The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fuangfacra, 2021-09-19 21:15:53

แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

5. การเปล่ียนแปลงด้านพัฒนาการทางจิตในวัยผู้สูงอายุ
อีริคสัน (Erikson, 1964) ได้แบ่งการพัฒนาการทางจิตสังคมในวัยผู้สูงอายุไว้ในข้ันตอนที่ 8 ของทฤษฎี จิตสังคมของอรีิคสันคือขั้นตอนการบูรณาการกับความสิ้นหวัง(IntegrityversusDespair)ซ่ึงเป็นช่วงวัยสุดท้าย ของชีวิตถ้าบุคคลผ่านขั้นตอนต่างๆมาด้วยดี จะมองอดีตเต็มไปด้วยความสําเร็จมีปรัชญาชีวิตตนเองภูมิใจในการ ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างให้แก่ลูกหลาน มีบุคลิกภาพท่ีเข้มแข็ง มีอารมณ์ม่ันคง ก่อให้เกิดความมั่นคงทางใจที่ เรียกว่า integrity ในทางตรงกันข้าม ถ้าชีวิตมีแต่ความล้มเหลว ขมขื่น ทุกข์ร้อนและผิดหวัง ก็จะเกิดความรู้สึก ส้ินหวังในชีวิต เสียดายเวลาที่ผ่านมา ไม่พอกับชีวิตในอดีต ไม่ยอมรับสภาพตนเอง เกิดความคับข้องใจต่อสภาพ ความเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึน ขาดความสงบสุขในชีวิต รู้สึกไร้ค่าที่เรียกว่า despair ดังน้ัน ผู้สูงอายุควรทําใจให้ ยอมรับท้ังความสําเร็จและความล้มเหลวอย่างเข้าใจ รู้จักชีวิตและปล่อยวาง เพื่อให้เกิดความสุขสงบในชีวิต
การพัฒนาการทางจิตในวัยผู้สูงอายุ ได้แก่
5.1 บุคลิกภาพ (personality) บุคลิกภาพเป็นลักษณะส่วนรวมของบุคคล และการแสดงออก
ของพฤติกรรม ซ่ึงช้ีให้เห็นความเป็น ปัจเจกบุคคล ในการปรับตัวต่อส่ิงแวดล้อม รวมถึงลักษณะที่ส่งผลสู่การ ติดต่อสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ได้แก่ ความรู้สึกนับถือตนเอง ความสามารถ แรงจูงใจ ปฏิกิริยาในการเกิดอารมณ์ และ ลักษณะนิสัยท่ีสะสมจากประสบการณ์ชีวิต บุคลิกภาพของบุคคลมีพ้ืนฐานมาตั้งแต่วัยเร่ิมต้นของชีวิต โดยมี พัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เป็นส่วนประกอบที่สําคัญ อีริคสันเชื่อว่า บุคลิกภาพต้องมีการพัฒนาตลอดเวลาและตลอดชีวิต ในวัยผู้สูงอายุบุคลิกภาพมักไม่ค่อยแตกต่างจากเดิม การ เปลี่ยนแปลงทางด้านบุคลิกภาพอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของมโนทัศน์ การตอบสนองต่อเหตุการณ์ ต่างๆ ท่ีเปล่ียนแปลงไปในวัยผู้สูงอายุ รวมทั้งการรับรู้ความมีอายุ และการยอมรับของสังคม รูปแบบของ บุคลิกภาพของผู้สูงอายุ สามารถแบ่งได้ 3 แบบ ดังนี้ (Asutrian, 2008, 308 -310) คือ
5.1.1 บุคลิกภาพแบบผสมผสาน (integrated personalities) เป็นบุคลิกภาพที่ดี ซ่ึง สามารถพบได้ในผู้สูงอายุส่วนใหญ่ แบ่งเป็น 3 แบบ คือ
1) reorganizers คือกลุ่มที่ค้นหากิจกรรม เพ่ือปรับปรุงความสามารถดั้งเดิมที่หายไป จะมีการทํากิจกรรมในชีวิตประจําวันสูงและมีความพึงพอใจสูง
ระดับความพึงพอใจสูง ความพอใจสูง
2) focused เป็นกลุ่มที่มีกิจกรรมปานกลาง โดยเลือกทํากิจกรรมท่ีตนชอบ และ 3) disengaged เป็นกลุ่มถดถอยตนเองออกจากสังคม มีกิจกรรมน้อย แต่มีระดับ
45


46
5.1.2 บุคลิกภาพแบบต่อต้าน (armored or defended personalities) บุคลิกภาพ แบบน้ีแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1) holding on เป็นกลุ่มที่เกลียดกลัวความชรา พยายามยึดรูปแบบบุคลิกภาพของ ตนในวัยกลางคนไว้ และมีความพึงพอใจในระดับสูงต่อการยึดถือเช่นนี้
2) constricted เป็นกลุ่มที่เกลียดกลัวความชรา ชอบจํากัดบทบาทและพฤติกรรม ของตนเอง จะมีความพึงพอใจสูงถ้าบทบาทของตนเองมีน้อยตามที่ตนคาดหวังไว้
5.1.3 บุคลิกภาพเฉยชาและพ่ึงพาบุคคลอ่ืน (passive dependent personalities) บุคลิกภาพแบบน้ีแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1) succorance seeking เป็นกลุ่มท่ีพ่ึงพาบุคคลอ่ืน เพื่อตอบสนองความต้องการ
ด้านอารมณ์ของตนเอง
2) apathetic or rocking chair เป็นกลุ่มที่แสดงพฤติกรรมเฉยชา มึนซึม ไม่สนใจ ใยดีตอ่ สิ่งแวดล้อม มีกิจกรรมน้อย มีความพอใจระดับตํา่
5.1.4 บุคลิกภาพแบบขาดการผสมผสาน (unintegrated personalities) พบใน ผู้สูงอายุท่ีไม่สามารถปรับตัวให้ยอมรับความชราของตนเองได้ ขาดการควบคุมอารมณ์ มีการบกพร่องด้าน ความคิดอ่านและสภาวะจิตใจอย่างเห็นได้ชัด มีพฤติกรรมและความพึงพอใจต่อชีวิตอยู่ในระดับต่ํา
5.2 การเรียนรู้ (learning) การเรียนรู้ของบุคคลเร่ิมลดลงประมาณอายุ 40-50 ปี และเมื่อเข้า สู่วัยผู้สูงอายุ การเรียนรู้จะลดลงมากข้ึน โดยเฉพาะหลังอายุ 70 ปี การเรียนรู้ลดลงมากน้อย ข้ึนกับสติปัญญา การศึกษา แรงจูงใจ ความต้ังใจ การรับส่งข้อมูลของสมอง การยอมรับ และสภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ แม้ว่า การเรียนรู้ของผู้สูงอายุลดลง โดยเฉพาะการเรียนรู้เร่ืองใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเป็นไปได้ช้า ต้องใช้เวลา เรียนรู้นานกว่าที่จะรับรู้จนสามารถปรับเปล่ียนความคิดและการกระทําได้ อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุยังสามารถ เรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ ได้ ถ้าการเรียนรู้น้ันมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมท่ีผ่านมา รวมทั้งความต้ังใจของผู้สูงอายุ ที่จะเรียนรู้ และระยะเวลาท่ีใช้ในการเรียนรู้ ซ่ึงต้องให้เวลาแก่ผู้สูงอายุมากข้ึน นอกจากนั้น การลดความ คาดหวังของผู้สูงอายุยังช่วยให้ผู้สูงอายุเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เพราะการเรียนรู้ท่ีผู้สูงอายุทําได้ดีและเรียนได้เร็ว คือ การเรยีนรู้เฉพาะเรื่องโดยไม่เร่งรัด
5.3 ความจํา (memory) ผู้สูงอายุมีความจําเร่ืองราวในอดีต (long-term or remote memory) ได้ดี แต่มีความจําเกี่ยวกับส่ิงใหม่ๆ (short-term or recent memory) ลดลง ซ่ึงอาจเป็นผลมา จากการเปล่ียนแปลงทางด้านร่างกายและทางด้านจิตสังคม การกระตุ้นความจําของผู้สูงอายุต้องอาศัยการ


47
ปฏิบัติเป็นลําดับข้ันตอน (step by step) เช่น การเขียนหนังสือตัวโต การใช้สีกระตุ้นการมองเห็น และไม่ควร เน้นหรือถามซ้ําในเร่ืองท่ีผู้สูงอายุจําไม่ได้ การจดบันทึกช่วยผู้สูงอายุจําได้มากข้ึน
5.4 สติปัญญา (intelligence) สติปัญญาของบุคคลข้ึนอยู่กับความสามารถทางสมอง ซ่ึงเริ่ม ลดลงหลังอายุ 30 ปี นอกจากน้ัน ยังเกี่ยวข้องกับระดับการศึกษา การเรียนรู้ในอดีต และประสบการณ์ในการ แก้ปัญหา รวมทั้งสภาวะสุขภาพด้วย ในวัยผู้สูงอายุ สติปัญญาจะเส่ือมถอย เช่ืองช้า ต้องใช้เวลาในการคิด วิเคราะห์ ทบทวนนานกว่าจะตัดสินใจได้ การตอบโต้ทางความคิดไม่ฉับพลันทันที แต่มีเหตุผล และ ประสบการณ์เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการคิดและตัดสินใจ ปัจจุบันผู้สูงอายุมีโอกาสเรียนรู้วิทยาการต่างๆ มากขึ้น จึงมีโอกาสได้ใช้สมองตลอดเวลา ประกอบกับความก้าวหน้าทางการแพทย์มีผลทําให้สุขภาพอนามัยของ ผู้สูงอายุดีข้ึน และบุคคลในวัยต่างๆ ให้ความสนใจเตรียมตัวเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ดังน้ันผู้สูงอายุส่วนใหญ่ จึง มีสติปัญญาดีกว่าในอดีต โดยทั่วๆ ไปการเสื่อมทางสติปัญญาจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่เท่ากันทุกคน ลักษณะความ เส่ือมทางสติปัญญาที่พบในผู้สูงอายุ ได้แก่
5.4.1 ความสามารถในการใช้เหตุผล (inductive reasoning) เสื่อมเร็วกว่า ความสามารถในการคํานวณบวกลบตัวเลข (numerical ability)
5.4.2 ความสามารถในการคดิ เร่ืองนามธรรมมีจํากัด
5.4.3 ความสามารถในการคิดสร้างสรรลดลง แต่จะดีข้ึนถ้าผู้สูงอายุใช้ประสบการณ์เดิม ท่ีผ่านมาช่วยค้นหา และต้องใช้เวลานานกว่าวัยหนุ่มสาว
5.4.4ความสามารถในการคิดอิสระลดลงต้องอาศยับุคคลอ่ืนช่วยในการตัดสินใจ
5.4.5 มักใช้วิธีแก้ปัญหาแบบที่เคยปฏิบัติโดยไม่เปล่ียนแปลง เนื่องจากความจําสั้น ทําให้
แยกสาเหตุไม่ได้
5.5 สมรรถภาพ (competence and performance) สมรรถภาพการรับรู้ข้อมูล
(competence) และสมรรถภาพในการนําความรู้ไปปฏิบัติ (performance) ลดลง โดยส่วนใหญ่จะพบ สมรรถภาพในการนําความรู้ไปปฏิบัติต่ํากว่าสมรรถภาพการรับรู้ข้อมูล เนื่องจากมีสาเหตุหลายประการ เช่น สมองทํางานลดลง ความต้ังใจลดลง การตอบสนองช้าลง ทําให้ความสามารถในการรับรู้ลดลง ผู้สูงอายุมักกลัว ส่ิงท่ีตนเองไม่รู้และต่ืนเต้น เม่ือต้องเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆ เน่ืองจากไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถตอบสนอง ได้หรือไม่ กลัวความล้มเหลว ผู้สูงอายุจึงต้องการการส่งเสริม สนับสนุนและต้องการแรงกระตุ้นในการทํา กิจกรรมใหม่ๆ
5.6 เจตคติ ความสนใจ และคุณค่า (attitudes, interests and values) เจตคติ ความสนใจ และคุณค่าของผู้สูงอายุจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ซ่ึงมีอิทธิพลมาจากเพศ สังคม อาชีพ เชื้อชาติ และ


48
วัฒนธรรม ผู้สูงอายุที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี จะมีเจตคติ ความสนใจ และคุณค่าสูง การเปล่ียนแปลงเจตคติของผู้สูงอายุไม่ใช่สิ่งง่าย การสอนเพ่ือให้ผู้สูงอายุรับรู้เร่ืองราวใหม่ โดยการเปล่ียนแปลง เจตคตขิองผู้สูงอายุจะเกิดได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากข้ึน
5.7 การรับรู้ตนเองและความรู้สึกมีคุณค่า (self-concept and self-esteem) ถ้าเป็นไปใน ทางบวก จะช่วยผู้สูงอายุให้สามารถปรับตัวและแก้ปัญหาได้ดี ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง มีผลมาจากกระบวน ความคิด อารมณ์ ความปรารถนา คุณค่า และพฤติกรรม นอกจากนั้นยังเก่ียวข้องกับงานและสังคมของผู้สูงอายุ ด้วย ดังน้ัน การเตรียมงานท่ีเหมาะสมสําหรับผู้สูงอายุ จึงเป็นวิธีการหน่ึงท่ีจะช่วยส่งเสริม ความรู้สึกมีคุณค่าใน ตัวเอง เช่น การเลี้ยงสัตว์ การเป็นอาสาสมัครทํางานช่วยเหลือสังคม การปลูกต้นไม้ เป็นต้น
การเปล่ียนแปลงทางด้านจิตวิญญาณในผู้สูงอายุ
เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจะตระหนักถึงสภาวะร่างกายท่ีเส่ือมถอยย่ิงขึ้น ความสามารถทางด้าน ต่างๆ ของผู้สูงอายุจะลดลง ทําให้ช่วยตนเองได้น้อย จําเป็นต้องพ่ึงพาผู้อื่นมากขึ้น อํานาจในการควบคุม เหตุการณ์ต่างๆ และส่ิงแวดล้อมของตนเองจึงมีน้อยลง มีผลทําให้ความเชื่ออํานาจภายในตนลดลง และเริ่มเช่ือ อํานาจภายนอกตนมากขึ้น มีผลเสียต่อผู้สูงอายุทางด้านพฤติกรรมอนามัยของทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้สูงอายุจะ แสวงหาความรู้ทางด้านสุขภาพและให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลลดลง รวมท้ังมีพฤติกรรมในการ ป้องกันโรค และพฤติกรรมการเผชิญภาวะความเจ็บป่วยท่ีไม่ถูกต้อง ดังน้ัน การดูแลผู้สูงอายุโดยการตอบสนอง ความต้องการด้านจิตวิญญาณ ให้ผู้สูงอายุสามารถสร้างความสมดุลระหว่างความรู้สึกท่ีม่ันคงในจิตใจ กับ ความรู้สึกที่สูญเสีย จึงทําให้ผู้สูงอายุมีพลังงานอํานาจภายใน มีกําลังใจ และมีความหวัง ช่วยให้ผู้สูงอายมุ คี วาม สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ และเกิดความรู้สึกสุขสงบได้ แม้ว่าจะมีความเจ็บป่วยท้ังในภาวะฉุกเฉิน วิกฤต และ เร้ือรัง
ตัวอย่างความเช่ือที่พบในผู้สูงอายุ ได้แก่
“ทําดีได้ดี ทําช่ัวได้ชั่ว”
“การทําบุญบริจาคทาน จะช่วยให้ชีวิตมีความสงบสุข ได้พบแต่ส่ิงดีในชีวิต ช่วยให้ได้ขึ้นสวรรค์เมื่อ
เสียชีวิต”
“คนเราเม่ือเกดิ มาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บและต้องตายทุกคน ไม่มีผู้ใดหลบหลีกได้พ้น” “ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดท่ีเกิดข้ึนกับตน เป็นผลมาจากบาปกรรมที่ตนเองได้ก่อไว้” “การตายด้วยจิตทส่ีงบไม่เศร้าหมองขณะดับจิตจะช่วยให้ไปเกิดใหม่ในภพท่ีดี”


49
“ความตายเป็นเหตุการณ์ท่ีทุกคนต้องเผชิญ การจากโลกน้ีไปด้วยความสงบสุข สบายใจ คือ ความสําเร็จของชีวิต”
ความแตกต่างของการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยในวัยผใู้ หญ่และวัยผู้สูงอายุ
จากกระบวนการเปลี่ยนแปลงในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ ทําให้การตอบสนองต่อความเจ็บป่วยมีความ แตกต่างจากวัยอื่นๆ โดยกระบวนการเปล่ียนแปลงส่วนมากอยู่ในลักษณะความเส่ือมถอย ทําให้การตอบสนอง ต่อการเจ็บป่วย มีความแตกต่างจากวัยอ่ืนๆ
1. กระบวนปฏิกิริยาการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยช้า
ในช่วงวัยผู้ใหญ่จะมีการตอบสนองท่ีรวดเร็วและเป็นไปตามกระบวนการกลไกการตอบสนองต่อความ เจ็บป่วย ได้แก่ เมื่อมีความเจ็บป่วย ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานหรือมีภูมิคุ้มกันท่ีมาต่อต้านเชื้อโรคได้ อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบการทํางานของอวัยวะท่ี ได้รับผลกระทบจากความชรา กระบวนการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยช้าลง กลไกการตอบสนองอาจมีความ บกพร่องตามลักษณะความเส่ือมถอย เช่น การตอบสนองต่อเช้ือโรค พบว่า กระบวนการสร้างภูมิต้านทานโรค ของผู้สูงอายุเป็นไปอย่างช้าๆ และมีความบกพร่องในการสร้างภูมิคุ้มกัน ทําให้การตอบสนองต่อเชื้อโรคไม่ดี เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายของผู้สูงอายุได้รับเช้ือโรคจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย ระบบการสร้างภูมิคุ้มกันท่ีมีความเสื่อมไปบางส่วน ทําให้ความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันช้าลงกว่าปกติ ซ่ึง กว่าภูมิคุ้มกันจะถูกสร้างขึ้น และมีเพียงพอต่อการต่อต้านเช้ือโรค อาจช้าจนทําให้เช้ือต่างๆ สามารถแพร่เข้าสู่ อวัยวะส่วนต่างๆ และกระจายเข้าสู่ระบบต่างๆ ของร่างกายมากข้ึน นอกจากน้ันการทํางานของไตลดลง ทําให้ ความสามารถในการกรองของเสียออกจากร่างกายลดลงตามอายุท่ีเพ่ิมขึ้น ทําให้เกิดภาวะของเสียคั่งในร่างกาย ได้
2. การตอบสนองต่อความเจ็บป่วยไม่ตรงไปตรงมา
ในวัยผู้ใหญ่ ระบบภูมิคุ้มกันทํางานตามปกติ การตอบสนองต่อความเจ็บป่วยจึงเป็นไปตามระบบที่ เจ็บป่วย เช่น ถ้ามีการติดเช้ือในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันของวัยผู้ใหญ่ก็จะตอบสนองแบบตรงไปตรงมา คือ เม่ือ มีการติดเชื้อจะแสดงอาการของปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการติดเช้ือ เช่น มีไข้ หนาวสั่นเจ็บปวดบริเวณท่ีมีการ ติดเช้ือ แต่เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ผลจากสมรรถภาพทางร่างกายท่ีเส่ือมถอยลง ทําให้การตอบสนองของร่างกาย ต่อความเจ็บป่วยต่างไปจากวัยที่มีอายุน้อยกว่าอย่างชัดเจน เช่น เม่ือมีการติดเช้ือในร่างกาย ปฏิกิริยาการ ตอบสนองต่อการติดเชื้อจะไม่ตรงไปตรงมา เช่น อาจไม่มีไข้ เนื่องจากการทํางานของระบบภูมิคุ้มกันลดลง แต่ ผู้สูงอายุจะมีอาการอย่างอ่ืน เช่น นอนซึม รับประทานอาหารได้น้อยลง หรืออุจจาระปัสสาวะราด เป็นต้น


50
ดังน้ัน ในผู้สูงอายุจะแสดงอาการของการเจ็บป่วยไม่ชัดเจน และไม่เป็นไปตามพยาธิสภาพของโรค แพทย์และ พยาบาลจึงต้องอาศัยผลการตรวจทางปฏิบัติการ เพ่ือช่วยในการวินิจฉัยโรค มากกว่าการสังเกตอาการและ อาการแสดงของผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว นอกจากน้ี ผู้สูงอายุบางรายอาจมีปัญหาเก่ียวกับระบบหัวใจและหลอด เลือด อาจพบอาการจุกแน่นบริเวณใต้ล้ินปี่ ซ่ึงถ้าไม่ตรวจร่างกายโดยละเอียด อาจคิดว่ามีอาการของระบบ ทางเดินอาหารได้
3. การตอบสนองต่อการมีพยาธิสภาพหลายๆ อย่างร่วมกัน
ผลจากการเปล่ียนแปลงในกระบวนการสูงอายุ ทําให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทํางานลดลง รวมกับ การเกิดโรคต่างๆ ท่ีสะสมมากขึ้น เม่ืออายุมากขึ้น ทําให้สูงอายุมีพยาธิสภาพหลายๆ อย่างเกิดข้ึนในเวลา เดียวกัน เม่ือเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ผลของความเจ็บป่วยในแต่ละอวัยวะส่งผลให้สุขภาพโดยรวมทรุดโทรมลงอย่าง รวดเร็วและรุนแรง การรักษาโรคเพียงโรคเดียว ไม่ว่าจะเป็นการรักษาทางยาหรือการผ่าตัด มักส่งผลให้เกิดโรค อีกโรคหนึ่ง หรือถ้ามีโรคเดิมอยู่แล้วก็จะทําให้อาการกําเริบหรือรุนแรงมากข้ึน ดังนั้น ความแตกต่างของความ เส่ือมและการเกิดโรคร่วมหลายๆ โรค จะส่งผลให้เกิดการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยท่ีแตกต่างกัน เช่น ใน ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคไตเดิมอยู่แล้ว มักมีอาการหอบเหน่ือยได้ง่าย เน่ืองจากมีภาวะน้ําเกิน แต่ถ้าผู้ป่วยรายนี้มี ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย ปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ คือ อาการหอบเหน่ือย ทําให้บางครั้งบุคลากรทางการแพทย์ไม่สามารถแยกได้ว่า อาการหอบเหน่ือยเป็นอาการของ การตอบสนองต่อความผิดปกติของอวัยวะส่วนใด
4. การตอบสนองต่อสารเคมีและยารวดเร็วและรุนแรง
การตอบสนองต่อสารเคมีและยาในวัยผู้สูงอายุ พบว่า แม้ว่าปริมาณความเข้มข้นของยาและสารเคมีจะ น้อย แต่วัยผู้สูงอายุจะ sensitive ต่อยาและสารเคมีสูงกว่าวัยอ่ืนๆ เน่ืองจากความทนทานต่อยาและสารเคมี ค่อนข้างต่ํา ทําให้ผู้สูงอายุบางราย เม่ือได้รับยาบางชนิดที่มีความเข้มข้นเท่ากัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับวัยท่ี ต่างกัน จะพบว่าผู้สูงอายุได้รับยาในสัดส่วนท่ีมีความเข้มข้นสูงกว่า รวมท้ังการขับยาและสารเคมีออกจาก ร่างกายที่มีอัตราส่วนที่น้อยกว่า ทําให้ปริมาณความเข้มข้นของยาในร่างกายสูงกว่า และเกิดพิษของยาหรือ สารเคมีสูง เกิดปฏิกิริยาการตอบสนองท่ีรวดเร็วและรุนแรงกว่าวัยผู้ใหญ่
5. ปฏิกิริยาการฟ้ืนสภาพช้า
ในวัยผู้ใหญ่ การฟื้นคืนสภาพหรือการฟ้ืนหายของอาการเจ็บป่วยจะรวดเร็ว เนื่องจากระบบการ ซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอของวัยผู้ใหญ่ยังทําหน้าที่ได้ปกติ ทําให้ใช้ระยะเวลาในการฟ้ืนฟูสภาพน้อย เม่ือ เปรียบเทียบกับวัยผู้สูงอายุ จะพบว่า จากกระบวนการเปล่ียนแปลงของอวัยวะส่วนต่างๆ ในทางเส่ือมถอย ระบบการซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอทํางานน้อยลง ทําให้กระบวนการฟื้นฟูหรือคืนสภาพชะลอตัว ระยะเวลาใน


51
การหายมากขึ้น ทําให้การเจ็บป่วยนาน จนกลายเป็นโรคเร้ือรัง ดังน้ันผู้สูงอายุจึงเป็นวัยท่ีต้องใช้เวลาในการฟ้ืน คืนสภาพนานกว่าวัยอื่นๆ
บทสรุป
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสรีรวิทยาในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุจะดําเนินต่อเน่ืองกันไปอย่าง ช้าๆ มีผลทําให้เกิดความเสื่อมและชราภาพของอวัยวะในระบบต่างๆ มากข้ึนเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างกายจะไม่ สามารถทํางานได้เมื่อสิ้นชีวิต ความรู้ในเร่ืองต่างๆ เหล่าน้ี จะช่วยให้พยาบาลเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สามารถแยกสิ่งผิดปกติออกจากสิ่งปกติที่เปล่ียนแปลงไปในผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีผลทําให้สามารถแปลข้อมูลต่างๆ ที่ พบในผู้สูงอายุ วินิจฉัยการพยาบาล และให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้อง การเปลี่ยนแปลงของผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุท่ีเป็นปัจเจกบุคคล มีความแตกต่างเฉพาะบุคคล การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลกระทบในทุกๆ ด้าน เม่ือเกิดผลกระทบในระดับที่แตกต่างกัน ทําให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่แตกต่างกันเช่นกัน ดังน้ัน พยาบาลจึงต้องมี ความรู้ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ของวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุและผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้น เพ่ือให้ การดูแลบุคคลไดอ้ ย่างครอบคลุมและเหมาะสมในแต่ละบุคคล
คําถามทบทวน
1. ผู้ป่วยอายุ 65 ปี มีอาการเวียนศีรษะบ่อยๆ ไม่มีโรคประจําตัว เกิดจากการเปลี่ยนแปลงร่างกาย ระบบใดได้บ้าง
2. จงอธิบายผลกระทบที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของระบบประสาทสัมผัสการมองเห็น
3. จงอธิบายบุคคลที่สูญเสียบทบาทหน้าที่ในสังคมจากการเกษียณอายุราชการ จะทําให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมอย่างไรบ้าง
4. จงระบุความแตกต่างของการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
5. อธิบายความแตกต่างของการตอบสนองต่อผู้ป่วยสูงอายุท่ีมีภาวะความดันโลหิตสูง
6. การตอบสนองต่อการเจ็บป่วยของผู้สูงอายุแบบไม่ตรงไปตรงมาเป็นอย่างไรพร้อมยกตัวอย่าง


บรรณานุกรม
วิไลวรรณ ทองเจริญ. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสรีรวิทยาในผู้สูงอายุ. ใน: วิไลวรรณ ทองเจริญ, บรรณาธิการ. ศาสตร์และศิลป์การพยาบาลผู้สูงอายุ. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: เอ็นพีเพรส; 2558. หน้า 45-58.
วิไลวรรณ ทองเจริญ. การเปลี่ยนแปลงทาจิตสังคม จิตวิญญาณ และการปรับตัวในผู้สูงอายุ. ใน: วิไลวรรณ ทอง เจริญ, บรรณาธิการ. ศาสตร์และศิลป์การพยาบาลผู้สูงอายุ. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: เอ็นพี เพรส; 2558. หน้า 59-74.
Anderson MA. Caring for older adults holistically. 4th ed. Philadelphia: F.A. Davis; 2007. Atchley RC. Social forces and aging. 9th ed. Belmont: Wadsworth; 2000.
Asutrian SG. Developmental theories through the life cycle. 2nd ed. New york: Columbia
Press; 2008.
Birchenall JM, Streight ME. Care of the older adult. 2nd ed. Philadelphia: Lippincott; 1993. Buttaro TM, Barba KA, editors. Nursing care of the hospitalized older patient. New york:
John Wiley & Sons; 2013.
Carnevali DL, Patrick M. Nursing management for the elderly. Philadelphia: Lippincott;
1998.
Christiansen JL, Grzybowski JM. Biology of aging. Saint Louis: Mosby; 1993.
Ebersole P, Hess P. Toward health aging: Human needs and nursing response. St. Louis:
Mosby; 2001.
Eliopoulos C. Gerontological nursing. 9th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins;
2017.
Erikson EH. The life cycle completed. New York: Norton Company; 1997.
Fletcher KK. Physical and Laboratory Assessment. In: Stone JT, Wyman JF, Salisbury SA,
editors. Clinical gerontological nursing. 2nd ed. Philadelphia: Saunders; 1999. p. 85-
111.
Fretwell MD. Aging changes in structure and function. In: Carnevali DL, Patrick M, editors.
Nursing management for the elderly. 3rd ed. Philadelphia: Lippincott; 1993. p.113- 40.
52


53
Hall MRP, MacLennan WJ, Lye MDW. Medical care of the elderly. 3rd ed. New york: John Wiley & Sons; 1993.
Hogstel MO. Nursing care of the older adult. New York: A Wiley Medical Publication; 2001. Jone H. The Impact of Ageing. In: Wade L, Waters K. editors. Textbook of gerontological
nursing. London: Bailliere Tindal; 1996. p. 49-61.
Meiner SE. Gerontologic nursing. 4th ed. St. Louis, Missouri: Elsevier Mosby; 2011.
Miller CA. Nursing for wellness in older adult. 5th ed. Philadelphia: Lippincott Williams &
Wilkins; 2009.
Touhy TA, Jett KF. Ebersole and Hess’ geriatric nursing and health aging. 3rd ed. St.Louis:
Mosby; 2010.
Wold GH. Basic geriatric nursing. 5th ed. St. Louis, Missouri: Elsevier Mosby; 2012.


หน่วยที่ 4 ทฤษฎีความสูงอายุ
รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลวรรณ ทองเจริญ ......................................................................................................................................................................
บทนํา
ความสูงอายุเป็นกระบวนการท่ีซับซ้อน และแปรผันตามการเปล่ียนแปลงในการทําหน้าที่ของเซลล์ เนื้อเย่ือ และอวัยวะต่างๆ การเปล่ียนแปลงของร่างกายจากความสูงอายุเริ่มเกิดข้ึนตั้งแต่ปฏิสนธิ ความมีอายุ ยืนเป็นเร่ือท่ีน่าสนใจ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายในเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ รหัสทางพันธุกรรม เซลล์ และองค์ประกอบของเซลล์ เนื้อเย่ือ อวัยวะต่างๆ การเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ฯลฯ ร่วมกับปัจจัยภายนอก ได้แก่ อาหาร อากาศ รังสี มลภาวะ ส่ิงแวดล้อม ภาวะสุขภาพ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และแบบแผนการ ดําเนินชีวิต ฯลฯ การเปล่ียนแปลงดังกล่าวอาจสังเกตเห็นชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ได้ ทฤษฎีความสูงอายุที่ใช้ อธิบายกระบวนการชราภาพมีหลายทฤษฎี แต่ไม่มีทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงจาก ความสูงอายุได้ชัดเจนและครบถ้วนทุกมิติของความสูงอายุ ทฤษฎีดังกล่าวแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ประเภท คือ ทฤษฎีทางชีวภาพ (biologic theories) กับทฤษฎีทางจิตสังคม (psychosocial theories)
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายของทฤษฎีความสูงอายุ
2. อธิบายทฤษฎีทางชีวภาพ(Biologictheories)ประกอบด้วยทฤษฎีอนุมูลอิสระ(FreeRadical Theory) ทฤษฎีการไขว้ขวาง (Cross-Linking Theory) หรือทฤษฎีคอลลาเจน (Collagen Theory) ทฤษฎี การเสื่อมสลาย (Wear and Tear Theory) ทฤษฎีการสะสม (Accumulative Theory) ทฤษฎีพันธุกรรม (Genetic Theory) และทฤษฎีภูมิคุ้มกัน (Immunologic Theory)
3. อธิบายทฤษฎีทางจิตสังคม (Psychosocial Theories) ประกอบด้วย ทฤษฎีการถดถอย (Disengagement Theory) ทฤษฎีกิจกรรม (Activity Theory) ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Continuity Theory) แนวคิดพันธกิจตามพัฒนาการของชีวิตของอีริคสัน (Erikson’s Developmental Tasks) และแนวคิดของเพค (Peck’s Concept)
4. อธิบายการพยาบาลผู้สูงอายุตามทฤษฎีความสูงอายุ
54


ทฤษฎีความสูงอายุ
ทฤษฎีท่ีนิยมนํามาอธิบายการเปล่ียนแปลงตามความสูงอายุ ดังน้ี 1. ทฤษฎีทางชีวภาพ (Biologic Theories) ประกอบด้วย
1.1 ทฤษฎีอนุมูลอิสระ (Free Radical Theory)
1.2 ทฤษฎีการไขว้ขวาง (Cross-Linking Theory) หรือทฤษฎีคอลลาเจน (Collagen Theory) 1.3 ทฤษฎีการเส่ือมสลาย (Wear and Tear Theory)
1.4 ทฤษฎีการสะสม (Accumulative Theory)
1.4 ทฤษฎีพันธุกรรม (Genetic Theory)
1.5 ทฤษฎีภูมิคุ้มกัน (Immunologic Theory)
2. ทฤษฎีทางจิตสังคม (Psychosocial Theories) ประกอบด้วย 2.1 ทฤษฎีการถดถอย (Disengagement Theory)
2.2 ทฤษฎีกิจกรรม (Activity Theory)
2.3 ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Continuity Theory)
2.4 แนวคิดพันธกิจตามพัฒนาการของชีวิตของอีริคสัน (Erikson’s Developmental Tasks) 2.5 แนวคิดของเพค (Peck’s Concept)
1. ทฤษฎีทางชีวภาพ (Biologic Theories)
กระบวนการของความสูงอายุเริ่มต้นตั้งแต่ปฏิสนธิ การเปลี่ยนแปลงในผู้สูงอายุได้รับอิทธิพลจาก ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ความสูงอายุเป็นกระบวนการที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งเป็นผล มาจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นอวัยะทุกส่วนในร่างกายจะมีการ เปลี่ยนแปลงในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากัน การทํางานของระบบใดระบบหนึ่งอาจลดลง ในขณะที่บางระบบยังคง ทํางานเท่าเดิม สิ่งมีชีวิตทุกประเภทจะมีอายุขัยไม่ท่ากัน เนื่องจากถูกกําหนดด้วยรหัสทางพันธุกรรม การ ทํางานของเซลล์เมื่อถึงระดับหนึง เซลล์จะต้องตาย ความล้มเหลวในการทํางานทางชีวภาพเหล่านี้ ทําให้เกิด ความเสื่อมและเกิดความสูงอายุจนในที่สุดเกิดการเสียชีวิต ทฤษฎีทางชีวภาพ (Biologic Theories) ประกอบด้วย
1.1 ทฤษฎีอนุมูลอิสระ (Free Radical Theory)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่า ความสูงอายุเกิดจากการสะสมสารที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต ประกอบกับการได้รับการกระตุ้นจากความร้อน แสง และรังสี ก่อให้เกิดสารที่เรียกว่า อนุมูล อิสระ (free radicals) และสารประกอบที่มีลักษณะไม่คงที่ ซึ่งเป็นโมเลกุลออกซิเจนที่ขาดอิเล็กตรอนไปหนึ่ง
55


ตัว มีผลให้โมเลกุลออกซิเจนตัวนั้น มีประจุเป็นลบและมีความไวต่อปฏิกิริยาทางอิเล็กตรอนสูงจึงเกาะกับ โมเลกุลตัวอื่น และทําลายโมเลกุลนั้นด้วยการแย่งอิเล็กตรอนไป ส่วนโมเลกุลที่ถูกแย่งอิเล็กตรอนไปจะ พยายามไปดึงอิเล็กตรอนจากโมเลกุลตัวอื่นๆ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ อนุมูลอิสระก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมี หลายอย่างภายในเซลล์ และสามารถก่อให้เกิดอนุมูลอิสระเพ่ิมขึ้นอีก อนุมูลอิสระทําลายโปรตีน เอ็นไซม์ และ DNA โดยการเข้าไปแทนที่โมเลกุลต่างๆ เหล่าน้ี ทําให้เกิดความผิดปกติของระบบพันธุกรรม การทํางานของ เซลล์จึงผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้เนื้อเยื่อและอวัยวะเสื่อมลง ในที่สุดการทําหน้าที่ของร่างกายลดลง ร่างกายจึงเสื่อมโทรมลง มีความเสื่อมของร่างกายก่อนวัย โดยเฉพาะอวัยวะที่สัมผัสกับลมและแสงแดด มากกว่าบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น มือ และใบหน้า ผิวหนังบางลง มองเห็นหลอดเลือดได้ชัดเจน และหลอด เลือดเหล่านี้มักเปราะบาง เกิดรอยเหี่ยวย่นบริเวณหางตา และอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ การได้รับสารที่ มีฤทธ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามิน เอ ซี อี ไนอะซีน เมอแคพตัน และโคเอ็นไชม์คิว จะช่วยลดการเกิด อนุมูลอิสระได้
1.2 ทฤษฎีการไขว้ขวาง (Cross-Linking Theory) หรือทฤษฎีคอลลาเจน (Collagen Theory)
ทฤษฎีนี้เช่ือว่า เมื่ออายุมากขึ้นโปรตีนบางตัวจะเปลี่ยนแปลงมีลักษณะการไขว้ขวางหรือการเช่ือมกัน ตามขวาง (cross-linked) สารไขว้ขวาง (cross-linking agent) เหล่านี้จะไปเกาะติดกับ DNA ซึ่งเป็นสารทาง พันธุกรรม ส่งผลให้การแบ่งตัวของเซลล์ลดลง ทําให้เซลล์ทําหน้าที่ผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีผลต่อเนื้อเย่ือ คอลลาเจน (collagen) ซึ่งเป็นกลุ่มสารใยโปรตีนที่ประกอบเป็นโครงร่างของร่างกาย โดยทําให้กระดูกและ กระดูกอ่อนแข็งแรง เมื่อเนื้อเยื่อคอลลาเจนมีการเปลี่ยนแปลง มีผลให้ความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวลดลง และเน้ือเย่ือสูญเสียความยืดหยุ่น เป็นผลให้เกิดการเส่ือมของอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ผนังหลอดเลือด ปอด หัวใจ กล้ามเนื้อและกระดูก รวมทั้งเลนซ์ในลูกตา ซ่ึงเป็นโปรตีนท่ีมีความไวต่อการเปล่ียนแปลงของสารไขว้ขวาง ทํา ให้มีความทึบแสงมากขึ้น และกลายเป็นต้อกระจก
1.3 ทฤษฎีการเส่ือมสลาย (Wear and Tear Theory)
ทฤษฎีการเสื่อมสลายเชื่อว่า การบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการใช้งานอวัยวะมา เป็นเวลานาน หรือใช้อย่างหักโหมสะสมมาเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้นจึงเกิดการตายของเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ และระบบต่างๆ ในร่างกายจะทํางานเสื่อมลง เช่น หลอดเลือดแข็งตัว เกิดจากไขมันในเลือดสูง ทําลายผนัง หลอดเลือด และอุดตันการไหลเวียนเลือด ข้อเข่าเสื่อมจากการใช้งานมาก หรือมีน้ําหนักตัวมาก เป็นต้น
1.4 ทฤษฎีการสะสม(AccumulativeTheory)
นักทฤษฎีบางท่านเช่ือว่า การเสื่อมสลายของเซลล์เกิดจากการสะสมสารไลโปฟัสซิน (lipofuscin) ซ่ึง เป็นสารสีเหลืองที่ประกอบด้วย ไขมันและโปรตีน พบในเซลล์ของกล้ามเน้ือ หัวใจ ตับและเส้นประสาท สารน้ี เป็นผลผลิตของการเผาผลาญไขมันที่ไม่อิ่มตัว (unsaturated lipids) เชื่อว่า สารไลโปฟัสซินมีผลเสียต่อ
56


ร่างกายให้เกิดกระบวนการสูงอายุคล้ายกับอนุมูลอิสระ เม่ือมีการสะสมสารไลโปฟัสซินมากขึ้นในร่างกาย จะมี ผลต่อการกระจายและการขนส่งสารท่ีจําเป็นในร่างกาย โดยพบว่า ความสูงอายุมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการ สะสมสารไลโปฟัสซินในร่างกาย
1.5 ทฤษฎีพันธุกรรม(GeneticTheory)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่า ความสูงอายุถูกควบคุมด้วยพันธุกรรม คนมีแบบแผนทางพันธุกรรม (genetic program) ที่กําหนดอายุคาดเฉลี่ย (life expectancy) โดยกลไกภายในที่เรียกว่า “genetic clock” หรือ “biological clock” มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากข้ึน (senescence) โดยเซลล์ท่ีกําเนิดข้ึนแต่ละ เซลล์จะถูกกําหนดจํานวนครั้งของการแบ่งตัว (number of replications) จํานวนครั้งของการแบ่งตัวของ เซลล์ยิ่งมาก อายุขัย (life span) ยิ่งยาว จากอิทธิพลของพันธุกรรมเมื่อจํากัดอิทธพลของปัจจัยภายนอก จึง อาจสังเกตพบว่าคู่แฝดมีอายุคาดเฉล่ีย(life expectancy) ใกล้เคียงกัน นักทฤษฎีบางท่านเชื่อว่าความสูงอายุ เป็นผลจากร่างกายหยุดหลั่งสารที่ทําให้ร่างกายเจริญเติบโต (growth substance) จึงทําให้เซลล์หยุดการ เจริญเติบโตและไม่สร้างขึ้นใหม่ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าความสูงอายุอาจเกิดจาก ribonucleic acid (RNA) ทําหน้าท่ีในการสังเคราะห์และแปลข่าวสารของเซลล์ผิดปกติ (Eliopoulos, 2016)
1.6 ทฤษฎีภูมิคุ้มกัน (Immunologic Theory)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่า ความสูงอายุเป็นผลจากระบบภูมิคุ้มกันทําหน้าที่ลดลง โดยเชื่อว่า เมื่ออายุมากขึ้นมี การเปลี่ยนแปลงของเซลล์และการทําหน้าท่ีของเซลล์สูญเสียไป ร่างกายรับรู้ว่า เซลล์ที่เปล่ียนแปลงไปนี้ เป็น สิ่งแปลกปลอมในร่างกาย T cells จึงสร้างสารต่อต้าน (antibodies) มาต่อสู้เซลล์เหล่านั้น (Eliopoulos, 2016) เนื่องจากTcellsเกิดจากต่อมไธมัสและประกอบเป็นlymphocytesถึงร้อยละ80ระดับฮอร์โมน จากต่อมไธมัสจะเริ่มลดลงเม่ืออายุประมาณ 30 ปี และไม่สามารถตรวจเลือดพบได้ในผู้ท่ีอายุมากกว่า 60 ปี T cells ทําหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า cell-mediated immunity ซึ่งจะต่อต้านเซลล์มะเร็งและเชื้อไวรัส ด้วยเหตุนี้เมื่อ T cells ลดลง ความสามารถของร่างกายในการต่อต้านสารแปลกปลอมรวมทั้งเซลล์มะเร็งจึง ลดลงด้วย
ระบบภูมิคุ้มกันทางฮอร์โมน (humoral immunity) ทําหน้าที่สร้าง antibody ต่อต้าน antigen ที่ จําเพาะ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ระบบภูมิคุ้มกันนี้ลดหน้าที่ลงเม่ืออายุมากข้ึน มีผลให้มีโอกาสเส่ียงต่อการติด เชื้อได้ง่าย บางทฤษฎีเชื่อว่าร่างกายของผู้สูงอายุบางคน จําเซลล์ของตนเองที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากความ สูงอายุไม่ได้ ต่อต้านเซลล์ของตนเอง (Roach, 2001) หรือมีการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของตนเองไวเกินและ อาจเป็นสาเหตุของโรคแพ้ภูมิตนเอง (autoimmune diseases) ได้ด้วย
57


2. ทฤษฎีทางจิตสังคม (Psychosocial Theories)
ทฤษฎีทางจิตสังคมเชื่อว่า ความสูงอายุเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การทําหน้าที่ด้าน สติปัญญา ความจํา กระบวนการทางจิตวิทยา อารมณ์ความรู้สึก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ตลอดกระบวนการสูงอายุ โดยเชื่อว่า ความสูงอายุเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนจิตใจและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
2.1 ทฤษฎีการถดถอย(DisengagementTheory)
ทฤษฎีน้ีต้ังข้ึนโดยเอเลนคัมมิง(ElaineCumming)และวอร์เรนเฮนร่ี(WarrenEarlHenry) ในปี 1961เชื่อว่า ความสูงอายุเป็นกระบวนการถดถอยออกจากการดําเนินชีวิตในสังคม การปลีกตัวหรือการ แยกตัวออกจากสังคมของบุคคล มีอิทธิพลจากปัจจัยด้านภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล ค่านิยมทางสังคม และปัจจัยอื่นๆที่มีอิทธิพลต่อการเข้าร่วมกิจกรรมในสังคม เมื่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้สูงอายุลดลง เช่น จากการเกษียณอายุการทํางาน ความเจ็บป่วย และมีภาวะทุพพลภาพ การแยกครอบครัวไปของลูกหลาน การ ตายจากของคู่สมรส เพื่อน ฯลฯ สังคมก็ถอยห่างออกจากผู้สูงอายุ ในขณะที่ผู้สูงอายุก็ลดกิจกรรมทางสังคม ลง การถดถอยออกจากสังคมเป็นการเปลี่ยนบทบาทในสังคม ถือเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามามี บทบาทในสังคมแทน เพื่อให้สังคมทําหน้าที่ต่อไป จึงเป็นความพึงพอใจและได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ ตาม ผู้สูงอายุบางคนอาจยังมีบทบาทสําคัญที่มีค่าในสังคม เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบใหม่ แต่ บทบาทใหม่นี้จะไม่มีความสําคัญต่อตัวเขาเองมากเท่าบทบาททางสังคมในวัยก่อน การถดถอยออกจากสังคม อาจไม่จําเป็นต้องเกิดข้ึน หากสังคมมีการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุท่ีดี มีการยอมรับ ให้ความเคารพนับถือ และให้ โอกาสทางสังคมแก่ผู้สูงอายุมากข้ึน (Eliopoulos, 2016)
2.2 ทฤษฎีกิจกรรม (Activity Theory)
ทฤษฎีนี้ถูกตั้งโดยฮาวิกเฮิร์ท (Robert J. Havighurst) ในปี 1961 เชื่อว่า กิจกรรมทางสังคมเป็น ส่วนประกอบที่สําคัญของความสําเร็จในการเป็นผู้สูงอายุ (successfulaging)เมื่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เปล่ียนแปลงไป เนื่องจากการเจ็บป่วยของผู้สูงอายุเองหรือคนใกล้ชิดเสียชีวิต กระบวนการสูงอายุจะเร่งเร็วขึ้น ทฤษฎีนี้เน้นความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมกับอัตมโนทัศน์ (self-concept) ของผู้สูงอายุ (Wallace, 2008) แนวคิดของทฤษฎีกิจกรรมจะตรงข้ามกับแนวคิดของทฤษฏีถดถอย ที่ผู้สูงอายุควรหยุดกิจกรรมที่ทําอยู่ในช่วง วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง โดยทฤษฎีกิจกรรมส่งเสริมการทํากิจกรรมต่อไป ไม่ยอมรับการเป็นผู้สูงอายุเร็วเกินไป สังคมมีค่านิยมต่อผู้สูงอายุเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง และไม่คาดหวังให้ผู้ที่เข้าสู่วัยสูงอายุลด กิจกรรมที่เคยทําอยู่ หรือหยุดเข้าร่วมกิจกรรมในสังคม (Eliopoulos, 2016) ดังน้ัน เมื่อผู้สูงอายุเกิดการ สูญเสียบทบาท บทบาทใหม่หรือบทบาทที่แตกต่างออกไป รวมทั้งความสนใจใหม่ๆ จะเข้ามาแทนที่ เช่น ไม่ สามารถทํากิจกรรมที่ออกแรงมากๆ ได้ ก็จะเปลี่ยนมาทํากิจกรรมที่ใช้ความคิด ผู้สูงอายุที่เกษียณอายุการ
58


ทํางาน สามารถริเริ่มทําบทบาทใหม่ๆ หรือแตกต่างจากเดิมได้ สร้างสัมพันธภาพกับคนกลุ่มใหม่ หาเพื่อน ใหม่เมื่อเพื่อนเก่าเสียชีวิต ผู้สูงอายุจะคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตที่กระตือรือร้น โดยพยายามแก้ไขปัญหาสุขภาพ การ สูญเสียบทบาทในสังคม รายได้ลดลง และเครือข่ายเพ่ือนในสังคมท่ีลดลง ปัจจุบันผู้สูงอายุจํานวนมากท่ีปฏิเสธ การเป็นผู้สูงอายุแบบเดิมๆ แต่ยังคงมีชีวิตที่กระตือรือร้น สร้างสรรค์ผลงานต่างๆ และมีความสนุกกับชีวิต แนวคิดของทฤษฎีกิจกรรมได้รับการยอมรับมาก เพราะสอดคล้องกับค่านิยมในสังคมที่มองการมีกิจกรรมใน แง่บวก และถูกต้องตามหลักการที่ว่า การมีกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสุขในสังคม ในขณะที่การไม่มีกิจกรรมถูกมองในแง่ลบ ซง่ึ ไม่เป็นผลดี
2.3 ทฤษฎีความต่อเนื่อง(ContinuityTheory)
ทฤษฎีน้ีถูกตั้งโดยแมดดอก (George L. Maddox) และแอซเล่ย์ (Robert Atchley) เป็นทฤษฎีทาง พัฒนาการ (Developmental Theory) ที่เชื่อว่า บุคลิกภาพและรูปแบบของพฤติกรรมของคนจะไม่ เปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยจะพยายามรักษาทุกอย่างให้เหมือนเดิมให้มากที่สุด คงไว้ซึ่งบุคลิกภาพ เช่นเดิม และใช้กลไกในการปรับตัว (coping strategies) แบบเดิมๆ เพื่อรักษาความมั่นคงตลอดช่วงชีวิต การ เป็นผู้สูงอายุที่ประสบผลสําเร็จ ข้ึนกับความสามารถในการคงไว้ซ่ึงแบบแผนพฤติกรรมในอดีต บุคคลที่แยกตัว จากสังคมเมื่ออายุยังน้อยก็จะยังคงเป็นเช่นนั้นเมื่ออายุมากขึ้น ในขณะที่บุคคลรักสนุก ชอบเข้าสังคมในวัย หนุ่มสาว ก็จะเป็นผู้ที่ดําเนินชีวิตอย่างสนุกสนานในวัยสูงอายุเช่นกัน ดังน้ัน การประเมินพฤติกรรมในอดีตของ ผู้สูงอายุ จึงเป็นประโยชน์ในการช่วยให้ผู้สูงอายุเผชิญกับภาวะเครียดในปัจจุบันและในอนาคต (Wallace, 2008) ทฤษฎีความต่อเนื่องได้รับการยอมรับเนื่องจากมีแนวคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เปิดกว้างให้ยอมรับความ เป็นอัตตบุคคลของผู้สูงอายุ การคงไว้ซึ่งแบบแผนพฤติกรรมเช่นเดิม จะส่งเสริมให้บุคคลปรับตัวได้ดีเมื่อต้อง เผชิญกับความสูงอายุ โดยทฤษฎีนี้ให้ความสําคัญกับความสูงอายุว่าเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ในขณะท่ี ทฤษฎีอื่นๆไม่ได้เน้นประเด็นนี้ นอกจากน้ีทฤษฎีน้ียังกระตุ้นให้บุคคลวัยหนุ่มสาวได้พิจารณาว่า แบบแผน กิจกรรมที่เขาทําอยู่ในปัจจุบันจะเป็นพ้ืนฐานของรูปแบบการทํากิจกรรมเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ
2.4 แนวคิดพันธกิจตามพัฒนาการของชีวิตของอีริคสัน(Erikson’sDevelopmentalTasks)
อีริคสัน(ErikErikson)อธิบายว่าชีวิตแต่ละข้ันตอนของคน ต้องฝ่าฟันอุปสรรคให้สําเร็จเพ่ือก้าวเข้า สู่ขั้นตอนชีวิตขั้นต่อไป (Erikson, 1997) ซึ่งเป็นพันธกิจ (Tasks) ของบุคคลที่ต้องเผชิญในช่วงระยะ พัฒนาการของชีวิต 8 ช่วง เรียกว่า พัฒนกิจตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้สูงอายุ สําหรับพันธกิจท่ี 8 นับต้ังแต่อายุ 65 ปี ขึ้นไป เป็นพัฒนกิจที่สําคัญในช่วงวัยสูงอายุ ได้แก่ การปรับตัวต่อความเจ็บป่วย การสูญเสียและการ เปลี่ยนแปลง การชื่นชมกับชีวิตในอดีต และการเตรียมตัวเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต (Eliopoulos, 2016) ผู้สูงอายุต้องปรับตัวต่อความส้ินหวัง (despair) ให้คงไว้ซึ่งความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (ego integrity) ใช้ชีวิต ที่เป็นอิสระมากขึ้น หาจุดมุ่งหมายใหม่ของชีวิต และทําบทบาทใหม่ เพื่อดําเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความหมาย
59


แนวคิดท่ีสําคัญคือ การเป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพจิตดี อยู่บนพื้นฐานของการประสบความสําเร็จในการเผชิญกับ พันธกิจในแต่ละข้ันตอนของชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายที่ต้องปรับตัวและได้รับการตอบสนองความต้องการ สิ่งที่ผู้สูงอายุควรปฏิบัติคือ การหาความหมายของชีวิต เพื่อเสริมความรู้สึกมีศักดิ์ศรี ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ การสูญเสียบุคคลที่รัก และการเปลี่ยนบทบาทในสังคม การปฏิเสธไม่ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามวัย อาจมีผลให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกโกรธ คับข้องใจ ขมข่ืน ซึมเศร้า ซ่ึงนําไปสู่ ความรู้สึกส้ินหวังในชีวิต (despair)
2.5 แนวคิดของเพค(Peck’sConcept)
เพค (Robert Peck) เป็นนักจิตวิทยาที่ได้ศึกษาการดําเนินชีวิตของผู้สูงอายุ โดยขยายแนวคิดของ Erikson ให้เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการสร้างความรู้สึกมีศักดิ์ศรีในตนเอง โดยการปฏิบัติ ดังน้ี (Eliopoulos, 2016)
2.5.1 ผู้สูงอายุควรสร้างความรู้สึกพึงพอใจในตนเองในฐานะเป็นคนคนหนึ่ง (ego differentiation) ไม่ใช่จากการมีบทบาทในสังคม (role preoccupation)
2.5.2 ผู้สูงอายุควรยอมรับสมรรถภาพทางกายที่ลดลง ยอมรับว่าร่างกายต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไปตามธรรมชาติ การทํางานต่างๆ ต้องใช้เวลานานขึ้น ถ้ายอมรับหรือปรับตัวได้ ชีวิตจะมีความสุข ดังนั้นจึง ควรหาความสุขทางใจมากกว่าหมกมุ่นกับความจํากัดของร่างกายที่เกิดขึ้นจากความสูงอายุ (body preoccupation)
2.5.3 ผู้สูงอายุควรมองหรือสะท้อนคิดถึงอดีตที่ประสบผลสําเร็จอย่างชื่นชม (ego transcendence) แทนการมองระยะเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต (ego preoccupation)
การพยาบาลผู้สูงอายุตามทฤษฎีความสูงอายุ
การศึกษาทฤษฎีความสูงอายุจะช่วยให้พยาบาลเข้าใจปัจจัยท่ีมีอาจมีผลทางบวกหรือทางลบต่อภาวะ สุขภาพและความผาสุก (well-being) ของบุคคล (Eliopoulos, 2016) และช่วยให้พยาบาลสามารถแยกการ เปล่ียนแปลงตามธรรมชาติเน่ืองจากความสูงอายุได้จากการมีพยาธิสภาพ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจถือว่า เป็นปกติในผู้สูงอายุ แต่อาจเป็นภาวะผิดปกติหากเกิดข้ึนในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งการดูแลควรแตกต่างกัน การเข้าใจ กลไกของความสูงอายุ ตามความเชื่อหลายๆรูปแบบ ทําให้พยาบาลไม่มีอคติในการดูแลผู้สูงอายุ หลีกเลี่ยง ความมีอคติหรือความเช่ือที่ว่า ผู้สูงอายุเป็นวัยแห่งความเส่ือม ไม่สามารถช่วยให้ดีข้ึนได้ การพยาบาลผู้สูงอายุ ตามทฤษฎีความสูงอายุ เพ่ือส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดี คือ
60


1. เรียนรู้และทําความเข้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตามวัยของผู้สูงอายุซึ่งสามารถอธิบายได้ ด้วยทฤษฎีความสูงอายุ ทั้งทางชีวภาพและทางจิตสังคม ซึ่งจะทําให้พยาบาลเกิดแนวคิดเชิงบวกในการดูแล ผู้สูงอายุ และพร้อมที่จะห้คําแนะนําแก่ผู้สูงอายุ เพื่อการดูแลแบบองค์รวมสมบูรณ์ย่ิงข้ึน
2. ให้การดูแลที่แตกต่างกันและเหมาะสมกับผู้สูงอายุเน่ืองจากผู้สูงอายุแต่ละรายมีกระบวนการ ชราภาพแตกต่างกัน ดังนั้น พยาบาลจึงควรประเมินการเปลี่ยนแปลงตามวัยของผู้สูงอายุแต่ละรายอย่างรอบ ครอบ ตลอดจนประเมินแบบแผนในการดําเนินชีวิต และความพึงพอใจในชีวิต ซึ่งจะเป็นข้อมูลพื้นฐานท่ี สําคัญในการวางแผนการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีคุณภาพ
3. แนะนําให้ผู้สูงอายุให้หลีกเลี่ยงปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ ของร่างกาย ได้แก่ การสูบบุหรี่ การสัมผัสรังสี แสงแดด สารพิษ มลภาะ ฯลฯ ควรให้ความรู้เพื่อลดปัจจัย เส่ียงทั้งปัยจัยภายในและภายนอกร่างกาย เพ่ือช่วยป้องกันและชะลอควมเสื่อมของร่างกาย เช่น การใช้ครีมกัน แดด เพื่อช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง การรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น อาหารที่มี วิตามิน เอ ซี อี ไนอะซีน เมอแคพตัน และโคเอ็นไชม์คิว ฯลฯ
4. ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีในตนเอง รวมทั้งการให้ คําแนะนําในการปฏิบัติตัวและให้กําลังใจในการดํารงชวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอบ่างรวดเร็วอย่างมี ความสุขเพ่ือให้มสีุขภาพจิตท่ีดี
5. กระตุ้นให้ผู้สูงอายุออกกําลังกายเพื่อชะลอความเสื่อมของร่างกายอย่างเหมาะสม การออก กําลังกายโดยการยืดเหยียด (flexibility) จะช่วยป้องกันการยึดติดแข็งของข้อได้ นอกจากนั้น ยังช่วยป้องกัน การหกล้มได้จากความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว
บทสรุป
ความสูงอายุเป็นกระบวนการท่ีซับซ้อน เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปฏิสนธิ การเปลี่ยนแปลงในผู้สูงอายุได้รับ อิทธิพลจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ทฤษฎีความสูงอายุที่ใช้อธิบายกระบวนการชราภาพแบ่งอย่าง กว้างๆ ได้ 2 ประเภท คือ ทฤษฎีทางชีวภาพ (biologic theories) กับทฤษฎีทางจิตสังคม (psychosocial theories) ความล้มเหลวในการทํางานทางชีวภาพเหล่านี้ ทําให้เกิดความเส่ือม และเกิดความสูงอายุจนในที่สุด เกิดการเสียชีวิต ความสูงอายุเป็นกระบวนการท่ีไม่สามารถหลีกเล่ียงได้ แต่สามารภชะลอการเกิดได้ ด้วยเหตุน้ี พยาบาลจึงต้องมีความรู้และความเข้าเกี่ยวกับทฤษฎีความสูงอายุ เพื่อให้การพยาบาลแบบองค์รวมอย่างมี คุณภาพและมีเจตคติท่ีดตี่อผู้สูงอายุ
61


คําถามทบทวน
1. ทฤษฎีความสูงอายุคือทฤษฎีเกี่ยวกับอะไรประกอบด้วยทฤษฎีทางด้านใดบ้าง
2. ทฤษฎีทางชีวภาพ(Biologictheories)ประกอบด้วยทฤษฎีทางด้านใดบ้างแต่ละทฤษฎีมีความ
เหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
3. ทฤษฎีทางจิตสังคม(PsychosocialTheories)ประกอบด้วยทฤษฎีทางด้านใดบ้างแต่ละทฤษฎี
มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
4. หลักการพยาบาลผู้สูงอายุตามทฤษฎีความสูงอายุสามารถนํามาใช้ส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุให้มี
คุณภาพชีวิตท่ีดีได้อย่างไร
บรรณานุกรม
นารีรัตน์ จิตรมนตรี. ทฤษฎีความสูงอายุ. ใน: วิไลวรรณ ทองเจริญ, บรรณาธิการ. ศาสตร์และศิลป์การ พยาบาลผู้สูงอายุ. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพมหานคร: เอ็นพีเพรส; 2558. หน้า 35-44.
Eliopoulos C. Gerontological nursing. 9th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2017. Erikson EH. The life cycle completed. New York: Norton Company; 1997.
Goya RG, Console GM, Herenu CB, Brown OA, Rimodi OJ. Thymus and aging: Potential of gene
therapy for restoration of endocrine thymic function in thymus deficient animal
models. Gerontology 2002; 48: 325-8.
Havighurst J. Successful aging. In: Williams RH, Tibbitts C, Donahue W. editors. Processes of
aging. New York: Atherton Press; 1963. vol. 1, p. 299.
Hayflick L. Biological aging is no longer an unsolved problem. Annals of the New York
Academy of Science 2007; 1100: 1-13.
. The Functionalist Perspective on aging Online Resources; [cited 2020 Jul 25].
Available from: https://courses.lumenlearning.com/boundless-sociology/chapter/the- functionalist-perspective-on-aging/.
62


หน่วยที่ 5 เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
รองศาสตราจารย์ ร.อ.หญิง ดร. ศิริพันธุ์ สาสัตย์ ...............................................................................................................................................................
บทนํา
การประเมินภาวะสุขภาพและสังคม มีความท้าทายอย่างยิ่งสําหรับผู้ปฏิบัติติงานที่เกี่ยวกับ สุขภาพของคน เนื่องจากผู้ประเมินต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญในประเด็นที่จะประเมินอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามสําหรับผู้ที่ประเมินที่ยังมีความรู้และประสบการณ์น้อย เครื่องมือก็จะเปนส่วนหนึ่งที่จะช่วย ให้การประเมินนั้นมีความครอบคลุม ตรงประเด็นที่ต้องการวัด และใช้เวลาน้อยลง ดังนั้นผู้ประเมินจะต้อง ให้ความสําคัญของการวัด และมีความเข้าใจถึงประสบการณ์ของคนที่มีต่อสุขภาพร่างกายและสังคม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เปนประโยชน์และสามารถใช้เปนข้อมูลพื้นฐาน ในการสร้างความเข้าใจโดยรวมเกี่ยวกับ การวัดสุขภาพและความเปนอยู่ที่ดีของผู้ป่วยและผู้ดูแลได้
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายประเภทของเครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้ 2. วางแผนการประเมินผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้
3. เลือกใช้เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้อย่างเหมาะสม
1. ความหมายของเครื่องมือ
เครื่องมือวัดเปนอุปกรณ์สําหรับวัดปริมาณทางกายภาพ ในวิทยาศาสตร์กายภาพ การประกัน คุณภาพ และวิศวกรรม การวัดเปนกิจกรรมของการได้รับและการเปรียบเทียบปริมาณทางกายภาพของ วัตถุและเหตุการณ์ในโลกแห่งความจริง (Wikipedia, 2020)
เครื่องมือวัด หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการวัดปริมาณทางกายภาพและทางไฟฟ้า โดยที่การวัด หมายถึง การเปรียบเทียบระหว่างปริมาณสองหน่วยในหน่วยเดียวกัน ไม่ทราบขนาดของปริมาณหนึ่งและ เปรียบเทียบกับค่าที่กําหนดไว้ล่วงหน้า ผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบที่ได้รับจะเปนตัวเลข (Circuit Glove, 2020)
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือวัดทั้งหมดมรี ะดับความคลาดเคลื่อนที่แตกต่างกันและมคี วามไม่แน่นอน ในการวัด เครื่องมือเหล่านี้อาจมีตั้งแต่อุปกรณ์ง่าย ๆ เช่น ไม้บรรทัดและนาิกาจับเวลา ไปจนถึงกล้อง จุลทรรศน์อิเล็กตรอนและเครื่องเร่งอนุภาค เครื่องมือวัดแบบเสมือนถูกใช้อย่างกว้างขวางในการพัฒนา เครื่องมือวัดที่ทันสมัย (Wikipedia, 2020) เครื่องมือส่วนใหญ่จะใช้ในการคัดกรองโรคและประเมินความ
63


64
เส่ียงหรือความผิดปกติของผู้ป่วย เพื่อช่วยค้นหาผู้ป่วยท่ีมีภาวะเส่ียง ทําให้สามารถวางแผนให้การ ช่วยเหลือ ฟนฟูแก่กลุ่มเส่ียงได้ รวมท้ังเพ่ือนําไปสู่การตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์และการตรวจเพ่ือวินิจฉัยอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้องเพ่ือให้การพยาบาล การรักษาและฟนฟูสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
2. ประเภทของเคร่ืองมือ
2.1 เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพร่างกายในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
2.1.1 เคร่ืองมือประเมินสมรรถภาพสมอง
2.1.1.1 แบบประเมินภาวะสมองเส่ือมในระยะแรก (Montreal Cognitive
Assessment: MoCA)
แบบประเมินภาวะสมองเส่ือมในระยะแรก (MoCA) พัฒนาโดย Nasreddine et.al.
(2005) เปนเคร่ืองมือท่ีทดสอบหลายด้านของการรู้คิด ได้แก่ ความจําระยะสั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง ทิศทาง สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการ สมาธิจดจ่อ ภาษา และการรับรู้วัน เวลา สถานที่ บุคคล เปน เครื่องมือที่เหมาะในการคัดกรองผู้ป่วยที่มีการบกพร่องของการรู้คิดเห็นน้อย (mild cognitive impairment: MCI) แยกออกจากคนปกติและผู้ป่วยภาวะสมองเส่ือม ใช้เวลาประเมินทั้งหมดประมาณ 10 นาที หลักในการเลือกใช้ ถ้าคะแนน MMSE อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงพิจารณาการทําสอบ MoCA แต่ถ้ามี การบกพร่องของการรู้คิดแต่ความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจําวันไม่เปลี่ยนแปลง น่าจะ พิจารณาทํา MoCA ก่อน (วีรศักดิ์ เมืองไพศาล, 2559) โดยมีคะแนนเต็ม 30 คะแนน ถ้าได้คะแนนตั้งแต่ 25 ขึ้นไปจึงจะถือว่าปกติ (ดูแผนภาพที่ 5.1)
2.1.1.2 แบบทดสอบสมองเบอ้ื งต้นฉบับภาษาไทย พ.ศ. ๒๕๔๒
แบบทดสอบสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ (Mini-Mental State Examination-Thai version: MMSE-T)) แปลมาจากแบบประเมิน Mini-Mental State Examination (MMSE) ของ Folstein et al. (1975) ประกอบไปด้วยการประเมิน 6 ด้านคือ การรับรู้เวลาสถานที่ (orientation) การจดจํา (registration) ความตั้งใจ (attention) การคํานวณ (calculation) การใช้ภาษา (language) และการระลึกได้ (recall) แบบประเมินนี้ได้รับความนิยมใช้คัดกรองภาวะสมองเสื่อมมาก ท่ีสุดและได้แปลไปหลายภาษารวมทั้งภาษาไทย อย่างไรก็ตามเคร่ืองมือน้ีมีข้อจํากัดกับการใช้ประเมินในผู้ ท่ีไม่มีการศึกษา หรือมีการศึกษาต่ํา ดังน้ันคณะกรรมการจัดทําแบบทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น สถาบัน เวชศาสตร์และผู้สูงอายุ จึงได้แปลและทดสอบใช้ในการคัดกรองสภาพสมองเก่ียวกับความจําในผู้สูงอายุ ไทยทั้งประชากรที่มีการศึกษาและไม่มีการศึกษา และได้จุดตัด (cut-off-point) ใหม่ โดยมีการแปลผล ดังนี้ คะแนนรวมทั้งหมดคือ 30 คะแนน สําหรับผู้ที่เรียนหนังสือ โดยเกณฑ์ท่ีใช้ตัดสินค่าปกติผู้ที่เรียน ระดับประถมศึกษาคือต้องได้คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 17 และผู้ที่เรียนระดับสูงกว่าประถมศึกษาต้อง ได้คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 22 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน ส่วนผู้ที่ไม่ได้เรียนหนังสือใช้ตัดสิน ค่าปกติคือต้องได้คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 14 คะแนน จากคะแนนเต็ม 23 คะแนน จะมีการรับรู้ด้าน การรู้คิดปกติ


65
แผนภาพที่ 5.1 Montreal Cognitive Assessment (MoCA) ที่มา: www.mocatest.org


แบบทดสอบสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย พ.ศ. 2542 (Mini-Mental State Examination-Thai version: MMSE-T)
แบบทดสอบสมองเบื้องตน้ ฉบับภาษาไทย พ.ศ. 2542 ในกรณีที่ผู้ถูกทดสอบอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ไม่ ต้องทําข้อ 4, 9 และ 10 บันทึกคําตอบไว้ทุกครั้ง (ทั้งคําตอบที่ถูกและผิด)
คะแนน
1. Orientation for time (5 คะแนน) (ตอบถูกข้อละ 1 คะแนน)
1.1 วันนี้วันที่เทา่ ไร ................................................................................... 1.2 วันนี้วันอะไร ...................................................................................... 1.3 เดือนนี้เดือนอะไร ................................................................................ 1.4 ปนี้ ปอะไร ........................................................................................... 1.5 ฤดูนี้ฤดูอะไร .........................................................................................
2. Orientation for place (5 คะแนน) (ให้เลือกทําข้อใดข้อหนึ่ง) (ตอบถูกข้อละ 1 คะแนน) 2.1 กรณีอยู่ที่สถานพยาบาล
2.1.1 สถานที่ตรงนี้เรียกว่า อะไร และ......ชื่อว่าอะไร ........................... 2.1.2 ขณะนี้อยู่ที่ชั้นที่เท่าไรของตัวอาคาร .......................................... 2.1.3 ที่นี่อยู่ในอําเภอ - เขตอะไร .......................................................... 2.1.4 ที่นี่จังหวัดอะไร ............................................................................. 2.1.5 ที่นี่ภาคอะไร ..................................................................................
2.2 กรณีอยู่ที่บ้านของผู้ถูกทดสอบ
2.2.1 สถานที่ตรงนี้เรียกว่าอะไร และบ้านเลขที่เท่าไร ........................... 2.2.2 ที่นี่หมู่บ้าน หรือละแวก/คุ้ม/ย่าน/ถนนอะไร .............................. 2.2.3 ที่นี่อยู่ในอําเภอ / เขตอะไร .......................................................... 2.2.4 ที่นี่จังหวัดอะไร .......................................................................... 2.2.5 ที่นี่ภาคอะไร ...............................................................................
3. Registration (3 คะแนน)
ต่อไปนี้เปน การทดสอบความจาํ ผม (ดิฉัน) จะบอกชื่อของ 3 อย่าง คุณ (ตา, ยาย,...) ตงั้ ใจฟงให้ดีนะเพราะจะ บอกเพียงครั้งเดียว ไม่มีการบอกซํ้าอีก เมื่อ ผม (ดิฉัน) พูดจบ ให้ คุณ (ตา, ยาย,...) พูดทบทวนตามที่ไดย้ ิน ให้ ครบ ทั้ง 3 ชื่อ แล้วพยายามจาํ ไว้ให้ดี เดี๋ยวดิฉันถามซํ้า
การบอกชื่อแต่ละคําให้ห่างกันประมาณหนึ่งวนิ าที ต้องไม่ชา้ หรือเร็วเกินไป
(ตอบถูก 1 คํา ได้ 1 คะแนน)
ดอกไม้แม่นาํ้ รถไฟ..................................................
ในกรณีที่ทําแบบทดสอบซํ้าภายใน 2 เดือน ให้ใช้คําว่า
ต้นไม้ ทะเล รถยนต์ ...............................................
4. Attention/Calculation (5 คะแนน) (ให้เลือกทําข้อใดข้อหนึ่ง) ข้อนี้เปนการคิดเลขในใจเพื่อทดสอบสมาธิ คุณ (ตา, ยาย...) คิดเลขในใจเปนไหม?
66


ถ้าตอบคิดเปนให้ทําข้อ 4.1 ถ้าตอบคิดไม่เปน หรือไม่ตอบให้ทําข้อ 4.2 4.1 "ข้อนี้คิดในใจเอา 100 ตั้ง ลบออกทีละ 7
ไปเรื่อย ๆ ได้ผลลัพธ์เทา่ ไรบอกมา” .......... .......... .......... .......... .......... บันทึกคํ าตอบตัวเลขไว้ทุกครั้ง (ทั้งคําตอบที่ถูกและผดิ ) ทําทงั้ หมด 5 ครั้ง
ถ้าลบได้ 1, 2 หรือ3 แล้วตอบไมไ่ ด้ ก็คิดคะแนนเท่าทที่ ําได้ ไม่ต้องย้ายไปทําข้อ 4.2
4.2"ผม(ดิฉัน)จะสกดคาํวา่ มะนาวให้คุณ(ตา,ยาย...)ฟงแล้วให้คุณ(ตา,ยาย...) สะกดถอยหลังจากพยญั ชนะตัวหลังไปตัวแรก คําวา่ มะนาวสะกดวา่ มอม้า-สระอะ-นอหนู- สระอา-วอแหวนไหนคุณ(ตา,ยาย...)
สะกดถอยหลัง ให้ฟงซิ" .......... .......... .......... .......... .......... วานะม
5. Recall (3 คะแนน)
"เมื่อสักครู่ที่ให้จําของ 3 อย่าง จําได้ไหมมีอะไรบ้าง” (ตอบถูก 1 คํา ได้ 1 คะแนน)
ดอกไม้ แม่นํ้า รถไฟ ................................... ในกรณีที่ทําแบบทดสอบซํ้าภายใน 2 เดือน ให้ใช้คําว่า
ต้นไม้ ทะเล รถยนต์ ................................... 6. Naming (2 คะแนน)
6.1 ยื่นดินสอให้ผู้ถูกทดสอบดูและถามวา่
“ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร” ...........................................................
6.2 ชี้นาิกาข้อมือให้ผู้ถูกทดสอบดูและถามว่า
“ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร” .......................................................
7. Repetition (1 คะแนน) (พูดตามได้ถูกต้องได้ 1 คะแนน)
"ตั้งใจฟงผม (ดิฉนั ) นะ เมื่อผม (ดิฉัน) พูดข้อความนี้ แล้วให้คุณ (ตา, ยาย...) พูดตาม
ผม (ดิฉัน) จะบอกเพยี งเที่ยวเดยี ว"
"ใครใคร่ขายไก่ไข่" ...........................................................
8. Verbal command (3 คะแนน)
"ฟงดี ๆ นะเดี๋ยวผม (ดิฉนั ) จะสง่ กระดาษให้ แล้วให้คุณ (ตา, ยาย...) รับด้วยมือขวา พับครึ่งกระดาษ แลว้ วางไว้ที่................" (พื้น, โต๊ะ, เตียง)
ผู้ทดสอบแสดงกระดาษเปลา่ ขนาดประมาณ เอ - 4 ไม่มีรอยพับ ให้ผู้ถูกทดสอบ
รับด้วยมือขวา พับครึ่ง วางไว้ที่ (พื้น, โตะ๊ , เตียง) ...............
9. Written command (1 คะแนน)
ต่อไปนี้เปน คําสั่งที่เขียนเปน ตัวหนังสือ ต้องการให้คุณ (ตา, ยาย...) อ่าน แล้วทําตาม คุณ (ตา, ยาย...) จะอ่านออกเสียงหรืออ่านในใจก็ได้
ผู้ทดสอบแสดงกระดาษที่เขียนว่า “หลับตา” หลบั ตาได้ ........................
67


หลับตา
10. Writing (1 คะแนน)
ข้อนี้เปนคําสั่ง "ให้คุณ (ตา, ยาย...) เขียนข้อความอะไรก็ได้ที่อา่ นแล้วรู้เรื่อง
หรือมีความหมายมา 1 ประโยค” ...................................................................
 ประโยคมีความหมาย 11. Visuoconstruction (1 คะแนน)
ข้อนี้เปนคําสั่ง "จงวาดภาพให้เหมือนภาพตวั อย่าง”
(ในที่ว่างด้านขวาของภาพตวั อย่าง)
คะแนนรวม_________________ ชื่อผู้ถูกประเมิน (นาย,นาง,นางสาว)_____________นามสกุล___________อายุ________ป
ลงชื่อผู้ทําการทดสอบ________________________วันที่________เดือน_______พ.ศ.______
จุดตัด (cut-off-point) สําหรบั คะแนนที่สงสัยภาวะสมองเสื่อม (cognitive impairment) ระดับการศึกษา คะแนน
จุดตัด เต็ม
ผู้สูงอายปุ กติไมไ่ ด้เรียนหนังสือ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 14 23 (อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได)้ (ไม่ต้องทําข้อ4,9,10) ผู้สูงอายปุ กติเรียนระดับประถมศึกษา น้อยกว่าหรือเท่ากับ 17 30
ผู้สูงอายปุ กติเรียนระดับสูงกว่าประถมศึกษา น้อยกว่าหรือเท่ากับ 22 30
ที่มา: คณะกรรมการจัดทําแบบทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น สถาบันเวชศาสตร์และผู้สูงอายุ (2542)
2.1.2 เครื่องมือประเมินภาวะสับสน
ภาวะสับสน (Delirium) คือ อาการความคิดความจํา และพฤติกรรมที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่่าง เฉียบพลัน ภายในระยะเวลาเปนชั่วโมงหรือเปนวัน ผู้ป่วยจะขาดความใส่ใจต่อตนเองและสภาพแวดล้อม อาการแสดงจึงออกมาในรูปแบบที่ไม่สามารถรับข้อมูลที่เปนปจจุบัน คิดวางแผนจัดการสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้
68


69
และระลึกข้อมูลหรือความรู้เดิมที่เคยมีไม่ได้ โรคและแสดงอาการ การเปลี่ยนแปลงเปนแบบ ค่อยเปนค่อย ไป ไม่ใช่แบบเฉียบพลัน นอกจากนี้ อาการของ delirium จะเปลี่ยนแปลงสลับกนั ระหว่างดีและไม่ดีใน ระหว่างวัน ส่วนใหญ่ความผิดปกติมักเกิดขึ้นในช่วงเย็นหัวค่ําจนถึงกลางคืน ผู้ป่วยมักรู้ตัวและรับรู้ สภาพแวดล้อมได้ดีในช่วงเช้า และกลางวัน (กุลธิดา เมธาวศิน, 2561)
แบบประเมินภาวะสับสน ที่เรียกว่า Confusion Assessment Method (CAM) เปนแบบ ประเมินที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ในป ค.ศ. 1990 โดย Dr. Sharon Inoyue โดยมีวัตถุประสงค์ให้บุคลากร ทางการแพทย์และผู้ดูแลที่ไม่ใช่จิตแพทย์ ใช้ประเมินภาวะ delirium ได้ ต่อมาจึงมีการปรับใช้ในหอผู้ป่วย ระยะวิกฤต ที่เรียกว่า Confusion Assessment Method for ICU (CAM-ICU) (สิริรัตน์ เหมือนขวัญ, สยาม ชุติมา และเหรียญ หล่อวิมงคล, 2555) และได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีความไวในการวินิจฉัย ร้อยละ 82 และมีความเฉพาะเจาะจงสูงถึงร้อยละ 99 ปจจุบันต้นฉบับของ CAM ที่ได้รับการแปลและ ทดสอบความเที่ยงตรง คือฉบับที่ได้รับการพัฒนาโดยคณะวิจัยของ Venderbilt University Medical Center ส่วนฉบับภาษาไทยได้รับการแปลและทดสอบใช้งานโดย Wongpakaran et al. (2011) จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีความไว ร้อยละ 91.9 และมีความเฉพาะเจาะจง ร้อยละ 100 (ดูแผนภาพท่ี 5.2, 5.3) อย่่างไรก็ตาม ต้องมีการฝกอบรมวิธีการ ประเมินที่ถูกต้องก่อนนําไปใช้ (กุลธิดา เมธาวศิน, 2561)
2.1.3 เคร่ืองมือประเมินระดับการช่วยเหลือตนเองของผู้สูงอายุ
2.1.3.1 แบบประเมินกิจวัตรประจําวันต่อเนื่อง (Instrumental Activities of
Daily Living (IADL)
ดัชนีบาร์เธลไอเอดีแอล (Barthel IADL Index) เปนเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์ ผู้สูงอายุฟลาเดลเฟยโดย Lawton & Brody (1969) และพัฒนามาเปน Chula ADL Index เพื่อให้มีความ เหมาะสมสําหรับผู้สูงอายุไทยโดย Jitapunkul, Kamolratanakul & Ebrahim (1994) เปนการประเมิน ความสามารถในการทํากิจกรรมที่จําเปนซึ่งสนับสนุนการอยู่ได้อย่างอิสระ ประเมินว่าผู้สูงอายุทําอะไรได้ บ้าง สอบถามถึงกิจกรรมที่ปฏิบัติในระยะ 1-2 สัปดาห์ จุดประสงค์เปนการวัดระดับ Independence โดย ประเมินจากการปฏิบตั ิกิจวัตรประจําวัน 5 กิจกรรม ซึ่งประกอบด้วย การเดินหรือเคลื่อนที่ออกนอกบ้าน การทําหรือเตรียมอาหาร การทําความสะอาดบ้าน/ซักรีดเสื้อผ้า การทอน/แลกเงิน และการใช้รถประจํา ทาง ซึ่งเปนการวัดการปฏิบัติของผู้สูงอายุที่ทําได้จริง และการอยู่ได้อย่างอิสระ ดังนั้นหากต้องมีคนคอย ดูแลหรือเฝ้าระวังเวลาปฏิบัติกิจ ให้ถือว่าไม่ได้คะแนนเต็ม ถ้าหมดสติให้คะแนนศูนย์ทั้งหมด (Jitapunkul et al, 1994)


70
แผนภาพที่ 5.2 แบบประเมินภาวะสับสนในหอผู้ป่วยวิกฤต (CAM-ICU) ที่มา: สิริรัตน์ เหมือนขวัญ, สยาม ชุติมา และเหรียญ หล่อวิมงคล (2555)


แผนภาพที่ 5.3 CAM-ICU Flowsheet
ที่มา: สิริรัตน์ เหมือนขวัญ, สยาม ชุติมา และเหรียญ หล่อวิมงคล (2555)
แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจําวันต่อเนื่อง (IADL)
คําชแี้ จง โปรดทําเครื่องหมาย / ลงในช่อง ให้ตรงกับการกระทํากิจกรรมต่าง ๆ ในการดําเนินชีวิตประจําวันของผู้สูงอายุ
ที่ทําได้อยู่จริง
1. การเดินหรือเคลื่อนที่นอกบ้าน
กิจกรรม
คะแนน
71
- เดินไม่ได้ 0 - ใช้รถเข็น และช่วยตัวเองได้ หรือต้องการคนประคอง 2 ข้าง 1 - ต้องการคนช่วยพยุง หรือไปด้วยตลอด 2 - เดินได้เอง (รวมทั้งการใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น walker) 3
2. การทําหรือเตรียมอาหาร
- ทําไม่ได้ 0 - ต้องการความช่วยเหลือในการทํา หรือจัดเตรยี มการบางอย่างไว้ให้ล่วงหน้า จึงจะ 1
ทําได้
- ทําได้เอง 2
3. การทําความสะอาดบ้าน/ ซักรีดเสื้อผ้า
- ทําไม่ได้/ ต้องมีคนช่วย 0


72
- ทําได้เอง 1
4. การทอนเงิน/ แลกเงิน
- ทําไม่ได้/ ต้องมีคนช่วย 0
- ทําได้เอง 1
5. การใช้บริการรถเมล์/ รถสองแถว
- ไม่สามารถทําได้ 0 - ทําได้แต่ต้องมีคนช่วยดูแลไปด้วย 1 - ไปมาได้เอง 2
หมายเหตุ
1. เปนการประเมินว่าผสูู้งอายุทําอะไรได้บา้งไม่ใช่เปนการประเมินหรอืถามว่าทําได้หรือไม่
2. เปนการสอบถามถึงกิจกรรมที่ปฏบิ ัติในระยะ 1-2 สัปดาห์
3. จุดประสงค์เปนการวัดระดับIndependenceดังนั้นหากต้องมีคนคอยอยู่ดูแลหรือเฝา้ระวังเวลาปฏิบตัิ
ให้ถือว่าไม่ได้คะแนนเต็ม
4. ถ้าหมดสติให้คะแนนศูนย์ทั้งหมด
ที่มา: Jitapunkul et al. (1994)
2.1.3.2 แบบประเมินกิจวัตรประจําวันดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL Index)
ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL Index หรือ ADL) เปนแบบประเมินของ Marhoney & Barthel (1965) ปรับปรุงและโดย สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล และคณะ (2544) เพื่อให้มีความ เหมาะสมเพียงพอและสามารถนําไปใช้กับประชากรสูงอายุไทย เปนชุดข้อคําถามที่ใช้วัดกิจกรรมเชิง ปฏิบัติขั้นพื้นฐาน (Basic Activity of Daily Living) เปนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจําวันของ ผู้สูงอายุในระยะ 24-48 ชั่วโมง ประกอบด้วย ข้อคําถาม 10 ข้อ ครอบคลุมเรื่องการรับประทานอาหาร การทําความสะอาดร่างกาย การเคลื่อนย้ายตนเอง การใช้และความสามารถในการควบคุมการขับถ่าย เปนต้น ทั้งนี้ผู้วิจัยนํามาใช้คัดกรองกลุ่มตัวอย่างก่อนเข้าร่วมกิจกรรม ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผอู้ ื่นเพียง เล็กน้อย โดยแบ่งระดับความสามารถในการทํากิจวัตรประจําวันของผู้สูงอายุ
0-4 คะแนน หมายถึง ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นทั้งหมด
5-8 คะแนน หมายถึง ผู้สงู อายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นเปนสว่ นมาก 9-11 คะแนน หมายถึง ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นปานกลาง
12 คะแนนขึ้นไป หมายถึง ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นเพียงเล็กน้อย
แบบประเมินกิจวัตรประจําวันดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (ADL)
1. Feeding (รับประทานอาหารเมื่อเตรียมสํารับไว้ให้เรียบร้อยต่อหน้า)
0. ไม่สามารถตักอาหารเข้าปากได้ ต้องมีคนป้อนให้
 1. ตักอาหารเองได้ แต่ต้องมีคนช่วย เช่น ช่วยใช้ช้อนตักเตรียมไว้ให้หรือตัดเปนเล็ก ๆ ไว้ล่วงหน้า 2. ตักอาหารและช่วยตัวเองได้เปนปกติ


2. Grooming (ล้างหน้า หวผี ม แปรงฟน โกนหนวด ในระยะเวลา 24-28 ชั่วโมงที่ผ่านมา) 0. ต้องการความช่วยเหลือ
1. ทําเองได้ (รวมทั้งที่ทําได้เองถ้าเตรียมอุปกรณไ์ ว้ให้) 3. Transfer (ลุกนั่งจากที่นอน หรือจากเตียงไปยังเก้าอี้)
0. ไม่สามารถนั่งได้ (นั่งแล้วจะล้มเสมอ) หรือต้องใช้คนสองคนช่วยกันยกขึ้น 1.ต้องการความช่วยเหลืออยา่งมากจึงจะนั่งได้เช่นต้องใช้คนที่แข็งแรงหรือมีทักษะ1คนหรือใช้คน
ทั่วไป 2 คนพยุงหรือดันขึ้นมาจึงจะนั่งอยู่ได้
2. ต้องการความช่วยเหลือบ้าง เช่น บอกให้ทําตาม หรือช่วยพยุงเล็กน้อย หรือต้องมีคนดูแลเพื่อความ
ปลอดภัย 3. ทําได้เอง
4. Toilet use (ใช้ห้องน้ํา) 0. ช่วยตัวเองไม่ได้
1. ทําเองได้บ้าง (อย่างน้อยทําความสะอาดตัวเองได้ หลังจากเสร็จธรุ ะ) แต่ต้องการความช่วยเหลือในบาง สิ่ง
 2. ช่วยตัวเองได้ดี (ขึ้นนั่งและลงจากโถส้วมเองได้ ทําความสะอาดไดเ้ รียบร้อยหลังจากเสร็จธรุ ะถอดใส่ เสื้อผ้าไดเ้ รียบร้อย)
5. Mobility (การเคลื่อนที่ภายในห้องหรือบ้าน) 0. เคลื่อนที่ไปไหนไมไ่ ด้
1. ต้องใช้รถเข็นช่วยตัวเองให้เคลื่อนที่ได้เอง (ไม่ต้องมีคนเข็นให)้ และจะต้องเข้าออกมมุ ห้องหรือประตไู ด้ 2. เดินหรือเคลื่อนที่โดยมีคนช่วย เช่น พยุง หรือบอกให้ทําตาม หรือต้องให้ความสนใจดูแลเพื่อความ
ปลอดภัย
 3. เดินหรือเคลื่อนที่ไดเ้ อง
6.Dressing(การสวมใสเ่สื้อผา้)
0. ต้องมีคนสวมใส่ให้ ช่วยตัวเองแทบไม่ได้หรือได้น้อย
1. ช่วยตัวเองได้ประมาณร้อยละ 50 ที่เหลือต้องมีคนช่วย
2. ช่วยตัวเองได้ดี (รวมทั้งการติดกระดมุ รูดซปิ หรือใช้เสื้อผา้ ที่ดัดแปลงให้เหมาะสมกไ็ ด้)
7. Stairs (การขึ้นลงบันได 1 ชั้น) 0. ไม่สามารถทําได้
1. ต้องการคนช่วย
2. ขึ้นลงได้เอง (ถ้าต้องใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น walker จะต้องเอาขึ้นลงได้ด้วย) 8. Bathing (การอาบน้ํา)
0. ต้องมีคนช่วยหรือทําให้
1. อาบน้ําเองได้
9. Bowels (การกลั้นการถ่ายอุจจาระในระยะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
0. กลั้นไม่ได้ หรือต้องการการสวนอุจจาระอยู่เสมอ 1. กลั้นไม่ได้บางครั้ง (เปนน้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์) 2. กลั้นได้เปนปกติ
10.Bladder(การกลั้นปสสาวะในระยะ1สัปดาห์ที่ผา่นมา)
73


0. กลั้นไม่ได้ หรือใสส่ ายสวนปสสาวะแต่ไม่สามารถดูแลเองได้ 1. กลั้นไม่ได้บางครั้ง (เปนนอ้ ยกว่าวันละ 1 ครั้ง)
2. กลั้นได้เปนปกติ
การแปลผล
คะแนนรวม ADL เต็ม 20 คะแนน
0-4 คะแนน
5-8 คะแนน 9-11 คะแนน 12 คะแนนขึ้นไป
ที่มา: Jitapunkul et al (1994)
แปลผล
ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นทั้งหมด ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นเปนส่วนมาก ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นปานกลาง ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพิงผู้อื่นเพียงเล็กน้อย
74
2.1.4 เครื่องมือและแบบประเมินการหกล้ม
2.1.4.1 แบบบันทึกการทดสอบความสามารถในการเดินและการทรงตัว (Timed
Up and Go test: TUG) เปนแบบประเมินร่างกายที่เปน functional ได้พัฒนาขึ้นมาในป 1991 โดย Podsiadlo และ Richardson โดยให้เริ่มบันทึกเวลาตั้งแต่ลุกจากเก้าอี้เดินไปข้างหน้าเปนระยะทาง 3 เมตร แล้วเดินอ้อมกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม TUG ถือเปนการตรวจประเมินมาตรฐานในการบ่งชี้ความเสี่ยง ต่อการล้มของผู้สูงอายุได้ค่อนข้างดี สามารถใช้ได้ทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน เพราะรูปแบบการ ทดสอบมีการเคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ทั้งการลุกขึ้นยืน นั่ง การเดิน (นงนุช ล่วงพ้น และคณะ, 2563)
แบบประเมิน Timed “Up & Go” Test
ข้อตกลงเบื้องต้นในผู้ป่วย วิธีการ
การปฏิบัติ
ระยะเวลา
สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยใช้หรือไม่ใช้อุปกรณ์ในการช่วยเหลือได้และสามารถ ปฏิบัติตามคําสั่ง 3 ขั้นตอนได้
บอกให้ผู้ป่วย ลุกขึ้นจากกเก้าอี้ เดนิ เปนระยะทาง 3 เมตร หมุนตัวและเดินกลับมา ที่เก้าอี้และนั่งลงอีกครั้ง
การปฏิบัตคิ รั้งแรกเปนการฝก และการปฏิบตั ิอีก 3 ครั้ง จับเวลาหาค่าเฉลี่ยจากการ จับเวลา 3 ครั้งหลัง
1-2 นาที
เครื่องมือ
- เก้าอี้มีที่พักแขน
- นาิกาจับเวลา
- เครื่องมือวัดระยะทางเดิน


หมายเหตุ
ผลการประเมิน
( ) ไม่สามารถทําได้
( ) ใช้เวลาน้อยกว่า 10 วินาที ( ) ใช้เวลา 10-19 วินาที
( ) ใช้เวลา 20-29 วินาที
( ) ใช้เวลามากกว่า 29 วินาที
ที่มา: Podsiadlo and Richardson (1991)
ผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราส่วนใหญ่มีภาวะเปราะบาง ถ้าใช้เวลาน้อยกว่า 15 วินาที จะมีความ เสี่ยงต่อการล้มน้อย
2.1.4.2 แบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มไทย (Thai Fall Risk Assessment Test (Thai-FRAT) ของ Thiamwong et al. (2008) ประเมินจาก 6 ปจจัยคือ เพศ การมองเห็นบกพร่อง การ ทรงตัวบกพร่อง มีการใช้ยาท่ีเส่ียงต่อการหกล้ม มีประวัติการหกล้มและสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ถ้า คะแนนรวม เท่ากับ 0-3 คะแนน หมายถึง ไม่เสี่ยงต่อการหกล้ม และถ้าคะแนนรวม 4-11 คะแนน หมายถึง เสี่ยงสูงต่อการหกล้ม
แบบประเมินภาวะเส่ียงต่อการหกลม้ ไทย (Thai FRAT)
ข้อ 1. เพศหญิง
2. ความบกพร่องทาง สายตา
3. การสูญเสียการทรงตัว
4.
75
การแปลผล
เวลาเฉลี่ยเปนวินาที
น้อยกว่า 10 10-19 20-29 มากกว่า 29
การแปลผล
สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ สามารถช่วยเหลือตนเองในการเคลื่อนไหวได้ เปนส่วนใหญ่ มีความเปลี่ยนแปลงในการเคลื่อนไหว
มีความบกพร่องในการเคลื่อนไหว
รายละเอียดการประเมิน
- 1
คะแนน ไม่สามารถอ่าน Snellen chart ได้มากกว่า 6 ใน 12 1 บรรทัดไม่สามารถเดินติดต่อได้นานเกิน 10 นาที 2
มีการใช้ยา
รับประทานยาอย่างน้อย 1 ชนิด ดังนี้
- ยานอนหลับ/ยากล่อมประสาท - ยารักษาจิตเวช
- ยาลดความดันโลหิต
- ยาขับปสสาวะ
1


76
หรือรับประทานยามากกว่า 4 ชนิด
5. มีประวัติการหกล้ม เคยหกล้มอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา 5
6. ลักษณะบ้านพักอาศัย ลักษณะแบบบ้านไทย (คือบ้านที่มีพื้นบ้านยกสูงจาก 1 พื้นดินอย่างน้อย 1.5 เมตรและมีบันได)
หมายเหตุ คะแนนรวมทั้งหมด หากมากกว่า 4 คะแนนมีความเสี่ยงสูงต่อการหกล้ม ที่มา: Thiamwong et al. (2008)
2.1.5 เครื่องมือประเมินภาวะโภชนาการ
2.1.5.1 แบบประเมินการคัดกรองภาวะโภชนาการ (Mini-Nutritional
Assessment: MNA) เปนแบบประเมินที่พัฒนาโดยศูนย์วิจัยเนสท์เล่ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และแปล เปนภาษาไทยโดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล แบบประเมิน MNA ได้รับการยอมรับว่ามี ความไวและมีความน่าเชื่อถือในการนําไปใช้ประเมินภาวะโภชนาการในผู้สูงอายุ ทั้งในชุมชนและสถาน บริการสุขภาพ (ดูแผนภาพที่ 5.4) ซึ่งการคัดกรองและประเมินภาวะโภชนาการผู้สูงอายุมีความจําเปน เนื่องจากจะช่วยค้นหาผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร ทําให้สามารถวางแผนให้การ ช่วยเหลือฟนฟูภาวะโภชนาการแก่ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงได้ทันท่วงที (กิตติกร นิลมานัต และคณะ, 2013)
2.2 เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพจิตในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
2.2.1 แบบวัดความเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai Geriatric Depressional Scale: TGDS) แบบวัดความเศร้าในผู้สูงอายุไทย หรือ TGDS นํามาจากกลุ่มฟนฟูสมรรถภาพสมอง (2537) ซึ่ง
เปนแบบวัดภาวะซึมเศร้าของไทย มีทั้งหมด 30 คําถาม สําหรับเกณฑ์การคิดคะแนน ดังนี้ ลักษณะคําตอบ ของข้อคําถามแต่ละข้อกําหนดให้ตอบ 2 คําตอบคือ ใช-่ ไม่ใช่ โดยข้อคําถามมีลักษณะเชิงบวก ถ้าตอบว่า “ไม่ใช”่ ให้1คะแนนและข้อคําถามลักษณะเชิงลบถ้าตอบว่า“ใช”่ ให้1คะแนน
การแปลผล
คะแนนรวม 0-12 หมายถึง ปกติ
คะแนนรวม 13-15 หมายถึง มีภาวะซึมเศร้าเล็กน้อย (mild depression) คะแนนรวม 16-20 หมายถึง มีภาวะซึมเศร้าปานกลาง (moderate depression) คะแนนรวม มากกว่า 20 หมายถึง มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง (severe depression)


แผนภาพที่ 5.4 แบบประเมินการคัดกรองภาวะโภชนาการ (MNA Thai) ที่มา: https://www.mna-elderly.com/forms/MNA_thai.pdf
77


แบบวัดความเศร้าในผู้สูงอายุไทย (TGDS)
คําชี้แจง โปรดอ่านข้อความในแต่ละข้ออย่างละเอียดและประเมินความรสู้ ึกของท่านในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ขีด/ลงในช่องที่ตรงกับ“ใช”่ ถ้าข้อความในข้อนั้นตรงกับความรู้สึกของท่าน
 ให้ขีด / ลงในช่องที่ตรงกับ “ไม่ใช่” ถ้าข้อความในข้อนั้นไม่ตรงกับความรสู้ ึกของท่าน
78
1. คุณพอใจกับชีวิตความเปนอยู่ตอนนี้
2. คุณไม่อยากทําในสิ่งที่เคยสนใจหรือเคยทําเปนประจํา 3.คุณรู้สึกชีวิตของคณุ ช่วงนี้ว่างเปล่าไม่รู้จะทําอะไร
4. คุณรู้สึกเบื่อหน่ายบ่อย ๆ
5. คุณหวังว่าจะมสี ิ่งที่ดีเกิดขึ้นในวันหน้า
6. คุณมีเรื่องกังวลอยู่ตลอดเวลา และเลิกคิดไมไ่ ด้
7. ส่วนใหญ่แล้วคณุ รสู้ ึกอารมณ์ดี
8. คุณรู้สึกกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดเี กดิ ขึ้นกับคุณ
9. ส่วนใหญ่คุณรู้สึกมีความสุข
10. บ่อยครั้งที่คุณรู้สึกไมม่ ีที่พึ่ง
11. คุณรู้สึกกระวนกระวาย กระสบั กระส่ายบ่อย ๆ
12. คุณชอบอยู่กับบ้านมากกวา่ ที่จะออกนอกบา้ น
13. บ่อยครั้งที่คุณรู้สึกวติ กกังวลเกี่ยวกับชีวิตข้างหน้า 14.คุณคิดว่าความจําของคุณไม่ดเีท่าคนอื่น
15. การที่มีชีวิตอยู่ถึงปจจุบันนี้ เปนเรื่องน่ายินดี 16.คุณรู้สึกหมดกําลังใจหรือเศรา้ใจบ่อยๆ
17. คุณรู้สึกว่าชีวิตคณุ ค่อนข้างไมม่ ีคุณค่า
18. คุณรู้สึกกังวลมากกับชีวิตที่ผ่านมา
19. คุณรู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมเี ร่อื งน่าสนุกอีกมาก
20. คุณรู้สึกลําบากที่จะเริ่มต้นทําอะไรใหมๆ่
21. คุณรู้สึกกระตือรือร้น
22. คุณรู้สึกสิ้นหวัง
23. คุณคิดว่าคนอื่นดีกวา่ คณุ 24.คุณอารมณ์เสยีง่ายกับเรื่องเลก็ ๆน้อยๆอยู่เสมอ 25. คุณรู้สึกอยากร้องไห้บ่อย ๆ
26. คุณมีความตั้งใจในการทําสิ่งหนึ่งสิ่งใดไดไ้ ม่นาน
27. คุณรู้สึกสดชื่นในเวลาตื่นนอนตอนเช้า
28. คุณไม่อยากพบปะพูดคุยกับคนอื่น
29. คุณตัดสินใจอะไรได้เร็ว
30. คุณมีจิตใจสบาย แจ่มใสเหมือนก่อน
ใช่ ไม่ใช่ คะแนน ......... ......... .......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ........ ......... ......... ....... ......... ......... ........ ......... ......... ....... ......... ......... ....... ......... ......... ....... ......... ......... ....... ......... ......... ....... ......... ......... ........ ....... ....... ........ ........ ...... ........ ......... ...... ........ ......... ...... ........ ......... ...... ......... ......... ...... .........
......... ...... .........
รวม ........................
ผู้ตรวจ ........................


หมายเหตุ
1.การคิดคะแนน ข้อ1,5,7,9,15,19,21,27,29,30ถ้าตอบว่า“ไม่ใช่”ได้1คะแนนข้อที่เหลือถ้าตอบ ว่า“ใช”่ ได้1คะแนน
2. การแปลผล คะแนน 0 -12 หมายถึง ปกติ คะแนน13-15 หมายถึง ความเศรา้เล็กน้อย
คะแนน16-20 หมายถึง ความเศรา้ปานกลาง
มากกว่า20คะแนน หมายถึง ความเศรา้รุนแรง ที่มา: กลุ่มฟนฟูสมรรถภาพสมอง (2537)
2.2.2 เครื่องมือประเมินโรคซึมเศร้า
2.2.2.1 แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า ๒ คําถาม (2Q)
2Qเปนแบบคัดกรองโรคซึมเศร้ามีข้อแนะนําคือใหเ้น้นการถามถึงอาการที่ เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันสัมภาษณ์ และขณะสอบถามถ้าผู้สูงอายุไม่เข้าใจให้ถามซ้ํา ไม่
ควรอธิบายหรือขยายความเพิ่มเติม ควรถามซ้ําจนกว่าผู้สูงอายุจะตอบตามความเข้าใจของตัวเอง
79
แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2Q
คําถาม
มี ไม่มี
1. ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมวันนี้ ท่านรู้สึก หดหู่ เศร้า หรือท้อแท้สิ้นหวัง หรือไม่ 2. ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมวันนี้ท่านรู้สึก เบื่อ ทําอะไรก็ไม่เพลดิ เพลิน หรือไม่
การแปลผล
ถ้าคําตอบ ไม่มี ทั้ง 2 คําถาม ถือ ว่า ปกติ ไม่เปนโรคซึมเศร้า
ถ้าคําตอบ มี ข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้อ (มีอาการใด ๆ ในคําถามที่ 1 และ 2 ) หมายถึง “เปน
ผู้มีความเสี่ยง” หรือ “มีแนวโน้มที่จะเปนโรคซึมเศร้า” ให้ประเมินต่อด้วยแบบ
ประเมิน โรคซึมเศร้า 9Q ที่มา: กรมสุขภาพจิต
2.2.2.2 แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า ๙ คําถาม (9Q)
9Qเปนแบบประเมินความรุนแรงอาการโรคซึมเศร้ามีข้อแนะนําคือใหเ้น้น การถามถึงอาการที่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันสัมภาษณ์ ถามทีละข้อไม่ช้าหรือเร็วเกินไป พยายามให้ได้คําตอบทุกข้อ และขณะสอบถามถ้าผู้สูงอายุไม่เข้าใจให้ถามซ้ํา ไม่ควรอธิบายหรือขยาย
ความเพิ่มเติม ควรถามซ้ําจนกว่าผู้สูงอายุจะตอบตามความเข้าใจของตัวเอง


แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 9Q
1. เบื่อ ไม่สนใจอยากทําอะไร
2. ไม่สบายใจ ซึมเศร้า ท้อแท้
3. หลับยากหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ หรอื หลับมากไป
4. เหนื่อยง่ายหรือไม่ค่อยมีแรง
5. เบื่ออาหารหรือกินมากเกินไป
6. รู้สึกไมด่ ีกับตัวเอง คิดว่าตัวเองล้มเหลวหรือครอบครัว
ผิดหวัง
7. สมาธิไมด่ ี เวลาทําอะไร เช่น ดโู ทรทัศน์ ฟงวิทยุ หรือ
ทํางานที่ต้องใช้ความตั้งใจ
8. พูดช้า ทําอะไรช้าลงจนคนอื่นสงั เกตเห็นได้หรือ
กระสับกระส่ายไม่สามารถ อยู่นิ่งได้เหมือนที่เคยเปน 9. คิดทําร้ายตนเอง หรือคิดว่าถ้าตายไปคงจะดี
การแปลผล
0 1 2 3 0 1 2 3 0 1 2 3 0 1 2 3 0 1 2 3 0 1 2 3
0 1 2 3 0 1 2 3 0 1 2 3
คะแนนรวม...............................
80
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมารวมทั้งวันนี้ ท่านมีอาการ เหล่านี้บ่อยแค่ไหน
ไม่มีเลย
เปนบาง วัน 1-7 วัน
เปนบ่อย > 7วัน
เปนทุกวัน
คะแนนรวม <7 คะแนน แสดงว่า ไม่มีอาการของโรคซึมเศร้าหรือมีอาการโรคซึมเศร้าน้อยมาก คะแนนรวม 7-12 คะแนน แสดงว่า อาการโรคซึมเศร้าระดับน้อย
คะแนนรวม 13-18 คะแนน แสดงว่า อาการโรคซึมเศร้าระดับปานกลาง
คะแนนรวม ≥19 คะแนน แสดงว่า อาการโรคซึมเศร้าระดับรุนแรง
ที่มา: กรมสุขภาพจิต
2.2.3 เครื่องมือประเมินความเครียดในผู้ดูแล (Caregiver Strain Index: CSI)
แบบประเมินความเครียดในผู้ดูแล (Caregiver Strain Index: CSI) ใช้วัดความเครียดของผู้ดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม เครื่องมือนี้สร้างโดย Robinson (1983) แปลเปนภาษาไทยและแปล ย้อนกลับโดย Sasat (1998) ประกอบด้วยข้อคําถามทั้งหมด 13 ข้อ แบ่งเปน 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย และอารมณ์ความรู้สึก (Physical and emotional strain) ด้านสังคม (Social strain) ด้านเศรษฐกิจ (Financial strain) และด้านการประกอบอาชีพ (Occupational strain of caregiving) การให้คะแนน ถ้าตอบว่า “ใช่” หมายถึง 1 คะแนน และตอบว่า “ไม่” หมายถึง 0 คะแนน การแปลผลคะแนนรวมจาก การประเมิน มากกว่าหรือเท่ากับ 7 คะแนน ถือว่าผู้ดูแลมีความเครียดสูงกว่าปกติ


81
แบบประเมินความเครียดของผู้ดูแล
คําชี้แจง แบบประเมินชุดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการประเมินความเครียดของท่าน (ผู้ดูแล)
จากการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม เมื่อท่านอ่านข้อความแล้วให้พิจารณาใส่เครื่องหมายถูก ( / ) ในช่องทางขวามือ ที่ตรงกับความรู้สึกท่านเพียงช่องเดียว
ใช่ ไม่ใช่
1. ถูกรบกวนการนอนหลับ (เช่น ผู้สูงอายุต้องการความช่วยเหลือในการลุกขึ้นลงเตียง หรือเดินไปมาไม่มีจุดหมายในเวลากลางคืน)
2. เปนเรื่องความไม่สะดวกสบายเกี่ยวกับการดูแล (เช่น เพราะต้องใช้เวลานานมากใน การช่วยเหลือ หรือใช้เวลานานในการเดินทางมาเพื่อให้การช่วยเหลือ)
3. เปนเรื่องความตึงเครียดในร่างกาย (เช่น ต้องช่วยพยุงหรือยกขึ้นผู้สูงจากเก้าอี้ ต้อง ใช้ความพยายามหรือให้การเอาใจใส่อย่างมาก)
4. รู้สึกเหมือนถูกกักตัว (เช่นการดูแลทําให้ไม่มีเวลาว่างหรือไม่สามารถไปเที่ยว)
5. มีการปรับในครอบครัว (เช่น การช่วยเหลือมีผลกระทบต่อกิจวัตรประจําวัน ไม่มี
ความเปนส่วนตัว)
6. มีการเปลี่ยนแผนการของแต่ละคน (เช่น ปฏิเสธงาน ไม่มีเวลาพักร้อน)
7. เวลาส่วนตัวของฉันยังต้องใช้ในด้านอื่นๆอีก(เช่นจาดคนอื่นๆในครอบครัว)
8. มีการปรับระดับอารมณ์ (เช่น เพราะว่ามีการทะเลาะกันรุนแรง)
9. มีพฤติกรรมบางอย่างของผู้สูงอายุทําให้รู้สึกอารมณ์เสีย (เช่น มีปสสาวะกลั้นไม่อยู่ มี
ปญหาเรื่องความจําในสิ่งต่าง ๆ)
10. ดิฉันรู้สึกเสียใจที่พบว่าผู้สูงอายุเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน
11. มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องงาน (เช่น จะต้องหาเวลาหยุด)
12. เปนเรื่องความตึงเครียดทางด้านการเงิน
13. มีความรู้สึกว่าเรื่องราวต่าง ๆ ประดังเข้ามา (เช่น กังวลเกี่ยวกับผู้สูงอายุ เปนห่วงว่า
ดิฉันจะจัดการได้อย่างไร)
ที่มา: Sasat, S. (1998).
2.2.4 แบบประเมินทัศนคติต่อผู้สูงอายุโคแกน (Kogan’s Attitude toward Old People Scale: KOAP)
ทัศนคติ หรือ เจตคติ (Attitude) หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ ที่บุคลากรทุกคน ที่ทํางานเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุพึงมี สามารถประเมินโดยใช้แบบประเมินทัศนคติต่อผู้สูงอายุโคแกน (Kogan’s Attitude toward Old People Scale: KOAP) ของ Nathan Kogan (1961) ที่แปลและเรียบ เรียงโดย ศิริพันธุ์ สาสัตย์ (2555) และตรวจสอบการแปลโดยผู้เชี่ยวชาญทางภาษา มีจํานวนทั้งหมด 34 ข้อ แบ่งออกเปนคําถามเชิงบวก 17 ข้อ (ข้อคําถามเลขคู่) และคําถามเชิงลบ 17 ข้อ (ข้อคําถามเลขคี่) เปน


82
Rating scale เริ่มจาก ไม่เห็นด้วย ได้ 1 คะแนน จนถึงเห็นด้วยมากที่สุด ได้ 6 คะแนน คะแนนรวมอยู่ ในช่วง 34 – 204 การแปลผล ผู้ที่ได้คะแนนยิ่งสูงจะยิ่งมีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ
เห็นด้วยมากที่สุด เห็นด้วยเล็กน้อย เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเล็กน้อย ไม่เห็นด้วยมากที่สุด
ข้อความทางบวก 6
5 4 3 2 1
ข้อความทางลบ 1
2 3 4 5 6
ในการวิจัยนี้ได้แบ่งทัศนคติออกเปน 5 ระดับดังนี้
5.1 ขึ้นไป 4.1-5 3.1-4 2.1-3 1.0-2
หมายความว่า มากที่สุด หมายความว่า มาก หมายความว่า ปานกลาง หมายความว่า น้อย หมายความว่า น้อยที่สุด
คําชี้แจง จงวงกลมล้อมรอบตัวอักษรในแบบวัดตามข้อความที่ใกล้เคียงที่สุดกับข้อคิดเห็นของท่านต่อ ผู้สูงอายุ
ไม่เห็น ด้วยมาก ที่สุด
1. อาจจะเปนการดีถ้าผู้สูงอายสุ ่วนใหญ่ได้อาศัยอยู่ในหน่วยที่พักอาศัยกับผู้คนที่อยู่ในวัยสูงอายุเหมือนกนั ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
2. อาจจะเปนการดีถ้าประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในหน่วยที่พักอาศัยกบั ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
3. ผู้คนส่วนใหญม่ ีความแตกต่างกนั ในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งยากที่จะหาเหตผุ ลมาอธิบายว่าสิ่งใดที่ทําให้เขาเหล่านั้นเลือกที่ จะปฏิบัตติ นแตกต่างกันออกไป
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
4. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่แตกต่างจากผู้อื่น และเราสามารถเข้าใจผสู้ ูงอายุได้ง่ายเท่าๆกับทําความเข้าใจผู้ที่มีอายุน้อยกว่า ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
5. ผู้คนส่วนใหญ่จะยึดติดกับรูปแบบของการทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งในรูปแบบของตนเองและไม่สามารถเปลยี่ นแปลงได้ ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
6. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีความสามารถในการปรับตัวใหม่ตามสถานการณ์ที่แปรเปลยี่ นไป ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
ไม่เห็น ไม่ เห็นด้วย เห็นด้วย เห็นด้วย ด้วย เห็นด้วย เล็กน้อย มากท่ีสุด
เล็กน้อย
ก...............ข.....................ค..................ง....................จ.....................ฉ คะแนน


83
7. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะต้องการเลกิ ทํางานทันทีเมื่อเกษียณอายุและได้รับเงินบํานาญเพียงพอต่อการยงั ชีพ หรือเมื่อลูกๆ สามารถเลยี้ งดูได้
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
8. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องการทํางานต่อไปให้นานที่สดุ เท่าที่จะทําไดม้ ากกว่าที่จะเปนภาระของผู้อื่น
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ 9.ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะปล่อยให้บ้านทรดุโทรมและไม่นา่มอง
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
10. โดยทั่วไปแล้วเราสามารถพึ่งพาให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ช่วยรักษาบ้านให้สะอาดและน่ามองได้
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
11. เปนสิ่งที่โง่เขลาที่จะกล่าวอ้างว่าภูมิปญญาจะมากับอายุที่เพิ่มมากขึ้น
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
12. คนเราจะมภี ูมิปญ ญามากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
13. ผู้สูงอายุมีอํานาจมากเกินไปในด้านธุรกิจและการเมือง
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
14. ผู้สูงอายุควรมีอํานาจในด้านธรุ กิจและการเมือง
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
15. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะทําให้ผู้อนื่ รู้สึกไม่สบายใจ
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
16. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะเปนกันเองเมื่ออยู่ด้วย
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
17. ผู้สูงอายุส่วนใหญม่ ักทําให้ผู้อนื่ รู้สึกเบื่อหน่ายจากการดึงดันที่จะพูดเกี่ยวกับวัน-เวลาที่ดี ๆ ในอดตี
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
18. หนึ่งในคุณลักษณะของผสู้ ูงอายุที่น่าสนใจมากทสี่ ุดและช่วยทําให้ผู้คนมีความสุขก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์
ในอดีตของผู้สูงอายุนั่นเอง ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
19. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใช้เวลามากเกินไปในการสอดรู้เรื่องของผู้อื่นและให้คําแนะนําที่ผู้อื่นไม่ได้ร้องขอ ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
20. ผู้สูงอายสุ ่วนใหญ่มีแนวโนม้ ที่จะให้คําแนะนําแก่ผู้อื่นต่อเมื่อมผี ู้มารอ้ งขอเท่านั้น ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
21. หากผู้สูงอายุคาดหวังให้ผู้อื่นมาชื่นชอบตน สิ่งแรกที่ผู้สูงอายจุ ะต้องพยายามปฏิบัติคือการขจัดการปฏิบัตติ นที่ ก่อให้เกิดความน่ารําคาญแกผ่ ู้อื่น
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
22. เมื่อคิดดูแล้ว เราจะพบว่าผู้สูงอายกุ ็มีความผดิ พลาดเช่นเดยี วกับผู้อนื่ ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
23. เพื่อให้ธํารงไว้ซึ่งชุมชนที่พักอาศัยที่น่าอยู่ จะดีทสี่ ุดถ้าไม่มผี ู้สูงอายุจํานวนมากเกินไปอาศัยอยู่ในแหล่งชุมชนนั้น ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
24. ท่านสามารถพบชุมชนที่พักอาศัยที่น่าอยู่ไดเ้ มื่อมีจํานวนผสู้ ูงอายุจํานวนมากพักอาศัยอยู่ในนั้น


84
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
25. โดยทั่วไปแล้วผู้สูงอายสุ ่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกันค่อนข้างมาก โดยมีความแตกต่างกันบางประการเพียงเล็กน้อย
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
26. เปนที่ชัดเจนว่าผสูู้งอายุส่วนใหญ่มคีวามแตกต่างกันมากในรายบุคคล
ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
27. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ควรตระหนกั ถึงรูปลักษณภ์ ายนอกของตนเองให้มากกว่านี้ เนื่องจากผู้สูงอายเุ หล่านี้มีรปู ลักษณ์
ภายนอกที่ไม่ชวนมอง ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
28. ผู้สูงอายุส่วนใหญม่ ีรูปลักษณภ์ ายนอกที่ค่อนข้างสะอาดและเรยี บร้อย ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
29. ผู้สูงอายุส่วนใหญม่ ีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ขี้บ่น และทําตัวไม่เปนมติ รกับผู้อื่น ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
30. ผู้สูงอายุส่วนใหญเ่ ปนคนมีชีวติ ชีวา อัธยาศัยดี อารมณ์ดี ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
31. ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะบ่นเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนวัยอ่อนกว่าอยู่ตลอดเวลา ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
32. จะได้ยินผู้สูงอายุบ่นเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนวัยอ่อนกว่าน้อยมาก ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
33. ผู้สูงอายุส่วนใหญต่ ้องการความรักและการปลอบใจมากเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่นทไี่ ม่ได้อยู่ในวัยเดียวกัน ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
34. ผู้สูงอายสุ ่วนใหญ่ต้องการความรักและการปลอบใจในปริมาณทไี่ม่แตกต่างจากผู้อื่นที่ตา่งวัยกัน ก.............ข...............ค................ง................จ..................ฉ
คะแนนรวม.................
ที่มา: ศิริพันธุ์ สาสัตย์. (2555).
2.2.5 แบบประเมินความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง (Self-esteem)
การเห็นคุณค่าในตนเองเกี่ยวข้องกับทัศนคติของการเห็นชอบในตนเอง และผู้ที่มีความ ภาคภูมิใจในตนเองสูงมักจะมีความนับถือตนเอง ในขณะที่คนที่มีความนับถือตนเองต่ํามักจะขาดเชื่อมั่น วิจารณ์ตนเอง และพิจารณาตนเองมีคุณค่าและมีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น แบบประเมินความรู้สึกมี คุณค่าในตนเอง (The Cultural-Free Self-Esteem Inventory: CFSEI-2) ของ Rosenberg (1965) เปน เครื่องมือที่นิยมใช้วัดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ได้รับการแปลและแปลย้อนกลับโดย Sasat, Burnard, Edwards, et al. (2002) คําถามมีทั้งหมด 40 ข้อ แต่ละคําถามสามารถตอบว่า 'ใช'่ หรือ 'ไม่ใช'่ เพื่อ จุดประสงค์ในการให้คะแนน
การให้คะแนนและการแปลผล คําตอบที่ 'ถูกต้อง' ในแต่ละคําถามจะได้ 1 คะแนน โดย ข้อ 2, 3, 6-11, 15, 19, 21, 24, 29, 31, 33, 35, 37, 38 คําตอบที่ถูกต้องคือ ‘ใช’่ ได้ 1 คะแนน ส่วนข้อ ที่เหลือคําตอบที่ถูกต้องคือ ‘ไม่ใช่’ ได้ 1 คะแนน ตัวอย่างเช่น ในคําถามที่ 1 หากทําเครื่องหมายในช่อง


85
"ไม่ใช"่ ซึ่งเปนคําตอบที่ "ถูกต้อง" จะได้ '1' คะแนน หากทําเครื่องหมายในช่อง "ใช่" แสดงว่าได้คะแนนเปน ‘0’ และข้อทไี่ ม่ตอบ ให้คะแนน ‘0’ ใหร้ วมคะแนนที่ตอบถูกต้อง และสามารถแปลผลคะแนน ได้ดังนี้
คําชี้แจง
คะแนน 33-40 คะแนน 25-32 คะแนน 17-24 คะแนน 9-16 คะแนน 0-8
หมายถึง หมายถึง หมายถึง หมายถึง หมายถึง
รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง สูงมาก รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง สูง รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ปานกลาง รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ต่ํา รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ต่ํามาก
กรุณาทําเครื่องหมายดังต่อนี้ ถ้าคําถามอธิบายตรงกับที่ท่านรู้สึกอยู่เสมอๆ ให้ทําเครื่องหมาย (√) ในช่อง “ใช่” หากคําถามไม่ได้อธิบายตรงกับที่ท่านรู้สึกอยู่เสมอๆ ให้ทําเครื่องหมาย (√) ในช่อง “ไม่ใช่” ให้ตอบเพียงช่องใดช่องหนึ่ง เท่านั้น (ใช่ หรือ ไม่ไช่) ในแต่ละคําถามทั้ง 40 คําถาม คําถามเหล่านี้ไม่ใช่การทดสอบใด ๆ และไมม่ ีคําตอบใดถูกหรือผดิ
ใช่ ไม่ใช่
1. ท่านมีเพื่อนเพียง 2-3 คน
2. ท่านมีความสุขอยู่ตลอดเวลา
3. ท่านสามารถทําสิ่งต่าง ๆ ส่วนใหญ่ ไดด้ ีเท่ากับคนอื่น ๆ
4. ท่านชอบทุกคนที่ท่านรู้จัก
5. ท่านใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ตามลําพัง
6.ท่านชอบที่เกิดมาเปนผู้ชาย/ผหู้ญิง  7. คนส่วนใหญ่ที่ท่านรู้จัก ชอบท่าน  8.โดยปกติแล้วท่านประสบความสําเรจ็เมื่อท่านพยายามทํางานสําคัญต่างๆ
หรืองานที่ได้รับมอบหมาย  9. ท่านเคยหยิบฉวยสิ่งของที่ไม่ใช่ของท่าน  10. ท่านเปนคนเฉลียวฉลาดเหมือนคนส่วนใหญ่  11.ท่านรู้สึกว่าท่านเปนคนที่มีความสําคญั เหมือนกับคนส่วนใหญ่  12.ท่านรู้สึกซึมเศร้าได้ง่าย  13. ท่านอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวท่าน ถ้าสามารถทําได้  14. ท่านพูดความจริงอยู่เสมอ  15. ท่านเปนคนที่มองแล้วดูดีเหมอื นคนส่วนใหญ่  16. มีคนหลาย ๆ คนไม่ชอบท่าน  17. ท่านมักจะตึงเครียดหรือวติ กกังวล  18. ท่านกําลังขาดความมั่นใจในตนเอง  19. ท่านซุบซิบนินทาเมื่อมีโอกาส  20.ท่านรู้สึกบ่อยครั้งว่าท่านไม่มคีวามดีเลย  21. ท่านแข็งแรงและมีสุขภาพดีเหมือนคนส่วนใหญ่  22. ท่านมักถูกทําร้ายจิตใจได้ง่าย 
         


23. เปนการยากสําหรับท่านที่จะแสดงความคดิ เห็นหรือแสดงความรู้สึก
ของท่านออกมา 
24. ท่านเคยรู้สึกโกรธ  25. ท่านรู้สึกละอายใจอยบู่ ่อย ๆ  26. โดยทั่วไปแล้วคนอื่น ๆ ประสบความสําเร็จมากกว่าท่าน  27. ท่านรู้สึกว่าท่านเปนคนเรื่องมากเกือบตลอดเวลา โดยที่ท่าน
ไม่รู้ตัวว่าทําไม  28. ท่านต้องการมีความสุขเหมือนคนอื่น ๆ  29. ท่านรู้สึกเขินอาย  30. ท่านเปนผู้ล้มเหลวคนหนึ่ง  31. คนทั่วไปชอบความคิดเห็นของท่าน  32. เปนเรื่องยากสําหรับท่านที่จะพบปะกับคนที่ท่านไม่เคยรู้จักมากอ่ น  33. ท่านเคยโกหก  34. ท่านเคยรู้สึกเสียใจกับบางสิ่งบางอย่างอยู่บ่อย ๆ  35. คนส่วนใหญ่เคารพความคิดเห็นของท่าน  36. ท่านเปนคนที่ไวต่อความรสู้ ึกมากกว่าคนส่วนใหญ่  37. ท่านมีความสุขเหมือนคนส่วนใหญ่  38. ท่านเคยรู้สึกเศร้าใจ  39.ท่านขาดความคิดรเิริ่มอยา่งสนิ้เชิง  40. ท่านวิตกกังวลมาก 
ที่มา: Sasat, Burnard, Edwards, et al. (2002)
2.3 เครื่องมือและแบบประเมินทางด้านสังคมในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 2.3.1 แบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม
แบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม (Social support questionnaire part 2) ของ มธุรส จันทร์แสงสี (2540) ซึ่งสร้างขึ้นตามกรอบแนวคิดของ House (1981) ประกอบด้วย ข้อคําถาม ทั้งหมด 14 ข้อ แบ่งเปน 4 ด้าน คือ การสนับสนุนด้านอารมณ์ การสนับสนุนด้านข้อมูลการประเมินค่า การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร และการสนับสนุนด้านทรัพยากร นํามาใช้ประเมินการสนับสนุนทาง สังคมของผู้สูงอายุ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ต่อมา วาสนา เฟองฟุ้ง (2548) ได้นําไปใช้ประเมินการ สนับสนุนทางสังคมของผู้สูงอายุโรคต้อหิน ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .863 และ กนกอร พูนเปยม (2558) นําไปใช้ประเมินการสนับสนุนทางสังคมของผู้สูงอายุ ในการศึกษาปจจัยที่ สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีจอตาเสื่อมจากอายุ ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอ นบาค เท่ากับ .912
คําชี้แจง กรณุ าทําเครื่องหมาย (/) ลงในวงเล็บหน้าข้อความเพียงคําตอบเดียวให้ตรงกับความรู้สึกท่านมากที่สุด โดยมี เกณฑ์การตอบ ดังนี้
86


ไม่ได้รับ (1) หมายถึง น้อย (2) หมายถึง ปานกลาง (3) หมายถึง มาก (4) หมายถึง
ผู้ตอบไม่ได้รับการสนับสนุนหรือไม่มีความรู้สึกตามข้อความนั้นเลย ผู้ตอบได้รับการสนับสนุนหรือมีความรู้สึกตามข้อความนั้นเล็กน้อย ผู้ตอบได้รับการสนับสนุนหรือมีความรู้สึกตามข้อความนั้นปานกลาง
ผู้ตอบได้รับการสนับสนุนหรือมีความรู้สึกตามข้อความนั้นมาก
ข้อความ
การสนับสนุนด้านอารมณ์
1. มีผู้ให้ความรัก ความเข้าใจในตวั ท่าน
2. มีผู้ให้ความสนใจ เอาใจใส่
3. ท่านได้รับความอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย
จากบุคคลรอบข้าง
5.บุคคลรอบข้างให้ความยกย่องนับถือและให้ เกียรติท่าน”
7. บุคคลรอบข้างชมเชยท่าน เมื่อท่าน สามารถปฏิบตั ิกิจกรรมหรือออกกําลังกายได้
8. ท่านมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นในเรื่อง ต่าง ๆ กับบุคคลรอบข้าง
10. ท่านได้รับคําแนะนําเกี่ยวกับการปฏิบัติ ตัวที่เปนประโยชน์ต่อสุขภาพ
12. มีผู้รับภาระหน้าที่แทนเมื่อท่านต้องเข้ารับ
ไม่ได้รับ (1)
ความรู้สึกของท่าน
น้อย ปานกลาง มาก
(2) (3) (4)
87
4. เมื่อท่านมีเรื่องไม่สบายใจ มีบุคคลใกล้ชิด รับฟงท่านระบายความรสู้ ึกและเห็นอก เห็นใจท่าน
การสนับสนุนด้านการประเมินตนเอง
6. บุคคลรอบข้างบอกว่าท่านมีสุขภาพที่ แข็งแรง สามารถปฏิบัติกิจกรรมหรือออก กําลังกายได้
การสนับสนุนด้านข้อมลู ข่าวสาร
9. ท่านได้รับข่าวสารเกยี่ วกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น จากชมรมผู้สูงอายุหรือกลมุ่ อาสาสมัคร เพื่อสังคมหรือกิจกรรมของหมบู่ ้าน หรือ การได้รับข่าวสารทางทีวี วิทยุ
การสนับสนุนด้านทรัพยากร
11. มีผู้ดูแล/ช่วยเหลือเตรียมเสื้อผ้าเครื่อง แต่งกายต่าง ๆ ให้ท่าน


13. มีผู้ดูแลช่วยเหลือจดั การกิจธรุ ะต่าง ๆ ให้ อยู่เสมอ
4. สรุป
เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพ ส่วนใหญ่จะใช้ในการคัดกรองโรคและประเมินความ เสี่ยงหรือความผิดปกติของผู้ป่วย เพื่อช่วยค้นหาผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยง ทําให้สามารถวางแผนให้การ ช่วยเหลือ ฟนฟู รวมทั้งเพื่อนําไปสู่การตรวจวินิจฉัยของแพทย์ เพื่อให้การพยาบาล การรักษาและฟนฟู สภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือประกอบไปด้วย 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ เครื่องมือและแบบประเมิน ภาวะสุขภาพร่างกายในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เครื่องมือและแบบประเมินภาวะสุขภาพจิตในผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุ และเครื่องมือและแบบประเมินทางด้านสังคมในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ เครื่องมือที่สอดคล้องกับปญหาและความต้องการของผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ที่อยู่ในเกณฑ์สมควรได้รับการ ประเมิน
88
การรักษาในโรงพยาบาล (เช่น เมื่อท่าน ต้องอยู่โรงพยาบาล มีผู้จดั เตรยี มยาให้ และประสานกับญาตเิ กี่ยวกับการเจ็บป่วย ในครั้งนี้ รวมถึงการวางแผนการดูแล ตนเองเมื่อกลับบ้าน)
14. มีผู้ให้ความช่วยเหลือท่านในการปฏิบัติ กิจวัตรประจําวันต่าง ๆ ในขณะอยู่ โรงพยาบาล


บรรณานุกรม
กลุ่มฟนฟูสมรรถภาพสมอง. (2537). แบบวัดความเศร้าในผู้สูงอายุไทย. สารศิริราช. 46: 1-8.
กิตติกร นิลมานัต, ขนิษฐา นาคะ, วิภาวี คงอินทร์, เอมอร แซ่จิว, พัชรียา ไชยลังกา, ปยะภรณ์ บุญพัฒน์.
(2556). ภาวะโภชนาการของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารสภา
การพยาบาล. 28(1): 75-84.
กุลธิดา เมธาวศิน. (2561). ภาวะสับสนเฉียบพลัน การวินิจฉัย แบบประเมิน และแนวทางในการรักษา.
วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13(3): 21-29. คณะกรรมการจัดทําแบบทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น. (2542). แบบทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น ฉบับ
ภาษาไทย พ.ศ. 2542. นนทบุรี: สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ. กรมการแพทย์. กระทรวง
สาธารณสุข.
นงนุช ล่วงพ้น, ศิริรัตน์ เกียรติกูลานุสรณ์, พรลักษณ์ แพเพชร์ เสือโต, และจารุวรรณ กิตติวราวุฒ.
(2563). ความสัมพันธ์ระหว่างค่าคะแนนความเสี่ยงต่อการหกล้มด้วยแบบสอบถาม แบบ ประเมิน Time up and Go ต่อค่าความสมดุลของการลงน้าหนักรยางค์ล่างในผู้สูงอาย.ุ วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน 26(1) มกราคม – มีนาคม: 1-12.
วีรศักดิ์ เมืองไพศาล. (2559). การตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อม (Screening tests for dementia). ใน วีรศักดิ์ เมืองไพศาล. (บรรณาธิการ). การป้องกัน การประเมินและการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม (Dementia: Prevention, assessment and care). พิมพ์ครั้งที่ 4. ภาควิชาเวชศาสตร์ ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ.์
ศิริพันธุ์ สาสัตย์. (2555). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพาในสถาน ดูแลระยะยาว: คุณภาพการดูแล และความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติของบุคลากรทางการ พยาบาล. กรุงเทพมหานคร: สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.).
สิริรัตน์ เหมือนขวัญ, สยาม ชุติมา และเหรียญ หล่อวิมงคล. (2555). คู่มือประเมินภาวะสับสน สําหรับ หอผู้ป่วยวิกฤต (CAM-ICU). สืบค้นจาก https://uploads- ssl.webflow.com/5b0849daec50243a0a1e5e0c/5bb41b87096def9bccf9bfa5_CAM_I CU_worksheet_flowsheet_Thai.pdf เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2563.
Circuit Glove. Classification of measuring instruments. Retrieved from https://circuitglobe.com/classification-of-measuring-instruments.html, on 24 July, 2020.
Sasat, S. (1998). Caring for Dementia in Thailand: A study of Family care for Demented Elderly Relatives in Thai Buddhist Society. A Ph.D. Thesis, University of Hull, United Kingdom.
89


90
Sasat, S. Burnard, P., Edwards, D., et al. (2002). Self-esteem and student nurses: A Cross- cultural study of nursing students in Thailand and the UK., Nursing & Health Sciences, 4(1/2) (March/June): 9-14.
Thiamwong, L., Thammarpirat, J., Maneesriwongkul, W., Jitapunkul, S. (2008). Thai Fall Risk Assessment Test (Thai FRAT) Developed for community-dwelling Thai elderly. J Med Assoc Thai 91(12): 1823-32.
Wikipedia. Measuring instrument. Retrieved from https://en.wikipedia.org/wiki/Measuring_instrument#:~:text=A%20measuring%20instr ument%20is%20a,real%2Dworld%20objects%20and%20events, on 24 July, 2020.
Wongpakaran N, Wongpakaran T, Bookamana P, Pinyopornpanish M, Maneeton B,
Lerttrakarnnon P, et al. (2011). Diagnosing delirium in elderly Thai patients:
Utilization of the CAM algorithm. BMC Fam Pract. 12(1):65.


หน่วยที่ 6
หลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะวิกฤต เฉียบพลัน เรื้อรัง การดูแลแบบประคับประคองและวาระ ท้ายของชีวิต จริยธรรมในการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ และ ผู้ที่อยู่ในวาระท้ายของชีวิต
อาจารย์ สุขฤทัย ฉิมชาติ
..............................................................................................................................................................................
บทนํา
แนวคิดในการดูแลผู้ป่วยภาวะวิกฤต เฉียบพลัน เรื้อรัง และผู้ป่วยที่อยู่ในวาระท้ายของชีวิต เป็น แนวคิดที่ใช้สําหรับการช่วยเหลือบุคคลที่มีภาวะเจ็บป่วยวิกฤต เฉียบพลัน เรื้อรัง ผู้ป่วยที่อยู่ในวาระท้ายของ ชีวิต และผู้ที่มีความพิการ ให้ได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ในการประเมิน รักษา ป้องกัน ฟื้นฟู สุขภาพ รวมถึงการดูแลให้ได้รับการเสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ตลอดจนได้รับสิทธิในการเข้าถึงบริการทาง การแพทย์อย่างเท่าเทียม พยาบาลจึงมีบทบาทสําคัญการนําแนวคิดในการดูแลผู้ป่วยภาวะวิกฤต เฉียบพลัน เรื้อรัง และผู้ที่อยู่ในวาระท้ายของชีวิต มาประยุกต์ใช้ในการดูแลโดยคํานึงถึงสิทธิของผู้ป่วยและจริยธรรม ทางการพยาบาล
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วยได้
2. อธิบายหลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะวิกฤต เฉียบพลัน ภาวะเรื้อรังได้
3. อธิบายหลักการดูแลแบบประคับประคองและการดูแลผู้ป่วยวาระท้ายของชีวิตได้
4. อธิบายจริยธรรมในการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ และผู้ที่อยู่ใน
วาระท้ายของชีวิตได้
6.1 แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วย
องค์กรอนามัยโลก (World health organization: WHO) เป็นองค์กรหลักที่ดูแลด้านสุขภาพ อนามัยได้ให้ความหมายของสุขภาพ (Health) ว่าหมายถึง ภาวะแห่งความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ (จิตวิญญาณ) รวมถึงการดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข และไม่ได้หมายความเฉพาะเพียงแต่ความ ปราศจากโรคหรือความพิการทุพลภาพเท่านั้น (WHO, 1946) ต่อมาที่ประชุมองค์การสุขภาพโลก ในปีพ.ศ. 2541ไดเ้พิ่มสุขภาวะด้านจิตวิญญาณ(Spiritualwell-being)เขา้ไปอีกหนึ่งด้าน(ประเวศวะสี2542)
91


ภาวะสุขภาพ เป็นปรากฎการณ์ทางชีวภาพ และทางสังคมที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วไป เป็นสุขภาวะที่ สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย ทางจิต ทางสังคมและทางปัญญาหรือจิตวิญญาณ สุขภาวะแต่ละด้านอาจมี องค์ประกอบด้านละ 4 รวมเป็นสุขภาวะ ได้แก่ สุขภาวะทางกาย ประกอบด้วยร่างกายแขง็ แรง ปลอดสารพิษ ปลอดภัย มีสัมมาชีพ สุขภาวะทางจิต ประกอบด้วย ความดีความงาม ความสวย ความมีสติ สุขภาวะทาง สังคม มีความสัมพันธ์ที่ดีทุกระดับ ต้ังแต่ในครอบครัว ชุมชน สังคมเข้มแข็งร่วมคิดร่วมทํา สังคมมีความ ยุติธรรมแก้ไขความขัดแย้งดว้ยสันติวิธีสุขภาวะทางปัญญาการมีปญัญารอบรู้เท่าทันอยู่รว่มกันได้(ประเวศ วะสี,2551)ความหมายของแตล่ะมิติของสุขภาวะมีดังนี้
1. สุขภาวะทางกาย หมายถึง ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง คล่องแคล่ว มีกําลังไม่เป็นโรค ไม่พิการ มีเศรษฐกิจหรือปัจจัยทจี่ําเป็นเพียงพอไมม่ีอุบัติเหตุอันตรายและมีสิ่งแวดลอมทสี่่งเสริมสุขภาพ
2. สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิต หมายถึง การมีจิตใจที่มีความสุข ความสุขรื่นเริง คล่องแคล่ว มีความ เมตตาสัมผัสกับความงามของสรรพสิ่ง มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา รวมทงั้ การลดความเห็นแก่ตัวลงไปด้วย เพราะ หากมีความเห็นแกต่ัวก็จะไม่เกิดสุขภาวะทสี่มบูรณท์างจิต
3. สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางสังคม หมายถึง การอยู่ร่วมกันด้วยดีมีครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมมีความยุติธรรมเสมอภาค มีภารดรภาพ มีสันติภาพ มีระบบบริการที่ดี และมีความเป็นประชาสังคม
4. สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณหรือปัญญา หมายถึง สุขภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อทําความดี หรือจิต สัมผัสกับสิ่งที่มีค่าสูงสุด เช่น ความเสียสละ การมีเมตตากรุณา มีปัญญารอบรู้เทา่ ทัน มีที่พึ่งทางจิตใจ เข้าถึง พระรตันตรัยหรือการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าความสุขทางจิตวิญญาณเป็นความสุขทไี่มร่ะคนอยู่กับความเห็นแก่ ตัวแตเ่ป็นสุขภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์หลุดพ้นจากความมีตัวตนจึงมีอิสรภาพมีความผ่อนคลายเบาสบายมี ความปิติแผ่ซ่านมีความสุขอันประณีตและล้ําลึก หรือความสุขอันเป็นทิพย์ มีผลดีต่อสุขภาพทางกาย ทางจิต และทางสังคม สุขภาพทางจิตวิญญาณเป็นยอดที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอีก 3 มิติ ถ้าขาดสุขภาพทางจิต วิญญาณ มนุษย์จะไม่พบความสุขที่แท้จริง
ภาพที่ 5.1 องค์ประกอบภาวะสุขภาพ ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/623216
92


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพ ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพของประชาชน มีความเป็นพลวัต (Dynamic)ตลอดเวลามีความเชื่อมโยงกันและไม่สามารถแยกออกจากกันแบง่เป็น3ดา้นได้แก่
1. ด้านปัจเจกบุคคล ได้แก่ อายุ เพศ สถานะสุขภาพ อาชีพ ถิ่นที่อยู่ กรรมพันธุ์ ความเชื่อ พฤติกรรม จิตวิญญาณของแตล่ะบุคคล
2. ด้านสภาวะแวดล้อม ไดแ้ ก่ ปจั จัยด้านกายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ 3. ด้านระบบสาธารณสุข ได้แก่ ระบบการให้บริการสุขภาพต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
ภาพที่5.2ความเชื่อมโยงและพลวัตเกยี่วกบัสุขภาพที่มาwww.moph.go.th/ops/thp
ปัจจัยด้านปัจเจกบุคคล ประกอบด้วย
1. พฤติกรรมของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น พฤติกรรมการบริโภค พฤติกรรมทางเพศ พฤติกรรมการทํางานและการออกกําลังกายที่ไม่เหมาะสม ทําให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อุบัติเหตุ ภาวะน้ําหนักเกิน และอว้ น ภาวะทุพโภชนาการ
2. ความคิด ความเชื่อ มิติทางจิตและสังคม ขาดความสนใจเพราะมุ่งเศรษฐกิจ ตามกระแสวัตถุนิยม บริโภคนิยม และทัศนะของการจัดการสุขภาพอยู่ในระดับต่ํา อิทธิพลจากสื่อโฆษณา ทําให้เป็นผลต่อความเชื่อ และทัศนคติในสังคมผิด ๆ ในการดูแลสุขภาพ
3. พันธุกรรม เทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้า มีผลต่อการรักษา โรคที่ไม่อาจรักษาหรือป้องกันบางโรคทางพันธุกรรมได้ เช่น โรคปัญญาอ่อน โรคโลหิตจาง ธาลาสซีเมีย
ปัจจัยด้านสภาวะแวดล้อม ประกอบด้วย
1. การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ที่เหลื่อมล้ําระหว่างคน รวยกับคนจน ทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายทรัพยากรสุขภาพ ทําให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาศใน
93


ชนบทที่ห่างไกลความเจริญและคนที่อยู่ในชุมชนแออัดมีโอกาสได้รับการดูแลสุขภาพไม่ทั่วถึง และยังสงผลให้ เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตอีกด้วย
2. การศึกษา กระบวนการจัดการเรียนการสอนในประเทศไทยมุ่งเน้นการท่องจําเนื้อหามากกว่าการ ฝึกคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาและค้นหาความรู้ด้วยตนเอง อันเป็นทักษะพื้นฐานที่จําเป็นต่อการสร้างทักษะชวี ิต ทําให้นําไปสู่การไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่นําไปสู่ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพได้ นอกจากนี้ระดับการศึกษา ของคนไทยส่วนใหญ่อยู่ในระดับประถมศึกษา ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาแรงงานและพัฒนาสุขภาพ ทําให้ไม่ สามารถดูแลสุขภาพและปัองกันตนเองจากการทํางาน ทําให้เกิดการบาดเจ็บจากการทํางาน และกลุ่มคนที่ ด้อยโอกาสในสังคม เช่น คนยากจนที่ไม่สามารถเข้ารับการศึกษาได้ มักเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการ สุขภาพและเป็นกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพมาก
3. การเมืองการปกครอง การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครองมีผลต่อการกําหนดนโยบาย เนื่องจากการกําหนดนโยบายส่วนใหญ่ถูกกําหนดโดยข้าราชการประจํา การที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง บ่อยทําให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในนโยบายสุขภาพ รวมถึงการขาดกําลังคนด้านสุขภาพที่สําคัญ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาลลาออกจากราชการไปทํางานเอกชนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราค่าตอบแทบสําหรับ โรงพยาบาลรัฐมีอัตราต่ํากว่าโรงพยาบาลเอกชน
4. โครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสื่อสาร การคมนาคม การสาธารณูปโภค มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อระบบสุขภาพ ได้แก่ ปัญหาอุบัติเหตุจากการจราจรเพิ่ม มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้าน สุขภาพ ประชาชนส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพโดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยในเขต ชนบท
5. ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ส่งผลให้มีการนําเข้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างไร้ ขีดจํากัด โดยไม่มีกลไกกลั่นกรองตรวจสอบความเหมาะสม ทําให้การใช้งานไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนทําให้แพทย์ สั่งการตรวจรักษาโดยไม่คํานึงถึงความคุ้มค่า รวมทั้งต้องเฝ้าระวังอันตรายที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี เครื่องมือทางการแพทย์ราคาแพง เกิดปัญหาการกระจายเครื่องมือทางการแพทย์ไม่เท่าเทียมกัน โดยมีการ กระจุกในเมืองใหญ่และอยู่ในภาคเอกชนมากกว่าภาครัฐและส่งผลถึงการเข้ารับบริการของผู้มีรายได้น้อยและ ผู้ไม่มีหลักประกันสุขภาพที่ต้องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
6. การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจํานวนประชากรไม่ได้สัดส่วนกับ ทรัพยากรเศรษฐกิจที่มีอยู่ หรือไม่สัมพันธ์กับโอกาสการมีงานทํา ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม ตลอดจนการ อพยพย้ายถิ่น ความแออัดและการขาดแคลนที่อยู่อาศัยในสังคมเมือง ทําให้สภาพแวดล้อมมีผลต่อสุขภาพ ทางกายและสุขภาพจิตของประชาชนในเมือง
94


Click to View FlipBook Version