1.6 การควบคุมการรับประทานอาหารและลดน้ําหนักตัว หลีกเล่ียงอาหารหรือเคร่ืองด่ืมท่ีระคาย เคืองกระเพาะปัสสาวะ เช่น คาเฟอีน อาหารมีฤทธ์ิเป็นกรด การควบคุมน้ําหนักตัว รักษามวลกาย (BMI) ไม่ ควรเกิน 27 การลดน้ําหนักจะมีผลดีต่อการควบคุมการกล้ันปัสสาวะ
2. การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและจัดหาอุปกรณ์ช่วยเพิ่มเติม จะได้ผลดีในกรณีปัสสาวะไหลเล็ด (functional incontinence) เช่น มีกริ่งให้ผู้ป่วยหยิบได้ง่าย จัดเตียงนอนหรือบริเวณที่ผู้สูงอายุอยู่ให้ใกล้กับ ห้องน้ํา การอํานวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุสามารถเดินไปใช้ห้องน้ําด้วยความรวดเร็ว เช่น มีราวให้จับไปตาม ทาง พื้นไม่ลื่น ไม่มีธรณีประตูห้องน้ํา จัดหาหม้อนอนหรือกรวยรองปัสสาวะ เพื่อให้สามารถปัสสาวะข้างเตียง ได้ จัดหาผ้าอ้อมชนิดใช้แล้วท้ิงในกรณีที่ต้องออกไปธุระนอกบ้าน การฝึกการเคลื่อนย้ายในรายที่มีความจํากัด ในการเดิน ควรประเมินการทํากิจกรรมในการใช้ชีวิตประจําวัน ร่วมกับอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ พัฒนาความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อ ไม่ควรผูกยึดผู้ป่วย หรือกั้นไม้ข้างเตียง โดยไม่ได้รับการประเมินที่ถูกต้อง ควรดูแลให้ ผู้ป่วยได้ถ่ายปัสสาวะก่อนไปตรวจ เป็นต้น
3. การปรับพฤติกรรมการปฏิบัติการดําเนินชีวิต เพื่อควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ ประกอบด้วย
3.1 การฝึกการขับถ่ายปัสสาวะ (bladder training) เป็นเทคนิคการปฏิบัติที่ใช้รักษาอาการ ปัสสาวะราด (urge incontinence) และภาวะการทํางานของกระเพาะปัสสาวะไวผิดปกติ ใช้ร่วมกับเทคนิค การผ่อนคลาย การฝึกการขับถ่ายปัสสาวะต้องกําหนดตามรูปแบบการขับถ่ายของแต่ละบุคคล หลักสําคัญ คือ ผู้ป่วยต้องได้รับการสอนให้พยายามยืดเวลาการถ่ายปัสสาวะออกไป และพยายามเก็บปัสสาวะไว้ให้นานที่สุด เมื่อมีอาการปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง ผู้ป่วยต้องหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ หลายๆ ครั้ง และผ่อนคลาย กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และเบนความสนใจ ความรู้สึกอยากปัสสาวะจะถูกกดและหายไป เทคนิคนี้บางคร้ัง
เรียกว่า “quick flicks”
ในผู้ที่ปัสสาวะไหลล้น (overflow incontinence) ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีการกดบริเวณหัวเหน่า
(Crede’s maneuver) แต่ไม่ควรทําในผู้ที่สงสัยจะมีการย้อนกลับของน้ําปัสสาวะไปที่ไต (vesicoureteral reflux) หรือในรายที่กลไกการทํางานของหูรูดมากเกินไป (overactive sphincter mechanisms) เพราะ อาจจะเกิดความดันในกระเพาะปัสสาวะสูงขึ้น ในบางรายอาจให้ผู้ป่วยปัสสาวะซ้ํา (double void technique) โดยหลังจากปัสสาวะแล้ว ให้ผู้ป่วยยืนหรืออยู่ในท่าท่ีสะดวก แล้วให้ปัสสาวะใหม่อีกครั้ง ร่วมกับ ใช้วิธีอื่นท่ีจะช่วยให้ถ่ายปัสสาวะดีข้ึน เช่น การลูบหน้าท้อง การใช้น้ําราด เป็นต้น
3.2 การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (pelvic muscle exercise : Kegel’s exercise) ได้ผลดี สําหรับผู้ที่มีอาการปัสสาวะเล็ด (stress incontinence) และปัสสาวะราด (urge incontinence) รวมท้ัง อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิดผสม การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะทําให้เกิดความแข็งแรง ความคงทน และการทํางานประสานกันของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทําให้เกิดผลดีช่วยควบคุมการกลั้นปัสสาวะได้ วิธีสอน
245
การบริหารกล้ามเน้ืออุ้งเชิงกรานเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจง่าย ควรใช้วิธีการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานระหว่างการ สอดนิ้วเข้าไปทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก โดยให้ผู้ป่วยขมิบกล้ามเนื้อ เพื่อบีบรอบๆ นิ้วมือ จะช่วยให้ ผู้ป่วยเข้าใจตําแหน่งของกล้ามเนื้อที่จะต้องขมิบ ขณะทําการบริหาร ต้องไม่เกร็งท้อง ก้น และขา เพราะจะ เพิ่มแรงต้านในช่องท้อง การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน สามารถปฏิบัติได้ทั้งท่านอน ยืน และนั่ง ท่าที่นิยม คือ ท่านอน สามารถปฏิบัติได้หลายรอบในหนึ่งวัน อาจ 4-6 รอบๆ ละอย่างน้อย 10 คร้ัง หรือ 30-200 คร้ัง ต่อวัน โดยเกร็งแต่ละคร้ังให้นานราว 10 วินาที ถ้าผู้ป่วยทําอย่างสม่ําเสมอ จะได้ผลใน 2-4 สัปดาห์ (ประเสริฐ อัสสันตชัย, 2552)
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้านหน้า ควรทําเมื่อเริ่มถ่ายปัสสาวะออกมาเล็กน้อย ให้หยุดถ่าย โดยขมิบกล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บ เกร็งกล้ามเนื้อรอบหูรูดชั้นนอกและช่องคลอด พร้อมกับการกลั้นการหายใจ เพ่ือลดแรงดันในช่องท้อง สําหรับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้านหลัง ทําได้โดยการขมิบหูรูดทวารหนัก ขณะถ่ายอุจจาระ
สําหรับผู้ป่วยชายที่ผ่าตัดต่อมลูกหมาก มักมีปัญหาอาการกล้ันปัสสาวะไม่อยู่หลังผ่าตัด ควรแนะนําให้ บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานตั้งแต่ก่อนผ่าตัด และให้ทําต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลังผ่าตัด ปฏิบัติต่อเนื่องกัน นานเท่าท่ีจะปฏิบัติได้ การเร่ิมฝึกครั้งแรกๆ อาจสอดนิ้วเข้าไปทางทวารหนัก และให้ผู้ป่วยลองขมิบกล้ามเนื้อหู รูดทวารหนักในขณะกลั้นหายใจ การปฏิบัติที่ถูกต้องจะพบว่า องคชาตหดสั้นเข้า ผู้ที่ปฏิบัติสม่ําเสมอจะกล้ัน ปัสสาวะได้ดีขึ้นหลังผ่าตัด
3.3 ทําตารางการขับถ่ายปัสสาวะ โดยการทําตารางโปรแกรมการขับถ่ายปัสสาวะของแต่ละคน โดยมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อย และเพิ่มช่วงเวลาการถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งให้ห่างออกไป เป็นการบริหารกล้ามเน้ือกระเพาะปัสสาวะให้ทํางานดีขึ้น มีหลักปฏิบัติ ดังนี้
3.3.1 บันทึกการถ่ายปัสสาวะ ควรบันทึกอย่างน้อย 3 วัน เพื่อรวบรวมข้อมูลหรือลักษณะ การถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วยว่ามีปัญหาอย่างไร
3.3.2 จัดตารางการขับถ่ายปัสสาวะ ให้ครอบคลุมทั้งปริมาณน้ําดื่ม จํานวน ความถี่ของ ปัสสาวะ ระยะเวลา และสภาพที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ วางแผนให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะห่างกันอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง โดยนับจากเวลาที่ถ่ายครั้งสุดท้าย ไม่ว่าการถ่ายปัสสาวะครั้งนั้นจะสามารถกล้ันปัสสาวะได้หรือไม่ก็ตาม เมอ่ื ครบเวลา ควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะ โดยให้ผู้ป่วยดื่มน้ํา 1 แก้ว เมื่อถึงเวลาแนะนําผู้ป่วยให้กระตุ้น ความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ อาจนวดหรือกดบริเวณหัวเหน่า (Crede’s maneuver) ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวด ปัสสาวะก่อนถึงเวลา ให้ฝึกการผ่อนคลาย โดยหายใจเข้า-ออกช้าๆ อาจบริหารอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย บันทึกการ ถ่ายปัสสาวะ ปริมาณและช่วงเวลาใดที่ยังถ่ายปัสสาวะรด แล้วนําข้อมูลที่ได้ในแต่ละวัน มาพิจารณาจัดเวลา ขับถ่ายให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
246
การปรับพฤติกรรมการปฏิบัติการดําเนินชีวิตในผู้ป่วยที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบเรื้อรัง (chronic incontinence) สรุปได้ตามตาราง 9-5
ตาราง 9-5 ชนิดของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบเร้ือรัง ลักษณะอาการ และการปรับพฤติกรรมการ ปฏิบัติการดําเนินชีวิต
ชนิด ลักษณะอาการ การปรับพฤติกรรมการปฏิบัติการดําเนินชีวิต
247
ปัสสาวะเลด็
(stress incontinence)
อาการกลั้นปสั สาวะไม่อยู่ เนื่องจากการ มีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นกะทันหัน
- การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (pelvic muscle exercise : Kegel’s exercise)
ปัสสาวะราด
(urge incontinence)
มีอาการอยากจะปัสสาวะทันทีอยา่งมาก (urgency) โดยมีการหดตัวของกระเพาะ ปัสสาวะชนิดยับยั้งไม่ได้
- การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (pelvic muscle exercise : Kegel’s exercise)
- การฝึกการขับถ่ายปสั สาวะ (bladder training)
ปัสสาวะไหลล้น (overflow incontinence)
กระเพาะปสัสาวะไม่สามารถขับถา่ย ปัสสาวะออกได้หมดหลังจากที่ผปู้่วย ถ่ายปัสสาวะเสร็จแล้ว
- การนวดหรือกดบริเวณหัวเหน่า (Crede’s maneuver)
- ปัสสาวะซ้ํา (double void technique)
ปัสสาวะไหลเล็ด (functional incontinence)
อาการกลั้นปสั สาวะไม่อยู่แบบเฉียบพลัน เกิดจาก ไม่สามารถเดินไปปสั สาวะใน ห้องน้ําได้เองโดยสะดวก
- การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและจัดหาอุปกรณ์ ช่วยเพิ่มเติม
4. การดูแลอื่นๆ
4.1 หลีกเลี่ยงการสวนคาสายปัสสาวะในการแก้ปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่ เพราะเสี่ยงต่อการติด
เชื้อ การสวนปัสสาวะทิ้งแบบครั้งคราว (intermittent catheterization) อาจช่วยให้อัตราการติดเชื้อน้อยลง และควรใช้ในรายท่ีมีอาการปัสสาวะไหลล้น (overflow incontinence)
4.2 การรักษาความคงทนของผิวหนัง โดยดูแลความสะอาดผิวหนังบริเวณฝีเย็บ และป้องกันการ เกิดภาวะกรดที่ระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น การทําความสะอาดอวัยวะเพศทันทีที่ผู้ป่วยปัสสาวะราด อาจใช้ ผ้าอ้อมในรายท่ีจําเป็น และเปลี่ยนทําความสะอาดทุกคร้ังท่ีเปียกแฉะ
สรุป
ปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นอาการที่สําคัญอาการหนึ่งในกลุ่มอาการและปัญหาสุขภาพที่พบ บ่อยในวัยผู้สูงอายุ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น ความชุกของอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จะพบมากขึ้น เป็นเหตุให้ เกิดปัญหาทั้งด้านสังคมหรือปัญหาทางสุขภาพของผู้ป่วยและครอบครัว นําไปสู่คุณภาพชีวิตท่ีเลวลง พยาบาล เป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญในการประเมินความผิดปกติที่เกิดขึ้น และช่วยดูแลให้คําแนะนําในการปฏิบัติตัวที่ ถูกต้อง เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความม่ันใจในการดําเนินกิจวัตรประจําวัน นําไปสู่คุณภาพชีวิตท่ีดขึ้น
ภาวะทุพโภชนาการและความผิดปกติในการรับประทานอาหาร (Insanity)
248
ภาวะทุพโภชนาการ มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของผู้สูงอายุ มีผลทําให้ผู้สูงอายุ ได้รับอาหารไม่ครบถ้วนหรือไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดภาวะทุพโภชนาการและความผิดปกติในการรับประทาน อาหาร (Insanity) ดังนี้
1. การได้รับอาหารน้อยกว่าความต้องการของร่างกายหรือได้รับอาหารไม่ครบส่วน ที่พบได้บ่อยได้แก่ 1.1 การรับอาหารที่มีกากไม่เพียงพอ อาหารที่มีกาก เช่น เส้นไย ของผักผลไม้ต่างๆ จะช่วยให้
ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ ถ้าได้รับไม่เพียงพอ จะทําให้ผู้สูงอายุเกิดอาการท้องผูกได้ง่าย และจะนําไปสู่อาการ อึดอัดและเบื่ออาหารในที่สุด
1.2 การขาดแคลเซียม ผู้สูงอาจะขาดแคลเซียมได้ง่ายกว่าคนในวัยอื่นๆ เนื่องจากมีการสลายของ แคลเซียมออกจากกระดูกมาก ทําให้กระดูกเปราะ กระดูกเสื่อมและกระดูกหักได้ง่าย อาจจะมีอาการเป็น ตะคริวหรือชาที่มือและเท้า บางรายมีกล้ามเนื้อที่หน้ากระตุก หลอดลมหดเกร็ง และกล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็ง ทําให้ปวดท้องมาก นอกจากนี้การขาดแคลเซียมอาจเกิดจากการได้รับอาหารที่มีแคลเซียมน้อยลง
1.3 การขาดนํ้า ปกติร่างกายต้องการนํ้าประมาณวันละ 2 ลิตร เพื่อทําให้ร่างกายคงสภาพการ ทํางานได้ตามปกติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีปัญหาปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะบ่อยครั้ ง บางคน แก้ปัญหาโดยการจํากัดการดื่มนํ้าลง สาเหตุเหล่านี้มีผลให้ร่างกายขาดนํ้า อ่อนเพลีย เกิดภาวะเป็นกรดในเลือด และยังเป็นสาเหตุทําให้ท้องผูกด้วย
1.4 การขาดธาตุเหล็ก สาเหตุมักเกิดจากการได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อย ทําให้เป็นโรคโลหิต จาง ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน อาการจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อโรคโลหิตจางรุนแรงมากขึ้น
1.5 การขาดวิตามีนซี มักเกิดจากการได้รับไม่เพียงพอ การขาดวิตามินซีทําให้เกิดโรคโลหิตจางได้ เพราะวิตามินซีช่วยทําให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก นอกจากนั้นยังทําให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน ทําให้ภูมิ ต้านทานโรคตํ่า และเป็นหวัดได้ง่าย
2. การได้รับอาหารปริมาณมากเกินไป ร่วมกับการใช้กําลังงานลดลง ทําให้มีนํ้าหนักมากเกินไปหรือ เป็นโรคอ้วน จึงมีโอกาสเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคข้อต่างๆ โดยเฉพาะข้อที่ต้องรับนํ้าหนักมากขึ้น เช่น ข้อหลัง ข้อสะโพก และข้อเข่า ทําให้เกิดอาการปวด หลัง ปวดเข่า ปวดข้อต่างๆ และเกิดข้ออักเสบได้ การได้รับไขมันสูง ทําให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว เกิดภาวะ หัวใจวายหรือสมองขาดเลือดไปเลี้ยงได้
สาเหตุ
1. การบริโภคอาหารที่ลดลง
1.1 การรับรสของลิ้นเสียไปทําให้เกิดภาวะเบื่ออาหาร
249
1.2 การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารลดลง อาหารอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น จึงเกิด ความรู้สึกหิวน้อยลง
1.3 ความอยากอาหารที่ลดลง เนื่องจากมีอาการเจ็บป่วย คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือความ เจ็บปวด ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
1.4ปัญหาทางด้านจิตใจความวิตกกังวลความหดหู่ความกระวนกระวายว้าเหว่จากการที่บตุร หลานไม่ค่อยได้เอาใจใส่ หรือถูกทอดทิ้งทําให้มีโอกาสได้รับอาหารน้อยลง
2. ความยากลําบากในการรับประทานอาหารเอง
2.1 การไม่รู้สึกตัวภาวะสับสนสมองเสื่อม 2.2 ร่างกายอ่อนแอไม่มีกําลัง
2.3 ฟันไม่แข็งแรง ฟันผุหรือหลุดร่วงง่าย การใส่ฟันปลอม เป็นเหตุให้การเคี้ยวอาหารไม่สะดวก ต้องรับประทานอาหารอ่อนและย่อยง่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ทําให้ขาด สารอาหารประเภทอื่นที่สําคัญต่อร่างกายได้
2.4 ความเจ็บป่วยเรื้อรัง ทําให้มีปัญหาการกลืนอาหาร อาเจียน อาการเจ็บภายในปาก มีสุขภาพ ปากที่ไม่ดี อาการเจ็บปวดไขข้อ โรคพาร์กินสัน
3. การขาดสารอาหารหรือไม่มีอาหารรับประทาน
3.1 ความจนคุณภาพอาหารต่ํา
3.2 มีปัญหาในการซื้อและทําอาหาร
3.3 ความเสื่อมของทางเดินอาหาร ทําให้การผลิตน้ําย่อยในทางเดินอาหารลดลง การไหลเวียน
เลือดตลอดทางเดินอาหารลดลง เป็นเหตุให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ลดลง
3.4 ปัญหาทางการแพทย์ การตรวจหรือการผ่าตัด มีผลกระทบต่อการย่อยอาหาร การทํางาน
ของกระเพาะอาหาร ลําไส้ ตับอ่อน
3.5 ความเจ็บป่วย เช่น มะเร็ง ทําให้ระบบการย่อยและการเผาพลาญสารอาหารเปลี่ยนแปลงไป จากเดิม
3.6 การสูญเสียสารอาหารและน้ํามากเกินไปเช่นอาเจียนท้องเสียการสูญเสียจากการให้อาหาร ทางสายยาง หรือการระบายน้ําออก การสูญเสียน้ําทางผิวหนัง
ผลกระทบจากภาวะทุพโภชนาการ
1. ความเสี่ยงในการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น 2. แผลหายช้ายิ่งขึ้น
3. ระบบทางเดินหายใจบกพร่อง
4. กล้ามเน้ืออ่อนแรง และหดหู่
การประเมินภาวะโภชนาการผู้สูงอายุ
การประเมินภาวะโภชนาการ เป็นวิธีการสําคัญ เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐาน ที่จะนําไปสู่การปรับปริมาณ อาหาร และสารอาหารต่างๆ ให้ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล ประกอบด้วย
1. การประเมินการบริโภคอาหาร เช่น การบันทึกอาหารที่รับประทานในรอบ 24 ชั่วโมง การสํารวจ ความถข่ีองการได้รับอาหารแต่ละชนิด(foodfrequencyquestionnaire)การสังเกตการบริโภคอาหารและ บันทึก ช่วยให้ได้ค่าปริมาณสารอาหารท่ีบริโภคใกล้เคียงความจริงมากกว่าวิธีอ่ืนๆ
2. การประเมินสัดส่วนของร่างกาย ได้แก่ น้ําหนัก และส่วนสูง เพื่อประเมินค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index, BMI)
3. การประเมินค่าไขมันใต้ผิวหนัง
4. การตรวจเพื่อวัดค่าทางชีวเคมี ได้แก่ การตรวจเม็ดเลือด น้ําเลือด ปัสสาวะ และเนื้อเยื่ออื่นๆ ซ่ึง จะช่วยการแปลผลทางภาวะโภชนาการ
5. การประเมินอาการและอาการแสดงออกทางคลินิก ซึ่งมักตรวจพบได้ในระยะท่ีผู้สูงอายุมีการขาด สารอาหารมากขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว เช่น อาการซีดจากการขาดธาตุหล็กหรือวิตามินบีสิบสอง การมีเลือดออก ท่ีเหงือกจากการขาดวิตามินซี หรือตาเป็นเกล็ดกระดี่ จากการขาดวิตามินเอ เป็นต้น
เครื่องมือ Mini-Nutritional
Assessment: MNA ซึ่งเป็น
250
6. การใช้เครื่องมือคัดกรองและประเมินภาวะด้านโภชนาการ ได้แก่
แบบทดสอบภาวะโภชนาการสําหรับผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยใช้การ
ตอบแบบสอบถาม ประมาณ 10-15 นาที ร่วมกับการวัดเส้นรอบวงแขน และขา แบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก
จะเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพร่างกาย การบริโภค และค่าดัชนีมวลรวมของร่างกาย ซึ่งมีคะแนนสูงสุด 14
คะแนน หากได้คะแนนเกิน 12 คะแนน แสดงว่าเป็นผู้ที่มีภาวะโภชนาการปกติ หากต่ํากว่า 12 คะแนน ต้อง
ทําแบบสอบถามในส่วนที่สอง ซึ่งจะเป็นการสอบถามในเรื่องของการดําเนินชีวิตประจําวัน การใช้ยา การ
เคลื่อนไหวร่างกาย การรับรู้เรื่องสุขภาพ และโภชนาการ ก่อนที่จะระบุได้ว่าบุคคลดังกล่าวอยู่ในช่วงของความ
เสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการมากน้อยเพียงไร นอกจากนั้น อาจใช้
เครื่องมือการคัดกรองและประเมินภาวะ ความเส่ียงด้านโภชนาการในโรงพยาบาลที่เหมาะสมกับคนไทย ซึ่งมี 2 แบบประเมิน คือ Nutrition Triage (NT) ของพลอากาศตรี นายแพทย์วิบูลย์ ตระกูลฮุน และ Nutrition Alert Form (NAF) ของ ศาสตราจารย์
นายแพทยส์ุรัตน์โคมินทร์
251
การพยาบาล
การป้องกันภาวะทุพโภชนาการและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีโภชนาการที่ดีนั้น จําเป็นต้องมีการติดตาม การบริโภคอาหารของผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง ผู้สูงอายุบางคนอาจมีไม่สามารถรับประทานอาหารได้เอง จึงควร จัดให้มีผู้ดูแลจัดเตรียมอาหาร และป้อนอาหารให้ การพยาบาลที่สําคัญ คือ
1. ดูแลจัดอาหารให้แก่ผู้สูงอายุตามหลักโภชนาการ ดังน้ี
1.1 โปรตีนคืออาหารจําพวกนมไข่เนื้อสัตว์ต่างๆได้แก่ปลาเน้ือหมูเนื้อวัวเป็ดไก่ถ่ัวต่างๆ
ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง เป็นสารอาหารที่ช่วยในการสร้างและรักษากล้ามเนื้อให้แข็งแรง สมบูรณ์และสร้างภูมิต้านทานโรค ทําให้ร่างกายแข็งแรง สําหรับผู้สูงอายุ ควรเลือกรับประทานปลา เพราะมี ไขมันต่ํา เนื้อสัตว์อื่นควรเลือกที่ไม่ติดมัน สับละเอียดหรือต้มเปื่อย ไข่รับประทานได้ 3 – 4 ฟองต่อสัปดาห์ ผู้สูงอายุต้องการสารอาหารโปรตีนประมาณ 1 กรัมต่อน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือร้อยละ 10 -12 ของพลังงาน ทั้งหมด ซ่ึงเป็นปริมาณที่เพียงพอในการซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอและไม่มากเกินไป เพราะหากได้รับปริมาณมาก เกินไป นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังทําให้ไตทํางานหนัก เพื่อขับสารพวกยูเรียออกทางปัสสาวะ ภาวะท่ี ร่างกายต้องการโปรตีนเพิ่มข้ึน คือ ภาวะเครียด มีไข้ หรือมีแผลไหม้พอง ถ้าได้รับพลังงานไม่เพียงพอจะทําให้มี การเผาผลาญโปรตีนของเนื้อเยื่อต่างๆ ออกมาใช้ ร่างกายจะผอม ทรุดโทรม ภูมิต้านทานโรคต่ําลง มีการ เจ็บป่วยบ่อยๆ ทําให้เกิดการเบื่ออาหารและทําให้ขาดสารอาหารอ่ืนๆ ร่วมด้วย
1.2 คาร์โบไฮเดรต คือ อาหารจําพวกข้าว แป้ง น้ําตาล ได้แก่ ข้าวชนิดต่างๆ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เผือก มัน เป็นอาหารที่ให้พลังงาน ควรได้รับปริมาณร้อยละ 55 - 60 ของพลังงานทั้งหมด ถ้ารับประทานเกิน ความต้องการจะเปลี่ยนไปสะสมในสภาพของไขมัน ทําให้เกิดโรคอ้วนได้ ผู้สูงอายุควรลดปริมาณการ รับประทานอาหารหมู่น้ี เช่น ข้าวลดจาก 3 เป็น 1 - 2 ทัพพี งดน้ําหวาน น้ําอัดลม และหลีกเลี่ยงอาหารหวาน เพราะให้พลังงานสูงแต่มีคุณค่าต่ํา
1.3 ไขมัน ควรได้รับไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด เป็นสารอาหารที่ช่วยให้พลังงานแก่ ร่างกาย และช่วยในการดูดซึมวิตามินบางชนิด แม้ว่าจะมีความสําคัญแต่ก็ไม่ควรกินมาก เพราะจะทําให้อ้วน และเส้นโลหิตแข็ง นอกจากนี้อาหารไขมันยังทําให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อหลังอาหารด้วย ควรใช้น้ํามันพืช ที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในการปรุงอาหาร เช่น น้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันรําข้าว หลีกเลี่ยงการใช้ไขมันจากสัตว์ น้ํามันมะพร้าว และน้ํามันปาล์ม เพราะมีกรดไขมันอ่ิมตัวสูง สําหรับอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง กุ้ง ปลาหมึก ฯลฯ ควรรับประทานไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน
1.4 วิตามินควรได้รับอาหารที่มีวิตามินสูงเพื่อป้องกันการขาดวิตามินซึ่งพบบ่อยในผู้สูงอายุ เพราะการดูดซึมไม่ดี และรับประทานอาหารไม่พอ โดยต้องรับประทานวิตามินจากแหล่งอาหาร เช่น พวก เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้อย่างครบถ้วน
อาหารจําพวกผัก ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น ผักบุ้ง ตําลึง คะน้า ถั่วผักยาว แตงกวา ผักโขม ผักกาด และผักท่ีมีสีเหลือง หรือสีแดง เช่น มะเขือเทศ ฟักทอง แครอท ช่วยทําให้ร่างกายแข็งแรง มีใยอาหาร และน้ํา ช่วยทําให้ท้องไม่ผูกและไม่อ้วน
อาหารจําพวกผลไม้ ได้แก่ ผลไม้ชนิดต่างๆ เช่น กล้วย ส้ม ฝรั่ง มะละกอ ฯลฯ ผู้สูงอายุสามารถ เลือกรับประทานอาหารได้ทุกชนิด ยกเว้นผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลําไย ขนุน น้อยหน่า ควร รับประทานลดลง และควรบริโภคผลไม้ที่ไม่มีรสหวานแทนการบริโภคของหวานของเช่ือม
1.5 เกลือแร่ เกลือแร่ที่ควรได้รับเพิ่มขึ้น คือ แคลเซียม ซึ่งมีมากในนม เมล็ดถั่ว ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ผลไม้ เพื่อชดเชยส่วนท่ีถูกทําลายหรือถูกใช้ไป และใช้ป้องกันปัญหาโรคกระดูกเปราะบาง ปริมาณที่ ควรได้รับ คือ วันละ 400 - 500 มิลลิกรัม นอกจากนั้นควรรับประทานอาหารที่มีโปตัสเซียมสูงๆ เช่น น้ําส้ม คั้น กล้วย และควรลดปริมาณโซเดียมเพ่ือป้องกันโรคความดันโลหิตสูง แร่ธาตุอ่ืนๆ ท่ีผู้สูงอายุต้องการ คือ แร่ ธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ตับ จะช่วยป้องกันอาการซีด สังกะสี มีมากในอาหารทะเล ไข่ ตับเน้ือ แร่ธาตุทองแดง และโครเมียม
1.6 น้ํา น้ํามีความสําคัญช่วยในระบบย่อยอาหาร และการขับถ่ายของเสีย ความต้องการน้ําของ ผู้สูงอายุ คือ ประมาณ 1,500 มิลลิลิตร หรือเท่ากับ 6 - 8 แก้วต่อวัน
2. มื้ออาหาร ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักรับประทานอาหารในแต่ละมื้อได้ไม่มาก เนื่องจากมีการ เปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลกระทบต่อการบริโภคอาหารของผู้สูงอายุ ดังนั้น จึงจําเป็นต้องมีการปรับเปล่ียนการรับประทานอาหาร โดยแบ่งการรับประทานอาหารเป็น 4 - 5 ม้ือต่อ วัน (เพ่ิมม้ือสายและบ่าย) ให้มื้อกลางวันเป็นอาหารหลัก เพื่อช่วยลดปัญหาแน่นท้องหลังอาหาร
3. การให้ความรู้ทางโภชนาการ เป็นสิ่งสําคัญย่ิง โดยเฉพาะผู้สูงอายุท่ีมีโรคเรื้อรังต่างๆ การให้ความรู้ ช่วยให้ผู้สูงอายุรู้จักหลีกเลี่ยงประเภทอาหารท่ีไม่เหมาะสมกับตน หลีกเล่ียงอาหารที่ทําให้เกิดแก๊สและท้องอืด ลักษณะอาหารควรเป็นอาหารที่เคี้ยวง่าย รสไม่จัด การรับประทานอาหารขณะร้อนจะกระตุ้นให้ความอยาก อาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผู้สูงอายุควรลดการดื่มสุราและงดการสูบบุหรี่ เพราะเป็นปัจจัยที่ทําให้เกิดการขาด สารอาหาร ในผู้สูงอายุที่สามารถอ่านหนังสือได้และนิยมซื้ออาหารสําเร็จรูป การให้คําแนะนําเพื่อให้ผู้สูงอายุ เรียนรู้คุณค่าของอาหารจากฉลากโภชนาการ จะให้ประโยชน์ต่อการเลือกซื้ออาหารได้เหมาะสมกับสุขภาพ
4. การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุออกกําลังกายสม่ําเสมอ เน่ืองจากการออกกําลังกายให้ผลดีหลายประการ ได้แก่ กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยลดความดันโลหิต ลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย เพิ่มระดับเอชดีแอล โคเลสเตอรอลในกระแสเลือด และเพ่ิมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ การออกกําลังกายที่ง่ายสําหรับผู้สูงอายุ คือ การเดิน ควรเดินอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุมีความแข็งแรงและความทน
252
ต่อการเดิน (walk endurance capacity) มากขึ้น ผู้สูงอายุที่ไม่เคยออกกําลังกายควรได้รับการตรวจจาก แพทยก์่อนออกกําลังกายเพ่ือค้นหาข้อท่ีควรระมัดระวังหรือข้อห้ามโดยเฉพาะผู้มีประวัติความเจ็บป่วยเร้ือรัง
5. การดูแลด้านจิตใจ บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุมักรู้สึกตัวว่า ตนเองถูกทอดทิ้ง และเป็นเหตุให้ไม่อยาก อาหาร ดังนั้น การจัดสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น การให้ผู้สูงอายุ ได้รับประทานอาหารร่วมกับสมาชิกอื่นๆ ใน ครอบครัว หรือในบ้านพัก จะทําให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกอบอุ่น และเกิดความสบายใจ ผู้ดู แลควรเอาใจใส่ ผู้สูงอายุสม่ําเสมอ อาจจัดอาหารให้ดูมีสีสัน โดยใช้ผักสีต่างๆ เช่น มะเขือเทศ แครอท ฯลฯ จัดวางแต่งกับ เนื้อสัตว์ต่างๆ จะช่วยให้อาหารนั้นน่ารับประทานขึ้น อย่างไรก็ตาม อาหารนั้นควรมีสารอาหารเหมาะสมตาม ความต้องการและตามความชอบของผู้สูงอายุด้วย
สรุป
โภชนาการมีบทบาทสําคัญ ต่อการชะลอความเสื่อมในผู้สูงอายุ ทั้งในภาวะปกติ และภาวะเจ็บป่วย การเข้าใจถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การประเมินภาวะโภชนาการ และรูปแบบการบริโภคอาหาร จะเป็นแนวทางในการรรับประทานอาหาร ทําให้ได้รับสารอาหารอย่างถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของ ร่างกาย การบริโภคอาหารหลักครบทั้ง 5 หมู่ การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุออกกําลังกายสม่ําเสมอ รวมท้ังการจัด สภาพสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง สามารถดํารงชีวิตอย่างมีความสุข
ปัญหาการมองเห็น/การได้ยิน (Impairment of sensory) ปัญหาการมองเห็น
ปัญหาการมองเห็นที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ คือ อาการตามัว หากไม่ได้รับการรักษาทําให้เกิดอาการตา บอดได้
253
อาการตามัว (blurred vision) คือ อาการที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และ อาจเกิดขึ้นได้พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ส่งผลต่อการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด โดยอาจมีสาเหตุมาจากความ
ผิดปกติ ได้แก่ ภาวะสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง สายตายาวตามอายุ ผลข้างเคียงของยาบางชนิด ผลกระทบจากโรคอื่น เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคไมเกรน
อาการตาบอด (blindness/vision impairment) คือ ภาวะที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ หรือรับรู้ความแตกต่างระหว่างแสงสว่างและความมืดได้ ถือเป็นความพิการทางตาหรือการบกพร่องทางการ มองเห็นในระดับที่ไม่สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้เช่นคนปกติทั่วไป อาการตาบอดสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ตาบอดสนิท (complete blindness) ซึ่งจะทําให้ผู้ป่วยไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้เลย หรือ เห็นเป็นภาพมืดทั้งหมด และตาบอดบางส่วน (partial blindess) ซึ่งจะทําให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการ มองเห็นที่จํากัด อาจมองเห็นเพียงเงาลาง ๆ และไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
สาเหตุ
254
สาเหตุของอาการตามัว และอาการตาบอด ได้แก่
1. ตาแห้ง หรือมีแผลบริเวณดวงตา การบาดเจ็บบริเวณดวงตา กระจกตาถลอก หรือรอยแผลเป็นบน กระจกตา
2.การติดเชื้อทจี่อตา
3. โรคเส้นประสาทตาอักเสบ
4. ความผิดปกติของภาวะการหักเหของแสง ทําให้มองเห็นระยะใกล้ชัดเจน มองเห็นระยะไกลชัดเจน
ภาวะสายตายาวตามอายุ หากไม่ได้รับการแก้ไข (uncorrected refractive error) ทําให้สายตาอยู่ในระดับตา บอดได้
5. โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (age-related macular degeneration: AMD) จอตาฉีดขาด และหลุดลอก (retinal detachment) จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน (diabetic retinopathy)
6. โรคต้อหิน ต้อกระจก
7. โรคหลอดเลือดสมองโรคไมเกรน
อาการและอาการแสดง
อาการตามัว คือ อาการที่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ชัดเจน และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยซึ่งแตกต่างกัน ตามสาเหตุ คือ
1. มีขี้ตา มีน้ําตามาก หรืออาจมีเลือดออกจากดวงตา 2. ตาแห้ง คันตา หรือเจ็บตา
3. เห็นจุดหรือมีเส้นใยบาง ๆ ในดวงตา
4. เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก
5. อาการตากลัวแสงหรือไม่สู้แสง
6. การมองเห็นไม่ชัดเจนในระยะใกล้ หรือในตอนกลางคืน 7. สายตาส่วนกลาง หรือสายตาส่วนรอบเสียหาย
8. หากมีอาการตามัวร่วมกับอาการเหล่านี้ ได้แก่ เจ็บตามาก บริเวณตาขาวเริ่มเป็นสีแดง ปวดศีรษะ มาก ใบหน้าบิดเบี้ยว พูดลําบากหรือติดขัด ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งได้ มีปัญหาในการ มองเห็น หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมดชั่วคราว ควรรีบมาพบแพทย์ เพราะอาจเกิดความ ผิดปกติของโรคหลอดเลือดสมอง
อาการตาบอด คือ อาการที่เห็นน้อยกว่า 3/60 ลงไปจนถึงบอดสนิท ไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง หรือมี ลานสายตาโดยเฉลี่ยแคบกว่า 10 องศาลงไป โดยอาจเกิดขึ้นกับดวงตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง บางรายอาจมี
255
อาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ตามัว มองเห็นชัดเจนเฉพาะตรงกลาง (tunnel vision) มองเห็นไม่ชัดเจนในเวลา กลางคืน โรคต้อกระจก (cataract) กระจกตาติดเชื้อ
การวินิจฉัย
1. การซักประวัตอาการที่เกิดขึ้น ความผิดปกติหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตาในครอบครัว
2. การวัดระดับการมองเห็น (visual acuity) การทดสอบการมองเห็นภาพด้านข้างหรือลานสายตา (visual field test) เพื่อตรวจวัดการมองเห็นโดยรอบ (peripheral Vision) การวัดความดันตา (tonometry test) การทดสอบการทํางานของกล้ามเนื้อตา และทดสอบการตอบสนองต่อแสงของรูม่านตา
3. การตรวจลักษณะของดวงตาตั้งแต่เยื่อบุตาขาว ตาขาว กระจกตา ช่องหน้าม่านตา รูม่านตา เลนส์ ตา ไปจนถึงส่วนหลังของลูกตา ซึ่งได้แก่ น้ําวุ้นตา จอประสาทตา และขั้วประสาทตา โดยการใช้ ophthalmoscope และ Slit-lamp
4. การตรวจเลือด
การรักษา
รักษาตามสาเหตุของการเกิดอาการ ดังนี้
1. การสวมแว่นตา กรณีที่อาการตามัวเกิดจากความผิดปกติของภาวะการหักเหของแสง ทําให้ มองเห็นระยะใกล้ชัดเจน มองเห็นระยะไกลชัดเจน ภาวะสายตายาวตามอายุ อาการตากลัวแสงหรือไม่สู้แสง
2. การควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด กรณีผู้ป่วยเบาหวาน อาการตามัวอาจเกิดขึ้นจากระดับน้ําตาล เพิ่มหรือลดลง หรือภาวะเบาหวานขึ้นตา
3. การรักษาตามสาเหตุ เช่น การผ่าตัด กรณีอาการตามัวเกิดจากโรคต้อกระจก หรือเกิดจากแผลที่ กระจกตา หากเกิดขึ้นจากภาวะพร่องโภชนาการและการขาดวิตามินเอ ควรรับประทานวิตามินเออย่าง เหมาะสม
4. การให้คําแนะนําในการปฏิบัติตัว เช่น การใช้แว่นขยายขณะอ่านหนังสือ หรือเพิ่มขนาดตัวอักษร
ในคอมพิวเตอร์ให้ใหญ่ขึ้น ในผู้ป่วยที่มีภาวะตาบอดสนิท (complete blindness) ผู้ป่วยอาจจําเป็นต้อง ปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อความสะดวกในการดําเนินชีวิตประจําวัน ได้แก่ การใช้หนังสือหรือนาฬิกา เสียง การเรียนอักษรเบรลล์ การจัดบ้านให้เหมาะสม เป็นต้น
การป้องกัน
1. สวมแว่นกันแดดตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แจ้ง หรือแว่นตาป้องกันขณะทํางานในบริเวณที่มีสารเคมี หรือฝุ่นละออง เช่น การทาสี หรือการซ่อมบ้าน เป็นต้น
2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี หรือสารลูทีน และซีแซนทีน ซึ่งอาจช่วยป้องกันกระจกตาและจอประสาทตา
256
3. งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทําให้ความสามารถในการมองเห็น ลดลง
4. ควรพักสายตาจากการทํางาน หรือจ้องมองคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน
5. ไม่ควรเอามือถูหรือขยี้ตาแรงๆ ล้างมือให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
6. การใช้ยาหยอดตา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัย
7. ควรมีการตรวจตาเป็นระยะ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีความเสี่ยง เช่น อายุมากกว่า
40 ปี มีโรคประจําตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดสมอง โรคทางพันธุกรรมในครอบครัว ทารกคลอดก่อน
กําหนด และตรวจติดตามตามคําแนะนําของจักษุแพทย์
8. ผู้มีโรคเบาหวาน ควรเข้ารับการตรวจตาและวัดระดับน้ําตาลในเลือดเป็นประจํา ควรควบคุมระดับ
น้ําตาลในเลือดให้เหมาะสม
การพยาบาล
1. ประเมินอาการของผู้ป่วย แนะนําเรื่อการพักผ่อนในบริเวณที่มีแสงสว่างพอประมาณ เพื่อลด อาการระคายเคืองตาจากบริเวณที่มีแสงจ้าจนเกินไป
2. ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคที่เป็น แนะนําแนวทางในการรักษา และการปฏิบัติตัว การใช้ยาตามแผนการ รักษา แนะนําการระวังไม่ให้น้ํากระเด็นเข้าตา การดูแลความสะอาดของตาให้สะอาดปราศจากเชื้อ การแยก เครื่องใช้ของผู้ป่วย การล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังการสัมผัสตา สอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการเช็ดตา หยอด ตา ป้ายตา ให้ถูกต้องตามเทคนิคปลอดเชื้อ
3. แนะนําการปฏิบัติกิจวัตรประจําวันด้วยตนเอง โดยประเมินความสามารถในการทํากิจวัตร ประจําวันของผู้ป่วย และให้การช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่สามารถทําได้เองหรือทําได้ไม่สะดวก ตลอดจนจัด สิ่งแวดล้อมให้สะดวกปลอดภัย ระวังการเกิดอุบัติเหตุ แนะนําการรับประทานอาหาร สามารถรับประทาน อาหารได้ทุกอย่าง หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว ที่ต้องออกแรงเคี้ยวมากๆ ไม่ควรให้ท้องผูก พยายาม
รับประทานผัก ผลไม้ เป็นประจํา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามิน เอ วิตามินซี วิตามินอี หรือสารลูทีน และซีแซนทีน แนะนําการใช้สายตา สามารถใช้ได้ตามปกติ เช่น ดู โทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ แต่ถ้าเมื่อยตาให้หยุดพัก
4. ให้การพยาบาลเพื่อลดความวิตกกังวล โดยสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยและญาติ ประเมินระดับ ความวิตกกังวล และความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย เพื่อนํามาวางแผนการพยาบาล โดยการพูดคุย ซักถาม และสังเกตพฤติกรรม การแสดงออกของผู้ป่วย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถามข้อข้องใจ
5. สําหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด ต้องให้ความรู้ในการปฏิบัติตนก่อนผ่าตัด ประเมินความรู้ของผู้ป่วย อธิบายการผ่าตัดพอสังเขป แนะนําการเตรียมตัว ได้แก่ การงดน้ําอาหาร การทําความสะอาดร่างกาย การตัด
257
ขนตาและหยอดตาด้วยยาฆ่าเชื้อก่อนการผ่าตัด รวมถึงแนะนําการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด เช่น การบริหารการ หายใจ การงดการไอจามแรงๆ การป้องกันการกระแทก การกระทบกระเทือน งดการสะบัดหน้าแรงๆ แนะนํา ไม่ให้บีบตา ขยี้ตา หรือกดบนตา แนะนําไม่ให้เบ่งถ่าย การรับประทานอาหารไม่ให้เกิดอาการท้องผูก แนะนํา การครอบ eye shield เพื่อป้องกันการกระแทก แนะนําการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด
6. แนะนําให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการยกของหนัก การออกกําลังกายประเภทกระโดด เล่นโยคะ เพราะเกิด อันตรายต่อตาได้ง่าย
7. แนะนําให้ผู้ป่วยทราบเกี่ยวกับอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ทันที ได้แก่ ปวดตามากผิดปกติ
ถึงแมร้ับประทานยาแก้ปวดที่ได้รับจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ทุเลามาตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง
8. แนะนําการปฏบัติตัวสําหรับ ผู้ป่วยที่มีภาวะตาบอดสนิท (complete blindness) เรื่องการ ปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อความสะดวกในการดําเนินชีวิตประจําวัน ได้แก่ การเรียนอักษรเบรลล์ การใช้ สุนัขนําทาง การจัดแต่งบ้าน เพื่อความสะดวกในการหยิบจับสิ่งของ การติดตั้งราวจับในห้องน้ํา เพื่อความ
ปลอดภัย สิทธิ์สําหรับผู้พิการ คนละ 500 บาท/เดือนได้ แนะนําการฝึกอาชีพที่เหมาะสม (หากมีความจําเป็น)
ปัญหาการได้ยิน
ปัญหาการได้ยินในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ของโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดกับ ผู้สูงอายุ โดยพบได้ถึงร้อยละ 25-40 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามวัย เป็นปัญหา ใหญ่ที่ส่งผลต่อจิตใจ และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโดยตรง ผู้สูงอายุจะสื่อสารกับผู้อื่นน้อยลงโดยไม่รู้ตัว
ในภาวะปกติ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ การได้ยินจะค่อยๆ เสื่อมลงตามวัย โดยมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อย ไป และเสื่อมเท่ากันทั้ง 2 ข้าง หูตึง (presbycusis) มากขึ้น พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สาเหตุเนื่องมาจากมี การเสื่อมของ Organ of Corti และ basilar membrane ซึ่งเป็นอวัยวะในหูชั้นในร่วมกับเส้นประสาทคู่ที่ 8 (auditory nerve) ซึ่งทําหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินสูญเสียหน้าที่ เยื่อแก้วหูและอวัยวะในหูชั้นกลางแข็งตัวมาก
ขึ้น ทําให้มีความบกพร่องการได้ยินระดับเสียงสูงมากกว่าระดับเสียงต่ํา ความผิดปกติที่ทําให้เกิดปัญหาการได้ยินในผู้สูงอายุ หากเกิดจากหูชั้นนอกและหูชั้นกลางของ
ผู้สูงอายุ มักทําให้เกิดภาวะหูอื้อหรือหูตึง หากเกิดจากหูชั้นในไปจนถึงสมอง ส่วนใหญ่จะทําให้เกิดภาวะหูตึง รุนแรงหรือหูหนวกถาวรได้
ภาวะหูอื้อหรือหูตึง (presbycusis) หมายถึง ภาวะที่ความสามารถในการรับเสียงแย่ลง เริ่มจากหูตึง ระดับน้อย (ระดับการได้ยินมากกว่า 25 เดซิเบลขึ้นไป) จนถึงหูตึงรุนแรง (ระดับการได้ยินมากกว่า 25 เดซิ เบลถึง 90 เดซิเบล) หากระดับการได้ยินมากกว่า 90 เดซิเบล แสดงว่า หูหนวก (ไม่ได้ยิน)
258
สาเหตุ
1. ความผิดปกติจากหูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน เยื่อแก้วหูทะลุ หูชั้นนอกอักเสบ เนื้องอกของหูชั้นนอก
2. ความผิดปกติจากหูชั้นกลาง เช่น หูชั้นกลางอักเสบ น้ําขังอยู่ในหูชั้นกลาง ท่อยูสเตเซียน ทํางาน ผิดปกติ โรคหินปูนในหูชั้นกลาง
3. ความผิดปกติจากหูชั้นในไปจนถึงสมอง เช่น ประสาทหูเสื่อมตามวัย โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน
4. การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหูเป็นระยะเวลานาน เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ ยาขับ ปัสสาวะ ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาแอสไพริน ยาควินีน ฯลฯ
5. สาเหตุอื่นๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคมะเร็ง โรคไต โรคเบาหวาน ความดันโลหิตต่ํา หรือสูง ไขมันในเลือดสูง ความผิดปกติทางด้านจิตใจ (psychological hearing loss) โรคเหล่านี้สามารถทําให้ หูอื้อ หรือหูตึงได้
อาการ
การได้ยินลดลง หูอื้อ ฟังไม่รู้เรื่องหรือได้ยินเสียงแต่จับใจความไม่ได้ อาจมีเสียงรบกวนในหู (tinnitus) คันในหู หากมีการอักเสบในหู จะพบอาการ ปวดหู ของเหลวไหลจากหู (otorrhea) อาจเป็นหนองและมีกลิ่น เหม็น อาการแทรกซ้อน เช่น ไข้ ปวดศีรษะ ซึมลง หากเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน มักพบอาการ วิงเวียน บ้านหมุน (vertigo) หรือเวียนแบบโคลงเคลง (dizziness) คลื่นไส้ อาเจียน มักเป็นเมื่อเวลามีการเคลื่อนไหว ของศีรษะบางรายอาจมตีากระตุกหรือเดินเซ
การวินิจฉัย
1. การซักประวัติ ประวัติความเจ็บป่วย อาการที่เป็น ความผิดปกติของการได้ยิน อาการผิดปกติ เกี่ยวกับหู ยาที่ใช้
2. การตรวจหู เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ เครื่องส่องหู (otoscope) ส้อมเสียง (turning fork) ฯลฯ
3. การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ
4. การตรวจการได้ยิน โดยใช้ครื่องมือเรียกว่า Audiometer เพื่อยืนยันและประเมินระดับความ รุนแรงของการเสียการได้ยิน
5. การตรวจคลื่นสมองระดับก้านสมอง และการถ่ายภาพรังสี เช่น เอ็กซ์เรย์ (X-ray) คอมพิวเตอร์ สมอง (CT scan) หรือตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และการฉีดสารรังสีเข้าหลอดเลือด
การรักษา
การรักษาปัญหาการได้ยินในผู้สูงอายุ คือ การรักษาตามสาเหตุ หากเกิดจากการติดเชื้อ รักษาโดยให้ ยาปฏิชีวนะ ผ่าตัดเข้าไปเอาหนองและเนื้อเยื่อที่มีการติดเชื้อออก ปัญหาการได้ยินที่เกิดประสาทรับเสียงเสื่อม ตามวัย มักจะรักษาไม่หายขาด จึงเป็นการรักษาตามอาการ
259
หลักการพยาบาล
หลักการพยาบาลผู้สูงอายุที่มีปัญหาการได้ยิน คือ การให้คําแนะนําการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ซึ่งแตกต่าง กันตามระดับปัญหาการได้ยิน ดังนี้
1. ปัญหาการได้ยินไม่มาก ซง่ึ ไม่จําเป็นต้องรักษา แนะนําให้ปฏิบัติตัว คือ
1.1 การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะแก่การแยกแยะเสียงได้ชัดเจนขึ้น เพื่อลดเสียงรบกวน
1.2 การสนทนาเพื่อให้ได้ยินดีขึ้น ควรใช้เสียงทุ้มที่ดังกว่าธรรมดาและมีการสบตา ยืนหรือนั่ง พูดคุยในตําแหน่งที่ผู้สูงอายุสามารถเห็นปากผู้สนทนาได้อย่างชัดเจน ไมพ่ ูดเร็วหรือพูดประโยคยาวเกินไป เพื่อ
ผู้สูงอายุจะได้จับใจความได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะทําให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยและของครอบครัวดีขึ้น
2. ปัญหาการได้ยินมาก ไม่ค่อยได้ยินเสียงทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมีผลรบกวนคุณภาพชีวิตประจําวันมาก ควร
แนะนําให้ใช้เครื่องช่วยฟัง ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล 3.ปัญหาการได้ยินทเี่กิดจากประสาทรับเสียงเสื่อม
3.1 แนะนําการป้องกันไม่ให้ประสาทรับเสียงเสื่อมมากขึ้น โดยหลีกเลี่ยงเสียงดัง
3.2 ถ้ามีโรคประจําตัวเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคไต ฯลฯ แนะนํา การควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะปกติ เพราะโรคเหล่านี้ทําให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหูน้อยลง ทําให้ประสาทรับ เสียงเสื่อมมากหรือเร็วขึ้น
3.3 หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู
3.4 หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหู
3.5 หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุหรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู
3.6 ออกกําลังกายสม่ําเสมอ
3.7 ลดความเครียด วิตกกังวล และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
4. สําหรับผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดเพื่อแก้สาเหตุของความผิดปกติ พยาบาลต้องให้คําแนะนําการปฏิบัติตัว
ทั้งก่อนผ่าตัด ระหว่างการผ่าตัดและหลังผ่าตัด การผ่าตัดหูส่วนใหญ่จะใช้วิธีระงับความรู้สึกแบบทั่วไป (general anesthesia) แนะนําการทําความสะอาดหู การสังเกตอาการผิดปกติ หลีกเลี่ยงการสั่งนํ้ามูกหรือ จามแรงๆ เนื่องจากแรงดันที่เพิ่มขึ้นจะทําให้เชื้อโรคเข้าสู่ช่องหู และการมาตรวจตามนัด
สรุป
เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินลดลง ซึ่งเป็นผลมาจาการเปลี่ยนแปลง ตามวัย ปัญหาการมองเห็นที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ คือ อาการตามัว หากไม่ได้รับการรักษาทําให้เกิดอาการตา บอดได้ ปัญหาดังกล่าวสามารถป้องกันได้ หากผู้สูงอายุปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง โดยการป้องกันอันตรายที่จะเกิด กับดวงตา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และตรวจตาเป็นประจําทุกปี ความบกพร่องของการได้ยิน มีผลทํา
260
ให้ผู้สูงอายุบางคนกลายเป็นคนชอบแยกตัว ขี้สงสัย และหวาดระแวงในเรื่องต่างๆ ดังนั้น จึงควรสื่อสารกับ ผู้สูงอายุอย่างถูกวิธี กรณีที่มีปัญหาการได้ยิน ควรให้คําแนะนําการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ซึ่งแตกต่างกันตามระดับ ปัญหาการได้ยิน การสื่อสารอย่างถูกวิธีและการใช้เครื่องช่วยฟัง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการได้ยิน ทําให้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ปัญหาท่ีเกิดจากการปฏิบตัิทางการแพทย์(Iatrogenesis)
เม่ือเข้าสู่วัยสูงอายุ ร่างกายจะเกิดการเปล่ียนแปลงไปในทางเส่ือมมากกว่าการเจริญเติบโต จึงเป็นวัย ท่ีมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติทางการแพทย์ (Iatrogenesis) ซ่ึงส่วนมากมักเป็น ปัญหาที่เกิดจากภาวะเฉียบพลันของผู้สูงอายุทไี่ ด้รับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนั้น อาจพบในผู้สูงอายุที่ มีความเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง (frailty) สาเหตุอาจเกิดจากลักษณะเฉพาะ ของผู้สูงอายุหรือRAMPSทมี่ีผลกระทบเม่ือเกิดความเจ็บป่วยได้แก่
1. กําลังสํารองลดลง (Reduced body reserve) ทําให้ความสามารถในการทํากิจวัตรประจําวันและ กิจกรรมอื่นๆ ลดลง
2. การตอบสนองต่อการเจ็บป่วยช้าและอาการแสดงไม่เฉพาะเจาะจง (Atypical presentation) ทํา ให้อาการและอาการแสดงเฉพาะของโรคจะไม่ชัดเจน เกิดความล่าช้าในการวินิจฉัย และอาจก่อให้เกิดความ ผิดพลาดในการดูแลรักษา
3. มีพยาธิสภาพหลายระบบ (Multiple pathology) และมีภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง (chronic conditions) จึงอาจเกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาหรือการตรวจวินิจฉัยที่ผิดพลาดได้
4. ใช้ยาร่วมกันหลายชนิด (Polypharmacy) จึงอาจเกิดอันตรายได้ง่ายจากการใช้ยา และเกิดปัญหา การใช้ยาไม่ถูกต้อง
5. มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมท่ีไม่พึงประสงค์ (Social adversity) ทําให้เกิดความสูญเสียด้านต่างๆ ในชีวิตหลายด้าน ซึ่งอาจทําให้เกิดปัญหาทางจิตตามมา
ลักษณะเฉพาะของผู้สูงอายุดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักซึ่งทําให้เกิดปัญหาจากการปฏิบัติทาง การแพทย์ (Iatrogenesis) ได้ง่าย ด้วยเหตุน้ี การดูแลผู้สูงอายุจึงจําเป็นต้องอาศัยการทํางานร่วมกันของทีมสห วิชาชีพ
ปัญหาการใช้ยาในผู้สูงอายุ จัดเป็นปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติทางการแพทย์ (Iatrogenesis) ที่พบ บ่อยในผู้สูงอายุ ทําให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้ง่าย เน่ืองจากในผู้สูงอายุ การทําหน้าท่ีของร่างกาย เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงยาและการขับถ่ายยาลดลง จึงจําเป็นต้องปรับขนาดของยาที่ใช้ให้พอเหมาะ เพ่ือ ป้องกันการเกิดอาการข้างเคียงหรือเกิดอาการพิษจากยาเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุ ทําให้เกิดขบวนการที่ร่างกายกระทําต่อยาแตกต่างจากวัยหนุ่ม ดังน้ี
การดูดซึมยา (drug absorption) ภาวะความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหาร และการไหลเวียนของ เลือดไปยังลําไส้ลดลง ทําให้ยาหรือสารบางอย่าง เช่น วิตามินบี 1 แคลเซียม และเหล็ก ซึ่งต้องอาศัยการซึม ผ่านโดยวิธีพิเศษ (active transport) ถูกดูดซึมน้อยลง แต่ยาส่วนใหญ่ที่มีการซึมผ่านเนื้อเยื่อหุ้มเซลล์ธรรมดา (passive diffusion) การดูดซึมไม่เปล่ียนแปลง
การกระจายตัวของยา (drug distribution) ปริมาณน้ําในร่างกายลดลง แต่ไขมันเพิ่มขึ้นมีผลต่อการ ใช้ยาโดยเฉพาะยาที่ละลายได้ดีในไขมัน จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย และออกฤทธิ์นานขึ้น นอกจากนั้นใน ผู้สูงอายุ ระดับอัลบูมินในเลือดท่ีสามารถรวมตัวกับยามีปริมาณลดลง ทําให้ยาในรูปอิสระมีปริมาณสูงข้ึน
การเปลี่ยนแปลงยาภายในร่างกาย (drug metabolism) ตับซึ่งเป็นอวัยวะที่สําคัญในการ เปลี่ยนแปลงยา ในผู้สูงอายุตับจะมีขนาดเล็กลงและการไหลเวียนของเลือดที่ตับลดลงเมื่อเทียบกับวัยหนุ่มสาว ซึ่งมีผลทําให้ยาถูกเปลี่ยนแปลงท่ีตับได้น้อยลง
การขับถ่ายยา (drug elimination) การทํางานของไตลดลง อัตราเร็วในการกรองที่โกลเมอรูลัสและ การทํางานของเซลล์บุท่อไตลดลง เลือดไหลไปเลี้ยงไตน้อยลง ทําให้การขับถ่ายยาต่างๆ ช้าลง
261
ความเจ็บป่วยเรื้อรังในผู้สูงอายุ ซึ่งมักมีพยาธิสภาพของโรคหลายโรค ทําให้ผู้สูงอายุได้รับยาหลาย ขนาน ทั้งจากแพทย์ผู้รักษา ซึ่งอาจมีหลายคน รวมทั้งการซื้อยารับประทานเองด้วย การตรวจสอบการใช้ยา ทั้งหมดของผู้ป่วย จึงเป็นสิ่งสําคัญในการดูแลผู้สูงอายุ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาในผู้สูงอายุ อาจแสดงอาการที่ ไม่ชัดเจน หรือเป็นอาการที่ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเกิดจากยา ได้แก่ อาการสับสน (confusion) อาการท้องผูก ความดันเลือดตกขณะเปลี่ยนท่า ภาวะเมาค้าง (hangover) พูดคําไม่ชัดเจน (slurred speech) ง่วงซึมจากยา นอนหลับ โดยเฉพาะชนิดที่มีครึ่งชีวิตยาว เลือดออกในทางเดินอาหาร โรคหัวใจและการทํางานของไตลดลง จากยากลุ่ม NSAID โรคเลือดจากยาที่กดไขกระดูก (สิระ วชาติมานนท์, และพิสนธิ์ จงตระกูล, 2560)
เครื่องมือที่ช่วยในการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมในประเทศไทย คือ เกณฑ์การส่งเสริมการใช้ยาอย่าง
สมเหตุสมผลของประเทศไทย พ.ศ. 2558 ประกอบด้วย 4 ส่วนใหญ่ (ปณิตา ลิมปะวัฒนะ, 2560) ดังนี้
1. คําแนะนําทั่วไป
1.1 การรักษาภาวะใด ๆ ในผู้สูงอายุ ควรพิจารณาความจําเป็นที่ต้องใช้ยา โดยควรเลือกการ รักษาโดยไม่ใช้ยาก่อนเสมอ
1.2 หลีกเลี่ยงยาที่ไม่แนะนําให้ใช้ในผู้สูงอายุ เพื่อลดความเสี่ยงของอาการไม่พึงประสงค์จากยา
1.3 ผู้สูงอายุมักมีปัญหาการรับรู้และความจํา จึงควรเลือกยาให้มีรูปแบบและวิธีบริหารที่ง่ายต่อ การใช้ยา แนะนําการใช้ยาแก่ผู้ดูแลควบคู่ไปด้วยเสมอ
1.4 การสั่งยา ต้องเริ่มจากขนาดต่ําก่อน และปรับเพิ่มขนาดยาช้าๆ
262
1.5 ระวังอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และเมื่อสงสัยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นผลจากยา ให้ หยุดยาทันที
1.6 เมื่อพบอาการผิดปกติใดๆ ให้คิดเสมอว่ามีโอกาสเกิดจากยาได้หรือไม่
1.7 ระวังการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่ใช้ร่วมกัน ทั้งยาที่แพทย์สั่งและยาที่ผู้ป่วยซื้อใช้เอง
1.8 ให้คําอธิบายการใช้ยาอย่างวิธี รวมทั้ง การเก็บรักษาแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล
1.9 ต้องมีการติดตามปร้เมินประสิทธิภาพที่ได้จาการรักษาด้วยการใช้ยา และแก้ไขปัญหาที่เกิด
จาการใช้ยา
1.10 ต้องมีการประสานรายการยาที่ผู้สูงายุได้รับให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ําเสมอทั้งยาที่ได้รับจาก โรงพยาบาล สถานพยาบาล ร้านยา อาหารเสริมทุกชนิด รวมทั้งส่งต่อข้อมูลยาไปยังโรงพยาบาลอื่น เมื่อผู้ป่วย เปลี่ยนที่รักษา เป็นการช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาทางยาที่อาจเกิดขึ้นได้
2. กลุ่มยาหรือยาที่ควรหลีกเลี่ยงในผู้สูงอายุ (สิระ วชาติมานนท์, และพิสนธิ์ จงตระกูล, 2560) ได้แก่ ยาที่ออกฤทธิ์ยาว เพราะอาจสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดพิษ เช่น ยาแก้เบาหวานชนิดกินประเภทออกฤทธิ์ ยาว เช่น glibenclamide, chlorpropamide ยากลุ่ม benzodiazepine ชนิดที่ออกฤทธิ์ยาว เช่น nitrazepam, flurazepam, diazepam, alprazolam และยากลุ่ม NSAID ชนิดที่ออกฤทธิ์ยาว เช่น naproxen, piroxicam
3. กลุ่มยาหรือยาที่ควรใช้ด้วยความและระมัดระวังในผู้สูงอายุ (สิระ วชาติมานนท์, และพิสนธิ์ จง ตระกูล, 2560)
3.1 ยาที่มีฤทธิ์ anticholinergic สูง เช่น First-generation antihistamines และ ยาระบบ คลายกล้ามเนื้อ ได้แก่ Orphenadrine มากกว่า 200 มก./วัน เพราะทําให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ปัสสาวะขัด ท้องผูก ความดันโลหิตต่ํา การมองเห็นผิดปกติ และระบบประสาทส่วนกลางทํางานผิดปกติ เกิดปัญหาสมอง เสื่อมในการใช้ระยะยาว จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากว่า 75 ปี หรือมี cognitive
impairment อยู่ก่อน และควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก ต่อมลูกหมากโต ต้อหิน โดยอาจใช้ยา generation ที่ใหม่ขึ้น หรือใช้เพียงในระยะสั้น ๆ
3.2 ยาที่มีtherapeutic index แคบ เช่น digoxin, anticonvulsants (phenytoin, valproic acid) และ theophylline เพราะโอกาสเกิดความเป็นพิษได้สูงและควรติดตามระดับยาในเลือด หรืออาการ ทางคลินิกที่แสดงความเป็นพิษของยาอย่างใกล้ชิด
3.3 Flunarizine/Cinnarizine Prochlorperazine เป็นยาที่กดการทํางานของระบบประสาท ส่วนกลาง เพิ่มโอกาสเกิด extrapyramidal symptoms และการหกล้ม จึงควรเฝ้าระวังความผิดปกติของการ
เน่ืองจากภาวะความเจ็บป่วยเรื้อรัง ทําให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องใช้ยาอยู่เป็นประจํา ยาบางชนิดส่ังโดย แพทย์ ซึ่งมีคําสั่งของแพทย์ชี้แจงในซองหรือกล่องยา แต่บางครั้งผู้สูงอายุอาจจําเป็นต้องใช้ยาที่ซื้อหามาเอง ตามร้านขายยา ดังน้ัน พยาบาลควรแนะนําผู้สูงอายุและญาติ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา คือ
1. การใช้ยาตามแพทย์สั่ง เมื่อแพทย์ส่ังยาชนิดใหม่ ควรแนะนําผู้สูงอายุและญาติให้ปฏิบัติ ดังนี้
1.1 บอกแพทย์ว่าปัจจุบันผู้สูงอายุใช้ยาอะไรอยู่เป็นประจํา (ถ้ามี) เพื่อแพทย์จะได้ทราบและเข้าใจ
ทําให้ไม่สั่งยาซ้ําซ้อนกับยาเดิม
1.2 ผู้สูงอายุเคยมีปัญหาหรือแพ้ยาอะไรบ้าง เช่น เป็นผื่น ท้องอืด มึนงง เป็นต้น ถามแพทย์หรือ
เภสัชกรว่ายาที่ได้รับใหม่ทําหน้าที่อะไร อย่างไร และมีอาการข้างเคียงหรือไม่ ควรงดเว้นอาหารหรือยาประจํา อะไรหรือไม่
1.3 เม่ือได้รับยาตามแพทย์ส่ังแล้ว ต้องแน่ใจว่าผู้สูงอายุเข้าใจคําแนะนําต่างๆ ชัดเจนดี และปฏิบัติ ตามคําแนะนําอย่างถูกต้อง ท้ังในเร่ืองชนิด ขนาด ระยะเวลา ดังน้ัน จึงควรใช้วิธีบันทึกช่วยจํา เพ่ือให้ได้รับยา ครบทุกม้ือและป้องกันการกินยาซ้ํา ถ้าไม่แน่ใจควรให้ผู้ดูแลหรือญาติเป็นผู้จัดการเร่ืองยาให้
1.4 การเขียนฉลากยาจะต้องเขียนอักษรตัวโตอ่านง่าย การจัดยาแบ่งเป็นมื้อใส่ภาชนะแยกไว้จะ ช่วยให้ผู้สูงอายุรับประทานได้ง่ายข้ึน
1.5 การใช้ยาต้องถูกต้อง คือ ถูกชนิด ถูกขนาด ถูกเวลา ถูกวิธี และถูกบุคคล ไม่ใช้ยาร่วมกับผู้อื่น แม้จากเป็นโรคเดียวกัน
1.6 ผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอมาก ควรให้ญาติหรือผู้ดูแลเป็นคนจัดยาและตรวจสอบการใช้ยา ของผู้ป่วยอย่างละเอียด ผู้สูงอายุอาจมีปัญหาในการกลืน ทําให้มีความยากลําบากในการรับประทาน ยาอาจ ตกค้างอยู่ในปาก และยาบางชนิดอาจทําให้เกิดแผลในช่องปากขึ้นได้ จึงควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ําในปริมาณที่ พอเพียงทุกครั้งที่ป้อนยาเม็ดแก่ผู้ป่วย และให้ผู้ป่วยกลืนยาในท่านั่งหรือยืน เพื่อป้องกันไม่ให้ยาตกค้างบริเวณ หลอดอาหาร
263
เคลื่อนไหวของผู้ป่วย และใช้ยาในขนาดต่ําที่สุดที่ได้ผลประเมินความจําเป็นในการใช้ยาเป็นระยะ และหยุดยา เมื่อไม่มีข้อบ่งใช้
3.4 Anticoagulants ได้แก่ warfarin ยาในกลุ่ม new oral anticoagulants และ LMWH เนื่องจากในผู้สูงอายุมีการกําจัดยาโดยตับและไตลดลง จึงมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาสูงขึ้น ใน กรณี warfarin: ต้องมีการติดตามระดับ INR อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะเมื่อมีภาวะที่อาจมีผลต่อระดับติดตาม อาการทางคลินิกที่อาจบ่งถึงผลข้างเคียงของยาอย่างใกล้ชิด และหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ที่อายุมากกว่า 75 ปี
4. ตัวชี้วัดการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล
การพยาบาล
2. การซ้ือยามาใช้เองควรแนะนําผู้สูงอายุให้ปฏิบัติดังน้ี
1.1 ไม่ควรใช้ยาโดยไม่จําเป็น หรือตัดสินใจใช้ยาด้วยตนเอง หรือไม่ใช้ยาโดยการแบ่งปัน
ยากับเพื่อนที่เป็นโรคหรือมีลักษณะอาการเหมือนกัน
1.2 อย่าซ้ือยามารับประทานเองเกินกว่า 1 สัปดาห์ โดยมิได้ปรึกษาแพทย์
1.3 ถ้ากําลังใช้ยาที่แพทย์สั่ง ให้ตรวจสอบกับเภสัชกรผู้จ่ายยาก่อนว่ายาที่ซื้อมาใช้ร่วมกันได้
หรือไม่ เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา
1.4 หลีกเล่ียงการซ้ือยาพิเศษท่ีมีราคาแพง ควรใช้เฉพาะยาสามัญประจําบ้านเท่านั้น
3. การเก็บรักษายา ผู้สูงอายุควรปฏิบัติดังน้ี
3.1 ควรมีที่เก็บยา หรือตู้ยาแยกเป็นพิเศษ ยาบางชนิดต้องเก็บไว้ในตู้เย็น
3.2 ยาเม็ดควรเก็บใส่ขวดหรือกล่องปิดฝาให้สนิท อย่าเก็บยาเม็ดหลายอย่างไว้ในขวด
หรือกล่องเดียวกัน
3.3 อย่าเก็บยาใกล้ความร้อนหรือแสงแดดส่องถึง หรือในที่ซ่ึงเด็กหยิบได้ง่าย
3.4 พยายามให้ฉลากยาอยู่กับขวดยาตลอดเวลา
3.5 ยาหลายอย่างเสื่อมคุณภาพได้ในเวลาอันจํากัด โดยทั่วไปไม่ควรเก็บยาไว้เกิน 1 ปี ถ้าเลย
เวลาน้ีไปแล้ว ควรท้ิงยา
สรุป
264
เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม จึงเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติทางการแพทย์ (Iatrogenesis) ซึ่งส่วนมากมักเป็นปัญหาที่เกิดจากภาวะเฉียบพลัน และความเจ็บป่วยเรื้อรังของผู้สูงอายุ การรักษาภาวะใด ๆ ในผู้สูงอายุ ควรพิจารณาความจําเป็นที่ต้องใช้ยา เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา เมื่อสงสัยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นผลจากยา ให้หยุดยา ทันที พยาบาลควรแนะนําผู้สูงอายุและญาติให้ระมัดระวังการใช้ยาร่วมกันหลายขนาด ทั้งการใช้ยาตาม
แผนการรักษาและการใช้ยาที่ซื้อมารับประทานเอง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
คําถามทบทวน
1. ลักษณะเด่นของปัญหาสุขภาพท่ีพบบ่อยในวัยผู้หญ่และวัยผู้สูงอายุคืออะไร
2. สาเหตุ อาการและอาการแสดงของปัญหาสุขภาพท่ีพบบ่อยในวัยผู้หญ่และวัยผู้สูงอายุมีอะไรบ้าง
3. เครื่องมือในการประเมินปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในวัยผู้หญ่และวัยผู้สูงอายุมีอะไรบ้าง
4. การป้องกันและการพยาบาลปัญหาสุขภาพท่ีพบบ่อยในวัยผู้หญ่และวัยผู้สูงอายุควรทําอย่างไร
5. ควรแนะนําญาติให้ดูแลหรือให้การพยาบาลปัญหาสุขภาพท่ีพบบ่อยในวัยผู้หญ่และวัยผู้สูงอายุ อย่างไร
บรรณานุกรม
เฉลิมชาติ วรรณพฤกษ์. วิธีดูแลรักษาผู้ป่วยสูงอายุภาวะสมองเส่ือม. เอกสารอัดสําเนา; 2543.
ณัฐปาณี แววทองคํา. การดูแลเฝ้าระวังโรคซึมเศร้า. สืบค้น 25 กรกฎาคม 2553, จากhttp://www.
pharmyaring.com/uploadz/knowledge_depress%20K.Nattapranee.ppt.
ไตรรัตน์ จารุทัศน์, จิราพร เกศพิชญวัฒนา, กิตติอร ชาลปติ, ศรัณยา หล่อมณีนพรัตน์. ข้อแนะนําการ ออกแบบสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยของผู้สูงอายุ. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย; 2550.
ธนา ธุระเจน. พบคนไทยกว่า 15 ล้านคน เสี่ยงเกิดภาวะกระดูกพรุน. สืบค้น 13 สิงหาคม 2553, จาก
http://www.thaihealth.or.th/node/8957.
นารีรัตน์ จิตรมนตรี. ทฤษฎีความสูงอายุ. ใน: วิไลวรรณ ทองเจริญ, บรรณาธิการ. ศาสตร์และศิลป์การ
พยาบาลผู้สูงอายุ. พิมพ์ครั้งท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: เอ็นพีเพรส; 2558. หน้า 35-44.
นารีรัตน์ จิตรมนตรี. การหกล้มในผู้สูงอายุ. ใน: วิไลวรรณ ทองเจริญ, บรรณาธิการ. ศาสตร์และศิลป์การ
พยาบาลผู้สูงอายุ. พิมพ์คร้ังท่ี 2, กรุงเทพมหานคร: เอ็นพีเพรส; 2558. หน้า 195-208.
นิตยา ภาสุนันท์. ปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและการพยาบาล. ใน: จันทนา รณฤทธิวิชัย และวิไลวรรณ ทอง
เจริญ, บรรณาธิการ. หลักการพยาบาลผู้สูงอายุ. กรุงเทพฯ: บุญศิริการพิมพ์; 2545.
ปณิตา ลิมปะวัฒนะ, บรรณาธิการ. กลุ่มอาการสูงอายุและประเด็นทางสุขภาพที่น่าสนใจ. ขอนแก่น: โรง
พิมพ์คลังนานาวิทยา; 2560.
ประเสริฐ บุญเกิด, และคณะ. แนวทางเวชปฏิบัติภาวะสมองเสื่อม. ฉบับเรียบเรียง ครั้งที่ 2. สืบค้น 31
กรกฎาคม 2553, จาก http://pni.go.th/cpg/dementia-2008.pdf.
ประเสริฐ อัสสันตชัย. อาการปัสสาวะราดในผู้สูงอายุและการป้องกัน ใน: ประเสริฐอัสสันตชัย, บรรณาธิการ.
ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและการป้องกัน กรุงเทพฯ: บริษัทยูเนี่ยน ครีเอชั่น จํากัด;
2552. หน้า 89-108.
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2551. สืบค้น 15 สิงหาคม
2553, จาก http://www.ryt9.com/s/cabt/800885.
วชิร คชการ. คู่มือการดูแลผู้ป่วยกล้ันปัสสาวะไม่อยู่. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไอเดีย
อินสแตนท์พริ้นต้ิง; 2552.
265
วิไลวรรณ ทองเจริญ, บรรณาธิการ. ศาสตร์และศิลป์การพยาบาลผู้สูงอายุ. พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพมหานคร: เอ็นพีเพรส; 2558.
สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล. การดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม. กรุงเทพฯ: บริษัท ฟาร์มาเซีย แอนด์ อัพยอห์น จํากัด; 2542.
สมจินต์ เพชรพันธ์ศรี. อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ. ใน: วิไลวรรณ ทองเจริญ, บรรณาธิการ. ศาสตร์ และศิลป์การพยาบาลผู้สูงอายุ. พิมพ์ครั้งท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: เอ็นพีเพรส; 2558. หน้า 184-95.
สมพงษ์ สุวรรณวลัยกร. กระดูกพรุน. ใน: วิทยา ศรีดามา, บรรณาธิการ. ตําราอายุรศาสตร์ 3. (ฉบับแก้ไข. พิมพ์คร้ังท่ี 5. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2550. หน้า 281-302).
สมพงษ์ สุวรรณวลัยกร และคณะ. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคกระดูกพรุน. ใน: วิทยา ศรีดามา, บรรณาธิการ. Clinical Practice Guideline 2010. เล่มท่ี 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย; 2553. หน้า 278-86.
สุรศักดิ์ นิลกานุวงศ์. คู่มือสําหรับประชาชนโรคข้อ-เข่าเสื่อมสมาคมรูมาติซั่มแห่งประเทศไทย. สืบค้น 13 สิงหาคม 2553, จาก http://blog.etcpool.com/articles/health/diseases/osteoarthritis/.
สุวรรณา อรุณพงค์ไพศาล. ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ. ภาควิชาจิตเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สืบค้น 25 กรกฎาคม 2553, จาก http://home.kku.ac.th/chukam/ 3D/4.ppt.
Anderson MA. Caring for older adults holistically. 4th ed. Philadelphia: F.A. Davis; 2007. Archapitak A. Relationships between selected factors and length of hospital stay of older patients undergoing orthopedic surgery. Master of Nursing Science (Adult Nursing),
Mahidol University; 2008.
Beach P. Acute Pain. Evidence-based nursing monographs. Retrieved July 30, 2010,
fromhttp://www.nursingconsult.com/das/news/body/212242365-2/ebnm/1032245103
/191486/1; 2007.
Brooks P. Inflammation as an important feature of osteoarthritis. Bull World Health Organ
2003; 81: 689-90.
Burke MA, Laramie JA. Primary care of the older Adult. 2nd ed. St.Louis: Mosby; 2004.
266
สิระ วชาติมานนท์, และพิสนธิ์ จงตระกูล. การใช้ยาในผู้สูงอายุ. สืบค้น 12 สิงหาคม 2561, จาก http://mdcupharm.blogspot.com/2017/07/blog-post_17.html.
Buttaro TM, Barba KA, editors. Nursing care of the hospitalized older patient. New york: John Wiley & Sons; 2013.
Cheanvechai V, Harthun NL, Graham LM, Freischlag JA., Gahtan V. Incidence of peripheral vascular disease in women: Is it different from that in men? J Thorac Cardiovasc Sur 2004; 127: 314-7.
Dossey BM, Keegan L. Holistic nursing. 5th ed. Massachusetts: Jones and Bartlett; 2009. Eliopoulos C. Gerontological nursing. 9th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2017. Grubbs PA, Blasband BA. The longterm care nursing assistant. 3rd ed. New Jersey: Pearson
Prentice Hall; 2005.
Hall MRP, MacLennan WJ, Lye MDW. Medical care of the elderly. 3rd ed. New york: John
Wiley & Sons; 1993.
Imperio K., Pusey-Reid E. Cognitive and neurologic function. In: Meiner SE, Lueckenotte AG,
editors. Gerontologic nursing. 3rd ed. St. Louis: Mosby Elsevier; 2006. p. 653-92.
Meiner SE. Gerontologic nursing. 4th ed. St. Louis, Missouri: Elsevier Mosby; 2011.
Miller CA. Nursing for wellness in older adult. 5th ed. Philadelphia: Lippincott Williams &
Wilkins; 2009.
Touhy TA, Jett KF. Ebersole and Hess’ geriatric nursing and health aging. 3rd ed. St.Louis:
Mosby; 2010.
Wold GH. Basic geriatric nursing. 5th ed. St. Louis, Missouri: Elsevier Mosby; 2012.
267
Limpawattana P, Panitchote A, Tangvoraphonkchai K, Suebsoh N, Eamma W, Chanthonglarng B, Tiamkao S. Delirium in critical care: a study of incidence, prevalence, and associated factors in the tertiary care hospital of older Thai adults. Aging Ment Health 2016; 20: 74-80.
อัตลกั ษณ์ของบณั ฑิต
คณะพยาบาลศาสตร ์
คณะพยาบาลศาสตร์ วทิ ยาลยั วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทยเ์ จา้ ฟา้ จุฬาภรณ์ ราชวทิ ยาลยั จุฬาภรณ์
Faculty of Nursing HRH Princess Chulabhorn College of Medical Science, Chulabhorn Royal Academy