอกสารประกอบการสอนรายวิชา พยญส 236 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
ภาควิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ปีการศึกษา 2564


คํานํา
หนังสือเล่มนี้เป็นเอกสารประกอบการสอนรายวิชา พยญส. 236 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการ พยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ สําหรับนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ของภาควิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ราชวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์
เนื้อหาในเล่มประกอบไปด้วย 8 หน่วย คือ หน่วยที่ 1 สถานการณ์ปัญหาสุขภาพในวัยผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุ หน่วยที่ 2 นโยบาย กฎหมาย แผน และระบบบริการสุขภาพและสังคมสําหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หน่วยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ความแตกต่างของการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยในวัย ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หน่วยที่ 4 ทฤษฎีความผู้สูงอายุ หน่วยที่ 5 เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพในวัย ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หน่วยที่ 6 หลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะวิกฤต เฉียบพลัน เรื้อรัง การดูแลแบบ ประคับประคองและวาระท้ายของชีวิต จริยธรรมในการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ และผู้ที่อยู่ในวาระท้ายของชีวิต หน่วยที่ 7 หลักการรักษาพยาบาลทางอายุรกรรม ศัลยกรรม รังสีรักษา และ การฟื้นฟูสมรรถภาพ การสร้างเสริมสุขภาวะ การป้องกันโรค และชะลอความเสื่อมในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ และ หน่วยที่ 9 กลุ่มอาการและปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ
คณะผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้นักศึกษาเกิดความรู้และความเข้าใจในแนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น
บรรณาธิการ
15 สิงหาคม 2564


สารบัญ
หัวเรื่อง หน้า
หน่วยที่ 1 สถานการณ์ปัญหาสุขภาพในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
1.1 ความหมายของวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ
1.2 วิทยาการว่าด้วยความสูงอายุ
1.3 โครงสร้างและสถานการณ์ประชากรวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
1.4 สถานการณ์ปัญหาสุขภาพวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ
1.5 กลุ่มอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
1.6 แนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และ
ผู้สูงอายุ
ผู้เขียน: รองศาสตราจารย์ ดร. อรพรรณ โตสิงห์
1 3 5 6 7
9
หน่วยที่ 2 นโยบาย กฎหมาย แผน และระบบบริการสุขภาพและสังคมสําหรับผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุ
2.1. นโยบายที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ................................................................... 2.2. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ................................................................................................... 2.3. สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ................................................................................................ 2.4. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ.................................................................. 2.5. แผนผู้สูงอายุและแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง .................................................................... 2.6. ระบบบริการสุขภาพและสังคมสําหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ.................................... 2.7. วาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ.................................................................................
ผู้เขียน: รองศาสตราจารย์ ร.อ.หญิง ดร. ศิริพันธุ์ สาสัตย์
17
19
20
20
22
23
27
หน่วยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ความแตกต่างของการตอบสนองต่อ ความเจ็บป่วยในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
3.1 การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ.................................................. 3.2 การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมในวัยสูงอายุ.................................................................. 3.3 ความแตกต่างของการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ...............
ผู้เขียน: รองศาสตราจารย์ ดร. วิไลวรรณ ทองเจริญ
30 42 49


หัวเร่ือง หน้า
หน่วยที่ 4 ทฤษฎีความผู้สูงอายุ
4.1. ทฤษฎีทางชีวภาพ (Biological theories) ................................................................... 4.2. ทฤษฎีทางจิตสังคม (Psychosocial theories) .......................................................... 4.3. การพยาบาลผู้สูงอายุตามทฤษฎีความสูงอายุ ..............................................................
ผู้เขียน: รองศาสตราจารย์ ดร. วิไลวรรณ ทองเจริญ
55 58 60
หน่วยที่ 5 เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
5.1. ความหมายของเครื่องมือ............................................................................................... 5.2. ประเภทของเครื่องมือ...................................................................................................
5.2.1 เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพร่างกายในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ............... 5.2.2 เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพจิตในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ..................... 5.2.3 เครื่องมือและแบบประเมินทางด้านสังคมในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ........................
ผู้เขียน: รองศาสตราจารย์ ร.อ.หญิง ดร. ศิริพันธุ์ สาสัตย์
63 64 64 76 86
หน่วยที่ 6 หลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะวิกฤต เฉียบพลัน เรื้อรัง การดูแลแบบ ประคับประคอง และวาระท้ายของชีวิต จริยธรรมในการพยาบาลผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุ ผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ และผู้ที่อยู่ในวาระท้ายของชีวิต
6.1. แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วย .................................................................. 6.2. หลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะวิกฤต เฉียบพลัน............................................................ 6.3. หลักการพยาบาลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง................................................................................. 6.4. การดูแลแบบประคับประคอง และวาระท้ายของชีวิต................................................... 6.5. จริยธรรมในการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ และผู้ที่อยู่ใน
วาระท้ายของชีวิต.............................................................................................
ผู้เขียน: อาจารย์ สุขฤทัย ฉิมชาติ
91
96 106 116
125


หัวเร่ือง หน้า
หน่วยที่ 7 หลักการรักษาพยาบาลทางอายุรกรรม ศัลยกรรม รังสีรักษา และการฟื้นฟู สมรรถภาพ การสร้างเสริมสุขภาวะ การป้องกันโรค และชะลอความเสื่อมใน ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
7.2 หลักการรักษาพยาบาลทาง อายุรกรรมในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ .................................... 7.2 หลักการรักษาพยาบาลทาง ศัลยกรรมในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ....................................... 7.3 หลักการรักษาพยาบาลทางรังสีรักษาในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ.......................................... 7.4 การสร้างเสริมสุขภาวะ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และชะลอความเสื่อมใน ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ....................................................................................
ผู้เขียน: อาจารย์ ณัฏฐ์ณรัณ แคล่วคล่อง และอาจารย์ อุษา เข็มทอง
137 150 171
179
หน่วยที่ 9 กลุ่มอาการและปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ
9.1 การพร่องการรู้คิด (Intelligence impairment) .......................................................... 9.2 ภาวะซึมเศร้า (Depression) ........................................................................................ 9.3 ปัญหาการไม่เคลื่อนไหว (Immobility) ........................................................................ 9.4 ปัญหาการทรงตัว (Instability) .................................................................................... 9.5 อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) .................................................................................. 9.6 ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Incontinence) .................................................................. 9.7 ภาวะทุพโภชนาการและความผิดปกติในการรับประทายอาหาร (Insanity) ............... 9.8 ปัญหาการมองเห็น/การได้ยิน (Impairment of sensory) ......................................... 9.9 ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติทางการแพทย์ (Iatrogenesis) .......................................
ผู้เขียน: รองศาสตราจารย์ ดร. วิไลวรรณ ทองเจริญ
191
205
215
233
237
241
248
253
260


หน่วยที่ 1 สถานการณ์ปัญหาสุขภาพในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
รองศาสตราจารย์ ดร. อรพรรณ โตสิงห์ ...............................................................................................................................................................
บทนํา
พยาบาลมีหน้าที่ในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ให้การพยาบาลเพื่อบรรเทาอาการที่เกิด จากโรคทั้งทางกายและทางจิตใจ ฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้เจ็บป่วย ช่วยเหลือแพทย์กระทําการรักษาโรค ใน บุคคลทุกช่วงวัย1 ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เจ็บป่วยและต้องการการพยาบาลคือกลุ่มประชากรวัยผู้ใหญ่และ วัยสูงอายุ ซึ่งต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน เพราะมีลักษณะทางกายภาพ จิตใจ อารมณ์ สถานภาพทาง สังคมที่ต่างกัน เพื่อให้การพยาบาลเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ พยาบาลต้องมี ความรู้พื้นฐานเรื่องความหมายและความแตกต่างระหว่างประชาชนวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุได้ เข้าใจ โครงสร้างประชากร สถานการณ์และแนวโน้มของโครงสร้างประชากร สถานการณ์ปัญหาทางสุขภาพของ ประชากรวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ ตระหนักถึงกลุ่มอาการและปัญหาสุขภาพหลัก ๆ ที่พบได้บ่อย ใน ประชาชนกลุ่มนี้ ทราบถึงหลักการในการประยุกต์ และนํา แนวคิด ทฤษฎี มาประยุกต์ใช้ในการพยาบาล และวิธีการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อให้การพยาบาลกลุ่มประชากรวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายของวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ และวิทยาการว่าด้วยความสูงอายุได้ 2. อธิบายโครงสร้างและสถานการณ์ประชากรวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
3. ระบุสถานการณ์ปัญหาสุขภาพวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
4. ระบุกลุ่มอาการที่พบบ่อยในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ NCD ได้
5. อธิบายแนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุได้
1.1. ความหมายของวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ
ผู้ใหญ่ ตามคําจํากัดความที่ใช้ในงานวิจัยส่วนใหญ่กําหนดไว้ที่ 18 ปี เพราะเป็นวัยที่ร่างกายมีการ
เจริญเติบโต และอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทําหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ อาทิการเติบโตของกระดูก การ ทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน ความสมบูรณ์ของต่อมไร้ท่อ ความพร้อมและความสมบูรณ์ของอวัยวะที่แสดง สัญลักษณท์ างเพศ2 ส่วนนิยามทางสังคมศาสตร์ระบุว่า ความเป็นผู้ใหญ่ หมายถึงบุคคลที่มีคุณลักษณะที่ สําคัญ 2 ประการ ได้แก่ 3
1


1) มีความรับผิดชอบ ซึ่งหมายถึง รับผิดชอบในหน้าที่ การกระทํา และตนเอง สามารถทําภารกิจ ให้ลุล่วงได้ตามที่กําหนด หรือตามภาระหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ และ
2) สามารถพึ่งพาตนเองได้ เช่นประกอบอาชีพ เลี้ยงตนเอง เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง และผู้อื่นได้ ซึ่ง นิยามทางสังคมศาสตร์ เป็นนิยามที่พยาบาลสามารถใช้ในการทําความเข้าใจผู้ป่วยที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ว่า เป็นบุคคลที่สามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้ และสมควรที่จะรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพตนเอง
อย่างไรก็ตาม นิยามทางสังคมศาสตร์ ไม่ได้ระบุไว้ตายตัวว่า บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่มีอายุเท่าไร ทั้งนี้ ให้ประเมินความรับผิดชอบและการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก หรือให้ใช้เกณฑ์ตามกฎหมายซง่ึ แต่ละประเทศ ระบุไว้ หรือใช้กิจกรรม ที่ระบุถึงความเป็นผู้ใหญ่ เช่นการทํางาน การมีครอบครัว หรือการเลี้ยงดู ครอบครัว2,3
ผู้สูงอายุ ตามหลักสากลมีการแบ่งวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุโดยใช้เกณฑ์ของอายุเป็นเครื่องบ่งชี้ โดยระบุไว้ว่าบุคคลที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปถือเป็นผู้สูงอายุ4 การแบ่งเช่นนี้เป็นการแบ่งโดยยึดเกณฑ์ตาม กฎสังคมของการทํางานของเกือบทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเซียและประเทศไทยที่กําหนด ไว้ว่าบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นผู้สูงอายุ และกําหนดให้เป็นเกณฑ์สําหรับการเกษียณอายุจากการ ทํางานหรือรับราชการ นอกจากนั้น ยังมีการให้คําจํากัดความ “ผู้สูงอายุ” ไว้ 2 แบบ5
แบบที่ 1 อธิบายในเชิงการถดถอยของ biological functions หรือหน้าที่ทางชีวะวิทยา หรือ biological age เรียกว่า กล่าวคือ
“ความสูงอายุ หมายถึง การสูญเสียหน้าที่การทํางานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายแบบ ค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการสูญเสียหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธ์ และการเพิ่มอัตรา ตายตามสัดส่วนอายุที่มากขึ้น” หรือ
“ความสูงอายุ หมายถึง การเสื่อมถอยอย่างต่อเนื่องตามอายุที่เพิ่มขึ้น ได้แก่การเสื่อมของ อวัยวะ ซึ่งเกิดจากการเสื่อมหน้าที่การทํางานของอวัยวะนั้น ๆ เช่น หวั ใจทําหน้าที่เสื่อมลงเนื่องจากสภาพ ของหลอดเลือดหัวใจที่แข็งตัวตามวัย กําลังบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจลดลงตามวัย”
มีการรวบรวมการศึกษาที่แสดงว่า เมื่อ บุคคลอายุเกิน 30 ปี การทําหน้าที่ของอวัยวะในร่างกาย บางส่วนจะเริ่มเสื่อมถอยหากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยไม่มีการจัดกระทํา อย่างไรก็ตามหาก บุคคลนั้น ๆ ออกกําลังกายสม่ําเสมอ รับประทานอาหารที่ไม่ทําลายสุขภาพ หลีกเลี่ยงความเครียดและ มลพิษ พักผ่อนเพียงพอ จะช่วยชะลอความเสื่อมตามวัยได้5
แบบที่ 2 อธิบายในเชิงการเพิ่มขึ้นของอายุที่มีความสัมพันธ์กับการตาย กล่าวคือ
“ประชากรที่มีอายุเพิ่มมากขึ้นมีโอกาสเกิดอัตราตายสูงขึ้น” เรียกว่าเป็นการนิยามความ สูงอายุตามเวลาที่ผ่านไปทางธรรมชาติ หรือ chronological age” หรือ
“อายุที่มากขึ้นหมายถึงการมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของอัตราตาย” การศึกษาของ Hill และ Hurtado เมื่อปีค.ศ. 19665 พบว่า เมื่อบุคคลมี อายุ 60 ปี โอกาสในการรอดชีวิต คือ 31 %
อายุ 65 ปี โอกาสในการรอดชีวิต คือ 24 %
2


อายุ 70 ปี โอกาสในการรอดชีวิต คือ 21 %
อายุ 75 ปี โอกาสในการรอดชีวิต คือ 11 % นักวิชาการด้านผู้สูงอายุได้วิพากย์ว่า การให้คําจํากัดความของความสูงอายุตามเงื่อนไขของ
เวลาที่เพิ่มขึ้นของบุคคลค่อนข้างมีความชัดเจน เพราะวัดได้ง่ายจากจํานวนอายุเป็นปี ในขณะที่การให้คํา นิยามตามลักษณะความเสื่อมถอยของอวัยวะนั้นอาจวัดหรือประเมินได้ลําบาก เพราะนิยามของความ เสื่อมมีความหลากหลายไม่มีความตรงไปตรงมาเหมือนอายุ อย่างไรก็ตาม เมื่อนําวิธีให้คําจํากัดความทั้ง สองแบบมารวมกัน สามารถให้คํานิยามของ ผู้สูงอายุได้ว่า บุคคลที่มีความเสื่อมถอยของหน้าที่การทํางาน ของอวัยวะในร่างกายตามวัยที่เพิ่มขึ้น และมีโอกาสเสียอายุได้มากกว่าบุคคลที่มีอายุน้อยกว่า5
1.2. วิทยาการว่าด้วยความสูงอายุ
ความสูงอายุเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปของแต่ละบุคคล นับตั้งแต่การปฏิสนธิ จนกระทั่งเสียชีวิต กระบวนการดังกล่าวทําให้เกิดเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จิตใจ การรับรู้ อารมณ์ บทบาททางสังคมของบุคคลนั้น ๆ ตลอดเวลา ซึ่งแต่ละห้วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงมีการใช้คําเรียกที่ แสดงถึงคุณลักษณะของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาทิในช่วงเวลาที่เป็นทารกและเด็กเล็ก ใช้คําเรียกการ เปลี่ยนแปลงที่บุคคลนั้น ๆ มีอายุมากขึ้นว่า “การเติบโตและพัฒนาการ” สะท้อนถึงการเพิ่มความ สมบูรณ์ต่าง ๆ ของอวัยวะ การทําหน้าที่ของอวัยวะทุกส่วน และระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ในขณะที่ ช่วงเวลาของการเข้าสู่การเป็นวัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ใช้คําเรียกการมีอายุเพิ่มขึ้นว่า “การมีวุฒิ ภาวะ” และเมื่อบุคคลอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป ร่างกาย อวัยวะ และการทําหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ จะค่อย ๆ เสื่อมลง เรียกว่า “senescence” หรือภาวะ “เสื่อมถอย” 6
การเปลี่ยนแปลงในภาวะเสื่อมถอยเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป และถือว่าเป็นกระบวนการทาง ธรรมชาติ ไม่เรียกว่าเป็นโรค แต่เรียกว่าเป็นการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา เช่นสายตาที่เริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อวัยประมาณ40ปี6ดังนั้นเมื่อพยาบาลให้การพยาบาลผู้สูงอายตุ้องแยกให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการ เสื่อมตามอายุหรือเรียกว่าเป็นการสูญเสียการทําหน้าที่จากพยาธิสภาพ เนื่องจากเซลล์ เนื้อเยื่อ และ อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมหน้าที่ลง เซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้นแต่มีความสามารถในการแบ่งตัวลดลง หรือมี หน้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่นการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีใต้ผิวหนัง และไขมันภายในเซลล์ ทําให้เกิด กระ ฝ้า และรอยย่นของผิวหนัง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นปกติในผู้สูงอายุประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลง 3 ดา้ น6 ดังนี้ 1.2.1. การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย ได้แก่
1) การเปลี่ยนแปลงภายนอก ซึ่งเห็นได้เป็นปกติในผู้สูงอายุคือการเปลี่ยนแปลงของ ผม เล็บ และผิวหนัง
ผมหงอก
ผม บางลงและการสร้างเม็ดสีในเส้นผมลดลงทําให้เกิดภาวะผมบาง ศีรษะล้าน และเส้น เล็บ หนาขึ้น เปราะและหักง่าย
3


ผิวหนัง สูญเสียความยืดหยุ่น บางลง อ่อนแอ ฉีกขาดได้ง่าย เลือดมาเลี้ยงน้อยลง การ ทํางานของต่อมไขมันใต้ผิวหนังลดลง ทําให้ผิวหนังมีลักษณะแห้ง บาง เกิดรอยย่น เม็ดสีเปลี่ยนแปลงซึ่ง สังเกตเห็นได้ง่ายที่ผิวหน้า และหลังมือ ต่อมเหงื่อลดลงทําให้เกิดภาวะลมแดดได้ง่ายกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เพราะการระบายความร้อนจากร่างกายลดลง เมื่อเกิดแผลจะใช้ระยะเวลาสมานแผลนานกว่า ดังนั้นจึง ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดแผล เพราะเมื่อแผลหายได้ช้าลง จะเกิดปัญหาที่ตามมา คือ การติดเชื้อและใน ที่สุดอาจลุกลามจนติดเชื้อในกระแสเลือดได้
2) การเปลี่ยนแปลงของประสาทสัมผัส ได้แก่ การรับรส กลิ่น การมองเห็น และการได้ยิน เสียงลดลง การรับรสและกลิ่นที่ลดลงนั้นทําให้เกิดความเสี่ยงเมื่อรับประทานอาหาร อาจแยกไม่ออกว่า อาหารที่รับประทานบูดเสียหรือไม่ เพราะรับรสไม่ได้หรือไม่ได้กลิ่น นอกจากนั้นยังมีผลต่อความอยาก อาหาร ทําให้ความอยากอาหารลดลงจนถึงขั้นเบื่ออาหาร และเกิดปัญหาด้านโภชนาการได้ การมองเห็น เปลี่ยนไปทําให้เห็นภาพไม่ชัดเจน เนื่องจากเลนส์ตาขุ่นมัว และมีผลให้ปรับสายตากับแสงได้ไม่ดี ซึ่งพบได้ เป็นปกติในบุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และทําให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ สําหรับเรื่องการรับ เสียงนั้น ผู้สูงอายุได้ยินเสียงต่ําได้ดีกว่าเสียงสูง การได้ยินที่ลดลงทําให้เกิดปัญหาด้านการสื่อสาร การได้รับ ฟังข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง6
3) การเปลี่ยนแปลงหน้าที่การทํางานของอวัยวะในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ระบบหัวใจและหลอดเลือด แรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจลดลงทําให้ปริมาณเลือดที่ถูก สูบฉีดจากหัวใจลดลง จึงรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้นเมื่อต้องออกกําลังมาก ๆ และต้องใช้ระยะพักหลังออกกําลัง
กายนานกว่าคนอายุน้อย
ระบบการหายใจ เนื่องจากขนาดของปอดเล็กลงและความยืดหยุ่นของปอดลดลงทําให้
การขับเสมหะออกจากท่อทางเดินหายใจลําบากขึ้น
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยปกติแล้วกระดูกจะเติบโตเต็มที่ทําให้คนมีความสูงที่สุด
เมื่ออายุ 25 ปี หลังจากนั้นจะเริ่มเตี้ยลงจากการสูญเสียมวลกระดูก พบว่าบุคคลมีโอกาสเตี้ยลงกว่าความ สูงปกติได้ถงึ 3 นิ้ว เมื่อมีอายุมากขึ้น ความกว้างของไหล่ลดลง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ความ ยืดหยุ่นในเส้นเอ็น (ligament) ลดลง กระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อต่อต่าง ๆ บางลง สารน้ําหล่อเลี้ยง ภายในข้อต่อลดปริมาณลงทําให้การเคลื่อนไหว และความยืดหยุ่นของข้อต่อต่างๆลดลง มีผลต่อการ เคลื่อนไหวร่างกายและการทํากิจกรรมต่างๆ เช่นการลุกยืน การเดินและการออกกําลังกาย6
ระบบทางเดินอาหาร การบีบตัวของกล้ามเนื้อของหลอดอาหาร (esophagus) ลดลงทํา ให้อาหารผ่านจากหลอดอาหารลงสู่กระเพาะอาหารช้าลง ต้องใช้เวลาในการกลืนอาหารมากขึ้น การ รับประทานอาหารแต่ละมื้อจึงช้าลงกว่าคนอายุน้อย6
ระบบทางเดินปัสสาวะ ขนาดของไตลดลง กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวได้ไม่แรง เท่าเดิมทําให้ต้องใช้เวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะปัสสาวะทํางานได้ไม่ดีทําให้ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่6
4


การที่พยาบาลเข้าใจเรื่องกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้สูงอายุทําให้เกิด ความตระหนักและระมัดระวังความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพผู้สูงอายุ เช่นการเกิดการบาดเจ็บ การพลัดตกหกล้ม การสําลักอาหารหากเร่งรัดให้รับประทานอาหารเร็วเกินไป รวมถึงการใช้ยาในผู้สูงอายุ เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการขับยาออกจากร่างกาย
1.2.2. การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจและการรู้คิด
เมื่ออายุมากขึ้น การรู้คิดของบุคคลจะช้าลงกว่าเดิม ต้องใช้เวลาในการประมวลข้อมูล ตีความ และตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ การให้ข้อมูลเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จึงต้องใช้เวลานานกว่าคน อายุน้อย
1.2.3. การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม
เมื่อบุคคลมีอายุมากขึ้นก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นกับความสูญเสียต่าง ๆ อาทิการสูญเสีย เพื่อน คนในครอบครัว คู่สมรส ครอบครัวไทยซึ่งปัจจุบันมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว มีผลให้ผู้สูงอายุรู้สึก โดดเดี่ยว หรือรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง นอกจากนั้น ผู้สูงอายุจํานวนมากมักมีรายได้ลดลงเนื่องจากหยุดทํางาน ประจํา ทําให้ชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางการเงินไม่มั่นคงเหมือนวัยทํางาน การที่ผู้สูงอายุต้องอยู่เอง ตามลําพังมีโอกาสสุ่มเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงจากมิจฉาชีพ และการถูกทําร้ายร่างกายได้6
1.3. โครงสร้างและสถานการณ์ประชากรวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ. 25627 พบว่าประชากรในประเทศไทยทั้งหมดมีจํานวน 66.56 ล้านคน มีอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด (life expectancy) สําหรับผู้หญิง 78.9 ปี และสําหรับผู้ชาย 72.4 ปี เมื่อแยกประชากรตามช่วงอายุ พบว่าส่วนใหญ่ (45.69%) อยู่ในช่วงอายุ 25-54 ปี และร้อยละ 24.83 มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป (ตารางที่ 1) อัตราการเพิ่มของประชากรเท่ากับ 0.25 % อัตราการเกิดต่อ ประชากรพันคน เท่ากับ 10.7 และอัตราการตายต่อประชากรพันคน เท่ากับ 8.3 และเมื่อพิจารณาตัวเลข ของประชากรตามแผนภูมิที่ 1 จะเห็นได้ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าหากไม่มีการเพิ่มของอัตราการเกิดของ ประชากรไทย ประชากรกลุ่มที่เข้าสู่วัยแรงงาน อันจะเป็นกําลังในการผลิต และสร้างทรัพยากรให้กับ ประเทศจะลดลง ในขณะที่ประชากรวัยสูงอายุจะเพิ่มมากขึ้น การพึ่งพาและการใช้ทรัพยากรของ ประชาชนกลุ่มนี้จะมากขึ้น ดังนั้นการหาวิธีการให้ประชากรกลุ่มนี้พึ่งพาตนเอง สามารถเป็นผู้ผลิต ทรัพยากรและสร้างรายได้ให้ประเทศได้จึงจะทําให้ผลผลิตของประเทศไม่ลดลง
ตารางที่ 1.1 จํานวนและร้อยละของประชากรไทยแยกตามช่วงอายุ (ปี พ.ศ. 2562)
จํานวนประชากรตามช่วงอายุ
0-14 ปี (ชาย 5,812,803 คน /หญิง 5,533,772 คน) 15-24 ปี (ชาย 4,581,622 คน /หญิง 4,400,997 คน) 25-54 ปี (ชาย 15,643,583 คน /หญิง 15,875,353 คน) 55-64 ปี (ชาย 4,200,077 คน /หญิง 4,774,801 คน) 65 ปีขึ้นไป (ชาย 3,553,273 คน /หญิง 4,601,119 คน)
ร้อยละ
16.45% 13.02% 45.69% 13.01% 11.82%
5


6
แผนภูมิที่ 1.1. แสดงโครงสร้างประชากรไทย ปี พ.ศ. 2562
การวิเคราะห์ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า อัตราการพึ่งพิง ของประชากรสูงอายุต่อ ประชากรวัยทํางานสูงขึ้น พ.ศ. 2553 วัยทํางาน 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 19.7 คน ในปี พ.ศ. 2563 วัย ทํางาน 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 30.3 คน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพมี แนวโน้มสูงขึ้นตามการสูงวัยของประชากร หรือการเป็นสังคมสูงวัย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่าย สุขภาพของผู้สูงอายุในอีก 12 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น 3.6 เท่าและสูงกว่าค่าใช้จ่ายสุขภาพโดยรวมทุกอายุ จาก 63,565.1 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2553 เป็น 228,482.2 ล้านบาท ในพ.ศ. 2565 ทําให้รัฐต้องแบกรับ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากสถานการณ์นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดบริการสุขภาพ การ เตรียมกําลังคนด้านสุขภาพที่ต้องการความบุคลากรที่มีความรู้ความชํานาญเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ มาก ขึ้น เช่นสาขาผู้สูงอายุ สาขาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบได้บ่อย เช่น โรคมะเร็ง โรคไต8,9
1.4. สถานการณ์ปัญหาสุขภาพวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า8,9 ประชากรวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มวัยทํางาน ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องสุขภาพที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ได้แก่พฤติกรรมการบริโภค การไม่ออก กําลังกาย ความเครียด การสัมผัสมลพิษจากสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนของสารตกค้างในอาหาร และการ เกิดบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ โดยพบว่าสาเหตุการป่วยส่วนใหญ่ของประชากรกลุ่มนี้เกิดจาก โรคไม่ติดต่อ เรื้อรัง (Non-Communicable Disease:-NCD) โรค 5 อันดับแรกที่เป็นสาเหตุการป่วยของผู้ใหญ่คือ


1. โรคมะเร็ง
2. โรคระบบทางเดินหายใจ
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด
4. โรคของต่อมไร้ท่อ
5. โรคติดเชื้อที่มีลักษณะเป็นโรคอุบัติใหม่หรือโรคอุบัติซ้ําและอุบัติเหตุ
สาเหตุการตายของประชากรไทยอายุต่ํากว่า 60 ปี พบว่า โรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ แรก ในเพศชาย คือ อุบัติเหตุทางถนน รองลงมาคือ การติดเชื้อเอชไอวี /เอดส์ โรคมะเร็งตับ และโรคหลอด เลือดสมอง ตามลําดับ สําหรับสาเหตุการตายในเพศหญิงอายุต่ํากว่า 60 ปี ได้แก่ การติดเชื้อเอชไอวี/ เอดส์ อุบัติเหตุทางถนน โรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมอง
ในประชากรสูงอายุ ปัญหาทางสุขภาพเกิดจากหลายเหตุปัจจัย นอกจากจะเกิดจากพฤติกรรม เสี่ยงต่าง ๆ แล้ว ยังเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ความเสื่อมของการทําหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ใน ร่างกาย โอกาสในการเข้าถึงบริการสุขภาพ รายได้ที่ลดลงทําให้ไม่สามารถจ่ายค่าพาหนะในการเดินทาง มารับบริการสุขภาพ หรือไม่สามารถเดินทางได้เองตามลําพังต้องพึ่งพาผู้อื่นทําให้การเข้าถึงบริการสุขภาพ มีความซับซ้อนขึ้น จากการศึกษาภาระโรคและปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทย พ.ศ. 2556 พบว่า ความ สูญเสียปีสุขภาวะ ของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ในเพศชายมีสาเหตุหลัก จากโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็งตับ สําหรับเพศหญิง ได้แก่ โรคหลอด เลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด ต้อกระจก และโรคสมองเสื่อม8,9
1.5. กลุ่มอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยวัยผู้ใหญแ่ ละผู้สูงอายุ
ไดม้ีการจําแนกกลุ่มอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ4,10-13ดังนี้ 1.5.1 กลุ่มอาการทางหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่
1) การเกิดภาวะหลอดเลือดโคโรนารี (หลอดเลือดหัวใจ) หดเกร็งตัวหรือตีบ ทําให้ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง
2) อาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลอดเลือด หัวใจตีบ
3) ภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายไม่ทํางานหรือเกิดการล้มเหลวอย่างรุนแรง (severe left ventricular failure)
4) การเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรงจนเกิดอาการขาดออกซิเจนซึ่งรวมถึง ภาวะหัวใจเต้นเร็ว ภาวะหัวใจเต้นไม่สม่ําเสมอ หรือภาวะหัวใจเต้นช้าซึ่งอาจเกิดจากพยาธิสภาพ หรือเกิด จากการได้รับยา หรือสารพิษต่าง ๆ ที่มีผลต่ออัตราเต้นหัวใจ
5) การเกิดภาวะหลอดเลือดสมองหดเกร็งอุดกั้นตีบหรือแตกทําให้เนื้อเยื่อสมองขาด เลือดไปเลี้ยง และส่งผลต่อการทําหน้าที่ของร่างกาย การรับความรู้สึก การรู้คิด
6) การแตกของหลอดเลือดสมองโป่งพอง
7


7) การโป่งพองของหลอดเลือดแดงในช่องท้องซึ่งนําไปสู่ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือด ฉีกขาด และการเสียเลือดปริมาณมากอย่างเฉียบพลัน
8) การอุดกั้นของหลอดเลือดปอดเนื่องจากฟองอากาศหรือลิ่มเลือด 9) การอุดกั้นของหลอดเลือดแดงส่วนปลายเฉียบพลัน
10) การเกิดภาวะความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรง
1.5.2 กลุ่มอาการของระบบการหายใจ ได้แก่
1) ภาวะหอบหืด
2) ภาวะปอดติดเชื้อที่เกิดจากท่ีบ้าน
3) ภาวะปอดติดเชื้อที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล
4) ภาวะลมรั่วเข้าในช่องเยื่อหุ้มปอดเนื่องจากมีรูทะลุจากบาดแผล ซึ่งอาจเกิดจากการ
บาดเจ็บทรวงอก หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถระบุสาเหตุ
5) การเกิดลมเลือดหรือสารน้ําคั่งค้างในช่องเยื่อหุ้มปอดจนทําให้เกิดแรงอัดในระดับสูง
มาก
1.5.3. กลุ่มอาการของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่
1) ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น 2) การเกิดกลุ่มอาการเนื่องจากภาวะตับวาย 3) ภาวะถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
4) ภาวะท้องร่วง
5) เกิดอาการถ่ายอุจจาระไม่ได้เป็นเวลานาน
6) เกิดพยาธิสภาพในช่องท้องเช่นเนื้องอกลําไส้อุดกั้น 7) ตับอ่อนอักเสบ
8) นิ่วในถุงน้ําดี
1.5.4 กลุ่มอาการของระบบต่อมไร้ท่อ การเผาผลาญและกลุ่มอาการทางไต ได้แก่ 1) การเกิดภาวะไตวาย
2) การเกิดภาวะโปแตสเซียมในเลือดสูงในระดับที่เป็นอันตราย
3) เกิดภาวะเป็นกรดจากกระบวนการเผาผลาญ
4) ภาวะคีโตนในเลือดสูงสูงจากภาวะเบาหวาน(DiabeticKetoacidosis) 5) การเกิดภาวะDiabeticHyperosmolar
6) การเกิดภาวะน้ําตาลในเลือดต่ํามากจนเกิดอันตราย
7) การเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจนเกิดอันตราย
8) การเกิดภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ําในระดับที่เป็นอันตราย
9) การเกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ําในระดับที่เป็นอันตราย 1.5.5 กลุ่มอาการของระบบประสาท ได้แก่
8


1) การเกิดอาการหมดสติ
2) อาการชักจากโรคลมชัก
3) มีเลือดออกในชั้นSubarachnoid
4) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
5) เนื้อสมองอักเสบ
6) เกิดอาการจากการกดเบียดของไขสันหลัง
1.5.6 กลุ่มอาการทางโลหิตวิทยาและกลุ่มอาการที่เกิดจากโรคมะเร็ง ได้แก่ 1) ภาวะติดเชื้อจากเม็ดเลือดขาวต่ํา
2) การอุดกั้นของหลอดเลือดดําSuperiorVenaCava
3) ภาวะชักเนื่องจากการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังเนื้อสมอง
4) การเจ็บป่วยหรืออาการจากการถูกกดเบียดของไขสันหลัง
5) การเกิดภาวะไม่สมดุลของอีเล็คโทรลัยท์
6) อาการของผู้ป่วยที่เจ็บป่วยระยะสุดท้ายและต้องการการดูแลแบบประคับประคอง
เช่น มะเร็งระยะสุดท้าย โรคเลือดระยะสุดท้าย เป็นต้น
1.5.7 กลุ่มอาการที่เกิดจากการได้รับสารพิษต่าง ๆ เช่น สารเคมีที่ใช้ในการเกษตร สารเคมีที่
ใช้ในอุตสาหกรรมหรือสารเคมีที่ใช้ในครัวเรือน ทั้งนี้รวมถึงกรณีสารเคมีที่ใช้ในการก่อการจลาจลหรือ สงคราม ซึ่งในกรณีหลังนี้มักเกิดเป็นลักษณะของการสัมผัสที่เป็นกลุ่มคน (mass casualty incidence)
สําหรับผู้ป่วยสูงอายุ ยังมีกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยเมื่อเกิดการเจ็บป่วยคือ
1) ภาวะพร่องโภชนาการ
2) การเกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระดับที่รุนแรงมากขึ้น
3) การเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
4) การเกิดความเสี่ยงต่อการหกล้ม
5) การเกิดความเสี่ยงจากการได้รับยาเกินขนาด หรือยาหลายประเภทในเวลาเดียวกัน
6) ความผิดปกติด้านการรับรู้ เช่น เกิดอาการสับสนเฉียบพลัน หรือ Acute Confusion
Syndromes
7) การเกิดภาวะน้ําขาด หรือน้ําเกิน
8) การเกิดภาวะอุณหภูมิกายต่ําจนนําสู่ภาวะหนาวสั่น
1.6. แนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
ตามแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 12 ปี (พ.ศ. 2560-2564) ได้กําหนดยุทธศาสตร์และ โครงการเพื่อจัดการกับปัญหาสุขภาพของประชาชนไทย โดยเน้นแนวคิดหลักที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้ กับผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ14 ดังนี้
9


1.6.1 แนวคิดในการสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุก โดยการจัดโครงการควบคุมโรคไม่ติดต่อ ลด ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ พัฒนาความปลอดภัยด้านอาหาร คุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและ บริการสุขภาพ บริหารจัดการสิ่งแวดล้อม คุ้มครองสุขภาพประชาชนจากมลพิษสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เสี่ยง
1.6.2 แนวคิดในการจัดบริการสุขภาพแบบไร้รอยต่อ โดยกําหนดให้มีผู้ประสานด้านการ ดูแลผู้ป่วยตามกลุ่มโรคสําคัญ ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ใช้กลไกของเครือข่ายการ ดูแลภายในเขตสุขภาพที่กําหนด เน้นการให้บริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ต่อเนื่อง ตั้งแต่การสืบค้นโรค และคัดกรองเบื้องต้น การป้องกันโรค การรักษาเบื้องต้น การส่งต่อเพื่อเข้าระบบการรักษาหากต้องการ การรักษาเฉพาะทาง การใช้แผนการดูแลแบบครบวงจร บูรณาการทีมสหสาขาวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วย การส่งต่อยังหน่วยบริการใกล้บ้านเพื่อการดูแลต่อเนื่อง การติดตามเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน และเฝ้าระวังเพื่อ ควบคุมอาการของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
1.6.3 แนวคิดในการพัฒนาระบบการบันทึกข้อมูลและใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ โดยการ พัฒนาฐานข้อมูลสุขภาพ ของผู้ป่วยทุกกลุ่มโรคสําคัญ มีระบบการบันทึกและจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงข้อมูลในระบบภายในเครือข่ายการดูแล
1.6.4 การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อการปฏิบัติ เป็นการประกันคุณภาพการบริการ และเป็น การบริการที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากการบริการสุขภาพในปัจจุบัน มีหลักการที่สําคัญคือ15
1) ต้องมีความถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยการใช้ความรู้ที่เป็นปัจจุบัน เชื่อถือได้ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ได้แก่ หลักฐานที่ได้จาก งานทบทวนงานวิจัย งานวิจัยเดี่ยวๆที่มีคุณภาพสูง แนวปฏิบัติที่มีคุณภาพ หรือข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ สําหรับการปฏิบัติโดยใช้วิธีการเดิมๆที่ปฏิบัติ ต่อๆกันมานั้นเป็นวิธีการที่ไม่สามารถประกันความถูกต้องได้ จึงเป็นวิธีการที่ไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป
2)ต้องไม่เกิดความผิดพลาดหรือมีระบบตรวจสอบความผิดพลาดหรือสถานการณท์ี่ จะนําไปสู่ความเสี่ยงหรือความผิดพลาดได้อย่างแม่นยําและรวดเร็ว ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาเกณฑ์ในการ ตรวจจับสถานการณ์ที่เป็น near miss โดยการใช้ระบบการให้คะแนน (scoring system) สําหรับผู้ป่วย หลายๆกลุ่มโรค เช่น การพัฒนา Early Warning Score (EWS) เพื่อใช้ในการประเมินว่าผู้ป่วยมีอาการ เปลี่ยนแปลงทางสรีระที่จะนําไปสู่อันตรายได้
3) เกิดทั้งผลลัพธ์ที่ต้องการ และมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการบริการสุขภาพในปัจจุบันต้องคํานึงถึงความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกับผลลัพธ์ เชิงบวกที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้น ๆ การปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นการปฏิบัติตามองค์ ความรู้ที่พิสูจน์แล้วว่าเกิดผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดี และเกิดความคุ้มค่าของการบริการ
4) เกิดผลดีต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรมุมมองด้านภาพลักษณ์ของ องค์กรเป็นประเด็นสําคัญในการจัดบริการสุขภาพในปัจจุบัน เพราะภาพลักษณ์ขององค์กรทําให้เกิด ความเชื่อมั่น และศรัทธาของผู้รับบริการ และยังมีผลต่อความรู้สึกมั่นคงในการปฏิบัติงานของคนใน องค์กร และทําให้องค์กรเกิดบรรยากาศที่ดีในการทํางานด้วย
10


ขั้นตอนของการพยาบาลตามหลักฐานเชิงประจักษ์ในการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดหัวข้อการพัฒนาแนวปฏิบัติหรือการแก้ไขปัญหาทางคลินิก
ในขั้นตอนนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลักๆคือ การวิเคราะห์ความต้องการของหน่วยงาน ตั้งคําถามทางคลินิก และสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สอดคล้องเพื่อตอบคําถามทางคลินิกที่กําหนดไว้ ตามรายละเอียดดังนี้
1.1วิเคราะห์ความต้องการของหน่วยงาน โดยวิเคราะห์ข้อมูลและความต้องการใน การแก้ไขปัญหาสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยที่รับผิดชอบ หรือปัญหาการดูแลผู้ป่วยในประเด็นที่ต้องการพัฒนา ในขั้นตอนนี้อาจใช้วิธีการระดมความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในองค์กร วิเคราะห์ข้อมูลจากบันทึกรายงานหรือ เวชระเบียนที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่ได้จากศูนย์บริหารความเสี่ยงขององค์กร ประเด็นทางคลินิกหรือแนว ปฏิบัติที่ผู้บริหารองค์กรกําหนดให้พัฒนา
1.2
1.2 ตั้งคําถามทางคลินิก เพื่อนําไปกําหนดคําสําคัญในการสืบค้นหลักฐาน
1.3 สืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สอดคล้องเพื่อตอบคําถามทางคลินิกที่กําหนดไว้
การสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์มีหลักการดังนี้
1.3.1 กําหนด key words โดยใช้หลัก PICO ซึ่งได้มาจากคําถามที่ระบุไว้ ในข้อ
1.3.2 ระบุขอบเขตของหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ต้องการเลือกใช้ ซึ่งหมายถึงช่วงปี ตีพิมพ์เผยแพร่หลักฐาน และภาษาที่ใช้ในการเผยแพร่หลักฐาน
1.3.3 ระบุประเภทของหลักฐานที่ใช้
1.3.4 สืบค้นหลักฐานในฐานข้อมูลโดยใช้คําสําคัญตามที่กําหนดไว้
2. Summary สังเคราะห์หลักฐานเพื่อให้ได้ข้อสรุป และคําตอบที่สอดคล้องกับโจทย์ หรือคําถามที่กําหนดไว้
ขั้นตอนนี้ประกอบด้วยขั้นตอนย่อยๆ 5 ขั้นตอน คือ - การประเมินคุณภาพหลักฐาน
- สกัดเนื้อหาจากหลักฐาน
- สังเคราะห์หลักฐาน
- ทํา narrative summary
- เขียนข้อแนะนํา แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้
2.1 การวิเคราะห์และประเมินคุณภาพหลักฐาน
ขั้นตอนนี้เป็นการทํา critical appraisal เพื่อประเมินคุณภาพหลักฐานที่สืบค้นมาได้ วิธีการคืออ่านเอกสารทั้งฉบับเพื่อประเมินว่า
11


1) หลักฐานนั้นๆสามารถตอบคําถามที่กําหนดไว้หรือไม่ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ จากการอ่านประเด็นที่มีการสรุป ไว้ใน abstract ว่าตรงกับ คําถามหรือไม่ และ settings ที่ทําการศึกษา มีความคล้ายคลึงกับ settings ที่เราจะนําหลักฐานนั้น ๆ ไปใช้ หรือไม่
2) ผลการศึกษาคืออะไร ประเด็นที่วิเคราะห์คือผลลัพธ์ของการศึกษา สามารถ ตอบคําถาม ได้หรือไม่ผลลัพธ์ของการศึกษามีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในการศึกษาหรือไม่ และ ผลการศึกษาสรุปมาจากข้อมูลที่ได้จากกระบวนการเก็บข้อมูลหรือไม่
3) ผลการศึกษามีความตรงหรือมีความน่าเชื่อถือหรือไม่การตอบคําถามข้อนี้ควร ใช้ checklist เพอื่ ตอบคําถาม เพราะงานวิจัยที่ใช้ design ต่างกันมีการประเมินและบันทึกรายละเอียดที่ ต่างกัน
4) ผลการศึกษาสามารถนําไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือปรับปรุงคุณภาพการบริการ ในหน่วยงานตามประเด็นที่เราต้องการได้จริงหรือไม่ และการนําผลการศึกษาจากหลักฐานฉบับนี้ไปใช้ สามารถทําให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานหรือไม่
2.2 การสกัดเนื้อหาจากหลักฐาน
การสกัดเนื้อหาคือการสกัดประเด็นสําคัญจากหลักฐานที่เลือก หัวข้อ หรือประเด็นของ การสกัดประกอบด้วย ชื่อเรื่องของหลักฐานหรืองานวิจัย/ ชื่อผู้ศึกษา/ ปีที่ตีพิมพ์เอกสาร/ วัตถุประสงค์ การศึกษา/ ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา/ ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาและการวัดตัวแปร รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บข้อมูล หากมี intervention ให้ระบุรายละเอียดของ intervention/ ผลการศึกษาโดยสกัด ประเด็นให้ตอบคําถาม ที่กําหนดไว้ ในการสกัดเนื้อหาจากหลักฐาน นิยมทําเป็นตารางเพื่อให้เกิดความ สะดวกในการนําไปสังเคราะห์ในขั้นตอนต่อไป
2.3 สังเคราะห์หลักฐาน
การสังเคราะห์ เป็นขั้นตอนที่สําคัญมาก เพราะเป็นการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อ ตอบประเด็นคําถามที่กําหนดไว้ ในขั้นตอนนี้ ผู้สังเคราะห์หลักฐานต้องพัฒนาตารางรวบรวมหลักฐาน ทั้งหมด (collective table) โดยมี วัตถุประสงค์หลัก คือ ฉายภาพของหลักฐานทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนา แนวปฏิบัติ แสดงเนื้อหาหรือประเด็นสําคัญที่สกัดได้อย่างสอดคล้องกับคําถาม และแสดงรายละเอียด อื่นๆที่สกัดได้จากหลักฐานทุกแง่มุมโดยสอดคล้องกับคําถาม
2.4 ทํา narrative summary
การทํา narrative summary หมายถึงการเขียนบรรยายสรุปเนื้อหาทั้งหมดที่สกัดได้ จากหลักฐาน โดยเขียนเป็นความเรียง ทั้งนี้ เปรียบได้กับการนําเนื้อหาจากการสังเคราะห์ที่ทําไว้ในตาราง collectivetableมาเรียบเรียงอีกรอบหนึ่ง เพื่อแสดงเนื้อหาสําคัญในรูปแบบของความเรียง ซึ่งเป็นการยนืยันเนื้อความที่สังเคราะห์ได้จากหลักฐานและช่วยให้บุคคลอื่นๆที่ต้องการศึกษาหรือนํา guidelines ไปใช้สามารถเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดที่สังเคราะห์ได้โดยง่าย
2.5 เขียนข้อแนะนํา
12


ข้อแนะนําหมายถึงการระบุประเด็นที่ควรปฏิบัติตามหลักฐานที่วิเคราะห์และสังเคราะห์ ได้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นนั้นๆ ตามข้อค้นพบที่ปรากฏในหลักฐานที่นํามาใช้ ข้อสังเกตที่ สําคัญของการเขียนข้อแนะนําคือ นิยมเขียนเป็นประเด็น เป็นข้อเท็จจริง ให้ทิศทางในการนําไปปฏิบัติ2,17 แต่วิธีเขียน แตกต่างจากการเขียนขั้นตอนการปฏิบัติ
3. Translation: พัฒนาเครื่องมือที่จะนําหลักฐานไปใช้ทางคลินิก
หมายถึง การแปลงข้อแนะนํา (recommendations) ที่ได้จากการสังเคราะห์หลักฐานไป เป็นวิธีการ หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วยทางคลินิก ข้อแนะนําที่ระบุไว้สามารถนําไปพัฒนาเป็น nursing procedures, clinical pathways หรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วย หรือพัฒนาเป็น เครื่องมือประเมิน เครื่องมือวัดความเสี่ยง หรือแบบบันทึก ให้สอดคล้องกับการตั้งคําถามของการใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น พัฒนาเป็นวิธีการบําบัดความเจ็บปวดระหว่างการทําแผล วิธีการให้ข้อมูล เพื่อส่งเสริมการดูแลเท้าเพื่อป้องกันการเกิดแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แบบประเมินความเสี่ยงในการเกิด ภาวะช็อคในผู้ป่วยเสียเลือด เป็นต้น
4. Integration: บูรณาการเข้าสู่การปฏิบัติตามสถานการณ์จริง
ขั้นตอนการนําไปใช้ในการปฏิบัติและการทําให้การปฏิบัติมีความยั่งยืน เป็นขั้นตอนที่ท้าทาย ความสามารถหลายด้านของนักปฏิบัติ ต้องใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายและความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุก ฝ่ายจึงจะประสบความสําเร็จได้ด้วยดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ข้อเสนอว่า เมื่อเริ่มพัฒนาโครงการการ ปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์ควรวางแผนการนําไปใช้ในการปฏิบัติจึงจะได้ผลดี และการวางแผนเพื่อ นําไปใช้นั้นควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้บริหารกับนักปฏิบัติ โดยผู้บริหารเป็นผู้เอื้อด้าน นโยบายและการสนับสนุนทรัพยากรที่จําเป็น ในขณะที่นักปฏิบัติเป็นผู้ประเมินบริบทของการปฏิบัติ และปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติให้เหมาะสมกับบริบทเพื่อให้การนําไปใช้ในสถานการณ์จริง เป็นไปอย่าง ราบรื่น
องค์การอนามัยโลก16 ได้เสนอกิจกรรมการบูรณาการสู่การปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
4.1 วิเคราะห์ความต้องการของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อประเมินระดับการยอมรับ หาก
ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติตามรูปแบบเดิม
4.2 ประเมินแนวโน้มว่ามีปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรค และมีปัจจัยใดบ้างที่เป็นปัจจัยเอื้อ 4.3 ประเมินทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปฏิบัติที่มีอยู่ภายในองค์กร ทั้งด้าน
บุคคล อุปกรณ์ สภาพแวดล้อม หรือแม้แต่วัฒนธรรมองค์กร ทั้งนี้เพื่อวางแผนลดอุปสรรคและสนับสนุน ปัจจัยเอื้อในการปฏิบัติ
4.4 เขียนแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติตาม สถานการณ์จริง
5. Evaluation: ประเมินผลของการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการปฏิบัติ
การประเมินผลของการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการปฏิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนคุณภาพของการ บริการและผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้ป่วย ประเด็นหลักๆที่ควรกําหนดไว้ในการประเมินผลได้แก่
13


5.1 ผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย
5.2 ผลลัพธ์ด้านการปฏิบัติของพยาบาล เช่น พฤติกรรมหรือวิธีการในการให้บริการ สุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
5.3 ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้และความเข้าใจของพยาบาล และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ สัมพันธ์กับการปฏิบัติในประเด็นนั้น ๆ
5.4 ผลลัพธ์ด้านค่าใช้จ่ายในการรักษา
1.7. สรุป
ผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุจะได้รับการพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และฟื้นหายจาก อาการเจ็บป่วยได้โดยเร็ว พยาบาลต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเรื่องสถานการณ์ปัญหาสุขภาพที่ เกิดขึ้นในผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ โดยสามารถระบุสภาพปัญหาสุขภาพที่เกิดได้บ่อย เข้าใจถึงอาการ และอาการแสดง ประเมินและจําแนกความแตกต่าง ของกลุ่มอาการที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง ตามกระบวนการธรรมชาติกับการเกิดพยาธิสภาพได้ นอกจากนั้น พยาบาลต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของ ตนเองว่า ในกระบวนการพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุนั้น ประสิทธิภาพสูงสุดของการพยาบาลขึ้นอยู่ กับปัจจัยหลัก ๆ ที่สําคัญคือ
1) การจัดระบบการดูแลที่ดีและมีความต่อเนื่อง
2) การทํางานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อกระบวนการดูแลที่ครบวงจร
3) การมีฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในกระบวนการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
เพราะระบบสารสนเทศที่ดีจะเป็นเครื่องมือในการประเมินผลลัพธ์ เฝ้าระวังความเสี่ยง ทําให้ประสิทธิภาพ ในการดูแลผู้ป่วยดีขึ้น
4) การยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางของการดูแลเพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วย
5) การเข้าใจปัญหาสุขภาพอย่างลุ่มลึกโดยการวิเคราะห์มูลเหตุของปัญหาในทุก ๆ มิติ ทั้งมิติทาง ร่างกาย จิตใจ และสังคม
6) การคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ เพื่อทําความเข้าใจปัญหาและสถานการณ์ที่แท้จริงของปัญหา 7) การใช้แนวคิด ทฤษฎี และหลักฐานเชิงประจักษ์ในกระบวนการแก้ไขปัญหาทุกขั้นตอน
8) การประยุกต์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความรู้ทางพยาธิสรีรวิทยาเพื่อความเข้าใจปัญหาสุขภาพ
ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ความรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพ ความรู้ในการติดต่อสื่อสาร การสร้างสัมพันธภาพ และ การทํางานเป็นทีม
14


บรรณานุกรม
1. พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ปี พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. 2540
2. Canêo LF, Neirotti R. The Importance of the Proper Definition of Adulthood: What is and What is Not Included in a Scientific Publication. Braz J Cardiovasc Surg 2017;32(1):60-1.
3. Pitti I. (2017) What does being an adult mean? Comparing young people’s and adults’ representations of adulthood, Journal of Youth Studies. 2017. 20:9, 1225- 1241, DOI: 10.1080/13676261.2017.1317336
4. Ignatavicius DD, Oneail K. Overview of health concepts for medical-surgical nursing. In Ignatavicius DD, Workman ML, Rebar CR, Heimgartner NM. Medical surgical nursing concepts for interprofessional collaborative care. 9th Ed. St. Louis, Missouri: Elsevier; 2018. p. 13-28.
5. Gu D., Dupre ME. (eds.), Encyclopedia of Gerontology and Population Aging. 2019. https://doi.org/10.1007/978-3-319-69892-2_29-1
6. Hom Nath Chalise. Aging: Basic Concept. Am J Biomed Sci & Res. 2019. 1(1). AJBSR.MS.ID.000503.
7.สํานักงานสถิติแห่งชาติ http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_61.pdf
8. สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. แผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี
(ด้านสาธารณสุข) กระทรวงสาธารณสุข สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวง
สาธารณสุข. 2559. กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี.
9. กระทรวงสาธารณสุข. แผนยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ภายใต้
แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ20ปี(ดา้นสาธารณสุข).2562.กระทรวงสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี 10. Ignatavicius DD. Overview of professional nursing concepts for medical-surgical
nursing. In Ignatavicius DD, Workman ML, Rebar CR, Heimgartner NM. Medical surgical nursing concepts for interprofessional collaborative care. 9th Ed. St. Louis, Missouri: Elsevier; 2018. p. 1-12.
11. Nottoli MJ. Medical-surgical nursing practice. In Gersch C, Heimgartner, NM, Rebar CR, Willis LM. Medical-surgical nursing made incredibly easy. 4th Ed. Philadelphia: Wolters Kluwer; 2018. p. 1-12.
12. Timby BK, Smith NE. Introductory medical-surgical nursing. 12th Ed. Philadelphia: Wolters Kluwer; 2018.
15


13. Smeltzer SC. Chronic illness and disability. In Hinkle JL, Cheever KH. Brunner & Suddarth’s Textbook of medical-surgical nursing. 14th Ed. Philadelphia: Wolters Kluwer; 2018. p. 139-163.
14. คณะกรรมการอํานวยการจัดทําแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 12. แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) กระทรวงสาธารณสุข:จังหวัดนนทบุรี.
15. Stockert PA. Evidenced-based practice. In Potter PA, Perry AG, Stockert PA, Hall AM. Essentials for nursing practice. 9th Ed. St. Louis, Missouri: Elsevier; 2019. p. 81-96.
16. World Health Organization. WHO handbook for guideline development. Geneva: WHO Library Cataloguing-in-Publication Data; 2012.
16


หน่วยที่ 2
นโยบาย กฎหมาย แผน และระบบบริการสุขภาพและสังคมสําหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
รองศาสตราจารย์ ร.อ.หญิง ดร. ศิริพันธุ์ สาสัตย์ ...............................................................................................................................................................
บทนํา
ด้วยสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุของไทยสูงเป็นอันดับสองในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ ประเทศไทย เข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged society) ที่มีประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด ทั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Completed aged society) ที่มีประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2564 และจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุด ยอด ที่มีประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2574 และเมื่อปี พ.ศ. 2562 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุมากกว่าประชากรเด็ก คือ มีผู้สูงอายุร้อยละ 18 ในขณะที่มีประชากรเด็กเพียงร้อยละ 15.9 (มส.ผส.และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม, 2558) ซึ่งจะ นําไปสู่ภาวะท้าทายหลายประการ เช่น การดูแลในด้านสุขภาพกาย/จิต ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและ สิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับประชากรกลุ่มนี้ เป็นต้น ส่งผลให้ทิศทางด้านนโยบาย กฎหมาย แผนพัฒนา และ ระบบบริการสุขภาพและสังคมมุ่งไปสู่กลุ่มผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ด้วย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายสถานการณ์ด้านสุขภาพและสังคมที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้ 2. อธิบายนโยบายที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
3. อธิบายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
4. อธิบายแผนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
5. วิเคราะห์ระบบบริการสุขภาพและสังคมสําหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
6. วิเคราะห์ประเด็นและแนวโน้มเกี่ยวกับนโยบายสําหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
1. นโยบายที่เกี่ยวข้อง
นโยบายที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ประกอบด้วย
1.1 นโยบายในการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต
รัฐบาลได้มอบให้ 4 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข บูรณาการการทํางานร่วมกัน โดย ผู้บริหารระดับสูง ของทั้ง 4 กระทรวงได้มีการประชุมปรึกษาหารือเพื่อวางแผนการทํางานให้ครอบคลุม ทุกมิติอย่างใกล้ชิด และได้มีคําสั่งคณะกรรมการอํานวยการการพัฒนาสุขภาพคนตลอดช่วงชีวิต แต่งตั้ง
17


คณะทํางานขับเคลื่อนการบูรณาการความร่วมมือ 4 กระทรวง การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต กําหนด เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 3S ประกอบด้วย
(1) Strong ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบ
(2) Security ส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัย กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ
(3) Social Participation ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รับผิดชอบ
1.2 นโยบายของรัฐบาลด้านผู้สูงอายุ
คณะรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้แถลงนโยบายต่อสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557 ได้กําหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน 11 ด้าน โดยนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ ผู้สูงอายุ คือ นโยบายด้านที่ 3 การลดความเหลื่อมล้ําของสังคมและการสร้าง โอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ ดังนี้
ข้อที่ 3 ในระยะต่อไป จะพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคม ระบบการออมและระบบ สวัสดิการชุมชน ให้มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการดูแลให้มีระบบการกู้ยืมที่เป็น ธรรมและการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ตามอัตภาพ พัฒนาศักยภาพ คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ จัดสวัสดิการ ช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้สูงอายุ สตรี และเด็ก
ข้อที่ 4 เตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการมีงานหรือ กิจกรรมที่เหมาะสม เพื่อสร้างสรรค์และไม่ก่อภาระต่อสังคมในอนาคต โดยจัดเตรียมระบบการดูแลใน บ้าน สถานพักฟื้น และโรงพยาบาล ที่เป็น ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และครอบครัว รวมทงั้พัฒนาระบบการเงินการคลังสําหรับการดูแลผู้สูงอายุ
1.3 มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
1) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 เห็นชอบมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ 4 มาตรการ คือ
1.1) การจ้างงานผู้สูงอายุเพื่อสร้างหลักประกัน/ความมั่นคงในเรื่องรายได้ของผู้สูงอายุ
1.2) การสร้างที่พักอาศัยสําหรับผู้สูงอายุ
1.3) สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ (Reverse mortgage) และ
1.4) การบูรณาการระบบบําเหน็จบํานาญ เพื่อนําไปสู่ ระบบบําเหน็จบํานาญของประเทศ
และจัดตั้งกองทุนบําเหน็จบํานาญแห่งชาติ (กบช.)
2) มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 มีนโยบายให้ดําเนินการมาตรการ ให้เงิน
ช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดย กําหนดแหล่งที่มาของเงิน เป็น 2 ส่วน คือ เงินภาษีสรรพสามิตและจากการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
18


2.1) เงินภาษีสรรพสามิตในส่วนของสินค้าสุราและยาสูบ ในอัตราร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 4,000 ล้านบาทต่อปี และ
2.2) จากการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยจะนําส่งเงินดังกล่าวเข้ากองทุนผู้สูงอายุ และส่ง ต่อให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3) มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 เห็นชอบในหลักการต่อไปนี้
3.1) เห็นชอบในหลักการมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ
และให้หน่วยงาน รับผิดชอบดําเนินงานด้านผู้สูงอายุนําไปสู่การปฏิบัติต่อไป
3.2) ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ
และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาความเป็นไปได้ในการนําพื้นที่ของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีจํานวน นักเรียนน้อยและอาจถูกยุบ รวมมาใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้และดูแลผู้สูงอายุ ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยดําเนินการให้ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
3. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561 – 2580
เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยกระดับการพัฒนาให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ ประเทศไทยมีความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึง จําเป็นต้องกําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะยาวจํานวน 6 ยุทธศาสตร์ โดยมียุทธศาสตร์ที่ เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนงานด้านผู้ใหญ่และสูงอายุที่เกี่ยวข้องกับทางด้านสุขภาพ จํานวน 2 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
3.1 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
มีเป้าหมายการพัฒนาที่สําคัญเพื่อพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมี คุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา มีพัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุก ช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น มัธยัสถ์ อดออม โอบอ้อมอารี มีวินัย รักษาศีลธรรม และเป็นพลเมืองดีของชาติ มีหลักคิด ที่ถูกต้อง มีทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ 21 มีทักษะสื่อสาร ภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3 และอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น มีนิสัย รักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเนื่องตลอดชีวิตสู่การเป็นคนไทยที่มีทักษะสูง เป็นนวัตกร นักคิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหม่ และ อื่น ๆ โดยมีสัมมาชีพตามความถนัดของตนเอง
3.2 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
มีเป้าหมายการพัฒนาที่สําคัญที่ให้ความสําคัญการดึงเอาพลังของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชน ประชาสังคม ชุมชนท้องถิ่น มาร่วมขับเคลื่อน โดยการสนับสนุนการรวมตัวของประชาชนในการร่วมคิด ร่วมทําเพื่อส่วนรวม การกระจาย อํานาจและความรับผิดชอบไปสู่กลไกบริหารราชการแผ่นดินในระดับ
19


ท้องถิ่น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการจัดการตนเอง และการเตรียมความพร้อมของ ประชากรไทยทั้งในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม ให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพสามารถ พึ่งตนเองและทําประโยชน์แก่ครอบครัว ชุมชน และสังคมให้นานที่สุด โดยรัฐให้หลักประกัน การเข้าถึง บริการและสวัสดิการที่มีคุณภาพอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง
4. สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2552 ได้พิจารณา “การพัฒนาระบบ การดูแลระยะยาวสําหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง” มีมติที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ข้อ 3.3. ให้สถานดูแลผู้สูงอายุระยะยาวที่ต้องการบริการทางการแพทย์/การพยาบาลขึ้น ทะเบียนกับกองประกอบโรคศิลปะ เพื่อการกํากับการดูแลให้ได้ตามมาตรฐาน
ข้อ 4 ขอให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลิตและธํารงรักษาบุคลากรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นักกายภาพบําบัด นักอาชีวบําบัด พยาบาลด้าน เวชปฏิบัติชุมชน พยาบาลด้านผู้สูงอายุ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุ นักสังคมสงเคราะห์ นกั จิตวิทยา และบุคลากรระดับผู้ช่วยวิชาชีพ
5. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
สําหรับลําดับศักดิ์ของกฎหมายในประเทศไทย จะมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ปัจจุบันใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กฎหมายลําดับรองลงมา คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกําหนด และประมวลกฎหมาย ในส่วนของ พระราชกําหนดจะมีกฎหมายระดับรองลงไ
ปคือ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และกฎหมายองค์กรส่วนท้องถิ่น (ดูภาพ 2.1)
รฐัธรรมนูญ
พระราชบญั ญตั ิ พระราชกาหนด ประมวลกฎหมาย
พระราชกฤษฎกี า
20
พระราชบญั ญตั ิ ประกอบ รฐัธรรมนูญ
กฎกระทรวง
กฎหมายองคก์ รสว่ นทอ้ งถนิ่


ภาพที่ 2.1 แสดงลําดับศักดิ์ของกฎหมาย ที่มา: มานิตย์ จุมปา (2546)
ก่อนที่จะมีการออกกฎหมายจนกระทั่งมีผลบังคับใช้ จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ คือ มีคณะกรรมการ จัดทําร่างกฎหมาย จากนั้นจะส่งร่างกฎหมายไปที่ คณะรัฐมนตรีให้มีมติเห็นชอบ หลังจากนั้นก็จะถูก นําเข้ารับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และการพิจารณาของรัฐสภาตามลําดับ จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับ ใช้ 1 วันหลังประกาศ
5.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมี 2 หมวด คือ
หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 27
วรรคสาม การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่อง
ถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทาง เศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทําไม่ได้
วรรคสี่ มาตรการที่รัฐกําหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคลคลสามารถใช้สิทธิ เสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองความสะดวกให้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือ ผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ
5.2 พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.๒๕๔๖
พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (พรบ.ผู้สูงอายุ) ฉบับแรกมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๔๖ ต่อมามีการ แก้ไขเพิ่มเติม เป็นฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๓ และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ประวัติ ความเป็นมาของกฎหมายและแผนที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เหตุผลและความจําเป็นในการตรา พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ สรุปสาระสําคัญพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ดังนี้
1) นิยามผู้สูงอายุ
“ผู้สูงอายุ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมี สัญชาติไทย (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย,์ 2547 : 2)
21


2) ให้มคี ณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (มาตรา 4)
3) สิทธิผู้สูงอายุ (มาตรา 11) ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการ
สนับสนุน
(1) การบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่จัดไว้โดยให้ความสะดวกและ
รวดเร็วแก่ผู้สูงอายุเป็นกรณีพิเศษ
(2) การศึกษา การศาสนา และข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินชีวิต
(3) การประกอบอาชีพหรือฝึกอาชีพที่เหมาะสม
(4) การพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม การรวมกลุ่มในลักษณะ
เครือข่ายหรือชุมชน
(5) การอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยโดยตรงแก่ผู้สูงอายุในอาคาร สถานที่
ยานพาหนะหรือการบริการ สาธารณะอื่น
(6) การช่วยเหลือด้านค่าโดยสารยานพาหนะตามความเหมาะสม
(7) การยกเว้นค่าเข้าชมสถานที่ของรัฐ
(8) การช่วยเหลือผู้สูงอายุซึ่งได้รับอันตรายจากการถูกทารุณกรรมหรือถูกแสวงหา ประโยชน์โดยมิชอบ ด้วยกฎหมาย หรือถูกทอดทิ้ง
(9) การให้คําแนะนํา ปรึกษาดําเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องในทางคดีหรือในทางการแก้ไข ปัญหาครอบครัว
(10) การจัดที่พักอาศัย อาหารและเครื่องนุ่งห่มให้ตามความจําเป็นอย่างทั่วถึง
(11) การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม (12) การสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี
(13) การอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกําหนด
6. แผนผู้สูงอายุและแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
1.1 แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.2545 - 2564) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 พ.ศ.2552
คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 แผนนี้ให้ความสําคัญต่อ “วงจรชีวิต” โดยมี วิสัยทัศน์ “ผู้สูงวัยเป็นหลักชัยของสังคม” ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมความพร้อมของประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยุทธศาสตร์ด้านระบบคุ้มครองทางสังคมสําหรับผู้สูงอายุ
ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุอย่างบูรณา
การระดับชาติ และการพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุ
ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ด้านการประมวล พัฒนา และเผยแพร่องค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และ
การติดตาม ประเมินผลการดําเนินการตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ
22


1.2 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ยึดหลัก “ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง” “การพัฒนาที่ยั่งยืน” และ “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” มียุทธศาสตร์ที่ เกี่ยวข้องกับงานด้านผู้สูงอายุ จํานวน 2 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
1) การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ แนวทางการพัฒนาสําคัญ ประกอบด้วย
(1) ปรับเปลี่ยนค่านิยมคนไทยให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัย จิตสาธารณะ และพฤติกรรมที่
พึงประสงค์
(2) พัฒนาศักยภาพ คนให้มีทักษะ ความรู้ และความสามารถในการดํารงชีวิต อย่างมีคุณค่า (3) ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
(4) ลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพและให้ทุกภาคส่วน คํานึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ
(5) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบสุขภาพ ภาครัฐและปรับระบบการเงินการคลัง
ด้านสุขภาพ
(6) พัฒนาระบบการดูแลและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับสังคมสูงวัย (7) ผลักดันให้สถาบันทางสังคม มีส่วนร่วมพัฒนาประเทศอย่างเข้มแข็ง
2) ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม แนวทางการพัฒนา สําคัญ ประกอบด้วย
(1) การเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มเป้าหมายประชากร ร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ําสุด สามารถเข้าถึง บริการที่มีคุณภาพของรัฐและมีอาชีพ
(2) การกระจายการให้บริการภาครัฐทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการที่มี คุณภาพให้ครอบคลุมและทั่วถึง
(3) เสริมสร้างศักยภาพชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและการสร้าง ความเข้มแข็ง การเงินฐานรากตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีสิทธิ ใน การจัดการทุนที่ดินและทรัพยากรภายในชุมชน
7. ระบบบริการสุขภาพและสังคมสําหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
มาตรา 11 พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ที่กําหนดว่า ผู้สูงอายุมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครอง การ ส่งเสริมและการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ในวงเล็บ 3 ที่เปิดกว้างเพื่อการอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศ กําหนดนั้น ปัจจุบันคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติได้กําหนดให้ “การดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในผู้ที่มี ภาวะพึ่งพิง” เป็นสิทธิ์ของผู้สูงอายุ
แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545 - 2564) ในยุทธศาสตร์ที่ ๓ มาตรการที่ ๔.๗ กําหนดให้ จัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาลของรัฐ ที่มีขนาดเตียงตั้งแต่ 129 เตียงขึ้นไป ปัจจุบันประเทศไทยมี โรงพยาบาลของรัฐ ที่มีคุณลักษณะดังกล่าว รวม 117 แห่งทั่วประเทศ
23


7.1 ระบบบริการสุขภาพ
ในช่วงแรก ๆ เฉพาะกลุ่มข้าราชการและสมาชิกในครอบครัว และพนักงานของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ที่มีสวัสดิการรักษาพยาบาล ต่อมาได้มีพัฒนาเพิ่มระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล ในกลุ่มประชาชนทั่วไป ด้วย โดยแบ่งเป็น
1) กลุ่มผู้มีนายจ้าง(formalsector)ประกอบด้วย
1.1) ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจาก
หน่วยงานตามสิทธิ์
1.2) ลูกจ้างในบริษัทเอกชน: ตาม พรบ. ประกันสังคม และ พรบ. กองทุนเงินทดแทน
สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้จากประกันสังคม
2) กลุ่มผู้ไม่มีนายจ้าง (informal sector) อาชีพอิสระ และผู้ท่ีสังคมควรเกื้อกูล แบ่งเป็น
2.1) สวัสดิการประชาชนด้านรักษาพยาบาล เช่น ผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ เด็ก 0-12 ปี คนพิการ ทหารผ่านศึก นักบวช และผู้นําทางศาสนา สามารถใช้สิทธิ์สวัสดิการประชาชนในการรักษาพยาบาล
2.2) ประกันสุขภาพแบบสมัครใจ
(1) โครงการบัตรสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เป็นระบบที่ผู้ใช้บริการจะต้องจ่ายเงิน
เพื่อสมัครเป็นสมาชิกของโครงการเป็นรายบุคคลต่อปี
(2) ประกันสุขภาพภาคเอกชน เป็นประกันที่ผู้ซื้อบริการจะต้องจ่ายค่าประกันตนใน
ด้านสุขภาพเป็นรายปีต่อบริษัทเอกชนที่จัดบริการ
7.2 หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
24
เหตุผลในการประกาศใช้ พระราชบัญญัติ
คือ มาตรา 52
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้ “ชนชาวไทยย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการ สาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน” และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของ
รัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ และการให้บริการสาธารณสุขของรัฐต้องเป็นไปอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนมีส่วนร่วมเท่าท่ีจะ กระทําได้ และมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้รัฐต้องจัดและส่งเสริมการ สาธารณสุขให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง ด้วยเหตุนี้จึงต้อง
จัดระบบการให้บริการสาธารณสุขที่จําเป็นต่อสุขภาพและการดํารงชีวิตให้มีการรักษาพยาบาลที่มี
มาตรฐาน โดยมีองค์กรกํากับดูแลซึ่งจะดําเนินการโดยการมีส่วนร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน เพื่อจัดการให้มีระบบการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพทั้งประเทศ และให้ประชาชนชาวไทยมีสิทธิ ได้รับการบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานด้วยกันทุกคน นอกจากนี้เนื่องจากในปัจจุบันระบบการให้ความ ช่วยเหลือในด้านการรักษาพยาบาลได้มีอยู่หลายระบบ ทําให้มีการเบิกจ่ายเงินซ้ําซ้อนกัน จึงสมควรนํา ระบบการช่วยเหลือดังกล่าวมาจัดการรวมกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย ในภาพรวมในด้านสาธารณสุขมิให้เกิดการ


25
ซ้ําซ้อนดังกล่าว และจัดระบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (สํานักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, 2563)
ประเทศไทยได้มีพัฒนาระบบบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2543 เริ่มรณรงค์ให้รัฐ จัดระบบสวัสดิการการรักษาพยาบาลและภาคประชาชนร่วมร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จนกระท่ัง ปี พ.ศ. 2545 ประสบความสําเร็จสามารถผลักดันให้เกิด พระราชบัญญัติ (พรบ.) หลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ เป็นฉบับแรกของประเทศ โดยมีหลักการดังต่อไปนี้
1) เพ่ือให้สิทธิบริการสาธารณสุขแก่บุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 52 มาตรา 82 และมีการ บริหารจัดการเพื่อลดความซ้ําซ้อนในการเบิกจ่ายเงินค่าบริการสาธารณสุขของภาครัฐโดยรวม
2) กําหนดให้บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ โดย ร่วมจ่ายค่าบริการในอัตราที่คณะกรรมการกําหนดให้แก่หน่วยบริการในแต่ละครั้งที่เข้ารับการบริการ เว้น แต่ผู้ยากไร้หรือบุคคลอื่น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด
3) จัดให้มีกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีคณะกรรมการบริหารกองทุนและกํากับ และ ตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการสาธารณสุข ผ่านทางหน่วยบริการ
4) การดําเนินการในกรณีมาตรฐานบริการของบุคลากรทางการแพทย์จะส่งเรื่องให้หน่วยงานท่ี เกี่ยวข้องดําเนินการ
ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขท่ีครอบคลุมตาม พรบ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
1) ค่าสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
2) ค่าตรวจวินิจฉัยโรค
3) ค่าตรวจและรับฝากครรภ์
4) ค่าบําบัดและบริการทางการแพทย์
5) ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ค่าอวัยวะเทียม และค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์
6) ค่าทําคลอด
7) ค่ากินอยู่ในหน่วยบริการ
8) ค่าบริบาลทารกแรกเกิด
9) ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วย
10) ค่าพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ
11) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย และจิตใจ
12) ค่าใช้จ่ายอ่ืนท่ีจําเป็นเพื่อการบริการสาธารณสุขตามที่คณะกรรมการกําหนด
13) เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ป่วยโรคไต (ปี พ.ศ. 2551)
14) เพิ่มสิทธิประโยชน์บําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาและสารเสพติด ให้ได้รับสารทดแทนยาเสพ
ติด (เมทาโดน - MMT )


7.3 ระบบบริการสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุ บริการของภาครัฐที่มีอยู่ เช่น
1) บัตรทองเป็นสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าคือ
คนไทยทุกคนที่มีเลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก และไม่มีสิทธิประกันสังคมหรือสิทธิ สวัสดิการการ รักษาของข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ สวัสดิการรักษา อย่างอื่นที่รัฐจัดให้
2) คลินิกผู้สูงอายุ มีลักษณะการดําเนินการให้บริการที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล ซึ่ง สามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ป่วยสูงอายุที่แผนกผู้ป่วยนอกอื่น ๆ หรือสามารถส่งต่อผู้ป่วยสูงอายุไป ปรึกษาที่แผนกผู้ป่วนอกอื่น ๆ ได้เช่นกัน ให้บริการคัดกรองและติดตามกลุ่มอาการผู้สูงอายุ (Geriatric syndrome) และประเมินภาวะเปราบาง (frailty) นอกจากนี้ยังต้องประเมินปัญหาเกี่ยวกับความสามารถ ในการดูแลตนเอง โรคและปัญหาทางกาย โรคและปัญหาทางสมองและจิตใจ ปัญหาสังคมและระบบการ ส่งต่อไปยังหน่วยบริการทางแพทย์เฉพาะทาง
3) การดูแลระยะยาวสําหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง แบ่งออกเป็น 2 สถานที่ใหญ่ๆ คือ
(1) การดูแลระยะยาวในชุมชน ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงจะได้รับเยี่ยมบ้านโดย Care Manager (CM) ซึ่งจะเป็นผู้ประเมินปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุและเขียน care plan และ มอบหมายให้ Care Giver (CG) ดําเนินการตามแผนการดูแล และในบางพื้นที่จะมีอาสาสมัครบริบาล
ท้องถิ่นให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแทน CG ภายใต้การกํากับดูแลของวิชาชีพด้านสุขภาพ
(2) การดูแลระยะยาวในสถานบริการ เช่น สถานสงเคราะห์คนชรา เป็นสถานที่ให้การดูแล ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ไม่มีผู้ดูแลหรือไม่สามารถอาศัยอยู่ที่บ้านได้อย่างมีความสุข โดยที่ผู้สูงอายุ จะต้องสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่เป็นโรคติดต่อ โดยที่ผู้สูงอายุจะสามารถพักอาศัยในสถาน
สงเคราะห์ได้จนกระทั่งเสียชีวิต เป็นต้น
7.4 ระบบบริการสังคมเพื่อผู้สูงอายุ บริการที่มีอยู่ เช่น
1) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มีรายงาน พบว่า ร้อยละ 55.8 ของผู้สูงอายุต้องพึ่งพิงรายได้จากผู้อื่น
และร้อยละ 34 ยังต้องทํางานหารายได้เองในการดํารงชีวิต เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ร้อยละ 36.7 ได้รับจากบุตร รองลงมาคือร้อยละ 33.9 รายได้จากการทํางานของผู้สูงอายุเอง และร้อยละ 14.8 รายได้จากเบี้ยยังชีพรัฐ
2) การเยี่ยมบ้านโดยอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.)
3) การลดค่าโดยสารและการยกเว้นค่าเข้าชมสถานที่ของรัฐ
4) การสงเคราะห์ในการจัดงานศพตามประเพณี
5) โรงเรียนผู้สูงอายุรวมทั้งการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้และดูแลผู้สูงอายุ
6) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นกองทุนที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอก
ระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐ ได้ออมเงินเพื่อใช้หลังเกษียณโดยรัฐจะจ่ายสมทบให้ส่วนหนึ่ง ผู้สมัครต้องมี สัญชาติไทย มีอายุระหว่าง 15-60 ปี (นักเรียน ม.ปลาย นิสิต นักศึกษาก็สมัครได้ เดือนละ 100 บาท)
7) การปรับปรุงบ้านเรือน
26


8. วาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ เมื่อวันที่ 4
ธันวาคม พ.ศ. 2561 มีการจัดทํามาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ โดยมีแนว ทางการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติ ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดการบูรณาการ ในการทํางานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม และเพื่อให้ คนทุกวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมสูงอายุ
มาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ
ประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก (หรือ 6 Sustainable และ 4 Change)
มาตรการหลักที่ 1 การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนทุกวัย ประกอบด้วย มาตรการย่อย 6 มาตรการ (6 Sustainable) ได้แก่
S1 การสร้างระบบคุ้มครองและสวัสดิการผู้สูงอายุ
S2 การทํางานและการสร้างรายได้สําหรับผู้สูงอายุ
S3 ระบบสุขภาพเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ
S4 ปรับสภาพแวดล้อมชุมชน และบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงอายุ S5 ธนาคารเวลาสําหรับการดูแลผู้สูงอายุประเทศไทย
S6 การสร้างความรอบรู้ให้คนรุ่นใหม่เตรียมความพร้อมในทุกมิติ
มาตรการหลักที่ 2 การยกระดับขีดความสามารถ สู่การบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 ประกอบด้วย
มาตรการย่อย 4 Change ได้แก่
C1 ยกระดับความร่วมมือ เสริมสร้างพลังสังคมสูงอายุ
C2 การปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ ข้อบังคับให้เอื้อต่อการทํางานด้านผู้สูงอายุ C3 ปฏิรูประบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ อย่างมีประสิทธิภาพ และ
C4 ผลิกโฉมนวัตกรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคมสูงอายุ
สรุป
ด้วยโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป กลายเป็นสังคมผู้สูงอายุที่ชัดเจนในขณะที่ประชากรวัยเด็กลด น้อยลง ทําให้รัฐบาลต้องหันมาให้ความสนใจและเอาใจใส่ต่อประชากรกลุ่มนี้อย่างจริงจังเพื่อวางแผนและ พัฒนาระบบบริการด้านสุขภาพสังคมเพื่อรองรับจํานวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงโรคไม่ติดต่อ เรื้อรังที่เพิ่มขึ้นด้วย ทําให้เกิดนโยบาย กฎหมาย แผน และระบบบริการสุขภาพและสังคมที่ออกมามักจะ มุ่งเน้นไปทผีู่้สูงอายุมากกว่าวัยผู้ใหญ่เช่นพระราชบัญญัติผู้สูงอายุพ.ศ.๒๕๔๖แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ
27


และภาครัฐให้ความสําคัญและประกาศให้สังคมสูงอายุเป็นวาระแห่งชาติทมี่ีมาตรการขับเคลื่อนระเบียบ วาระแห่งชาติ ที่ประกอบด้วย 6 Sustainable และ 4 Change เป็นต้น
บรรณานุกรม
กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. ความท้าทายในวัยสูงอายุ; มปพ.
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546. กรุงเทพมหานคร: เจ.เอส; 2547.
คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี. แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (2545-2564), กรุงเทพมหานคร: สํานักนายกรัฐมนตรี; 2545.
มานิตย์ จุมปา. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย, กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2546.
มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. รายงานสถานการร์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2558. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์พ ริ้นติ้งแอนด์พับลิสชิ่ง; 2558.
สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545. สืบค้นจาก https://www.nhso.go.th/frontend/page-contentdetail.aspx?CatID=MTAzMA== เมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม 63.
World Health Organization. World report on ageing and health. Geneva: World Health Organization; 2015.
28


หน่วยท่ี 3 การเปล่ียนแปลงในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ ความแตกต่างของการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ
รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลวรรณ ทองจริญ เรืออากาศเอกหญิงชุติมา ทองวชิระ
...................................................................................................................................................................... บทนํา
29
วัยผู้ใหญ่ คือ วัยที่บุคคลที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ออกเป็น 3 ช่วงวัย คือ
1. วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (early adulthood) อายุ 18 ปี ถึง 35 ปี เป็นช่วงของชีวิตที่ร่างกาย จิตใจ
อารมณ์ และสังคมมีพัฒนาการที่ค่อนข้างสมบูรณ์
2. วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง (middle adulthood) อายุ 35 ปี ถึง 60 ปี เป็นช่วงของชีวิตที่ผ่านความ เป็นผู้ใหญ่มานานพอสมควร ส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม ซึ่งมีผลกระทบต่อลักษณะอารมณ์
3. วัยผู้สูงอายุ (later maturity) อายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นช่วงของชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทาง เสื่อมด้านร่างกาย ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจ อารมณ์ และสังคม
ผู้ท่ีจะเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ ได้ผ่านพัฒนาการทางด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมตามวัยมาแล้วหลายขั้นตอน ในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุจะมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงท้ังการ เจริญเติบโต การถดถอย และการเส่ือมของอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกาย ซ่ึงการเปล่ียนแปลงดังกล่าว จะส่งผล ต่อกระบวนการดํารงชีวิตของแต่ละช่วงวัย การเปล่ียนแปลงของบุคคลมีลักษณะเป็นปัจเจกบุคคล มีความ แตกต่างเฉพาะบุคคล ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า และยังขึ้นอยู่กับปัจจัยท่ีแตกต่างกัน ความแตกต่างของ การเปล่ียนแปลงดังกล่าว จะส่งผลต่อการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ ดังนั้น พยาบาลจึงควรมีความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ เพ่ือนําความรู้ที่ได้มาใช้ในการ พยาบาลและดูแลผู้ป่วยแต่ละบุคคล ไดเ้ หมาะสม
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ของวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุได้
2. วิเคราะห์สาเหตุหรือปัจจัยส่งเสริมที่ทําให้เกิดการเปล่ียนแปลงด้านต่างๆ ของวัยผู้ใหญ่และวัย ผู้สูงอายุได้
3. วิเคราะห์ปัญหาที่เป็นผลจากการเปล่ียนแปลงด้านต่างๆ ของวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุได้ 4. อธิบายความแตกต่างของการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุได้


การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ
ในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามวัยไปในทางเส่ือมมากกว่าการ เจริญเติบโต การเปล่ียนแปลงของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของแต่ละคนจะเกิดขึ้นไม่เท่ากัน ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อ การเปล่ียนแปลงท่ีสําคัญ คือ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม อาหาร ภาวะสุขภาพ ความเครียด พฤติกรรมในการ ดํารงชีวิต และสารต่างๆ ฯลฯ เมื่ออายุมากข้ึนเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายส่วนใหญ่ทํางานลดลงและมีจํานวน น้อยลงอาจถึง 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับวัยหนุ่มสาว ขนาดของเซลล์ท่ีเหลือจะใหญ่ข้ึน เพราะมีไขมันมาสะสม มากขึ้น ปริมาณไขมันในร่างกายเพิ่มข้ึน แคลเซียมสลายออกจากกระดูกมากขึ้นทําให้น้ําหนักกระดูกลดลงและผุ ง่ายขึ้น ปริมาณน้ําภายในเซลล์ลดลงแต่ปริมาณน้ําภายนอกเซลล์ยังคงเดิมหรือลดลงเพียงเล็กน้อย ทําให้ ปริมาณน้ําท้ังหมดภายในร่างกายลดลง ผู้สูงอายุจึงเส่ียงต่อการเกิดภาวะขาดน้ําได้ง่าย การเปล่ียนแปลงต่างๆ เหล่านี้ เช่น ผมร่วง เปล่ียนสีเป็นสีเทา ผิวหนังเห่ียวย่น ความสูงลดลง ฯลฯ ส่วนใหญ่จะเริ่มสังเกตเห็นหลังอายุ 40 ปี
ระบบผิวหนัง (Integumentary system)
การเปลี่ยนแปลงในระบบผิวหนังมีอิทธิพลมาจากพันธุกรรม ภาวะสุขภาพ อาหาร กิจกรรม และสิ่ง ท่ีมาสัมผัสกับผิวหนัง เมื่ออายุมากข้ึน ผิวหนังจะเริ่มบางลง ความเหนียวของผิวหนังเพ่ิมขึ้น เซลล์ผิวหนังมี จํานวนลดลง เซลล์ที่เหลือเจริญช้าลง อัตราการสร้างเซลล์ใหม่ข้ึนมาทดแทนเซลล์เดิมลดลง ทําให้การหายของ แผลช้าลง เส้นใยอีลาสตินลดลง แต่เส้นใยคอลลาเจนใหญ่และแข็งตัวมากขึ้น ทําให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังไม่ ดี น้ําและไขมันใต้ผิวหนังลดลง ทําให้ผิวหนังเห่ียวและมีรอยย่นมากข้ึน สามารถมองเห็นปุ่มกระดุกได้ชัดข้ึน ประกอบกับการไหลเวียนเลือดที่ผิวหนังลดลง ด้วยเหตุนี้ ผู้สูงอายุจึงมีโอกาสเกิดแผลกดทับได้ง่ายและทนต่อ ความหนาวเย็นได้น้อยลง
ต่อมเหงื่อมีจํานวนและขนาดลดลง การทํางานลดลงทําให้ไม่สามารถขับเหง่ือได้ ดังน้ัน การระบาย ความร้อนโดยวิธีการระเหยจึงไม่ดี ทําให้การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายเลวลง เกิดอาการลมแดด (heat stroke) ได้ง่ายในเวลาท่ีอุณหภูมิของอากาศสูงข้ึน ต่อมไขมันทํางานลดลง จึงทําให้ผิวหนังแห้ง คัน และแตก ง่าย เซลล์สร้างสี (melanocytes) มีจํานวนลดลง ทํางานลดลงและกระจายตัวไม่สม่ําเสมอทําให้สีผิวจางลง เฉพาะที่และในบางตําแหน่ง แต่อาจมีรงควัตถุสีดําหรือน้ําตาลสะสมเป็นแห่ง ๆ ซ่ึงมักพบบริเวณใบหน้า แขน และหลังมือ ท่ีเรียกว่า ตกกระ (lentigo senilis) จํานวน macrophages บริเวณผิวหนังลดลง เป็นเหตุให้ ภูมิคุ้มกันของผิวหนังลดลง และถูกกระตุ้นจากสิ่งต่างๆ ได้ง่าย จึงเกดิ การตดิ เช้ือ เน้ืองอกและมะเร็งไดง้ ่าย
30


31
การสัมผัสแสงแดดมากๆ มีผลทําให้ผิวหนังเสื่อมสภาพได้เร็ว เพราะแสงแดดทําให้เกิดความผิดปกติ ของยีนส์ที่ใช้ในการสร้างโปรตีน ทําให้เกิดการเสื่อมสภาพของโปรตีน การเปล่ียนแปลงน้ีจะพบในคนผิวขาว มากกว่าผิวดํา เพราะมีเมลานินน้อยกว่า
ผมและขนมีจํานวนลดลง อัตราการเจริญของผมและขนลดลงตามอายุ เมลานินซึ่งผลิตจากเซลล์สร้างสี ของผมลดลง ทําให้ผมและขนท่ัวไปสีจางลงกลายเป็นสีเทาหรือสีขาว เส้นผมร่วงและแห้งง่ายเน่ืองจากการ ไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะลดลง เส้นผมได้รับอาหารไม่เพียงพอ นอกจากน้ัน ยังเก่ียวข้องกับภาวะเครียด ตามวัยด้วย ในระยะหมดประจําเดือน ขนบริเวณรักแร้และหัวเหน่าลดลง เล็บแข็งและหนาขึ้น อัตราการเจริญ ของเล็บลดลง มุมที่โคนเล็บกว้างข้ึน สีเล็บเปล่ียนเป็นสีเหลืองมากข้ึน
การรับความรู้สึกต่ออุณหภูมิ การส่ันสะเทือนและความเจ็บปวดท่ีผิวหนังลดลง เน่ืองจากการทํางาน ของตัวรับการกระตุ้นที่ผิวหนังและการไหลเวียนเลือดปลายทางเลวลง จึงทําให้ผู้สูงอายุเกิดแผลและอุบัติเหตุท่ี ผิวหนังได้ง่าย
ระบบประสาทและประสาทสัมผัส (Nervous system and Special senses)
หลังอายุ 25 ปี เซลล์สมองและเซลล์ประสาทมีจํานวนลดลงเรื่อยๆ ทําให้น้ําหนักสมองลดลง ขนาด สมองลดลง และมีน้ําหล่อเล้ียงสมองเพิ่มขึ้น เซลล์สมองและเซลล์ประสาทมีสารไลโปฟิสซิน (lipofuscin) และ senile plaques ของ amyloid มาสะสมมากข้ึน การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้จะเกิดข้ึนช้าๆ ทําให้สังเกตได้ ยาก ประสิทธิภาพการทํางานของสมองและประสาทอัตโนมัติลดลงตามวัย ความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท (conduction velocity) ลดลงหลังอายุ 20 ปี โดยในเส้นประสาทสัมผัส (sensory nerves) จะลดลงมากกว่า เส้นประสาทยนต์ (motor nerves) ผู้หญิงจะลดลงมากกว่าในผู้ชายเล็กน้อย เป็นเหตุให้ความไวและความรู้สึก ตอบสนองต่อปฏิกิริยาต่างๆ ลดลง การเคล่ือนไหวและความคิดเช่ืองช้า จนบางครั้งอวัยวะท่ีเกี่ยวข้องกับการ เคล่ือนไหวอาจทํางานไม่สัมพันธ์กัน ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงสมควรหลีกเล่ียงการขับรถและงานท่ีต้องใช้ความไว เพราะอาจทําให้เกิดอันตรายและอุบัติเหตุได้ง่าย
ในวัยผู้สูงอายุ ความจําจะเริ่มเส่ือมลง โดยเฉพาะความจําเรื่องราวใหม่ๆ (recent memory) เพราะ ความสามารถในการเก็บข้อมูลลดลง แต่สามารถจําเรื่องราวเก่าๆ ในอดีต (remote memory) ได้ดี ความสามารถในการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ลดลง ต้องอาศัยเวลานานข้ึนและต้องเป็นเรื่องท่ีผู้สูงอายุให้ความสนใจ ด้วย ความคิดเห็นคงที่ การวิเคราะห์ และการคํานวณในด้านต่างๆ เส่ือมลง แต่ยังสามารถทํางานท่ีเคยมี ประสบการณ์มาแล้วได้ดีและประสบผลสําเร็จได้ ความกระตือรือร้นลดลง


32
แบบแผนการนอนเปลี่ยนแปลง การนอนหลับในระดับ 4 ลดลง นอนหลับไม่ลึก เวลานอนน้อยลง เวลา ต่ืนมากขึ้น จากการบันทึกคล่ืนสมองเพ่ือแสดงวงจรการนอนหลับในผู้สูงอายุเปรียบเทียบกับวัยผู้ใหญ่ และวัย เด็ก พบว่า การนอนหลับในผู้สูงอายุอยู่ในระดับลึกเพียงระดับ 3 เท่าน้ัน และมีจํานวนคร้ังของการตื่นนอนบ่อย มาก เมื่อเทียบกับวัยอ่ืน ซึ่งจะมีผลทําให้เวลานอนลดลง สาเหตุการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุอาจเน่ืองมาจาก ร่างกายขาดการออกกําลังกาย นอนกลางวันมากเกินไป และมีความวิตกกังวลในเร่ืองต่างๆ สูงขึ้น
สารส่ือสัญญาณประสาท (neurotransmitters) มีระดับเปล่ียนแปลงมากข้ึนตามวัย ในวัยผู้สูงอายุ ระดับโมโนเอมีนออกซิเดส (monoamine oxidase-MAO) และซีโรโทนิน (serotonin) ในสมองไม่ เปลี่ยนแปลง แต่ระดับนอร์อีปิเนฟรีน (norepinephrine) ซึ่งเป็น active precursor ของอีปิเนฟรีน (epinephrine) ในก้านสมองมีระดับลดลง เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุเกิดอาการซึมเศร้า (depression) ได้มากข้ึน และเป็นสาเหตุการฆ่าตัวตายที่สําคัญท่ีสุด นอกจากน้ัน การลดระดับของโดปามีน (dopamine) และสารต้น ตอของอีปิเนฟรีนอ่ืนๆ ในสมองส่วนกลางของผู้สูงอายุ ยังมีผลทําให้ผู้สูงอายุเกิดโรคพาร์คินสัน (parkinson) เพ่ิมขึ้นตามอายุด้วย
หลังอายุ 18 ปี การไหลเวียนเลือดและการใช้ออกซิเจนของสมองลดลงมากข้ึนตามอายุ ซ่ึงอาจเกิดจาก หลอดเลือดของสมองเส่ือมหน้าที่ มีภาวะหลอดเลือดแข็งตัวมากข้ึน ทําให้สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลงหรือ ขาดเลือด ซ่ึงจะมีผลทําให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมและเกิดภาวะเน้ือสมองตายได้
ในวัยผู้สูงอายุ ลูกตามีขนาดเล็กลงและลึก เพราะไขมันของลูกตาลดลง หนังตามีความยืดหยุ่นลดลง ทําให้หนังตาตก รูม่านตาเล็กลง ปฏิกิริยาตอบสนองของม่านตาต่อแสงลดลง ทําให้การปรับตัวสําหรับการ มองเห็นในสถานท่ีต่างๆ ไม่ดี โดยเฉพาะในสถานท่ีมืดหรือในเวลากลางคืน ต้องอาศัยแสงสว่างช่วยมากกว่าคน ในวัยหนุ่มสาวจึงจะมองเห็นได้ดีข้ึน แก้วตาแข็ง ยืดหยุ่นลดลง และเร่ิมขุ่นมัวมีสีเหลืองมากขึ้น ทําให้ ความสามารถในการมองเห็นและเทียบสีลดลง จึงแยกสีท่ีคล้ายกันได้ยากขึ้น โดยทั่วไปผู้สูงอายุจะสามารถแยก สีแดง สีส้ม และสีเหลืองได้ดีกว่าสีน้ําเงิน สีม่วง และสีเขียว ดังน้ัน การเลือกใช้สีท่ีเห็นได้ชัดเจนตกแต่งบ้านจะ ช่วยลดอันตราย เนื่องจากอุบัติเหตุภายในบ้านได้ การรับรู้ท่ีกระจกตาลดลง ทําให้เกิดแผลได้ง่าย บริเวณรอบๆ กระจกตาจะเห็นเป็นวงสีขาวหรือสีเทา (arcus senilis) ที่เกิดจากการสะสมของสารไลปิดเม่ือมีอายุมากขึ้น ซึ่ง จะไม่มีผลต่อการมองเห็น ยกเว้นในรายท่ีมีการสะสมของไขมันมากเกินไป อาจทําให้เกิดตาพร่ามัวได้ เนื่องจาก มีการหักเหของแสงผิดปกติ การไหลเวียนเลือดที่จอตาลดลง ทําให้เกิดการเส่ือมของจอตาได้ วุ้นในตา เส่ือมสภาพ อาจเห็นเป็นเส้นลอยไปมา กล้ามเนื้อลูกตาเสื่อมหน้าท่ี สายตายาวข้ึนมองเห็นภาพใกล้ไม่ชัด ความสามารถในการอ่านและลานสายตาลดลง ความไวในการมองตามภาพลดลง การผลิตน้ําตาลดลงทําให้ตา


33
แห้งและเกิดการระคายเคืองต่อเย่ือบุตาได้ง่าย ผู้สูงอายุบางรายอาจพบมีน้ําตามากกว่าปกติ เนื่องจากเกิดการ อุดตันของท่อน้ําตา
การได้ยินลดลง หูตึง (presbycusis) มากข้ึน พบได้ถึง 1 ใน 4 ของคนท่ีมีอายุมากกว่า 60 ปี พบใน ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สาเหตุเนื่องมาจากมีการเส่ือมของ organ of Corti และ basilar membrane ซ่ึงเป็น อวัยวะในหูชั้นในร่วมกับเส้นประสาทคู่ท่ี 8 (auditory nerve) ซ่ึงทําหน้าท่ีเกี่ยวกับการได้ยินสูญเสียหน้าที่ เยื่อ แก้วหูและอวัยวะในหูชั้นกลางแข็งตัวมากข้ึน ระดบั เสียงสูงจะสูญเสียการได้ยินมากกว่าระดับเสียงต่ํา ด้วยเหตุนี้ ผู้สูงอายุบางคนจึงกลายเป็นคนชอบแยกตัว ข้ีสงสัยและหวาดระแวงในเร่ืองต่างๆ ดังน้ัน การสื่อสารกับผู้สูงอายุ จึงไม่ควรตะโกน แต่ควรพูดด้วยเสียงทุ้ม และกรณีที่มีปัญหาการได้ยิน ควรแนะนําผู้สูงอายุให้ใช้เคร่ืองช่วยฟัง เพ่ือเพ่ิมความสามารถในการฟัง ข้ีหูถูกผลิตลดลงแต่มีการสะสมของขี้หูในช่องหูมากข้ึน เสียงพูดของผู้สูงอายุ เปลี่ยนไป เพราะมีการเสื่อมของกล้ามเน้ือกล่องเสียง สายเสียงบางลงและมีการเปลี่ยนแปลงในโพรงสะท้อน เสียง หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหูช้ันในเกิดภาวะแข็งตัว ทําให้มีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ประกอบกับระบบเวสติบูลาร์ ทํางานลดลง มีการฟ่อลีบของ cochlea ผู้สูงอายุจึงมักมีอาการเวียนศีรษะ (vertigo) และเกิดอุบัติเหตุได้
การดมกล่ินไม่ดีเพราะมีการเส่ือมของเย่ือบุโพรงจมูก ทําให้ผู้สูงอายุไม่รับรู้กลิ่นที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น กล่ินก๊าซร่ัว หรือกล่ินไฟไหม้ การรับรสของล้ินเสียไปเนื่องจากต่อมรับรสมีจํานวนลดลง การรับรสหวานจะ สูญเสียการรับรสก่อนรสเปร้ียว รสขม และรสเค็ม จึงเป็นเหตุให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารรสจัดขึ้น หรือ รับประทานอาหารไม่อร่อย และเกิดภาวะเบ่ืออาหาร
ระบบกล้ามเน้ือและกระดูก (Musculoskeletal system)
หลังอายุ 30 ปี จํานวนและขนาดเส้นใยของกล้ามเน้ือลดลง มีเนื้อเย่ือพังผืด ไขมัน และคอลลาเจนเข้า แทนท่ีมากข้ึน มวลของกล้ามเนื้อลดลง มีการสะสมของสารไลโปฟิสซินมากข้ึน กําลังการหดตัวของกล้ามเนื้อ ลดลง ระยะเวลาที่ใช้ในการหดตัวแต่ละครั้งจะนานขึ้น ทําให้การเคล่ือนไหวในลักษณะต่างๆ ช้าลง สาเหตุอาจ เกิดจากการทํางานของระบบต่อมไร้ท่อลดลง ร่างกายขาดการออกกําลังกาย ขาดสารอาหาร และ ประสิทธิภาพการทํางานของเอ็นไซม์ในกล้ามเน้ือ (myosin ATPase) ลดลง ปริมาณกลัยโคเจนและโปรตีนท่ี สะสมในกล้ามเน้ือลดลงตามจํานวนและขนาดของกล้ามเน้ือท่ีลดลง เป็นเหตุให้ร่างกายของผู้สูงอายุเกิดภาวะ เสียดุลไนโตรเจนได้ง่าย กล้ามเนื้ออาจมีอาการส่ัน (tremor) เน่ืองจาก extrapyramidal system เส่ือมสภาพ เอ็นอาจแข็งตัวทําให้รีเฟล็กซ์ลดลงและกล้ามเนื้ออาจแข็งเกร็งได้
หลังอายุ 40 ปี อัตราการเส่ือมของกระดูกจะมากกว่าอัตราการสร้างท้ังในผู้หญิงและผู้ชาย เซลล์ กระดูกลดลง แคลเซียมมีการสลายออกจากกระดูกมากขึ้น ทั้งนี้อาจเกิดจากการรักษาระดับแคลเซียมในเลือด


34
ให้คงที่เนื่องจากแคลเซียมถูกดูดซึมจากลําไส้น้อยลง และมีการสูญเสียแคลเซียมมากขึ้นท้ังทางลําไส้และทางไต เพราะขาดวิตามินดี (1,25 dihydroxyvitaminD3) ซ่ึงเป็นปัจจัยสําคัญในการดูดซึมแคลเซียมท่ีลําไส้และดูด กลับแคลเซียมท่ีไต สาเหตุท่ีสําคัญอีกประการหนึ่งในผู้หญิงคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนซ่ึงออกฤทธ์ิกระตุ้นการ ทํางานของ osteoblasts ลดลงหลังหมดประจําเดือน ทําให้แคลเซียมสลายจากกระดูกมากขึ้น กระดูกของ ผู้สูงอายุจึงเปราะและหักง่ายแม้ว่าจะไม่ได้รับอุบัติเหตุ แคลเซียมท่ีสลายอออจากกระดูกน้ีมักไปเกาะบริเวณ กระดูกอ่อนในอวัยวะต่างๆ ท่ีสําคัญ คือ บริเวณกระดูกอ่อนชายโครง จึงเป็นเหตุให้ทรวงอกเคล่ือนไหวน้อยลง การหายใจลําบากข้ึนต้องอาศัยการทํางานของกระบังลมมากข้ึน นอกจากน้ันแคลเซียมอาจไปเกาะที่เนื้อเย่ือ อื่นๆ เช่น ผนังหลอดเลือดทําให้ความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดลดลง ความยาวของกระดูกสันหลังลดลง เพราะหมอนรองกระดูกบางลง กระดูกสันหลังผุมากข้ึนทําให้หลังค่อมหรือหลังค่อมเอียงมากขึ้น กระดูกจึง เคล่ือนไปกดเส้นประสาทได้ ความสูงจะลดลงประมาณ 1.5-2 น้ิวทุก 20 ปี หลังอายุ 40 ปี ความยาวของ กระดูกยาวคงท่ี ขนาดของกระดูกยาวอาจใหญ่ข้ึน แต่ภายในจะกลวงมากข้ึน รูปร่างของผู้สูงอายุจึงไม่สมส่วน
บริเวณข้อจะเกิดการเปลี่ยนแปลงท้ังรูปร่างและส่วนประกอบ ข้อใหญ่ข้ึน กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่างๆ บางลงและเส่ือมมากขึ้นตามอายุ น้ําไขข้อลดลง เป็นเหตุให้กระดูกเคลื่อนที่มาสัมผัสกัน ได้ยินเสียงกรอบแกรบ ขณะเคล่ือนไหว เกิดการเสื่อมของข้อ การเคล่ือนไหวของข้อต่างๆ ไม่สะดวกเกิดการติดแข็ง ข้ออักเสบและติด เช้ือได้ง่าย ทําใหม้ ีอาการปวดตามข้อ ข้อท่ีพบว่ามีการเส่ือมได้บ่อย คือ ข้อเข่า ข้อสะโพก และข้อกระดูกสันหลัง
ระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด (Cardiovascular system)
เมื่ออายุมากข้ึน ลักษณะโครงสร้างและขนาดของหัวใจไม่เปล่ียนแปลง กล้ามเน้ือหัวใจเร่ิมฝ่อลีบมี เนื้อเย่ือพังผืด ไขมัน และสารไลโปฟิสซินมาสะสมภายในเซลล์มากขึ้น ขนาดของหัวใจที่ใหญ่ขึ้น มักเกิดจาก พยาธิสภาพของโรคหัวใจ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง หลังอายุ 30 ปี ผนังของหัวใจห้องล่างซ้าย (left ventricle) จะหนาข้ึน ลิ้นหัวใจแข็งและหนาข้ึนมีแคลเซียมมาเกาะมากขึ้น ทําให้การปิดเปิดของล้ินหัวใจ ไม่ดี ภาวะลิ้นหัวใจร่ัวและตีบได้ จึงเป็นเหตุให้พบภาวะเอ็มโบไลและธรอมโบสิสได้บ่อยข้ึน ประสิทธิภาพการ ทํางานของหัวใจลดลง กําลังการหดตัวลดลง ระยะเวลาท่ีใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจเพ่ิมขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากมีการหลั่งแคลเซียมซ่ึงจําเป็นในการหดตัวของกล้ามเน้ือจาก sarcoplasmic reticulum ช้าลงเม่ือ อายุมากข้ึน รวมทั้งมีไขมันและเน้ือเยื่อพังผืดท่ี S-A node, A-V node และ bundle branches มากข้ึนด้วย จากสาเหตุดังกล่าวจะทําให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลงและกล้ามเนื้อหัวใจมีความไวต่อสิ่งเร้าลดลง ดังน้ัน ใน ภาวะท่ีจําเป็นต้องมีการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น ภาวะเครียดต่างๆ อัตราการเต้นของหัวใจจะไม่ สามารถเพ่ิมได้มากเหมือนในวัยหนุ่มสาว และอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วข้ึนด้วยเหตุใดก็ตามจะต้องอาศัย


35
เวลานานมากข้ึน จึงจะกลับคืนสู่ระดับปกติ หลังอายุ 25 ปี ปริมาณเลือดท่ีออกจากหัวใจในเวลา 1 นาทีลดลง ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี กําลังสํารองของหัวใจ (cardiac reserve) ลดลง จึงมักพบผู้สูงอายุเกิดภาวะหัวใจ วายได้ง่าย โดยเฉพาะในกรณีท่ีหัวใจต้องทํางานมากขึ้นหรือในภาวะฉุกเฉิน เน่ืองจากปริมาณเลือดท่ีออกจาก หัวใจในเวลา 1 นาทีไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ตามความต้องการ กล้ามเน้ือหัวใจมีแคลเซียมมาเกาะมากข้ึน ทําให้ ระบบการสื่อนําคลื่นไฟฟ้าของหัวใจเปลี่ยนแปลง ดังน้ัน ผู้สูงอายุจึงมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือ ภาวะการปิดกั้นคล่ืนไฟฟ้าของหัวใจอย่างสมบูรณ์ได้
หลอดเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมมากข้ึน ผนังหลอดเลือดฝอยหนาข้ึนทําให้การ แลกเปลี่ยนอาหารและของเสียลดลง ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นน้อยลง เพราะมีเส้นใยคอลลาเจนมากขึ้น และมีการเชื่อมกันตามขวางของเส้นใยคอลลาเจนเหล่าน้ีด้วย เส้นใยอีลาสตินมีแคลเซียมมาเกาะมากข้ึน ท่ี เรียกว่า elastocalcinosis ทําให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ความเร็วของชีพจรลดลง อัตราการเต้นของ ชีพจรลดลงตามอายุ รูภายในหลอดเลือดแคบเข้า จึงมีโอกาสเกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้ง่าย ความ ต้านทานของหลอดเลือดปลายทางเพ่ิมข้ึน ทําให้ความดันภายในหลอดเลือดเพ่ิมมากขึ้น เพื่อเพ่ิมปริมาณเลือด ให้เพียงพอกับการทํางานของร่างกาย ดังน้ัน ระดับความดันซีสโตลิคและไดแอสโตลิคจึงเพ่ิมขึ้น หลอดเลือด ฝอยไม่สมบูรณ์และเปราะบาง ทําให้เกิดรอยฟกซ้ําได้ง่าย เลือดไปเล้ียงอวัยวะต่าง ๆ ลดลง ซึ่งจะพบมากบริเวณ สมอง หัวใจ และไต ทําให้อวัยวะเหล่าน้ีทํางานลดลง เกิดการเสื่อมและตายในท่ีสุด เน่ืองจากการตอบสนองของ baroceptor (อยู่ท่ีผนังของ carotid sinus และ aortic arch) ต่อการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิตในผู้สูงอายุ ลดลงร่วมกับความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดลดลง จึงทําให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ําเม่ือเปล่ียนท่าทาง (postural hypotension) ได้ง่าย ดังน้ัน การเปล่ียนท่าทาง (posture) ต่างๆ ในผู้สูงอายุ จึงควรกระทําอย่าง ช้าๆ การไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดของหัวใจ (coronary vessels) ลดลง ทําให้หัวใจได้รับออกซิเจนน้อยลง ร่วมกับประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจนของกล้ามเน้ือหัวใจลดลง จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และตายได้ หลอดเลือดดําโป่งพองมากข้ึน ทําให้ปริมาณเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจลดลงและมีเลือดคั่งในหลอด เลือดดํามากข้ึน
ปริมาณเลือดท้ังหมดในร่างกายคงท่ี เม็ดเลือดแดงมีอายุคงท่ี แต่การสร้างทดแทนเซลล์เก่าจะช้าลง เนื่องมาจากการขาดสารอาหารท่ีเก่ียวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก ทําให้จํานวนเม็ดเลือดแดง และระดับฮีโมโกลมินลดลง ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่ายขึ้น จํานวนและการกระจายของเม็ด เลือดขาวไม่เปล่ียนแปลง ความสามารถในการกลืนทําลายเชื้อโรค (phagocytosis) ปกติ จํานวนและโครงสร้าง ของเกร็ดเลือดคงที่ แต่ไฟบริโนเจนมีระดับสูงข้ึน ค่า ESR (erythrocyte sedimentation rate) สูงขึ้น เกิดจาก การเพิ่มระดับของไฟบริโนเจนและการเปล่ียนแปลงของโปรตีนในพลาสม่า


36
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายท้ังระบบ CMI (cell mediated immunity) และระบบ HI (humoral immunity) ทํางานลดลง ทําให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย จํานวนของ T-lymphocytes ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เซลล์ จํานวนมากอยู่ในระยะ immature เพราะขาดฮอร์โมนจากต่อมธัยมัส อัตราส่วนของ helper T cells ต่อ suppressor T cells เพิ่มขึ้น (suppressor T cells มีจํานวนลดลง) ดังน้ัน กลไกการตอบสนองของ T- lymphocytes ต่อเช้ือโรคหรือส่ิงแปลกปลอมต่างๆ (antigenic stimuli) จึงลดลง จํานวน B-lymphocytes ท่ี ต่อมน้ําเหลืองและม้าม ซ่ึงทําหน้าท่ีสร้างแอนติบอดีย์หรืออิมมูโนโกลบูลินคงท่ี แต่ประสิทธิภาพการทํางานของ แอนติบอดีย์เลวลง ทําให้สามารถตอบสนองต่อแอนติเจนที่มากระตุ้นได้น้อยลง นอกจากนั้นแอนติบอดีย์อาจ ทํางานผิดปกติไม่สามารถแยกเซลล์ปกติออกจากเซลล์ผิดปกติได้ ประกอบกับจํานวนของ suppressor T cells ลดลงจึงเกิดปฏิกิริยาการทําลายเซลล์ของตัวเองท่ีเรียกว่า autoimmune reaction ได้มากข้ึนตามอายุ
ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory system)
หลังอายุ 30 ปี หลอดลมและปอดมีขนาดใหญ่ขึ้น ความยืดหยุ่นของเน้ือปอดลดลง เพราะมีเส้นใย อีลาสตินลดลง ความแข็งแรงและกําลังการหดตัวของกล้ามเน้ือท่ีช่วยในการหายใจเข้าและหายใจออกลดลง การเปลี่ยนแปลงของกระดูกสันหลังและกระดูกซ่ีโครงตามวัยจะทําให้ทรวงอกมีลักษณะผิดรูป ผนังทรวงอกแข็ง ข้ึน การเคล่ือนไหวของกระดูกซี่โครงลดลง เพราะมีแคลเซียมมาเกาะที่กระดูกอ่อนชายโครงมากข้ึน รูปร่างของ ทรวงอกเปล่ียนเป็นรูปถังมากข้ึน เย่ือหุ้มปอดแห้งและทึบ กล้ามเน้ือหายใจทํางานลดลง จากสาเหตุต่างๆ ดังกล่าวมีผลทําให้ความยอมตามของปอด (lung compliance) ลดลง ปอดยืดขยายและหดตัวได้น้อยลง การ ระบายอากาศหายใจ (ventilation) ลดลง ซึ่งจะสามารถพบได้มากขึ้นในผู้สูงอายุท่ีมีภาวะหลังค่อมหรือหลัง ค่อมเอียง เน่ืองจากกระดูกสันหลังเส่ือม ความจุส่วนเหลือใช้งานได้ (functional residual capacity-FRC) เพ่ิมข้ึน และปริมาตรอาการค้างภายในปอด (residual volume-RV) เพิ่มขึ้น ความจุรวมของปอด (total lung capacity-TLC) ไม่เปลี่ยนแปลง เนื้อท่ีเสียเปล่า (dead space) เพ่ิมขึ้น แต่ก็ยังมีความสมดุลกับความต้องการ ออกซิเจนที่ลดลงในผู้สูงอายุ ความจุของการหายใจสูงสุด (maximal breathing capacity-MBC) และปริมาตร อากาศหายใจออกเต็มที่ใน 1 วินาที (forced expiratory volume in 1 sec.-FEV1) ลดลง
ถุงลมมีจํานวนลดลง ถุงลมท่ีเหลือจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ผนังถุงลมแตกง่ายเนื่องจากเนื้อเย้ือเกี่ยวพันท่ี ห่อหุ้มถุงลมลดลง และมีการเชื่อมต่อกันตามขวาง (cross-linkage) มากข้ึน จึงเกิดโรคถุงลมโป่งพองได้ง่ายขึ้น การไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดฝอยท่ีถุงลมหรือการกําซาบเลือด (perfusion) ลดลง การซึมซ่านของกาซผ่าน ถุงลมและหลอดเลือดฝอย (diffusion) ลดลง เนื่องจากเน้ือที่ท่ีใช้ในการซึมซ่านลดลงร่วมกับผนังหลอดเลือด ฝอยหนาและแข็งตัวมากข้ึน อัตราส่วนระหว่างการระบายอากาศและการกําซาบเลือดไม่ได้สัดส่วนกัน


37
(ventilation-perfusion mismatching) ดังน้ัน เปอร์เซ็นต์อ่ิมตัวของออกซิเจนในฮีโมโกลบินจึงลดลง และค่า ความดันออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) ลดลง ส่วนค่าความดันคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดแดง (PaCO2) ไม่ เปลี่ยนแปลง เน่ืองจากอัตราการซึมซ่านของกาซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าออกซิเจนถึง 20 เท่า และการ ระบายอากาศหายใจยังเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
การทํางานของเซลล์ขน (cilia) ตลอดทางเดินหายใจลดลง รีเฟล็กซ์การไอลดลง ประสิทธิภาพการไอ ลดลง เนื่องจากมีการแข็งตัวของผนังทรวงอกและการทํางานของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจออกลดลง ทําให้ การกําจัดส่ิงแปลกปลอมภายในทางเดินหายใจไม่ดี ประกอบกับปริมาณ Ig A ในสารคัดหลั่งและ alveolar macrophage ลดลง จึงเกิดการติดเช้ือในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย การทํางานของฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis) เลวลง เป็นเหตุให้เกิดอาการสําลักและเกิดโรคปอดบวมได้ง่ายข้ึน
ระบบทางเดินอาหาร (Digestive system)
ในวัยผู้สูงอายุ ฟันไม่แข็งแรง เคลือบฟันบางลง แตกง่าย และมีสีคล้ําข้ึน เพราะมีการดูดซึมสารท่ีมีสีเข้า ไปสะสมมากข้ึน เหงือกท่ีหุ้มคอฟันร่นลงไป ทําให้ฟันยาวข้ึน เซลล์สร้างฟันลดลงมีเน้ือเยื่อพังผืดเข้าแทนที่มาก ขึ้น ทําให้การสร้างฟันลดลงท้ังปริมาณและคุณภาพ ฟันผุหรือหลุดร่วงง่ายขึ้น ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีฟัน ต้องใส่ฟันปลอม แต่ในรายท่ีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีจะไม่สามารถใส่ฟันปลอมได้ เป็นเหตุให้การเคี้ยวอาหารไม่ สะดวก ต้องรับประทานอาหารอ่อนและย่อยง่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ทําให้ขาด สารอาหารประเภทอ่ืนที่สําคัญต่อร่างกายได้ ต่อมน้ําลายเส่ือมหน้าท่ี มีเนื้อเยื่อพังผืดและไขมันสะสมมากขึ้น การผลิตเอ็นไซม์ไทยาลิน (ptyalin) และน้ําลายลดลง ทําให้การย่อยแป้งและน้ําตาลในปากลดลง ปากและล้ิน แห้ง (xerostomia) การติดเช้ือในปากมากขึ้น การรับรสของล้ินเสียไป จึงเกิดภาวะเบ่ืออาหารมากข้ึน
เซลล์บริเวณหลอดอาหารเปลี่ยนแปลง เซลล์เย่ือบุชนิดแท่งลดลง และมีเซลล์เย่ือบุชนิดแบนเข้าแทนท่ี มากข้ึน ซ่ึงพบมากในส่วนล่างของหลอดอาหาร นอกจากนั้นยังพบมีการย่ืนโป่งพองของหลอดอาหารมากข้ึน ด้วย การเคล่ือนไหวของหลอดอาหารลดลง หลอดอาหารมีขนาดกว้างข้ึน เนื่องจากกล้ามเน้ือของหลอดอาหาร และคอหอยอ่อนกําลังลง ทําให้ระยะเวลาที่อาหารผ่านหลอดอาหารช้าลง กล้ามเน้ือหูรูดบริเวณปลายหลอด อาหารหย่อนตัวและทํางานช้าลง เป็นเหตุให้อาหารในกระเพาะอาหารสามารถย้อนกลับข้ึนมาในหลอดอาหาร ได้ง่าย ทําให้เกิดความรู้สึกแสบยอดอก และบางครงั้ อาจเกดิ การสําลักเข้าสู่หลอดลม ทําให้เกิดโรคปอดบวมได้
การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารลดลง เน่ืองจากความตึงตัวของกล้ามเน้ือและการทํางานของ กล้ามเน้ือในกระเพาะอาหารลดลง ร่วมกับมีความผิดปกติทางด้านจิตใจและความวิตกกังวลในด้านต่างๆ สูงขึ้น อาหารอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น ทําให้เกิดความรู้สึกหิวน้อยลง เม่ืออายุมากข้ึน เยื่อบุกระเพาะอาหาร


38
โดยเฉพาะอย่างย่ิงบริเวณแอนทรัมและฟันดัสบางลงและฟ่อลีบ (atrophic gastritis) เป็นเหตุให้การผลิต น้ําย่อย กรดเกลือ และเอ็นไซม์เปปซิน (pepsin) ในกระเพาะอาหารลดลง และผลเนื่องจากมีการลดระดับกรด เกลือในกระเพาะอาหาร จะทําให้การดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมและธาตุเหล็กซึ่งดูดซึมได้ดีในสภาพความเป็นกรด ลดลง ผู้สูงอายุจึงเกิดโรคกระดูกผุและโรคโลหิตจางได้ง่าย นอกจากนั้น การลดระดับของอินทรินสิคแฟคเตอร์ ซึ่งเป็นกลัยโคโปรตีนท่ีมีอยู่ในน้ําหล่ังจากบริเวณคาร์เดียและฟันดัสของกระเพาะอาหาร จะเป็นเหตุให้การดูด ซึมวิตามินบี 12 ท่ีลําไส้เล็กส่วนอิเลียมลดลง จึงเกิดโรคโลหิตจางชนิด pernicious anemia ในผู้สูงอายุได้มาก ข้ึน
การไหลเวียนเลือดตลอดทางเดินอาหารลดลง หลอดเลือดบางแห่งโป่งพอง ทําให้มีโอกาสเกิดการตก เลือดในทางเดินอาหารได้ง่าย เยื่อบุทางเดินอาหารบางลงและเส่ือมหน้าท่ี เนื่องจากการแบ่งตัวของเซลล์ลดลง ซ่ึงจะพบมากบริเวณลําไส้เล็กส่วนต้น เป็นเหตุให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ในลําไส้เล็กไม่ดี จึง เกิดภาวะขาดสารอาหารได้ การเคล่ือนไหวของลําไส้เล็กและลําไส้ใหญ่ลดลง ประกอบกับกําลังการหดตัวของ กล้ามเน้ือหน้าท้องลดลง ผู้สูงอายุชอบรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่ายไม่มีกาก ร่างกายเคลื่อนไหวน้อยลง การ กระหายน้ําน้อยลง และพบมีภาวะไดเวอร์ติคูโลสิส (diverticulosis) ของลําไส้ใหญ่ ซ่ึงเกิดจากการหย่อนตัว ของ mucosa และ submucosa ผ่านชั้นกล้ามเนื้อ ทําให้มีลักษณะเป็นกระพุ้ง เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะ ท้องผูกมากข้ึน กล้ามเน้ือหูรูดช้ันนอกท่ีทวารหนักหย่อนตัว ทําให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะกล้ันอุจจาระไม่ได้ และถ่าย อุจจาระกะปริบกะปรอย
ขนาดและน้ําหนักของตับลดลง เซลล์ตับมีจํานวนลดลงมีเนื้อเย่ือพังผืดเข้าแทนท่ีมากข้ึน เซลล์ตับท่ี เหลือขนาดใหญ่ขึ้น การไหลเวียนเลือดท่ีตับลดลง ปริมาณกลัยโคเจนซึ่งสะสมท่ีตับลดลง ประสิทธิภาพการ ทําลายพิษต่าง ๆ ของตับลดลง การผลิตเอ็นไซม์และโปรตีนที่ตับลดลง แต่ระดับเอสจีพีที เอสจีโอที บิลิรูบิน และแอลคาไลน์ฟอสฟาเตสคงท่ี ระดับโปรตีนรวมในเลือดลดลง ระดับแอลบูมินในเลือดลดลง แต่ระดับโกลบูลิน เพ่ิมขึ้น ปริมาณน้ําดีรวมลดลง ระดับคลอเลสเตอรอลในน้ําดีและความหนืดของน้ําดีเพิ่มขึ้นตามอายุ มีผลทําให้ ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดน่ิวในถุงน้ําดี (gallstone) พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
น้ําหนักและขนาดของตับอ่อนลดลง แต่มีไขมันมาสะสมมากข้ึน การผลิตเอ็นไซม์เปล่ียนแปลงโดยส่วน ใหญ่จะมีการลดลงท้ังปริมาณและความเข้มข้น ระดับเอ็นไซม์อะมัยเลสลดลงแต่ยังมีปริมาณเพียงพอสําหรับการ ย่อยสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ระดับไลเปสและทริปซินลดลง แต่ระดับไบคาร์บอนเนตยังคงท่ี ซ่ึงจะมีส่วน ช่วยให้ผู้สูงอายุเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารลดลง


ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ (Genitourinary system)
หลังอายุ 20 ปี ขนาดของไตลดลง น้ําหนักไตและหน่วยไตมีจํานวนลดลง หน่วยไตท่ีเหลือจะมีขนาด ใหญ่ขึ้น ผนังหลอดเลือดแดงท่ีไปเลี้ยงไตแข็งตัว ทําให้การไหลเวียนเลือดในไตลดลง และอัตราการกรองของไต ลดลง การทํางานของท่อไตลดลงทําให้การดูดกลับของสารต่างๆ น้อยลง ความสามารถในการทําให้ปัสสาวะ เข้มข้นข้ึนลดลง เป็นเหตุให้ปัสสาวะเจือจางมากขึ้น ร่างกายเกิดการสูญเสียน้ําและอีเล็คโตรลัยท์ได้ ความ ถ่วงจําเพาะของปัสสาวะและออสโมลาลิต้ีลดลง ระดับพิกัดท่ีไต (renal threshold) ตอ่ สารต่างๆ เปล่ียนแปลง อาจเพ่ิมขึ้นหรือลดลงข้ึนอยู่กับชนิดของสารน้ันๆ จึงเป็นเหตุให้บางคร้ังสามารถตรวจพบโปรตีนและกลูโคสใน ปัสสาวะได้
กล้ามเน้ือกระเพาะปัสสาวะอ่อนกําลังลง กําลังการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะจึงลดลง ทําให้มี ปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น ประกอบกับขนาดของกระเพาะปัสสาวะลดลง ความจุของกระเพาะ ปัสสาวะลดลง ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงถ่ายปัสสาวะบ่อย ตัวรับการกระตุ้น (stretch receptor) ในกระเพาะปัสสาวะ ทํางานลดลง ทําให้ผู้สูงอายุรู้สึกปวดถ่ายปัสสาวะเม่ือมีปัสสาวะเต็มในกระเพาะปัสสาวะ
ในผู้ชาย ต่อมลูกหมากโตและผลิตสารคัดหล่ังได้น้อยลง ทําให้ถ่ายปัสสาวะลําบากต้องถ่ายบ่อยคร้ัง ลูก อัณฑะเห่ียวเล็กลง และผลิตเชื้ออสุจิได้น้อยลง ขนาดและรูปร่างของเช้ืออสุจิเปลี่ยนแปลงและมีความสามารถ ในการผสมกับไข่ลดลง แต่ยังสามารถผสมกับไข่ได้จนอายุ 80 ปี ความหนืดของน้ําเช้ือลดลง ไขมันบริเวณใต้หัว เหน่าและขนลดลงทงั้ สองเพศ
ในผู้หญิง รังไข่จะฝ่อเล็กลง ผิวรังไข่ซีดขาวและย่นมากข้ึน ปีกมดลูกเหี่ยว เยื่อบุภายในปีกมดลูกแบน เรียบปราศจากขน มดลูกมีขนาดเล็กลง เยื่อบุภายในมดลูกบางลงมีเน้ือเย่ือพังผืดมากขึ้น แต่ยังสามารถ ตอบสนองต่อการกระตุ้นของฮอร์โมนได้ดี ปากมดลูกเหี่ยวและขนาดเล็กลง ไม่มีเมือกหล่อลื่น ช่องคลอดแคบ และสั้นลง เยื่อบุช่องคลอดบางลงทําให้ผลิตสารหล่อล่ืนได้น้อยลง รอยย่นและความยืดหยุ่นของช่องคลอดลดลง เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกเจ็บในระหว่างร่วมเพศและความรู้สึกทางเพศลดลง ช่องคลอดสีขาวซีดเพราะมีเลือดมา เล้ียงน้อยลง ภายในช่องคลอดมีสภาวะเป็นด่างมากข้ึน ทําให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย อวัยวะสืบพันธ์ุ ภายนอกเห่ียวย่น เพราะไขมันใต้ผิวหนังลดลง แคมสีซีดมีขนาดเล็กลง กล้ามเน้ือภายในอุ้งเชิงกรานหย่อนตัว ทําให้เกิดภาวะกระบังลมหย่อน และกลั้นปัสสาวะไม่ได้
ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine system)
ต่อมใต้สมองขนาดลดลง มีเนื้อเย่ือพังผืดเข้าแทนที่มากข้ึน การไหลเวียนเลือดท่ีต่อมใต้สมองลดลง การ ผลิตฮอร์โมนต่างๆ ลดลง
39


40
ต่อมธัยรอยดม์ ีเนื้อเย่ือพังผืดมาสะสมมากข้ึน การทํางานของต่อมธัยรอยด์ลดลงตามอายุเนื่องจากกลไก การกระตุ้นต่อมธัยรอยด์จาก TSH ล้มเหลว ทําให้ระดับไตรไอโอโดธัยโรนิน (T3) มีปริมาณลดลง แต่ระดับธัย รอคซิน (T4) ยังคงท่ี อัตราการสร้างและสลายของธัยรอยด์ฮอร์โมนในผู้สูงอายุลดลง ดังน้ัน อัตราการครองธาตุ ในภาวะพ้ืนฐาน (basal metabolic rate) จึงลดลง เป็นผลให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะ hypothyroidism ซ่ึงจะพบ ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ทําให้มีอาการอ่อนเพลีย เบ่ืออาหารและน้ําหนักลดลงได้
ต่อมพาราธัยรอยด์ทํางานลดลงตามอายุ แต่การทํางานของฮอร์โมนพาราธัยรอยด์จะเพ่ิมขึ้นในวัย ผู้สูงอายุ เพราะระดับเอสโตรเจนซ่ึงออกฤทธ์ิต้านการทํางานของฮอร์โมนพาราธัยรอยด์มีระดับลดลง
ต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex) มีเนื้อเย่ือพังผืดและรงควัตถุเพิ่มขึ้น อัตราการหลั่งของ คอร์ติซอลลดลง มีผลกระตุ้นกลับให้ต่อมใต้สมองมีการสร้าง ACTH ในร่างกายลดลงหรือเพ่ิมขึ้นได้ ระดับแอล โดสเตอโรนทั้งในเลือดและในปัสสาวะลดลง ทําให้มีการสูญเสียโซเดียมออกไปกับปัสสาวะมากข้ึน การหล่ังรีนิน (renin) ลดลงตามอายุ และไม่ตอบสนองต่อการลดลงของระดับโซเดียม การเปล่ียนท่าทาง หรือการออกกําลัง กาย ระดับฮอร์โมนเพศจากต่อมหมวกไตลดลง ระดับ 17-คีโตสเตียรอยด์ในปัสสาวะลดลง
ต่อมหมวกไตส่วนใน (adrenal medulla) ผลิตอีปิเนฟรีน และนอร์อีปิเนฟรีน ในระดับคงที่เมื่อถูก กระตุ้น แต่ในผู้สูงอายุต้องอาศัยระยะเวลาในการหลั่งนานกว่าวัยอื่นๆ
เม่ืออายุมากข้ึน ตับอ่อนหล่ังอินสุลินลดลงและช้า ระดับน้ําตาลในเลือดขณะอดอาหารคงที่ เนื้อเยื่อ ต่างๆ ภายในร่างกายตอบสนองต่ออินสุลินน้อยกว่าปกติ เป็นผลให้ระดับความทนต่อน้ําตาล (glucose tolerance) ลดลง ระดับน้ําตาลในเลือดจึงสูงนานกว่าปกติ ระดับกลูคากอนลดลงและตอบสนองต่อส่ิงกระตุ้น ช้าลง
ต่อมเพศทํางานลดลงและไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง คือ FSH และ LH รังไข่หยุดทํางานไม่หล่ังเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ดังน้ัน แหล่งผลิตเอสโตรเจนที่สําคัญในผู้สูงอายุ คือ ต่อมหมวกไตส่วนนอก ในผู้หญิง การลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลทําให้ผู้สูงอายุไม่มีประจําเดือน อวัยวะ ต่างๆ ในระบบสืบพันธุ์เสื่อมลงและสูญเสียหน้าท่ี ขนบริเวณรักแร้และหัวเหน่าลดลง ผู้สูงอายุบางรายอาจมีการ เปล่ียนแปลงทางด้านจิตใจได้โดยอาจมีอาการหงุดหงิด โกรธง่าย ตกใจง่าย ซึมเศร้า ฯลฯ สําหรับผู้ชาย การ เปล่ียนแปลงเกิดน้อยกว่าในผู้หญิง เพราะการหล่ังฮอร์โมนเพศชายค่อยๆ ลดลงทีละน้อย แต่ก็มีผลทําให้ ลักษณะของเพศชาย (secondary sex characteristic) ลดลง ได้แก่ กล้ามเนื้อขนาดเล็กลง ขนน้อยลง เสียง เล็กลงได้ ความรู้สึกทางเพศในผู้สูงอายุอาจเพ่ิมข้ึนหรือลดลงข้ึนอยู่กับส่ิงแวดล้อมและการหาทางออกของ พฤติกรรมในผู้สูงอายุ แต่ส่วนมากมักพบผู้สูงอายุมีความสนใจและรู้สึกทางเพศมากขึ้น


การเปล่ียนแปลงทางจิตสังคมในวัยผ้ใูหญ่และวัยผสูู้งอายุ
41
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคมในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น
วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นระยะของการทดลอง เพื่อหาแนวทางชีวิตที่ตนต้องการและพอใจสืบต่อ เนื่องมาจากวัยรุ่น เช่น อาชีพ เพื่อน คู่ครอง ฯลฯ สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีความมั่นคงทางจิตใจ มากกว่าวัยรุ่น มีความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ยึดเกาะติดใครอยู่ตลอดเวลา แก้ไขปัญหาและทนต่อ ความผิดหวังได้ มีการคํานึงถึงความต้องการของผู้อื่น
สังคมมักคาดหวังว่า วัยผู้ใหญ่ตอนต้นจะต้องมีบทบาทของความรับผิดชอบในการทํางานประกอบ อาชีพ และมีพัฒนาการที่ดีในด้านความสนใจ เจตคติ และค่านิยมต่างๆ เพื่อปรับตัวต่อบทบาทใหม่ได้ การเป็น สามี ภรรยา เป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกน้องหรือหัวหน้างาน หากผู้ใหญ่ตอนต้นสามารถปรับตัวให้ทํางาน ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข จะสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ดี มีความเต็มใจในการเสียสละ และ กล้าหาญพอที่จะช่วยรับผิดชอบต่อส่วนรวม สามารถทําตัวให้เป็นที่ยอมรับของผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่าตนได้ ความสําเร็จทางสังคมเหล่านี้จะช่วยให้วัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีความมั่นคงทางอารมณ์มากยิ่งขึ้น เมื่อสิ้นสุดวัยผู้ใหญ่ ตอนต้น ผู้ใหญ่ทุกคนควรจะมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคมในวยัผู้ใหญ่ตอนกลาง
วัยผู้ใหญ่ตอนกลางมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายหลายอย่าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของ ฮอร์โมนเพศ มีผลต่อจิตใจของผู้หญิงในวัยผู้ใหญ่ตอนกลางอย่างมาก ถือเป็นช่วงวิกฤต ถ้าปรับตัวไดัดี ชีวิตก็จะ มีความสุข ถ้าปรับตัวไม่ได้จะกระทบกระเทือนต่อลักษณะอารมณ์และจิตใจ อาจทําให้กระทบกระเทือนถึง หน้าที่การงานด้วย การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจมากน้อย ขึ้นกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงมีความหมายต่อบุคคลนั้น
เพียงใด บางรายอาจมีอาการน้อยมากจนสังเกตไม่เห็น แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรง ทําให้การยอมรับนับถือ ตนเองและมีความพึงพอใจในตนเองตํา่
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดขึ้นมากพอๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย วัยผู้ใหญ่ตอนกลางมักจะ มีฐานะทางสังคมค่อนข้างดี เนื่องจากมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคง ตําแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น มีเวลาให้กับ สังคมมากขึ้น เพราะภารกิจในครอบครัวลดลง ลูกบางคนอาจแต่งงานและแยกครอบครัวไป บางคนอาจเปลี่ยน บทบาทเป็น ปู ย่า หรือ ตา ยาย บทบาทในการอบรมเลี้ยงดูบุตรมีน้อยลง สังคมภายในบ้านมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากลูกโตขึ้น เสียงทะเลาะกันระหว่างลูกๆ หมดไปกลายเป็นความเงียบเข้ามาแทนที่ บทบาทของสามี ภรรยาอาจจะต้องเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข บทบาททางสังคมที่อาจต้องปฏิบัติ คือ การเลี้ยงดูพ่อแม่


42
น้า อา หรือ ป้า ซึ่งอยู่ในวัยผู้สูงอายุ เนื่องจากมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสามารถเป็นที่พึ่งพาของพ่อแม่และ ญาติได้ ถ้าทําหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์อาจทําให้เกิดความวิตกกังวล
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคมในวัยผู้สงูอายุ
วัยผู้สูงอายุเป็นช่วงรอยต่อของชีวิตซ่ึงเปล่ียนจากวัยกลางคนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ทําให้ต้องเผชิญกับการ เปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม อารมณ์ และจิตวิญญาณ การเปล่ียนแปลงต่างๆ เหล่าน้ี อาจเป็นสาเหตุให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะเบ่ียงเบนจากสุขภาวะที่สมบูรณ์ ทําให้เกิดปัญหาทางด้าน สุขภาพจิต ได้แก่ ความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความรู้สึกส้ินหวัง ส่งผลกระทบไปถึงสุขภาพกายและการ ดําเนินชีวิตประจําวันต่อไปได้ การเปล่ียนแปลงทางด้านจิตสังคมท่ีเกิดขึ้นในวัยผู้สูงอายุ ได้แก่
1. การปลดเกษียณหรือการออกจากงาน (retirement)
การปลดเกษียณอายุการทํางาน หมายถึง การท่ีต้องหยุดทํางานที่เคยทําอยู่เป็นประจํา เพราะเหตุอายุ ครบกําหนดที่หน่วยงานน้ันกําหนดไว้ หรือหยุดทํางานนั้นๆ เพราะร่างกายไม่เหมาะสม เช่น ในระบบราชการ ไทยได้กําหนดให้ปลดเกษียณเม่ืออายุครบ 60 ปี หรือในองค์การบางแห่งอาจกําหนดให้ปลดเกษียณเม่ืออายุ ครบ 55 ปี เป็นต้น เนื่องจากการเกษียณอายุการทํางานเป็นการหยุดจากการทํางานท่ีเคยทําอยู่เท่าน้ัน ดังนั้น จึงมีผลกระทบกับสุขภาพทางกายน้อยแตม่ักมีผลตอ่การเปล่ียนแปลงทางจิตใจท่ีสําคัญเพราะการทํางานทําให้ บุคคลมีความมั่นคงในรายได้ และมีศักดิ์ศรีในตนเองที่สามารถพ่ึงตนเอง อย่างไรก็ตาม การปลดเกษียณหรือการ ออกจากงานนี้ ถ้าเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการท่ีผู้สูงอายุค่อยๆ ถอยตัวเองออก จากงานและเป็นไปด้วยความสมัครใจ จะมีผลต่อการเปล่ียนแปลงทางด้านจิตสังคมไม่มากนัก ในทางตรงกัน ข้าม หากเกิดข้ึนแบบทันทีทันใด ซง่ึ บุคคลยังไม่ต้องการให้เกิดข้ึน จะเป็นการเปล่ียนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต ทํา ให้บุคคลปรับตัวไม่ทัน และเกิดการความรู้สึกสูญเสียในด้านสถานภาพและบทบาททางสังคม การสมาคมกับ เพื่อนฝูง สูญเสียสภาวะทางการเงินท่ีดี และแบบแผนการดําเนินชีวิตเปลี่ยนแปลง อาจก่อให้เกิดปัญหาและ ความทุกข์ใจให้แก่ผู้สูงอายุได้อย่างมาก โดยเฉพาะในรายท่ีไม่ยอมรับและไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะการ เปล่ียนแปลงหลังปลดเกษียณ หรือออกจากงานได้
ระยะของการปลดเกษียณ สามารถแบ่งได้ 6 ระยะ ดังนี้ (Atchley, 2000)
1) ระยะ Pre-retirement เป็นระยะก่อนเกษียณ ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกท่ีดีต่อการปลด
เกษียณหรือการออกจากงาน โดยเฉพาะบุคคลท่ีต้องทํางานหนักและเบ่ือหน่ายต่อการทํางาน เน่ืองจากจะทําให้ ตนเองสุขสบายข้ึน มีเวลาเป็นของตนเองมากข้ึน รวมทั้งได้รับเงินบําเหน็จหรือเงินก้อนเม่ือออกจากงาน


43
2) ระยะ Retirement ระยะเกษียณน้ี ในรายท่ีปลดเกษียณตามระยะเวลาท่ีกําหนด ส่วน ใหญ่มักจะมีการเตรียมตัวในด้านต่างๆ พอสมควร จึงรู้สึกพอใจ เพราะไม่ต้องมีบทบาทหน้าท่ีรับผิดชอบเร่ือง ใดๆ มีเวลาสามารถปฏิบัติกิจกรรมต่างๆที่ไม่มีเวลาได้ทําขณะท่ียังทํางาน มีการเดินทางท่องเท่ียวได้ตามความ ต้องการของตนอย่างอิสระ (honeymoon path) จนกระท่ังรู้สึกเพียงพอแล้ว จึงเร่ิมหยุดพักจากการทํา กิจกรรมและใช้ชีวิตสบายท่ีผ่อนคลายมากขึ้น (rest and relaxation) สําหรับผู้สูงอายุที่มีหน้าท่ีการงานสูง มี อํานาจ มีช่ือเสียง เกียรติยศ ระยะนี้อาจทําให้เกิดความสูญเสียและกระทบกระเทือนต่อสภาวะทางจิตใจได้อย่าง มาก อาจรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย น่าชิงชังของชีวิต
3) ระยะ Disenchantment ผู้สูงอายุบางคนหลังผ่านระยะปลดเกษียณอาจเป็นระยะที่ ผิดหวังและไม่แน่นอน อาจรู้สึกคิดถึงระยะเวลาที่ทํางาน ทําให้รู้สึกไม่พอใจที่ตนเองหยุดทํางาน โดยเฉพาะใน ผู้สูงอายุท่ีต้องสูญเสียคู่ชีวิตหรือมกีารแยกออกไปของสมาชิกในครอบครัวหรือไม่ได้ในส่ิงที่ตนต้องการ
4) ระยะ Reorientation เป็นระยะที่ผู้สูงอายุปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองใหม่หลังเกษียณ อาจมีบทบาทในสังคมมากข้ึน มีงานอดิเรกใหม่หรือวางแผนใช้ชีวิตใหม่ บางรายอาจกลับไปทํางานใหม่โดยเลือก งานท่ีเหมาะสมกับตนเอง ซึ่งเป็นส่ิงท่ีต้องการและมีความสุข
5) ระยะ Retirement Routine เป็นระยะที่ผู้สูงอายุใช้ชีวิตหลังปลดเกษียณอย่างเต็มที่ ทํา ให้มีเวลาทบทวนทําความเข้าใจ และปรับตัวเพ่ือใช้ชีวิตหลังปลดเกษียณ เพ่ือช่วยให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น
6) ระยะ Termination of Retirement เป็นระยะสุดท้ายของการปลดเกษียณ ซ่ึงมีผลต่อ ชีวิตของผู้สูงอายุน้อยท่ีสุด ในระยะน้ีผู้สูงอายุอาจมีความเส่ือมทางด้านร่างกายมากขึ้น ทําให้มีความจําเป็นต้อง พึ่งพาผู้อ่ืนมากขึ้น
2. การเปล่ียนแปลงของสังคมครอบครัว
ในปัจจุบันสังคมครอบครัวเปล่ียนแปลงจากครอบครัวขยายกลายเป็นครอบครัวเด่ียวมากขึ้น ลูกๆ เม่ือ โตข้ึนเป็นหนุ่มสาวจะแต่งงานแยกครอบครัวออกไป หรือไปประกอบอาชีพในต่างถิ่น ทําให้ผู้สูงอายุต้องอยู่กัน ตามลําพัง ถูกทอดท้ิง และขาดที่พ่ึง โดยเฉพาะในรายที่ฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี ปัญหาของผู้สูงอายุจะมีมากข้ึน นอกจากนั้นการตายจากไปของคู่ครอง จะทําให้ผู้สูงอายุท่ียังมีชีวิตต้องประสบกับความเหงาค่อนข้างรุนแรง รวมท้ังอาจทําให้ขาดรายได้ ขาดคนปรนนิบัติ หรือขาดการตอบสนองทางเพศ ประกอบกับผู้สูงอายุส่วนใหญ่มัก มีความผูกพันกับส่ิงแวดล้อมที่อยู่อาศัยและสังคมชุมชนท่ีเคยชิน ไม่อยากเปลี่ยนแปลงหรือลดบทบาทของ ตนเองจากหัวหน้าครอบครัว ไปเป็นสมาชิกของครอบครัว จึงไม่อยากจากบ้านไปอยู่รวมกับครอบครัวของ ลูกหลาน ซึ่งอาจทําให้ผู้สูงอายุเกิดปัญหาการไม่ให้เกียรติกัน ขาดความเคารพนับถือ ขาดความสนใจและเกื้อกูล


44
ต่อกันภายในครอบครัว ดังน้ัน ผู้สูงอายุจึงจําเป็นต้องพ่ึงพาตนเองมากข้ึน ในรายท่ีไม่สามารถช่วยตนเองได้ จําเป็นต้องพึ่งพาผู้อ่ืน ถ้าผู้สูงอายุไม่ยอมรับบทบาทท่ีเปล่ียนไป อาจทําให้เกิดความรู้สึกกดดันทางด้านจิตใจ
3. การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วจากสังคมเกษตรกรรมเปล่ียนเป็น สังคมอุตสาหกรรม ความเจริญก้าวหน้ามีมากขึ้น อัตราค่าครองชีพเพ่ิมข้ึน รายได้ของผู้สูงอายุลดลงเม่ือเทียบ กับรายจ่าย ลูกหลานเร่ิมมีเจตคติต่อผู้สูงอายุเปล่ียนไป ผู้สูงอายุมีกิจกรรมหรือมีส่วนร่วมทางสังคมลดลง ขณะเดียวกันสังคมก็ยอมรับและให้โอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมของผู้สูงอายุน้อยลง เพราะไม่ต้องพึ่งพาการ ถ่ายทอดความรู้ อาชีพ และประสบการณ์เหมือนในอดีต ทําให้ผู้สูงอายุมีคุณค่าลดลง การเรียนรู้จากสังคมและ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารลดลง นําไปสู่การแยกห่างจากสังคมอย่างส้ินเชิง ผู้สูงอายุมีประโยชน์เพียงเป็นคนเฝ้าบ้าน ช่วยดูแลลูกหลาน การเคารพนับถือและการกตัญญูรู้คุณมีน้อยลง มโนทัศน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคม เปล่ียนแปลง ยึดถือด้านวัตถุนิยมและเศรษฐกิจเป็นสําคัญ วัดคุณค่าของคนโดยอาศัยความสามารถในการ ทํางานหาเงิน ดังน้ัน ผู้สูงอายุจึงถูกมองว่าขาดคุณค่า ขาดความสามารถ ทําให้ผู้สูงอายุแยกตัวเองออกจากสังคม กลายเป็นสมาชิกกลุ่มน้อยและมีบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปตามแบบอย่างของสมาชิกกลุ่มน้อย คือ มีอารมณ์ อ่อนไหวง่าย ใจน้อย มีความรู้สึกไม่ม่ันคงปลอดภัย คิดถึงแต่ตนเอง มีความวิตกกังวลสูง โกรธง่าย พ่ึงพาอาศัย ผู้อ่ืนมากข้ึน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นกับสภาวะเหตุการณ์ ส่ิงแวดล้อม และภาวะ วิกฤตซ่ึงแต่ละคนกําลังเผชิญอยู่ ความสามารถในการเผชิญกับปัญหา ความรู้สึกมีคุณค่ามีศักดิ์ศรีของตนเอง ปรัชญาในการดําเนินชีวิต ความเช่ือ ความหวัง และความรู้สึกม่ันคงปลอดภัยในสังคม ในรายท่ีมีแรงกดดัน มากๆ และผู้สูงอายุปรับตัวไม่ได้ บุคลิกภาพจะเสียมากขึ้น กลายเป็นภาระต่อสังคม ก่อให้เกิดปัญหาทางจิต อาจทําลายตัวเองและผู้อื่นได้
4. การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม
ปัจจุบันวัฒนธรรมไทยเปล่ียนแปลงเป็นวัฒนธรรมทางตะวันตกมากข้ึน ในขณะท่ีผู้สูงอายุยังมีความ คิดเห็นที่คงท่ี ยึดมั่นกับคตินิยมของตนเอง ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิม ซ่ึงเป็นผลมาจาก ความสามารถในการเรียนรู้ และความจําเกี่ยวกับส่ิงใหม่ๆ ลดลง แต่ยังสามารถจําเร่ืองราวเก่าๆ ซ่ึงเป็นส่ิงท่ี ประทับใจได้ดี จึงทําให้ผู้สูงอายุเกิดการต่อต้านความคิดใหม่ๆ ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยมากข้ึน ผู้สูงอายุ กลายเป็นคนล้าสมัย จู้จ้ีข้ีบ่น ทําให้ลูกหลานไม่อยากเล้ียงดู กลายเป็นส่วนเกินของครอบครัว ผู้สูงอายุจึงแยกตัว เองและเกิดความรู้สึกท้อแท้มากขึ้น


Click to View FlipBook Version