๔๒
คือความสัมพนั ธระหวาง ญาณวิทยา กับ อภิปรัชญา ญาณวิทยา เปน ทฤษฎีวา ดวยความรู แต อภิปรัชญา
หรอื ภาววทิ ยา เปน ทฤษฎที ่ีวาดว ยสิ่งทมี่ ีจรงิ
อภิปรชั ญา จะตองใช ญาณวิทยา เปนเคร่ืองมือ คอื ญาณวิทยา จะตองมากอน อภิปรชั ญา เราไม
สามารถท่จี ะคน ควา ถึงธรรมชาตทิ ่ีเปน จริงหรือเปน ปรมัตถได นอกจากวามวี ิธีที่จะหย่ังรูหรือมีวิธีท่จี ะพิสจู น
วา ความรูเปนส่งิ ท่ีเปนไปได หากยอมรับวา สัจธรรมหรือสิ่งทีม่ ีอยูจรงิ รูไมได หรือวาความรูเปน ไปไมได ถา
ถือวาจะไดประโยชนจากการศึกษาคนควาธรรมชาตขิ องสง่ิ ที่มีอยจู ริง ญาณวิทยายอมเปนพ้ืนฐาน หรือมูล
รากท่ีทาํ ใหเกดิ ปรชั ญาน้ัน
เริม่ แรกนักปรัชญากต็ ้งั ขอ สมมติฐานขึ้นวา สจั ธรรม มอี ยจู ริง แลวก็พยายามที่จะประมวล ทุกสงิ่
ทกุ อยางในสากลจักรวาลวา เปน สจั ธรรม โดยปราศจากการคนควาเขาไปถึงปญหาทวี่ า สามารถที่จะรูมันได
หรือไม แตก ็เปน การเชอื่ ถอื กันมาชนดิ ฝง หัว ถงึ แมวา ญาณวิทยา เปนส่งิ ท่ีจําเปน เรยี กวา เปนบันไดขัน้ แรก
ท่ีนําไปสูวิทยาศาสตร และเปนพื้นฐานของวิทยาศาสตร ดัง จอหน ลอค นักปรัชญาประจักษนิยมชาว
อังกฤษไดกลาวไว แตหากวามีเฉพาะ ญาณวิทยาเทาน้ัน ปรัชญาก็ไมสมบูรณ ความจริง ญาณวิทยา กับ
อภปิ รัชญา มีความสัมพันธก ันอยางใกลชิด ส่ิงหนง่ึ ไมสามารถที่จะคงอยูหากปราศจากส่งิ หนงึ่
ทฤษฎวี า ดวยความรนู ําไปสคู วามรสู ่งิ ตางๆ ทฤษฎแี ตละทฤษฎีก็ชว ยใหเขาใจเฉพาะสิ่ง ความรูชว ย
ใหเขา ใจ สัจธรรม สจั ธรรม ไมสามารถท่ีจะรูได นอกจากจะรูวิธีทีท่ ําใหมันมีความสัมพันธก ับความรู ปญ หา
เกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละความถูกตองของความรู และปญหาที่เก่ียวกับธรรมชาตอิ ันเปน อนั ตมิ ะ ความจริงมันก็เปน
วิธีการทอ่ี ธบิ ายส่ิงเดยี วกัน ถึงแมจะแยกออกเปน ญาณวิทยา กับ อภปิ รัชญา ก็เพ่ือชว ยใหมนุษยเ ราเขาใจ
ส่ิงทั้งหลายตามความเปนจริงอยางมีวธิ ีการ๗
๑๑. ปรชั ญากบั เทววทิ ยา
อภิปรัชญา ศึกษาเก่ียวกับส่ิงท่ีมีอยูจริง หากศึกษาเก่ียวกับพระผูเปนเจาเรียกกันวา เทววิทยา
ดงั น้ัน เทววิทยา เทากับศาลวาดวย พระผเู ปน เจา ซึง่ ถือวา เปน สวนหนึ่งของปรัชญาเม่ือนกั ปรัชญายอมรับ
วา มพี ระผูเปนเจา เทววิทยา ชวยใหเขาใจเกี่ยวกับพระผูเปนเจา และความสัมพันธข องพระผูเปนเจา ที่มีตอ
มนษุ ยแ ละโลก ทก่ี ลาวถึงนีเ้ ปนเทววิทยาตามธรรมชาติ เพราะวาไดศึกษาคน ควาถึงสิ่งท่ีมอี ยูตามธรรมชาติ
โดยศึกษาจากความเปนอยูของมนุษย และจากโลกที่มนุษยอาศัยอยู ซึ่งถือวาเปนปรากฏการณที่เกิดขึ้น
จากพระองค เรียกไดวาเปน เทววิทยา ท่ใี ชเหตุผล เพราะวา เทววิทยา ตัวน้ใี ชเหตุผลในการศึกษาคนควา
ไมใ ชจะเช่ืออยางงมงาย
๗ พระพทิ กั ษิณคณาธิกร, ปรัชญา, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพดวงแกว , ๒๕๔๔), หนา ๒๓-๒๕.
๔๓
แตคาํ วา เทววทิ ยา ท่ีใชก ันในบางศาสนา หมายถงึ เทววทิ ยา ที่เปนเทวโองการ หรือเทววิทยา ที่
พระผูเปน เจา ไดบ ันดาลใหม นุษยไ ดรับรู หรอื เรียกวา ศาสดาพยากรณ เปน สอื่ ทีจ่ ะนําคําสอนมาจาก พระผู
เปนเจา เชน ศาสนาฮินดู มีเทววิทยา คริสเตียน ก็มีเทววิทยา และศาสนาอ่ืนๆ ที่ยอมรับวามีพระผูเปนเจา ก็
เชน เดยี วกัน ถงึ แมวา เทววทิ ยา จะแบงออกเปน เทววทิ ยาโดยอาศัยเหตุผล และ เทวดาตามธรรมชาติ ก็ไม
มีความสัมพนั ธกับชีววิทยาที่เปน แบบเทวโองการ ถึงกระนนั้ ก็ตาม เทววิทยาแบบเหตุผลหรือแบบธรรมชาติจะตอง
ยอมรับเทววิทยาแบบหลัง คือ แบบที่พระผเู ปนเจาดลใจ การศึกษาชีววิทยาจะตองวิจารณทฤษฎตี างๆ หรือคํา
สอนตา งๆ ขอศาสนาทั้งหลายโดยอาศัยเหตผุ ล และโดยอาศยั การใชปญญาวิจัยเพ่ือใหเขาถึงปรมัตถสัจ ซึ่งเปน
วิธีการที่จะเขาถึงความจริงท่ีศาสนาทุกศาสนายอมรับกัน เพ่ือที่จะขจัดส่ิงท่ีถือวางมงาย ดังนั้น เทว
วิทยาธรรมชาติหรือเทววิทยาโดยอาศัยเหตุผลซึ่งถือวาเปนสาขาหนึ่งของปรัชญา ถือวาเปนความจรงิ อนั
เปนแกน ของศาสนาท้ังหลายที่นับถอื พระผูเ ปนเจา
๔๔
สรุปทา ยบท
ในปจจุบนั มศี าสตรแ ละวทิ ยาการตา งๆเกดิ ข้นึ มากมาย ดังนั้นแตละศาสตรมีเปาหมายและเนอื้ หาท่ี
แตกตา งกัน แตทวามนั ก็มีความสําพันธกัน สามารถนํามาใชประโยชนซ่ึงกันและกันได เชนวิชาจริยศาสตร
ไดน ําทฤษฏีบางอยา งของจติ วทิ ยามาอา งสนับสนนุ หลักการของตน
ความสัมพันธปรัชญากับศาสตรอื่น ๆ ถือวาเปนสิ่งที่เห็นไดชัดเจน ดังตัวอยางเชน ศาสตรแหง
จริยะที่ไดมีความสัมพันธทางจิตวิทยาเชิงปรัชญาเพราะวาในวิชาจริยศาสตรไดพูดถึงสิ่งดีสิ่งช่ัว ส่ิงควร
กระทําหรือสิง่ ไมควรกระทํา ซ่ึงการจะไดค วามหมายท่ีลึกซ้ืงและเขาถงึ ปญหาของมัน ตองอาศัยการพินจิ พิ
จรณาและการคิดในเชิงปรัชญา และปรัชญาอิสลามเนนใหพิจรณาสัจธรรมของอัลกุรอาน เปนสิง่ ท่ีชวย
สง เสรมิ สตปิ ญ ญาในการศกึ ษาปรากฏการณทางธรรมชาติ และจากการท่ไี ดยอมรับปรัชญาทําใหปรัชญานั้น
ชวยสรางความสมบูรณในศาสตรอื่นๆ ทําใหมนุษยเรียนรูและคนควาสรรพส่ิงตางๆและความล้ีลับของ
ธรรมชาติ จนทําเกิดทฤษฎีตางๆและศาสตรแขนงตางๆข้ึนในเวลาตอมา ดังน้ันปรัชญาถือวาเปนศาสตร
หน่งึ ท่ีมีความสมั พันธกับศาสตรอ ่ืนๆ
ความสัมพันธข องปรัชญากับวิทยาศาสตร ศาสนาและความเชื่อ
ธรรมชาตแิ ละปญ หาเรื่องความสัมพนั ธ
กําเนดิ และพฒั นาการของการแสวงหาความจรงิ ของมนษุ ย เราสามารถแบงเปน ศาสตรสําคัญ ๆ ได
๓ สาย ไดแ ก ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตรแขนงตาง ๆ โดยมหี ลกั การเกย่ี วกบั แตละศาสตรวา
๑. แมวา แตละศาสตรตา งมีเปาหมายเหมือนกัน คือ การแสวงหาความจริง แตเปน การมุงสูความ
จริง ในมิติที่ตางกัน (ปรัชญาเนนดานคุณคา/ความหมายของความจริง ศาสนาเนน ความจริงเพื่อมุงสูความ
รอดพน วิทยาศาสตรเ นนความจริงดา นปริมาณ /คุณลกั ษณะ เพื่อการนาํ ไปใชใ นชวี ิตประจําวัน)
๒. แตล ะศาสตรจงึ มคี ําถามตอ ความจริงตามรูปแบบ/ธรรมชาติของตน กลาวคือ แตละศาสตรตาง
มีวิธีการ และมาตรการ มุงสคู วามจริงตามรูปแบบของตน กลาวคอื
๒.๑ ปรัชญา ใหความสําคัญตอ การเขาใจความจริง ดวยการใชเ หตุผล โดยมพี ื้นฐานวา
มนุษยม ีสติปญญา ท่ีสามารถเขา ใจความจรงิ
๒.๒ ศาสนา ใหความสําคัญตอการเผยแสดง/การหย่งั รู ทม่ี นุษยไดรับจากความเปนจริง
สูงสุด (ศาสนาแนวเทวนิยม) หรือการท่ีมนษุ ยบําเพ็ญตนจนบรรลถุ ึงความจริง (ศาสนาแนวอเทวนิยม) โดย
มีพนื้ ฐานบนความเช่ือศรทั ธาตอ ความเปนจริงสูงสุดหรอื ตอ คําสอน/วิธีการขององคศาสดา
๒.๓ วทิ ยาศาสตร ใหความสําคัญตอความจริงที่นาํ ไปใชเ ปนประโยชนตอชีวิตประจําวัน
เพอ่ื การควบคุมและทาํ นายผลท่ีจะเกิดขึ้น บนประสบการณระดับประสาทสมั ผสั ไดแ ก การกําหนดปญ หา
๔๕
การต้ังสมมติฐาน การรวบรวมขอมูล การแยกประเภทและการวิเคราะหขอมูล การประเมินผลและการ
นาํ ไปใช
๓. แตล ะศาสตรต า งยืนยันวาขอมูลที่ตนไดรับ เปนหนทางสูการบรรลถุ ึงความจรงิ อัน เปนความรูท่ี
ถูกตอ ง ตอบสนองธรรมชาติในศาสตรข องตน
๔. ปญหา มีการลว งล้ําการแสวงหาความจริงเกินมิติในกรอบของแตละศาสตร รวมถึงการนํา
วิธกี ารและมาตรการในศาสตรข องตนไปใชก ับศาสตรอ ื่น เชน ปรัชญาเหน็ วาศาสนา ไมคอยมีเหตมุ ีผล มีแต
ความเช่ือ ศาสนาเห็นวาปรัชญาเนนแตเหตุผล จะไดความจริงทั้งครบไดอยางไร วิทยาศาสตรเห็นวา
สามารถนํามาแทนที่ศาสนาและปรัชญาได เปน ตน
จึงตองมีการพิจารณาถึงความสัมพันธของศาสตรตาง ๆ วาเปนอยางไร แตละศาสตรควรมีทาที
อยางไร เพ่ือวา แตล ะศาสตรจะไดไ มนํามาซึ่งความสับสน ความขัดแยงในการแสวงหาความจริงของมนุษย
แตตรงกันขาม ใหแตละศาสตรมีสวนชวยเหลือเก้ือกูลเพ่ือตอบสนองความตองการแสวงหาความจริงของ
ชีวติ และความปรารถนาของมนุษยอยา งสมดุล
๔๖
เอกสารอา งอิงประจาํ บท
ทองหลอ วงษธ รรมา, รศ.,ดร. ปรชั ญาทัว่ ไป. กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพโ อเดยี นสโตร, ๒๕๔๙.
บญุ มี แทน แกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธ์ิกลางดอน. ปรัชญาเบื้องตน (ปรัชญา ๑๐๑).
กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พรนิ้ ติ้ง เฮาส, ๒๕๒๙.
พระพทิ ักษณิ คณาธิกร. ปรชั ญา. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพมิ พด วงแกว , ๒๕๔๔.
วทิ ย วศิ ทเวทย. ปรชั ญา. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๑๓.
ศรัณย วงศค าํ จนั ทร. ปรัชญาเบอ้ื งตน . กรงุ เทพฯ : อมรการพมิ พ, ม.ป.ป.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ผูชวยศาสตราจารย. ปรัชญาเบ้ืองตน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง,
๒๕๒๔.
อ อ น ไ ล น จ า ก http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/philosophy_currious.htm เ ม่ื อ วั น ที่ ๒ ๕
พฤศจกิ ายน ๒๕๓๙.
บทที่ ๓
ปรชั ญาตะวนั ออก
ความนํา
ปรัชญาตะวันออก หมายถงึ ระบบแหง แนวความคดิ หลักการและความรูตา ง ๆ ทางปรัชญา
ที่เกดิ ข้นึ ในซีกโลกตะวนั ออกทั้งหมด ซึง่ นักปรัชญาเมธเี ชื้อชาติในซกี โลกตะวันออกไดค ิดคนขน้ึ กอ ตงั้
ขน้ึ กอ กําเนิดข้ึน หรอื ต้ังสาํ นักขึ้น และระบบปรชั ญาตะวนั ออกนี้แบง ออกเปน ๒ สายดว ยกันคือ
๑. ปรัชญาอนิ เดยี
๒. ปรัชญาจนี
ปรัชญาท้ังสองสายน้ีปรัชญาอินเดียถือวาเปนสายใหญและสําคัญที่สุดเพราะมีอิทธิพลมาก
แพรขยายไปทั่วดินแดนของซีกโลกตะวันออกทั้งหมด แมกระทัง่ ในดินแดนของประเทศจีน และมี
อทิ ธิพล มีผลตอ การดาํ เนินชวี ิตของชาวจนี ควบคไู ปกบั ปรัชญาจีน
๔๘
๑. ปรชั ญาอนิ เดีย
ปรชั ญาอนิ เดยี หมายถงึ ปรชั ญาทุกสํานกั ทุกระบบทีเ่ กิดขึ้น เจริญข้ึนในอินเดยี ทง้ั หมด โดยมี
นักปรัชญาผูกอต้ังแนวคิด หรือศาสดา เปนชาวอินเดียท้ังในอดีตและปจจุบัน เชน ปรัชญาฮินดู อัน
ไดแก ปรัชญาอนิ เดียยุคพระเวท ปรัชญาอุปนิษทั ปรัชญาภควัทคีตาฯลฯ ปรัชญาพทุ ธ ปรัชญาจาร
วาท ปรชั ญาเชน เปน ตน
๑.๑ การแบงยุคของปรชั ญาอินเดีย
การแบงยุคของปรัชญาอินเดียนั้น นักปรัชญาท้ังหลายไดมีความคิดเห็นไมตรงกันแตเปนที่
ยอมรับกันตามทัศนะของศาสตราจารย ดร.ราธกฤษณัน นักปรัชญาอินเดียสมัยปจจุบัน วาปรัชญา
อินเดียนน้ั แบงออกเปน ๓ ยุคดวยกันคือ๑
๑. ยุคพระเวท (Vedic Period)เร่ิมตั้งแตมีการเกิดมีพระเวทข้ึนตามประวัติระบบแหง
แนวความคดิ ของอินเดยี กาํ หนดระยะเวลาระหวาง ๑,๐๐๐ ปถึง ๑๐๐ ป กอ นพทุ ธกาล
๒. ยุคมหากาพย(Epic Period)เปนยุคแหงการเกิดขึน้ ของพระมหากาพยท่สี ําคัญ ๒ เร่ือง
คือ ๑ รามายนะ และ ๒ มหาภารตะ กําหนดระยะเวลา ๑๐๐ ปกอ นพุทธกาลถงึ พ.ศ ๗๐๐(ยุคนี้เปน
ยุคที่ศาสนาพทุ ธและศาสนาเชนรุง เรืองเปน คแู ขง ของศาสนาพระราหมณ)
๓. ระบบทั้งหก(Period of the Six Systems)เปนยุคแหงการขึ้นของระบบท้งั ๖ แหง
ปรัชญาฮนิ ดู คือ ปรชั ญานยายะปรชั ญาไวเศษิกะ ปรัชญาสางขยะ ปรัชญาโยคะ ปรัชญาปูรวมมี ามสา
และปรัชญาเวทานตะ กําหนดระยะเวลาระหวางพ.ศ ๗๐๐ ลงมายุคน้ีเปนยุคที่ศาสนา
พราหมณ วิวฒั นาการเปน ศาสนาฮนิ ดู
อินเดียคือ ถาจะแบงยุคปรัชญาอินเดียออกเปน ๓ ยุคคือ ๑. ยุคพระเวท ๒. ยุคอุปนิษัท
๓. ยุคระบบท้งั ๖ ตามกําหนดระยะเวลาท่ีแบงขางตน จะทําใหมองเห็นวิวัฒนาการและพัฒนาแหง
แนวความคดิ ทางปรชั ญาของอินเดียไดแจม แจง และชดั เจนยิ่งขนึ้
๑.๒ การแบงสายของปรัชญาอนิ เดยี
ปรัชญาอินเดียแบงออกเปน ๒ สายใหญ ๆ ดวยกนั ตามแนวทางแหง ความเชือ่ ถือ คือ๒
๑. ปรัชญาอินเดยี สายอาสตกิ ะ
๒. ปรชั ญาอินเดยี สายนาสติกะ
๑ คูณ โทขนั ธ, ปรัชญาเบ้ืองตน, (ขอนแกน :ภาควชิ ามนษุ ยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร,
๒๕๒๗), หนา ๑๓๖-๑๓๗.
๒ วโิ รจ นาคชาตรี, รศ, ปรัชญาเบอ้ื งตน, (กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง, ๒๕๕๒), หนา ๕๖.
๔๙
ปรัชญาอนิ เดียสายอาสตกิ ะ หมายถงึ ระบบปรัชญาท่ียอมรับนับถือ และเชื่อถือความมีอยูของ
พระเจาวา พระเจาเปนสิ่งท่ีสูงสุด ยอมรับนับถือความขลัง ความถูกตองสมบูรณและความศกั ดิ์สิทธ์ิ
ของคมั ภีรพระเวท ปรชั ญาสายน้ีก็คือระบบปรัชญาพราหมณ หรือท้ังหมดอันไดแก ปรัชญาอนิ เดียยุค
พระเวท ปรัชญาอุปนิษทั ปรัชญาภควัทคีตา ปรัชญาระบบท้งั ๖ แตที่สําคัญที่สุดไดแ กปรัชญาระบบ
ท้ัง ๖ คอื ๑. ปรชั ญานยายะ ๒. ปรชั ญาไวเศษิกะ ๓. ปรัชญาสางขยะ ๔. ปรัชญาโยคะ ๕. ปรัชญา
ปรู วมีมามสา ๖. ปรัชญาเวทานตะ
ปรัชญาอินเดียสายนาสติกะ หมายถงึ ระบบปรัชญาที่ปฏิเสธพระเจา ปฏิเสธความขลังและ
ความศักด์ิสิทธิ์ของคัมภีรพระเวท เปนระบบปรัชญาทต่ี รงขามกบั สายอาสติกะมีอยู ๓ ระบบดว ยกัน
คือ ๑. ปรัชญาจารวาก ๒. ปรชั ญาเชน ๓. ปรัชญาพทุ ธ
จะอยางไรก็ตามปรัชญาอินเดียทุกระบบลวนแตไดรับอิทธิพลจากคัมภีรพระเวทท้ังสิ้น
กลาวคือ ปรัชญาอนิ เดยี ทุกระบบที่มคี วามเช่ือถือในเร่ืองพระเจาความขลังความศักดิ์สิทธ์ิของคมั ภีร
พระเวท ถือวาไดรับอิทธิพลโดยทางตรง จากคัมภีรพระเวท อันไดแก ปรัชญาอินเดียสายอาสติกะ
สวนปรัชญาอินเดียทุกระบบที่ปฏิเสธไมยอมเชื่อถือในเรื่องพระเจา ความขลัง ความศักด์ิสิทธิ์ของ
คมั ภรี พ ระเวทถอื วาไดรับอิทธิพลโดยทางออมไดแ กปรัชญาอินเดยี สายนาสติกะ
๑.๓ ปรัชญาอินเดียสายอาสติกะ
ปรัชญาอนิ เดียสายอาสติกะ มีระบบปรัชญาท่ีจะตองศกึ ษาดงั ตอ ไปนี้
๑. ปรัชญาอินเดียยคุ พระเวท
ปรัชญาอินเดียยุคพระเวทเร่ิมนับตั้งแตสมัยเริ่มมีพระเวทขึ้นมาซ่ึงเชื่อกันวายุคพระเวทอยู
ระหวาง ๑๐๐๐ ปถงึ ๑๐๐ ปกอ นพทุ ธกาลกอนที่จะเกิดมีพระเวทนั้นคนพื้นเมอื งเดิมของอินเดยี มี
ความเชือ่ ถอื นับถอื และบูชาโลกธาตุทง้ั ๔ คือ ดนิ นํา้ ลม ไฟ รวมทัง้ ตนไม ภูเขา เปน ตน แนวความคิด
และความเชื่อถือมีลักษณะเปน วิญญาณนิยม (Aminism) คือ ถอื วาวิญญาณเปนส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท่ีสิง
สถิตอยูในสิ่งที่ตนนับถือ และสามารถใหคุณและโทษแกมนุษยไดแกมนุษยไดจึงไดมีพิธีบูชาเซนไหว
บวงสรวงเพ่อื เอาอกเอาใจวิญญาณมีใหบ นั ดาลสงิ่ ท่ีเปนโทษภยั เกดิ ข้ึนแกตนเอง และในขณะเดียวกนั ก็
มีการบูชาเซน ไหวบวงสรวงเพอื่ ขอและใหไ ดมาสิ่งทีต่ นตอ งการและปรารถนา เมือ่ เวลาผานไปวิญญาณ
ไดรับการยกยองขึ้นเปนเทพเจาคนอินเดียเดิมเชื่อวาไฟเปนทูตของเทพเจา จึงทําการบูชาเซนไหว
บวงสรวงเทพเจาดวยส่งิ ของตา ง ๆ เชน เนื้อสัตวข นมนมเนย เปนตน ดว ยการใสเขา กองไฟโดยเช่ือวา
การบูชาแบบน้ีนอกจากจะแลเห็นวาสิ่งท่ีตนนํามาบูชาถูกไฟเผาผลาญไปหมดทํานองเดียวกันกับเทพ
เจาไดส ังเวยแลวควันไฟทล่ี อยพงุ ขึ้นสูอากาศเบื้องบนยังถอื วาเปนสาสนใหเทพเจาไดร ับรูการกระทํา
ของตนอกี ดวย
๕๐
คัมภรี พระเวท ไดร บั การยอมรบั วา เปน วรรณคดที ีเ่ กา แกท ่ีสุดของอินเดีย พระเวทเปนคัมภีรท่ี
รวบรวมแนวความคิด ความเช่ือ วิธีปฏิบัติรวมทั้งปรัชญาและศาสนาไวในตวั มันเอง ลักษณะเดมิ ของ
พระเวทยเ ปน ศรตุ ิ คอื เปน คัมภีรทไี่ ดร ับฟงสืบตอกนั มา อาจารยไดถา ยทอดใหแกศิษยโดยการเลาและ
จดจํากันมา พวกพราหมณถือวาพระเวทยเกิดข้ึนโดยการรับฟงจากพระพรหมคือพระพรหมเปนผู
ประธานใหโดยผานพวกพราหมณ พระเวทนั้นแบงออกเปน ๔ อยา ง คอื ๓
๑. ฤคเวท มีลักษณะเปน คําฉันทซ่ึงเปน บทรอยกลองสาํ หรับใชส วดสรรเสริญเทพเจาตางๆ
๒. ยชรุ เวท มีลักษณะเปน รอ ยแกว อานไดวา ดวยระเบยี บวธิ ใี นการประกอบพิธีบูชายัญเซน
ไหวบ วงสรวงตา งๆ
๓. สามเวท มลี กั ษณะเปน คาํ ฉนั ทใ ชส ําหรับสวดขับกลอมเทพเจา และใชสวดในพิธีถวายนํ้า
โสมแกพระอินทร
๔. อถรรพเวท ทรี่ วบรวมเวทมนตรคาถาอาคมตางๆ สําหรับใชรายแกเสนียด จัญไร นํา
สวัสดิมงคลมาสตู น และเพ่ือใชท ําลายหรือใหเ กดิ ผลรายแกศ ัตรู
คําวา “เวท” แปลวา “ความรู” เช่ือกันวาในระยะแรกเกิดมีฤคเวทกอน จากน้ันจึงเกิดมเี วท
อื่นๆ ภายหลัง ในสมัยพทุ ธกาลมีเพียง ๓ เวทแรกเทา นั้น เพราะปรากฏคําวา “ไตรเวท” สวนเพศที่
๔ คงเกิดขนึ้ หลังสมยั พุทธกาลแนน อน ไพรเวชแตล ะคัมภรี แ บง ออกเปน ๔ ตอนคือ
๑. หมวดมนั ตะ ใชส าํ หรบั สวดมนตสรรเสริญออนวอนเพ่อื ขอศริ ิมงคลและขจัดภยันอันตราย
ตา ง ๆ มันตระแตละชนดิ เรยี กวา สํหิตา ซึ่งประกอบดว ย
- ฤคสหํ ิตา เปนรอ ยกรองสาํ หรับสวดมนตส รรเสรญิ เทพเจา ที่อยูตามธรรมชาตติ างๆ
- ยชรุ สหํ ิตา เปน รอ ยแกว วา ดวยระเบยี บวธิ ใี นการบวงสรวงตา งๆและระเบยี บปฏิบตั ติ างๆ
- สามสํหิตา เปนบทรอยกรองสําหรับสวดขับกลอมเทพเจาในการบูชายัญและสวดในพิธี
ถวายน้าํ โสมแกพ ระอนิ ทร
-อถรวสํหิตา เปนท่ีรวบรวมบทสวดมนตสรรเสริญสําหรับพธิ ีมงคลและบทสาบแชงหรือขจัด
อนั ตรายสําหรบั พธิ อี วมงคล
๒. หมวดพราหมณะ เปน บทรอยแกวสําหรบั อธิบายขอ ความในพระเวทยใ หชดั เจนย่ิงข้ึน
๓. หมวดอรัญยกะ เปนตาํ ราท่กี ลา วถงึ วิธีการออกไปอยปู า บาํ เพญ็ ตบะเพ่อื ทําใจใหเปนสมาธิ
และปราศจากอารมณต า งๆ
๔. หมวดอปุ นิษทั เปนคมั ภรี ที่เกดิ ขึน้ จากการไดรวบรวมแนวความคิดของพระเวทซึ่งกระจัด
กระจายกนั อยเู ขา เปน หมวดหมเู ดยี วกนั อธิบายความหมายและแนวปฏิบัตใิ นพระเวทใหช ัดเจนย่ิงขน้ึ
๓ ศรัณย วงศค ําจันทร, ปรชั ญาเบื้องตน , (กรงุ เทพฯ : อมรการพมิ พ, ม.ป.ป.), หนา ๓๑.
๕๑
มันตระและพราหมณะแหงพระเวทยรวมกันเรียกอีกอยางหนึ่งวา กรรมภัณฑ (กรรม-กาณ
ฑะ)เพราะวาดว ยการประกอบพิธีกรรมตาง ๆ สวนอรัญญกะและอปุ นิษัท รวมกันเรียกอีกช่ือหน่ึงวา
ญาณกณั ฑ (ชญาณกาณะฑะ) เพราะเปน ตอนท่ีวาดวยความรูในสง่ิ ตางๆ
ปรัชญาอนิ เดยี ยุคพระเวทนี้ถอื วา การสวดมนต การออนวอน การทําพิธีกรรมฯลฯ เปนสิ่งท่ี
สําคัญย่ิง หมายสูงสุดได เพราะการกระทําดังกลาวจะทําใหเทพเจาผูศักด์ิสิทธ์ิตางๆพึงพอใจและ
อาํ นวยผลใหแกผูประกอบพิธีกรรมไดบรรลุจุดหมายของตนตามท่ีปรารถนา ในคัมภีรพระเวทน้ี ไดมี
การแบง คนในสงั คมออกเปน ๔ วรรณะคอื
๑ วรรณะพราหมณ ไดแ กพวกที่ทําหนา ทศ่ี ึกษา ทรงจําและสืบตอ คัมภีรพระเวท
๒.วรรณะกษัตรยิ ไดแ กพ วกทท่ี ําหนาที่ปกครองบา นเมือง เปน นักรบทําศกึ สงคราม
๓. วรรณะแพศย ไดแ กผ ทู ี่ทาํ หนาท่ีคาขาย เกษตรกรรมและศลิ ปหตั ถกรรมตาง ๆ
๔. วรรณะศทู ร ไดแกพวกท่ีทาํ งานบริการ รับใช เปนกรรมกรท่ีใชแรงงานแบกหามและงาน
อนื่ ๆทีม่ ีลกั ษณะเปนการบริการวรรณะอื่นๆ
ในคัมภีรพระเวท ไดบงชี้ถึงกําเนิดของวรรณะท้ัง ๔ วา “วรรณะพราหมเกดิ จากพระโอษฐ
ของพระบามวรรณะกษัตริยเกิดจากแขนของพราหม วรรรณะแพศย เกิดจากสวนรางกายของพระ
พรหม และวรรณศูทร เกิดจากเทาของพระพรหมวรรณะท้งั ๔ นี้แลว น้ีแลวยัง นี้แลว ยังมีพวกนอก
วรรรณะอกี ซึ่ง จากการแตง งานกันขา มวรรณะเชน กษัตริยก ับพราหมณ กษตั ริยกับศทู ร เปนตน เดก็ ท่ี
เกดิ มากลายเปนพวกนอกวรรณะซ่ึงเรยี กวา จัณฑาล พวกน้ีเปน ท่รี ังเกียจของวรรณะอ่ืน ๆ”
๒. ปรัชญายุคอุปนิษัท
อุปนิษัทเปนตอนสุดทายแหงคัมภีรพระเวท ซึ่งเรียกชื่ออีกอยางหนึ่งวา เวทานตะ คําวา
อปุ นษิ ทั มาจากคาํ วา อปุ , นิ, ษท, อปุ แปลวา ใกล เขา ไปใกล นิ แปลวา ต้งั อกต้ังใจ ษท แปลวา นั่ง
ลง ทําลาย การทําลายใหสูญสิ้น ฉะน้ัน อุปนิษัท จึงแปลวา การน่ังลงใกลอยางตั้งอกต้ังใจ โดยมี
ความหมายวา การนง่ั ลงใกลอ าจารยข องผเู ปน ศิษย เพือ่ รับคาํ สอนอยางต้งั อกตง้ั ใจเกย่ี วกบั เรื่องความ
จรงิ หรือสัจจธรรมที่จะบรรเทาความสงสัย และทําลายอวิชชาของผูเปนศษิ ยใหหมดไป หรือการท่ใี ห
ศษิ ยนั่งลงใกลอาจารยของตนดวยใจภักดี รับรูอันติมสัจจะทําใหหมดส้ินความสงสัยทุกประการแลว
กําจัดความโงเขลาใหหมดส้ิน และตอมาคํานี้ไดหมายถึง คําสอนลึกลับเกี่ยวกับความจริง
หรอื สัจจธรรม๔
๔ สุวัฒน จันทรจํานง, นายแพทย, ความเช่ือของมนุษย เกี่ยวกับปรัชญา และศาสนา, (กรุงเทพฯ :
สขุ ภาพใจ, ๒๕๔๐), หนา ๙๒.
๕๒
อปุ นษิ ัท เรง่ิ เกิดข้นึ ประมาณ ๑๐๐ ป กอนพทุ ธกาลและสิ้นสุดลงในราว พ.ศ. ๗๐๐ อุปนิษทั
ไดพยายามยกยองเชิดชูและประกาศแนวความคดิ แบบเอกเทวนิยม ฉนั้นอุปนิษทั จึงมเี ทพเจาที่ไดรับ
การยกยองเชดิ ชวู าเปนเทพเจาผูยง่ิ ใหญ ผสู รา งโลกและสรรพสง่ิ เพยี งองคเ ดยี ว คือ พระพรหม คําสอน
เร่อื งอุปนษิ ัททส่ี าํ คัญและศังกราจารย(นักปราชญชาวอนิ เดีย) ไดแ ตงและอธบิ ายไวม ี ๑๐ อปุ นิษทั คือ
๑. พฤหทารณั กะ
๒. ฉานโทคยะ
๓. ไอตเรยะ
๔. ไตตตริ ียะ
๕. อศี ะ
๖. เกนะ
๗. กฐะ
๘. ปรศั นะ
๙. มณุ ฑกะ
๑๐. มาณฑูกยะ
ตามคัมภีรอุปนิษทั กลาววา ความรูที่แทจ ริงคือความรูทเ่ี กี่ยวกับอาตมัน หรือพรหมนั เพราะ
การรูจักอาตมัน หรือพรหมันเทาน้ันท่ีจะทําใหบุคคลหลุดพนจากความทุกขทั้งปวงไดและในคัมภีร
มณุ ฑกะอุปนษิ ทั ไดก ลา วไววา ความรูทีค่ วรรแู จง มี ๒ ชนิดคอื
๑. ความรูอยางตํ่า (อปรวิทยา) ไดแกความรูท่ีไดรับจาก ฤคเวท สามเวท อถรรพเวท
พธิ ีกรรม การเรียน เปนตน
๒. ความรูอยา งสูง (ปรวทิ ยา) ไดแ กความรเู ก่ยี วกับพรหมนั อันเปน อมตะ
หลกั คาํ สอนสําคญั ในคัมภีรอปุ นิษทั
๑. เรื่อง อาตมนั อาตมันแรกทีเดยี วหมายถงึ ลมหายใจซึง่ ทําใหชีวิตดํารงอยูไดคือดํารงอยู
ตราบเทาที่มีลมหายใจอยู แตภายหลังความหมายแปลเปลี่ยนไปและหมายถึงความรูสึก จิต วิญญาณ
และเจตภตู ตามทัศนะของอปุ นิษทั อาตมันคอื ตัวตนท่แี ทจ ริง เปนสิ่งสากลยิ่งใหญ และสูงสุด เอกภพ
ดํารงอยูและเคลื่อนไหวอยูในอตั มัน อาตมันอยูเหนือความสงสัยและความขดั แยงทั้งมวล ฯลฯ ดงั น้ัน
จึงสรุปไดวาอัตตามันเปนส่ิงที่ทําใหทุกสิ่งทุกอยางเปนอยูเคล่อื นไหวและดํารงอยูได อาตมันคอื อันติม
สัจจะเปน ความจริงสงู สุด (Ultimate Reality) อาตมันเปนส่ิงทแี่ ทจรงิ ไมมวี นั เปล่ียนแปลง
๒. เรื่อง พรหมัน พรหมนั มาจากคําวา “พรุห” หมายความวา เจริญเตบิ โต,เจริญงอกงาม
และวิวัฒนาการ ในขนั้ แรก พรหมัน หมายถึง การบูชายัญ หรือยัญพธิ ี แตต อมาก็เรียนเปล่ียนเปน
หมายถึง ผูสวดสรรเสริญเทพเจา และทายสุดหมายถึง “ความจริงสูงสุดหรืออันติมสัจจะ ซึ่งได
ววิ ฒั นาการมาเปนโลกและสรรพส่ิงในโลก”
๕๓
คมั ภรี ฉานโทคยะอุปนิษทั กลาววา พรหมันเปนที่เกดิ ของโลก เปนทกี่ ลับคืนสูของโลก เปน
ท่ีอางอิงอาศัยและดํารงอยูของโลก และคัมภีร ไตตติรียะ อุปนิษัทก็กลาววา พรหมันเปนที่เกิดแหง
สรรพส่ิง เปนทอี่ ิงอาศัยอยูแหงสรรพสิ่ง และเปนทีก่ ลับคืนแหงสรรพส่ิงจึงเห็นไดว า พรหมนั หมายถึง
อนั ตมิ สจั จะ พรหมันเปน คาํ น้ีเปน ปฐมเหตขุ องสรรพส่ิง เปนทีอ่ ิงอาศัยอยูดํารงอยู และกลับเขามาของ
สรรพสิ่ง
อุปนิษัท กลาววา พรหมันกอใหเกิดวิวัฒนาการของโลก พรหมันวิวัฒนาการใหเกิดอากาศ
อากาศใหเกิดลม ลมใหเกดิ ไฟ ไฟทําใหเกดิ น้ํา น้ําใหเกิดดิน และดนิ กอใหเกดิ สิ่งมีชีวิตส่ิงตาง ๆ ใน
คัมภีร ไตตติรียะ อปุ นิสัยกลาววา (ชวี ะ) เกิดข้ึน (ตามทฤษฎเี ปลอื ก) ตามลําดบั ๕ ขั้นดงั น้ี
๑. อนั นมยั เปน รา งกาย หรือวัตถุ ซง่ึ สาํ เรจ็ มาจากอาหาร
๒. ปราณมยั เปน ชีวิต หรอื ลมปราณ ซึ่งสาํ เรจ็ เปนส่ิงมชี วี ติ ท้งั หลายทัง้ ปวง
๓. มโนมยั เปนจติ คอื สวนที่สาํ เรจ็ มาจากจิต เชนเปนสัญชาตญาณ เปนความคิด ความดาํ ริ
เปน ตน
๔. วญิ ญาณมยั เปนสมั ปชัญญะ คือชีวะทีส่ ําเรจ็ เปน วญิ ญาณ คอื สว นที่รจู กั คิดและมีเหตผุ ล
๕. อานันทมัย เปนนิรามิสสุข ซ่ึงเปนส่ิงสูงสุด คือชีวะที่สําเร็จเปนความสุข ซ่ึงเปนชีวะ
อนั ดบั สูงสุด เปนอนั ติมสจั จะท่สี มบูรณ
พรหมัน หรือ พรหม แบงออกเปน ๒ ชนิด คือ
๑. อปรพรหม เปนปฐมเหตุของโลก เปนผูสราง ผูรักษา และผูทาํ ลาย เปนเจาของสรรพสิ่ง
สรรพส่ิงอิงอาศัยพรหม (อปรพรหม) และพรหมเปนผูควบคุมสรรพสิ่ง พรหมประมวลสรรพส่ิง
ทงั้ หลายเขาดวยกนั รจู กั ธรรมชาติ แตธ รรมชาติหารจู กั พรหมไม
๒. ปรพรหม เปนความแทจริงที่สุด เปนส่ิงท่ีไมสามารถอธิบายได ไมอาจวัดไดบ รรยายไมได
พูดถึงลกั ษณะทีแ่ ทจ ริงไม เปน พืน้ ฐานของความรูทั้งมวล
โดยสภาวะท่ีแทจริง อาตมัน และพรหมัน เปนอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะคําวา” ผูใดเห็น
อาตมัน หรืออาตมัน ผูนั้นเห็นพรหม รูพรหม ” และ “ตัด ตรัม อสิ” ทานคอื สิ่งนั้นจึงกลาวไดวา
“อาตมนั คอื พรหมัน”
แตพิจารณาคนละแมจึงเรียกชื่อตางกัน มองในแงอัตวิสัย หรือในฐานะผูรูก็เรียกวา อาตมัน และถา
มองในแงวัตถุวิสัย หรือในฐานะท่ีถูกรูกเ็ รียกวา พรหมนั คําสองคําน้ีหมายถึงส่ิงเดียวกัน คือ อนั ติม
สัจจะ หรอื สงิ่ สมบรู ณ (Ultimate Reality or Absolute)
๓. เร่ืองมายา หรืออวทิ ยา ในศเวตาศตวตรอุปนิษัท “พระผูเปนเจามายิน” หมายความวา
พระผูเปนเจา เปนผูมีมายา อนั ไดแก เปนผูมอี ํานาจในการสรางสรรคหรือเนรมิตสิ่งตาง ๆ ขึน้ ไดตาม
ความปรารถนาของตน ดงั นนั้ จงึ เหน็ ไดวา “มายาไดแกทพิ ยอํานาจ” ซง่ึ ทพิ ยอํานาจนี้สามารถบันดาล
สิง่ ตาง ๆ ไดตามปรารถนาของผูใ ช ในคมั ภีรฤคเวทกลาววา ใชมายาจําแลงองคใหม ีรูปรางตาง ๆ สวน
๕๔
ในคัมภีรอุปนิษัทกลาววา พระอิศวรผูเปนพระมหาเทพไดใ ชมายาดลบันดาลใหเกิดโลกขึน้ ทรงสราง
มนษุ ยข น้ึ จากฝุนของโลก แลวทรงหายใจใหชีวาตมันเขาไปสงิ สูอ ยู ในรางกายของมนุษยทที่ รงสรางข้นึ
จะเหน็ ไดวา “มายาทําใหม รี ูปรางเกดิ ขึ้นมาได สิง่ ทีไ่ มม รี ปู ราง ”
ในแงของชีวตมัน Maya เรยี กชอื่ อกี อยา งหนึ่งวา “อวิทยา” (อวิชชา) ไดแกความไมรูอวิทยา
เปนสิ่งที่เหมือนมานปดบังดวงปญหาทําใหชีวตมันไมรูความเปนจริงวา ตนกับพรหมัน (สิ่งสมบูรณ)
นั้น เปนอันหนึ่งอันเดยี วกัน เพราะความไมรู (อวิทยา) นี่เอง เปนเหตใุ หชีวาตมนั ตองเวียนวายตาย
เกดิ อยใู น สงั สารวฏั ไมม ที ี่สนิ้ สุด และในขณะเดยี วกันชีวะสามญั กท็ าํ กรรมดบี างช่วั บาง แลวก็ไดร ับผล
ของกรรมน้ันเปนสขุ บาง เปนทกุ ขบาง หมนุ เวยี นกันไปตามกรรมเมอื่ ใดชีวาตมันเห็นแจง ในความเปน
จรงิ และขจดั อวิชาเสียได เม่ือนั้นกบ็ รรลคุ วามหลุดพน กลับเขาสูความเปน อันเดียวกันกับพรหมนั
๔. เรือ่ งกฎแหงกรรมและการเกดิ ใหม
ในเร่ืองกฎแหงกรรม อุปนิษัทกลาววา กรรมเปนเครื่องปรุงแตงสัตวท ้ังหลายกรรมเปนเคร่ือง
ผูกพันใหม นุษยตอ งเวียนวายตายเกิด มนษุ ยท กุ คนตกอยูในอํานาจของกฎแหงกรรมที่เขาทาํ ไวจะหลีก
หนีไมพน คือทํากรรมใด ไวก็จะไดรับผลแหงกรรมน้ัน แตอาจชาหรือเร็วเทานั้น เร่ืองของกฎแหง
กรรมในปรัชญาอินเดียมีความหมายเปน ๒ นัย คอื
๑. กฎแหง กรรม หมายถงึ กฎแหงธรรมชาติ หรือกฎแหง เหตุและผล หมายความวาทุกส่ิงทุก
อยางเกิดข้นึ เปน ไปดว ยอาํ นาจของเหตปุ จ จัย คือทุกสงิ่ เกิดขึ้น ดาํ รงอยูและเส่ือมสลายไป เพราะมเี หตุ
ใหตอ งเกิดข้ึน ใหดํารงอยูและใหเส่ือมสลายไป ไมวาสิ่งใดเกดิ ข้ึน ดํารงอยูและดับสลายไปอยางลอย
ลอย โดยไมมเี หตุปจจยั
๒ กฎแหงกรรม หมายถงึ กฎแหงศีลธรรม เปนกฎแหงการกระทําของมนุษยโดยมหี ลักอยูวา
ทาํ ดยี อมไดร บั ผลดี ทาํ ชั่วยอ มไดร ับผลชวั่
ในเรื่องการเกิดใหม อุปนิษัทกลาววา เมื่อรางกายน้ีแตกดบั หรือตายไป ชีวาตมันเพอ่ื นออก
จากรางกายเกาไปสูรางกายใหม เหมือนคนเปลี่ยนเส้ือผาชุดเกาออกแลวสวมใสเส้ือผาชุดใหม แต
กอ นทช่ี ีวาตมนั จะออกจากรางเกามันจะตองหารา งใหมใหไดเสียกอน เมือ่ พบรางใหมแลวมันจึงจะท้ิง
รา งเกา ไปและเขา อาศัยในรางใหม รางใหมนั้นจะดหี รือเลวข้นึ อยูก ับกรรมดีหรือกรรมช่ัวท่มี ันเคยทําไว
ในอดีตชาติ ในขณะเดียวกนั ผลแหงการศึกษา รแู ละผลแหง กรรมยอมติดตามชวี าตมัน มาเชนกัน
และการเกดิ ใหมของมนุษยเราน้นั จะยุตหิ รือสิ้นสุดลงเมอ่ื มนุษยเรากําจัดอวิทยา (ความไมรู)
อยา ได เขาถงึ ซงึ่ พรหมนั ซ่ึงเรียกวา บรรลโุ มกษะ
๓. ปรชั ญาภควทั คีตา
คมั ภีรภควัทคีตา เปนสวนหน่ึงของมหากาพย มหาภารตะ เปนคัมภีรทม่ี ีช่ือเสียงท่ีสุดและมี
อิทธิพลตอชีวติ ของชาวอินเดยี มากทีส่ ุด คัมภีรนี้เกดิ ขึน้ เมือ่ ประมาณ ๒๐๐๐ ปกอน คริสตศักราช
๕๕
ภควัทคีตา จากคําวา “ภควา” แปลวา พระผูเปนเจา พระผูโชคดี และ “คีตา” แปลวาเพลง
ในภาษาสนั สกฤต ดังนน้ั แปลวา “เพลงของพระผูเปนเจา” คมั ภีรน ้ีชาวฮนิ ดูไดถ ือวาเปนศรุติ (ศรุติ คอื
คาํ สอนเปนของพระผเู ปน เจาโดยตรง มิใชเ ปน คําสอนมนษุ ยคนใดคนหนึ่งแตงขึ้นหรือประดิษฐขน้ึ ) แต
ถอื วาเปนสัมฤติ ไดแกเร่ืองที่เปนประเพณีนําสืบตอกันมา ยาของภควัทคีตา เนนหนักเร่ืองกรรม ซึ่ง
ต้ังอยบู นชญาณหรอื ความรสู นบั สนุนดวยความภกั ดีที่มตี อพระผเู ปนเจา สูงสดุ คอื พระพรหม
ภควัทคีตา กลาวไวว า อาตมัน (ตวั ตน) เปน สิ่งท่ีอยูยงคงกระพัน เทยี่ งแท ไมมีอะไรทําลายได
ไมมีการเกิด ไมมีการแตกดับ ดํารงอยูตลอดไป ไมเคล่ือนไหว ไมเสื่อมสลายเปนส่ิงดั้งเดิม สิ่งที่ทํา
รายไดคอื รางกาย สวนอตั มนั เปนส่ิงท่ีคงท่ีไมมีอะไรมาทาํ ลายใหแ ตกดับได การเคลือ่ นจากรางเกาท่ี
แตกดับแลวในรางใหมของอาตมัน เปนเสมือนคนเราเปลี่ยนเส้ือผาชุดใหม รางกายของคนเรา
เปลี่ยนแปลงได แตอาตมันไมเปล่ียนแปลง เมือ่ บุคคลแจงในสภาวะที่แทจริงของพรหมัน ประจักษถึง
ความเปนอันหนงึ่ อันเดยี วกนั ระหวางชวี าตมันและพรหมนั เมื่อน้นั กจ็ ะบรรลุโมกษะ
ปรัชญาภควทั คตี า เปน ปรชั ญาท่ปี ระสานความรู กรรมและความภักดีเขาดวยกนั โดยกลาววา
มนุษยเปนสิ่งมีชีวิตท่ีประกอบดวยสติปญญาเจตจํานงและอารมณ สติปญญากอใหเกิดความรู
เจตจํานงกอใหเกิดกรรม และอารมณกอใหเกิดความภักดี บุคคลสามารถเขาถึงโมกษะไดโดยวิธีท่ี
แตกตางกันคอื คนอาจมีโมกษะดวยความรู บางคนเขา ถึงดวยกรรมและบางคนอาจเขาถึงดว ยความ
ภกั ดี คาํ สอนนี้เรียกวา โยคะ ซึง่ มีอยู ๓ อยา งคอื
๑. ชญาณโยคะ หมายถงึ วธิ ีเขาถึงอนั ตมิ สัจจะ ดว ยความรู แกแจง ความจริงวาชีวาตมนั เปน
อันเดียวกันพรหมัน ทผ่ี บู ําเพญ็ เพยี ร (โยค)ี อาศัยความรูเปนแนวทางแหง การเขา ถึง โดยการขจัดกิเลส
ตัณหาใหห มดสนิ้ ไป
๒. กรรมโยคะ หมายถึง การกระทาํ ภควัทคีตา ถอื วาเอกภพ หนูไดดวยการกระทํา กจิ กรรม
ตางๆ ที่มนุษยทําเปนเคร่ืองชวยใหเอกภพดํารงอยูได อุดมคติตองการของภควัทคีตา ก็คือ “การ
ปฏิบัติภารกิจตามหนาที่ดว ยความรูสึกปลอยวาง” หมายถึงการกระทําท่ีไมหวังผลตอบแทนใดๆเลย
ถือวา เปน ท่ที จ่ี ะตอ งกระทํา เปน การกระทําตามหนาท่ที ผ่ี ูกระทาํ มไิ ดหวงั ผลทจี่ ะเกิดขึ้นแกต น
๓. ภักติโยคะ หมายถึงการประกอบความภักดีซ่งึ ไดแกการใหบริการแกพระผูเปนเจา โดยไม
หวังผลตอบแทนและกระทําไปโดยความจงรักภักดีดว ยความบริสุทธ์ิใจดังนั้น ตามนัยนี้ พระผูเปนเจา
เปนผูดงึ ผูทีจ่ งรักภักดตี อพระองคข้นึ จากสงสารสาคร ความจงรักภักดีจึงเปนเหตใุ หบุคคลไดรับความ
ชวยเหลือใหหลุดพนจากความทุกขท้ังปวง ภควัทคีตากลาววา เม่ือความจงรักภักดีมีความสมบูรณ
เตม็ ท่ีแลว บคุ คลที่มคี วามภักดกี ็จะเขา รวมเปน อนั หนึง่ อันเดยี วพระผเู ปนเจา แลวดํารงอยูในฐานะแหง
ความสขุ ทางจิตอนั สูงสุด จากนัน้ ผูเ ปน เจา และผจู งรกั ภกั ดกี จ็ ะปรากฏเปนชีวิตอนั เดียวกัน
๕๖
ตามทศั นะของภควทั คีตา รูหรือชญานะ เปนสิ่งสําคัญท่ีสุด กรรมและความภักดีเปนแตเพียง
การแสดงออกของความรู ถา ปราศจากความรู การหลุดพน การเขาถึงโมกษะ การละความยึดม่ันถือ
ม่นั ในการกระทาํ และการจงรักภักดตี อ พระเจาโดยไมหวงั ผลตอบแทนก็ยอมไมอาจเกดิ มขี ึ้นได
๔. ปรชั ญาอนิ เดยี ยุคระบบทั้ง ๖
ปรชั ญาอนิ เดยี ยคุ ระบบท้ัง ๖ มอี ยู ๖ สาํ นักดวยกันคือ
๑. ปรชั ญานยายะ
๒. ปรชั ญาไวเศษกิ ะ
๓. ปรัชญาสางขยะ
๔. ปรชั ญาโยคะ
๕. ปรัชญปรู วมีมามสา
๖. ปรัชญาเวทานตะ
ซึ่งมีสาระสําคัญทจี่ ะพึงศกึ ษาดงั ตอไปนี้
๑. ปรชั ญานยายะ
ปรัชญานยายะน้ี ฤาษีโคตมะ หรือเคาตมะ หรืออักษะปาทะ เปนผูกอตั้งข้ึน นยายะแปลวา
“การโตแยง” เปนระบบปรัชญาท่ีเนนหนักไปในทางสงเสริมสติปญ ญา การวิเคราะห และการโตแ ยง
เชิงตรรกะวิทยาและญาณวิทยา ปรัชญาระบบน้ีมีชือ่ เรียกอีกหลายช่ือ เชน ตรรกศาสตร ศาสตรแหง
การใชเหตผุ ล ประมาณศาสตร ศาสตรว าดว ยวิธีแสวงหาความรูเหตวุ ทิ ยา วาทวิทยา ศาสตรแหงการ
โตวาทะ และอานวีกสกิ ศี าสตรแหงศกึ ษาอยา งละเอียดถถ่ี ว น
ปรัชญานยายะถอื วา “ความรูเปนสิ่งที่เปดเผยใหปรากฏทั้งผูรู ( Subject) และสิ่งท่ีถูกรู
(object) โดยทตี่ ัวความรูเองไมไดเปนทั้งผูรูและส่ิงที่ถูกรู ความรูทกุ ประเภทเปนสิ่งที่ถกู รูปรากฏตัว
ออกมา (ปรากฏตัวข้นึ ) เหมอื นดวงไฟท่ีสองแสงสวางทาํ ใหวัตถทุ อี่ ยใู นท่มี ดื ปรากฏตวั ขน้ึ
ปรัชญานยายะ กลาววา บอเกิดแหง ความรมู ี ๔ อยา ง คือ
๑. ปรัตยักษะ ( Perception) คือความรูประจักษ ไดแกความรูท่ปี รากฏชัดดวยสายตาของ
เราหรือความรทู เี่ กดิ จากประสบการณตรง
โคตมะ กลาววา “ความรูประจักษไดแก รับรูท่ีปราศจากการผิดพลาด ซึ่งเกิดจากการ
ประจวบกันแหงอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก เปนการรับรูที่ไมเก่ียวของดวยส่ือและมี
ความหมายชดั เจน”
ความรูประจักษนี้ เปนความรูที่เกิดโดยผานทางประสาทสัมผัส นยายะกลาววาความรู
ประจักษนี้เกิดข้นึ จากการทอ่ี าตมนั ผสมกับมนัส (จิต) มนัสสัมผัสกับอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ล้ิน
๕๗
กาย) อายตนะภายในสัมผัสกบั อายตนะภายนอก (รูป เสียงกล่ิน รส และสิ่งที่ถกู ตอ งดวยกาย) ตาม
ทัศนะนี้การกระทบหรือการสัมผัสระหวางอายตนะภายในเสียกอน และการสัมผัสของมนัสกับ
อายตนะภายในกเ็ กดิ ข้นึ ไมไ ด หากอาตมันไมส ัมผัสกับมนัสกอ น ฉะน้ันการเกดิ ข้ึนของความรูประจักษ
จงึ เรมิ่ สมั ผสั ระหวา ง อาตมัน- มนสั มนสั - อายตนะภายใน อายตนะภายใน - อายตนะภายนอก
นยายะกลา ววา ความรูป ระจกั ษแ บงออกเปน ๒ ชนดิ คือ
๑. เลากิกะ คือความรูในระดบั สามัญ ไดแก การท่ีประสาทสัมผัสรับผัสสะกับสิ่งทเ่ี ปนวิสัย
ตามปกติ เชน ตาเห็นรปู หูไดย นิ เสียง เปนตน เปน ความรูท่ีเกิดจากประสาทสัมผสั
๒. อเลากิกะ คือความรูในระดบั วิสามัญ (ระดับ สูง) ไดแกความรูท่ีเกิดจากปญหาที่ไดรับการ
ฝกฝนหรือประสบการณ เปนความรูท่ีเกดิ ขน้ึ โดยผานทางตัวกลางอยางอื่น ๆ เชนเรามองเห็นมะนาว
และรูสกึ ถงึ รสเปร้ียวของมะนาวนั้น เพราะเรามีประสบการณใ นการกินมะนาวมากอ น การรูซ้งึ ถึงรส
เปร้ียวคลองมะนาวเปนความรอู เลากิกะ
๒. ศัพทะ ไดแก ความรูท่ีเกดิ ขน้ึ จากการศกึ ษาเลาเรียน การไดยินฟงจากการบอกเลาของ
คนอนื่ นยายะ แหลงความรชู นิดน้อี อกเปน ๒ ชนดิ คอื
๑. ไวทิกะ ไดแก ความรูที่ไดรับจากคัมภีรพระเวท เปนความรูท่ีถูกตอง
แนนอนไมมีขอ ผิดพลาด พระเวทเปน ถอยคําของพระผูเปนเจา
๒. ลากกิ ะ ไดแ ก ความรูทไี่ ดร ับจากการบอกเลาของชาวโลกท่ัว ๆ ไป และ
ความรูชนิดน้ีจะถือวาถูกตองก็ตอเมื่อเปนคําพูดของบุคคลท่ีเช่ือถือได และผูฟง และฟงเขาใจ
ความหมายคําพดู น้นั
๓. อนุมาน ไดแ ก ความรูสึกที่เกิดข้ึนจากการหาเหตุผล เปนความรูทตี่ อง
อาศยั ความรูอ นื่ เปน พื้นฐาน อาศยั การถา ยโยงจากส่งิ ท่ีรแู ลวไปยังส่งิ ที่ไมรู หรืออาศัยการต้งั สมมตฐิ าน
แลวสรุปความ นยายะไดกลาววา “การอนุมาน หมายถึงการรับรูอยางหนึ่งท่ีเปนบุพพภาคแหงการ
รับรูอ ีกอยางหนง่ึ เปน ความรูชนิดหา งไกลและโดยออ ม” อนุมานจึงเปนความรูทเี่ กิดขนึ้ มาจากความรู
อีกอยา งหนง่ึ ทม่ี ีอยูมากอ น หรือความรทู ่ีไดรับใหมโดยอาศยั ความรูเกาทมี่ ีอยูแลวเปนพ้นื ฐาน อนุมาน
นี้ วิทยาตะวนั ตกเรยี กวา Syllogism
ลาํ ดบั การเกดิ ความรแู บบอนมุ าน มีขนั้ ตอนดังน้ี
(ปรตฺ ิชญา) ภเู ขามไี ฟ
(เหต)ุ เพราะวา ภูเขามคี วนั
(อุทาหรณ) มีควนั ที่นั้นมไี ฟ เชน เตาไฟ
(อุปมัย) ภเู ขามคี วัน ซ่ึงยอ มจะตองมีไฟ
(นคิ ม) เพราะฉะนั้น ภเู ขามไี ฟ
๕๘
จะเห็นไดวา ความรูชนิดนี้เกิดขึ้นจากความเช่ือมโยงของควัน คือเราเคยเห็นควันที่เตาไฟ
และเห็นวาท่เี ตาไฟมไี ฟดว ย ดังนั้นเม่ือเราเห็นควันทภ่ี ูเขาจึงสรุปไดวา ภูเขาไฟ
หลักการอนุมานน้ี มีลักษณะคลาย Syllogism ของอริสโตเติล เพราะประกอบดวยเทอม
(Term) ๓ เทอมเหมือนกัน คือ เทอมหลัก (สางขยะ) เทอมกลาง (ลงิ คะหรือเหตุ) Syllogism ของ
อริสโตเติลมี ๓ ขัน้ ดงั การเปรียบเทยี บ ดงั น้ี
นยายะ อริสโตเตลิ
๑. ภเู ขามีไฟ ๑. ทใ่ี ดมคี วันทน่ี ัน่ มไี ฟ
๒. เพราะภเู ขามีควนั ๒. ภูเขามีควนั
๓. ทใี่ ดมคี วัน ท่ีนัน่ มไี ฟ เชน เตาไฟ ๓. เพราะฉะน้ันภูเขามีไฟ
๔. ภเู ขามีควนั ซง่ึ ยอ มจะตอ งมไี ฟ
๕. เพราะฉะนัน้ ภเู ขามีไฟ
จากตัวอยา งน้ี ไฟ เปนเทอมหลัก ภเู ขาเปน เทอมรอง และควันเปนเทอมกลาง ดงั น้ัน นยายะ
จึงนิยามวา “ความรูโดยอนุมาน คือ ความรูทเี่ กย่ี วกับการปรากฏอยูของเทอมหลักในเทอมรอง โดย
อาศยั เทอมกลางในเทอมรอง และเทอมกลางน้ันมีความสัมพนั ธอ ยา งแนนอนกบั เทอมหลัก”
๔. อุปมาน ไดแก ความรูท่ีเกิดขึ้นจากการเทียบเคียง การเปรียบเทียบ
สภาวะตั้งแตสองอยางขึ้นไป โดยอาศัยความเกา ความใหม ความแตกตาง เปนตน ความรูชนิดนี้
เก่ียวของกับการอุปมา เปนความรูท่ีเนื่องดวยความสัมพันธระหวางคําพูดและสิ่งท่ีคําพูดนั้นมุง
หมายถงึ และเนื่องดว ยการรูค วามคลายคลึงของสิ่งท่ีมีลักษณะเหมือนกัน เชน นาย ก. ไมเคยเห็นเสือ
มากอนเลย แตทราบจากเพ่ือน ๆ วา เสือมีรูปรางใหญโตกวาแมว เมื่อเขาเขาไปสูปาไดเห็นสัตวที่มี
รูปรางเหมือนแมวและโตกวาแมว เขาจึงสรุปวา สัตวตัวนั้นคือเสือ นี้คือความรูเกิดจากการ
เปรียบเทยี บการอปุ มา
นยายะเปนปรัชญาประเภท พหุปรมาณูนิยม (เช่ือในความมีอยูของปรมาณูแหงธาตุตาง ๆ
จาํ นวนมากมาย) ตรรกสจั นยิ ม (แสวงหาความจริงตามหลักการแหงเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา) และ
สจั นิยม (แสวงหาความจริงอยางแทจริงทม่ี เี หตุผล)
ปรัชญานยายะอธิบายเรื่องโลกวา วัตถุ วัตถุปจจัยของสากล ไดแก ปรมาณูของธาตุ ๔ คือ
ดนิ นํ้า ลม ไฟ สวนการกปจจัย (ผูทําการ) ของจักรวาลไดแกพระเจา ปรมาณขู องธาตุทั้ง ๔ เปนส่ิง
อนันต มีปริมาณที่นับไมได และเปนนิรันดร ดํารงอยูตลอดไป สรางข้ึนไมไดและทําลายไมได โลก
เกิดข้ึนจากการทพี่ ระเจาทรงนําเอาปรมาณูของธาตุ ๔ มารวมกันเขาตามสัดสวนทีเ่ หมาะสม ดังนั้น
ตามทัศนะนี้ การเกิดขึ้นของสรรพส่ิงก็คือ การรวมตัวของปรมาณูและการแตกดับก็คือ การแยกตัว
ออกจากกันของปรมาณู
๕๙
ปรัชญานยายะแสดงทัศนะเร่ือง อตั ตา (อาตมัน) วา อตั ตา คือเนื้อสารอยางหน่ึงมีเพียงหน่ึง
สาํ หรบั ทุกคน เปน สงิ่ นิรันดร มีคณุ สมบตั คิ อื รคู วามสขุ ความทุกข เจตนา บาป บุญ และนยายะเช่ือวา
บาป – บุญ เปน ผลกรรมของอาตมัน อาตมันเปนศูนยกลางของสรรพส่ิงเปนส่ิงประณีต ไมสลาย ไมมี
เบ้ืองตนและท่ีสุด อาตมันมีจิตปรากฏอยูตลอดชีวิต การแยกจิตออกจากอาตมันไดก็คือการบรรลุ
โมกษะ
ปรัชญานยายะ ไดแสดงทัศนะเร่ืองพระเจาวาพระเจาทรงเปนผูสราง ผูพิทักษและผูทําลาย
โลก ความภักดตี อ พระเจา เปน ส่งิ จําเปนทจ่ี ะทําใหพระเจาทรงมีเมตตากรุณาดลบันดาลใหผูภักดีไดรับ
ความรูที่ถูกตอ งเกี่ยวกับสิ่งแทจริงหรือสัจธรรม ความรูทถี่ ูกตองจะนําไปสูโมกษะคอื การหลุดพนจาก
ทุกขทั้งปวง
นยายะกลาววา พระเจา นั้นทรงเปนสิ่งสมบรู ณท ถี่ ึงพรอ มดว ยความสมบรู ณ ๖ ประการคอื
๑. ความเปนใหญ
๒. ความมีอาํ นาจ
๓. ความรุงเรอื ง
๔. ความงาม
๕. ความรู
๖. ความมีอิสรภาพ
๒. ปรชั ญาไวเศษิกะ
ปรชั ญาไวเศษิกะนี้ กนาทะ (หรอื อุลูกะ) เปน ผกู อตง้ั และ ไวเศษกิ ะ มาจากคาํ วา “วิเศษ” ซึ่ง
แปลวา วิเศษ เฉพาะหรือแตกตาง หมายถงึ คุณลักษณะเฉพาะตัวของสวนประกอบของสิ่งตา ง ๆ ใน
จักรวาล คุณลักษณะของสิ่งท่ีประกอบกันข้ึนเปนจักรวาลนี้ นยายะถือวามีจํานวนนับประมาณมิได
และแตละสงิ่ มีลักษณะแตกตา งกัน คัมภรี ของปรัชญาไวเศษกิ ะเรยี กช่อื วา “ไวเศษิกสตู ร”
ปรัชญาไวเศษิกะน้ี เปนปรัชญาคูกับปรัชญานยายะ มีจุดมุงหมายเหมือนกันคือการหลุดพน
จากทุกขข องชวี าตมัน และบางแหง เรียกชอ่ื รวมระบบปรชั ญาทัง้ ๒ วา ปรัชญานยายะ-ไวเศษกิ ะ
ปรชั ญาไวเศษิกะมีสาระทจี่ ะตอ งศึกษาดังน้ี
๑. ทฤษฎแี หงความรู ปรัชญาไวเศษิกะ ยอมรับทฤษฎีแหงความรูท้ังหมดของปรัชญานยายะ
และยอ ทฤษฎีนนั้ ลงมาเปน ๒ อยาง คือ
๑. ปรตั ยักษะ (ความรูประจกั ษ)
๒. อนุมาน
โดยรวมเอา ศัพทะ (ความรูท่ีเกิดขน้ึ จากการเลาเรียน ไดยินไดฟง มา) เขากับความรูประจักษ
(ปรัตยกั ษะ) และรวมเอา อุปมาน (ความรูท เี่ กิดข้นึ จากการเปรยี บเทียบ) เขา กับอนมุ าน
๖๐
๒. ปทารถะ
ปรัชญาไวเศษิกะกลาววา สิ่งที่เรารับรูไดดวยประสาทสัมผัสเปนสิ่งท่ีมีอยูจริงและสิ่งที่มีอยู
จริงนัน้ มจี ํานวนมากมายจนนับไมถว น ซึง่ เรียกวา “ปทารถะ” แปลวา “ส่ิงท่ีแสดงใหร ูไดดว ยคาํ พดู ”
แตโดยความแลว ปทารถะ หมายถึงส่ิงทเ่ี รารูไดหรือส่งิ ที่มอี ยูจริงท่รี บั รไู ดทั้งหมด
ปทารถะนนั้ มีอยู ๗ อยา ง คอื
๑. ทรัพยะ (สสาร) ไดแก สิ่งอันเปนมูลฐาน ซึง่ เปนทอ่ี ิงอาศัยอยูของคุณสมบัติและ
อากัปกิริยา ถาขาดสสาร คุณสมบัติและอากัปกิริยาจะมีไมได (แตถาปราศจากคุณสมบัติและ
อากัปกริ ิยาเราก็ไมสามารถรูจักสสารได) ทรัพยะหรือสสารน้ัน มอี ยู ๙ อยางคอื ๑. ดนิ ๒. นํ้า ๓. ลม
๔. ไฟ ๕. อากาศ (อีเธอร) ๖. กาละ (เวลา) ๗. อวกาศ (ท่ีวาง) ๘. อาตมัน และ ๙. มนัสหรือ (จิต)
ทรัพยะเหลานี้เปนอันติมะท่ีไมจํากัดและเปนหนวยที่เล็กที่สุด เมื่อทรัพยะเหลานี้มารวมกันในอัตรา
และสภาวะที่เหมาะสมแลว จะกอใหเกิดการเคลื่อนไหวและสภาวะตา ง ๆ ขน้ึ
๒. คณุ ะ (คณุ สมบัต)ิ ไดแก สิ่งท่ีอิงอาศัยอยูกับสสาร (ทรัพยะ) โดยที่ตัวมันเองไมมี
คณุ สมบัติหรอื กมั มนั ตภาพใด ๆ สสารเปน ส่งิ ท่ีมอี ยูไดดว ยตัวเองและเปนเน้ือสารของส่งิ ตา ง ๆ แตคุณ
จะมีอยูดวยตัวเองไมไ ด อยูไดโดยการอิงอาศัยสสาร คุณะนั้นมีอยู ๒๔ ชนิด คือ ๑. รูป ๒. เสียง ๓.
กล่นิ ๔. รส ๕. สัมผัส ๖. จาํ นวน ๗. ปรมิ าณ ๘. ความแตกตาง ๙. การรวม ๑๐. การแยก ๑๑. ความ
หางไกล ๑๒. ความใกล ๑๓. การรบั รู ๑๔. ความสขุ ๑๕. ความทกุ ข ๑๖. ความปรารถนา ๑๗. ความ
โกรธ ๑๘. ความเพียร ๑๙. ความหนัก ๒๐. ความเหลว ๒๑. ความเหนียว ๒๒. ความโนมเอียง ๒๓.
ความดี และ ๒๔. ความไมด ี
คณุ สมบัติท้ัง ๒๔ ชนิดน้ี เปนคุณสมบัตพิ ้ืนฐาน คณุ สมบัติอื่น ๆ ทน่ี อกเหนือไปจาก
นี้ลวนแตเ ปนคณุ สมบตั ปิ ลยี อ ยของคณุ สมบตั ิเหลา นีท้ ั้งสิน้
๓. กรรมะ (อากปั กิริยา) ไดแก อากัปกริ ิยาของสสาร เปนคุณลักษณะท่ีไมอยูนิ่งของ
สสาร อากัปกริ ิยานี้เปนสาเหตอุ ิสระที่ทาํ ใหเกิดการรวมตัวและการแยกตัวออกจากกันของวัตถุตาง ๆ
กรรมะจึงเปน การเคลื่อนไหวของสสาร เปนพลังผลักดันหรือแรงขับเคลื่อนใหสสารเปลี่ยนสภานะหรือ
สภาวะเปนอยางอ่นื ซ่ึงอากัปกิริยาหรือการเคล่ือนไหวน้ี แบง ออกเปน ๕ อยา ง คือ
๑. การเคลอื่ นไหวขนึ้ ขา งบน
๒. การเคลื่อนไหวลงขา งลา ง
๓. การหดเขา
๔. การขยายออก
๕. การเคลอ่ื นไหวไปในทิศทางตา ง ๆ
๔. สามานยะ (ลักษณะสามญั หรือลักษณะรวม) ไดแ ก ลักษณะรวมของสิ่งตาง ๆ ที่
อยูในประเภทเดียวกนั คอื ลักษณะท่สี าํ คญั เหมือนกันทุกอยางของส่งิ ตา ง ๆ ในประเภทเดยี วกนั เชน
๖๑
สัตวช นดิ หน่งึ เรียกวา โค สัตวชนิดนี้ ไมวาตัวไหน ๆ เล็กหรือใหญก็เรียกวา โค ทงั้ นี้
เพราะมีลักษณะของความเปนโคเหมือนกัน เปนตน ความมีลักษณะรวมนี้ ไวเศษิกะ กลาววาเปน
ลักษณะรวมที่มอี ยูในโคทกุ ตวั (หาใชม ีลักษณะรวมอยภู ายนอกเหมอื นเปลโตไม)
๕. วิเศษะ (ลักษณะเฉพาะ) ไดแก ลักษณะเฉพาะตัวของสิ่งตาง ๆ เปนลักษณะของ
สภาวะอยางหน่ึง ซ่ึงทําใหเห็นวาแตกตางไปจากอีกสภาวะหนึ่ง ทั้งน้ี เพราะทกุ อยางมีสภาวะเฉพาะ
เปนของตนเอง ไวเศษิกะกลาววา ลักษณะเฉพาะของสสารอันติมะแตละหนวยแตกตางกัน ทําให
ปรมาณูของวัตถุอันหนึ่งแตกตางไปจากปรมาณูของวัตถุอีกอันหนึ่งเราจะมองเห็นไดวา สามานยะ
กําหนดสวนรวม สว นวิเศษะกําหนดสวนยอย
๖. สมวายะ (ความแนบเนื่อง) ไดแก ความสัมพันธที่แยกกันไมออกของส่ิง ๒ สิ่ง
เปนความสัมพันธแนบเนื่องชนิดอนุสัย เปนความสัมพันธตลอดกาลของส่ิง ๒ ส่ิงที่แยกจากกันไมได
เปนความสัมพันธท ่สี ิง่ หนง่ึ อาศยั อยใู นสง่ิ หน่งึ เชน ความสัมพันธระหวางคุณสมบัตกิ ับสสาร คณุ สมบัติ
เปน สิ่งแนบเนื่องหรอื อนสุ ัยอยใู นสสารในลักษณะทไ่ี มแยกออกจากกนั ได เชน การกินที่ ขนาด รูปราง
เปนคุณลักษณะท่ีอนุสัยอยูในสสารตลอดไป และแยกออกจากสสารไมได ความเปนวัวในวัวแตละตัว
ความเปนดอกกหุ ลาบในดอกกหุ ลาบแตล ะดอก เปน ตน ความสัมพนั ธทแ่ี นบเน่ืองเชน น้ีคอื สมวายะ
๗. อภาวะ (ความไมมีอย)ู ไดแ ก ความไมมอี ยู ซงึ่ มอี ยู ๔ อยา ง คือ
๑. ความไมมีอยูกอน หมายถึงความไมมีอยูของส่ิงใดส่ิงหนึ่งกอนท่ีมันจะ
เกดิ ข้นึ หรือกอนท่มี ันจะถกู สรา งขนึ้ เชน ความไมม อี ยขู องหมอ นา้ํ เปนตน
๒. ความไมมีอยูภายหลัง หมายถึง ความไมมีของสิ่งใดสิ่งหน่ึงท่ีมันถูก
ทําลายหรอื แตกสลายไปแลว เชน ความไมม ีอยขู องหมอ นํา้ หลงั จากทม่ี นั แตกแลว
๓. ความไมมีอยูในรูปของส่ิงอ่ืน หมายถึงความไมมีอยูของส่ิงใดสิ่งหน่ึงใน
รูปลักษณะของส่งิ อืน่ เชน ความไมม ีดายในเหล็ก เปน ตน
๔. ความไมม อี ยูโดยสว นเดยี ว หมายถงึ ความไมมอี ยขู องส่ิงท่ีเราคิดฝนโดยท่ี
สงิ่ นนั้ ไมเ คยมีอยจู ริง ในอดตี ปจ จุบันและอนาคต เชนความไมมีอยขู องหนวดเตา เขากระตายเปนตน
๓. ปรัชญาสางขยะ
ปรัชญาสางขยะน้ี กปละ เปนผูกอ ต้งั ขึน้ เม่อื ประมาณ ๑๐๐ ปกอ นพุทธกาล และมีผูสืบตอ มา
อกี หลายคน เชน อาสุริยะ ปญจสิขะ และอิศวรกฤษณะ เปนตน อิศวรกฤษณะไดเขียนหลักคําสอน
ของสางขยะขึ้น เรยี กชอ่ื วา “สางขยาการิกา” เปน วรรณกรรมทเ่ี กา แกท ีส่ ดุ ทต่ี กทอดมาถงึ ปจจุบัน
สันนิษฐานกันวา “สางขยะ” มาจากคําวา “สางขยา” ซึ่งแปลวาจํานวน หมายถึงระบบ
ปรัชญาท่ีมุงแสวงหาความรูท่ถี ูกตองเกีย่ วกับสัจภาพโดยการจําแนกวัตถุแหงการรับรูออกเปนจํานวน
ตา ง ๆ มากมาย ถึง ๒๕ ชนดิ ปรัชญาสางขยะมุงที่จะนําหลักธรรมคําสอนมาประยุกตใชปฏิบัติเพื่อให
๖๒
เขาถึงความหลุดพนจากทุกข และปรัชญาสางขยะนี้ เปนปรัชญา “ทวินิยมเชิงสัจนิยม” (Realistic
Dualism) หรือสัจนิยมเชิงทวินิยม (Dualistic Realism) เพราะกลาวถึงสัจภาวะ ๒ อยาง คือ “ปุ
รษุ ะ” และ “ประกฤต”ิ วา เปนมลู เหตุของสรรพสง่ิ ในโลก
๑. ปุรุษะ ปุรุษะ คือ วิญญาณ (อาตมัน) เปนผูรูและเปนพ้ืนฐานแหงความรู เปนส่ิงแทจริง
เปนนิรันดร ไมเปลี่ยนแปลง มีความบริสุทธ์ิและอยูเหนือบาป บุญ คุณ โทษ กาลเทศะและพันธะท้ัง
ปวง ดํารงอยูดวยลําพังตนเอง และอยูเหนือความเปล่ียนแปลง สางขยะกลาววา ปุรุษะน้ันมีจํานวน
มากจนนับไมถ วน และปุรุษะทกุ ตวั มคี ุณสมบัติที่เหมือนกันอยางหน่ึงคือเปนวิญญาณ แตปุรุษะแตละ
ตวั เปนอสิ ระแกก ัน ไมข้ึนอยูตอ กนั เปน อิสระจากปรุ ษุ ะอืน่ ๆ
๒. ประกฤติ ประกฤติ คือมูลฐานแหงสรรพสิ่งในโลก เปนตนเหตุแหงสิ่งอื่น ๆ ในโลก แต
ประกฤตมิ ไิ ดเ กิดจากอะไร เปนสง่ิ ทเ่ี กิดขน้ึ เองและมีอยูเอง เปนส่ิงเท่ียงแทแนนอนไมเปลี่ยนแปลง แต
ส่ิงตาง ๆ ทเ่ี กดิ จากประกฤตินั้น เปน สง่ิ ท่ีไมเ ท่ยี ง มีการเปล่ยี นแปลงอยูเสมอ มีการเกดิ ข้ึน ต้งั อยู และ
แตกสลายไป ประกฤติเปน ตนเคา ของส่ิงที่มวี ญิ ญาณทุกชนดิ เปน ทีร่ วมของโลกแหงวัตถุ สางขยะกลาว
วา ประกฤตปิ ระกอบขึ้นดว ยคณุ ๓ อยาง (เรียกวา ไตรคณุ ) คอื ๑. สัตวะ ๒. รชัส ๓. ตมัส ซึง่ ไตรคุณ
ทั้ง ๓ อยา งนี้ดาํ รงอยูในฐานะท่ีสมดุลกนั กอ ใหเกิดการววิ ัฒนาการเกิดเปน โลกและสรรพส่ิงท้ังหลายใน
โลก ไตรคุณทง้ั ๓ อยางนี้มีอธบิ ายดังนี้
๑. สัตวะ แปลวาความแทจ ริง หรือความมีอยู เปนมูลฐานกอ ใหเกิดความดี ความมี
สุข ความแจมใส ความพอใจ ความเบา ความมีประกายสดใส ความเจิดจาแหงแสงสวาง เปนตน
กลาวกันวา สขี องสตั วะคอื สขี าว
๒. รชสั แปลวา ความเศรา หมอง เปนส่งิ ทก่ี อใหเ กิดการเคลอ่ื นไหว (จลนภาพ) ความ
กระปรี้กระเปรา ความเจ็บปวดและกระวนกระวาย ความโหดรายทารุณของอารมณ เปนตน รชัสนี้
เปน ตวั กระตนุ เรงเรา ใหเ กิดการเคลือ่ นไหวและเปล่ียนแปลงขนึ้ กลา วกนั วาสขี องรชสั คอื สแี ดง
๓. ตมสั แปลวาความมือ เปนมูลฐานแหงความรูสึกเฉย ๆ การปราศจากความรูสึก
สนใจ ความรูส ึกสับสน ความหดหเู ซ่อื งซมึ เหงาหงอย เปน ตน กบาวกนั วาสีของตมัสคอื สีคลาํ้
สัตวะ รชัส และตมสั ท้งั ๓ อยางนี้ มลี ักษณะละเอียดประณีตอยางย่ิงจนเราไมสามารถรูจัก
ตวั มนั ท่แี ทจริงไดโ ดยทางประสาทสัมผสั แตก็สามารถรูไ ดโ ดยการอนุมานถงึ ความมีอยูของมันจากการ
มอี ยขู องสง่ิ ตา ง ๆ ซ่ึงเกิดขนึ้ จากการรวมตัวของสิ่งทั้ง ๓ น้ี และสิ่งทั้ง ๓ นี้เรียกวา คุณะ เพราะถอื วา
เปนสงิ่ ท่ีมคี ณุ สมบัตขิ องตวั เองโดยเฉพาะ และเปน สวนประกอบของประกฤติ
ไตรคุณท้ัง ๓ นี้ มีความเคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ และการเคลื่อนไหวเปล่ียนแปลงนี้
เกิดข้ึนเพราะการท่ีไตรคุณถูกรบกวนใหเกิดการเสียความสมดุล เมื่อเกิดการเสียความสมดุล
ววิ ฒั นาการก็เกิดขนึ้ เร่ือยไปตามวิถที างของมนั แตถาเมือ่ ใด ไตรคุณทั้ง ๓ นี้ อยูในภาวะสมดุล จะไมม ี
การเคลื่อนไหว ซ่ึงเรียกวาอยูในภาวะของประกฤติ จะไมม ีการวิวัฒนาการของประกฤติไปเปนส่ิงตาง
๖๓
ๆ และไตรคณุ นี้มีลักษณะที่ชัดแยงกัน แตก็ไปดวยกันเสมอและตลอดไปเหมือนไสตะเกยี งน้ํามนั และ
ไฟ ซึ่งรวมกนั ก็ทาํ ใหเ กดิ การววิ ฒั นาการของประกฤตกิ ลายเปนโลกและทกุ สิ่งทกุ อยางในโลก
ปุรุษะ และประกฤตินั้น แมจะมคี วามแตกตา งกันอยางมากมายแบบหนามอื เปนหลังมือ แต
ท้ัง ๒ ก็มีความสัมพันธกันอยางแนบแนน ขาดปุรุษะ ประกฤติก็เหมือนคนตาบอด ขาดประกฤติ
ปุรุษะก็เหมือนคนพิการ ปุรุษะตองการประกฤติเพ่ือใหบรรลุจุดหมายปลายทางประกฤติตองการปุ
รุษะเพื่อใหไดร ูไ ดเ หน็ ถา ปรุ ษุ ะปละประกฤติรวมกนั กเ็ ปนการสรางสรรคถาแยกกันกม็ ีแตกระบวนการ
ทาํ ลาย
ทฤษฎวี ฒั นาการแหง ปรัชญาสางขยะ
ซง่ึ มีอธิบายดงั นี้
การวิวัฒนาการในตัวของประกฤติมีอยูแลวโดยธรรมชาติ ซ่ึงเกิดขึ้นเพราะความไมสมดุลกัน
ของไตรคุณ การวิวัฒนาการเกิดขน้ึ เร่ิมตนท่กี ารสั่นสะเทือนทีต่ ัว รชัสกอ น เมื่อรชัสสั่นไหวก็ทําใหสัต
วะและตมัสสั่นไหวไปดวย ในไตรคุณทั้ง ๓ นั้น สัตวะ เปนเคา แหงการคล่ีคลายขยายตวั รชัสเปนตน
เคาแหง การสั่นไหว ตมัสเปน ตนเคา แหงการหยดุ นง่ิ เมือ่ ไตรคุณนีส้ นั่ ไหวแลว วิวฒั นาการของสิ่งตาง ๆ
ก็เกดิ ขึ้น โดยการปรากฏเปน โลกและสิ่งตาง ๆ ออกจากประกฤติ
๖๔
ปรัชญาสางขยะกลาววา การเกิดข้ึนของโลกแหงวัตถุเปนไปโดยมจี ุดมงุ หมายคอื เกิดข้ึนเพื่อ
ความบันเทงิ หรือใหบริการแกปุรุษะ ในระดับประสาทสัมผัสประกฤติใหค วามบันเทิงเริงรมยแกปุรุษะ
ในระดับโมกษะ ประกฤตชิ ว ยใหปรุ ษุ ะมองเห็นความแตกตา งระหวางตนเองและประกฤติ
สิ่งแรกทวี่ วิ ัฒนาการมาจากประกฤติ คือ มหัต (พุทธิ) มหัต แปลวา ส่ิงย่งิ ใหญเ ปนตน ตอแหง
โลกท่ีประกอบข้ึนดว ยสิ่งตาง ๆ ถามองในแงขอจิต วิวัฒนาการนี้เรียกวา พทุ ธิ แปลวา สติปญ ญา ทํา
หนาท่ีในการกอใหเกิดความม่ันใจและการตกลงใจ และทําใหบุคคลมองเห็นความแตกตางระหวาง
ตัวเองกับโลกภายนอก หนาที่อันสําคัญท่ีสุดของพุทธิ คือ “ชวยใหปุรุษะมองเห็นความแตกตาง
ระหวา งตนเองและประกฤติ อนั เปน เหตใุ หปรุ ุษะบรรลุโมกษะ พน จากการทีต่ อ งเวยี นวายตายเกดิ ”
ส่ิงท่ีสองที่วิวัฒนาการออกมาจากประกฤติคือ อหังการ ไดแกความรูสึกวาเปนตัวเปนตน
อหังการทาํ ใหบุคคลสรางความรูสึกวา “เปนตัวเรา” “เปนของเรา” ทาํ ใหรูสึกวาเปนผูกระทํากรรม
เปนผูเสวยผลของกรรม เปนผูไดรับสุขและทกุ ขจ ากผลของกรรม ซงึ่ จัดวาเปนความหลงผิด อันมีผล
ผลักดนั ใหบุคคลทํากรรมตา ง ๆ ตามความคดิ เห็นของตน
อหังการ แบง ออกเปน ๓ ชนดิ คอื
๑. สาตวกิ ะ เมื่อมีลกั ษณะของสัตวะเดน กวาคณุ ะชนิดอืน่
๒. ราชสะ เมื่อมลี กั ษณะของรชสั เดน กวา คุณะชนิดอน่ื
๓. ตามสะ เมอ่ื มลี ักษณะของตมัสเดนกวาคุณะชนิดอืน่
สาตวกิ ะ (ชนดิ ท่ี ๑) ทําใหเกดิ มนัส หรอื ใจและอวัยวะอนื่ ๆ อีก ๑๐ อยาง คอื อวัยวะเพ่ือการรับรู ๕
อยาง ไดแก อวัยวะสําหรับการเห็น, การไดยิน, การไดกล่ิน, การลิ้มรส และการถูกตองสัมผัสและ
อวัยวะเพ่ือการกระทํา ๕ อยาง ไดแก ปาก, มือ, เทา , ทวารหนักและอวัยวะสืบพันธ ตามสะ (ชนิดที่
๓) ทําใหเ กดิ มลู ธาตุพน้ื ฐานอันละเอยี ดออ นท่ีเรียกวา ตนั มาตร ๕ ชนิด คือ
๑. มลู ธาตุพนื้ ฐานแหง เสียง ทําใหเกิดอากาศธาตุ ซ่ึงมเี สยี งเปน คุณสมบัติ
๒. มูลธาตุพ้นื ฐานแหง ผสั สะ ทาํ ใหเ กิดธาตุลม ซึ่งมเี สยี งและผสั สะเปน คุณสมบัติ
๓. มูลธาตพุ น้ื ฐานแหง การเหน็ ทาํ ใหเกดิ ธาตุไฟ ซ่ึงมเี สียง ผัสสะและสเี ปน คุณสมบัติ
๔. มูลธาตุพ้นื ฐานแหง การรูรส ทําใหเ กดิ ธาตุนาํ้ ซ่งึ มเี สียง ผัสสะ สี และรสเปน คณุ สมบัติ
๕. มูลธาตุพื้นฐานแหงการไดกล่ิน ทําใหเกิดธาตุดิน ซึ่งมีเสียง ผัสสะ สี รส และกลิ่นเปน
คณุ สมบตั ิ
ราชสะ (ชนิดที่ ๒) เกี่ยวเน่ืองกับ สาตวิกะและตามสะ ทําหนาท่ีเปนพลังงานใหสัตวะ
และตมัสเปลีย่ นแปลงไดต ามลักษณะแหง การกระทําของตน
เร่อื งโมกษะหรอื ความหลุดพน
ปรัชญาสางขยะมจี ุดมุงหมายอยูท่กี ารสรางปญญา (วิทยา) หรือความรูใหเกิดข้ึนเพือ่ ทําลาย
ลา งเหตุแหง ทกุ ข ปลดเปลื้องปุรษุ ะ (อาตมนั ) ออกจากพนั ธนาการ เพ่ือใหเขา ถงึ โมกษะ สางขยะกลาว
๖๕
วา โดยธรรมชาติแลว ปุรุษะ เปนวิญญาณบริสุทธ์ิ เปนอิสระอยูเหนือกาลเทศะ บาป บุญ การติดของ
และความหลุดพน แตก ารติดของจะเกิดขนึ้ เม่ือ ปุรุษะเกิดความเขาใจผิดเกี่ยวกบั สถานะของตนเอง
คือเกดิ หลงผิดวา ตนเองเปนอันหน่ึงอันเดยี วกันกบั พุทธิ อหังการและมนัส (เพราะเห็นเงาของตนเองท่ี
สะทอนออกมาจากพุทธิ) ซ่ึงเปนส่ิงที่วิวัฒนาการมาจากประกฤติ ปุรุษะที่ถูกหอหุมดวยรางกายนี้
เรียกวา ชีวะ เมือ่ ใดชีวะเกดิ ความเขา ใจท่ถี ูกตองวาจนเองท่แี ทจริงนนั้ คือ ปุรุษะ เมื่อน้ันก็เขา ถึงความ
หลุดพน คือถงึ โมกษะ
๔. ปรัชญาโยคะ
ปรัชญาโยคะนี้ตามประวัติกลาววา “ปตัญชลี” เปนผูกอตั้ง ทานไดเขยี นหนังสือข้ึน เรียกวา
“โยคะสูตร” และตอ มา “วยาส” ไดเขียนอรรถาธิบายโยคะสูตรขึ้นอีก คาํ วา โยคะนี้ใชในความหมาย
หลายอยาง เชน “วิธีการ” หมายถึงการที่จะเขาถึงจุดหมายใด ๆ ไดน้ันข้ึนอยูกับวิธีการ โยคะเปน
วิธกี ารอนั หน่ึงทจ่ี ะนาํ ผูปฏิบัติเขาไปสูจ ุดมงุ หมาย คือการบรรลโุ มกษะ แตโ ดยทวั่ ๆ ไปแลว โยคะใชใ น
ความหมายวา “รวม” คือการรวมเอาอาตมันยอยหรือชีวาตมันเขากับอาตมันสากลหรือปรมาตมัน
ตามความมุงหมายของปตัญชลี โยคะหมายถึง “วิริยะ” คือความพากเพียร คือพากเพียรเพื่อแยก
ปรุ ษุ ะออกเด็ดขาดจากประกฤติ เพ่อื ใหป ุรษุ ะอันเปนวิญญาณบริสทุ ธิเ์ ขา ถงึ สถานะแหงโมกษะ
ปรชั ญาโยคะมจี ุดมุงหมายเพอื่ ชว ยใหมนุษยห ลดุ พนจากความทุกขย าก ๓ ประการ คือ
๑. ความทุกขท ่เี กิดจากเหตุภายใน เชน โรคภัยไขเจ็บ หรือการประพฤติผิด บุคคลตอ งปฏิบัติ
ตามโยคะเพอ่ื ใหเ ขา ถึงความไมย ึดถือโลก โดยไมจําเปนตองแยกตัวออกจากโลก
๒. ความทุกขทเี่ กดิ จากเหตุภายนอก เชน การที่ถกู สัตวรายหรือโจรผูรายคุกคามบุคคลตอง
ปฏิบัติโยคะ โดยการสํารวมจิตใจของตนเองเปน การทําจิตใจใหบ รสิ ุทธ์ิ
๓. ความทุกขอันเกิดจากส่ิงนอกอํานาจหรือเหนือธรรมชาติ เชน ธาตุ หรืออํานาจอนั เลนลับ
ละเอียดออน บุคคลพึงปฏิบัติโยคะโดยการทําสมาธิทําจิตใหสงบ อันเปนจุดหมายแทจริงสูงสุดของ
ปรชั ญาโยคะ
โยคะสตู รท่ีทา นปตญั ชลีแตง นน้ั แบง ออกเปน ๔ ตอน คอื
๑. สมาธบิ าท วา ดว ยองคป ระกอบ ธรรมชาติ และจดุ มงุ หมายของสมาธิ
๒. สาธนาบาท วา ดว ยวธิ ีการปฏบิ ตั ิท่จี ะนําไปสกู ารบรรลุสมาธิ
๓. วภิ ตู บิ าท วาดวยอาํ นาจวิเศษทีจ่ ะพึงบรรลถุ งึ ไดด วยการบาํ เพญ็ โยคะ
๔. ไวกลั ยบาท วา ดวยความหลดุ พน หรอื โมกษะ
ปตญั ชลกี ลาววา โยคะไดแกการยุติพฤติกรรมทั้งมวลของจติ ซง่ึ หมายถึงการทําใหจิตหยุดนิ่ง
ไมสัญจรเรรอนไปอยางไมมีขอบเขต วิธีการทําใหจิตหยุดน่ิงในลักษณะน้ีก็คือการบําเพ็ญสมาธิ ซึ่ง
เรียกอีกอยา งหนง่ึ วา การปฏิบตั โิ ยคะ
๖๖
โยคะ ๘ ประการ
การปฏิบัติโยคะเปนการมุง ฝกอบรมรางกาย ประสาทสัมผัสและจิตใหอยูภายใตการควบคุม
อยา งเขม งวด โดยมโี มกษะ หรือความหลุดพนจากทุกขเ ปนจุดหมายปลายทาง และการปฏิบัตโิ ยคะนี้
เปนการปฏิบัติเพ่อื มงุ ฟอกจิตใหสะอาด ปราศจากกิเลสและอาสวะท้ังปวง จิตที่สะอาดดแี ลวยอมเกิด
ความรูแจงเห็นจริงในสัจธรรม และทําใหปุรุษะเขาถึงความหลุดพนเพ่ือจุดประสงคดังกลาว โยคะได
วางหลกั ปฏบิ ตั ไิ ว ๘ ประการ เรยี กวา “อัษฎางคโยคะ” คือ
๑. ยมะ ไดแ กก ารสํารวมระวังในหลัก ๕ ประการ คือ
๑.๑ อหิงสา ไมเ บียดเบยี นหรอื ประทุษรา ยตอมนษุ ยแ ละสัตวทุกชนิด
๑.๒ สตั ยะ การรกั ษาความสัตยท้ังในการทํา การพูด และการคิด
๑.๓ อัสเตยะ การไมขโมย หรือไมถ ือเอาสิ่งของของผูอ่ืนโดยที่เจาของเขามไิ ดใหแก
ตน
๑.๔ พรหมจริยะ การงดเวนจากการเก่ียวขอ งทางเพศ และควบคุมจิตใจไมใหตกอยู
ในอาํ นาจของความรสู ึกทางเพศ
๑.๕ อปริคหะ การไมโลภ ซึ่งหมายถึง การไมย อมรับสิ่งท่ีไมจําเปนแกการครองชีพ
จากผอู ่นื
๒. นิยมะ ไดแกการฝกอบรมตนเองใหบริสุทธ์ิทั้งภายนอกและภายใน ในภายนอกไดแกการ
ชําระลา งรา งกายของตนเองใหบริสุทธ์ิ และบริโภคอาหารท่ีบริสุทธิ์ปราศจากโทษ สวนในภายใน ไดแก
การควบคุมตนเองและฝก ฝนตนเองใหเ กิดมคี ุณธรรม ๔ ประการ คอื
๒.๑ สนั โดษ การยนิ ดีในปจจยั เลย้ี งชีพตามมีตามได
๒.๒ ตบะ การเขมงวดในการปฏิบัติตามหลักคําสอนของโยคะ และการอดทนตอ
หนาว รอ น หิว กระหาย เปน ตน
๒.๓ สวาธยายะ การตัง้ ใจศกึ ษาและทอ งบน หลกั ธรรมคาํ สอนอยางสมาํ่ เสมอ
๒.๔ อีศวรประณิธาน การเจรญิ สมาธิทําใจใหมงุ มนั่ ตอ พระอศี วรผเู ปนเจา
๓. อาสนะ ไดแ กการควบคุมรางกายใหอ ยูใ นอิรยิ าบถท่สี บาย และเปนประโยชนแกการเจริญ
สมาธิ การศึกษาและการฝกรางกายใหอยูในอริ ิยาบถตามลัทธิโยคะนี้จําเปนตอ งอาศยั ผูมคี วามรูและ
ชาํ นาญ เปนผฝู ก สอนและควบคุม โยคะถือวา จติ ยอ มไมอาจตั้งม่นั ในสมาธิได (ตงั้ ม่ันอยางแนวแน) ถา
รางกายออนแอและมีโรคมาก โยคะจึงวางหลักฝกรางกายใหแข็งแรงไวมากมายหลายแบบ เพ่ือให
อวัยวะสวนตาง ๆ ของรางกายสมบูรณแข็งแรง โดยเฉพาะอยางยิ่งระบบประสาทตองอยูในสภาพท่ี
สมบรู ณ ไมเปนอปุ สรรคตอการเปน สมาธทิ ีแ่ นวแนข องจติ
๔. ปราญายามะ ไดแ กก ารกาํ หนดและควบคุมลมหายใจเขาออก ซง่ึ ประกอบดวยการหายใจ
เขา (แลว หยดุ หายใจครหู น่ึง) และหายใจออก การปฏิบัตนิ ี้ตองอยูภายใตการควบคมุ ของผูชํานาญการ
๖๗
ในเรื่องนี้เปนอยางดี เพราะถาปฏิบัติผิดอาจเปนผลรายแกผูปฏิบัติ โยคี (ผูปฏิบัติโยคะ) ท่ีมีความ
ชํานาญในการควบคุมลมหายใจเขาออก สามารถหยุดลมหายใจไดนาน ๆ ตลอดเวลาท่รี างกายหยุด
หายใจนี้ จติ จะตง้ั ม่นั อยใู นสมาธิอยางไมห ว่ันไหวตลอดเวลา
๕. ปรัตยาหาระ ไดแ กการควบคมุ ประสาทสัมผัส โดยการปดประตูท่มี าของอารมณภายนอก
๕ ทาง คอื ทางตา หู จมูก ลิน้ และกายหรือผวิ หนงั เพง จิตใหจ ดจอ อยูกบั อารมณของสมาธิเพยี งอยาง
เดยี ว
๖. ธารณะ ไดแกการกําหนดจิตใหจดจอแนวแนอยูกับอารมณของสมาธิ (หรืออารมณของ
จิต) อารมณของสมาธิท่ีจิตไปจดจอนั้นอาจเปนสิ่งใดส่ิงหน่ึงนอกกายก็ได เชน ไฟในกองไฟ ดวง
อาทิตย เทวรูป หรือเปนจุดใดจุดหน่ึงในกายกไ็ ด เชน สะดือ ปลายจมูก เปนตน ผูทปี่ ฏิบัตโิ ยคะตอง
ควบคุมจติ ใหแ นวแนอยูกับสงิ่ ใดสิ่งหนึง่ หรือจดุ ใดจุดหนง่ึ ดังกลา วตลอดเวลา ไมวอกแวกซัดสายไปกับ
อารมณอื่นทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ ทางประสาทสมั ผัสใด ๆ ในขณะน้ัน เมื่อทาํ ไดดังนีส้ มาธิจติ กจ็ ะเกดิ ขนึ้
๗. ธยานะ ไดแกการที่จิตแนวแนอยูกับส่ิงใดสิ่งหนึ่งหรือจุดใดจุดหน่ึง (ดังในธารณะ) การ
แนวแนของจิตน้ีเปนไปอยางสมํ่าเสมอและปราศจากการหยุดชะงักตลอดเวลาท่ีปฏิบัติสมาธิอยู
เปรียบเหมือนกระแสนํ้าทไ่ี หลเรอ่ื ยในลําธารไมขาดสายไมม สี ่งิ ใดมาสกัดกนั้ ใหข าดสายและหยดุ ไหล
๘. สมาธิ เปนข้ันสุดทายของการปฏิบัติโยคะ หมายถึงการที่จิตด่ืมด่ําในอารมณของสมาธิ
อยางเต็มท่ี ในข้ึนน้ี จิตกับอารมณของจิตไดกลายเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ความรูสึกวาตองเพงหรือ
กาํ ลังเพง จิตไปทจี่ ุดหรือวัตถุอันเปนอารมณของจิตไมมีอยูอีก คงมแี ตส่ิงท่ีเปนอารมณของจิตเทาน้ัน
ลอยเดนเจิดจา อยูในจิต ข้นั นเี้ ปน ข้ันทีค่ วามสัมพนั ธกบั โลกภายนอกทางประสาทสัมผัสของผูปฏิบัตไิ ด
ถูกตัดขาดโดยส้นิ เชิงและเปน ขน้ั ทผ่ี ูปฏิบตั โิ ยคะตอ งผานกอ นท่จี ะบรรลโุ มกษะ
ในหลักปฏิบัติโยคะท้ัง ๘ ประการน้ี ๕ ขอ แรก ถือวาเปนการปฏิบัตภิ ายนอกเรียกวา “พาหิ
รังคะสาธนะ” เปนการปฏิบัติที่มีประโยชนเกื้อกูลแกสมาธิ สวน ๓ ขอหลัง เปนการปฏิบัติภายใน
เรียกวา “จันตรังคะสาธนะ” เปนการปฏิบัติเพื่อสมาธิโดยตรง และในการปฏิบัติโยคะท้ัง ๘ ขอนั้น
การปฏิบัติ ๗ ขอ แรกเปนเพยี งวิธีการ (MEANS) หรือหลักปฏิบัตทิ ่ีสงตอ กนั โดยลําดับเหมอื นการกาว
บันได ๗ ขั้น สวนการปฏิบัตขิ อสุดทาย (ขอท่ี ๘) หรือสมาธิ เปนจุดหมายปลายทาง (END) เหมือน
การกาวผานบนั ได ๗ ข้ันมาแลว ยืนอยบู นบานหรอื พน้ื ปราสาท
ปรัชญาสางขยะและปรชั ญาโยคะ มคี วามสัมพนั ธก นั อยางใกลชิด เปรียบเหมือนดานสองดา น
ของเหรียญอันเดียวกัน คัมภีรภควัทคีตา ไดกลาวถึงระบบทั้งสองนี้เปนระบบเดียวกันและ M.
HIRIYANNA ก็ไดก ลาวเปนระบบเดียวกันในหนังสอื OUTLINE OF INDIAN PHILOSOPHY ปรัชญา
สางขยะเปนภาคทฤษฎี ปรัชญาโยคะเปนภาคปฏิบัตเิ พือ่ ใหไ ดผ ลหรือเกิดผลตามทฤษฎี ปรัชญาโยคะ
ยอมรับหลักปรัชญาของสางขยะเปนสวนใหญ จะแตกตางกันก็ใน เร่ืองของพระเจา กลาวคือตาม
ทศั นะของสางขยะ แรกทีเดียวปรัขญาสางขยะเปนเอกเทวนิยมคือเชื่อถือในความมีอยูของพระเจาผู
๖๘
ยิ่งใหญองคเดียว ตอมาไดรับอิทธิพลจากปรัชญาจารวาก เชน และพุทธ จึงกลายเปนอเทวนิยม แต
ภายหลงั ไดม กี ารรอ้ื ฟน ความคดิ เทวนิยมข้ึนอีกโดยวิชญานภิกษุ เปนตน แตพระเจาในทศั นะนี้แทบไม
มีความหมายเลย เพราะไมมีความหมายเลย เพราะไมกอใหเกดิ ความเปลี่ยนแปลงใด ๆ โดยอํานาจ
ของพระเจา แตการเกดิ ขึ้นและเปน ไปของสรรพส่ิงในโลกมมี ลู เหตุมาจากปุรุษะ และประกฤตเิ ทา น้ัน
ตามทัศนะของโยคะ ปรัชญาโยคะยอมรับในความมอี ยูของพระเจา ท้ังในทางทฤษฎีและทาง
ปฏิบัติ ปตัญชลีมองพระเจาในแงการปฏิบัติอยางเดียว โดยการแสดงความจงรักภักดีตอพระเจา
(อิศวรประณิธาน) เปนส่ิงสําคัญ เพราะเปนสวนหนึ่งของการปฏิบัติที่จะนําไปสูการหลุดพนได แต
คณาจารยใ นยุคหลงั อธบิ ายตคี วามและพสิ ูจนพระเจาทัง้ ในแงท ฤษฎแี ละปฏิบตั ิ โดยมีทัศนะวาพระเจา
ทรงเปนปุรุษะพิเศษ ท่ีปราศจากขอบกพรอง สมบูรณดวยคุณสมบัติทุกอยาง สถิตอยูทุกแหงหนเปน
สัพพัญูและมีอิทธานุภาพมากมาย ฯลฯ พระเจาเปนผูสมบูรณตลอดกาล และสมบูรณดวยความรู
และอํานาจอันไมมขี อบเขต พระเจาเปนผูบันดาลใหเ กิดการรวมตัวและแยกตัวออกจากกันของปุรุษะ
และประกฤติ ตามทัศนะของโยคะนี้ พระเจามิใชผูสรางโลก แตเปนผูบันดาลใหเกิดการรวมตัวและ
แยกตัวของปุรุษะและประกฤติ พระเจาชวยใหผูปฏิบัติโยคะที่มีความภักดีตอพระองคไดรับความ
สะดวกในการปฏิบตั ธิ รรมและเขา ถงึ โมกษะไดง าย
๕. ปรชั ญามมี ามสา
ปรัชญามีมามสา เรียกอีกช่ือหน่ึงวา “ปูรวมีมามสา” นั้น คําวา “มีมามสา” แปลวา “การ
สอบสวน การพิจารณา” หมายถึงการสอบสวนพิจารณาพระเวท แปลโดยพยัญชนะวา “ความคิดที่
ไดรับการยกยอง” เดิมท่ใี ชสําหรับการอธิลายความแหงพิธีกรรมในพระเวทปจจุบันใชในความหมาย
“การพิจารณาสอบสวนอยางถี่ถวน” ปรัชญาลัทธิน้ีไดใหกฎเกณฑที่เกี่ยวกับการอธิบายความหมาย
แหงขอ กาํ หนดทีก่ ลา วไวในพระเวทและในขณะเดียวกนั ก็ใหค วามสําคัญแกพ ิธีกรรมที่บัญญัตไิ วในพระ
เวทดว ย
ปรัชญามีมามสา เปนปรัชญาท่ีเกี่ยวกับคาํ สอนตอนตนของคัมภีรพระเวท อันไดแกตอนทีว่ า
ดวยมันตระและพราหมณะ อันรียกวา กรรมกัณฑ เพราะเปนคําสอนท่ีเกี่ยวเนื่องกับการกระทํา
เก่ียวกับพิธีกรรมและการบูชายัญ จ่ึงรียกวา บูรวมีมามสา (หรือกรรมมีมามสา) มีมามสา ถือวาพระ
เวทเปน สิ่งท่ีดํารงอยูช่ัวนิรันดร ไมมผี ูแตง มคี วามถกู ตอ งสมบูรณแ ละมีความสําคัญที่สุด พระเวทเปน
คมั ภีรแหง พิธีกรรมท่กี ลา วถงึ ขอปฏบิ ตั ติ าง ๆ จุดมุงหมายของมีมามสาก็คือ การอธิบายคัมภีรพระเวท
และแสดงความคิดทางปรัชญาเพ่อื เสริมสรางพระเวทใหมีหลักฐาน มีความสมเหตุสมผลและนาเชื่อถือ
ยง่ิ ขนึ้ มมี ามสา ไดทาํ การสอบสวนอยางละเอยี ดถี่ถวนเกีย่ วกบั ธรรมชาติและความถูกตอ งแหงความรู
ตลอดจนวิธตี า ง ๆ ที่นาํ ไปสคู วามรทู ถ่ี กู ตอง เพอ่ื มุงถึงความหลดุ พนจากทุกขท ง้ั ปวง
วรรณกรรมชิ้นแรกของมีมามสาไดแก “มีมามสาสตู ร” ซึ่งแตง โดย ไซมินิ สูตรน้ีเร่ิมตนดวย
การแสวงหาขอเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของสิงท่ีเรียกวา “ธรรม” เปนสูตรท่ียาวมาก ตอมา
๖๙
ประภากรและกุมาริลไดแตงอธิบายความในมีมามสาสูตรข้ึนอีกคนละฉบับ ซ่ึงทําใหมีมามสาแตก
ออกเปน ๒ นิกาย และศิษยของทานท้ังสองก็ไดแตงหนังสืออธิบายความในหนังสือ ๒ ฉบับน้ันอีก
มากมายหลายฉบับ
เนอื้ หาสาระสําคัญของมมี ามสา คือการสอบสวนถงึ ธรรมชาติแหงการกระทําท่ีถกู ตอ งซึ่งเรียก
ส้ันๆ วา “ธรรม” หรือมีมามสาพูดถงึ ธรรมเปนสวนใหญ ขอเสนอขัน้ มลู ฐานของมีมามสาคือ “หนาท่ี
หรือการกระทําเปนสาระสําคัญย่งิ ของความเปนมนุษย ถาไมมกี ารกระทําปญญาก็ไมมีผล ถา ไมมีการ
กระทาํ ความสุขกเ็ ปนส่ิงท่ีเปนไปไมไ ด ถา ไมมกี ารกระทําจุดหมายปลายทางของมนุษยกไ็ มมีทางจะทํา
ใหส มบรู ณได” ดงั นัน้ การกระทําท่ีถกู ตอ งซึง่ เรยี กวา “ธรรม” จงึ เปน สิ่งจาํ เปนเบอ้ื งตนของชีวติ
ธรรมไดแ ก “คําสง่ั หรอื บทบัญญัตทิ ี่กําหนดใหมนุษยตองกระทํากรรม” ธรรมเปนสิ่งท่ีมคี วาม
เก่ียวของกับความสุขที่บุคคลจะไดรับ กรรมใดท่ีบุคคลกระทําและสอดคลองกับธรรม กรรมน้ันเปน
กรรมดีจะกอใหเกิดผลเปนความสุขสวนอธรรมมีนัยตรงขาม กรรมที่บุคคลทําลงไปนั้นจะกอใหเกิด
อํานาจลึกลับมองไมเห็นข้นึ ในตวั ของชีวาตมัน และอํานาจลึกลับนี้เปนส่ิงเช่ือมโยงระหวางกรรมและ
ผลแหง กรรม มนั เปนพลังศกั ยะ ทแ่ี ฝงอยูในการกระทําซึ่งเปนเหตใุ หเกดิ ผลขนึ้ ตามควรแกกรรมน้ัน ๆ
มีมามสาไดแบง กรรมออกเปน ๓ อยาง คอื
๑. กรรมทต่ี องทํา เปน กรรมที่จะตองทําโดยสวนเดยี ว การงดเวนไมทําเปน บาป
๒. กรรมท่ที ําก็ไดไมทําก็ได เปนกรรมท่ีจะทําหรือไมทํากไ็ ด การกระทํากรรมกอใหเกดิ บุญ
การไมท ําไมก อใหโทษหรือบาปอะไร
๓. กรรมที่ตองหาม เปนกรรมท่ีหามมิใหกระทํา ถาขนื ทําจะเกิดเปนบาปในตอนแรก มมี าม
สาเช่ือเฉพาะเร่ืองธรรมอยางเดียว จุดประสงคสูงสุดจึงอยูที่สวรรคแตในตอนหลังเชื่อถือเร่ืองของ
โมกษะดวย จุดมุงหมายสุดทายจึงเปนไปเพอื่ ความหลุดพนจากทกุ ข แทนการเขาถึงสวรรค มีมามสา
กลา ววา จุดมุงหมายสูงสุดของมนุษยค อื โมกษะ และสามารถเขา ถึงไดดวยการทาํ ลายกรรมอันเปนเหตุ
ใหเขาถึงนรกและสวรรค ผูแสวงหาโมกษะเอาอยูเหนือบุญหรือบาป อยูเหนือสวรรคเหนือนรก แม
จะตองทําหนาที่ในชีวิตประจําวันก็ตองถือวาทําหนาท่ีเพ่ือหนาที่ ทําทกุ ส่ิงทุกอยางดวยการปลอยวาง
ไมยึดม่ันไมติดใจในผลของหนาที่ และถือวาการทําหนาท่ีดังกลาวเปนการปฏิบัติตามประเวทโดย
สมบูรณ และเปน เหตใุ หบ รรลุโมกษะ
เกี่ยวกับธรรมชาติของความรู มีมามสามีทัศนะวา ความรูทุกอยางมีความสมเหตุสมผลใน
ตัวเอง ความสมเหตุสมผลของความรูเกิดจากเหตุแทจริงท่ีใหเกิดความรูนั้น หรือเกิดจากธรรมชาติ
แทจริงของเหตทุ ี่ใหเกิดความรูน้ัน มิไดเกดิ จากเง่อื นไขพเิ ศษอื่นแตประการใด ปรัชญามมี ามสาไดว าง
เงือ่ นไขของความรทู ่ีสมเหตุสมผลไว ๔ ประการ คอื
๑. ตองไมเ กิดจากเหตุท่ขี ดั แยงกัน
๒. ตอ งไมม ขี อขดั แยง ทางตรรกวิทยา
๗๐
๓. ตองเขาใจส่ิงไมเคยเขาใจมากอน
๔. ตองเปน ตัวแทนของสงิ่ ท้ังหลายไดจ รงิ
ธรรมชาตขิ องความรูแ บงออกเปน ๒ อยา ง คอื
๑. ทฤษฎขี องประภากร เรียกวา “ตรีปตุ ปี รตั ยักษวาทะ” กลาววา ความรเู ปน สงิ่ ที่เปดเผย
และปรากฏตัวของมันเองไดโ ดยไมตองอาศยั สิ่งใดมาชวย แตถึงกระน้ันมันก็ไมเ ทีย่ งมีการเกดิ ข้ึนและ
สญู หายไปได ในขณะทค่ี วามรูเ ปดเผยตวั เองนน้ั มันเปด เผยทัง้ ผรู แู ละส่ิงท่ีถูกรู
๒. ทฤษฎีของกุมาริล เรียกวา “ชญาตตาวาทะ” ความรูนั้นมิไดเปนส่ิงที่เปดเผยตัวเอง แต
เปนสิ่งท่ีเรารูหรือสัมผัสไมได และเราไมสามารถจะรับรูความรูไดโดยตรงและในทีนทีทันใด เราจะ
ทราบความมีอยขู องความรโู ดยการอนมุ านเทานั้น
วิถีแหงการรับรูท ่ีถูกตอ ง ปรัชญามมี ามสาถอื วา ความรูนัน้ เองเปนประมาณะหรือท่ีมาแหง
ความรู มมี ามสา กลา วถึงท่ีมาแหงความรูไว ๖ ประการ คอื
๑. ความรูทีป่ ระจกั ษ
๒. ความรูจ ากการอนุมาน
๓. ความรจู ากการบอกเลา
๔. ความรูจ ากการเปรยี บเทียบ
๕. ความรดู ัชนยี นัย ไดแ กความรูท่เี กิดจากการอา งเหตุผลและมเี งื่อนไข เชน
นาย ก ยังมชี วี ติ อยู
นาย ก ไมอยูบาน
ดงั นัน้ นาย ก ตอ งอยูท่ีใดที่หนงึ่ นอกบา น
๖. ความรูโดยการปฏิเสธหรอื ความรูท ม่ี าจากการไมร ู
ปรัชญามมี ามสา เปนพหุสัจนยิ ม (Pluralistic Realism) ซง่ึ เชื่อในความมอี ยูจริงของโลก
ภายนอกและชวี าตมนั โดยเช่อื วาชวี าตมันมอี ยูเปน จาํ นวนมากมาย เชนเดียวกับรางกาย ซ่ึงเปนท่ีสิง
อยแู หง ชีวาตมันมีจํานวนมากมายเชนกนั มชี วี าตมันที่ถงึ ความหลุดพนแลว อนั ปราศจากรางกายเปน ท่ี
องิ อาศัยอยเู ปนจาํ นวนมาก มีปรมาณูอยูเปน จาํ นวนมากและมสี ารซงึ่ ดํารงอยชู วั่ นริ นั ดรช นดิ อืน่ ๆ
เปนจํานวนมากเชนกนั ปรัชญามมี ามสากลาววา โลกไมม ใี ครสรางและไมม ีแตกสลาย มันจะดาํ รงอยู
อยา งนีต้ ลอดไป ไมม ีกาลไหน ๆ ท่ีสากลจักรวาลจะมลี ักษณะผิดแผกแตกตา งไปจากท่มี นั เปนอยใู น
เวลานี้
ประภากร กลาววา ปทารถะ หรือส่ิงตาง ๆ น้ันมีอยู ๗ อยาง คือ ๑. สสาร (ทรัพยะ) ๒.
คณุ สมบตั ิ (คณุ ะ) ๓. การกระทาํ (กรรมะ) ๔. สากลภาพ (สามานยะ) ๕. อนุสยภาพ (ปรตันตรตา) ๖.
พลงั (ศกั ดิ์) ๗. ความคลายคลึง (สาทฤศยะ)
๗๑
กมุ าริล กลาววา ปทารถะ หรือส่ิงตาง ๆ มีอยู ๕ อยาง คอื ๑. สสาร ๒. คณุ สมบัติ ๓. การ
กระทํา ๔. สากลภาพ และ ๕. การปฏิเสธ (การปฏิเสธมี ๔ อยาง คือ ความไมมีอยูกอน,ความไมมีใน
ภายหลัง,ความไมม ีทเ่ี น่อื งกนั , และความไมม ีโดยเด็ดขาด)
๖. ปรัชญาเวทานตะ
ปรชั ญาเวทานตะนี้ “พาทรายนะ” เปนผูกอ ตั้งข้ึน และเปนผูเรียบรอยคมั ภีร “เวทานะสูตร”
ขนึ้ เวทานตะน้ีมีชื่อเรียกอีกอยางหน่ึงวา “อตุ รมมี ามสา” (หรือ ชญาณมีมามสา) เพราะสอบสวนใน
สวนสุดทาย หรือเบ้ืองปลายของคัมภีรพระเวท ไดแกการสอบสวนพิจารณาอุปนิษัท คําวา
“เวทานตะ” แปลวา “ที่สุดของพระเวท หรอื หมายถึงความรูท่สี ูงสุด” โดยเหตทุ ่ีเวทานตะสอบสวนถงึ
สวนสุดทายของคัมภีรพระเวท (คืออุปนิษัท) จึงตั้งอยูบนพ้ืนฐานแหงปรัชญาอุปนิษัท ซ่ึงถือวาเปน
ทส่ี ดุ แหง พระเวท
ปรชั ญาเวทานตะนี้ไดแ บงออกเปน ๓ กลุมดว ยกนั คอื
๑. อทไวตะ เวทานตะ (Advaita Vadanta) โดยศงั กราจารยเ ปนผูกอตง้ั
๒. วิศษิ ตะ ไวตะ เวทานตะ (Visista Dvaita Vadanta) โดยรามานชุ ะเปนผูกอตั้ง
๓. ทไวตะ เวทานตะ (Dvaita Vadaanta) โดยมทั วะเปนผูกอตง้ั ซง่ึ ทงั้ ๓ กลุมน้ีมอี ธิบาย
ดังนี้
๑. อทไวตะ เวทานตะ
ปรัชญา อทไวตะ เวทานตะนี้ ไดเริ่มเกิดข้ึนในสมัยของ เคาฑปาทะ และไดรับการพัฒนา
เจริญขึ้นแพรหลายจนถึงขีดสุดยอดในสมัยของ ศังกราจารย ศังกราจารยเปนนักปรัชญาฮินดูท่ีมี
ชื่อเสียงท่ีสุด เกดิ ท่ี กาลทิ เมือ่ ค.ศ. ๗๘๘ ถงึ แกกรรมเมอ่ื ค.ศ. ๘๒๐ มีอายุไดเพยี ง ๓๒ ป ปรัชญา
อทไวตะ เวทานตะนี้ ศังกราจารยเปนผูประกาศใหแพรหลาย จึงนิยมเรียกกันวาอทไวตะเวมานตะ
ของศงั กราจารย
วรรณคดที ถ่ี อื วาสําคัญและเปน ท่มี าของอทไวตะ เวทานตะ ไดแก อรรถกถา ๓ เร่อื ง คือ
๑. อรรถกถา อปุ นษิ ัท (ของศังกราจารย)
๒. อรรถกถา ภควัทคตี า และ
๓. อรรถกถา พรหมสูตร (ของพาทรายนะ)
สาระสําคัญของปรัชญาอทไวตะ เวทานตะ ของศงั กราจารยนมี้ ีใจความสําคญั ดังน้ี
๑. ส่งิ แทจรงิ อนั ตมิ ะ (Untimate Reality) มเี พยี งส่ิงเดียวคือ พรหมัน
๒. ในแงแหงความจริงอนั ตมิ ะ โลกมิใชสิ่งท่ีแทจริง โลกเปนเพียงปรากฏการณของ
พรหมันหรือการปรากฏของพรหมัน ดวยอาํ นาจของมายาอนั เปน อาํ นาจที่อนุสัยอยใู นตวั พรหมัน
๗๒
๓. ชีวาตมันถูกยดึ ดว ยความหลงผดิ เพราะอาํ นาจของอวิทยา วาตนเองแตกตางจาก
พรหมนั และเขา ใจผดิ วา พรหมนั เปน โลกแหง ความหลากหลาย (มากมาย)
๔. เมอ่ื วิทยาเกิดขึน้ และทําลายอวิทยาเสยี ได บุคคลยอ มบรรลุโมกษะ
ปรชั ญาอทไวตะ เวทานตะ มีสาระสําคญั ท่ีพงึ ศกึ ษาและทาํ ความเขาใจ ดังนี้
๑. อาตมัน
อาตมัน ตามทัศนะของศังกราจารย อาตมัน (ตัวตน) คือความจริงที่ปรากฏในท่ีทุกหนทุก
แหง เปนตัวตนของสรรพสิ่ง อาตมันมีลักษณะเปนเอกสากล (Universal) และอนันต (Infinite)
อาตมันนี้มิใชตัวตนของปจเจกชน และมิไดหมายถึงสวนรวมของตัวตนเชนกัน ศังกราจารยกลาววา
“อาตมันมใิ ชส่ิงใดส่ิงหน่ึงตามความรูสึกท่ัว ๆ ไปของเราท่ีอาจใชคําพูดอธิบายลักษณะได ทง้ั มิใชวัตถุ
แหการรับรูของเราท่ีเราสามารถรูไดโดยวิธีธรรมดาสามญั อาตมนั เปนสิ่งที่ไมสามารถใชสัญลักษณใด
ๆ มาอธบิ ายได”
ศังกราจารยคน พบวา ความมีอยูอยางแนนอนของตัวตน (อาตมา) เปนพนื้ ฐานแหงความจริง
อื่น ๆท้ังหมด เพราะกอนที่ความจริงเก่ียวกับส่ิงอื่น ๆ จะปรากฏ (หรือมีการรับรู) จะตองมีตัวตน
(อาตมัน) เสียกอน เพราะความจริงหรือความมีอยูของสิ่งอ่ืน ๆ นั้นเปนส่ิงที่รูไดโดยอาตมันหรือรับรู
โดยอาตมัน แตในขณะเดียวกัน ศังกราจารยก็กลาววาเราไมอาจรูจักอาตมันไดโดยการใชความคิด
เพราะตวั ความคดิ เองเปนสิง่ ไมเ ท่ยี ง แตเรารูไดว าตวั ตนหรืออาตมันมีอยูโดยการคาดคะเนหรืออนุมาน
เทานั้น เขากลาววา เราจะรูและเขาใจอาตมันไดอยางถกู ตองโดยการดงึ เอาสิ่งแวดลอม ประสบการณ
ออกไปหมด จะเหลือแตส ่ิงๆ หนึ่งท่ีเปนวิญญาณบริสุทธิ์ มีสถานะในการท่ีจะคิด มคี วามรูสึกรับรูโลก
ภายนอก เปนส่ิงที่เหลืออยูเม่ือรางกายแตกสลายไป เปนสิ่งที่เที่ยงแท ไมแตกดับ ส่ิงนี้คืออาตมัน
ดงั นน้ั อาตมนั จึงไดแ กตัวตนสากลที่เปน พืน้ ฐานแหงสากลยอ ยทั้งหลาย เปนเอกภาพของทกุ ส่งิ
๒. พรหมัน
ปรัชญาอทไวตะ เวทานตะ ของศังกราจารยถือวา อาตมันและพรหมนั เปนสิ่งเดยี วกันคอื เปน
วิญญาณบริสทุ ธ์ิ แตทเี่ รียกชอ่ื เปนสองอยา งเพราะการมองหรอื พูดถึงในแงทีต่ า งกันคอื ถามองจากแงที่
เปนตัวตนซง่ึ เปนแกนกลางของชีวิต เปนตัวผูรูก็เรียกวา อาตมนั แตถามองจากแงท ี่ถูกรูก็เรียกวา พร
หมัน ที่จริงแลวอาตมันและพรหมันเปนสิ่งท่ีดํารงอยูเหนือทวิภาวะของผูรูและส่ิงท่ีถูกรู ทั้งอยูเหนือ
ไตรภาวะของผูรู สิ่งท่ีถูกรูและความรู พรหมันเปนทุกสิ่งและทุกอยางคือพรหมัน พรหมันเปนส่ิง
แทจ รงิ เพียงอยางเดยี ว พรหมนั ดาํ รงอยไู ดโดยภาวะของตนเองไมตองอิงอาศัยเหตุปจจัยใด ๆ เพ่อื การ
ดํารงอยูหรือมีอยู พรหมันเปนพนื้ ฐานของสิ่งที่มีอยู เปนอยูอื่น ๆ ดาํ รงอยูเหนือกาล เวลาและอากาศ
ธรรมชาติขอพรหมันเปนส่ิงที่ไมอาจใชคําพูดบรรยายใหถูกตองได พรหมันเปนสิ่งแทจริง เปนสัต
(Being) เปนจิต (Consciousness) และเปนอานันทะ (Bliss) (ตรงขามกับสภาวะที่เรียกวาทุกข) สัต
จติ และอานันทะ ท้ัง ๓ คาํ น้ชี บ้ี อกลกั ษณะหรอื ภาวะแทจรงิ ของพรหมันไดโ ดยญาณทัศนะเทาน้ัน
๗๓
จึงสรุปไดวา ตามทศั นะของอทไวตะ เวทานตะของศังกราจารย “พรหมนั ” เปนอันหน่ึงอัน
เดียวกบั อาตมัน เปนสิ่งสัมบูรณท ่ีอยูเหนือปรากฏการณธรรมชาติ เปนสิ่งเทยี่ งแทเพยี งสิ่งเดียว ส่ิงท้ัง
ปวงเกิดขึ้น ดํารงอยูและสลายไปในพรหมัน พรหมันเปนมูลการณะ ของทุกส่ิงทุกอยางในจักรวาล
เปนสง่ิ เท่ยี งแทไมเปลย่ี นแปลง ไมอาจใชคาํ พูดอธิบายลักษณะของมนั ไดอยูเหนือกาละและเทศะ เปน
เบอ้ื งตน และที่สุดของสรรพส่งิ
๓. อศี วรและการสรา งโลก
พรหมันตามที่กลาวมาแลวนั้นเปนการมองในแงของส่ิงสัมบูรณ เรียกช่ืออีกอยางหนึ่งวา
ปรพรหม แตถาพูดถึงพรหมันในฐานะเปนพระเจาสูงสุด หรือพระเจาท่ีมีรูปรางตัวตนเหมือนอยาง
มนุษย เรียกวา อปรพรหม หรือ อีศวร (พรหมัน = อนั ตมิ ะสูงสุดไมมรี ูปรางหากแตเปนสภาวะที่เปน
พีชะของสรรพสิ่ง, อีศวร = พระเจาที่มีรูปรางหนาตาเหมือนอยางมนุษย) คัมภีรอุปนิษัทกลาววา
อีศวรเปนปฐมธาตุท่ีทําใหโลกแหงประสบการณของเราเกิดข้ึน สวนตัวอีศวรเองเปนส่ิงท่ีเกิดข้ึนเอง
โดยไมมีเหตุ เปนส่ิงที่เกดิ ขนึ้ เองและดํารงไดดวยตวั เอง ปรัชญาอทไวตะ เวทานตะ ยอมรับคํากลาวน้ี
และถือวา พระอีศวรมีอํานาจในการสรางโลกพรอมอยูในพระองคเอง โดยไมตองอาศัยอะไรมาเปน
เครื่องชว ย พระองคม อี าํ นาจอยใู นตวั จึงเนรมิตพระองคเองเปน ส่ิงตางๆ อีกอยางหนึ่ง ปรัชญาอทไวตะ
เวทานตะ กลาวถงึ การสรางโลกวา การสรางโลกมิไดเปนเจตจํานงของพระอีศวร การเกดิ ข้ึนของโลก
เปนการหลัง่ ไหลคลี่คลายออกมาเองจากธรรมชาติอนั สมบูรณเต็มทีข่ องพระองค เหมอื นนํ้าไหลจากท่ี
สูงลงสูท่ตี ํา่ การเกิดขึ้นของโลกเองจากพระอีศวรเปนไปโดยอตั โนมัติ พระอีศวรมิไดมีเจตนาสรางโลก
แตก ็ยบั ยง้ั ไมใหโลกเกดิ ขน้ึ ไมไ ด
เรื่องอีศวรผูสรางสรรพสิ่งนี้ทําใหมองดคู อนขางจะสับสนพอสมควร เพราะบางแหงยืนยันวา
อศี วรเปน ผูสราง แตบางแหงก็ยืนยันวาเกิดขน้ึ เองโดยธรรมชาติจากอศี วร แตทงั้ หมดกถ็ ือไดวา อีศวร
สรา งอยนู ัน่ เอง
๔. มายา
นักปรัชญากลุม อทไวตะ เวทานตะ มีทัศนะเก่ียวกบั มายาแตกตางกันออกเปน ๒ กลุม คือ
กลมุ ที่ ๑ เหน็ วา มายาและอวิทยาเปนส่ิงเดยี วกนั มีความหมายเหมอื นกนั กลุมนี้รวมถึงศังก
ราจารยดว ย และไดแบงหนา ทข่ี องมายาออกเปน ๒ ชนดิ คือ
๑. อาวรณะ หมายถึงหนาท่ีของมายาหรืออวิทยาในการปกปดหรือซอนสิ่งแทจริงไวทําให
ชีวะไมอ าจมองเห็นพรหมนั ไดตามความจรงิ อาวรณะจงึ เปนแงน ิเสธของมายา
๒. วิกเษปะ หมายถึงหนาที่ในการฉายภาพของพรหมันออกมาใหปรากฏเปนโลกแหงวิวิธ
ภาพ
กลุมที่ ๒ เห็นวา มายากับอวิทยามิใชส่ิงเดียวกัน และมีความหมายตางกัน กลุมน้ีเห็นวา
มายา มีความหมายในแงบวก หรือยืนยัน มายาเปนสิ่งที่ตองขึ้นอยูกับพรหมนั และไมอ าจแยกจากพร
๗๔
หมนั ได มายาทําหนาทเ่ี ปนตัวกลางสะทอ นภาพของพรหมนั สว นอวิทยา มคี วามหมายหนักไปในทาง
ปฏิเสธหรอื ทางลบ โดยเปน ภาวะการขาดความรูใ นสจั ภาพหรือสง่ิ แทจริง
ศงั กราจารยไดแสดงลักษณะของมายาไว ดงั นี้
๑. มายา เปนส่ิงทมี่ ีสภาวะเปนวัตถุ (คลายประกฤติ) และไรสัมปชัญญะ มีลักษณะตรงขาม
กับพรหมซ่ึงเปนสภาวะวิญญาณบริสุทธ์ิ การเปนอยูของมายาตองอาศัยพรหมันไมอาจแยกจากพร
หมันได
๒. มายา เปนอาํ นาจทอี่ นสุ ัยอยใู นพรหมัน มายาทําหนาท่ีเปน สือ่ กลางแหงการปรากฏของพร
หมันเปนโลกแหง พหุภาพ
๓. มายา เปน สิ่งทไ่ี มมเี บื้องตน
๔. มายา เปนสิ่งที่มอี ยู (ภาวรูป) แตไมมใี นลักษณะของสิ่งท่ีแทจริง และทําหนาที่ ๒ อยาง
คือ ในแงล บ มายาทําหนาที่ปกปดหรือซอนเรนสัจภาพหรือสิ่งแทจริงโดยปรากฏเปนประดุจมานก้ัน
กําบงั สง่ิ แทจ ริงน้นั ไว ในแงบ วก มายาทาํ หนา ที่ฉายโลกแหง พหุภาพใหปรากฏข้นึ จากพรหมัน
๕. มายา เปน สิ่งทไ่ี มสามารถนิยามหรอื อธบิ ายดวยคาํ พดู
๖. มายา เปนสง่ิ สมั พัทธ มันเปนเพยี งสิ่งที่ปรากฏมเี ทาน้นั
๗. มายา มีลักษณะปกคลุม (อธั ยาสะ) เปน ความหลงผดิ เชน เหน็ เปลือกหอยเปนแผน เงิน
๘. มายา หรอื อวทิ ยา เปน สิ่งที่ขจัดใหห มดสิ้นไปไดดว ยความรูชอบ
๙. มายา หรืออวทิ ยาสาํ แดงตนใน ๓ ลกั ษณะคือ
๑. เปนความรผู ดิ
๒. เปนความสงสัยในส่งิ แทจรงิ
๓. เปนการขาดความรทู ถี่ ูกตอง
จึงสรุปไดวา มายาและอวิทยาเปนสิ่งเดียวกัน แตเรียกชื่อตางกันเพราะมองคนละแงมุม
กลาวคอื ถามองในแงข องวตั ถุวิสัย เรยี กวา มายา แตถ า มองในแงของอตั ตวสิ ยั เรียกวา อวทิ ยา
๕. โลก
ปรัชญาอทไวตะ เวทานตะ ถอื วา โลกเปน ส่งิ ไมแทจ ริง สง่ิ แทจ ริงมสี ิง่ เดยี วคอื พรหมนั โลกเปน
เพียงปรากฏการณของพรหมัน โดยพรหมันปรากฏผานส่ือกลางคือ มายา ทําใหเห็นโลกแหงความ
หลากหลาย (มากมาย) โลกเปนสิ่งที่มีอยู (สตั ) และไมม ีอยู (อสัต) ที่เปนส่ิงท่ีมีอยู (สัต) เพราะมัน
ปรากฏใหเ ราเห็นวา มีอยูจริงตราบเทาที่อวิทยายงั อยูภายในจิตใจของเราและท่ีเปนสิ่งที่ไมมอี ยู (อสัต)
เพราะมันไมปรากฏเปนสิ่งมีอยูตลอดกาล จะมีอยูจริงจนถึงขณะท่ีความรูยังไมเกิดข้ึนเทานั้น เมื่อ
ความรู (วทิ ยา) เกิดข้นึ โลกแหงปรากฏการณจ ะไมมอี ยูเลยอาจกลาวอกี นัยหนึ่งวา โลกปรากฏวาเปน
สงิ่ ทีม่ อี ยจู รงิ สําหรับชีวะทยี่ งั ไมห ลุดพนจากอาํ นาจครอบงาํ ของอวิทยา ชีวะจะมองเห็นวาโลกเปนโลก
๗๕
จริง ๆ ตราบเทาท่อี วทิ ยายงั มอี ยู แตเมอ่ื ใดอวิทยาถูกขจัดใหหมดส้ินไปดว ยความรูแจงในสัจภาพ เมอ่ื
น้นั ชีวะจะประจกั ษช ัดวา โลกไมเคยมอี ยจู รงิ ทง้ั ในอดตี ปจจบุ ันและอนาคต มแี ตพรหมันเทา น้ัน
๖. โมกษะ
ศังกราจารย กลา ววา โลกแหง ประสบการณท ีป่ รากฏเปนสิ่งตาง ๆ เชน ชีวะสรรพสิ่ง เปนตน
จะปลาสนาการไปเมอื่ บุคคลรูแจงในความเปนเอกภพของพรหมนั และอาตมัน ซงึ่ หมายความวา เม่ือ
บุคคลทําลายความไมร ู (อวิทยา) เสียได เกดิ ความรู (วทิ ยาหรือญาณทศั นะ) แจงเห็นจริงในสรรพส่ิง
และรูว าอาตมันหรอื ตัวตนนั้นเปน อันหน่งึ อนั เดยี วกนั กับพรหมันเมื่อนนั้ บคุ คลก็ถึงการหลุดพน โมกษะ
ปรัชญาอทไวตะ เวทานตะ ท้ังระบบท่ีกลาวมาน้ี พอสรุปยอ ๆ ไดวา “พรหมันและอาตมัน
เปนส่ิงเดียวกัน โลกเปนสิ่งท่ีเกิดขึ้นจากมายา อวิทยาทําใหชีวะหลงผิดคิดวาตนเองแตกตางจากพร
หมนั และเขาใจผดิ วา พรหมันเปน โลกแหงพหภุ าพ เมื่อวิทยาเกดิ ขนึ้ อวิทยายอมสูญส้ินไป ความรูทอี่ ยู
เหนือเหตผุ ล เปนความรโู ดยตรงท่ีประกอบดวยญาณทัศนะในอาตมันเปนความรทู ่ีนาํ ไปสูโมกษะ”
๒. ปรชั ญาวิศิษตะทไวตะ เวทานตะ
ปรัชญาวศิ ิษตะทไวตะ เวทานตะ รามานุชะ เปน ผกู อ ต้งั ทานรามานุชะ เกิดเมือ่ ค.ศ. ๑๐๑๗
ถึงแกกรรมเมื่อ ค.ศ. ๑๑๓๗ รวมอายุได ๑๒๐ ป ทา นไดแตงอรรถกถาพรหมสูตรขึ้นเรียกช่ือวา “ศรี
ทาษยะ”
หลักปรัชญาของรามานุชะ เรียกชื่อวา “วิศิษตะทไวตะ” ซ่ึงแปลวา “เอกัตภาพในนานัต
ภาพ” (Identity in Difference) โดยรามานุชะกลาววา เอกัตภาพตองเปนสิ่งท่ีสืบเนื่องหรือเกี่ยวโยง
กับนานัตภาพเสมอ เอกภาพ (Unity) ก็เปนส่ิงที่มีข้ึนโดย วิวธภาพ (Diversity) ถาวิวธภาพไมมี
เอกภาพกไ็ มมีเชนกัน เรารวู าเอกภาพมีเพราะเราเปรียบเทียบกบั วิวธภาพหรือพหุภาพ (Plurality) เรา
ไมมีทางที่จะรูจ กั หรือเขาใจเอกภาพได ถาไมรูจกั วิวธภาพหรอื พหุภาพเลย
รามานชุ ะ คัดคา นศังกราจารยใ นเรอ่ื ง “พรหมัน” โดยรามานุชะมีความเหน็ วา พรหมันคอื พระ
เจา ทม่ี ตี ัวตน ซึง่ มบี รรดาชีวาตมนั และสสารประกอบขน้ึ เปนรางกายของพระองคและมีทศั นะเกย่ี วกบั
อาตมันหรือชีวาตมันวา ชีวาตมัน(อาตมัน) เปนส่ิงท่ีมตี ัวตน มีอยูจริงชีวาตมันอยูภายใตก ารความคุม
ของพระเจา และมีอยูในฐานะเปนเรือนกายของพระเจา ชีวาตมันมีสภาพเปนปรมาณู การบรรลุ
โมกษะของชีวาตมัน เปน การเขา ถึงสภาวะท่ีคลา ยคลงึ กบั พระเจา และรูแจง สภาวะที่เปนของตนเองวา
“เปน สวนหนงึ่ แหง รา งกายของพระเจา”
รามานชุ ะ กลา ววา ส่ิงสัมบรู ณเ ปนเอกภาพท่เี กิดจากพหภุ าพ เปนสวนรวมท่ีเกิดจากสวนยอย
พระเจาหรือส่ิงสัมบูรณเ ปนสวนรวมท่ีเก่ยี วเนื่องถงึ กับสวนยอย ทรงเปนผูครอบงาํ และควบคมุ สิ่งตาง
ๆ จากภายใน เปนส่ิงแทจริงสูงสุดท่ีรวมเอาวัตถุละชีวาตมันท้ังหมดไวดวยกนั รามานุชะกลาววา สิ่ง
แทจรงิ สงู สุด (อนั ตมิ ะ) มอี ยู ๓ อยา งคือ
๗๖
๑. สสารหรือวัตถุ
๒. ชวี าตมนั
๓. พระเจา
ส่ิงทั้ง ๓ นี้ มีความเสมอกันและเปนจริงเทา กัน แตสสารและชีวาตมันเปนส่ิงที่ตองขึ้นอยูกบั พระเจา
โดยสภาพของตนเองแลว สสารและชีวาตมันเปนส่ิงที่เปนจริงและมีคุณสมบัติเปนของตนเอง แตใน
สภาวะท่ีเก่ียวของกับพระเจา ทั้งสองส่ิงน้ันเปนคุณลักษณะของพระองค พระเจาดํารงอยูในฐานะ
วิญญาณของสสารและชีวาตมัน ในลักษณะที่สัมพันธกับรางกาย (สสาร) ชีวาตมันเปนวิญญาณของ
รางกาย และในลักษณะท่ีสัมพันธกับพระเจา รางกายและวิญญาณ (ชีวาตมนั ) เปนวิญญาณของพระ
เจา
รามานุชะ กลาววาสสารและชีวาตมันเปนคุณสมบัติและคุณลักษณะของพระเจา พระองค
เปนสวนรวม สสารและชีวาตมันเปนสวนยอย สสารและชีวาตมันเปนสิ่งนิรันดรรวมกับพระเจา พระ
เจาดํารงอยูในฐานะแหงวิญญาณของสสารและชีวาตมัน แตทั้งสองส่ิงนี้ก็มิไดอยูภายนอกพระองค
พระองคเ ปนทงั้ การกปจจยั และวตั ถปุ จ จัยของโลก
ทฤษฎีของรามานุชะ เปนทฤษฎีไตรภาคีเอกานุภาพ (Triune Unity) เพราะเขาถือวาสิ่ง
แทจริงอันตมิ ะมีอยู ๓ อยาง คอื สสาร ชีวาตมัน และพระเจาและส่ิงแทจริงท้ัง ๓ อยางน้ีรวมกันเขา
เปน ส่ิงเดียวกนั
พระเจา หรอื พรหมนั
พระเจา หรือพรหมันเปนพระเจาท่ีมตี ัวตน และในขณะเดยี วกันกเ็ ปนส่ิงสัมบูรณหรือสูงสุดใน
จักรวาล พระองคเปนผูสมลบูรณสงู สดุ ทรงเปนสัพพัญู เสวยสุขแหงโมกษะอยูช่ัวนิรันดรกาล ทรงมี
พระกายทิพย ทรงเปนผูสราง ผูพิทักษและทําลายสากลลจักรวาล และเพ่ือที่จะชวยเหลือผู
สกั การะบูชาและภกั ดตี อพระองค พระเจา ทรงสําแดงพระองคออกมา ๕ ภาค คอื
ภาคท่ี ๑ สําแดงพระองคเปนวิญญาณแหงสากลจักรวาล ซ่งึ เรียกวา “อันตรยามี” เปนผู
ควบคมุ ความเปน ไปของสากลจักรวาลจากภายใน
ภาคท่ี ๒ สาํ แดงพระองคเปน พระเจาสงู สดุ เรียกวา “นารายณ” หรือ ปรวาสุเทพ
ภาคที่ ๓ ในฐานะแหง พระผูสราง ผูพ ิทักษและผูทําลายสากลจักรวาล ทรงสาํ แดงพระองคใน
๔ ลกั ษณะ เรยี กวา วยูหะ คอื
วยูหะท่ี ๑ สําแดงพระองคเปนพระเจานามวา วาสุเทพ (วาสุเทพนี้เปนภาคสําแดงของปร
วาสเุ ทพ)
วยูหะที่ ๒ สําแดงพระองคเปนผูควบคุมความรูของชีวาตมันและเปนผูทําลายสกกล
จกั รวาล (เรียกวา สงั กรษณะ)
๗๗
วยูหะท่ี ๓ สําแดงพระองคเปนผูควบคุมอารมณของชีวาตมันและในฐานะผูสรางสากล
จกั รวาล (เรียกวา ปรัทยุมนะ)
วยูหะท่ี ๔ สําแดงพระองคเปนผูควบคุมตง้ั ใจของชีวาตมนั และเปนผูพิทักษสากลจักรวาล
(เรยี กวา อนริ ทุ ธะ)
ภาคท่ี ๔ สําแดงพระองคเสดจ็ ลงมาถือกาํ เนดิ ในโลกนี้ เปน มนุษยบ าง เปนสัตวบาง ตามควร
แกเหตุการณ ภาคน้ีเรียกวา วิภวะหรืออวตาร การอวตารลงมาเกิดในโลกมนุษยมีจุดประสงคเพื่อ
พทิ กั ษธ รรม และขจัดอธรรมในหมูมนุษยใ หส ิ้นไป ภาคอวตารมี ๒ ลกั ษณะ คอื
๑. พระเจา เสด็จลงมาถือกาํ เนิดเอง เชน ศรีกฤษณะ พระราม เปน ตน
๒. ชีวาตมัน ไดรับการดลบันดาลใจจากพระเจา เชน พระศิวะ พระพุทธเจา เปนตน ผุ
ปรารถนาความกลุดพน พงึ บูชาเฉพาะภาคทอ่ี วตารจากพระเจา เทา นั้น
ภาคท่ี ๕ สําแดงพระองคเปนรูปบูชาในเทวาลัยตาง ๆ ทั้งนี้เพ่ือใหผูเลื่อมใสและภักดีใน
พระองคไดม โี อกาสปรนนิบัตบิ ูชา
ชีวาตมนั
เร่ือง ชีวาตมัน ตามทัศนะของรามานุชะถือวา ชีวาตมันเปนส่ิงแทจริงอันตมิ ะ เปนจิตสสารที่
อยูเหนือการสรางและการทําลาย เปนนิรันดรท่ีไมมีเบ้ืองตนและที่สุด ไมมีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น
และแตกดับ เปนส่ิงที่มีขอบเขตจํากดั เปนส่ิงเฉพาะและเปนสวนหน่ึงแหงรางกายของพระเจา ชีวาต
มนั เปนอณทู ่ีเล็กมากจนไมอาจมองเห็นหรือสัมผัสได และจะทองเท่ียวเวียนวายตายเกิดในสังสารวัฏ
เพราะการสําคัญผิดคิดวาตนเปนอันหนึ่งอันเดียวกับรางกาย ความสําคัญผิดนี้เกิดขึ้นเพราะอํานาจ
ของอวิทยาและกรรม ชีวาตมันเปนสวนยอยท่ีขึ้นอยูกับสวนรวม คือ พรหมัน ชีวาตมันเปนรางกาย
พระเจาเปน วญิ ญาณ ชีวาตมนั ถูกควาบคุมโดยพรหมนั ตลอดกาล
รามานุชะแบง ชวี าตมนั ออกเปน ๓ ประเภท คอื
๑. ชีวาตมนั ทห่ี ลดุ พน ตลอดกาล เปนชวี าตมนั ท่ไี มม กี ารติดของเวียนวายตายเกิดในสังสารวัฏ
และเปน อิสระจากอํานาจของกรรม อาศัยอยูใน ไวกูณฐ คอยบริการรบั ใชพระเจาอยูต ลอดเวลา
๒. ชีวาตมัน ท่หี ลุดพนโดยการบรรลุโมกษะ ไดแกชีวาตมนั ที่เคยติดของเวียนวายตายเกดิ มา
กอ น แตอาศัยความพากเพียรพยายาม ความรูและความภักดี ตอพระเจาจึงสามารถทําตนใหเขาถึง
โมกษะได
๓. ชีวาตมันทเ่ี คยตดิ ของเวียนวายตายเกิดอยูในสังสารวัฏ ไดแกชีวาตมันท่ีตกอยูในอาํ นาจ
ของวทิ ยา และอกุศลกรรมแตมโี อกาสบรรลโุ มกษะได ถามีความพยายามทีช่ อบและมีความรูทถี่ กู ตอ ง
โมกษะ
เรื่องโมกษะ ตามทัศนะของมารานุชะ ถือวา ชีวาตมันทงั้ หลายตอ งติดของเวียนวายตายเกิด
ในสังสารวัฏเพราะอํานาจของความโงเขลา (อวิทยา) และกรรม (อกุศลกรรม) ดังนั้น ชีวาตมันจึง
๗๘
จาํ เปน ตอ งขจัดอวิทยาละอกุศลกรรมไปใหหมด โดยความรูชอบและการกระทําท่ีชอบที่จะไมส งผลให
ตอ งไมเ วียนวายตายเกดิ อักตอไป นน่ั คือการบรรลโุ มกษะ
ความรูช อบเปนสาเหตโุ ดยตรงแหง การถงึ โมกษะ ความรูชอบน้ีหมายถึงความรูทีแ่ ทจริงไดแ ก
ความภักดสี งู สดุ ตอพระเจา โดยการยอมมอบกายถวายชีวิตท้ังหมดแกพระเจา มคี วามจงรักภักดีอยาง
มน่ั คงและระลึกถงึ พระเจาอยูต ลอดเวลามสว นการกระทําท่ีชอบทีเ่ ปนเหตใุ หเกิดความรูชอบนั้น ไดแก
การศกึ ษาใหม ีความรคู วามเขาใจอยา งแจมแจง ในปูรวมีมามสาและอุตรมมี ามสา (เวทานตะ)
โมกษะ หมายถงึ การรูแจงของชีวาตมันเกีย่ วกบั สภาพแทจริงของตนเองวาเปนสวนประกอบ
ของรายกายของพระเจา ความรูแจง น้ีทาํ ใหเกดิ ผล ๒ ประการ คอื
๑. การทาํ ลายอาํ นาจของกรรมใหหมดสิ้นไปโดยสิน้ เชิง อนั เปน เหตใุ หชวี าตมันมคี วามบริสุทธ
ในภายใน
๒. ทําใหไดรับความกรุณาจากพระเจา ซง่ี พระองคจะทรงบันดาลใหเกิดความรูแจงเกย่ี วกับ
พระองค
๓. ปรัชญาทไวตะ เวทานตะ
ปรัชญาทไวตะ เวทานตะน้ี มัททวะเปนผูกอต้ัง มัททวะเกิดที่หมูบานเล็ก ๆ ใกลอุดนิปใน
เมอื งคานารา (Kanara) ตอนใตใน ค.ศ. ๑๑๙๙ และถึงแกก รรมใน ค.ศ. ๑๒๗๘
หลักคําสอนของมัททาวะ ในเรื่องเทพเจามีลักษะคลายคลึงกับเรื่องเทพเจาของรามานุชะ
เพยี งแตเ รยี กชือ่ ตางกนั มทั ทวะถอื วา เทพเจาสูงสุดคือพระวิษณุ (วิษณุ) สวนเทพเจาของรามานุชะคือ
พระนารายณ หลักคําสอนของมัททวะมีลักษณะทเี่ ปนพหุนิยมท่ีเดน ชัดมาก เพราะเขากลาววาสรรพ
สิ่งในโลกประกอบไปดวยคณุ สมบัติตาง ๆ ที่แตกตา งกัน แมกระท่ังวิญญาณเขามคี วามเช่ือวาวิญญาณ
ของแตละคน (Individual Soul) กแ็ ตกตา งจากวิญญาณอ่ืน ๆ และวิญญาณนี่กแ็ ตกตา งจากวัตถุดวย
ในขณะเดียวกันคําสอนของมัททวะก็มีลักษณะเปนสัจนิยมอีกดวย ซึ่งพอสรุปคําสอนของมัททวะได
โดยยอ ดังน้ี
เร่ืองเทพเจา มัททวะถือวาเทพเจาสูงสุดคือพระวิษณุ พระวิษณุเปนเพทพระเจาสูงสุดแต
เพียงผเู ดียว มรี ูปรางลักษณะและมีตวั ตน เปนสาระสําคัญของสรรพส่ิงในโลก เปนผูสรางโลก เปนทุก
สิ่งทกุ อยา งในโลกและในทส่ี ุดทุกสิง่ ทุกอยา งจะคนื ไปสูพระเจา คือพระวิษณุ
เร่ืองสัจนิยม มัททวะถือวา “ทุกสิ่งทุกอยางมีความแตกตา งกนั ” ทกุ ๆ ส่ิงจึงมีลักษณะเปน
ของตนเอง มคี วามเปนจริงและเอกลักษณเปนของตนเอง ทกุ สิ่งท่ีเปนจริงดวยตวั มันเองและแตกตาง
จากสิง่ อน่ื ๆ เพราะมีเอกลักษณที่แตกตางกัน
เรือ่ งพหนุ ิยม มัททวะถือวาสรรพสิ่งในโลกประกอบดว ยคณุ สมบัตติ าง ๆ มากมาย โดยเขาถอื วา ปทาร
ถะ เปนสิ่งเปนจริง เปนสาระสําคัญของโลกและสรรพส่ิงในโลก ปทารถะนี้ มอี ยู ๑๐ อยางคือ ๑. สา
๗๙
สาร ๒. คณุ สมบตั ิ ๓. กรรมะ ๔. ความเปนสากล ๕. ไวเศษะ ๖. ความแนนอน ๗. ความเปนสวนรวม
๘. พลัง ๙. ความเหนอื กัน ๑๐. ควาวมไมม ีอยู
๑.๔ ปรชั ญาอนิ เดยี สายนาสตกิ ะ
ปรัชญาอินเดียสายนาสติกะ เปนระบบปรัชญาท่ีตรงกันขามกับปรัชญาสายอาสติกะและ
ปรชั ญาอินเดยี สายนาสตกิ ะนีม้ อี ยู ๓ สาํ นัก คอื
๑. ปรัชญาจารวาก
๒. ปรัชญาเชน
๓. ปรชั ญาพทุ ธ
ซ่ึงมีสาระสาํ คัญที่จะพงึ ศึกษาดงั ตอ ไปนี้
๑. ปรชั ญาจารวาก
ปรัชญาจารวากเปนปรัชญาวัตถุนิยมของอินเดีย สันนิษฐานกันวาเปนกอนพระพุทธกาล ผู
กอต้ังปรชั ญาน้ขี น้ึ คอื “พฤหัสบด”ี
ปรัชญาจารวากนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งวา “ปรัชญาโลกายัติ” เพราะปฏิเสธอดีต ปจจุบันและ
อนาคต เนนการแสวงหาความสุขในโลกน้ีเปนสิ่งสําคญั ไมมีนรก ไมมีสวรรค การกระทําพิธีกรรมตาง
ๆ ไมก อ ใหเกดิ ผลได ๆ ท้ังส้นิ
ในกาลตอมาสานุศษิ ยของพฤหัสบดี ช่ือ “จารวาก” ไดน ําหลักการน้ีมาฟนฟูและพัฒนาให
เจริญขนึ้ จึงสันนิษฐานกันวา ปรัชญาจารวากน้ันไดชื่อมาจาก “จารวาก” ศิษยของพฤหัสบดีนั้นเอง
แตหลักฐานบางแหงก็สันนิษฐานวา คําวา “จารวาก” มาจากคําวา “จารุวาก” หมายถึงคําพูดที่
ออ นหวานไพเราะเพราะพริ้งชวนใหผ ูฟงไดยินไดฟ งพอใจและหลงใหล โดยปรัชญาจารวากเชิญชวนวา
“เราควรแสวงหาความสุขตั้งแตยังมีชีวิตอยู โดยการกินการด่ืมและการแสวงหาความสุขทาง
กามารมณใหม ากทส่ี ดุ เพราะวา เมอื่ รางกายแตกสลาย (ตาย) ไปแลว จะไมมีอะไรเหลอื อยูเ ลย”
ในหนังสือ “สรรพทรรศนสังคหะ” ไดก ลา วถึงแนวคําสอนของจารวากไวพอสรปุ ไดว า๕
ไมม สี วรรค ไมม คี วามหลุดพน (โมกษะ) ไมมีวิญญาณใด ๆ อยูในโลกอ่ืน ไมมกี ารกระทําใด ๆ
ทก่ี อใหน เกิดผลของกรรม การบูชาไฟ การปฏิบัติตามพระเวท การรางมนตข องนักบวชและการทาตัว
ดว ยขเ้ี ถา เปน อบุ ายวธิ ีหาเลี่ยงชีพของคนโงแ ละคนไรยางอาย ถา หากสัตวทถี่ ูกฆาบูชายัญจะไดไปเกิด
ในสวรรคจริง ทําไมผูประกอบพิธีบูชายัญไมเอาบิดามารดาของตนมาฆา บูชายัญเชนเหลานั้น (เพอ่ื ให
ทานไดขึ้นสวรรค) มนุษยทุกคนควรแสวงหาความสุขในขณะท่ียังมีชีวิตอยูน้ีเทานั้น จงกิน จงหิว จง
๕ จํานง ทองประเสริฐ, ปรัชญาประยกุ ต ชุดอินเดีย, (กรุงเทพฯ : ตนออ แกรมม่ี จาํ กดั , ๒๕๓๙), หนา
๖๒.
๘๐
แสวงหาความสุขทางกามารมณใหมากท่ีสุด แมวาจะตองเปนหนี้เปนสินเขากต็ าม เพราะเมื่อรางกาย
แตกสลาย กลายเปน เถาถายแลว จะไมก ลับฟน คนื ชพี มาอกี เลย
ปรัชญาจารวากมสี าระสาํ คัญทจ่ี ะพงึ ศกึ ษา ดังนี้
๑. ญาณวทิ ยา
ปรัชญาจารวากยอมรับวา ความรูที่ถูกตองแทจ ริงน้ันมีเพียงส่ิงเดียว คือ “ความรูประจักษ”
ซ่ึงความรูประจักษนั้น ไดแก ความรูทเี่ กดิ ข้นึ ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา มองเห็นวัตถุนั้น หู ได
ยินเสียงตาง ๆ จมูก ไดกล่ินตาง ๆ ลิ้น ไดรับรสตาง ๆ กาย เปนส่ิงถูกตองสัมผัสกับส่ิง ๆ เชน รอน
เย็น ฯลฯ แตความรูประจักษตามทัศนะของกลุมจารวากนี้ ก็มิใชจะถูกตองสมบูรณท้ังหมดไม เชน
บางครั้งคนเราอาจมองเห็นทอนไมในมุมสลัวเปนงู หรือมองเห็นปากกาที่ใสเขาไปในแกวน้ําใสเปน
ปากกาคด เปนตน
๒. อภปิ รชั ญา
ปรัชญาจารวากเปนปรัชญาวัตถุนิยม และยึดถือความรูประจักษเปนความรูที่ถูกตอง จาก
ความรูประจักษน่ีเอง จารวากจึงยืนยันวา สสาร หรือวัตถุน้ันเปนสิ่งสูงสุด (อันติมะ) เรื่องนรกสวรรค
วิญญาณ พระเจา โลกหนา เปนตน ท่ไี มสามารถรับรูไดโดยผัสสะไมมีอยูจริง ดงั นั้นจึงสรุปทศั นะทาง
อภิปรชั ญาวาจารวากไดดังน้ี
๑. สรรพส่ิงเกิดขน้ึ จากการรวมตวั ของธาตุ ๔ คือ ดนิ นํ้า ลม ไฟ ธาตุ ๔ น้ีเปนสิ่งเทยี่ งแท
ดาํ รงอยูชั่วนิรันดร แตสิ่งท่ีเกิดขน้ึ จากการรวมตัวของธาตุ ๔ เปนสิ่งไมเ ที่ยงแท เปล่ียนแปลงอยูเสมอ
ความตายของมนุษย สตั ว พชื และสรรพส่ิงเกดิ ขนึ้ จากการแยกตัวของธาตุ ๔
๒. ปฏิเสธโลกหนาและอาตมนั (ตัวตน) ปรัชญาจารวากถือวา รายกายซ่ึงประกอบข้ึนดวย
ธาตุ ๔ มารวมตัวกันอยางถูกสวน ส่ิงท่ีเรียกวาจิต วิญญาณ หรืออาตมัน ซงึ่ มีสัมปชัญญะรับรูตาง ๆ
ไดกเ็ กดิ ขึ้น ซ่ึงจติ หรอื วิญญาณนี้ มิไดอ ยูอยางเอกเทศจากรางกาย (ธาตุ ๔) แตเปนผลพลอยไดซ่งึ เกดิ
จากธาตุ ๔ ดงั น้ันเมื่อรา งกายแตกดบั เพราะการแยกตวั ของธาตุ ๔ จติ หรอื วญิ ญาณกต็ อ งสลายดว ย
เม่ือจารวากปฏิเสธเรื่องจิตหรืออาตมัน วาไมเท่ียง ข้ึนอยูกับรางกาย เมื่อรางกายแตกดับ
เพราะธาตุ ๔ แยกตัวออกจากกนั วญิ ญาณก็ดับสลายดวย จึงถือวา “เปนการปฏิเสธชาติหนาโดยตรง”
จารวากถอื วา “มนุษยเกิดหนเดยี วตายหนเดียว” ความตายคือโมกษะ ความทกุ ข สุขทั้งปวงหมดไป
“เมือ่ คนเราหมดลมหายใจ โลกหนา ไมมี นรก สวรรค ไมม”ี
๓. ปฏิเสธพระเจา ปรัชญาจารวากปฏิเสธความมอี ยูของพราะเจาสูงสุด พระเจามิใชผูสราง
โลก และสรรพสิ่งท่ีปรากฏอยู เพราะเราไมสามารถรับรูหรือรูจักพระเจาไดด วยประสาทสัมผสั ดังน้ัน
พระเจาจึงไมมีอยูจริง โลกและสรรพส่ิงไมไดเกิดขึ้นจากการสรางของพระเจา แตเกิดข้ึนเองตาม
ธรรมชาติ โดยการรวมตวั ของธาตุ ๔ อยางสมดุลนั่นเอง
๘๑
๓. จริยศาสตร
จรยิ ศาสตรข องจารวากมีแนวคิดเปนวัตถุนิยม ยึดถือความสุขทางเนื้อหนังมังสาเปนจุดหมาย
สูงสุดของชีวิต โดยถอื คติวา “จงกนิ จงด่ืม และร่ืนเริงสําราญ (จากกามารมณ) ใหมากทีส่ ุด” มนุษย
ทุกคนเกิดหนเดียวตายหนเดียว คนดีคนช่ัวมีจุดหมายปลายทางเหมือนกัน คือ ความตาย มนุษยจึง
ควรแสวงหาตักตวงความสุขใหไดอยางเต็มที่ต้ังแตยังมีชีวิตอยูนี้เทานั้น โดยการกินใหเปนสุข ดื่มให
เปนสขุ และสนุกสนามรนื่ เรงิ ในเรอื่ งของกามารมณใ หอ มิ่ หนําสําราญ เพราะตายไปแลวทุกสิ่งทุกอยาง
เปน อันสิ้นสุด
ในระบบปรัชญาอนิ เดียสวนมากถอื วา จุดมงุ หมายแหงชวี ติ มีอยู ๔ อยา ง
๑. อรรถะ ทรัพยสมบัติ
๒. กามะ ความสุขจากกามคณุ
๓. ธรรมะ ความสมบรู ณด วยคณุ ธรรม
๔. โมกษะ ความหลดุ พน จากทกุ ข
แตปรัชญาจารวากยึดถือเพียง อรรถะ (ทรัพยสมบัติ) และกามะ (ความสุขจากกามคุณ) วา
เปนสิ่งทมี่ นษุ ยท ุกคนควรแสวงหา และเสพสมความสขุ ทางกามารมณใหเพยี งพอตอความตอ งการของ
ตน
หลกั คาํ สอนของจารวาก พอสรปุ ไดด งั น้ี
๑. ธาตทุ ้ังหลายในโลกน้มี ี ๔ อยาง คือ ดนิ น้าํ ลม ไฟ
๒. การรวมตัวของธาตุ ๔ กอใหเกิดรางกาย ประสาทสัมผัสและส่ิงท่รี ับรูไดดวยประสาท
สมั ผสั
๓. สมั ปชัญญะ (Consciousness) เกดิ ขน้ึ จากการรวมตัวอยา งถกู สว นของวัตถุ
๔. วิญญาณและอาตมัน คอื รางกายท่มี ีสมั ปชัญญะรคู วามรสู ึกนั่นเอง
๕. ความบนั เทิงเรงิ รมย เปน จดุ หมายสงู สุดของชีวิต
๖. ความตายคอื ความหลดุ พน (โมกษะ)
๒. ปรชั ญาเชน
ปรัชญาเชน เปนปรัชญาท่ีมีมากอนพุทธกาล มีศาสดาสืบตอกันมาเรียกช่ือวา “คีรัตถังกร”
รวมท้ังหมด ๒๔ คน คีรัตถังกรคนแรกชื่อ กฤภเทศ คนที่ ๒๓ ช่ือ ปารศวนาถ มีชีวิตอยูราว ๓๐๐ ป
กอนพุทธกาล สวนคีรัตถงั กรคนสุดทาย คือคนที่ ๒๔ ชอ่ื “มหาวีระ” ซึง่ มีช่ือเดมิ วา “วรธมาน” (พุทธ
เรยี กวา นิครณฏฐบุตร)
๘๒
คําวา เชน มาจากคําวา ชินะ แปลวา ผูชนะคือผูสามารถตัดกิเลสตัณหาของตนเองไดอยาง
สิ้นเชิง เปนผูท่ีมีอิสระเหมือนตนเอง เปนคําท่ีใชกบั ชีวะท่หี ลุดพนแลว โดยการพชิ ิตกิเลสตณั หาและ
กรรมท้งั ปวงไดอยางเดด็ ขาด๖
วรธมาน เกิดข้ึนเม่ือประมาณ ๕๔๐ ป กอนคริสตกาลใกลเมืองเวสาลี แควนวิเทหะ ใน
ตระกูลกษัตริย อภิเษกสมรสกับพระนาง “ยโสธา” เมื่อบิดามารดาสรรคตจึงไดออกผนวชเมื่อ
พระชนมายุได ๒๘ พรรษา วรธมานบําเพ็ญเพียรอยู ๑๒ ป จึงไดบ รรลุคณุ ธรรมซ่ึงเรียกวา “เกวลี”
และไดอ อกประกาศศาสนา ทานสน้ิ พระชนมเ ม่ืออายุ ๗๐ ป
ปรชั ญาเชนมีสาระสาํ คญั ทีจ่ ะพึงศึกษา ดังน้ี
๑. ญาณวทิ ยา
ในเรื่องทฤษฎีแหงความรู ปรัชญาของเชนแบง ความรอู อกเปน ๒ อยาง คอื
๑. อปโรกษะ ไดแ กความรโู ดยตรง
๒. ปโรกษะ ไดแ กค วามรโู ดยออม
อปโรกษะ ความรโู ดยตรงนน้ั แบงออกเปน ๓ อยา งคอื
๑. อวธิ (อวธชิ ญาณ) บคุ คลทีไ่ ดบ รรลุอวธิชญาณน่ีจะสามารถมีทพิ ยจักษุ คอื การได
ตาทพิ ย มองเหน็ สรรพสิ่งตา ง ๆ ไดทั้งในอดตี ปจ จบุ ัน และอนาคต
๒. มนหปรยายะ (มนหปรชญาณ) เปนความรูทเี่ ก่ียวกบั การกาํ หนดรูจ ิตใจของผูอ่นื
ได
๓. เกวละ คือความรูที่ไดรับดวยอํานาจของ เกลวชญาณ เปนความรูสูงสุดและ
สมบูรณ เปนความรูชนิดท่ีเขาใจอยางลึกซ้ึงในสภาพทีเ่ ปนจริงทุกอยาง จนทาํ ใหกิเลส ตณั หา อวสาร
หมดไปและเขา ถึง เกวละ คอื นิรวาณ (นิพพาน)
ปโรกษะ ความรโู ดยออ ม แบงออกเปน ๒ ชนดิ คอื
๑. มติ หมายถึงความรูที่ไดรับโดยผานทางประสาทสัมผัส ประสบการณ เหตุผล
และการอนมุ าน
๒. ครุตะ หมายถึงความรูที่เกิดขึ้นจากการบอกเลาของผูอ่ืน รวมถึงความรูที่เรา
ไดรับจากการศึกษาเราเลาเรียนและอานตําหรับตําราตาง ๆ ความรูท่ีเกิดจากการไดยินไดฟง และ
พยานหลกั ฐานเปน ตน
๒. อภิปรัชญา
อภิปรชั ญาของเชนมีลักษณะเปน พหุสจั นยิ ม หรอื สัมพันธสัจนิยม ซึง่ มีทฤษฎีทสี่ ําคัญเรียกวา
อนกนั ดวาท หมายถึงทฤษฎีทว่ี า ดวยความมากหลายแหง สงิ่ แทจ ริง
๖ ทองหลอ วงษธรรมา, ปรชั ญาท่ัวไป, (กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร, ๒๕๔๙), หนา ๓๔-๓๙.
๘๓
ตามหลักอภิปรัชญา เชน เรยี กวตั ถุ (Matter) วา ปุทคละ และวิญญาณ (Spirit) วา ชีวะ เชน
กลา ววา สง่ิ แทจริงทั้งที่เปนวัตถุและชีวะมีจํานวนมากมายนับไมถวน และแตล ะส่ิงของสิ่งท่ีแทจริงนัน้
มีคุณลักษณะเปนของตนเอง ส่ิงทั้งหลายตางเปนจริงโดยสภาพของมันเอง วิญญาณหรือชีวะก็มี
จํานวนมากมายนับไมถว นเชน กนั
สสารหรือทรพั ยะ
ปรัชญาเชนกลาววา ทรัพยะหรือสสารไดแกสิ่งซึ่งมีคุณสมบัติหรือมีคุณลักษณะสสารท่ีมี
คณุ สมบัตินับไมถว น คณุ สมบัตทิ ี่เทย่ี งแทของสสารคือคุณสมบัตปิ ฐมภมู ิ(Primary Qualities) ซงึ่ เปน
คณุ สมบัติที่ตดิ ตวั อยูกับสสารน้ันตลอดไปหากปราศจากคณุ สมบัตนิ ้ีสสารกไ็ มอ าจทรงความเปนสสาร
อยูได เชนการกินอยูของวัตถุ และสัมปชัญญะของวิญญาณ เปนตน สวนคุณสมบัติท่ีเปนทุติยภูมิ
(Secondary Qualities) เปนคณุ สมบตั ทิ ่ีไมเ ท่ยี ง เปลย่ี นแปลงไดเสมอ
ปรัชญาเชนไดแบง สสารหรือทรัพยะออกเปน ๒ ประการ คอื
๑. ชวี ะ หมายถึงวิญญาณอันมีสมั ปชญั ญะ
๒. อชีวะ หมายถึงส่งิ ทไี่ มใ ชว ิญญาณและปราศจากสมั ปชญั ญะ
ชีวะ และอชวี ะทง้ั สองสิ่งนไี้ มม ีผูใ ดสรางขึน้ เปน สงิ่ เทยี่ งแท และมอี ยู คงอยตู ลอดไป
ชวี ะ
ชีวะ ในความหมายของปรัชญาเชนนั้นไดแก วิญญาณ เชนถอื วา ชีวะหมายถึงวิญญาณอยาง
เดียวเทาน้ัน มิไดเหมารวมถึงรางกายดวย แมวารางกายจะเปนสิ่งสถิตของวิญญาณก็ตาม ชีวะมี
จํานวนมากมายจนนับไมถวน มีอยูทุกหนทุกแหงทั่วสากลจักรวาล มีท้งั สิ่งสิงสถติ อยูในรางกายและ
รอ งรอยอยูโดยปราศจากรา งกาย โดยปรัชญาเชนไดแบงชวี ะออกเปน ๒ ชนิด
๑. มุกตชวี ะ คอื ชวี ะทหี่ ลุดพนจากการเวยี นวายตายเกิดในวฏั สงสารแลว
๒. พันธชีวะ คือชีวะที่ยังไมหลุดพน ยังคงตองเวียนวายตายเกิดอยูในวัฏสงสารซึ่งพันธชีวะนี่
แบงออกเปน ๒ อยางคอื
๒.๑ ตรสะ คอื ชีวะที่เคลื่อนไหวได แบงออกไปไดอีกตามความสมบูรณมากนอยของ
ชวี ะนั้น ๆ เปน ๔ ชนดิ คือ
๒.๑.๑ ประเภทท่ีรับรูความรูสึกไดเพยี งทางกายและทางล้ิน เชน ตวั หนอน
ตา ง ๆ
๒.๑.๒ ประเภทที่รับรูความรูสึกไดเ พียงทางกาย ทางลิ้น และทางจมกู เชน
มดชนิดตาง ๆ
๒.๑.๓ ประเภททีร่ ับรูความรูสึกไดเพยี งทางกาย ทางลิ้น ทางจมกู และทาง
ตา เชน ผง้ึ แมลงภู เปนตน
๘๔
๒.๑.๔ ประเภททรี่ บั รูความรสู ึกโดยทางสมั ผสั สะท้ัง ๕ คือ ทางกาย ทางล้ิน
ทางจมกู ทางตา และทางหู ไดแ กมนษุ ยและสัตวช้ันสูงอน่ื ๆ
๒.๒ สถารวะ คอื ชีวะทีเ่ คลื่อนไหวไมไ ด แตอ าศยั อยใู นปรมาณูของธาตุท้งั ๔ คือ ดิน
นํ้า ลม ไฟ และในพวกพืชตาง ๆ สถารวะชวี ะนีม้ ีความรสู ึกไดทางเดียวคือทางการสัมผัส
คุณสมบัติทส่ี ําคัญทีส่ ุดของชีวะท้ังหมดนี้คือ สัมปชัญญะ ชีวะทุกชนิดทุกระดับมีสัมปชัญญะ
เดียวกันทั้งน้ัน แตจะมากหรือนอยขึ้นอยูกบั อณขู องกรรมท่ีหอหุมชีวะอยู ถา อณูของกรรมหอหุมชีวะ
มาก ชวี ะกแ็ สดงสัมปชัญญะไดน อ ย เพราะมสี ิ่งขัดขวางมาก แตถาอณูของกรรมหอหุมชีวะนอย ชีวะก็
แสดงสมั ปชญั ญะออกมาไดมาก เพราะมสี ิ่งขดั ขวางนอย
ปรัชญาเชนกลาววา โดยสภาพด่ังเดิมแลวชีวะชีวะทั้งหลายมีคุณสมบัติหรือลักษณะ
เหมอื นกนั หมด มศี รัทรา ความรู ความสขุ ความเพยี รเปนอนนั ต แตส ่ิงท่ีทาํ ใหชีวะแตกตา งกันกเ็ พราะ
พันธชวี ะ ท่ีตองเวียนวายตายเกดิ อยูในวัฏสงสาร และสิ่งท่ีทาํ ใหสภาพของชีวะดวยลงไปก็คือ อณูของ
กรรมที่ชวี ะตา ง ๆ มไี มเทากัน และชวี ะเปนทั้งผรู ู ผูท ําและผูเสวยกรรม ชีวะหรือวิญญาณนี่เปนสิ่งที่ไม
มีรปู ราง แตเมื่อมันเขาสงิ อยใู นรายกายของสัตวช นิดใด ๆ มันก็มีรูปรางขนาดเทากับสัตวช นิดน้ัน เชน
ชวี ะของมดกม็ ีรูปราง ขนาดเทา มด เปนตน
ปรัชญาเชน ถือวา ชีวะเปนส่ิงทเี่ ที่ยงแท ไมแตกดับไมเปล่ียนแปลง แตการท่ีชีวะตองมาติด
ขอ งเวียนวายตายเกดิ ในสภาพของชีวิตทดี่ ีบางชั่วบาง เพราะผลของกรรมเกาทเ่ี คยทาํ ไว จุดมุงหมาย
ของเชนจงึ อยทู กี่ ารทําลายกรรมเกาใหหมดสิ้นไป และไมทํากรรมใกมเ พิ่มขนึ้ เมอื่ ทาํ ไดสําเร็จ ชีวะก็ได
ชื่อวา “เปล้อื งตนพนจากพนั ธนาการทัง้ ปวง”
อชวี ะ
อชีวะในความหมายของปรัชญาเชนไดแกสิ่งที่ไมมีชีวิตและปราศจากสัมปชัญญะ ซึ่งแบง
ออกเปน ๕ ชนิดดว ยกัน คอื
๑. วตั ถุ (ปุทคละ) หมายถงึ ส่ิงที่มีรูปราง มองเห็นได และสัมผัสตอ งได วัตถุทุกชนิดเม่ือแบง
ออกเปนสวนยอย ๆ จนไมสามารถแบงแยกตอไปไดอีกไดเรียกวา “อณู” วัตถุหรือส่ิงตาง ๆ เกิดข้ึน
จากการรวมตัวของอณูที่มีจํานวนมากมายนับไมถวน ไมจํากัดและนอกจากน้ี เชนยังกลาวอีกวา
ประสาทรับสัมผัส จิต (บนัส) และลมหายใจก็ประกอบไปดวยอณูตาง ๆ เชนกัน วัตถุ (ปุทคละ) มี
คณุ สมบัติท่ีสําคญั ๔ ประการ คอื สัมผสั ได มีสี มีกล่ิน และมรี ส
๒. ท่ีวาง (อากาศะ) อากาศะหรือที่วางน้ีเปนสสารชนิดหนึ่ง ซึ่งไมมีท่ีสิ้นสุด ดํารงอยูช่ัวนิ
รนั ดร และไมส ามารถรบั รไู ดดว ยประสาทสัมผัส และเราจะรูทวี่ า ง มีอยูกโ็ ดยการอนุมานเอาจากการท่ี
วัตถุกินท่ี เพราะวัตถุทกุ ชนิดมีการกนิ ทีแ่ ละการกินท่จี ะเปนไปไดกเ็ พราะมชี องวาง ปรัชญาเชนแบงท่ี
วา ง (อากาศะ) ออกเปน ๒ ชนดิ คือ
๘๕
๒.๑ โลกากาส คือ ท่ีวางทมี่ ีในโลกซ่ึงเปนทอ่ี าศัยอยขู องสง่ิ ตา ง ๆ
๒.๒ อโลกากาส คือ ที่วางที่อยูนอกโลกออกไปไมมีที่ส้ินสุด ตรงยอดหรือท่ีสุดของอโลกา
กาสเปน ทีอ่ ยอู าศยั ของผูบรสิ ทุ ธ์ิ (สุทิศลิ า) ชีวะที่เขาถงึ โมกษะจะเขาไปทํานกั อยเู สวยวิมตุ สิ ุขทนี่ ่ี
๓. เวลา (กาละ) เปน สิ่งท่ีไมมขี อบเขตจํากัด เปนสิ่งท่ีรับรูไมไดดวยประสาทสัมผัส แตรูไดวา
มีอยูดวยการอนุมานคุณลักษณะของมันท่ีมีการสืบตอ เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง เปนตน เชนถือวา
เวลาเปนสสาร (ทรพั ยะ) ที่มีความเปน หน่ึง และแบง แยกไมได ซงึ่ เวลานี้แบงออกเปน ๒ ชนิด คอื
๓.๑ เวลาทแ่ี ทจริง คือเวลาทมี่ ีอยตู อ เน่ืองกันไมม สี ิน้ สุดเปนลกั ษณะของเวลาทแ่ี ทจ รงิ
๓.๒ เวลาท่ีสมมติกันข้นึ คอื เวลาทสี่ มมติข้ึนโดยการแบง เปน วนิ าที นาที ชั่วโมง วัน เดอื น
ป ซ่ึงประกอบดวยการเร่ิมตน และสนิ้ สดุ
๔. การเคล่ือนไหว (ธรรมะ) เชนกลาววาเราไมสามารถรับรูการมีอยูของธรรมะไดทาง
ประสาทสัมผัส แตทราบการมอี ยูของมันโดยการอนุมานจากการเคล่ือนไหว และการหยุดนง่ิ ของสิง่ ท่ี
เคล่ือนไหว ธรรมะไมมีรปู รา งใดเลย แซกแฝงอยูในท่วี า งท่ัวไป เปนสิ่งนิรันดรธรรมะน้ันโดยตวั ของมัน
เองไมเคลอ่ื นไหวแตมนั ชวยใหเกิดการเคล่อื นไหว เหมือนการเคลื่อนไหวของปลาในน้ํา ปลาตองอาศัย
นํ้าเคลื่อนไหวแหวกวา ยน้ําไปได เชนกลาวอีกวาการเคลือ่ นไหวของวิญญาณหรือชีวะและส่ิงอื่นก็ตอง
อาศัยธรรมเชน กนั
๕. การหยุดนิ่ง (อธรรมะ) เชนกลาววา เราไมสามารถรับรูการมีอยูของอธรรมะได โดยทาง
ประสาทสัมผัส แตทราบการมีอยขู องมัน โดยการอนุมานจากการเคลื่อนไหว และการหยุดนิ่งของสิง่ ท่ี
เคล่ือนไหว อธรรมะน้ันไมไดท าํ สง่ิ ที่กําลังเคล่ือนไหวอยูใหหยุดน่ิง แตเพียงชว ยใหเ ราหยุดน่ิงเปนไปได
เหมอื นแผน ดินรองรับสิ่งปลกู สรา งตา ง ๆ บนแผน ดินใหห ยุดนงิ่ ตงั้ อยู
ธรรมะและอธรรมะ (การเคล่ือนไหวและกาสรหยุดน่ิง) เปนส่ิงท่มี ีสภาพตรงกันขาม แตส่ิงท่ี
เหมือนกันก็คอื ไมม กี ัมมันตภาพ เคล่อื นไหวเองไมได ไมม รี ูปรา งและเปนสิ่งนริ นั ดร
โมกษะ
ปรัชญาเชนกลาววา กิเลส ตัณหาเปนตวั การสําคญั ทีด่ ึงดูดเอาอนุภาคของกรรมใหเขา ไปติด
อยูในชีวะ กเิ ลส ตัณหาน้ันเกิดข้ึนมาไดเพราะอวิชชา และอวิชชาหมายถึงความไมร ูแจงในธรรมชาติ
อันแทจริงของชีวะและธรรมชาติของส่ิงอื่น ๆ ที่ชีวะเขาไปเก่ียวของดวย เพราะอวิชชาเปนตนเหตุ
กิเลสตาง ๆ เชน โลกะ โทสะ โมหะ เปนตน จึงเกิดข้นึ เมื่อเปนเชนนี้ปรัชญาเชนจึงไดแสดงไววา การ
ท่บี ุคคลสามารถทาํ ลายอวิชาใหหมดสิ้นไปและบรรลุโมหะไดน ั้น บุคคลจะตองประกอบดวยคุณสมบัติ
๓ ประการ คอื
๑. มัมมาทสั สนะ มคี วามศรัทราชอบหรือศรัทราที่ถกู ตอ ง หมายถงึ ศรัทราเชื่อม่ันในคําสอน
ของครี ัตถงั กร ซ่ึงเปน ศาสดาผไู ดเ ขา ถงึ ความหลดุ พน แลว อนั จะนําผูที่เชื่อถือและปฏิบัติตามคําสั่งสอน
เขาถึง “เถวละ” หรือโมกษะ (สมยุ คุ ทรศุ น)
๘๖
๒. สัมมาญาญะ มีความรูชอบไดแกการมีความรูเก่ียวกับความจริงตามหลักคําสอนของ
ศาสนา ของศาสนาเชน (สมยุ คุ ชญาณ)
๓. สัมมาจริตะ มีความประพฤติชอบ หมายถึงประพฤตปิ ฏิบัติตามหลักคําสอนของศาสนา
ของศาสนาเชน (สมุยคุ จรติ )
จรยิ ศาสตร
ปรัชญาเชนเปนปรัชญาเทวนิยม ปฏิเสธพระเวท และพธิ ีกรรมตาง ๆ ของพราหมณ ปฏิเสธ
พระเจาสูงสุด แตเนนการปฏิบัติเปนสําคัญ ขอปฏิบัตหิ รือ “ประณิธาน” ของเชนน้ันเรียกวา “พรต”
แบง ออกเปน ๒ ระดับ คือ
๑. อนุพรต เปนขอปฏิบัติสําหรับคฤหัสถผ ูนับถือศาสนาเชนท่ัว ๆ ไป ซ่ึงถือวาเปนขอ ปฏิบัติ
ขั้นพ้ืนฐานของเชน
๒. มหาพรต เปนขอปฏบิ ัตขิ ั้นสงู หรอื อกุ ฤต เปนขอ ปฏิบตั ิสาํ หรบั นกั บาช
“ประณิธาน” หรอื “พรต” ของเชนมี ๕ ประการ คือ
๑. อหิงสา งดเวนจากการประทุษราย การเบียดเบยี น การไมท าํ รายสิ่งมีชีวิตทุกชนิดดวยการ
งดเวน ทั้งทางกาย วาจา ใจ
๒. สตั ยะ การรกั ษาความสัตย ไดแกการไมกลาวคาํ เท็จ กลาวแตความสัตยค วามจริง รวมถึง
คําพดู ที่ไพเราะนาฟงและจะกอใหเกิดประโยชนแกผฟู ง
๓. อัสเตยะ การงดเวนจากการขโมย หรือถือเอาสิ่งของของคนอ่ืนท่เี จาของเขามไิ ดใหรวมทั้ง
การไมค ดโกงโดยวธิ ตี า ง ๆ ผปู ฏิบตั ิพรตขอนี้ตองงดเวนอยางเดด็ ขาดท้ังทางกาย วาจา ใจ
๔. พรหมจรยิ า การไมประพฤติผิดในทางกาม หรือทางประวณีในทุก ๆ รูปแบบ ท้งั ทางกาย
วาจา และใจ น้ีเปนขอ ปฏิบัติสําหรับ ตฤหัสถ สวนขอ ปฏิบัติสําหรับนักบวชคือการรักษาพรหมจรรย
งดเวนการเกีย่ วขอ งทางเพศสัมพนั ธโดยสน้ิ เชงิ ทัง้ ทางกาย วาจา และใจ
๕. อปริตรหะ การไมโลภ ไมยึดม่ันตดิ กบั ส่ิงใดหรืออารมณใด ๆ ทงั้ สิ้น หมายรวมไปถงึ การ
ทําใจไมใ หเพลดิ เพลินในกามคุณ ๕ ดว ย
ปรัชญาเชนนี้เรียกอีกอยางหนึ่งวา ศาสนาเชน เม่ือมหาวีระศาสดาองคสุดทายสิ้นชีวิตลง
ศาสนาเชนก็แยกออกเปน ๒ นกิ าย แตห ลักการสําคญั กย็ ดึ หลักการเดมิ นิกายนน้ั คอื
๑. นิกายทิฆัมพร เปนนิกายท่ีมุงเนนหมฟา (เปลืองกาย) การปฏิบัติเครงครัดและเขมงวด
มาก ยดึ การทรมานรางกาย ของตนเองไมใหไดร ับความทกุ ข เจ็บปวด เปนหลัก นิกายนี้ปฏิเสธสตรวี า
ไมสามารถบรรลุคณุ ธรรมได (พุทธเรียกวา ลทั ธิอัตตกลิ มถานุโยค)
๒. นกิ ายเศวตามพร นุงหมขาว ยึดการปฏบิ ัติสายกลาง
๘๗
๓. ปรัชญาพุทธ
ปรัชญาพุทธเกิดข้ึน ณ ประเทศอินเดีย เมื่อ ๘๐ ป กอนพุทธศักราชหรือ ๖๒๓ ป กอน
คริสตกาล โดยเจาชาย “สิทธัตถะ” (หรือสิทธารถะตามมั ภีรสันสกฤต) โอรสของพระเจา “สุทโธท
นะ” และพระนางสิริมหามายา แหงกรุงกบิลพัสดแควนสักกะ เมื่อแรกประสูติ สิทธัตถะไดรับการ
ทาํ นายวา ๑. ถา อยูครองฆราวาสจะไดเปนพระเจาจักรพรรด หรือ ๒. ถาออกผนวชจะไดเ ปนศาสดา
เอกของโลก สิทธัตถะไดรบั การศกึ ษาศิลปวทิ ยาการอยา งดีตามฐานะแหง โอรสกษัตริย เมอื่ พระชนมายุ
ได ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกบั เจาหญิง “พมิ พา” หรือ “ยโสธรา” มีโอรส ๑ องค ชื่อ “ราหุล”
สิทธัตถะทรงเบื่อหนา ยในชีวติ ฆราวาสจึงเสด็จออกผนวชเมือ่ พระชนมายุได ๒๙ พรรษา บําเพ็ญเพียร
และแสวงหาโมกขธรรม เปนเวลา ๖ ป จึงตรัสรูสําเร็จเปน “พทุ ธ” เม่ือพระชมมายุได ๓๕ พรรษา
ทรงเสดจ็ ออกจาริกไปตามสถานทตี่ าง ๆ ในชมพูทวีป เพ่ือประกาศสัจธรรมเปนเวลา ๔๕ ป เสดจ็ ดบั
ขันธปรนิ พิ พานเมือ่ พระชนมายไุ ด ๘๐ พรรษา กอ นคริสตศักราช ๕๔๓ ป
คําวา “พทุ ธ” แปลวา ผูรูหรือผูตืน่ แลว หมายถงึ การรูแจงซึ่งสภาวธรรมตาง ๆ ตามสภาพท่ี
เปน จริง หรือการตื่นข้ึนจากการหลงงมงาย ความเปน ทาสของกิเลสและตัณหา เปนตน ปรัชญาพุทธน้ี
บางทกี ็เรยี กวา ปรชั ญาพทุ ธศาสนา
เน่ืองจากปรัชญาพทุ ธ เปนลักษณะ “สัจนิยม” หรือ “ธรรมชาตินิยม” ถือวาสภาวธรรมชาติ
ทัง้ หลายตอ งเปนไปตามหลักแหงธรรมชาติ และหลักแหงความจริง ดงั นั้น ปรัชญาพทุ ธจึงสัง่ สอนโดย
เนนหนักท่ีเหตุผลและวิจารณญาณ โดยการเตือนสติใหทุกคนไดคิดพิจารณา ไตรตรอง ใครครวญ
ดูกอนดวยปญญาของตนเองกอนที่จะเชื่อ และปฏิบัติตามคําสอนของใคร ๆ ดังปรากฏหลักฐานที่
พระพทุ ธเจา ไดแ สดงไวใน “กาลามสูตร” วา
๑. อยา เชอ่ื โดยฟง ตามกันมา
๒. อยา เชือ่ โดยถอื สืบ ๆ กนั มา
๓. อยาเชือ่ โดยการเลาลือ
๔. อยา เชอ่ื โดยการอางตําราหรือคัมภรี
๕. อยา เชอ่ื โดยการอา งเหตผุ ลทางตรรกะ
๖. อยาเชอ่ื โดยการอนุมานหรอื การคาดคะเน
๗. อยา เชื่อโดยการตรกึ ตรองตามอาการ (คดิ เอาตามแนวเหตผุ ลของตน)
๘. อยาเชือ่ วา เพราะเห็นวาตรงกบั ความเห็นของตน หรือทฤษฎขี องตน
๙. อยา เชื่อเพราะวาเห็นรูปรา งลกั ษณะนาเปน ไปได หรือนา เช่ือถอื
๑๐. อยา เชือ่ เพราะนับถอื วา ทานเปนครูของเรา
๘๘
ลกั ษณะคาํ สอนของพระพทุ ธเจา ๗
๑. คําสอนปฏิรูป คือปฏิรูปคําสอนเดิมของพระพราหมณ เชน การทําบุญ พวกพราหมณ
สอนวาใหทําบุญกับพวกท่ีเปนพราหมณโดยกําเนิด แตพระเจาสอนใหเราทําบุญกับพราหมณคือผู
บริสุทธิ์ หรอื บุคคลผูบริสุทธด์ิ ว นไตรทวาร (กาย, วาจา, ใจ) จะมผี ลบญุ เกิดแกผูทาํ มากกวา
๒. คําสอนปฏิวัติ ไดแกการเปล่ียนแปลงคําสอนเดิมและความเช่ือเดิมทั้งหมดเปนชนิด
ตรงกนั ขามกัน เชน พราหมณ สอนวาการฆาสัตวบูชายัญยอมเปนกุศลย่ิง และจะสมปรารถนาทุงส่ิง
แตพระพุทธเจาสอนวา การฆาสัตวทุกชนิดเปนบาปเปนชั่ว แตคนเราควรทีเมตตากรุณาตอสัตว
ทั้งหลาย
๓. คําสอนท่ีตั้งขึ้นใหม ไดแกคําสอนที่พระองคทรงคนพบแลว ส่ังสอนคนอน่ื ใหประพฤติ
ปฏบิ ตั ิตามเพ่อื ความรูยงิ่ เหน็ จรงิ เชน อรยิ สจั ปฏจิ จสมปุ บาท เปนตน
คัมภีรทางพระพุทธศาสนา เรียกวา “พระไตรปฎก” กลาวกันวามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ
โยกแยกเปน
๑. พระสุตตันตปฎก (พระสตู ร) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ
๒. พระวินัยปฎ ก (พระวินยั ) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ
๓. พระอภิธรรมปฎก (พระอภิธรรม) ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ
สาระสาํ คัญแหง คาํ สอนของพระพุทธศาสนา
หลักคาํ สอนพทุ ธศาสนาน้นั แมจ ะมีมากมายจํานวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ กต็ ามแตก ็
สามารถยน ยอลงไดล งไดเ พียง ๓ ประการ คอื
๑. การไมทําความช่ัวทกุ ชนดิ
๒. การทาํ ความดีใหถึงพรอ ม
๓. การชาํ ระจติ ใหผ องใส
หลกั ธรรมสําคญั ทางพทุ ธศาสนา
๑. อริยสจั ๔
อริยสจั แปลวาของจรงิ อันประเสริฐ มี ๔ อยา ง คือ
๑. ทุกข คือความทุกขยากลําบาก ความทรมาน ความเจบ็ ปวด ความเศรา โสก เสียใจ เปนตน
หรือจะพูดงาย ๆ วา “ทุกข คอื ความไมสบายกายไมสบายใจ” และความทุกขนี้แยกกลาวไดเปน ๓
อยาง คอื
๑.๑. ทุกขทรมานตามธรรมดา (ทุกขทกุ ข)
๑.๒ ทกุ ขทเ่ี กดิ ข้ึนจากความเปลย่ี นแปลง (วิปรณิ ามทกุ ข)
๑.๓ ทกุ ขม เี หตปุ จ จัยเกี่ยวเนอ่ื งกนั (สังขารทุกข)
๗ บญุ มี แทน แกว, ปรัชญาฝา ยบุรพทศิ , (กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร, ๒๕๔๕), หนา ๙๔-๑๐๐.
๘๙
๒. สมุทัย คือเหตุท่ีทําใหทุกขเกิด ซึ่งไดแกความหิวกระหาย ความกําหนัด ยินดี ความ
เพลดิ เพลิน เปนตน ซึ่งไดแ กตัว ตณั หา นน่ั เอง ซง่ึ มีอยู ๓ อยา ง คือ
๒.๑ กามตัณหา ความทะยานอยาก หิวกระหาย ความไมรูจักอ่ิมไมรูจักพอในกาม
อารมณ คอื รูป เสี่ง กล่นิ รส สัมผัส
๒.๒ ภวตัณหา ความทะยานอยาก หิวกระหาย อยากเปนนั่น อยากเปนนี่ อยู
เรอ่ื ยไป
๒.๓ วิภวตัณหา ความทะยานอยาก หิวกระหาย ในความไมอยากมี อยากไมอยาก
เปน
๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข ไดแกความดบั ตัณหาอันเปนเหตใุ หเกิดทกุ ขนั่นเอง ถาบุคคลดับ
ทกุ ขได กเ็ รียกวา บรรลุนพิ พาน จงึ กลา วอกี ในหนงึ่ วา “นโิ รธ” ก็คือนิพานน่ันเอง
๔. มรรค คือ ทางปฏบิ ัติใหถ งึ ความดบั ทกุ ข ซ่งึ มอี งค ๘ ประการ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
๒. สมั มาสงั กปั ปะ ความรําริชอบ
๓. สัมมาวาจา การเจรจาชอบ
๔. สัมมากมั มนั ตะ การงานชอบ
๕. สมั มาอาชวี ะ การเลยี่ งชวี ิตชอบ
๖. สมั มาวายามะ ความเพียรพยายามชอบ
๗. สมั มาสติ การตง้ั สติรอบคอบ
๘. สมั มาสมาธิ การตัง้ ใจไวชอบ
บุคคลผูหวังจะเขา ถึงความดับทกุ ข (นิโรธ) หรือเขา ถงึ นิพพาน ตองปฏิบัตติ ามมรรคมีองค ๘
ประการน้อี ยา งสมบรู ณ มใิ หข าดตกบกพรอง
อนึ่ง ในเรอ่ื งอรยิ สจั ๔ คอื ของจรงิ อนั ประเสริฐ ๔ ประการน้ี สามารชี้ใหเห็นเหตกุ ารณที่เปน
จริงไดดงั นี้
๑. ทุกข ความไมบาย เชน เปนไขห วดั
๒. สมุทยั เหตใุ หท ุกขเ กิด ไขหวัดเกดิ จากการไดร ับเชอื่ โรค
๓. นิโรธ ความดับทกุ ข คอื ตองทําลายเชอื้ โรคท่ีกอใหเกดิ ไขห วดั
๔. มรรค ทางปฏิบัตใิ หถงึ ความดบั ทุกข ก็คือการทาํ ลายเช้ือโรคหวัดน้ัน เชน กินยา ฉดี ยา
เปน ตน ในทสี่ ุดความทกุ ขจ ากโรคไขหวัดก็หายไป
๒. ไตรลกั ษณ
ไตรลักษณ หรือเรียกอีกช่ือหนึ่งวาสามัญลักษณะ หมายถึงลักษณะท่ีเหมือนกันไมมีอะไร
พิเศษแตกตางกันของสรรพส่ิงในโลก เปนลักษณะสามัญธรรมดาท่ีทุก ๆ ส่ิงมีเสมอเหมือนกันหมด
๙๐
สรรพสิ่งท้ังหลายตองตกอยูภายใตกฎแหงความเสมอเหมือนกันไมมีขอยกเวน ไมวาจะเปนสิ่งมีชีวิต
หรอื สงิ่ ไมมชี ีวติ ก็ตาม ซึง่ มอี ยู ๓ อยาง คือ
๑. อนิจจัง ความไมเที่ยงแทแนนอน ความไมคงที่ ความเปลี่ยนแปลง เชน รางกาย ของ
คนเราเมอื่ แรกเกิดก็เปนเด็ก ตอมาก็เจริญเตบิ โตเปนผูใหญ คนแกและคนตายไปในทส่ี ุด ในดานวัตถุ
เชน เกาอี้ เมื่อแรกทําเสร็จสกี ็สดสวยรปู ทรงสวยงาม กาลเวลาผา นไปสีท่ีเคยสดสวยก็เกาคร่ําคราและ
รูปทรงก็บบุ สลาย ตอไปกก็ ลายเปน เศษไม จงึ เหน็ ไดว า ทกุ สง่ิ ทุกอยา งไมเท่ยี ง (อนจิ จัง)
๒. ทุกขัง ความเปนทุกข ความขัดของ ความทนอยูไมไดของสรรพส่ิง เพราะสรรพสิ่ง
ทงั้ หลายเปน ของไมเทีย่ งจึงตอ งเปน ทุกข เพราะเปนของไมคงทนถาวร และคําวาทุกขขงั น้ีเราพิจารณา
ไดใน ๒ ลักษณะ คือ
๒.๑ ทกุ ขเวทนา หมายถงึ ความยากลําบากทีเ่ กดิ ขึ้นจากความเจ็บปวด ทางรา งกาย
จิตใจ โรคภัยไขเจ็บเบียดเบียน เชน การเกดิ แก เจ็บ ตาย เปนทุกข การเศราโศกเสนียใจกเ็ ปนทุกข
เปน ตน
๒.๒ ทกุ ขลักษณะ คอื สภาวะท่ีทนอยไู มไ ดของสสารทุกประเภท ความทุกขทุกชนิดน้ี
เกดิ ขึน้ เพราะเราไมอยากใหส สารเปล่ียนแปลงแตม ันกเ็ ปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ของมันหามไมได
บังคบั ไมได
๓. อนัตตา มันไมใชตัวตน เพราะคําวาตัวตนนั้น เปนผลรวมของสวนประกอบตาง ๆ ซึ่ง
เกิดขนึ้ แทนกนั ไมขาดสาย ตัวตนทีแ่ ทจริงของสว นประกอบตา ง ๆ ไมมี จึงเปนอัตตา ไมมีตัวตนจริงส่ิง
ทัง้ หลายทง้ั ทม่ี ชี วี ติ แลไ มมชี ีวิตเปนเพยี งการรวมตัวของธาตุ ๔ แตถา ธาตุ ๔ แยกตัวออกไปเมอ่ื ใดกไ็ ม
มอี ะไรเหลอื อยู จงึ เปน อนตั ตาไมมตี ัวตนจริงในอนัตตาลกั ษณสูตร ไดก ลาวถึงลกั ษณะของอนัตตาไว
๑. ไมอยูในอาํ นาจของเรา คอื ฝนอาํ นาจของเรา
๒. แยงตอ อตั ตา มแี ตส ภาวะทเ่ี ปน องคฺประกอบเทาน้นั
๓. เปน สภาพทีห่ าเจาของมิได มิใชของเรา
๔. เปนสภาพสญู ไมมีอะไรเหลอื ดุจความฝน
๕. เปนสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นเพราะมีเหตปุ จ จัย
อกี อยางหน่ึง ทเ่ี รียกวา อนัตตาเพราะไมใชตวั ตน ไมอยูในอาํ นาจของใคร ใครจะบังคับบัญชา
ไมได
๓. ปฏิจจสมปุ บาท
ปฏิจจสมุปบาท หมายถึงสิ่งท่ีอิงอาศยั กันและกนั เกดิ ขึ้นหรือธรรมท่ีอาศยั กันเกิดโดยไมอาจ
แยกหรอื ตัดขาดจากกนั ได
๙๑
ในคัมภีรสุทธิมรรค หมายถึงสภาวธรรมทเี่ กิดข้ึนเพราะอาศัยซ่ึงกนั และกัน สวนในอภิธรรม
หมายถงึ อาการที่ส่งิ ทง้ั หลายเปนปจจัยแกกันและกันเกิดขึ้น กลาวคอื ส่ิงตาง ๆ จะเกดิ ขึ้นเอง เปนเอง
โดยไมม ีเหตปุ จจัยไมได
ปฏจิ จสมปุ บาทน้มี คี วามสําคัญเพราะ
๑. เปนหลักธรรมที่แสดงถึงกฎธรรมชาติของสรรพส่ิงที่มกี ารไหลเรื่องไมอยูนิ่ง มีการเกดิ ขึ้น
ในเบือ้ งตน มีความแปรปรวนในทา มกลางและความแตกดับในที่สุด
๒. เปนหลักธรรมท่แี สดงถึงกฎธรรมดาของทกุ ส่งิ ทกุ อยางทีเ่ ปนของไมเ ทีย่ ง เปนทกุ ขแ ละเปน
อนัตตา
๓. เปนหลักธรรมที่แสดงถึงกฎแหงสังสารวัฎ คือ วงจรแหงความทกุ ขทีเ่ กดิ ขนึ้ เพราะอาศัย
กิเลส กรรม วิบาก
๔. เปน หลกั ธรรมของใหญทรี่ วมเอาความหมายแหง ธรรมะมาไวไดทง้ั หมด
๕. เปน ธรรมะทวี่ าดว ยเร่อื งของชีวิตเราในขณะน้แี ละเดยี๋ วนี้
ปฏิจจสมุปบาทน้ี มีความสัมพันธตอกัน เปนปจจัยของกันและกัน และมีความเกี่ยวโยงกัน
เปนลกู โซ มอี งคป ระกอบ ๑๒ ขอ คือ
๑. อวิชชา คอื ความไมร ู ไดแ กไมรูในทุกข ไมรูในเหตุแหงทุกข ไมรูในความดบั แหงทุกข และ
ไมรใู นทางดาํ เนินรไปสูความดบั ทกุ ข อวิชชา เปนปจจยั ใหเกดิ สงั ขาร
๒. สังขาร คือความคิดที่เปนเหตุผลใหเกิดการปรุงแตง ทง้ั กาย วาจา และใจ แบงเปน ๓
อยา งคอื
๑. กายสงั ขาร ไดแกส งิ่ ท่ปี รุงแตง ใหเกดิ หนาท่ีทางกาย
๒. วจสี งั ขาร ไดแกส ิง่ ทปี่ รงุ แตงใหเกดิ หนาท่ีทางวาจา
๓. จิตสังขาร ไดแกสิง่ ทป่ี รงุ แตง ใหเกิดหนาท่ีทางใจ สังขารเปนปจ จยั ใหเ กิดวญิ ญาณ
๓. วญิ ญาณ คือความรูสึกหรือการรับรูอันเกดิ จากประสาทสัมผัสระหวางอนิ ทรียภายในกับ
อินทรีภายนอก มี ๖ อยาง คือ
๑. ตา เห็นรปู เกิดความรสู ึกขนึ้ เรยี กวา จกั ษวุ ญิ ญาณ
๒. หู ฟง เสยี ง เกดิ ความรูสึกขนึ้ เรียกวา โสตวญิ ญาณ
๓. จมกู ดมกลิ่น เกดิ ความรูสกึ ขึ้น เรยี กวา ฆานวญิ ญาณ
๔. ลน้ิ ลมิ้ รส เกิดความรสู ึกขน้ึ เรียกวา ชวิ หาวิญญาณ
๕. กาย ถกู ตอ ง (สมั ผัส) เกดิ ความรสู ึกข้นึ เรยี กวา กายวญิ ญาณ
๖. ใจ คิดถึงอารมณ เกิดความรูสึกขึ้น เรียกวา มโนวิญญาณ วิญญาณเปนปจจัยให
เกดิ นามรูป