๑๙๒
คนเราก็สามารถคิดในเรื่องพระเจาท่ีเพียบพรอมกวาตัว และยังเปนสิ่งนิรันดรได ดวยเหตุฉะน้ี
ความคิดที่เก่ียวกับส่ิงในคณิตศาสตร และความคิดเรื่องพระเจาตองเปนความคิดประเภทพิเศษ ที่
เรียกวา “มมี าแตก ําเนิด” โดยพระเจา นัน่ เองเปนผูมอบให
๖) เดการตถอื วา ขบวนการอนั เปนพน้ื ฐานท่ีจะชวยใหเราไดรับความรูทถ่ี ูกตอง มีอยู ๒ อยาง
คอื ความรูโดยอัชฌัตติกญาณ กบั การคิดหาเหตุผลแบบนิรนัย อชั ฌัตติกญาณ กค็ ือ การหย่ังรูที่เกิด
จากแสงสวางแหง เหตุผล ซง่ึ ความรทู ีไ่ ดมานั้นถูกตองและแนนอนทําใหเราหมดขอ สงสัยใด ๆ เชน ทุก
คนจะหย่ังรูด วยใจในความจริงท่วี า ตัวเขามอี ยู นั่นคอื เขาเปน ผคู ิด และทุกคนตระหนักดีวา สามเหล่ียม
คือ พื้นที่ที่ลอมรอบดวยเสนตรง ๓ เสนหรือมีผลก็ตองมีเหตุ เปนตน ซ่ึงการรูในส่ิงเหลานี้ไม
จาํ เปนตองอาศยั พยานหลกั ฐานใดมายืนยันวา มนั จริง สวนการคิดหาเหตผุ ลแบบนิรนัย คือ การทเ่ี รารู
เขาใจในความจริงอันหน่ึงโดยอาศัยความจริงเดิมท่ียอมรับกันแลววาแนนอนซึ่งไดกลาวมาแลวใน
หัวขอ เรอื่ งความเชือ่ รวมกันของนกั เหตุผลนิยม
๗) เมอ่ื เดการตไดทาํ การยืนยันวา มจี ิต หรือ วิญญาณ ซงึ่ มอี ยูในฐานะตัวคดิ แลว เขาก็อาศัย
ความจรงิ อันนี้เปนขอ อางเพอ่ื ทจ่ี ะพิสูจนความจริงของส่ิงอื่นตอไปคอื พิสูจนวา เมื่อเรารูแลววาตัวเรา
มอี ยูจริง สรรพส่งิ ท้ังหลายในโลกและพระเจาเลาก็มีอยูจริง การพิสูจนของเขาโดยสรุปก็คือ ใชการคดิ
หาเหตุผล หรือการเช่ือมโยงความคิดวา เม่ือเขาตองยอมรับวาตัวเองมีอยูเพราะมีความคิดแลว ก็
พบวา เขาไดม ีความคิดเก่ียวกบั พระเจาซึง่ มีธรรมชาติแตกตางไปจากตัวเขาอยางส้ินเชิง พระเจาเปน
“สิ่งแทจริงที่มีความไมจํากัด, ทรงเปนนิรันดร, ไมมีการเปลี่ยนรูป, เปนอิสระ, และมีอํานาจอัน
ย่ิงใหญ” ธรรมชาติของมนุษยตรงกันขามกับธรรมชาติของพระเจาเลยทีเดียว จึงเปนไปไมไดที่
ความคดิ นมี้ นุษยจะกอขน้ึ มาเอง จึงตอ งสรปุ วาพระเจาเองเปนผูประทานความคิดเกย่ี วกบั พระองคเอง
ใหมนุษย แสดงวาตองมีพระเจาอยูจริง ตอจากนี้เดการตก็ไดพิสูจนวาโลกและสรรพส่ิงท้ังหลายก็
จะตอ งมีอยู เพราะพระเจาเปนผูสรางข้นึ มา คือ ถาขอพสิ ูจนเกี่ยวกบั พระเจาสรุปลงวา มพี ระเจาแลว
กต็ องมีสง่ิ ท่ีพระองคส รา งดว ย
เห็นไดว า กระบวนการพสิ ูจนของเดการตตั้งแตเรื่องจิต พระเจา และโลก รวมทั้งสรรพสิ่งนั้น
เปนการพิสูจนโดยการเชื่อมโยงความคิด หรือเปนการใชสติปญญาหาเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา
ดังน้ันในที่สุด การที่เดการตเช่ือวาสิ่งตาง ๆ ในโลกมีอยูจริงน้ัน มิใชเพราะเราเห็นหรือไดกลิ่น หรือ
ผานประสาทสัมผัสใด ๆ แตความคิดตามเหตุผลทําใหเช่ืออยางนี้ น่ีเปนลักษณะของเหตุผลนิยมท่วี า
ความรูที่เกดิ จากความคิดเทานน้ั ที่ใหความจรงิ แท
๑.๒ ลทั ธิประจกั ษนยิ ม หรอื ประสบการณนิยม (Empiricism)
นักปรัชญาประจักษนิยมคนสําคัญคือ จอหน ลอค (John Lockc) และเดวิด ฮูม (David
Hume) ซึง่ จัดเปนนักปรัชญาในยุคใหม โดยทั่วไปลัทธิประจักษนิยม หรือประสบการณนิยม มีความ
๑๙๓
ขดั แยง กบั ลทั ธเิ หตผุ ลนยิ มในเร่อื งบอ เกดิ แหง ความรูทแ่ี ทจ ริงแตวา ทัศนะทางประจักษนิยมของจอหน
ลอค น้ัน สมควรจะกลาววาเปนเพียงแนวโนมเทาน้ัน เพราะวาเขายอมรับวาความรูตองเกิดจาก
ประสบการณ แตขณะเดียวกันก็ยอมรับความรูท่ีเกิดจากเหตุผล คือ เน้ือหาของความรูไดมาจาก
ประสบการณท างประสาทสัมผสั ก็จริง แตเขากไ็ มไดยืนยันวาความรูทกุ อยางตองพบในประสบการณ
เทาน้ัน สวนเดวิด ฮูม นั้น นับวาเปนผูสมควรจะถือวาเปนนักประจักษนิยมมากที่สุดเขาไดผลักดัน
ทัศนะทางประจักษนิยมของเขาไปอยางสูงสุด จนกระทั่งเปนพวกที่เรียกวา “วิมัตินิยม”
(skepticism)๕
ไดก ลาวมาแลว วา ลัทธิน้เี นนความสําคัญของประสบการณวาเปนบอเกิดหรือที่มาของความรู
ดังนั้นกอนที่จะเขาถึงใจความสําคัญของลัทธิก็ควรที่จะทําความเขาใจหรือพิจารณาถึงคําวา
“ประสบการณ” ท่ีใชก ันอยูท ่วั ไปนนั้ วา มีความหมายอยางไรไดบ า ง๖
๑. ความหมายคําวา “ประสบการณ” บางคนใหความหมายคําวา “ประสบการณ” อยาง
แคบ ๆ วาหมายถงึ การมผี สั สะ (sensation) หรือความรูสึก (feeling) ซึ่งเปนการย้ําในเรื่องของส่ิงเรา
และการตอบสนองดวยความรูสึกเทานั้น ความหมายดังกลาวน้ีไดตัดเอาเรื่องของส่ิงใดก็ตามท่ีไดมา
จากความสามารถในการจนิ ตนาการ และการสรางความคิดรวบยอดของคนเราออกไป จึงทําใหความรู
หมายถึงแตเ พยี งแตสิ่งที่โลกภายนอกเติมใสใหกบั มนุษยเทาน้ันเอง และกิจกรรมทางจิตหรือการคิดก็
เปน ส่ิงทมี่ คี วามสาํ คญั ในอันดับรองลงมา คือเปนเพยี งตัวจัดการผัสสะเทา น้ัน ดังน้ัน จึงตีความการคดิ
วาเปนเพียงความรูสึกอยางหน่ึง แตอันที่จริงแลวนักประจักษนิยมสวนใหญไหความหมาย
ประสบการณไ วกวางขวางกวาความหมายท่เี ปนเพียงผัสสะหรือความรูสึก ประสบการณคืออะไร ลอง
พจิ ารณาดวู าประสบการณทีใ่ ชกนั ในความหมายตา ง ๆ น้นั มอี ะไรบาง
๑) ประสบการณ หมายถึง ความรู ความชํานาญ หรือขอมูลที่สะสมกันขึ้นมาในความหมายน้ี
ตองเก่ียวของกับ “ระดับ” ของสิ่งที่สะสมกันน้ันดวย ดังน้ัน ประสบการณของคนหนึ่งอาจมากกวา
หรือนอยกวา คนอน่ื ๆ โดยทั่วไปมกั คดิ กนั วาคนเราย่ิงมีประสบการณม ากข้ึนก็เทา กบั มีความรูมากข้ึน
ซึ่งก็ไมจําเปนวาส่ิงที่ไดรับมานั้นจะนําไปใชประโยชนไดดี ประสบการณในความหมายนี้บางทีก็
หมายถึง ประสบการณข องมนษุ ยโดยสว นรวม ไมใชม งุ เฉพาะประสบการณของใครคนใดคนหนึ่ง และ
ที่เรามักจะกลา วกนั วา “ประสบการณคือ ครูทดี่ ที สี่ ดุ ”
๕ คูณ โทขันธ, ปรัชญาเบื้องตน , (ขอนแกน :ภาควชิ ามนุษยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร,
๒๕๒๗), หนา ๔๖.
๖ ทองหลอ วงษธรรมา, รศ., ดร., ปรัชญาท่ัวไป, (กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พโอเดียนสโตร, ๒๕๔๙), หนา
๑๐๑-๑๐๒.
๑๙๔
๒) ประสบการณใ นความหมายที่เปน คุณสมบัติของอารมณหรือความรูสึก เชน “เมอ่ื วานน้ี
ขณะทีเ่ ดนิ ทางกลับบา น ฉนั ไดรบั ประสบการณทต่ี ื่นเตนมาก” ประสบการณใ นความหมายน้ี หมายถงึ
การตอบสนองในทางจิตวิทยา ซึ่งไมเกี่ยวของกับ “ระดับ” เพราะไมอาจกลาวไดวา ใครมี
ประสบการณมากกวาหรือนอ ยกวา ใครแตกลา วไดว า แตล ะคนมีประสบการณท ี่ “ตางกัน”
๓) ประสบการณในความหมายที่เปน “ความสํานึก” (consciousness) บางคร้ัง
ประสบการณ หมายถงึ การรูสึกตัว การมีสํานึก การมสี ํานึกในส่ิงใดส่ิงหนึ่งกค็ ือ การมีประสบการณ
นั่นเอง ประสบการณในความหมายนี้จะรวมเอาท้ังการมีผัสสะ และกิจกรรมทางจิตท้ังหมดไว
สว นมากมักจะใหค วามหมายการมีประสบการณใ นบางส่ิง โดยอางถึงแตวา เปนการที่จิตคุนเคยกบั ส่ิง
น้ันโดยตรงในคร้ังแรกที่ไดรับผัสสะมา แตในความหมายดังกลาวน้ีรวมถึงความคิดของตัวผูรับ
ประสบการณดวย
๔) ประสบการณในความหมายท่ีเปนการสังเกตอยางรอบคอบ เชน จากขอความวา
“วิทยาศาสตร ตองอาศัยประสบการณ” (Science resorts to experience) อาจมีความหมายวา
ประการแรก วิทยาศาสตรตองใชการสังเกตเปนวิธีการในการตัดสินความจริงของทฤษฎีตาง ๆ หรือ
กลาวอีกนัยหนึ่ง วิทยาศาสตรไมไดใชแตเพียงเหตุผล ยังตองใชประสบการณคือ การสังเกต ซ่ึงการ
สังเกตน้ไี มใชเปน การทํางานของผสั สะทเ่ี ฉอ่ื ยชาธรรมดา ๆ แตหมายถงึ การกระทําอันเปนขบวนการที่
ทาํ โดยเจตนาและต้ังใจ ประการทสี่ อง หมายถงึ สิ่งที่เกดิ ขึ้นเปนกรณีพิเศษของการตอบสนองในทาง
จิตวิทยา คอื เปน การใชเทคนิคของการสังเกตอยางเปนระบบและรูตัว ฉะนั้น ประสบการณในแงน้ีจะ
ไมใชข อมลู ทีเ่ กดิ ข้นึ ในเวลาทีก่ ําหนด แตเปนนิสยั ท่ีอาจจะมีอยูต อ ไปในเวลานานเทา ใดก็ตาม เชน การ
ทดลองในทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการเรียนรู ซึ่งเปนการสรางนิสัยในแบบตาง ๆ ของสัตวทดลอง
ความหมายทง้ั สองนต้ี องเกี่ยวขอ งกับสภาวะทางจติ ดว ย
๕) ประสบการณในความหมายท่ีเปนโลกของขอเทจ็ จริง มีบางคนไมเ ห็นดวยกับการตีความ
ประสบการณจากขอความที่วา “วิทยาศาสตรตองอาศัยประสบการณ” ในขอที่ ๔ เพราะเปนการ
ยอมรับวามีเร่ืองกิจกรรมของจิตมาเก่ียวของดวยเพราะท่ีจริงวิทยาศาสตรไมไดสนใจในสมรรถภาพ
ของจติ หรอื กจิ กรรมของจิตใด ๆ แตวิทยาศาสตรส นใจในบางสิ่งที่อยูภายนอกตัวคนเรา และเปนส่ิง
ที่มีอยูจริง น่ันคือโลกของขอเท็จจริง หรือพูดใหชัดก็คือธรรมชาติอันเปนแหลงกําเนิดของ
ปรากฏการณทั้งหลาย ดังนั้น ประสบการณในฐานะที่เปนโลกของขอเท็จจริง จะเปนส่ิงที่มีอยูกอน
แลวและไมใชสิง่ ทค่ี วามสํานกึ ของคนสรางข้นึ มา
๖) ประสบการณในความหมายท่ีเปนความสัมพันธ หรือ การกระทบกระทั่งกัน
(interaction) ถา กลาวกันอยางจริงจังแลว คําวา “ประสบการณ” ไมควรจะถูกจํากัดดวยความหมาย
ใดความหมายหน่ึง เปนไปไดท่ใี ครอาจจะชอบความหมายใดมากกวาความหมายหนึ่ง เปนไปไดท่ใี คร
อาจจะชอบความหมายใดมากกวาความหมายอ่ืน ๆ แตในทางปรัชญาแลว ก็ไดมีความพยายามท่ีจะ
๑๙๕
จัดกรอบคาํ จํากัดความท่ีสามารถรวมเอาความหมายตาง ๆ เขา ดวยกนั น่ันคอื ประสบการณน ้ันนาท่ี
จะเปนความสัมพันธระหวางอินทรียมีชีวิตกับส่ิงแวดลอม ประสบการณเปนขบวนการของการ
กระทบกระท่ังระหวางส่ิง ๒ ส่ิงนี้ จิตท่ีเปนผูมีประสบการณน้ันไมใชจิตธรรมดา แตเปนจิตทมี่ ีความ
กระตือรือรน, มีการตัดสินใจเลือกและมีการสงสัย อีกประการหนึ่ง ประสบการณไมใชโลกของ
ขอเท็จจริงธรรมดา แตเปนโลกที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไมห ยุดนิ่ง และถูกตรวจสอบ ในทศั นะ
เชนนี้ กิจกรรมทางวิทยาศาสตรกค็ ือ ประสบการณชนิดหนึ่ง คือเปนการมปี ฏิกริ ิยาโตต อบซึ่งกันและ
กันระหวาง จิตที่มองในแงวิทยาศาสตร กับส่ิงแวดลอมที่มองในแงวิทยาศาสตรเชนกันดังนั้น จาก
ทัศนะดังกลาว เราก็สามารถกลาวถึงประสบการณในแงตาง ๆ ซึ่งเปนวิทยาศาสตรได เชน
ประสบการณทางศาสนา, ประสบการณทางสังคม และประสบการณทางศลิ ปะ เปนตน และยังเปน
การบงบอกวา ประสบการณเปนหนวยหน่ึงของ “ความคิด” ของจิต การตีความเชนนี้ไดรวมเอา
ความหมายของประสบการณในความหมายตาง ๆ ท่ีกลาวมาแลว ไวดวยกนั คอื รวมเอาความหมายที่
เปนการสะสมความชํานาญหรือขอ มูลตาง ๆ ท่ีกลาวมาแลวไวดวยกนั คือ รวมเอาความหมายท่ีเปน
การสะสมความชาํ นาญหรอื ขอ มูลตา ง ๆ (ขอ ท่ี ๑), ความหมายของการตอบสนองทางจิตวิทยาซึ่งเปน
คณุ สมบตั ิของอารมณ ความรสู ึก (ขอท่ี ๒), ความหมายของความสํานึกหรือการรูสึกตัว (ขอที่ ๓) และ
ความหมายทเ่ี ปน โลกของขอ เทจ็ จริง (ขอ ที่ ๕)
๒. ขอคดั คา นของประจักษนิยมตอ เหตุผลนยิ ม
นกั ประจกั ษนยิ มไดแสดงขอ โตแยงความเชื่อพ้นื ฐานของนักเหตุผลนิยมไว ดังนี้
๑) ในเร่ืองท่เี กี่ยวกับหลักการอันแรก หรือ หลักท่ัวไปซงึ่ ใชในการอางเหตุผลแบบนิรนัย ซ่ึง
ลัทธิเหตุผลนิยมถือวาเปน “ความรูกอนประสบการณ” น้ันสําหรับฝายประจักษนิยมแลว หลักการ
ดังกลาวไมใชเปนความรูที่มีอยูกอนแลวแตเปนการคิดหาเหตุผลท่ีไดจากประสบการณ คือ เปนการ
รวบรวมขอเท็จจริงปลีกยอยท้ังหลายที่ไดจากประสบการณ แลวนํามาสรุปเปนหลักท่ัวไปข้ึนมา
ตัวอยางเชนหลักการที่วา “เหตุการณทุกเหตุการณ ตองมีสาเหตุ” เราสามารถรูวาทุกเหตุการณมี
สาเหตกุ โ็ ดยประสบการณเทา นั้น จรงิ อยูเ ราไมอาจตรวจสอบเหตกุ ารณทั้งหลายโดยไมจํากัดจํานวนได
วามนั มเี หตุหรอื ไม แตน ั่นกแ็ สดงดว ยวา เรากไ็ มอ าจจะรไู ดอ ยางแนใ จวาหลกั การนเ้ี ปนจริง หรือ ถาจะ
กลาววา เรารูด วยความม่ันใจรอ ยเปอรเ ซน็ ตว า เหตกุ ารณทกุ เหตกุ ารณท ี่เกดิ ขน้ึ ตองมีสาเหตุ การรูของ
เราตองไมใชรูเพราะเราไดหย่ังรูดวยจิตใจถึงธรรมชาติของส่ิงท้ังหลาย แตเราอาจรูวาขอความนี้จริง
โดยไมเกี่ยวกับประสบการณในความหมายท่ีวา มันอาจจะ “จริง” ก็ไดโดย “ความหมายหรือคํา
จาํ กดั ความ” ตา งหาก นั่นคือ คาํ วา “เหตกุ ารณ” (event) นั้น อาจหมายถึงบางส่งิ บางอยา งที่เกดิ ข้นึ
หรอื มกี ารเปลย่ี นแปลงบางอยา งบังเกดิ ขึน้ การทกี่ ลา ววา มีบางสิ่งเปลยี่ นแปลงก็หมายถงึ วา ส่ิงนั้นเปน
ผลของสถานการณท่ีแนนอนใดก็ตาม ซ่ึงอาจจะเรียกวา คือ “สาเหตุ” (cause) ดังนั้น จึงมีขออาง
ท่ัวไปตาง ๆ ทีร่ ูกันวาจริง โดยไมต องอาศัยประสบการณ แตขออางเหลานี้ไมใชความจริงเกี่ยวกับส่ิง
๑๙๖
ตาง ๆ หรือขอเท็จจริงทั้งหมด มันเปนเพียงความหมายหรือคําจํากัดความท่ีหลอกคนใหเขาใจผิด
เทา นั้น
๒) ดังน้ัน การคิดหาเหตุผลที่พวกประจักษนิยมยอมรับวาตองมากอนก็คือวิธีการคิดหา
เหตุผลแบบอุปนัย (Induction) สําหรับวิธีการนี้เราไมไดมีหลักการท่ีเปนพ้ืนฐานหรือหลักท่ัวไปท่ี
ยอมรับวา จรงิ แลวอยกู อนเหมอื นแบบนิรนัยแตเรามีขอมลู ยอย ๆ ซึง่ เรารูวาจริงโดยประสบการณข อง
เรา แลวเรานําความจริงของกรณีเฉพาะน้ีมาใชเปนขออางเพื่อยืนยันวา กรณีท่ัวไปตองจริงดวย
ตวั อยางเชนจากประสบการณเ รารูวา อีกาหลาย ๆ ตวั มสี ีดํา เราจงึ สรุปวา “อีกาทุกตัวมีสีดํา” อีกาแต
ละตัวที่เราไดเห็นมานั้น เปนขอ เทจ็ จริงยอย ๆ ทเ่ี ราใชเปนขออา ง หรือเปนหลักฐาน เพอ่ื จะยืนยันวา
อีกาทกุ ตวั มสี ีดาํ ซึ่งเปนความจริงสากล หรือความจริงทั่วไปทเี่ ก่ียวของกับประเภทของอีกา อยางไรก็
ตาม ขอสรุปน้ี เราจะถือวามีความแนนอน (Certainty) ตลอดไปไมได มันใหไดแตความนาจะเปน
(probability) เทา น้ันเพราะขอสรุปน้ีจะเปนจริงตราบเทาทีเ่ รายังพบเห็นอีกาทีม่ ีสีดาํ อยู แตเมอื่ ใดที่
เกิดไปพบอีกาท่ีไมมีสีดําข้ึน ขอสรุปน้ีก็จะตกไปทันที เราจะยืนยันไดเพียงวา “อีกาสวนมากมีสีดํา”
เทาน้ัน
สรุปแลววิธีการอุปนัยเปนการทเ่ี ราอาศัยขอมูลทีเ่ ราไดร ับมาจากประสบการณทางประสาท
สัมผัสอนั เปนเร่ืองของกรณเี ฉพาะ สรุปข้ึนเปนความจริงทว่ั ไป ดังน้ัน วิธีอปุ นัยจึงเปนการท่เี ราขยาย
ความจรงิ ของสงิ่ บางสงิ่ ไปสูท กุ สง่ิ พวกประจักษนิยมมิไดปฏิเสธวิธีการคิดหาเหตุผลแบบนิรนัยเสียเลย
การคิดแบบนิรนัยก็ใชได แตวาหลักการเบื้องตนที่เปนขออางนั้นจะตองไดมาจากประสบการณ คือ
เปน ขอ สรุปท่ีไดจากขอเท็จจรงิ ยอย ๆ เมอ่ื ต้งั เปน ความจรงิ ทัว่ ไปแลว กน็ ํามารใชเปนขออา งเพือ่ พสิ ูจน
กรณีเฉพาะตอ ไป มใิ ชเ ปนความรูทีม่ อี ยกู อ นประสบการณ หรือ เปนความคิดทมี่ ีมาแตกําเนิดดังที่พวก
เหตผุ ลนิยมอา ง
๓) พวกเหตุผลนิยมใหความสําคัญตอ “อัชฌัตติกญาณ”(intuition) วาเปนสิ่งหน่ึงที่ชวยให
คนเราไดรับความรูที่ถูกตอ ง ความหมายของคําน้ีสําหรับพวกเหตุผลนิยม กค็ ือ เปนการหยั่งรดู วยจิต
เขาไปสูความจริงอันเปนสากล โดยไมตองอาศัยประสบการณใดเลย นับวาเปนอัชฌัตติกญาณกอน
ประสบการณ แตสําหรับพวกประจักษนิยมมคี วามเห็นไมตรงกันในเร่ืองความหมายของคํานี้ คําวา”
อัชฌัตติกญาณ” หมายถึงการมีความรู เขาใจโดยตรงในความจริงที่งาย ๆ ธรรมดา ๆ ที่สุดของ
ประสบการณทางประสาทสัมผัส อัชฌัตติกญาณกอนประสบการณจะเปนหลักการทั่วไป เชน
“เหตุการณทุกเหตุการณมีสาเหตุ” สวนอัชฌัตติกญาณในแบบของประสบการณก็เชน “ส่ิงท่ีฉัน
มองเห็นในขณะน้ีมีสีแดง” หรือ “ฉันรูสึกเจ็บปวด” ซ่ึงเปนการตัดสินส่ิงท่ีเรากําลังประจักษอยูดวย
ประสาทสัมผสั โดยตรง และน้ีเองคอื ความจรงิ ทเ่ี รียบและงายที่สดุ ซึง่ จะเปน พนื้ ฐานของความรูในขัน้ ท่ี
ซบั ซอ นสงู ขึน้ ไป
๑๙๗
๔) พวกประจักษนยิ มปฏเิ สธเรือ่ ง ความรู หรอื “ความคิดท่ีมมี าแตกาํ เนิด” วา คนเราน้ันมไิ ด
มีความรูอยกู อนท่จี ะไดร ับประสบการณม า ดูอยางเด็กแรกเกดิ จะเห็นวาเด็กไมรูในเรื่องใดเลย แตเดก็
จะเร่ิมรูก็ตอเม่ือไดรับประสบการณจากประสาทสัมผัส เชน การเห็นแสง การใชมือสัมผัส ตอมาได
เรยี นรจู ากผูใหญ และไดร ับการศกึ ษาเลา เรียน ความรูจึงคอยสะสมมากข้ึน อกี ประการหน่ึง ถาคนเรา
มีความคดิ หรือความรูแตกําเนิดจริงแลว ความรูชนิดน้ีกต็ องมีเหมือนกันในทุก ๆ คน แตในความเปน
จริงปรากฏวาไมเปนเชนน้ัน อยางเรื่องความรูเกี่ยวกับพระเจา จะเห็นวาบางคนเชื่อวามีพระเจา แต
บางคนก็ไมไดเช่ือวาพระเจามีอยูหรือแมแตในกลุมท่ียอมรับวามพี ระเจาก็ยังคดิ แตกตางกนั ออกไปใน
รายละเอยี ดตา ง ๆ เชน คณุ ลักษณะของพระเจา ดังนั้นความรูทีม่ ีมาแตกําเนิดในเรื่องพระเจาจงึ ไมมี
หรือ ความรูเกยี่ วกับสิ่งในเรขาคณติ ก็เชนกัน อยางเชน วงกลม หรือ สามเหลี่ยมน้ัน การทจ่ี ะรูจักมัน
ไดจ ะตองผานหรืออาศยั การเขียนรปู สิ่งเหลานี้ขึน้ มาเสยี กอนจงึ เทา กับวาเราตองไดเห็นมนั หรือมันตอง
เปนประสบการณของเรากอน ถาจะสั่งใหเด็กเล็ก ๆ ที่ยังไมเขาโรงเรียนเขียนรูปวงกลมหรือ
สามเหล่ียมใหเราดูเด็กยอมจะทําไมได ดังนั้น ที่อางวาพวกเหลานี้เปนความคิดท่ีมีมาแตกําเนิดจึง
เปนไปไมไ ด
๓. นกั ประจกั ษนยิ มคนสาํ คญั : จอหน ลอค และ เดวดิ ฮมู
จอหน ลอค (๑๖๓๒ – ๑๗๐๔) ขอกลาวถงึ แนวความคดิ สําคัญของเขาเปน ขอ ๆ ดงั น้ี๗
๑) ลอค ถือวาสภาพจิตของมนุษยในตอนเริ่มแรกนั้นมแี ตค วามวางเปลาเหมือนกระดาษขาว
บริสุทธ์ิ ปราศจากความคิด ความรูใด ๆ ท้ังส้ิน ตอมาจิตของคนเราก็จะกลายเปนแหลงหรือคลังที่
บรรจุวัตถุของความรูและการคิดหาเหตุผลมากมายทั้งนี้เพราะสาเหตุจาก “ประสบการณ” ส่ิงเดียว
เทาน้ัน ดงั นั้น ความรูของคนเราต้ังอยูบนประสบการณ หรือ ประสบการณเปนแหลงแรกที่ใหความรู
แกเรา ความรทู กุ อยา งขอมลู ทั้งหลายเก่ียวกบั โลกภายนอกจึงมาจากประสบการณ
๒) ลอค อธิบายวา ประสบการณม ี ๒ ขัน้ คือ ก. ผัสสะ (sensation) และ ข. ภาพสะทอ น
(reflection) ผัสสะเปนการที่เรารับรูทางอวัยวะรับสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สวนภาพ
สะทอนเปนการคดิ และจัดการส่ิงตาง ๆ ทีเ่ ขามาภายในจิต สวนนี้เปนการทาํ งานของจิต เริ่มแรกน้ัน
เราไดรับประสบการณจ ากประสาทสัมผัส เมือ่ คนเราไดรับผัสสะเดียวกนั หลายครั้ง จิตจะคุนชิน และ
สรางเปน “ความคิดเชิงเดยี่ ว” (simple idea) ของผัสสะน้ันขึ้นมา เชน ความคดิ เชิงเดยี่ วของความ
หวานของน้ําตาล, กลิ่นของดอกกุหลาบสีขาวของดอกมะลิ แตความคิดเชิงเดี่ยวของผัสสะน้ีถือเปน
ตวั แทนของวัตถุภายนอก เชน เม่ือมวี ตั ถุรอนมากระทบกับผิวหนังของเรา กจ็ ะเกิดผัสสะรอน ผัสสะน้ี
จะถูกสงไปยังสมอง สมองก็จะสรางความคิดเชิงเด่ียวของความรอนข้ึนในจิต ซึ่งความคดิ น้ีไมใชวัตถุ
๗ สกล นลิ วรรณ, ปรัชญาเบ้ืองตน, (กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรัชญาและศาสนา วิทยาลัยครูสวนดุสิต,
๒๕๒๒), หนา ๑๒๒-๑๒๘.
๑๙๘
รอน และไมใชความรอนของวัตถดุ วย และถาวัตถุนั้นมีสีแดงดวย และเรามองเห็นก็จะเกิดความคิด
เชิงเด่ียวของสีแดงขึ้นในจิต ความคิดของความรอนจะเปนตัวแทนของอุณหภูมิของวัตถุน้ันสวน
ความคิดของสีแดงก็จะเปนตัวแทนสีแดงของวัตถุน้ัน ดงั นั้น ความคิดเหลาน้ีคอื ส่ิงที่จิตรู จิตไมไ ดรูใน
คุณสมบตั จิ รงิ ๆ ของวัตถุ
๓) ฉะนนั้ ความคิดเชิงเด่ยี วทง้ั หลายจะรวมอยูในความทรงจาํ และตอมาเราก็ใหช่ือแกมัน โดย
ลักษณะเชนนี้ จิตซึ่งเดิมทีวางเปลาก็ไดถูกประดับประดาดวยความคิดทัง้ หลาย ตอจากน้ัน จิตก็จะทํา
การเปรียบเทียบเช่ือมโยงความคิดเชิงเดี่ยวตาง ๆ เขาดวยกัน สรางเปน "ความคิดเชิงซอน"
(complex idea) ขึ้น ตัวอยางเชน ความรูในผลมะนาว ในตอนแรกเราไดร ับผัสสะของความเขียว
ความกลม จิตก็สรางความคิดเชิงเดี่ยวของเขียวและกลมข้ึน ตอมาไดรับผัสสะของความเปรี้ยว จิต
สรา งความคิดเชิงเดย่ี วของความเปร้ียว และจากนนั้ จิตเชอื่ มโยงความคิดเชิงเด่ียวของความเขียว, กลม
และเปร้ียวเขาดว ยกัน เกิดเปน ความคดิ เชงิ ซอนของผลมะนาวข้ึน ความคิดเชิงเด่ียวกย็ ังเกิดจากผัสสะ
ภายใน ซ่ึงเปน ความคิดของจิตเองดวย เชน การสงสยั , การตั้งใจ, การจินตนาการ เปน ตน
สรุปประเด็นในชวงนี้ไดวา เม่ือวัตถุตาง ๆ กระทบกับอวัยวะรับสัมผัสตาง ๆ ของเราก็เกิด
ผัสสะเชน เหลือง, ขาว, รอ น, เยน็ , หวาน, หนกั ฯลฯ เขา มาในจิต ผัสสะเหลา น้เี กิดขึน้ บอย ๆ จิตก็จะ
จดจาํ ไดและสรา งเปนความคดิ เชิงเด่ียวของผัสสะน้ัน ๆ ขนึ้ น่ีเปนการไตรตรองซ่งึ เปนการทํางานของ
จติ และตอ มาจิตจะรวบรวม, เชื่อมโยง, เปรียบเทยี บความคดิ เชิงเด่ียวทงั้ หลายเขา ดว ยกันเปนสิ่งรับรู
(percept) ข้นึ ซ่ึงจัดเปนความคดิ เชิงซอน เพราะประกอบดวยความคดิ เชิงเดี่ยวหลาย ๆ อัน ดังน้ัน
สว นประกอบทเ่ี ปน พนื้ ฐานที่สดุ ของความรกู ็คอื ความคิดเชิงเด่ียว
๔) ลอค แบงผัสสะทั้งหลายที่เรามีออกเปน ๒ กลุม คอื ความคิดทเี่ ปนคุณสมบัตปิ ฐมภูมิของ
วตั ถุ เชน รปู ราง ขนาด นาํ้ หนัก การเคลอื่ นที่ เปนตน กบั ความคดิ ที่เปนคุณสมบัตทิ ุติยภูมคิ ือ สี เสียง
กล่ิน รส และอุณหภูมิ ในทัศนะของลอคถือวาคุณสมบัติประเภทแรกเปนคุณสมบัติที่มีอยูในตัววัตถุ
จริง ท้ังน้ีเพราะวา มันเปนคุณสมบัติที่มีอยูในตวั วัตถจุ ริง ทั้งน้ีเพราะวา มันเปนคุณสมบัติท่ีคงทนไม
เปล่ียนแปลงงาย ๆ และวัตถุทุกชิ้นตองมีคุณสมบัติเหลาน้ี เชน เนยแข็งที่ละลายหรือไมท่ีไหมไฟ สี
ของมันเปลี่ยนไป แตรูปรางบางสวน, ความแข็งบางระดับ, นํ้าหนัก และมวลก็ยังคงมีอยู สวน
คณุ สมบตั ิทุตยิ ภูมิน้ัน วัตถุอาจจะมีหรอื ไมม ีกไ็ ด เชน ในความมือวัตถุจะไมม ีสีใหมองเห็นได ยิ่งกวาน้ัน
คณุ สมบัตพิ วกน้ียังเปล่ียนแปลงไปตามสถานการณของตัวผูรู เชน เวลาเปนหวัด เราไมอาจรับรูกล่ิน
และรสได ดังนั้น ลอคจึงเห็นวาวัตถุไมไดมคี ุณสมบัติทุติยภูมิ หรือ คุณสมบัติเหลานี้ไมไดมีอยูในโลก
ภายนอก แตเ ปน “อาํ นาจ” ที่คณุ สมบัติปฐมภูมิสรางผัสสะท่ีเปนสี, กลิ่น, เสียง, รส, อณุ หภูมิ ใหเกดิ
กับเรา ดังนั้น ขนาด รูปรางฯ ของวัตถุเปนคุณสมบัติแทจริงของมัน แตสี, รสฯ ของวัตถุไมใช
คุณสมบตั ิแทจ ริงท่มี อี ยใู นตวั วตั ถแุ ตเ ปน อํานาจทว่ี ัตถุกระทําตอ จติ ของผูรูใหเ หน็ เปนสี ใหมีรส เปน ตน
๑๙๙
๕) ทฤษฎีความรูของลอคจึงเรียกวา “ทฤษฎีตัวแทน” (Theory of Representation)
เพราะเหตุวา ประการทีห่ นึ่ง คนเราไมไดรูนักในคณุ สมบัตแิ ทจ ริงของวัตถุ แตรูในผัสสะหรือความคิด
เชิงเด่ียวซึ่งเปนตัวแทนของคุณสมบัติจริง ประการท่ีสอง ตัววัตถุจริงท่ีอยูภายนอกตวั คนเราน้ันมีแต
คุณสมบัติปฐมภูมิ ไมมีคุณสมบัติทุติยภูมิ แตวัตถุในการรับรูของเรามีคุณสมบัติทุติยภูมิดวย ดังน้ัน
วัตถตุ ัวจรงิ กบั วตั ถใุ นฐานะเปนส่ิงท่เี รารับรูน้ันจะเปน คนละส่งิ กัน วตั ถุท่เี รารบั รูจึงนับเปนตวั แทนของ
วตั ถจุ รงิ ฉะน้ันสิ่งทมี่ อี ยูจริงภายนอกตัวเรา กค็ อื กอ นทปี่ ราศจากคุณลักษณะทุติยภูมิใด ๆ ซึง่ เรียกวา
“สาร” (substance) ซึ่งรองรบั คุณสมบัติปฐมภูมิอยู
๖) “สาร” เปนส่ิงแทจริงท่ีอยูภายในตัววัตถุ แตลอคอธิบายวา คนเราไมอาจจะรูจักสารได
เพราะไมอ าจเปนประสบการณข องใคร จึงเปนส่ิงท่ีเรา “ไมรูวา เปนอะไร” แตก็ตองยอมรับวาทุกส่ิง
ตอ งมีสาร เพราะสารเปนพ้นื ฐานทีร่ องรับคุณสมบัตปิ ฐมภูมิของวัตถุซึ่งกอใหเกดิ ความคิดเชิงเด่ียวกับ
เรา เชน รูปราง, รอน, รส, สี ฯลฯ แตวา คนเราพบคณุ สมบัติเหลานี้ในลักษณะท่ีมันรวมกันอยูและ
มองดวู ามันประกอบเขาเปนสิ่งเดยี วกนั คือ เราจะรบั รู วัตถุในลักษณะทม่ี ันมีคุณสมบัติตาง ๆ ท้งั ปฐม
ภูมแิ ละทุติยภูมริ วมกัน เราจึงไมมีวันจะรูจัก “สาร” ไดเลย นอกจากนี้ในตัวมนุษยก็มี “จิต” (Spirit)
เปนสารชนดิ หนึ่ง ซ่ึงเปนส่งิ ท่แี ทจรงิ ทร่ี องรบั การทํางานตาง ๆ ของจิต เชน คดิ , รู, สงสัย, ตั้งใจ, กลัว
เปนตน ดังน้ัน ปรัชญาของลอคจึงมีขอขัดแยงตรงท่ีวา เขายอมรับการมีอยูของสิ่งที่มิไดเคยเปน
ประสบการณของคนเรา หรือกลา วอกี นยั หน่งึ คนเราไมอาจจะรูจัก “สาร” ในวัตถุและตัวคนโดยผาน
ทางประสบการณเ ลย
๗) ลอคไดกลาวถึงความรูประเภทตาง ๆ ท่ีคนเรามี ซึ่งความรูท้ังหลายนั้นตองเร่ิมตนจาก
ผสั สะและการไตรตรอง ซึ่งจะใหความคิดเชิงเด่ียวในขนั้ ตน ขนั้ สูงข้ึนมา จิตก็นําความคดิ เชิงเด่ียวตา ง
ๆ มาเปรียบเทียบเช่ือมโยงกันสรางเปนความคิดเชิงซอน ดังน้ัน ความรูทุกอยางของเราน้ันจึงตอง
เก่ียวของกบั ความคิดตาง ๆ นา ๆ ที่เราไดมาจากประสบการณภายในชีวิตของเรา ฉะน้ันความรูก็คือ
“การรับรใู นความเก่ียวเนื่องของความคดิ ตา ง ๆ วาเขา กนั ไดหรือเขากนั ไมได” ซึง่ การเขา กนั ไดหรือไม
ของความคิด แบง ออกเปน ๔ ชนดิ ชนิดแรก คือความรทู ีไ่ ดจ ากการตรวจตราความคิดตง้ั แต ๒ หนวย
ขนึ้ ไป เพือ่ ดวู า มันเหมอื นกันหรือตา งกัน เชน เราสามารถเปรียบเทยี บความคิดของ “ขาว” กบั “ดํา”
หรอื “วงกลม” กับ “สามเหล่ยี ม” เราเหน็ ในทันทวี า มนั ตา งกนั ความรูชนดิ น้ีเรารูโดยอัชฌชั ติกญาณ*
จึงเปนความรูที่เช่ือถือไดแนนอน เพราะมันชัดเจนยิ่งกวาส่ิงใด ๆ ชนิดท่ีสอง คือความรูท่ีเราพบวา
ความคิดต้งั แต ๒ หนวยข้ึนไปน้ัน มันตอ งไปดว ยกนั หรือ ตองเกย่ี วของกัน คอื รูวา ความคิดเหลานั้น
ตองเปนสวนหนึ่งของวตั ถุเดียวกัน หรือ มสี าเหตมุ าจากสิง่ เดยี วกนั เชน เรารวู า ความแขง็ และความเย็น
ตองเปนคุณสมบัติของน้ําแข็ง ชนิดทีส่ าม คือความรูทเ่ี ราพบวาความคิดต้งั แต ๒ หนวยข้นึ ไปนั้นมัน
สัมพันธซ ่งึ กนั และกันในบางลกั ษณะคอื ในบางกรณเี ราไมอ าจรโู ดยอชั ฌตั ตกิ ญาณไดวา ความคดิ ตา ง ๆ
นั้นมันมีอะไรรวมกันอยู ดังน้ัน จึงตองใชการเชื่อมโยงความคิดเพ่ือพิสูจนวามันสัมพันธกัน ความรู
๒๐๐
เชน น้ีตอ งใชก ารพสิ ูจน (demonstration) คอื เริ่มจากความจริงท่ีงา ยและยอมรับแลวไปสูความจริงท่ี
ซบั ซอนยิ่งขนึ้ ไป เชน การพิสูจนในทางเรขาคณิตและชนิดสุดทาย คือ ความรูในส่ิงที่มีอยูจริง (real
existence) ความรูชนิดน้ตี อ งรโู ดยทางผัสสะ ซง่ึ เปน การรูเฉพาะหนวยดวยประสบการณท างประสาท
สัมผสั เชนเราเหน็ ดอกกหุ ลาบดอกหนงึ่ เรากเ็ ชอื่ วา มันเปน ส่ิงทม่ี อี ยจู รงิ
๘) ไดกลาวแลววา ทัศนะทางประจักษนิยมของลอคน้ัน อาจจะกลาววาเปนเพียงแนวโนม
เทา นน้ั เพราะเขายอมรับในหลาย ๆ เร่ือง ท่ีไมอ าจจะผานเขามาเปนประสบการณของคนเราได เชน
เรือ่ ง “สาร” ในวตั ถุ และในตวั คนหรือพูดใหชัดกค็ ือวิญญาณนั้นเอง และอกี ประการหน่ึงลอคพยายาม
ที่จะสรางทฤษฎีความรูที่แสดงใหเห็นวา ความรูตาง ๆ ของคนเราน้ัน เร่ิมตนจากขอมูลท่ีไดจาก
ประสบการณ ซง่ึ เปนผัสสะกับการไตรตรอง ตอจากน้ันก็เปนความสามารถของจติ ทจ่ี ะเชื่อมโยงสิ่งที่
ประสบการณใหขึ้นเปนความรูอันซับซอนตอไป มีอีกเร่ืองหน่ึงท่ีจะกลาวตอไป ก็คือ การที่ล็อคไม
อาจจะทงิ้ ความเชื่อวาพระเจามีอยูได และยังพยายามใหเหตุผลเพื่อพิสูจนความเช่ือของเขาดวย เขา
เสนอวาคนเราสามารถจะรูวาพระเจามีอยูโดยการอนุมานจากการมีอยูของตัวเราเอง น่ันคอื เริ่มแรก
คนเรารูวาตัวเรามีอยูอยางชัดเจนแนนอน ซึง่ เปนการรูโดยอัชฌัตติกญาณจากการทเ่ี รารูวามีตัวเรานี้
เองชี้บงวาอยางนอยที่สุดตองมี “สิ่งหนึ่ง” อยู เพราะรูดีวาตัวเราน้ันไมอาจจะมีอยูตลอดกาลได แต
ตองอยูภายในชวงเวลาท่ีจํากัด ดงั นั้น ตัวมนุษยตองมีการเร่ิมตน (คือถามีอยูตลอดกาลก็จะไมมีการ
เริ่มตน) และส่ิงใดที่ตองมีการเร่ิมตน แสดงวาตองมีบางส่ิงทีไ่ มมีการเริ่มตนเปนผูสราง เพราะเราไม
อาจสรา งตัวเองได ในท่สี ุด ลอคสรุปวา ตองมีบางสิ่งที่ไมถกู จํากัดดวยเวลาอันเปนส่ิงที่มอี ยูตลอดกาล
เปน ผสู รา งสิ่งทมี่ ีอยูในเวลา บางส่งิ นี้อาจเรยี กวา “พระเจา ” นค่ี ือการพิสูจนข องลอควา มพี ระเจา
สรปุ ปรชั ญาของจอหน ลอค
ลอคเปนนักปรัชญาที่อยูในฝายท่ียืนยันวา ความรูของคนเราตองมีบอเกิดหรือเร่ิมตนจาก
ประสบการณ มีทัศนะสําคัญโดยสรุปคือ ประการท่ีหนึ่ง คนเรามิไดมีความรูติดตัวมาต้ังแตเกิด
จุดเร่ิมตนของคนเราคือสภาพจิตท่ีวางเปลา ขอมูลตาง ๆ เกี่ยวกับโลกภายนอกตองขึ้นอยูกับ
ประสบการณซ ึ่งเร่ิมจากผัสสะกอน จากน้ันก็มีการไตรตรองในสิ่งที่เขามาภายในจิตของเรา ดงั น้ัน ใน
ทัศนะของลอค บอเกดิ ของความรูของคนเรามี ๒ อยางดวยกนั คือ ผัสสะกบั ภาพสะทอน เมื่อผัสสะ
ตาง ๆ เกดิ ขึ้นมาจิตกจ็ ะสรางเปน “ความคิดเชิงเดีย่ ว” ของผสั สะน้ัน ๆ จากน้ันจิตก็สามารถทจี่ ะทํา
การรวบรวมจัดการผัสสะตาง ๆ เขาดวยกัน สราง “ความคิดเชิงซอน” ของวัตถุหน่ึงข้ึนมา ดังนั้น
นํ้าแข็งกอนหน่ึงท่ีเราไดรูจักไมใชเปนความคิดเชิงเด่ียว แตเปนความคิดเชิงซอนท่ีประกอบดวย
ความคิดเชิงเด่ียวของความแข็ง, ขาวและเย็น ประการท่ีสอง ผัสสะหรือความคิดเชิงเดี่ยวตาง ๆ ท่ี
คนเรามีนั้นแบงออกเปนความคิดที่เปนสมบัติปฐมภูมิของวัตถุ กับ คุณสมบัติทุติยภูมิ คุณสมบัติทตุ ิย
ภมู เิ ปนอาํ นาจทีค่ ณุ สมบตั ปิ ฐมภมู สิ รางใหเกดิ ขึ้นกบั ตวั ผูรู ดงั นั้น ตัววัตถุจริง ๆ กับวัตถุท่เี ปนส่ิงรูของ
คนเราจะไมเหมอื นกนั นีค่ ือ การที่เรารูจักตัวแทนของวัตถุ ไมไดรูจักวัตถุตัวจริง ประการทสี่ าม การที่
๒๐๑
วตั ถมุ ีคณุ สมบัตปิ ฐมภมู ิตา ง ๆ เชน นํ้าหนัก ขนาด รูปราง ซึง่ กอใหเกดิ ผัสสะแกเรา แสดงวาจะตองมี
อะไรบางอยางท่คี ้ําจนุ หรือรองรับคณุ สมบัติตาง ๆ เหลาน้ีอยู น่ันคือส่ิงท่ีลอคเรียกวา “สาร” แตเราก็
ไมอาจจะรูไดว าสารเปน อยางไร ประการท่สี ่คี วามรขู องคนเรามี ๔ ชนดิ คอื
๑) ความรทู ีไ่ ดจากการตรวจตราหรือเปรียบเทียบความคิดตัง้ แต ๒ หนวยขน้ึ ไปวาเหมอื นกัน
หรอื ตางกัน
๒) ความรูที่ไดจ ากการพบวา ความคดิ ต้ังแต ๒ หนวยข้นึ ไปวาตอ งเก่ียวขอ งกัน
๓) ความรูท่ีไดจากการพบวาความคิดต้ังแต ๒ หนวยขึ้นไปน้ันสัมพันธซึ่งกันและกันในบาง
ลกั ษณะ และ
๔) ความรูใ นสงิ่ ทมี่ ีอยจู รงิ
เมอ่ื เราไดศ ึกษาปรัชญาประจักษนิยมของจอหน ลอค แลวจะพบวาสําหรับลอคความคิดหรือ
ความรูของเราไมใ ชเปนนามธรรมท่ีถกู ใหกบั เราอยางสําเร็จรูปมาเลย แตจิตของคนเราจะตองกระทํา
ตอ ส่งิ ทถ่ี ูกใหมาซงึ่ คอื ผัสสะตาง ๆ และสรางความคดิ ใหมท ่ีซับซอนขน้ึ มา เชน เปรียบเทียบเพอ่ื จะหา
คุณสมบัติรวมกันของส่ิงตาง ๆ แตความรูหรือความคิดใหมน้ันจะตองสามารถวิเคราะหแยกแยะ
ออกมาไดว า มสี วนประกอบที่เปน ขอ มลู ทางผัสสะ ประสบการณท างผัสสะจึงไมใ ชเปนการท่ีจิตรับรูสิ่ง
ใด ๆ ท่ีโลกวัตถุใหมาอยางเฉื่อยชา เพราะจิตไมใชกลองถายรูปท่ีบันทึกภาพส่ิงตาง ๆ ไวเทานั้น จิต
จะตอ งทํางานของคนไปดวย
ปรัชญาของเดวดิ ฮูม (๑๗๑๑ – ๑๗๗๖)
๑. ความรูทงั้ หลายของคนเรานั้นแบงออกไดเ ปน ๒ อยาง คือ ความประทับใจ (impression)
กบั ความคิด (idea) ความประทับใจเปนการรับรูในผัสสะ สวนความคิดเปนการรับรูในส่ิงที่เกิดจาก
จินตนาการหรือความจํา ทั้งสองอยางตางกนั ดังนี้คือ ในระยะแรกผัสสะท่ีเราไดรับจากประสบการณ
โดยตรง เชน เอามือไปแตะกอนน้ําแข็ง เกิดผัสสะของความเย็น ผัสสะนี้มีความแจมชัดในทันทีทนั ใด
อันน้ี “ความประทับใจ” พอเหตุการณน้ผี านไปแลว แตเราก็ยังจดจําภาพของความเย็นไดอยางลาง ๆ
วาเปนอยางไร ทั้งท่ไี มมีน้ําแข็งมากระทบกับประสาทสัมผัสของเราจริง ๆ ภาพของความเย็นที่เราจํา
ไดน ีจ้ ะไมแ จม ชัดเหมือนในตอนท่ีเอามอื ไปแตะกอ นนาํ้ แข็งโดยตรง นี่คอื “ความคดิ ” หรืออาจใชคําวา
“จิตภาพ” ก็ได กลาวอีกนัยหน่ึง ความคิดเปนความรูสึกหรือผัสสะท่ีอยูในความทรงจําของเรา ดังน้ัน
สองอยางน้ีจะตางกันท่ีระดับของความชัดเจน ความมีชีวิตชีวาทีมันกระทบตอ จิตของคนเรา สําหรับ
ขอ แรกน้สี รุปไดวาในการรขู องคนเรานัน้ ตองมกี ารประทับจากวัตถภุ ายนอกเกิดขึน้ กอ น แลวจากน้ันก็
กลายมาเปน ความคิด ดวยเหตุนี้ความคิดทุกหนวยจะตองมีความประทับใจตอบสนองทุกหนวยไป
หรือตองสอดคลองกับความประทับใจเสมอ เชน ความคิดของสีแดง ก็จะตองเหมือนกับความ
ประทบั ใจของสีแดง
๒๐๒
๒. คนเรามีความสามารถอยู ๒ ประการ อันแรกคือ ความจํา (memory) อันที่สองคือ
จินตนาการ (imagination) ความจําเปนการที่เราเก็บรวบรวมความคิดทั้งหลายไวเปนลําดับ
ตอ เนื่องกนั สวนจินตนาการเปนการท่ีเราเก็บรวบรวมความคิดทั้งหลายไวเปนลําดับตอเนื่องกัน สวน
จินตนาการเปนการท่ีเราจัดระเบียบความคิดตาง ๆ ตามแบบแผนท่ีเราตองการ ซ่ึงโดยทว่ั ไปคนเรา
มักจะจดั ความคิดไปตามแบบแผน ๔ อยางดวยกนั คอื แบบของความเหมอื น, แบบของการเก่ยี วเนื่อง
กันทางเวลา, แบบของการสัมพันธกนั ทางสถานท,่ี และแบบของการเปนเหตุเปนผลกัน การทีเ่ ราเห็น
วาส่ิงหนงึ่ เหมอื นกับอีกส่ิงหน่ึงกเ็ ปน เพียงผลจากจินตนาการของเราเอง “ความเหมือน” ไมใชส่ิงท่ีมอี ยู
จรงิ ในโลกภายนอกตัวคนเรา เพราะส่ิงที่เราเห็นจริง ๆ กค็ ือ สิ่งหนึ่งกับอีกส่ิงหน่ึง แลว เรานาํ ความคิด
ท่ีไดจากสิ่งสองสิง่ มาเช่ือมโยงกันเองวามันเหมอื นกันหรือการทเี่ ราเห็นสิ่งสองส่ิงอยูใกลกันหรือไกลกัน
ก็ตาม จนิ ตนาการสรา ง "ความใกล” และ “ความไกล” ข้นึ มาเอง ความใกลและความไกลไมไดมจี ริง
๓. เชน เดียวกนั กบั เรอื่ งของความเปน เหตุเปน ผล ซงึ่ ในขอนจ้ี ะกลาวถงึ โดยละเอียดเพราะเปน
เร่ืองสําคัญเรื่องหนึ่งที่ช้ีบอกถึงลักษณะเดน แหงปรัชญาของฮูม ถา จะพูดวา “เหตุการณนี้เปนสาเหตุ
ของเหตุการณนั้น” ก็ตองต้ังคําถามวา เรารูไดอยางไรวา ความคิด ๒ หนวยนั้นมันเปนเหตุเปนผลซ่ึง
กันและกัน เราไดประจักษในลักษณะแหงการประทับของสิ่งที่เรียกวา “สาเหตุ” หรือเปลา คาํ ตอบก็
คือ ไมเ ลยในเรื่องน้ีไมมีคุณสมบัติ เชน สีแดง, สีเขยี ว, รอน, เย็น ฯลฯ ที่เราจะพบไดในประสบการณ
ลองพิจารณาตัวอยางตอไปนี้ “กอนหินกระทบกระจกหนาตา ง แลวหนาตา งแตก” ถาเราตรวจสอบ
สถานการณอ ยางลึกซึ้ง กจ็ ะพบงา มีเหตกุ ารณตาง ๆ เกิดตามกันเหตกุ ารณแ รกคือ มกี ารเคลื่อนไหว
ของกอนหิน ตอมากอนหินอยูใกลชิดกับหนาตาง และตอมาก็มีการแตกของกระจก ฉะนั้น
สวนประกอบเรอื่ งน้มี ีอยู ๒๕ อยาง คอื กอนหิน กับกระจกหนาตาง แตไมมีสิง่ ทเ่ี รียกวา “สาเหตุ” ให
เราพบไดโดยการประทับเลย ประสบการณบอกเราเพียงวามีเหตุการณหนึ่งเกิดข้ึน และตอมามีอีก
เหตุการณหน่ึงเกิดตามมาก็เทานั้น ประสบการณไมอาจชวยใหเราเขาถึงความสัมพันธระหวางสอง
เหตกุ ารณหรือมากกวาสองได จติ ของเราตา งหากที่เชือ่ มโยงเหตกุ ารณต าง ๆ เขาดวยกนั เอง แลวกถ็ ือ
กันวามีเหตตุ องมผี ล มผี ลตอ งมีเหตุ
สําหรับเรื่องนี้ ถาเราพิจารณาดูตามสามญั สํานึกแลว เราก็ตอ งเชื่อวากอนหินเปนเหตุทําให
กระจกหนา ตางแตกจรงิ เพราะแมเ ราจะไมไดเหน็ ตัว “สาเหตุ” ดวยตาของเราเองกต็ าม แตเราก็รูวามี
แรง หรือ พลงั บางอยา งท่ีเกดิ จากการเคล่อื นไหวของกอนหินและตัวกอนหินกเ็ ปนส่ิงมีนํ้าหนัก ซ่งึ เปน
สาเหตใุ หกระจกหนาตางแตกเม่อื มันมากระทบ แตแรงหรือพลังน้ีเราไมอาจจะมองเห็นหรือจับตอ งได
ดวยเหตุน้ีฮูมจึงยืนยันวากอนหินไมไดเปนเหตุแหงการแตกของกระจก เพียงแตมีเหตุการณตาง ๆ
เกิดขนึ้ ติดตอ กัน แสดงใหเ หน็ วา ฮูมตง้ั อยูบนจุดยืนของทฤษฎีประจักษนิยมอยางมั่นคงโดยการยืนยัน
วา ความรทู กุ อยางของคนเราถา ไมผ านประสาทสมั ผัสแลว ยอมไมจรงิ
๒๐๓
๔. ดังนนั้ กลาวไดวา ปรัชญาของฮูมเปนปรัชญาแบบวิมตั ินิยมอยางแทจริงเขาไดวิเคราะหถึง
ประสบการณท างผสั สะและการจัดระเบียบผัสสะ และสรุปลงอยางเปนวิมัตินิยมอยางสมบูรณในเร่ือง
ความเปนไปไดข องมนษุ ยใ นการรู สงิ่ ใดกต็ ามเก่ียวกับโลก นน่ั คือ ทั้งหมดทเ่ี รารูเราเขา ใจก็คือกลุมของ
ความประทับใจ หรอื กลมุ ของผสั สะทไ่ี มไ ดมคี วามสัมพนั ธต อ กนั เลย (ดงั ในเรื่องของเหตุและผล) จากน้ี
คนเรากไ็ ดร บั ความคิดมาซ่ึงเรานํามาเช่ือมโยงเขาดวยกัน เพราะเปนความเคยชินของนิสัยหรือจิตใจที่
จะทําเชนน้ัน ฉะน้ัน ถาเราจะหาสงิ่ ที่เปนเจาของคณุ สมบัติตาง ๆ ทีท่ ําใหเกดิ ความประทับใจกบั เรา
แลว ก็จะไมพบความประทบั ใจของสิ่งท่ีเรียกวา “เทห” (a body) เชนกนั ถา เราจะมองเขามาภายใน
ตัวเรา เพอื่ จะหาสงิ่ ซง่ึ บรรจุความประทับใจและความคดิ ตา ง ๆ ท่เี รียกวา “ตวั ตน” (self) แลว เราก็
จะไมพบเลยภายในประสบการณข องเรา
สรปุ ปรชั ญาของเดวิด ฮูม
สิ่งที่เรารูเปนเพียงกลุมของความประทับใจผัสสะซึ่งไมไดมีความเกี่ยวเน่ืองกัน ตัววัตถุหรือ
สสารทใ่ี หผ สั สะแกเ ราน้ัน กไ็ มไดม ีส่ิงทีเ่ รียกวา “สาร” (substance) ซงึ่ ในปรัชญาของลอคอางวาเปน
ส่ิงท่ีรองรับคุณสมบัติปฐมภูมิตาง ๆ อยูเลย วัตถุหรือสสารก็เปนเพียงกลุมของคุณสมบัติตาง ๆ มา
รวมกนั เชน น้ําแข็งก็คอื กลุมของคุณสมบัติขาว, เย็น, แข็ง ไมไ ดมีตัวสารอยูภายในเพ่อื ยึดคุณสมบัติ
ตาง ๆ เขา ดวยกนั จากกลุมของผัสสะ นั้นก็กลายมาเปนกลุมของความคิดที่เรานํามาจัดระเบียบดวย
การเช่ือมโยงมันเขาดวยกันตามความเคยชิน และถาเราจะหาส่ิงที่เปนเจาของผัสสะหรือความคิดท่ี
เรียกวา “ตัวตน” หรือพูดใหชัดก็คือวิญญาณ ซ่ึงในปรัชญาของลอคถือวาเปน “สาร” อยางหนึ่งท่ี
รองรบั ความรูสึกและความคิดทง้ั หลายนั้นแลว ฮูมกว็ าไมมีเชนกนั เพราะประสบการณไ มเ คยใหขอมลู
เก่ยี วกับส่ิงน้ี ตัวคนเราเปนเพียงการมารวมกันของผัสสะและความคดิ ไมมจี ิต ไมมีวิญญาณเพราะถา
เราพิจารณาถึงความสํานึกในตัวเราอยางลึกซ้ึง ก็จะพบแตผัสสะและความคิดที่เกิดข้ึนติดตอกันไป
ตลอดเวลา เชน รอ น, เย็น, หวิ , อม่ิ , ดีใจ, โกรธ, เสยี ใจ ฯลฯ
๒. ปญหาเรื่องธรรมชาติความรู – สิ่งที่เรารคู อื อะไร
เราไดผานปญหาสําคัญในทางทฤษฎีความรูปญหาแรกซ่ึงเกี่ยวกับเรื่อง ความรูเกิดข้ึนได
อยางไรไปแลว ตอไปนี้เปนอีกปญหาหนึ่งที่สําคัญซ่ึงมีเน้ือหาแตกตางจากปญหาแรก หรือไมได
เกยี่ วขอ งกันโดยตรง แตถาจะอธิบายใหเช่ือมโยงกันกอ็ าจจะอธิบายไดวา จากปญหาแรกเราไดท ราบ
แลว วา คาํ ตอบท่เี ปนไปไดอนั หน่ึงของปญหาท่ีวา ความรูของเราเร่ิมจากอะไรน้ัน กค็ ือ ความรูเริ่มตน
ขนึ้ จากประสบการณทางประสาทสัมผัส (เปนคาํ ตอบของพวกประจักษนิยม) จึงทาํ ใหเราไดรับขอ มูล
หรือ การบอกเลา เก่ยี วกบั “โลกภายนอก” คําวา โลกภายนอกน้ีก็หมายถึง สิ่งตาง ๆ ทีแ่ วดลอมตัวคน
อยู เชน ทงุ หญา, ตน ไม, ทะเล, ภูเขา, ตกึ รามบานชอง, โตะ, หนังสือ, คนอนื่ ๆ ฯลฯ ทีนี้ประเดน็ ของ
ปญหาอยูท่ีวา ส่ิงตางๆ เหลานี้เรารูจักมันโดยประสาทสัมผัสเปนผูใหขอมูลแกเรา มันจึงเปนความรู
๒๐๔
ของเรา ดังนนั้ มนั มคี วามแทจ รงิ ในตัวมนั เอง โดยทีไ่ มไ ดข ้ึนอยกู ับการรูจักคนของเราหรือเปลา คือ ถา
ปราศจากมนุษยคนใดในโลกแลว จะพดู ไดหรือไมวามันมีอยู หรือวา มันไมไดมีความแทจริงในตัวมัน
เองเพราะวามนั ตองอยใู นฐานะท่เี ปน ส่งิ ท่คี นเรารจู กั เสมอไป การมีอยูของมันจึงเปนอสิ ระจากการรับรู
ของคนไมได
และตอไปน้กี จ็ ะเปน คาํ ตอบของแนวความคิด ๒ แนวใหญๆ แนวความคดิ แรก เปนของพวกที่
เรียกวา “จิตนิยมแบบอตั นัย” (Subjective Idealism) แนวความคิดท่ีสองเปนของพวก “สัจนิยม”
(Realism) แนวความคดิ ท้งั สองนีจ้ ะใหคาํ ตอบท่ตี รงขามกัน คือ “จิตนิยมแบบอตั นัย” ถือวา ส่ิงตางๆ
ตองมีอยใู นฐานะเปน สงิ่ ที่จติ รบั รู หรอื เปน ความคดิ ของจติ การมอี ยูของมันจึงไมไ ดมีความแทจริงของ
ตวั เอง สวน “สจั นยิ ม” กถ็ ือวาสิง่ ตา งๆ มอี ยูและเปนจริงโดยธรรมชาติ แมจะเปนส่ิงท่ีมนุษยรับรูดวย
ประสาทสมั ผสั ก็จรงิ แตการมอี ยูข องมนั เปนอิสระจากการรับรูของมนษุ ย
๒.๑ ลทั ธิจติ นิยมแบบอตั นยั
หลักการของปรัชญาจิตนิยมแบบอัตนัยก็คือ ยืนยันวาคุณสมบัติทั้งหลายของวัตถุหรือโลก
ภายนอกท่ีเรารูจักโดยอาศัยประสบการณทางผัสสะของเรานั้น ข้ึนอยูกับจิตของผูรับรู สิ่งท่ีเรารูใน
ขณะน้ีและทกุ สิ่งทเี่ รารูตอ ไปภายหนา ก็คอื สภาวะจิตของเราเอง ซึ่งใชคําเรียกวา “ความคิด” หรือ
“จิตภาพ” (idea) ดังนั้นคุณสมบัติรอนที่เราไดรูจากไฟ คุณสมบัติกลมท่ีเราเห็นจากพระจันทร,
เหรียญ เปน ตน ก็คอื “ความคดิ ” ของจิตนั้นเอง ตอ ไปนี้จะนําปรัชญาของยอรซ เบอรคเลย (George
Berkeley ๑๖๘๕-๑๗๕๓) นกั ปรัชญาชาวไอรแ ลนดม าศึกษาโดยละเอียด๘
๑. วัตถุทงั้ หลายพรอมท้ังคุณสมบัติทกุ อยางของมันไมวาจะเปนปฐมภูมิและ ทุตยิ ภูมิ ลวน
ขน้ึ อยูกบั การรับรูของจติ ท้ังส้ิน วัตถจุ ึงไมไ ดมีความเปนจริงในตัวเอง เปนเพยี งความคิดของจิตมนุษย
เทาน้ัน น่ันก็คือวา ถาไมมีจิตของคนเปนตัวรับรูวัตถุแลว วัตถุก็จะไมมีรูปราง ไมมีขนาด ไมมีการ
เคลื่อน ไมมสี ี เสียง กล่นิ และรส เปน ตน
ลองดูตัวอยางตอไปน้ี เมื่อเรากาวเขาไปในหองเรียนแลวกลาววา “ส่ิงที่ฉันเห็น คือ โตะ”
ขบวนการทางจิตท่ีเกิดขึ้นในใจเราอธิบายไดวา : ในตอนแรกเรามีประสบการณของการเห็นขึ้น ซึ่ง
เบอรคเลยจะใชคาํ เรียกวา “ความคดิ ที่เปนการเห็น”(visible idea) เกีย่ วกับพนื้ ผิวท่ีเปนส่ีเหลี่ยม มสี ี
นํ้าตาล และเปนเงา ตอ มาถา เรากาวเดินตอไปยังส่ิงซ่ึงอยูในกรอบการเห็นของเรา และวางมือของเรา
ลงไป เราก็จะมีประสบการณอ ีกอันหน่ึงเกิดขึ้น คือ ประสบการณของบางสิ่งที่แข็งและเย็นซงึ่ เรียกวา
เปน “ความคิดทเี่ ปนการสัมผสั ” (Tangible idea) เราจะนาํ เอาความคิดแรกท่ีเปนการเห็นมารวมเขา
กบั ความคิดท่ีสองน้ี แลว อนุมานวา เปน ความคดิ ของสง่ิ เดยี วกัน และสรปุ วา วัตถุในธรรมชาติชิ้นหน่ึงท่ี
เปนสี่เหลี่ยม มีสีน้ําตาล เปนเงา แข็ง และเย็น เปนตวั ทําให เกดิ ความคิดของเราข้ึน ดงั น้ันกแ็ สดงวา
๘ อมร โสภณวิเชษฐวงศ, ปรชั ญาเบื้องตน , (กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง, ๒๕๒๔), หนา ๒๘๓.
๒๐๕
ประการแรก ส่ิงใดก็ตามท่ีถูกรู ก็คือ ความคิดในจิต โดยท่ีจิตเปนผูรู จึงกลาวไดวา ความคิดและจิต
เทา นั้นท่มี ีอยู ประการท่สี อง ความคิดนี้ไมใ ชเปนความคิดเก่ียวกบั วัตถุในธรรมชาติ เชน โตะ แตเปน
ความคดิ ของคุณสมบัตทิ างผัสสะ เชน ความรอ น, แขง็ , สีนา้ํ ตาล, ความเปนสเ่ี หล่ียม เปนตน
๒. “แกนแทข องวตั ถุ คือ การถกู รดู วยจติ ”
จากปรชั ญาของลอคในบทแรกนน้ั ไดกลา วคุณสมบัติปฐมภูมิของวัตถุวา เปนคณุ สมบัตทิ ่ีวัตถุ
ทุกชิ้นจะตองมีประจําตัว เพราะเปนส่ิงที่มีความคงทน ไมไดขึ้นอยูและผันแปรไปตามสถานการณ
เหมือนคุณสมบัติทุติยภูมิ ดังนั้น ถือวาคุณสมบัติปฐมภูมิ เปนวัตถุวิสัย สวนทุติยภูมิเปนจิตวิสัย แต
สําหรับเบอรคเลยน้ันถือวาคุณสมบัติปฐมภูมิของวัตถุนั้น กต็ องข้ึนอยูกับการรับรูของจิตดวย เขาได
เสนอเหตผุ ล ๓ ขอ คอื
ก. การท่ีเราไดรูจักคุณสมบัติปฐมภูมิของวัตถุใดๆ น้ัน เราตองรูจักโดยผานการรับรูของจิต
เชนเดียวบั คุณสมบัตทิ ตุ ยิ ภมู ิ
ข. คนเรารูจักคุณสมบัตปิ ฐมภูมิกับทตุ ิยภูมโิ ดยที่มันแยกกันไมได เชนถาเรารูจักโตะ เราตอง
รจู กั รปู รา งกับสีของมันพรอมๆ กัน เราไมอาจจะรับรูโดยแยกเปนรูปรางสวนหนึ่ง กบั สีอีกสวนหนึ่งได
ดงั นนั้ ถา คุณสมบตั ทิ ตุ ิยภูมิตอ งขนึ้ กับการรูของจิตแลว คณุ สมบตั ิปฐมภูมิกเ็ ชนเดยี วกัน
ค. โดยทั่วไปน้ันมักคิดกันวา คุณสมบัติทุติยภูมิเปนส่ิงที่ข้ึนกับการรูของจิตเพราะวามัน
เปลย่ี นแปลงไปตามสถานการณรับรูของคนแตละคน เชน แกงจืดถวยหนึ่งคนหนึ่งวามีรสเคม็ แลว แต
อกี คนหนึ่งอาจเหน็ วา จดื ก็ได สว นคุณสมบตั ปิ ฐมภมู นิ ั้นแนน อนคงตัวมากกวา แตเบอรคเลยกลับคิดวา
คุณสมบัติปฐมภูมิก็เปล่ียนแปรไดเชนกัน เชน ขนาดของปรามิดในทะเลทราย ถาเรามองเห็นจากที่
ไกลๆ ก็จะเห็นวา ปรามดิ มขี นาดเล็ก ตอ เม่อื เขามาใกลๆ ขนาดของมนั กจ็ ะใหญข ึน้
ดังนั้น จากขอน้ีกลาวไดวา ท้ังหมดของตัววัตถุเปนส่ิงที่ไมอาจเปนอิสระจากการรับรูของ
คนเรา ถาเราจะกลาววาส่ิงหน่ึงมีอยู ความหมายก็คือเราไดรับรูในส่ิงนั้น หรือมันเปนสิ่งในความคิด
ของจิตนั้นเอง เพราะถึงแมเราพยายามจะคิดวาส่ิงน้ีไมมีอยูในการรับรูของเรา ก็เทากับวาเรากําลัง
คดิ ถึงสิ่งนั้นอยูน่ันเอง ลองคิดดูวากุหลาบดอกหนึ่งไมมีใครรับรูมันเลย ขณะที่เราคิดวากุหลาบดอกนี้
เปน อสิ ระจากการรบั รูของจิตดวงใดน้ัน เราก็ยังตองคดิ ถึงมันในลักษณะทม่ี ันมคี ุณสมบัติทางผัสสะอยู
นน้ั เอง เชน มสี ีแดง มกี ลน่ิ หอม กลีบนมุ เปนชั้นๆ กา นมหี นาม เปนตน ดังนั้น ดอกกุหลาบทีเ่ ราคิดวา
ไมมีใครรับรูมันก็คือวัตถุแหงการประจักษในความคิดของเรานั้นเอง แตตัววัตถุจริงๆ ในตัวเองเปน
อยางไรเราไมอ าจรูได แตทเ่ี รารูไดเปนเพยี งส่ิงท่ีอยูในการประจักษหรือการรับรูของจติ เทา น้ัน จึงอาจ
กลาวไดวา วตั ถทุ ัง้ หลายหรอื โลกภายในนอกเปนเพียงภาพสะทอนของจติ มนษุ ย
๓. ความเช่ือดังกลาวน้ี เปนทฤษฎีที่เรียกวา “อสสารนิยม” (Immaterialism) คอื ทกุ ส่ิงที่
เรารับรูไดเปนเพียงความคิดอันหน่ึง ความคิดตางๆ เปนของจิตเทานั้น จึงตอ งอยูกับจิต ทนี ี้ถา ยืนยัด
วาสิ่งตางๆ มีอยูในฐานะท่ีเปนความคิดของจิตมนุษยแลว ก็อาจมีคาํ ถามวา ถาอยางน้ันคนเราสราง
๒๐๖
ความคดิ เหลา นัน้ ขึ้นมาเองหรอื ส่งิ ตางๆ เกิดขนึ้ ไดเพราะมีจิตสากล (Universal Mind) คือจิตแหงพระ
เจา เปน ผสู รา งใหกบั มนุษย โลกแหงวัตถุเปน ปรากฏการณท พี่ ระเจาแสดงใหปรากฏตอ จติ มนุษย ดังนั้น
ถาหากวา ไมมจี ิตของคนใดมีเพ่อื รับรูในโลกภายนอกวาแลว โลกภายนอกกย็ ังคงมีอยูเปนอยู เพราะมี
จิตแหง พระเจาเปนผูรบั รูสิ่งตา งๆ ไว ดงั นั้น แมวาภูเขาท่เี รามองเห็นจะเปนเพยี งความคิดอันหน่ึงของ
จิต แตมันก็ยังคงเปนสิ่งที่มีอยูไมวาเราจะรับรูมันอยูหรือไมไดรับรูกต็ าม เพราะพระเจาไดรับรูมันไว
ตลอดกาล
๔. ปรชั ญาของเบอรค เลยสอดคลอ งกับหลกั ฟสกิ สป จจบุ ัน
มีการคนพบทางฟสิกสบางอยางท่ีมีแนวโนมบังเอิญไปสอดคลองกบั ขอสรุปของจิตนิยมแบบ
อัตนัยของเบอรคเลย ประการท่ีหน่ึง ในการมองเห็นวัตถุน้ัน จะมีชวงขณะหนึ่งกอ นทแ่ี สงจะเดินทาง
จากวตั ถมุ าสูเ รตนิ าของนยั นต า ซงึ่ จะเปนชวงที่วัตถุ ไมเปนส่ิงที่เรามองเห็น เพราะการมีอยูของมันยัง
ไมปรากฏในชวงนัน้ ประการทีส่ อง ขอเทจ็ จริงท่วี าเราเพยี งแตรูในสิ่งเราท่ีไดร ับมาโดยทางอวัยวะรับ
สัมผัส ภายหลังเหตุการณแนนอนไดเกิดขึ้นในระบบประสาทและสมอง แสดงใหเห็นวา น่ันเปน
เหตุการณในสมองของเราซง่ึ เปน สาเหตใุ หเ ราเรม่ิ จะรู จึงทาํ ใหนกั คิดบางคนสรุปวาตราบใดก็ตามที่เรา
ยังมีความรูในโลกภายนอก กค็ ือ การท่ีเราเกี่ยวพนั กับวงจรของประสาทและปฏิกิริยาตอบสนองของ
เรา พดู งายๆ กค็ ือวา การรับรูโลกภายนอกของเราตองข้ึนอยูกบั ประสาทสัมผัสน้ันเอง ประการท่สี าม
ฟสกิ สไดวเิ คราะหสสารวา ประกอบดว ยอะตอมและอีเลคตรอน ซ่งึ เปนอนุภาคเล็กๆ ที่ไมม ีคุณสมบัติ
ใดๆ ที่เราเช่ือวาเราไดพ บเห็นในวัตถุ ไมมสี ี กลิ่น รส แข็ง รูปราง เปนตน ยกเวนการมที ่ีอยูในอวกาศ
ซึ่งถาโลกภาพนอกประกอบดวยอะตอมที่ปราศจากคุณสมบัติใดๆ จริงแลวคุณสมบัติตางๆ ที่เรามี
ประสบการณน ัน้ มาจากไหน แตฟสกิ สก็คงจะไมยอมรับวา ความสาํ นกึ ของคนเราเปนผูสรางคณุ สมบัติ
เหลานีข้ ึ้นมา แตอยางไรก็ตาม แมวาการคนพบของฟสิกสปจจุบันจะมีสวนสอดคลองกับจิตนิยมแบบ
อตั นัยก็ตาม แตกไ็ มไ ดห มายความวาฟส ิกสมบี ทบาทสนับสนุนจิตนิยม เพราะถาขอเสนอของจิตนิยม
จรงิ ในโลกนีก้ จ็ ะไมมีส่งิ ทเี่ ปน สสารอยเู ลย เชน รงั สีของแสง คลน่ื ตางๆ ในบรรยากาศ, ระบบประสาท,
สมอง, เซลลม ีชีวติ , อวัยวะสัมผัส ส่ิงเหลาน้ีจะเปนเพยี งความคิดใจจิตของนักฟสิกสเทา นั้น และถาถือ
วา สงิ่ เหลา นี้เปน ส่งิ ท่ีมอี ยใู นธรรมชาติจริงมันก็เปนเพียงมายา แตวิทยาศาสตรยอมรับวาสิ่งเหลาน้ีจริง
และเปนส่ิงในธรรมชาติ และยังถือวาเปนฟนเฟอ งของเคร่ืองจักรท่ีทาํ หนาที่รับรูโลกภายนอก ดังนั้น
แมวาอาจเปนความจรงิ ท่ีวา เราสามารถรเู พยี งแตเหตุการณทีเ่ กิดขึ้นกบั รางกายและสมองของเรา แตก็
ไมอาจจะกลาววาขอสรปุ น้ีเปน เหตผุ ลในการสนบั สนนุ จติ นยิ มแบบอตั นัย
สรุปปรัชญาจิตนิยมแบบอตั นัยของเบอรค เลย
ตอปญหาท่ีวา สิ่งท่ีเรารูคืออะไร? เบอรคเลยไดเสนอคําตอบวา ส่ิงท่ีเรารูก็คือ ความคิดของ
จิตของเรานั้นเอง เพราะวาสิ่งที่เรารูหรือความรูของเราไดแกวัตถุและสิ่งทั้งหลายภาพในโลก ซึ่งส่ิง
เหลาน้ีมีแกนแทคือการถูกรับรูดวยจิตของมนุษย ดังน้ันการมีอยูของมันจึงเปนอิสระจากจิตไมได
๒๐๗
เพราะไมวาเราจะคิดถึงมันในแงใดก็ตาม เรากต็ องคิดถึงมันในลักษณะท่ีมันมีคุณสมบัติที่เปนผัสสะที่
เกิดกับคนทั้งส้ิน แมวาคุณสมบัติบางอยางของวัตถุ เชน น้ําหนัก รูปราง ขนาด ซึง่ โดยทัว่ ไปนาจะถือ
วา เปนคุณสมบัติที่มีอยูในตัววัตถุหรือสสารจริงๆ เพราะไมเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณของผูรู
เชน คุณสมบัติพวกสี รส หรือกล่ิน ก็ไมอาจพนไปจากการรับรูของคนได ท้งั น้ีเพราะวัตถุทัง้ หลายมไิ ด
แทจริงดวยตัวของมันเอง นี่เปนทัศนะแบบอสสารนิยมซึ่งถือวา ไมมีความเปนจริงที่เปนสสารอยูเลย
เพราะถาเราจะกลา วถงึ การมีอยขู องสิง่ ใดก็ตาม ก็ตอ งกลาวถึงในฐานะท่มี ันเปน ส่งิ ทีค่ นเรารบั รู
ปรัชญาจิตนิยมของเบอรคเลยดูจะขัดกบั สามญั สํานึกของคนทั่วไป จึงทําใหนักคิดจํานวนไม
นอยเหน็ วา ทฤษฎขี องเขาคอ นขา งจะประหลาด เพราะความเช่ือวา โลกน้ีไมมีส่งิ ท่เี ปนสสารอยูเลยนั้น
ไมอาจจะสลัดความขอ งใจออกไปไดว า ถาอยางน้ันไมมีสงิ่ ที่มอี ยูจรงิ ภายนอกตัวมนษุ ยเ ลยหรอื อยางไร
๒.๒ ลทั ธิสจั นิยม
๑. การโตแยง ตอลัทธจิ ิตนยิ ม
ศตวรรษท่ี ๑๙ ปรัชญาจติ นิยมครอบคลมุ ปรัชญาตะวนั ตกเกือบทงั้ หมดพอเร่ิมศตวรรษท่ี ๒๐
ก็ไดมีปฏิกิริยาคัดคานขึ้นในอังกฤษ โดยมี มัวร (G.E. Moore) ไดเขียนบทความข้ึนเร่ืองหนึ่ง ซ่ึงมี
สาระสําคัญในการชีแ้ จง ขอผดิ พลาดของเบอรคเลย ท่เี สนอความคิดวาวัตถุในธรรมชาตินั้นไมอาจจะมี
อยูโดยอิสระจากจิตใจได นั่นก็คือยอมให “การมีอยู” (being) มีความหมายเทากับ “การถูกรับรู”
(being perceived) บทความของมัวรไดส่ันสะเทือนสถานะขงิ นักจิตนิยมทีย่ ืนยันหลักการดังกลาว
นักคิดในอังกฤษและอเมริกาสวนมากประทับใจตอบทความน้ี จึงเกิดความคิดสัจนิยมขึ้นมากมาย
หลักการท่ัวไปของสัจนิยมก็คือ ส่ิงท้ังหลายคือโลกภายนอก มีความแทจริงในตัวของมันเอง โดยไม
ข้ึนอยูกับการรับรูของจิตมนุษยแตอยางใด ฉะนั้น ถา ไมมีมนุษยคนใดเลยในโลกมาเปนผูรับรูแลว สิ่ง
ตางๆ ก็ยังคงมีอยูเปนอยูอยางน้ัน แตนักปรัชญาสัจนิยมตางๆ มีความเห็นที่แตกตางกันออกไปใน
รายละเอียดของเร่ืองสําคญั ๒ เรื่อง คอื ประการท่หี น่ึง ที่วาโลกภายนอกหรือวัตถุมคี วามเปนจริงใน
ตัวเองนนั้ มนั จริงในลักษณะใด ประการที่สอง ถาเชื่อวาการมีอยูของวัตถุตา งๆ ไมขึน้ กบั การรูของจิต
มนุษยแลว ในการรูจักวัตถุน้ันรูอยางไร คือ เรารูจักมันโดยตรง หรือวาตองผานผัสสะหรือตัวกลาง
บางอยาง คําตอบตอประเด็นท้ัง ๒ น้ี ทําใหสัจนิยมมีความแตกตางกันออกไป แตกอนอื่นเรามา
พจิ ารณาถงึ ขอวจิ ารณท พี่ วกเขามีตอจติ นิยมของเบอรค เลย๙
๑. มัวร ใหขอคิดวิจารณวา เบอรคเลย ไมแยกการกระทําคือการมีผัสสะกับวัตถุของผัสสะ
ออกจากกนั เชน สบั สนระหวา งผัสสะของของสีนาํ้ เงินกบั วัตถุทม่ี ีสีนํ้าเงิน ทั้งยังบอกวาเปนส่ิงเดยี วกนั
เสียอีก ผัสสะนัน้ มนั เหมือนกนั ในการกระทําท่ีเปนการรูจักมนั แตตางกันไปในเร่ืองของส่ิงที่เรารจู ักมัน
เชน ผัสสะสีนา้ํ เงินของทองฟากบั ของทะเลที่เราไดร บั ทางประสาทอาจเหมอื นกัน แตวัตถุของผัสสะคือ
๙ วทิ ย วศิ ทเวทย, ปรชั ญาทั่วไป, (กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พอกั ษรเจรญิ ทศั น, ๒๕๒๒), หนา ๔๔.
๒๐๘
ทอ งฟากบั ทะเลนนั้ เปนคนละอยา งกนั ดังนนั้ ในเมอื่ วตั ถเุ ปน คนละสิ่งกันกับการรูจักมันเชนน้ีแลวก็มีมี
เหตุผลใดเลยทจ่ี ะบอกวา วตั ถไุ มม ตี ัวตนอยถู า มนั ไมถ กู ับรดู ว ยจิตของใคร
๒. นกั สัจนิยมใหมช ื่อ เพอรรี (R. B. Perry) วิจารณจิตนิยมแบบอตั นัยวาเปน “ประเดน็ ท่ยี ึด
ตวั เองเปนศนู ยกลาง” (Egocentric Predicament) การวิจารณน้ีเปนเสมือนอาวุธรายแรงท่ีทาํ ราย
สถานะของจิตนิยม สาระสําคัญของการวิจารณก็คือวา เมื่อมนุษยคนใดที่รับรูโลก หรือ คิดเกี่ยวกับ
โลกนัน้ เขาคดิ เกย่ี วกบั มันในลักษณะท่เี ปนความสัมพันธกับตวั เองเสมอ คือวัตถุน้ันจะมีใครรูจักมันได
มนั กต็ องเปน วตั ถุในความรขู องคน รียกวา มคี วามสมั พนั ธทางความรูกับตวั ผรู ู สวนวัตถุในสถานการณ
ที่กอนจะมีใครรูจักมันนั้นเปนอยางไรไมมีผูใดทราบ เพราะในทันทีที่คนเราเริ่มคิดถึงมัน มันก็จะ
กลายเปนวัตถุในความรูของเรา มีความสมั พันธภาพทางความรูกับเราทันที สําหรับตรงนี้ นักปรัชญา
ไมวาจะเปนฝายใด สัจนิยมหรือจิตนิยมตองยอมรับวาจริง แตขอเท็จจริงท่ีวามีความสัมพันธเชนน้ี
(ความสัมพันธระหวางผูรูกับวัตถุที่ถกู รู) ในการคดิ ทงั้ หลายของเราเปนขอยุงยากอนั หน่ึง คอื จิตนิยม
แบบอัตนัยไปถือวา “การมีอยู” (ของวัตถุ) ก็คือ “การถูกรับรู” จริงอยูที่วาไมมีนักปรัชญาคนใดจะ
สามารถถกเถยี งถงึ ส่ิงใดกต็ ามที่ไมใ ชเ ปน ความคิด เพราะวาในการถกเถียงนัน้ เราตองเปล่ียนสิ่งน้ันมา
เปนความคิดของเรากอนจึงจะเริ่มใหเหตุผลได ดังน้ันก็หมายความวา “สิ่งใดที่เรากลาวถึงก็คือ
ความคดิ อันหนึ่ง” แตนี้ไมใช หมายความวา “ความคิดเทานั้นที่มีอยู” ดังน้ันประเด็นที่ยึดตวั เองเปน
ศูนยกลาง จึงเปนลักษณะของความคดิ ในการคดิ เรายึดตวั เองเปนที่ต้ังใด แตไมใชลักษณะสิ่งท่ีมีอยู
หรือวัตถุ ถา ใครจะกลาววาเขาไมไดเคยพบเห็น ก. มันไมไดเปนสิ่งในความคดิ หรือในการรับรูของเขา
เลย น้นั ก็ไมใชหมายความวา ก. ไมไ ดมอี ยูใ นโลก
แบบตา ง ๆ ของสจั นยิ ม
ลัทธิสัจนิยมท้ังหลายนั้น พอจะแยกออกไดเปน ๒ ประเภทใหญๆ แตละประเภทแบงยอย
ออกไปไดดังน๑้ี ๐
๑. สัจนิยมโดยตรง (Direct Realism)
ก. สจั นยิ มแบบผวิ เผิน (Naïve Realism)
ข. สจั นิยมแบบสามัญสํานึก (Commonsense Realism)
ค. สจั นยิ มใหม (New Realism)
๒. สัจนยิ มแบบโดยออม (Indirect Realism)
ก. สจั นิยมแบบตวั แทน (Representative Realism)
ข. สจั นิยมวจิ ารณ (Critical Realism)
๑๐ วโิ รจ นาคชาตร,ี รศ., ปรัชญาเบอื้ งตน, หนา ๑๓๓.
๒๐๙
ปรัชญาสจั นยิ มนบั วา ครองใจนักปรัชญาจาํ นวนมากในศตวรรษท่ี ๒๐ ซ่งึ อาจเปนเพราะวาสัจ
นิยมประสบความสําเร็จมนการเสนอทศั นะเก่ยี วกบั โลกภายนอกท่ีใกลเคียงกับทัศนะของคนทว่ั ๆ ไป
สอดคลอ งกบั สามัญสํานกึ และวทิ ยาศาสตร
๑. สัจนยิ มแบบโดยตรง
สัจนิยมแบบน้ีมีทัศนะท่ัวไปวา การรับรูหรือการประจักษเปนผูรูจักโดยตรง คือ เปนการ
เผชิญหนากันอยางตรงไปตรงมากับวัตถุภายนอก ซึ่งสัจนิยมแบบน้ีจะตรงกันขา มกับสัจนิยมแบบโดย
ออ มซึง่ ยนื ยันวา การรับรใู นตัววตั ถนุ นั้ เปนการทเ่ี รารับรใู นตัวแทนของวตั ถุภายนอก ซึ่งตัวแทนนี้อยูใน
จิต ลทั ธิสจั นิยมทีจ่ ัดเปนพวกโดยตรงท่จี ะนาํ มากลา วในที่น้มี ี ๓ แบบ คือ
ก. สัจนยิ มแบบผิวเผิน
สจั นยิ มแบบผวิ เผินเปน แบบทีง่ า ยและเรยี บท่ีสดุ ของสัจของนิยมแบบโดยตรง ซึ่งนักปรัชญาดู
มองวาเปนทัศนคตขิ องคนทั่วไปท่ีปราศจากความลึกซ้ึง น้ันคอื เม้อื เรามองดูรอบๆ ตัวเราภายในพ้นื ที่
อนั กวางใหญ เราจะไดเห็นพบสีตา งๆ เราเช่ือวาน่ันเปนพ้ืนหนาที่แทจริงของวัตถุ เมือ่ เราไดย ินสรรพ
สาํ เนยี งทั้งหลาย เราก็เชื่อวาเสียงเหลาน้ันมาจากวัตถุนั้นๆ จริง เชน เสียงเครื่องบินกย็ ังเปนเสียงของ
เคร่ืองบินจริง เสียงรถยนตก ็เปนเสียงรถจริงๆ ถาเราเอามือสัมผัสโตะแลวรูสึกลื่นและแขง็ เราเชื่อวา
นัน้ คือคุณสมบตั ขิ องโตะ จรงิ ดงั นั้น สัจนิยมแบบผิวเผินถอื วาทุกประการของวัตถุ เชน คุณสมบัตพิ วก
สี, รูปราง, เสียง, แขง็ ฯลฯ มคี วามแทจริง คือ เปนคณุ สมบัติท่ีฝงอยูภายในของตัววัตถุในธรรมชาติ
ทงั้ หลาย รวมความแลว สจั นิยมเชนน้ถี อื วา ทกุ สิ่งทเ่ี ราพบเหน็ จับตอ งไดย นิ ลวนเปน จริงทั้งสนิ้
ท่ีนี่ลองพิจารณาดูวาทัศนะแบบนี้สมเหตุสมผลหรือไม เราจะพบวามีขอบกพรอง สมมุติวา
ถา ออดมองเห็นโตะ ตวั หนึ่งจากท่ีสงู เขาก็จะเห็นโตะ นี้เปนรปู กลมแตถาแอดมองจากท่ีไกลเขาก็จะเห็น
โตะนรี้ ีเหมอื นรูปไข แตท งั้ ความกลมและความรไี มอ าจท่ีจะเปนคณุ สมบัติภายในทั้งสองอยางของโตะ นี้
ไดเชนเดยี วกัน ถาหากอูดซง่ึ ตาบอดสีมองไปท่ีหนังสือปกสีแดงเลมหน่ึง เขาเห็นมนั เปนสีดาํ แตสีดํา
ไมใชเปนคุณสมบัติท่ีแทจริงของหนังสือเลมนี้ หรือทาอ๊ีดดื่มเหลาเมาและกลับบานในตอนดึก เขา
มองเห็นสายยางลดตนไมในสนามเหมอื นงูขดอยู แตสายยางอยางนั้นไมใชงูจริง ตัวอยางเหลานี้เปน
เรื่องของกรณีที่เกิดจากการเขาใจผิด หรือรับรูผิดซึ่งเปนไปไดในความเปนจริงและแสดงใหเห็นวา
ทัศนะของสัจนิยมแบบผวิ เผนิ นีย้ ังมขี อ บกพรอ ง
ข. สัจนิยมแบบสามญั สํานึก
ทง้ั สนิยมแบบผวิ เผินและแบบสามัญสํานึกตางก็ยอมรับวา โลกภายนอกหรือวัตถุท้งั หลายนั้น
มีอยูจริงและเปนเจาของคุณสมบัติตา งๆ และยืนยันวาประสบการณท างผัสสะคือ กระบวนการที่จิต
กระทบโดยตรงกับวัตถุในธรรมชาตเิ ชน โตะ เกา อี้ ตน ไม เปนตน ไมใชเปนการที่คนเรารับรูในผัสสะ
๒๑๐
เชน แกงเขยี วหวาน เปน ตน ขอยนื ยนั ดังกลา วนี้ นกั สัจนิยมจํานวนมากเคยยอมรับมากอน แตปรากฏ
วามีขอบกพรองเชนเดียวกับสัจนิยมแบบผิวเผิน จึงทําใหสัจนิยมแบบอ่ืน ๆ พัฒนาข้ึนมาหลักการ
สาํ คญั ของสัจนยิ มสามญั สาํ นกึ มดี งั นี้
๑. ถือวา การรับรูเปนกระบวนการสองหนวย คือ ในประสบการณทางผัสสะน้ัน จิตผูรูจะ
กระทบกระทั่งกบั บางส่ิงทีไ่ มใชตัวมันเองเสมอ ดังนั้น วัตถุจึงไมใชเปนความคิดของจิตอยางแนนอน
ในการรูจึงตองมีวัตถุเปนสิ่งถกู รู การรูท่ีไมม ีส่ิงถูกรูน้ันเปนไปไมไ ดเชนเดียวกบั ในการตัดสินหรือการ
เขาใจจะไมม สี ่ิงท่เี ราตดั สนิ หรือสิ่งทเี่ ราเขา ใจไมไ ด
๒. การรับรูวัตถุเกิดขึ้น เม่ือวัตถุหน่ึงอยูในตําแหนงท่ีใกลเคียงเหมาะสมกบั อวัยวะรับสัมผัส
อนั ใดอนั หน่ึง ก็กอใหเกดิ การตน่ื ตวั ขน้ึ ในอวัยวะน้ันน้ัน และจะไปกระตนุ ระบบประสาทใหสงกระแส
ประสาทไปยังสมอง สมองกจ็ ะกระตุนใหเกดิ การกระทาํ ที่เปน การรูขนึ้ การรูก็คือ การช้ีมุงไปยังบางสิ่ง
บางส่ิงนี้ก็คือวัตถุในธรรมชาติซ่ึงเปนตัวเรากระตุนผัสสะนั่นเอง ดงั น้ัน วัตถุในธรรมชาติจึงนับวาเปน
ท้งั สาเหตุใหม กี ารรเู กิดขึน้ และเปนวตั ถุของการรูดว ย
๓. ดังนั้น วัตถุในขณะท่ียังไมไดถูกใครรู กับวัตถุที่ถูกรับรูแลวจะไมมีความแตกตางกันเลย
เพราะการรับรูของคนไมไดมีการเพิ่มเติมหรือลดทอนคุณสมบัติอะไรบางอยางใหกับวัตถุเลย วัตถุมี
ธรรมชาติหรือลกั ษณะที่แทจ ริงอยางไร เมื่อมาปรากฏตอจติ ของคนกค็ งเปน อยางนนั้
๔. ประเด็นท่เี ปนขอบกพรอ งของสัจนยิ มแบบน้ี ประการแรก เปนจุดบกพรองทีเ่ หมอื นกับสัจ
นิยมแบบผิวเผินคือ เร่ืองการรับรูสิ่งท่ีผิด ถาหากสัจนิยมท้ังสองแบบนี้ยืนยันวา ตัววัตถุจริง ๆ มี
ลักษณะตรงกับทีป่ รากฏตอเรา หรือกลาวใหชัดเจนก็คอื เม่ือประสาทสัมผัสของเราไดกระทบกระท่ัง
กับวัตถุก็กลาววาเราไดรูจักวัตถุนั้นวามีลักษณะอยางน้ัน อยางนั้น แหละเช่ือดวยวา ความรูของเรา
ตรงกับความจริงทุกอยางถา เชื่อเชนนี้ก็จะอธิบายกรณี เชน การมองเห็นทางรถไฟวามาบรรจบกัน ณ
จุด ทีไ่ กลออกไปสุดสายตาอยางไร เราจะเชื่อหรือวาเปนจริงดังที่เราเห็น ประการที่สอง สัจนิยมแบบ
สามัญสํานึกมองขามเงินไขอื่น ๆ ทจ่ี ําเปนในการรับรูคือ ไมไดวิเคราะหถึงเงื่อนไขอ่นื ๆ ท่ีจําเปนใน
การรับรู คอื ไมไดวิเคราะหถึงเงือ่ นไขเหลานั้น เชน ถา เราตองการรูอะไรเปนสาเหตขุ องการรับรู และ
เรารบั รอู ะไรแลว การอธบิ ายของสามญั สาํ นกึ ไมพ าดพิงถึงเงอื่ นไขอ่ืน ๆ ที่เก่ียวขอ ง เชน ความสัมพันธ
ทางสรรี ะศาสตรก ับฟส ิกสที่ทําใหเกดิ การเคลื่อนไหว การเปล่ียนแปลงท่ีเกดิ กับเรตนิ า (เยื่อภายในลูก
ตาทําหนาท่ีรับภาพ) กระแสประสาท การตนื่ ตวั ท่ีสมองสวนกลาง และผัสสะหรือความรูสึกท่ีเกิดข้ึน
ส่งิ เหลา านเ้ี ปนเสมือนฟนเฟอ งของเครื่องจักร ทต่ี องทําหนาท่ีกอ นทีจ่ ะมีการกระตุนตอ อวัยวะสัมผัสท่ี
จะใหเกิดผลลัพธในการรับรู ประการที่สาม ขอสรุปในการคนควาทางจิตวิทยาและวิทยาศาสตรที่มี
สวนคัดคานสามัญสํานึก นั่นคือการรับรูทางประสาทสัมผัสอยางเดียวไมอาจจะใหความรูสําเร็จรูป
ข้ึนมาได ประสบการณทางผัสสะไมใชเ ปนการที่เรารับรูวัตถุตัวจริงทันที หรือการรับรูของเราไมใชส ่ิง
เดียวกับวัตถุเพราะวาตอ งนําผัสสะท่ีไดไปตีความทางจิตกอนแลวจึงจะออกมาเปนความรู ดังนั้น จึง
๒๑๑
ไมใชว าอวัยวะรับสัมผัสกระทบกบั วัตถุทําใหเกิดกระแสประสาทไปยังสมองแลวสมองกส็ ั่งใหรูในวัตถุ
นัน้ ทนั ที
ค. สัจนิยมใหม
๑. วตั ถุท้ังหลายท่มี ีอยูในโลกมีความแทจริงในตวั เองและเปนเจาของคณุ สมบัตทิ ุกอยางไมวา
จะเปนปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ ดังน้ัน คุณสมบัติท้ังหลายที่ปรากฏใหเรารูจักพบเห็นจึงเปนคุณสมบัติ
ภายในของวัตถอุ ยางแนนอน เชน โตะ ท่ีคนหนึ่งเห็นเปนรูปกลมสวนอีกคนเห็นเปนรูปรีนั้น ทัง้ ความ
กลมและความรีเปนคุณสมบัตภิ ายในที่แทจริงของโตะ ตัวเดียวกันหรือภูเขาทีเ่ ห็นเปนสีเขียวเม่ือมอง
ใกล ๆ แตเปนสีน้ําเงินเมอ่ื มองไกลน้ัน ทง้ั ความเขยี วและน้ําเงนิ เปนคุณสมบัติจริง ๆ ของภูเขา ดังน้ัน
ไมมีคุณสมบตั ใิ ดเลยท่จี ะกลาวไดว าเปนของจติ และเปนเร่ืองสวนตัว คอื ข้ึนอยูกบั การรับรูของตัวผูรูแต
อยา งใด จะเห็นวา เราสามารถท่จี ะบันทึกภาพของวัตถใุ ด ๆ ไวก็ได
๒. บทบาทของระบบประสาทและกระบวนการอันเปนสาเหตุของการรับรูเปนเพยี งการเลือก
และเปดเผยใหกบั ตัวผูรใู นคุณสมบัติใดคุณสมบัตหิ นึ่ง ในแตละคุณสมบัติ เชน คนหน่ึงเลือกรับรูความ
กลมุ ของโตะ อกี คนเลือกรับรลู กั ษณะรีเปนรูปไขของโตะ เปนตน ความเช่ือน้ีเรียกวา “ทฤษฎีของการ
เลอื ก”
๓. ในการรับรวู ตั ถทุ ั้งหลายของคนเราจึงเปนการรูจักมันโดยตรง คอื ถาเรารับรูบานหลังหนึ่ง
ตวั บานหลังน้ันเองเปนส่ิงที่เรารับรู ไมใชวาเรารับรูในผัสสะทางตา หู หรืออวัยวะรับสัมผัสใดแลวมา
สรางเปน ความรูห รือมโนภาพข้นึ ในจติ แตเปนการทีเ่ รารับรวู ตั ถใุ นสภาวะที่เปนความจริงในตวั ของมัน
เองการรูไมตองอาศัยขอมูลทางผัสสะหรือการสรางมโนภาพของวัตถุ แตวัตถุภายนอกคือสิ่งท่ีเรารู
หรอื เปน ความรขู องเรา สิง่ ทีเ่ รารูจึงไมใชต วั แทนหรือภาพเหมอื นของวตั ถทุ ีจ่ ิตสรา งข้ึน
๔. ขอยุงยากของสัจนิยมใหมก ็คือ ประการแรก ถายอมรับวาคุณสมบัติทุกอยางของวัตถุท่ีเรา
ไดรับรูนั้นเปนคุณสมบัติของวัตถุนั้นจริง ๆ แลวในกรณีท่ีเกิดมีการเขาใจผิดหรือมีการรับรูผิด จะ
อธิบายอยางไร ประการทส่ี อง ถาเรากลาววาโตะตัวหนึ่งมีคณุ สมบัติภายในทีท่ ั้งกลมและรี หรือภูเขา
ลูกหนึ่งมีท้ังคุณสมบัติสีเขียวและสีนํ้าเงินรวมอยูในตัว ก็ดูจะเปนการขัดแยงกันในตัวเอง หรือวัตถุ
จะตองมีความซับซอ นอยางมากทีเดียวถา มันมีรูปรางตาง ๆ รวมอยูในตัวและ ประการที่สาม ระบบ
ประสาทของคนเราจะเลือกรับรูรูปรางใดรูปรางหน่ึงหรือสีใดสีหน่ึงในจํานวนหลายหลายสีน้ันอยางไร
สจั นิยมใหมไมไดใ หค วามกระจา งในจุดน้ีโดยเฉพาะอยางยง่ิ ในกรณขี องคนตาบอดสี หรือคนเมาซ่ึงรับรู
รปู รา งและสแี ตกตา งไปจากการรบั รปู กติ
๒๑๒
๒. สัจนยิ มแบบโดยออ ม
หลกั การทั่วไปของสัจนิยมแบบโดยออ มเปนการปฏิเสธทศั นะของสัจนิยมโดยตรงสัจนิยมโดย
ออมนี้มีการแบงออกเปนวัตถุภายนอกในฐานะทเี่ ปนตวั สาเหตขุ องการรับรูและเปนวัตถุของการรับรู
กับขอมลู ทางผัสสะซ่งึ เปนปฏิกริ ิยาทางจติ ของขบวนการของสมอง โดยขึ้นอยูกบั การกระทําของวตั ถุ
ภายนอกตอ อวยั วะรับสมั ผสั ตางๆ
ก. สจั นยิ มแบบตวั แทน
๑. ในการรับรูว ัตถุเชน การมองเหน็ โตะ ตวั หนึ่ง อธิบายปรากฏการณน้ีไดวาเม่อื ลําแสงสะทอน
จากโตะ มากระทบในตาเปนเหตใุ หเกิดการเปล่ียนแปลงทางเคมีตอเรตินา (เย่ือภายในลูกตาทําหนาที่
รับภาพเหมือนจอภาพยนตร) และสงแรงกระตุนไปตามประสาทตาเพ่ือไปสูสมอง สมองก็จะกระทํา
การผลักดันใหจิตของผูรับรูไดตระหนักในผัสสะที่เปนสวนตัวข้ึน ซึ่งเปนความคิดของจิต (ความคิด
เชิงเดี่ยวในปรัชญาของลอค) ผัสสะน้ีเปนตัวแทนของคณุ สมบัติตาง ๆ ของโตะ เชน รูปราง สี ดังน้ัน
ประเดน็ สําคญั คือการรับรทู แ่ี ทจริง กค็ อื การตระหนกั รโู ดยตรงในผสั สะ ซ่งึ วตั ถเุ ปน ตัวทาํ ใหเกิดขึ้นการ
รจู ักสงิ่ ตาง ๆ ตอ งอยภู ายในขอบขายของผัสสะท้ังส้ิน การรับรูแบบนี้จึงจัดเปนกระบวนการ ๓ หนวย
(Three-term process) เพราะการรบั รูวตั ถุเปนการรับรูผา นตวั แทนที่เปนผัสสะหรอื เปน ความคดิ ของ
จิตตรงกนั ขามกับสจั นยิ มแบบโดยตรงท่ีการรบั รูวัตถุเปน การรูจกั ตวั วตั ถจุ รงิ ๆ ไมไ ดผานตวั แทนอะไร
๒. วัตถุทัง้ หลายท่ีอยูภายนอกตวั คนนั้น มีความแทจ ริงแตเ ปนความแทจริงในลักษณะท่ีเปน
สสารทีม่ แี ตคุณสมบัติปฐมภูมเิ ทา น้ัน เพราะคณุ สมบตั ิประเภทน้เี ปนคณุ สมบัตทิ ่ีทกุ ส่ิงตองมีเหมือนกัน
หมด วัตถุใดกต็ ามจะตองมขี นาดรูปราง น้ําหนัก การเคล่ือน เหลานี้เปนคณุ สมบัติทม่ี ีความคงทนติด
อยูกับวัตถุตลอดไป สวนคุณสมบัติทุติยภูมิน้ันไมไดมีอยูในตัววัตถุ เพราะมันเปนส่ิงที่จิตของคนเปน
ผูสรา งขน้ึ มาในเวลาทเี่ รารับรูวัตถทุ ม่ี ีแตค ุณสมบัตปิ ฐมภูมิ ดงั นนั้ สแี ละกล่ินของดอกกุหลาบ สีและรส
ของขนมทองหยิบจะมีขึ้นไดก็ตอเม่ือมีการรับรูของคนตอมัน ดวยเหตุน้ีเองคุณสมบัติเหลาน้ีจะไม
คงทนหากตองผันแปรไปตามสถานการณของคนทรี่ ับรู เชน คนตาบอดสีจะมีการเห็นสีตาง ๆ ผิดไป
จากคนตาปกติ ดังนั้นผัสสะทั้งหลายจะมีความเหมือนกันกับคุณสมบัติปฐมภูมิของวัตถุ เชน เรา
มองเห็นขนมเปยะวา มีรูปรางกลมผัสสะของความกลมน้ีจะตรงกันกับคุณสมบัตกิ ลมท่ีมอี ยูในตวั ขนม
แตผัสสะท่เี ปนพวกสี เสียง กลิ่น รส อณุ หภูมิจะไมเหมือนกับคณุ สมบัติทุตยิ ภูมิของวัตถุ เพราะในตัว
วตั ถจุ ริงๆไมไดม ีคุณสมบัตพิ วกนี้อยูเลยมันเปนสิ่งท่ีจิตสรางขนึ้ โดยมีคุณสมบัติปฐมภูมิของวัตถุเปนตัว
ผลักดันใหเ กดิ มีขนึ้
๓. จุดบกพรองของสัจนิยมแบบตัวแทนก็คือถา ถือวาการรับรูของเราเปนการตระหนักรูใน
ผัสสะที่เปนสวนตัวและเปนความคิดของจิตแลว ก็เปนการยากท่ีจะทําลายแวดวงของผัสสะออกไป
และไดป ระจกั ษโลกภายนอกน้ันจรงิ ๆ เราจะบอกไดอ ยางไรวา วัตถุเหลานม้ี ีอยู ถา เราพยายามพิสูจน
๒๑๓
วาโตะตัวหน่ึงมีอยูดวยการเอามือไปสัมผัสมัน ซึ่งก็เพียงแตเราไดรับผัสสะของพื้นผิว หรือถาเรา
มองเห็นวามือของเราสัมผัสโตะ กเ็ พียงแตเ ราไดรับผัสสะของการเห็นเทาน้ัน เม่ือใดทเ่ี ราพยายามจะ
เพงดูออกไปภายนอกขอบขายของผัสสะเราก็จะมีแตไดรับผัสสะมากข้ึน หลักการของสัจนิยมแบบ
ตวั แทนน้ี กเ็ หมือนกับการถายภาพนั่นเองเราไมไ ดร ูจักตัวจริงของวัตถุแตรูจักภาพถา ย ซึ่งเปนตัวแทน
ของวัตถุ ตา งกันตรงที่วาเราไดร วู าภาพถายน้ันเหมอื นกับตัวจริง เพราะเราสามารถท่ีจะสังเกตุเห็นท้ัง
ภาพถายรถตัวจริง แตเราไมอาจจะเปรียบเทียบวัตถุจริงของผัสสะไดวามันเหมือนกันหรือไม การ
ตรวจดูวตั ถุ ก็คอื การตรวจดูผสั สะที่เหมอื นกันเฉพาะในสว นทเ่ี ปนคณุ สมบตั ปิ ฐมภมู ิเทา นัน้
ทฤษฎีสจั นิยมแบบตัวแทนก็คอื ปรัชญาของจอหน ล็อค ทไ่ี ดก ลา วมาแลวท่ีวาดว ยปญหาเรื่อง
ตนกําเนิดของความรูนั่นเอง ซึ่งในปญหาดังกลาว เราเรียกปรัชญาของเขาวา ประจักษนิยม เพราะ
ยืนยันวาความรูของคนเราเริ่มมีขึ้นจากประสบการณทางประสาทสัมผัส ตอมาในปญหาเรื่องส่ิงท่ี
คนเรารูคืออะไร เราเรียกปรัชญาของเขาวา สัจนิยมแบบตัวแทน เพราะยืนยันวาการรูจักวตั ถเุ ปนการ
รโู ดยผานความคดิ ทีเ่ ปน ผสั สะซงึ่ เปน เพยี งตวั แทนของคุณสมบัตแิ ทจ ริงทมี่ ีแตคุณสมบัติปฐมภูมเิ ทา นั้น
น่เี ปนแนวที่ใกลเคียงกับวิทยาศาสตรทีเ่ สนอสมมตุ ิฐานวา ในวัตถหุ รือสสารประกอบดว ยอนุภาคเล็ก ๆ
ทม่ี ีการเคลื่อนตวั ตลอดเวลาไมไดม คี ณุ สมบตั พิ วกสเี สียงรถ เปน ตน แตอยางใดอยางไรกด็ ีมีผูวิจารณว า
หลกั การของสัจนยิ มเชน นีใ้ นทสี่ ุดไมอาจเลีย่ งผลจากการนําไปสจู ิตนิยมแบบอัตนยั ของเบรค เลยได
ข. สัจนยิ มเชงิ วิจารณ
เปนทัศนะที่ไมเห็นดวยกับสัจนิยมใหมท่ีเห็นวาคนเรารับรูตัววัตถุจริง ๆ ท่ีอยูตอหนาเราจึง
เสนอแนวคิดวา
๑. การยอมรบั วาวัตถภุ ายนอกมคี วามแทจ รงิ โดยไมข้นึ กบั การท่ีตอ งมคี นมารูจักมัน แตคนเรา
ไมอาจจะรูจักตัวจริงของวัตถุไดเพราะประสบการณของคนเราไมไดเขาถึงความเปนจริงของวัตถุใน
สภาวะท่ีไมมีส่ิงใดปกคลุม แตการรับรูในวัตถุน้ันตองรูดวยผานตัวกลางบางอยาง ดังนั้น วัตถใุ นการ
รบั รขู องคนเราจึงไมใ ชตัววตั ถุจริ งแตเปนวตั ถุตามท่ีปรากฏแกจติ ทร่ี ูจ ักมนั
๒. ตัวกลางน้ีเรียกวาขอมูล ซึ่งจะกลาววาเปนลักษณะจริงของวัตถุก็ไมได หรือจะถือวาเปน
สภาวะของจิตของผูรูก็ไมได เพราะมันเปนสภาวะรวมกันของท้ังสองอยาง ขอมูลน้ีเปนลักษณะท่ี
ซับซอ นทจ่ี ะเกดิ มขี ึน้ ในขณะทีม่ ีการรบั รูขอ มูลนี้สะทอนใหเห็นถงึ ธรรมชาติของวัตถแุ ละธรรมชาติของ
จติ ผรู ูรวมกันมนั จึงไมใชตัววตั ถุจรงิ และกไ็ มใชส ภาวะของจิตอยางเดยี ว ขอ มลู น้เี ปนสาระสําคัญเปนตัว
ลักษณะที่ชี้บง ถงึ ความเปน อะไรของวัตถุในฐานะท่เี ปนสง่ิ ถกู รู
๓. ดงั นั้นในการรบั รโู ลกภายนอกของคนเราจะมีปจจยั ๓ อยาง หน่ึง คือจิตที่เปนผูรู สอง คอื
วัตถุใด ๆ ในสภาพดังเดิมของมันและสาม คือขอมูลซ่ึงไดมาโดยทางอวัยวะรับสัมผัส ขอมูลนี้เปน
สภาวะรวมกนั ของวัตถุและจิตผูรู เพราะในขณะท่ีมีการรับรูวัตถุภายนอกเกิดขึน้ น้ัน เราไมไดรับรูตัว
๒๑๔
จริงของวัตถุแตจะตองมีการเกีย่ วของกับเน้อื หาภายในของจิตเสมอ เชน มกี ารตดั สินใจใหชัดเจนวามัน
คืออะไร หรือมันเปนลักษณะของส่ิงใด หรือเราทําการตอบสนองตอมันในทันที การเกี่ยวของกับ
เนื้อหาทางจิตน้ีจะเกิดขนึ้ ในระดบั ตา ง ๆ ตามแตสถานการณต ัวอยาง เชน เรากลาววา วิชัยอยูน่ันไง
เปนการมองเห็นวิชัย และยังมีการช้ีชัดลงไปวาเขาอยูท่ีนั่น หรือน่ันไงรถเมลของฉันมาแลว ก็เปนการ
รบั รรู ถเมลและชีช้ ัดลงไปวา มนั เปนสายทต่ี นจะขึ้น ขณะเดยี วกนั ก็จะมีการเตรียมพรอมที่จะขึ้นรถซึ่ง
เปน ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองทางจติ วิทยา
๔. แมวาสจั นิยมวจิ ารณจ ะเปน สัจนิยมแบบสุดทายของการพฒั นาของลัทธิ แตส ัจนิยมวิจารณ
กย็ ังมีขอ ใหวิจารณไ ดอยูอีก นั่นคอื การอางถงึ ตวั กลางในการรับรู ซึ่งดูเหมอื นลอยอยูระหวางวัตถุกับ
ผูรูซ่ึงการอธิบายออกจะเปนสิ่งลึกลับและลึกซ้ึงเกินไป และการถือวาเราไมอาจจะเขาถึงตัววัตถุท่ี
แทจริงไดก็ยิ่งลึกลับมากขึ้นเพราะเปนการถอยหลังกลับไปสูปรัชญาของนักปรัชญาชาวเยอรมันชื่อ
คานท ซ่งึ เสนอวา ลูกภายนอกเปน สง่ิ ทีไ่ มอ าจปรากฏตัวจริงของมันตอการรับรูของคนไดวัตถุตาง ๆ มี
อยูในฐานะเปนสิ่งในตัวเอง ท่ีเราไมอาจจะรูจักธรรมชาติแทจริงของมันได เพราะการรับรูวัตถุตองรู
ตามกลไกหรอื โครงสรา งของสมอง ดังนัน้ วตั ถขุ องจรงิ กับสิ่งท่เี รารูจะไมเหมือนกนั
๒๑๕
สรุปทา ยบท
ปรัชญาเหตุผลนยิ ม
นักปรัชญาเหตุผลนิยมรวมทั้งเดการต เสนอแนวความคิดท่ีสําคัญวาคนเราสามารถจะมี
ความรใู นประเภททไี่ มต อ งอาศัยประสบการณไ ด โดยการใชความคดิ พิจารณาตามเหตผุ ล ความรูชนิด
นี้เปนจริงตลอดไปไมอาจลบลางได และเราสามารถใชความรูนั้นเปนหลักพื้นฐานคิดหาความรูอืน่ ๆ
ตอไปไดอยา งเหมาะสม สว นประสบการณนน้ั ใหเราเพียงแตข อมูลทเ่ี กีย่ วกบั คณุ สมบัตติ าง ๆ ของวัตถุ
และความเปนไปของโลกภายนอก แตขอมูลที่ประสบการณใหก็ใชวาจะถูกตองแนนอนเสมอไป
ประสบการณ ทาํ ใหเ ราเขา ใจผิดอยบู อ ย ๆ จึงไมอ าจเช่ือถือไดแนนอน สติปญญาของมนุษยตา งหากท่ี
จะใหความรูท่ีแนนอน และจากการยืนยันความสามารถในการคิดของคนเราเชนนี้ ทําใหนักปรัชญา
เหตุผลนิยมสว นมากตอ งยอมรับการมอี ยขู อง “จิต” ในฐานะทเี่ ปน “สิ่งแทจริงที่รคู ดิ ได”
ปรชั ญาประจกั ษนยิ ม
โดยทวั่ ไปปรัชญาประจักษนิยมยืนยันวา บอเกดิ ทีแ่ ทจ ริงของความรูกค็ ือประสบการณส วนที่
เปน ผสั สะเทา นนั้ หลกั การตา ง ๆ ที่พวกเหตุผลนิยมอางวาเกดิ ขนึ้ กอนประสบการณนั้น ทแ่ี ทแลวกม็ า
จากประสบการณน ่ันเอง เพราะจิตของคนเราไมไ ดม ีความรูอยูกอ น แตในสภาพเร่ิมตนจิตเปนเสมือน
กระดาษขาวทเ่ี ตรียมใหประสบการณป ระทับลงไป ความรูทกุ อยางจึงมาจากประสบการณ จุดเริ่มตน
ของความรูทงั้ หลายของคนเราก็คือ ผัสสะ ดังคํากลาวของวิลเลียม เจมส นักประจักษนิยมคนหน่ึงวา
“ผสั สะเปนมูลรากและจุดเร่มิ ตนของความรู สว นความคดิ คอื ลําตน ท่แี ผกิง่ กานออกไป”
ปรชั ญาจิตนิยม
กลุมจิตนิยม ถือวา จติ เปน ความแทจ รงิ สูงสุดเพียงส่ิงเดียวเทาน้ัน สสารเปนเพยี งปรากฏการณ
ของจิตเทานั้น เชน รางกายมนษุ ยเปนเพยี งปรากฏการณช ว่ั คราวของจติ เปน ทอี่ ยูอาศยั ชัว่ คราวของจิต
เม่ือรางกายสูญสลายจิตสัมพัทธกย็ ังคงอยู ซ่ึงบางทีอาจกลับคืนสูแหลงเดิมของตนคือจิตสัมบูรณอัน
เปนตนตอของสรรพส่ิง ทุกส่ิงทกุ อยางลวนแตอธิบายไดดว ยอาการปรากฏของจิตสัมบูรณท้ังสิ้น จิต
เปนธรรมที่มีเพียงช่อื หารปู ไมได ผมู ีปญหาเทาน้ันจึงจะรูจกั จติ ได
ปรัชญาสัจนยิ ม
สจั นยิ มทกุ แบบมีความเช่ือรวมกันวา มีโลกภายนอกตวั มนุษย โลกดังกลาวประกอบดว ยวัตถุ
ท้ังหลายซึ่งมีความแทจริงตามสภาพของมันโดยไมไดข้ึนอยูวาจะมีมนุษยรับรูมันหรือไม และมีอยู
กอนท่ีจะมีผูใดมารูมัน ถึงแมวาคนเราจะรูจักมันโดยทางประสาทสัมผัส แตจะกลาววามันเปนเพียง
ผัสสะหรือความคดิ ของจิตไมได ฉะนั้นในคาํ ถามท่ีวาสิ่งท่ีเรารูคืออะไรนั่น สัจนิยมไดใหคําตอบวาคือ
๒๑๖
วัตถุทั้งหลายทีม่ ีตัวตนอยูนั่นเอง แตค วามคิดของนักสัจนิยมทง้ั หลายจะแตกตา งไปในเร่ืองของการที่
เรารจู กั วัตถนุ ัน้ รูอยางไร จึงทําใหเกิดมีสจั นิยมแบบตา งๆ
สัจนยิ มโดยตรงเปนกลุม สัจนยิ มท่ีเห็นวาคนเรารูจกั วัตถตุ าง ๆ โดยตรงในกลุมน้ีมี
๑. สัจนิยมแบบผิวเผินมีความเชื่อวาทกุ อยางทค่ี นเราไดรูจักพบเห็นหรือที่ประสาทสัมผัสให
ขอมูลแกเ รานั้น ลว นเปนความจริงทง้ั สน้ิ วตั ถุมีคณุ สมบตั ทิ กุ อยางดภู ายในตัวมันอยา งแทจรงิ
๒. สจั นิยมแบบสามญั สํานึกการรูจ ักวตั ถทุ ้ังหลายก็คือ การกระทบกระทั่งกันโดยตรงระหวาง
มนุษยในฐานะที่เปนอินทรียมีชีวิตกับวัตถุตาง ๆ ที่มีอยูในธรรมชาติ วัตถุเปนท้ังสาเหตุใหเกิดการรู
และเปน วตั ถขุ องการรู
๓. สจั นยิ มใหมในการรจู ักส่ิงตา ง ๆ สัจนิยมใหมม ีความเช่ือที่ตรงกับสัจนิยมสองแบบแรก คือ
เปนการรจู ักวัตถุโดยตรงไมไดผ า นหรืออาศัยขอมูลทเี่ ปนผัสสะทางอวัยวะ รับสัมผัสใด เชน เมอ่ื ตาเรา
มองเหน็ ตน ไมตนหน่ึงน่นั ก็คือเราไดร บั รูตนไมตน น้ันไมใชผ ัสสะสีเขียว สูง สีนํ้าตาลของลําตน เปนตน
ในการรับรูว ัตถจุ งึ ไมไดมกี ารเพ่ิมเติมเน้อื หาทางจติ ทเ่ี ปนสวนตัวของผูรูเขาไปเลย นอกจากน้ียังอธิบาย
ถงึ การที่คนหลายคนอาจจะรับรูคณุ สมบัติของวัตถตุ างกันออกไป วาเปนการทร่ี ะบบประสาทของแต
ละคนเลือกรบั รลู กั ษณะใดลกั ษณะหนึ่ง แตทกุ ๆ ลักษณะกเ็ ปนคณุ สมบัตแิ ทจ ริงของวตั ถุเดียวกัน
สจั นยิ มโดยออมคอื กลุม สจั นิยมทถี่ ือวา คนเรารจู ักวตั ถุโดยผานตัวกลางบางอยา ง
๑. สจั นยิ มแบบตัวแทน การรจู ักวัตถตุ อ งรูโดยผานผัสสะซ่งึ เปนตวั แทนของวัตถุจริง วัตถุจริง
นน้ั มีแตคณุ สมบัตปิ ฐมภมู ิเทานน้ั ไมม คี ุณสมบตั ิทตุ ยิ ภูมิ ดังนนั้ ผสั สะของคนเราจะเหมอื นกบั คุณสมบัติ
ปฐมภูมขิ องจริงในตัววัตถุ แตจะไมเหมือนกับคุณสมบัติทุติยภูมิ เพราะคุณสมบัตินี้ไมม ีอยูในตัววัตถุ
เปน เพยี งอาํ นาจที่คุณสมบตั ิปฐมภมู ิขอใหเ กิดขนึ้ แตจติ ผูรบั รู
๒. สัจนิยมเชิงวิจารณ การรูจักวัตถุไมใชเปนการรับรูวัตถตุ ัวจริงเหมือนอยางสัจนิยมใหมแ ต
เปนการท่ีคนเรารูโดยผานตัวกลางที่เรียกวา ขอมูลโดยไดมาทางอวัยวะรับสัมผัสซึ่งเปนสิ่งท่ีอยูใน
สภาวะรวมกันของจิตผูรูกับวัตถตุ ัวจริง วัตถุตัวจริงเปนอยางไรนั้นไมอ าจรูไดเพราะเม่ือคนเรารับรูสิ่ง
ส่ิงใด ๆ นัน้ ตองมกี ารเพิ่มเตมิ เน้ือหาทางจิตเขา ไปเสมอ เชน ตัดสนิ หรือตีความสิ่งนน้ั ๆ ดงั น้ัน ในการ
รูจึงมปี จจัย ๓ อยางคือ จิตผูรู วัตถุในสภาพด่ังเดิม และขอมูลซึ่งอาจจะกลาวไดว า เปนวัตถุของการ
รบั รูซึง่ ไดถ ูกเพม่ิ เตมิ เนื้อหาทางจิตลงไปแลว
๒๑๗
เอกสารอางอิงประจาํ บท
คณู โทขนั ธ. ปรชั ญาเบือ้ งตน. ขอนแกน :ภาควชิ ามนษุ ยศาสตร คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร,
๒๕๒๗.
ทองหลอ วงษธ รรมา, รศ., ดร. ปรชั ญาท่ัวไป. กรุงเทพฯ : สาํ นักพิมพโอเดียนสโตร, ๒๕๔๙.
บุญมี แทน แกว, สถาพร มาลเี วชรพงศ และประพฒั น โพธ์กิ ลางดอน. ปรชั ญาเบ้ืองตน
(ปรชั ญา ๑๐๑). กรงุ เทพฯ : สํานกั พิมพโอเดยี นสโตร, ๒๕๒๙.
พระพทิ ักษณิ คณาธิกร. ปรัชญา. กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพดวงแกว , ๒๕๔๔.
วทิ ย วศิ ทเวทย. ปรัชญาทัว่ ไป. กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พอักษรเจริญทศั น, ๒๕๒๒.
วิโรจ นาคชาตรี, รศ. ปรัชญาเบอ้ื งตน. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง, ๒๕๕๒.
สกล นิลวรรณ. ปรัชญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาปรัชญาและศาสนา วิทยาลัยครูสวนดุสิต,
๒๕๒๒.
สดใส โพธวิ งศ. ปรัชญาเบ้ืองตน . ขอนแกน : มหาวิทยาลัยขอนแกน, ๒๕๓๔.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ. ปรัชญาเบื้องตน. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๒๔.
บทที่ ๗
ตรรกวิทยา
ความนํา
ตรรกวิทยา เปนวิชาการที่ทําใหมนุษยรูจักการคดิ และใชเหตผุ ลอยางมีกฎเกณฑก ารทม่ี นุษย
เปน ผูร จู กั ใชเหตุผลนี้เองเปนลักษระพิเศษท่ที ําใหมนุษยแตกตางไปจากสัตวอนื่ มนุษยที่มีเหตุผลมกั จะ
เปนผูมีใจกวาง มีความหนักแนน ไมใชอารมณใหมามีอิทธิพลอยูเหนือเหตุผล เม่ือคิดหรือตัดสินใจ
เกี่ยวกับเรื่องใด ๆ มักจะมีเหตุผลมาอธิบายไดเสมอ พรอมท่ีจะรับฟงความคิดเห็นที่แตกตางไปจาก
ตนเองได ในบางกรณีถาหากความคิดเห็นท่ีแตกตางนั้นมีเหตุผลที่ดีกวา ก็ยอมรับและพรอมท่ีจะ
ปรบั เปลี่ยนความคิดเห็นของตนไดเ สมอ ปราชญทเ่ี ปนนกั วิชาการทางตรรกวิทยา ไดกลาวไววา “คนที่
มีเหตุผลมักจะไมเปนคนด้ือดันทุรังท่ีคอยแตใชอํานาจเขาขมขูอยางเดียว ยิ่งบุคคลที่จัดวาเปน
ปญญาชนดวยแลว ย่ิงจักตองเปนผูมีเหตุผลใหมาก การปกครองที่มีเหตุผลนั้นปกครองไมยาก ถา
ผูปกครองจะปกครองดวยเหตุผล”๑ วิชาตรรกวิทยาจึงเปนวิชาท่ีนาศึกษาเพื่อจะไดใชเปนเคร่ืองมือ
ตรวจสอบการใชเหตุผลของแตละบุคคลวามีความสมเหตุสมผลมากนอยเพียงใด และการใชเหตุผล
อยางไรจึงจะถือไดวาสมเหตสุ มผล
๑ จํานงค ทองประเสริฐ, ตรรกศาสตร ศลิ ปะแหง การนิยามความหมายและการใหเหตุผล, พิมพค ร้ังท่ี
๑๑, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยา, ๒๕๓๘), คํานาํ .
๒๒๐
๑. ความหมายและขอบขายของตรรกวทิ ยา
๑.๑ ความหมายของตรรกวิทยา
คําวา “ตรรกะวิทยา” เปนศัพทบ ญั ญตั ิที่แปลมาจากคําภาษาอังกฤษวา Logic หมายถงึ วิชา
วาดว ยกฎเกณฑก ารใชเ หตุผล๒
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ. ศ. ๒๕๒๕ โดยใหความหมายของตรรกวิทยาวา
“ปรัชญาสาขาหนึ่งวาดวยการคดิ หาเหตุผลวาจะสมเหตสุ มผลหรือไม” ๓
นักปรัชญาจํานวนมากถือวาตรรกวิทยาเปนเคร่ืองมือของปรัชญาหรือเปนประตูนาํ เขา สูวิชา
ปรัชญา ท้ังน้ีก็เพราะวาการท่ีจะศึกษาปรัชญาใหเขาใจอยางถองแทจําเปนตองรูกฎเกณฑการใช
เหตุผลเสียกอ น มิฉะนั้นจะไมสามารถเขาใจประเดน็ ปญหาของปรชั ญาไดอยางลึกซ้ึง
๑.๒ ขอบขา ยของตรรกวิทยา
ขอบขา ยของตรรกวิทยาอยูทกี่ ารกาํ หนดหรือคนควา กฎเกณฑการใชเ หตผุ ล๔
เหตุผล คือหลักฐานท่ีสนับสนุนหรือยืนยันใหเราเช่ือวา ขอสรุปของเราเปนจริงเช่ือถือได
เหตุผลอยใู นความคิดหรอื ในสมองท่คี ดิ แสดงออกโดยใชภ าษา
การอางเหตผุ ล คอื การอา งหลกั ฐานเพ่ือยนื ยนั ใหเรามนั่ ใจวา ขอสรุปเปนจริง การอางเหตุผล
มี ๒ แบบ คอื การอา งเหตผุ ลแบบนิรนยั และการอา งเหตผุ ลแบบอปุ นยั ซ่งึ จะไดก ลาวถงึ ตอ ไป
เหตผุ ลทนี่ ํามาอา งไดม าจากสองทาง ๒ ทาง คอื จากความรเู ดมิ และจากประสบการณ
การอา งเหตุผลมี ๒ สวน คือ ขออา ง (premise) กับขอ สรุป (conclusion) ในการอา ง
เหตผุ ลแตล ะครง้ั จะมีขอ สรุปเพยี งขอ เดียวสว นขอ อางจะมีมากกวา ๑ ขอกไ็ ด ขอกไ็ ดและอาจมากอ น
หรือหลงั ขออางก็ได หรือในกรณที ี่มขี อ อาง ๒ ขอ ขอสรปุ อาจจะอยตู รงกลางก็ได
แบบมขี อ อางขอเดียว สรุป
(๑) ๑. สมตํารานหนา ปากซอยอรอ ย (ขอสรุป)
๒. เพราะฉนั เคยไปกินมาหลายครั้ง (ขอ อาง)
(ขอสรปุ มากอนขอ อา ง) ขออา ง
๒ กีรติ บญุ เจอื , ตรรกวิทยาทัว่ ไป, พิมพค รงั้ ท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๑๘), หนา (ก) ๑.
๓ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ. ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๓๑, (กรุงเทพฯ :
สาํ นักพมิ พอ กั ษรเจริญทัศน, ๒๕๒๕), หนา ๓๒๐.
๔ สุจิตรา ออนคอม, รองศาสตราจารย ดร., ปรัชญาเบื้องตน, (กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรและ
สังคมศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบุรี), หนา ๑๑๔-๑๑๕.
๒๒๑
(๒) ๑. แดงเปนลุงดํา (ขออาง) ขออาง
๒. ดงั น้นั แดงเปนผูช าย ( ขอสรุป) สรุป
( ขออางมากอนขอสรุป) ขอ อาง ขออาง
แบบมขี ออา งมากกวา ๑ ขอ สรปุ
(๑) ๑. ขาวเปนปา ของเขียว ( ขออาง)
๒. ถาเปนผูหญิง ( ขออา ง)
๓. ฉะนนั้ ขาวตองเปน ผูหญิง (ขอ สรปุ )
( ขออางมากอนขอ สรปุ )
(๒) ๑. ขาวตอ งเปนผูห ญงิ (ขอ สรุป) สรปุ
๒. เพราะขาวเปนปาของเขยี ว (ขออา ง) ขอ อา ง ขออา ง
๓. ปา เปนผูห ญิง (ขออา ง)
(ขอ สรปุ มากอนขอ อาง)
(๓) ๑. เขาเปน ปา ของเขียว (ขออาง) ขอ อาง
๒. ขาวตองเปนผูหญงิ (ขอสรุป) สรุป
๓. เพราะปาเปนผหู ญิง (ขอ อาง) ขออาง
(ขอ สรปุ อยูตรงกลางระหวา งขออา ง)
๒. การอางเหตุผลแบบนริ นยั (Deductive Reasoning)
การอางเหตผุ ลแบบนิรนัย คอื การอา งหลักฐานจากส่ิงท่เี ราเชื่อหรือยอมรับกันอยูแลววาเปน
จริง หรือเปนการสรุปความรใู หมจากความรเู ดิมทเี่ รามีอยแู ลว โดยไมต อ งอาศยั ประสบการณ
รปู แบบการอางเหตุผลแบบนิรนยั มี ๓ ชนิดไดแก
๑. การอางเหตผุ ลแบบเง่ือนไข (conditional reasoning)
การอางเหตผุ ลแบบเงื่อนไขประกอบดว ยขออาง ๒ ขอ ซง่ึ เปนความรูเดมิ หรือส่ิงท่ีเรายอมรับ
กนั อยูแลว เพื่อนําไปสูขอ สรุป ๑ ขอ โดยทีข่ ออางขอ หน่ึงจะตองเปนประโยคเงื่อนไข และขออางอีก
ขอหนงึ่ เปน ประโยคธรรมดา
ประโยคเง่ือนไข (conditional Sentence) คือประโยคท่ีเกิดจากประโยคธรรมดา ๒
ประโยค ประโยคท่ีอยูหลังคําวา “ถา ” เราเรียกวา ตัวเง่อื นไข (antecedent) อีกหน่ึงประโยคเรา
เรยี กวา ตวั ตาม (consequent)
๒๒๒
ดังนั้น การอา งเหตผุ ลแบบเงื่อนไข ๑ ครงั้ จงึ ประกอบดว ยประโยค ๔ ประโยค คอื ใน
ประโยคเงื่อนไขมี ๒ ประโยค ประโยคธรรมดา ๑ ประโยค และประโยคสรปุ อีก ๑ ประโยค
จงพจิ ารณาการอางเหตผุ ลแบบมเี งอ่ื นไขดงั ตอไปน้ี
๑. ถาฝนตก (ตวั เง่อื น) ถนนจะเปยก (ตวั ตาม)
๒. ฝนตก
∴ ๓. ถนนเปย ก
เพ่อื งายตอการจดจําจึงใชตัวอกั ษรแทนขอ ความในประโยคดังตอไปน้ี
สมมตใิ ห P แทน ฝนตก
q แทน ถนนเปย ก
⊃ แทน เงอ่ื นไข
จะเขยี นไดด ังน้ี
๑. P ⊃ q
๒. P
∴ ๓. q
กฎการอา งเหตผุ ลแบบมเี งือ่ นไขมี ๔ ขอ ไดแก
กฎขอท่ี ๑ การยืนยนั ตวั เง่อื นเพือ่ สรุปตวั ตาม เปนการอางทีส่ มเหตสุ มผล (Valid) เชน
๑. P ⊃ q
๒. P
∴ ๓. q
(Valid)
กฎขอ ที่ ๒ การ การยืนยนั ตัวตามเพ่ือการยืนยนั ตัวตาม เพ่อื สรุปตวั เงือ่ นเปน การอา งท่ีไม
สมเหตุสมผล (invalid) เชน
๑. P ⊃ q
๒. q
∴ ๓. P
(invalid)
๒๒๓
กฎขอท่ี ๓ การปฏิเสธตวั เงอื่ นเพอื่ ปฏิเสธตัวตามเปน การอา งทีไ่ มส มเหตสุ มผล เชน
๑. P ⊃ q
๒. ∼P
∴ ๓. ∼q
(invalid)
กฎขอท่ี ๔ เปน เปน การปฏเิ สธตวั ตามเพือ่ ปฏเิ สธตัวเง่ือนเปนการอางท่สี มเหตุสมผล เชน
๑. P ⊃ q
๒. ∼q
∴ ๓. ∼p
(invalid)
ตารางแสดงกฎการอางเหตผุ ลแบบเงื่อนไข
กฎขอท่ี ขอ อาง P ขอ สรปุ ความสมเหตสุ มผล
๑ P⊃q q P valid
๒ P⊃q ∼p q invalid
๓ P⊃q ∼q ∼q invalid
๔ P⊃q ∼p valid
๒. รูปนริ นยั (Syllogism)
รูปนิรนัย เปนการอางเหตุผลแบบนิรนัยอีกแบบหนึ่ง ซ่ึงผูคิดคนคืออริสโตเติล (Aristotle
๓๘๔ – ๓๒๒ B.C) นกั ปรชั ญากรกี ผูม ชี ือ่ เสยี งในศตวรรษที่ ๔ กอ นคริสตศกั ราช
กอนที่จะศึกษาการอางเหตุผล รูปแบบนิรนัย จะตองเขาใจความหมายของประโยค
ตรรกวทิ ยา และเทอม ดงั ตอไปนี้
๒.๑ ประโยคตรรกวิทยา (Proposition) คือการแสดงออกของการตัดสินอยางตรงๆ
ประโยคตรรกวทิ ยาตอ งประกอบดวย ๓ สวนคอื ๕
ประธาน (Subject) + ตวั เชื่อม (copula) + ภาคแสดง (predicate)
๕ กรี ติ บุญเจือ, ตรรกวทิ ยาทัว่ ไป, พมิ พค รงั้ ที่ ๒, หนา (ก) ๑๓.
๒๒๔
ตัวเช่ือมมี ๒ ชนิด คือ ตัวเชื่อมยืนยัน ( Affirmative copula) ไดแกค ําวา “เปน” กับ
ตวั เช่ือมปฏเิ สธ (Negative copula)ไดแ กคําวา “ไมเปน”
ประโยคตรรกวิทยา มี ๔ ชนิด ตามชนิดของประธานและตวั เชอ่ื มคือ
ประโยค A เทา กับ ประธานกระจายตัวเชอ่ื มยนื ยัน
ประโยค E เทา กบั ประธานกระจายตวั เช่ือมปฏเิ สธ
ประโยค I เทากบั ประธานไมกระจายตวั เช่ือมยืนยัน
ประโยค O เทา กบั ประธานไมก ระจายตัวเชื่อมปฏิเสธ
A และ I ไดมาจากสละ ๒ ตัวแรกของคําละตนิ วา Affirmo (ฉันยืนยัน)
E และ O ไดม าจากสระ ๒ ตวั ของคาํ ละตินวา ฉนั Nego (ปฏเิ สธ)
สูตรของประโยคตรรกวทิ ยาทงั้ ๔ ชนดิ เขียนไดด งั นี้
A = All S are P
E = All S are not P (No S are P)
I = Some S are P
O = Some S are not P
ตวั อยางของประโยคท้งั ๔
A = All men are mortal. คนทกุ คนเปน มตะ
E = All men are not mortal. คนทกุ คนไมเ ปน มตะ
I = Some men are mortal. คนบางคนเปน มตะ
O = Some men are not mortal. คนบางคนไมเปน มตะ
การแปลงประโยคไวยากรณใหเปนประโยคตรรกวิทยาเปนเร่ืองยุงยากพอสมควร เน่ืองจาก
การใชภ าษาในปจ จบุ ันมคี วามหลากหลายและเปล่ยี นแปลงอยเู สมอ จนทําใหไมสามารถระบุคุณสมบัติ
ของประโยคในเชงิ คณุ ภาพและปรมิ าณไดอ ยา งชัดเจน
อยางไรก็ตามเก่ียวกับเร่ืองนี้ ศาสตราจารย กีรติ บุญเจือ ไดใหขอเสนอแนะในการ
เปลี่ยนแปลงประโยคไวยากรณใ หเปนประโยคตรรกวิทยาไว ๖ ขอ ดงั น้ี๖
(๑) ตีความหมายของประธานวา กระจายหรือไมกระจาย ดว ยคําวา “ทุก” หรือ “บาง” (ถา
พูดลอยๆใหถอื วาประธานกระจาย) ใสคํา “เปน” หรือ “ไมเปน” หลังประทานแลว แตกรณี แลวใส
สวนท่ีเหลือในภาคแสดง เชน สุนัขว่ิงเร็ว = สุนัขทุกตัว เปน สิ่งวิ่งเร็ว คนท่ีน่ังใกลฉันไมยอมทํา
การบาน = คนทน่ี ัง่ ใกลฉ นั ทุกคน ไมเ ปน ผยู อมทาํ การบา น วนั นฉ้ี ันโชคดี = วันน้ีเปน วนั ทฉ่ี นั โชคดี
๖ กรี ติ บุญเจอื , เร่ืองเดยี วกนั , หนา (ก) ๑๕.
๒๒๕
(๒) “มแี ต. ..เทา น้ัน” เขา สูตร Only S are P ตอ งเปลี่ยนเปน All P are S เชน มีแตค นดี
เทานั้นไดรบั รางวัล หมายความวาคนดที ี่ไมไดรับรางวัลก็มี แตถา คนไหนไดรับรางวัล เราก็ตดั สินไดวา
ตอ งเปนคนดี เพราะฉะน้ันตอ งแปลงเปน วา คนไดรบั รางวัลทกุ คนเปนคนดี
(๓) “ชอบ” เชน ฉันชอบกนิ ทเุ รียน หมายความวา ทุเรียนเปนสวนหนึ่งของส่ิงท่ีฉนั ชอบกนิ
แปลงได ๒ อยางคือ ฉนั เปน ผูชอบกนิ ทเุ รียน และทุเรียนทกุ ผล เปน สิ่งที่ฉันชอบกิน เวลาใชในรูป
นิรนัย ตองการรูปไหนก็เลือกใชไดต ามตองการ แตส ว นมากจะใชร ูปหลัง
(๔) “ไม” ถาอยใู นภาคแสดง ตองยา ยมาอยูก บั ตัวเช่อื ม เพราะความหมายเหมือนกัน และถือ
วาเปนตําแหนงประจําของมัน ถามีความจําเปนในรูปนิรนัย ก็ใหอยูในภาพแสดงได เชน นายแดงไม
ขยัน อา นเขียนเปน ประโยคตรรกวิทยาได ๒ อยางคอื นายแดงเปนคนไมขยัน หรือนายแดงไมเ ปนคน
ขยัน อยา งหลงั ถือวาปกติวาอยางแรก แตถา อยูกับประธานจะยายไปอยูกบั ตวั เชื่อม หรือจากตัวเช่ือม
จะยายมาอยกู ับประธานไมได เพราะความหมายไมเหมือนกัน เชน “คนไมรวยเปนคนนาสงสาร” เรา
จะพูดวา “คนรวย ไมเปนคนนาสงสาร” ไมได เพราะคนรวยอาจจะนาสงสารหรือไมก็ได ยกเวนการ
ปฏิเสธประธานทั้งหมด เชน “ไมมนี ักศกึ ษาคนใดเลยไดรับรางวลั ” จะตอ งแปลงเปน “นักศึกษาทุกคน
ไมเ ปน ผไู ดรบั รางวลั ”
(๕) สุภาษิตมอี ยู ๒ ชนดิ คือสุภาษิตสอนและสุภาษิตเตือน ถาเปนสุภาษิตสอนยอมเปนความ
จรงิ ทว่ั ไป ประธานกระจาย เชน ความจรงิ เปนสง่ิ ไมตาย ถาเปน สุภาษิตเตอื นไมห มายความวาตองเปน
เชนน้ันเสมอไป แตเตือนใหร ะวังวา อาจเปน เชนนั้นได ประธานจะไมก ระจาย เชน ไกงามเพราะขน คน
งามเพราะแตง = ไกบ างตวั เปน สตั วง ามเพราะขน คนบางคนเปนผงู ามเพราะแตง
(๖) เม่อื มีการยกเวนใหถือเปนคาํ ขยาย เชน ปลาในบอตายหมดทุกตวั นอกจากปลาชอน =
ปลาในบอ ท่ีไมใชป ลาชอน ทุกตัว เปนสิง่ ตาย
๒.๒ เทอม (term) คือคาํ หรือกลมุ คําท่ใี ชแทนประเภท เชน คน มา เรอื ดอกไม ฯลฯ เทอม
จงึ หมายถึงความหมายของคําหรือกลมุ คาํ และมคี วามสมั พันธก บั คาํ หรอื กลมุ คาํ ทางภาษา ดังนี้๗
(๑) คําคาํ เดยี วเปนเทอมเดยี ว เชน มา แมว คน ตนไม เพราะแทนประเภทเดยี ว
(๒) คําคําเดียวอาจเปนหลายเทอม เชน แดง อาจหมายถึงคน หรืออาจหมายถึงสี
หรืออาจหมายถงึ สุนขั กไ็ ด แตละความหมายถอื เปน ๑ เทอม
(๓) กลุมคํา อาจเปนเทอมเดยี ว เชน ตนไมที่ขึ้นอยูหนาบาน คนที่เดินอยูขางนอก
เพราะแทนประเภทเดียว
๗ ปรชี า ชา งขวัญยืน, การใชเ หตุผล, (กรงุ เทพฯ : มติ รสยาม, ๒๕๕๒), หนา ๑๑๗-๑๑๙.
๒๒๖
(๔) กลุม คํา อาจเปนหลายเทอมไดเ มอื่ ใชในความหมายตางกัน เชน ตาของผม เม่อื
ใชแทนอวัยวะอยางหนึ่งของรางกายก็เปนเทอมหน่ึง เมื่อใชแทนคนท่ีเปนพอของแมก ็เปนอีกเทอม
หนึง่
(๕) คําหรือกลุมคําท่ีเขียนตางกันตามลักษณะตัวอักษรของแตละภาษาหรือเปน
เทอมเดียวกันเมื่อแทนความหมายเดียวกัน เชน นก Bird oiseau เปนเทอมเดียวกนั เพราะแทน
ประเภทเดียวกนั
เทอม ทําหนาท่ี ๒ อยางคือ ทําหนาที่เปนภาคประธาน หรือภาคแสดง ภาค
ประธานจะอยหู นา คํา “เปน” หรอื “ไมเ ปน” สวนภาคแสดงจะอยหู ลงั
เทอมมี ๒ ชนิดคอื ๘
(๑) เทอมกระจาย (distributed ted term) คอื เทอมที่อา งถึงหรือกลาวถึงสมาชิก
ทกุ หนวยในประเภทหนึ่ง เชน คนทกุ คน คนทอี่ ยูในหองน้ีท้งั หมด รวมท้ังช่อื เฉพาะ เชน นายแดง ซ่ึง
เปนประเภทท่ีมสี มาชกิ เพียงหนวยเดยี ว
วิธีดูเทอมกระจาย ถาเปนประธานใหดูความหมายในประโยค ถาเปนภาคแสดงจะ
อยูห ลงั คํา “ไมเ ปน” เชน สตั วทุกตัว ไมเ ปน คน
(๒) เทอมไมกระจาย (undistributed ted term) คือเทอมท่ีกลาวถึงสมาชิก
บางสวนในประเภทหน่ึง เชน คนบางคน แมวเกือบทกุ ตัว ถาเปนภาพแสดงจะอยหู ลงั คาํ วา “เปน ”
จงพิจารณารูปนิรนัยตอไปน้ี
P๑ นักศกึ ษาทกุ คน เปน คนดี
P๒ สมชาย เปน นกั ศึกษา
C สมชาย เปน คนดี
จะเห็นวา รูปแบบของรปู นิรนัย จะมี ๓ ประโยค เปนขออาง ๒ ประโยค บทสรุป ๑ ประโยค
รูปแบบทตี่ ายตวั ของรูปนริ นยั จงึ มี ๓ ประโยค และ ๓ เทอม แตล ะเทอมใช ๒ คร้งั
รปู แบบมาตรฐานของนิรนัย จะมเี ทอมท่ีปรากฏ ๓ ชนดิ ไดแก๙
(๑) เทอมเอก (Magor term) หมายถงึ เทอมทีท่ ําหนา ทีเ่ ปนภาคแสดงของบทสรุป
(๒) เทอมโท (Minor term) หมายถึงเทอมทีท่ ําหนา ทเ่ี ปน ภาคประธานของบทสรปุ
๘ วิทยา ศักยาภินันท,รองศาสตราจารย ดร., ตรรกศาสตร ศาสตรแหงการใชเหตุผล, (กรุงเทพฯ :
สํานกั พมิ พมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร, ๒๕๕๗), หนา ๒๒-๒๓.
๙ ประทีป มากมติ ร, ตรรกวิทยาเบ้ืองตน, (กรงุ เทพฯ : โรงพิมพมหาวทิ ยาลัยเอเชียอาคเนย, ๒๕๔๓),
หนา ๒๕-๒๖.
๒๒๗
(๓) เทอมกลาง (Middle term) หมายถงึ เทอมท่ปี รากฏในประโยคอา งท้งั สองและไมปรากฏ
ในบทสรุป
สว นประโยคอา งในรูปนิรนัยนั้นก็มชี ่อื เรยี กเชน กัน ไดแ ก
(๑) ประโยคอางเอก ( Major premise) คอื ประโยคที่มีเทอมเอกปรากฏอยู จากตัวอยาง
ประโยคอา งเอกก็คอื “นักศกึ ษาทุกคน เปน คนดี”
(๒) ประโยคอางโท (Minor premise) คือประโยคที่มีเทอมโทปรากฏอยู จากตัวอยาง
ประโยคอางโท คอื “สมชาย เปน นกั ศึกษา”
การอา งเหตุผลจะอยใู นรปู แบบมาตรฐานของรปู นริ นยั ไดนั้นจะตองมีลกั ษณะ ๓ ประการคือ
(๑) ทง้ั ๓ ประโยคจะตองเปนประโยคตรรกวิทยา
(๒) การปรากฏตวั ในแตล ะครง้ั ของเทอมเดียวกนั จะตองเหมือนกัน
(๓) ตอ งเอาประโยคอา งเอกขึ้นกอ น ตามดว ยประโยคอา งโท และบทสรุป
การพิสจู นความสมเหตสุ มผลของรปู นิรนัยนน้ั สามารถพสิ จู นไดโ ดยใชกฎความสมเหตุสมผล
(laws of validity) ๕ ขอ ไดแก
(๑) ตองมี ๓ เทอม
(๒) เทอมกลางตอ งกระจายอยางนอ ย ๑ ครัง้
(๓) เทอมท่ีกระจายในบทสรุปจะตองกระจายในประโยคอา งดว ย
(๔) ประโยคอางจะปฏเิ สธทง้ั สองไมได
(๕) ถาประโยคอางปฏเิ สธ บทสรุปตองปฏเิ สธดว ย
ตัวอยางรปู นริ นยั ท่ีไมส มเหตสุ มผล
(๑) คนรวยกค็ ือคนรวย คนจนก็คือคนจน ฉะน้นั คนรวยไมใชค นจน
วิธที ํา P๑ คนรวยทุกคน เปน คนรวย
P๒ คนจนทุกคน เปน คนจน
C คนรวยทุกคน ไมเปน คนจน
ตอบ ผดิ กฎขอ ๑ คอื เทอมไมค รบ ๓ เทอม (มเี พยี งสองเทอม คือเทอมคนรวยกับเทอมคน
จน
(๒) ขวญั ใจเปน นสิ ติ จุฬาฯ ผอ งพรรณกเ็ ปนนสิ ติ จุฬาฯ เพราะฉะนน้ั ผองพรรณเปนขวัญใจ
วิธที าํ P๑ ขวัญใจ เปน นิสิตจฬุ าฯ
P๒ ผอ งพรรณ เปน นิสติ จฬุ า
C ผอ งพรรณ เปน ขวญั ใจ
ตอบ ผดิ กฎขอ ๒ คอื เทอมกลาง (นิสติ จุฬาฯ) ไมก ระจาย
๒๒๘
(๓) นกั เรียนเทาน้ันเขา มาในบริเวณนีไ้ ด นายขาวไมอยูในบริเวณน้ี เพราะฉะนั้นนายขาวไมใ ช
นักเรียน
วธิ ที ํา P๑ ผเู ขา มาในบรเิ วณนี้ทกุ คน เปน นักเรียน
P๒ นายขาว ไมเ ปน ผเู ขา มาบริเวณน้ี
C นายขาว ไมเปน นกั เรยี น
ตอบ ผดิ กฎขอ ๓ คอื เทอมที่กระจายในบทสรปุ (คอื เทอมนกั เรยี น) ไมกระจายในประโยค
อา ง
(๔) คนดยี อมไมเปน ชกู บั ภรรยาคนอ่ืน นายรักศกั ดไ์ิ มเ คยเปนชกู บั ภรรยาคนอ่ืน ฉะน้นั นายรัก
ศกั ดเ์ิ ปน คนดี
วิธีทํา P๑ คนดีทกุ คน ไมเ ปน ผูเ ปน ชูก ับภรรยาผูอ่นื
P๒ นายรักศกั ด์ิ ไมเปน ผเู ปน ชกู ับภรรยาผอู น่ื
C นายรกั ศกั ด์ิ เปน คนดี
ตอบ ผดิ กฎขอ ๔ คอื ประโยคอา งปฏิเสธท้งั สองประโยค
(๕) คนบางคนข้เี มา คนขีเ้ มาไมดี ฉะนน้ั คนบางคนดี
วิธที ํา P๑ คนขี้เมาทุกคน ไมเปน คนดี
P๒ คนบางคน เปน คนขเ้ี มา
C คนบางคน เปน คนดี
ตอบ ผดิ กฎขอ ๕ คือถาประโยคอางปฏเิ สธ บทสรุปตอ งปฏิเสธดวย
ตัวอยา งรปู นิรนยั ทสี่ มเหตุสมผล คอื ไมผดิ กฎขอใดเลย
(๑) ไมม คี นหวิ ใดไมกิน แดงหิว เพราะฉะนน้ั แดงกิน
วิธที าํ P๑ คนหิวทุกคน เปน ผูกนิ
P๒ แดง เปน ผูหิว
C แดง เปน ผูกนิ
(๒) คนมีชือ่ เสยี งนาสรรเสรญิ เสือใบเปน คนมีชื่อเสียง ฉะน้นั เสือใบหนา สรรเสรญิ
วิธที าํ P๑ คนมีช่อื เสยี งทุกคน เปน คนนา สรรเสรญิ
P๒ เสือใบ เปน คนมชี อ่ื เสยี ง
C เสือใบ เปน คนนาสรรเสรญิ
(๓) เลก็ เปนโลหะ โลหะเปนสือ่ ไฟฟา เพราะฉะนน้ั เหลก็ เปนสอ่ื ไฟฟา
วธิ ีทาํ P๑ โลหะ เปน สอ่ื ไฟฟา
๒๒๙
P๒ เหล็ก เปน โลหะ
C เหล็ก เปน ส่ือไฟฟา
หมายเหตุ การท่ขี อ สรปุ จะเปนจรงิ น้นั ขึน้ อยกู บั ปจจยั ๒ ประการคอื
(๑) การอา งถกู ตองตรงกับความจรงิ
(๒) การอา งสมเหตสุ มผล
ความเท็จจรงิ เปนคา ของความจริงหรอื ความเท็จของประโยค
ความสมเหตุสมผล เปน ความถกู ตองหรือไมถกู ตอ งของการอางเหตผุ ล
๒.๓ เหตุผลยอ (Enthymeme)
เหตุผลยอ คอื การแสดงออกของการอางเหตุผล โดยมีการละประโยคไว ๑ ประโยค ซึง่
ประโยคท่ีละไวอ าจเปนประโยคอา งเอก หรอื ประโยคอางโท หรือบทสรุปกไ็ ด
เปรยี บเทียบรูปแบบของรปู นริ นัยกบั เหตุผลยอ
รูปนริ นยั (Syllogism) เหตผุ ลยอ (Enthymeme)
P๑ คนขยันทุกคน เปน คนสอบได P๑…………………………………….…..(ละไว)
P๒ สมชาย เปน คนขยัน P๒ สมชาย เปน คนขยนั
C สมชาย เปน คนสอบได C สมชาย เปน คนสอบได
ดังน้ันเหตุผลยอก็คือ การอางเหตุผลรูปนิรนัย ท่ีละขอความบางขอความไวนั่นเอง การอาง
เหตุผลในชีวิตประจาํ วนั ของคนเรานิยมใชการอา งแบบเหตุผลยอ เพราะถือวาขอความท่ลี ะไวน้ัน เปน
ความจริงที่ทกุ คนรูกันอยูแลว จึงไมจ ําเปนตอ งพูดอีกใหเยิ่นเยอ เชน แทนท่จี ะพูดวา “คนขยันทุกคน
สอบได สมชายขยัน เขาตอ งสอบไดแน” ก็พูดส้นั ๆวา “สมชายขยัน เขาตอ งสอบไดแน” หรือถามีคน
มาบอกเราวา “สมชายเปน คนไมดีเพราะเขากินเหลา” ขอ ความที่ละไวคือ “คนกินเหลาทุกคนเปนคน
ไมด ”ี เขียนเปน รูปนิรนัยไดด ังน้ี
P๑ คนกินเหลา ทกุ คน ไมเ ปน คนดี (ละไว)
P๒ สมชาย เปน คนกินเหลา
C สมชาย ไมเปน คนดี
จะเห็นไดวา ๒ ประโยคคือ P๒ และ C น้ี มี ๓ เทอมครบอยูแลว คอื “สมชาย” “คนกิน
เหลา” และ “คนไมดี” เทอมที่ถูกใชแลว ๒ ครั้งคือ “สมชาย” ดังนั้นประโยคทล่ี ะไวจะตอง
ประกอบดว ยเทอม “คนกนิ เหลา” กับ “คนไมดี” ถา เราลองแตงประโยคท่ีละไววา “คนไมดีทุกคน
เปนคนกนิ เหลา ” กจ็ ะได รูปนิรนยั เปน
P๑ คนไมดีทกุ คน เปน คนกนิ เหลา
P๒ สมชาย เปน คนกนิ เหลา
C สมชาย เปน คนไมดี
๒๓๐
รปู นริ นัยนี้ไมสมเหตสุ มผล เพราะผิดกฎขอ ๒ คอื เทอมกลางไมกระจาย เราจึงกลับประโยค
เสยี ใหมเ ปน
P๑ คนกินเหลา ทุกคน ไมเ ปน คนดี
P๒ สมชาย เปน คนกินเหลา
C สมชาย ไมเ ปน คนดี
การทําเหตุผลยอใหเปนรูปนิรนัย ตองพยายามทําใหสมเหตุสมผล (คือไมผิดกฎ ๕ ขอ)
เสยี กอ น ถาตรงกบั ขอ เท็จจริงดวย สมเหตุสมผลดว ย กต็ อ งยอมรับวา ขอสรปุ น้นั เปน จริง เช่อื ถอื ได
จงพจิ ารณาเหตุผลยอดงั ตอ ไปน้ี
เพชรราคาแพงเพราะหายาก
เขยี นในรูปนริ นยั ไดดังน้ี
P๑ สิง่ หายาก เปน ส่งิ ราคาแพง(ละไว)
P๒ เพชร เปน สง่ิ หายาก
C เพชร เปน ส่ิงราคาแพง
วจิ ารณโตแยงไดว า สิง่ หายาก เชน ขฟี้ นเสอื ราคาไมแพง เพราะไมมีคนตองการ
๓. การอา งเหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning)
การอางเหตุผลแบบอุปนัย คือการสรุปความรูใหมโดยอางหลักฐานจากประสบการณ
กลาวคือ การท่เี ราเชอ่ื อะไรอยางหนึ่งวาเปน จริง เพราะเราเคยพบเหน็ เรือ่ งทาํ นองเดยี วกันวาเปนอยาง
นั้นมากอน เมื่อเรามีประสบการณแ บบเดียวกนั หลายๆคร้ัง เราก็สรุปเปนความรูทั่วไปเก่ียวกับส่ิงน้ัน
ได เชน เราเคย เห็นสิง่ ตา งๆ ที่ทาํ ดวยไมลอยนา้ํ เรากส็ รปุ เปนความจริงทั่วไปวา “ไมยอ มลอยน้ํา”
กอนท่ีจะกลาวถึงการอางเหตุผลแบบอุปนัยอยางละเอียด เพิ่งเขาใจความแตกตางระหวาง
ความจรงิ เฉพาะกบั ความจรงิ ทว่ั ไปดังนี้
ความจริงเฉพาะ (Fact) คือความจริงเก่ียวกบั สิ่งใดสิ่งหน่ึง หรือเหตุการณใ ดเหตุการณหนึ่ง
โดยเฉพาะ
ความจริงท่ัวไป (Truth) คอื ความจริงของสิ่งทกุ สิ่ง หรือของเหตุการณทุกเหตุการณท ี่อยูใน
ประเภทเดียวกัน
๒๓๑
ตัวอยา งความจริงเฉพาะกับความจริงทัว่ ไป
ความจรงิ เฉพาะ ความจรงิ ทัว่ ไป
(๑) ไมทอ นนีล้ อยน้ํา (๑) ไมย อมลอยนา้ํ
(๒) นายดาํ ถูกรถชนตาย (๒) คนยอ มตาย
(๓) วันนสี้ มชายไปดลู ะคร (๓) พระอาทติ ยขึน้ ทางทศิ ตะวนั ออก
(๔) เมื่อวานแมค าปากคลองตลาดตีกัน (๔) น้าํ บริสุทธ์ิประกอบดว ยออกซเิ จน ๑ สวน
(๕) เสอื ไบปลน บานนายพลผูหน่ึง ไฮโดรเจน ๒ สว น
๓.๑ การอปุ นัยแสวงหาความจรงิ ทวั่ ไป
ในการหาความรูของคนเรานั้น เราตองการรูความจริงทั่วไป เพราะความจริงเฉพาะนั้นมี
ประโยชนนอย เนื่องจากเปนความจริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ เมื่อสิ่งนั้นเส่ือมสลายสูญส้ินไป
ความรูเก่ียวกับสิ่งน้ันยอมหมดความหมายไปดวย แตความจริงทั่วไปเปนความจริงของทุกส่ิงใน
ประเภทนัน้ แมสง่ิ ใดส่งิ หนง่ึ เปนประเภทน้ันจะสญู สิ้นไปหรือเกดิ ขึ้นใหม เรากย็ งั คงมคี วามรูเกีย่ วกับส่ิง
เหลา นัน้ ตวั อยางเชน ถาเรารูเพยี งวา “ไมท อ นนีล้ อยน้ํา” เมื่อไมท อ นน้ีผพุ ังไป ความรูเกย่ี วกบั ไมทอน
นี้ก็ยอมไรประโยชน แตถา เรามีความรูท่ัวไปวา “ไมยอมลอยน้ํา” แสดงวาเรารูวาไมทุกทอนลอยนํ้า
ดงั น้นั แมวาไมท่มี อี ยจู ะผพุ ังไปบาง แตค วามรูท่วี า “ไมย อ มลอยนา้ํ ” กย็ งั มี ประโยชน เพราะเรายงั คงรู
ตอไปวา ไมท อ นอ่ืนๆ ๆที่จะเกดิ ขึน้ ตอไปในอนาคตก็เปนสงิ่ ลอยน้ําดวยเชน กนั
วิธีการอุปนัยเปนการสรุปความจริงท่ัวไป โดยอาศัยความจริงเฉพาะท่ีไดจากประสบการณ
กลาวคอื การที่เราเคยรูความจริงเก่ียวกับสิ่งเฉพาะหลายๆสิ่ง ที่อยูในประเภทเดียวกัน ทําใหเราสรุป
เปน ความจริงทั่วไปวา ทุกๆส่งิ ทอี่ ยใู นประเภทนนั้ ยอมเปน อยางท่ีเราเคยรูมาดวย ตวั อยางเชน เรารูวา
นายดาํ ถูกรถชนตาย นายเขยี วเปน มะเรง็ คุณยายของเพื่อนตายเพราะความชรา และเรารูวา มีคนอืน่ ๆ
ๆอีกมากที่ตายไป ท้ังหมดท่ีเรารูมานั้นเปนความจริงเฉพาะของแตละคน เราจึงสรุปเปนความจริง
ทว่ั ไปเกี่ยวกับคนทกุ คนวา “คนยอมตาย” ทัง้ ๆที่ตวั เราก็ยังไมต าย เพ่อื นๆก็ยังไมต าย แตเราก็เชื่อวา
ตัวเราเองและเพือ่ นๆ ๆรวมท้ังคนอน่ื ๆ ทีจ่ ะเกิดมาในอนาคตตอไปกต็ องตาย เพราะเปนคนเหมือนกนั
กลา วคือ เราสรุปวาทุกๆสง่ิ ที่อยใู นประเภทของคนเปน สงิ่ ตอ งตาย
๓.๒ วธิ ีอุปนยั เปน การสรุปเกนิ ขออาง
การสรปุ ความจริงท่ัวไปโดยอาศัยหลักฐานจากความจริงเฉพาะทีไ่ ดจากประสบการณนั้น เปน
การสรุปเกินขออาง หรือเกินหลักฐานท่เี รามีอยู เมอื่ เราเคยเห็นหรือเคยรูมาเพียงวา “คนทกุ คนตอง
ตาย” ทง้ั ๆทเ่ี รายงั เห็นคนบางคนมชี ีวิตอยู เราเคยเห็นคนตายในอดีตแตกลับสรุปหรือเชื่อตอไปวา ใน
อนาคตคนกต็ อ งตายท้งั ทีเ่ รายงั ไมส ามารถเหน็ เหตุการณใ นอนาคตได
๒๓๒
ดงั นั้นการอปุ นัยจึงเปนการสรุปเกนิ ขออา ง คอื เปนการกระโดดจาก “บางส่ิง” ไปสู “ทุกส่ิง”
เปนการกระโดดจากอดีตไปสูอนาคต เพราะเปนการอาศัยหลักฐานที่เรารูเพียงบางสวนแลวสรุปวา
ท้ังหมดท่อี ยใู นประเภทเดียวกันตองเปน อยางนัน้ ดวย เปนการอาศยั หลักฐานจากประสบการณใ นอดีต
มาสรปุ วา ในอนาคตส่ิงท่ีอยใู นประเภทเดียวกัน กย็ อ มเปน อยางในอดีตดว ย
๓.๓ ความนาเชอ่ื ถอื ของวิธีอุปนัย
ถาพิจารณาตามกฎของการอางเหตผุ ลแบบนิรนัยท่ีไดก ลาวมาแลว จะเห็นวาการอา งเหตุผล
แบบอุปนัยซ่ึงเปนการสรุปเกินขออาง หรือเกินหลักฐานที่มีอยูน้ัน เปนการสรุปท่ีไมมีสมเหตุสมผล
เพราะเราไมอาจแนใจไดรอยเปอรเซ็นต วาขอสรุปจะถูกตอง เน่ืองจากเปนการสรุปถึงสิ่งที่ยังไม
เกดิ ข้ึนในอนาคต เราไมอาจแนใจไดรอยเปอรเซ็นต วาส่ิงท่ีจะเกดิ ขึ้นในอนาคตจะตองเกิดเหมือนกัน
ในอดตี มันจงึ เปนเพียงความเชอื่ ของเราเทาน้นั วาสง่ิ ที่จะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตนา จะเกิดเหมอื นในอดีต
ดังน้ันขอสรปุ หรือความรูทีไ่ ดจ ากการอุปนัยจงึ ไมแ นนอนตายตวั เหมือนความรูท่ไี ดจากการนิร
นยั ในการนิรนยั ถาขออางเปน จรงิ และการอา งสมเหตุสมผล ขอสรุปยอมเปนจริงอยางแนนอนตายตัว
แตขอสรุปของการอุปนัยน้ันไมใชเร่ืองที่เราจะมาตัดสินวาจริงหรือเท็จอยางใดอยางหนึ่งใหแนนอน
ตายตัวลงไป แตเ ปนเรื่องท่ีวา ถา เรามีหลักฐานจากประสบการณในอดีตอยูจํานวนหนึ่ง แลวเราสรุป
เปนความจริงทวั่ ไปออกมานั้น ขอสรุปของเรานาเชื่อถือมากนอยเพียงใดเพราะฉะน้ันเรื่องของการ
อปุ นัยจึงเปน เรอื่ งของความนาจะเปน (probability ) ไมใชเ รอื่ งของความแนนอนตายตัว (certainty)
วธิ กี ารนิรนัยแมจ ะใหค วามรูที่แนนอนตายตัว แตก็ไมไดใ หความรูใหมแ กเ รา เปนแตเพียงการ
แยกแยะความรูเกาของเราออกมาใหเรารูชัดข้นึ เทา น้ัน สวนวิธีการอปุ นัยนั้นเปนการสรุปเกินขอ อาง
จึงไดความรูใหมเกิดข้ึน แตการสรุปเกินขอ อางก็ทําใหขอสรุปทีไ่ ดนั้นไมแนนอนตายตัว ถาเราไมย อม
สรปุ เกนิ ขออา งเพื่อท่ีจะใหไดขอสรปุ ท่ีแนน อนตายตวั เราก็จะไมไดความรูใ หมเกิดข้นึ
ในการพิจารณาความสมเหตุสมผลของการอุปนัย เราจึงไมไดพิจารณาในแงท่ีวาเม่ือมี
หลักฐานอยางนี้ การสรุปอยางน้ีถูกหรือผิด แตเราจะพิจารณาในแงท่ีวาเม่ือมีหลักฐานหรือขอมูล
จํานวนหน่งึ การสรุปอยา งนน้ี า เชือ่ ถือมากนอยเพียงใด กลาวคือ เราจะไมต ัดสินลงไปอยางเด็ดขาดวา
ขอ สรุปเปนจริงหรือเท็จ แตจะดูวาโอกาสทข่ี อสรุปจะเปนจริงมีอยูมากนอยเพียงใด ถา ขอ สรุปมีความ
นา เช่อื ถือมาก หรอื นา จะเปนไปไดมาก เราก็พูดไดวาการสรุปอยางน้ีคอ นขา งสมเหตสุ มผล ถา ขอ สรุป
ไมค อยนา เช่ือถือหรือไมคอ ยนา จะเปนไปได เราก็พูดไดว าการสรปุ อยา งนี้ไมค อ ยสมเหตุสมผล
ความนาเชอ่ื ถอื ของการอุปนัยนัน้ ขน้ึ อยูกับเงื่อนไขดังตอไปนี้
(๑) ปริมาณของหลักฐาน ถามีหลักฐานนอย ความนาเช่ือถือของขอสรุปก็จะมีนอย ยิ่งมี
หลักฐานหรือประสบการณมากขึ้นเทาไหร ขอสรุปกม็ ีความนาเชื่อถือไดมากขึ้นเทา นั้น ถาเราเคยกิน
ปลาหมกึ ยาง ๒ ครั้ง แลวเกิดการคันตามตัวทั้ง ๒ ครั้ง จึงสรุปวา “ฉนั แพปลาหมึกเพราะกนิ ทีไรตอง
๒๓๓
ทําทกุ ที” การสรุปเชนน้ีเปนการสรุปความจริงทั่วไป เพราะสรุปวา ฉนั กินปลาหมึกจะตองคนั ทุกคร้ัง
คอื เชื่อวาถากนิ ตอไปอีกก็จะตองคันอกี การกินปลาหมึกเพียง ๒ คร้ังแลวสรุปวาแพปลาหมึก ยอม
นาเชอ่ื ถอื ไดนอ ยกวา การทเ่ี คยกิน ๑๐ ครัง้ แลว เกดิ อาการคนั ทง้ั ๑๐ คร้งั เพราะ ๒ ครั้งแรกท่ีคนั ตาม
ตัว อาจเกิดจากสาเหตุอ่ืน เชน แพสารในนํ้าจิ้มปลาหมกึ ก็ได แตถาลองกินดูถึง ๑๐ คร้ัง หลายๆราน
มนี ้ําจิ้มบาง ไมมีนํ้าจ้ิมบาง ก็ยังคงมีอาการคันตามตัว การสรุปวาฉันแพปลาหมึก ก็ยอมนาเช่ือถือได
มากกวา การกินเพยี ง ๒ คร้ัง
(๒) หลักฐานนั้นเปนตัวแทนที่ดีของเร่ืองที่สรุปหรือไม ขอสรุปจะเชื่อถือไดมากก็ตอเมื่อ
หลักฐานน้ันเปนตัวอยางที่ดีของสิ่งท้ังหมดท่ีเราตองการสรุป การกินปลาหมึกยางแลวสรุปวา แพ
ปลาหมึก น้ันนาเช่ือถือนอยกวาการกินท้ังปลาหมึกยางและปลาหมึกสดที่ปรุงเปนอาหารชนิดตางๆ
เพราะปลาหมึกยางอาจไมเปนตัวแทนที่ดีของปลาหมึกทั้งหมดก็ได เนื่องจากปลาหมึกยางน้ันเก็บไว
นาน อาจมีเช้ือราที่ทําใหคันอยู เม่ือกินปลาหมึกยางจึงทําใหเกิดอาการคันขึ้นตามตัว ฉะนั้นถา จะให
ขอสรุปวา “ฉันแพปลาหมึก” นาเชื่อถือมากขึ้น ก็ตองลองกินปลาหมึกหลายๆแบบ ถาลองกิน
ปลาหมึกสดที่ปรุงเปนอาหารชนิดตางๆ ดูแลวยังทองเสียอยูอีก ก็สรุปวา “ฉันแพปลาหมึก” ก็
นา เช่อื ถอื มากขึ้น
(๓) ความซับซอนของเร่ืองท่ีสรุป ถาเร่ืองที่ตองการสรุปมีลักษณะซับซอนนอย ขอสรุปก็
นาเชือ่ ถอื ไดม าก แตถ าเร่ืองทต่ี อ งการสรุปมีลักษณะซับซอ นมากขึ้น ขอ สรุปก็มีความนาเช่ือถือนอยลง
เพราะการสรุปกระโดดจากความจริงเฉพาะไปสูความจริงทั่วไปนั้น ทําไดโดยมีความเช่ือพื้นฐาน
อันหน่ึงวา มีความสมา่ํ เสมอในธรรมชาติ คอื สิ่งที่อยูในประเภทเดียวกนั ยอมมลี ักษณะเหมอื นกัน และ
จะเปลยี่ นแปลงไปเหมอื นกัน ถา ส่ิงนั้นมคี วามซบั ซอนนอย โอกาสทีม่ ันจะเปล่ียนแปลงไปเหมือนกันก็
มมี าก แตถา สงิ่ น้ันมคี วามซบั ซอ นมาก โอกาสทีม่ นั จะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกนั กม็ นี อ ยลง
เร่ืองความซับซอนของเร่ืองที่สรุปท่ีมีผลตอ ความนาเช่ือถือของขอสรุปน้ี จะเห็นไดชัดข้ึนใน
การศกึ ษาเกยี่ วกบั เรอื่ งมนษุ ย ถา เปนการศึกษาเกี่ยวกบั เร่ืองทางรางกาย ขอสรุปท่ีไดมักเชื่อถือไดม าก
แตถาเปนการศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมซึ่งเปนเร่ืองทางจิตใจ ขอสรุปในเรื่องนี้มักเชื่อถือไดนอยกวา
การศึกษาเร่ืองทางกาย เพราะเร่ืองของรางกายนั้นซับซอนนอยกวาเร่ืองของจิตใจ เมื่อคนไขคนหน่ึง
ปวดทอง หมอใหกินยาอยางหน่ึงที่คนปวดทองกินแลวเคยหายทุกคน เรายอมเช่ือไดมาก วาเขาจะ
หายปวดทองดวย แตก ารทีจ่ ิตแพทยใหก ารรกั ษาคนทปี่ วยเปน โรคจติ แกคนไขค นหนึ่งเหมอื นคนไขโรค
จิตคนอื่นๆ ที่มีอาการอยางเดียวกันซ่ึงเคยรักษาหายมากอน โอกาส เขาจะหายปวยจากโรคจิตยอม
นอ ยกวา ที่เขาจะหายจากปวดทอ งเม่ือกนิ ยาแกปวดทอง หรือการท่พี ูดวา การท่จี ะเล้ียงเด็กใหโตขึ้น มี
รางกายแข็งแรง ตองทาํ อยางน้อี ยางนั้น ยอมนาเชื่อถือไดมากกวาการพดู วา การเล้ียงเด็กใหโตขนึ้ มี
จิตใจ และความประพฤติดี ตอ งทําอยางน้ีอยางน้ัน นี่ก็เพราะเร่ืองของจิตใจมีความซบั ซอนมากกวา
รางกาย การสรุปเกยี่ วกบั เรือ่ งของจติ ใจจงึ นาเชือ่ ถอื ไดน อยกวาการสรปุ เรอ่ื งของรา งกาย
๒๓๔
๓.๔ ความเช่ือพ้นื ฐานของวธิ ีอปุ นัย
การทว่ี ิธีอปุ นยั ยอมใหม ีการสรุปเกินขอ อา งได คอื ยอมใหมีการสรุปจากบางส่ิงไปสูทุกสิ่ง จาก
อดีตไปสอู นาคต ก็เพราะวธิ ีอุปนัยมีความเช่ือพื้นฐาน (pre-supposition หรอื postulate) อยวู า
(๑) ธรรมชาติมกี ฎเกณฑที่แนนอนตายตัว วิธีอุปนัยเช่ือวาสง่ิ ท้ังหลายในธรรมชาติจัดเปน
ประเภทๆ ได และสิ่งทอ่ี ยูในประเภทเดยี วกันยอมอยูใตกฎเกณฑเ ดียวกัน ตัวอยางเชน ทุกสิ่งที่อยูใน
ประเภทของนํ้าบริสุทธิ์ยอมมีลักษณะเหมือนกัน และเปล่ียนแปลงไปภายใตกฎเกณฑเดียวกัน
กลาวคือนํา้ บรสิ ุทธท์ิ ุกหยดประกอบดวย ไฮโดรเจน ๒ สว น และออกซเิ จน ๑ สวน เหมือนกัน และน้ํา
บรสิ ทุ ธิ์ทกุ หยดเมือ่ นาํ มาตมทีค่ วามกดอากาศระดับน้ําทะเล จะเดือดที่อุณหภูมิ ๑๐๐ องศาเซลเซยี ส
เสมอ ความเชื่อท่ีวาธรรมชาติมีความสม่ําเสมอ มีกฎเกณฑท่ีแนนอนตายตัว หรือท่ีเราเรียกกันวา กฎ
ธรรมชาติ (Law of Nature) นี่เอง ทาํ ใหเราสามารถสรุปจากบางส่ิงไปสูทุกส่ิงได สรุปจากอดีตไปสู
อนาคตได เมอื่ เราตมนํ้าบริสุทธบ์ิ างหยดแลวเหลือท่ี ๑๐๐ องศา เราก็เช่ือตอไปวานํ้าทุกหยดจะ
เดอื ดที่ ๑๐๐ องศา ดว ยเชนกนั เมอ่ื เราเคยตม นํ้าบริสุทธ์ิในอดีต แลวเดือดท่ี ๑๐๐ องศา เราก็เช่ือวา
ในอนาคตถาเราตม นา้ํ บรสิ ุทธ์อิ ีก มนั ก็จะเดือดที่ ๑๐๐ องศา เหมอื นทเี่ คยเปนมาในอดีต การแสวงหา
ความรูแบบอุปนัย มีความเช่ือพื้นฐานวา กฎธรรมชาติมีอยูจริง และตองการแสวงหาความรูคือ
ธรรมชาตเิ หลา นี้
(๒) ทุกส่ิงที่เกิดข้ึนมีสาเหตุท่ีแนนอนตายตัว ตามความเช่ือท่ีวามีความสม่ําเสมอใน
ธรรมชาติ และเราสามารถหากฎเกณฑมาอธิบายความเปนไปของสิ่งตางๆ ในธรรมชาติไดนั้นยอมมา
จากความเชื่อท่ีพ้ืนฐานกวาน้ีอีก คือความเช่ือที่วาเหตุการณทั้งหลายไมไดเกิดข้ึนโดยบังเอิญหรือ
เกิดข้ึนลอยๆ เมื่อไหรก็ได แตทุกสิ่งท่ีเกิดข้ึนยอมมีสาเหตุ และเปนสาเหตุที่แนนอนตายตัวดวย
กลาวคือสาเหตุอยางหนึ่งยอมใหผลอยางหน่ึง สาเหตุอีกอยางหนึ่งยอมใหผลอีกอยางหนึ่งที่ตางกัน
ออกไป สาเหตุอยางเดียวกันยอมทําใหเกิดผลอยางเดียว ความเช่ือดังกลาวน้ีเรียกวา กฎการเปน
สาเหตุ (principle of causation)
ถาทุกส่ิงเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไมมีสาเหตุท่ีแนนอน ความสมํา่ เสมอหรือกฎเกณฑในธรรมชาติ
ยอมมีไมไ ด ถาเราตมน้ําบริสุทธ์ิ ณ ความกดอากาศระดับน้ําทะเล ครั้งแรกเดือดที่ ๑๐๐ องศา คร้ังท่ี
๒ เดอื ดท่ี ๙๐ องศา คร้ังท่ี ๓ เดอื ดที่ ๑๑๐ องศา ถา เปนอยางนี้เราก็ไมอาจแนใจไดวาการตมนํ้า
บริสุทธิ์ครัง้ ตอตอ ไป จะเดอื ดที่อุณหภูมกิ ่ีองศา เราก็จะไมสามารถหากฎเกณฑใ นเร่ืองจุดเดอื ดของน้ํา
บริสุทธ์ิได แตจากประสบการณ เราพบวาทกุ คร้ังท่มี ีสาเหตุอยางเดียวกันเกิดขน้ึ ผลอยางเดียวกันจะ
เกิดขึ้นเสมอ เราจึงเชื่อวาทุกส่ิงท่ีเกิดข้ึนมีสาเหตุที่แนนอนตายตัว ทุกครั้งท่ีมีสาเหตุ คือมีความกด
อากาศระดบั นํ้าทะเล มนี ้ําบริสุทธ์แิ ละมีอุณหภมู ิ ๑๐๐ องศา ผลคอื น้าํ เดือดยอมเกิดขน้ึ เสมอ
ความเชื่อท่ีวาสาเหตุอยางเดียวกันยอมทําใหเกิดผลอยางเดียวกันนี้เอง ทําใหเราสามารถ
ทํานายไดวา ถา มเี หตอุ ยางนีจ้ ะเกดิ ผลอยางไรขึน้ ในอนาคต ท้ังนี้กโ็ ดยอาศัยประสบการณในอดีตที่
๒๓๕
เคยพบมาวา เมือ่ เคยมีเหตอุ ยางน้ี ผลอยางน้ีเคยเกดิ ข้ึนตามมาเสมอ ดงั น้ันถาในอนาคตมีเหตอุ ยางน้ี
อีก ผลอยางน้ีก็คงจะเกิดขึ้นอีกเปนแน ความจริงแลว การหาความรูเรื่องกฎธรรมชาติก็คือ การหา
สาเหตขุ องสง่ิ ตางๆ ที่เกิดข้ึนในธรรมชาตินัน่ เอง ในเมือ่ สาเหตอุ ยางเดียวกันกอ ใหเกดิ ผลอยางเดียวกัน
ข้ึนเสมอ ดังน้ันเม่ือมีผลอยางหน่ึงเกิดขึ้น ผลน้ันตองเกิดจากสาเหตุหนึ่งที่แนนอนตายตัว ถาเรามี
ประสบการณในเร่ืองนนั้ มากพอ และมีวิธีสงั เกตท่ีดพี อ เรากอ็ าจจะบอกไดว าสาเหตนุ น้ั คืออะไร
๔. เหตผุ ลวบิ ัติ (Fallacy)
ผลวิบัติในความหมายของนักตรรกวิทยา หมายถึงขอบกพรองหรือความผิดพลาดในการใช
เหตผุ ล ซึ่งขอบกพรองหรอื ความผิดพลาดดงั กลาวเปนเหตใุ หคนเราตัดสนิ ปญ หาตางกัน
สาเหตุทค่ี นเราตัดสินปญหาตางกันทั้งๆ ทีต่ างฝายตา งก็ใชเหตุผล เปนเพราะวาคนสวนมาก
ยังไมเขา ใจลักษณะของเหตุผลดีพอ นักตรรกวิทยาจึงไดพยายามศกึ ษาวิเคราะหเหตุผลทีม่ นุษยใชกัน
อยูจนสามารถเห็นไดวา การที่คนเราตองตัดสินปญหาตางกัน อาจเกดิ จากสาเหตุใดสาเหตุหน่ึงใน ๔
สาเหตตุ อไปนี้คอื
๔.๑ การใชภ าษาอยา งไมร ัดกมุ ในการอางเหตผุ ล
ในการอางเหตุผล คนเราตองอาศัยภาษาเปนส่ือ และในการใชภาษานั้น เราอาจไมเขาใจ
ภาษาท่ีใชดีพอ ทาํ ใหอกี ฝายหนึ่งเขาใจไมตรงกันได ภาษาจึงมีสวนทําใหคนเราเขาใจกันไดหรือเขาใจ
ผิดกันก็ได ดงั นั้นในการศกึ ษาลักษณะท่ีถูกและผิดของเหตุผล นอกจากจะศึกษาเหตุผลแลว ยังตอง
ศกึ ษาภาษาซงึ่ เปน สอ่ื ในการอางเหตุผลดว ย วามีสวนทาํ ใหคนเราเขา ใจเหตุผลของอีกฝายหน่ึงไขวเขว
ไปไดอ ยางไร
จงเปรยี บเทยี บการอา งเหตผุ ล ๒ แบบนี้
(๑) ดาํ รูวา แดงทํารายขาวจริง (๒) ดํารูวาแดงไมด ี
ดําไมเขาขางคนท่ีทํารา ยผอู นื่ ดาํ เปน คนไมเ ขา ขางคนดี
เขาจงึ ไมเ ขาขา งแดง เขาจงึ ไมเขาขา งแดง
จะเห็นวา ผลทอ่ี างในขอ ๑ อานแลวเขาใจดกี วาในขอ ๒ เพราะขอความท่ีนํามาอางในขอ
๑ บอกขอเทจ็ จรงิ ทเ่ี ราพสิ จู นไ ดว า แดงทาํ รา ยขาวจรงิ หรือไม และดําไมเ ขาขางคนทีท่ ํารายผูอ่ืนเสมอ
ไปหรือไม แตขอความในขอ ๒ อานไมเขาใจชัดเจนเหมอื นในขอ ๑ เพราะใชคําท่ไี มอาจพสิ ูจนได
ดว ยขอ เท็จจริง “แดงไมด ี” เปนขอ ความที่เราหาขอเทจ็ จริงมาตัดสินไมได นอกจากจะอธิบายวา “ไม
ดี” หมายความวา อยางไร ถาไมอธิบายกไ็ มเ ขาใจ “ไมดี” อาจหมายความวา “ทาํ รายผูอนื่ ” หรืออาจ
หมายความเพยี งวาเปนคนทข่ี ัดผลประโยชนของดํา หรืออ่ืนๆ ๆนอกจากนี้กไ็ ด “ไมดี” จึงเปนคาํ ทมี่ ี
๒๓๖
ความหมายกวาง การใชภาษาท่ีมีความหมายกวางไมรัดกุมชัดเจนเชนน้ี จึงเปนสาเหตุหนึ่งท่ีทําให
คนเราตกลงกันไมไ ดใ นเร่อื งของเหตผุ ล
๔.๒ ส่ิงทีน่ ํามาอา งเปนเหตผุ ลบกพรอ ง
สมมตุ วิ า คนเราใชภ าษาไดดี ทั้งผพู ดู และผฟู งเขาใจตรงกนั ทุกประการ แตก ็อาจจะมีความเห็น
ขัดแยงกนั ในการอา งเหตุผลได สาเหตุอยางหน่ึงก็คือ ตัวเหตผุ ลท่ีนํามาอางไมถกู ตอ งสมบูรณ เชน มี
หลักฐานนอยเกินไปที่จะสรุป หรือมีหลักฐานมากพอ แตหลักฐานนั้นไมเปนตัวแทนที่ดีของเร่ืองที่
ตองการสรุป ถามีคนมาบอกเราวา “คนอังกฤษนี้ไวใจไมไดชอบโกหกอยูเร่ือย ฉันมีเพื่อนเปนชาว
อังกฤษสามสี่คน โกหกเกง ทกุ คน” เราคงไมเ ห็นดวยกบั ขอสรุปนี้ เพราะการสรุปวาชาวองั กฤษทุกคน
ไวใจไมได โดยอางเหตผุ ลหรือหลักฐานเพยี งชาวองั กฤษ ๓-๔ คน ทีช่ อบโกหกเหตผุ ลหรือหลักฐานที่
อางยอมนอยเกินไป นอกจากนี้หลักฐานที่อา งยังไมเ ปนตัวแทนทด่ี ีของเร่ืองที่สรุป เพราะชาวอังกฤษ
๓-๔ คนทเี่ ปนเพ่ือนของผูอา งไมไดเ ปนตวั แทนของคนอังกฤษทั้งประเทศ ดงั น้ันความบกพรองของตัว
เนื้อหาหรอื เหตุผลท่ีนาํ มาอา งจึงเปนสาเหตหุ น่ึงทท่ี ําใหค นเราตัดสินปญ หาตางกัน
๔.๓ วธิ กี ารอางเหตุผลไมถ กู ตอ ง
สงิ่ สําคัญอีกประการหน่งึ ทีท่ าํ ใหก ารอา งเหตุผลบกพรอ งกค็ อื วิธีอา ง ความถกู ผิดของการอา ง
เหตุผลน้ัน นอกจากจะขึ้นอยูกับภาษาและเนื้อหาของเหตผุ ลทนี่ ํามาอางแลว ยังข้ึนอยูกบั วิธีอางดวย
ถาอางผิดวธิ แี ลว แมภ าษาและเหตุผลที่นํามาอางจะถูกตอง ก็ยงั ถอื วา การอางเหตุผลครงั้ นนั้ ผิด เชน
(๑) นายทุนทงั้ หลายยอ มรักษาผลประโยชนข องตน
นายแดงเปนคนรักษาผลประโยชนของตน
ฉะน้นั นายแดงตอ งเปนนายทนุ
วิธีทใี่ ชอา งในตัวอยางนี้คือ ถา สง่ิ ๒ ส่งิ มลี ักษณะอะไรเหมือนกนั แลว ทั้งสองส่ิงนั้นจะตองเปน
สง่ิ เดยี วกนั การอา งเหตุผลแบบนี้จงึ มวี ิธอี างหรือรูปแบบดงั นี้
(๒) A เปน B
C เปน B
ฉะนนั้ A กับ C เปนสิ่งเดียวกนั
วิธีอานแบบนี้ไมถูกตอ ง เพราะการท่ีส่ิง ๒ สิ่งมีลักษณะบางอยางรวมกัน ไมจําเปนวาตองมี
ลกั ษณะอ่นื รวมกนั ดวย
๒๓๗
๔.๔ การอางสิ่งท่ีไมใ ชเหตุผลมาเปนเหตผุ ล
สิ่งสําคัญประการสุดทายทท่ี ําใหการอางเหตผุ ลไมถูกตอ ง คอื การอา งสิ่งท่ีไมใชเหตผุ ลมาเปน
เหตุผล ซ่ึงส่ิงท่ีนํามาอางเหลานี้มักเปนส่ิงท่ีเราอารมณผูฟงใหชอบหรือไมชอบตาม แลวเลยตัดสิน
ความชอบหรือไมชอบนั้นโดยมิไดใชเหตุผล ความผิดพลาดในการอางเหตุผลแบบนี้จึงมีชื่อเรียกวา
ความผดิ พลาดโดยการทง้ิ เหตุผล
ตวั อยางเชน แดงวา ดาํ ผดิ ขาววา ดาํ ไมผ ดิ แดงกับขาวเถยี งกันในเรื่องการกระทําของดําวาผิด
หรือไม เหตุผลที่แทคือ การกระทํานั้นผิดหรือไมผิดตรงไหน อยางไร แตบางครั้งคนเราก็ไมเถียงกัน
เร่ืองนี้ เชน แดงอาจเถียงขาววา ที่ขาววาดําไมผิด เพราะขาวชอบนองสาวของดําอยู จึงเขาขางดํา
ดังนี้เปน ตน
ในแงเหตผุ ล แดงไมควรโจมตีขาวดวยเร่ืองสวนตัว ถาเหตผุ ลของขาวไมดี แดงก็ควรแยงวา
เหตผุ ลของขาวใชไ มไดอยางไร แตถาแยงเหตผุ ลของขาวไมได การนําเรื่องสวนตวั ของขาว มาพูดก็มิได
ทําใหเ หตุผลของขาวผิดหรือถูกมากขึ้น ปกติแลว คนเรามักรูสึกวา ใครมผี ลประโยชนอยูฝายใด กย็ อม
เขา ขางฝายน้นั การใชเร่อื งสว นตัวมาโจมตีกันเพื่อใหเหน็ วา ทรรศนะของอีกฝา ยผดิ แทนทจี่ ะใชเหตุผล
มาพิสูจนวาทัศนะของอีกฝายผิดอยางไร จึงเปนตัวอยางของการอางสิ่งที่ไมใชเหตุผลมาเปนเหตุผล
หรอื การทิ้งเหตุผล
๒๓๘
สรปุ ทายบท
ตรรกวิทยาเปนสาขาหน่ึงของปรัชญาบริสุทธ์ิ ที่วาดวยเรื่องของเหตุผลและกฎเกณฑก ารใช
เหตผุ ล นักปรชั ญาใหค วามสาํ คัญกบั ตรรกวิทยาในฐานะทเี่ ปน เครอื่ งมอื ของปรัชญา หรือเปนประตูเขา
สูวิชาปรัชญา เพราะการศกึ ษาปรัชญาใหเขาใจอยางถองแท จําเปนตองเขาใจเหตุผลและรูกฎเกณฑ
การใชเหตุผลเสยี กอ น เหตผุ ลในความหมายของตรรกวิทยา หมายถึง หลักฐานทสี่ นับสนุนหรือยืนยัน
ใหเราเชื่อวา ขอสรุปของเราเปนจริง เชื่อถอื ได ซ่ึงการอางหลักฐานเพ่ือยืนยันใหเราม่ันใจวาขอสรุป
เปน จริง เชือ่ ถือไดเ รยี กวา การอา งเหตผุ ล
การอางเหตุผลตอ งมี ๒ สวนเสมอ คือสวนท่เี ปน ขออาง กับสวนที่เปน ขอสรุป ในการอาง
เหตผุ ลแตละคร้งั ขอ อา งจะมี ๑ ขอ หรือมากกวา ๑ ขอ ก็ได แตขอ สรุปตองมีขอเดยี ว การอา งเหตุผลมี
๒ แบบ คือการอา งเหตุผลแบบนิรนยั กบั การอา งเหตุผลแบบอปุ นัย
การอา งเหตผุ ลแบบนิรนัยเปนการอางหลักฐานจากสิ่งที่เราเช่ือหรือยอมรับกันอยูแลววาเปน
จริง หรือเปนการสรุปความรูใหมจากความรูเดิมโดยไมตองอาศัยประสบการณ สวนการอางเหตุผล
แบบอปุ นัย เปนการสรุปความรใู หมโดยอางหลักฐานจากประสบการณ
การอางเหตุผลแบบนริ นัย มี ๓ รูปแบบ คือการอา งเหตผุ ลแบบเง่ือนไข รูปนิรนัย และเหตผุ ล
ยอ แตละรูปแบบมีกฎเกณฑท่แี นนอนในการตรวจสอบความสมเหตุสมผล สวนการอางเหตุผลแบบ
อปุ นยั น้ัน ไมสามารถตรวจสอบความสมเหตสุ มผลได การพิจารณาความสมเหตสุ มผลของวธิ ีอปุ นัยจึง
ตอ งอาศยั การยอมรับ คือการมปี ระสบการณห รือเหตุผลทีจ่ ะทําใหสามารถแนใจไดวาลักษณะนี้นาจะ
เปนธรรมชาติของส่ิงน้ัน นักตรรกวิทยาบางคนจึงลงความเห็นวา วิธีการนิรนัยใหความแนนอน
(Certainty) สว นวิธีการอุปนยั ใหค วามนา จะเปน (Probability)
ตรรกวิทยายังศึกษาวิเคราะหเกยี่ วกับความบกพรองของการใชเหตผุ ล หรือที่เรียกวาเหตุผล
วิบัติดวย และไดพบสาเหตุที่ทําใหคนเราตองตัดสินปญหาตางกันอันเนื่องมาจากความไมเขาใจ
ลักษณะของเหตุผลดพี อ ซึ่งอาจอยูในขอใดขอหนึ่งใน ๔ ขอ ไดแก การใชภาษาอยางไมรัดกุมในการ
อางเหตุผล สิ่งที่นํามาอางเปนเหตุผลบกพรอง วิธีการอางเหตุผลไมถูกตอง และการอางส่ิงที่ไมใช
เหตผุ ลมาเปนเหตผุ ล
๒๓๙
เอกสารอา งองิ ประจาํ บท
กีรติ บุญเจือ. ตรรกวทิ ยาท่ัวไป. พิมพค รัง้ ที่ ๒. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๑๘.
จํานง ทองประเสริฐ. ตรรกศาสตร ศิลปะแหงการนยิ ามความหมายและการใหเหตุผล.
พมิ พครง้ั ท่ี ๑๑. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยา, ๒๕๓๘.
ประทีป มากมติ ร. ตรรกวทิ ยาเบอื้ งตน . กรงุ เทพฯ : โรงพิมพมหาวิทยาลยั เอเชยี อาคเนย, ๒๕๔๓.
ปรชี า ชางขวญั ยืน. การใชเหตุผล. กรุงเทพฯ : มิตรสยาม, ๒๕๕๒.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ. ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๓๑. กรุงเทพฯ :
สํานกั พมิ พอกั ษรเจรญิ ทศั น, ๒๕๒๕.
วิทยา ศักยาภินันท, รองศาสตราจารย ดร. ตรรกศาสตร ศาสตรแหงการใชเหตุผล. กรุงเทพฯ :
สาํ นักพมิ พมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, ๒๕๕๗.
สุจิตรา ออนคอม, รองศาสตราจารย ดร. ปรัชญาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรและ
สังคมศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบรุ ี.
บทที่ ๘
จริยศาสตร
ความนํา
เนื่องจากมนุษยเปนสัตวสังคม มนุษยนอกจากจะรูจักวิธีการดํารงชีวิตของตนแลวยัง
จําเปนตอ งจกั วิธีการดาํ รงตนอยใู นสังคมอกี ดว ย เพราะมนุษยไ มส ามารถจะอยคู นเดียวโดยโดดเด่ียวได
วิชาจริยศาสตรมีความจําเปนและเอ้ืออํานวยแกมนุษยเปนอยางมากในการดํารงชีวิตอยูในสังคม
มนุษยคนใดกต็ ามถาขาดศีลธรรมแลวจะไมมีความเปนมนุษยเหลืออยูเลย ในขณะเดยี วกัน สังคมใดก็
ตามที่ขาดศีลธรรมแลว สังคมน้ันก็ไมส ามารถจะคงอยูได จริยศาสตรจึงเปนหลักท่ีมนุษยทุกคนและ
สงั คมมนษุ ยทุกสงั คมตอ งยดึ ถือเปน แนวทางในการปฏบิ ตั เิ พอื่ ความเจริญรงุ เรือง และความสงบสุขของ
มนุษยทุกคนและสังคมมนษุ ยโดยสวนรวม
๒๔๒
๑. ความหมายของจริยศาสตร
จริยศาสตรเปน ปรัชญาแขนงหนึ่งในบรรดาปรัชญาหลายๆ แขนงท่ีนักปรัชญาแบงกันไว ซง่ึ มี
ดงั น๑้ี
๑. อภปิ รชั ญา วาดว ยความจรงิ อนั สน้ิ สดุ
๒. ญาณวทิ ยา วา ดวยเรอ่ื งความรู ธรรมชาติของความรู บอ เกิดของความรู
๓. ตรรกวิทยา วาดว ยเรอ่ื งการคดิ หาเหตผุ ล
๔. จริยศาสตร วา ดว ยเรื่องความประพฤติ
๕. สนุ ทริยศาสตร วา ดวยเร่ืองความงาม
ซง่ึ นักปรัชญาบางทานอาจแบงสาขาของปรัชญาออกนอยหรือมากสาขากวาน้ีกม็ ีตามความ
เชือ่ และความคดิ เห็นของแตล ะคน
จริยศาสตรเปนแขนงหนึ่งของปรัชญาดังกลาว เมื่อเราพูดถึงจริยศาสตรเราก็จะนึกถึง
จรยิ ธรรม ศลี ธรรม แลวกน็ ึกไปถงึ ความดี ความช่ัว ความถกู ความผิดดวยแตอยางไรกต็ ามการทเ่ี รา
จะคิดวาจริยศาสตรเปนวิชาท่ีศึกษาเก่ียวกับ ความดี ความช่ัวนั้นยังไมเปนที่เขาใจดีนัก จึงควรมา
วิเคราะหศัพทด วู าจะมีความหมายอยางไร
ตามหลักนิรุกติศาสตร คําวา จริยศาสตรเปนภาษาสันสกฤต มาจากคาํ วาจริยบวกกับศาสตร
จริย แปลวา ความประพฤติ หรือสง่ิ ที่ควรประพฤติ ศาสตร แปลวา ความรู รวมแลวแปลวา ความรูอนั
วาดวยความประพฤติ หรือศาสตรอันวาดวยความประพฤติ สิ่งท่ีควรประพฤติ หรือศาสตรวาดวย
ความประพฤตขิ องมนุษยน ั่นเอง
จรยิ ศาสตรต รงกับคาํ ภาษาลาตินวา Ethos ทแ่ี ปลวา อุปนิสัยหรือหลักของการประพฤติ บาง
ทีเรียกวา ปรัชญาจริยธรรม (Moral Philosophy) หรือหลักจริยธรรม คําวา จริยธรรม ตรงกับภาษา
ลาตนิ วา Mores อันหมายถงึ ระเบยี บแบบแผนหรอื ขอปฏบิ ัติ
เจมส เธธ กลาววา “จริยศาสตร คือ ศาสตรอันวาดวยเร่ืองความประพฤติวาอะไรควรทํา
อะไรไมค วรทาํ ”
แมค เคนซ่ี กลา ววา “จรยิ ศาสตร คือ การศึกษาถงึ ส่ิงท่ีถกู สิ่งทดี่ ใี นการกระทํา”
มฮู ูด กลาววา “จรยิ ศาสตรเ ปนวิชาทีว่ า ดวยพฤตกิ รรมพ้ืนฐานในการตัดสินใจในทางท่ีถูกตอ ง
วา ดวย กฎเกณฑพ ฤติกรรมตาง ๆ๒
กลาวโดยสรุป จริยศาสตรจึงเปนวิชาที่วาดวย อุปนิสัย นิสัย ความประพฤติของมนุษยที่มี
นโยบายเขาผสมอยูดวย จริยศาสตรชวยตีคาของมนุษยโดยการมองทางอุปนิสัย นิสัย และความ
๑ บุญมี แทนแกว, สถาพร มาลีเวชรพงศ และประพัฒน โพธิ์กลางดอน, ปรัชญาเบื้องตน (ปรัชญา
๑๐๑), (กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพโอเดียนสโตร, ๒๕๒๙), หนา ๑๑๔-๑๑๕.
๒ ชยั วัฒน อัฒพฒั น, จริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง, ๒๕๒๓), หนา ๒.
๒๔๓
ประพฤติ ตามที่บุคคลแสดงออกมา วาความประพฤติอยางไร ควรทําอยางไรควรเวน อยางไรถูก
อยางไรผิด อะไรดี อะไรช่วั
๒. ขอบเขตเนือ้ หาของจริยศาสตร
ขอบเขตเนอื้ หาของวิชาจริยศาสตรน้ันอาจแบง ออกไดดังนี้
๑. อภิจริยศาสตร (Metaethics)
อภิจริยศาสตร ศึกษาถึงเร่ืองธรรมชาติของความดี การนิยามความดี ความดีมีจริงหรือไม
ความดี สูงสดุ เปนอยางไร ความดคี ืออะไร เราจะตัดสินคาทางจรยิ ะไดห รือไม เปนตน
จี.อี.มัวร นักปรัชญาผูมีชื่อเสียงคนหน่ึง ไดอธิบายความดีวา คือ “คุณสมบัติที่มีอยูตาม
ธรรมชาติ เปนส่งิ ทีเ่ ราเขา ใจได เปนเอกภาพ จาํ กัดลงไปไมไ ด ไมแ นน อน แบงแยกไมได”
๒. อุดมคติชีวติ (Ideal)
ศึกษาถึงอุดมการณอันสูงสุดของชีวิตมนุษย ศึกษาวาอะไรเปนสิ่งท่ีดีที่สุดสําหรับชีวิตมนุษย
คนควรทาํ อยางไรจึงจะดีท่สี ุด ควรทาํ อะไรจึงจะทําใหชีวิตสมบูรณท ี่สุด อะไรคือส่ิงท่ีดีที่สุด ประเสริฐ
ทส่ี ุดทีม่ นุษยแสวงหา
การศึกษาเรื่องน้ีมีนักปรัชญาหลายสํานัก ไดศึกษาคนควา แตความคิดเห็นแตกตางกัน จะ
กลา วละเอียดในตอนวา ดวยแนวคดิ ตางๆ ของนกั ปรชั ญาทางจริยศาสตร
๓. เกณฑการตัดสนิ คณุ คา
จริยศาสตรวาดว ยเรื่องความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด อะไรควร อะไรไมควร การทีเ่ รา
จะรูวาอะไรดอี ะไรไมดี อะไรควรอะไรไมควร อะไรถูก อะไรผิด จะตองอาศัยหลักเกณฑบางอยางมา
ตัดสินในทางจรยิ ศาสตร มนี ักปรัชญาวิเคราะหเร่อื งน้ีหลายกลมุ ความคดิ แตกตางกนั มากมาย
๓. จรยิ ศาสตรศ กึ ษาเรอื่ งอะไรบาง
จริยศาสตรเปนศาสตรทีว่ าดวยพฤตกิ รรมของมนุษยในทุก ๆ ดา นและในขณะเดียวกันก็บงชี้
ใหทราบวาพฤติกรรมเชนนั้นถูกตองหรือไม ดีหรือไมดี ควรทําหรือไมควรทํา เปนตน จริยศาสตรจึง
เปน การศึกษาพฤตกิ รรมตาง ๆ ของมนษุ ย ซ่งึ พอสรปุ ได ดงั น้ี
๑. หนาท่ีของมนุษย จริยศาสตรชี้วามนุษยทุกคนที่เกิดมาตางมหี นาท่ี ท่ีจะตอ งรับผิดชอบ
ดว ยกันทั้งน้ัน กลาวคือ แตละคนตางมีหนาท่ีรับผิดชอบเปนของตนเอง เชน บิดา มารดามีหนาท่ีใน
การเล้ยี งดูและอบรมสั่งสอนบุตร ธิดาใหเ ปน คนดี บุตร ธดิ ามีหนา ท่ีในการเลย้ี งดูบิดา มารดาในวัยชรา
รักษาพยาบาลเมื่อบิดามารดาเจ็บปวย เช่ือฟงคําสั่งสอนและปฏิบัติภารกิจตาง ๆ แทนบิดา มารดา
นักศกึ ษามหี นาที่ในการศึกษาหาความรู ครูอาจารยมีหนาที่ในการใหการศึกษา ฝกอบรมความรูทาง