๒๔๔
วิชาการตลอดถงึ แนะนาํ สง่ิ ที่ถูกทค่ี วร ทหารมหี นาทใี่ นการปอ งกันรักษาประเทศชาติ ฯลฯ จริยศาสตร
จะเนนใหแตละคนรจู กั หนาท่ีของตนเองและทําหนา ท่ีของตนเองใหสมบูรณ
๒. อดุ มการณส ูงสุดของชวี ิต จรยิ ศาสตรน อกจากขะช้ีวามนษุ ยแ ตล ะคนมหี นาที่ ทจ่ี ะทําเปน
ของตนเองแลว ยังบงช้ีอีกวา มนุษยควรทาํ อะไร ไมค วรทําอะไร (อะไรควรทํา อะไรไมควรทํา) เพื่อ
มนุษยเราจะไดยึดถอื เปนอดุ มคตสิ งู สุดแหงชีวิตของตนเอง เชน อดุ มการณของลูกเสือวา เสียชีพอยา
เสยี สตั ย๓ ของชาวพทุ ธวา ยอมเสียสละชีวติ เพื่อรักษาความเปนธรรม จะเห็นวาลกู เสือทุกคนยอมตาย
เพื่อรักษาคําสัตย ชาวพทุ ธทุกคนยอมตายเพอื่ รักษาความเปนธรรม เปนตน อุดมการณของชีวิตนี้จะ
ทาํ ใหมนษุ ยเ ราสามารถยนื หยัดอยไู ดอ ยา งภาคภมู ิ แมจะตอ งสูญเสียส่ิงสาํ คญั หรือสิ่งที่ตนเองหวงแหน
ก็ตาม ดังนั้น มนุษยทุกคนจึงควรต้ังอุดมการณแหงชีวิตของตนไว และดําเนินตามแนวทางแหง
อุดมการณน ้นั เพอื่ วา ชีวติ ของตนเองจะไดม ีคณุ คา
๓. ความดีอันสูงสุด จริยศาสตรจะชี้วา ความดีอันสูงสุดคืออะไร และมนุษยควรเลือกทํา
ความดีอันสูงสุดนั้น ความดีอันสูงสุดในที่นี้หมายถึง ความเหมาะสมในหนาท่ี ที่จะพึงทํากอนหรือ
หนาที่เฉพาะหนาท่ีสําคัญกวา ความหมายวา เมื่อมีหนาท่ี ที่สําคัญเกิดข้ึนพรอมกันหลายอยางใน
ขณะเดียวกัน การเลือกทําหนาที่ ที่สําคัญกวามีคุณคาสูงกวา คือ กาทําความดีสูงสุด ตัวอยางเชน
ทหารไดรับคําสั่งใหออกรบเพ่อื ปองกันรักษาประเทศชาติ ในขณะเดียวกันก็ไดร ับโทรศัพทจ ากภรรยา
วา ลูกปว ยหนักกลบั บานดว น ในฐานะทเ่ี ขาเปน ทหาร การออกสนามรบเพ่ือปองกนั ประเทศชาติ เปน
หนาที่ ที่ควรทํากอนและมีคุณคามากกวา และอีกตัวอยาง นักศึกษากําลังสอบไลปลายปของปท่ีจะ
ส้ินสุดการศึกษา ไดรับโทรศัพทจากแมวา พอปวยหนักกลับบานดวน โดยหนาที่ทางศีลธรรม
นกั ศึกษานนนั้ ออกจากหองสอบเดนิ ทางกลับบา น เพ่ือการรกั ษาพยาบาลพอกาํ ลงั ปวยหนกั
การออกสนามรบเพื่อปองกันรักษาประเทศชาติของทหารคนน้ันก็ดี การออกจากหองสอบ
เดินทางกลบั บาน เพอ่ื รกั ษาพยาบาลพอ ที่กําลังปวยหนักของนักศึกษาคนนั้นกด็ ีถอื วาเปนการเลือกทํา
หนา ที่ ทม่ี คี วามสําคญั มากกวา มคี ณุ คามากกวา เปน ความดอี นั สงู สุด เพราะการรกั ษาพยาบาลลูกของ
ทหารและการสอบไลข องนักศึกษาเปนหนาท่ี ทส่ี ําคัญรองลงมา จริยศาสตรจึงเปนศาสตรแหงความดี
อันสูงสดุ
๓ คณู โทขนั ธ, ปรชั ญาเบ้อื งตน, (ขอนแกน : ภาควชิ ามนุษยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร,
๑๕๒๗), หนา ๘๑.
๒๔๕
๔. ประโยชนของการศึกษาวิชาจรยิ ศาสตร
วิชาการทุกแขนงยอมมีประโยชนตอผูศึกษาทั้งนั้น วิชาจริยศาสตรก็เชนเดียวกันประโยชน
ของการศกึ ษาจรยิ ศาสตรน น้ั พอสรุปไดด งั น๔้ี
๑. ทําใหร วู า อะไรดี อะไรชัว่ อะไรถกู อะไรผิด สามารถเลือกปฏิบตั ิในทางทถ่ี กู ทคี่ วรได
๒. รูทางดาํ เนินชีวิตทง้ั ทางสวนตวั และสงั คม อยูในสงั คมควรปฏบิ ัติอยางไร
๓. กฎทางจริยธรรมเปนกฎแหงความจริงของชีวิต เปนส่ิงที่ชีวิตตองการ ทําใหชีวิตสมบูรณ
การศกึ ษาจริยธรรมจงึ เปนการศึกษาถึงกฎธรรมชาตขิ องชวี ิต ทําใหรวู าชวี ติ ท่แี ทจ ริงตองการอะไร
๔. ความประพฤตติ ามหลักจริยธรรมเปนการพฒั นาชวี ิตมนุษยใหสูงขึ้นที่เรียกวา มีวัฒนธรรม
ทําใหช ีวติ มนุษยเปนชีวิตประเสริฐกวาสัตวถาขาดหลักดานจริยธรรมแลวคนกไ็ มตางจากสัตวแตอยาง
ใด
๕. การศึกษาวิชาจริยศาสตรมปี ระโยชนอีกอยางหน่ึงคือ ทําใหรูจักคาของชีวิตวาคาของชีวิต
อยูท่ไี หน ทาํ อยางไรชีวิตจึงจะมีคา การศกึ ษาจริยศาสตรแลว เลือกทางทด่ี ชี ีวติ ยอ มมคี าตามทตี่ องการ
๕. ความคดิ ของนักจริยศาสตรทางดา นอภิจรยิ ศาสตร
แนวความคดิ ดานนี้อาจแบงออกไดเ ปนพวกใหญๆ ได ๓ พวกคอื ๕
๑. พวกธรรมชาตินิยม
นักปรัชญาในกลุมนี้ใหความรูเรื่อง ความดีคอื อะไร จะใหคําจํากดั ความ คําวา ความดีน้ันได
หรือไมไ วด ังนี้
ความดคี ืออะไร นักปรชั ญากลุม นใี้ หคาํ จํากัดความไววา ความดีตองเปนส่ิงที่สัมพันธกบั ส่ิงอื่น
โดยใหคาํ จํากดั ความวา “ความดีคอื สิ่งทมี่ หาชนเห็นชอบ” หรือส่ิงทด่ี ีคอื สง่ิ ทกี่ อ ใหเ กิดความสุข
พวกธรรมชาตินยิ มถือวา ความเห็นชอบของสังคม เปนปรากฏการณข องสังคมเปนธรรมชาติ
ของสงั คม จึงเอาคําเหลานีม้ าใหคําจํากัดความของความดี
เราอาจพูดไดม ากมายเชนวา “ความดีคือส่ิงท่ีทําใหสังคมมีระเบียบ” “ความดีคือความสงบ
เย็นของสังคม” “สิ่งท่ีไดดีคือส่ิงท่ีทําใหสังคมจลาจลวุนวาย” “สิ่งที่ดีคือสิ่งที่ทําใหเราเย็นสบาย”
“การกระทําท่ีไมด ีคอื การกระทําทก่ี อ ความทุกขยากใหแ กส ังคม” เปน ตน
๔ บุญมี แทน แกว, ผชู วยศาสตราจารย, จรยิ ศาสตร (ETHICS), พิมพค ร้ังที่ ๔, (กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พรนิ้
ติง้ เฮา ส, ๒๕๕๐), หนา ๓.
๕ อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ผชู วยศาสตราจารย, ปรัชญาเบื้องตน, (กรุงเทฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง,
๒๕๒๔), หนา ๒๖๑.
๒๔๖
ทง้ั หมดน้ีเปนการใหคําจํากัดความคาํ วา ดี ไมดี แบบธรรมชาตินิยม คือเอาเร่ืองธรรมชาติมา
เก่ยี วขอ งดวย เอาธรรมชาตเิ ปนเครอ่ื งวัดเสมอ
นักธรรมชาตินิยมเห็นวา คา ทางจริยะคือ ดี ถกู ควร ไมดี ไมถูก ไมค วรมิไดมีเองเปนเองโดย
ตวั ของมันแตม ันตอ งอาศยั ธรรมชาติหรือขอเท็จจริงประกอบเชน พูดวานายขาวดี เพราะนายขาวเปน
คนดีมีมนุษยสัมพันธดี นั้นหมายความวา ความดขี องนาวขาวขึ้นอยูทนี่ ายขาวมีมนุษยสัมพันธไมใชว า
นายขาวดีเองได
๒. พวกอธรรมชาตนิ ิยม
นักปรชั ญากลมุ นีถ้ ือวา ความดี ความถกู ความผดิ ความควร หรือความไมดไี มถูก ไมควรเปน
อิสระไมเก่ียวของกับธรรมชาติ แตอยางใดเปนคุณสมบัติของส่ิงนั้นๆ นั่นเอง พวกนี้เห็นวา “การ
กระทําท่ีดีไมจ ําเปน ตอ งทําใหสังคมมคี วามสขุ ”
- การกระทาํ ทดี่ ีไมจ าํ ตองเปนสงิ่ ทีค่ นสวนใหญพอใจ
- ความดีกค็ ือความดี ไมเกย่ี วของกับอะไร เชนเราอาจพูดไดว า “ความดคี ือความถูกตอง
เหมาะสม” หรือวา “ความดคี อื ความสวยงาม” เปนตน
พวกอธรรมชาตินิยมถือวา คาทางจริยธรรม เปนส่ิงเชิงเดียว ความดีเปนสิ่งทมี่ ีในตัวของมัน
เอง ความดไี มเ ปน เชิงซอน ซึง่ มสี วนประกอบหลายสว น เชน มา ววั ควาย เปนส่ิงเชิงซอนนิยามไดงาย
แตส่ิงเชิงเดี่ยว เชน ความดี ความชั่ว นิยามไดโ ดยอาศัยตวั มันเองแตไมไดความขยายออกไปแตอยาง
ใด
พวกอธรรมชาตนิ ิยมถือวาความดีมีจริง การโตแ ยงทางจริยธรรมเปนสิ่งท่ีมีความหมาย เชน
เราพูดวา “นายแดงเปนคนไมดีเพราะนายแดงไปฆาคนตาย” แตน ายขาวพูดวา “นายแดงเปนคนดี
เพราะนายแดงฆา เขาตายเน่อื งจากคนท่ถี กู ฆาสมควรตาย” ในกรณนี ี้จะตองมคี นผิดหนึ่งคนถกู หนึ่งคน
จะผดิ ท้ังสองคนหรือถูกทง้ั สองคนไมไ ดเพราะความดีเปนสง่ิ มจี ริง ใครพูดไมต รงความจรงิ คนนั้นกผ็ ิด
๓. พวกอารมณนยิ ม (Emotionism)
นักปรัชญาพวกอารมณนิยมถือวาความดี ความช่ัวไมม ีจริงความถูกความผดิ ความควรความ
ไมมีจริง การพูดถึงเรอ่ื งความดคี วามถูก ความควร ความไมด ี ไมถ ูก ไมค วร เปนสิ่งไรสาระ การพูดวาดี
ไมด ี ถูก ไมถกู ควรไมค วรข้ึนอยูก บั อารมณข องแตล ะคนเทา นน้ั
ถา ก. พดู วา “บานหลงั นส้ี วยงามมาก”
ข. พดู วา “บา นหลังนีไ้ มเ ห็นสวยงามตรงไหนเลย”
ค. พดู วา “บานหลังน้ีไมส วยงามมากแตกไ็ มใชไ มงามเสยี เลย”
๒๔๗
ตามความคิดของนักอารมณนิยมจะเห็นวา ทั้ง ก. ข. ค. พูดถูกท้ัง ๓ คนเพราะเขาพูดตาม
อารมณตามความคดิ เห็นในขณะน้ัน ก. เห็นวาบานสวยเขาก็บอกวาสวยก็ถูก ข. เห็นวาไมส วยก็บอก
วาไมสวย ค. ก็เห็นวาเปนบานปกติธรรมดา จึงถูกทั้ง ๓ คนเพราะความสวยไมมจี ริงขึ้นอยูกับอารมณ
ของคนเทา นน้ั
สรปุ ความคิดเห็นของนกั จรยิ ศาสตรท้ัง ๓ พวกมีดังนี้
๑. พวกธรรมชาตินิยม เห็นวาความดีมีจริงโดยอาศัยธรรมชาติ ความดีหรือคาทางจริยะ เปน
สิ่งเชิงซอนใหคําจํากัดความของความดีโดยอาศัยธรรมชาติ ความดีจึงมีลักษณะสัมพันธคือข้ึนอยูกับ
ธรรมชาติเปนสาํ คัญ
๒. อธรรมชาตนิ ิยม เหน็ วาความดีหรือคา ทางจริยะมีจรงิ การนิยามความดีมีไมไดเพราะความ
ดีเปนสิ่งเชงิ เดย่ี ว การโตเ ถียงทางจริยะเปนส่ิงที่มีความหมาย คอื ถา ก.วานาย ข. ดีเพราะเขามเี มตตา
ค. วานาย ข. ไมดีแมม คี วามเมตตา
กรณนี ี้ตองถกู คนหนึ่งผิดคนหนึ่ง คือถา ข.มคี วามเมตตาจริง ข. ก็เปนคนดีเพราะความดีจริง
ก.กถ็ กู สว น ค.ที่วา ข.ไมด กี เ็ ปนฝา ยผิดเพราะตามความจรงิ ข.เปน คนดีจรงิ
๓. อารมณนิยม เห็นวาความดีความช่ัว หรือคาทางจริยะไมมีจริงการพดู เร่ืองจริยะเปนสิ่งไร
สาระไมมีอะไรดีในตัวมัน ข้ึนอยูกับอารมณของคนเทานั้น การนิยามคาทางจริยะทําไมไดเลยเพราะ
ความดีความชว่ั หรือคาทางจรยิ ะไมมเี ลย จงึ ไมรจู ะเอาอะไรมานยิ าม
๖. แนวความคิดของนักจรยิ ศาสตรเกยี่ วกับอดุ มคติชวี ิต
ในเร่ืองอุดมคติชีวิตนี้มีปรัชญาหลายกลุมหลายสํานักแสดงความคิดเห็นไวตางๆกัน แตจะ
นาํ มาพูดในทน่ี เี้ พียง ๒ สํานักดังนี้๖
๑. สขุ นยิ ม (Hedonism)
พวกสขุ นิยม เหน็ วา สิ่งทด่ี ีมีสุขในชีวิตมนษุ ยค ือความสขุ สง่ิ อืน่ ถาพอจะถือวามีความดีก็เพราะ
สิง่ นั้น นกั ปรชั ญากลุมน้มี หี ลายคนเชน
ซิกมันต ฟรอยส มีความเห็นวา “ในคําถามท่ีวาการแสดงประพฤติกรรมของมนุษย เขามี
จุดมุงหมายหรือมีความตงั้ ใจอะไรในชีวิต อะไรคอื ส่ิงท่ีตองการและปรารถนาจะบรรลุถงึ คําตอบไมมี
อะไรสงสัยเลยวา มนุษยแสวงหาความสุข เขาตอ งการไดรับความสุขความสบาย อีกดานหนึ่งหาทาง
พนจากความทุกขความไมสบายซ่ึงผลลพั ธก ็เทา กนั ”
เหตุผลของสุขนยิ มที่วา ทุกคนแสวงหาความสขุ นน้ี า ฟง เชน เราอาจถามเพือ่ นเราวา
๖ ศรณั ย วงศคาํ จนั ทร, ปรชั ญาเบือ้ งตน, (กรงุ เทพฯ : อมรการพมิ พ, ม.ป.ป., ), หนา ๑๗๙-๑๘๒.
๒๔๘
- เรียนไปทาํ ไม
- ทาํ งานเพอ่ื อะไร
- หาเงนิ ไปทําอะไร
- ไปเท่ยี วทาํ ไม
- ทาํ ไมเราตองประหยัด
- ทาํ ไมเราตองฟง เพลง เปนตน
เมอื่ สรปุ คาํ ตอบก็จะไดอันเดียววา เพอื่ ใหตวั เองมีความสุข เชนวา ถาไมเรียนหนังสือตอไปจะ
ลําบาก ถาไมท ํางานจะไมม ีเงินมาซือ้ ของใชของกินจะลําบาก ถา ไมไปเท่ียวกก็ ลุมใจไปเท่ียวแลวจะได
หายกลุมใจ ประหยัดไวเพ่ือเวลาเจ็บปายจะไดไมลําบากมากเกินไปรองเพลงแลวจะไดสบายใจหาย
กลุม ใจ เปนตน เม่อื สรุปคือคนตอ งการความสขุ น่นั เอง
พวกสุขนิยมจึงวาส่ิงที่ดที ่ีสุดสําหรับชีวิตมนุษยหรือส่ิงทมี่ นุษยตองการและแสวงหามากท่ีสุด
คือ ความสขุ
เบ็นแธม (Bentham ๑๗๔๘ – ๑๘๓๒)
เบน็ แธม เปนนกั ปรัชญาอังกฤษทมี่ ีความเชื่อดา นสุขนิยมนี้มากคอื เปน นกั ปรัชญาฝายสุขนิยม
คนหนึง่ เบ็นแธมกลาววา “ธรรมชาติไดจ าํ กัดมนุษยอ ยภู ายใตการบงการของนายทีม่ ีอํานาจเต็ม ๒ คน
คอื ความเจ็บปวด และความสุขสบาย เพ่ือสิ่งท้ังสองนี้เทาน้ันที่เราจะพูดไดว า เราควรทําอะไรไมควร
ทําอะไร นายท้ังสองคนนี้จะควบคุมการกระทํา การพูดการคิดท้ังหมดของเรา ความพยายามที่เรา
พยายามที่เราพยายามจะพน จากมันคือความผูกพันธกบั มนั มากขึ้นบางครั้งเราคิดวา เราพนจากมนั ไป
แลว แตทีจ่ รงิ ก็ตกอยูในอาํ นาจของมนั ตลอดเวลา”
แตการหาความสขุ บางครั้งตองอาศยั ความทกุ ข เชน นัง่ ชมภาพยนตรใ นโรงภาพยนตรตองทน
ตอกลิ่นบุหร่ีของคนที่ไมมีมารยาทและไมเคารพกฎหมาย ขุดเจาะอุโมงคลอดภูเขาเพื่อใหรถยนต
รถไฟ วิ่งผา นทางลัดได เปน ตน ลว นแตผ านความทุกขเ พอ่ื ไปสูค วามสุขน่นั เอง
นกั ปราชญทางจารวากของอินเดียกลา ววา “จุดหมายอยา งเดียวของมนษุ ยคอื ความสุขท่ีจะได
จากความพอใจประสาทสมั ผสั ทานไมค วรกลา ววา ความสุขมิใชเปนเพยี งสิ่งเดยี วท่คี นปรารถนาเพราะ
มีความทุกขเจือปนมาก เรานาจะฉลาดพอที่จะหาความสุขท่ีบริสุทธ์ิเทาท่ีจะมากไดและหลีกเล่ียง
ความทกุ ขท ีจ่ ะตามมา ดจุ ดังคนท่ีอยากกินปลาก็ตอ งไปหาปลามาท้ังตัวแลวปรุงแตงเลือกกนิ แตสวนท่ี
พอใจ จงอยาใหความกลัวความทกุ ขม าขัดขวางการหาความสุขซึ่งสัญชาติญาณบอกเราวาเปนส่ิงท่ีดี
ท่สี ุด”
เอพิคคิวรสั (๓๔๑ – ๒๗๐ B.C.)
เอพิคควิ รสั เปนนกั ปรชั ญากรกี ทีเ่ ห็นวาความสขุ เปน ส่งิ ท่ีดที สี่ ขุ สําหรับชวี ิตมนุษยค นหนึ่ง เขา
แนะนําวา “จุดหมายของการกระทาํ ทง้ั ปวงของเราอยูทีก่ ารหลุดพนจากความทุกขแ ละความกลัว เม่ือ
๒๔๙
เราบรรลุส่ิงนี้แลวเราก็จะสบายใจความสุขสบายเปนเน้ือหาของชีวิตที่สมบูรณ ความสุขเปนท้ังสิ่ง
ประเสริฐหลักและประเสริฐรองของเรา ทั้งนี้มิไดหมายความวา ความสุขอะไรก็ไดท่ีเราแสวงหา
บางคร้งั เราอาจตองแสวงหาความทุกขห รือทนความทุกขบา งเพื่อจะไดค วามสขุ ทม่ี ากกวา
หมายความวา ถา เราพบสิ่งใดเราตองคํานวณวา สิ่งนั้นจะกอสุขมากหรือทกุ ขม ากอันไหนจะ
ใหความสุขในเวลายาวนานกวา กัน เชน การตัดสินปญหาเร่ืองการเรียน กับการหนีเรียน อนั ไหนจะให
สขุ มาก สุขนานกวา กันกท็ ําสง่ิ นนั้
มลิ ส (milles ๑๘๐๖ – ๑๘๗๕)
มลิ สเปนนกั ปรชั ญาชาวอังกฤษ เขาไดพยายามปรับปรุงความเช่ือทางสุขนิยมใหนาเช่ือถือข้ึน
โดยแตเดิมพวกสุขนิยมถือวาความสุขน้ันไมวาจะเกิดจากอะไรความสุขก็เหมือนกนั เชน ความสุขของ
คนในเมืองใหญ โดยการมีเงินมากมีบริวารมาก ก็เหมือนกับความสุขของการอยูคนเดยี วในปาทําใหค น
เห็นวา ถาเชนนั้นความสุขของคนกับของสุขของคนกับของสุกรก็ไมตางอะไรกันมิลสจึงเพ่ิมเติมโดย
แนะนาํ วา “ความพอใจของสัตวไมอ าจสนองความสุขของมนุษยได มนุษยมสี มรรถนะท่ีมีระดับสูงกวา
ความพอใจของสตั วและเมือ่ ไดใ ชสมรรถนะเหลานคี้ รั้งหน่งึ แลว ก็จะไมถอื วา สิง่ ใดมคี วามสุขนอกจากส่ิง
น้นั จะสนองความพอใจของสมรรถนะเหลาน้นั ”๗
สมรรถนะ (faculty) ตามที่กลาวนี้มิลสหมายถงึ ความสามารถบางอยางทม่ี ีอยูในตัวมนุษยท่ี
ทําใหรูจักความสุขบางอยาง ซึ่งสัตวไมอาจรูได ซึ่งเรียกวาอินทรีย เชน ลิ้นเปนอินทรียท่ีทําใหรูรส
อาหาร หวาน คาว ขม เปรยี้ ว แตกอนหินไมม ีอนิ ทรียจ งึ ไมร รู สอาหารได
มิลสเห็นวาความสุขที่เกิดจากความเขาใจทฤษฎีสัมพันธของไอนสไตนนั้นสัตวมีไมได เปน
ความสุขท่ีมีคุณภาพสูงกวาการกินแกงอรอย มิลสเห็นวามนุษยกับสัตวมีความสุขบางอยางท่ีมีได
เหมอื นกนั เชน การกนิ การนอน แตมนุษยสามารถรูความสุขบางอยางทส่ี ตั วมไี มไดเชน ความสุขจาก
ความสงบใจ ความสุขจากความไมเ หน็ แกตวั ถา มนษุ ยเ คยรรู สความสุขแบบหลังนแ้ี ลวเขาก็ไมตองการ
ความสขุ จากความวุนวายเชนความสขุ จากรสตา งๆอกี
มิลสเห็นวาความสุขทางใจสูงกวาความสุขทางกายเพราะความสุขทางใจ ปลอดภัยกวา
ราคาเยากวา หาไดงายกวา
โดยสรปุ พวกสุขนิยมน้ีอาจแบง ใหญๆ ไดเปน ๒ พวกคือ
๑. พวกสขุ นิยมสวนตน หรือปจเจกสุขนิยม ถอื วาคนทําทุกอยางเพ่ือความสุขสวนตวั ท้ังส้ินไม
มคี วามสขุ ใดอืน่ ท่คี นตองการนอกจากความสุขสวนตัว ความสุขสวนตัวจึงเปนยอดปรารถนา หรือเปน
สิ่งทดี่ ที ีส่ ดุ ทค่ี นแสวงหา เอพิคคิวรัสอยใู นพวกน้ี
๗ สดใส โพธิวงศ, ปรัชญาเบ้ืองตน, (ขอนแกน : ภาควิชามนุษยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและ
สังคมศาสตร มหาวิทยาลยั ขอนแกน, ๒๕๓๔), หนา ๖๘.
๒๕๐
๒. พวกสากลสุขนิยม หรือประโยชนนิยม เห็นวามนุษยแสวงหาความสุขแตความสุขท่ีวาดี
ท่ีสุดน้ันตองเปนความสุขชนิดที่มากที่สุดแกคนจํานวนมากท่ีสุดในเวลานานท่ีสุด เขมขนที่สุด ไมใช
ความสุขของเอกชน ความสุขของชนหมูม ากจงึ เปนสิ่งทดี่ ที ี่สดุ สาํ หรับมนุษย เบ็นแธม และ มิลส อยูใน
พวกนี้
แตอ ยางไรก็ตามพวกสุขนิยมก็มคี วามเห็นรวมกันวา สังคมที่สมบูรณคือ สังคมที่ผูคนในสังคม
น้ันมีความสุข ชีวิตท่ีสมบูรณคือชีวิตที่มีความสุข โลกที่สมบูรณคือโลกที่มีความสุข ศีลธรรมก็ดี
กฎหมายกด็ ี ศลิ ปก็ดี สติปญ ญาหรือวิทยาการทั้งหมดก็ดี เปนของมีคาเพราะมนั พาไปหาความสุข ใน
ตัวมนั เอง สง่ิ เหลาน้ีไมมคี า อะไร
๒. อสขุ นยิ ม (Non Hedonism)
พวกอสุขนิยม เห็นวาความสุขไมเปนส่ิงที่ดีที่สุดท่ีมนุษยจะพึงแสวงหาแตไมไดปฏิเสธวา
ความสุขไมได ความสขุ ดีแตไ มด ีทีส่ ุดทคี่ นจะหมดมุน แสวงหาแตเ พยี งอยางเดยี วตลอดเวลาในชีวิตของ
เขาสง่ิ ทด่ี ที ีส่ ุดในชีวิตของคนนั้นไมใ ชความสุข พวกอสุขนิยมแยกมาเปน ๒ พวกดงั นี้
ก. ปญญานิยม (ถอื วา ความรูหรือปญ ญาดีทสี่ ุด)
นกั ปรัชญาที่ถือวา ปญ ญาดีท่ีสุดของมนษุ ยไดแก โสเครตสี (๔๖๙ – ๓๙๙ B.C) พลาโต (๔๒๗
– ๓๔๗ B.C) อริสโตเตลิ (๓๘๔ – ๓๒๒ B.C) ความคดิ โดยสรุปของนักปรัชญากลุมนี้ก็คือวา “ทกุ สิ่ง
ทกุ อยางในโลกยอมมีลักษณะเฉพาะของมัน เปนลักษณะที่ทําใหสิ่งๆหน่ึงเปนตวั ของมันเอง แยกออก
ไดจากสิ่งอื่นๆ ลักษณะเฉพาะท่ีมีประจําในแตละส่ิงนี้เรียกวา สาระ ของสิ่งนั้นๆ มีดตางจากคอน
เพราะมดี มีคม ใชฟน ใชตัดสวนคอ นไมมคี มใชทบุ ใชตี ความคมจึงเปนลักษณะเฉพาะของมีด มีดที่คม
ใชตัดใชฟ นไดด ี ยอ มเปนมีดทส่ี มบรู ณ”
“สําหรับคน สมมตุ ิวา นาย ก. เปนนายแพทยท่ีมคี วามสามารถรักษาโรคไดดีเปนพเิ ศษ การ
รักษาโรคไดอยางดี เปนคุณลักษณะของ ก.ถานายแพทย ก.ประสบอุบัติเหตุจนไมสามารถรักษาโรค
ตอไปไดแตไ มถึงตาย ชีวิตการเปนแพทยของ ก. ส้ินสุดลงการรักษาโรคเกงก็ไมเปนคุณสมบัติเฉพาะ
ของ ก. อีกตอไปในกรณีน้ีสาระของชีวิตอยูที่ไหนดังน้ันส่ิงที่เราจะพิจารณาถึงสาระของชีวิต ตอง
พิจารณาคนในฐานะเปนคนไมใชพ ิจารณาฐานะอ่ืนจากความเปนคนเชน การรักษาโรคเกง กนิ อาหาร
เกง รอ งเพลงเกง เรยี นหนังสอื เกง เปน ตน ”
อริสโตเติล กลาวตอไปวา “เพียงแตการดํารงชีวิตไมใชลักษณะเฉพาะของมนุษยเพราะพืช
และสัตวกเ็ ปน เชนนั้นได กลาวคือ
- มนุษย สัตว พืช มีการกนิ การเติบโต การขยายพนั ธเ หมอื นกัน
- มนุษย และสัตว มีการรับรูทางประสาทสัมผัส การเคลื่อนไหว ความรูสึกตองการ
เหมอื นกนั
๒๕๑
- แตม นุษย มีลักษณะพเิ ศษตางจากสตั ว มนุษยมปี ญ ญา หมายถึง ความสามารถใชเหตุผล
แสวงหาความจริงมนุษยเขา ใจเรื่องคณติ ศาสตร วิทยาศาสตร มีความซาบซึ้งในศลิ ปะ แตสตั วไ มมี
อริสโตเติล มีความเห็นคลายกับพลาโตแตพลาโตไดแบงวิญญาณหรืออันที่จริงก็คือความรู
นน้ั เอง ออกเปน ๓ ภาคคอื
๑. ปญญาภาคแรก เปนภาคตาํ่ สุดคือปญญาซึ่งทําใหมนุษยรูจักหิว รูจักสืบพันธปญญาภาคนี้
สตั วก็อาจมเี หมอื นมนษุ ยไ ด
๒. ปญญาภาคที่สอง เปนภาคท่ีทําใหมนุษยรูจักเกียรติยศช่ือเสียง มีความกลาหาญไมกลัว
ตาย เขมแข็ง อดทน เปนภาคที่เรยี กวา นํา้ ใจ
๓. ปญ ญาภาคสาม เปน ภาคสงู สดุ เปน ปญญาอยางแทจริง เปนปญญาข้ันท่ีทําใหมนุษยเขา ถึง
ความจริงไดป ญ ญาชนิดน้ีจะพามนุษยไปพบสิง่ ตา งๆ ไดตามความตองการ
ท้ังอรสิ โตเติล และพลาโตมคี วามเห็นเหมอื นกนั วา ปญญาเปนลักษณะเฉพาะของมนุษย เปน
ส่ิงที่มนุษยแสวงหาอยางแทจริง เปนสิ่งนํามนุษยไปสูความตองการทกุ อยางปญญานํามนุษยใหเ ขา ถึง
สัจจธรรมได ท้ังพลาโตและอริสโตเติลเห็นวาสัจจธรรมไมใชเปนสิ่งท่ีมนุษยสรางขึ้นแตเปนส่ิงท่ีมีอยู
โดยธรรมชาติ บุคคลจะสามารถคนพบสจั จธรรมไดดวยปญญา
ปรชั ญากลุม นเ้ี หน็ วา “ความสุขไมใ ชส่ิงท่ีดที ี่สุดท่ีมนุษยแสวงหาเพราะถา ความสุขดีทสี่ ุดแลว
คนก็ไมตางจากสัตวเพราะสัตวก็มีความสุขได มนุษยจึงเปนเพียงสัตวที่สมบูรณไมใชเปนมนุษยที่
สมบรู ณ”
“ความสุขไมเปนส่ิงมีคาในตัวของมันเอง แตถาคนไมมีความสุขคนก็ยากท่ีจะทําอะไรดวย
ปญญาไดดังนั้นความสุขจึงเปนทางใหเกิดปญญา แตไมใชทกุ คร้ังเพราะบางคร้ังเมื่อคนมคี วามสุขก็ย่ิง
ทําใหค นหางไกลจากปญ ญามากข้นึ ความสุขจึงไมใชส่งิ ท่ีดีทีส่ ดุ สาํ หรับมนษุ ย”
โลเครติส ยํ้าเสมอวา “ปญญาคอื ธรรม (Knowledge is Virtue) ไมมใี ครเปนคนดไี ดโดย
ปราศจากความรูชวี ิตที่ใชปญญาแสวงหาสจั ธรรม ไมใ ชช วี ิตท่ฟี ุมเฟอ ย หรูหรา หาความสขุ ทางโลกยี
ข. วมิ ุตนิ ิยม
พวกวิมุตินิยมถือวา ความสงบของจิต ความหลุดพนจากความตองการเปนส่ิงท่ีดีท่สี ุด ความ
หลุดพนในที่นีห้ มายถึงความทจี่ ติ พนจากความตองการ จิตสะอาดปราศจากกเิ ลสทงั้ หลาย
กลมุ นกั ปรชั ญาฝายวมิ ุตินิยมมีหลายสํานกั เชน
๑. พวกซินนิค (Cynic)
พวกซินนคิ เชอ่ื คลายๆ กับโสเครติสแตไ มต รงกับโสเครติสหลายอยางเหมือนกนั พวกนี้นิยมยก
ยอ งโสเครตสิ ทโี่ สเครติสมชี วี ติ อยูอ ยางไมม ีตณั หา มชี ีวติ อยูอยา งงา ยๆ
ความเห็นที่ตางกันคือโสเครติสเห็นวาชีวิตงายๆ ไมมีคาในตัวของมันเอง แตชีวิตงายๆ ของ
โสเคติสเขาเชื่อวาจะนําไปสูปญญา สวนพวกชินนิคเห็นวา ชีวิตงายๆ นั้นเปนสิ่งมีคาในตัวของมันเอง
๒๕๒
พวกซินนิคปฏิบัติอยางเชนโสเครตสิ คือทําตัวใหมีชีวิตอยูอยางงายๆแตมจี ุดประสงคตา งกันกบั โสเคร
ตสิ พวกซินนิคบางพวกสอนวา “คนเราควรอยูอยางสุนัขหิวก็หากิน งวงก็นอนไปเร่ือยๆ ไมตองคํานึง
วา ท่นี อนนน้ั เปนอยางไรพวกน้ีอยา งที่เราพบเหน็ ในปจ จุบนั เชนพวกฮปิ ป อยูกนิ กันตามพื้นดนิ เปลือย
กายในท่ีสาธารณะเปน ตน
พวกซินนคิ เปน พวกหนีสังคม หรือปฏิเสธความเจริญสมนั น้ันมากกวาจะเปนพวกเขา หาสังคม
หรอื ยอมรบั สงั คม
๒. พวกสโตอิก (Stoic)
กลมุ สโตอกิ สอนคลา ยพวก ซินนิคท่ีใหมชี ีวิตงายๆ ไมยึดถืออะไร แตเปนกลุมที่มคี ําสอนเปน
ระบบมากกวา มีจุดหมายแนนอนกวา เชื่อในปญญาคลายปญญานิยม เชื่อในเหตุผลของจักรวาลที่
ดําเนินอยูตามกฎเกณฑของมนั เชือ่ วา ทุกส่ิงทกุ อยา งจะเปน ไปตามทม่ี ันจะเปน
กลุมสโตอิก เช่ือวา อิสรภาพเปนยอดปรารถนาของมนุษย อิสรภาพคือความสงบแหงจิต
ความสงบแหงจิตไมไดเกิดจากความสมอยาก แตเกิดจากการระงับความยากความอยากระงับไดเมื่อ
ระลึกถึงเหตุผลอยูเสมอ คนที่อยูในอารมณเหมือนคนติดคุก ตองกระวนกระวายหาความสุขไมได ผู
ผูกพันกับอํานาจภายนอกที่เราควบคุมไมไดยอมผิดหวังมนุษยจึงควรเอาชนะใจตนเองใหได นั่นคือ
ความสงบอนั แทจ ริงเปน สง่ิ ทีด่ ที ส่ี ุดสาํ หรับมนุษย
นักปรัชญากลุมสโตอิกท่ีสําคัญมี เซโน (Zano ๓๕๖ – ๒๔๖ B.C.) เอพิกเตตสั (Epietetus
๖๐ – ๑๑๐ A.D) มาคสั ออเรริอสั (Maecus Aurelius ๑๒๑ – ๑๘๐) รวมท้งั ศาสนาตา งๆ เชน
ศาสนพุทธ คริสต อิสลาม ลว นสอนทําใหจ ิตใจสงบดว ยกันท้ังนั้น
กลุมวิมุตินิยมท้ังสองกลุมคือท้ังซินนิค และสโตอิก กบั ศาสนาตา งๆ เช่ือวาสงิ่ ท่ดี ีที่สุดสําหรับ
มนษุ ยคือความสงบใจ ไมใ ชความสขุ ทเ่ี กดิ จากความสมอยาก
ค. มนษุ ยน ิยม (Humanism)
นักปรัชญาฝายมนุษยนิยม ไมเห็นดวยกับฝายสุขนิยมเพราะพวกสุขนิยมใหความสําคัญแก
ความสุขสบายทางกายมากเกินไป และไมเ ห็นดวยกบั พวกปญญานิยมและวิมุตินิยมเพราะพวกปญญา
นยิ มและวิมตุ นิ ยิ มใหความสาํ คัญแกจติ มากเกินไป
มนุษยนิยมเหน็ วา รางกายของมนษุ ยกเ็ ปน สิ่งสําคญั เพราะถาไมมีรางกายมนุษยกไ็ มเปนมนุษย
สวนจิตใจนั้นกอ็ าศัยรางกายไมสามารถแยกเปนอิสระจากรางกายได มนุษยนิยมเห็นความสําคัญของ
ทั้งกายและใจเสมอกนั
พวกมนุษยนิยมเห็นวาเราไมควรลดมนุษยใหลงไปเปนสัตว และไมควรเชิดชูเขาใหเทาเทยี ม
กับพระเปนเจา เพราะผิดธรรมชาติของมนุษย มนุษยก็เปนมนุษยไมใชสัตวไมใชพระเจา ไมใชพืช
ไมใชเทวดา มนษุ ยม ธี รรมชาติเปน ของมนษุ ยเอง มรี างกายไมแข็งแรงอยางสัตวบางชนิดที่อาจอยูในน้ํา
ไดต ลอดเวลา อยใู นอากาศตลอดกาล อยูใ นหมิ ะโดยไมมเี ครือ่ งปองกนั ความหนาว
๒๕๓
แตพวกมนุษยนิยมก็ถือวารางกายของมนุษยเปนสิ่งประกอบท่ีดีที่สุดของมนุษยพรอมจิตใจ
เพราะทุกส่ิงทุกอยาง เกิดจากรางกายและจิตใจของมนุษยทั้งสิ้น ส่ิงที่มนุษยจะตองรักษาใหดที ่ีสุดใน
ฐานะที่เปน สงิ่ ทม่ี ีคา ทส่ี ุดคือ รางกาย และจิตใจของเขาเอง
๗. แนวความคิดเกี่ยวกับเกณฑตัดสนิ คุณคาทางจรยิ ของนกั ปรัชญาคนสําคญั บางคน
เนื่องจากจริยศาสตรวาดวยเร่ืองคุณคาเร่ืองความดี ไมดี แตเปนการยากทจี่ ะช้ีขาดวาอะไรดี
ไมดี อะไรควรไมควร อะไรถูกไมถูก นักปรัชญาดานนี้ จึงไดพยายามหาหลักเกณฑเพ่ือเปนแนว
ทางการตดั สินคุณคา ซึ่งมีหลายกลุม ซึง่ จะยกมาพูดในท่นี ้ี เฉพาะความคิดใหญๆ ดงั นี้๘
๑. สัมพทั ธน ยิ ม
สมั พทั ธนยิ ม หมายความวา การทสี่ ิ่งหน่ึงสิ่งใดจะมีคุณสมบัตอิ ยางใดๆ น้ันจะตองสัมพัทธกับ
หากสภาพการอยางอื่นไมอํานวยแลว คุณสมบัติเชนนั้นก็ไมมีตอไป เชน นํ้าจะเปนของแข็งก็ได
ของเหลวก็ได เปนกาซก็ได เปนไปก็ได เปนรูปส่ีเหล่ียมรูปกลมรูปทรงกระบอก กไ็ ดทัง้ น้ันทั้งนี้ขนึ้ อยู
กับสภาพแวดลอ มของนาํ้ นน้ั สภาพท่สี ัมพนั ธก นั น้เี รียกวา สัมพันธ หมายความวาความแข็งความเหลว
ของนํ้าไมเปนส่ิงตายตัว แตขึ้นอยูกับสภาพแวดลอม หมายความวาความสัมพันธกับสภาพแวดลอม
หมายความวาความสัมพันธกับสภาพน้นั เปนเครอื่ งกาํ หนดคณุ ลักษณะของนา้ํ
สัมพันธ นี้มีความหมายตรงขามกับสัมบูรณ สมมติวา นํ้าท่ีมีอุณหภูมิ ๑๐๐ องศา จะเดือด
กลายเปน ไอ การกลายเปนไปของนาํ้ ไมใชคณุ สมบตั ิตดิ ตวั ของนาํ้ แตขนึ้ อยูกับสภาพส่ิงภายนอกอื่นคือ
ความรอน เชนนี้เรียกวาน้ํามคี ุณสมบัตสิ ัมพัทธแตถาส่ิงสิ่งหน่ึงสมมติวา ก. มีคุณสมบัติเหนียว ก. อยู
บนดิน บนนํ้า ในน้ํา ใตดิน ในอากาศ ในกองไฟ ก. ก็เหนียวปจจุบัน ก. ก็เหนียว เชนนี้ความเหนียว
ของ ก. เรียนวาเปน สมั บูรณ คือไมอ ยูกบั สิง่ ภายนอกอน่ื ก. เหนียวโดยตัวมนั เอง
นักจริยศาสตรฝายสัมพัทธนิยมถือวา ความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด ความควร ไมควร
เปนส่ิงสัมพัทธ ดี ชั่ว ถูก ผิด ควร ไมค วร เปนส่ิงตายตวั การกระทําอยางหน่ึงจําดีหรือไมดีขนึ้ อยูกับ
ปจ จยั หลายประการสวนพวกสัมบูรณน ยิ มถือวาความดี ความชั่ว เปนของมีคาตายตวั ไมขึน้ อยูอะไรไม
มีเง่อื นไขใดๆ ท้ังสนิ้
๘ ทองหลอ วงษธรรมา, รศ.,ดร., ปรัชญาท่ัวไป, (กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพโอเดียนสโตร, ๒๕๔๙), หนา
๑๒๐-๑๒๔.
๒๕๔
นกั จรยิ ศาสตรฝ า ยสัมพัทธน ยิ มเองมคี วามเห็นแตกตางกันหลายฝายซง่ึ อาจแยกไดเปนพวกพอ
สังเกตดงั น้ี
ก. สัมพัทธบ คุ คล
พวกสัมพัทธนิยมบุคคล หรือบุคคลสัมพัทธนิยมเช่ือวาความดี ความชั่ว ข้ึนอยูกับบุคคล
หมายความวา เมอ่ื เราพูดวา ก. ดกี ็หมายความวา เราชอบ ก. ถา เราไมช อบเราก็บอกวา ก. เปนคนไมด ี
นักปรัชญากลุมน้ีมหี ลายคน เชน ฮอ บส โปรมาโกรัส เปนตน ฮอบสกลาววา “อะไรก็ตามที่
คนชอบ คนอยากไดหรือเปนสิ่งที่ตรงกับความชอบความอยากไดข องคน คนกว็ า ดี อะไรท่ีเขาไมช อบ
หรือเปนสิ่งท่ีเขาเกลียด เหยียดหยาม เขาก็จะวาสิ่งน้ันไมดี นาขยะแขยงคําวาไมดี ควรไมควร นา
ขยะแขยงหรือนา รัก เปนตน เปนส่ิงที่คนพูดเองไมมอี ะไรเปนเกณฑตดั สินนอกจากบุคคล
พวกโชฟส ท เปนอกี พวกหนงึ่ ทเ่ี ชือ่ ในเรอ่ื งสัมพัทธบ ุคคลนิยมนกั ปรัชญาพวกนี้เชื่อวา
“ความจรงิ หรือความดที แ่ี นน อนตายตัวไมมใี นโลกน”ี้
“ความจริงหรือความดีเปนเรื่องสวนบุคคลใครเห็นอยางไรก็เปนจริงหรือเปนไปตาม
ความเหน็ ของบุคคลนั้น”
“สภาพทั้งหลายทีเ่ ราเห็นนั้นเปนสิ่งที่เปนจริงไมม ีความจริงอ่นื ตางจากสิ่งที่เราเห็นเลย
สิ่งทด่ี กี ค็ ือสง่ิ ท่ีเราเหน็ และเราชอบ”
“ความจริงหรือความดที งั้ หลายปรากฏแกเ ราทต่ี า ทห่ี ู ที่จมูก ทีล่ ้ิน ทก่ี ายของเรานเี้ อง”
โปรทาโกรสั (Protagoras) กลา ววา “คนเปน ผูวดั ทกุ ส่งิ ทุกอยาง วาดไี มด ี จริงไมจ รงิ ถูกไมถกู
ควรไมค วร นอกจากคนไมมอี ะไรที่จะเปน เคร่ืองตัดสินได”
เวสเตอรมารค (Westermarck 1262 – 1939) นักจริยศาสตรชาวองั กฤษคนหนึ่งกลาวไววา
“การตัดสนิ ศีลธรรม เกดิ จากความรูส กึ ทางศีลธรรมของฉัน การตัดสินความประพฤติของผูอนื่ มิไดม า
จากความรูสึกทางศีลธรรมเปนสวนหน่ึงของจิตใจของเราซึ่งลึกซึ้งกวาความพอใจธรรมดาจึงเปลี่ยน
ตามความพอใจของเราไมไ ด
ข. จารตี ประเพณศี ลี ธรรมสัมพทั ธนยิ ม
นกั ปรชั ญาฝายจารีตนยิ ม ถอื วา เร่ืองความดี ความชั่วไมใชคนเปนผูตดั สิน แตเร่ืองของความ
ดี ความช่ัวเปน เรอื่ งของจารตี ประเพณี ความดี ความช่ัว ขึน้ อยกู บั จารีตประเพณขี องสังคมน้นั ๆ
จารีตประเพณีของแตละกลุมแตละสังคมยอมแตกตางไปตามกาละ และเทศะ เชน ชาวไทย
โบราณถอื วา การที่ผูช ายไทยไดบ วชเรียนแลว ยอมเปนคนท่ีสงั คมท่ัวไปนิยมยกยอ งนบั ถือวา มีเกยี ติ แต
ในปจ จุบนั แนวคิดเชน น้นั เปล่ยี นไป เราถือวา ผูไดรบั การศกึ ษาสูงจากมหาวิทยาลัยเปนผูทีไ่ ดรับการยก
ยอ ง ยิง่ จบจากตา งประเทศยิ่งไดร ับความนับถอื มาก
๒๕๕
สง่ิ ท่สี งั คมนน้ั ๆ ยอมรับวาดี มกั เปน ไปตามประเพณขี องสงั คมนั้นๆ เชน
๑. ประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธทั่วไปจะถือวา การเคารพนับถือกราบไหวพระเปนส่ิงท่ีดี
ประเพณชี าวฮนิ ดูถอื วา การกราบไหวบ ูชาเทพเจา เชน พระนารายณ พระศวิ ะ พระพรหม เปนส่งิ ท่ีดี
๒. ชาวไทยถือวา เมื่อเวลาพบกันการไหวกันถือวา ชาวญี่ปุนใชวิธีโคงกายลงตํ่าเปนการดี
ชาวตะวันตกถอื วา การจบั มือกนั ดี
๓. ชาวไทยถือวาการใหทานแกค นยากจนดี ชาวจีนถอื วาการเซน ไหวบ รรพบรุ ษุ เปนสิง่ ทด่ี ี
รูธ เบเนดคิ (Buts benedict) นักมนุษยวิทยาคนหนึ่งกลาวถงึ เร่ืองของประเพณีของกลุมชน
ตา งๆท่ีเรียกวามีมากมายน้ีอยางนาฟงวา “ในพฤตกิ รรมทางประเพณีของชาติตา งๆ นั้นมแี ตทางบวก
สุดถึงทางลบสุด ชนบางเผาถือวาการฆาคนเปนส่ิงควรทํา บางประเทศถอื การรบเพื่อศาสนาเพือ่ พระ
เจา จะไดไปสวรรคบางประเทศถอื วาฆาลูก ๒ คนแรกเปนสิ่งท่ีดี บางกลุมถือวาสามีสามารถฆาภรรยา
ของตนไดโดยไมผิดอะไร บางเผาถือวาเปนหนาที่ของลูกที่จะตองฆาบิดามารดาของตนกอ นถงึ วัยชรา
บางแหงถือวาการขโมยไกตัวเดียวมีโทษประหารชีวิตคนทเี่ กิดวาพุธควรถกู ฆาทั้งหมด บางกลุมถือวา
การเหยียบเทาใหอภัยไมได บางพวกถือวาการยกเทาเสมอหนาผูอื่นเวลาสนทนากันไมเปนสิ่งนา
เกลยี ดประเพณีความเช่ือถือเหลา นบ้ี างอยางกส็ ิน้ สุดไปแลว แตบ างอยา งอาจมีมาถึงปจ จุบนั น้ี
นกั ปรชั ญาฝา ยจารีตประเพณนี ิยมถอื วา ประเพณีก็เปน สิง่ ตัดสินคุณคาทางจริยะอยางหนงึ่
๒. มโนธรรมสัมบรู ณ
เกณฑตัดสินความดีอีกประการหน่ึงคือลัทธิมโนธรรมสัมบูรณ ลัทธินี้ถือวาการตัดสินคุณคา
ทางจริยะนนั้ ทําไดต าม จติ สาํ นกึ เกณฑม าตรฐานในการตัดสินคณุ คาตามความคดิ ของนักปรัชญากลุม
นี้เรยี กวา มโนธรรม
มโนธรรมหมายถงึ สํานึกท่มี นุษยทกุ คนมีโดยธรรมชาติในฐานะที่เปนมนุษย เปนเสียงในจิตใจ
มนษุ ยท่ที ําใหต ดั สนิ อะไรไดว า สิง่ นั้นถูกหรอื ผิดอยางไร
ความสํานึกในเรือ่ งความดี ความชัว่ ไมจ ําเปนตอ งอธิบายเหตุผล เรารูวาสิ่งน้นั ผิดเพราะมนั ผิด
ไมดใี นตวั ของมนั เองจึงไมควรทาํ
สมมุติวา มีเคร่ืองบินโดยสารเครื่องหน่ึงประสบอุบัติเหตุผลเรารูวาส่ิงน้ันตกกลางภูเขาหิมะ
ทางข้ัวโลกเหนือ ผูโดยสารตายไปเกือบหมดเหลืออยู ๔ คน คนท่ี ๕ รอเวลาที่จะใหมีผูไปชวยเหลือผู
หลายวนั แตจนแลว จนรอดก็ไมม วี แี่ วววาจะมีทางการไปชวย ความหิวเริ่มเกดิ ข้ึนทกุ วัน อาหาร น้ํา ไม
มที ั้ง ๔ จึงมาปรึกษากันวาเพ่ือความอยูรอดควรเอาเน้ือมนุษยคือผูโดยสารท่ีเสียชีวิตมากินเพื่อตอไป
อาจมีผูมาพบชวยเหลือได ถาไมก ินเกิดตายข้ึนมาก็เลยอดกลับบาน ๓ คน เห็นดว ยวาควรเอาเน้ือคน
มากิน อีกคนหน่งึ บอกวา การกนิ เนอ้ื มนษุ ยไมเปนส่ิงถูกตองความคดิ เชนน้ีเปนความสํานึกในจิตใจสวน
ลึกวา การทําเชนน้ันไมถ กู ตอ ง
๒๕๖
เราจะเห็นไดวาการท่ชี าย ๑ ใน ๔ คนน้ันมคี วามเห็นคัดคาน วาการกนิ เนื้อมนุษยเปนการไม
ถกู ตองนน้ั เปน ความสาํ นกึ ในจติ ใจสวนลกึ วา การทําเชน น้ันไมถูกแตอธิบายไมไดวา ทําไมจึงไมถูก แตมี
ความรสู ึกวาไมถูก ความสาํ นกึ เชน นี้ในทางปรชั ญาเรยี กวามโนธรรม
ลทั ธิมโนธรรมสมบูรณเ ช่ือวา ทกุ สิ่งทุกอยางในโลกตองมีลักษณะทเ่ี ปนแกนแทของมันเปนสิ่งมี
จริงในตัวของมัน แกนแทของสิ่งทั้งหลายท่มี ีในสิ่งนั้นๆ เสมอไป เกลือยอมเค็มเสมอทุกกาลเทศะ ไฟ
ยอมรอนทุกกาลเทศะความรูสึกของคนอาจตางกัน เชน คน ๒ คนอยูขางกองไฟคนหนึ่งรูสึกวารอน
มากตอ งการใหไฟหรี่ลงใหมาก อกี คนหน่ึงรูสึกวาหนาวอยากใหไฟลุกโพลงยิ่งขึ้นจะไดอ บอนุ ขนึ้ ความ
จริงแลวไฟก็ยอมรอนเทาเดมิ
บัทเลอร นักจริยศาสตรชาวองั กฤษคนหน่ึงกลาววา “ในตัวคนเรามีส่ิงที่เหนือกวาความรูสึก
ธรรมดาคือมโนธรรมท่ีเปนตัวชี้ขาดเกณฑที่อยูในใจเราและตัดสินหลักแหงการกระทํามโนธรรมจะ
ตดั สนิ ตัวของเองและการกระทําของมนษุ ยม ันประกาศลงไปตายตวั วา การกระทํานนั้ ๆ โดยตวั ของมัน
เองวา เปนสิ่งยุติธรรม ถกู ดี ชว่ั ผิด อยตุ ิธรรม โดยไมมีคาํ ปรกึ ษาหรอื คําแนะนาํ ใดๆ มโนธรรมน้ันแสดง
อํานาจของมนั ออกมาเพ่ือใหความเหน็ ชอบหรอื ประณามผกู ระทําตามแตกรณี”
มโนธรรมหรืออินทรียท างศีลธรรมนน้ั มนษุ ยมอี ยูดว ยกนั ทกุ คนในฐานะทีเ่ ปนมนุษย เปนส่ิงติด
ตวั มนษุ ยแตเขาเกดิ มา มโนธรรมมี ๒ ภาคคอื
๑. ภาคชข้ี าดความดที ี่ถูกตอ ง
๒. ภาคชข้ี าดความงามทถ่ี กู ตอ ง
มโนธรรมท่ีมนษุ ยมีติดตวั น้ีเปนส่ิงสากลแมจะมีในทกุ คนกม็ ีลักษณะรวมเปนสากลคือทุกคนท่ี
อยูในภาวะปกติจะมคี วามรสู ึกคลา ยกนั เชน ความรูสกึ วา การชวยเหลือคนตกทุกขไ ดยากเปนส่ิงท่ีดี แต
อยา งไรกต็ ามคนทั้งหลายกย็ งั คดิ เหน็ ตา งกันอยบู า งเพราะ ความโลภ ความหลงมาปดบังเอาไว
๓. ประโยชนนยิ ม (Utilitarianism)
ประโยชนนิยมถือวา “หลักเกณฑที่จะตดั สินการกระทําส่ิงใดสิ่งหน่ึง วาถูกหรือผิดดีหรือไมดี
ชอบหรอื ไมช อบนัน้ ขน้ึ อยูก ับผลทไี่ ดรับจากการกระทํานนั้ หมายความวา ถามสี ่งิ สองส่ิงใหเลือกเราควร
จะเลอื กอยา งที่ใหป ระโยชนแกเราไดม ากท่สี ดุ ”
คําวา ประโยชน ในที่นี้หมายถงึ ความสขุ น่ันเอง คา ของสงิ่ ตา งๆทเ่ี รามีอยูนั้นก็เพราะวาของสิ่ง
นั้นพาใหเ รามคี วามสุข ความดี ของมนั อยทู ี่กอใหเ กิดความสุขแกเรา แตต อ งเปนสุขมากท่สี ุด ซงึ่ หลักนี้
เรียกหลัก มหสุข (The Greatest Happiness Principle) การดวู า สิ่งใดมีความสุขมากนั้นตองดูตวั
เราและตวั คนอื่นดว ยความหมายวา การกระทาํ นนั้ ตอ งใหค วามสุขแกเ ราดว ย แกคนอ่นื ดว ยจึงเปนหลัก
ของประโยชนน ยิ มที่ถกู ตอง
๒๕๗
นักปรัชญาฝาย ประโยชนนิยม หรือถือหลัก มหาสุข น้ี เปนฝายท่ีมคี วามคดิ อันเปนรากฐาน
ของศีลธรรมที่ถือวา “ความถกู ตอ งของการกระทําขึ้นอยูกบั แนวโนมท่ีวา การกระทํานั้นจะกอใหเกิด
ความสขุ ถาการกระทําใดจะกอสิง่ ท่ีสวนทางกบั ความสุข ส่ิงนั้นก็เปน การกระทําทีไ่ มถ กู ตอ ง”
“ผลทเี่ กดิ จากการกระทําสาํ คัญกวา เจตนา หรือแรงจูงใจ ทกี่ อ ใหเ กดิ การกระทาํ น้นั ขนึ้ ”
“แรงจูงใจไมมีอะไรเก่ียวของกับศีลธรรมของการกระทําแมวามันอาจเกี่ยวของกับศีลธรรม
ของผกู ระทําตาม”
“ใครก็ตามท่ีชวยใหเพ่ือนมนุษยพนภัยอันตราย เขายอมไดช่ือวา ไดทําถูกตองตามหลัก
ศลี ธรรมแลว แมวาแรงจูงใจใหทําน้ันจะเกิดจากหนาท่ี หรือเกิดจากความหวังท่ีจะไดร ับคาตอบแทน
อันคุมคา แกความเหน่อื ยยากน้ันกต็ าม”
กลาวโดยสรุป ประโยชนนิยมเปนอันเดียวกับสุขนิยม ท่ีถือวาความสุขเปนส่ิงที่ดีที่สุดของ
มนุษยความสุขที่วานั้นเปนความสุขจํานวนมากท่ีสุดในเวลานานที่สุดเรียกวา มหสุข ศลี ธรรมถือเปน
เร่ืองวิทยาศาสตรไมใชเ ร่ืองความรูสึก ถือวาประโยชนสุขนั้นคือศีลธรรม ประโยชนนิยมบางคร้ังจะไม
คาํ นงึ ถงึ กฎหมาย ศลี ธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี แตคํานึงถึงประโยชนสุขนั้น แหละเปนสําคัญสงิ่
ที่กอใหเกดิ ความสขุ แกค นจํานวนมากท่ีสุดในเวลายาวนานทส่ี ุดน้ันแหละคือกฎหมาย คือศีลธรรม คอื
ขนมธรรมเนยี มประเพณีท่ถี ูกตอ งควรทํา
๔. หลักการนยิ ม
นักปรัชญามชี ่ือเสียงของกลุมนี้คือ เอมมานูเอล คานท (KANT 1724 – 1804) คานทเ ปนนัก
ปรัชญาชาวเยอรมัน คานทเห็นวา “ความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด น้ันเปนส่ิงที่ตายตัว
หมายความวาถาการกระทําอยางใดอยางหน่ึงดีมันจะตองดีเสมอโดยไมข้ึนอยูกับเวลา สถานท่ี
สิง่ แวดลอม หรือตวั บคุ คลใดๆ เลยเชนพดู ความจริงไมวาจะพดู เวลาไหนท่ีไหนยอมดเี สมอ”
“คาทางจริยธรรมเปนส่ิงท่ีมีจริง เม่ือมีจริงก็ตองตายตัว และเมื่อตายตัว ก็จะเอาผลการ
กระทาํ ตดั สินไมไ ด”
“ไมมอี ะไรในโลก ท่ีจะคิดไดวา เปนส่ิงท่ีจะวัดความดคี วามช่ัวไดนอกจากเจตนาดี” คานทถ ือ
วา “การกระทําทเี่ กิดจากเจตนาดี คือการกระทําตามหนาท่ีหรือจะพูดวาการกระทําตามหนาที่ก็คือ
การกระทําดว ยเจตนาดีนัน่ เอง”
การกระทาํ ทเี่ กิดจากแรงกระตนุ หรอื จากความรสู กึ ไมใ ชการกระทําทีเ่ กิดจากหนาที่ ไมถอื วา
เปนเจตนาดีเชนแรงกระตุน พวกความอยาก ความปรารถนา อารมณ ความรสู ึก เปนตน ”
“ชีวติ ท่ีมีคา คอื ชีวิตทีอ่ ยูกบั ศลี ธรรม คืออยกู บั หนาทไี่ มใชอ ยูก ับความสุข หรอื ความรสู กึ ”
“การกระทําตามหนาท่ี มิใชการกระทําทม่ี ุงไปที่ผลประโยชนหรือโทษของการกระทํา แตมุง
ไปทตี่ ัวการกระทาํ นนั้ ๆ วา เปนส่งิ ดีจริงในตวั มันเองเชนถา ก. พดู จริงเพราะคดิ วาคนเขาจะเช่ือ คนเขา
๒๕๘
จะรัก เชน น้ไี มใชก ารกระทําตามหนาท่ี แตถา เขาพูดจริง เพราะคดิ วาพูดจริงมันดี ใครจะรักจะเกลียด
ก็ชา งใคร เชน น้ี การกระทาํ ของเขาจึงจะเปนการกระทําตามหนา ทแี่ ละมีคาทางจรยิ ธรรมจริง”
“การกระทําตามหนาที่ ที่จะเปนหลักศีลธรรมไดตองเปนการกระทําท่ีเปนหลักสากล
หมายความวาเมื่อเราทําแลวคนอื่นเห็นก็รูสึกเหมาะสมหรือคนอ่ืนทําแลวเราดูอยูก็รูสึกวาเหมาะสม
เชน เราจะถอื วา ถาเราหวิ เราขโมยเขาได ท่ีนี่ในทางกลับบาน เม่ือคนอ่นื เขาคิดวาเมอ่ื เขาหิวเขาก็มา
ขโมยของๆเรากิน เชนน้ีเรายอมรับไหม เราไมยอมใหเขามาเอาของๆเราไป จึงไมเปนสิ่งสากล การ
กระทาํ ทไี่ มเขากฎสากลเชน นี้ไมเ ปน กฎศีลธรรม”
โดยสรุป ความเห็นของคานท ก็มวี า
- การกระทาํ ทถ่ี กู ตอ งคือการกระทําที่เกิดจากเจตนาดี
- การกระทําท่เี กิดจากเจตนาดี คือการกระทําที่เกิดจากการสาํ นกึ ในหนาท่ี
- การกระทําทเ่ี กดิ จากการสาํ นึกในหนา ท่ี คือ การกระทาํ ทีเ่ กดิ จากเหตผุ ล
- การกระทําท่ีตั้งอยบู นเหตผุ ล คือ การกระทําทีเ่ กิดจากศลี ธรรม
- การกระทาํ ทเ่ี กดิ จากกฎศลี ธรรม คอื การกระทําตามกฎสากล
- กฎสากล คือ กฎทที่ กุ คนในสังคมยอมรับและเหน็ ดว ย
ความเห็นดวยของทกุ คน - - - กฎสากล - - - กฎศลี ธรรม - - - เหตผุ ล - - - ความสํานึกในหนาที่ - - -
เจตนาดี - - - การกระทาํ ทถ่ี กู ตอ ง
๒๕๙
สรุปทายบท
วิทยาศาสตรตัดสินท่ีขอเท็จจริง สวนจริยศาสตรตัดสินท่ีคุณคา การเถียงกันเร่ืองคุณคา คือ
การแสวงหาเปาหมายอนั พึงประสงค แตต องต้งั บนฐานของขอเท็จจริง มฉิ ะนั้น เปาหมายจะกลายเปน
ความเพอ ฝน ในทางตรงกนั ขา ม ถาเถียงกันแตเ ร่อื งขอเท็จจริง โดยไมมีเปาหมาย เราก็จะอยูในสภาพ
คนตาบอด เพราะไมทราบวา จุดหมายปลายทางคืออะไร
๒๖๐
เอกสารอา งองิ ประจําบท
คูณ โทขันธ. ปรัชญาเบื้องตน. ขอนแกน : ภาควิชามนุษยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและ
สงั คมศาสตร, ๑๕๒๗.
ชัยวัฒน อฒั พฒั น. จริยศาสตร. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง, ๒๕๒๓.
ทองหลอ วงษธรรมา, รศ.,ดร. ปรชั ญาทวั่ ไป. กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พโ อเดยี นสโตร, ๒๕๔๙.
บุญมี แทนแกว, ผูชวยศาสตราจารย. จริยศาสตร (ETHICS). พิมพครั้งท่ี ๔. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.
พรนิ้ ตง้ิ เฮาส, ๒๕๕๐.
บุญมี แทนแกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธ์ิกลางดอน. ปรัชญาเบ้ืองตน (ปรัชญา
๑๐๑). กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พโ อเดยี นสโตร, ๒๕๒๙.
ศรัณย วงศคําจันทร. ปรชั ญาเบอ้ื งตน . กรงุ เทพฯ : อมรการพิมพ, ม.ป.ป.
สดใส โพธิวงศ. ปรัชญาเบ้ืองตน. ขอนแกน : ภาควิชามนุษยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและ
สงั คมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน , ๒๕๓๔.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ผูชวยศาสตราจารย. ปรัชญาเบือ้ งตน. กรุงเทฯ : มหาวิทยาลัยรามคาํ แหง,
๒๕๒๔.
บทท่ี ๙
สนุ ทรยี ศาสตร
ความนาํ
“สุนทรียศาสตร” เปนศัพทคําใหม ท่ีบัญญัติขึ้นโดย โบมการเด็น (Alexander Gottieb
Baumgarte. ๒๕๕ – ๒๓๐๕) ซึง่ กอ นหนาที่เปนเวลา ๒๐๐๐ กวาป นักปราชญสมยั กรีก เชน เพลโต
อริสโตเติล กลาวถึงแตเร่ืองความงาม ความสะเทือนใจ ซึ่งเปนความรูสึกทางการรับรู (Sense
Perception) ของมนษุ ย ปญ หาที่พวกเขาโตเถยี งกนั ไดแก ความงามคืออะไร คา ของความงามน้ันเปน
จริงมีอยูโดยตัวของมันเองหรือไม หรือวาคาของความงามเปนเพียงความขอความที่เราใชกับส่ิงที่เรา
ชอบ ความงามกบั ส่ิงทีง่ ามสัมพันธกันอยางไร มมี าตรการตายตวั อะไรหรือไมท ่ีทําใหเราตัดสินใจไดวา
สิ่งน้นั งามหรอื ไมงาม โบมการเ ดน็ มีความสนใจในปญหาเร่ืองของความงามนี้มาก เขาไดลงมือคนควา
รวบรวมความรูเก่ียวกับความงามท่ีกระจัดกระจายอยูมาไวในท่ีเดียวกัน เพ่ือพัฒนาความรูเกี่ยวกับ
ความงามใหมีเนื้อหาสาระที่เขมแข็งข้ึน แลวต้ังชื่อวิชาเกี่ยวกับความงามหรือความรูที่เก่ียวกับ
ความรูสึกทางการรับรูวา Aesthetics โดยบัญญัติจากรากศัพทภาษากรีก Aisthetics หมายถึง
ความรูสึกทางการรับรู หรือการรับรูตามความรูสึก (Sense perception) สําหรับศัพทบัญญัติ
ภาษาไทย ก็คือ “สุนทรียศาสตร” จากนั้นวิชาสุนทรียศาสตร ก็ไดร ับความสนใจเปนวิชาท่ีมีหลักการ
เจริญกาวหนาข้ึน สามารถศึกษาไดถึงระดับปริญญาเอก ดวยเหตุผลน้ี โบมการเด็น จึงไดรับการยก
ยองวาเปนบิดาแหงสุนทรียศาสตรสมัยใหมฐ านะท่ีเติมเช้ือไฟแหงสุนทรียศาสตรที่กําลังจะมอดดับให
กลับลกุ โชติชวยขน้ึ มาอีกวาระหนงึ่ ๑
๑ ทวีเกียรติ ไชยยงยศ, สุนทรียะทางทัศนศลิ ป (โครงการตาํ ราคณะศิลปกรรมศาสตร สถาบันราชภัฏ
สวนดุสิต), (กรงุ เทพฯ : พมิ พลกั ษณ, ๒๕๓๘), หนา ๑.
๒๖๒
๑. ความหมายและขอบขายของสนุ ทรยี ศาสตร
คําวา “สุนทรียศาสตร” แยกศัพทอ อกเปนสองคาํ คอื “สุนทรีย-” แปลวา เกย่ี วกับความนิยม
ความงาม กับ “ศาสตร” แปลวา วิชา สุนทรยี ศาสตรจ งึ แปลวา วิชาวา ดวยความนิยมความงาม๒
สุนทรียศาสตรแปลมาจากคําภาษาอังกฤษวา “aesthetics” ซง่ึ แปลวาการศึกษาเร่ืองความ
งามหรือปรัชญาความงาม ( philosophy Of Beauty) บางคร้ังคําวา aesthetics ยังหมายถึง
ปรชั ญาศิลปะ ( philosophy of Art) ซ่งึ ใหนิยามวา “วิชาท่ีเกีย่ วขอ งกับธรรมชาติของความงาม”
ซ่งึ บางคนก็เขาใจวา คาํ นิยามทัง้ สองน้ีมีความหมายอยางเดียวกนั แตความเขา ใจดังกลาวน้ีไมถกู ตอ ง
เพราะความงามไมไดมีเฉพาะในศิลปะเทาน้ัน ถาวาในธรรมชาติก็มีความงามได และมโนภาพเรื่อง
ความงามเปน เพียงแคหนึง่ ในปรชั ญาศลิ ปะเทา นนั้ ๓
ดังน้ัน สุนทรียศาสตรจ ึงหมายถงึ วิชาที่วา ดวยความงามซ่งึ อาจเปนความงามในธรรมชาติหรือ
ความงามในผลงานทางศิลปะก็ได เพราะในผลงานทางศลิ ปะเราถือวาเปน ส่ิงที่มคี วามงามอยูดว ย
นอกจากน้ี สนุ ทรยี ศาสตรย งั หมายถึง๔
(๑) วชิ าทเ่ี กยี่ วขอ งกบั ความรสู ึกของการรับรคู วามงาม
(๒) วิชาท่ีเกี่ยวของกับหลักเกณฑและคุณลักษณะของความงาม คุณคาของความงามและ
รสนิยม
(๓) วิชาที่สงเสริมใหสอบสวนและแสวงหาหลักเกณฑของความงามสากลในลักษณะของ
รูปธรรมทีเ่ หน็ ไดช ัด รบั รูไดและช่ืนชมได
(๔) วิชาที่เก่ยี วของกับประสบการณตรงของบุคคล สรางพฤติกรรม ความพอใจโดยไมห วัง
ผลตอบแทน ในทางปฏิบัติเปนความรูสึกพอใจเฉพาะตน สามารถเผื่อแผเสนอแนะผูอ่ืนใหมีอารมณ
รวมรูสึกดว ยได
(๕) วิชาท่ีเก่ียวของกับการศึกษาพฤติกรรมตอบสนองของมนุษยจากส่ิงเราภายนอกตาม
เงอื่ นไขของสถานการณ เรื่องราว ความเชอ่ื และผลงานท่มี นุษยสรา ง
๒ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ. ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๓๑, (กรุงเทพฯ :
สํานักพมิ พอ กั ษรเจริญทัศน, ๒๕๒๕), หนา ๘๑๔.
๓ Randall and others, Philosophy : An Introduction, (U.S.A. : Barnes & Noble, 1970), p.
29.
๔ อารี สุทธพิ ันธ, “จะสอนสุนทรียศาสตรกนั อยางไร, ใน สุนทรียภาพ, (กรงุ เทพฯ : โรงพิมพเจริญธรรม,
๒๕๒๐), หนา ๑๔-๑๕.
๒๖๓
ขอบขายของสุนทรียศาสตรหรือกลาวอีกนัยหนึ่งคือ สุนทรียศาสตรศึกษาเกี่ยวกับลักษณะ
ของความงามในประเด็นตอ ไปนี้๕
๑.๑ ความงามคืออะไร
๑.๒ ความงามมอี ยูจรงิ หรือไม
๑.๓ ศลิ ปะคอื อะไร
๑.๔ อะไรเปนแรงจงู ใจใหเ กิดผลงานทางศลิ ปะ
๑.๕ ประเภทของศลิ ปะ
๒. ความงามคอื อะไร
ความงามเปนลักษณะอยางหนึ่งของสุนทรียธาตุ (aesthetical elements) ซ่งึ สุนทรียธาตุ มี
๓ อยางคือ ความงาม ( Beauty) ความแปลกหูแปลกตา ( Picturesqueness) และความนาท่ึง
(Sublimity) การถกปญหาเร่ืองสุนทรียธาตุในปรัชญากนิ ความรวมถึงสุนทรียธาตุ ในทกุ สิ่งทุกอยางที่
มนุษยถือวามีสุนทรียธาตุได ไมวาจะเปนความงามตามธรรมชาติ ( Nature Beauty) หรือความงาม
ในศิลปกรรม (artistical Beauty) ความนาเกลียดนากลัวในจินตนาการ ความนาท่ึงในศรัทธาตอคํา
สอนศาสนา ฯลฯ ลวนเปนสนุ ทรียธาตุทัง้ สิน้ ๖
๓. ความงามมอี ยจู ริงหรอื ไม
สําหรับประเดน็ ปญหาวา ความงามมอี ยจู ริงหรือไมน ัน้ มคี ําตอบ ๒ ลทั ธิดงั ตอ ไปนี้
๓.๑ ลัทธอิ ตั วสิ ัย (Subjectivism)
ลทั ธนิ มี้ ีทัศนะวา ความงามมไิ ดม อี ยูจ รงิ ในวตั ถุหรอื สิ่งใดๆในโลก ขอ ความเกย่ี วกบั ความงามที่
ผพู ูดกลาวออกมา เปนการแสดงออกของความรูสึกชอบหรือไมชอบเทานั้นไมมอี ะไรมากกวานี้๗ การ
ชมภาพวาดหรอื ประตมิ ากรรม การฟง ดนตรีหรือการชมอาทิตยอัสดงทเี่ ราคิดวา มคี วามงามหรือความ
ไพเราะนนั้ เพราะมันทําใหเ ราเกิดความชื่นชมและเปน สุขใจ ความงามไมไ ดมีอยูจริงในวัตถุ แตอยูทใ่ี จ
๕ สุจิตรา ออนคอม, รองศาสตราจารย ดร., ปรัชญาเบื้องตน, (กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรและ
สงั คมศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏธนบรุ ี, ๒๕๔๘), หนา ๓๗.
๖ กรี ติ บญุ เจอื , ปรชั ญากรกี ระยะกอ ตวั ทอ่ี ิตาล,ี (กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพไ ทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๑๙), หนา
๙๐-๙๑.
๗ Titus and others, Living Issues in Philosophy, 7th ed, (New York : D. Van Nostrand,
1979), p. 106.
๒๖๔
ของเรา คือเรารูสึกเอาเองวา นาชื่นชมหรือสวยงาม ทําใหเราคิดวามีความงามอยูท่ีวัตถุ ดังน้ัน
มาตรการการตดั สินความงามจึงไมต ายตัวข้ึนอยูกบั ความรูสึกหรือรสนิยมของแตละคน การทน่ี ายแดง
พูดวา นางงามจักรวาลสวย เพราะผูหญิงสวยในทัศนะของเขามีลักษณะเหมือนกับนางงามจักรวาล
กลา วคอื รูปรางสงู ผิวขาว กริ ิยาทาทางดูกระฉับกระเฉงแคลวคลองวองไวเหมือนผูหญงิ ทางตะวันตก
สวนนายขาวบอกวานางงามจักรวาลคนเดียวกันนี้ไมส วย เพราะผูหญิงสวยในทัศนะของเขาตองเปน
สตรีรางเล็ก ผิวไมขาวจัดหนาตาคมขําแบบคนไทย และทาทางนุมน่ิมกิริยามารยาทเรียบรอยเหมือน
กุลสตรีไทยสมยั โบราณ ถา คนสองคนคอื แดงกับดําถกเถียงกนั เก่ียวกบั เร่ืองนี้ ลัทธิอตั วิสัย จะถือวาไม
มใี คร หรือถูกทงั้ คู เพราะความงามมิไดมีอยูจ ริงในวตั ถุ แตข ึ้นอยูก บั ผูตัดสินซงึ่ อาจมที ศั นะตา งกันได
นักปรัชญาทจี่ ดั อยใู นกลุม นี้ ไดแก โกรเช ตอลสตอย ริชารดส และฮูม มงึ จะไดก ลาวถงึ แตละ
คนตามลาํ ดบั ดงั ตอไปนี้
๓.๑.๑ โกรเช (Benedetto Croce ๑๘๖๖-๑๙๕๒) เปนชาวอติ าเลียน โกรเช มีทัศนะวา
ความงามเปน เรอ่ื งของจติ ใจของเราในการสรางจินตภาพ ซง่ึ ความสามารถในการสรางจินตภาพน้ีเปน
จุดเรมิ่ ตน ของศลิ ปะ ศลิ ปะถกู ควบคมุ โดยจินตนาการของมนุษยเพียงอยางเดียวเทานั้น กลาวคอื เปน
ส่งิ ท่เี รารสู กึ และแสดงออกมาเทา น้นั
๓.๑.๒ ตอลสตอย (Leo Tolstoi ๑๘๒๘-๑๙๑๐) ชาวรัสเซีย มที ัศนะวาคุณคาทางศลิ ปะ
หรือความงามไมวาจะออกมาในรูปของโคลงกลอน ทํานองเพลง ภาพวาด หรือรูปปน ข้ึนอยูกบั ผลท่ี
เกิดขึน้ ตอบุคคลท่ีมปี ระสบการณตอมัน ศิลปะคือการสรางส่ืออารมณหรือความรูสึกนึกคิดเมอื่ บุคคล
หน่ึงเลานิทาน แตงเพลง หรือวาดภาพ เขามีจุดมุงหมายจะถายทอดอารมณหรือความรูสึกท่ีตนเอง
ไดรับน้ันใหแกผูอื่น ซ่ึงความหมายวาเขากําลังสรางผลงานทางศิลปะ ถาผลงานทางศิลปะช้ินใด
สามารถถา ยทอดความรูสึกไปยังคนจํานวนมากได ศลิ ปะชิ้นน้ันกไ็ ดชื่อวาเปนศิลปะท่ียิ่งใหญ การจะ
ตัดสินวาผลงานทางศลิ ปะชิ้นใดย่ิงใหญกวา หรือมคี วามงามมากกวา ก็ดูที่จํานวนคนทเ่ี กดิ ความรูสึก
จากผลงานนั้นวามากนอยเพียงใด ความงามจึงมไิ ดอยูท ว่ี ัตถุนั้นๆ แตอ ยูที่ความพงึ พอใจของผูท่ีมารับรู
มนั
๓.๑.๓ ริชารดส (Ivor Armstrong Richards ๑๘๙๓-?) กวแี ละนักปรัชญาศิลปะชาวอังกฤษ
เขามที ศั นะวา สิ่งที่เราเรียกวา ความงามก็คอื ความรูสึกพอใจ เม่อื เรากลาววาส่ิงหน่ึงงาม เราหมายถงึ
ในขณะทีเ่ รากําลังเพงพศิ ส่ิงนน้ั แรงผลักดันบางอยางในตัวเราทําใหเราอยูในสภาวะท่ีเรียกวา ดลุ ยภาพ
ทางอารมณ เพราะเงอื่ นไขของดลุ ยภาพทางอารมณนี้ ทําใหเรามีประสบการณความพึงพอใจและทํา
ใหเราสมมติเอาเองวามีความงามอยูในวัตถุนั้น ซึ่งการสมมติเชนน้ันเปนเพียงการถายทอดความรูสึก
ของเราออกมายังโลกภายนอกเทานนั้ ๘
๘ Joad, C.E.M., Guide to Philosophy, (U.S.A. : Dover Publication, 1957), p. 33.
๒๖๕
๓.๑.๔ ฮมู (David Hume ๑๗๑๑-๑๗๗๖) ชาวสกอต ฮูมมีทัศนะวา ความงามเปนเพยี ง
ความรสู ึกทเ่ี กิดขึน้ ในจติ ใจมนุษย ซ่งึ อาจเหมือนกันหรอื แตกตางกันในแตละบุคคลก็ไดค วามงามไมไ ดมี
อยใู นวัตถภุ ายนอก วตั ถุภายนอกมเี พียงขนาด รูปราง และอัตราสวนตางๆ ความงามจึงมิใชคุณสมบัติ
ของวตั ถใุ ดๆ เขากลา ววา
ยูคลิดไดอธิบายถึงคุณสมบัติของวงกลมไวอยางครบถวน แตก็ไมไดพูดอะไรสักคําถึงเรื่อง
ความงาม เหตุผลยอ มประจักษช ดั อยใู นตวั ความงามมใิ ชค ณุ สมบัติอยางหน่ึงของวงกลม..แตเปนเพยี ง
ผลที่รูปภาพทําใหเกิดขึ้นในจิตใจ..ถาทานคิดจะมองหาความงามในวงกลม ทานจะไมมีวันพบ ไมวา
ทา นจะใชประสาทสัมผัสใดในตัวทา น หรือจะใชเหตผุ ลทางคณติ ศาสตรคนหา คุณสมบัติท้ังหมดของ
วงกลม ทานจะไมมีวันพบ..กอนที่จะมีใครมาชม จะไมมีอะไรในวงกลม นอกจากขนาดและอัตราสว น
ตา งๆ ตอ งมผี มู าชมที่มีความรูสกึ ในอารมณเทา นั้น จงึ จะมีความเกและความงามเกดิ ข้ึน๙
สรุปทัศนะของลัทธิอัตวิสัย คือ ความงามมิไดมีอยูจริงเปนเพียงการสรางจินตภาพของเรา
ความงามจงึ เปนสิ่งท่อี ยูในจิตของเรา เราจะเขา ใจความงามของผลงานทางศิลปะท่ีศิลปนแสดงออกมา
ไดอยางซาบซึ้งมากนอยเพียงใดขึ้นอยูกับความสามารถของเราแตละคนในการใชอัชฌัติกญาณ
(intuition) เขาถงึ ความงามของศลิ ปะชิ้นน้ัน เชน เราอานนิยายเร่ืองหนึ่งดวยความเพลิดเพลิน สราง
ภาพพจนของตวั ละครและสถานการณใ นเรื่องไดอยางดี แตถ าเรานับบรรทัดหรือวิเคราะหโครงสราง
ของนยิ ายนน้ั เราจะไมไดรับความเพลิดเพลิน๑๐
๓.๒ ลทั ธิวัตถวุ ิสัย ( Objectivism)
ลัทธิวัตถุวิสัยมที ศั นะวา ความงามมีอยจู ริงในวัตถุหรือโลกภายนอกโดยไมขึ้นอยูกบั ความรูสึก
ของมนุษย และเกณฑตัดสินความงามก็มีตายตัว การที่เรามีความเห็นเรื่องความงามตางกันไมได
หมายความวา ความงามอยูที่จิตที่เรารูสึก แตมันมอี ยูจริงๆ ๆในโลกภายนอกและมีเกณฑตายตวั ทจ่ี ะ
ใชตัดสินไดซึ่งแมมนุษยอาจจะไมรูเกณฑนั้น แตมันกม็ ีอยูอยางแนนอนตายตัว เชน ถาเราตัดสินวา
ทิวทัศนแหงหน่ึงงามไมไดหมายความวา การตัดสินของเราทําใหทิวทัศนงาม แตสีและลักษณะของ
ทวิ ทัศนที่ปรากฏอยูขางหนาน่ันตางหากท่ีงาม มนั มลี ักษณะของความงามอยูในส่ิงนั้นอยางเปนอิสระ
จากการตดั สนิ ของเรา เราจะตัดสินมันหรือไม มนั ก็ปรากฏเชนน้ัน ณ วันเวลานั้น ความงามจึงมีอยูใน
วัตถภุ ายนอกเทาเทากบั สี กลนิ่ อุณหภูมิ ขนาด และรปู ทรงมีอยูใ นวัตถุ
๙ กีรติ บุญเจือ, ปรัชญาศิลปะ, (กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๒), หนา ๕๑.
๑๐ บุณย นลิ เกษ, ปรัชญาเบอ้ื งตน , (กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พแพรว ิทยา, ๒๕๒๕), หนา ๓๙.
๒๖๖
นักปรัชญาที่จัดอยูในกลุมวัตถุวิสัย ไดแก เพลโต เบล และคานท ดังจะไดก ลาวถงึ ตามลําดับ
คอื
๓.๒.๑ เพลโต (Plato ๔ ๒๗-๓๔๗ B.C) เพลโต มที ัศนะวาความงามเปนส่ิงแทจ ริงหรือเปน
ส่ิงที่มีอยูจริง ความงามท่ีแทจริงนั้นมิไดอยูในโลกแหง นี้ แตอ ยูในโลกแหงมโนคติ ความงามมลี ักษณะ
เปนอสสาร นิรันดร ไมเปลี่ยนแปลง วัตถุบางชิ้นท่ีเราเห็นวา งามเพราะมนั ไดรับสวนแหงความงาม
หรือเลียนแบบความงามมาจากความงามในโลกแหงมโนคติสิ่งงามๆ ในโลกน้ีตา งก็มีสวนในความงาม
นิรันดรดวยกัน ความงามท่มี ีในแตล ะสงิ่ เปน ความงามประเภทเดียวกนั แตอาจจะงามมากนอยตางกนั
ซึ่งขนึ้ อยูกับวามนั เลียนแบบความงามนิรันดรมามากนอยเพยี งใด เราจะรูจักความงามไดโดยการดสู ิ่ง
งามๆ หลายสง่ิ แลว เราจะคอยๆ เขาใจความงามท่ีเปนนามธรรมหรอื ความงามอมตะ ทีเ่ ปนแบบของสิ่ง
ตา งๆทมี่ ีความงามได
๓.๒.๒ เบลล (Clive Bell) มีความเห็นวาเนื่องจากรูปแบบ สี เสียง บางลักษณะเมื่อ
ประกอบการเขาในลักษณะหน่ึงทําใหเราเกดิ ความรูสึกแบบหนึ่งไดอยางมาก แตถา จัดในอกี ลักษณะ
หนึ่งจะไมทําใหเกิดความรูสึกแบบน้ันขึ้นมา เชน เสียงดนตรีของเพลงเพลงหนึ่ง ทําใหเราเกิด
ความรูสึกบางอยาง แตถานักดนตรีเลนเพลงน้ันโดยสลับตัวโนตหรือเลนยอนหลังจะไมทําใหเกิด
ความรูสึกแบบนั้น เบลลจึงถือวาประสบการณในความรูสึกพิเศษของบุคคลเปนจุดเริ่มตนของ
สุนทรียภาพวัตถทุ ่ีกอใหเกิดความรูสึกชนิดน้ีเรียกวา ศิลปะ ความรูสึกทเ่ี กดิ ข้นึ จากผลงานทางศิลปะ
อาจแตกตา งกันในดานคุณภาพและความเขม ขน คอื คนสองคนมปี ระสบการณศ ิลปะช้ินหน่ึง อาจเกิด
ความรสู กึ ดา นสนุ ทรยี ภาพตา งกันได แตกเ็ ปน ความรูสกึ ชนดิ เดยี วกัน
ผลงานทางศิลปะตางๆ มีคุณสมบัติรวมกันคือ มีคุณภาพบางอยางท่ีทําใหผูมีประสบการณ
เกดิ ความรูสึกทางดา นสุนทรียภาพ คณุ สมบัตริ วมที่มอี ยูในศลิ ปะทุกชิน้ นี้เบลลเรียกวา “แบบสําคัญ”
(significant form) แบบสาํ คัญคือลักษณะของสิ่งหน่ึงที่เปนจุดหมายในตวั มนั เอง หรือเปนลักษณะที่
เรารูวามันมีความสําคัญเหนือกวาลักษณะอ่ืนๆ ๆของวัตถุเมื่อพิจารณาในแงที่เปนสิ่งสนองความ
ตอ งการของมนุษย แบบสําคัญเปนความจริงอยางหนึ่งท่ีอยูเบ้ืองหลังหรือแฝงอยูในผลงานทางศลิ ปะ
ช้ินหนึ่งๆ ความเปนจริงหรือแบบสําคัญน้ีเองท่ีทําใหเรามีความรูสึกทางดานสุนทรียภาพ ศิลปะเปน
ทางทเ่ี ราจะเขาถงึ ความจรงิ ประเภทน้ี
๓.๒.๓ คานท (Immanuel Kant ๑๗๒๔-๑๘๐๔) มที ัศนะวา จิตของเรามีสมรรถภาพท่ี ๓
นอกเหนือจากเหตุผลและเจตจํานง นั่นคือมีสมรรถภาพรู ความรูสึกทางสุนทรียภาพเปนความรูสึก
หรอื ความพึงพอใจที่ไมคาํ นึงผลได๑๑ แมความงามเปนเร่ืองของจิตหรือความรูสึก แตเปนวัตถุวิสัยคอื
๑๑ แพทรคิ , จี.ท.ี ดับบลิว, Introduction to Philosophy (ปรัชญาเบื้องตน ), แปลโดย กีรติ บุญเจือ,
(กรุงเทพฯ : สํานกั พมิ พไ ทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๑๘), หนา ๓๘๒.
๒๖๗
มีอยูจริงโดยไมขึน้ อยูกับรสนิยมหรือผลประโยชนของบุคคล เชน เม่ือเรากลาววา “ภาพน้ีงาม” เรา
ไมไดหมายถึงเรามีรสนิยมชมชอบภาพในลักษณะน้ัน และไมเกี่ยวกับวาภาพนี้จะมีผลอะไรทาง
เศรษฐกิจหรือไม แตหมายความวาภาพน้ีมีลักษณะบางอยางท่ีทําใหจิตของเรามีความรูสึกทาง
สุนทรยี ภาพ
๔. ศิลปะคืออะไร
เนอ่ื งจากสนุ ทรียศาสตรเ กีย่ วขอ งกับศิลปะโดยตรง จึงจําเปนตองเขาใจความหมายของคําวา
“ศิลปะ” ที่ตรงกับคําภาษาอังกฤษวา “ Art” ซ่งึ มีความหมายกวางมากจนยากท่ีจะใหคาํ จํากัดความ
ทแี่ นนอนตายตวั ลงไปได ทงั้ นข้ี นึ้ อยกู บั ความเขา ใจหรอื ความคิดเห็นของนักปรชั ญาและของทานผูรูแต
ละคนเปน สําคัญ นกั ปรชั ญาและผูรูหลายทา นใหค าํ จํากดั ความของศิลปะไวต างๆกนั ดงั ตอไปน้ี
ตอลสตอย (Leo Tolstoi ๑๘๒๘-๑๙๑๐)
“ศลิ ปะ คือการถายทอดความรสู ึก ศิลปะเปนวธิ สี ื่อสารความรูสกึ ระหวางมนุษย”
โกรเช (Benedtto Croce ๑๘๖๖-๑๙๕๒)
ศิลปะ คือการแสดงสัญชาตญาณออกมา การสรางศิลปะเปนเรื่องของสัญชาตญาณลวนๆ
เปนการสรางรูปแบบที่สมบูรณจากสิ่งท่ีรับรู เน้ือแทข องศิลปะไมไดอ ยูที่รูปรางภายนอกของรูปแบบ
อนั เปน เร่อื งของเทคนคิ และฝม อื สญั ชาตญาณตา งหากที่เปนการแสดงออกของศิลปะ การกระทําดวย
สัญชาตญาณคือ ทําหนาท่ีสรา งรูปแบบเพอื่ แสดงสัญชาตญาณออกมา
อลสิ โตเติล (A ristotle ๓๘๔-๓๒๒ ฺB.C.)
ศลิ ปะ คือการเลียนแบบความแทจริงท่ีเปนกระจกเงาสะทอนธรรมชาติ ศลิ ปะไมใชการถาย
แบบรูปรา งภายนอกวตั ถุ แตเ ปนการถา ยแบบเนื้อแทภ ายใน การเลยี นแบบในศลิ ปะไมใชการถายแบบ
ท่ีเหมือนของจริงนัก เพราะการสรางศิลปะเกิดจากความตองการจะแสดงอารมณ ศิลปะช้ันสูง
สามารถสนองความตอ งการไดทางวุฒิปญญา และทางความรูสึกที่ดขี องศลิ ปะคือ การระบายอารมณ
เพราะอารมณทเี่ กบ็ กดไวจ ากความกดดันทางสังคมมีทางออกไดด ว ยศิลปะโดยวธิ ีท่ไี มเปน อนั ตราย
สเปน เซอร (Herbert Spencer ๑๘๒๐-๑๙๐๓)
ศิลปะ คือการแสดงพลังสวนเกินออกมาเชนเดียวกับการเลน ศิลปะเปนการแสดงออกของ
อํานาจและเสรภี าพตามธรรมชาตขิ องมนุษยโดยไมไดคิดถึงผลได รสนิยมทางสุนทรียศาสตรกอใหเ กิด
ระเบียบทางจินตนาการ
ฟรอยด (Sigmund Freud ๑๘๕๖-๑๙๓๙)
ศลิ ปะ เปนการแสดงออกทางจินตนาการ การสนองความตองการใหสําเร็จ การเลนของเด็ก
เปนการแสดงออกทางจินตนาการ เม่ือคนเราโตข้ึนก็เลิกเลนอยางเดียวและหันมาสรางความฝน
๒๖๘
แผนการเลน ใชเวลาในการฝนและสรางศิลปะ ในการสรางศิลปะน้ันจิตสํานึกกับจิตใตสํานึกทํางาน
รวมกัน
นอกจากนี้ อารี สุทธิพันธ ไดนิยามความหมายของศิลปะตามขอบขายของการรับรูทั้ง ๓
แหลง คอื แหลงธรรมชาติ แหลง สงั คม และแหลง บุคคล ดังน้ี๑๒
นยิ ามตามการรับรูจากแหลงธรรมชาติไดแ ก
(๑) ศิลปะ คือการเลียนแบบธรรมชาติ (Imitation of nature)
(๒) ศิลปะ คือการถายทอดโลกภายนอกเปน รปู แบบที่มองเหน็ ( Visual from)
(๓) ศิลปะ คือการสรา งสรรคความงามจากธรรมชาติ
นยิ ามตามการรับรจู ากแหลง สงั คม ไดแ ก
(๑) ศิลปะ คือส่ือกลางของสังคมในรูปแบบภาษาท่ีใชเสน รูปทรง สี สัญลักษณ และ
สว นประกอบศลิ ปะ
(๒) ศิลปะ คอื การประดิษฐตกแตงใหสวยงาม เพอ่ื เสริมสรางและยกยองผูมีอํานาจ ผูนําทาง
ศาสนา และสรางภาพรวมตามความเชื่อของสังคม
(๓) ศลิ ปะ คอื สิ่งเรงเราใหสังคมตระหนักในความเปลี่ยนแปลง สิทธิเสรีภาพ ภัยพิบัติ ความ
ยตุ ิธรรม จะดว ยรูปแบบในทางบวกหรือทางลบก็ตาม เพื่อใหผ ชู มผดู ูคิด
(๔) ศลิ ปะ หมายถึง เอกลกั ษณอ ันแสดงความกาวหนาหรอื ความเสอ่ื มของสังคม
นิยามตามการรบั รจู ากแหลงบุคคล ไดแก
(๑) ศิลปะ คอื การแสดงออกของศิลปน ผูยงิ่ ใหญท่ีมบี ทบาทมากในสังคม
(๒) ศลิ ปะ คือการแสดงออกในรปู แบบมองเหน็ ไดตามความตอ งการของผูสราง
(๓) ศิลปะ คือการสรางสรรคความงามประจํายคุ
(๔) ศลิ ปะ คอื การแสดงออกอยา งเสรี
(๕) ศิลปะ คอื รปู แบบที่มีนัยสาํ คัญ
จากทัศนะตางๆท่ีกลาวมานี้จะเห็นวา ศิลปะเกี่ยวของกับความงามท่เี ปนการสรางสรรคของ
มนุษย มิใชสิ่งท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ส่ิงตางๆ ในธรรมชาติจึงไมใชศิลปะ แตขณะเดียวกันงาน
สรางสรรคของมนุษยก็ไมใชจะเปนศิลปะทั้งหมด เพราะการสรางสรรคท่ีจะนับวาเปนศิลปะน้ันตอง
เปนการสรางสรรคท ่ีมคี วามงามอยูดว ย การสรางสรรคอาจดัดแปลงจากส่ิงตางๆในธรรมชาติหรือคิด
ข้ึนเองทง้ั หมดก็ได
จะเห็นไดวา การใหคาํ นยิ ามของศลิ ปะน้ันเปนเร่ืองทีท่ ําไดโดยยาก เพราะผูใหนิยามแตละคน
มักเนนดานใดดานหน่ึงท่ีตนเห็นวาสําคัญที่สุด อยางไรก็ตามจากคํานิยามเหลานี้สามารถทําใหเรา
๑๒ อารี สุทธิพนั ธ, “จะสอนสนุ ทรยี ศาสตรกันอยา งไร, ใน สุนทรียภาพ, หนา ๑๗.
๒๖๙
เขาใจศิลปะในแงมุมตางๆ ไดดียิ่งข้ึน นอกจากนิยามขางตนแลวยังมีคําตอบอ่ืนๆ ๆที่นาสนใจ
ดังตอไปนี้๑๓
๔.๑ ศลิ ปะ คอื การเลียนแบบธรรมชาติ
ศิลปะเปนส่ิงท่ีสรางข้ึนมาเลียนแบบความเปนจริงท่ีมีในธรรมชาติโดยการถายทอดจาก
ธรรมชาติมาเปนผลงานทางศิลปะ โดยศิลปนไมตองเรียนแบบทุกอยางที่มีอยู แตเลือกเทาท่ีจําเปน
หรือเห็นวาเหมาะสม เชน ภาพวาด หรืองานปน จะแทนสิ่งบางสิ่งท่ีมีจริง แตไมจําเปนตองเหมอื นส่ิง
นั้นทุกอยาง ลักษณะดอ ยทไี่ มสาํ คัญจะถูกตัดออกไปแลวแตจุดประสงคของผูส รางศลิ ปะน้ันๆ หรือใน
วรรณคดี ใชต ัวอยางเปนตัวแทนหรือเลยี นแบบความเปนจริง สาํ หรับละครหรือภาพยนตรใ ชเสียงหรือ
คําพูดแทนความจริง หรือใชเลียนแบบความเปนจริง แตแทนหรือเลียนแบบไดมากกวาในวรรณคดี
เพราะสามารถถายทอดทาทางออกมาดวย สําหรับดนตรแี ทนส่ิงที่ไมมีเสียง เชน แสดงออกถึงอารมณ
ร่ืนเรงิ หรือโศกเศรา กไ็ ด
๔.๒ ศิลปะ คอื การแสดงออก
การแสดงออก หมายถงึ การแสดงความรูสึกหรือความเขาใจตอส่ิงใดส่ิงหนึ่งออกมาภายนอก
แตการแสดงออกบางอยางอาจไมเก่ียวกับศิลปะก็ได การแสดงออกที่ขาดสติและปราศจากการ
กล่นั กรองไมจ ัดเปน ศิลปะ
ศิลปน จะแสดงออกเมือ่ มีประสบการณหรือความเขาใจบางอยางตอสิ่งใดส่ิงหน่ึงแลวตองการ
แสดงออกมาเปนรูปประธรรมท่ีมองเห็นไดถึงลักษณะของส่ิงน้ันตามท่ีศิลปนเขาใจ หรือมี
ประสบการณเ พอ่ื ใหผ อู ่ืนเขาใจดว ย
๔.๓ ศิลปะ คือรปู แบบที่มนี ัยสําคญั
แมศิลปะจะเปนการเลียนแบบธรรมชาติหรืออาจเปนการแสดงออกของความเขาใจของ
มนุษยตอสิ่งใดส่ิงหนึ่ง แตทวาจดุ ประสงคทแ่ี ทจ ริงของศลิ ปะนั้นคอื ศลิ ปะเพือ่ ศิลปะ (Art for Art’s
sake) ไมใชศิลปะเพื่อชีวิตหรือเพ่ืออะไรบางอยาง คือศิลปะเปนการแสดงออกถึงรูปแบบอะไร
บางอยางที่มีนัยสําคัญหรือมีความงามใหผูอ่ืนรับรูได หรือเปนการแสดงออกถึงเอกภาพของรูปแบบ
หลายๆแบบทป่ี ระกอบกันเขา เปน งานศลิ ปะชนิ้ หน่ึงๆ
๑๓ สวัสดิ์ สุวรรณสงั ข, ปรัชญาเบอ้ื งตน, (ภูเก็ต : วทิ ยาลัยครูภเู ก็ต, ๒๕๒๙), หนา ๘๗.
๒๗๐
๔.๔ ศลิ ปะ คอื อุปกรณใ หเกดิ ความพงึ พอ
ศิลปะ คือส่ิงท่ีมีคุณคาอยางหน่ึงของมนุษย คือใหความพึงพอใจหรือความสุขแกมนุษยได
วิทยาศาสตรใหความรูเกย่ี วกับสิ่งตางๆในธรรมชาติ ศลิ ปะไมไดใหความรูอะไรเก่ยี วกับโลกภายนอก
หรอื เก่ียวกบั ธรรมชาติเลย และศลิ ปะไมไดใหหลักการในการดาํ รงชีวิต ถา ศลิ ปะไมใ หคณุ คาดา นความ
พงึ พอใจแกม นุษยก็เทา กับไมไดใ หอะไรแกเ ราเลย
ศิลปะใหความพึงพอใจหรือความสุขแกม นุษยทัง้ แกศิลปนผูสรางงานศิลปะเอง และทั้งผูรับรู
งานศิลปะนั้น แตความพึงพอใจหรือความสุขจากศิลปะนั้นแตกตางจากความพึงพอใจอน่ื ๆ ที่มนุษย
ไดรับ
๔.๕ ศลิ ปะ คือทางเขา ถงึ ความจรงิ
ศิลปะใหสิ่งที่วิทยาศาสตรไมสามารถใหได เพราะวิทยาศาสตรใหเพียงคําอธิบายส่ิงท่ีปรากฏ
ตอเรา โลกแหงความเปนจริงไมสามารถเขียนออกมาเปนสูตรหรือเปนภาษาธรรมดาได แตศิลปะ
พยายามแสดงออกถึงความเปนจริงท่ีอยูเบื้องหลังประสบการณข องเรา และแสดงใหผูอืน่ เขาถึงความ
เปนจริงอันเปนนิรันดรน้ันเอง เชน ในปรัชญาของเพลโตก็ถือวาแบบของความงามซ่ึงเปนส่ิงนิรันดร
เปนตนแบบของความงามของส่ิงตางๆในโลก สิ่งงามตางๆ รวมทั้งผลงานของศิลปนพยายามท่ีจะ
เขาถึงความงามอันน้ัน ผลงานทางศิลปะท่แี สดงออกมาใหผูอ่ืนเขา ใจน้ันเปนการนําทางใหผูอ่ืนเขาถึง
ความงามอันเปนความจรงิ แทไ ดบ าง ผลงานท่ีใกลเ คยี งกับความงามนิรนั ดรจึงเปนผลงานที่ย่ิงใหญ
๔.๖ ศลิ ปะ คือภาษา
ผลงานทางศิลปะท่ีศิลปนสรางข้ึนมานั้นเพื่อเปนการส่ือสารความหมายหรือเปนการอธิบาย
อะไรบางอยางใหผูอื่นเขาใจภาษา แปลเปนภาษาที่ไมมีระเบียบหรือกฎเกณฑตายตัว การแปล
ความหมายหรือการเขาใจภาษาทางศลิ ปะอาจแตกตางกันไดตามความคดิ และประสบการณของแต
ละคนซงึ่ อาจเขาใจตา งกันไปตามจุดมุงหมายของผสู รา งศิลปะนน้ั ๆกไ็ ด
๔.๗ ศลิ ปะ คอื ทางแหงการพัฒนาศีลธรรม
ผลงานทางศิลปะมีสวนในการพัฒนาศีลธรรมของมนุษยอยูบาน เพราะผลงานทางศิลปะ
แสดงถึงอุดมคติอันสูงสงออกมาไดดวยซ่ึงแมจะไมไดแสดงออกในลักษณะเปนคําสอนโดยตรง แตก็
สามารถจูงใจใหผูชมมีความรักและทะนุถนอมตอผลงานน้ัน ทั้งยังจูงใจใหรักความกลมกลืน ความ
มัธยสั ถ ความกลา หาญ และความยุติธรรม ทั้งทีไ่ มต องการส่ังสอนกนั เลย (ดู แพทรคิ ๒๕๑๘ : ๓๗๖)
๒๗๑
๕. อะไรเปนแรงจูงใจใหเ กดิ ผลงานทางศิลปะ
แรงกระตุนทางศิลปะ หมายถึงสาเหตุที่ทําใหมนุษยผลิตผลงานทางศิลปะหรือผลิตส่ิงที่มี
ความงามข้ึนมา เชน สาเหตทุ ี่ทําใหคนคิดแตงทํานองเพลง เขียนบทรอยกรอง วาดรูป หรือแกะสลัก
การเอาแรงจูงใจในการกระทํากิจกรรมอ่ืนๆ ๆของมนุษยมาตอบปญหาทางศิลปะไมนาจะได เชน
ตอมาเพื่อหารายไดหรือหวังความรํ่ารวย หรือเพราะอยากไดช่ือเสียง หรือเพราะความหวัง
ความกาวหนาในสงั คม เปนตน ท้งั นเี้ พราะงานทางศิลปะไมสูทํารายไดใหแกผ ูส รางสรรคม ันข้นึ มา
สาํ หรับคาํ ตอบท่ีวาอะไรเปนแรงจงู ใจใหเ กดิ ผลงานทางศิลปะนัน้ มคี ําตอบหลายประเด็นดงั น้ี
๕.๑ ความตอ งการแสดงออก
มนุษยผลิตเคร่ืองมือเครื่องใชตางๆ ขน้ึ มามากมายก็เพ่ือประโยชนในการดํารงชีพแตผลงาน
ทางวิจิตรศิลปซึ่งมุงดานความสวยงามจะไมเกี่ยวของกับการดํารงชีพ เชน ดนตรี จิตรกรรม บทกวี
ฯลฯ แรงจูงใจที่ทําใหศิลปนผลิตผลงานทางศิลปะเกิดจากการไดสัมผัส รับรู หรือเกิดความรูสึกถึง
ความงามบางอยางทําใหเกดิ แรงบันดาลใจที่จะแสดงลักษณะของความงามที่ตนรูสึกในใจน้ันออกมา
ภายนอก ใหเปนสิ่งทเ่ี ห็นไดหรอื จบั ตอ งได
๕.๒ การรบั รูข องสงั คม
การที่ศิลปนสรางผลงานทางศิลปะออกมาน้ันมิใชเพียงเพื่อแสดงความรูสึกของตนออกมา
เทา นัน้ แตย ังตอ งการใหผ ูอืน่ ในสงั คมเกดิ ความรูสกึ รว ม หรอื มีประสบการณร ว มในลักษณะน้ันดวย
บุคคลในสังคมมีความเก่ียวพันกันในดา นตางๆ อยากรูในสิ่งท่คี นอื่นรูและเขาใจได ตอ งการ
รวมทุกขรวมสุขดวย รวมรับรูกันและกัน ตองการใหคนอื่นๆ อา ยรวมในความยินดใี นสิ่งที่เขาคน พบ
ใหม ถามผี ชู ื่นชมในผลงานของเรามากเทาใด เรากย็ ง่ิ พอใจมากเทาน้นั
๕.๓ การคลายความเครยี ดทางอารมณ
ศิลปนผูมีความรูสึกเกี่ยวกับความงามบางอยางจะอยูนิ่งเฉยไมไดเพราะจะเกิดความเครียด
ทางอารมณ ตอเม่ือไดสรางผลงานท่ีมีความงามที่ตนเองรูสึกก็จะรูสึกพึงพอใจหรือเปนสุขใจ ทําให
ความเครยี ดคลายลงได
๕.๔ การเลน
ศลิ ปนบางคนสรางผลงานขน้ึ มาในลักษณะเหมือนเปนการเลนของเดก็ เดก็ เลนเพราะอยาก
เลน มิไดมีจุดมุงหมายใดๆ ในการดํารงชีพ มันเปนพลังสวนหน่ึงในมนุษยที่ตองการหาทางออก
ทางดานศิลปะก็เชน กัน ศลิ ปนมีพลังหรือความคิดทีน่ อกเหนือจากการคดิ เพ่อื การดาํ รงชีพ พลังสวนน้ี
๒๗๒
จะผลกั ดนั ออกมาใหศิลปนคิดสรางผลงานทางศิลปะท่ีสวยงาม หรือคิดทํานองเพลงท่ีไพเราะในยามที่
มเี วลาวา ง อันเปนการแสดงออกอยางมีเสรแี ละเปน ไปในทาํ นองเดียวกบั การเลน ของเดก็
๕.๕ การเกิดข้ึนของมโนภาพ
คนบางคนมพี ลงั สรา งสรรคใ นความคดิ ของเขา เขาสามารถสรางมโนภาพใหมข้ึนมาไดเรื่อยๆ
อายจงึ ทําใหเขาพยายามสรางผลงานทางศิลปะตามทีเ่ ขามมี โนภาพนั้น พลังในการสรางสรรคม โนภาพ
อาจมีมากนอยตางกันในแตละคน บุคคลใดทมี่ ีพลังในการสรางมโนภาพสูงและสามารถแสดงออกมา
เปน ผลงานทางศลิ ปะทม่ี ีทกั ษะสงู ก็ถอื วา เปนบคุ คลทเี่ ปน อัจฉริยะทางศิลปะสาขานน้ั ๆ
๖. ประเภทของศลิ ปะ
ศลิ ปะแบงออกเปน ๒ ประเภทใหญๆ คือ๑๔
๖.๑ วิจติ รศลิ ป (Fine Art)
วิจติ รศลิ ปเดมิ มีชอื่ เรยี กวา ประณตี ศิลป ซึง่ เปนศิลปะแหงความงามวิจิตรพสิ ดารที่สรางสรรค
มาดวยจิตใจ และความรูสึกนึกคิดเปนท่ีติดตาตรึงใจ ประทับใจ และสะเทอื นใจแกผูท่ไี ดพ บเห็น เปน
งานสรางสรรคของศิลปนที่มุงสรางข้ึนจากความบันดาลใจท่ีไดรับจากสิ่งแวดลอมเพ่ือสนองความ
ตองการทางดา นจติ ใจของมนุษย คือเพ่ือใหจติ ใจเปนสุขทัง้ ของผูอื่นและของศิลปน ผูส รางสรรคเอง
วิจิตรศลิ ปหรือประณีตศิลป แบงออกเปน ๓ แขนง คือ
๑. ทัศนศิลป ( Visual Art) หมายถงึ ศลิ ปะประเภทที่มนุษยสามารถรับรูความ
สวยงามของมนั ไดด วยการดู หรือรับรสู นุ ทรยี ภาพดวยตา ทัศนศิลปม ี ๔ ประเภท ไดแก
๑.๑ จิตรกรรม ( painting) คอื การเขียนภาพและระบายสีภาพน้ันดว ยสี
หลายๆสี และในลักษณะตา งกัน
๑.๒ ประตมิ ากรรม (Sculpture) คอื ศลิ ปะท่ีมีลักษณะ ๓ มติ ิทเ่ี กดิ จากการ
ปนหรือการแกะสลกั
๑.๓ สถาปตยกรรม (Architecture) คอื การกอสรางตางๆ เชน อาคาร พระ
ปรางค เจดีย โบสถ วหิ าร
๑.๔ ภาพพิมพ (Graphic Art) คือการใชแบบพิมพเ ดียวกันไดห ลายๆ
รปู การพมิ พดวยมอื ถือดว ยเครอ่ื งจักรก็ได
๑๔ ชูศักด์ิ จิระวัฒน, สุนทรียทางทัศนศิลป, (กรุงเทพฯ : วิทยาลัยครูบานสมเด็จเจาพระยา, ๒๕๓๐),
หนา ๑๗.
๒๗๓
๒. โสตศิลป (Audio Art) คือศลิ ปะที่มนุษยสามารถรับรูความงามของมันไดดว ย
การฟง การไดยิน หรือการอานจากตัวอักษร คือรับรูสุนทรียภาพดวยหู โสตศิลป แบงออกเปน ๒
ประเภทคือ
๒.๑ ดนตรี ( Music) คอื การทาํ ใหเกิดเสยี งสูงต่ําและมีจังหวะ เคร่ืองมือใน
การทําเสียงหรือเครื่องดนตรีมีหลายลักษณะ และทําใหเกิดเสียงที่แตกตางกันออกไป ตามชนิดและ
ประเภทของเครอื่ งดนตรแี ตละอยางรวมท้งั การขับรองดวย
๒.๒ วรรณกรรม ( Literrature) คือการประพันธเปนรอยแกว หรือรอย
กรอง รอยแกวคอื การผูกเปนเรื่องราวในลักษณะตางๆ สวนรอยกรองเปนการใชถอ ยคําคลองจองกัน
และเปน เรอื่ งราวตางๆดว ย
๓. โสตทัศนศิลป ( Audio- Visual Art) หรือศิลปะการแสดง ( performing arts)
ไดแก วิจิตรศลิ ปที่สามารถมองเห็นรูปลักษณะการเคลื่อนไหวพรอมกับการไดยินจังหวะ และทาํ นอง
ไปดวย ไดแก การละคร การฟอ นราํ การเตนราํ ภาพยนตร และโทรทัศน
๖.๒ ประยกุ ตศ ิลป ( Applied Art )
คอื ศิลปะที่มุง ประโยชนทางใชสอยเปนอันดับแรก แลวจึงมุงนําเอาความงามทางดานศิลปะ
เขาไปชวยตกแตงใหงานท่ีใชสอยน้ันนาดู นาชม และนาใชสอยมากข้ึน ประยุกตศิลปแบงออกเปน
ประเภทตา งๆ ๕ ประเภทดังน้ี
๑. มณั ฑนศิลป ( decorative arts ) เปนงานศลิ ปะท่ีเก่ยี วขอ งกับการออกแบบ
เคร่ืองเรือน การกําหนดสี ตลอดจนวัสดุในการตกแตงใหสัมพันธกับสถาปตยกรรมและใหสวยงาม
เหมาะสมกับสถานท่ีนัน้ ๆ
๒. อุตสาหกรรมศลิ ป ( Industrial arts ) เปน งานศลิ ปะที่เกยี่ วกบั เคร่ืองปนดินเผา
งานประดษิ ฐดว ยผา ไมไ ผ งานเย็บปกถักรอย งานโลหะ ฯลฯ ซึ่งงานเหลานเี้ ปนประเภทเคร่ืองใชโดย
เอาศิลปะเขาไปประยุกตใหสวยงาม เปนการผลิตดวยการใชฝมอื แตปจจุบันมงุ ผลิตเพ่ือการคาและ
ผลิตจาํ นวนมาก การผลิตจึงตองอาศัยเครอื่ งจักรเพราะประหยดั แรงงาน เวลา และทนุ คา ใชจาย
๓. พาณิชยศิลป ( commercial Art ) เปนศลิ ปะการโฆษณา การจัดหอ งแสดง
สนิ คา การตกแตง หนารา น รวมถงึ การถายภาพโฆษณาดวย
๔. ศิลปหตั ถกรรม ( Art Crafts ) คือศิลปะที่ทาํ ดวยมอื เปนสวนใหญแ บบทท่ี ําจึง
แตกตางกันไดต ามความพอใจของผทู าํ อาจจะทําเปนอาชีพหรือทําไวใชเองก็ได เชน การปนหมอ โอง
การทอผา ของชาวบานบางกลมุ การจักสาน เปนตน
๕. ศาสนศิลป (Religious Art) คอื ศิลปะที่สรางขึน้ เพ่อื ศาสนาหรือความเช่ือ เชน
การสรางพระพุทธรปู และรปู เคารพตา งๆ ตามความเชือ่ ทางศาสนาของตน
๒๗๔
สรปุ ทายบท
ปญ หาทางสุนทรียศาสตรก็เชนเดยี วกบั ปญหาปรัชญาในสาขาอ่ืนๆ กลาวคอื ยังหาคําตอบที่
แนนอนตายตวั ไมได ท้ังน้ีเพราะนักปรัชญาแตละกลุม แตละลัทธิตางก็เสนอคําตอบอันประกอบดวย
เหตุผลและความนา เปน ไปไดทําใหยากแกก ารที่จะตดั สินลงไปอยางเดด็ ขาดวา คําตอบของนักปรัชญา
กลุมใดหรือลัทธิใดถูกตองและแนนอนตายตัว การที่คําตอบตางๆ ยังไมแ นนอนตายตัวน้ีเอง ท่ที ําให
ปรัชญาคงความเปนปรัชญาอยูได เพราะเมื่อใดท่ีเรื่องใดมีคําตอบแนนอนตายตัว ก็ตองแยกตัวจาก
ปรัชญาออกไปเปน ศาสตรแ ขนงอ่ืนหรือสาขาอ่นื ท่ีไมใชปรัชญา
อยางไรกต็ าม การจะเขา ใจปญหาทางปรัชญาสาขาตางๆนั้น มิใชเรื่องท่ีจะทําไดโ ดยงายแตก็
สามารถทําไดหากมีความพยายามและมีนิสัยรักการสืบคน ตรวจสอบ ตลอดจนหม่ันพิจารณา
ไตรตรองดวยเหตุผลอยูเสมอ เพราะในสากลจักรวาลนี้ไมมีอะไรทจ่ี ะอยูพนไปจากความสามารถแหง
สตปิ ญ ญาและความเพียรพยายามของมนษุ ยไ ปได
๒๗๕
เอกสารอางอิงประจาํ บท
๑. ภาษาไทย
กีรติ บญุ เจือ. ปรชั ญากรีกระยะกอตัวท่ีอติ าลี. กรุงเทพฯ : สาํ นักพมิ พไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๑๙.
. ปรัชญาศลิ ปะ. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพิมพไ ทยวฒั นาพานิช, ๒๕๒๒.
ชูศักด์ิ จริ ะวัฒน. สุนทรยี ทางทัศนศิลป. กรงุ เทพฯ : วทิ ยาลัยครูบา นสมเด็จเจาพระยา, ๒๕๓๐.
ทวเี กยี รติ ไชยยงยศ. สนุ ทรียะทางทศั นศิลป (โครงการตําราคณะศิลปกรรมศาสตร สถาบันราชภฏั
สวนดสุ ติ ). กรงุ เทพฯ : พิมพลักษณ, ๒๕๓๘.
บุณย นิลเกษ. ปรชั ญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพแ พรว ทิ ยา, ๒๕๒๕.
แพทริค, จี.ที.ดบั บลิว. Introduction to Philosophy (ปรัชญาเบื้องตน). แปลโดย กีรติ บุญเจือ.
กรงุ เทพฯ : สํานกั พิมพไ ทยวฒั นาพานิช, ๒๕๑๘.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ. ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๓๑. กรุงเทพฯ :
สาํ นกั พิมพอกั ษรเจริญทัศน, ๒๕๒๕.
สวัสด์ิ สวุ รรณสงั ข. ปรัชญาเบือ้ งตน. ภเู กต็ : วทิ ยาลัยครภู เู กต็ , ๒๕๒๙.
สุจิตรา ออนคอม, รองศาสตราจารย ดร. ปรัชญาเบ้ืองตน. กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรและ
สงั คมศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรี, ๒๕๔๘.
อารี สุทธิพันธ. “จะสอนสนุ ทรยี ศาสตรกันอยา งไร, ใน สุนทรียภาพ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพเจริญธรรม,
๒๕๒๐.
๒. ภาษาองั กฤษ
Joad, C.E.M. Guide to Philosophy. U.S.A. : Dover Publication, 1957.
Randall and others. Philosophy : An Introduction. U.S.A. : Barnes & Noble, 1970.
Titus and others. Living Issues in Philosophy. 7th ed. New York : D. Van Nostrand,
1979.
บทที่ ๑๐
ปรัชญารวมสมยั
ความนํา
ปรชั ญาสสารนิยมถือวากฎกลศาสตรควบคมุ ปรากฏการณข องสสาร ชีวิตและจิต สสาร ชีวิต
และจิตนนั้ แมจะแตกตางกัน กเ็ ปนปรากฏการณท างวัตถุดว ยกนั แตทําหนาที่แตกตางกัน การกระทํา
ของมนุษยข ้นึ อยกู บั เหตจุ ูงใจและแรงกระตุน ซงึ่ ลวนแตเ ปนการทําหนาท่ีของสสารเพราะฉะน้ัน มนุษย
จึงไมม ีเสรีภาพอยางแทจ รงิ หากแตอยูภายใตก ารควบคมุ ของกฎกลศาสตร
ปรัชญาจิตนิยมถือวาเปนจิตหรือวิญญาณเปนความแมจริง พระผูเปนเจาเปนพ้นื ฐานของทุก
สิ่งทกุ อยางรวมท้งั จิตของมนษุ ย เจตนจ าํ นงของพระผูเปนเจาครอบนําเจตนจํานงของมนุษยไวทง้ั หมด
มนษุ ยจ งึ ไมม ีเสรีภาพ
ท้ังสสารนิยมและจิตนิยมตางก็ปฏิเสธเสรีภาพของมนุษย จึงมีปรัชญาลัทธิใหมเกิดขึ้นมา
ตอ ตา นสสารนิยมและจิตนิยม ปรชั ญาลทั ธิใหมน นั้ กค็ ืออตั ถภิ าวนิยม (existentialism) ซง่ึ ถือวาบุคคล
เปนตัวของตัวเอง มีเสรีภาพและมีความรับผิดชอบตัวเอง ไมไดข้ึนอยูกับกฎกลศาสตรหรือพระผูเปน
เจา
๒๗๘
๑. ลักษณะทวั่ ไปของอัตถภิ าวนิยม
เม่อื เร็ว ๆ น้ีระหวา งสงครามโลกครั้งท่ี ๒ โดยเฉพาะเมอ่ื ส้ินสุดสงครามลง ลัทธิอัตถิภาวนิยม
เหมือนกับลัทธิมารกซิสม โดยโนมนาวแนวความคิดของนักศึกษาปรัชญาใหมีการเคล่ือนไหวในทาง
ความคดิ โดยพยายามสรางความรูสึกใหกวางไกล ถงึ แมจะมีความรูมกี ารศกึ ษานอยก็ตาม นวนิยาย
ทางจิตวิทยาและบทละครของจาง ปอล ซารต (ค.ศ. ๑๙๐๕-?) นักปรัชญาและนักประพันธฝรั่งเศสท่ี
เรืองนามและแฝงดวยเชาวนปญญา ไดสถาปนาลัทธิ “อัตถภิ าวนิยมอเทวะ” ขนึ้ ทรรศนะของเขายึด
แนวความคิดของฮุสเซิรลและไฮเดกเกอร ในขณะเดียวกันก็พยายามเชื่อมแนวความคิดระหวาง
ปรัชญาของเขาใหเ ขา กับคาํ สอนของโซเรน เคยี รเกการด (Soren Kierkegaard) คําสอนของเขาจึง
เนนหนกั ในการแสดงทรรศนะใหเ ห็นสภาวะโดยความมศี ักยภาพภายในแตพยายามกระตุนความสนใจ
ยึดมั่นในนักปรัชญาเยอรมันคือ มารติน ไฮเดกเกอร ผูเปนศิษยของฮุสเซิรล นักปรากฏการณนิยม
เยอรมัน อกี ประการหนึ่ง ไฮเดกเกอรยังไดรับอทิ ธิพลอยางลึกซ้ึง โดยอาศัยนิพนธของโซเรน เคียรเก
การด (ค.ศ. ๑๘๑๓-๑๘๕๕) นักคดิ ชาวเดนมารก ไฮเดกเกอรและซารตนับไดวาเปนศิษยเคยี รเกการด
ที่ไดสถาปนาลทั ธิอเทวะนิยมข้นึ ตามแนวคาํ สอนของเคยี รเกการดนน่ั เอง
มีนักคิดจํานวนมากท่ไี ดชื่อวาเปนนักอัตถิภาวนิยม เชน เคยี รเกการด ไฮเดกเกอรและซารต
จาสเปอรส และมารเชล ซึ่งมีแนวความคิดขัดแยงกับความคิดแบบนักปรัชญาและสรางแนวความคิด
แบบนามธรรมท่เี คยรบั รมู า แตนักอัตถิภาวนยิ มเหลาน้ีจะใฝใจในความหมายและปญหาความมี ความ
เปน โดยเฉพาะความมีศักยภาพท่ีมีอยูภายในมนุษยเอง แตยังคลายกับพวจสัจจนิยมใหมอยูบาง
กลาวคือ นักอัตถิภาวนิยม จะมีลักษณะท่ีคลายกันอยูมากในลักษณะที่เปนฝายลบ เชน มีความโนม
เอียงและแนวความคิดท่ีเดน ชัดในทางปรัชญา ศาสนา สังคม การเมือง ยิ่งกวาคําสอนทเ่ี ปนฝายบวก
จะเห็นไดชัด คอื พวกอตั ถภิ าวนิยม สวนใหญจ ะมีลักษณะคําสอนทเ่ี ปนสากลแนน อน ดงั เชน ๑
๑. นักปรชั ญาอตั ถภิ าวนยิ มไมไดมุง สรางระบบปรัชญาแตสรางความคิดท่ีเปนปรัชญา และใช
วิธีการทางจิตวิทยา อัตถิภาวนิยมสะทอนใหเห็นประสบการณของนักปรัชญาแตละคนอยางลึกซึ้ง ท่ี
พยายามวิเคราะหความทุกข ความหมดหวังและความไมแนนอนเปนตน พรอมท้ังอธิบายความหมาย
ของสิง่ เหลานนั้
๒. ปรัชญาอัตถภิ าวนิยมเนนทต่ี ัวบุคคล และประสบการณของบุคคลในชีวิต ในโลก และใน
สังคม นักปรัชญาพวกนี้บางคนเชื่อถือเทวนิยมคือยอมรับวามีพระผูเปนเจา บางคนเชื่อถอื อเทวนิยม
คือปฏิเสธความมีอยูของพระผูเปนเจา แมแตผูเชื่อถือเทวนิยมก็ไมไดเนนที่พระผูเปนเจา แตเนนท่ี
บคุ คลผรู พู ระผูเ ปนเจา นกั ปรชั ญาอัตถิภาวนยิ มไมไ ดสืบคน ถงึ ธรรมชาติดัง่ เดมิ ของโลก แตพยายามหา
ความหมายของโลก วิวัฒนาการของโลก และการท่ีบุคคลแสดงปฏกิ ิริยาตอโลกและสังคม สาระสําคัญ
๑ บุญมี แทน แกว , ผูชว ยศาสตราจารย, ปรชั ญาตะวนั ตกรวมสมยั , (กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพโ อเดียนสโตร,
๒๕๔๘), หนา ๒๑๕-๒๑๖.
๒๗๙
ของปรัชญาอัตถิภาวนิยมแตกตางจากหลักวิทยาศาสตร และวิธีเขาถึงพระผูเปนเจาก็แตกตางจาก
หลกั การของเทววทิ ยา คือถอื วาทกุ คนมเี สรีภาพที่จะแสวงหาวิธีเขาถงึ พระผเู ปน เจาดวนตนเอง
๓. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมถือวามนุษยเปนความแทจริงเชิงจิตวิสัย คือถือวาจิตมนุษยมี
ความสําคัญกวารางกาย จิตอาศัยรางกานเปนเคร่ืองมือสะสมประสบการณตาง ๆ เพื่อมุงตรงไปสู
จดุ หมาย ปรชั ญาอตั ถิภาวนิยมตรงกันขา มกับธรรมชาตนิ ิยมและสสารนิยมที่ถือวา มนษุ ยเปน สสารและ
พลังงาน และอธิบายมนุษยไปในทางวัตถุ ปรัชญาอัตถิภาวนิยมยังขัดแยงกับสัจนิยมรวมสมยั ทุกแบบ
และกบั สสารนิยมวภิ าษวธิ ี เพราะสจั นยิ มถือวา เปนจิตคอื สสารหรือการทํางานของสมอง และสสารนอ
ยมวภิ าษวิธีถือวามนษุ ยเปน ผลผลติ ของสสาร พลงั งานและสังคม แตปรชั ญาอัตถภิ าวนิยมถือวาจิตเปน
ความแทจรงิ ตา งหาก ไมใ ชส สาร
๔. ปรัชญาอตั ถภิ าวนิยมเกิดจากแรงผลักดันศลี ธรรมและอาศัยความเช่ือม่ันทางจริยศาสตร
ความเชื่อมน่ั วาบุคคลมอี ยูจริงคือความเชื่อม่ันวาบุคคลมคี ุณคาและคณุ คาที่สําคัญคือคุณคาทางจริย
ศาสตรไดแกความดี ปรัชญาอัตถิภาวนิยมถือวา ปจจุบันเปนยุคแหงปจเจกชน กลาวคือเปนยุคท่ี
ยอมรับความสําคญั ของปจเจกชน ไมใชย อมรบั ความสาํ คญั ของจารตี ประเพณีเพียงอยางเดยี ว
๕. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมขึ้นอยูกับปรัชญาผูสรางลัทธิเปนสําคัญถานักปรัชญามีสติปญญา
ลึกซ้ึง ปรัชญาของเขากล็ ึกซ้ึง ถานักปรัชยามีความเปนอยูอยางพื้น ๆ ความคิดของเขาก็พื้น ๆ ถา นัก
ปรัชญาขาดปญญาพิจารณาไตรตรอง การตคี วามของเขากจ็ ะ ผิด ๆ พลาด ๆ ถานักปรัชญาเปนโรค
ประสาท เขากแ็ สดงความลมเหลวในการปรบั ตวั ออกมา
๖. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมเนนเสรีภาพของบุคคล นักปรัชญาลัทธินี้ไมไดถ ือวา รางกาย โลก
สังคม ประวัติศาสตรและวัฒนธรรมกําหนดความมีอยูของบุคคลแตถือวาบุคคลมีเสรีภาพที่จะเลือก
เปาหมายหรืออุดมคติของตัวเอง การเลือกเปาหมายหรืออุดมคตนิ ้ันใหความหมายและคุณคาแกชีวิต
นักปรัชยาลัทธิน้ีถือวาตัวเองเปนส่ิงที่เขาเลือกท่ีจะเปน ถาเขาถูกบังคับใหทําส่ิงที่เขาทําอยูแลว ก็
เทากับเขาถูกบังคับไมใหเปนมนุษย เขาไมสามารถอยูเปนมนุษยไดหากขาดเสรีภาพซ่ึงเปนแกนแท
แหง ความเปนมนุษย
๗. ปรัชญาอัตถภิ าวนิยมเปนไปในทางทุนิยม เพราะเนนเร่ืองความกลัว ความหมดหวัง และ
ความทุกข แตทุนิยมของนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมมีแรงผลักดันท่ีจะพยายามตอสูและเอาชนะความ
ทกุ ข ไมใ ชป ลอ ยใหเ ปน ไปตามยถากรรมเหมือนทนุ ิยมบางชนิด
ปรชั ญาอตั ถภิ าวนิยมทีค่ วรกลา วถงึ มี ๖ คนดวยกนั ซ่ึงจะไดกลา วไปตามลําดบั
๒. โซเรน เคียรเ กการด (Soren Kierkegaard)
เคียรเกการดคัดคานจิตนิยมของเฮเกล ซึ่งถือวาความมีอยูของบุคคลเปนวัตถวุ ิสัย คือข้ึนอยู
กับตนเองการคิดของบุคคลนั่นเองคือตัวบุคคล บุคคลเปนตัวของตัวเอง ไมใชอาการปรากฏของจิต
๒๘๐
สัมบูรณ บุคคลมีศีลธรรมชาติท่ีเปล่ียนแปลงได มีเสรีภาพและรับผิดชอบตัวเอง การตัดสินใจของ
บุคคลเปนเร่ืองของตัวเอง ไมขน้ึ อยูกับพระผูเปนเจา เพราะธรรมชาติของพระผูเปนเจาแตกตา งจาก
ธรรมชาติของบุคคล
ความคิดหมายถึงอุดมคตทิ ี่อาจเปนไปได ความคิดตางจากความมอี ยู ความมีอยูของบุคคลผู
คดิ เปนพ้ืนฐานของความคิดของเขา บุคคลไมขน้ึ อยูกับส่ิงใดภายนอก สามารถรูความมอี ยูของตัวเอง
ดว ยตวั เอง และสามารถรคู วามมีอยขู องส่งิ อืน่ เชนโลกและพระผูเปนเจาไดจ ากตวั เอง ในฐานะท่ีตัวเอง
เก่ียวของกับส่ิงเหลานั้น โลกและพระผูเปนเจาเปนเพียงอุดมคติที่เปนไปไมไดเทานั้น ความแทจริง
ทางจริยศาสตรมคี วามหมายย่ิงกวาโลกและพระผุเปน เจา
ความแทจริงทางจริยศาสตรคือความแทจริงของบุคคลนั่นเอง บุคคลมีเสรีภาพในการเลือก
และตัดสินใจของตนเอง ซ่ึงเปนพื้นฐานของการตัดสินใจทางจริยศาสตร เคียรเกการดสนใจความ
แทจ ริงเพียงสงิ่ เดียว คอื การเลือกทางจรยิ ศาสตรอยางสูงสดุ บุคคลเลือกสงิ่ ใดก็เพราะเห็นวาส่ิงนน้ั ควร
เลอื กอยา งย่ิง สิ่งที่ควรเลอื กอยา งยิ่งคอื สิง่ ที่เปนอดุ มคติ ซ่งึ บุคคลตองตดั สนิ ใจดว ยตัวเอง
เคยี รเกการดเชื่อวาพระผูเปนเจามีอยูและคอยตรวจตราบุคคลจากเบื้องบน บุคคลรูวาพระผุ
เปนเจา มีอยูจากความมอี ยูของตัวเองและการเลือกทางจริยศาสตรข องตัวเอง จุดหมายปลายทางของ
จิตมนุษยคือการไปรวมกบั พระผูเปนเจา วิธีการจะไปรวมกับพระผูเปนเจาบุคคลมีเสรีภาพท่จี ะเลือก
ของตัวเอง ไมจําเปนตอ งใชวิธีการทางเทววิทยาและในการรวมกับพระผูเปนเจาน้ัน บุคคลยังตองเปน
ตัวของตัวเอง หรอื รักษาปจ เจกภาพของตัวเองไวไ ด๒
๓. ไฟรดรชิ นีทเช (Friedrich Nitzsche)
นีทเชรวมความคิดของคานท, โชเปนเฮาเออร และดารว นิ เขาดวยกนั เขาถือวาความแทจริงที่
ส้ินสุดคือเจตนจาํ นงอยางเดียวกับโซเปนเฮาเออร แตเจตนจํานงน้ันไมใชเจตจํานงเพอื่ มีชีวิตอยู (will
to live) หากเปนเจตนจํานงไปสูอาํ นาจ (will to power) นิทเชกลาววาสง่ิ ทคี่ นตองการไมใชเพยี ง
การรักษาตัวรอด แตเปนอํานาจอันย่ิงใหญ ตัวอยางของอํานาจเชนน้ันก็คือ ชัยชนะในการแขงขัน
ความสามารถท่ีทําใหผอู ่ืนรูสึกประทับใจ การสรางสรรคศ ิลปะ การเอาชนะเอกภพดวยปญญาของนัก
ปรชั ญา หรือการเอาชนะตวั เองของโยคี
นที เชปฏิเสธความสุขภายนอก ส่ิงที่คนตอ งการอยางแทจริงนั้นไมใชความสุข ถาความสุขนั้น
หมายถงึ ความปราศจากความทุกข คนเราเต็มใจสละความสุขและยอมทนทุกขเพือ่ อํานาจอันย่ิงใหญ
อํานาจใหความสขุ ใจอยางแทจริง แมจะคลุกเคลาไปกับความทกุ ขก็ตาม การแสวงหาความสุขชนิดนี้
๒ William S. Sahakian, ปรัชญาตะวันตกยุครวมสมัย (Outline History of Western
Contemporary Philosophy), เรียบเรียงโดย ดร.บุณย นิลเกษ, (เชียงใหม : ภาควิชามนุษยสัมพันธ คณะ
มนษุ ยศาสตรแ ละสงั คมศาสตร มหาวิทยาลยั เชยี งใหม, ๒๕๒๑), หนา ๑๖๘.
๒๘๑
ตองมีวินัยในตวั เองระดบั สูง เพราะเราจะมีอาํ นาจอันยิ่งใหญไมไ ด ถาเราปลอยใหกิเลสอยางสัตวปา
เขาครอบงํา ถาเราใชแรงกระตุนหรือตัณหาใหเปนประโยชน คือใชในทางสรางสรรค เราก็สามารถ
ยกระดบั ตัวเองใหเหนือสัตวปาและมศี ักด์ิศรีแหงความเปนมนุษย ผูบรรลุถึงสภาวะเชนนี้เรียกวาอภิ
มนุษย (superman หรือ ubermenscher) นิทเชเชื่อวาอภิมนุษยเชนน้ีเกิดข้ึนเปนครั้งคราวในอดีต
ความเหน่อื มนุษยของคนเหลานั้นไมไดข ึน้ อยูกับเชื้อชาติ แตจ ะมอี ยูทุกวัฒนธรรม
นีทเชเปน นกั อเทวนิยม เขาโจมตีคริสตศาสนาอยางรุนแรงวา ความสุภาพ การใหอภัย ความ
อดทนและความรักของพวกคริสเตียนไมมีอะไรเกินไปกวาความเกลียดชังที่แฝงเรน จึงไมกลาแสดง
ออกมาเปนอยางอื่นนอกจากความสุภาพ ความอดทนหรือความรัก การกระทําเชนนี้สืบเน่ืองมาจาก
พวกทาสในจักรวรรดิโรมนั ผูนับถอื คริสตศาสนากอนใคร ๆ นิทเชพูดถงึ การกบฏทางศีลธรรมของพวก
ทาส พูดถึงศลี ธรรมของทาสและศลี ธรรมของนายทาส
จรยิ ศาสตรของนทิ เชแตกตา งจากสองชนิดขา งตน กลาวคือแตกตางจากศีลธรรมของนายทาส
ตรงท่ีเขาประนามการไมยอมรบั นับถอื คนที่ดวยกวา เชนการปฏบิ ัติตอคนไรว รรณะตามกฎของพระมนู
เขาวิจารณศีลธรรมของคริสตศาสนาชนิดปากกับใจไมตรงกัน เชนความเกลียดชังท่ีแฝงเรน ความ
รษิ ยาคนท่ีเดน กวา และการแกแคน ทีแ่ ยกออกจากศรทั ธาในศาสนา
นทิ เชยังประณามความสงสารและความรักเพอื่ นบาน แบบครสิ ตศ าสนาดวย คริสตศาสนานั้น
แทนที่จะสอนใหค นทาํ วตัวใหส มบูรณซึง่ เปนงานหนกั กลบั สอนใหร ักเพือ่ นบา นซงึ่ เปน งานเบา และถือ
วาเปนความดีอยางย่ิงยวดแลว สวนคนสงสารที่นิทเชคัดคานนั้นเปนความสงสารตามสมมติฐานวา
ความทุกเปนความชว่ั ถา สงิ่ ท่ีคนตอ งการท่สี ดุ คอื อํานาจแลวความทุกขกเ็ ปนสิ่งจําเปนที่ตองประสบทัง้
ใน วิธีควบคุมตนเองท้ังในการดําเนินชีวิตแบบสรางสรรค เราไมควนแสดงความรักเพ่ือนบานดวย
ความสงสาร แตแสดงดว ยการชวยเหลือใหเขามีสภาพดีกวาเดิม ซ่งึ อาจทําไดดวยการบังคับเขา หรือ
ทาํ ตัวใหเ ดน กวา เขาในการแขง ขนั กัน
นิทเชก็เปนนักเหตุผลนิยม เหตผุ ลน้ันเองเปนเครื่องมือของเจตนจํานงไปสูอํานาจ และเปน
เครื่องมือพิเศษ ซึ่งถาขาดเสีย คนเราก็บรรลุถึงอํานาจหรือความสุขไมได ดวยเหตุผลเทานั้น เราจึง
สามารถใหตัณหาใหเปนประโยชน ถาเราใชตัณหาใหเปนประโยชนไมได เราก็ยังคงเปนสัตวปา คนที่
ขาดเหตุผลไมส ามารถใหตัณหาในทางสรางสรรค คนเชนน้ันตอ งตกเปนทาสของตัณหาหรือพยายาม
กําจัดตัณหาอยา งใดอยา งหนงึ่
นิทเชไดช ื่อวาเปนนักปรชั ญาอัตถภิ าวนิยม เพราะเขาถือวา บุคคลเปนส่งิ แทจริงบุคคลสามารถ
รูความแทจริงดวยตนเองและนําความแทจริงนั้นมาสัมพันธกับการกระทําท่ีใชความคิด ไมใชนํามา
สมั พันธก ับความคิดลว น ๆ เพราะความคิดข้ึนอยกู ับเจตนจ าํ นงหรอื การกระทาํ ๓
๓ อมร โสภณวเิ ชษฐวงศ, ผชู วยศาสตราจารย, ปรัชญาเบ้ืองตน, (กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง,
๒๕๒๔), หนา ๓๑๒-๓๑๕.
๒๘๒
๔. ดารล แจสเปอรส (Karl jaspers)
แจสเปอรสปฏิเสธภววิทยาในความหมายแบบเกา เขาถือวาเปนไปไมไดที่จะคิดวา เอกภาพ
ของโลกคอื ความเปนระเบยี บทางจติ ซ่ึงกลมกลืนกบั วิญญาณของโลก เพราะโลกเตม็ ไปดว ยความไมลง
รอย ความขดั แยง ความผดิ พลาด และความทุกข
แจสเปอรสถอื วาส่ิงที่มอี ยูมี ๓ ชนิดคือ สิ่งท่ีมีอยูทางประสาทสัมผสั ไดแกโลกทางวัตถวุ ิสัย
สิ่งทเ่ี ปนตัวของตัวเองไดแกบุคคลผูเช่ือมนั่ ในเสรีภาพและการตัดสินใจของตนเอง และส่ิงท่ีมีอยูดวย
ตัวเอง ไมขึ้นกับสิ่งใด ไดแกส่ิงสัมบูรณ ส่ิงท่ีมีอยู ๓ ชนิดน้ีเปลี่ยนสภาพกลับไปกลับมาไมได สิ่ง
สัมบูรณค รอบงาํ ท้งั โลกทางวัตถแุ ละโลกทางจิตปรัชญาพยายามนําบุคคลใหเขาถึงส่ิงสัมบูรณ เพราะ
บุคคลสามารถรวบกบั ส่ิงสัมบูรณไ ด
บุคคลเปนตัวของตัวเองแตตองเก่ียวของกับโลกเพราะบุคคลไมใชความแทจริงท่ีเหนือโลก
บุคคลพยายามจะรูและเขาถึงสิ่งสัมบูรณ การจะเขา ส่ิงสัมบูรณไ ดบุคคลตอ งพยายามเปลื้องตนเองให
พน จากโลก จดุ หมายปลายทางของจติ มนุษยก ็คอื การเขา ถงึ ส่งิ สัมบรู ณนี่เอง๔
๕. มารต นิ ไฮเดกเกอร (Martin Heidogger)
ไฮเดกเกอรถือวาเปนเน้ือแทของสิ่งทั้งหลายรูไดดวยสัญชาตญาณเนื้อแทกับความมีอยู
แตกตางกัน เมอ่ื เราถามถึงส่ิงใดส่งิ หน่งึ เราถามถึงเนื้อแทข องสิ่งนน้ั เมอื่ เราทราบวาสิง่ นั้นคอื อะไรแลว
เราอาจถามตอไปวาส่ิงน้ันมอี ยูจริงหรือไม นัดจิตนยิ มถอื วา ความมีอยูม มี ากอนเน้ือแท แตไฮเดกเกอร
ถอื วาเน้อื แทมีมากอนความมอี ยู
ไฮเดกเกอรถือวา ความมีอยูของมนุษยเปนส่ิงที่เปนไปได ลักษณะความมีอยูของมนุษยคือ
การเปนจิตที่มีสัมพันธภาพอยางแยกไมออกกับโลกและบุคคลอ่ืน สัมพันธภาพระหวางจิตกับโลกและ
บุคคลอื่นนน้ั ประกอบดนั เปน ความมอี ยขู องมนษุ ย
ความมอี ยขู องมนุษยเตม็ ไปดว ยความทกุ ข ความทกุ ขนั้นเกดิ มาจากความคดิ วาตัวเองจะตอง
ตายอยางหลีกเล่ียงไมได ความตายเปนจุดหมายปลายทางของความมีอยู ความตายไมใชเปนเพียง
ความไมมอี ะไร ไมใชเปนเพียงความไมมีอยู หากแตความตายเปนความแทจริงท่ีกําหนดไวแลว ความ
เปนอยูของมนษุ ยเ พอื่ ความตาย
บุคคลเปลื้องตัวเองใหพน จากความทุกขเพราะความกลัวตาย ไดดว ยการปฏิบัติจริยธรรมให
จติ พน จากโลก ดวยการไมอาศยั บุคคลอ่นื โดยเกยี่ วขอ งกับบุคคลเหลานั้นทางจิตเทานั้น และเม่ือการ
๔ พชิ ิต เฟอ งอารมณ, ประวตั ปิ รชั ญา, (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พท อ งถ่ิน, ๒๕๒๘), หนา ๔๔.
๒๘๓
ไตรตรองถงึ ความตายอยา งลกึ ซ้งึ จนพนไปจากความเปนอยูชั่วขณะ กลาวโดยสรุปบุคคลจะพนทกุ ขไ ด
ดว ยการทําจติ ใหพ น จากโลก ใหพนจากบุคคลอ่ืนและใหพ นจากความเปนอยูข องตวั เอง๕
๖. กาเบรยี ล มารเชล (Gabriel Marcel)
ปรัชญาของมารเชลวาดวยความคิด กลาวคือเปนการสรางเอกภาพระหวางการมีอยูกับ
ความคิด ไมใชเปนการยกความคิดข้ึนสูระดับนามธรรม การคิดปรัชญาของมารเชลเปนการสราง
ความคดิ ทีเ่ ปน ปรัชญา ไมใ ชส รา งระบบปรัชญา
สาระสาํ คญั ในปรัชญาของมารเชล คอื การเขา ถึงพระผุเปนเจาและการออนวอนพระผูเปนเจา
คนเรานนั้ ตอ งอาศยั โลก การท่เี รามรี างกายข้นึ ในโลกทาํ ใหเ รามีจิตขึน้ มาดวย ความคิดปฐมภูมิเก่ียวกับ
ความมอี ยูของคนเราไดเ ลอื นลางไป เราจงึ ฟนขน้ึ ดว ยความทุติยภูมิ ปนะสบการณเกา ท่สี ําคัญคือการท่ี
เรามีรา งกายข้ึนมาอยูร ว มกับสง่ิ ตาง ๆ ในโลก ความคิดทุติยภูมชิ วยใหเรารูความมอี ยูของรา งกายและ
ความมอี ยขู องโลก
เราเกี่ยวของกับรางกายของเราอยางไรนั้นมารเชลถือวาไมใชปญหา แตเปนความลึกลับ
ปญหากับความลึกลับแตกตางกัน ความลึกลับคือประสบการณที่อธิบายไมไ ด ไมใชพน ประสบการณ
ไป ในประสบการณนั้น จิตกับวัตถปุ ระสานกันอยางแยกกันไมไ ด คําสอนวาดวยความลึกลับของมาร
เชลคือการฟน ประสบการณเ กา ทเี่ ลือนลางไปใหกลับคืนมา ประสบการณเลือนรางไปกับความคดิ ปฐม
ภูมิ จึงตองอาศัยความคิดทุติยภูมิฟนประสบการณท่ีเลือนลางไปน้ันใหกลับมาเปนเอกภาพทาง
รูปธรรมระหวางความคดิ กบั ความมอี ยู
มารเชลถือวา มีความแตกตางกนั ระหวา งสิ่งทเี่ ราเปน กบั สิง่ ทเ่ี รามี เรามีอาํ นาจเหนือส่ิงที่เรามี
และสามารถกําจัดส่ิงทเ่ี รามเี สียไดแตส่ิงที่เปน เรากําจัดไมไ ด เพราะเราเปนส่ิงจํากัด ส่ิงทเ่ี ราเปนสูง
กวา ส่ิงที่เรามี
มารเชลเชื่อวา พระผูเปนเจาไมตองการใหเรารักพระองคเกินไปกวาส่ิงที่พระองคสราง แต
ตอ งการใหเ ราสรรคเ สรญิ พระองคผานสิ่งท่พี ระองคส รา ง การท่เี ราเปนผูช วยใหเราเขา ถึงพระผูเปนเจา
และบรรลคุ วามหลุดพน การเขา ถึงพระผเู ปน เจา และความหลุดพนคือการพน ไปจากประสบการณตรง
ไปสคู วามลึกลับหรือความโดดเดย่ี วทางจิต๖
๕ สมัคร บรุ าวาศ, วชิ าปรัชญา, (กรุงเทพฯ : แพรวิทยา, ๒๔๙๕), หนา ๘๐.
๖ ชัยวัฒน อัตพัฒน, ปรัชญาตะวันตกรวมสมัย, พิมพครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรัชญา คณะ
มนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๒๒), หนา ๔๓.
๒๘๔
๗. ชงั ปอล ชารต (Jean Paul Sartre)
ชารตถือวา ความเปนตัวของตัวเองกับความมีอยูดวยตัวเองแตกตางกัน ความเปนตัวของ
ตวั เอง หมายถงึ ความเปนอนั หน่ึงอันเดยี วกับตวั เองหรือตัวเราเอง ความมีอยูดวยตัวเองหมายถึงสง่ิ ที่
เรารูไดด ว ยจิต
สาระสําคัญในปรัชญาของชารตคือเสรีภาพ ในฐานะที่เราเปนบุคคลผูรูสํานึก เรายอมไมเปน
ตัวของตัวเองอยางเฉยเมย เรายอยสรางคุณคาและมีความรับผิดชอบตอโลก โดยเลือกสรรส่ิงท่ีดี
สาํ หรับตวั เองและสาํ หรับโลก ปรัชญาของชารตเปนเทวนิยม เขาถือวาพระผูเปนเจาไมจําเปนสําหรับ
ความมีอยขู องบคุ คล และเสรีภาพของบคุ คล
ชารต ถือวา พระผูเปน เจา ไมไ ดส รา งคณุ คา แตตัวเราเองเปนผูสรางคณุ คา แตเดมิ น้ันชีวิตไมม ี
ความหมาย เราเปนผูใหความหมายแกชีวิตเอง และคุณคาน้ันก็คือความหมายท่ีเราให จุดหมาย
ปลายทางปรชั ญาของชารตคอื ตอ งการใหจิตมนุษยพนจากความคดิ พนจากประสบการณและพนจาก
พระผูเปนเจา ไปสูความวา งหรือความไมม ีอะไรทงั้ สิ้น๗
๘. ปฏิฐานนิยมทางตรรกวทิ ยา
นักปฏิฐานนิยมทางตรรกวิทยาปฏิเสธอภิปรัชญาโดยกลาววา ขอความทางอภิปรัชญาไร
ความหมาย เพราะขอความข้ันตนทุกอยางยอมลอกเลียนแบบขอเท็จจริงจากประสบการณอยาง
เดยี วกัน ขอ ความท่ีไมไดอ า งอิงถึงขอเทจ็ จริงยอมไรความหมาย ขอความจะมีความหมายไดอยางนอย
ที่สุดตองอางอิงถึงขอเท็จจริงจากประสบการณและจะปรับปรุงแกไขก็ตอเม่ือไดรับทดสอบดวย
ประสบการณแ ลว
นักปฏิฐานนิยมทางตรรกวิทยาแบงขอความออกเปน ๒ ชนิด คอื ขอความเชิงวเิ คราะห และ
ขอความเชิงประสบการณ ขอความในคณิตศาสตรและตรรกวิทยาเชิงรูปแบบเปนขอความเชิง
วิเคราะห ขอความเชิงประสบการณทดสอบไดดวยประสบการณ ขอความเหลาน้ีมีความหมาย เชน
ขอ ความวา “ฝนตก” ทดสอบไดโดยตรงดวยประสบการณ ขอความทางประวัติศาสตรทดสอบไดโดย
ทางออม ขอความเชิงประสบการณ จะทดสอบไดโดยตรง หรือโดยออมก็ตามยอมมีความหมาย
ขอความทางอภิปรัชญาวาดวยสิ่งท่ีพน ประสบการณ เชนอตั ตาพระผูเปนเจา อนาคต ชีวิตเปนตน ไร
ความหมาย เพราะพน ประสบการณ ทดสอบดวยประสบการณโดยตรงหรือโดยออมไมไ ด๘
๗ กีรติ บุญเจอื , ปรชั ญา, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๙), หนา ๘๐.
๘ อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ผชู วยศาสตราจารย, ปรชั ญาเบ้ืองตน , หนา ๓๑๙-๓๒๐.
๒๘๕
ขอความเกีย่ วกบั โครงสรางของโลก ปรมาณู ความรอน แสงสวางเปนตนอยูในขอบเขตของ
วิทยาศาสตร ปรัชญาไมใชประมวลความรูทางวิทยาศาสตร หนาท่ีของปรัชญาคือการวิเคราะห
ความคิดรวบยอดทางปรัชญาและอธิบายความหมายใหก ระจา ง วิธีของปรชั ญาคอื การวเิ คราะหภาษา
ปรัชญาคือตรรกวิทยาวาดวยวทิ ยาศาสตร ปรัชญาวิเคราะหก ารแสดงออกของวทิ ยาศาสตรใน
เชิงภาษา และพิจารณาความหมายของการแสดงออกเหลานั้น ตรรกวิทยาเชิงรูปแบบเปนอีกสาขา
หนึ่งของปรัชญา ซ่ึงศึกษารูปแบบการแสดงออกทางภาษา ภาษาศาสตรวาดวยความหมายเปนอีก
สาขาหนึ่งของปรชั ญา ซงึ่ ศกึ ษาสัมพนั ธภาพระหวา งการแสดงออกทางภาษากบั วัตถุที่หมายถึง
๒๘๖
สรุปทายบท
ลกั ษณะทัว่ ไปของลัทธิอตั ถภิ าวนยิ ม
๑. สรางในดา นความคิด โดยใชวิธกี ารทางจติ วทิ ยา ประสบการณ หาทางวิเคราะหความทุกข
ความหมดหวงั และอ่นื ๆ พรอมอธิบายความหมายของสิง่ นนั้
๒. เนนที่ตัวบุคคลและประสบการณของบุคคลในชีวิต โลกและสังคม บางทีเช่ือในพระเปน
เจา ไมเ นนหาความเปนจริงในอาํ นาจของพระเปนเจา บางทีก็ไมเชื่อในพระเปนเจาแตกไ็ มไดลบหลูดู
ถูก เพราะเนนท่ีตัวบุคคลผูประพฤติปฏิบัติ พวกนี้ไมไดคนหาธรรมชาติของโลกหากพยายามหา
ความหมายของโลก วิวัฒนาการของโลก โดยเนนทเ่ี สรีภาพของแตล ะบุคคลแมแตการเขาถงึ พระเปน
เจากไ็ มไ ดย ดึ เทวะวิทยา
๓. เน่ืองจากมนุษยเปนความแทจริงเชิงจิตวิสัย โดยเชื่อวาจิตสําคัญกวารางกายสามารถคิด
สามารถสรางสรรค มศี ักยภาพ มเี สรภี าพ เปนสภาวทีแ่ ทจ รงิ ตางจากสสาร
๔. อัตถิภาวนิยมเกิดจาแรงผลักดันทางศีลธรรมและศรัทธาในจริยศาสตร วาบุคคลยอมมี
คณุ คา มคี วามดอี ยูในตน ปจ จุบนั เปนเวลาของปจ เจกชนจะสรางความดี
๕. เชอ่ื มั่นอยูกับนักปรัชญาผสู รา งลัทธิ ถาผสู รางลัทธิมสี ติปญญาลึกซงึ้ ปรัชญาทเี่ ขาสรางขึน้
ยอ มลึกซง้ึ ดวย ถา นักปรัชญามีสตปิ ญญาไมส มบูรณ ความคิดการสรางสรรคของเขายอมไมสมบูรณไ ป
ดว ย
๖. เนนในการมองโลกในแงรา ย เนอ่ื งจากการเนนในเร่ืองความกลัว ความหมดหวังและความ
ทุกข แลวพยายามตอสเู พอื่ เอาชนะความไมดเี หลาน้ัน ไมใชปลอยชีวิตใหไปตามเวร ตามกรรมเหมือน
คนส้ินหวัง
๗. เนนเสรีภาพของบุคคลเปนสําคัญ รางกาย โลก สังคม ความเปนมาของโลก แมแต
วัฒนธรรม อารยธรรม ก็ไมสามารถกําหนดความมีอยูของมนุษยได ทุกคนสามารถท่จี ะเลือกอุดมคติ
ของตนเอง เพราะอุดมคติเปนเปาหมายของชีวิต คนเราจึงสามารถที่จะเลือกเปนอะไรก็ไดถาคนอ่ืน
เลือกใหก็เทากับบีบบังคับไมใหเขาเปนมนุษย การมีชีวิตเชนนั้นก็เหมือนกับเขาขาดสาระความเปน
มนษุ ยน ่ันเอง เทากบั เขาเปน โมฆบุรุษทใ่ี ชชีวิตอยใู นโลกโดยไมม ีคา
ทรรศนะของพวกอัตถภิ าวนยิ ม มดี งั น้ี
๑. ไมเ ช่ือวา ความดี ความชั่วมมี ากอ นท่ีมนษุ ยส รางขึ้น
๒. ในดานจริยศาสตรแ ละสงั คมจะอาศยั ธรรมชาติเปน สําคญั ซงึ่ ธรรมชาตจิ ะดีหรือช่ัวบุคคลมี
เสรภี าพสรา งสรรคไดท ั้งน้ัน
๓. ในดานความรูจ ะตองอาศยั ประสบการณข องแตล ะบุคคลที่มอี ยูและถอื วาเปน คุณคายงิ่ นัก
๔. ในดานความจรงิ อตั ถภิ าวนยิ มเชือ่ วา บคุ คลจะเขา ถึงไดดวยเชาวนปญ ญา
๒๘๗
เอกสารอางอิงประจําบท
กรี ติ บุญเจือ. ปรัชญา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๙.
ชัยวัฒน อัตพัฒน. ปรัชญาตะวันตกรวมสมัย. พิมพครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรัชญา คณะ
มนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๒๒.
บุญมี แทน แกว, ผชู ว ยศาสตราจารย. ปรชั ญาตะวันตกรว มสมัย. กรงุ เทพฯ :สํานักพิมพโอเดียนสโตร,
๒๕๔๘.
พิชติ เฟอ งอารมณ. ประวัติปรชั ญา. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พท อ งถ่นิ , ๒๕๒๘.
สมัคร บรุ าวาศ. วชิ าปรัชญา. กรงุ เทพฯ : แพรว ทิ ยา, ๒๔๙๕.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ผูชวยศาสตราจารย. ปรชั ญาเบ้อื งตน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาํ แหง,
๒๕๒๔.
William S. Sahakian. ปรัชญาตะวันตกยุครวมสมัย (Outline History of Western
Contemporary Philosophy). เรียบเรียงโดย ดร.บุณย นิลเกษ. เชียงใหม : ภาควิชา
มนุษยสมั พนั ธ คณะมนษุ ยศาสตรแ ละสังคมศาสตร มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม, ๒๕๒๑.
บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย
กีรติ บุญเจือ. ตรรกวิทยาทั่วไป. พิมพค รงั้ ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๑๘.
. ปรชั ญา. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๑๙.
. ปรชั ญากรกี ระยะกอ ตวั ทอี่ ิตาลี. กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๑๙.
. ปรชั ญาเบอื้ งตน และ ตรรกวทิ ยาเบอื้ งตน . กรุงเทพฯ : ผดุงวทิ ยาการพมิ พ, ๒๕๑๒.
. ปรชั ญาศิลปะ. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพิมพไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๒.
คณู โทขันธ. ปรชั ญาเบ้ืองตน. ขอนแกน :ภาควิชามนุษยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร,
๒๕๒๗.
จํานง ทองประเสริฐ. ตรรกศาสตร ศิลปะแหงการนิยามความหมายและการใหเหตุผล. พิมพครั้งท่ี
๑๑. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยา, ๒๕๓๘.
. ปรชั ญาประยุกต ชุดตะวนั ตก. กรุงเทพฯ : ตนออ แกรมม่ี จํากดั , ๒๕๓๙.
. ปรัชญาประยกุ ต ชุดอนิ เดยี . กรุงเทพฯ : ตน ออ แกรมม่ี จาํ กัด, ๒๕๓๙.
ชัยวัฒน อัฒพัฒน. จริยศาสตร. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง, ๒๕๒๓.
. ปรัชญาตะวนั ตกรว มสมัย. พิมพค รั้งท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : ภาควชิ าปรชั ญา คณะ มนุษยศาสตร
มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๒๒.
ชูศักดิ์ จริ ะวัฒน. สนุ ทรียทางทศั นศลิ ป. กรุงเทพฯ : วิทยาลัยครูบา นสมเดจ็ เจา พระยา, ๒๕๓๐.
ฌอง-ฟรองซัว เรอเวล และ มัตติเยอ ริการฺ ภิกษุกับนักปรัชญา บทสนทนาพุทธศาสนา-ปรัชญา
ตะวันตก. แปลโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ. พิมพคร้ังที่ ๓. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพออรคิด,
๒๕๔๕.
ทวีเกยี รติ ไชยยงยศ. สุนทรยี ะทางทศั นศิลป (โครงการตําราคณะศิลปกรรมศาสตร สถาบนั ราชภฏั
สวนดุสติ ). กรุงเทพฯ : พิมพลักษณ, ๒๕๓๘.
ทองหลอ วงษธ รรมา, รศ., ดร. ปรัชญาท่ัวไป. กรงุ เทพฯ : สํานักพมิ พโ อเดยี นสโตร, ๒๕๔๙.
. รองศาสตราจารย ดร. ปรัชญาจนี . กรงุ เทพฯ : สํานกั พิมพโอเดยี นสโตร, ๒๕๓๘.
บุญมี แทนแกว, ผูชวยศาสตราจารย. จริยศาสตร (ETHICS). พิมพครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.
พรนิ้ ติง้ เฮาส, ๒๕๕๐.
. ปรชั ญาตะวนั ตกรว มสมยั . กรุงเทพฯ :สํานกั พมิ พโอเดียนสโตร, ๒๕๔๘.
. ปรชั ญาฝายบุรพทิศ. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร, ๒๕๔๕.
. ปรชั ญาตะวนั ตก(สมยั ใหม) . กรุงเทพฯ :สํานักพิมพโอเดียน สโตร, ๒๕๔๕.
๒๙๐
บุญมี แทนแกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธ์ิกลางดอน. ปรัชญาเบ้ืองตน (ปรัชญา
๑๐๑). กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พโ อเดยี นสโตร, ๒๕๒๙.
บณุ ย นลิ เกษ. ปรชั ญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : สํานกั พมิ พแพรว ิทยา, ๒๕๒๕.
ประทปี มากมติ ร. ตรรกวิทยาเบอ้ื งตน . กรุงเทพฯ : โรงพิมพม หาวทิ ยาลัยเอเชียอาคเนย, ๒๕๔๓.
ปรชี า ชางขวญั ยนื . การใชเหตุผล. กรงุ เทพฯ : มิตรสยาม, ๒๕๕๒.
ปานทิพย ศภุ นคร. ปรัชญาเบอื้ งตน . กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคําแหง, ๒๕๔๒.
พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตโต). การพัฒนาที่ยง่ั ยืน. กรงุ เทพฯ : มูลนธิ ิพทุ ธธรรม, ๒๕๓๙.
พระพิทักษณิ คณาธิกร. ปรัชญา. กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพดวงแกว , ๒๕๔๔.
พระมหาบรรจง สริ ิจนโฺ ท. ปรัชญาจีน-ญ่ปี นุ . ขอนแกน : คลงั นานาวทิ ยา, ๒๕๔๔.
พชิ ิต เฟอ งอารมณ. ประวัตปิ รชั ญา. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พทองถิ่น, ๒๕๒๘.
พินิจ รัตนกุล, ดร. ปรัชญาชวี ิตของโสเครตีส. นนทบุรี : วิทยาลยั ศาสนศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหิดล,
๒๕๔๗.
แพทริค, จ.ี ที.ดบั บลิว. Introduction to Philosophy (ปรัชญาเบ้อื งตน ). แปลโดย กรี ติ
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ. ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๓๑. กรุงเทพฯ :
สํานกั พิมพอักษรเจริญทศั น, ๒๕๒๕.
วิชิต ดารมย, ดร. นับต้ังแตโ สเครตีส. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พร้นิ ตง้ิ เฮาส, ๒๕๓๗.
วิทย วิศทเวทย. ปรชั ญา. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๑๓.
. ปรชั ญาทั่วไป. กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พอักษรเจรญิ ทศั น, ๒๕๒๕.
วิทยา ศักยาภินันท, รองศาสตราจารย ดร. ตรรกศาสตร ศาสตรแหงการใชเหตุผล. กรุงเทพฯ :
สาํ นักพิมพมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร, ๒๕๕๗.
วิโรจ นาคชาตรี, รศ. ปรชั ญาเบอื้ งตน. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคําแหง, ๒๕๕๒.
ศรณั ย วงศค าํ จนั ทร. ปรชั ญาเบ้อื งตน. กรงุ เทพฯ : อมรการพมิ พ, ม.ป.ป.
สกล นิลวรรณ. ปรัชญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรัชญาและศาสนา วิทยาลัยครูสวนดุสิต,
๒๕๒๒.
สดใส โพธิวงศ. ปรัชญาเบื้องตน. ขอนแกน : ภาควิชามนุษยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและ
สงั คมศาสตร มหาวิทยาลยั ขอนแกน, ๒๕๓๔.
สมัคร บุราวาศ. วิชาปรัชญา. กรุงเทพฯ : แพรว ทิ ยา, ๒๔๙๕.
สวัสด์ิ สุวรรณสังข. ปรชั ญาเบื้องตน . ภเู ก็ต : วทิ ยาลยั ครูภูเก็ต, ๒๕๒๙.
สุจิตรา ออนคอม, รองศาสตราจารย ดร. ปรัชญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรและ
สังคมศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ี, ๒๕๔๘.
๒๙๑
สุวัฒน จันทรจํานง, นายแพทย. ความเชื่อของมนุษย เก่ียวกับปรัชญา และศาสนา. กรุงเทพฯ :
สขุ ภาพใจ, ๒๕๔๐.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ผูชวยศาสตราจารย. ปรัชญาเบอ้ื งตน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง,
๒๕๒๔.
อองซก. ขงจอื๊ ฉบับปราชญช าวบาน. แปลโดย อธิคม สวสั ดิญาณ. กรุงเทพฯ :สํานักพมิ พเตา
ประยุกต, ๒๕๔๐.
ออนไลนจาก http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/philosophy_currious.htm เม่ือวันที่ ๒๕
พฤศจกิ ายน ๒๕๓๙.
ออนไลนจ าก https://www.jw.org/th/ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๙.
อารี สุทธพิ นั ธ. “จะสอนสุนทรียศาสตรก ันอยา งไร, ใน สุนทรียภาพ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพเจริญธรรม,
๒๕๒๐.
๒. ภาษาอังกฤษ
William S. Sahakian. Outline History of Western Contemporary Philosophy (ปรัชญา
ตะวันตก ยุครว มสมยั ). เรยี บเรยี งโดย ดร.บุณย นลิ เกษ. เชียงใหม : ภาควิชา มนุษยสัมพันธ
คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม, ๒๕๒๑.
Joad, C.E.M. Guide to Philosophy. U.S.A. : Dover Publication, 1957.
Randall and others. Philosophy : An Introduction. U.S.A. : Barnes & Noble, 1970.
Titus and others. Living Issues in Philosophy. 7th ed. New York : D. Van Nostrand,
1979.