ปรชั ญาเบอ้ื งตน
(Introduction to Philosophy)
พระวิสิทธ์ิ ฐิตวสิ ิทโฺ ธ (วงคใ ส), ดร.
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตเชยี งใหม
Mahachulalongkornrajavidyalaya University,
Chiang Mai Campus
ชื่อหนังสอื : ปรัชญาเบื้องตน (Introduction to Philosophy)
จดั พมิ พโดย : พระวิสทิ ธิ์ ฐติ วสิ ิทโฺ ธ (วงคใส), ดร.
ขอมูลทางบรรณนกุ รมของสํานักหอสมุดแหงชาติ
พมิ พค รงั้ ท่ี ๑. – เลย : สงั สุขสมการพมิ พ, ๒๕๖๑. ๒๙๑ หนา.
ISBN : 978-616-47-8312-6
สงวนลิขสิทธ์ิตามพระราชบญั ญัตกิ ารพมิ พ
พิมพคร้งั ท่ี ๑ : ๒๕๖๑ จํานวน ๕๐๐ เลม
ผูทรงคุณวฒุ ิกลั่นกรอง (Peer Reviews)
๑. รศ.,ดร. บุณย นิลเกษ
พธ.บ.(ปรัชญา-ศาสนา), M.A.(Philosophy), Ph.D.(Buddhist Studies)
๒. รศ.,ดร. วโิ รจน อินทนนท
พธ.บ.(ศาสนา), M.A.(Philosophy), Ph.D.(Philosophy)
๓. รศ.,ดร. ปรตุ ม บุญศรีตนั
ศษ.บ.(ภาษาไทย), อ.ม.(จริยศาสตรศกึ ษา), พธ.ด.(พระพทุ ธศาสนา)
๔. พระครูประวิตรวรานุยุต, ผศ., ดร.
พธ.บ.(ศาสนา), M.A.(Philosophy), M.Phil.( Philosophy),
Ph.D.(Pali & Buddhism)
๕. ผศ.,ดร. สมหวัง แกวสฟุ อง
ป.ธ.๙, พธ.บ.(ปรชั ญา), M.A.(Philosophy), Ph.D.( Philosophy)
๖. ผศ.,ดร. เทพประวณิ จนั ทรแรง
พธ.บ.(ศาสนา), ศศ.บ.(ไทยคดีศึกษา), M.A. (Buddhist Studies)
Ph.D.(Pali & Buddhism)
๗. ผศ., ดร. พนู ชยั ปนธิยะ
พธ.บ.(ศาสนา), ศศ.ม.(ปรชั ญา), Ph.D.(Buddhist Studies)
พมิ พท่ี : โรงพิมพสงั สุขสมการพิมพ
๓๑๓ หมทู ี่ ๑๑ ตําบลศรีสองรกั อาํ เภอเมือง จังหวดั เลย ๔๒๑๐๐
โทร. ๐๘๓๑๔๔๔๗๑๓
E-mail : [email protected]
ก
คาํ นาํ
หนังสือเลมน้ีไดพัฒนาขึ้นเพ่ือสนับสนุนอาจารยของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาลัยเขตเชียงใหม ท่ีมีศักยภาพในการผลิตหนังสือเพื่อใชประกอบการเรียนการสอน
ประจําวิทยาลัยเขตเชียงใหม และเพ่ือสนองตอนโยบายของวิทยาลัยเขตเชียงใหม ดงั น้ันเนื้อหาหลัก
ของหนังสือเลมน้ีจึงจึงผลิตข้ึนตามคําอธิบายรายวิชา ปรัชญาเบ้ืองตน โดยไดแยกออกเปน ๑๐ บท
ดวยกันในแตละบทจะประกอบไปดว ย เนื้อหาตาง ๆ ดังน้ี บทท่ี ๑ ความรูเบื้องตนเก่ียวกับปรัชญา
บทที่ ๒ ความสัมพันธระหวางปรัชญากับศาสตรตาง ๆ บทท่ี ๓ ปรัชญาตะวันออก บทที่ ๔ ปรัชญา
ตะวันตก บทที่ ๕ อภิปรัชญา บทท่ี ๖ ญาณวิทยา หรือ ทฤษฏีความรู บทที่ ๗ ตรรกวิทยา บทท่ี ๘
จริยศาสตร บทที่ ๙ สุนทรยี ศาสตร และบทที่ ๑๐ ปรัชญารวมสมยั
หวังวาหนังสือเลมนี้จะเปนประโยชนกับคณาจารย นิสิต ผูสนใจทั่วไป และผูเก่ียวของตาม
วัตถปุ ระสงคท จ่ี ะพัฒนาคณาจารยใ นการผลติ ตาํ ราในครั้งนี้
พระวิสทิ ธิ์ ฐิตวิสิทฺโธ (วงคใ ส)
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
วทิ ยาเขตเชยี งใหม
ข หนา
สารบญั ก
ข
เรือ่ ง ๑
คํานํา ๑
สารบัญ ๒
๓
บทท่ี ๑ ความรูเบอื้ งตน เกย่ี วกับปรชั ญา ๔
๑๑
ความนาํ ๑๒
๑. ความหมายของคาํ ศัพทและคําจํากัดความ ๑๔
๒. ปรัชญาเกิดข้นึ ไดอ ยางไร ๑๗
๓. วิวฒั นาการแหง ปรชั ญา ๒๓
๔. ความจําเปน ของการศึกษาวิชาปรัชญา ๒๕
๕. ขอบเขตการศึกษาวชิ าปรัชญา ๒๗
๖. ลักษณะของปรัชญา ๒๙
๗. ปญ หาสาํ คัญทางปรชั ญา
๘. ประโยชนของหนาท่ีวชิ าปรัชญา ๒๙
สรปุ ทา ยบท ๓๐
เอกสารอา งองิ ประจําบท ๓๑
๓๒
บทที่ ๒ ความสัมพันธร ะหวางปรชั ญากบั ศาสตรต า งๆ ๓๔
๓๔
ความนาํ ๓๖
๑. ปรัชญาและนกั ปรัชญา ๓๙
๒. ปรัชญากับศาสนา ๔๐
๓. ปรัชญากับพระพทุ ธศาสนา ๔๐
๔. ปรชั ญากับสงั คมศาสตร ๔๑
๕. ปรชั ญากับจิตวทิ ยา
๖. ปรชั ญากับวิทยาศาสตร
๗. ปรัชญากับกวีนิพนธ
๘. ญาณวิทยากบั ตรรกศาสตร
๙. อภปิ รชั ญากบั ตรรกศาสตร
๑๐. จติ วทิ ยา ญาณวทิ ยา และอภปิ รชั ญา มีความสัมพันธก นั อยางไร
ค หนา
เรือ่ ง ๔๒
๔๔
๑๑. ปรัชญากบั เทววทิ ยา ๔๖
สรุปทายบท ๔๗
เอกสารอางอิงประจาํ บท
๔๗
บทที่ ๓ ปรัชญาตะวนั ออก ๔๘
๔๘
ความนํา ๔๘
๑. ปรัชญาอินเดยี ๔๙
๙๙
๑.๑ การแบง ยคุ ของปรชั ญาอินเดยี ๙๙
๑.๒ การแบง สายของปรัชญาอนิ เดีย ๑๐๐
๑.๓ ปรัชญาอินเดียสายอาสติกะ ๑๐๒
๒. ปรชั ญาจีน ๑๐๓
๒.๑ ปรัชญาเตา ๑๐๕
๒.๒ ปรชั ญาขงจ้ือ
สรุปทา ยบท ๑๐๕
เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๑๐๖
๑๑๐
บทท่ี ๔ ปรชั ญาตะวันตก ๑๑๐
๑๑๐
ความนาํ ๑๑๐
๑. ฐานความเชื่อของชาวตะวันตก ๑๑๑
๒. ปรัชญาตะวันตกยุคเรม่ิ ตน ๑๑๒
๑๑๔
๒.๑ ปรชั ญาของธาเลส ๑๑๕
๒.๒ ปรชั ญาของอานักซมิ านเดอร ๑๑๕
๒.๓ ปรัชญาอนกั ซิเมเนส ๑๑๖
๒.๔ ปรชั ญาของพิธากอรัส
๒.๕ ปรัชญาของเฮราคลิตุส
๒.๖ ปรชั ญาของเซโนฟาเนส
๒.๗ ปรชั ญาของปารเมนิเดส
๒.๘ ปรชั ญาของเซโน
๒.๙ ปรัชญาของเอมเปโคเคลส
ง หนา
เร่ือง ๑๑๗
๑๑๘
๒.๑๐ ปรัชญาของอานกั ซากอรัส ๑๒๐
๒.๑๑ ปรชั ญาของเดมอคริตุส ๑๒๐
๓. ปรัชญาตะวนั ตกยคุ รุงเรือง ๑๒๒
๓.๑ ปรัชญาของโสคราตสิ ๑๒๗
๓.๒ ปรชั ญาของเพลโต ๑๓๘
๓.๓ ปรัชญาของอริสโตเตลิ ๑๓๙
๔. ปรชั ญาตะวนั ตกยุคเสื่อม ๑๔๑
๔.๑ ปรชั ญาสุขนิยมของเอปค ควิ รัส ๑๔๖
๔.๒ ปรชั ญาสาํ นกั สโตอิค ๑๔๘
๔.๓ ปรัชญาวมิ ตินยิ มและสงั คหนิยม ๑๕๔
๔.๔ ปรชั ญาเพลโตใหม ๑๕๖
สรปุ ทายบท ๑๕๗
เอกสารอางองิ ประจาํ บท
๑๕๗
บทที่ ๕ อภิปรชั ญา ๑๕๙
๑๖๐
ความนํา ๑๖๐
๑. ความสําคัญของอภิปรัชญา (Metaphysics) ๑๖๓
๒. ประวตั ิและความหมายของอภปิ รชั ญา ๑๖๓
๓. อภปิ รัชญากับวิทยาศาสตร ๑๖๔
๔. ปญหาสาํ คัญของอภปิ รัชญา ๑๖๔
๑๖๕
๔.๑ สภาพทีป่ รากฏกับสภาพทเ่ี ปนจริง ๑๖๘
๔.๒ สภาพทป่ี รากฏไมจ ําเปน ตอ งตรงกบั สภาพทเ่ี ปนจริง ๑๗๔
๔.๓ มนุษยใชสติปญญาแยกความเปนจรงิ ออกจากสภาพท่ีปรากฏ ๑๗๖
๔.๔ วญิ ญาณมีอยจู ริงหรอื ไม ๑๘๓
๔.๕ นอกจากสสารแลว ยงั มีส่ิงอื่นอีกหรือไม ๑๘๔
๔.๖ ปญ หาเรื่องพระเจา
๔.๗ ปรชั ญาจติ
สรุปทายบท
เอกสารอางอิงประจําบท
จ หนา
เร่ือง ๑๘๕
บทท่ี ๖ ญาณวิทยา หรือ ทฤษฏคี วามรู
๑๘๕
ความนาํ ๑๘๗
๑. ปญ หาเรอื่ งบอเกดิ ของความรู ๑๘๗
๑๙๒
๑.๑ ลัทธเิ หตุผลนิยม (Rationalism) ๒๐๓
๑.๒ ลทั ธิประจักษนิยม หรอื ประสบการณนยิ ม (Empiricism) ๒๐๔
๒. ปญหาเรื่องธรรมชาตคิ วามรู – สิง่ ท่เี รารูคืออะไร ๒๐๗
๒.๑ ลัทธิจติ นยิ มแบบอตั นัย ๒๑๕
๒.๒ ลทั ธิสัจนิยม ๒๑๗
สรปุ ทา ยบท
เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๒๑๙
บทที่ ๗ ตรรกวทิ ยา ๒๑๙
๒๒๐
ความนํา ๒๒๐
๑. ความหมายและขอบขา ยของตรรกวทิ ยา ๒๒๐
๒๒๑
๑.๑ ความหมายของตรรกวิทยา ๒๓๐
๑.๒ ขอบขา ยของตรรกวทิ ยา ๒๓๑
๒. การอา งเหตุผลแบบนิรนยั (Deductive Reasoning) ๒๓๑
๓. การอา งเหตผุ ลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning) ๒๓๒
๓.๑ การอุปนยั แสวงหาความจริงท่วั ไป ๒๓๔
๓.๒ วธิ อี ุปนยั เปนการสรุปเกินขอ อา ง ๒๓๕
๓.๓ ความนาเชอ่ื ถือของวธิ อี ปุ นยั ๒๓๕
๓.๔ ความเช่ือพ้ืนฐานของวธิ อี ุปนยั ๒๓๖
๔. เหตผุ ลวบิ ตั ิ (Fallacy) ๒๓๖
๔.๑ การใชภาษาอยา งไมรดั กุมในการอา งเหตุผล ๒๓๗
๔.๒ สงิ่ ทีน่ าํ มาอา งเปนเหตุผลบกพรอง ๒๓๘
๔.๓ วธิ ีการอางเหตผุ ลไมถกู ตอง ๒๓๙
๔.๔ การอา งสิง่ ทไี่ มใชเ หตผุ ลมาเปน เหตผุ ล
สรปุ ทา ยบท
เอกสารอา งองิ ประจาํ บท
ฉ
เร่ือง หนา
บทท่ี ๘ จรยิ ศาสตร ๒๔๑
ความนาํ ๒๔๑
๑. ความหมายของจรยิ ศาสตร ๒๔๒
๒. ขอบเขตเน้ือหาของจรยิ ศาสตร ๒๔๓
๓. จริยศาสตรศ ึกษาเร่ืองอะไรบา ง ๒๔๓
๔. ประโยชนของการศึกษาวิชาจริยศาสตร ๒๔๕
๕. ความคิดของนกั จริยศาสตรท างดานอภิจริยศาสตร ๒๔๕
๖. แนวความคดิ ของนักจริยศาสตรเ กี่ยวกับอุดมคติชวี ติ ๒๔๗
๗. แนวความคิดเกี่ยวกับเกณฑต ดั สนิ คณุ คา ทางจรยิ ของนักปรชั ญาคนสําคัญบางคน ๒๕๓
สรุปทา ยบท ๒๕๙
เอกสารอา งองิ ประจาํ บท
๒๖๐
บทที่ ๙ สนุ ทรยี ศาสตร
๒๖๑
ความนาํ
๑. ความหมายและขอบขายของสุนทรียศาสตร ๒๖๑
๒. ความงามคืออะไร ๒๖๒
๓. ความงามมอี ยูจริงหรือไม ๒๖๓
๒๖๓
๓.๑ ลัทธอิ ัตวสิ ัย (Subjectivism) ๒๖๓
๓.๒ ลัทธิวตั ถุวิสัย ( Objectivism) ๒๖๕
๔. ศลิ ปะคืออะไร ๒๖๗
๔.๑ ศิลปะ คือการเลียนแบบธรรมชาติ ๒๖๙
๔.๒ ศลิ ปะ คอื การแสดงออก ๒๖๙
๔.๓ ศิลปะ คอื รปู แบบทม่ี ีนยั สาํ คญั ๒๖๙
๔.๔ ศลิ ปะ คอื อุปกรณใหเ กดิ ความพึงพอ ๒๗๐
๔.๕ ศิลปะ คือทางเขา ถงึ ความจรงิ ๒๗๐
๔.๖ ศิลปะ คอื ภาษา ๒๗๐
๔.๗ ศิลปะ คอื ทางแหงการพัฒนาศีลธรรม ๒๗๐
๕. อะไรเปนแรงจงู ใจใหเกิดผลงานทางศลิ ปะ ๒๗๑
๕.๑ ความตองการแสดงออก ๒๗๑
ช หนา
เรอื่ ง ๒๗๑
๒๗๑
๕.๒ การรบั รขู องสังคม ๒๗๑
๕.๓ การคลายความเครยี ดทางอารมณ ๒๗๒
๕.๔ การเลน ๒๗๒
๕.๕ การเกิดขึ้นของมโนภาพ ๒๗๒
๖. ประเภทของศิลปะ ๒๗๓
๖.๑ วิจิตรศิลป (Fine Art) ๒๗๔
๖.๒ ประยุกตศ ิลป ( Applied Art ๒๗๕
สรปุ ทา ยบท ๒๗๗
เอกสารอา งองิ ประจาํ บท
๒๗๗
บทท่ี ๑๐ ปรัชญารว มสมยั
๒๗๘
ความนาํ ๒๗๙
๑. ลักษณะทว่ั ไปของอัตถิภาวนยิ ม ๒๘๐
๒. โซเรน เคยี รเกการด (Soren Kierkegaard) ๒๘๒
๓. ไฟรดร ชิ นที เช (Friedrich Nitzsche) ๒๘๒
๔. ดารล แจสเปอรส (Karl jaspers) ๒๘๓
๕. มารต ิน ไฮเดกเกอร (Martin Heidogger) ๒๘๔
๖. กาเบรยี ล มารเ ชล (Gabriel Marcel) ๒๘๔
๗. ชัง ปอล ชารต (Jean Paul Sartre) ๒๘๖
๘. ปฏิฐานนยิ มทางตรรกวทิ ยา ๒๘๗
สรปุ ทา ยบท
เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๒๘๙
บรรณานุกรม
บทท่ี ๑
ความรเู บื้องตน เกย่ี วกบั ปรัชญา
ความนาํ
ปรัชญา ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลวา วิชาวาดวยหลักแหงความรูและ
หลักแหงความจรงิ โดยในบรรดาความรทู ้ังหลายของมนุษยชาตินั้น อาจแบง ไดเ ปน สองเรื่องใหญ ๆ
เร่ืองที่หน่ึง คอื เร่ืองเกีย่ วกับธรรมชาติ เชน ฟสิกส มีเปาหมายในการศกึ ษาเพื่อหาความจริง
ตา ง ๆ และเขาใจในธรรมชาติมากกวาส่ิงรอบตัวเพราะรวมไปถงึ จักรวาลทงั้ หมดอยางลึกซึ้ง ชีววิทยา
มีเปาหมายในการศึกษาเก่ียวกับสิ่งท่ีมีชีวิตทั้งหลาย เคมี มีเปาหมายในการศึกษาเกี่ยวกับธาตุและ
องคประกอบของธาตุ เปนตน นับแตสมัยกรีกโบราณมาจนถึงศตวรรษท่ี 19 การศึกษาวิชาดารา
ศาสตร การแพทย และฟสิกส เคยถูกรวมอยูสาขาปรัชญาธรรมชาติ (Natural philosophy)
จนกระท่ังการเติบโตของมหาวิทยาลัยสมัยใหม สงผลใหนักวิชาการหันไปพัฒนาศาสตรเฉพาะทาง
ขนึ้ มา
เร่ืองทสี่ อง คอื เรือ่ งเกี่ยวกับสงั คม เชน เศรษฐศาสตร มีเปาหมายในการศึกษาเก่ียวกบั ระบบ
เศรษฐกิจของสงั คม รัฐศาสตร มเี ปาหมายในการศกึ ษาเกยี่ วกบั ระบบการเมืองการปกครองของสังคม
นติ ศิ าสตร มเี ปาหมายในการศกึ ษาเกย่ี วกับระบบกฎหมายของสังคม เปนตน
เปาหมายในการศกึ ษาของปรัชญา คอื การครอบคลุมความรูและความจริงในทุกศาสตรและ
ในทุกสาขาความรูของมนุษย รวมทั้งชีวิตประจําวันของตนดวย ผลจากการศึกษาของปรัชญาก็
สามารถนําไปใชอางอิงได ผูท่ีมีความรู อุทิศตนเพื่อการศึกษาและการผลิตองคความรูในทางดานน้ี
เรยี กกนั วา นกั ปรัชญา ปราชญ หรอื นกั ปราชญ
๒
๑. ความหมายของคาํ ศัพทและคาํ จาํ กัดความ
คําวาปรัชญาตามรูปศพั ทเปน คาํ มาจากคําในภาษาสนั สกฤต ๒ คํา คอื “ปร” กบั “ชญา” ปร
แปลวา ประเสรฐิ ดีเลิศวิเศษชญาแปลวาความรูดงั น้ันเม่อื รวม ปร และ ชญา (ปร+ชญา) เขากันจึงเปน
ปรัชญาแปลวา ความรอู นั ประเสริฐซงึ่ หมายถึงความรูทีเ่ กดิ ขึ้นหลังจากส้นิ ความสงสยั แลว
ปรัชญาน้นั ตรงกบั คําในภาษาไทยของเราวา ปญญา ปรชั ญาน้ีพจนานกุ รมไทยใหความหมาย
ไววา ความรอบรู ความรูท่ัว ความฉลาดเกนิ แตการเรียนและคิด สวนคําวาปรัชญา พจนานุกรมไทย
ใหความหมายไวว า วิชาวา ดว ยหลกั แหงความรแู ละความจรงิ
ปรัชญา ในภาษาองั กฤษใชค าํ วา Philosophy ซง่ึ ความหมายของคําท้ังสองคาํ นี้ไมตรงกันเลย
ทีเดยี วเพราะคําวา Philosophy มาจากคําในภาษากรีก ๒ คําคือ Philo (Love) แปลวา ความรัก
และ sophia (wisdom) แปลวา ความรู เมอื่ รวม Philo กับ sophia (Philo+Sophia)เขา ดว ยกนั จึง
เปน Philosophy= love of wisdom แปลวา ความรักในความรู ความรกั ในปญญา๑
จะอยางไรก็ตาม ปรัชญานี้ไดพูดถึงเฉพาะเร่ืองความรูเพียงอยางเดียวเทาน้ันแตปรัชญามี
ขอบเขตกวา งขวางมากและครอบคลุมเรื่องราวตางๆ ไวอยา งมากมาย จนกระทั่งปรัชญาเมธีไมคอยจะ
นยิ าม ความหมายวา ปรัชญาคืออะไร เพราะตระหนักดีกวา ไมสามารถใหความหมายของ ปรัชญา ท่ี
สามารถควบคุมเนอ้ื หาของปรัชญาดว ยคําสั้นๆได แมกระนั้นก็ตาม เมื่อจําเปนตอ งหาคํานิยามหรือคํา
จํากัดความของคาํ วาปรัชญา หรือ Philosophy นักปรัชญาแตละคนก็ใหคํานิยามไปตางๆกัน ตาม
แนวความคิดและความเช่ือถือของตน จึงขอยกเอาคาํ นิยามปรัชญาของนักปราชญที่มีชื่อเสียงของโลก
มาใหพิจารณา ดงั น้ี
Socrates ปรัชญาคอื ความรกั เปน ความรู
Kant ปรัชญาคอื ศาสตรแหงความรแู ละการพิจารณาความรู
Auguste Comte ปรชั ญาคือ ศาสตรของศาสตรทัง้ หลาย
Piato ปรชั ญามงุ จะรสู ่ิงนริ นั ดรแ ละธรรมชาติแทจริงของสง่ิ ทงั้ หลาย
Aristotie ปรัชญาคือ ศาสตรท่ีสืบคนถึงธรรมชาติของสิ่งที่มีอยูโดยตัวเอง ตลอดจน
คุณลกั ษณะตามธรรมชาตขิ องส่งิ น้นั
Fichte ปรชั ญาคอื ศาสตรแหง ความรู
Spencer ปรัชญานน้ั วา ดว ยทกุ สิ่งทกุ อยา งในฐานะที่เปนศาสตรสากล
John Lewis ปรชั ญาคอื จาํ นวนทัง้ หมดแหง ความเชือ่ ถอื ของตัวเขาเอง
Ducasses ปรัชญาคือ ทฤษฎเี ชิงวิจารณท ั่ว ๆ ไป
๑ ทองหลอ วงษธ รรมา, รศ., ดร., ปรชั ญาทวั่ ไป, (กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พโ อเดียนสโตร, ๒๕๔๙), หนา ๑.
๓
Joseph A. Leighton ปรัชญาก็เหมือนวิทยาศาสตรท่ีประกอบไปดวยทฤษฎีแหงการรู
ท้งั หลายทค่ี นพบวาเปน ผลแหงความคดิ ไตรตรองที่มีระบบ
Winderband ปรชั ญาคือ ศาสตรเ ชงิ วิจารณท ่ีวา ดว ยคุณคา สากล
Brighman ปรัชญาคือ วิถีทางอันสําคัญยิ่งในการเขาถงึ ประสบการณม ากกวาบทสรุปแหง
ประสบการณ
Dewey ปรัชญาแสดงถงึ ความสาํ เร็จแหง ความรูที่มอี ทิ ธิพลตอการปฏิบตั ิตนของมนุษย
Russell ปรัชญาคือ ส่งิ ที่อยทู า มกลางระหวางเทววทิ ยาและวิทยาศาสตร
Bernard Shaw ปรัชญาคือ ขอ สนั นิฐานเหนอื สิง่ ทเี่ ขาไดแสดงออกอยา งเปน กจิ นสิ ยั
Goblot แตละระบบก็มีทัศนะเฉพาะสําหรับนิยาย วิชาปรัชญากําหนดความสัมพันธกับ
วทิ ยาศาสตรแ ละชวี ิต จงึ ไมมหี นทางทจ่ี ะนิยามใหกนิ ความหมายถึงทุกระบบได
๒. ปรชั ญาเกดิ ขน้ึ ไดอยา งไร
เน่ืองจากมนษุ ยตอ งเผชิญหนาตอสภาพแวดลอมเหตกุ ารณแ ละปญหาตางๆ ในชีวิตประจําวนั
ทั้งดา นสังคม เศรษฐกิจ และการเมอื ง ทําใหตองดน้ิ รนหาทางแกไขปญหาเหลานั้น โดยการคนคิดหา
วธิ ีตา งๆมากมายตามแนวความเชอ่ื ประสบการณแ ละความรูของตนเอง จึงทําใหเกิดปญญาขึ้น ซ่ึงเรา
อาจสรุปสาเหตทุ ่ีกอ ใหเ กิดปรชั ญาขน้ึ ไดดังน๒้ี
๑. ความประหลาดใจ(Sense of Wonder) มนุษยยุคหินการตางๆของธรรมชาติใน
ชวี ิตประจาํ วนั เชน ฝนตก ฟา รอ ง ภเู ขาไฟ ระเบิด นํา้ ทว ม เปน ตน ก็เกิดความประหลาดใจ แลวนําไป
ขบคดิ พินิจ พจิ ารณา วา ทาํ ไมสิง่ เหลา น้ีจงึ เกดิ ขนึ้ และเกดิ เปน วิชาปรัชญา กลายเปนปญหา ทตี่ องหา
คาํ ตอบ
๒. ความสงสัย (Sense of Doubt)มนุษยเมื่อไดพบเห็นเหตุการณแ ละปรากฏการณตางๆ
ของธรรมชาติและชีวิตเชน ไฟไหมปา นํ้าทวม แผนดินไหว การเกิด แก เจ็บ ตาย เปนตน แลวเกิด
ความสงสัยวา ทําไมส่ิงเหลานี้จึงเกิดขึ้น ทําใหมนุษยตองนําไปขบคิดพิจารณาหาคําตอบเกี่ยวกับสิ่ง
ตา งๆ เหลาน้ัน จึงทาํ ใหเ กดิ ปญญาข้นึ
๓. การทดลองเชิงวิจารณ (Critical Examination)การทดสอบส่ิงหน่ึงส่ิงใดดวยการ
พิจารณาทบทวน วิพากษวจิ ารณ เทียบเคียง เพอื่ ใหไ ดผลสรปุ หรือคําตอบของสิ่งนนั้ ๆ กลายเปนความ
พยายามคนหาความจริงสงู สุดของสิ่งน้นั ๆ โดยการเขาถึงบทสรุปอยางมีเหตผุ ล แลววางแนวความคดิ
เปน หลักการ จงึ เกดิ ปรัชญาขน้ึ
๒ ศรัณย วงศค ําจันทร, ปรัชญาเบื้องตน, (กรุงเทพฯ : อมรการพมิ พ, ม.ป.ป.), หนา ๑๓-๑๔.
๔
๔. ความใจกวาง(Tolerance) นักปรัชญาตองมีทัศนะที่กวางขวาง พรอมที่จะคบคิด
พิจารณาส่ิงตางๆ และปญหาตางๆ ที่แตกตางกันโดยเปดใจกวางท่ีจะรับฟง รับทราบและพรอมรับ
ปญหาตางๆ แตกตา งกัน อาจจะเปนเหตนุ าํ ไปสกู ารวิจารณและเกิดปรชั ญาข้นึ
๕. การยอมรับคาํ แนะนําทางประสบการณและเหตุผล(Acception of the Guidance
of Experience and Reason) โดยทั่ว ๆ ไปแลวนักปรัชญามักจะคิดตรึกตรองตามประสบการณ
และเหตุผลของตนเองแตจะไมดวนสรุป และเช่ือในประสบการณและเหตุผลของตนเองทันทีนัก
ปรัชญาพรอ มเสมอทจี่ ะรับฟง ประสบการณของผูอน่ื และเขาถงึ เหตุผลน้ันจึงเกิดปรชั ญาข้ึน
๖. ความไมม ีอปุ ทาน(Detachment) นักปรัชญาจะไมม ีความคดิ แบบยึดมั่นถือม่นั ในส่ิงใด
สิง่ หนง่ึ แตจะยอมรับเหตุผลเหนือสิง่ อน่ื ใดเชน การยอมรบั เหตุผลอยเู หนืออารมณ
๗. ความเพียรพยายามไมลดละ(Persistence) นักปรัชญาเมื่อยังไมไดรับขอสรุปหรือ
คาํ ตอบท่ีนาพอใจจะพยายามแสวงหาคนควาหาคาํ ตอบหรอื ขอ สรปุ ทีน่ าพอใจจนกวา ชวี ิตจะหาไม
๘. ความไมดวนสรุป(Absence of Hurry in Arriving at the Conclusions)นัก
ปรัชญาจะไมดวนสรุปอยางงายๆนอกจากจะมีขอพิสูจนที่แนนอนเสียกอนเขาจะไมก ังวลเร่ืองเวลาวา
เรว็ หรอื ชาในการกระทาํ ท่จี ะนาํ แนวความคิดและขอ พสิ จู นของตนไปสูระบบปรัชญา
๓. ววิ ัฒนาการแหง ปรชั ญา
วิชาปรัชญาน้ันไดเกิดขึน้ พรอมกับมนุษยและวิวัฒนาการควบคมุ กันมากับมนุษยเรากลาวคือ
มนุษยรูจักคิดต้งั แตย ุคแรกจากการคดิ น้ันกก็ อใหเกิดปญ หาเปนปรัชญาเม่ือมนุษยมีวิวัฒนาการเจริญ
มาเรื่อยๆความคิดและปญหาของมนุษยก็วิวัฒนาการเจริญขึ้นเปนลําดับควบคูกันมาจนปรากฏใหเรา
เห็นไดศึกษากันอยูในปจจุบันและจะตองวิวัฒนาการตอไปในอนาคตซึ่งอาจจะเปนไปในทางท่ีเจริญ
หรอื เสอื่ มกไ็ ด
มนุษยเราแตละยุคแตละสมัยยอมมีแนวความคิดและจุดสนใจแตกตางกันทั้งนี้กเ็ พราะมนุษย
อยูภายใตอิทธิพลของสิ่งแวดลอมที่แตกตางกันโดยปกตแิ ลวมนุษยจะคิดอันจะกอให เกิดปญญาข้ึนก็
พอสงิ่ เราหรอื แรงจงู ใจซงึ่ อาจจะมาจากภายนอกหรือเกดิ ข้ึนภายในจิตใจของเราเองทง้ั น้ันถา เราศึกษา
ปรชั ญาตอ ไปแลว เราจะเขา ใจวา ทาํ ไมมนุษยในยุคสมัยน้ันๆจึงคดิ ในเร่ืองราวตางๆเหลานั้นไดโดยปกติ
แลว ถือวาสิง่ แวดลอมมอี ทิ ธพิ ลทส่ี ําคญั ยงิ่
๕
แมวาแนวความคิดของมนุษยอันกอใหเกิดปญญากลายเปนปรัชญานั้นจะมีวิวัฒนาการท่ี
แตกตางกันในแตละยุคแตละสมัยเราสามารถกลาวสรุปไดวาการวิวัฒนาการแหงปรัชญามีอยู ๓ สาย
คือ๓
๑. ปญญาทางศาสนา มนุษยมแี นวความคดิ และความเช่ือถือในดานเทพเจาการบูชายญั การ
ประกอบพิธีกรรมตางๆ ตลอดจนการกําหนดกฎเกณฑตางๆ ทางศีลธรรมจึงกอใหเกิด ลัทธิ ศาสนา
ขึ้น ผลก็คอื ความรทู เี่ กี่ยวขอ งกับพระเจา พิธีกรรมและศาสนา
๒. ปญญาทางปรัชญา มนุษยรูจักคิดและแสวงหาความจริงของธรรมชาติและส่ิงตางๆใน
โลก พยายามคนหาความจริง และอธิบายความจริงของสรรพส่ิงในโลก ดวยวิธีธรรมชาติวิทยาและ
เหตุผลตางๆ จึงเกิดเปนปญญาทางปรัชญาขึ้น ปญญาทางปรัชญาคือความรูตางๆ นอกเหนือจาก
ความรูท างศาสนา พระเจา พิธกี รรม การเกษตรและกสกิ รรม
๓. ปญญาทางวิทยาศาสตร มนุษยรูจักคิดและแสวงหาความจริงของธรรมชาติโดยวิธีการ
ตางๆ เชน รวบรวมขอมูล ประสบการณ เหตุการณและความรูตางๆ แลวสรุปเปนทฤษฎีและนําไปสู
การปฏิบัติ หรือทดลองอนั กอใหเ กดิ ความรูและสิ่งใหมๆ ขนึ้ ผลท่ไี ดรับจากการทดลองและปฏิบัติการ
นนั้ จงึ เปน ปญญาทางวทิ ยาศาสตร
จากทัศนะดังกลาวขางตนอาจนําไปสูขอสรุปที่วา โดยแทจริงแลวเราไมอาจบงชัดลงไปได
อยางแนนอนวา ปรชั ญาตริตรองในปญ หาใดกนั แน เราสามารถบอกไดชัดเจนวาตัวเลขเปนเน้ือหาของ
วชิ าเลขคณิต ปรากฎการณธ รรมชาตเิ ปนเนอ้ื หาของวชิ าวิทยาศาสตร แตเราไมอ าจกําหนดวาอะไรคอื
เนื้อหาของวิชาปรัชญา ท้ังน้ีเพราะปรัชญาหมายถึง การรักการสงสัย การมองเห็นปญหาท่ียังเปน
ปญหาและการพยายามหาคําตอบท่ีเปนไปไดสําหรับปญหาน้ัน ๆ และปรัชญาก็เร่ิมตั้งแตสมัยมนุษย
ดึกดําบรรพจวบจนทุกวันนี้ ดังน้ันส่ิงท่ีเปนปญหาหรือส่ิงที่มนุษยสงสัยจึงมีอยูมากมายจนไมอาจให
ขอจํากัดลงไปได ขอบเขตของวิชาปรัชญาจึงมีอยูกวางขวางมากและก็มวี วิ ัฒนาการเปนยุคสมัย ท้งั นี้
ในชน้ั แรกเราอาจแบงวิวฒั นาการของปรัชญาของมนษุ ยเ ปนยุคตา ง ๆ ไวด งั น้ี๔
๑. ปรัชญาดึกดําบรรพ (Philosophy of Primitive) หมายถึง ปรัชญาของมนุษยดึกดํา
บรรพ ตั้งแตเม่ือเริ่มมีมนุษยในโลก ซ่ึงนักวิทยาศาสตรเช่ือกันวามนุษยอุบัติข้ึนในโลกไมนอยกวา
๕๐๐,๐๐๐ ปมาแลวถึงแมวาไมอาจบอกไดแนนอนวามนุษยสมยั ดึกดาํ บรรพสงสยั ในปญหาอะไรบาง
แตกค็ าดกนั วามนุษยในสภาพไรอารยธรรมดังกลาวไมวาจะอยูมุมใดของโลก คงมีปญหารว มกันอยาง
หนง่ึ คอื ปญหาเรื่องภัยธรรมชาติ เชนภูเขาไฟระเบิด แผนดินไหว นํ้าทวม เปนตน ปญหาของคนสมยั
นั้นก็คอื ปญ หาท่วี าภยั ธรรมชาตเิ หลา นี้มาจากไหน และจะแกไ ขอยา งไร และคาดวาคาํ ตอบท่ีถูกใจและ
๓ บุญมี แทนแกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธิ์กลางดอน, ปรัชญาเบ้ืองตน (ปรัชญา
๑๐๑), (กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พรน้ิ ต้งิ เฮาส, ๒๕๒๙), หนา ๑๓.
๔ ปานทพิ ย ศภุ นคร, ปรชั ญาเบอื้ งตน, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาํ แหง, ๒๕๔๒), หนา ๒-๙.
๖
เปนท่ียอมรับกันก็คือ ภัยธรรมชาติเกิดจากเทพ หรือเทพเปนผูบันดาลใหเกิดภัยธรรมชาติขึ้น ฉะน้ัน
มนุษยจะพนภัยธรรมชาติไดกต็ องเอาใจเทพคอื ทําใหเทพพึงพอใจซ่ึงอาจจะในรูปถวายของบูชาเปน
ตน ปรัชญาท่ีแฝงอยูกับคําตอบดังกลาวก็คือ มนุษยสมัยดึกดําบรรพเช่ือกันวาโลกหรือเอกภพมี
กฏเกณฑท่ีไมแนนอนตายตวั ดังนั้นปรากฎการณธรรมชาติทง้ั หลายจึงเกดิ ขนึ้ ตามนํ้าพระทัยของเทพ
หรอื สดุ แลวแตเทพบันดาลใหเ กดิ ปรากฎการณธ รรมชาติไดข้ึนมาเชน อาจทาํ ใหเกดิ แผนดนิ ไหวเช่ือกัน
วามนษุ ยคงยึดถือปรชั ญาเชนนี้รวมกันเปนเวลากวา ๕๐๐,๐๐๐ ป ซง่ึ ตอ มาวิทยาศาสตรไดใหคาํ ตอบ
เกี่ยวกับปรากฏการณธรรมชาติอีกแนวหนึ่งคือ เอกภพมีกฎเกณฑแนนอนตายตัว ขอสังเกตก็คือ
สําหรับนักวิทยาศาสตรเองเขาเช่ือม่ันแลววาคําตอบน้ีเปนคําตอบที่ถูกตองแนนอน แตสําหรับนัก
ปรัชญาคําตอบของนักวทิ ยาศาสตรเ ปนเพยี งคําตอบหนึ่งท่ีเปนไปไดพอ ๆ กบั คําตอบของมนุษยดึกดํา
บรรพและในอนาคตอาจมีคําตอบที่เปนไปไดท่ีแตกตางจากคําตอบของนักวิทยาศาสตรและคําตอบ
ของมนษุ ยส มัยดกึ ดําบรรพ
บางแหง มนุษยด ึกดาํ บรรพสามารถสรางอารยธรรมไดเ ร็วก็ผลจากสภาพดึกดําบรรพเ ขาสู
สภาพอารยธรรมไดเร็ว เชน ชาวอยี ิปต ชาวเมโสโปเตเมีย ชาวอิสราเอล ชาวอนิ เดีย ชาวจนี ชาวกรกี
อยา งไรก็ตามมนุษยบ างแหงในโลกกย็ ังมสี ภาพไมแ ตกตางจากมนุษยด ึกดาํ บรรพเ ชน เดียวกัน
๒. ปรัชญายุคโบราณหมายถึง ปรัชญาของชนชาติโบราณตาง ๆ นับต้ังแตเริ่มมีหลักฐาน
บันทึกไว
๓. ปรชั ญายุคกลางหมายถงึ ปรชั ญาของมนษุ ยซ ง่ึ อยูในระหวางปค.ศ. ๕๒๙ ถงึ ปค.ศ. ๑๕๐๐
๔. ปรัชญายุคใหมหมายถึง ปรัชญาของมนุษยตั้งแตปค.ศ. ๑๕๐๐ เปนตน มาจนถึงสมัย
ปจจุบันขอสังเกตก็คือโดยเฉพาะตั้งแตปค.ศ. ๑๙๐๐ เปนตน มาชาวตะวันตกและชาวตะวันออกจะ
ศกึ ษาปรัชญาของกันและกันมากขน้ึ จนปรัชญามลี ักษณะผสมผสานหรือมอี ิทธิพลตอกันและกันอยาง
ไมรูต ัว
มนุษยไมวาจะอยูในแหลงอารยธรรมใดของโลกมักจะพัฒนาปรัชญาของตนผานยุคตาง ๆ
ของปรัชญาท้ัง ๔ ยุคดังกลาวขางตน ท้ังนี้จะขอกลาวถึงวิวัฒนาการของปรัชญาหรือประวัติศาสตร
ปรัชญาตามแหลงอารยธรรมของโลกดังตอไปนี้
ปรัชญาตะวันออกใกล (Near-Eastern Philosophy)หมายถึง ปรัชญาของชาวตะวันออก
ใกลหรือแหลงอารยธรรมแถบเปอรเซีย เชน ชาวอียิปต ชาวอิสราเอล ปรัชญาตะวันออกไดมี
ววิ ฒั นาการสืบเนอ่ื งดังตอ ไปน้ี
๑. ปรัชญาดึกดําบรรพ หมายถึง ปรัชญาของมนุษยแถบน้ีกอนเริ่มอารยธรรมโบราณ ซ่ึง
คาดการณวาชาวตะวันออกใกลในยุคดังกลาวกค็ งเหมือนกับมนุษยดกึ ดาํ บรรพค นอนื่ ๆ คือ มีปญหา
เกยี่ วกับเร่ืองภยั ธรรมชาตดิ ังกลาวแลว
๗
๒. ปรัชญายคุ โบราณ หมายถึง ปรัชญาของชาวอียิปต ชาวเมโสโปเตเมีย ชาวอิสราเอล ซ่ึง
อยูในชว งสมัยทีไ่ ดพ ัฒนาอารยธรรมโบราณข้นึ แลว และชาวตะวันออกใกลดงั กลาวสามารถสรางอารย
ธรรมโบราณไดเร็วตัวอยางของปรัชญาชวงน้ีคือ ศาสนาซาลาทูสตรา หรือโซโลอัสเตอร ซึ่งมีทัศนะ
พืน้ ฐานวา พระเจา ผูยง่ิ ใหญ มี ๒ พระองคค อื พระเจาแหง ความดี และพระเจาแหงความชั่ว พระเจา
ทงั้ สององคแ ขง ขันกนั สรางสิ่งดี ๆ ส่ิงเลวขนึ้ มา ดังน้ันสรรพส่ิงจงึ เกิดจากการสรางของพระเจาท้ังสอง
องคไ มว า จะเปน สิง่ ดีหรือสิ่งเลวมนุษยเปนผลงานรวมของพระเจาท้ังสองกลาวคอื วิญญาณมนุษยเปน
สิ่งดี จึงเกิดจากการสรางของพระเจาแหงความดีรางกายเปนส่ิงเลว จึงเกิดจากการสรางของพระเจา
แหง ความเลว มนุษยผปู รารถนาจะหลดุ พนตอ งตดั ใจจากรางกาย
๓. ตง้ั แตค รสิ ตกาลเปน ตนมาปรัชญาตะวนั ออกใกลไดรวมเปนสวนหน่ึงของปรัชญาตะวันตก
ปรัชญาตะวันออก (Eastern Philosophy)หมายถึง ปรัชญาของชาวตะวันออก ปรัชญา
ตะวันออกท่ีเปนท่ีรับรูและยอมรับกันในระดับโลกเวลานี้มี ๒ สาขาคือ ปรัชญาอินเดีย (Indian
Philosophy ) กบั ปรัชญาจนี (Chinese Philosophy)
ปรัชญาอินเดีย มูลบทของปรัชญาอินเดียสวนมากเช่ือในเร่ืองกฎแหงเหตุและผล กลาวคือ
เปน ความเช่ือทวี่ าผลตองเกิดจากเหตุ ดังน้ัน เหตกุ ารณในธรรมชาติเกดิ ขึ้นเพราะมสี าเหตุ และในทาง
ศีลธรรมเชื่อในเรื่องกฏแหงกรรมในแงที่วา สภาพของบุคคลเปนผลของกรรมเกาที่บุคคลผูน้ันได
กระทําลงไปในอดีตโดยไมมกี ารยกเวน นอกจากนี้ ปรัชญาอนิ เดยี สวนมากเชื่อวากิเลสเปนสาเหตขุ อง
การเวียนวายตายเกิด สาเหตุที่ทําใหมนุษยมีกิเลสก็คืออวิชชาหรืออะวิทยา ซ่ึงหมายถึงความรูท่ีไม
ถูกตอง อนั ทาํ ใหเกดิ เห็นผิดเปนชอบ การเห็นผิดเปนชอบคอื การยึดมั่นหรือผูกพันกบั ส่ิงท่ีปรากฏโดย
ไมส นใจสัจจธรรมอ่ืน ๆ ดังน้นั ผูใ ดทําลายอวิชชาก็สามารถทําลายกิเลสและ บรรลุโมกษะหรือวิโมกข
คือการหลุดพนจากความทุกขในชีวิตและการเวียนวายตายเกิด ซ่ึงพอจะเปรียบเทียบกับการเขาสู
นิพพานของพระพุทธศาสนา ปรชั ญาอนิ เดยี มีวิวฒั นาการเปนยุคดังนี้
๑. ปรัชญาอนิ เดียยุคโบราณ หมายถึง ปรชั ญาตอ ไปนี้ของชาวอินเดยี
๑.๑ ปรัชญาพระเวท พระเวทคือ คัมภีรศักด์ิสิทธ์ิของอินเดียซึ่งมีหลักฐานปรากฏ
ประมาณ ๑๕๐๐ ปก อ นครสิ ตศักราชซึ่งถอื กนั วาเปนจุดเริ่มตนของอารยธรรมอินเดีย คัมภีรประเภทมี
ท้ังหมดดว ยกนั ๔ เลมคือ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวช และอถรรพเวท ปรัชญาอินเดยี ทีป่ รากฏในคัมภีร
พระเวทคอื เช่ือในเรอ่ื งพระเจา หรือมีลกั ษณะเปนเทวนิยม (Theism)
๑.๒ ปรัชญามหากาพย หมายถงึ ปรัชญาอนิ เดียที่ปรากฏในมหากาพยสําคัญของ
อินเดียคือมหาภารตะและรามายณะ
มหาภารตะ มหากาพยของอนิ เดียเลมน้ีเชื่อกันวาผูแตงคือ วยาสะ มีเน้ือเร่ืองเกี่ยวถึงพี่นอง
ปาณฑป ๕ คน ที่ตองสูญเสียสมบัติแกทุรโยธนตระกูลเการพ เพราะถูกโกงในการเลนสกา การลบ
ดเุ ดอื ดเกดิ ข้ึนระหวา งตระกลู ทงั้ สองเปน เวลา ๑๘ วันโดยปาณฆป เปนฝายชนะโดยมีพระกฤษณะเปน
๘
ผูชวยบทแทรกท่ีสําคัญในมหาภารตะคือบทภควัทคีตา ซ่ึงจัดเปนหลักปรัชญาอินเดียทสี่ ําคญั อันหน่ึง
คือสอนหลกั จริยศาสตรสาํ คญั คอื การปฎิบตั ิหนา ท่เี พอื่ หนาทีแ่ ละถวายความภักดีตอพระเจา
รามายณะ มหากาพยอินเดยี เลมน้ีคาดวาผูแตงคอื วาลมิกิ มีเน้ือเร่ืองเก่ียวกับพระรามและ
ไดท รกปรชั ญาและคาํ สอนของศาสนาฮินดูไวทว่ั ไป
๒. ปรัชญาอินเดียยุครวมสมัย หรือสมัยสํานักปรัชญาหมายถึง สํานักปรัชญาที่สําคัญของ
อนิ เดีย ๙ สํานักดงั นี้
๒.๑ สํานักปรัชญาที่ไมยอมรับความศักดิ์สิทธ์ิของคัมภีรพระเวทหมายถึง สําหรับ
ปรชั ญา ๓ สํานักคือ จารวาก ไชนะหรือเชน และพุทธปรัชญา
๒.๒ สํานักปรัชญาอินเดียทีย่ อมรับความศักดส์ิ ิทธ์ิของคัมภีรพระเวทคือ ปรัชญา ๖
สาํ นกั ไดแก นยายะ ไวเศษกิ ะ สางขยะ โยคะ มมี างสา และเวทานตะ
ปรชั ญาจีน หมายถงึ ปรัชญาของชาวจนี ซ่ึงมวี วิ ัฒนาการเปนยุคสมยั ดงั น้ี
๑. ปรัชญายุคโบราณ หมายถงึ ปรัชญาของชาวจีนสมยั ทยี่ ังมิไดเริ่มสรางอารยธรรมโบราณ
ซึ่งเชอื่ กันวา ก็คงเหมอื นมนุษยดึกดาํ บรรพอ่นื ๆ ของโลกเปนปรัชญาทีส่ นใจปญ หาเรอื่ งภัยธรรมชาติ
๒. ปรัชญาจีนยุค ๒ ลทั ธิ หมายถงึ ปรัชญาจีนชว งทม่ี ีหลักฐานปรากฏเมื่อประมาณ ๕๐๐ ป
กอ น คริสตศกั ราชซ่ึงไดแ กปรัชญาของนักคิดสําคัญของจีนคือ ขงจื๊อ และ เลาจื๊อ เรียกวาลัทธิขงจ๊ือ
(Confucianism) และลทั ธเิ ตา (Taoism) ปญ หาปรชั ญาจีนสมยั นี้คือ จะปฏิบัตอิ ยางไรจึงจะเกิดสันติ
สขุ ในสงั คม ทง้ั นข้ี งจื๊อสอนปรัชญาไววา สังคมจะสันตไิ ดถาสมาชิกของสังคมทุกคนไดพฒั นาคุณธรรม
ในตนขนึ้ คณุ ธรรมสําคัญท่ที ุกคนตอ งพัฒนาขึ้นคอื ความรักและความเมตตาตอบุคคลอื่น ทั้งน้ีขงจื๊อ
เห็นวาครอบครัวเปนสิ่งสําคัญอันดับแรกที่จะทําใหมนุษยมีโอกาสพัฒนาคุณธรรมดังกลาวข้ึน สวน
เลาจื๊อ สอนปรัชญาธรรมชาตินิยม วา สันติสุขเกิดจากการท่ีมนุษยเขาใจวิถีธรรมชาติ และไมฝนวิถี
ของธรรมชาติ รวมทั้งความยึดม่ัน ความเรียบงายเปนสรณะ พรอมกับทําจิตใหวางจากการคํานึงถึง
ผลประโยชนใดๆ ทั้งส้ิน ลัทธิขงจื๊อ และเลาจ๊ือไดกอใหเกิดปฏิกิริยาโตตอบจนพัฒนาเปนระบบ
ความคิดอื่น ๆ ข้ึนมากมาย ลัทธิสําคัญที่ควรนํามากลาวคือ ลัทธิมอจื๊อ (Moism) ซ่ึงเปนลัทธิที่
เนนหนักความคิดวา สันติสุขของสังคมอยูท่ีคนทํางานหนักเพื่ออุทิศตนใหเกิดความสุขและ
ผลประโยชนแกคนสวนใหญ ซึ่งบุคคลจะสามารถทําเชนนั้นไดถาลดความเห็นแกตัว และประโยชน
ของตนลงพรอมทัง้ คํานึงถึงผลประโยชนของบุคคลอนื่ ๆ ใหเทากบั การคํานึงถึงผลประโยชนสวนตน
นอกจากน้ียังมีลัทธินิติธรรมเนียม (Legalism)ของจีน ซ่ึงเชื่อมั่นวาสังคมจะสันติถาใชกฎหมายและ
บทลงโทษท่ีรุนแรงในการปกครองประชาชน เพราะประชาชนน้ันช่ัวราย ดังนั้น ควรจะประพฤติดีก็
เพราะกลวั การลงโทษและปรารถนารางวัลตอบแทนเทา นน้ั
๙
๓. ปรัชญาจีนยุคกลาง หมายถึง ยุคของปรัชญากินท่ีไดรับการผสมผสานทางความคิดกัน
มากมายระหวา งลัทธติ าง ๆ ของจนี ดว ยกนั เองรวมท้ังประสมประสานกับความคดิ คือพทุ ธปรัชญาจาก
อินเดยี ท่ีไดเ ผยแพรเ ขา ไปในจนี ตอนนีด้ ว ย พุทธศาสนาท่ีรงุ เรืองนิกายหนงึ่ ในจีนคอื นกิ ายเซน
๔. ปรชั ญาจีนยุคใหม หมายถงึ ปรชั ญาของคนจีนรนุ ใหมห ลังจากไดมีการศึกษาวิชาการและ
ความคดิ ของตะวันตกนักคดิ ชาวจนี ท่ลี กู รูจกั ดคี นหน่ึงคอื เหมา เจอ ตงุ
ปรัชญาตะวันตก (Western Philosophy) หมายถึง ปรัชญาของชาวยุโรปและชาว
อเมริกนั ซ่งึ มีววิ ฒั นาการณาการมาเปน ลําดับยคุ ดังนี้
๑. ปรัชญาดึกดําบรรพ หมายถึง ปรัชญาของชาวตะวันตกกอนเริ่มมีอารยธรรมโบราณซ่ึง
คาดวา ปญหาสําคญั ของปรัชญายุคนคี้ ือปญ หาเรื่องภยั ธรรมชาตเิ หมอื นทอี่ น่ื ๆ ดงั กลา วแลว
๒. ปรัชญากรีกโบราณ หมายถงึ ปรัชญาตะวันตกทีเ่ ร่ิมดวยชาวกรีก ซึง่ ไดเช่ือวาพัฒนาการ
อารยธรรมตะวนั ตกขึ้นครัง้ แรกปรัชญากรกี โบราณสามารถแบง ยอ ยไดเปน ๓ สมยั ดงั นี้
สมัยเริ่มตน ทาเลสไดช่ือวาเปนบิดาของชาวตะวันตกและเปนผูเริ่มปรัชญากรีกโบราณไว
ปญ หาทที่ าเลส ตริตรองตางไปจากปญ หาของปรชั ญาดึกดําบรรพ ปญ หาดังกลาวคอื ปญหาที่วามนุษย
สามารถอธิบายปรากฏการณธรรมชาติโดยไมตองจางเทพเจาไดหรือไม ทาเลสความเชื่อม่ันวา
สามารถอธิบายไดเพราะเอกภพมีกฎเกณฑตายตัวของมันเอง และถามนุษยสามารถเรียนรูกฎเกณฑ
ของธรรมชาติ ดังกลาวมนุษยก็สามารถควบคุมธรรมชาติไดเชนเดียวกัน นอกจากน้ีทาเลสยังเช่ือวา
ปรากฏการณธรรมชาติท้ังหลายน้ี วิวัฒนาการมาจากส่ิงตาง ๆ ส่ิงเดียวหรือวิวัฒนาการมาจากสาร
เบื้องตนเดียวกันคือน้ํา นั่นหมายความวา นํ้าน่ันเองไดวิวัฒนาการหรือเปล่ียนแปลงตนเองตาม
กฎเกณฑออกมาเปนปรากฎการณธรรมชาติท้ังหลาย นักปรัชญารวมสมัยกับทาเลส จึงไดไตรตรอง
ปญหาเดียวกันกับทาเลสคืออะไรคือ สารเบื้องตนของปรากฏการณธรรมชาติท้ังหลาย และสาร
เบ้ืองตนนี้เปล่ียนแปลงตามกฎเกณฑออกมาเปนปรากฎการณธรรมชาตทิ ั้งหลายอยางไร แตคําตอบ
ของเขาเหลาน้ันแตกตางไปจากคําตอบของทาเลสนักปรัชญาเหลาน้ีไดแก อแนกซิมมานเดอร
(Anaximander) อแนกสเิ มเนส (Anaximenes) เฮราคลิตสุ (Heraclitus) ปารเมนีเดส (Pamenides)
เอม็ เปโดเดลส (Empedocles) อแนกซากอรัส (Anaxagoras)
สมัยรุงเรือง หมายถึงปรัชญาของปราชญค นสําคญั ของกรีกโบราณคือ โสเครตีส (Socrates)
เพลโต(Plato) และอริสโตเต้ิล (Aristotle) ปญหาสําคญั ของนักปรัชญากรีกสมัยรุงเรืองกค็ ือ ปญหา
เรื่องสมรรถภาพหรือความสามารถของมนุษยทจี่ ะรูปญหาดังกลาวคอื มนุษยมคี วามสามารถพอที่จะรู
ความเปนจริงไดหรือไมน่ันหมายความวา ถามีส่ิงท่ีเปนจริง หรือสิ่งท่ีจริงท่ีสุดมีอยูจริง มนุษยสามารถ
พอหรอื ไมท่ีจะรจู กั ส่ิงน้ี ผูริเริม่ ปญหานค้ี ือ พวกโซฟส ต (Sophists) ทัง้ นเี้ พราะโซฟส ต ความเห็นวานัก
ปรัชญาสมัยเร่ิมตนไมอาจตอบไดตรงกันวาอะไรคือ สารเบื้องตนของปรากฏการณของธรรมชาติ
ดังนั้น มนุษยไมมีความสามารถท่ีจะรูวาอะไรคือสารเบ้ืองตน ของปรากฏการณของธรรมชาติแทจริง
๑๐
นักปรัชญาแตละคนจึงไดตอบไปตามความเห็นของตนเทานั้นโสเครตีส (Socrates) เพลโต(Plato)
และอริสโตเติ้ล (Aristotle) เช่ือวามนุษยมีสมรรถภาพพอทีจ่ ะรูความเปนจริงได ถามนุษยใชปญญา
หรือเหตุผลท่เี ปน สมรรถภาพเหนือผัสสะ
สมัยเสื่อม หมายถึงปรัชญากรีกยุคหลังอริสโตเตลิ้ (Aristotle) ซึ่งเปนเวลาในชวงสมัยของ
การขยายตวั ของมหาอาณาจกั รโรมนั ซึง่ โรมนั ใหเ สรีภาพในการเผยแพรศาสนา ดังน้ัน ผูนับถอื ศาสนา
ที่เคยเรียนรปู รัชญากรกี มากอน จงึ พยายามใชปรชั ญากรกี สนับสนุนความเช่ือทางศาสนาของตนซึง่ มกั
เนน หนักความสขุ ในโลกหนา อยางไรก็ตามนักปรัชญาทไี่ มน ับถือศาสนา กเ็ สนอวิธีการท่จี ะมีความสุข
ในโลกน้ีเชน ลัทธิเอปว ควิ รสุ (Epicurianism) ลัทธสิ โตอิค (Stocism) ลัทธซิ นี ิค (Cynicism)
๓. ปรัชญาตะวันตกยุคกลาง หมายถึง ปรัชญาตะวันตกตั้งแตเร่ืองปรัชญาคริสตจนถึง
ประมาณส้ินศตวรรษที่ ๑๕ ปญหาสําคัญของนักปรัชญาตะวันตกยุคน้ีคือ การประนีประนอมระหวาง
ปรัชญากรีกกับคริสตศาสนา นักปรัชญาคนสําคัญก็เชน ออกัสตนิ (St. Augustine) และ เซนท โธมัส
อควนิ สั (St.Thomas Aquinas)
๔. ปรัชญาตะวันตกยุคใหม หมายถงึ ปรัชญาตะวันตกนับตง้ั แตปรัชญาตะวันตกสมัยกลาง
ส้ินสุดลงคือประมาณศตวรรษท่ี ๑๕ เปนตนมา และเปนเวลาที่ฟานซิสเบคอนเริ่มปญหาใหมคือ
ปญหาเกย่ี วกับวิธีคิดซึ่งหมายถึง วิธีทถี่ ูกตองทสี่ ุดท่ีสามารถนําไปสูความรูที่แทจริงที่สุดหรือความรูท่ี
ถกู ตองเกี่ยวกับความเปนจริง นักปรัชญาตะวันตกยุคใหมน้ีแบงไดเปนสองกลุมคือ กลุมเหตุผลนิยม
(Rationalism) ซ่ึงเช่ือวาวิธีคดิ ท่ถี ูกตองคือการใชเ หตุผลนักปรัชญาคนสําคัญของกลุมน้ีคอื เดสการต
(Descartes) สปโนซา (Spinoza) และไลบน ติ ซ (Leibniz) อีกกลมุ หนึ่งคอื กลุมประสบการณนิยมหรือ
กลมุ ประจักษนิยม ( Empiricism) ซงึ่ เชอ่ื วาวิธคี ิดที่ถูกตอ งท่ีสดุ คือยดึ มน่ั ในประสบการณไดแก ความรู
ทผ่ี านประสาทสัมผัสนักปรัชญาคนสําคัญคือ จอหน ลอค (John Locke) และเดวิด ฮิวม (David
Hume)
ปรัชญาตะวันตกสมยั ใหมมาสิ้นสุดที่ เอม็ มานูเอล คานท (Immanuel Kant) หรือหลังจาก
คานทปรัชญาตะวันตกถูกเรียกวาเปนปรัชญาตะวันตกสมัยปจจุบันซ่ึงแบงเปนหลายกลุมเชน กลุม
ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) กลุมอัตถิภาวนิยม ( Existrentialism) เปนตน ซ่ึงแตละกลุมก็มปี ญหา
และคําตอบท่ียึดม่ันไปคนละแบบเชน กลุมปฏิบัตินิยม เนนหลักการปฏิบัติใหเกิดประโยชนและกลุม
อัตถิภาวนิยมเนนหลักเสรีภาพของมนุษยเปนสําคัญกลาวคือ มนุษยควรเปนผูกําหนดคานิยมและ
บทบาทของตนเองโดยเปนอสิ ระจากสถาบนั และประเพณีทีส่ ังคมยดึ มน่ั
๔. ความจําเปน ของการศกึ ษาวชิ าปรชั ญา
เนือ่ งจากเนือ้ หาของวิชาปรัชญาน้ันกวางขวางมากและครอบคลุมถึงเนื้อหาของศาสตรตา ง ๆ
ดังนี้ Comte ทําใหคําจํากัดความของปรัชญาวา ‘ปรัชญาคือศาสตรของศาสตร
๑๑
ท้งั หลาย’(Philosophy is the Science of Sciences)ดงั น้ันการศึกษาวิชาปรัชญาซงึ่ เปนการศกึ ษา
ถึงเน้ือหาของศาสตรอน่ื ๆ ๆโดยสวนรวมดวย การศึกษาวิชาปรัชญาน้ันจะทําใหเราเขาใจสรรพส่ิงใน
โลกน้ียิ่งดีข้ึน เขาใจตัวเอง เขาใจคนอื่นๆ ที่อยูใกลๆตัวเรา เขาใจสังคมมีความเจริญทางปญญา
ยอมรบั ฟงประสบการณและเหตผุ ลของคนอ่นื ๆ มีความรูในส่งิ ตางๆตามสภาพทเี่ ปนจริงอันจะเปนการ
เอื้ออํานวยในการที่มนุษยจะกําหนดแนวทางแหงการดํารงชีพและกําหนดจุดมุงหมายแหงชีวิตของ
ตนเอง
ดังน้ันจะเห็นไดวา วิชาปรัชญาเปนส่ิงท่ีจําเปนที่เราจะตองศึกษาใหเกิดความรูความเขาใจ
อยางทอ งแท ซ่ึงจะอํานวยผลแกผทู ี่ศึกษาดังนี้๕
๑. ผลที่เกิดขึ้นแกผูศึกษา คนเราเมื่อศึกษาวิชาปรัชญาใหเปนที่เขาใจแลวจะเกิดความรู
ความเขาใจในสิ่งตางๆรอบๆตัวเราเอง และสิ่งตางๆในโลกตลอดถึงแนวความคิดตางๆของคนอ่ืนๆ
วิชาปรัชญาจะทําใหผูศึกษาสามารถกาํ หนดแนวทางแหงการดาํ รงชีพของตนเอง กาํ หนดจุดมุงหมาย
แหง ชวี ิตของตนเองได ในขณะเดยี วกันเขาก็สามารถปรบั ตัวเขา กบั สภาพแวดลอมไดเปนอยางดียิง่ อัน
จะสงผลใหเขาประสบความสาํ เร็จในชีวิต และบรรลถุ งึ จุดมงุ หมายแหง ชีวติ ของตวั เองได
๒. ผลท่เี กิดขึ้นแกสังคม จากผลดีที่เกิดขึ้นแกผูศึกษาปรัชญาน่ันเองจะมีผลถึงชีวิตของ
บคุ คลในสังคมโดยสวนรวมดวย โดยสังคมนั้นจะมีแตความสุขสงบ มีความอยูดกี ินดี เขาใจ ชวยเหลือ
รวมมือซึง่ กนั และกนั อนั เปนส่งิ ทจ่ี ะนําสังคมในฐานทีเ่ ปนสวนรว มของมนษุ ยไ ปสคู วามเจรญิ รุง เรือง
๓. ผลที่เกิดข้นึ แกว ัฒนธรรม ความคิดในทางปรัชญาของมนุษยนั้นไดสะทอนใหเห็นภาพ
แหงวฒั นธรรมและอารยธรรมของมนุษยในแตละยุคสมัย ซึ่งไดมีการวิวัฒนาการไปตามยุคน้ันๆ ตาม
สภาพแวดลอมของทองถ่ิน ในขณะเดียวกันจะทําใหมนุษยเกิดความชื่นชมยินดีในวัฒนธรรม อารย
ธรรมของตนเอง และหาทางสนับสนุนวัฒนธรรมและอารยธรรมของตนนั้นใหคงสืบตอไป ตลอดถึง
การยอมรบั วฒั นธรรมและอารยธรรมทดี่ งี ามของสังคมอนื่ ๆ มาสสู ังคมของตนเองดวย
ดงั น้ัน จะเห็นไดวา ปรัชญาเปนวิชาที่ศกึ ษาเรื่องมนุษย โลกธรรมชาติและชีวิตแบบรวมๆกัน
พยายามประมวลเหตกุ ารณแ ละความรูต า งๆเพอ่ื หาขอยตุ ทิ ีแ่ นนอนและปรัชญามไิ ดวาเร่ืองของความรู
อยางเดียวแตปรชั ญาพยายามคน ควา แสวงหาสงิ่ จริงความรทู แี่ นนอนทส่ี ามารถอธบิ ายทกุ อยา งได
จากความหมายโดยศพั ทข องคาํ วา ปรัชญา ดงั กลาวขา งตน เราจะพบวาปรัชญาเปนเรื่องราวของการ
ใชปญญาเพื่อไตรตรองในส่ิงท่ีตนยังสงสัย หรือในส่ิงที่ตนยังคิดวาเปนปญหาอยู และเปนการพยายาม
ใชปญญาไตรตรองถงึ คําตอบท่เี ปนไปไดสาํ หรับปญหาท่ตี นยังคิดติดใจสงสัย ดังนั้นปรัชญาจึงเปนเรื่อง
ของผใู ชปญญา ผูทไี่ มยอมรับสง่ิ ใดโดยงายดาย และเปน ผทู ี่สงสยั ใครร ตู ลอดเวลา ดว ยเหตุดังกลาว เรา
อาจจะกลา วไดวา ปรชั ญาเกดิ ขึน้ พรอมกบั มนุษยน่ันเอง ท่ีกลาวเชนนี้ก็เพราะวา มนุษยนั่นเองเปนผูมี
๕ คณู โทขันธ, ปรัชญาเบอื้ งตน, (ขอนแกน : ภาควชิ ามนษุ ยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร,
๒๕๒๗), หนา ๕.
๑๒
ปญญา ดังนนั้ เมอ่ื ไดช่ือวาเปนมนุษยก็ตองเปนผูมีปญญา และเม่ือเปนผูมีปญญาก็ตองเปนผูรักการใช
ปญญาคือ มีความปรารถนาจะฉลาด หรือมีความปรารถนาจะรูในสิ่งท่ีตนไมรู หรือมีความสงสัยจึง
มองเห็นปญหาอยูตลอดเวลา และมีความปรารถนาจะรูในส่ิงที่ตนไมรู หรือมีความสงสัยจึงมองเห็น
ปญหาอยูตลอดเวลา และมีความปรารถนาจะหาคําตอบท่ีเปนไปไดกับส่ิงทตี่ นยังสงสัยอยูดวย ดวย
เหตุดังกลาวแมแตมนุษยดึกดําบรรพจวบจนทุกวันน้ีลวนแตมีปรัชญาทั้งส้ิน อยางไรก็ตาม เราไม
อาจจะทราบไดแนนอนวา อะไรคอื ปญ หาของมนุษย สมยั เร่ิมแรกคอื เมอื่ ๕๐๐,๐๐๐ ปมาแลว ซงึ่ เปน
ขณะเวลาที่นักวิทยาศาสตรเชื่อกันวา มนุษยไดถือกําเนิดขึ้นจากสัตวชั้นสูง จึงจัดวาเปนยุคกอน
ประวัตศิ าสตรท ี่ยังไมม ีการบันทกึ เรื่องราวตาง ๆ ไว แตเราก็เชื่อวา มนุษยดึกดําบรรพก ็เร่ิมมีปญหาท่ี
ตนสงสัย และมีการพยายามหาคาํ ตอบสาํ หรับปญ หาเหลา นน้ั ไวเชนกัน
๕. ขอบเขตการศึกษาวิชาปรัชญา
จากการศึกษาวิวัฒนาการของปรัชญาตามแหลงอารยธรรมของโลกดังกลาวขา งตน ยอมเปน
หลักฐานยืนยันไดวา เนื้อหาของปรัชญาน้ันกวางขวางมาก บางคร้ังนักปรัชญาตริตรองเกี่ยวกับ
ปรากฎการณธรรมชาติบางครั้งนักปรัชญาตริตรองเกี่ยวกับวิธีคิดของมนุษย บางครั้งนักปรัชญาตริ
ตรองเกี่ยวกับปญหาสันติสุขของสังคมรวมทั้งการเมืองและการปกครอง บางคร้ังนักปรัชญาตริตรอง
เก่ยี วกับปญหาเรื่องการเวยี นวา ยตายเกิดในกองทุกข และการพน ทกุ ข ดงั น้ัน จึงไมอาจกําหนดเนื้อหา
ของปรัชญาลงไปไดแนนอนนอกจากนี้ลักษณะสําคัญอกี ประการหนึ่งของปรัชญาก็คอื แมแตคําตอบ
ตอปญหาอันเดียวกันน้ัน อาจมีคําตอบท่ีเปนไปไดหลายคําตอบโดยยังไมมีการกําหนดหรือยอมรับ
กันลงไปวาคําตอบใดเปนคําตอบท่ีถูกตองท่ีสุด วิชาปรัชญาถือวา คําตอบทุกคําตอบเปนไปไดทั้งสิ้น
เชน ตอปญหาท่ีวาโลกน้ีกําเนิดข้ึนมาอยางไรฝายท่ีเชื่อพระเจาตอบวา พระเจาสรางทาเลสตอบวา
วิวัฒนาการมาจากน้ํา นักวิทยาศาสตรเชื่อวาวิวัฒนาการมาจากการรวมตัวของอะตอม วิชาปรัชญา
ยอมรับทุกคาํ ตอบและอาจเปนไปไดทกุ คําตอบ และในอนาคตอาจมคี ําตอบทตี่ างไปจากน้ี ดงั น้ันจาก
การศึกษาวิชาปรัชญาจึงมีเพียงศึกษาปญหาตาง ๆ ท่ีมนุษยไดตริตรองแตยังศึกษาถึงแนวคําตอบที่
เปนไปไดหลายคาํ ตอบสําหรบั ปญหานั้น ๆ ดว ย๖
จากลักษณะของปรัชญาท่วี า เปนวิชาท่ีวาดวยปญหาตาง ๆ ทีม่ นุษยไดเ คยสงสัยและเคยให
คําตอบตางๆไวแลว จะพบวา แทจริงแลววิชาการอน่ื ๆ กเ็ ริ่มจากการเปนปญหาในวิชาปรัชญาน่ันเอง
ตวั อยางเชนเน้ือหาของวิชาวิทยาศาสตรคอื เร่ืองปรากฎการณธรรมชาตินั้นกเ็ ริ่มจากการเปนปญหา
ของปรัชญาน้นั เอง เชนทาเลสเคยตอบปญหามาแลว ปรากฎการณธรรมชาติทั้งหลายวิวัฒนาการหรือ
เปลีย่ นแปลงมาจากสารเบอ้ื งตนคือนํ้า อยา งมีกฎเกณฑข องการเปล่ียนแปลงที่แนนอนตายตวั และนัก
๖ พระพิทักษิณคณาธกิ ร, ปรชั ญา, (กรงุ เทพฯ : สาํ นักพิมพดวงแกว , ๒๕๔๔), หนา ๑๔.
๑๓
ปรัชญารวมสมัยกบั ทาเลสก็พยายามใหค ําตอบไวหลายคําตอบแตกตางกนั ออกไป ดังน้ันปรัชญาสมัย
กรีกโบราณเชน ปรชั ญาของทาเลสในวิชาวิทยาศาสตรถือวา เปนวิทยาศาสตรดกึ ดาํ บรรพ คร้ันตอมา
เมือ่ มกี ารคน ควาเก่ียวกบั ปรากฎการณธรรมชาติลึกล้ํายิ่งข้ึนและกวางขวางยิ่งขึ้น และไดวิวัฒนาการ
วิธีการศึกษายิ่งขึ้น รวมทั้งมีการใหคําตอบท่ียอมรับตรงกันข้ึนวิชาเกี่ยวกับปรากฏการณธรรมชาติก็
กลายมาเปนวิชาวิทยาศาสตรทเ่ี ปนศาสตรเฉพาะตัว ไมเกีย่ วของกับวิธีการที่นักปรัชญาใชสําหรับให
คําตอบเก่ียวกับปรากฎการณธรรมชาติอีกตอไป และปญหาเก่ียวกับปรากฎการณธรรมชาติก็
กลายเปนเนื้อหาท่ีมีคําตอบคอนขางแนนอนในวิชาวิทยาศาสตร เสนทางของวิชาอื่นๆเชน วิชา
จิตวิทยาวิ ชารัฐศาสตร ก็มีเสนทางของการวิวัฒนาการท่ีเริ่มจากเปนปญหาที่นักปรัชญาไดริเริ่มตริ
ตรองข้ึน เชน เพลโต ขงจื๊อ กลาวถึงทฤษฎีการเมืองการปกครองมาแลวนับแตอดีตอันไกลโพน เรา
คาดกันวาศาสนาเปนวิชาแรกท่ีแยกตัวออกจากปรัชญา โดยเม่ือมหี ลักปฏิบัตทิ ่ีแนนอนมวี ิธีการที่เปน
แบบแผนของกนั เอง รวมท้ังมกี ารถา ยทอดคาํ สัง่ สอนของทางศาสนาของตนเอง ศาสนาก็แยกจากการ
เปนเพียงปญหาและคําตอบทต่ี รติ รองกนั ในหมูนกั ปรชั ญา
แมปรัชญาจะเปนศาสตรท่ีมีขอบขายกวางขวางมากดังที่ไดกลาวถึงมาแลว แตในปจจุบัน
พอจะกลาวไดวา ปรัชญาศึกษาเรื่องใหญ ๆ ๕ เร่ืองดวยกัน หรืออาจกลาวไดวา วิชาปรัชญา แบง
ออกเปน สาขาใหญ ๆ ๕ สาขา คือ๗
๑. อภิปรัชญา (Metaphysics)
อภปิ รชั ญาเปน สาขาทวี่ าดว ยความเปนจริง (reality) โดยศึกษาวาโลกและจักรวาล ตลอดจน
ธรรมชาติของมนุษยมีความเปนจริงอยางไร ความเปนจริงที่อภิปรัชญาแสวงหานั้นเปนความจริง
สุดทายอันเปนพื้นฐานที่มาของความจริงอ่ืนๆ เปนความจริงสูงสุดหรือที่เรียกวา อันติมสัจจะ
(Ultimate Reality)
๒. ญาณวิทยา หรือทฤษฎคี วามรู (Epistemology or Theory of Knowledge)
ญาณวิทยาหรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ทฤษฎีความรู เปนสาขาปรัชญาที่ศึกษาเพ่ือหาคําตอบ
วา เรารูความเปน จริงไดอยางไร ความรูทถ่ี ูกตองมีลักษณะอยางไร อะไรคือลักษณะทวั่ ไป ของความรู
มนษุ ยเ รารคู วามจริงไดแ คไหน และความรไู ดมาทางใด เปนตน
๓. จริยศาสตร หรอื จริยปรัชญา (Ethics or Ethical Philosophy)
จริยศาสตรหรือจริยปรัชญา เปนสาขาปรัชญาที่ศึกษาเก่ียวกับความดี ความชั่ว ความถูก
ความผดิ ตลอดจนศกึ ษาวา อะไรเปน สิง่ ดที สี่ ุดสําหรับชวี ิต มนษุ ยค วรแสวงหาอะไร และควรทาํ อยางไร
จึงจะไดช่ือวาเปนคนดี ความดีความช่ัวมีจริงหรือไม หรือเปนเพียงสิ่งสมมุติมีมาตรการตายตัวอะไร
๗ สุจิตรา ออนคอม, รองศาสตราจารย ดร., ปรัชญาเบื้องตน, (กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรและ
สงั คมศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบุรี, ๒๕๔๘), หนา ๙-๑๐.
๑๔
หรือไมท่จี ะตดั สินคณุ ธรรมความดี และถามี มาตรการดังกลาวนั้นคอื อะไรจริยศาสตรจึงเปนเร่ืองของ
ความสัมพันธทมี่ นษุ ยม ตี อ ตวั เองและตอผูอ ่นื
๔. ตรรกวทิ ยา หรอื ตรรกศาสตร (Logic)
ตรรกวิทยา หรือตรรกศาสตร เปนสาขาปรัชญาที่วาดวยเหตุผลและการใชเหตุผลศึกษา
กฎเกณฑของการอา งเหตผุ ล ความถูกผิดในการโตแยง จุดบกพรองในการเสนอเหตผุ ลการอางเหตุผล
มีไดก ี่วิธี แตละวิธีมีลักษณะและขอดีขอเสียของตนอยางไร การอา งเหตุผลอยางไรจึงจะสมเหตุสมผล
เปนตน
๕. สนุ ทรยี ศาสตร (Aesthetics)
สุนทรยี ศาสตรเปนสาขาปรัชญาที่ศึกษาเก่ยี วกับคาทางสุนทรียะหรือความงามของส่ิง ตา ง ๆ
ในโลก รวมท้งั ความงามของผลงานทางศิลปะวาคืออะไร มอี ยูจริงหรือไม หรือเปนเพยี งความรูสึกของ
มนุษยและความงามน้นั มลี ักษณะเปนอตั วสิ ยั หรือวตั ถุวิสยั เปน ตน
๖. ลกั ษณะของปรัชญา
ปรัชญามีลักษณะ ๓ ประการคอื
๑. ปรัชญามีลักษณะวิพากษ
๒. ปญหาปรชั ญาเปนปญ หาพืน้ ฐาน และ
๓. ปรัชญาแสวงหาโลกทศั น
ซ่งึ จะไดอ ธิบายในแตล ะลักษณะดงั ตอไปน๘ี้
๑. ปรัชญามลี กั ษณะวิพากษ
เนื่องจากปรัชญาเกิดจากความอยากรูอยากเห็นของมนุษย เพราะมนุษยเปนสัตวรูคิดแต
บางคร้ังความอยากรูอยากเห็นของมนุษยก็เกิดขึ้นเพราะมนุษยตองการหาความรูเพ่ือท่ีจะแกปญหา
เฉพาะหนา เชน มนุษยสมัยแรกเร่มิ อยากรูวา ทําอยางไรจึงจะเก็บรักษาเนื้อสัตวทล่ี ามาไดไ วกนิ นาน ๆ
โดยไมบูดเนา แตบางคร้ังความอยากรูอยากเห็นของมนุษยก็มิไดเกิดข้ึนจากสาเหตุดังกลาวน้ี เชน
ธาเลส บิดาแหงปรัชญาอยากรูธาตุแทของโลกเพียงเพราะอยากรู มิไดหวังผลอ่ืนใดจากความรูนั้น
ความอยากรูอยากเห็นเปนธรรมชาติอยา งหน่ึงของมนษุ ยใ นฐานะเปน สัตวรูคดิ จึงทําใหเกดิ การซกั ไซไล
เลียงไปเร่ือยๆ อยางไมมสี ิน้ สดุ จนทําใหเกดิ ปรัชญาข้ึนมา
ปรชั ญาจะซักถามทุกอยา งทีจ่ ะซกั ได เหตผุ ลเปนเครื่องมอื ของนกั ปรัชญาที่จะวิพากษวิจารณ
ทุกส่ิงทุกอยาง เดสก ารตส (Descartes ๑๕๙๐ – ๑๖๕๐) นักปรัชญาชาวฝร่ังเศสเปนตัวอยางที่ดีใน
การช้ีใหเห็นลักษณะวิพากษข องปรัชญา สําหรับฮูม (David Hume ๑๗๑๑ – ๑๗๗๖) น้ันการ
๘ วิทย วศิ ทเวทย, ปรัชญาทวั่ ไป, (กรงุ เทพฯ : สาํ นักพิมพอ ักษรเจริญทัศน, ๒๕๒๕), หนา ๑๖๖-๑๖๙.
๑๕
วิพากษวิจารณของเขาไดทาทายวิทยาศาสตรเพราะวิทยาศาสตรตั้งอยูบนพ้ืนฐานของวิธีการอุปนัย
(induction) ถาวิธีการนี้เช่ือถือไมได วิทยาศาสตรก็มีไมได และฮูมเปนผูวิจารณความถูกตองของ
วิธกี ารอันน้ี
โดยท่ัวไปเราเชื่อวา สิ่งท่ีเราเห็นและจับตองไดเทานั้นที่เปนจริง แตเพลโต (Plato ๔๒๗-
๓๔๗ B.C.) ไดวิพากษความเช่ืออันนี้ เขาไมมีเครื่องมืออันใดนอกจากเหตผุ ล แตกระน้ันก็มีผูอาน
จํานวนไมน อยท่ีอานทรรศนะของเพลโตแลวเร่ิมสงสัยความเช่ือเดมิ ของตนวาจะเปนจริงหรือไม หรือ
วาโลกแหงมโนคติ (World of Idea) ของเพลโตเปนจริงกวา
เน่อื งจากปรชั ญามีลักษณะวิพากษแ ละในการวพิ ากษว ิจารณน ั้นก็จําเปนอยูเองท่ีจะตองทําให
เกิดการกระทบกระเทอื นตอความเชื่อและความรูสึกด้ังเดิมของผูอาน ท้ังน้ีมิไดหมายความวา ผูอาน
จะตอ งมารับความเชอื่ ใหม อาจจะยงั คงไวซ ่งึ ความเช่ือเดิมแตใ นลกั ษณะที่รดั กมุ ยง่ิ ขน้ึ
๒. ปญหาปรัชญาเปนปญหาพน้ื ฐาน
ถาเรากลาววาปญหาที่หนึ่งเปนปญหาพ้ืนฐานกวาปญหาที่สอง หมายความวา มติ หรือ
ทรรศนะท่ีเรามตี อปญหาที่หนึ่งนั้นสงผลกระทบกับปญหาเร่ืองอืน่ ๆ มากกวาปญหาทีส่ อง สมมตุ ิเรา
ถามปญ หาที่สองวา คนเราควรแสวงหาอะไรใหชีวิต ปญหานเ้ี ปนปญหาพื้นฐานเพราะทรรศนะท่ีเรามี
ตอปญหาน้ีจะเปนตัวกําหนดการศึกษาของเรา การปฏิบัติตอเพื่อนมนุษย อาชีพการใชเวลาวาง
ตลอดจนอุดมคติทางการเมืองของเรา แตปญหานี้ยังมีลักษณะพ้ืนฐานนอยกวาปญหาท่ีหนึ่ง เชน
ปญหาวา จิตหรือวิญญาณของมนษุ ยม ีหรือไม
ปญหาที่หนึ่งเปนปญหาพ้ืนฐานกวาก็เพราะวามติที่มีตอปญหานี้จะเปนตัวกําหนดมติของ
ปญ หาทสี่ อง และยงั เปน ตวั กาํ หนดเร่ืองอ่นื ดว ย เชน อสิ รภาพของมนษุ ย ความแตกตางระหวางมนุษย
กับสัตว และสงิ่ ไรชีวิต และปญหาเร่ืองความรูของมนษุ ย เปน ตน
ตวั อยางเชน สมมุติเราเช่ือวาจิตหรือวิญญาณมีอยูจริง และเปนอีกอยางหน่ึงท่ีแตกตางจาก
รางกาย ความเห็นของเราเก่ียวกับความหมายของชีวิตก็จะออกมาในรูปปญญานิยมหรือวิมุตินิยม
หลักศีลธรรมของเราก็จะมีลักษณะเหมือนของคานท Immanuel Kant ๑๗๒๔ – ๑๘๐๔) ทฤษฎี
ความรูของเราจะเปนแบบเหตุผลนิยม (Rationalism) ถาเราไมเห็นดว ยอยางน้ีเทากับความเห็นของ
เราขดั แยง กนั เอง
ปญหาเร่ืองความจงใจหรือเจตจํานงเสรี (free will) ก็เปนปญหาพ้ืนฐาน ทรรศนะของเรา
เกี่ยวกับปญหานี้จะโยงไปถึงทรรศนะของเราเก่ียวกับศีลธรรม กฎหมาย การลงโทษ การใหรางวัล
ตลอดจนปญหาสังคม เชน ถาเราเชื่อวามนุษยไมมีเจตจํานงเสรี เราก็ตองเห็นวามนุษยไมตอง
รับผดิ ชอบตอ การกระทําของตัวเขาเอง เราไมค วรสรรเสริญหรือประณามเขา อาชญากรเปนคนพิการ
ทางจติ มากกวาที่จะเปนคนเลว จึงควรสงเขาไปโรงพยาบาลโรคจติ แทนท่จี ะสงเขาเขา คกุ ตะราง ถาเรา
๑๖
ตอ งการแกปญหาสังคมเราก็ตองแกทส่ี ่ิงแวดลอมภายนอก เปนตน แตถาเราคิดวามนุษยมีเจตจํานง
เสรี ทรรศนะดังกลาวก็ตองไปอีกทางหน่งึ
๓. ปรชั ญาแสวงหาโลกทัศน
การโตแยงกันเกีย่ วกับปญหาพ้ืนฐานน้ันเราไมสามารถจะตดั สินใหเดด็ ขาดลงไปไดวาฝายใด
ผิดฝายใดถูก แตป ญหาเหลา นีก้ ็เปนปญ หาสําคัญ ทง้ั นเี้ พราะวา ทรรศนะที่เรามีตอปญหาเหลานี้จะเปน
ฐานทที่ ําใหทรรศนะของเราในเรื่องโลก มนษุ ย สงั คม และความหมายของชีวติ เปนไปในอกี แนวหน่งึ
เมื่อความรูทางวิทยาศาสตรยังไมสามารถพิสูจนไดวา ทรรศนะใดถูก ทรรศนะใดผิดเราจึง
จําตอ งยึดอันใดอันหนึ่งดวยความเชื่อ ความเชื่อของคนๆ หน่ึงน้ันมมี ากมายหลายเรื่อง เชน ศลี ธรรม
คา ของชีวิต อุดมการทางการเมือง ศาสนา ศลิ ปะ ฯลฯ ในเร่ืองตางๆ เหลาน้ีบางที่เราพิสูจนไมได เรา
จําตองเชอ่ื ตอนนป้ี รัชญาจะเขามามสี ว นคือ ปรชั ญาจะชวยทําใหความเช่ือของเราเปนระบบ กลาวคือ
ชวยทําใหความเช่ือในเรื่องตางๆ ของเราสอดคลองเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน ไมขัดแยงกัน และความ
เชอ่ื ของเราจะกลมกลืนกันไดก็ตอเม่อื มีหลักบางหลักเปนจุดรวมกันนั่นคือ เราจะตองมี ทรรศนะ เปน
พื้นฐานรองรับความเชื่อเหลาน้ัน วิชาปรัชญาพยายามทจี่ ะใหพ้ืนฐานอันน้ีแกเรา น่ันกห็ มายความวา
ปรชั ญาชวยใหเ ราแสวงหาโลกทัศน
โลกทศั น คือความเชอ่ื อนั เปนระบบ ในวถิ ีชวี ิตของคนๆ หนึง่ เขาอาจพดู คดิ ทาํ อะไรตออะไร
หลายอยาง แตถาเขาเปนคนคงเสนคงวา ความหลายหลากนี้จะเปนเพียงภาพสะทอนของทรรศนะ
พืน้ ฐานอันเดียวกัน ทรรศนะพ้ืนฐานน้ีแหละคือโลกทัศนของคนๆ น้ัน ทุกคนมีโลกทัศนไมวาเจาตัวจะ
รูหรือไมก็ตาม ปรัชญาจะชวยใหเราเห็นโลกทัศนของเราชัดข้ึน ทั้งนี้ก็โดย การวิเคราะห
วพิ ากษว จิ ารณ และการถกเถียงปญหาอันเปนพื้นฐาน
โลกทัศนเปนตัวกาํ หนดทิศทางของชีวิตแตล ะคน และเปนตวั กําหนดทิศทางของสังคมมนุษย
ดว ย ถาเราเห็นเรือลําหนึ่งกําลังแลนอยูในทะเล ปจจัยท่ีอธิบายการแลนของเรือลําน้ีมี สองอยางคือ
(๑) เครื่องยนตทําใหแ ลนไปได (๒) จุดหมายปลายทางท่ีเรือลําน้ันจะแลนไป ถา ไมมีสองอยางนี้พรอม
กัน การแลนของเรือก็คงไมเกิดข้ึน ชีวิตมนุษยก็เชนกัน ในการเดินทางของ นาวาชีวิต ความรูทาง
วิทยาศาสตรเปรียบเสมือนเคร่ืองยนต แตส่ิงท่ีกาํ หนดทิศทางคือโลกทศั น ซึง่ จะเปนตัวช้ีทาง ความรู
เปนแรงผลักดันใหเ คลื่อนไป ดังนน้ั จึงกลา วไดว า ไมมีผูใดทไี่ มมโี ลกทศั น
๗. ปญ หาสําคัญทางปรัชญา
นกั ปรชั ญาในแตล ะยคุ แตล ะสมยั ยอมคดิ ปญหาทางปรัชญาท่ีแตกตา งกัน ท้งั น้ีเพราะอิทธิพล
ของสิ่งแวดลอ มรอบๆ ตัวนักปรชั ญานน้ั ๆ นกั ปรัชญายอมมีอิสรภาพเสรีในการคดิ และคนหาความจริง
ตามแนวทางแหงความเช่ือและประสบการณของตนเอง ดงั นั้นปญหาทางปรัชญาท่นี ักปรัชญาและมุง
แสวงหาความจริงจึงแตกตางกันตามยุคสมัยและสภาพแวดลอมทางสังคม ปญหาสําคัญทางปรัชญา
๑๗
นั้นมีมากมาย และคําตอบที่นักปรัชญาพยายามตอบปญหานั้นๆจึงเกิดเปนสาขาหน่ึงๆ ของนัก
ปรัชญาขึ้น พอสรุปไดด งั นี้๙
๑. ปญหาเร่ืองความจริง เชน ความจริงคืออะไร ความจริงมีธรรมชาติเปนอยางไร
เปล่ียนแปลงหรือไมเปนจิตหรือสสาร หรือเปนทั้งจิตและสสาร ความจริงมีอยูดวยตัวมันเองหรือ
สัมพันธก ับสงิ่ อื่นเปน ตน ปญ หาเร่ืองความจริงนี้เปนการศึกษาถงึ ธรรมชาติของสิ่งตางๆที่ปรากฏอยูใน
โลกจงึ กลายเปนวชิ าอภปิ รชั ญาหรอื ภววิทยา
๒. ปญหาเร่ืองความรู เชน ความรูคืออะไร ความรูของมนุษยเกิดมาจากไหน ความรูมี
ลกั ษณะอยางไร ความรูนัน้ ผดิ ถกู อยา งไร ความรูเปนเรื่องของจิตหรือสสาร เปนตน ปญหาเรื่องความรู
นี้กลายเปนวิชาญาณวิทยา
๓. ปญ หาเร่ืองคุณคา เชน คุณคา คืออะไร คุณคามีจริงหรือไม คณุ คา มีไดด วยตวั มนั เองหรือ
ถกู มนษุ ยก ําหนดขนึ้ มา เปนตน ปญ หาเร่ืองคุณคาน้กี ลายเปนวชิ าคณุ วิทยาอนั มขี อบขายคลมุ ไปถึง
๓.๑ ปญ หาเรอื่ งความประพฤติ เชน ความดคี ืออะไร ความชั่วคืออะไร เหตใุ ดมนุษย
จึงตอ งทําความดี ดชี ่ัวมผี ลตอสงั คมมนษุ ยอยางไร มนั กลายเปนวิชาจริยศาสตร
๓.๒ ปญหาเร่ืองความงาม เชน ความงามคืออะไร ศิลปะคืออะไร ความงามนั้นมอี ยู
ดว ยตัววัตถุหรอื มนุษยก าํ หนดขนึ้ อันกลายเปนวิชาสนุ ทรียศาสตร
๓.๓ ปญหาเร่ืองเหตุผลและขอเทจ็ จริง เร่ืองนี้เปนปญหาที่นําไปสูการเปนเครื่องมือ
อันสําคญั ทางปรัชญา กลาวคอื เมือ่ มกี ารทะเลาะวิวาทโตเ ถียงกันเกิดขน้ึ ในเรื่องใดๆ จะตองมกี าร
เปรียบเทยี บ พิสูจนขอ เท็จจริงในเร่ืองน้ันๆ โดยอาศัยเหตผุ ลเปนเครื่องสนับสนุนอันกลายเปนวิชา
ตรรกวิทยา
จากลักษณะดังกลา วขางตนโดยแวดวงหรือขอบเขตของวิชาปรัชญานั้นกวา งขวางมากปญหา
ตา ง ๆเร่ิมตริตรองในหมนู ักปรัชญาทัง้ ส้ิน แตตอ มาปญหาบางปญหาก็แยกตัวออกไป โดยถูกศกึ ษาให
กวางขวางยง่ิ ขึน้ ศึกษาดว ยวธิ ีการทไี่ ดพ ฒั นาขนึ้ โดยเฉพาะและมีคาํ ตอบที่ยอมรับวาแนนอนพอสมควร
ปญ หานัน้ ก็กลายเปน ปญ หาของศาสตรหรือวชิ าอีกแขนงหนึ่ง เชน วิชาวทิ ยาศาสตร วิชาจิตวิทยา วิชา
รัฐศาสตร ดว ยเหตดุ ังกลาวในปจจุบันนี้เราสามารถกําหนดขอบเขตของปญหาท่ียังเปนปญหาปรัชญา
อยูได หรือเราสามารถกําหนดขอบเขตของปญหาที่ยังเปนปญหาที่นักปรัชญาศึกษากันมากท่ีสุด โดย
วิธีทีว่ ชิ าอืน่ ๆ ยังไมไดมงุ มน่ั ท่ีจะศกึ ษาปญหาเหลา นีท้ ้ังน้ีขอบเขตของปญหาปรัชญา๑๐
ปญ หาปรชั ญาท่ียงั จัดเปนปญ หาจรงิ ๆ เพราะยงั ไมม ีการถกู แยกออกไปศึกษาอยางกวา งขวาง
และมีคําตอบที่แนนอนตายตัวพอที่จะแยกเปนวิชาตางหากออกไป ปญหาสวนนี้จึงเปนเน้ือหาของ
๙ กรี ติ บุญเจือ, ปรัชญาเบ้ืองตน และ ตรรกวทิ ยาเบื้องตน , (กรุงเทพฯ : ผดุงวิทยาการพมิ พ, ๒๕๑๒),
หนา ๕๐.
๑๐ วโิ รจ นาคชาตรี, รศ., ปรชั ญาเบือ้ งตน , (กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๕๒), หนา ๑๐-๑๗.
๑๘
ปรัชญาจริง ๆ ที่ไมตองมีเนื้อหาเกยี่ วขอ งกับผลสรุปของวิชาอน่ื ๆ ท้งั น้ีเราเรียกกันวาเปนปญหาหรือ
ขอบเขตปรชั ญาบรสิ ุทธ์ิ (Pure Philosophy)
ปรชั ญาบริสุทธิ์ หมายถึงปญหาเรอื่ งขอบเขตของปรัชญาท่เี ปนเร่ืองของปรัชญาโดยเฉพาะไม
เก่ียวของกับขอสรุปของวิชาอ่ืน ๆ ท่ีแยกตัวออกไปจากวิชาปรัชญา ปรัชญาบริสุทธิ์ศึกษาถึงปญหา
เกยี่ วกบั ความเปนจรงิ ในประเด็นปญ หาตอไปนี้
๑. ความเปน จรงิ คอื อะไร (What is Reality?)
นักศึกษาสามารถเขา ใจเร่ืองความเปนจริงไดดขี ้ึน ถาไดศึกษาจากตัวอยางตอไปน้ี เมื่อเวลา
นักศึกษาจุมไมล งไปในนํ้า ไมในน้ําน้ันปรากฏแกสายตาของนักศกึ ษาคือไมโคง งอ ซึ่งถาเราเชื่อผัสสะ
เราก็จะตองเช่ือวาลักษณะที่แทจริงของไมคอื โคง งอ แตเรารูวาในความเปนจริงของไมแลว ไมนั้นตรง
ดงั น้ันภาพปรากฏของไมในนํ้าคือโคงงอ แตความเปนจริงของไมคือตรง โดยท่ัวไปก็เชนเดยี วกัน เรา
เชื่อกันวาลักษณะที่ปรากฏของโลกตอผัสสะของเราเปนลักษณะท่ีแทจ ริงของโลก หรือเราเชื่อกันวา
โลกท่ีเราเห็นคือความเปนจริง เราไมสงสัยเลยวาโลกเบ้ืองหลังลักษณะที่ปรากฏตอผัสสะของเรา
อาจจะแตกตา งออกไปจากนี้ ดังนั้น น่ันหมายความวาความเปนจริงคือสิ่งตรงกันขามกบั ส่ิงท่ปี รากฏ
แตคนโดยทั่วไปยอมรับวาสิ่งท่ีปรากฏคือความเปนจริง โดยไมไดสงสัยวามีความเปนจริงท่ีซอนอยู
เบ้ืองหลัง แตนักปรัชญานั้นยังสงสัยตอไปวา อาจมีความเปนจริงบางอยางซอนเรนอยูเบื้องหลัง
ปรากฎการณ เชน ทาเลสเชอ่ื วาสง่ิ ทซ่ี อนเรนอยูเบื้องหลังปรากฏการณธรรมชาติท้งั หลายคอื นํ้าดังน้ัน
น้ําคือความเปนจริง ดงั น้ัน การศึกษาเรื่องความเปนจริงคืออะไร คือการศึกษาทม่ี ีวัตถุประสงคจะทํา
ใหก ระจางแจงวาสิ่งทบ่ี รรจุอยูในอวกาศและเวลาตามทมี่ นุษยไดรับรูหรือไดเห็นอยูทุกวันน้ีเปนเพยี ง
ส่งิ ปรากฏของสง่ิ อน่ื ที่มคี วามเปนจรงิ มากกวา หรือตัวของมนั เปนความจริงแลว และไมม ีความเปนจริง
อื่นใดท่ีนอกเหนือไปจากน้ี หรืออาจกลาวไดวาความเปนจริงคืออะไร ? คือปญหาที่นักปรัชญาตองตริ
ตรองวาอะไรคอื ส่ิงท่ีจริงที่สุด หรืออะไรคือความแทจริงที่สิ้นสุด ทไ่ี มมีอะไรจริงไปกวานั้นอีกแลวหรือ
ถาจะอธิบายงาย ๆ คือปญหาท่ีตริตรองถึงสัจธรรมของส่ิงท้ังหลาย ปญหาทั้งหลายปรัชญาท่ีศึกษา
เรอ่ื งความเปนจริงคอื อะไร นเี่ รยี กกันวา เปนปญหาอภิปรัชญา (Metaphysics)คือ ศกึ ษาเหนือไปกวา
ปรากฎการณท างกายภาพของโลกหรือสรรพสิง่ ดังนั้นอภิปรชั ญาคือสาขาแรกของปรัชญาบริสุทธิ์หรือ
เปนปญ หาเกี่ยวกับความเปนจรงิ ปญหาแรก
จากคําอธบิ ายขางตน จึงสรุปไดว า ปญ หาอภปิ รัชญาคือปญหาท่อี ะไรคอื ความเปนจริง มุง ทจ่ี ะ
สืบคนถึงสิ่งท่ีจริงที่สุดที่อาจซอ นอยูเบ้ืองหลังปรากฎการณของลกู ที่ปรากฏตอผัสสะของมนุษย โดยมี
สมมุติฐานวามนุษยสามารถไลเลียงโลกต้ังแตภาพทป่ี รากฏไปจนถึงสารเบื้องตน ซ่งึ ซอนอยูเบ้ืองหลัง
ปรากฎการณทง้ั หลายของโลกได ซงึ่ นักปรัชญาบางคนก็เช่ือวาสารเบ้ืองตนของโลกอาจมีอยูประเภท
เดยี ว บางคนกเ็ ชอ่ื วามีสองประเภท บางคนก็เชื่อวามีตง้ั แตสามประเภทขึ้นไป ดังนั้นคาํ ตอบตอปญหา
ท่วี าอะไรคอื ความเปนจริงของโลกอาจจะแบง ไดเปน ๓ แนวคาํ ตอบในเบื้องตน ดังนี้
๑๙
๑. สารเบื้องตนท่ีเปนความจริงและซอนอยูเบื้องหลังปรากฏการณของโลกมีเพียงประเภท
เดียวเรยี กวาทฤษฎีเอกนยิ ม
๒. สารเบ้อื งตน ท่ีเปนความเปนจรงิ และซอนอยูเบ้ืองหลังปรากฎการณของโลกมีสองประเภท
เรียกวาทฤษฎีทวนิ ิยม
๓. สารเบ้ืองตนท่ีเปนความเปนจริงและซอนอยูเบื้องหลังปรากฏการณของโลกมีต้ังแตสาม
ประเภทขึ้นไปเรียกวา ทฤษฎีพหุนยิ ม
อยางไรก็ตาม ยังมีความเห็นแตกตางกันในหมูนักปรัชญาอีกดวยวา สารเบ้ืองตนมีลักษณะ
เปนจิตกลาวคอื เช่ือวาจิตเปนส่ิงเร่ิมแรก และอยูเบ้ืองหลังปรากฏการณทั้งหลายของโลกเรียกวาฝาย
จติ นยิ ม หรือบางคนเชือ่ วาสารเบอ้ื งตน มลี กั ษณะเปน สสารกลาวคอื เชอ่ื วาสสารเปนสิ่งเริ่มแรกและอยู
เบ้ืองหลังปรากฏการณท้ังหลายของโลกเรียกวา ฝายสสารนิยม ดังน้ัน แนวคําตอบเก่ียวกับสาร
เบื้องตน ๓ แนวดงั กลาวขางตนสามารถแยกอยา งละเอยี ดออกไปไดเ ปน ๕ แนวคําตอบ
๑. เอกนิยมจิตนิยม เปนแนวคําตอบที่มีความเห็นวาสารเบื้องตน มีเพียงประเภทเดียวและมี
ลกั ษณะเปนจิต
๒. เอกนิยมสสารนิยม เปน แนวคําตอบท่มี ีความเห็นวา สารเบ้ืองตน มีเพยี งประเภทเดยี วและ
มลี กั ษณะเปน สสาร
๓. ทวินิยม เปนแนวคําตอบท่ีมีความเห็นวา สารเบ้ืองตนมีสองประเภทคือจิตกับสสา รเปน
สารเบอ้ื งตน คกู ันมาแตเ ร่มิ แรก
๔. พหุนิยม เปนแนวคําตอบที่มีความเห็นวา สารเบ้ืองตนมีต้ังแตสามประเภทขึ้นไปและมี
ลกั ษณะเปน จิตทัง้ หมด
๕. พหุนยิ มสสารนยิ ม เปนแนวการคาํ ตอบที่มคี วามเห็นวาสารตง้ั ตน มสี ามประเภทขึ้นไปและ
สารเบือ้ งตน เหลานนั้ มลี กั ษณะเปนสสารทั้งหมด
การศกึ ษาเรอ่ื งความเปนจรงิ นัน้ นกั ปรัชญามไิ ดศกึ ษาเฉพาะความเปนจริงของโลกเทาน้ัน แต
ยังศึกษาไปถึงความเปนจริงของจิตหรือวิญญาณทั้งนี้เราไมอ าจปฏิเสธไดวามนุษยมพี ฤติกรรมทางจิต
หลายอยางเชน ดใี จ เสียใจ หึงหวง และรูจิต ท่ีไดชื่อวาเปนบอเกดิ ของพฤติกรรมทางจิตเหลานั้นคือ
อะไรกันแน จิตคือตัวจิต จริง ๆ ท่ีเปนสิ่งท่ีแตกตา งจากสสารท้ังหลายและเปนอมตะ หรือเปนเพียง
สสารอยางหนง่ึ แตเ น่ืองจากเปนระบบที่ซับซอนจึงสามารถแสดงพฤติกรรมท่ีละเอยี ดออน เชน เสียใจ
และหึงหวงได นอกจากเร่อื งความเปนจริงของจิตหรือวิญญาณแลวมนุษยบางกลุมยังเช่ือในความมอี ยู
ของพระเจา นักปรัชญาจึงตองการที่จะตอบปญหาเกยี่ วกับพระเจาวา พระเจาคืออะไร พระเจามีจริง
หรือมแี ตเพยี งความคิดเกี่ยวกบั พระเจา ของมนุษยเ ทา นน้ั แตพระเจาจริงไมม อี ยู ดังนั้น ปญหาเก่ียวกับ
ความเปนจรงิ คอื อะไรหรอื ปญหาอภิปรชั ญาสามารถจําแนกเปน ๓ ปญ หาดงั น้ี
๑. อภิปรัชญาวา ดวยพระเจา หรอื ปรัชญาเทวะ
๒๐
๒. อภปิ รัชญาวา ดวยจิตหรอื ปรชั ญาจิต
๓. อภปิ รัชญาวาดวยธรรมชาติหรอื โลกหรือปรัชญาจกั รวาล
๒. เรารคู วามเปน จริงไดอยางไร (How to know Reality?)
ปญหานี้ดูไมเปนปญหาสําหรับคนท่วั ไปเชนเดยี วกัน ท้ังนี้เพราะโดยท่ัวไปยอมรับกันอยางไม
สงสัยเลยวาโลก หรือส่ิงภายนอกคือความเปนจริงแลว มิใชสิ่งปรากฏของความเปนจริงหรือสาร
เบื้องตนท่ีซอนอยูเบ้ืองหลัง นอกจากนี้ยังยอมรับอยางไมสงสัยวา ถาโลกท่ีปรากฏคือความเปนจริง
มนุษยก็มสี มรรถภาพพอที่จะรบั รโู ลกอยา งที่โลกเปน หรือความรูเกย่ี วกบั โลกของมนุษยน้ันตองตรงกับ
ขอ เทจ็ จรงิ ของโลกเสมอ อยางไรก็ตาม สําหรับนักปรัชญาแลวยังมีปญหาของใจอยูวา อาจมีความเปน
จริงอ่ืนไดที่จริงกวาภาพปรากฏของโลกกลาวคอื โลกววิ ัฒนาการมาจากสารเบ้ืองตนบางอยาง ดังนั้น
ถามีความเปนจริงบางอยางซอนเรนอยูนอกขอบเขตของประสาทสัมผัส มนุษยมีสมรรถภาพไหนบาง
ไหมท่ีสามารถหยั่งรูเลย ภาพปรากฏของโลกไปสูความเปนจริงนั้นตอ ปญหาดังกลาว โซฟสตเคยตอบ
มาแลววามนษุ ยไ มม ีสมรรถภาพใดทีส่ ามารถทาํ ใหมนษุ ยร ทู ะลไุ ปถึงความเปนจริงน้นั ไดแตเพลโต และ
อริสโตเติล้ เชื่อวามนุษยมีความสามารถพอที่จะรูทะลุไปถงึ ความเปนจริงน้ัน ไดกลาวโดยสรุปปญหา
ที่วาเรารูความจริงไดอยางไร คือปญหาท่ีสืบเนื่องมาจากปญหาอภิปรัชญาท่ีวา ถาความรูเปนจริง
แตกตางจากภาพปรากฏของโลก มนษุ ยจ ะมีสมรรถภาพไหนบางทีพ่ อจะทาํ ใหมนุษยรูถงึ ความเปนจริง
ดงั กลาวได ปญหาดงั กลาวนั้นทางปรชั ญาเรียกวา เปนปญหาเกยี่ วกบั บอเกดิ ของความรู (The origin
of Knowledge)ตอปญหาดังกลาวมีแนวคาํ ตอบสําคญั อยู ๒ แนวคือ
๑. ทฤษฎเี หตุผลนยิ ม (Rationalism) เปนแนวคําตอบท่มี ีความเหน็ วาเหตุผล (Reason) คอื
บอ เกดิ ของความรทู ี่ถกู ตอง
๒. ทฤษฎปี ระสบการณน ิยม (Empiricism) เปน แนวการตอบทม่ี คี วามเหน็ วา ประสบการณ
คือ บอเกดิ ของความรูท ี่ถกู ตอ ง
นอกจากนี้ โดยท่วั ไปมักจะยอมรับกันอยางไมสงสัยเลยวา ความรูเก่ียวกับโลกภายนอกของ
มนุษยน ้นั ตองตรงกันหรือสอดคลองกันกบั ขอเทจ็ จริงของโลกภายนอก เชน ถามนุษยรูวาดอกกุหลาบ
มกี ล่ินหอม มนุษยก ม็ กั จะยอมรับกนั อยางไมสงสัยวา มดี อกกุหลาบทีม่ ีกล่ินหอมจริง ๆ และมนุษยรับรู
ขอ เทจ็ จริงดงั กลา วไดตรงกันกบั ขอ เท็จจรงิ นนั้ นั่นคอื โดยทัว่ ไปยอมรับความเปนจริงของโลกอยางเปน
อิสระจากการรับรูของมนุษยและการรับรูของมนุษยคือการถายทอดขอเท็จจริงของโลกเทาน้ันเอง
มนุษยจึงเปนฝายดูดซึมขอมูลเกี่ยวกับโลกหรือความรูเก่ียวกับการท่ีมนุษยดูดซับขอเท็จจริงของโลก
เทา นั้น แตเ นอ่ื งจากนักปรัชญาบางกลุมยังสงสัยวามนุษยไมไดเปนเพยี งฝายดดู ซับขอเทจ็ จริงของโลก
เทา นน้ั แตม นุษยนนั่ เองเปนผูสรางความรูเก่ยี วกับโลกข้ึนมาดว ยตวั เองหรือกลาวอีกนัยหนึ่งวา ขอมูล
เก่ียวกับโรคนั้นมาจากการกาํ หนดของมนุษยโดยเปรียบเทียบกับขอเท็จจริงที่วาถามนุษยทกุ คนสวม
แวนตาสีเขียว โลกที่ปรากฏแกมนุษยคือโลกที่มีสีเขียว ดังน้ัน สีเขียวของโลกถูกกําหนดโดยมนุษยผู
๒๑
สวมแวนตาสเี ขยี ว และถามนุษยสวมแวนตาสีเขยี วโดยไมถอดเลยมนั ก็ตองมีความเช่ือรวมกันอยางไม
สงสัยวาโลกมีสีเขยี วท้ัง ๆ ท่ตี นเองเปน ผูกําหนดความมีสีเขียวใหกบั โลก กลาวโดยสรุปปญหาเกยี่ วกบั
ความรูในแงน ี้ก็คือปญหาทวี่ า ความรขู องมนุษยสัมพันธกับความเปนจริงอยางไรความรูของมนุษยตรง
กับความเปนจริงภายนอกหรือไม หรือความรูของมนุษยน้ันเปนสิ่งท่ีมนุษยสรางข้ึนมาเองจึงไม
สอดคลองกบั ความเปน จริง ปญ หาเกีย่ วกบั ความรดู ังกลา วเรียกวา ปญหาธรรมชาติของความรู ปญหา
นี้มจี ุดเริ่มตนท่ี ยอรช เบอรคเลย (George Berkeley) กลาวคอื แตเดมิ เชื่อกันวาวัตถุทงั้ มวลรอบ ๆ
ตัวมนุษย เชน ภูเขา ตนไม แมน้ํา มอี ยูจริงอยางท่ีมนุษยรับรูทุกประการ และเปนอิสระจากการรับรู
ของมนุษย แตรปู เบอรค เลย กลบั มีความเห็นวา ไมเคยมคี วามเปนจริงของสิ่งเหลานี้ สิ่งเหลานี้มขี ้ึนได
เพราะการรับรขู องมนุษยเ ทา นน้ั ดังน้ันสิ่ งใดจะปรากฏขึ้นตอ งอาศัยการรับรูข องมนษุ ยเ ปนตวั กําหนด
แนวคาํ ตอบสาํ หรับปญหาดังกลาวมีอยดู วยกัน ๒ แนวคาํ ตอบสําคญั คือ
๑. ทฤษฎีสัจนิยม (Realism) เปนแนวคําตอบที่มีความเห็นวา มีความเปนจริงของโลก
ภายนอกท่ีเปนอสิ ระจากการรับรูของมนุษยดงั น้ัน ตนไม ภูเขา และดอกกุหลาบ มีอยูจริงมนุษยจะมี
ความรเู ก่ยี วกับสิง่ เหลา นี้ไดก ็คือดูดซบั ขอมูลของความเปน จรงิ น้ี
๒. ทฤษฎีจิตนิยม (Idealism) เปนแนวคําตอบที่มีความเห็นวาไมมีความเปนจริงใดท่ีเปน
อสิ ระจากการรบั รขู องมนุษย มนษุ ยนัน่ เองเปน ผูสรา งขอ มูลของความรูเกี่ยวกับโลกขน้ึ มาเอง
ดังน้ีจะเห็นวาปญหาท่ีวา เราจะรูความเปนจริงไดอยางไร น่ันก็คือปญหาเก่ียวกับความรู
นั่นเอง ซึ่งทางปรัชญาเรียกวา เปนปญหาญาณปรัชญาหรือญาณวิทยา (Epistenology) ซ่ึงกลาวถึง
ปญ หาสําคัญเกยี่ วกับความรู ๒ ปญ หาคือ ปญ หาบอกเกดิ ของความรูแ ละปญ หาธรรมชาติของความรู
๓. เราพงึ ปฏิบัตติ นอยางไร จึงจะสอดคลอ งกบั ความเปน จรงิ (How to act according
to Reality?)
ปญหาน้ีจะกลาวถึงจุดมุงหมายของชีวิตที่มนุษยควรแสวงหา หรือเปนปญหาเก่ียวกับ
อุดมการณหรืออุดมคติของชีวิตหรือส่ิงที่ดสี ูงสุดของชีวิต นอกจากน้ี มนุษยนั้นไมไดอ ยูโดดเดยี่ วตาม
ลําพงั ตนเอง แตตองอยูรวมกับคนอนื่ ๆ เปนสังคม ปญหาดังกลาวจึงรวมถึงปญหาที่มนุษยควรปฏิบัติ
ตอ เพอ่ื นมนษุ ยด ว ยกนั อยา งไรปญหาท่ีกลาวมาแลวท้ังสองปญหาสัมพนั ธกบั ปญหาเร่ืองความเปนจริง
กเ็ พราะวา การทีใ่ ครจะมอี ุดมคติชีวิตอยางไรหรือการทีบ่ ุคคลใดจะเห็นวาสิ่งใดเปนส่ิงดีสูงสุดของชีวิต
และเขาควรจะปฏิบัติตนตอคนอ่ืน ๆ อยางไรในสังคมนั้น ความเห็นน้ันตองสอดคลองกับทัศนะ
เกี่ยวกับความเปนจริงตัวอยาง เชน ผูท่ียอมรับความเปนจริงของวัตถุเทานั้น หรือยอมรับวาสาร
เบ้ืองตนของวัตถุคือสสารไมมีอะไรท่ีจริงไปกวาน้ี ผูน้ันจะมีทัศนะวา สิ่งดีที่มนุษยควรแสวงหาคือ
ความสุข อันเกิดจากความสะดวกสบายทางวัตถุ ดังนั้น มนุษยจะดีหรือเลวก็ข้ึนอยูกับวาสภาพทาง
วัตถุจะดีหรือไม สวนผูทยี่ อมรับวาโลกแหงวัตถทุ ี่เราจับตอ งไดนั้นมีความเปนจริงนอยกวา โลกอีกโลก
หนง่ึ ซง่ึ เปนนามธรรม แตจีรังกวา ผูน้ันจะมีความเห็นวาส่งิ ดที ี่มนุษยควรแสวงหาจึงไมใชความสุขทาง
๒๒
ผัสสะ เชน รปู รส กลิน่ เสยี ง แตส ิ่งทีม่ นษุ ยควรแสวงหาหรือมจี ุดหมายไปสคู อื โลกท่ีเปนนิรันดรดรน้ัน
และมนษุ ยค วรคํานงึ ถงึ สันติสขุ ทางจิตมากกวาการแสวงหาความรํา่ รวยทางวตั ถุ
ปญ หาท่ีวาเราพึงปฏบิ ัติตนอยางไรจงึ จะสอดคลองกับความเปนจรงิ น้ี ทางปรัชญาเรียกวาเปน
ปรัชญาจริยะ (Ethical Philosophy)หรือบางทา นเรียกรวมรวมวาเปนปญหาจริยศาสตร (Ethics)ซ่งึ
หมายถงึ ปญหาทางปรัชญาที่เกีย่ วกบั เรื่องความประพฤตแิ ละคุณคา (Value) หรือสิ่งดีสูงสดุ ทีม่ นุษย
ควรแสวงหาในชวี ิตและเนื่องจากวาเปนเรื่องเกี่ยวกับคณุ คา จึงเรียกอีกอยางหน่ึงวาเปนปรัชญาคณุ คา
หรอื คุณวทิ ยา (Axiology)
นอกจากศึกษาถึงเรื่องคุณคาในแงของความประพฤติแลว นักปรัชญายังพูดถึงปญหาเรื่อง
คุณคาของความงาม ดังน้ันปรัชญาคุณคาหรือคุณวิทยา ยังหมายรวมถึงคุณคาของความงามหรือ
คณุ คาของสุนทรียภาพไวดวย เรียกวาปรัชญาศิลปะ (Philosophy of Art) หรือสุนทรียศาสตร
(Aesthetics)
กลา วโดยสรุป ปรัชญาบริสทุ ธิค์ อื ปรัชญาทเี่ กย่ี วของกับปญหาเรือ่ งความเปนจริงซ่ึงเชื่อกันวา
เปนเร่ืองของปญหาปรัชญาโดยเฉพาะ ไมจําเปนตอ งเก่ยี วของกับผลสรุปของวชิ าอ่ืน ๆ ทแี่ ยกตัวออก
จากวิชาปรชั ญาไปแลว ปญหาเก่ยี วกบั ความเปนจริงนนั้ มีอยู ๓ ปญหาทีส่ าํ คญั คือ
๑. ความเปนจริงคืออะไร? หมายถึง ปญหาอภิปรัชญาทีต่ องการสืบคนไปถึงสิ่งทจ่ี ริงท่ีสดุ ท่ี
อาจซอ นอยเู บือ้ งหลงั ปรากฏการณของธรรมชาติหรือโลกจติ หรือวญิ ญาณและพระเจา
๒. เรารูความเปนจริงไดอยางไร? หมายถึงปญหาญาณปรัชญาหรือญาณวิทยาท่ีตองการ
สืบคนไปถึงเร่ืองของบอเกิดของความรูท่ีถูกตองท่ีสามารถนําไปสูการรูจักหรือมีความรูที่ถูกตอง
เกี่ยวกับความเปนจริงไดรวมท้ังปญหาเก่ียวกับความสอดคลองหรือความสัมพันธระหวางความรูกับ
ขอเทจ็ จริงหรอื ความเปน จริง
๓. เราพึงปฏิบัตติ นอยางไร? จึงจะสอดคลองกับความเปนจริงหมายถึงปรัชญาจริยะหรือจริย
ศาสตรท ต่ี อ งการสบื คน ถงึ สง่ิ ดสี ูงสดุ ท่มี นุษยควรแสวงหาและแนวทางท่ีมนุษยพ ึงปฏบิ ัตติ อเพื่อนมนุษย
ดว ยกนั ซึ่งมีรากฐานมาจากทศั นะของการยอมรับวาอะไรคอื ความเปน จริงของแตล ะคน
ปรัชญาประยุกต (Applied Philosophy)หมายถึง ปญหาปรัชญาเฉพาะเร่ือง เพราะเปน
ปญ หาปรชั ญาทพ่ี าดพิงกับผลสรุปของวิชาอื่น ๆ ท่แี ยกตวั ออกไปจากวิชาปรชั ญาแลว
ปญหาปรัชญาเฉพาะเร่ือง (Special Topic) หมายถงึ ปญหาท่ียังครอบคลุมไปถึงผลสรุปของ
วิชาอ่ืน ๆ ท่ีแยกตัวออกไปจากวิชาปรัชญาแลว ท้ังนี้เรียกกันวาเปนปญหาเฉพาะเร่ืองหรือขอบเขต
ของปรชั ญาประยุกต (Applied Philosophy) โดยพยายามศึกษาสวนท่ียังคงเปนปญหาใหตริตรอง
ได ปญ หาปรัชญาเหลา น้เี รียกชอ่ื ตามวชิ าทปี่ รชั ญาเขาไปเกยี่ วขอ ง
๑. ปรัชญาศาสนาเกี่ยวของกบั คําสอนของศาสนาตาง ๆ จําเรียกช่ือไปตามช่ือของศาสนาท่ี
เก่ียวของดว ยเชน ปรัชญาพุทธศาสนา ปรชั ญาศาสนาครสิ ต ปรัชญาศาสนาอิสลาม
๒๓
๒. ปรัชญาวิทยาศาสตร (Philosophy of Science)
๓. ปรชั ญากฎหมาย (Philosophy of Law)
๔. ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy)
๕. ปรชั ญาการศึกษา (Philosophy of Education)
๖. ปรชั ญาภาษา (Philosophy of Language)
๗. ปรชั ญาจิต (Philosophy of Mind)
๘. ปรชั ญาประวัติศาสตร (Philosophy of History)
๙. ปรชั ญาคณิตศาสตร (Philosophy of Mathematics)
๑๐ ปรชั ญาสังคม (Social Philosophy)
๘. ประโยชนของหนาทว่ี ิชาปรัชญา
วิชาปรัชญามีอิทธิพลตอชีวิตมนุษยทั้งในฐานะสวนตัวและสังคม ดังน้ันเมื่อเราศึกษาวิชา
ปรชั ญาแลว จะเหน็ ไดว า ปรัชญาน้นั มีประโยชนต อชวี ิตมนุษยและสังคมอยางยงิ่ ดังจะสรุปไดดังน๑ี้ ๑
๑. ปรัชญามบี ทบาทตอชีวติ มนุษยส ว นบคุ คล การศึกษาวชิ าปรชั ญานัน้ จะทําใหเราสามารถ
มองเหน็ ปญหาการรับรอบตวั เองไดดใี นขณะเดยี วกันก็สามารถกําหนดแนวทางแหงการดาํ รงชีวิตของ
เราไดน ั่นคือ เราไดเ จอจุดมุงหมายถึงชีวิตของเราเลือกท่ีจะเดนิ ไปสงตามจุดมุงหมายน้ัน การกระทํา
ใดๆ ถากระทําโดยมจี ุดมุงหมายแลว ยอมจะประสบผลสําเร็จได ดงั คําคมท่ีวา ‘การเริ่มตนท่ดี ีเทา กบั
สําเรจ็ ผลแลวคร่ึงนงึ ’ อีกประการหน่งึ การศกึ ษาปรัชญา ศลี ธรรม หรือจริยศาสตร จะชวยใหมนุษยรูดี
รูชั่ว รูถูก รูผิด แลวเลือกกระทําแตสิ่งที่ดีมีประโยชนตอตนเองและสังคม อันจะสงผลใหเราประสบ
ผลสาํ เร็จในชีวติ
๒. ปรชั ญามบี ทบาทตอ มนุษยในการประพฤติปฏบิ ตั ติ นตอคนอน่ื
การศกึ ษาวิชาปรัชญาน้ันจะทําใหเราสามารถ เขา ใจ ความแตกตางระหวางบุคคลในสังคมไดด ีและใน
ขณะเดียวกันเราก็จะรูจักการกําหนดแนวทางที่พึงปฏิบัติตอเพ่ือนมนุษยในสังคมนั้นๆ กลาวคือ
ประพฤตปิ ฏิบตั ิท่ีแสดงตอ คนอื่นในสังคมจะถูกกําหนดโดยปรัชญาชีวิตของแตละคน เชน นาย ก เปน
คนเจาอารมณหรอื นาย ข เปน คนสภุ าพเรียบรอยผูศกึ ษาปรัชญาเม่ือรูขอแตกตางระหวางนาย ก และ
นาย ข เขาใจนาย ก และนาย ข ไดดีเราจะสามารถกําหนดพฤตกิ รรมที่พึงปฏิบัตติ อนาย ก และนาย
ขไดอยางถูกตอ ง
๑๑ สกล นิลวรรณ, ปรัชญาเบื้องตน, (กรุงเทพฯ : ภาควชิ าปรัชญาและศาสนา วิทยาลัยครูสวนดุสิต,
๒๕๒๒), หนา ๑.
๒๔
๓. ปรชั ญามีบทบาทตอชวี ิตในสังคม
การศึกษาวิชาปรัชญาจะทําใหเราเขาใจความสัมพันธตางๆ ทางสังคมไดดีเนื่องจากมนุษยเปนสัตว
สังคมตองมกี ารรวมกลุมเปนหมคู ณะ กอ ใหเกิดสังคมข้ึน เชน ครอบครัว หมบู าน เมือง เปนตน วิชา
ปรัชญาช้ีบอกถึงหนาท่ีที่มนุษยในสังคมจะพึ่งกระทําตอกันและชี้ถึงความสําคัญของความสัมพันธท่ี
สังคมน้ันๆทจ่ี ะพงึ มตี อ สังคมอื่นๆ เมื่อมนุษยในสังคมเขาใจหนาที่ของตนเองที่จะพึงกระทําเพอ่ื ตนเอง
และเพือ่ สังคมที่ตนอาศัยอยู และปฏิบัตหิ นาที่อันน้ัน จะทาํ ใหผลดีบังเกิดตอชีวิตสวนของเขาเอง ใน
ขณะเดยี วกันกส็ งผลดีตอสังคมดว ย
๔. ปรชั ญามีบทบาทตอการเมือง
การศึกษาวิชาปรัชญาโดยเฉพาะปรัชญาการเมืองจะทําใหเรามีความรูความเขาใจในระบบการ
ปกครองตางๆไดดีและสามารถกําหนดแนวทางของการมีสวนรวมในดานการเมืองของตนเองได ใน
ขณะเดยี วกนั จะสามารถวางตัวในฐานะผูนําและผูตามท่ีดีไดอีกดวยปรัชญาการเมอื งระบบตางๆ เชน
สังคมนิยม ประชาธิปไตย คอมมูนิสต เผด็จการ คณาธิปไตย เปนตน กอใหเกิดการปกครองและรับ
แบบตา งๆ
เราผูอยใู นสงั คมนั้นๆจะเขา ใจสทิ ธิและหนา ทข่ี องตนเองที่จะพงึ ปฏิบัติตอ สังคมตนเอง
๕. ปรชั ญามีบทบาทตอเศรษฐกิจ
เราทุกคนตอ งทํางานและหารายไดเพอ่ื เล้ียงชีพของตนเอง การศึกษาวิชาปรัชญาจะทําใหเรากําหนด
แนวทางไดวา เราจะทํางานที่มลี ักษณะอยางไร และหารายไดมาอยางไรจึงจะมีความสุข ไมเกิดทุกข
และโทษแกตนเอง ในขณะเดียวกันปรชั ญาจะชใ้ี หเรากําหนดไดวาจากรายไดของเรานน้ั เราควรใชจาย
อยา งไรจงึ เหมาะสมแกก ารดํารงชพี ของตนเอง
๖. ปรัชญามีบทบาทตอวฒั นธรรม
ปรชั ญาของนกั ปรัชญาเมธชี าติยอ มจะเปน เครื่องบง ช้ีถึงความเจริญกาวหนาทางวัฒนธรรมของชาตินั้น
ๆ ดวย ปรชั ญาซึ่งมอี ทิ ธิพลตอวัฒนธรรมในทุก ๆ ดาน อารซี เจ บาย กลาวไววา ‘ถาไมมปี รัชญา ก็
ไมอาจจะมีอารยธรรมไดฯ ลฯ’ ความเจริญกาวหนาทางปรัชญาจะเปนเคร่ืองแสดงความกา วหนาทาง
วฒั นธรรมใหป รากฏและเมอ่ื เราเขา ใจเชน นีแ้ ลว จะกอ ใหเ กิด
๒๕
สรปุ ทายบท
ปรัชญาเปนยอดของสติปญญาเชิงสรางสรรคของมนุษย เพราะเปนสิ่งที่ยกระดับการ
ดํารงชีวิตของมนุษยตามยถากรรมไปสูการดํารงชีวิตที่มีความหมาย ปรัชญาเปนความพยายามอัน
พากเพียรไมทอถอยท่ีจะทําความเขาใจชีวิตของมนุษย โลกทัศนหรือปรัชญาน้ันไมใชความคิดในรูป
ของทฤษฎีทป่ี ราศจากความสําคัญในทางดานปฏิบัติ แตปรัชญาเปนสวนหนึ่งของตัวของเรา ปรัชญา
เปนองคประกอบในชีวิตประจําวันของเรา ปรัชญานั้นหย่ังลึกลงไปเพ่อื หาหลักการข้นั มลู ฐานของชีวิต
ซึ่งเปน สิง่ ทีท่ ําใหคนทัง้ หลายเกดิ ความรูสึกวา ปรัชญาเปนเร่ืองทีห่ า งไกลจากชีวิตประจําวัน แตชีวิตท่ี
ปราศจากหลักการน้ันหาเปนชีวิตที่มีคุณคาอันใดไม เราอาจจะกระทํากิจการอันใดกต็ ามถา หากมีการ
ถกเถียงถึงเรื่องทางดานการปฎิบัติแลว ท่ีน่ันก็จะตองมีการพูดถึงหลักการอยูทุกคร้ังไป ลักษณะ
นามธรรมของปรชั ญา ไมไดแ สดงวาปรชั ญานนั้ ไมมคี วามสําคัญแกชีวิต หนทางของปรัชญาเปนหนทาง
ทยี่ ากลําบากแตเปนหนทางที่นําไปสูความเขาใจเรื่องของชีวิตท่ีสมบูรณกวาเดมิ เรื่องของชีวิตท่ีดีงาม
กวาเดิม
ปรัชญาเกิดขน้ึ เพราะมนุษยรูจักคิด ดังท่ีอริสโตเติลกลาวไววา “มนุษยเปนสัตวรูคิด” ซ่ึง
สมรรถภาพในการคิดเปนเอกลักษณของมนุษยทแี่ ยกมนุษยออกจากสัตวโลกอื่นๆ ปรัชญาจึงเปนเรื่อง
ของมนุษยในฐานะท่ีเปนมนุษย เปนความพยายามของมนุษยในการท่จี ะเขา ใจโลกและชีวิตวา มคี วาม
เปน จรงิ อยางไร เรารูความจรงิ ไดอยางไร รวมทัง้ การเสนออดุ มคติของชีวิตวาคืออะไรเปน ตน
อยางไรก็ตาม เน่ืองจากปรัชญาเปนศาสตรท่ีมีขอบขายกวางขวางมาก การจะใหคําจํากัด
ความปรัชญาอยางแนนอนตายตัวลงไปจงึ เปน เรอื่ งทม่ี อิ าจทาํ ได นอกจากน้ีปญหาทางปรัชญาก็ยังเปน
ปญหาที่มิอาจใหคําตอบที่แนนอนตายตัวได เพราะถาเปนเชนน้ันปญหาดังกลาวก็จะไมเปน ปญหา
ทางปรชั ญาอกี ตอ ไป แตจ ะแยกตัวออกไปเปนศาสตรเฉพาะของตนและเน่ืองจากเหตุผลเปนเครื่องมือ
เพียงอยางเดียวของปรัชญา คําตอบท่ีนาจะเปนไปไดจึงข้ึนอยูกับเหตุผลที่มาสนับสนุนและคําตอบ
ดังกลาวก็ไมสามารถทดสอบไดวาจริงหรือเท็จ ปรัชญาจึงแตกตางจากวิทยาศาสตรในแงน้ี เพราะ
คําตอบทางวทิ ยาศาสตรน้ันสามารถตรวจสอบความจริงเท็จของมนั ได
สําหรับผูเรียน ปรัชญามิไดมีหนาที่ตัดสินวาคําตอบใดถูกหรือผิด ปรัชญาเพียงแตเสนอ
คําตอบที่เปนไปไดและใชเหตุผลมาสนับสนุนคําตอบน้ันๆ จึงเปนหนาท่ีของผูเรียนท่ีจะใช
วิจารณญาณของตนเอง ตัดสินวาจะเห็นดวยกับคําตอบของลัทธิใด อันเปนการฝกใหผูเรียนรูจักคิด
อยางมีเหตุผล มีโลกทัศนท่ีกวางข้ึน นอกจากน้ีปรัชญายังมีประโยชนในแงท่ีทําใหผูเรียนเปนผูมีใจ
กวาง ยอมรับฟง ความคิดเห็นและเหตุผลของผูอืน่ แมจะไมต รงกับความคิดเห็นของตน ไมเปนคนคับ
แคบและดิ่งในความเห็นของตนแตฝายเดยี ว จนเปนเหตุใหเขากบั ผูอืน่ ไมได ปรัชญาสงเสริมใหผูเรียน
รูจกั และเขาใจตัวเองอันถือวา เปน ส่ิงสาํ คัญที่สุดทพ่ี งึ่ ไดจ ากการศกึ ษาปรัชญา
๒๖
เพราะฉะน้ันการศึกษาเร่ืองทัศนะแหงชีวิตของปรัชญาตา ง ๆ ท่ีแขงขันขับเค่ียวกันมาตามท่ี
ปรากฏในประวัติศาสตรแหงความคิดของมนุษย ตลอดท้ังเหตุผลของทัศนะแหงชีวิตท่ีแตกตางกัน
เหลานั้น จึงเปนภาระหนาท่ีและความรับผิดชอบของบุคคลผูมีสติปญญา และความคิดทุกคนจะพึง
กระทาํ
๒๗
เอกสารอางองิ ประจําบท
กีรติ บญุ เจอื . ปรชั ญาเบอื้ งตน และ ตรรกวทิ ยาเบอ้ื งตน. กรงุ เทพฯ : ผดงุ วทิ ยาการพมิ พ, ๒๕๑๒.
คณู โทขนั ธ. ปรัชญาเบอื้ งตน. ขอนแกน :ภาควิชามนษุ ยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร,
๒๕๒๗.
ทองหลอ วงษธ รรมา, รศ., ดร. ปรชั ญาท่วั ไป. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พโอเดยี นสโตร, ๒๕๔๙.
บญุ มี แทน แกว , สถาพร มาลเี วชรพงศ และประพฒั น โพธิก์ ลางดอน. ปรชั ญาเบือ้ งตน
(ปรัชญา ๑๐๑). กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริน้ ต้ิง เฮาส, ๒๕๒๙.
ปานทพิ ย ศภุ นคร. ปรัชญาเบื้องตน . กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๔๒.
พระพทิ ักษิณคณาธิกร. ปรัชญา. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพด วงแกว, ๒๕๔๔.
วิทย วศิ ทเวทย. ปรชั ญาทว่ั ไป. กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พอ ักษรเจรญิ ทศั น, ๒๕๒๕.
วโิ รจ นาคชาตร,ี รศ. ปรชั ญาเบอ้ื งตน. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๕๒.
ศรัณย วงศค าํ จนั ทร. ปรัชญาเบอื้ งตน. กรงุ เทพฯ : อมรการพิมพ, ม.ป.ป.
สกล นิลวรรณ. ปรัชญาเบ้ืองตน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรัชญาและศาสนา วิทยาลัยครูสวนดุสิต,
๒๕๒๒.
สุจิตรา ออนคอม, รองศาสตราจารย ดร. ปรัชญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรและ
สงั คมศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรี, ๒๕๔๘.
บทที่ ๒
ความสัมพันธระหวา งปรัชญากับศาสตรต า งๆ
ความนํา
เม่อื ไดย นิ หรืออานพบคําวา “ปรัชญา” คําถามแรกทเี่ กิดข้ึนคือ ปรัชญาคืออะไร? การตง้ั คําถามน้ี
เปน เร่ืองงา ย แตเปน เรื่องยากท่ีจะตอบใหถกู ตอ ง แมแตนกั ปรัชญาเองก็ตอบคําถามนแ้ี ตกตา งกัน เชนบาง
คนกลาววาปรัชญาเปนการมองดูโลกและชีวิตแบบลึกซึ้ง ในขณะที่หลายคนอธิบายวา ปรัชญาเปนวิธีการ
คดิ และแสวงหาความรูโดยใชเหตุผล นอกจากน้ันยงั มีนักปรัชญาจาํ นวนไมนอยที่เขาใจวาปรัชญาเปน วิธกี าร
วิเคราะหความรูและภาษาในศาสตรตางๆ ใหกระจางแจงเพ่ือชวยใหเกิดความเขาใจอยางถองแท ถึงแม
ความคิดเห็นในเรื่องความหมายของ “ปรัชญา” แตกตางกัน แตนกั ปรัชญาทุกคนกย็ อมรับวาธรรมชาติของ
ปรัชญาคือการใชเหตุผลวิเคราะห วิพากษ และสังเคราะหใหเกิดความรูใหมๆ ข้ึนมาเพอ่ื ตอบสนองความ
อยากรอู ยากเหน็ ของมนุษย
ความอยากรูอยากเหน็ เกิดข้ึนเพราะมนุษยสามารถตั้งคําถาม “ทาํ ไม?” ได เนื่องจากเปน สัตวโลก
ประเภทเดียวท่ีมีเหตุผล ซ่ึงทําใหอยากรูอยากเขาใจสิ่งตางๆ รอบตัวท่ีเปนปริศนาใหคิด ไมวาส่ิงมีชีวิต
หรือไมมีชีวติ เพราะทุกสิ่งทุกอยางท่ีมองเห็นลวนแตนาฉงนสนเทห ดวยกันทง้ั น้ัน แมแตชีวิตมนุษยเองก็
เปนสิ่งนารูนาเห็นไมน อยกวาโลกและจักรวาล ความอยากรูอยากเหน็ ความอยากหาคาํ ตอบในเรื่องตางๆ
ท่ีสงสัยไมเขาใจ เปนแรงจูงใจสาํ คัญท่ีทําใหมนุษยไมยอมอยูเฉยมุงแสวงหาความรู ตราบใดที่มนุษยไ มได
ความรูทีต่ องการ จติ ที่อยากรูอยากเห็นก็จะไมมีวันมสี งบและเปนสขุ โดยเหตทุ ีค่ วามรูเปนสิ่งไมมีขอบเขต
จํากัดและจับตองไมได ดังน้ันมนุษยจึงตองแสวงหาความรูสืบตอกันไปเรื่อยๆ โดยไมสิ้นสุด นี่เปนสิ่งท่ี
มนุษยต อ งแลกกับการเปนสัตวโ ลกที่มีเหตุผล
มนษุ ยอ าจมรี างกายเล็กกวา หรือมีพลงั นอยกวาสัตวใ หญ เชนชา ง แตม นุษยก ็เปน สิง่ มีชีวิตท่คี ิดเห็น ในเรือ่ ง
เร่ยี วแรงแลว มนุษยอาจไมแ ขง็ แกรงเชนตน ออที่ตองโอนเอนไปมาตามแรงลม แตมนษุ ยก เ็ ปนตนออที่คิด
๓๐
๑. ปรชั ญาและนกั ปรชั ญา
ปรัชญาเกิดจากการที่มนุษยมีความสามารถที่จะคิดหรือใชเหตุผล ในนัยน้ีในฐานะท่ีเปนมนุษย
เราทุกคนเปนนักปรัชญาในความหมายทั่วไปได ถาหากคิดวิเคราะห และวิพากษส่ิงตางๆที่พบเห็น และ
ใฝห าความรใู สต ัวใหเ ปน คนฉลาด ในอารยธรรมตะวันตก นักปรัชญาแตกตา งจากคนท่ัวไป เพราะเปนคนรัก
ความรูเปนชวี ิตจติ ใจและมคี วามสุขจากการแสวงหาความรูมากกวา อยา งอื่น การมุงมั่นหาความรู ทําใหนัก
ปรัชญามีจิตใจวิพากษ และไมยอมรับหรือทําอะไรท่ีไมสมเหตุสมผล เห็นจะเปนดวยเหตุน้ีบรรดาผูนิยมมี
ชีวิตตามกระแสสังคม และอยูกับความทึกทักหรือความไมรู จึงไมตองการคบคาสมาคมกับนักปรัชญาที่
ชอบต้ังคําถามตางๆใหตนตองคิดและไมสบายใจตามมา นักปรัชญากรีกชื่อโสเครตีสเปนตัวอยางของนัก
ปรัชญาที่กลาวมา คนท่ัวไปพยายามหลีกหนีการพบปะกับโสเครตีสที่พยายามปลุกตนใหตื่นจากการ
หลับใหลในความไมร ู ในขณะเดยี วกนั การวเิ คราะห วิพากษสงั คมของนักปรัชญาผูนท้ี ําใหนกั การเมืองถอื วา
โสเครตีสเปนอันตรายตอความปลอดภัย และความม่ันคงของบานเมือง โสเครตีสจึงมีสมญาวาเปน “ตัว
เหลือบ” ของสังคมเอเธนสในสมัยนั้น เพราะชอบไปรบกวนคนในสังคมไมใหพอใจในชีวิตที่ปรารถนาการ
วพิ ากษตวั เอง
การดําเนินคดีโสเครตีสเปนเหตุการณสําคัญในประวัติศาสตรอยางหน่ึงของมนุษยชาติ ขอ
กลาวหาท่ีโจทยฟองศาลมีหลายขอดวยกันรวมท้ังการที่โสเครตีสเปนภัยตอความสงบเรียบรอยและ
เสถยี รภาพของสังคมดวยการสอนคนใหคิดและตั้งคําถามเกี่ยวกับระบอบการปกครอง กฎหมาย บา นเมือง
รัฐบาล และจารีตประเพณี การดําเนินคดีจบลงดวยการพิพากษาใหประหารชีวิตโสเครตีสผูไมยอมรับผิด
และขอความกรุณาจากศาล แตก ลบั ประกาศยืนยันทจ่ี ะทําตามอุดมคตขิ องตนตอไปโดยการสอนคนใหคิด
และวิพากษร ะบอบการปกครองและจารตี ประเพณีตา งๆ เพ่ือใหส ิ่งใหมๆเกิดขน้ึ ในเอเธนส ความตายของโส
เครตสี ไมใชเปนจุดจบของปรัชญา แตเ ปนการเริ่มตน ของพฒั นาการที่ติดตอกันเปนเวลายาวนาน
ในประวัติศาสตรของมนุษยชาติ นักปรัชญาเชนโสเครตีสมีอยูทุกยุคทุกสมัยและมีสวนชวยให
ชวี ิตมนษุ ยเ จรญิ งอกงามและสังคมมพี ฒั นาการตางๆเกิดข้ึน นกั ปรัชญาท่ีรูจักกนั ท่ัวไป และเปนเหมือนดาว
ประกายพฤกของปญญามนุษยมีหลายคนรวมท้งั เพลโต และอริสโตเติลในกรีกสมัยโบราณ พระพุทธเจาโค
ตะมะในอินเดีย เลาจ๊ือและขงจื๊อในจีน ความคิดของนักปรัชญาเหลานี้มีอิทธิพลตอวัฒนธรรมและปญญา
ความคดิ ของคนในยุคสมัยตางๆจนถงึ ปจ จุบัน๑
๑ ออนไลนจ าก http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/philosophy_currious.htm เมื่อวนั ที่ ๒๕ พฤศจิกายน
๒๕๓๙.
๓๑
๒. ปรชั ญากบั ศาสนา
ปรชั ญาและศาสนาน้ี ถา มองดตู ามแนวปรัชญาและศาสนาของโลกตะวันออกปรชั ญาและศาสนามี
ความสมั พันธก ันอยา งแนบแนน แทบจะแยกไมอ อกวา อะไรคือปรัชญาและอะไรคือศาสนา เพราะปรัชญา
ต้ังอยูบนพื้นฐานทางศาสนา นักปรัชญาเมธีตะวันออกเปนท้ังนักปรัชญาผูกอตั้งศาสนาในขณะเดียวกัน
ดงั นัน้ เม่ือเขาจะสอนคนอน่ื เขาจึงตอ งทําตัวเปนแบบอยางตามหลักธรรมคําสอนของตนเองดว ย เขาทํานอง
ท่ีกลาววา “จงทําอยางทขี่ าพูดและทําอยางท่ีขาทํา” ความจริงทางปรัชญาจึงสัมพันธกับความจริงทาง
ศาสนาและปรัชญาและศาสนาท้ังสองมีผลเพ่ือกูลซ่ึงกันและกันถามองดูตามแนวทางของโลกตะวนั ตกเรา
จะเห็นความแตกตางกันอยางเห็นไดชัดวาอะไรคือศาสนาอะไรคือปรัชญาแตกระท่ังก็ตามปรัชญาและ
ศาสนากม็ ีเก้ือกลู ตอ กนั และมคี วามสัมพนั ธก นั อยางใกลชดิ
กอนที่จะศึกษาปรัชญาและศาสนา เราควรจะมาทําความเขาใจกับคําศัพทเสียกอนวาปรัชญาคือ
อะไรและศาสนาคืออะไร แตเ น่อื งจากคําวา “ปรัชญา” ไดมีการอธบิ ายไวแลวในบทแรก(ศกึ ษาเพื่อศึกษา
และทาํ ความเขา ใจจากบทแรก)จงึ จะไมขอกลาวถึงอีก จะกลาวถึงเฉพาะคาํ วา “ศาสนา” เทานน้ั
“ศาสนา” มาจากคําวา “ศาสนะ” ในภาษาสันสกฤต แปลวา “คําสอน” หมายถึงหลักธรรมคาํ
สอนของศาสดาผูประกาศศาสนานั้น ๆ ซึ่งมีจุดมุงหมายอยูที่ความสําเร็จ ความสงบสุข สันติสุข ของผู
ประพฤติปฏิบัติตาม ในภาษาอังกฤษที่ใชคําวา Religion ซ่ึงเปนคํามาจากภาษาละตินวา Religio มี
ความหมาย ๓ อยางคือ ๑. ความผูกพันกับพระเจา ๒. การสวดมนตห รือรําลกึ ถึงพระเจา ๓. การหวน
กลบั มาหาพระเจา ซ่งึ ถาสรปุ ตามความหมายน้ีก็ไดความวา “ศาสนาคือเคร่ืองนําพามนษุ ยใ หไปสัมพันธกับ
พระเจา” แตถ า มองตามคาํ นิยามของศาสนาแลว ไดมนี กั ปราชญใ หค าํ นิยามไวต าง ๆ กนั เชน
แมทธิว อารโ นล ศาสนาคือ ศีลธรรมทเี่ ราเขา ถึงไดดว ยความรูสกึ ทางจติ ใจ
เบิรคเลย ศีลธรรมที่เราปฏิบัติตนเลยขอบเขตของศีลธรรม กลายเปนความดีข้ันสูงๆข้ึนไป
จนกระทง่ั ถึงจุดสดุ ยอดเรา เรียกวา ศาสนา
ฮอฟดง้ิ ศาสนาคอื ความเช่ือในเรือ่ งการสงวนรักคณุ ธรรม คณุ คา หรอื ความดี
แพททรกิ ศาสนาคือ ความเช่อื ในอาํ นาจนอกตัวเราในฐานะท่ีเปน ผกู ําหนดความดี ความชั่ว
วูนต ศาสนาคือ ความรนู กึ คิดในอุดมคติ
ปรชั ญาและศาสนาท้งั ๒ น้ี มีความสมั พันธกันอยางใกลชิดและมีประเด็นท่พี ิจารณาดงั นี้
๑. ปรัชญาเปนเร่ืองของเหตุผลและยึดถือเหตุผลและยึดถือเหตุผลเหนือสิ่งอื่นใด สวนศาสนาน้ัน
เปนเรอ่ื งราวความเชอื่ ถอื การยอมรบั นับถอื
๒. ปรชั ญาเปน เรื่องของทฤษฎี สว นศาสนาเปนเร่อื งของชีวิตที่เพียบพรอมดว ยการปฏบิ ัติ หมายถึง
การปฏบิ ัติตามแนวทางของตนแหงชีวิตน้ันๆ
๓๒
๓. ปรัชญาเปน เรอื่ งของทศั นคติแหง ชวี ิต สวนศาสนาเปนเร่ืองของแนวทางแหง ชีวิต
๔. ปรัชญาเปนเรอ่ื งของมโนภาพอันเฉียบแหลม สวนศาสนาเปนเรื่องของการจุตแิ ละเกิดแหงชีวติ
ดังนน้ั ปรัชญาจะใชความคิด อยางมีเหตุผลเก่ยี วกบั สจั ธรรม เพ่ือใหม ีความเขา ใจอยา งทะลุปรุโปง
เกี่ยวกับโครงสรางของสากลจักรวาล ตลอดจนความสัมพันธระหวางมนุษยกับสากลจักรวาล ศึกษาคนควา
เกีย่ วกับธรรมชาติของ สสาร ชวี ติ วญิ ญาณ พระผูเปน เจา ตลอดจนความสมั พันธของสงิ่ ดงั กลาวที่มีตอกัน
ศาสนามุงถึงความเช่ือในบรมศักดิ์ หรืออํานาจที่คอยควบคุมและชี้แนะจุดหมายปลายทางของมนุษย
แสดงถึง ความกลัว ความเคารพ ความรัก และ ความภักดี ตลอดจนการปฏิบัติตนตอส่ิงเหลาน้ัน เม่ือมันเกิดขึ้น
ทงั้ นี้จะศึกษาไดจ ากศาสนาใหญๆ ระดับโลก ซึ่งตา งก็มงุ สอนใหม นุษยเราเขาใจธรรมชาตขิ องสากลจกั รวาล
ดว ยจติ ใจ ตลอดจนความสมั พันธร ะหวางมนุษยก ับสากลจักรวาล ปลูกฝงใหเกิดศรัทธาและพยายามท่จี ะชว ยให
มนุษยเ ราปรบั ตวั ใหสามารถดาํ รงตนอยูในสากลจกั รวาลได
ปรัชญา และ ศาสนา มีวัตถุประสงคคลายกัน คือ ตางก็พยายามท่ีจะทําความเขาใจเก่ียวกับ
ธรรมชาติของสากลจักรวาล ฐานะ หนาท่ี ตลอดจนจุดหมายปลายทางของมนุษยในสากลจักรวาล ถึง
กระนั้นก็ตาม ปรัชญากบั ศาสนา ก็ยังแตกตา งกัน ศาสนาเกี่ยวกับความรูสกึ เม่ือปรากฏมาในรปู ของ ความ
กลวั ความเคารพ ความรัก และ ความภกั ดี ตอบรมศกั ด์ิ และ เนนถึงหลักปฏิบัติ แนวปรัชญา เนน ถึงการ
ใหเหตผุ ล การวพิ ากษวจิ ารณ ศาสนายดึ เอาศรัทธา ความเคารพ และ ความสุขทางใจเปน หลกั สวน ปรัชญาเรอ่ื ง
ถึงการใชวิจารณญาณ ความรูท ี่เกิดข้ึนโดยอาศัยศาสนาคลุมเครือ ไมสมบูรณ แตความรูท่ีเกิดจากปรัชญา
แจมแจง มเี หตผุ ล เปนระบบศาสนาตอ งอาศัยการอธิบายแบบเปรียบเทยี บใหเกิดภาพพจนโ ดยใชรูปเคารพ
หรือสญั ลักษณชวยในการอธิบาย พอจะประมวลความไดวา ศาสนาก็คือ การคนควาคําตอบในเรื่องโลก
และชีวิตตามแนวแหงการปฏิบัติตามหลักที่ไดวางไว สวน ปรัชญา น้ัน ก็คือการคนควาหาคําตอบในเร่ือง
โลกและชีวิตตามแนวแหง เหตุผล
ฉะนั้น พอท่ีจะสรุปไดวา ถึงแมวาปรัชญาและศาสนาจะมีวิธีการที่จะบรรลุจุดหมายปลายทาง
แตกตา งกัน แตก ็มีความเก่ยี วของกันอยางใกลช ิด แนวทางปรัชญาและศาสนา มีวัตถุประสงคเชนเดยี วกัน
คือ ซาก็สบายสากลจักรวาลตามวิธีการของตนเพ่ือชวยใหมนุษยเราปรับตัวเขากับส่ิงที่มีความสัมพันธกับ
ตัวเองได และสามารถดํารงชีวิตอยูไดอยา งมีสงบสุข
๓. ปรชั ญากบั พระพุทธศาสนา
ลักษณะเดนอยางหนึ่งของพุทธศาสนาคือ เปนท้ังศาสนาและปรัชญา เพราะพระพุทธเจาทรง
เปนนักคิดและนักปฏิบัติ ในฐานะเปนนักคิด พระองคทรงสราง “ปรัชญาแหงทางสายกลาง” ในการ
แสวงหาความรูและในการพนทุกข และ “ปรัชญาแหงเสรีภาพ” เพ่ือปลดปลอยมนุษยใหพนจากอํานาจ
๓๓
ตางๆ ท้ังภายในตัวและนอกตัวมนุษยจะไดมีเสรีภาพสมบูรณแบบ และความสุขสูงสุด ปรัชญาแหงมนุษย
นิยม สงเสริมมนุษยใหมน่ั ใจในศักยภาพของตนทีจ่ ะชว ยตัวเองใหพน ทุกขและ มีความสขุ ทแ่ี ทจริงไดด วย
การกระทาํ ของตัวเองโดยไมตองอาศัยอํานาจนอกตัว “ปรัชญาแหง สันตสิ ุข” เพ่ือใหมนุษยมีจิตใจเปด
กวางในเรือ่ งศาสนาและความจรงิ ไมยดึ ติดกับความคิดเหน็ และความเช่ือของคนเปนสําคัญพรอมทั้งมีความ
รกั ความเอ้ืออาทรตอกัน นอกจากนั้นยังทรงเนนให ชาวพุทธใหเ หตุผลและประสบการณทดสอบพระธรรม
ดวยตัวเองใหเห็นความจริงกอนที่จะยอมรับและปฏิบัติตาม พระพุทธองคไมทรงตองการใหผูใดนับถือ
ศาสนาพุทธดวย “ศรัทธา” เทานั้น เพราะความเช่ือศาสนาที่มีแตศ รัทธาอยา งเดียวยอ มนําอันตรายมาสศู า
สนิกชนและสังคมไดง า ย เน่อื งจาก “ศรทั ธา” และ “ความงมงาย”มักจะอยดู วยกัน
ในฐานะท่ีเปนผูนําทางศาสนา พระพุทธเจาทรงสอนวิธีปฏิบัติตางๆ ที่จะชวยใหคนพนทุกข
ประเภทตางๆ จนสามารถมีความสุขสูงสุดไมมีความทุกขเจือปนอยูเลยได การปฏิบัติท่ีสําคัญท่ีสุดคือการ
ปฏิบัติตามมรรค ๘ หรือที่เรียกสั้นๆ วา ศีล สมาธิ ปญญา เพื่อใหหลุดพนจากการเวียนวายตายเกิดใน
สงั สารวฏั
พุทธปรัชญาและพุทธศาสนาเปนเหมือนกิ่งกานและลําตนของตนไมเดียวกัน การตรัสรูท่ีเปน
ปญญารูแจงของพระพุทธเจาเปนผลของการคิดและการปฏิบัติของพระองคตอเนื่องกันมาเปนเวลานาน
แสนนาน การตรัสรเู ปนรากแกวของตันไม ในขณะที่พุทธศาสนาเปนลาํ ตน และ พุทธปรัชญาเปน ก่ิงกาน
ทั้งลําตน และกิ่งกานตอ งอยูดวยกัน ตนไมจึงจะเจริญเติบโตมใี บดอกและผลตามมา “ความรู” หรือ “ความ
เ ข า ใ จ ” เ ป น หั ว ใ จ ข อ ง พุ ท ธ ป รั ช ญ า เ ช น เ ดี ย ว กั บ “ก า ร ป ฏิ บั ติ ” เ ป น หั ว ใ จ ข อ ง พุ ท ธ
ศาสนา “ความรู” “ความเขาใจ” ทําใหชาวพุทธซาบซ้ึงในพระปญญาธิคุณ และพระกรุณาธิคุณของ
พระพุทธเจาท่ีทรงนําความจริงท่ีทรงรูแจงมาเผยแพรในรูปของพระธรรม เพ่ือประโยชนสุขของชาวโลก
และ “การปฏิบัติ” ชว ยใหช าวพทุ ธไดรับประโยชนเ ตม็ ที่จากพุทธศาสนาเหมือนกบั ล้ินท่ีไดลิม้ รสอาหาร เรา
อาจเปรียบเทียบความสัมพันธระหวางพุทธปรัชญาและพุทธศาสนาไดกับแผนที่และการเดินทางขึ้นภูเขา
พทุ ธปรัชญาเปนแผนที่ของทางข้ึนภูเขาและบริเวณรอบภเู ขาท่ีเราตองการปนใหถึงยอด พทุ ธศาสนาหรือ
การปฏิบัติเปนเหมือนการออกเดินทาง (หลังจากไดศึกษาแผนท่ีอยางละเอียด) ไปสูยอดเขา การเดินทาง
อาจชาหรอื เร็วขนึ้ อยกู ับความสามารถของผเู ดนิ ทาง ชาวพุทธทีต่ องการบรรลุเปา หมายสูงสุดในพุทธศาสนา
จึงควรศึกษาพทุ ธปรัชญาเพ่ือนํามาสรางปรัชญาชวี ิตของตนสําหรับกําหนดเปาหมายชีวิต และการดําเนิน
ชีวติ ใหมคี ุณคา สงู สุด พรอมทง้ั ปฏบิ ตั ติ ามปรัชญาความคดิ น้ัน
๓๔
๔. ปรชั ญากับสังคมศาสตร
ปรชั ญาเปนวิชาทว่ี าดวยการศึกษาเพ่ือคนหาความจรงิ ของชีวิต และส่งิ ที่มอี ยูใ นโลกท้งั มวล ตลอด
ถึงความสมั พันธร ะหวางส่ิงดังกลา วกับโลกอน่ื หรือพระผูเปน เจา โดยการใชเหตุผลเขา พิสูจน เพ่ือใหไดค วาม
จริงโดยอาศัยปญญาเปนบรรทัดฐาน เพราะปรัชญาเช่ือวาเม่ือมีผลยอมมีเหตุเปนส่ิงท่ีทําใหเกิด และเหตุ
ดังกลาวนั้นคืออะไร มูลเหตุที่เราไมรูน้ีแหละเปนปรัชญา คือเมื่อคนคิดมีเหตุผลแยบยลสรุปผลไดอยางไร
ความรูจริงหรือรูแจงในส่ิงนั้นเกิดข้ึน เราจึงเรียกวา “ปรัชญา” ฉะนั้น ปรัชญาจะมีไดตอเม่ือหมดความ
สงสัย ความแปลกใจหรือความไมรูจริงโดยเด็ดขาดแลว สว นสังคมศาสตรเปน วชิ าที่วาดว ยการศึกษาสงั คม
โดยอาศยั หลกั เกณฑท างวิทยาศาสตร นติ ศิ าสตร เศรษฐศาสตร รฐั ศาสตร ภาษาศาสตร สังคมวิทยา ทัณฑ
วยิ า มานุษยวทิ ยา การศกึ ษา จริยศึกษา ศลิ ปะ ปรชั ญา เปนตน๒
๕. ปรชั ญากับจิตวิทยา
ปรัชญาและจิตวิทยามีความสัมพันธกันอยางใกลชิด เพราะถาเรามองดูขอบขายของปรัชญาแลว
วชิ าบางวิชาเปน สาขายอยของปรัชญา เชน ตรรกวิทยา และจริยศาสตร ตางก็เกยี่ วเนื่องสัมพันธกันอยาง
แนบสนทิ กบั จติ วทิ ยา และจิตวทิ ยาเองกเ็ กิดขึ้นจากปรัชญานั่นเอง
จติ วทิ ยา เมอ่ื มองดูตามรูปศพั ทแลว มาจากคําวา จติ ตะ และ วิทยะ ในภาษาสันสกฤตแปลวา
วชิ าทว่ี า ดว ยจิตเปนวชิ าที่ศกึ ษาถงึ ธรรมชาติของจิตสภาพของจติ ท่ีมีผลในการแสดงออกทางพฤติกรรมตา งๆ
ของมนุษย กระบวนการของการคดิ หาเหตผุ ลในฐานะท่ีเปนการแสดงออกทางจิต ฯลฯ
เดิมทีเดียวจิตวิทยาก็รวมอยูในปรัชญา แตเม่ือกาลเวลาผานมา จิตวิทยาไดเริ่มมีการเจริญและ
วิวัฒนาการเรื่อยมา จนในที่สดุ ก็แยกออกเปนปรชั ญาและกลายเปนวิชาอิสระ คือ จติ วิทยาที่เรารูจักใน
ปจจุบัน
จติ วิทยาและปรัชญามีความแตกตางกันหลายประการ ดังตอไปน๓ี้
๑. จิตวิทยาใชวิธีการทางวิทยาศาสตรเชน การทดลอง การพิสูจน การสังเกต เปนตน สวน
ปรชั ญาใชวธิ กี ารทางปรชั ญาเองเชน ตรรกวิทยา เปน ตน
๒. ปญหาที่นํามาคิด ปรัชญาคิดปญหาในแบบรวมหนวยหรือรวมยอดและเปนแบบสังเคราะห
สวนจิตวิทยาคิดปญหาจํากัดอยูเฉพาะในวงของตนเองและเน่ืองจากวิทยามีวิธีการเปนวิทยาศาสตร จึงมี
ลกั ษณะเปนการวิเคราะหดวย
๒ ทองหลอ วงษธ รรมา, รศ.,ดร., ปรชั ญาท่ัวไป, (กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพโอเดยี นสโตร, ๒๕๔๙), หนา ๑๕.
๓ ศรณั ย วงศค ําจันทร, ปรัชญาเบอ้ื งตน, (กรุงเทพฯ : อมรการพมิ พ, ม.ป.ป.), หนา ๒๖-๒๗.
๓๕
๓. ขอบเขตของเน้ือหา จิตวิทยาคือการศึกษาพฤติกรรมตางๆของมนุษย สวนปรัชญาคือ
การศึกษาหาความรทู ุกแงท กุ มุมที่เกีย่ วของ
แมวา ปรัชญากบั จติ วิทยา จะมีแงมุมท่แี ตกตางกัน แตใ นสว นลึกแลว ท้งั สองฝายมีความสัมพนั ธกัน
อยา งแนบสนทิ และเก้ือกูลซึง่ กนั และกันดงั ประเด็น ตอไปนี้
๑. ความจริงทุกชนิดทางดานปรัชญาตา งก็มีจิตวิทยาเปนพื้นฐาน เพราะความรูทุกชนดิ จะเกดิ ข้ึน
โดยกระบวนการทางจิตวทิ ยาเทานัน้
๒. ปญหาทางปรัชญาโดยเฉพาะอภิปรัชญา ถาสรุปกลาวแลวก็คือเรื่องกระบวนการของจิตและ
การคิดน่ันเอง
๓. สาขาของปรัชญา เชน ตรรกวิทยา จริยศาสตร เปนวิชาท่ีไมสามารถแยกออกจากกนั ไดโ ดย
เดด็ ขาดจากจิตวทิ ยา จิตวทิ ยาและปรัชญาจึงสัมพนั ธก นั อยางแนบสนิท
๔. จติ วิทยามีบอ เกิดมาจากปรัชญาและในเบื้องแรกก็เปน อัน หนงึ่ อนั เดียวกนั กบั ปรัชญา
จะเหน็ ไดวาสัตวท ั้ง ๒ นี้ สัมพันธกนั อยางแนบสนิทและเกื้อกูลกัน ดงั นี้ เบคอน กลาววา การ
สืบคนหาปรัชญาตองมีจติ วิทยาเปนพ้ืนฐาน
ดังน้ัน ปรัชญาจึงเปนวิชาที่คนหาความจริงอันติมะหรือศึกษาเก่ียวกับความเปนจริง ซ่ึงความจริง
ดังกลา วจะตองศกึ ษาหรอื คนควา ใน ๓ ทาง คอื
ก. ความเปนจริงคอื อะไร สาขาปรชั ญาทคี่ นควา เกี่ยวกบั เร่ืองนี้เรียกชื่อวา “อภิปรัชญา”
ข. เรารูความจรงิ ไดอยา งไร สาขาปรัชญาทค่ี นควาเก่ยี วกบั เร่ืองน้ีชอ่ื วา “ญาณวทิ ยา”
ค. เราพึงประพฤติตนอยางไรจึงจะเหมาะสมกบั ความเปน จรงิ สาขาปรัชญาที่คน ควาเกี่ยวกับเรื่อง
นีช้ ื่อวา “จริยปรัชญา” หรอื “จรยิ ศาสตร”
สว นจิตวิทยาเปนวิชาท่ีวาดว ยการศึกษาสภาพของสิ่งท่ีมีชีวิตโดยมนุษยและสัตว ซึ่งจะตองศึกษา
เนนลงไปถึงจิตใจ พฤตกิ รรมของมนษุ ยแ ละสัตว ซงึ่ มนษุ ยแ ละสตั วเหลาน้ันทําปฏิกริ ิยาตอบสนองตอสิ่งเรา
อยางไร โดยท่ัวๆ ไปเม่ือเราพูดถึงจิตวิทยา เรามักจะหมายถึงวิชาที่วาดวยขอเท็จจริง หลักเกณฑการ
ทดลอง คนควาและผลของการทดลองคนควา ทําใหผูศึกษาไดเรียนรูและเขาใจธรรมชาติ ตนเหตุ
แบบอยางของปฏิกิริยาของพฤติกรรมของมนุษยและสัตว ดังท่ีพระพุทธองคตรัสเรียกวา “จริต” นั่นเอง
จติ วิทยาจงึ ชวยใหเขาใจวา เพราะเหตุใดคนเราจึงมีลักษณะที่เหมือนกันบางประการและมีลักษณะตางกัน
บางประการ ถาหากไดศกึ ษาวิชาน้ีเปนอยา งดีแลว อาจจะชวยใหตวั ผูศึกษาเองแกปญหาตางๆในชีวิตไดดี
ข้ึนอีกดวย
แมจิตวิทยาจะเปนเพียงแงหนึ่งของปรัชญา แตยังมีความสัมพันธกันอยางใกลชิดระหวางวิชาท้ัง
สอง เพราะเปนวิชาที่สามารถแกไขปญหาชีวิตไดเปนอยางดี กลาวคือจิตวิทยาอาจจะเปรียบเสมือนผู
๓๖
ปฏิบัติการ ปรัชญาเปรียบเสมือนเปนพี่เลี้ยงผูใหความอุปการะคุมครอง ฉะน้ันผูปฏิบัติการถาปราศจากพี่
เลย้ี งอปุ การะอาจจะผดิ พลาดได
๖. ปรชั ญากบั วิทยาศาสตร
เปน ท่ีนา สังเกตวาในสมัยท่ีศาสตรตางๆ ยังไมเกดิ ข้ึน ปรัชญาเปนศาสตรเดียวที่ศึกษาเก่ียวกับโลก
และชีวิต แมแตว ิทยาศาสตรเองก็เปนสวนหน่ึงของปรัชญาเชนกัน กอนสมยั กาลิเลโอความรูประเภทหน่ึงท่ี
นักปรัชญาแสวงหา เปนเรอื่ งของปรากฏการณธ รรมชาตแิ ละกฎธรรมชาติท่ีเก่ียวของ ความสาํ คัญอยางหนึ่ง
ของกาลิเลโออยทู ี่เปน คนแยกวิทยาศาสตรออกจากปรัชญามาเปนศาสตรเ อกเทศโดยกําหนดใหการทดลอง
เปน สวนสาํ คญั ของการแสวงหาความรู นับแตนั้นมาวธิ ีการแสวงหาความรูมพี ัฒนาการมาเปนลาํ ดับจนเปน
“วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร”๔ ประกอบดว ยการสังเกต การตั้งสมมุตฐิ าน การคาํ นวณ และการทดลองและมี
วัตถปุ ระสงคทจี่ ะไดความรูท่เี ท่ียงแทแนนอนมาตอบสนองความอยากรูอยากเห็น
ในฐานะปรัชญาอาศัยการใครครวญตามตรรกวิทยา โดยยึดหลักวาเมื่อคิดตามหลักเหตุผลจะ
สามารถเขาถึงความแทจริงได และปรัชญาท่ีถูกตอง จะตองรวบรวมข้ึนจากวิธีการทางวิทยาศาสตร แต
นักวิทยาศาสตรไมใชปรัชญา เพราะวิทยาศาสตรจะศึกษาแคบๆ เจาะลงไป เชน ฟสิกส เคมี ชวี วทิ ยา นัก
วิทยาศาสตรไมเคยรวบรวมคําตอบไววาความแทจริงอันติมะ คืออะไรความรูของคนเราไดมาจากไหน
นักวิทยาศาสตรสวนมากเปนนักสสารนิยม เขาไมเคยเก่ียวของระหวางวิวัฒนาการของจักรวาลกับ
วิวัฒนาการของสงั คมเลย นักสังคมวิทยาศึกษาความเปน อยูของมนุษย แตไมอาจทราบไดวามนษุ ยม ีความ
เก่ียวของกับบรรพบุรุษของเขาอยางไรกับธุลคี อสมิคในสากลโลก และเปนความจริงอยางไรหรือไมแตนัก
ปรัชญาจะไมมองแคบๆ อยางน้ัน และพยายามหาคําตอบใหแกปญ หากวา งๆท่ีนักวทิ ยาศาสตรละเวนไวไ ม
ตอบ นักปรัชญาอาจนาํ ขอเท็จจริงและทฤษฎีทางวิทยาศาสตรมาใชในการนี้ พยายามนําเอาตรรกวิทยามา
ใชแ ละคดิ เก็งความจรงิ ตอไป จนไดคาํ ตอบเปนท่พี อใจ๕
ปรัชญาและวิทยาศาสตรมีความสัมพันธกันอยางใกลชิดและเกื้อกูลซ่ึงกันและกันเปนอยางย่ิง
ปรัชญาและวทิ ยาศาสตรมีบอเกิดที่เหนือกันและศึกษาปญหาตา งๆ ทคี่ ลายคลึงกัน เชน โลกและชวี ิต เปน
ตน ในขณะเดียวกัน ถาเรายอมรับหลักการของComte วา’’ปรัชญาคือศาสตรแหงศาสตรทั้งหลาย’’
๔ วิทย วศิ ทเวทย, ปรชั ญา, (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๑๓), หนา ๖.
๕ บุญมี แทนแกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธิ์กลางดอน, ปรัชญาเบื้องตน (ปรัชญา ๑๐๑),
(กรงุ เทพฯ : โอ.เอส.พริ้นต้งิ เฮาส, ๒๕๒๙), หนา ๘.
๓๗
วิทยาศาสตรก็เปนสวนหน่ึงของปรัชญาและเจริญวิวัฒนาการไปจากปรชั ญา มีท้งั นกั ปราชญบางทานกลาว
วา วิทยาศาสตรเ กดิ ขึ้นจากปรชั ญาถา ไมมีปรัชญาวทิ ยาศาสตรก ็จะมีไมไดเ ลย
กอนท่ีจะศกึ ษาปรัชญาและวิทยาศาสตร เราควรศกึ ษาและทําความเขาใจกับรูปศัพทเสียกอ น คํา
วา ปรัชญามรี ายละเอยี ดไดก ลาวไวในบทแรก สว นคาํ วา วิทยาศาสตร มาจากคาํ ในภาษาสนั สกฤต “วทิ ยะ”
และ “ศาสตระ” หมายถึง “ศาสตรแหงความรู” หรือเรื่องแหงความรู และมีความหมายเจาะจงลงไปวา
“ความรูที่แนนอนรัดกุมและเปนระเบียบ” เพยี รสัน ไดใ หคํานิยมไววา “วทิ ยาศาสตรคอื การบรรยายขอมลู
ของประสบการณอยางสมบูรณและกลมกลืนกันดว ยคําพูดท่ีงายที่สดุ ” วิทยาศาสตรเปนศาสตรที่มวี ิธีการ
ระบบและกฎเกณฑท่แี นนอนตายตัวซ่ึงพอสรุปเปนขั้นตอนไดดงั น้ี
๑. การรวบรวมขอ มลู
๒. การบรรยายขอ มลู
๒.๑ ใหค าํ นิยมและบรรยายอยา งกวางๆ
๒.๒ วเิ คราะห
๒.๓ จัดประเภท
๓. อธบิ ายขอมลู
๓.๑ กําหนดสาเหตุ
๓.๒ ตัง้ กฎ
ปรัชญาและวิทยาศาสตรม คี วามสัมพันธก ันอยา งใกลช ิด ซึง่ พจิ ารณาไดจ ากประเด็นตอ ไปน้ี
๑. ปรัชญาและวทิ ยาศาสตรมตี น กําเนิดท่ีเหมือนกัน คือ ตางกเ็ กิดจากความสงสัยและประหลาดใจ
จากธรรมชาติ
๒. ในระหวางปรชั ญาและวทิ ยาศาสตรน ้ัน วิทยาศาสตรยอมเกิดจากแนวความคิดทางปรัชญา และ
เมื่อความรูใ หมใ นทางวิทยาศาสตรเกดิ ข้ึนกเ็ กิดขึ้นโดยนักวิทยาศาสตรที่เปนนกั ปรชั ญาเทา น้นั
๓. แมวาวิทยาศาสตรเกิดจากปรัชญา แตใ นปจจุบัน เราเห็นความแตกตางระหวางปรัชญาและ
วิทยาศาสตรค อื ปรชั ญาเปนเรือ่ งแหง ทฤษฎี สว นวิทยาศาสตรเ ปนเรอื่ งของการทดลองและการปฏิบตั ิ
๔. เมอื่ วิทยาศาสตรสาขาใหมพยายามแยกตวั ออกจากปรชั ญาจะมปี ญ หาเกดิ ขน้ึ ๒ อยางคอื
ก.ขอถกเถียงในหมูนักวิทยาศาสตรวา จะใชว ิทยาศาสตรสาขาใหมหรือไมแตขอถกเถียง
ทํานองน้ีจะไมมีในหมูนักปรัชญาเลย เพราะนักปรัชญาจะพิจารณาทุกๆสิ่งท่ีอยูในขอบขายที่ปรัชญา
เกี่ยวขอ ง
ข.วิทยาศาสตรที่แตกตัวออกจากปรัชญาเมื่อถึงภาวะวิกฤตจะกลับคืนสูปรัชญาอีกคร้ัง
และนกั วิทยาศาสตรจะพยายามทําตนเหมือนนักปรัชญา
๓๘
๕. วิทยาศาสตรเปนศาสตรท่ีมีความกาวหนา แตปสยาไมมีความกาวหนาเลยเพราะจะไปติดอยูท่ี
ณ จดุ ๆ หน่งึ เชน พระเจา ฯลฯ
๖. วิทยาศาสตรเปนเรื่องของเคร่ืองยนตกลไก เครื่องมอื ตางๆ ทเี่ ปนวัตถุ แตป รัชญาเปนเรื่องของ
ความคดิ เปน นามธรรม
๗. ปญ หาภายในและปญหาภายนอกของปรัชญาและวิทยาศาสตร นกั ปรัชญาและนักวิทยาศาสตร
จะพจิ ารณาปญหาเดียวกนั แตคนละลักษณะ กลาวคือ ปญหาภายนอกของวิทยาศาสตรจะกลายเปนปญหา
ภายในของปรัชญาและปญ หาภายในของวิทยาศาสตรจะกลายเปนปญ หาภายนอกของปรัชญา เชน กฎคือ
อะไร ซ่ึงเปนปญ หาภายนอกของวิทยาศาสตรแตเปนปญหาภายในของปรัชญาและอะตอม ซ่ึงเปนปญหา
ภายในของวิทยาศาสตรแ ตเ ปนปญหาภายนอกของปรชั ญา
๘. ปญหาของปรัชญาและวิทยาศาสตรปญหาของปรัชญานั้นคําตอบไมไดอยูทตี่ ัวปญหา แตนัก
ปรัชญาตองพยายามแสวงหาคําตอบจากสงิ่ ตางๆ และปญหาของปรัชญาน้ันเปนปญ หาท่ีหาคําตอบไมได
(Pseudo Problems) สวนปญหาของวทิ ยาศาสตรคําตอบอยูท่ีตัวปญหาเอง โดยใชวิธีการทดลอง สังเกต
รวบรวมขอมูล และการพิสจู น โดยกฎตา งๆกจ็ ะพบคาํ ตอบ
๙. ปญหาของปรัชญาเปนปญหาที่มีลักษณะท่ัว ๆ ไปและมีขอบขายกวางขวางสวนปญหาของ
วทิ ยาศาสตรเ ปนปญหาเฉพาะอยา งอยางซ่งึ มีอยใู นธรรมชาติ
เราจะเห็นไดวาในขั้นสุดทายก็จะตองมีนักปรัชญาสมัยใหมนําขอเท็จจริง กฎและทฤษฎีทาง
วิทยาศาสตรมาใชในการคนคดิ ปรัชญา และใชต รรกวทิ ยาดว ย ผลทไ่ี ดก็จะเปน ปรัชญาวิทยาศาสตรโ ดยท่ัว
ถวน แลวตอจากน้ีปรัชญาก็จะกลืนเขากับวิทยาศาสตรไดสนิท และกลายเปน “ปญญา” อันถองแทแหง
มวลมนุษย
ถงึ แมวา ปจ จุบนั วิทยาศาสตรยังสามารถบรรลวุ ัตถุประสงคดงั กลา ว แตค วามรูทางวทิ ยาศาสตรก็มี
เปอรเซ็นตข องความเปนไปไดสงู กวาความรูจากศาสตรอ่ืน เพราะความรูทางวิทยาศาสตรไดผ านขบวนการ
ทดสอบทุกข้ันตอนมาแลวเปนอยางดี ดังนั้นจึงเปนความรูท่ีมีคนเชื่อถือและไววางใจมากที่สุดในเวลาน้ี
แมแ ต นักปรัชญาเองกย็ อมรับวาคําตอบทางวิทยาศาสตรเ กีย่ วกับโลกมีเหตผุ ลและประจักษพยานชัดแจง
กวาทฤษฎีทางปรชั ญา และยุติบทบาทของคนในการเปน ผู “แสวงหาความรู” เก่ียวกับโลกและหนั มาสนใจ
ปญ หาเก่ียวกับชีวติ ท่ียังไมมีศาสตรใดใหคําตอบที่แนนอนและชัดเจนได นอกจากน้ันนักปรัชญายังสนใจท่ี
จะวิเคราะหและวพิ ากษค วามรูทางวิทยาศาสตรและศาสตรตางๆ เพื่อใหมีความชัดเจนทางเหตุผลมากขึ้น
และเพื่อบูรณาการความรูจากศาสตรตา งๆ ใหเปนเอกภาพเดียวกนั ถึงแมวาวิทยาศาสตรและปรัชญาแยก
ออกจากกันออกเปนสองศาสตรเอกเทศ แตในวงการศึกษาตะวันตกระดับอุดมศึกษานิยม เรียกปริญญา
บัตรของผูจบการศึกษาระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตรวา ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (Doctor of
๓๙
Philosophy) หรอื Ph.D (มาจากภาษาละติน Philosophiae Doctoris) อยเู ปนเวลานาน และมาเปลี่ยน
ชือ่ เปนวทิ ยาศาสตรดุษฎีบณั ฑิต (Doctor of Science หรอื Dsc.) ไมกี่สิบปเพ่ือใหส อดคลอ งกับความเปน
จริง อยา งไรกต็ ามมหาวทิ ยาลัยเกา แกทมี่ ชี ือ่ เสยี งหลายแหง เชน มหาวิทยาลยั เยล ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ยงั คงนิยมใชช อื่ เดิมของปริญญาบัตรอยู
๗. ปรชั ญากบั กวนี พิ นธ
ท้ัง ปรัชญา และ กวีนิพนธ ตางก็อธิบายความลี้ลับของสากลจักรวาล แตท่ีตางกัน กวีนิพนธอาศัย
อารมณกับแรงดลใจ สวนปรัชญาอาศัยปญญาและวิจารณญาณ อารมณจึงจัดเปนเคร่ืองมือของกวีนิพนธ
และเหตุผลจัดเปนเครื่องมือของปรัชญา นักกวีนิพนธใชอารมณ นักปรัชญาใชความคิด นักกวีนิพนธยึดความ
อบอุนเขาใจ ความเพลิดเพลินมีคาเหนือส่ิงอื่นใด สวนนักปรัชญายึดเอาความบริสุทธ์ิความเลอเลิศแหง
ปญญา นักกวีนิพนธเขาใจธรรมชาติของสากลจักรวาลดวยจิตใจ นักปรัชญาเขาใจธรรมชาติของสากล
จักรวาลดวยปญญา นกั กวีนิพนธใชสัญลักษณและจินตนาการ นักปรัชญาใชความคิดอยางมีเหตุผลลวนๆ
มิใชจนิ ตนาการ นกั กวนี ิพนธอธบิ ายสากลจักรวาลใหเห็นเปนสัญลักษณและรูปราง นักปรัชญาธบิ ายใหเหน็
เปน เหตผุ ล นักกวนี พิ นธอ ธบิ ายพระผูเปน เจาใหเห็นเปนรูปราง นักปรัชญาอธิบายใหเ ห็นเปนเหตุผล
นักกวีนิพนธคนหาความงามในสากลจักรวาล เชน ความงามของธรรมชาติ ความงามของมนุษย
ท้ังชายหญิง เปนตน ตลอดจนความงามซึ่งเปนที่ประจักษแกประสาทสัมผัส และความงามท่ีรับรูดวยจิตตาม
ทศั นะของนักกวนี ิพนธ ความงาม ก็คอื ความจริง ความจริง ก็คอื ความงาม แต นักปรัชญา คนควาหาทาง
ที่จะรวม ความจริง (Truth) ความดี (Good) และ ความงาม (Beauty) เขาดวยกัน พยายามท่ีจะเขาใจสัจ
ธรรมอยางส้ินเชิงทุกแงทุกมุม ซ่งึ ปรากฏอยใู นรูป ความจริง ความดี และ ความงาม
นกั ปรัชญาบางทาน เชน เปอรรี่ พยายามท่ีจะจัดนักปรัชญากับนักกวีนิพนธออกเปน ๒ พวก๖ คือ
พวกนกั กวีนิพนธท่ีเปนนักปรัชญา (Philosopher-Poets) และ พวกนักปรัชญาที่เปนนักกวีนิพนธ (Poet-
Philosophers) หมวกแรกเชน Milton, Dante, Wordsworth, Browning เปน ตน พวกหลังเชน Plato,
Hegel เปน ตน พวกแรกเปนนักจนิ ตกวี เปนนกั คิดทพี่ ยายามตีความหมายสง่ิ ตา งๆ ตามอารมณและแรงดล
ใจ พรอมกันนั้นก็ไดพ ยายามโนม นา วจติ ใจปวงชนใหมคี วามเชื่อม่ันในศรัทธาหลักศาสนา ศีลธรรม ตลอดจน
ขนบธรรมเนียม ประเพณอี นั ดีงาม ใหรูจักบาปบญุ คุณโทษ ใหรูจกั พระผูเปน เจา ตลอดจนธรรมชาติของสิ่ง
ตา งๆ ท่ีมคี วามสมั พันธกับมนุษย สวนพวกหลงั คือพวกนกั ปรัชญาที่เปนนักกวีนพิ นธกพ็ ยายามบรรยายสากล
๖ อมร โสภณวเิ ชษฐวงศ, ผูชวยศาสตราจารย, ปรัชญาเบ้อื งตน , (กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง, ๒๕๒๔),
หนา ๑๗.
๔๐
จักรวาลตามความคดิ ที่มเี หตผุ ล เพ่ือใหปวงชนมีความพอใจที่จะใชเหตผุ ลในการดํารงชวี ิตใหมีความสนใจในหลกั
ศาสนา ศลี ธรรม ตลอดจนสนุ ทรียธรรม เพอื่ ทาํ ชวี ติ ใหมีคณุ คาโดยอาศยั หลกั ดังกลา ว
๘. ญาณวิทยากบั ตรรกศาสตร
ญาณวิทยา เปนการศึกษาถงึ กําเนดิ ธรรมชาติ ขอบเขต และ ความสมบูรณแ หงความรูศึกษาถึง
เหตุปจจัยที่จะใหเกิดความรูอยางสมบูรณ ตรรกศาสตรหมายถึง ศาสตรแหงการใชความคิด (Science
of Thinking) การใชความคิดเพ่ือความจริง หรือความรูมาปอนจิตใจ ตรรกศาสตร ทําหนาที่สืบคนถึง
หลักฐานวิธีการตางๆ ท่ีจะพิสูจนตลอดจนเหตุปจจัยท่ีจะชวยใหหลักฐานและการพิสูจนสมบูรณ
ตรรกศาสตร ศึกษาคนควาถึงธรรมชาติและความสมบูรณแหงการอนุมาน (Inference) แบบตางๆ
ท้ังนิรนัย (Deduction) และอุปนัย (Induction) ตรรกศาสตร หลีกเลี่ยงที่จะแตะตองอภิปรัชญา แต
ญาณวิทยา จําตองสืบคนถึงธรรมชาติของ สัจธรรม ซึ่งเกี่ยวของกับ อภิปรัชญา โดยเฉพาะ ดังน้ัน ญาณวิทยา
จึงมีความสัมพันธกับ อภิปรัชญา อยางใกลชดิ ญาณวิทยา สืบคนถึงเหตุปจจัยทั่วๆไป ของความสมบูรณ
แหงความรูเทาน้ัน มิไดสืบคนถึงรายละเอียดของขบวนการพิสูจนตางๆ แต ตรรกศาสตร พยายามท่ีจะ
สืบคนถึงกระบวนการพิสูจน หรือหลักฐานพรอมกับความสมบูรณแหงกระบวนการพิสูจน และหลักฐาน
โดยเฉพาะ
๙. อภปิ รชั ญากับตรรกศาสตร
อภิปรัชญา ทําหนาท่ีศึกษาคนควาเก่ียวกับสัจธรรมโดยใชเหตุผล ตลอดจนการวิเคราะห และการ
สังเคราะหทางตรรกศาสตร วิธีการของอภิปรัชญาใชทั้ง ตรรกศาสตร และ เหตผุ ล ฉะนั้น อภิปรัชญา จึง
เก่ียวของกับ ตรรกศาสตร ถึงกระนั้นก็ตาม อภิปรัชญา วาดว ยลักษณะของส่ิงที่มีอยูจริง ซ่ึงเรียกวา สัจ
ธรรม แต ตรรกศาสตร วาดวยความสมบูรณแหงหลักฐานหรอื การพิสูจนเทา นนั้ ไมสบื คน ถึงธรรมชาติ หรือ
ลักษณะของส่ิงที่มีอยูจริง หรือสัจธรรม ตรรกศาสตรเพียงแคคาดคะเนตามหลักฐานของการพิสูจน เทย
เลอร ผูเขียนหนังสือเก่ยี วกบั อภิปรชั ญา ชอื่ Elements of Metaphysics ก็มที ัศนะทํานองเดียวกันกับที่
กลาวมาแลว คือ ยอมรับความคลายคลึงกันของท้งั สอง วาดวยขอบขายและวธิ ีวเิ คราะห และยอมรบั ความ
แตกตา งกันในเรอื่ งการสืบคน คอื อภปิ รชั ญา สบื คนถงึ ลกั ษณะของส่ิงทมี่ ีอยจู รงิ แต ตรรกศาสตร สืบคนถึง
ลักษณะของส่ิงท่ีพออนมุ านไดวาจริงหรือไมจริง ตรรกศาสตร พิจารณาความจริงโดยอาศัยแบบและความ
จรงิ ในเน้อื หา ความจริงตามแบบ เชน บทสรุปตรงกับประพจนท ี่เปน เหตุ โดยไมคาํ นึงถึงเนื้อหาทีว่ าเปนจริง
หรอื ไม ความจรงิ ในเนือ้ หา เชน ประพจนทเี่ ปน เหตตุ รงกับความเปนจริงท่ีประจักษ
๔๑
เฮลเกล มคี วามเหน็ วา ตรรกศาสตร กับ อภิปรัชญา เปนอันเดยี วกัน ตรรกศาสตรเปนสัตว วา ดวย
การใชความคิด อภิปรัชญา วาดวยส่งิ ท่ีมีอยูจริง ความคิดกับสิ่งท่ีมีอยูจริงก็คือสิ่งเดียวกัน ส่ิงใดที่มีอยูจริง
ยอมมีเหตุผล ส่ิงท่ีมีเหตุผลคือสิ่งท่ีมีอยูจริง วิภาษวิธีท่ีมนุษยใชเปนเชนเดียวกับวิภาษวิธีของอภิจิตหรือ
พระผูเปนเจา มนุษยเรามีโครงสรา งทางความคิดเปนเชน เดียวกันกับอภิจิต ฉะน้ัน เฮลเกล จึงใชแตเ พียงคําวา
ตรรกศาสตร ชวยอธิบายลักษณะของส่งิ ที่มอี ยูจรงิ ตลอดจนแบบตา งๆ ของการอนมุ าน
ทัศนะของ เฮลเกล ไมเปนท่ียอมกัน ตอมาถูกคัดคานเพราะสวนมากไมเห็นดวยเฮลเกลท่ีถือวา
จิตของมนุษยกับอภิจิตเปนเชนเดียวกัน ความเปนจริงแลวจิตของมนุษยอาจยังไมเขาใจสัจธรรมทุกแงทุก
มุม ถึงจะรูจักใชเหตุผลก็ตาม แตก็ยังอยูในภาวะที่ไมสมบูรณ ซ่ึงตรงกันขามกับอภิจิตเปนจิตสมบูรณ
การใชเ หตผุ ลกเ็ ปนเหตุผลทสี่ มบูรณปราศจากขอโตแยง
๑๐. จิตวทิ ยา ญาณวทิ ยา และอภิปรัชญา มคี วามสมั พันธกนั อยา งไร
จิตวิทยา เปนศาสตรวาดวย จิต คือเปนการศึกษาเก่ียวกับเร่ือง จิต เพื่อแสดงใหเห็นวาความรู
ทีเ่ จริญงอกงามในจติ ของแตล ะคนนัน้ เปนมาอยางไร เพื่อใหวิเคราะหใหเ ห็นวา ความรูที่เจรญิ งอกงามในจติ
ของแตละคนนั้นเปนอยางไร เพื่อจะวิเคราะหใหเห็นสภาพและขบวนการที่จิตของคนเราไดพัฒนาข้ึน
จากภาวะเบ้ืองตนที่เรียกวา งายที่สุด ตอการเขา ใจจนถึงภาวะที่สลับซับซอน เพื่ออธิบายใหเห็นขบวนการ
ตลอดจนสภาพอันแทจริงของจติ จิตวทิ ยาเกย่ี วกับสว นที่มชี ีวิตของมนษุ ยเรา
จติ วิทยา ไมพยายามจะศึกษาคนควาไปถึง ความถูกตอ ง คอื ศึกษาแตเ พียงวิวฒั นาการของความรู
และไมศึกษาเก่ียวกับธรรมชาติ และความถูกตองของความรู จิตวิทยาสมมุติ ความเปนไปไดของความรู
สืบสาวไปถึงพัฒนาการทางจิตใจของมนุษยดวย เม่ือจิตวิทยาไดแสดงใหเห็นถึงวิวัฒนาการทางดานจิตใจ
ของมนุษย ก็ทําใหเกดิ ปญ หาขึน้ วา ความรูจ ะเปนไปไดอ ยางไร แลว มนษุ ยเ ราจะรูสิ่งตา งๆไดอ ยางไร
จติ วทิ ยา ศกึ ษาคนควา ขอเท็จจรงิ ญาณวทิ ยา ก็ศึกษาเก่ยี วกบั ขอเท็จจริงท่ีเปนไปได จติ วิทยา ได
สมมติส่ิงที่มีอยูวา เปนจิต และ เปนโลก และการทจ่ี ะมคี วามรูเกี่ยวกับโลกก็ดว ยอาศัยจิต เปนผูร ู แตวา
ญาณวิทยา พยายามที่จะศึกษาคนควา ไปถึงเหตปุ จจัยซ่ึงทําใหเกิดความรูขึ้น ณานวิทยา หมายถึง ศาสตร
วาดวยความรู เปนการคนควาถึงธรรมชาติ บอเกิดขอบเขตเหตุปจจัยที่ทําใหเกิดความรู พยายามที่จะ
อธิบายหรอื ตอบปญ หาดงั ตอไปนี้
ความรูส่ิงท่ีมอี ยูจริงจะเปน ไปไดห รอื ไม? หรือสง่ิ ท่มี ีอยจู ริงรูไ ดห รือไม? อะไรเปนธรรมชาติ อนั
แทจริงของความรู หรืออะไรคอื ความรู? และความรูเกิดขึ้นไดอยา งไร? ความรูมีอะไรเปนสาเหตุ? และ
ความรูมขี อบเขตแคไหนเพยี งไร? อะไรเปนเหตุปจ จัยท่ีทาํ ใหเกิดความรูถูกตอง? ตลอดจนปญหาทว่ี าอะไร