๑๔๒
สํานักสโตอิคไดทําการสอนปรัชญาใหกบั ชาวเอเธนสอยูหลายรอยป สโตอิคเกามี เซโน เปน
เจาสํานักในชวงพ.ศ. ๓๐๐ สโตอิคกลางสอนโดย ปาเนติอุส ในชวงประมาณ พ.ศ.๔๐๐ สวนสํานัก
สโตอิคใหมโดย อนั เนอุส เซเนคคา ในชวงปลายๆ พ.ศ. ๖๐๐ ปรัชญาสโตอิคท่ีจะกลาวถึงสวนใหญ
คอื สโตอคิ เกาของ เซโน
ปรัชญาสโตอิคมงุ สอนอภิปรัชญาและตรรกศาสตรเพ่ือใชเปนฐานรองรับจริยศาสตร ในการ
ดําเนินชีวิตใหสอดคลอ งกับธรรมชาติ (Live according to Nature) เชนเดียวกับทางพุทธศาสนา
ตรรกศาสตรของปรัชญาสโตอิคเปนตรรกศาสตรแหงประโยค (Logic of Proposition) ท่คี ิดคนข้ึน
โดย ครีสซิปปุส แหงสโตอคิ กลาง ปรัชญาสโตอคิ ไมเช่ือวาตรรกศาสตรแบบคาํ ดงั เชนของอริสโตเติล
คิดขึ้นนั้นจะใหความจริงเพียงพอ ท้ังยังไมเห็นดวยกับทฤษฎีมโนคติหรือแบบของเพลโตและของ
อริสโตเตลิ ที่กลาววา มสี ิ่งสากลแทรกสถิตอยูภายในสิ่งเฉพาะ สโตอิคมีความเห็นวา สิ่งเฉพาะที่รับได
โดยประสาทสมั ผัสเทา น้ันที่มอี ยู สวนส่ิงสากลไมมีอยูจริง ดังนกั ปรัชญาสโตอิคคนหนึ่งคาน “แบบ”
ของเพลโตโดยกลา วอยางลอ เลียนวา “ขา พเจาเห็นแตม า ตัวหนง่ึ แตไมเ ห็นความเปน มา ”
ทศั นะดงั กลา วจึงถอื วา อยูตรงขามกับปรชั ญาของเพลโต ซ่ึงเชื่อวาขอมูลไดจากสัญชานเปนได
แคค วามเชื่อ หาเปนความรไู ม สว นสโตอคิ เชอ่ื วา สัญชานหรือประสบการณจ ากประสาทสัมผสั เปนบอ
เกดิ ของความรทู ุกอยาง
กลาวโดยสรุป ทฤษฎีความรูหรือญาณวิทยาของชาวสโตอิคเปนแบบประสบการณนิยม
(Empiricism) สวนของเพลโตและอริสโตเติลเปนแบบเหตผุ ลนิยม (Rationalism) แตประสบการณ
นยิ มของชาวสโตอิคก็ไมไดปฏิเสธการใชเหตุผลเสียเลยทีเดียว ชาวสโตอิคเพมิ่ เติมวา สัญชานใดจะให
ความรูแทจ ริงหรอื ไมน้ันขนึ้ อยูกบั เงื่อนไขทวี่ า สัญชานนั้นสามารถทําให “จิต” มีการปลงใจ (Assent)
ไดห รอื ไม
แนวความคิดนีม้ ีสอนไวใ นปรัชญาพทุ ธ วา ขอ มูลทีไ่ ดจ ากการรับรดู ว ยประสาทสัมผัสทงั้ ๕ คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส น้ันบางครั้งทําให เวทนา สัญญา สังขาร หรือ วิญญาณ บิดเบือนออกไป
จากความเปนจริงไดดว ยธรรมารมณแ หงกิเลสและตัณหา สัญชานอนั เต็มไปดวยอารมณจึงอาจไมใช
ความรู (Knowledge) แตเปนเพียงความเช่ือ (Belief) ความศรัทธา (Faith) หรือเพียง ปสาทะ
ปรัชญาสโตอคิ กลาววา“การปลงใจ คอื อาการทีจ่ ิตยอมรับวา ภาพที่เห็นหรือเสียงที่ไดยินเปนของจริง
โดยไมมคี วามสงสัยหรือระแวงแคลงใจแตประการใด สัญชานใดเกิดขึ้นพรอมกับความปลงใจเช่ือดวย
เหตผุ ลจึงจะเปนสัญชานท่ีใหความจริงแท คนท่ีมองเห็นเงาตะคุม ๆทามกลางความ มืดในเวลาค่ําคืน
แลวเชื่อวามีผีนั้น เปนสัญชานอนั เกิดจากอารมณความรูสึกกลัว สัญชานเชนน้ีจึงไมอาจใชเ ปนเกณฑ
ในการตดั สนิ ความจริง”
ในทางอภิปรัชญา ชาวสโตอิคมีความเชื่อเชนเดียวกับเฮราคลิตสและอริสโตเติลวา ดั้งเดิม
จกั รวาลเกิดมาจากหลักการเบื้องตน ๒ ประการคือ กัตตภุ าวะ (พระเจา) และ กัมมภาวะ (สสาร) แต
๑๔๓
ท้ังสองภาวะถือวาเปนส่ิงเดยี วกันคอื เกิดมาจากไฟ ไฟเปนส่ิงแรกที่มีในจักรวาล สรรพส่ิงเกิดจากและ
จะกลบั ไปสูไฟ พระเจาก็คือไฟ แตเปนไฟทีล่ ะเอยี ดปราณีต เม่ือทุกสิ่งลวนเกิดมาจากไฟ ส่ิงแทจริงทุก
อยา งลวนเปนสสาร
อยางไรก็ตาม แมวา อภปิ รัชญาของชาวสโตอคิ จะเปน สสารนิยม แตก็ยังเช่ือและถือวาพระเจา
ทรงเปนปญญาอันสมบูรณแ ละเปน วจนะ (Logos) คือเปนกฎแหงเหตผุ ลที่จัดระเบียบใหกบั จักรวาล
เชน เดยี วกับ กฎธรรมชาติ หรือ อทิ ัปปจจยตาในทางพุทธศาสนา ตางกันตรงที่ปรัชญาพทุ ธไมกลาวถงึ
หรือไมเชื่อวากฎแหงเหตผุ ลน้ีคอื พระเจา แตเปนกฎทม่ี ีอยูกอนแลวไมวาจะมหี รือไมม ีตถาคตหรือนัก
ปรัชญาผูมีปญญาเลิศใด ๆ เกิดข้ึนมาก็ตาม เลาจื๊อมีความเห็นเชนเดียวกัน แตเขาไมเรียกวา กฎ
ธรรมชาติ ไมเรยี กวา ธรรมนยิ าม ไมเ รียกวา พระเจา แต เลาจื๊อ เรยี กวา เตา
ปรัชญาสโตอิคเชื่อในตอนแรกวาท้ังพระเจาและสสารคือส่ิงเดียวกัน ตางอยูภายใตกฎ
ธรรมชาติและเปล่ยี นแปลงอยูภายใตการควบคมุ ของกฎเหตผุ ล แตปรัชญาสโตอิคยุคหลังกลับสอนวา
สรรพส่ิงในโลกเกิดขึ้นและมีการเปล่ียนแปลงไปตามแผนการและวัตถุประสงคที่พระองคกําหนดไว
ลวงหนา พระเจา คอื ผกู ําหนดชะตากรรมของมนุษย ปรัชญาสโตอิคจึงมองดูคลายจะเปนสสารนิยมถึง
จิตนิยมและเช่ือใน “พรหมลิขิต” แบบชะตานยิ ม (Fatalism) หรือ นิยัตินิยม (Determinism) ทีเ่ ช่ือ
วา สรรพสิ่งท้ังหลายตองมีอันเปนไปตามชะตากรรม มนุษยไมมีเจตจํานงเสรี (Free Will) ในการ
กาํ หนด วิถีชีวิตหรือหลีกเล่ียงชะตากรรมท่ีพระเจากําหนดไวลวงหนา สรรพส่ิงทั้งหลายเกิดมาจากไฟ
จึงตองกลับไปสูไฟ ในวันหน่ึงขางหนาไฟจะไหมโ ลกเหลือแตพระเจา ตอจากนั้นพระเจาจะกลายเปน
โลกแลวกลับไปสูไฟอกี เวียนวายอยูในลักษณะเชนน้ีไมมที ่ีสิ้นสุด การเกดิ ใหมข องโลกแตละครั้งจะซ้ํา
รอยเดิมทุกประการ ไมมีอะไรเกิดขึ้นใหมในจักรวาล ตางเกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติตามวจนะของ
พระองค เพราะวญิ ญาณของมนุษยด วงแรกเกิดจากพระเจา สวนวิญญาณอนื่ เกิดสืบตอกนั มาจากบิดา
มารดาลงไปยังบุตรธิดา วิญญาณของมนุษยจึงตระหนักรูกฎธรรมชาติและพรอมที่จะปฏิบัติ ตามพระ
ประสงคของพระองค ปรัชญาสโตอิคเช่ือวา วิญญาณของมนุษยเมื่อตายลงจะรออยูจนถึงวันไฟไหม
โลก เมื่อถงึ วนั น้นั วิญญาณ ของคนดเี ทานนั้ จึงจะมีโอกาสกลับสพู ระเจา
พึงสังเกตวา ความเช่ือเชนน้ีมีปรากฏอยูในศาสนาอิสลามเชนเดียวกัน อภิปรัชญาสโตอิค
ดังกลาวมาน้ีนําไปสูความเช่ืออันเปนรากฐานทางจริยศาสตร ๒ ประการ คือ เชื่อวาจักรวาลถูก
ปกครองดว ยกฎเหตุผลที่ตายตัว ธรรมชาตอิ ันเปนแกน แทของมนุษยคือการคิดอยางมีเหตผุ ลที่ควรรู
และตระหนักในกฎธรรมชาตเิ พือ่ ใหการดําเนินชีวิตมีความสอดคลองกับธรรมชาติ กบั ทง้ั ยอมรับและ
คลอ ยตามกฎเกณฑแ ละระเบียบประเพณีของสังคม เซโน นักปรชั ญาชาวสโตอิคกลา ววา
“ชีวิตตามธรรมชาติหมายถึงชีวิตที่ดําเนินตามเหตุผล ใหสอดคลองกับธรรมชาติอยางมี
คุณธรรม เพราะวาธรรมชาตินํามนุษยสูคณุ ธรรม ธรรมชาติของมนุษยคือสวนหน่ึงของธรรมชาตแิ หง
๑๔๔
จักรวาล คุณธรรมคือสภาพจิตท่ีคลอยตามเหตุผล คุณธรรมเปนส่ิงนาปรารถนาในตัวเอง ไมใ ชความ
ปรารถนาเพราะความคาดหวงั ความกลัว หรือจากแรงจงู ใจจากภายนอก”
หลักคุณธรรมของสโตอิคจึงเหมือนกับของเพลโตและอริสโตเติล กลาวคือ ประกอบดวย
ปญญา ความกลาหาญ การรูจักประมาณ และความยุติธรรม คุณธรรมท้ัง ๔ ประการมคี วามสัมพันธ
กนั อยางแยกไมออก คนดีคือคนมคี ุณธรรมครบทั้ง ๔ ประการ เซโนกลาววา ในบรรดาคุณธรรมหลัก
ทั้ง ๔ ประการ ปญญาถือวามีความสําคัญท่ีสุด เพราะเปนปจจัยที่มนุษยใชวิเคราะหแยกความดอี อก
จากความช่ัว แยกความเหมาะสมออกจากความไมเหมาะไมควร ผูมีปญญายอมจะทําความดีและ
หลกี เลีย่ งความชั่ว เซโนเหน็ ดวยกบั โสคราตสิ ในคาํ กลาวทว่ี า “ความรคู อื คุณธรรม คนมีความรูคือคนมี
ปญญา คนมปี ญญาคอื คนมีคณุ ธรรมคนมีความรูแ ตขาดคุณธรรมคอื คนที่ไรป ญ ญา”
จุดเดนของปรัชญาสโตอิค อยูท่ีการสอนใหมนุษยรูจักฝกฝน เพื่อกําจัดอารมณความรูสึก
ออกไปใหหมด มนุษยเปรยี บเหมอื นนักแสดง เขาตอ งแสดงไปตามบทท่ีพระเจากําหนดไวลวงหนาโดย
ไมมีทางหลีกเล่ยี ง ดังนั้น มนุษยจึงไมควรแสดงความรูสึกและอารมณ ชอบ ชัง ดใี จ เสียใจ พอใจหรือ
ไมพอใจ ในบททต่ี นเองไดรับ แตควรทําใจใหเปนกลางเขาถึงอุเบกขา ๓๔ (Apathy) หากมนุษยทํา
ไดม ากเทา ใดเขากจ็ ะบรรลุอสิ รภาพของจิตใจไดม ากเทาน้ัน อสิ รภาพของจิตหมายถึงความสุขที่แทจริง
ชาวสโตอคิ ถอื วา อารมณ ความรสู ึกเปนตัวทําใหจิตใจยบุ พอง ทําใหจิตขาดเหตุผลขาด ปญญาอันเปน
แกนแทของมนุษย ขัดกับกฎธรรมชาติจึงควรหาทางกําจัดใหสิ้นไป จริยศาสตรสโตอิค จัดเปน
แนวความคิดสากลนิยม (Cosmopolitanism) โดยถอื วา
“มนุษยทุกคนมีธรรมชาติเปนสัตวสังคม การอยูรวมกันของมนุษยถูกกําหนดไวแลวลวงหนา
ดวยเหตุผลภายในจิต ดังนั้น มนุษยทุกคนจึงเกิดมาในฐานะท่ีเปนเพื่อนรวมโลกที่ควรไดรับความ
ปรารถนาดีตอกัน ทาสและศัตรูจึงควรไดร ับการใหอภัยและไดรับ ความกรุณาจากอิสรชน มนุษยทั้ง
ผองลว นแตเปนพ่ีนอ งกนั มนุษยท ง้ั หลายจึงควรมีสทิ ธิทจ่ี ะอยูรว มภายใตก ฎระเบียบและอาณาเขต อัน
เปน สากลรวมกนั อยา งมคี วามเสมอภาคและภราดรภาพ”
เมอ่ื กลา วโดยสรุป ปรัชญาสโตอคิ มีทฤษฎีความรูเปนแบบประสบการณน ิยม เพราะเชื่อวาจิต
คอื กระดานชนวนทว่ี างเปลา (Tabula rasa) เชนเดียวกบั ทางพุทธศาสนาที่เช่ือวา “จิตดั้งเดิมน้ันเปน
ปภัสสร นกั ปรัชญาองั กฤษสมัยตอ มา เชน จอหน ลอค (John Lock) เห็นดวยและเปนผูนําประโยคนี้
มาใชจนเปนท่ีรูจักในปรัชญาสมัยใหม อยางไรก็ตาม แมวาสโตอิคจะเช่ือวาความรูได จาก
ประสบการณแบบสสารนิยม แตก็ตองอาศัยจิตท่ีมีเหตุผลเขา ไปเปนตัวตัดสิน ปรัชญาสโตอิคจึงเปน
การประนีประนอมระหวางหลักการของสสารนิยมกับจิตนิยม เปนประสบการณนิยมรวมกับเหตุผล
นิยม ที่กลาวถึง กัตตุภาวะ รวมอยูกับ กัมมภาวะ หรือระหวางพระเจากับสสาร ดังที่ เอมมานูเอล
คานท (Emmanuel Kant) นักปรชั ญาชาวเยอรมันนาํ มาใชเ มื่อสองรอยปท ีผ่ า นมา
๑๔๕
อภปิ รชั ญาของชาวสโตอิคเปน วัตถุนิยม เชอ่ื วา ทุกส่งิ ทุกอยางแมแตพระเจาเกิดมาจากไฟตาม
ความเช่ือเดิมของเฮราคลิตุส สวนจริยศาสตรของชาวสโตอิคจัดวาเปนวิมุตินิยม สอนใหมนุษยรูจัก
กําจัดอารมณความรูสึก เชนเดียวกับพุทธศาสนาที่จัดวาถือเปนกิเลสตัณหา เปนสิ่งที่ควรตองขจัด
ออกไปเพ่ือใหจิตเขาถึงความสงบเปนอิสระอันจะนําไปสูความสุขที่แทจริงโดยอาศัยคุณธรรม ๔
ประการ โดยเฉพาะอยา งย่งิ คือ ปญญา
นอกจากนี้ จรยิ ศาสตรของชาวสโตอิคยงั มสี ว นคลา ยคลึงกบั หลกั ธรรมของพทุ ธศาสนาในเรื่อง
ของการทาํ จติ ใหส งบ อยกู ับธรรมชาติ ยอมรบั ในกฎเกณฑข องธรรมชาติ และสอนใหใชชีวิตสอดคลอง
กับธรรมชาติ มองมนุษยและสัตวทั้งหลายเปนเพ่ือนรวมโลกเดยี วกนั ทีค่ วรแผเมตตาจิตใหตอ กัน จะ
แตกตางกันตรงอภิปรัชญาทชี่ าวสโตอิคเปนเทวนิยมและเปนวัตถุนิยมในเวลาเดียวกันสวนอภิปรัชญา
พทุ ธเปนอเทวนิยมและเปนสัจนิยมทยี่ อมรับวามีสสารอยูตา งหากจากจิตแตจิตเปนนาย สวนกายคือ
สสารน้ันเปนบาวทอี่ ยูใ ตก ารควบคมุ ของจติ
ปรัชญาสโตอิคพยายามรวบรวมแนวคิดทางปรัชญากับแนวคิดทางศาสนาในขณะน้ันเขา
ดวยกันเพื่อใหเปนที่พึ่งทางใจของประชาชนชาวกรีกที่กําลังสิ้นหวังเพราะตกเปนเมืองขึ้นของมหา
อาณาจักรโรมนั อันเกรียงไกร ศาสนาและปรัชญาวิมตินิยมมักถือกําเนิดขนึ้ เพราะความส้ินหวังเสมอ
พทุ ธศาสนาก็ถือกําเนิดขึ้นมาในลักษณะคลายๆ กนั โดยที่เจาชายสิทธตั ถะทรงเห็นความไมเปนธรรม
ในสังคมระหวางชาวอารยันผูปกครองกับชาวดราวิเดียนผูเปนทาส แตเปนที่นาสังเกตวาทั้ง ๆ ที่
พระองคทรงประสูติในวรรณะกษัตริยชาวอารยัน ไมใชตกอยูในฐานะเยี่ยงชาวสโตอิคที่กาํ ลังเปนทาส
ของชาวโรมัน แตพระองคยังทรงมองเห็นความจริงตามหลักจริยศาสตรสากลนิยมที่ประสงคใหมนุษย
ทุกคน ทุกชัน้ วรรณะมคี วามเทาเทียมกนั ในทางสงั คม
อยางไรก็ตาม แมวาปรัชญาสโตอิคจะเกิดจากแนวความคิดของชนชาติกรีกในฐานะผูอยูได
ปกครอง แตก็ไดรับความนิยมและชนะใจชนชั้นสูงชาวโรมันในสมัยนั้นอยูเปนอยางมาก แมแต
จักรพรรดิ โรมนั ช่ือ มารคุส เอาเรริอุส กเ็ ปนนักปรัชญาคนสําคญั ของสํานักสโตอิค ปรัชญาสโตอิคได
เร่ิมขยาย ตัวเขาไปในผูเล่ือมใสชาวโรมันจนเคยเปนคูแขงกับศาสนาคริสตที่ขยายอิทธิพลเขาไปใน
จักรวรรดิ โรมนั ในเวลาไลเลี่ยกัน แตนาเสียดายท่ตี อมาปรัชญาสโตอิคไดเสื่อมสลายลงไปดว ยอาํ นาจ
แหงคริสตจักรในขณะนัน้ อยางไรกต็ าม ปรชั ญาครสิ ตในสมัยกลางก็ไดรบั อิทธิพลความคิดความเชื่อไป
จากปรชั ญาสโตอคิ อยูไ มน อ ยในเวลาตอมา
สโตอิคเปนปรัชญาวิมุตินิยมที่ถือวาความสงบคือความสุข ความสงบคือการควบคุมใหจิต
ตั้งอยูในอุเบกขา ตัดสินความถูกตองดวยเหตุผลและวิจารณญาณ ควบคุมการใชอารมณในการ
วเิ คราะหป ญ หา สโตอคิ สอนใหมนุษยเ อาชนะใจตนเอง สลดั ความลุมหลงความสําราญอนั เกิดจากวัตถุ
ภายนอก ฝกจิตใจใหอยูในคุณธรรม ๓ ประการคือ ความอดทน ความอดกลั้น ความยุติธรรม
๑๔๖
ชาวสโตอิค เชื่อวา ความอดทนจะชวยมนุษยใหพนกับความเจ็บปวดจากความขัดแยง ความอดกลั้น
จะชวยใหเ ราขจัดสิ่งเยา ยวนใจ และความยุติธรรมชวยใหเ รามีคณุ คา เมือ่ ตอ งสมาคมกบั ผูอน่ื
ชาวสโตอคิ เชื่อวา คนดคี ือคนมีคุณธรรมทั้งสามประการท่จี ะทําใหเราเปนตวั ของตัวเองเปน
คนท่ีมีความเมตตาชวยเหลือผูอื่น สโตอิคสอนใหคนรักความสงบ แตไมสอนหรือแนะนํามนุษยให
หลบหนีสังคมเพื่อเอาตัวรอดเชนคนปฏิเสธโลก (World Negative) แตสอนใหสูโลก (World
Affirming) ดว ยปญญาและจิตอันสงบซึง่ แตกตางจากปรัชญาวิมุตินิยมของชาวซินนิค (Cynic) ที่สอน
ใหมนุษยหนีโลกโดยการใชชีวิตอยางงายขจัดความตองการทางกาย จนบางคร้ังเลยเถิดทําใหชีวิตมี
ความเปนอยูใกลกับสัตว ปฏิเสธความเจริญรุงเรือง ดวยการประชดประชันหรือเหยียดหยามความ
สมบรู ณพนู สุขและกรอบธรรมเนยี มประเพณีอนั ดงี ามของสงั คม ดงั ทีม่ ีเร่ืองเลาวา
ครั้งหนึ่ง ไดโอจินีส (Diogenes) ชาวซินนิคกําลังเปลือยกายอาบนํ้าอยูในท่ีสาธารณะกลาง
กรงุ เอเธนสในฤดูหนาว เม่อื พระเจาอเลกซานเดอรมหาราชทรงมาผานมาพบเขา ทรงรูสึก สังเวชและ
สลดพระทัย จึงชกั มาเขาไปใกล แลวตรสั ถาม ไดโอจีนสี วา
ไดโอจนิ สี ! เธอ คงจะยากจนมาก เราอนญุ าตใหเ อย ขออะไรก็ได ท่ีเราจะสามารถ ใหได
ไดโอจินีส ทูลตอบโดยทนั ใดวา
“ขาพเจาขอพระองคทานเพียงอยางเดียวเทาน้ันคือ ขอใหพระองคทรงขยับมาออกไปจาก
ตรงท่ขี า พเจา กาํ ลังอาบนํ้าใหเ รว็ สักหนอ ย เพราะวามาที่พระองคกําลังทรงอยูนี้ ยืนบังแสงแดดท่กี ําลัง
ใหค วามอบอุนแกข าพเจาอยู”
น่ีคือปรัชญาของชาวซินิค! กลาวโดยสรุป สโตอิคและซินนิคเปนปรัชญาวิมตินิยม หากจะ
เปรียบใหชดั เจนยิ่งข้ึน สโตอคิ มปี รชั ญาคลายพุทธ ชินนคิ มปี รัชญาคลาย ฮนิ ดนู กิ ายโยคหรือฤาษีชีไพร
ท้งั คูมีความเชือ่ แบบอสุขนยิ ม (Non-Hedonism) เชนเดียวกบั ปรชั ญาปญญานิยมของโสคราติสเพลโต
และของอรสิ โตเตลิ
๔.๓ ปรชั ญาวมิ ตนิ ิยมและสงั คหนยิ ม
การศกึ ษาถงึ ปรชั ญาวิมตินยิ มชว ยใหเรามองเหน็ รองรอยความเส่ือมของปรัชญากรีกไดชัดเจน
ย่ิงขึ้น ปรัชญาที่เกิดจากการใฝรูของ ธาเลส เฮราคลิตุส เดมอคริตุส ตลอดจนทฤษฎีความรู อันเกิด
จากการใชป ญ ญาของ โสคราตสิ เพลโต และอรสิ โตเตลิ ไดพังทลายลงจากปรัชญาวิมตินิยมที่ประกาศ
วา ความจรงิ เปน สงิ่ ทม่ี นษุ ยไมอาจรูได หรือแมแตความดี ความงาม อันเปนคณุ คาทางจริยธรรมก็ถูก
ชาววมิ ตินิยมรื้อทิง้ อยา งถอนรากถอนโคน
เรามาพิจารณากันตอ ไปวาวมิ ตินยิ มเชือ่ และคดิ อะไรเก่ียวกบั ปรัชญาของเขาในยุคท่ีบานเมอื ง
ตกอยใู นสถานภาพทเ่ี ปนเพียงรัฐหนึง่ ของอาณาจกั รโรมนั อนั เปน ผลใหชนชาติกรีกขาดความริเริ่มหรือ
แมแ ตจะสานตอเพือ่ ใฝหาความจริงเกย่ี วกับชวี ิตและจักรวาลจากนักปรชั ญารนุ กอนๆ
๑๔๗
ปรัชญาวิมตินิยม (Scepticism) เช่ือวา ความจริงเปนสิ่งที่มนุษยไมสามารถรูไดจากการใช
เหตผุ ลหรือจากประสาทสัมผัส เพราะวามนุษยมขี ีดจาํ กัดของศักยภาพในการแสวงหาส่ิงเหลานั้น คํา
วา Sceptic มาจาก Skeptikoi ในภาษากรีก ซ่ึงแปลวา คนชางสงสัยหรือนักคน ควา แตเปนท่ีนา
เสียดายวาความสงสัยของชาววิมตินิยมไมสามารถหาคําตอบใหกับตัวเองได เขาเลยดวนสรุปอยาง
งายๆวา ความจริงเก่ียวกับโลกและชีวิตเปนสิ่งมืดมนที่มนุษยไมควรแสวงหามันตอไป ความเช่ือใน
ลักษณะเชนนี้เราจะพบในปรัชญากรีกต้ังแตสมัยโซฟสต ดังรายละเอียดที่ไดกลาวไวแลวตั้งแตตอน
แรกๆ ตอมาอีกสองพันปเมื่อปรัชญากรีกยางเขาสูยุคเส่ือม แนวคิดแบบวิมตินิยมจึงไดกลับมา
แพรกระจายในหมูช นชาติกรีกอีกในสมัยเดียวกนั กับท่ี เอปคคิวรัส สอนใหคนแสวงหาความสุขสําราญ
และเซโนสอนใหใ ฝห าความสงบเพอื่ ใชเ ปน แนวทางในการดําเนนิ ชวี ิต
ไพรโร (Pyrrho พ.ศ. ๑๗๘-๒๗๓) คือเจาของปรัชญาวิมตินิยมดั้งเดมิ เขาเคยติดตามกองทัพ
ของพระเจาอเลกซานเดอรมหาราชไปยังประเทศอนิ เดีย สันนิษฐานวา นา จะไดรับการถา ยทอดปรัชญา
ของชาวชมพูทวีปกอนเดินทางกลับไปตั้งสํานกั ปรัชญาและมีการถายทอดใหกบั ศษิ ยใ นเวลาตอ มา
ไพรโ รมคี วามเชอื่ วา สัญชาน (Perception) และเหตุผลไมสามารถใหความรูแทจริงแกม นุษย
เพราะวาประสาทสัมผัสรับรูไดเฉพาะปรากฎการณอันผิวเผินโดยไมสามารถหย่ังรูสัจธรรมท่ีอยู
เบ้ืองหลังประสาทสัมผัสสวนใหญใหขอมูลท่ีบิดเบือนในองคความรูใหญๆอยูเสมอ ดังท่ีคนเราตางมี
การรับรูแตกตางกันออกไป ทง้ั เหตุผล (Reasoning) ก็มไิ ดชวยใหเราเขาถึงสารัตถะอันเปนแกน แท
ของ สรรพสิ่ง ไมวาเราจะใชเหตผุ ลสนับสนุนความเช่ือของเราอยางไร ก็ยอมมเี หตุผลของคนอืน่ ๆ มา
หักลา งไดเสมอ ดงั นั้น เหตผุ ลจงึ ไมใ ชเ กณฑใ นการตดั สินความจริงเชนเดยี วกันกบั สัญชาน ความจริงที่
เรารูจ งึ ไมส ามารถเชอื่ ไดว า ตรงกับความจรงิ ของคนอืน่ เสมอไป เขากลาววา“ขา พเจาเห็นสีขาว ของสิ่ง
นนั้ จึงเปนสขี าวในความเห็นของขาพเจา”
อารเซสิลาอุส ชาววิมตินิยม ศิษยของไพรโรอกี คนหน่ึงกลาววา “ขาพเจาไมแนใจอะไรเลย
แมก ระท่ังความไมแนใ จของขาพเจา เอง”
ดวยทัศนคติท่ีมีอยูเชนนี้ ไพรโร จึงมีความเห็นทางจริยศาสตรวา คนเราน้ันควรยับยั้งช่ังใจ
กอนตัดสินวาอะไรถูกผิด อะไรดีหรือชั่ว เพราะวาไมมีทางพิสูจน เขาเห็นวา ความดีความงามอยูท่ี
มมุ มองของแตละคน ไมม ีส่ิงใดถูกหรือผิด ดีหรือช่ัวในตวั ของมันเอง กลาวอีกอยางหน่ึงคือ คุณคา ทาง
จริยธรรมเปนเพยี งอัตวิสัยเมื่อมนุษยไมส ามารถตัดสินไดวาอะไรคือความจริงแทส่ิงเดียวท่เี ราควรทํา
คือ การวางเฉย ไพรโร สอนใหมนุษยปลอยวางทุกส่ิงทุกอยาง ไมตองการและไมมีความเห็นในการ
ตดั สินใจไมวาเก่ียวกับเร่ืองใดๆ นั่นคอื การขจัดตัณหาและทิฐิอนั เปนวิธีการแกปญหาอยางงายๆ ของ
ชาววิมตินิยม ความเช่ือของปรัชญาสํานักนี้คือ การทําใจยอมรับสถานการณอยางสงบโดยไมคิด
ตอ ตานหรอื เปลยี่ นแปลงอะไรเลย การกระทาํ เชนน้ีชาววิมตินิยมถือวาเปนชีวิตท่ีมีความสงบทางใจคดิ
๑๔๘
ดแู ลวก็มีสวนคลายกับคติของผูปฏิบัติธรรมชาวพุทธบางสวนที่เขาใจในเร่ือง อุเบกขา และ กฎ แหง
กรรม อยา งผิดๆ โดยเชือ่ วา นค่ี ือแกนแทของพุทธศาสนา!
ปรัชญาโซฟส ตสอนใหคนเราใฝแสวงหาส่ิงที่เห็นวาเปนประโยชนเอามาไวเปนของตนเองให
มากที่สุด สโตอิคสอนใหดําเนินชีวิตตามทางสายกลางโดยกําจัดอารมณความรูสึกโลภ โกรธ หลง
สวนวมิ ตินิยมกลับสอนใหใ ชชีวิตอยางสงบโดยไมตัดสินใจเลือกอะไรเลย ชาววิมตินิยมวิจารณปรัชญา
สโตอิควา การปลงใจเช่ือไมอาจประกนั ความถูกตอ งของสญั ชาน โลกเราน้ีไมไดมีความดีงามหรือความ
เพียบพรอมดวยเหตุผลจากการจัดระเบียบโดยพระเจาอยางท่ีชาวสโตอิคเช่ือ ปรัชญาวิมตินิยม
กลาววา
“ถา พระเจามีความรูสึกหรือมีประสาทสัมผัสรับรูเชนน้ัน พระองคกเ็ ปนอนิจจัง ไมเปนอมตะ
แตถ า พระองคเ ปน อมตะพระองคก ห็ ยดุ น่ิงไรชีวิต ถา พระเจาเปนสสารพระองคก็เปนอนิจจังและมีการ
ดับสูญ และถาไมใชสสารพระองคก็ยอมไมมีความรูสึกหรือไมมีประสาทสัมผัส ถาพระเจามีความดี
พระองคก็ตกอยูภายใตกฎศีลธรรม นั่นแสดงวาไมยิ่งใหญ ถาพระเจาไมมีความดีพระองคก็ดอยกวา
มนุษย”
น่ีคือตรรกบทของคารเนอาดสี นักปรัชญาคนหน่ึงของชาววิมตนิ ิยม เมื่อชาวกรีกพบทางตัน
ทางความคิดเชงิ ปรัชญาเชน น้ี ชาวโรมนั ผูปกครองนา จะสรา งสรรคงานปรัชญาตอจากชาวกรีกบาง แต
ปรากฎตามประวัติศาสตร ชี้วา ชาวโรมนั นน้ั เปนเพียงนักรบเจา สาํ ราญท่ีรูจักนําเอาศิลปวิทยาการของ
ชาวกรีกมาใชใหเ กิดประโยชนตอการปกครองและการขยายอาณาจักรใหกวางใหญไพศาลออกไปท่ัว
ยุโรปเทานั้น สวนอจั ฉริยภาพในทางปรัชญานั้นมีไมเทาชาวกรีก ดังนั้น สิ่งที่ชาวโรมันสามารถทําไดก็
คือการผสมผสานปรัชญากรีกที่เดน ๆ เขาเปนปรัชญาของตน เรียกวา ปรัชญาสังคหนิยม
(Eclecticism) ในสมยั น้ันชาวโรมนั ผมู ่ังคงั่ นยิ มสง ลกู หลานเขา ไปศึกษาในสํานักตางๆ ของชนชาติกรีก
เปน จาํ นวนมาก มกี ารนําเอาปรชั ญาสโตอคิ ผสมกับปรัชญาของอริสโตเตลิ และอุดมรัฐของเพลโตมาต้ัง
สาํ นักปรัชญา โปตามอน (Potamon) ท่ีเมอื งอเลกซานเดรยี ผสมแนวคิดของ สโตอิค ซนี คิ พธิ ากอรัส
เพลโต และอริสโตเตลิ ต้งั เปนสาํ นกั ปรชั ญาแหงกรงุ โรม เปนตน
๔.๔ ปรชั ญาเพลโตใหม
ปรัชญาตางๆ ของชนชาติกรีกเกิดข้ึนมาเนื่องจากความใครรู คําตอบท่ีมนุษยไดจากวิชา
ปรัชญาจงึ เปนจุดเร่ิมตน ของศิลปวิทยาการแขนงตางๆ ท้งั ในดานศาสตรและศิลป ธาเลส และศิษยให
คําตอบเก่ียวกับปฐมธาตุของโลกและจักรวาลอยางพ้ืนฐาน เดมอคริตุสอธิบายไดลึกลงไปถึงระดับ
อะตอม อันเปนพื้นฐานทางวทิ ยาศาสตรในเวลาตอมา โสคราติส เพลโต มุงหาคําตอบเกยี่ วกับคณุ คา
ในทางจริยศาสตรเพื่อการดําเนินชีวิต อริสโตเติลเนนในการใชปญญาเปนเครื่องนําทางตัดสินปญหา
๑๔๙
พรอมกับเสนอศาสตรตางๆทางธรรมชาติใหมนุษยไดเรียนรู เฮราคลิตุส สอนเรื่องการเปล่ียนแปลง
ความไมเท่ยี ง หรือความเปน อนิจจัง ของสรรพส่ิงทั้งหลาย สว นพธิ ากอรัสสรางปรชั ญา
ทางศาสนา สอนวถิ ีความหลดุ พน ของวญิ ญาณภายหลงั ชวี ติ ดับสูญลง ปรัชญากรีกสมยั เร่ิมตน
เปนเรื่องเก่ียวกับความอยากรูในส่ิงทั่วๆไป สมัยรุงเรือง แสวงหาคุณธรรมจริยธรรม คร้ันมาถึงสมัย
เสื่อมที่ชนชาติกรีกตกอยูใตการปกครองของชาวโรมัน ปรัชญากลับมุงไปรับใชศาสนาเชนเดียวกับ
ปรชั ญาอนิ เดยี ปรัชญาจีน
ดวยเหตุนี้ พอไดยินคําวาปรัชญา ใจคนสวนใหญจึงนึกถึงคําวาศาสนาขึ้นมาทันที เพราะมี
ทศั นคติวา ปรัชญาเปนเรื่องของศาสนา นักปรัชญาชอบพูดถึงพระเจาพูดถึงวิญญาณภายหลังตายพดู
ถึง พรหม เตา นิพพาน ไกวัลย ปรัชญาเพลโตใหม (Neo-Platonism) ที่จะกลาวถึงตอไปนี้ก็เชน
เดยี วกนั เปน ปรัชญาท่มี ุง เนนทางจักรวาลวทิ ยา เพอื่ ดึงความเช่ือลงมารับใชศาสนา ปรัชญาเพลโตใหม
ไดนําเอา โลกแหงแบบและมโนคติ ของเพลโตมาเจียระไนใหกลายเปน พระเจา ของนักปรัชญาใน
ศาสนาเทวนิยมของยุโรปยคุ กลาง
ปรัชญาเพลโตใหมเกิดหลังปรัชญาเอปคคิวเรียนและปรัชญาสโตอคิ ประมาณ ๕๐๐ ป หรือ
ประมาณ ๗๐๐ ถงึ ๘๐๐ ปห ลังพทุ ธกาล ในยคุ นั้นชาวกรกี ตกอยูในภาวะชะงักงันทางปญ ญา ชาววิมติ
นิยมสอนวาความจริงไมอาจรูไดดว ยประสาทสัมผสั หรือดวยเหตุผล แมแตความดีความงามก็เปนสิ่งที่
มนษุ ยไมอ าจรูไดเ ชน เดยี วกนั การประกาศเชน นี้เทากบั นักปรชั ญากรีกในยุคเส่ือมยอมรับขอจํากดั ของ
มนุษย ทําใหชาวกรีกเริ่มทอถอยหมดพลังในการแสวงหาความจริงทางปรัชญา ลัทธิเพลโตใหมถือ
โอกาสแกปญหานี้โดยการประกาศวิธีใหมใ นการแสวงหาความจริง น่ันคือวิธีการท่ีองิ อาศัยความเชื่อ
ความศรัทธาในประสบการณลกึ ลับทางศาสนาอันเปนวิธีท่ใี ชไดผลมาโดยตลอดแมแ ตในยุคปจจุบันท่ี
มนษุ ยเ ต็มไปดว ยภูมิปญญาในทางวิทยาศาสตรเ ทคโนโลยี๑๕
นอกจากลัทธิเพลโตใหมที่ใชวิธีการเชนนี้ นักปรัชญายิว ช่ือ ฟโล (Philo) ก็ไดนําปรัชญา
เพลโตเก่ียวกับมโนคติไปผสมผสานใหเขากันไดกับคําสอนในศาสนายูดาย ดังที่รูจักกันในนามของ
ปรัชญายิว-กรีก (Jew-Greek Philosophy) พรอมกนั น้ัน อพอโลนิอุส (Apolonius of Tyana) นัก
ปรัชญาชาวกรีก ผูมีชีวิตในชวงตนคริสตศตวรรษก็ไดนําปรัชญาของพิธากอรัสเก่ียวกบั เรื่องวิญญาณ
และการเวยี นวา ยตายเกดิ ไปสรางปรัชญาพธิ ากอรสั ใหมเ ชน เดยี วกนั
จากหลกั ฐานการบนั ทึกของ ฟลาวิอสุ ฟลอสเตรสตสุ ในคริสตศตวรรษท่ี ๒ กลาววา ปรัชญา
พิธากอรัสใหม (Neo-Pythagorus) ของอพอลโลนิอุส คือแนวคดิ ทเ่ี ขาไดไปจากปรัชญาพระเวทและ
อุปนิษัทของอินเดยี ตามบันทึกเลาวา อพอลโลนิอสุ เดิมเปนชาวเมือง Tyana ในแควนกปั ปะโดเซีย
อันเปนนครรฐั หนึ่งทีอ่ ยภู ายใตก ารปกครองของกรกี ในสมัยปลายๆของพระเจาอเลกซานเดอรมหาราช
๑๕ กรี ติ บุญเจือ, ปรัชญาเบ้ืองตน และ ตรรกวทิ ยาเบ้ืองตน, (กรุงเทพฯ : ผดุงวิทยาการพิมพ, ๒๕๑๒),
หนา ๓๗.
๑๕๐
เขาไดเ ดนิ ทางมาอยูทเ่ี อเชียไมเนอรและมีโอกาสติดตามกองทัพกรีกเขา มาศกึ ษาปรัชญาอินเดยี ทเ่ี มอื ง
ตักศิลาในสมัยตนคริสตกาล หลักฐานในเร่ืองน้ีมีการยืนยันและพิสูจนวาเปนความจริง โดยเซอร
จอหน มาแชล นักโบราณคดีชาวองั กฤษในสมยั หลังท่ีขุดคน รองรอยของผังเมืองตกั ศิลาซงึ่ พบวาเปน
จริงตามบนั ทึกของอโพลโลนิอุสทุกประการ
จากบันทึกของอโพลโลนอิ สุ ในตอนท่ีเดนิ ทางเขามายังอินเดียน้ัน เขาไดพบเห็นอนุสาวรียของ
สุริยเทพและอนุสรณสถานของพระเจาอเลกซานเดอรมหาราชทท่ี ําดวยทอง ตั้งประดิษฐานเปน สงา
อยูหนากําแพงท่ีกอดวยหินสีแดง ซึ่งตรงกับหลักฐานทางโบราณคดีของเซอร จอหน มาแซล
เชนเดยี วกัน ตามหลักฐานกลาววา อพอลโลนิอสุ ไดรับเชิญใหเปนราชอาคันตกุ ะของกษัตรยิ เช้ือสาย
กรกี ทป่ี กครองอนิ เดียตอนเหนืออยูในเวลานนั้ ไดมีโอกาสศึกษาปรัชญาและสนทนาธรรมกับพระและ
พราหมณที่เขาใจภาษากรีก เขาใหความสนใจเปนพิเศษเกี่ยวกับหลักปรัชญาอุปนิษัท วาดวยเร่ือง
อดตี ชาตแิ ละการเวยี นวายตายเกดิ เรอื่ งเกี่ยวกบั จิตวญิ ญาณและการเรียนรูเ ก่ยี วกับ อัตตาอพอลโลนิอุ
สยืนยันในบันทึกของเขาวาบรรดาพราหมณท่ีเขาไดมีโอกาสเขาไปเรียนรูเหลานั้นตางรูจักช่ือเสียง
ของพิธากอรัสนักปรัชญากรีกตลอดจนประวัติเกี่ยวกับสงครามแหงเมืองทรอยเปนอยางดีแสดงวา
ปรัชญาของชาวอารยันในชมพูทวีปไดไปบรรจบพบกับปรัชญากรีกแลวตั้งแตสมัยกอนคริสตกาล ใน
บั้นปลายชีวิต อพอลโลนิอุส ไดเ ดินทางกลับจากอินเดยี โดยลองเรือไปตามแมนํ้าสินธุจนถึง ปากอาว
แลวเดินทางตอไปยังเมืองบาบิโลนมุงสูอิยิปตในฐานะของนักพรต จึงไมเปนท่ีนาแปลกใจวาเหตุใด
ปรัชญาพธิ ากอรัสใหม จึงกลาวถึงเร่ืองจิตวิญญาณและการเวียนวายตายเกิดไวไดคลายคลึงกับความ
เชอื่ ในปรัชญาของชาวชมพูทวปี
เชนเดียวกับการเกิดของปรัชญาพิธากอรัสใหม (Neo Pythagorus) อัมมานิอุส สัคคัส
(Ammanius Saccas พ.ศ. ๗๑๘-๗๘๕) แหง เมอื งอาเลกซานเดรีย กไ็ ดก อต้ังปรัชญาเพลโตใหมขนึ้ มา
จากการวบรวมทฤษฎีมโนคติของเพลโต ผสมผสานเขากับปรัชญาคริสตท ี่ทานเคยนับถือมากอ นตอมา
ลัทธิเพลโตใหมไดรับการปรับปรุงและพัฒนาอยางเปนระบบ โดยผลงานของโพลตินุส (Plotinnus
พ.ศ. ๗๔๗-๘๑๒) ทต่ี ั้งสํานักปรัชญาสอนชาวโรมันช้ันสูงในกรุงโรม ปอรฟรีย (Porphyry) ศิษยของ
เขาไดดําเนนิ การสอนและแตงตําราเกยี่ วกบั ลัทธิเพลโตใหมโ จมตีความเชื่อเดิมของชาวคริสตเปนผลให
หนงั สือท้งั หมดถูกผเู ลือ่ มใสศรัทธาในศาสนาครสิ ตเผาท้ิงใน พ.ศ. ๙๙๑
ปรัชญาเพลโตใหมไดมีพัฒนาการอันยาวนานอยูเกือบ ๓๐๐ ปในสํานักตางๆ เชน สํานัก
โพลตินุสโดยปอรฟรียท่ีกรุงโรม สํานักซีเรียโดย เอียมบลิคุส (lamblichus) ศิษยของปอรฟรีย
สํานักเปอรกามอนโดย อาเดซิอสุ (Aedesius) ทเ่ี มืองนี้ จักรพรรดจิ ูเลียนไดเคยใชป รัชญาเพลโตใหม
สนับสนุนศาสนาพหุเทวนิยมตามความเช่ือดั้งเดิมของชาวโรมนั โจมตีศาสนาคริสตที่แผกระจายและ
กาํ ลงั ไดร ับความนยิ มในหมูประชาชนในชวงทีศ่ าสนานับถอื พระเจาหลายองคก ับศาสนาคริสตท ี่เช่ือใน
พระเจา องคเ ดยี วไดด ําเนินการตอ สทู างความคดิ ความเชอ่ื กันอยูอยา งรุนแรง
๑๕๑
นอกจากนัน้ ลทั ธเิ พลโตใหมไ ดก ระจายสาํ นักปรัชญาไปยังกรุงเอเธนส โดยนําเอาปรัชญาของ
เพลโตและของอริสโตเติลมารวมเขาเปนปรัชญาเดยี วกนั สํานักอาเลกซานเดรียของ อัมโมนิอสุ สัคคัส
ยังดําเนินการเผยแพรปรัชญาเพลโตใหมในเวลาตอมา โดยนักปรัชญาหญิงช่ือ ฮิปาเดีย (Hypatia)
เปนเหตใุ หเธอถูกฆาตายโดยชาวคริสตหัวรุนแรงใน พ.ศ.๙๕๘ ความเชื่อดวยความหลงใหลในศรัทธา
ปสาทะอันสูงยิ่งของมนุษยที่ไมไดใชวิจารณญาณดวยปญญา กอใหเกิดการตอสูทางความคิด และ
กลายมาเปนการตอสูโ ดยการฆา รนั ฟนแทงเอาชนะกันดว ยกําลงั อํานาจมดื โดย ความเห็นชอบจากศาล
ทางศาสนา (Inquisition) ไดเ คยมมี าแลวในประวัติศาสตรของศาสนาเทวนิยมที่สอนใหมนุษยเชื่อโดย
อาศัยศรัทธาแทนปญญา เบอรทรันด รัสเซลล (Bertrand Russel) นักปรัชญาอังกฤษเคยกลาว
วิจารณไ ววา"เรอ่ื งราวเชน น้ี ไมเคยปรากฏอยู ในประวตั ิศาสตรของทางพุทธศาสนา”
ปรัชญาเพลโตใหมของโพลตินุส เลือกเอาเฉพาะความเชื่อเก่ียวกับจักรวาลวิทยาและเทว
วิทยาของเพลโตเร่ืองพระเจา (Demiurge) วาเปนผูจัดระเบียบใหกับโลก มโนคติใหญห รือวิญญาณ
โลกคือท่ีมาแหงคุณคาของความดี เปนอมตภาพของวิญญาณ พระเจาเปนอันติมสัจจะ (Ultimate
truth) หรือเปนความจริงสูงสุดเพยี งประการเดยี ว โพลตินุส เรียกวา เอกัตตะ (The One) พระองค
เปนหน่ึงเดียวแยกออกเปนสวนๆ ไมได ทรงอยูเหนือโลก (Trancendence) ไมสามารถรับรูไดโดย
ประสาทสมั ผัส พระเจา เปนนิรวจั นยี (Ineffable) ซ่งึ มนุษยไมสามารถรูหรืออธิบายได เพราะขดี จํากดั
ของภาษา พระเจาคือความดี พระองคคือมโนคติ และทรงเปนประธานสูงสุดแหงมโนคติ ทรงเปน
“นิจจัง” คือไมมกี ารเปล่ียนแปลง พระเจาไมใชสสารจึงไมตองการเนื้อที่ ไมเคล่ือนไหว ไมค ิด ไมทํา
การใด ๆ พระองคท รงเปนอจิณไตยท่ีมนุษยไมสามารถรับรูไดดว ยประสาทสัมผัสแตมนุษยรับรูไดดวย
ประสบการณทางจิตอยางลึกลับ (Trancendental experience) อันเกิดจากภาวะการรวมเปนหนึ่ง
กบั พระองค ปรัชญาเพลโตใหม เชื่อวา พระเจาคือแหลงกาํ เนิดของจักรวาล กอนที่สรรพส่ิงทั้งหลาย
ถือกําเนิดขึ้นมา มแี ตพระเจาองคเดยี วเทาน้ัน และแลวโลกกับสรรพสิ่งท้ังหลายจึงถือกําเนิดโดยการ
ลนบาออกมาจากพระองค การลนออกมาเปนไปตามกฎแหงความจําเปนที่นักปรัชญากรีกในสมยั น้ัน
เช่อื วา
“ส่งิ สมบรู ณน อ ยกวายอ มกระจายออกมาจากสงิ่ ที่สมบรู ณมากกวาเปรยี บประดุจพระ อาทิตย
ที่เปนตนกําเนิดของแสงสวางในจักรวาล ยอมแผกระจายรังสีและลําแสงออกไปไกลรอบตัว รัศมียิ่ง
หางจากจุดศูนยกลางเทาใด ความเขมขนแหงรังสียอมจะนอยลง ในท่ีสุดก็จะคอยมืดมัวสลัวลง
จนกระทงั่ ดับหายไปในความมืดมิดพนรศั มีแหงดวงตะวนั ”
พระเจาก็มลี ักษณะเชนเดียวกนั พระองคทรงเปนเอกัตตะ (The One) ประหน่ึงดวงอาทิตย
สงิ่ ท่ีลนบาออกจากพระองคเปรียบไดกบั แสงสวางแหง ดวงตะวัน สสารเปรียบไดกับความมืดมดิ อนั อยู
เลยขอบเขตแหงรัศมีของพระองค ส่ิงแรกสุดท่ีลนออกมาจากพระเจา เรียกวา มโน (Nous) มโนคือ
ความคิดถงึ มโนคติ เนอ่ื งจากพระเจาไมคิด แตมโน หรือแบบ ตามท่ีใชเรียกในปรัชญาเพลโตทําหนาท่ี
๑๕๒
คดิ มโนจึงเปรยี บไดกับสวนหน่งึ ของพระเจา (Demiurge) ที่ทาํ หนา ที่คิดวางแผนจัดความเปนระเบียบ
ใหก ับจักรวาลตามความเช่ือเดิมของเพลโตถัดหางจากมโนออกไป เปนสวนของวิญญาณโลก (World
Soul) เปนสวนท่ลี นบาออกมาจากมโน วิญญาณโลกจึงมีความจริงนอยกวามโน เชนเดยี วกับท่มี โนมี
ความจริงรองลงมาจากเอกัตตะหรือพระเจา วิญญาณโลก ทาํ หนาท่ีประสานชองวางโดยเปนสื่อกลาง
ระหวา งมโนกับโลกแหงสสาร (Material World) และมสี ว นทาํ ใหโลกแหงสสารเลียน แบบมโนคติ
ปรชั ญาเพลโดใหมถ ือวาวิญญาณโลกเปนทีม่ าของกฎธรรมชาติ เน่ืองจากโลกแหงสสารคอื ส่ิง
ทอ่ี ยูหางไกลจากรังสีแหงเอกัตตะมากทสี่ ุด โลกของสสารจึงมีแตความมดื บอด ดังเชนปรัชญาอินเดีย
ใชคาํ วา อวิทยา หรือ อวิชชา โพลตินุส เชื่อวา สสารเปนทมี่ าแหงความช่ัวราย (Problem of Evil)
เชนเกิดน้ําทวม แผนดินไหวตลอดถึงภัยธรรมชาติอ่ืน ๆ ความช่ัวรายเหลานี้ไมไดลนมาจากพระเจา
หรือเอกัตตะ แตสสารตา งหากทเี่ ปนตนเหตขุ องความช่ัวรายในโลก เน่ืองจากสสารอยูไกลสุดโพนหาง
จากความสมบรู ณของพระองค โลกและสสารจงึ มคี วามบกพรอ ง ปรัชญาเพลโตใหมเ ชื่อวารางกายของ
มนุษยเปนกรงขังของวิญญาณ มนุษยประกอบดวยวิญญาณสองสวน คือวิญญาณฝายตํ่าท่ีใฝหา
อารมณในทางผัสสะ กับวิญญาณฝายสูงที่ตองการเปนอิสระหลุดพนจากรางกายเพ่ือไปรวมเปนอัน
เดยี วกับพระเจา วญิ ญาณสวนน้ีจะพยายามยกระดับตนเองข้ึนเปน ๓ ข้นั ตอน
ขนั้ แรก คือการควบคมุ ตัวเองเพ่ือชาํ ระวิญญาณใหบ รสิ ุทธิด์ ว ยการประพฤติปฏิบตั ิคุณธรรม ๔
ประการคือ ปญ ญา ความกลา หาญ รจู ักประมาณ และ ความยตุ ิธรรม
ขั้นท่ีสอง คือการปฏิบัติเพื่อใหเขาถึงมโนดวยการสละความสนใจในระดับผัสสะมุงสูการใช
เหตผุ ลทางดา นปญ ญา
ขนั้ ที่สาม เมื่อฝก ปฏบิ ตั ิจนวิญญาณยกระดับสูงกวาสองข้ันแรก วิญญาณจะเกดิ ความปติทว ม
ทนเขาไปรวมเปนอันหน่ึงกับพระเจา ความรูแจงตอพระองคเกิดข้ึนจากประสบการณลึกลับแหง
อัชญตั ิตกิ ญาณ (Intuition) ท่ีอยเู หนอื เหตผุ ลและประสาทสมั ผัส
ปรชั ญาเพลโตใหมม ีความคลายคลึงกับปรัชญาอุปนิษทั เปนอยางยิ่ง เปนทีน่ าสงสยั วาแนวคิด
เร่ืองวิญญาณและเร่ืองพระเจาที่ อัมโมนิอุส สัคคัส และโพลตินุส เจาของปรัชญาเพลโตใหมเช่ือวา
นาจะไดรับการถา ยทอดทัศนคติบางสวนมาจากปรัชญาตะวันออกเชนเดยี วกับปรัชญาพิธากอรัสใหม
ดังกลาวมาแลว เพราะตามหลักฐานทางประวัติศาสตรก็บันทกึ ไวคลายๆ กันวา โพลตินุสเคยติดตาม
กองทัพของจักรพรรดกิ อรเดียนเขาไปถงึ เปอรเซีย เมโสโปเตเมีย และเขตแดนทางตะวันตก ของชมพู
ทวปี ซ่งึ ขณะน้นั อิทธิพลความเช่ือในคัมภีรพระเวทของชาวอนิ โดอารยันมีแพรหลายอยูท่วั ไป ทั้ง อมั
โมนิอสุ สคั คัส และ โพลตนิ ุส เคยศึกษาและต้ังสํานักปรัชญาอยูท่เี มอื งอเลกซานเดรีย ดนิ แดนอันเปน
จุดนัดพบแหงศิลปวิทยาการระหวางตะวันตกกบั ตะวันออกในสมัยน้ัน ความเชื่อในเรื่องพระเจาและ
วิญญาณของศาสนาพราหมณท ี่เกิดกอนศาสนาคริสตหลายรอยป นาจะมีอิทธิพลตอความคิดของนัก
ปรัชญาเพลโตใหมอยูไมมากก็นอ ย
๑๕๓
อน่ึง เปนทีน่ าสงั เกตวา พระเจาหรือเอกัตตะ (The One) ในลัทธิเพลโตใหมคลายกบั คาํ วา
อทั ไวดะ (ความเปนหน่ึงไมมีสอง) ในศาสนาพราหมณ และคําวานิรวัจนีย (Ineffable) ก็ตรงกบั การที่
ศาสนาฮินดูบรรยายถึงพรหม วา เนติ เนติ ท่ีทางพุทธศาสนาเรียกวา อจิณไตย หรือ เตา เรียกวา
นิรนาม
แมวาปรัชญาเพลโตใหมมีทัศนคติวาพระเจาคือความจริงสูงสุด แตลัทธิเพลโตใหมที่ไดรับ
ความเช่ือความนับถืออยูในหมูชาวโรมันชั้นสูงในสมัยนั้น ก็ถูกโจมตีอยางรุนแรงจากศาสนาคริสตท่ี
กาํ ลังแผกระจายเขา ไปสูความศรัทธาของประชาชนในระดับชาวบานชาวโรมันในสมยั น้ัน ลัทธิเพลโต
ใหมกับศาสนาคริสตไดตอสูกันทางความคดิ ความเชื่ออยูเปนเวลานาน นักปรัชญาลัทธิเพลโตใหมถูก
ทาํ รายรางกายและถกู รุมประชาทัณฑจากชาวคริสตห ัวรุนแรง งานนิพนธถูกนําเอาไปเผาและหามใช
สอนในมหาวิทยาลัย สํานักปรัชญาถูกสั่งปด และในท่ีสุด ลัทธิเพลโตใหมก็สูญหายไปภายหลังที่
จักรพรรดิ จัสเนียนแหงคอนสแตนติโนเปลออกพระราชกฤษฎีกา หามประชาชนชาวโรมันนับถือ
ศาสนาและลัทธิอื่นนอกจากศาสนาครสิ ตใ นป ค.ศ. ๕๒๙ หรือ พ.ศ. ๑๐๗๒ ปรัชญาตางๆของกรีกท่ีมี
ความคิดความเช่ือแตกตางจากศาสนาคริสตจึงไดปดฉากลง อยางไรก็ตามนักปรัชญาคริสตในสมัย
กลางไดนําเอาหลักปรัชญาเพลโตใหมมาปรับปรุงโดยผสมผสานความเช่ือเรื่องพระเจาใหเกิด ความ
กลมกลืนเขา กับคาํ สอนทางศาสนาของตนในเวลาตอมา
๑๕๔
สรุปทายบท
ปรัชญาตะวันตกเริ่มตนขึ้นดวยความใครรูของมนุษยเก่ียวกับโลกและจักรวาลวาเกิดข้ึนมา
จากอะไร และมใี ครเปนผสู รา ง ธาเลส คือนักปรชั ญาตะวันตกคนแรกที่ใหคําตอบวา สรรพสิ่งทั้งหลาย
ในจักรวาลเกิดมาจากน้ํา ตอมาศิษยของเขาแหงสํานักปรัชญาไมลาตุสไดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความ
เชือ่ ในเร่อื งน้ีในเวลาตอมาวา โลกและจักรวาลเกิดจากปฐมธาตุ ๔ อยางคอื ดิน นํ้า ลม และ ไฟ แนว
ความ คดิ ของชาวกรกี โบราณเชน อานักซมิ านเดอร ไดมกี ารพัฒนาตอวา ปฐมธาตุเปนสสารไรรูป ไมมี
การเปลี่ยนแปลง มีอยูเปนอนันต (Infinite) เดมอคริตุส เช่ือวาอนุภาคของปฐมธาตุทเี่ ล็กสุดเรียกวา
อะตอมหรือปรมาณู นับไดวา ปรัชญากรีกเร่ิมตนขึ้นจากปรัชญาสสารนิยม (Materialism) ตอมา
พธิ ากอรัสไดเ พิ่มเติมจริยศาสตรวาดวยความหลุดพนทางวิญญาณแทรกเขาไปจากอิทธิพลความเช่ือ
ตามลัทธิออรฟสต เฮราคลิตุสไดเพ่ิมความเช่ือใหกับชนชาติกรีกในสมัยตอมาวา สรรพส่ิงท้ังหลายมี
เอกภาพที่ตั้งอยูบนความขัดแยง มีการเปลี่ยนแปลง ไมมีแกนแทอันคงท่ีถาวร ความเห็นของเฮรา
คลิตุสมีความคลายคลึงกับ ทุกขตา และ อนิจจตา ในกฎไตรลักษณของทางพุทธศาสนา แตจะ
แตกตางกันตรงที่เฮราคลิตุสยังมองไมเห็นในความเปนอนัตตาของสรรพส่ิงท้ังหลายเหมือนกับ
พระพุทธเจา นักปรัชญากรีกในสมัยแรกสวนใหญจึงเปนพหุสสารนิยมที่เช่ือวาปฐมธาตุมีมากมาย
หลายประการ ตอมาในสมัยรุงเรือง ปรัชญากรีกเร่ิมเปล่ียนแนวความคิดจากการใชประสบการณใน
แบบสสารนิยมไปเปนการใชความคิดและใชเหตุผลมากย่ิงขนึ้ โสคราติสเริ่มเตือนชาวเอเธนสใหมอง
เห็นความสําคญั ทางคุณธรรม เพลโตเช่ือวาโลกแหงแบบ หรือโลกแหงมโนคติมีอยูจริงนอกเหนือจาก
โลกแหงประสาทสัมผัสหรือโลกแหงสสาร ความดคี วามงามอันเปนคุณคา ทางจริยธรรม เปนภววิสัย
หรือเปนปรวิสัยท่ีมนุษยควรนํามาเปนแนวทางดําเนินชีวิตดว ยการรูจักใชปญญาใครครวญตัดสินหา
ความจริง อริสโตเตลิ เสริมตอแนวปรัชญาจิตนยิ มของเพลโตผูเ ปนครูออกมาอยางเปนรูปธรรม พรอม
กับไดรวบรวมและนําความรูท่ีสมัยน้ีเรียกวาวิทยาศาสตรธรรมชาติมาใหกับชาวเอเธนสไดใชความคิด
ความเชื่อ ในยุคนี้จึงเต็มไปดวยวิชาท่ีกอใหเกิดปญญา ไมวาจะเปน อภิปรัชญา จริยศาสตร ทฤษฎี
ความรู วิทยาศาสตรธรรมชาติ รัฐศาสตร การเมืองการปกครอง ตลอดจนสุนทรียศาสตร และ
วาทศลิ ป ปรัชญากรีกไดเปล่ียนจากสสารนิยมในยุคแรกใหกลายมาเปนจิตนิยมในยุคท่ีมคี วามรุงเรือง
ทางความคดิ
ตอจากนั้นชนชาติตะวันตกไดสญู เสียความเปนผูนําทางความคิดและการใชปญญา ภายหลัง
จากถกู ปกครองโดยอาณาจักรโรมนั นักปรัชญาตะวันตกอยูอยางสิ้นหวัง แนวคิดทางดานปรัชญาได
เสื่อมถอยลงมีการนําเอาปรัชญาเดิมทเี่ ห็นวาเดน ออกมาปดฝุนรวบรวมเขาเปนปรัชญารวมท่ีเรียกวา
ปรัชญาสังคหนิยม มีการสรางปรัชญาใหมข้ึนอยางขาดความม่ันใจทางปญญา เชนปรัชญาวิมตินิยม
นําเอาความคดิ มโนคติของเพลโตหรอื เรื่องวิญญาณของพิธากอรัสมาปรับปรุงใหมเพ่อื แขงขันกบั ความ
เช่ือทางศาสนาคริสตซึ่งขณะนั้นกาํ ลังไดรับความเลื่อมใสศรัทธาอยูในหมูชาวโรมัน ปรัชญาวิมุตินิยม
๑๕๕
แบบสโตอคิ แสวงหาความสงบ ปรัชญาชินนิคดําเนินชีวิตดวยการหนีโลกหนีสังคม ลัทธิเพลโต ใหมใน
ฐานะท่เี ปนคแู ขงกบั ศาสนาคริสตไ มสามารถนาํ เอาปรัชญาทเี่ ขาใจยากใหเขา ถึงประชาชนทวั่ ไปในท่ีสุด
ชัยชนะก็ตกเปนของศาสนาคริสตใ น พ.ศ. ๑๐๗๒ ปรัชญากรีกจึงไดส้ินสุดลงนับตง้ั แตน้ันเปนตนมา
อยางไรก็ตาม ปรัชญากรีกไดใหความรูและปญญาแกโ ลกในเวลาตอมาจนมีการกลาววา ปรัชญา คือ
ขุมแหง ภูมิปญญา อันเปนฐานความเชอ่ื ของชาวตะวนั ตก
๑๕๖
เอกสารอางองิ ประจําบท
กรี ติ บุญเจือ. ปรัชญาเบ้ืองตน และ ตรรกวทิ ยาเบือ้ งตน . กรงุ เทพฯ : ผดุงวิทยาการพิมพ, ๒๕๑๒.
จํานงค ทองประเสริฐ. ปรัชญาประยุกต ชุดตะวนั ตก. กรุงเทพฯ : ตน ออ แกรมม่ี จาํ กัด, ๒๕๓๙.
ทองหลอ วงษธรรมา, รศ.,ดร. ปรัชญาทว่ั ไป. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร, ๒๕๔๙.
พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยตุ โต). การพัฒนาทย่ี ่งั ยนื . กรุงเทพฯ : มูลนธิ พิ ทุ ธธรรม, ๒๕๓๙.
พนิ ิจ รัตนกุล, ดร. ปรัชญาชวี ิตของโสเครตีส. นนทบุรี : วิทยาลัยศาสนศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหิดล,
๒๕๔๗.
วิชติ ดารมย, ดร. นับต้ังแตโ สเครตสี . กรงุ เทพฯ : โอ.เอส.พริ้นต้งิ เฮาส, ๒๕๓๗.
วิทย วิศทเวทย. ปรัชญา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๓.
ศรณั ย วงศคาํ จันทร. ปรชั ญาเบอ้ื งตน . กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ, ม.ป.ป..
สดใส โพธิวงศ. ปรชั ญาเบ้อื งตน . ขอนแกน : มหาวิทยาลยั ขอนแกน , ๒๕๓๔.
สุวัฒน จันทรจํานง, นายแพทย. ความเชื่อของมนุษย เกี่ยวกับปรัชญา และศาสนา. (กรุงเทพฯ :
สุขภาพใจ, ๒๕๔๐.
ออนไลนจาก https://www.jw.org/th/ เมอื่ วนั ที่ ๒๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๙.
บทที่ ๕
อภิปรชั ญา
ความนาํ
จากการศึกษาเรื่องของปรัชญา จะเห็นไดวาปรัชญามีบอเกิดมาจากความสงสัย หรือความ
ประหลาดใจ เริ่มตนต้ังแตสมัยกรีกโบราณ ซ่ึงมีความสงสัยเกี่ยวกับปฐมธาตุของโลก ตางคนตาง
พยายามหาคําตอบเกยี่ วกับคาํ ถามที่วา อะไรเปนปฐมธาตุของโลก หรืออะไรเปนบอเกิดของโลก บาง
คนบอกวา น้ํา เปนปฐมธาตุของโลก บางคนบอกวา ดิน เปนปฐมธาตุของโลก เหลาน้ีเปนตน การ
ยึดถือแนวความคิดอยางนี้ลวนแลวแตเกดิ ข้ึนมาจากความสงสัยเพ่ือตอ งการคนหา หรือสืบคนความ
แทจริงของโลก
สํานกั ปรัชญาตะวันออก เชน นักปรัชญาอนิ เดียโบราณ กม็ ีความสงสัยเก่ียวกบั ปรากฏการณ
ทางธรรมชาติ เชน ดวงอาทติ ย ดวงจนั ทร ฝนตก เปนตน ทานเหลานน้ั คดิ วาเหตทุ ี่เปนเชนน้ัน อาจจะ
เปนเพราะมีเทพเจาสิงอยู อาจจะเปนเพราะมีพระผูเปนเจาผูสราง มีลักษณะการสราง การ
ควบคุมดแู ล และการทําลาย ใชหรือไม จึงพยายามคนหาความเปน จรงิ ของโลก
ตอมานักปรัชญาตะวันตกสมัยใหม ก็มีความสงสัยเก่ียวกับสิ่งใกลตัวนั่นคือสงสัยเกี่ยวกับ
ตัวตน เก่ยี วกบั วิญญาณ เกีย่ วกบั พระเจา แลวพยายามสืบคน หาหลักฐานอา งอิงเพอ่ื หาความจริงของ
สิ่งเหลาน้ี เมอ่ื เปนเชนน้ี ความสงสัยจึงเปนบอเกิดแหงปรัชญา เพราะเปนบอเกิดแหงความคดิ และ
การคิดก็กอ ใหเ กิดการคดิ หาเหตผุ ล การวเิ คราะหว ิจารณตอมา
เราจะสังเกตเห็นวา แนวคิดเร่ืองแรกท่ีนักปรัชญาคนคิดก็คือเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ
ปรากฏการณทางธรรมชาติ เชน อะไรเปนปฐมธาตุของโลก ฝนตก ฟารอง เหลาน้ีเกิดมาจากอะไร
เปนสงิ่ ทม่ี ีอยูอยา งแทจรงิ หรือไม ลกั ษณะการคดิ เชนน้ี เปน การคิดเกยี่ วกบั สาขาของปรัชญาสาขาหน่ึง
ซง่ึ เรยี กวา “อภปิ รชั ญา” (Metaphysics)
อภิปรัชญา จัดเปนปรัชญาบริสุทธิ์ คือเปนเน้ือหาของวิชาปรัชญาแท ๆ เพราะเปน
แนวความคิด หรือเปนทฤษฎีลวน ๆ อภิปรัชญาเปนปรัชญาแบบเกา หรือท่ีเรียกวา “ปรัชญาสมัย
โบราณ”
อภิปรัชญา เปนสาขาของปรัชญาสาขาหนึ่ง เปนสาขาท่ีรวมศาสตรที่วาดวยความมีอยูของ
จักรวาล เปนสาขาที่คน หาเรื่องสภาวะแหงความเปนจริง อะไรเปนสิ่งท่ีเปนจริง และอะไรเปนสิ่งท่ีได
จากส่ิงท่ีเปนจริง โลกคืออะไร จักรวาลมไี ดอ ยางไร วัตถุหรือจิตเปนความจริง มนุษยคืออะไร เหลานี้
ลวนแตเปนปญหาท่ีจะหาคําตอบไดจ ากอภิปรชั ญา
๑๕๘
เมือ่ เปนเชนนี้ อภิปรัชญา จึงเปนสาขาของปรัชญาที่ศึกษาถึงความเช่ือเกี่ยวกบั ความเปนจริง
ซ่ึงพยายามจะหาคําตอบจากสิ่งตาง ๆ มากมาย เชน อะไรคือจิต จิตมีจริงหรือไม อะไรคือพระเจา
พระเจามีจริงหรือไม จิตกับพระเจามีความสัมพันธซ่ึงกันและกนั อยางไรหรือไม อะไรแนท่ีเปนความ
แทจรงิ
๑๕๙
๑. ความสาํ คัญของอภปิ รัชญา (Metaphysics)
อภิปรัชญาเปนศาสตรประเภทหน่ึง และเปนสาขาหน่ึงของวิชาปรัชญา ท้ังเปนเนื้อหาที่
สําคญั ของปรัชญาดวย ในคัมภีรท างพระพทุ ธศาสนา เราไดพ บพระสูตรบางสูตรกลาวถงึ อภปิ รัชญาไว
วา ที่อภิปรัชญาเปนเรื่องไกลตัวของมนุษย และไรสาระ ปญหาทางอภิปรัชญาพระพุทธเจาจึงไมทรง
ตอบ ดงั เชน อันตคาหกิ ทฎิ ฐิ ๑๐ ประการ (หรือเรียกวา อัพยากตปญ หา คือ ปญหาท่ีพระพุทธองคไม
ทรงตอบ) เม่ือพิจารณาพระสูตรดังกลาวน้ีจะเห็นไดวาปญหาทางอภิปรัชญา เปนเรื่องเหลวไหล ไม
นา สนใจ และไมเกี่ยวกับสวัสดิภาพของมนษุ ย แตถ า เราศึกษาอภิปรัชญา ใหเ ขา ใจแลว จะเห็นไดวาการ
มองเรอ่ื งขางตน เปน การมองอยา งผวิ เผิน และมองอยา งมีอคติ
ความจริงแลว แนวคิดทางพระพุทธศาสนาเปนอภปิ รัชญาอยางหน่ึง แตไมเหมอื นกับแนวคดิ
ทางปรัชญาของลัทธิอื่น จากการศึกษาอภิปรัชญาลึกซ้ึง เราสามารถสรุปแนวคิดมนุษยเปน ๓ แนว
ใหญ ๆ คอื ๑
ก. สสั สตทิฎฐิ (Eternalism) ไดแ ก แนวความคิดทวี่ า มีสิ่งท่ีเท่ียงแนนอนและตัง้ อยูอยาง
ถาวรไมเปล่ียนแปลง คําวา “มี” ในความหมายทรรศนะนี้ หมายถึง มีเปนรูปเปนราง รูไดทาง
ประจักษป ระมาณ เปน ความมีอยูใ นทีใ่ ดทหี่ นงึ่
ข. อุจเฉททิฎฐิ (Annihilism) ไดแก แนวความคิดที่เห็นวาไมมสี ิ่งใดที่มีอยูอยางเที่ยงแท
แนนอน การเกิดขนึ้ และตั้งอยู ไมมีสาเหตอุ ะไร การดบั ไปก็ไมมีปจจัย หากแตเปนไปตามธรรมดาของ
มนั ทกุ สิ่งเมื่อแตกสลายแลวกส็ ้ินสุดลงแคน้ัน คาํ วา “ไมมี” ที่ทัศนะน้ีเขาใจ ไมมอี ะไรเลยทีเ่ ปนเหตุ
ปจจยั มแี ตความวางเปลา ดุจแกวไมม นี ํา้ หรอื ถวยไมม ีแกงฉะน้นั
ค. มชั ฌมิ าทิฎฐิ (Middle View) ไดแก แนวความคดิ ที่เปนไปในทางสายกลาง โดยไมเขา
ไปของแวะทางท้ังสองขา งตนน้ัน ทรรศนะน้ียอมรับวาสิ่งท่ีมีอยูตอ งมีเหตปุ จจัยเปนแดนเกดิ และแดน
ดบั สว นปญ หาทวี่ า อะไรคือเหตปุ จจัยน้ัน เปนปญหาท่ีจะตอ งพจิ ารณาในตอนตอไป
เมื่อแนวความคิดมี ๓ แนวเชนน้ี เปนหนาที่ของผูศึกษาจะตองพิจารณาศึกษาแยกแยะวา
แนวความคิดใดมีเหตุผลสมพอเช่ือถือได การศึกษาแยกแยะนั้นจะตองอาศัยเหตุผลเปนเครื่องมือ
กรอบกับการมีใจกวาง ผูที่ศึกษาแนวความคิดอยางมีเหตุผล และมีใจกวางยอมจะไดความรูความ
เขาใจท่ถี กู ตอง ไมต กเปนทาสของตํารา ศึกษาอภิปรัชญา มีจุดมุงหมายทีส่ ําคัญ คือ เพ่ือใหมนุษยเปน
ตวั ของตัวเองมคี วามคิดเหน็ เปนอสิ ระ รจู กั วิพากษวิจารณปญหาปรัชญาตามหลักแหง เหตุผล
๑ สดใส โพธวิ งศ, ปรัชญาเบื้องตน, (ขอนแกน : มหาวิทยาลัยขอนแกน , ๒๕๓๔), หนา ๙-๑๐.
๑๖๐
๒. ประวัตแิ ละความหมายของอภิปรชั ญา
คําวา “อภิปรัชญา” (Metaphysics) บัญญัติขน้ึ ใชแทนคําในภาษาอังกฤษวา Metaphysics
เม่ือดูตามรูปศัพทแลว อภิปรัชญานาจะแปลวา “ปรัชญาชั้นสูง หรือปรัชญาที่ประเสริฐ” อยางไรก็
ตาม เมื่อเราบัญญัติคํานี้ขึ้นแทน Metaphysics เราก็ควรจะถือความหมายจากรูปศัพทใน
ภาษาองั กฤษเปนหลัก ไมใชแ ปลตามรูปคําของ “อภิปรัชญา” วาเปนความหมายทถ่ี ูกตอง เปนทัศนะ
ที่แคบแตไ มตรงตามความจริง
Metaphysics เปนคําที่มีรากศพั ทมาจากภาษากรีก วา”meta ta physika” = The work
after the physics คําวา “เมตาฟสิกส” เปนคําทใี่ ชเรียกงานเขียนของ อริสโตเตลิ (Aristotle)
ไดแ ก “ปฐมปรัชญา" ( First Philosophy)
ทม่ี าของเรื่องน้ี พระเจาวรวงศเธอกรมหม่ืนนราธิปพงษป ระพนั ธ ทรงนิพนธไวในหนังสือท่ี
ระลกึ วันราชบัณฑิตยสถาน (๓๑ มีนาคม ๒๔๘๖) ในเร่อื ง “คําอธบิ ายปรชั ญาและอภิปรัชญา” วา
“หลังจาก โสกาตรีส เพลโต และอริสโตเติลใหทําใหวิชา Philosophy เจริญข้ึนเพลโตถ ือวา
วิชาน้ีเปนวิชาเกี่ยวกับหลักความจริงที่ไมเปล่ียนแปลง แตอริสโตเติลมีหัวคิดทางอยางจริงจัง เชน
อันดบั แรกพิจารณาวิชาคณติ ศาสตร อันดบั สองวชิ าฟสกิ ส (หรือ ท่ีเขาเรยี กวา กายภาพของโลก) และ
อนั ดบั ที่สามกม็ าพิจารณาวิชา First Philosophy หรือ First principles คือวิชา “ปฐมปรัชญา”
อนั ดับทสี่ ่ี พจิ ารณาวิชาตรรกศาสตร (Logic) , จิตวิทยา (Psychology), จริยศาสตร (Ethics), และ
สุนทรียศาสตร (Aesthetics)๒
โดยท่วี ชิ าปฐมปรัชญา( First Philosophy) เปนวิชาที่อริสโตเติ้ลพิจารณาหลังวิชากายภาพ
ของโลก หรือวิชาฟสิกส ตอ มาจงึ ไดเรียกวิชาปฐมปรัชญา “อภิปรัชญา” Metaphysics น่ันเอง ซึ่ง
ตามรูปศพั ทแปลวา “ขอความที่อยูหลงั ฟสิกส”
คําวา Metaphysics น้ัน จะแปลตามรูปศพั ทก็คงไมไ ดความที่ชัดเจน เพราะเปนคาํ ที่ผูกขึ้น
เน่ืองจากเหตุบังเอิญท่ีอริสโตเต้ิลจัดวิชาปฐมปรัชญาไวหลังวิชาฟสิกส ดังน้ัน เราจะตองแปลโดย
คาํ นงึ ถึงวชิ าปฐมปรชั ญาเปน หลัก ”
๓. อภปิ รชั ญากับวิทยาศาสตร
อภิปรัชญามีการคาดคะเนความจริงกอนวิทยาศาสตร ชาวกรีกโบราณเห็นวาวิชาปรัชญากับ
วิชาฟสิกส หรือศาสตรทางกายภาพ มีความแตกตางกันเล็กนอย โดยความเปนจริงแลว การศึกษา
สภาวะของโลกกายภาพเคยถือกันวา เปนหนาท่ีของนักปรัชญาที่จะตองคดิ คน ปรัชญารุนแรก ๆ ของ
โลกตะวันตก เชน นักจักรวาลวิทยา (Cosmologists) และนักปรัชญาแหงเกาะไอโอเนีย (Ionain
๒ คูณ โทขันธ, ปรชั ญาเบ้อื งตน, (ขอนแกน : มหาวิทยาลัยขอนแกน , ๒๕๒๗), หนา ๙.
๑๖๑
Philosophers) สมยั ศตวรรษท่ี ๖ กอ น ค.ศ. พากันคิดถงึ ปญหาเก่ียวกับจักรวาลวา อะไรเปนปฐม
ธาตุของโลก หรอื โลกเกดิ ขนึ้ มาจากอะไร๓
๓.๑ ธาเลส (Thales B.C. ?- ๕๔๕)
ปรัชญาเมธีคนแรก และถือวาเปนบิดาแหงปรัญญาตะวันตก ธาเลสคดิ วาโลก และเอกภพมี
กฎเกณฑตายตัวกันเอง น่ันคือ เปนจักรวาลที่มีระเบียบ (cosmos) ไมใชเปนกลีภพไรระเบียบ
(chaos) อยางท่ีคนสมัยกอนคิดกนั ธาเลสเสนอความคิดเห็นวา นํ้าเปนปฐมธาตุ (First Element)
ของสรรพส่ิง ทุกสง่ิ ทกุ อยางเกิดขนึ้ จากนํา้ และในทีส่ ุดสงิ่ เหลานั้นก็จะกลับกลายไปเปนนํ้า เพอื่ แปรไป
เปน สง่ิ อืน่ ตอ ไป
๓.๒ อแน็กซิมานเดอร (Anaximander ๖๑๐ - ๕๔๕ B.C.)
ผูเปนศิษยของธาเลส กลับมคี วามเห็นขัดแยงกับธาเลสผูเปนอาจารย คือ อแน็กซิมานเดอร
เห็นวา ปฐมธาตุตขิ องโลกก็คือสารไรรูป (Formless material) ซง่ึ มีปริมาณไมจํากัด มกี ระจายอยู
ทว่ั ไป ส่ิงนี้ไดชื่อวา “อนันตต ภาพ” (Infinity) โดยตวั ของมันเองแลว สารไรรูปนี้ยังไมเปนอะไรเลย
จึงมีศักยภาพท่จี ะแปรเปล่ียนเปนอะไรก็ได เชน อาหารที่เรากินเขาไป จะตองทิง้ รูปอาหารกลายเปน
สารไรรปู เสียกอ น จึงจะรบั รปู ใหมได คอื แปรไปเปนเลอื ดเนื้อของมนษุ ย เปนตน
๓.๓ อแนก็ ซเิ มเนส (Anaximenes ? - ๕๒๙ B.C.)
ตอ มาไมนานก็มีผูคดิ คน เรื่องปฐมธาตุของโลกโดยไมหยุดหยอน อเน็กซิเมเนส เห็นดวยกับ
แนวคดิ ของอเล็กซิมานเดอร ที่วา ปฐมธาตุเปนสารไรรูป แตไมเห็นดวยทีว่ า “สารไรรูปไมเปนอะไร
เลย” เพราะฉน้ันก็เทากับยอมรับวาไมม ีอะไรเลย ถา สารไรรูปนั้นเปนส่ิงท่ีมีอยูจริงมันก็ตองเปนอะไร
สักอยาง เพราะฉะน้ัน อเน็กซเิ มเนสเสนอความคิดเห็นวา สารไรรูปของ อเล็กซิมานเดอรนั้นคงไดแ ก
“อากาศ”(Ether) ซง่ึ เปนของที่มองไมเ ห็น ไมมรี ูปราง (Formless) ซง่ึ เปนอะไรบางอยูแลว อยางนอย
ก็มีเน้ือสารถาจะเปน อะไรกไ็ ด
ดั้งน้ัน อากาศนาจึงจะเปนปฐมธาตุของโลกมากกวาน้ํา เพราะอากาศมีมากกวา แผกระจาย
อยทู ุกหนทกุ แหง โดยขอเท็จจริงแลว วัตถุดิบนาจะดีมากกวาของสําเร็จรูป เพราะฉะน้ันอากาศนาจะ
เปนวัตถุดบิ ของนํา้ มากกวา นาํ้ เอามาใชเทาไหรก ็ไมห มด
๓ จํานง ทองประเสริฐ, ปรัชญาประยกุ ต ชดุ ตะวนั ตก, (กรุงเทพฯ : ตน ออ แกรมม่ี จํากัด, ๒๕๓๙), หนา
๒๙-๓๕.
๑๖๒
๓.๔ เฮอราคลิตุส (Heraclitus ๕๔๐ - ๔๗๐ B.C.)
มคี วามเห็นวา ไฟเปนปฐมธาตุของสรรพสิ่ง เพราะไฟเปนส่ิงที่มีพลังในตัวเอง จะแปรสภาพ
เปนอะไรกไ็ ด ความจริงไฟกแ็ ปรสภาพตัวเองอยตู ลอดเวลา “ทุกส่ิงคือไฟ และไฟคือทุกสิ่ง” ดังน้ัน ทุก
ส่งิ จึงแปรสภาพตัวเองอยูต ลอดเวลา ไฟเปน ส่ิงนริ ันดร ไฟเปนพระเจา ดนิ นํ้า ลม หิน ทเ่ี ราเห็นอยูน้ัน
โดยความเปนจรงิ มันก็แปรสภาพอยูตลอดเวลา แตมนั แปลชาเกนิ กวาท่ีอายตนะของเราจะรูสึกเห็นได
หลักปรชั ญาทร่ี ูจ ักเฮอราคลิตสุ คอื “One cannot step twice into the same river”
๓.๕ พารม ีนเิ ดส ( Parmernides ๕๑๕ - ๔๕๐ B.C.)
เห็นวา ปฐมธาตุของสรรพสิ่งคือ “สัต” (Being) ซึ่งรวมทุกสิ่งทุกอยางไวเปนหนวยเดยี วกัน
อัน สัตเปนภาวะที่คงอยูแนนอน ไมผันแปร หรือกลับกลายเปนอ่นื สัตเปนภาวะที่สมบูรณดํารงอยูได
ดวยตวั ของมันเอง (thing - in- itself )
๓.๖ เอม็ พโี ดเคลส (Empedocles ๕๐๐ - ๔๔๔ B.C.)
ประนปี ระนอมทกุ ฝายดว ยทัศนะที่วา ปฐมธาตุของสรรพส่ิงท่ีมี ๔ อยาง ทเี่ รียกวา “ธาตุ ๔”
(Four Empedocles) ไดแก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ สิ่งตางๆเกิดขึน้ จากการรวม
ตัวการของธาตุ ทั้ง ๔ อยาง ไดสัดสวน เม่ือธาตุทั้ง ๔ รวมตัวกันถูกสวนท่ีจะเกิดผลลัพธข้ึนมาคือ
“ชีวะ” แตถ ารวมตัวกนั ผิดสัดสวนก็จะเกิดผลเปน “อชีวะ” การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการเปลี่ยน
อัตราสวน และการสูญสลายไปเกดิ จากการแยกตวั ของธาตุท้ัง ๔ ลําพังวัตถุธาตุท้ัง ๔ เปนสิ่งคงตัว
แนนอน ไมลด ไมเพ่มิ และไมส ูญหายไปจากโลก
๓.๗ เซโนฟาเนส (Xenophanes ๕๗๐ - ๔๗๐ B.C.)
เสนอความเห็นวาดินเปนปฐมธาตุของสรรพสิ่ง เซโนฟาเนส สังเกตเห็นหินท่ีมีซากสัตวและ
พชื ฝงอยู พบเปลอื กหอยบนพนื้ ดนิ พบโครงรางของปลาและสาหรายทะเลฝงอยูในดนิ จากสิ่งที่เขาได
พบ เซโนฟาเนสจึงสรุปวา โลกเกิดจากทะเล ตอ ไปบางสวนก็จะกลับจมลงไปในทะเลอกี มนุษยก็จะถึง
ความพนิ าศ โลกกจ็ ะตองโผลขนึ้ มาจากทะเลอกี และมนุษยช าติก็จะเกดิ ขึ้นอีกเชน กนั
เซโนฟาเนสจมความเชื่อทางศาสนาของชาวกรีกในสมัยน้ัน เพื่อใหมีการเขาใจเทพในทาง
บรสิ ุทธ์กิ วา เดิม ศาสนาของชาวกรีกขณะน้ันมีความเชื่อในเทพ มีรูปรางอยางมนุษยเขาโจมตีเรื่องน้ีวา
“เปนเรอื่ งนา ขนั ทีจ่ ะบอกวา เทพเรร อนจากทห่ี น่งึ ไปยังอกี ที่หนง่ึ ดงั ท่ไี ดบอกไวในตาํ นานกรีก นาขันท่ี
จะคิดวาเทพมกี ารเกิด และเปน เรอ่ื งนา อบั อายท่เี ทพยงั มีการฉอ โกงประพฤตผิ ดิ ศลี ธรรม”
๑๖๓
๓.๘ อแน็กซาโกรสั (Anaxagoras ๕๐๐ - ๔๒๘ B.C.)
มีความเห็นวา ปฐมธาตุของโลกและสรรพสิ่งมี ๒ อยาง ไดแก จิต(mind) และ สสาร
(matter) สําหรับสสารนั้นมมี ากมายหลายชนิดจนนับไมถว น เขากลาววา “ในทุกสิ่งมีสวนหนึ่งของ
ทุกส่ิง”( In everything there is a portion of everything) เชน ในขาวมีสวนประกอบของสสาร
ทุกชนิด เชนเลือด เน้ือ ดิน กระดูก เปนตน แรธาตุ (หรืออณู) ของขาวมีมากกวาธาตุอยางอื่น ซ่ึง
แสดงออกมาภายนอกเปน ขา ว
๓.๙ เดโมคริตสุ (Democritus ๔๖๐ - ๓๗๐ B.C.)
ผูใหกําเนดิ ลทั ธอิ ะตอม (Atomism) เดโมคริตสุ เห็นวา ปฐมธาตุของสรรพส่ิง คืออะตอมหรือ
ปรมาณู อันเปนองคประกอบสูงสุดของสสาร ถาเราเปนสสารออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็จะถึงหนวย
ยอยที่สุด ซ่ึงไมส ามารถแบงแยกตอไปไดอีกแลว หนวยยอยทเี่ ราแบงตอไปอีกไมไดนั่นแหละ เรียกวา
”อะตอม หรอื ปรมาณ”ู (Atom)
อะตอมมจี ํานวนเปนอนันตและเล็กทสี่ ุดจนไมสามารถจะรับรูดวยประสาทสัมผัสธรรมดาได
อะตอมทง้ั หลายประกอบดวยสสารชนิดเดียวกนั และเปนสิ่งที่ไรคณุ สมบัติ ความแตกตางของอะตอม
จึงไมใ ชท างคุณสมบตั ิ แตเปน ทางปรมิ าณ คือ ตางกนั ทขี่ นาดและรูปราง การรวมตัวกนั ของอะตอมทาํ
ใหเกิดโลกซึ่งมีอยูมากนับไมถวน โลกที่มนุษยอาศัยอยูเปนเพียงโลก ๆ หนึ่ง เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง
อะตอมก็จะแยกจากกนั เมอื่ นนั้ แหละภาวะของโลกก็ถงึ ความสลาย
ปญหาวา อะไรเปนปฐมธาตุของโลก เปนอันยังไมยุติ นักปรัชญายังคิดคนเรื่อยมาจนตราบ
เทาทุกวันน้ี การคาดคะเนความจริง (speculation) กอนวิทยาศาสตรเก่ียวกับธาตุประกอบของโลก
หรือส่งิ ตางๆ ในโลกนถี้ อื กันวาเปน หนา ทีข่ องอภิปรชั ญาในสมยั นน้ั
๔. ปญหาสําคัญของอภิปรัชญา
๔.๑ สภาพที่ปรากฏกบั สภาพท่เี ปน จรงิ
ถานิสิตยืนอยูในทุงหญา หรือทุงนาที่กวางสุดลูกหูลูกตา นิสิตจะมองเห็นวาโลกท่ีเราอยูน้ัน
เปนแผนดินซึ่งแบน แตดวยปญญา และเหตุผลเราทุกคนก็รูวาโลกไมไดแบนอยางท่ีเราเห็นแตโลก
กลมเหมือนผลสม ดว ยสายตาเรามองเห็นวาดวงอาทิตยมีขนาดไมตรงเกินไปกวาลูกฟุตบอลแตดวย
สติปญ ญาเรากร็ วู า ในความเปน จรงิ ดวงอาทิตยม ขี นาดใหญกวา โลกท่เี ราอยูมากมายหลายเทา
สภาพที่ปรากฏ (appearance) คือ สภาพท่ีเรารบั รดู ว ยประสาทสัมผัส เปนสภาพทป่ี รากฏ
ตอตา หู ลิ้น และกายของเรา เชน โลกท่ีเราเห็นวาแบน ดวงอาทิตยท่ีเราเห็นมีขนาดเล็ก ความ
ไพเราะของดนตรีท่เี ราไดยนิ ความหอมของดอกไมท่ีปรากฏตอจมูกของเรา ความหวานของน้ําตาลท่ี
ปรากฎตอลิน้ ของเรา และความออ นนุม อบอนุ ของรา งกายลูกนอ ยหรอื คนรกั ทเี่ ราไดสัมผัส
๑๖๔
สภาพที่เปน จริง (reality) คอื ความเปนจริงเบื้องหลังสภาพทปี่ รากฏเปนสภาพท่ีส่ิงตางๆ
เปน อยูจรงิ ๆในตัวของมนั เอง ไมไ ดถ ูกบดิ เบือนหรอื แปรเปล่ยี นไปตามการรับรูของใคร เชน ความกลม
อันเปน ลักษณะทเี่ ปนจริงของโลก ขนาดท่แี ทจริงของดวงอาทิตย เสียงสูงตํา่ ของดนตรี (ความไพเราะ
ของดนตรี ไมใ ชล ักษณะท่ีแทจ ริงของดนตรี แตเปนสภาพทป่ี รากฏตอหูของอีกคนหน่งึ ไมไพเราะกไ็ ด)
๔.๒ สภาพทป่ี รากฏไมจาํ เปนตองตรงกบั สภาพที่เปน จริง
ส่ิงที่เรารูเห็นดวยประสาทสัมผัสนั้น ไมตรงกับความเปนจริงก็ได เพราะในการรับรูดวย
ประสาทสัมผัส ลักษณะท่ีแทจริงของสิ่งตางๆ จะถูกบิดเบือนแปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดลอมใน
ขณะที่รบั รู เชน ระยะใกลไกลระหวางส่ิงท่ีถกู รับรู การทเ่ี ราเห็น โลกเปนแผนดินทแี่ บนก็เพราะขนาด
ของโลกใหญมากเมอ่ื เทยี บกับตวั เรา และเราอยใู กลโลกมากเกินไปจนมองไมเ ห็นลักษณะท่ีแทจ ริงของ
โลก ถา เราถอยหางออกจากโลกพอสมควร เชน มนุษยอวกาศที่ออกไปโคจรอยูนอกโลกก็จะมองเห็น
รปู รา งท่ีแทจรงิ ของโลกวามลี ักษณะกลม การที่เรามองเหน็ ดวงอาทติ ย มีขนาดเล็กกวาท่ีเปนจริงมากก็
เพราะดวงอาทติ ยอ ยไู กลจากเรามากถึง ๙๓ ลา นไมล
แสงและเสียงที่เรารับรูก็ตองเดินทางผานตัวกลาง เสียงท่ีเราไดยินเกิดจากคล่ืนของความ
สั่นสะเทือน ใชอากาศเปนตัวกลางในการสั่นสะเทือนมากระทบประสาทหูของเรา ดังนั้น ถาเราออก
อยูในอวกาศและมีลูกอุกกาบาตวิ่งมาชนกันระเบิดขึ้น เราก็จะเห็นแตเพียงภาพ ไมไดยินเสียง
เหมือนกับดูหนังใบ เพราะในอวกาศไมมีอากาศเปนตัวกลางใหความส่ันสะเทอื นเดินทางมากระทบหู
เราได นักศกึ ษาท่ีเคยเรยี นเรือ่ งการหกั เหของแสงเมือ่ เดินทางผานตวั กลางทีม่ ีความหนาแนนไมเทากนั
คงจะจําไดถึงปรากฏการณที่ทอนไมตรงๆ ดูเหมือนวาการหักงอเม่ือแชอยูในน้ําครึ่งทอนถา จําไมไดก็
ขอใหลองเอาตะเกียบมาใสลงในแกวน้ําท่ีมีนํ้าอยูครึ่งแกว จะเห็นวาตะเกียบที่อยูตรงน้ันดูเหมือนหัก
งอตรงรอยตอระหวางอากาศกับนํ้าเพราะแสงจะหักเหเมื่อเดินทางผานอากาศสูตัวกลางที่มีความ
หนาแนนมากกวาคือนํ้า การหักเหของแสงทําใหเราเห็นวาตะเกียบนั้นหักงอท้ังๆท่ีความจริงตะเกยี บ
นัน้ ตรง
๔.๓ มนษุ ยใ ชส ติปญ ญาแยกความเปน จรงิ ออกจากสภาพที่ปรากฏ
ปรากฏการณต างๆ อา ยนองนี้มอี ยูมากมาย จึงทําใหมนุษยรูวาประสาทสัมผัสนั้นหลอกลวง
เราได เราจึงไมเชอื่ วาสง่ิ ท่เี รารูเห็นดวยประสาทสัมผัสตองเปนจริงอยางนั้นเสมอไปมนุษยเราพยายาม
ใชสติปญญาเพื่อแยกความเปนจริงออกจากสภาพท่ีปรากฏ มนุษยเช่ือวาดวยการใชสติปญญาและ
เหตผุ ลอยา งถูกตอ ง เราจะสามารถแสวงหาความรูที่แทจ ริงได ถาเราใชสตปิ ญญาคิดหาเหตผุ ลในสิ่งที่
เราพบเหน็
๑๖๕
เรามองเห็นวารางรถไฟทั้งสองขางสบเขาหากัน และบรรจบกันเมื่อเรามองไปจนสุดสายตา
แตเ มอ่ื คิดตามหลกั เหตผุ ลวา ถาเปน เชน นน้ั จริง รถไฟก็คงวงิ่ ไปไมไดตลอด และตองตกรางในท่ีสดุ เรา
กไ็ มเ ชอื่ ในสง่ิ ท่ีเราเห็น เราเช่ือตามที่เหตุผลบอกวารางรถไฟท้ังสองขา ง ตอ งขนานกันไปตลอดท้ัง ๆ ที่
ความเช่ือนนั้ ขัดกบั ส่ิงทีเ่ ราเหน็
ตุมใสน ํา้ ท่ไี มป ด ฝาเอาไว เราอาจจะเห็นวามีลูกน้ําเกิดขน้ึ ไดเองทั้ง ๆ ที่ถาใสนํ้าลงไปทแี รกยัง
ไมมลี ูกน้ําหรือส่ิงมีชีวิตอน่ื อยูในนั้น เราอาจเห็นวาสัตวที่ตายแลวเม่ือเนาก็มหี นอนขึ้นไดเองทงั้ ๆเมื่อ
ตายใหม ๆ ก็ยงั ไมม หี นอน คนท่ีเคยรูมาวาสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึน้ เอง จากสิ่งที่ไมมชี ีวิตไมไ ด สิ่งมีชีวิตตอง
เกิดจากสิ่งท่ีมชี ีวิตดวยกันเทานั้น กย็ อมไมเชื่อในส่ิงท่ีตนเห็นคอื ลูกน้ําและหนอนเกดิ ขึ้นไดเองโดยไม
ตองมีแมหรือผูใหกําเนิด คนท่ีอยากเขาใจและมีความรูเก่ียวกับลูกนํ้าเกิดจากยุงลายและหนอนเกิด
จากแมลงวนั ท่แี อบมาทิ้งไขไวใ นขณะทเ่ี ราไมเ ห็น
ในสมัยทมี่ นุษยย ังไมร จู กั เชอ้ื โรค จากประสบการณทําใหค นบางคนเชื่อวา โรคภัยไขเจ็บตา งๆ
เปนส่ิงท่ีเกิดขึ้นไดเองโดยไมมีสาเหตุที่แนนอน แตคนที่มีสติปญญาในสมัยน้ัน บางคนเช่ือวาทุกส่ิงที่
เกิดขึน้ ตองมสี าเหตุที่แนนอนของมันเอง เขาจึงไดพยายามสังเกตและทดลองจนในทสี่ ุดก็คน พบความ
จรงิ วา ส่งิ มชี ีวิตท่ีมีขนาดเลก็ มากจนมองดว ยตาเปลาไมเหน็ เปนเหตุทําใหเกดิ โรคตาง ๆ ข้ึน
๔.๔ วญิ ญาณมีอยูจริงหรือไม
นักวิทยาศาสตรคนหน่ึงอธิบายวา สิ่งตางๆที่เราเห็น เชน ภูเขา ตนไม บาน โตะ เกาอ้ี สุนัข
แมว คน ฯลฯ ความจริงเปนเพียงอะตอม (atoms) ท่ีรวมตัวกันในรูปแบบตางๆ แลวปรากฏตอ
ประสาทสัมผัสของเราเปนสิ่งตางท่ีเห็นดังกลาว ตามคําอธิบายน้ีนักวิทยาศาสตรผูนี้เชื่อวา สภาพท่ี
เปนจริงของทุกสิ่งในจักรวาลท้งั ที่มีชีวิตและไมมีชีวิตเปนอะตอมทุกสิ่งมีกําเนิดมาจากส่ิงเดียวกัน คือ
อะตอม ซ่ึงเปนสสารเปนวัตถุที่ไรชีวิตจิตใจ แตมีนักวิทยาศาสตรอ่ืนๆ และคนอีกจํานวนมากดวย
ทัศนะดังกลาวของนักวิทยาศาสตรคนแรก พวกหลังเช่ือวา ถึงแมวาคนจะมีรางกายซึ่งเปนอะตอม
เหมือนกบั กอ นหนิ โตะ เกาอี้ แตคุณก็ยงั มีอะไรบางอยางไมใชว ัตถหุ รือสสาร อะไรบางอยางที่วาน้ี คอื
จิต หรือวญิ ญาณและจิตหรอื วญิ ญาณนี้เองทท่ี ําใหค นตา งจากกอ นหิน ตน ไม และสิง่ อนื่ ๆ ทไ่ี รช ีวติ
มนุษยมักเห็นสภาพท่ีปรากฏเหมือน ๆ กนั แตอาจมีความสภาพที่ปรากฏน้ีตางกันออกไป น่ี
เปนเหตุหน่ึงที่ทาํ ใหคนเรามีทัศนะหรือความเห็นขัดแยงกันในเร่ืองตา ง ๆ ตามสภาพท่ีปรากฏเราทุก
คนเห็นวา มนุษยมีท้ังรางกายและจิตใจ ( body and mind) เรามีแขนมีขา ซ่งึ ถา หากตกจากท่ีสูง
แขนขาเรากจ็ ะหักมีเลือดไหลและรสู กึ เจบ็ ปวด การท่ีแขนขาหักและเลือดไหล เปนสภาพทีป่ รากฏของ
รางกาย ความรูสึกเจ็บปวด ดีใจ เสียใจ รัก เกลียด เปนสภาพท่ีปรากฏของจติ ใจตามสภาพท่ีปรากฏ
มนษุ ยมีทงั้ กายและจิต แตใ นความเปนจริงมนุษยมีท้งั กายและจิตหรือไม ปญหาที่วาความจริงมนุษยมี
รางกายหรือไม ปญหานี้คนสวนใหญเห็นพองตองกันวา มนุษยมรี างกายจริง แตพอมาถงึ ปญหาวาใน
๑๖๖
สภาพทเ่ี ปนจรงิ มนษุ ยมีจิตหรอื วญิ ญาณเหมือนกับสภาพท่ปี รากฏหรือไม ปญหานี้คนเรามี ความเห็น
ตางกันเปน ๒ พวก คือ พวกจิตนิยม (Idealism) ที่เช่ือวา มนุษย มีวิญญาณ และพวกวัตถุนิยม
(Materialism) ทเ่ี ช่อื วา มนุษยไมมีวญิ ญาณ มนษุ ยมีแตร างกายซ่ึงเปน วตั ถ๔ุ
๔.๔.๑ จิตนยิ ม (Idealism)
ชาวจิตนิยมโดยทั่วไปเช่ือวา มนุษยมอี งคป ระกอบ ๒ อยาง คือ จิต กับกาย ถึงแมวาจิตนิยม
จะถือวา มนุษยมีท้งั จิตและกาย แตจิตนิยมก็ถึงวาวิญญาณสําคัญกวารางกาย เพราะจิตเปนตวั ตนท่ี
แทจ รงิ ของคนเรา รางกายไมใชต ัวตนทแ่ี ทจริง การที่จิตนิยมถือวาจิตเทา น้ันที่เปนตวั ตนที่แทจ ริงของ
มนษุ ยก ด็ ว ยเหตุผล ๒ ประการ คือ๕
ประการแรก จิต คือ หรือวิญญาณเปนอมตะ ไมมีการผุพงั เส่ือมสลายไปเหมือนกบั รางกาย
คนท่เี ชอ่ื เรือ่ งกรรมและการเกดิ ใหมเ ชอ่ื วา เม่อื เกดิ การปฏิสนธิขนึ้ ในครรภของสตรผี ูเปนมารดานั้น ได
มีวิญญาณของผูที่มาเกิดใหมเขามาอยูในรางกายของทารกในครรภ เมื่อครบกําหนดคลอดออกมา
ทารกนั้นก็เจริญเติบโตข้ึนเปนผูใหญ ระหวางท่ีมีชีวิตอยูนั้นเขาก็ไดทําทั้งกรรมดีและกรรมช่ัวถาถึง
เวลาตายรางกายของเขาก็จะเปนซากศพท่ีผุพังเนาเปอยเสื่อมสลายไป เหลือไวแตวิญญาณซ่ึงเปน
อมตะตองไปชดใชกรรมดี หรือกรรมช่ัวของตนในสวรรคหรือนรก เมือ่ ชดใชกรรมจนครบกําหนดแลว
วิญญาณก็มาเกิดเปนมนุษย ถาทํากรรมดีและกรรมชั่วตอไปอีก วนเวียนอยูอยางนี้ไมมีท่สี ้ินสุด ไมว า
คนจะเกดิ และตายกค่ี รง้ั จติ หรอื วิญญาณของคนก็ไมเสอื่ มสลายไป ยงั เปนจติ ดวงเดยี วกันอยู อยูคนแต
ละคนจงึ มรี างกายไดห ลายรา งแตกตางกนั ออกไปในแตล ะชาติ แตเขากย็ งั เปนดวงเดมิ อยูนั่นเอง ดงั น้ัน
ตวั ตนท่ีแทจริงของคนจึงตองเปนจิต ไมใชรางกายที่เส่ือมสลายแปรเปลี่ยนไปในแตละชาติทเี่ กิดเปน
มนษุ ย
เหตุผลประการท่ีสอง ท่ีทําใหจิตนิยมเช่ือวาจิตเปนตัวตนท่ีแทจ ริงของมนุษยคือรางกายของ
เรา ไมไดร ิเรมิ่ ทําอะไรเอง จิตของเราเปนผบู ังคับใชร างกายใหป ฏิบตั ิตามความตอ งการของเรา เมือ่ เรา
อยากรสู อบไลไดปริญญา เราคือจิต ก็บังคับตวั เราคือรางกายไมใหเดนิ ออกไปหาแฟนหรือเดนิ ไปนอน
แตเราบังคับใหร างกายของเราเดนิ ไปหยิบหนังสือมาอาน และทําแบบฝกหัด การท่เี ราอยากมีความรู
สอบไดป ริญญานนั้ จิตนิยมหรือวา ตวั ท่ีอยากคือจิตของเราไมใชรางกายเพราะหลังจากท่เี ราใชรางกาย
ใหทาํ งานมาทั้งวันจนเหน็ดเหน่ือยแลว ในตอนคํา่ รางกายกค็ งอยากพกั ผอนมากกวาท่ีจะเรียนหนังสอื
แตจิตของเรากพ็ ยายามบังคับรางกายใหเอาชนะความเม่ือยลา อยากนอนไปศกึ ษาหาความรจู นได
๔ ฌอง-ฟรองซัว เรอเวล และ มัตติเยอ ริการฺ, ภิกษุกับนักปรัชญา บทสนทนาพุทธศาสนา-ปรัชญา
ตะวนั ตก, แปลโดย งามพรรณ เวชชาชวี ะ, พมิ พครั้งที่ ๓, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพอ อรคดิ , ๒๕๔๕), หนา ๑๘๑.
๕ วิโรจ นาคชาตรี, รศ., และคณะ, ปรัชญาเบื้องตน, (กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรชั ญา คณะมนุษยศาสตร
มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๒๒), หนา ๒๗.
๑๖๗
๔.๔.๒ วตั ถนุ ิยม (Materialism)
ชาววัตถุนยิ มเชอ่ื วา ในสภาพท่ีเปนจรงิ แลว มนุษยไมมจี ติ หรือวิญญาณเหมือนสภาพทป่ี รากฏ
ท่ีดูเหมือนวานาจะมี ชาววัตถุนิยมจึงไมเชื่อเรื่องกรรมและการเกิดใหม เพราะถือวาคนมีแตเพียง
รางกายอยางเดยี ว เมื่อตายกไ็ มมีอะไรเหลืออยู นอกจากรางกายท่ตี องเนาเปอยผุพังหมดไป ไมมีส่งิ ท่ี
เรยี กกันวาวิญญาณออกจากรางไปชดใชก รรมหรือไปเกิดใหม
ตามสภาพท่ปี รากฏมนุษยดเู หมือนมจี ิต หรือวิญญาณเพราะวาสามารถทําอะไรไดหลายอยาง
ที่กอนหินและตนไมทําไมได แตถาใครคิดวามนุษยมีจริงๆ และก็ชาววัตถุนิยมบอกวาเขาเขาใจผิด
เพราะในความเปนจริงส่ิงท่ีควบคมุ รางกายใหเลือกทํา หรือไมทําอะไรไดจนดูเหมือนมีจิตควบคุมนั้น
คือสมองตางหาก สมองของเด็กคนไหนไมเจริญเติบโตจนเปนปกติ เดก็ คนนั้นก็จะเปนคนปญญาออน
ไมสามารถทําอะไรไดเหมือนคนที่มีสมองปกติ คนที่ถูกทํารายหรือไดรับอุบัติเหตุสมองไดรับความ
กระทบกระเทือนจนเสยี หายไปบางสว น กอ็ าจกลายเปน จติ ผิดปกติ เชน ความจําเสื่อมจําคนที่เคยรูจัก
ไมไ ด สตเิ ล่ือนลอย หรอื ไมก ็อาจกลายเปน อมั พาต เพราะสมองไมสามารถบังคบั รางกายบางสวนได
สมองของมนษุ ยท าํ งานไดด ีมปี ระสิทธิภาพสงู เสยี จนกระทงั่ คนเขา ใจผิดคิดวามีจิตคอยส่ังการ
แกรางกาย สมองเปรียบเหมือนเคร่ืองคอมพิวเตอร เพียงแตสมองทําดวยเลือดเน้ือ และมี
ประสิทธิภาพสูงกวาเคร่ืองคอมพิวเตอรท่ีมนุษยสรางขึ้น มนุษยเปนผลงานสรางสรรคอันมหัศจรรย
ของธรรมชาติ ผานกระบวนการท่ีพัฒนาการอันยาวนานมาจากส่ิงมีชีวิตช้ันต่ํามีโครงสรางรางกาย
งายๆ ไมสลับซับซอนจนมาเปนสัตวช้ันสูงมีโครงสรางของรางกายและสมองสลับซบั ซอน จนกระทํา
การตางๆ ไดด ุจมจี ติ คอยบงั คบั บญั ชาอยู
ถานิสิตเคยอานขา วเกี่ยวกับหุนยนตคอมพวิ เตอร ที่ทําหนาที่เปนคนรับใชภายในบานมาแลว
นิสิตก็คงจะเขาใจความคิดของชาววัตถุนิยมในเรื่องจิตไดดีขึ้น หุนยนตคอมพิวเตอรไดรับการ
ออกแบบสรา งใหมปี ระสทิ ธิภาพสูงจนทํางานตางๆไดเกือบเหมือนคนจริง ๆ เชน ทําความสะอาดบาน
ได สง เสียงรอ งเอ็ดองึ ขนึ้ เม่ือมีขโมยเขา มาในบานได เปดประตูและกลาวตอ นรับแขกท่ีมาเยือนได การ
ที่หนุ ยนตสามารถแยกพฤตกิ รรมของคนทมี่ าเยอื นไดว า เปนแขกหรือขโมยทาํ ใหดูเหมอื นวาหนุ ยนตจ ิต
ทค่ี อยวนิ จิ ฉัยตัดสินได แตเราก็รวู ามนั ไมมจี ิตจริง ๆ การทม่ี ันทาํ อยางนั้นไดกเ็ พราะคอมพิวเตอร หรือ
สมองกลในตัวมันไดรับการออกแบบกําหนดมาวา ถาผูมาเยือนมีพฤติกรรมอยางนี้ ใหกลาวตอนรับ
อยางนี้ ถาผูมาเยือนมีพฤติกรรมอยางน้ันใหสงเสียงรองเอ็ดอึงข้ึนวาขโมย ๆ มนุษยเราก็เหมือนกับ
หุนยนตคอมพิวเตอรนั่นเอง ที่มนุษยกระทําการตาง ๆ ไดมากกวาคอมพิวเตอรก็เพราะสมองของ
มนุษยมปี ระสิทธิภาพสูงกวาสมองกลของหุนยนตน่ันเองหาใชเปนเพราะมนุษยมีจิตหรือวิญญาณแต
อยางใดไม นค่ี อื คําอธิบายในเร่อื งจิตของลทั ธวิ ัตถุนยิ ม
๑๖๘
๔.๕ นอกจากสสารแลวยังมีสง่ิ อนื่ อกี หรือไม
“นอกจากสสารแลว ยังมีสิ่งอื่นอกี หรอื ไม” นิสิตบางคนอาจไมเขาใจคาํ ถามน้ีที่ถามวา “ยังมีส่ิง
อ่ืนอีกหรือไม” ส่ิงอืน่ นนั้ คอื อะไร สิ่งอ่ืนนั่นคือ ส่ิงที่ไมใชวตั ถสุ สารทเี่ รียกกันวา อสสาร ดังนั้น คําถาม
ขา งตน จงึ อาจถามใหมไ ดว า “สิ่งทเี่ ปน อสสารมอี ยูจ รงิ หรือไม”
นิสิตบางคนก็อาจจะยังไมเขาใจอยูดีวา อสสาร หมายถึง อะไร ผูสอนคิดวาวิธีที่นักศึกษา
เขา ใจ อสสาร หมายถึงอะไร นักศึกษาจะตองเขาใจเสียกอนวา เม่ือคนเราใชคําวา “สสาร” น้ัน เขา
หมายถึงสิ่งท่มี ีลกั ษณะหรือคณุ สมบัติเชน ไร เมอ่ื เขา ใจคาํ วา สสารหมายถงึ อะไรแลว นักศึกษายอไดเ อง
วา เมอ่ื ใครคนหน่งึ อา งวา อสสารเปนสิ่งที่มอี ยูจริง เขาหมายความวานอกจากสสารแลว ยังมีส่ิงอื่นอกี
ท่ไี มมลี กั ษณะหรือคณุ สมบตั ิของสสาร พดู ใหช ดั กวา น้กี ค็ อื ส่ิงที่ไมใชส สารมอี ยูจริง
๔.๕.๑ สสารคืออะไร
เม่อื นสิ ติ เรยี นวิชาวทิ ยาศาสตรใ นสมัยทเี่ ปน เดก็ นกั เรยี นนน้ั วิทยาศาสตรบอกวา สสารคอื ส่ิง
ท่ีมีนํ้าหนัก ตองการที่อาศัย และสามารถรับรูไดดวยประสาทสัมผัสอยางใดอยางหนึ่ง เชน การ
มองเห็นได ทาํ เสียงดังได มีกล่ิน มรี ส หรือจับตองได ตวั อยางเชน กอ นหิน เปนสสารเพราะมีน้ําหนัก
ตอ งการทีอ่ ยูคอื กนิ ที่ (ถาเราเอากอนหินใสลงไปในแกวนะน้ําที่มนี ํ้าเต็มเปยม นํ้าจะลนออกมาเพราะ
กอ นหินเขาไปกนิ ท่ีจนน้ําบางสวนไมม ีที่อยู ตอ งลนออกมา) และจะตอ งได วิชาวิทยาศาสตรพยายาม
บอกนักศึกษาวา อากาศท่ีเรามองไมเห็นน้ีก็เปนสสาร เพราะเปนส่ิงท่ีกินที่และมีน้ําหนัก เพราะมี
อากาศครองท่ีภายในแกวอยู ลูกโปง ๒ ใบ ที่มีน้ําหนักเทากัน ถานําใบหน่ึงมาเผาอากาศใสจนเต็ม
แลวนาํ ไปชัง่ บนตาช่งั ๒ แขน แขนขา งทมี่ ีลูกโปง อัดอากาศไวจะยังลง เพราะวาลูกโปงมีอากาศอัดอยู
หนกั กวาลกู โปงท่ีไมมีอัดอากาศ แสดงวาอากาศมีน้ําหนักและอากาศนั้นแมเราจะมองไมเห็น แตเราก็
จบั ตอ งสัมผสั ได เมอื่ ลมพดั มาถกู ตวั เรา เรากร็ สู ึกถงึ การท่อี ากาศมาสมั ผสั ตัวเรา
อันที่จริงแลวทกุ ๆ ส่ิงมีนํ้าหนักและสมั ผัสไดยอ มเปนส่ิงท่กี นิ ที่เสมอ ไมมสี งิ่ ใดทม่ี ีนํ้าหนักและ
สัมผสั ไดไมก นิ ท่ี ดังนน้ั ลกั ษณะของสถานทีก่ ลา วมาทงั้ ๓ ประการดงั กลาว จึงสรปุ ลงไดเด๋ียววา สสาร
เปน สง่ิ ที่กนิ ที่
ลักษณะอกี ประการหน่งึ ของสสาร คอื เปนส่ิงท่ีกินเวลาหรือดํารงอยูในเวลาเพราะทกุ สิ่งท่ีกนิ
ทต่ี องเปนส่งิ ที่ดาํ รงอยูใ นเวลาดว ย กลาวคอื ถาเราบอกวาสสารอยางหนึ่งมีอยูเราตองบอกไดวาสสาร
ส่ิงนั้นมีอยทู ี่ไหน มอี ยูเม่อื ไหร ถาเราไมส ามารถบอกไดวา สสารสิ่งน้ันอยูทไี่ หน เม่ือไหร กห็ มายความ
วา สสารสิ่งนั้นไมไดมีอยูจริงๆ เชน ถา มีใครคนหนึ่งมาบอกกบั นักศึกษาวา เขามไี กตัวหน่ึงออกไขเปน
ทองคํา นักศกึ ษาคงตอ งรีบถามเขา ไกตัวนั้นอยูทีไ่ หนชวยพาไปดหู นอย เพราะไกตวั น้ันไมไดอยูทไี่ หน
เลย แตมนั กม็ ีอยูจริงๆ คาํ ตอบของเขายอมไรสาระ เพราะขดั แยงกันเอง ถา ไกตวั น้ันมอี ยูจริง มันตอง
อยทู ี่ไหนสกั แหง หน่ึง จะมอี ยโู ดยไมอ ยูทไี่ หนเลยยอมเปน ไปไมได
๑๖๙
แตถา เขาอธิบายตอไปวา ตอนนี้มนั ไมไดอ ยูที่ไหนเลย เพราะมันตายไปแลวเม่อื กอนมนั เคยอยู
ทบ่ี านเขา แตเม่อื ปทีแ่ ลวทองมีราคาแพงมาก เขาจึงบังคับเคีย่ วเขญ็ ใหไ กต ัวน้ันออกไขม ากเกินกาํ ลัง
จนมันทนไมไหวตายไป คราวน้คี ําตอบของเขาไมไรสาระ เพราะอาจเปนไปไดท่เี ม่อื ปท่ีแลว ไกตวั น้ันมี
อยูแลวตอนนี้ไมมีอยู แตค ําตอบนี้จะจริงหรือไมเปนอกี เร่ืองหนึ่ง แตสมมติวาแทนทเ่ี ขาจะอธิบายกับ
นักศกึ ษาอยา งนี้ เขากลับบอกวา ถึงแมว าไกตวั นี้ไมไดอยูที่ไหนเลยแตกม็ ีอยูจริงและมีอยูตลอดไปดวย
นกั ศึกษากค็ งจะรูวา ไกต วั นี้ไมไ ดมีอยูจ รงิ แน มนั คงเปนเพยี งความคิดฝนของชายคนน้ันเพราะส่ิงที่เปน
สสารยอ มไมส ามารถมีอยตู ลอดไปเปน อมตะ หรือเปนนริ ันดรได
การกลาววา สสารส่ิงหน่ึงมีอยูยอมหมายความวา มนั มีอยูในชวงใดชวงหนึ่งของเวลาเทาน้ัน
ถาไกตัวนั้นมีอยูจริง มันก็จะตองมีอยูเฉพาะชวงหนึ่งของเวลา คือ ต้ังแตมันเกิดจนมันตายเทาน้ัน
กอ นท่ีมนั จะเกดิ และหลังจากทม่ี นั ตายมันยอ มไมม ีอยู แมแ ตสถานท่ีไมม ชี ีวิตกเ็ ชนเดยี วกนั โตะตวั หน่ึง
มอี ยูก็เฉพาะในชวงเวลาที่มันถูกสรางข้ึนจนถึงเวลาที่มันพังไปเทาน้ันกอนหนาท่ีจะถูกสรางข้ึน และ
หลังจากที่ผานไปแลว โตะตัวน้ียอมไมมีอยู สุริยะจักรวาลของเรานี้ก็ยอมมีชวงอายุของมันเอง สมัย
หนึ่งกอนจะเกิดมีสุริยะจักรวาลก็ยอมไมมสี ุริยะจักรวาลอยูอยู ตอไปในเวลาขา งหนาไมว าจะนานแค
ไหนก็ตาม ก็ตอ งมวี นั หนึ่งทีจ่ กั รวาลนจี้ ะแตกดับไป
ถามีส่ิงหนึ่งซึ่งเปนอมตะ คือไมมีการเกิดขึ้น ไมมีการแตกดับไป แตมีอยูอยางเปนนิรันดร
ตลอดไป เชนพระผูเปนเจาในศาสนาคริสต อิสลาม และฮินดู พระองคยอมไมม ีดาํ รงอยูในระบบของ
เวลา เม่ือพระองคมีอยูตลอดมาและตลอดไป ไมเคยมีสมัยใดเลยท่ีพระองคไมมีอยู การถามวาองคมี
อยูเ มอื่ ไหร จงึ เปน คําถามทีไ่ รความหมาย เพราะการถามวาสงิ่ หนึ่งมีอยูในเวลาใดนน้ั จะมีความหมายก็
ตอ เมื่อส่ิงน้ันในบางเวลามีอยู ในบางเวลาไมมอี ยู ท่ีเราถามวาส่ิงนั้นมอี ยูเม่ือไหร เราตองการรูเวลาท่ี
สิง่ น้นั มีอยู แตถาสิ่งนน้ั มีอยูทกุ เวลา การถามหาเวลาท่ีส่ิงน้ันมอี ยูก็ไรความหมาย ถาเราถามวาสมเดจ็
พระนเรศวรมหาราชทรงมพี ระชนมชีพอยูในสมยั ใด อาณาจักรอยุธยามีอยูเม่ือไหร เรากําลังตองการรู
วา สองสิ่งนี้ดํารงอยูในชวงเวลาใดของประวัตศิ าสตร คาํ ถามหรือความอยากรูของเราไมไรความหมาย
เพราะมบี างเวลาที่สองสิ่งไมมีอยูคือ เวลากอ นที่พระนเรศวรจะประสูติ และเวลาหลังจากที่พระองค
สิ้นพระชนม เวลากอนกอต้ังอาณาจักรอยุธยาและเวลาหลังจากอาณาจักรอยุธยาลมลงแลว แตถา
ชาวคริสตผ หู นึ่งถามพระบาทหลวงวา พระผูเปนเจาทรงมีชีวิตอยูเม่ือไหร ก็แสดงวาเขายังไมท ราบวา
พระผูเปนเจาเปนส่ิงอมตะมีอยูอยางนิรันดร ถาเขาทราบแตยังคงถามอยู คําถามของเขายอมไร
ความหมาย เพราะเขาจะไดรับคําตอบเขาทราบอยูแลว คอื พระองคมอี ยตู ลอดเวลา
การท่ียกตวั อยางท่ีไปมามากมายน้ีสิ่งที่ผูสอนพยายามจะอธิบายใหนิสิตทราบก็คือ สิ่งท่ีเปน
อมตะ ยอ มไมดํารงอยใู นระบบของเวลาคือ การพูดเรื่องเวลาสิ่งทเี่ ปนอมตะน้ันไรความหมาย ไมทําให
๑๗๐
รูอะไรมากข้นึ ดังนน้ั สสารแตล ะสิ่งซ่ึงไมใชส ง่ิ ที่เปน อมตะ แตเปนส่ิงท่ีมเี กดิ มดี ับ จึงตองเปนสิ่งท่ีดาํ รง
อยูใ นระบบของเวลา๖
๔.๕.๒ อสสารคอื อะไร
ตัวอยางของอสสารทเ่ี ราคุน เคยกนั ดี คือ จิตหรือวิญญาณ และพระผูเปนเจาในศาสนาคริสต
อสิ ลาม และฮินดู คนทีเ่ ชื่อวา วิญญาณหรือผีมีอยูจริง เขายอมถอื วาวิญญาณน้ันอยูนอกเหนือกฎของ
สสาร เพราะมันไมใชสสาร วิญญาณเปนสิ่งไมกินที่ ดังน้ัน จึงสามารถผานทะลุกําแพงมาไดโดยไมติด
หรือชน สมมตุ ิวา นกั ศึกษาเชื่อวา ผีมีจริง และมีผตี วั หนึ่งกําลงั ตามหลอกนักศึกษาอยู ถา นักศึกษาจะว่ิง
หนีผผี เี ขา ไปอยูใ นหอ ง และปด ประตูอยา งแนนหนา การทําอยางน้กี ็คงไมสามารถปองกันผีไมใหเขา มา
ในหองได เพราะผีไมใชสสารเหมือนรางกายคน มันจึงไมติดประตู แตผานทะลุเขามาได สมมุติวา
นักศึกษาสูกับผีตัวนั้นจนสามารถจับมันโยนออกไปนอกหนาตางได มันก็คงไมตกลงไปตายขางลาง
เพราะมนั ไมมีนํ้าหนัก ความจริงแลว นักศึกษาไมส ามารถจับผีโยนออกไปไดหรอก เพราะมันไมมตี ัวตน
ถา พดู ตามศัพททางวิทยาศาสตรก ค็ อื ผไี มมีมวล (mass) จึงไมมีตัวตนตอ งและไมมีน้ําหนัก ดังนั้น คน
ท่ีกลัววา ผีจะมาบบี คองนั้ กค็ วรจะเลิกกวาไดเพราะผีไมม มี วล จึงไมม อี ะไรมาบีบคอเราได ถา มีผีจริงสิ่ง
ทมี่ ันจะทําไดค ือหลอกตาเราเห็นมนั เปนรูปรางตา งๆใหเราตกใจกลัวเทานั้น ถา เราไมกลัวมันทําอะไร
เราไมไ ด ผอี าจทาํ รายจติ ใจเราไดแตไ มสามารถทาํ รา ยรางกายเราได
๔.๕.๓ วิทยาศาสตรตอบไมไดวาอสสารมอี ยูจรงิ หรอื ไม
หาท่ีคนเราถกเถียงกันมามาหลายรอยหลายพันปแลวก็คือ อสสารเปนส่ิงที่มีจริง หรือไม
แมกระท่ังในปจจุบันมีคนเราก็ยังคงถกเถยี งมีกันอยู โดยไมสามารถพิสูจนตัดสินลงไปอยางแนนอนได
วา อสสารมีอยูจรงิ หรอื ไม ทําไมจึงเปน เชน น้ี ทาํ ไมวชิ าวิทยาศาสตรเจริญมากในปจจุบันจึงไมสามารถ
ใหคําตอบในเร่ืองน้ีแตเราได เหตผุ ลกค็ ือปญหาน้ีอยูนอกขอบขายท่ีวิทยาศาสตรจะศึกษาได นิสิตได
เรียนวิธีการทางวิทยาศาสตรมาแลว คงทราบวา นักวิทยาศาสตร เม่ือศึกษาส่ิงใดนั้นนอกจากจะใช
เหตุผลคิดหาสมมตฐิ านตงั้ เปนทฤษฎีแลว การพิสูจนยืนยันในช้ันสุดทายวา สมมติฐานหรือทฤษฎนี ั้น
เปนจริงหรือไมดวยการทดลองที่ใดที่หนึ่งในเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังน้ัน การพิสูจนดวยการทดลองวา
อสสารมอี ยจู รงิ หรอื ไม จึงทําไมไ ด เพราะอสสารไมอ ยูในระบบของอวกาศและเวลา
ชายคนหนง่ึ เช่ือวา อสสารเปนส่งิ ทีม่ อี ยจู ริง คืนหนง่ึ ในขณะท่ีเขานั่งอานหนังสืออยูในหองคน
เดียว มีอะไรอยางหนึ่งเขามาในหอง เขาจําไดวาน่ันเปนเพ่ือนท่ีไดตายไปแลว เขาบอกกับตัวเองวา
วิญญาณของเพือ่ นคงมาหาดวยความคิดถงึ เขาจึงไมกลัว เขาพดู คุยกบั เพอ่ื นอยูครูหน่ึงเพือ่ นกจ็ ากไป
วันรุงขึ้นไอคนน้ันก็ไปเลาใหเพ่ือนอีกคนหนึ่งฟง เพื่อนคนน้ันไมเช่ือบอกวาชายคนนั้นเรื่องเก่ียวกับ
๖ บญุ มี แทน แกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ, ประพัฒน โพธ์ิกลางดอน, ปรัชญาเบอ้ื งตน (ปรชั ญา ๑๐๑),
(กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พิมพโ อเดียนสโตร, ๒๕๒๙), หนา ๙๘.
๑๗๑
วิญญาณมากไป จึงเกิดประสาทหลอนขน้ึ คิดไปเองวาที่ตายไปแลวมาหาชายคนน้ันยืนยันวาเขาไดพบ
วิญญาณของเพ่ือนจริง ๆ ไมไดคิดไปเอง เพ่ือนจึงบอกวาไมเชื่อหรอกวาวิญญาณมีจริง ถาจะใหเช่ือ
ตองจับวิญญาณน้ันไวใหดู ชายคนนั้นจึงบอกวาเพื่อนยังไมเขาใจวาวิญญาณนั้นเปนอสสาร จึงไม
สามารถจับวิญญาณขังไวในหองเหมือนขังคนได เพ่ือนจึงบอกวาถาอยางน้ันก็ไมเชื่อหรอกเพราะไม
สามารถพิสูจนทดลองได เวลาท่ีนักวิทยาศาสตรบอกวาเชื้อโรคมีจริง นักวิทยาศาสตรยังสามารถจับ
เช้ือโรคมาแสดงใหค นทวั่ ไปดูไดเ ลย
ความแตกตา งระหวา งเช้ือโรคกับวญิ ญาณคือ เชอื้ โรคเปนสสาร สามารถพิสูจนทดลองความมี
อยูของมันไดดวยกฎเกณฑของสาร แตวิญญาณเปนอสสาร ถาสมมุติวามันมีอยูจริง เรากไ็ มสามารถ
พิสูจนการมีอยูของมันไดดวยวิธีการที่พิสูจนการมีอยูของสสารเชน จับมันเอาไวเอามาช่ังดูวาหนัก
เทาไหร ถูกความรอนแลวขยายตวั มากนอยแคไหน มคี วามหนาแนนเทาไรมคี วามถวงจําเพาะเทา ไหร
ฯลฯ
สิ่งทพ่ี ดู ไมไ ดก าํ ลงั พยายามอธิบายใหนิสติ เชื่อวา วิญญาณมีอยูจริง แตพยายามอธิบายใหนิสิต
เขาใจวา ถาสมมุตวิ าวิญญาณมีอยูจริงแลว เน่ืองจากธรรมชาติของมันตา งจากสสารการพยายามรูจัก
มัน หรือพิสูจนการมีของมันดวยวิธีการที่ใชกับสสารยอมเปนไปไมได น่ีเองเปนเหตุผลที่วาทําไม
วิทยาศาสตรจึงตอบปญหาวา อสสารมอี ยูจริงหรือไม ไมไดเ พราะวิธีการทางวิทยาศาสตรใชศึกษาได
เฉพาะกับส่ิงทีเ่ ปน สสาร ซง่ึ อยใู นระบบของอวกาศและเวลาเทา น้นั
การพิสูจนทดลองในวิชาวิทยาศาสตรอาจเปนการใชประสาทสัมผัส เพอื่ รับรูส่ิงที่ถกู ทดลอง
อยางละเอียดแมนยําและเปนระบบ เครื่องมือในทางวิทยาศาสตรตาง ๆ สรางข้ึนเพ่ือชวยให
นักวทิ ยาศาสตรรับรูขอ มลู ไดล ะเอียดถูกตองมากยิ่งขึ้น แตการรับรูขอ มูลเหลานี้ยังคงตองใชประสาท
สัมผัสอยูดี เชน ตองใชของนั้นรอนแคไหน แตเขาก็ตองใชตาอานอุณหภูมิของของน้ันบน
เทอรโมมิเตอร และสิ่งท่ีจะถูกรับรูไดดวยประสาทสัมผัสก็คือ คือสสารที่อยูในระบบของอวกาศและ
เวลา ไมส ามารถรับรไู ดโดยประสาทสัมผัส การทดลองวทิ ยาศาสตรจึงใชกบั ส่งิ ที่เปน อสสารไมได
ในเมื่อเคร่ืองมืออยางหนึ่งในการแสวงหาความรูของมนุษยคือ การใชประสาทสัมผัส ไม
สามารถตดั สนิ ไดวาอสสารมอี ยูจริงหรือไม กต็ องหันไปหาเคร่ืองมอื ช้ินสุดทายแสวงหาความรูคือ การ
คิดเอาดวยเหตุผล การแสวงหาความรดู วยการคดิ เอาดวยเหตผุ ลไมสามารถใหขอ ยุติเปนท่ีนาพอใจแก
ทุกคนไดเหมือนกันหมด เหมือนกบั การใชประสาทสัมผัสเพราะตางคนก็มีเหตุผลของตนเองท่ีตางกัน
ออกไป ถา เราเถยี งกันวา นายสมชายหนักกกี่ ิโลกรมั เรากเ็ อานายสมชายใหนั่งบนเคร่ืองชั่ง เมือ่ ทุกคน
เห็นนํ้าหนักของสมชายบนเคร่ืองชั่ง ทกุ คนก็ยอมรับไมถกเถยี งกันอีกตอไป แตถาถาเถียงกันวา นาย
สมชายมวี ิญญาณหรอื ไม ในเมอ่ื การชา งและวัดดวยวิธีการวิทยาศาสตรไมสามารถตัดสินไดวา สมชาย
มวี ญิ ญาณหรือไมเหมือนกบั การตัดสินไดวาเขาน้ําหนักเทาไหร หรือมีเช้ือโรคทองรวงอยูในตัวหรือไม
เรากต็ องใชเ หตผุ ลคิดตัดสินเอา นกั ศกึ ษาก็ไดเห็นตวั อยางการใชเหตผุ ลโตแยงกันระหวางพวกจิตนิยม
๑๗๒
นิยม ในเรื่องที่วา มนุษยมีวิญญาณหรือไมมาแลว วาฝายหนึ่งผิด อีกฝายหน่ึงถูก แมนักศึกษากลุม
หน่ึงอาจเห็นวา เหตุผลของจิตนิยมตองนาเช่ือถือมากกวาของวัตถุนิยม แตก็อาจมีนักศึกษาอีกกลุม
หน่ึงมีความเห็นวาวัตถนุ ิยมมีเหตุผลนาเช่ือถือกวาจิตนิยม ญาติทที่ ุกคนในโลกจะเห็นตรงกันหมดวา
ฝายหนึ่งผิดอกี ฝา ยหน่ึงถกู แตส มมตวิ าในสมยั หน่งึ คนเชอ่ื ตรงกันหมดวา วญิ ญาณมีจรงิ เมือ่ เวลาผาน
ไปนานๆ กอ็ าจมีคนบางกลมุ ไมเ ชอ่ื วญิ ญาณมอี ยจู รงิ เกดิ ถกเถียงกนั ดวยเหตผุ ลข้นึ มาอีกก็ได
ปญ หาใดท่สี ามารถพิสูจนล องดว ยประสาทสัมผัสได วิชาวทิ ยาศาสตรกร็ ับหนาที่ศึกษาคําตอบ
ไป แตปญ หาใดทพี่ ิสจู นทดลองดวยประสาทสัมผสั ไมไดก็เปนหนาที่ของวิชาปรัชญาทตี่ องใชเหตุผลคดิ
หาคําตอบตอ ไป แมวาจะไมมีคําตอบใดแมเพยี งแตคําตอบหน่ึง ในวิชายาเปนที่ยอมรับของทุกคนใน
ทุกสมัยก็ตาม แตการพยายามใชวิธีการของปรัชญาเพ่ือคิดหาคําตอบท่ีไดมีการวิพากษวิจารณ
ตรวจสอบดวยเหตุผลก็ยังคงมีอยูตราบเทาท่ีมนุษยยังคงไมยอมจํากัดความ อยากรูอยากเห็นของ
ตนเองไวภายในขอบเขตของสิ่งท่ีรับรูไดดวยประสาทสัมผัสเทา นั้น น่ีเองเหตุผลทวี่ า ทาํ ไมทง้ั ๆ ที่วิชา
วิทยาศาสตรเพลินข้ึนมากจนสามารถใหคาํ ตอบในหลายๆเรื่องได แนนอนกวาวิชาปรัชญา แตคนกย็ ัง
ไมเลกิ ศึกษาวิชาปรัชญา
คนเปน จาํ นวนมากยงั คงสนใจทอี่ ยากรวู าในจักรวาลของเราน้ีนอกจากจะมีสสารทรี่ ับรูไดดวย
ประสาทสมั ผัสแลว จริงๆไมอยใู นระบบของอวกาศและเวลา ไมสามารถรับรูไดดวยประสาทสัมผัส จะ
มีอยูจ ริงๆหรอื ไม ปญหาน้ีถา พูดแบบชาวบานกค็ ือ ปญหาท่ีวา คนเรามีวิญญาณหรือไม พระเจามีจริง
หรือไม นรกสวรรคม ีอยูจริงหรือเปลา ความดคี วามช่ัวเปนส่ิงท่ีมีอยูจริงๆหรือเปนคาํ ทม่ี นุษยกําหนด
ขึน้ เอง กฎแหง กรรมมีจริงหรอื ไม ส่ิงเหลา น้สี มมุติวา มีอยูจ ริงเรากไ็ มสามารถมองเห็นมันได ไมสามารถ
จับตองมันไดเพราะมันไมใชสสาร เม่ือเราไมสามารถรูจักมันไดดวยประสาทสัมผัส คนที่เชื่อวาส่ิง
เหลานม้ี ีอยูจริง ก็บอกวาเราตองรูจักมันดว ยปญญา คอื คดิ เอาดว ยเหตผุ ลจนยอมรับวามันมีอยู สวน
คนท่ีไมเช่ือวาส่ิงเหลานี้มีอยู ก็ตองโตแยงวา คิดดวยเหตุผลแลวมันตองไมมีอยู ไมใชมาโตแยงวา
มองเห็นไมไ ด จับตองไมได ฉะน้ันไมมีอยูเพราะถาโตแยงแบบน้ีก็แสดงวายังไมเขาใจวา กาํ ลังโตแยง
เรือ่ งอะไรอยกู ันอยู
ปญหาท่ีกลาวขางตน คนจํานวนหน่ึงอาจจะไมสนใจที่จะซักไซหาคําตอบโดยตัดบทเสียวา
วิทยาศาสตรพิสูจนไมไดก็ยอมไมมอี ยูจริง การตัดบทเชนน้ีก็เทากับยอมรับโดยปริยายวา อะไรที่เรา
รับรูไมไดดวยประสาทสัมผัสยอมไมมีอยูจริง สวนคนอีกจํานวนหนึ่งสนใจปญหาเหลานี้ แตไมได
พยายามใชเหตุผลคิดหาคําตอบ แตใชศรัทธาที่มีตอศาสนาท่ีตนนับถือเปนวิธีหาคําตอบ กลาวคือ
เชื่อตามคําสอนของคัมภีรหรือคําสอนของศาสดาของตน น่ีเปนวิธีหาคําตอบดวยวิธีการของศาสนา
คือ ใชศรัทธาเหตุผล สวนคนที่สนใจปญหาเหลานี้อีกจํานวนหนึ่ง ไมยอมใชศรัทธาอยูเหนือเหตุผล
พยายามใชเหตุผลถกเถียงวิพากษวิจารณหาคําตอบท่ีนาจะเปนไปไดมากท่ีสุดในทัศนะของตน พวก
สุดทายน้ีใชว ธิ กี ารของปรัชญา
๑๗๓
สาขาของวิชาปรัชญาที่สนใจปญหาท่ีวา อสสารมีอยูจริงหรือไมโดยเฉพาะคือ อภิปรัชญา
(Metaphysics) อภิปรัชญาศึกษาปญหาที่วา ความเปนจริงคืออะไร (What is reality ? ) ความเปน
สสารหรืออสสารอยางใดอยางหน่ึง หรือวาความเปนจริงมีทั้งที่เปนสสารและอสสาร คําตอบที่ได
อภิปรัชญาแบง ออกไดเ ปนพวกใหญๆ คือ พวกจติ นยิ ม ทีถ่ อื วา อสสารมอี ยูจรงิ และพวกวัตถุนิยมถือวา
ความเปน จรงิ มีแตเพยี งสสารเทานน้ั นอกจากสสารแลว ไมมีอะไรทเ่ี ปนจริง อสสารเปนสิ่งท่ีไมมีอยู แต
บางคนเขาใจผดิ คดิ ฝนไปเองวา มี
จิตนิยมมที ศั นะวา มีอะไรบางอยา งท่ไี มไ ดเ ปน วัตถสุ สาร แตก เ็ ปนสิ่งที่มอี ยูจริงๆ เชน พระเจา
ความดี ความงาม จิตนิยมถือวาความดีและความงามเปนคา (Value) ทม่ี ีอยูจริงๆ อายอยางเปนวัตถุ
วิสัย จิตนิยมเมื่อใครคนหนึ่งบอกวากระทําอยางน้ีดี มิไดหมายความแตเพียงวาเขารูสึกเห็นดวยทํา
อยางนี้เทานั้น มีแตหมายความวาเขาเห็นคาของความดีวามีในการกระทํานั้นจริงๆ อายเมื่อใครคน
หน่ึงเห็นวาภาพนี้งาม มิไดหมายความแตเพียงเขารูสึกชอบภาพนี้เทานั้น แตห มายความวาเขาเห็น
ความงามทมี่ ีอยูในภาพน้ันจริงๆ ๆความดีและความงามจึงไมไดเปนอัตวิสัยท่ีข้ึนอยูความรูสึกชอบไม
ชอบของแตละคน แตมีอยูจริงๆในตัวของมันเองอยางเปนวัตถุวิสัย เนื่องจากความดีและความงาม
ไมไดเปนสสาร ดังน้ันผูท่ียอมรับวาความดีและความงามมีอยูจริงอยางวัตถุวิสัย จึงเทากบั ยอมรับวาอ
สสารมอี ยูจ รงิ ดังนัน้ จึงเปนผูมที ัศนะแบบจติ นิยม๗
วตั ถุนยิ มมีทัศนะวา จิต พระเจา ความดี และความงาม เปนส่ิงท่ีมนุษยคิดข้นึ เอง ส่ิงเหลาน้มี ี
อยูในความคิดของมนุษยเทาน้ัน ไมไ ดมอี ยจู ริงๆ เหมอื นโตะ เกาอท้ี ่เี ปน สสารวตั ถุนิยม คือวาความดไี ม
มอี ยจู ริง สง่ิ ทีม่ ีอยจู ริงคอื การกระทําทาํ ตามที่คนเราชอบและไมช อบการกระทาํ ท่ีคนชอบเขาก็เรียกวา
มันดี ถาไมชอบเขาก็บอกวามันไมดี ความดี - ความชั่ว จึงเปนความรูสึกของแตล ะบุคคล ความงามก็
เชนกัน ภาพน้ีเราชอบเราก็บอกวางาม เพ่ือนเราไมชอบภาพน้ี เขาก็บอกวามันไมงาม ความงามจึง
ไมไ ดมีอยูในภาพจริงๆ เปน แตเพียงความรูสกึ ของคนท่ีมีตอ ภาพเทา นนั้
นิสิตอยาลืมวา ความดีกบั การกระทําที่ดี เปนคนละสิ่งกัน ทําเปนสสารเพราะการกระทําแต
ละคร้ังตองกระทําทใ่ี ดท่ีหน่ึง ในเวลาใดเวลาหน่ึง การกระทําจึงอยูในระบบของอวกาศและเวลา แต
ความดเี ปนอเพราะสามารถปรากฏอยูในการกระทําที่ดที ี่เกิดขน้ึ ในท่ตี าง ไดพรอมกันในเวลาเดยี วกัน
ความดีจึงไมอยูในระบบของอวกาศและเวลา ความงามส่ิงที่สวยงามกเ็ ชนกัน ส่ิงทส่ี วยงามเปนสสาร
ความงามเปน อสสาร เพราะสามารถไปปรากฏอยูใ นสิ่งท่ีสวยงามในทต่ี า งๆในเวลาเดียวกนั ได
สําหรับจิตนิยมเม่ือเห็นภาพท่สี วยงาม เขาเห็นความเปนจริง ๒ อยาง คือตัวแผนภาพน้ันซึ่ง
เปนสสาร กบั ความงามในภาพซึง่ เปนอสสาร ทง้ั ๒สง่ิ น้มี อี ยจู รงิ ๆ เหมือนกันความงามมีอยูจริงๆ อาย
๗ กรี ติ บุญเจือ, ปรัชญาเบ้อื งตนและตรรกวทิ ยาเบอื้ งตน , (กรุงเทพฯ : ผดงุ วทิ ยาการพมิ พ, ๒๕๑๒), หนา
๕๒.
๑๗๔
เหมือนกบั ที่แผนภาพมีอยู เพียงแตความงามเปนอสสาร เราจึงจับตอ งมันไมไดเหมือนกบั การจับตอง
แผนภาพ เราก็รับรูความงามไดดว ยจิตของเรา ที่เปนอสสารเหมอื นกันเมื่อในตาของเราซ่ึงเปนสสาร
มองเห็นแผนภาพท่เี ปนสสาร จิตปญญาของเราก็เปนอสสาร ก็มองเห็นความงามที่เปนอสสารเชนกัน
แตสําหรับพวกวัตถุนิยมเม่ือเขาเห็นภาพทส่ี วยงาม เขาบอกวา สิ่งท่ีมอี ยูจริงๆ คอื ตัวแผนภาพเทา น้ัน
สวนความงามน้ันไมมีอยูจริงในภาพ งามเปนแตเพยี งความรูสึกชอบทีเ่ ขามีตอภาพน้ีเทานั้น ถา ทกุ คน
ตายหมดไมมีใครมาดูภาพน้ีแลวเกิดความรูสึกชอบ ความงามก็จะไมมีอยู เพราะความงามเปน
ความรูสึกท่ีอยูในใจคน เม่ือคนไมมีอยู ความงามก็ไมมีอยู แตพวกจิตนิยมบอกวาแมคนจะตายหมด
โลก จนไมเหลอื ใครมาดูภาพนี้ ความงามก็ยังมอี ยู เพราะความงามมอี ยูในภาพ ไมไดอ ยูในใจคน
๔.๖ ปญหาเร่อื งพระเจา
เปน ปญ หาสาํ คัญปญหาหนึ่งในวงการปรชั ญา นักปรัชญาและนกั การศาสนาไดพ ยายามหา
เหตผุ ลมาพสิ จู น นักการศาสนาฝายเทวนิยมพยายามพิสจู นวา พระเจา มี ขณะทฝ่ี า ยอเทวนยิ มก็
พยายามพิสูจนว า พระเจา ไมมี (ฝายเทวนิยมคือฝายท่เี ชอ่ื วามพี ระเจา สว นฝา ยอเทวนยิ มคอื ฝายทไ่ี ม
เช่ือวามพี ระเจา หรือเช่อื วา พระเจา ไมมี ซง่ึ จะไดกลาวทั้งสองฝา ยดังตอ ไปนี้)๘
๔.๖.๑ ฝา ยเทวนยิ ม
คือฝายท่ีเชื่อวาพระเจามีจริง โดยบอกวาพระเจามีคุณลักษณะดังนี้ เชน เปนอสสาร
(noncorporeal) คอื เปนจิตบริสุทธ์ิ ไมมีตัวตนทจี่ ะเห็นได หรือสัมผัสไดอยางสสาร ทรงสรรพเดชะ
(omnipotent) คอื มอี ํานาจเตม็ บริบูรณ ซง่ึ สามารถทําทุกอยางไดโดยไมมีอะไรตดิ ขดั เชน สรางโลก
มนุษย สัตว พชื ทรงสรรพญาณะ (noniscient) คือ ทรงมีความรูเต็มบริบูรณ ทรงรอบรูทุกส่ิงทุก
อยางในจักรวาล ทรงมีอยูทุกแหงและทุกขณะ (omnipresent) คอื ไมถกู จํากัดดวยอวกาศและเวลา
ทรงเปนองคแ หงความดสี ูงสดุ (all - good) ทรงรกั และเมตตาตอ มนุษยทกุ คน แมกระท่ังคนชั่วหรือ
คนบาป
จากคุณลักษณะดังกลาวน้ีแลว ฝายเทวนิยมยังพยายามท่ีจะพิสูจนวาพระเจามีอยูจริง ขอ
พิสจู นหรอื เหตุผลทน่ี าสนใจเชน
๑) ขอ พสิ ูจนจากการเปนสาเหตุ ( The Casual Argument) คือ อา งเหตผุ ลวาส่ิงตางๆ ใน
ธรรมชาติเกิดข้ึนเองลอยๆ ไมได ตองมีสาเหตุหรือตัวการใหมันมีอยูกลาวคือ ทุกส่ิงทุกอยางตองมี
สาเหตุ ส่ิงตางๆ ในจักรวาลมีอยูจริง สาเหตุของอยูมันก็ตองมีอยูจริงเชนกัน สาเหตุน้ันจะตองไมใช
มนุษย หากย่ิงใหญกวา มนษุ ยซ ่งึ จะขอเรียกส่งิ นั้นวา พระเจาดังนนั้ พระเจา มอี ยูจรงิ
๘ อมร โสภณวเิ ชษฐวงศ, ผูช วยศาสตราจารย, ปรัชญาเบื้องตน , (กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง,
๒๕๒๔), หนา ๒๓๔.
๑๗๕
๒) ขอพิสูจนจากความเปนระเบียบของธรรมชาติ (Argument From Design) คือ อาง
เหตผุ ลวา ความเปนไปของสิง่ ตางๆ ในธรรมชาติดาํ เนินไปอยางมรี ะเบยี บมีกฎเกณฑ และเปนเชนนี้มา
นับรอยๆ ลานปแลว สิ่งเหลาน้ีไมนาจะเปนไปโดยบังเอิญ ผูกําหนดระเบียบหรือกฎเกณฑหรือ
ออกแบบสรางไวอยา งดี และมีเปาหมาย และผนู ัน้ ขอเรียกวา พระเจา ดังน้นั พระเจา ตองมีจรงิ
๓) ขอ พสิ ูจนทางจริยธรรม (The Moral Argument) คือ อางเหตผุ ลวา ความเปนไปใน
โลก หรือในความเปน จริงทีเ่ ราพบเหน็ นนั้ บางคร้งั คนทาํ ช่ัวไดดมี ีสุข คนทาํ ดีกับไดทกุ ข แลวคนเหลานี้
กต็ ายจากโลกไปทั้งๆ ทย่ี งั ไมไดรบั ความยุติธรรม ความยุตธิ รรมจริงและชีวิตในโลกนี้เพียงชีวิตเดียวยัง
ไมไดรับความยุติธรรม ตองรอไปรับในชีวิตหนา และผูประกันความยุติธรรมใหแกมนุษยตองยิ่งใหญ
กวา และมีอํานาจเหนือกวามนุษย ผูนั้นคือพระเจา ดังน้ัน พระเจาตองมี มนุษยจึงจะไดรับความ
ยุตธิ รรม โดยพระองคจ ะใหความยตุ ิธรรมอยางสมบูรณแ กมนุษยทุกคนในชวี ติ หรอื ในปรโลก
๔) ขอ พิสูจนทางภววิทยา (The Ontological Argument เซนตอ ันเซลม (Saint Anselm
๑๐๓๓ - ๑๑๐๙ ) เปนคนแรกท่ีเสนอพิสูจนแบบน้ีขนึ้ ในสมยั กลาง เปนการพสิ ูจนวาพระเจามีอยูโดย
อาศยั ความเขาใจของมนุษยเก่ียวกับพระเจาหรือพิสูจนจากการนิยามคาํ วา “พระเจา” โดยเสนอวา
พระเจาเปนสัตท่ีสมบูรณ (Perfect Being) คอื เปน ๔ ไมมีอะไรทยี่ ิ่งใหญกวาที่เราสามารถเขาใจได
เมอื่ เราเขาใจคํานิยามนี้ เราก็พอเขาใจพระเจา ถา เราเขาใจวาพระเจาเปนส่ิงที่มอี ยูในความคดิ เทา นั้น
เราก็สามารถเขาใจวา พระเจาเปนส่ิงท่ีมีอยูในความคิด และมีอยูในความเปนจริงดวย ซึ่งย่ิงใหญกวาท่ี
มีอยูในความคิดเพียงอยางเดียว ดังน้ัน ตามนิยามท่ีวาพระเจาเปนส่ิงซ่ึงไมมีอะไรย่ิงใหญกวาที่เรา
สามารถเขาใจไดน้นั พระเจาตองมอี ยูในความเปน จรงิ ดว ย
๔.๖.๒ ฝา ยอเทวนิยม
คือ ฝายที่ไมเช่ือในความมีอยูของพระเจา ขณะท่ีฝายเทวนิยมพยายามหาเหตุผลมาพิสูจน
ความมีอยูของพระเจา ฝา ยอเทวนิยมกพ็ ยายามหาเหตุผลมาลบลา งขอ พสิ ูจนเ หลานัน้ เชน
๑) การอางวาทุกสิ่งตองมีสาเหตุ และสาเหตุนั้นคือ พระเจาเปนการอางท่ีมีขอบกพรอง
เพราะถาอางวาทุกสิ่งมีสาเหตุ และขออางน้ีเปนจริง พระเจาก็ตองมีสาเหตุการมีอยูของพระองค
เชนกัน และอะไรเปนสาเหตุใหพระเจามีอยู ถาตอบวาพระเจาไมตองมีสาเหตุใหพระองคมีอยู
พระองคท รงเปน เอง กจ็ ะขดั กบั การอา งเดิมท่ีวา ทกุ สงิ่ ตองมีสาเหตุ จึงเปนเหตผุ ลที่ขัดแยง ในตัวเอง
ถาแกว า ทุกส่ิงตอ งมีสาเหตุ ยกเวนพระเจา พระองคทรงเปนเอง หรือเปนสาเหตุของตวั เอง
ถา อยา งนนั้ สง่ิ อื่นในจักรวาลก็นาจะเปน เองหรอื มมี าเองไดเ ชนกัน
๒) การอา งวาความเปนไปของส่ิงตา งๆ ในจกั รวาลเปน ไปอยางมีระเบียบ แสดงถงึ มีผวู างแผน
สรางไวอยางดี ผูนั้นคือพระเจา การอา งเชนน้ีบกพรอง สมมุติวาเราเดนิ ทางเขา ไปในปาลึกที่ไมมีบาน
หรือผคู น ครั้นแลวไปพบบา นหลังหนงึ่ เรากต็ องแนใจวาตองมีคนมาสรางมันไวการอางเชนน้ีเปนไปได
เพราะเราเคยมปี ระสบการณค ือเคยเห็นคนสรางบานหลังอื่นๆ มาแลว แตในกรณีของจักรวาล เรายัง
๑๗๖
ไมเ คยเห็นการสรางดวงดาวอื่นๆมากอน ถา เราเคยเห็นพระเจาสรางดวงจนั ทร สรางดาวองั คาร เราก็
สรุปไดว าโลกกต็ อ งมผี ูสรางเชน กัน แตใ นความเปนจริง เราไมเ คยเห็นพระเจาและไมเคยเห็นการสราง
ดวงดาวตา งๆ ในจักรวาลเลย ฉะน้ัน การอางวาโลกตองมีผูสรางจึงเปนการอางทไี่ มถูกตอ ง เปนเพียง
การเดาเทานัน้
๓) การอา งวาพระเจาทรงรกั มนุษยและโลก เปนการอา งทข่ี ัดแยงกับสภาพความเปนจริงใน
โลก คอื สภาพในโลกยังมีความช่ัวรายทีม่ นุษยตอ งประสบอยูเสมอ เชน โรคภัยไขเจ็บ ภัยพิบัติ ความ
อดอยาก หิวโหย เปนตน ถา พระเจาทรงรกั และเมตตาตอ มนุษยอยางแทจริง พระองคตอ งขจัดความ
ช่ัวรายใหหมดไปจากโลก เน่ืองจากพระองคทรงสรรพเดชะแตเมื่อยังมีความช่ัวราย แสดงวาพระเจา
มไิ ดรักหรอื เมตตาตอมนุษยจริง หรือถาพระองคเมตตาจริง แตไมสามารถขจัดความช่ัวรายได กแ็ สดง
วา พระองคไมส รรพเดชะจรงิ
๔) การอางวาผูท่ีไมไดรับความยุติธรรมในโลกนี้ จะไปไดรับในโลกหนา โดยพระเจาจะเปน
ผูใหความยุติธรรมแกเขา การอางเชนนี้ยังไมเพียงเพราะอาจเปนความจริงของโลกเองที่ไมมีความ
ยุติธรรมตอมนุษยอยูแลวหรือเปนลักษณะที่เปนอยูแลวอยางนั้นเอง โดยไมตองไดรับความยุติธรรม
อะไร และการท่ีจะไปไดร ับความยุติธรรมในโลกหนากไ็ มร แู นวาโลกหนามีจริงหรือไม หรือในความเปน
จริงหากมีความยุติธรรมและมีโลกหนา มนุษยก็สามารถไดรับความยุติธรรมในโลกหนาไดโดยไม
จําเปนตอ งมีพระเจา
๕) การพิสูจนทางภววิทยาที่พิสูจนความมีอยูของพระเจา จากความเขาใจในเร่ืองพระเจา
หรือจากคาํ นิยามของคาํ วา “พระเจา” ไมใชข อ พสิ ูจนท่ีถกู ตอง เปนเพียงการเลน คาํ เทา น้ัน
๔.๗ ปรชั ญาจติ
ปญหาเรื่องจิตมนุษยเปนปญหาสําคัญมากปญหาหนึ่งในปรัชญา ดูเหมือนจะเปนปญหาที่
ลึกลับและมืดมนมากกวาเร่ืองอื่นๆ ๆสิ่งท่ีมนุษยอยากรูเกี่ยวกับจิตก็คือ จิตคืออะไร หรือปญหา
เกยี่ วกบั ธรรมชาติทางจิต จิตมีความสัมพันธกบั กายอยางไร จิตมีเสรีภาพในการตดั สินใจเลือกกระทํา
ตา งๆหรอื ไม และเมอ่ื รางกายแตกดบั ไปจิตจะมสี ภาพอยา งไร เปน ตน
ปญ หาสาํ คัญในปรชั ญาจติ มีอยู ๔ ประเดน็ คือ
๑) ปญหาเก่ียวกบั ธรรมชาติของจิต
๒) ปญหาเรอื่ งความสัมพนั ธร ะหวางจิตกบั กาย
๓) ปญหาเรื่องเจตจาํ นงเสรี ( Free Will)
๔) ปญ หาเรอ่ื งอมฤตภาพของจิต (Immortality)
ปญหาทง้ั ๔ น้ี เปนที่กลา วขา งตน มีคาํ ตอบในแตล ะประเด็นดังตอ ไปน้ี
๑๗๗
๔.๗.๑. ปญ หาเกย่ี วกับธรรมชาติของจติ
คอื ปญหาวาจติ คอื อะไร อนั น้มี คี าํ ตอบ ๕ กลมุ ท่สี ําคญั ไดแก
๑. จติ คอื สสาร
คําตอบน้ีเปนของสสารนยิ มซง่ึ ลทั ธนิ ม้ี คี วามเช่ือพื้นฐานวา ความเปนจรงิ ในจกั รวาลมแี ตส สาร
เพียงอยางเดียวเทานั้น ไมมีความเปนจริงอ่ืนใดอีก นอกจากสสารหรืออนุภาคของมวลสารท่ีเคล่ือน
จิตไมใชสัต ( Being) หรือสาระ (Substance) อกี ชนิดหนึ่งที่แตกตางไปจากสสาร แตเปนรูปแบบ
การทาํ งานของสสาร สสารทีม่ ีโครงสรางซับซอน สามารถทํางานไดมากกวาสสารท่ีมีโครงสรางงายๆ
โดยเฉพาะรางกายมนุษยมีระบบประสาทซ่งึ เปนสสารเช่ือมโยงกับสมอง ซงึ่ ก็เปนสสารเชนกัน ระบบ
ประสาทและสมองทาํ งานรวมกันจนสามารถคิดหรือมีปฏิกิริยาโตตอบตอ ส่ิงเราได เหตุการณท างจิต
(mental event) เชน การรูสึก คดิ และเหตกุ ารณท างกายมีลักษณะอยางเดียวกนั คอื เกิดจากการ
ประสานสัมพันธของมวลสาร (matter) ท่ีเคล่ือนไหว การเคลื่อนไหวทางกายภาพที่เกดิ ขน้ึ ในสมอง
เรียกวา การคิดและนี่เปนผลของเหตุการณอ ่ืนในโลกของสสารไมวาในรางกายเรา หรือนอกรางกาย
เรา และโดยนยั นีม้ ันสามารถทาํ ใหเ กิดการเคลอื่ นไหวทางกายภาพในตัวเรา หรือนอกตัวเรา ความรูสึก
ทุกอยางเชน ความเจ็บปวด การรับรู ความจํา เปนตน ไมใชอะไรอ่ืนนอกจากกระบวนการทาง
กายภาพ ในระบบประสาทและสมองของเรา เม่อื จิตคือ การทาํ งานของระบบประสาทและสมองเม่ือ
รางกายแตกสลาย จิตก็ดบั สญู ไปดว ย
๒. จิต คอื สาระ
เปนคาํ ตอบของกลุมจิตนิยม ซึ่งเช่ือวาจิตคือสัต หรือสาระ ในรูปหน่ึงที่ไมใชสสาร แบงแยก
ไมได และเปนอมตะ คําวา “สาระ” หมายถงึ แกนแท หรือความเปนจริงเบ้ืองหลัง หรือตัวยืนโรง ที่ให
คณุ ภาพตางๆมีอยไู ดเ ชน ขผี้ ้งึ เปน สาระท่มี ีคณุ ภาพเฉพาะตัว คือ มสี ีเหลืองคลํ้า ออ นนุมเมอ่ื ถูกลนไฟ
เกาะติดกับวัตถุได เปนตน ถาเราเอาคุณภาพเหลานี้ออกใหหมดจะมีอะไรเหลือ คําตอบคือสิ่งที่
เหลืออยคู อื สาระ หรือแกนแทท่ีใหคุณภาพเหลานั้นมีอยูได เชนเดยี วกับจิตมีคุณภาพสามารถเขา ใจได
คิดได จําได หรือมีจินตนาการได ถาเอาคุณภาพเหลานี้ออกใหหมดจะเหลืออะไรบางอยางที่ให
คณุ ภาพเหลานน้ั มอี ยูไ ด อะไรบางอยางนี้เรียกวา สาระ (Substance) แตจิตเปนสาระที่ไมใชวัตถุหรือ
สสาร จึงมองไมเหน็ หรือจบั ตอ งได
๓. จิต คอื ตัวการจดั ระเบียบ
เปนความคิดของคา นท ซ่ึงไมเห็นดวยกับลัทธิท่ีถือวาจิตคือสาระ หรืออัตตา คานทถือวาจิด
หรอื มนสั เปนตัวการกมั มันต หรอื ตวั จดั การที่จดั การสิ่งตา งๆ เขามาสูตวั เราทางประสาทสัมผัสใหเปน
ระบบความรู เปน ตวั การกลไกในการรับรสู ิง่ ตางๆ เราจะรูวาสงิ่ ตางๆ เปนอยา งไรกต็ องผานการจัดการ
ของจติ หรอื มนัส จิตมีกลไกการถา ยแบบสงิ่ ภายนอกใหเราเขา ใจได จิตไมใชส่ิงหรือสาระที่เปนเอกเทศ
ตา งหาก แตเ ปนการจัดระบบและจัดเอกภาพของประสบการณข องมนุษยใหเ ปนความรู
๑๗๘
คานทคิดวาส่ิงท่ีเรารับรูไดคือ ประสบการณของเราเอง เหตุผลและความเขาใจเปนตัว
จัดระบบประสบการณใหเปนความรู ดงั น้ัน จิตหรือมนัสจึงเปนหนวยเอกภาพของจิต เปนศนู ยกลาง
ของการจดั ระบบความรู
๔. จติ คือ ผลรวมทั้งหมดของประสบการณ
นักปรัชญาชาวองั กฤษช่อื ฮมู (David Hume ๑๗๑๑ - ๑๗๗๖) ไดโจมตีลัทธิท่ีถือวาจิตเปน
สาระชนิดหน่ึงตางหากจากรางกาย ฮมู ใชหลักของประสบการณน ิยมในทฤษฎีความรูของเขานําไปสู
ขอสรุป ในทฤษฎีความรูข องเขาถือวา ความรูทกุ อยางจากประสบการณและสิ่งท่ีมใี นจิตหรือความคดิ
คือภาพพิมพใจ (impression) และมโนคติ (Idea) ภาพพิมพใจคอื ส่ิงท่ีเรารับรูขณะมปี ระสบการณ
มโนคติคอื ภาพท่ีเลือนลางหลังจากประสบการณนั้นผานพนไปแลว เมือ่ เราสํารวจดูความคิดของเรา
เราจะพบแตประสบการณที่ผานไปแตละครั้งและภาพในความทรงจําของประสบการณ สิ่งของส่ิงนี้ไม
คงที่ และเราไมพ บหลกั ฐานอะไรเลยที่จะเรยี กวา สาระหรืออัตตาทีค่ งท่ีอยตู ลอดไป
ดงั น้ัน ในทรรศนะของฮูม จิตหรือมนัสรวมทั้งสมรรถนะและคุณลักษณะของความเปนจริง
ไมใชอะไรอ่นื นอกจากการประสมประสาน หรือผลรวมของการรับรูทางประสาทสัมผัส เขาจึงปฏิเสธ
การมอี ยขู องจติ หรอื วิญญาณหรืออัตตา
๕. จติ คือ รูปแบบของพฤตกิ รรม
ดวิ อ้ี (John Dewey ๑๘๕๙ - ๑๙๕๒)๙ ชาวอเมริกัน ตัวแทนของกลุมปฏิบัตินิยม
(Pragmatism) ถือวาจิตและการคิดเปนลักษณะของการทํางาน หรือการมีปฏิกิริยาตอกันของ
เหตุการณในธรรมชาติ จิตเปนลักษณะภายนอกธรรมชาติของสิ่งของ มนุษยและธรรมชาติเปนสวน
หนงึ่ ของกระแสตอเนอื่ งอันเดยี วกนั ดิวอี มีทศั นะวา จิตเปน จติ รกรรมแกปญหา เมอ่ื เราเผชิญกับปญหา
เราก็กําหนดลักษณะของปญหานั้นและคิดวาจะแกอยางไร น่ีคือกิจกรรมของจิต สรุปก็คือ จิต คือ
พฤติกรรมที่มีการปรับปรุงตัวเม่ือเผชิญกับสิ่งเราในธรรมชาติ หรือปญหาขอขัดแยงเพื่อใหสามารถ
ดาํ รงชีวิตอยูได จติ จึงเปน เครื่องมอื หรอื อปุ กรณเพื่อประโยชนในการดํารงชวี ติ
๔.๗.๒ ปญหาเร่ืองความสมั พนั ธร ะหวางจิตกับกาย
นับแต เดการต ส (Rene Descartes ๑๕๙๖ - ๑๖๕๐) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสไดแยกความ
แตกตางอยางชัดเจนระหวางจิตกับกาย แนวคดิ แบบทวินิยมเขากอใหเกิดปญหายุงยากตามมา ไดแก
ปญ หาเมือ่ จิตและกายเปน สาระคนละประเภท ที่แตกตา งกันอยางส้ินเชิงแลวเปนไปไดอยางไรทีจ่ ิตจะ
กอใหเกิดการเปล่ียนแปลงทางกาย หรือกายกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิต เชน การเคล่ือนไหว
๙ William S. Sahakian, Outline History of Western Contemporary Philosophy (ปรัชญา
ตะวนั ตก ยุครวมสมัย), เรียบเรียงโดย ดร.บุณย นิลเกษ, (เชยี งใหม : ภาควิชา มนุษยสัมพนั ธ คณะมนษุ ยศาสตร
มหาวิทยาลยั เชียงใหม, ๒๕๒๑), หนา ๒๐.
๑๗๙
ของมือ การเดิน หรือจิตสั่งใหกายเคลื่อนไหวไดอยางไร และเม่ือเราถูกมีดบาด (เหตุการณทางกาย)
แลวเรารูสึกเจ็บ (เหตุการณทางจติ ) เปนตน
คาํ ตอบท่ีพยายามอธบิ ายความสมั พนั ธร ะหวางจิตกบั กายมีดงั น้ี๑๐
๑. เดการตส ใหค าํ ตอบในเรื่องนี้วา จิตกับกายเปนสิ่งแตกตา งกันอยางสิ้นเชิง คอื จิตเปนส่ิง
ไมกินท่ีแตคิดได แตกายเปนส่ิงกินที่แตคิดไมได เหตุการณทางจิตอยูในขอบเขตของมันเองตางหาก
เชนเดียวกับเหตุการณทางกาย คือ เปนเหตกุ ารณคนละระบบ แตนอกเหนือจากเหตุการณทางกาย
และเหตุการณทางจิต ซึ่งเปนคนละระบบแลว เหตกุ ารณท างกายเปนสาเหตุใหเกิดเหตกุ ารณทางจิต
เชน ถาเราถูกตีศีรษะ (เหตุการณทางกาย) เราจะรูสึกเจ็บ (เหตุการณทางจิต) คล่ืนแสงกระทบ
ประสาทตา ทาํ ใหเราเห็นภาพ เปนตน ทุกๆครั้งท่ีมสี ิ่งเรามากระทบกาย จะทําใหเกดิ ความรูสึกอยาง
ในจิต ขณะเดียวกนั เหตกุ ารณทางจิต เชน เมอื่ เราตกใจ กท็ ําใหเกิดเหตกุ ารณทางกาย คือ หัวใจของ
เราจะเตน เร็วกวาปกติ อนั เปนขอพิสูจนอยางชัดแจงวา เหตกุ ารณทางจิตและเหตกุ ารณทางกายเปน
สาเหตุของกันและกันกลาวคือ จติ และกายมปี ฏกิ ริ ยิ าตา งกนั หรอื มีความเกี่ยวของสัมพันธกัน ลัทธินี้จึง
มีช่อื เรยี กวา Interactionism เพาะกายและจิตตางกม็ ีปฏิกริ ยิ าตอ กัน
แตป ญ หาที่ตามมาก็คือ จิตซึ่งเปนส่ิงท่ีไมกินที่และไมใ ชสสาร จะมากระทบตอ กาย เปนสสาร
และกนิ ทไ่ี ดอยา งไร หรือเหตุการณท างกายเปนการกระทําของสสารจะมีผลกระทบตอส่ิงที่ไมใชสสาร
และไมกินท่ีไดอยางไร เร่ืองน้ีเดการตส เสนอคําตอบโดยใชความรูทางการแพทย และจิตวิทยาเปน
ขอมูล เขาเสนอคําตอบวาจิตติดตอกับรางกายโดยผานสมอง การเคลื่อนไหวทางกายภาพบางสวน
ไมไ ดกอใหเกิดเหตกุ ารณท างจิต เชน (ความรูสึกเจ็บ) ข้ึนได ในทาํ นองเดียวกนั การกระตุนจุดบางจุด
ในเซลลสมองดวยเคร่ืองมอื ทางการแพทยโดยไมใหกระทบตอสวนอื่นของรางกาย สามารถทําใหเกิด
ความคิดข้นึ ได ตวั อยางท่เี ดการต สยกมาก็คือ เมอ่ื บุคคลทีเ่ สยี แขนถกู กระตุนทจี่ ุดบางจุดของเนื้อสมอง
ทาํ ใหผ นู น้ั รูส ึกวาแขนของเขาเคล่อื นไหวได หรือทําใหเกิดความรสู ึกเจ็บไดโดยกระตุนท่ีระบบประสาท
จากขอมูลเหลาน้ีเดการตส จึงลงความเห็นวา ตองมีความสัมพันธระหวางจิตกับกายในรูปใดรูปหน่ึง
และจดุ สัมผัสหรือจดุ ตดิ ตอ มาทางกายไดก ็คือ ตอมพเี นียล (pineal gland) ในสมองซึ่งอยูสวนลางของ
เน้ือสมอง
ข้ันตอนเชนนี้ก็มีปญหาตามมาอีกวา ตอมพีเนียลเปนสสารหรือเปนจิต ถาเปนสสาร จิตซ่ึง
เปน สง่ิ ไมกนิ ท่ีสัมผัสตอมนีไ้ ดอยางไร แตถ า มนั เปนสทิ ธจ์ิ ะตดิ ตอกบั สมองเปนสสารไดอยาง
๑๐ บญุ มี แทน แกว, ผชู วยศาสตราจารย, ปรัชญาตะวนั ตก(สมัยใหม), (กรงุ เทพฯ :สํานกั พิมพโอเดียนส
โตร, ๒๕๔๕), หนา ๑๕.
๑๘๐
๒. ลทั ธภิ าวะขนาน (Parallelism)
คําตอบของลัทธิ Interactionism ทําใหมีปญหาตามมาดังกลาวแลว ลัทธิภาวะขนานจึง
อธิบายวา เหตุการณ ๒ ประเภทน้ี ไมไ ดเก่ยี วเน่ืองถึงกัน หรือเปนสาเหตุตอกัน ดนิ กระบวนการทาง
กายมีความเปนจริงเทาเทากัน ไมไดมีความสัมพันธในลักษณะท่ีเปนสาเหตุแกกัน เพียงแตทั้งสอง
กระบวนการเปนไปดว ยกนั และพรอมๆกนั ดว ยเหตกุ ารณไมไดก ระทบหรือเปนสาเหตุของเหตุการณ
ทางกาย และเหตุการณทางกายก็ไมไดกระทบหรือเปนสาเหตุของเหตุการณทางจิต แตเปนไป
เหมอื นกบั รถไฟ ๒ ขบวน ว่งิ คไู ปพรอมๆกัน บนทางรถไฟคู
๓. สสารนิยม
ตอบวา ความเปนจริงน้ันรางกายเปนสสารเทาน้ัน รางกายมรี ะบบประสาททํางานเช่ือมโยง
กับสมองซ่ึงก็เปนสสาร แตเปนสระท่ีมีโครงสรางซับซอนมาก จนเกิดผลพลอยไดมาจากระบบของ
สสารนั้น จิตจึงเปนปรากฏการณพ ลอยไดเทาน้ัน หรือเปนเงาของรางกายเหมือนกับไฟกอใหเกดิ ควัน
ฉะน้นั ไมไ ดเปนอกี ส่ิงหน่ึงแตกตางกาย เมื่อรางกายแตกดับจิตหรือปรากฏการณพ ลอยไดของรางกาย
เชน การคิด การรสู กึ ตวั กด็ บั ตามไปดวย
๔.๗.๓ ปญ หาเร่ืองเจตจํานงเสรี
ปญ หาเรือ่ งเจตจํานง ( Will) เปน ปญหาเก่ยี วกบั มนษุ ยโดยเฉพาะการตดั สินใจเลือกกระทําส่ิง
ตา งๆ ของมนุษยคอื เจตจํานงเสรี (Free will) ซ่ึงประสบการณใ นชีวิตประจําวันของเรา เราจะพบ
ลักษณะที่ตรงกันขา มสองลักษณะคอื ลกั ษณะแรกเรารูสกึ วา เรามีเสรีภาพ หรือเราสามารถตัดสินใจใน
การกระทาํ สิ่งตางๆ ดว ยตัวเอง เชน เมอ่ื เราจะทําอะไรสักอยาง เราจะพิจารณาในเร่ืองน้ันกอ นวา ถา
เรากระทําอยางนี้ ในสถานการณเชนนี้จะเกิดผลอยางไร และถากระทําอีกอยางหนึ่งในสถานการณ
เชนเดิม จะเกดิ ผลอยางไร กลาวคือ มีการพิจารณาทางไดทางเสียกอนตดั สินใจกระทําในลักษณะใด
ลักษณะหน่ึง การตดั สินทางเลือกของเราในลักษณะนี้คอื เราสามารถเลือกเองโดยเสรี ไมม ีใครหรือสิ่ง
ใดมาบังคับใหตองทําเชน น้ัน๑๑
สวนในลกั ษณะทส่ี องคือ ในประสบการณของเรามีบางครั้งหรือหลายครั้งท่ีเราคิดวาเรามีการ
ตัดสนิ ใจเลอื กโดยเสรีนั้น ท่ีจริงเราไดรับอทิ ธิพลมาจากสิ่งอ่ืนโดยที่เราไมรูสึกตัว ส่ิงอ่ืนๆ ๆที่มอี ิทธิพล
ตอการสินใจของเรา ไดแก การอบรมเลี้ยงดูในวัยเดก็ ศกึ ษาอบรมที่ไดรับมาตงั้ แตอดีตจนถึงปจจุบัน
สภาพแวดลอ มทางเศรษฐกจิ และสงั คม สภาพทางชีววิทยา ฯลฯ ซง่ึ บางคร้ังเราพบวาสง่ิ เหลาน้ีเปนตวั
ผลักดัน หรือมีอทิ ธิพลตอการตดั สินใจของเราเปนอยางมาก กลาวคือ เราไมสามารถตัดสินใจโดยเสรี
นนั่ เอง
๑๑ ทองหลอ วงษธรรมา, รศ., ดร., ปรชั ญาทวั่ ไป, (กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร, ๒๕๔๙), หนา ๙๕.
๑๘๑
เก่ียวกับปญ หาเรื่องเจตจาํ นงเสรีนี้ มผี ูเหน็ ตา งกนั ๒ ทัศนะ คอื ๑๒
๑. ลทั ธเิ หตุวิสยั (Determinism)
ลัทธินี้มที รรศนะวา มนุษยไมมีเจตจํานงเสรีการตดั สินใจเลือกกระทําสิ่งตางๆ ของเราเกิดขึ้น
โดยไดรับอิทธิพลจากสิ่งตางๆ รอบตัวเรามาผลักดันหรือบีบบังคับใหเราตองตัดใจกระทําอยางหน่ึง
อยางใดลงไป กลาวคือ การตัดสินใจแตละคร้ังของเราเกดิ จากสาเหตุอะไรบางอยาง ที่ทําใหเราตอง
ตดั สนิ ใจอยา งนั้น
ทัศนะเชนน้ีเปนแบบจักรกล (Mechanism) คือ วาสิ่งตางๆ ในธรรมชาติดํารงไปตามกฎ
กลศาสตร เหตุการณอ ยางหนึ่งเกิดข้ึนเพราะมีเหตกุ ารณอกี อยางหนึ่งมากระทําตอมัน มิไดเกิดลอยๆ
โดยปราศจากเหตุ เหตุการณทุกเหตุการณลวนมีสาเหตุท้ังสิ้น เชน ขณะนี้ฝนกําลังตก การท่ีฝนตก
ไมไดเ กิดข้นึ ลอยๆ แตม ีสาเหตลุ วงหนา มากอ น คอื มลี มพดั เมฆสีดําลอยตํา่ หลงั จากนั้นฝนจึงตก หรือ
การที่ตนไมใ นกระถางทเี่ ราปลูกไวเกิดเหี่ยวเฉาและตายไปก็มีสาเหตคุ ือ ขาดนํ้า ขาดปุยเนื่องจากเรา
ลืมใหป ุยรดน้าํ มนั มาหลายวันตดิ ตอ กนั เปนตน
ในกรณีของมนุษยก็เชนกนั มนุษยเปนส่ิงหน่ึงของธรรมชาติเปนไปตามกฎของธรรมชาติ การ
ตดั สินใจเลือกกระทําในส่ิงตา งๆ ของเราแตล ะคร้ังยอมมสี าเหตนุ ําหนามากอน คือ ความประสงคของ
บุคคลหนึ่งในขณะนี้ถูกกําหนดตายตัวความประสงคใ นอดีต อุปนิสัยหรือรสนิยมท่ีมอี ยูในตัวเราไมไ ด
เกดิ ขนึ้ ลอยๆ แตไดมาจากการปรุงแตง โดยกรรมพันธุและสิ่งแวดลอม การทําทกุ อยางของมนุษยแต
ละคนกําหนดโดยสภาพแวดลอ ม ทมี่ ีเสรีภาพในการตดั สินใจเลือกกระทําตา งๆ คอื ไมมเี จตจํานงเสรี
น่นั เอง
๒. ลทั ธิอิสรวิสยั (Indeterminism)
ลทั ธินไี้ มเ หน็ ดว ยกับลัทธิเหตุวิสัยที่วา มนุษยไมมเี จตจํานงเสรีลัทธิอิสรวิสัยแยงวา จีนอยู แม
การกระทาํ ของเราบางอยางอาจไดรบั อทิ ธพิ ลจากสิง่ แวดลอ ม แตกม็ บี างคร้ังหรือหลายคร้ังที่เราไมเห็น
คลอ ยตามส่ิงแวดลอม หรือไมเ ห็นดว ยกบั คนสวนใหญในสังคมก็ได กลาวคือ แมส่ิงแวดลอมมอี ิทธิพล
ตอ การตัดสินใจของเรา แตก็มิใชทุกครั้งไป ประสบการณเ รารูสึกวา ในบางครั้งไมมีอะไรมาบังคับเรา
หรอื แมบางครั้งอาจถกู บงั คับแตเ ราไมท าํ ตามก็ไดดงั นี้เปน การยืนยันวา เรามเี จตจาํ นงเสรี
อยางไรก็ตาม แมเราจะมีเสรีในการตัดสินใจกระทําส่ิงตางๆ แตก็ตองในขอบเขตจํากัดของ
ธรรมชาติและของรางกาย รางกายเปนสสารยอมอยูภายใตกฎธรรมชาติเชนเดียวกับสสารอ่ืนๆ เชน
ถูกแรงดึงดูดของโลกดึงดูดเอาไว เราจะตัดสินใจเลือกใหเราลองลอยไปในอวกาศเหมือนนกไมได
เพราะสภาพรางกายของเรากบั ของนกไมเ หมือนกัน
๑๒ สดใส โพธวิ งศ, ปรชั ญาเบ้อื งตน, หนา ๓๕-๓๗.
๑๘๒
ลัทธิอิสรวิสัยมีความเห็นวา ถา มนุษยไมมีเจตจาํ นงเสรี การยกยองสรรเสริญและการตําหนิติ
เตียนกจ็ ะไรความหมาย โดยเฉพาะอยางย่ิงการลงโทษผูกระทําพี่จะทําไมได ถาเรายอมรับวาเขาถูก
บงั คบั ใหทําชว่ั การยอมรับเร่ืองการลงโทษของผูกระทําผดิ ยอมแสดงวาเขาตอ งรับผิดชอบการกระทํา
ของเขา เน่ืองจากเขาเปนผูกระทําเอง ทง้ั ๆที่เขาอาจหลีกเลี่ยงไมกระทําเชนน้ันก็ได กลาวคือ คอื เปน
การยอมรับวา มนษุ ยม เี จตจาํ นงเสรี หรือมอี ิสระในการตัดสนิ ใจจะทําสง่ิ ตางๆ
ทัศนะของศาสนาโดยทั่วๆ ไป ถอื วา มนุษยม ีเสรีภาพในการเลอื กกระทาํ ดหี รือช่ัวได จึงสอนให
ทําดีละเวนช่ัว ถามนุษยไมมีอิสระในการตัดสินใจ การสอนเชนน้ันจะไรความหมาย ศาสนาและ
ศีลธรรมจะกลายเปนสิง่ ไรสาระ หากมนษุ ยไ มมเี จตจํานงเสรี
๔.๗.๔ ปญ หาเรือ่ งอมฤตภาพของจติ
ปญหานี้เปนเร่ืองเก่ียวกับชีวิตหลังความตาย กลาวคือ เม่ือคนๆหน่ึงตายลง ชีวิตของเขา
ส้ินสุดเพียงนั้นหรือไม ซึ่งก็คือปญหาวาตายแลวเกิดหรือตายแลวสูญน่ันเอง ปญหาน้ีมีคาํ ตอบเปน ๒
กลมุ คือ๑๓
๑. กลุมท่ีเชอ่ื วาจติ หรอื วญิ ญาณเปน อมตะ
กลุมนี้ถือวามนุษยประกอบดวย ๒ สวนคือ สวนท่ีเปนรางกายกับสวนท่ีคิดได เม่ือตายลง
รา งกายแตกสลายไป แตสว นที่คิดไดหรือจติ วิญญาณยังมีอยูไมแตกสลายตามรางกายเพราะเปนอมตะ
ดังนั้น เมื่อรางกายแตกสลาย จิตหรือวิญญาณก็อาจไปหารางใหมอยูเรียกวาไปเกิดใหม หรืออยูใน
สภาพทไี่ มม รี างกาย เปน ตน
กลุมเชื่อวาจิตหรือวิญญาณเปนอมตะ ไดแก ลัทธิเพลโต (Platonism) ลัทธิพราหมณ
(Brahmanism) ศาสนาคริสต และศาสนาอสิ ลาม เปนตน
๒. กลุม ทีเ่ ชือ่ วาจติ หรอื วญิ ญาณไมเปน อมตะ
กลุมน้ีมที รรศนะวา มนุษยประกอบดว ยสสารอยางเดยี ว ส่ิงท่ีเรียกวาจิตวิญญาณกเ็ ปนสสาร
เชนเดียวกบั รา งกาย จึงมีแตมีดับเชนเดยี วกบั รางกาย จิตหรือวิญญาณจึงมิใชส่ิงที่จะคงอยู ชั่วนิรันดร
กลุมทเี่ ชอ่ื วา จิตหรอื วิญญาณไมเปน อมตะเชน พวกสารนิยม ลัทธิจารวากอินเดีย เปน ตน
๑๓ อมร โสภณวเิ ชษฐวงศ, ผชู ว ยศาสตราจารย, ปรัชญาเบ้ืองตน , หนา ๒๒๒.
๑๘๓
สรปุ ทายบท
อภิปรัชญาเปนสาขาปรัชญาท่ศี ึกษาเกี่ยวกับความเปนจริงของชีวิต โลก มนุษย และจักรวาล
โดยอยากรวู า สงิ่ เหลา น้ีมคี วามเปนจรงิ อยางไร และอะไรเปน ความจริงสูงสดุ หรอื ความจริงสุดทาย ใน
ฐานะที่เปนปรัชญาความเปนจริงท่ีมนุษยอยากรูจึงมี ๓ ลัทธิใหญๆ คือ ๑) ทฤษฎีสสารนิยม
(Materialism) ทฤษฎีน้ีพยายามศึกษาคนควา เกี่ยวกบั สิ่งทีส่ ามารถรบั รไู ดดว ยประสาทสัมผัส เพราะ
ยอมรับเรอ่ื งของวัตถุ หรือสสารเปนส่ิงท่ีมีอยูจริง จึงพยายามหาความจริงเกี่ยวกับสสาร ๒) ทฤษฎจี ิต
นิยม (Idealism) ทฤษฎนี ีพ้ ยายามศึกษาคน ควาเกี่ยวกบั อะไรคือธาตุแทของมนุษย โดยเนนไปทเี่ รื่อง
ของจิต เพราะยอมรบั วา จิต เทานัน้ เปน ส่ิงท่ีมีอยูจริง ๓) ทฤษฎีธรรมชาตินิยม (Naturalism) ทฤษฎี
น้ีพยายามศึกษาคนควาเกี่ยวกับเอกภพ หรือธรรมชาติวา อะไรเปนผูสราง เกิดขึ้นมาไดอยางไร มี
ลักษณะเปนอยางไร รวมไปถึงเร่ืองของพระผูเปนเจา ซึ่งถือวาเปนผูมีอํานาจสรางโลก ควบคุมโลก
และทาํ ลายโลก เหลา นเี้ ปน ตน
๑๘๔
เอกสารอางอิงประจําบท
กรี ติ บญุ เจอื . ปรัชญาเบอื้ งตน และตรรกวทิ ยาเบื้องตน. กรงุ เทพฯ : ผดงุ วิทยาการพมิ พ, ๒๕๑๒.
คูณ โทขนั ธ. ปรัชญาเบอ้ื งตน. ขอนแกน : มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน , ๒๕๒๗.
จํานง ทองประเสรฐิ . ปรชั ญาประยกุ ต ชดุ ตะวันตก. กรงุ เทพฯ : ตนออ แกรมมี่ จํากดั , ๒๕๓๙.
ฌอง-ฟรองซัว เรอเวล และ มัตติเยอ ริการฺ ภิกษุกับนักปรัชญา บทสนทนาพุทธศาสนา-ปรัชญา
ตะวันตก. แปลโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ. พิมพครั้งท่ี ๓. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพออรคิด,
๒๕๔๕.
ทองหลอ วงษธรรมา, รศ., ดร. ปรัชญาทว่ั ไป. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร, ๒๕๔๙.
บุญมี แทนแกว. ผูชวยศาสตราจารย. ปรัชญาตะวันตก(สมัยใหม). กรุงเทพฯ :สํานักพิมพโอเดียน
สโตร, ๒๕๔๕.
บุญมี แทนแกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธ์ิกลางดอน. ปรัชญาเบื้องตน (ปรัชญา
๑๐๑). กรงุ เทพฯ : สํานักพมิ พโ อเดียนสโตร, ๒๕๒๙.
วิโรจ นาคชาตรี, รศ., และคณะ. ปรัชญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร
มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง, ๒๕๒๒.
สดใส โพธิวงศ. ปรัชญาเบอ้ื งตน. ขอนแกน : มหาวิทยาลัยขอนแกน , ๒๕๓๔.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ผูชวยศาสตราจารย. ปรัชญาเบอื้ งตน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง,
๒๕๒๔.
William S. Sahakian. Outline History of Western Contemporary Philosophy (ปรัชญา
ตะวนั ตก ยุครว มสมัย). เรยี บเรียงโดย ดร.บณุ ย นลิ เกษ. เชียงใหม : ภาควิชา มนุษยสัมพันธ
คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั เชยี งใหม, ๒๕๒๑.
บทท่ี ๖
ญาณวทิ ยา หรอื ทฤษฏีความรู
ความนํา
ญาณวิทยาเปนสาขาท่ีสําคัญที่สุดสาขาหนึ่งของปรัชญา เปนสาขาที่คนควาถึง ตนกําเนิด
โครงสราง วิธีการ และความสมเหตุสมผลของความรู ในภาษาอังกฤษใชคาํ วา Epistemology ซ่ึงมี
รากศัพทม าจากคําวา episteme ซึ่งแปลวา ความรู (knowledge) กับ logos ซึ่งแปลวา ทฤษฎี
(theory) ดังนั้น ในภาษาไทยจะเรยี กญาณวิทยาวา ทฤษฎีความรูก็ได และในภาษาอังกฤษจะใชคําวา
theory of knowledge แทน Epistemology กไ็ ด๑
ขอบเขตของญาณวิทยา
จะพิจารณาวา ญาณวทิ ยามีความสัมพันธกบั ศาสตรอื่น ๆ ทีม่ ีความเกีย่ วขอ งอยางไร ศาสตร
ที่เกีย่ วขอ งกับญาณวทิ ยามีอยู ๓ ศาสตรดวยกัน คือ อภิปรัชญา (metaphysics) ตรรกวิทยา (logic)
และจิตวทิ ยา (psychology)
๑. ญาณวิทยา กบั อภปิ รัชญา
โดยท่ัวไปถือวา อภิปรัชญากับญาณวิทยาเปน ๒ สาขาของปรัชญาคูเคยี งกันโดยอภิปรัชญา
น้ันเปนการคนควาถึงธรรมชาตขิ องความแทจริงสุดทาย สวนญาณวิทยาเปนการคนควาถึงธรรมชาติ
ของความรู ตอปญหาท่ีวาระหวางญาณวิทยา กับอภิปรัชญาน้ี อะไรควรจะสําคัญกวากันก็มีการ
ถกเถียงกนั มาก นกั ปรัชญาบางกลุมเหน็ วา ญาณวิทยาตองมากอ น เพราะการตรวจสอบถึงความเปนไป
ไดแ ละขอบเขตของความรูน้ันเปนสิ่งสําคัญอันเปนพืน้ ฐานในการแสวงหาและคนควา ถงึ ธรรมชาติของ
ความแทจรงิ สดุ ทายซ่ึงเปนเรื่องของอภิปรัชญา แตนักปรัชญาบางกลุมก็ไดเร่ิมตนปรัชญาของเขาดวย
อภิปรชั ญา และถอื วา ญาณวิทยาตองสอดคลองหรือคลอยตามอภปิ รัชญา ระหวาง ๒ กลุมน้ีมที ัศนะท่ี
เปนกลางคือ ยอมรับวา โดยเหตุผลแลว ญาณวทิ ยากบั อภปิ รัชญาตอ งขน้ึ อยูซง่ึ กันและกนั
๒. ญาณวิทยา กับ ตรรกวทิ ยา
ขอบเขตของทั้งสิงศาสตรน้ีสามารถกําหนดลงไดช ัดเจน คอื ญาณวิทยาศึกษาสภาพทั่ว ๆ ไป
ของความรูโดยกวาง ๆ เชน กาํ เนิดของความรู ความสมเหตุสมผล ขอบเขตและขอจํากัดของความรู
สวนตรรกวิทยาเปนศาสตรที่วาดวยรูปแบบของหลักการในการใหเหตุผลท่ีเหมาะสม หรือกลาวให
ชัดเจนก็คือ วาดวยกฎเกณฑในการใชเหตุผล ซ่ึงเปนการศึกษาท่ีเฉพาะเจาะจงลงไปมากกวา นัก
ปรัชญาสวนมากยอมรับวา ตรรกวิทยาเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูปรัชญา เพราะปรัชญาตองใช
๑ สดใส โพธิวงศ, ปรชั ญาเบอ้ื งตน , (ขอนแกน : มหาวทิ ยาลัยขอนแกน , ๒๕๓๔), หนา ๓๘.
๑๘๖
กฎเกณฑของเหตผุ ลอยูเสมอ ดงั นั้น ผูทจี่ ะศึกษาปรัชญาใหเขา ใจไดดี กค็ วรตอ งรูกฎเกณฑในการใช
เหตผุ ลเสียกอน
๓. ญาณวทิ ยา กบั จิตวิทยา
ความสาํ พนั ธระหวา ง ญาณวทิ ยา กับจิตวทิ ยาคอนขา งจะใกลชิด เพราะวาจิตวิทยาคนควาถึง
ขบวนการรูการเขาใจในเร่ืองการรับรู การจํา การจินตนาการ การสรางความคดิ รวบยอดและการใช
เหตุผล ซึง่ ก็เปนเนื้อหาเฉพาะของญาณวิทยาเชนกัน แตการอธิบายจะตางกันไป โดยเฉพาะทศั นะใน
เร่ืองขบวนการรูการเขาใจของจิต โดยการอธิบายของจิตวิทยาจะใชวิธีการวิทยาศาสตร คือเปนการ
อธิบายเก่ยี วกับขบวนการท่รี ูส กึ ตัวในเหตกุ ารณเฉพาะตาง ๆ ท่ีสํานึกรู หรือ เปนการกระทําตาง ๆ ใน
การรับรู สวนญาณวทิ ยาจะสนใจในประเด็นทว่ี า สง่ิ ทีเ่ รารับรูนั้นอางถงึ สิง่ ใดหรือบงช้ถี งึ อะไร เชน การ
ปรากฏของความรูทพ่ี าดพิงถึงโลกภายนอก โดยสรุปกค็ ือ จิตวิทยาจะตรวจสอบถึงสภาวะจิตทุกอยาง
รวมทง้ั การรูการเขาใจในขอบเขตของชีวิตทางจิต แตญาณวิทยาจะตรวจสอบเฉพาะสภาวะตาง ๆ ที่
เปนการรเู ทา นัน้
ปญ หาทางญาณวทิ ยา
ปญ หาทางญาณวิทยานนั้ มหี ลายปญ หาทีเดียว ซ่ึงคาํ ตอบตอปญหาเหลานจี้ ะใหความกระจาง
ตอ เรื่องของธรรมชาตแิ ละขอบเขตของการคน ควา ทางญาณวิทยาปญ หาเหลา นก้ี ค็ ือ
- ปญหาวา คนเราสามารถจะไดรบั ความรทู ่แี ทจริงไดห รอื ไม
- ปญ หาวา คนเราสามารถรไู ดใ นขอบเขตใดบาง
- ปญหาวา คนเราไดร ับความรูม าโดยทางใด หรือปญหาเรอื่ งบอ เกดิ ของความรู
- ปญหาวา ส่งิ ที่เรารูคืออะไร ซง่ึ อันนีเ้ ปนปญหาเรอื่ งธรรมชาตขิ องความรู
- ปญ หาวา คนเราจะมคี วามรทู ไี่ มต องอาศยั ประสบการณไ ดห รือไม
- ปญหาเรื่องความสมเหตุสมผลของความรู
เน่ืองจากหนังสอื น้ีมีจดุ มุงหมายเพือ่ จะใชเ ปนตาํ ราในวชิ าปรัชญาเบ้อื งตน เทาน้ัน จึงไมอาจจะ
ศกึ ษาถึงปญหาท้ังหมดได ในทน่ี ้ีจึงไดนําปญหาเพียง ๒ เรื่องเทานั้นมาศึกษาโดยละเอียดคือ ปญหา
เรือ่ งบอเกดิ ของความรู อันเปน ปญ หาเกาแกแ ละคอ นขางจะเปนพื้นฐานที่สดุ กบั ปญหาเรื่องธรรมชาติ
ของความรู ปญ หา ๒ เร่อื งนส้ี ามารถจะทําความเขาใจไดโดยงายเพราะไมลึกซง้ึ มากนัก
๑๘๗
๑. ปญ หาเร่ืองบอ เกดิ ของความรู
สําหรับปญหาเร่ืองบอเกิดของความรูนี้ก็คือ ปญหาที่วามนุษยเราเกิดมีความรูข้ึนมาได
อยางไร? ถาลองพจิ ารณาถงึ ความรูทีม่ นษุ ยม ีอยนู ้ัน กจ็ ะพบวามนุษยมคี วามรูใน ๒ ระดับ คือ ระดับที่
เปนรปู ธรรม และระดบั ทีเ่ ปนนามธรรม ระดบั รูปธรรม ไดแก ความรใู นวัตถุ และคุณสมบัติตาง ๆ ของ
วัตถุตลอดจนเหตุการณท้ังหลาย ซ่ึงเปนระดับของขอเท็จจริงนั่นเอง สวนระดับนามธรรม ก็เชน
ความรูในแบบบริสุทธิ์ของคณิตศาสตร ตรรกวิทยา และความรูในเร่ืองจริยธรรม เปนตน ซึ่งเปน
ความรูระดบั สูงขึน้ มาจากขอ เทจ็ จริงธรรมดาเพราะเปนความรใู นหลกั การทว่ั ไปซง่ึ เปนสากล การไดมา
ซ่ึงความรูในระดับรูปธรรมดาเพราะเปนความรูในหลักการทวั่ ไป ซ่ึงเปนสากล การไดมาซึ่งความรูใน
ระดับรูปธรรมหรือขอเท็จจริงนั้นก็ตองอาศัยการสังเกตและการรับรูทางประสาทสัมผัส สวนในการ
ไดมาซง่ึ ความรูในระดับนามธรรมซ่ึงเปนหลักการทั่วไปน้ัน กต็ องอาศยั การใชความคิด หรือสตปิ ญญา
ของมนุษย ดังนี้ จะเห็นไดว าในการแสวงหาความรูของคนเราน้ัน จะเก่ียวขอ งกับปจจัยสองอยาง คือ
ความสามารถในการสังเกตและรับรู กบั ความสามารถทางความคิดของมนุษย จึงเกิดปญหาระหวาง
สองปจจัยนี้วา ส่ิงใดที่เปนปจจัยพืน้ ฐานในอนั ที่จะชวยใหความรูไดอบุ ัติข้ึนเริ่มแรกในตัวมนุษย หรือ
กลาวใหชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือวา จิตของคนเราน้ันมีความสามารถอยูกอน หรือมีความรูแฝงฝงอยูแลว
กอ นทเี่ ขาจะไดร ับความรมู าจากการสังเกตและการรับรูหรอื เปลา หรือวาจิตของคนเราเริ่มจะทําหนาท่ี
รูแ ละคิดภายหลังจากทไี่ ดร บั ความรูม าจากการรบั รทู างประสาทสัมผัส ตอ ปญหาดังกลาวไดมีนักคิด ๒
กลุม ไดใหแนวความคิดเอาไวตางกัน กลุมหนึ่งยํ้าความสําคัญของความคิดวาเปนปจจัยพนื้ ฐานของ
ความรู กลุมน้ีมีช่ือเรียกวา นักเหตุผลนิยม (Rationalist) อีกกลุมหนึ่ง ยืนยันความสําคัญของการ
สงั เกตและรบั รู หรือเรยี กวา นกั ประจักษนิยม หรอื ประสบการณน ิยม (Empiricist) อยางไรก็ตาม นัก
เหตุผลนิยมสวนใหญก ็ยอมรับบทบาทและหนาทีบ่ างอยางของประสบการณ ขณะท่ีนักประจักษนิยม
สวนมากก็ไมป ฏิเสธวา เหตุผลหรอื ความคดิ เปนสวนประกอบอนั หนึ่งของความรูเ ชนกนั ๒
ตอไปนีม้ าพจิ ารณาถึงแนวความคดิ ท่ีสําคญั ของท้งั สองกลมุ
๑.๑ ลัทธิเหตผุ ลนิยม (Rationalism)
นักปรัชญาเหตุผลนิยมท่ีสําคัญ เชน เพลโต ซ่ึงเปนนักปรัชญายุคกรีกโบราณ, เดการต
(Descartes) สปโ นซา (Spinoza) และไลบนิซ (Leibriz) ทัง้ ๓ ทานนีจ้ ดั เปนนกั ปรัชญาในยุคใหม๓
๒ พระพทิ ักษณิ คณาธิกร, ปรัชญา, (กรงุ เทพฯ : สาํ นักพมิ พด วงแกว, ๒๕๔๔), หนา ๕๐.
๓ บุญมี แทนแกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธิ์กลางดอน, ปรัชญาเบ้ืองตน (ปรัชญา
๑๐๑), (กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พโอเดียนสโตร, ๒๕๒๙), หนา ๑๐๘.
๑๘๘
๑. ความเชือ่ รว มกนั ของนักเหตผุ ลนิยม
หัวขอนก้ี ค็ อื เร่ืองของลกั ษณะทว่ั ไปของลัทธเิ หตผุ ลนยิ มน่ันเอง นักเหตุผลนิยมแตละคนยอมมี
ความคิดของตนเอง ซ่ึงแตกตางกันไปในรายละเอียดปลีกยอย แตโดยสวนรวมแลว ก็มีความเช่ือใน
หลกั การบางอยางรวมกนั คือ๔
๑) เชื่อในความรู “กอ นประสบการณ” (“A priori” knowledge)
ความรู “กอ นประสบการณ” หมายถงึ ความรูท่คี นเรามีไดเอง โดยไมตอ งอาศัยประสบการณ
ชาวเหตุผลนิยมถือวา จิตของมนุษยมีความสามารถท่ีจะรูในความจริงท้ังหลายในจักรวาล ซ่ึงการ
สงั เกตและรับรทู างประสาทสัมผัสไมอาจใหแ กเราไดความจริงเหลาน้ันเปนความจริงชนิดที่จําตองเปน
(necessary truth) เปน ความจริงท่ไี มม ีวนั ผดิ พลาดได ตวั อยางเชน ขอความวา “ส่ิงหน่ึงไมอ าจจะอยู
ในสถานที่สองแหงในเวลาเดียวกันได” หรือ “เหตุการณทุกเหตุการณท่ีเกิดขึ้นยอมมีสาเหตุ” หรือ
“เสนตรงท่ีขนานกันจะไมมีวันมาบรรจบกันได” หรือ “สองบวกสองตองเทากับส่ี” ขอความเหลานี้
เปนขอ ความชนิดที่ตองจริงตลอดไปโดยที่ไมตองพสิ ูจนกันอีก ซง่ึ ตรงขามกันกับขอความอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่งเปนขอความที่อาจจะเปนจริงก็ได เพราะมันเปนความจริงในชนิดที่เปลี่ยนแปลงได (contingent
truth) ตวั อยา งเชน “ในหอ งเรยี นน้มี ีนกั ศึกษาอยู ๖ คน” หรือ “สุนัขบางตัวมีสีขาวทัง้ ตัว” ความจริง
ของขอความประเภทนี้จะไมแนนอนตายตวั เสมอไป เพราะข้ึนอยกู บั เหตุการณทจ่ี ะเกิดข้ึนจึงเปนความ
จริงชว่ั คราวเทา น้ัน
ถา จะถามวา อะไรทําใหค วามจริงชนิดจําตองเปนมคี วามแนนอนตายตวั เสมอไป คาํ ตอบกค็ ือ
เพราะวาความจริงเหลา นเ้ี ปน ส่งิ ทรี่ ูไ ดโ ดยไมตอ งมปี ระสบการณม ายืนยัน แตเปนสิ่งท่ีรูไดโดย “อชั ฌตั
ติกญาณ” (intuition) เรยี กวา เปน ความรู “กอ นประสบการณ” มันจะเปนจริงในทุก ๆ กรณี ไมวาจะ
เปนวันน้ี พรุงน้ีหรือ กี่ลานปก็ตาม เชน ถาหากขณะนี้ศรีอยูในกรุงเทพ เราก็ไมจําเปนตองไป
ตรวจสอบวาเขาจะอยูท่ีโคราชดวยหรือไม ตรงกันขามกับความจริงชนิดเปลี่ยนแปลงได ตองมี
ประสบการณเกิดข้ึนกอนจึงจะยืนยันขอความนั้นวาจริง และไมอาจแนใจไดว ามันจะเปนอยางน้ันได
รอยเปอรเซ็นต เชน ขณะน้ีในหองเรียนมีนักศึกษาอยู ๖ คนจริงแต ๕ นาทีตอมา ก็อาจมีเพิ่มเปน ๗
คน เพราะมคี นท่เี พิ่งเดนิ ทางมาถึง ดงั นั้น ความจริงชนิดหลังน้ีเราตอ งรู “ภายหลังประสบการณ” (a
posteriori) ซึ่งประสบการณเ พียงแตแ สดงออกถึงความรูช นดิ น้ี แตไ มไดพสิ ูจนวามันตองเปนจริงเสมอ
ไป
๔ วโิ รจ นาคชาตรี, รศ., ปรัชญาเบ้ืองตน, (กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง, ๒๕๕๒), หนา ๑๒๘-
๑๓๑.
๑๘๙
โดยสรุปก็คือ นักเหตผุ ลนิยมเชื่อวามีความรู “กอ นประสบการณ” ซ่งึ เปนความจริงที่จําตอง
เปน คือ ตองจริงในทุกท่ีและทุกเวลา โดยไมตองมีส่ิงใดมายืนยันและจิตของมนุษยก็สามารถรูความ
จรงิ ชนดิ น้ีไดโ ดยอชั ฌัตตกิ ญาณ
๒) ยอมรับการคดิ หาเหตุผลแบบนิรนยั (Deduction)
พวกเหตุผลนิยมถือวา ความรูเปนระบบของความจริงทตี่ ั้งอยูบนพน้ื ฐานอันมั่นคง พื้นฐานน้ี
ประกอบดวยหลักการอันแรกหลาย ๆ หลักการ ซึง่ กค็ ือ ความรู “กอ นประสบการณ” ทก่ี ลาวมาแลว
น่ันเอง จากหลักการแรกทงั้ หลาย เราสามารถจะรูในความจริงอื่น ๆ ออกไปไดอยางไมจํากดั วิธีการ
นิรนัยคือ การพิสูจนความเช่ือใด ๆ โดยอาศัยความจริงพื้นฐานท่ีมีอยูกอน หรือที่ยอมรับท่ัวไปเปน
หลัก คือ ถา เรามีความรูในส่ิงใดสงิ่ หน่ึงอยูกอน เราก็ใชค วามคดิ สืบสาวจากความรูน้ันไปเพ่ือท่จี ะรูใน
สิง่ อื่น ตัวอยา งเชน
โลหะทกุ ชนดิ เปนสอ่ื ไฟฟาได
ทองแดงเปน โลหะชนิดหน่งึ
ดงั น้นั ทองแดงเปนสอื่ ไฟฟาได
สองขอความแรก คือสวนท่ีเปนขออาง (premise) ซ่ึงเปนสวนที่เรารูวาจริงสวนขอความ
สุดทาย คือสวนทีเ่ ปนขอสรปุ (conclusion) ซ่ึงเปนความจริงท่ีเราดึงหรือโยงมาจากขอ อาง จะเห็นวา
ในวิธีการนิรนัยนั้น ขอสรุปตองไดมาจากขออาง ถาหากวาขออางเปนจริง ขอสรุปก็ตองจริงดวย
คณิตศาสตรและเราขาคณิตก็ใชวิธีการนิรนัยแสวงหาความจริงโดยไมอาศยั การพสิ ูจนหรือยืนยันจาก
ประสบการณ แตอาศัยการใชความคิดหรือปญญา จะเห็นวาเวลาที่เราคิดหาคําตอบจากโจทยเลข
คณิตนั้น เราอาศัยการคิดตามเหตุผลกจ็ ะไดคําตอบที่ถกู ตอ งออกมา ถา หากเราคิดอยางถูกวิธี โดยที่
เราไมตองไปสังเกตจากเหตุการณใด ๆ เลย เรขาคณิตก็เชนกัน เราสามารถพิสูจนทฤษฎีบทตาง ๆ
โดยเริ่มตนจากส่ิงท่ีเห็นจริงแลว (axiom) ทชี่ ัดเจน และไมซ ับซอนแลวก็ใชส่ิงน้ีพิสูจนทฤษฎีบทอื่น ๆ
ไปทีละข้นั ก็จะไดความจรงิ ใหมที่สลบั ซบั ซอนข้ึนไปตามลาํ ดบั
๓) สถานะของประสบการณทางผัสสะ (sense experience) ในทัศนะของพวกเหตุผล
นิยม
พวกเหตผุ ลนิยมไมไดป ฏิเสธวา สิ่งท่ีประสาทสัมผัสรายงานแกเราน้ันไมจริงหรือไมใ ชความรู
แตถ อื วาความรจู ากประสาทสมั ผสั ไมอาจใหความจริงท่ีคงตวั เชน ปกติน้ําออ ยทเ่ี ราดืม่ เปนประจํามีรส
หวานหอม แตมีครั้งหนึ่งท่ีเราเผอิญรับประทานขนมทองหยิบกอน แลวมาดื่มนํ้าออยก็ปรากฏวา
น้ําออ ยไมห วานเลย และบางคร้ังประสาทสัมผัสกห็ ลอกลวง เชน ถาเรามองตามรางรถไฟท่ีทอดยาว
สุดตาจะเห็นวาปลายของรางบรรจบกันทง้ั ท่ีในความเปนจริงรางรถไฟไมไ ดพบกนั เลย แตขนานกันไป
ตลอด หากเราเช่ือตามที่ตาเราเหน็ เราก็ผิด ดงั นน้ั สาํ หรบั เหตผุ ลนิยมแลว ความรูท่แี ทจริงยอ มจะไมใ ช
๑๙๐
ไดมาจากประสาทสัมผัส แตความรูท่ีแทจริงตองไดจากความคิดหรือ เหตุผลซ่ึงเปนกิจกรรมในทาง
ปญญา การที่เราไมเชอื่ ตามท่ตี าเหน็ วา รางรถไฟบรรจบกนั กเ็ พราะเราตระหนักดีในความจริงวา “เสน
ขนานยอมจะไมมีวันบรรจบกัน” ขอความนี้เปนจริงอยางจําตองเปน และไมมีประสบการณใดมา
ยืนยนั เราอาศยั การใชความคิดวา เมอื่ รางรถไฟเปนเสนขนานแลวมันกย็ อมจะอยูในขายทีเ่ ปนไปตาม
ความจริงน้ัน คือ ไมสามารถบรรจบกัน ฉะนั้นถาคนเราใชปญญาคิดไตรตรองตามหลักเหตุผลก็จะ
สามารถพบความจรงิ ได
ควรกลาวไวดวยวา มีนักเหตุผลนิยมจํานวนไมนอยยอมรับวาประสบการณทางผัสสะเปน
จุดเร่ิมตน ของความรูในแงท่ีวา เราเร่ิมท่ีจะรูสุกตัวจริง ๆ ก็เมื่อเราเริ่มท่ีจะใชประสาทสัมผัสของเรา
แตมันก็เปนเพียงสิ่งท่ีมาจุดประกายใหสติปญญาเริ่มทํางานเทาน้ัน นั่นก็คือวา ความรูมิใชเริ่มเกิด
ข้ึนมาจากประสบการณ แตประสบการณเปนส่ิงเราอันแรกของความรูเทาน้ันเอง มิไดมีความสําคัญ
มากมายเหมอื นปญญา ดังในขอเขยี นของนกั เหตผุ ลนิยมคนหนงึ่ ชอื่ สปโนซา (Spinoza)
โดยพลังทม่ี โี ดยธรรมชาติ ปญญาไดใ ชต วั เองเปนเครื่องมอื แสวงหาความเฉลยี วฉลาด ซึง่ ทาํ ให
ไดมาซงึ่ พลังความสามารถท่ีจะใชดําเนินกจิ กรรมทางความคดิ อ่ืน ๆ ขณะเดยี วกันก็ไดมาซึ่ง
เคร่ืองมือใหม ๆ หรือความสามารถที่จะแสวงหาตอ ไป ดังนั้น ปญญาจะกาวหนาไปเรื่อย ๆ
จนกระท่งั ถึงยอดสุดของความรอบรู
นักศึกษาไดทราบถงึ ลักษณะทั่วไปของลัทธิเหตุผลนิยมมาแลว ตอนี้ไปจะกลาวถึงทัศนะของ
นักปรัชญาในลทั ธิน้ีเพ่อื เปน ตัวอยา งใหม คี วามเขาใจในแนวความคดิ ของลัทธนิ ้ีมากย่งิ ขึ้น
๒. นักปรัชญาเหตุผลนยิ มคนสําคัญ : เดการต (๑๕๙๖ – ๑๖๕๐)
นกั ปรัชญาทีย่ ึดถือวาเหตุผลเปนแหลงที่มาของความรูคนเดน ๆ นั้นมอี ยูหลายคนดว ยกัน ดัง
ไดกลาวแลว แตในทนี่ ี้จะขอนํามากลาวเพยี งคนเดียวคอื เดการต เดการตเปนนักปรัชญาชาวฝร่ังเศส
เปนผูท่ีไดฟนฟูแนวคิดเหตุผลนิยมขึ้นมาอยางจริงจัง ในศตวรรษท่ี ๑๗ ดวยการท่ีเขาเปนนัก
คณิตศาสตร เขาจึงพยายามทจ่ี ะทําความรูของคนเราใหเปนระบบชัดเจนในรูปแบบเรขาคณิต น่ันคือ
เขาไดนําวิธีการของเรขาคณิตมาใชในความคิดทางปรัชญาของเขา เรขาคณิตน้ันจะมีจุดเร่ิมตนจาก
“สง่ิ ท่ีเหน็ จริงแลว” (axioms) ที่เปนจริงอยางแจมแจงและชัดเจนจนไมอาจจะมีขอสงสัยได และสิ่งน้ี
เองท่ีจะเปนขอสมมติฐานในการพิสูจนถึงความจริงอ่ืน ๆ ตอไป ดวยเหตนุ ี้เขาจึงคิดวาสําหรับความรู
ของมนุษยน ั้น มสี ่งิ ใดบางหรือไมทเี่ ปน จริงในทํานองเดยี วกนั น้ี เพื่อทจี่ ะไดน ํามาเปนหลักในการพสิ ูจน
ความรูอ่ืนตอไป
๑) เดการตไดเสนอวิธีการของเขา ซ่งึ มีหลักอยู ๔ ขอ ดวยกัน ประการที่หนึ่งจะไมย อมรับสิ่ง
ใดก็ตามวาเปนจริงถาหากวาเรายังไมมีความรูเกี่ยวกับมันอยางชัดเจนและแจมแจง ประการท่ีสอง
ตองนําวธิ กี ารวเิ คราะหปญหามาใช ประการที่สาม การวิเคราะหตอ งเร่ิมตนจากความคดิ เบ้ืองตน ท่ีไม
๑๙๑
ซับซอน แตมีความแนนอน และขยายไปสูความคิดที่ซบั ซอนมากขึ้น ประการสุดทาย ตอ งตรวจดทู ุก
สงิ่ อยา งถ่ถี ว ยโดยไมมกี ารยกเวน
๒) เดการตจงึ เริ่มตนดว ยการมีความสงสัยในทกุ ๆ ส่ิง คอื ไมเช่ือในสิ่งใดเลย เพราะวาบางส่ิง
ที่เราเชื่อวาจริงก็อาจจะไมจริงได หรือสิ่งที่เราคิดวาไมจริงก็อาจจริงได มีบอยคร้ังที่ประสบการณ
หลอกลวงเราทําใหเราเขา ใจผิด ดงั นัน้ อะไรที่เปดโอกาสใหสงสัยไดก็จะสงสยั กอนวา มนั ไมจริง จนกวา
จะพบจดุ ทเี่ ราไมอ าจมคี วามสงสยั ได
๓) ในทสี่ ุดมสี ิ่งหนึ่งที่เราสงสัยไมได และการยนื ยนั วาสง่ิ นจ้ี ริงกไ็ มผิดนั้นคือขอความที่วา “ฉนั
คิด ดังน้นั ฉนั จึงมีอยู” (I think, therefore I exist) เพราะวาการสงสัยเปนการคดิ อยางหน่ึง ในขณะ
ทเี่ ราสงสัย ก็คือการท่เี ราคิดน่ันเอง การคดิ ก็ตองมีผูคิด ดงั น้ันเราไมอ าจสงสัยการมีอยูของตัวเองใน
ฐานะเปนผูคิดได เปนอันวา เดการตพบวาสิ่งที่เปนความจริงอยางชัดเจนและแจมแจงก็คือ “ฉันคิด
ดงั น้ัน ฉนั จงึ มอี ย”ู นี่เปนหลักปรชั ญาขอแรกของเขา
๔) การยอมรับความจริงของขอความนี้ ก็คือการยืนยันวามีจิต หรือสิ่งแทจริงท่ีรูคิดได
(thinking substance) เดการตกลาวถงึ ความเปนมนุษยวา ประกอบดว ยกาย (body) กับวิญญาณ
(soul) ซึง่ สองอยา งนีม้ คี วามแตกตางกันทีว่ า กายนัน้ ไมอ าจเคล่ือนไหวไดดวยตวั เอง ไมอาจสรางความ
เปล่ียนแปลงใด ๆ ได แตกายตองเปนตัวรองรับการกระทําหรือความเปล่ียนแปลง สวนวิญญาณเปน
ตัวทาํ ใหกายมกี ารเคลอ่ื นไหวเปล่ียนแปลงเปนตวั รับรูสิง่ ตา ง ๆ และท่ีสําคัญคือเปนตัวคิด คาํ วา “คิด”
มีความหมายกวาง คอื หมายถงึ การสงสยั ยืนยนั ปฏิเสธ และตง้ั ใจ วิญญาณในฐานะเปน ตัวทําใหกาย
เคลอ่ื นไหวและเปน ตัวรบั รูนน้ั ตองอาศยั รางกายคอื ตอ งมรี างกาย วิญญาณ จึงจะทําหนาที่สองอยางนี้
ได และบางครงั้ การรับรโู ดยอาศัยรา งกาย คอื ประสาทสัมผสั ทั้งหลายน้ัน กอ็ าจหลอกเราได แตในการ
คิดนั้น ไมตองอาศยั รา งกายเลย การคิดเปนคณุ สมบัตปิ ระจาํ ตวั ของวิญญาณ ฉะนั้น เราตองยอมรับวา
มนุษยม ีตวั ตนอยูใ นฐานะเปน ส่ิงท่ีคิด
๕) เดการต เช่อื วา คนเรามี “ความคดิ ท่ีมีมาแตกําเนิด” (innate ideas) ซ่ึงเปนความคิดหรือ
ความรูที่ทุกคนมีเหมอื นกันโดยธรรมชาติ มีอยูกอนท่ีจะมีการรับรูจากประสบการณ โดยทั่วไปในจิต
ของคนเราจะมีความคิดหรือความรูท่ีไดจากประสบการณ เชน ความคิดเก่ียวกับวัตถุตาง ๆ และ
เหตกุ ารณทั้งหลาย นอกจากนี้ ก็ยังมีความคิดทจ่ี ิตจินตนาการข้นึ เอง ซึง่ ความคิดทัง้ สองประเภทนี้ไม
แนนอนชัดเจนเสมอไปแตความคิดที่เรียกวา “ความคิดท่ีมีมาแตกําเนิด” น้ัน ไมไดมาจาก
ประสบการณและไมไดมาจากจินตนาการของจิตคน แตก็เปนความคิดที่ชัดเจนและแจมแจง เชน
ความคิดเกี่ยวกับส่ิงในเรขาคณิต เชน ความคิดเร่ืองวงกลม สามเหลี่ยม และอีกสิ่งหนึ่งที่สําคัญคือ
ความคิดเกี่ยวกับพระเจา หรือส่ิงสมบูรณ ความคิดดังกลาวน้ีไมเคยปรากฏในประสบการณ ไมมี
วงกลมใดท่ีเราพบในประสบการณจะกลมโดยสมบูรณ แตวงกลมที่เราคิดนั้นกลมอยางสมบูรณ ใน
เรื่องเกี่ยวกับพระเจาก็เชนกัน คนเราไมมีความบกพรอง, มีชีวิตอยูเพียงในชวงเวลาหน่ึงเทาน้ัน แต