พระธรรมเทศนา สวยๆ ขนาดข้าวจะเอาไปกิน ถ้าเกิดผมร่วงหล่นใส่ ก็ยังต้องหยิบออก กินไม่ได้ ต้องพิจารณา อย่าเอา ความสวยความงามมาบังนะ นักปฏิบัติ ต้องทำ ลายให้หมดนะเรื่องพวกนี้ พ่อแม่ครูจารย์ท่านพูดจนถึงฐานนู่น ให้มันสว่างดูซิ จิตใจเรา แล้วมันจะเกิดอัศจรรย์หรอก ครูบา อาจารย์ท่านทำ อย่างนั้นมานะ ท่านไม่ได้มาแต่งเรื่องนะ แต่นี่ไม่รู้อะไร มีแต่มากินแล้วนอน นอนแล้วก็ ไปเจอกันก็สนุกสนานร่าเริงเหมือนนกเอี้ยง แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร กายวิเวกก็ไม่มี วาจาวิเวกก็ไม่มี แล้วจะไปเห็นอะไร เอาไปพิจารณาใคร่ครวญว่า จะทำ อย่างไร ไม่นานก็ออกพรรษาแล้วนะ ตอนนี้ก็จะ เข้าสองเดือนแล้ว ถ้าออกพรรษาแล้วก็เท่านั้นแหละ เรื่องการเรื่องงานมันยุ่งนะ ครูบาอาจารย์แต่เก่าแต่ก่อน เข้าพรรษาไม่มีการมีงานอะไร ท่านมีแต่นั่งภาวนากัน บางองค์ท่าน อธิษฐานไม่นอนตลอดทั้งไตรมาสก็มี ท่านทรมานกิเลสของท่านถึงขนาดนั้นนะ แต่พวกเรานี้ไม่รู้อะไร พอพูดหน่อย ก็มีแต่กิเลสมากั้นกางหมด เกิดโทสะขึ้นทันที แล้วจะไปเห็นอรรถเห็นธรรมได้อย่างไร มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนเป็นฆราวาสเลยนะ เพราะศีลสมาธิปัญญาไม่เกิด มันก็เลยเป็นฆราวาสอยู่อย่างนั้น ถ้ามันเห็นอรรถเห็นธรรมแล้ว มันยอมเลยแหละ แต่นี้มันไม่เห็น ก็เลยไม่ยอม ตัวสำ คัญคือทิฐิมานะ มันกั้นกางมรรคผลนิพพานอยู่ ไม่ยอมรับว่าตัวเองชั่ว เหมือนที่เขาจับคนทำ ผิดใส่ตะราง มีแต่เขากล่าวหา ทั้งนั้น เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น จะไปยอมรับความจริงอะไร จิตมีกิเลสมันเป็นอย่างนั้นแหละ ให้พากันเร่ง ความพากความเพียรต่อไป พอเลิกกัน ทำ จิตใจให้เด็ดเดี่ยว ฟังแล้วเก็บไปใคร่ครวญ ไปสอนตัวเองให้เกิดความเข้าใจ ถ้าฟังไปแล้วไม่เอา ไปใคร่ครวญ มันก็ไม่เกิดกับใจตัวเองนะ จิตมันก็ไม่แล่นนะ โลกนี้มันมีทั้งความทุกข์ยากลำ บาก มีทั้ง ความสุขสบาย มีทั้งคนยากจน มีทั้งคนร่ำ รวย ตอนนี้คันที่ไหน ก็เกิดตุ่มที่นั่น เดี๋ยวนี้กำ ลังเกิดขึ้นที่ศีรษะ 250
ภาพถ่าย ณ งานพิธีหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙ 251
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๔๒ ให้สำ รวจดูใจตนเอง ๒๙ ส.ค. ๒๕๓๘ (ค่ำ ) มัจจุราชกำ ลังไล่ตาม ใกล้เข้ามาทุกที มันทั้งบีบทั้งคั้นเข้ามา คนเราก็เท่านั้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนั้น มีแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านไม่มีอุปาทานความ ยึดมั่น ถ้าเป็นเรา มันก็ยึดนั่นยึดนี่ ถ้าได้ยินได้ฟังอะไรแล้ว ไม่ถูกจิตถูกใจก็ไปยึดแล้ว ถ้าถูกจิตถูกใจก็ ดีใจ มันก็มีอยู่เท่านั้นโลกนี้ พิจารณาไปแล้ว ไม่มีความสุขสักอย่าง มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ตัวเองก็ติเตียน ตัวเองอยู่อย่างนั้น อิจฉาตัวเอง เรื่องโกหกตัวเองเก่งเหลือเกิน ถ้าคนอื่นมาโกหกนี้ผิดใจ แต่ถ้าตัวเอง โกหกตัวเองนี้ ไม่เป็นไร มันสบายเหมือนเป่าปี่ใส่หูควาย เอาซิ ลองนั่งภาวนาดู วันนี้จะนั่งนานเท่านั้นเท่านี้ กำ หนดเอาเอง นั่งไปได้ไม่นาน สักพักก็ล้มตัว ลงหมอน นอนหลับเท่านั้นแหละ กิเลสมันกล่อมเรา เอาไปกินหมดนะสิ ว่าร่างกายของเราไม่ไหวแล้ว ถ้านั่งต่อไปต้องตายแน่ๆ ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติจริงๆ เอาซิ บริกรรมพุทโธ ๒๔ ชั่วโมงอย่าให้เผลอ ให้มัน เป็นมหาสติดูซิ กำกับจิตตัวเองอยู่อย่างนั้น ให้พิจารณาใจ อยู่ที่ใจ มันจะเห็นกรรม ก็ให้มันเห็น ให้มันทัน ให้รู้ว่าวันหนึ่งๆ คิดอะไรอย่างไร จะไปพูดอะไรเรื่องภพเรื่องชาติ แค่วันเดียวก็ยังจำ ไม่ได้ เรื่องจิตใจมัน คิดไปอย่างไร ทำ ไมมันถึงคิดอย่างนั้น ตามให้มันทันดู จะได้เป็นเหมือนดั่งเงาพระพุทธเจ้าแต่ว่ามันก็ตาม ไม่ทันสักทีนะซิ พระพุทธเจ้าท่านมี อธิศีล* อธิจิต** อธิปัญญา*** เป็นมหาสติมหาปัญญานู่น แล้วเรามาใคร่ครวญจิตใจของเราดูซิ ว่ามันเผลอไปกี่นาที ไม่ใช่นาทีนะ กลัวว่ามันจะเป็นชั่วโมง ถึงจะมารู้ตัวนะ นู่น เวลาเข้านั่งสมาธินู่น ถึงเริ่มมานะ เจ้าความคิดต่างๆ นานาเริ่มเกิดขึ้น ถ้าได้ไป ก็เริ่มคำ นึงแล้วว่า ได้เคยพูดกับเพื่อนอย่างนั้น เคยเสียใจอย่างนั้น ถ้าไม่คิดไปอย่างนั้น ก็ไปคิดกับเรื่อง เครื่องบริขารเล็กๆ น้อยๆ ไปแล้วนั่งอยู่อย่างไร มันถึงจะสงบสักที ถ้าไม่มีอะไรผูกมัดจิตใจ มันไม่ได้หรอก ไม่เห็นหรือ เขาฝึกควายฝึกวัว กว่าจะใส่แอกใส่ไถ มันต้องฝึกต้องหัดกันขนาดไหน พระพุทธเจ้าท่านฝึกของท่านเอง คิดดูซิ ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า กว่าจะได้เป็น ต้องใช้ เวลาสร้างบารมีตั้ง ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป พระพุทธเจ้าทีปังกรท่านได้ทำ นายไว้แล้วนะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ชื่อว่าพระโคดม ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป โลกนี้มีพระพุทธเจ้า จะลงมาอุบัติ บางองค์ท่านก็ทำ นายไว้แล้วว่า ต้องใช้เวลาสร้างบารมีตั้ง ๒๐ อสงไขยก็มี ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ * อธิศีล คือการศึกษาในข้อปฏิบัติสำ หรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง ** อธิจิต คือการศึกษาในข้อปฏิบัติสำ หรับฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดสมาธิอย่างสูง *** อธิปัญญา คือการศึกษาในข้อปฏิบัติสำ หรับฝึกอบรมปัญญา 252
เรื่องของกิเลส มันหนามากนะ จะมาทำ เล่นๆไม่ได้หรอก ชาวไร่ชาวนา กว่าเขาจะได้ข้าวมาใส่ในยุ้ง ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ถ้าเปรียบเทียบ เหมือนเหงื่อที่ไหลออกไปนั้น ปล่อยไปตามน้ำ ได้เลย เพราะกว่าจะได้ ต้องเสียเหงื่อมากมายจริงๆ นะ ทำ นาทำ สวน เราก็ได้ผ่านมาหมดแล้ว สมัยนี้อะไรก็สบายไปหมด ถ้านั่งก็นั่งอยู่ในกุฏิ อยู่ในมุ้งลวด ยุงไม่มีได้กัด สมัยก่อนเขาตากแดดตากฝนนู่น แต่เดี๋ยวนี้ อะไรก็สบาย ไปหมด แต่ปัจจุบันนี้ ก็ยังว่ายากลำ บากแล้วจะไปโลกไหน โลกที่มีกิเลส จะไปอยู่โลกไหน มันถึงจะมี ความสุข คิดดูให้ใคร่ครวญพิจารณา เอาไปสอนตัวเอง ตัวเองนะต้องสอนตัวเอง พระพุทธเจ้ามีแต่บอก ทางเท่านั้น ถ้าเราไม่เดิน มันก็ไม่เห็นทาง ไม่เห็นจุดหมายเท่านั้นแหละ ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ เพราะจวนจะออกพรรษาแล้วนะ พอออกพรรษาแล้ว เดี๋ยวคนนั้น ก็ไปนั่น คนนี้ก็ไปนี่ ยุ่งยากนะ มีเวลาแค่สามเดือน พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ ให้อยู่สาม เดือนคือหนึ่งไตรมาส แต่ครั้งพุทธกาลนั้น ยังไม่มีการจำ พรรษา พระก็เดินลุยทุ่งนา เหยียบข้าว เหยียบ น้ำของชาวบ้านเขา จนพวกญาติโยมไปฟ้องพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยบัญญัติให้จำ พรรษา แต่ก่อนไม่มีการ บัญญัตินะ พระพุทธเจ้าท่านบัญญัตินั้น ต้องมีสาเหตุหมดนะ อย่างราหุล ซึ่งเป็นพระโอรสของ พระพุทธเจ้านั้น แม่กับปู่ส่งราหุลไปขอสมบัติจากพระพุทธเจ้า สมบัติอะไรก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เลยให้ พระสารีบุตรโกนผมให้ราหุล และบวชให้ แม่กับปู่เสียใจมาก จึงไปขอพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาต ห้ามบวชให้ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบัญญัติเอาไว้ พระพุทธเจ้าท่านมีเหตุผลนะ แล้วน้องชายแต่งงาน ชื่อนันทะ แต่งงาน ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันกับภรรยาเลย นันทะ ไปส่งพระพุทธเจ้าถึงวัด ท่านก็เลยบวช ให้โกนผมให้ พระพุทธเจ้าท่านมีเหตุผลนะ ท่านบัญญัติไว้หมด เอา เลิกกัน เหนื่อย ภาพถ่าย ณ ศาลาใหญ่หน้าวัดป่าบ้านตาด ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ 253
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๔๓ ทรมานกิเลสตนเอง ๕ ก.ย. ๒๕๓๘ (ค่ำ ) เด็ดนะ ท่านพูดเด็ด ให้เอาไปพิจารณานะหมู่พวก ที่ท่านพูดมา ได้ฟังแล้ว อย่าเอาไปทิ้ง ให้เอาไปใคร่ครวญพิจารณานะ จะทำ อะไร ก็ให้ดูจิตใจตัวเองหน่อย ดูว่ามันโลเลมากน้อยเพียงใด จะไป ทำ อะไร ถ้ามีแต่ความโลเลแล้ว ความจริงมันก็เลยไม่เกิดสักที ถ้าจะทำ จริงๆ มันต้องทำ อย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าท่านให้ทรมานตัวเองนะ ฝึกตัวเอง ทรมานตัวเอง ให้มันรวมลงนั่น อะไรจะเข้ามาในจิตใจนั้น ท่านสอนให้ดูหัวใจตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันเกิดความรักขึ้นแล้ว เราไปรักอะไรมัน ปัญญาของเรา มันก็ต้องคิดวิจารณ์ไป ถ้าเรื่องปัญญา มันเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนที่มันจะพิจารณาไปอย่างนั้น ท่านให้หัด ความสงบเสียก่อนนะ ให้จิตมันสงบเสียก่อน ถ้าจิตไม่สงบอย่าไปคิดเลยนะ ถ้าจะไปพิจารณามันไม่ได้ มันต้องสงบเสียก่อน ความสงบนั้นชนะหมดทั้งโลก ถ้าจิตใจไม่สงบ มันไม่ชนะหรอก ต้องฝึกอยู่อย่าง นั้นแหละจนกว่าจิตใจมันจะสงบ สักพักก็เล่นเงาตัวเอง เอาสัญญาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอามาหลอกตัวเอง หัวใจตัวเองนะหลอก ตัวเอง ถ้าไม่รู้จักกลอุบายของมันแล้ว จับมันไม่ได้แน่ เรื่องพวกนี้ต้องแก้ไขตัวเองอยู่อย่างนั้น พอแก้ตัวเอง จนมันเกิดความเคยชินแล้ว มันก็คิดไปทางใหม่เรื่องใหม่ เหมือนกันกับเด็กน้อย พอเอาของเล่นให้เด็กน้อย เขาก็เล่นอยู่อย่างนั้น เล่นจนพัง พอเราจะเอาทิ้งก็ไม่ยอม ก็พังที่ใหม่ไปเรื่อย จิตของเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าได้พิจารณาอะไร ก็จะพิจารณาอยู่นั่นแหละ แต่ถ้ามันรู้เท่าทันแล้ว มันก็จะปล่อยวาง แล้วมันก็ไป ทางใหม่ ถ้าพิจารณากายก็เหมือนกัน โดยมากก็ไม่ได้ให้ไปพิจารณากายที่ไหน สติปัฏฐานนั่นแหละ คือ สนามรบ พระพุทธเจ้าท่านรบมาหมดแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านเข้าสติปัฏฐาน ๔ ก็ลงมากายนี้ สติปัฏฐาน ๔ ก็มีกาย* เวทนา** จิต*** ธรรม**** เท่านั้น ถ้ารวมกันจริงๆ แล้วจะไปเอามาจากไหน ท่านก็แยกออกไปจากนี่แหละ เขาจะไปแต่งจรวดดาวเทียม เขาก็ออกไปจากนี่หมดนะ จะไปทางโลก เขามีแต่เอาธรรมของพระองค์เจ้าไปใช้นะ สมัยนี้มีแต่เอาธรรม ของพระองค์เจ้าไปใช้หมด เหมือนศาสนาอื่นก็เหมือนกัน ต้องยกเอาศาสนาของพระพุทธเจ้าไป แล้วก็เอาไปเป็นของเขาไปหมด * กาย ( กายานุปัสสนา คือสติกำ หนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา ** เวทนา ( เวทนานุปัสสนา คือสติกำ หนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์ว่า เวทนานี้ก็สักว่า เวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา ) *** จิต ( จิตตานุปัสสนา คือสติกำ หนดพิจารณาใจที่เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว เป็นอารมณ์ว่าใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา ) **** ธรรม ( ธัมมานุปัสสนา คือสติกำ หนดพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล ที่บังเกิดกับใจเป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็ สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา ) 254
ให้พาตัวเองเร่งความพากความเพียรเถอะ ถ้าเอาจริงๆ แล้ว คืนเดียวก็น่าจะจับหลักได้แล้ว ขอให้เร่งความเพียรดูซิ คืนนี้นั่งตลอดทั้งคืนดูซิ ถ้าไม่สู้ก่อนไม่เห็นหรอก แต่นี่ไปเห็นทีไรมีแต่นอนหลับ ถ้าเป็นแล้ว มันจะเป็นไปเองหรอก ธรรมของพระองค์เจ้า ถ้าได้ลงมือทำ จริงๆ แล้ว มันไม่ได้ไปสนใจ กับใครหรอก ดูหมู่พวกที่เห็นอยู่ พอได้พบปะกันแล้ว ทั้งมือทั้งเท้า ตบนั่นตบนี่กันด้วย คล้ายทักทายกันด้วยนะ ไม่รู้ทำ ไมนิสัยถึงเป็นอย่างนี้ ผู้ที่รู้ธรรมเห็นธรรม เขาพูดจริงทำจริงนะ พูดอะไรเป็นความจริงหมด ท่านไม่พูดเล่นนะ ผู้ที่จะรักษาศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง พูดตลกเฮฮา มันเป็นทางโลกไปหมด เรื่องธรรมไม่มี พอหยอกกัน สักพักก็ทะเลาะกัน เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้นนะ สักหน่อยก็อวดมั่งอวดมีกันว่าเป็นคน ตระกูลนั้นตระกูลนี้ ก็ยกกันขึ้น มันเป็นอยู่อย่างนั้น นี่แหละไม่ยอมดูคนที่เขามาขอทานเรานะ วันไหนมาก็ถือขันเหล็กไปขอทาน แล้วดูตระกูลตัวเองสิ เราเป็นเพศบรรพชิตแล้ว ในตำ ราเขาก็เขียนไว้ สอนหมดแล้ว ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ อีกหน่อยก็จะออกพรรษาแล้วนะ ออกพรรษาแล้วมันไม่แน่นอนนะ การไปการอยู่ทุกวันนี้ มันไม่มีแล้วนะ จะไปวิเวกเหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านพาดำ เนินแบบเก่า สมัยนี้ ถ้าได้ไปก็ไปตามสำ นักต่างๆ จะไปหาภู หาเขาเหมือนแต่ก่อน ไม่มีหรอก ความกลัวมันก็มีเหมือนเก่านั้นแหละแต่ก่อนมีช้าง มันก็ทรมานช่วย เสือมันก็ทรมานช่วย จิตมันก็เลยไม่ออกจากกาย เพราะมันกลัวตายนะ เรื่องอย่างนี้มันต้องสู้ก่อนนะ มันต้องผ่านเรื่องอย่างนี้ก่อน เหมือนพ่อแม่ครูจารย์ท่านให้ไปภูหลวง ท่านให้ผมพาหมู่พวกไป ท่านว่าจะจัดพระให้เดือนละ ๕ องค์ ให้ไปให้ช้างให้เสือมันทรมานช่วย เพราะหมู่พวกภาวนาจิตไม่รวมกันได้สักที ถ้าไปแล้วยัง ไม่เป็นอีก ถึงว่ากัน ไปถามตอนไหน เจ้าหน้าที่เขาก็ว่ากระทรวงไม่ได้สั่งมา เห็นกระทรวงเขาว่าจะให้ท่านแล้ว พอไปถามเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ เขาก็ว่ายังไม่ได้สั่งมา พอถามบ่อยเข้า เขาก็ว่าผมก็ถือศาสนาเหมือนกัน ถ้าผมจะทำ ลงไปก็ไม่ได้ เพราะผมก็เป็นผู้น้อย มีขอบเขตการทำ งานจำกัด ถ้าผู้ใหญ่สั่งมาแล้วผมก็ทำ ให้ ได้เลย ถ้าพระจะไปอยู่เป็นกระต๊อบ หัวหน้าเขาก็จัดให้ไปอยู่วิเวกได้ แต่ถ้าจะไปทำ เป็นวัดเป็นวาอย่าง ถาวรนั้น ผมต้องให้ผู้ใหญ่เขามีจดหมายมาหาผม หรือสั่งมาหาผม ผมถึงทำ ได้ แต่ถ้าจะทำ เป็นกระต๊อบ มุงหญ้านี้ ผมทำ ให้ได้ แต่นี้ท่านว่าจะเอาเป็นแบบ ไปซื้อไม้อยู่โรงเลื่อยมา แล้วทำ กุฏิมุงกระเบื้อง ท่านจะเอาไปเป็นศาลา แล้วก็ทำ ห้องสักห้องหนึ่ง ศาลานั้นก็ประมาณ ๖ เมตร ถ้าเกิดพระยังไม่ได้ไป หรือยังไม่มา ก็เอาห้องนั้นไว้เก็บของล็อคกุญแจไว้ ท่านไม่ได้ว่าจะเอาไปทำ เป็นวัดหรอก ท่านให้ไปเก็บ ของไว้ เรื่องอาหารการกิน ผมจะไปเลี้ยงให้หมดให้ถึงเจ้าหน้าที่อนุรักษ์นู่น ไปแล้วถึงว่ากัน แต่เดี๋ยวนี้ก็ ไปได้แล้วนะ เห็นว่ามาขอพ่อแม่ครูจารย์แล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีหมู่พวกอยู่ที่นั่น ก็น่าจะดีขึ้นมากแล้วนะ เพราะไม่เห็นหมู่พวกมาหากันสักที แต่ถนนหนทางที่ใช้สัญจรไปไม่ได้ และฝนก็ตกมาก ก็เลยไม่ได้ไปหากัน แต่ว่ามันสงบเป็นธรรมชาตินะ และถนนหนทางที่ใช้เดินทางไปมาหาสู่กันนั้น มันก็ไปมาลำ บากมากนะ 255
พระธรรมเทศนา ถ้ามาได้ก็มากันแล้ว ทางมันคงเข้ามาไม่ได้ อยู่นั่นก็สบายนะ เสือรอยเท้ามันเท่าโคนะ มันมาหา ช้างก็มาหา ถึงมามันก็กลัวไฟนะ กดไฟฉายส่องไปหามัน มันก็กลัวเราเหมือนกัน ไปอยู่ที่นั่นพระท่านกลัวนะ ช้างมันมาหาตั้งสี่ตัว พระท่านก็เลยขึ้นก้อนหิน ช้างมันก็ยืนตัวติดก้อนหิน ช้างมันก็ทำ เหมือนมันโมโห พ่นลมออกจากงวง สูบฉีดอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ไปมันเป็นอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ท่านต้องสู้มาทุกอย่างนะ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านทำ นิ่งๆ นะ แต่ก่อนเสือมันมากนะ พอมามันก็ร้องคำ รามมา ตอนนั้นท่านกำ ลังเดินจงกรมอยู่นะ เสือมันก็ร้องคำ รามใกล้เข้ามาทุกทีๆ ความ กลัวมันจนจะทำ ให้เราวิ่งหนีขึ้นกุฏิแล้ว ความคิดเกิดขึ้น เป็นพระกรรมฐานจะไปกลัวตายอะไรกันขนาดนั้น มันเหลือเกิน เลยพูดกับตัวเองว่า มึงจะขึ้นกุฏิ หรือจะไปหาเสือ ถ้ามึงกลัวตาย มึงจะพ้นทุกข์เหรอ ถ้ากลัวขนาดนี่ก็ให้ไปหาเสือ ท่านว่า เอา ให้ตัดสินใจ ใจหนึ่งก็จะขึ้นกุฏิ อีกใจหนึ่งก็จะไปหาเสือ พอทะเลาะกันเข้า ก็ไปหาเสือเลย พอไปหาเสือ มันก็ไปทางใหม่แล้ว 256
กัณฑ์ที่ ๔๔ ความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ๒๓ ก.ย. ๒๕๓๘ (ค่ำ ) ศาลาที่นี่ก็นอนได้ กางมุ้งแล้วก็นอนได้ คนหนึ่งก็นอนอยู่มุมนั้น อีกคนหนึ่งก็ไปอยู่มุมนั้นส่วนอีก คนก็มานอนอยู่มุมนี้ก็ได้ ถ้ามานอนอยู่ด้วยกัน ก็มีแต่คุยกันอยู่นั้นแหละ ไม่รู้ไปเอามาจากไหนคำ พูด ถ้าเอาคำ พูดที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาพูด ก็ดีหน่อย ถ้าออกจากหมู่พวกไปแล้ว ก็อยู่คนเดียว อยากนั่งก็นั่ง อยากเดินจงกรมก็เดินสบาย ตอนเป็นหนุ่ม การเปลี่ยนอิริยาบถนั้น สังขารร่างกายแตกต่างจากตอน อายุมากนะ ตั้งแต่อาตมาเป็นหนุ่มน้อย หมู่พวกเดินตามไม่ทันหรอก เดินออกหน้าเพื่อน ตอนไปเที่ยว ป่าขึ้นภูเที่ยว เขาเดินตามไม่ทันหรอกหมู่พวก ทั้งฝ่ายพระที่เดินตามมา ก็ถูกเขาหลอกให้เดินไปทางป่าช้านู่น กว่าจะมาถึงหมู่บ้าน จีวรที่สวมใส่นี้ก็แดงไปด้วยฝุ่นหมด สามทุ่มแล้วพอเถอะเลิกกันไปหาภาวนากันนะ หลวงปู่ลี : ดีขึ้นมากแล้วหรือโยม โรคที่เป็นอยู่ ไปให้เขาผ่าตัดที่ไหน เขาไม่ผ่าตัดหรือ? โยม : เขาไม่ผ่าครับผม หลวงปู่ลี : นี่แหละก้อนโรค ก้อนสารพัดพิษ มันเผาอยู่อย่างนั้น ดูจากตัวเองนี่แหละเดี๋ยวก็ เจ็บที่นั่นที่นี่ แต่ก่อนมันไม่เป็น พอแก่เฒ่ามาก็เป็นไปทั่ว แต่ก่อนขึ้นภูขึ้นเขา ต้องได้นั่งคอยหมู่พวกที่ขึ้น มาตามหลัง เป็นอย่างไร โยมเข้าใจไหม ที่พ่อแม่ครูจารย์(หลวงตามหาบัว) ท่านเทศน์เรื่องปาก พอได้กลับไป บ้านแล้ว ก็ไปหาพูดว่าลูกว่าหลานนี่แหละ เขาเรียกว่าปากเป็นเอก มีสองกัณฑ์ มีแต่กัณฑ์เด็ดๆ นะ ท่านเทศน์ให้เอาไปพิจารณา สักหน่อยก็จะออกพรรษาแล้วนะ อีกสองอาทิตย์เท่านั้นเอง หมดไปวันเวลา ความจริงก็มีแต่มืดกับสว่างเท่านั้นเอง เดือนนั้นเดือนนี้ ปีนั้นปีนี้ สมมุติกันเท่านั้นเอง ที่จริงก็อันเดียวกัน วันไหนก็วันเก่า พอมืดก็นอน ไม่นอนก็ไม่ได้ หลงสมมุติกันอยู่อย่างนี้ สมมุติกันขึ้นมาเอง เหมือนเขาพูดกันมาว่า จะสูญเสียดวงอาทิตย์นั้นแหละ พวกมาหาหลอกเอาเงิน ก็หาวิธีพูดอย่าง นั้นอย่างนี้ พูดว่ากบกินเดือน หรือราหูอมดวงจันทร์ มันจะกินหมดนะ มีแต่คนมาหาหลอกเอาเงินกันเอง นะ มีคนมาพูดให้ฟัง ที่จริงมันก็มีมาตั้งแต่สมัยพ่อสมัยแม่ของเราแล้ว ก็เป็นอยู่อย่างนั้น เกิดขึ้นอยู่อย่าง นั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ได้ยินแทบทุกปี ทั้งกบกินเดือนกินตะวัน จะเห็นอีกก็นี่แหละออกพรรษานี้แหละ วันที่ ๒๔ นี้ เป็นกบกินตะวัน(สุริยุปราคา) แต่ว่ากบกินเดือน(จันทรุปราคา) เขาไม่บอกว่าจะเห็นในประเทศไทย หรือเปล่า ส่วนกบกินตะวันนี้ เขาบอกว่าในไทยเห็นแน่ แต่กบกินเดือนไม่เห็นบอก สมัยก่อนก็มีเดือนห้า และเดือนสิบสอง แต่ก่อนตอนเป็นเด็กน้อย ทุกปีก็ว่าได้ ที่เห็นตอนกลางวัน บางทีก็เต็มดวง ก็มืดเลย บางทีก็เป็นวงแหวน กว่าจะสว่างได้ก็บ่ายสามบ่ายสี่นะ แต่บ่ายสองมาจะมืดเลยแหละ 257
พระธรรมเทศนา นี่แหละประเทศไทย เราจะเห็นตั้งแต่ห้าโมงเช้า จนถึงบ่ายสอง พอมืดเข้า ก็กลัวแบบไม่มีเหตุผลนะ มันก็มืดอยู่อย่างนี้ กลางคืนก็มืด ไม่เห็นกลัวอะไร นักวิทยาศาสตร์เขาหาคำ ตอบให้ได้นะว่า โลกเราหมุน พระจันทร์พระอาทิตย์ก็หมุนเหมือนกัน แล้วทั้งสามดวง ก็หมุนหรือโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน ดวงจันทร์ บังแสงจากดวงอาทิตย์ ทำ ให้แสงส่องมาโลกไม่ได้ ถึงเห็นดวงอาทิตย์มืดบางส่วนหรือทั้งหมด มันก็เคย เห็นกันอยู่อย่างนั้นมาแล้ว จะไปเสียเงินเสียทองทำ ไม เสียเงินก็เพื่อป้องกันเอาไว้ดีกว่า เพราะว่ากลัว ตายนะสิ ถ้าเอาเงินไปซื้อขนมมากิน ยังทำ ให้มีแรง หรือไปซื้ออาหารมากินเลี้ยงกัน ยังจะดีกว่านะ แต่นี่ ไปเสียเงินจ้างเขามาปูเสื่อปูสาด ผูกแขนไม่รู้ไปผูกทำ ไม นี่แหละสมัยเขาหลอกเอาเงินนะ คิดอ่าน ดูให้ดีๆ นะ พอเถอะ พากันภาวนาพุทโธๆ นะ เนื่องในโอกาส หลวงปู่ลี กุสลธโร กราบคารวะสรีระสังขาร พระเทพวิสุทธิมงคล หลวงปู่ศรี มหาวีโร ณ ศาลามหาวีระธรรมสภา วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด วันที ๔ กันยายน ๒๕๕๔ 258
กัณฑ์ที่ ๔๕ ดูแต่ตำ รา ไม่ดูใจตนเอง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๘ เข้าใจหรือเปล่าละโยม เรื่องจำ ชาติได้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำ ดูซิ ภาวนาเข้าไป บริกรรมพุทโธ ให้อยู่กับพุทโธ จิตมันถึงจะไม่ค่อยฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ลงมือทำ มันอย่างจริงจังแล้ว มันก็ไม่เห็นนะเรื่องพวกนี้ ถ้ามีแต่จะดูจากหนังสือจากตำ รา แต่ว่าจิตใจของเรานั้น ไม่ได้ปฏิบัติก็เท่านั้น ถ้ามันไม่เกิดขึ้นจากใจตัว เราเองแล้ว มันก็เกิดแต่ความโลเลอยู่อย่างนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านภาวนานะ ท่านนั่งอยู่ต้นโพธิ์จน ได้ตรัสรู้ ศาสนาเกิดจากการภาวนา เกิดจากความพากความเพียรนะ ฝนตอนนี้ดูแล้ว ทางที่เราอยู่ ฝนคงไม่ตก คงไปตกทางจังหวัดหนองคายแล้ว ทางจังหวัดกาฬสินธุ์ เห็นว่าแล้งมากนะ ข้าวร่วงหล่นจากต้นหมดแล้ว ที่นี่มันสงบดีนะ โยมภาวนาหรือเปล่า ไปแล้ว ก็มีแต่ ไปคุยกันนะ นอนกุฏิเดียวกัน กุฏิว่างอยู่ ทางนี้นะมีตั้งสี่หลัง ยังไม่มีใครมานอนเลย มีแต่ไปนอนกอง รวมกันอยู่แต่กุฏิหลังใหญ่นั่นแหละ เราต้องฝึกหัดเอาเองนะ พอมันชินงานแล้ว มันก็สบาย ถ้าไม่เคยชิน มันก็ลำ บากช่วงแรกเท่านั้นแหละ ส่วนมากมีแต่หัวใจตัวเอง หลอกตัวเองอยู่อย่างนั้นนะ มีตุ๊กแกไต่ขา เฉยๆ ก็ว่าผีหลอกแล้ว มันหลอกตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็ชอบกันจริงนะ หลอกตัวเอง แต่ถ้าคนอื่นหลอก นะโกรธ แต่ถ้าตัวเองหลอก ชอบ ครูบาอาจารย์ท่านภาวนา ท่านเอาแต่พุทโธนะ ไม่ให้จิตส่งออกภายนอก ผีหลอกก็ไม่มี เสือก็ไม่มี เพราะจิตอยู่กับพุทโธนะ ไม่มีอารมณ์มาปรุงแต่งไปต่างๆ นานา อีก ถึงมันจะมีเสียงร้องของสัตว์ที่น่า กลัวอย่างไรก็ตาม ถึงหูจะได้ยินเสียงต่างๆ แต่ใจนั้นอยู่กับพุทโธแล้วใจก็ไม่ส่งออกไปภายนอก ก็ไม่มี ความกลัวนะ ก็ฝึกหัดเข้าไปดูซิ ตั้งแต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ขาวท่านอายุมากแล้ว ท่านก็ยังพาไปนะ ตั้งแต่อยู่ถ้ำกลองเพลสมัยนู่น ออกจากกุฏิไปหาอยู่กับก้อนหินนะ แต่ก่อนไปก็ไปอยู่แถวเจดีย์ของท่านนะ พากันไปอยู่ ตีสามตีสี่ก็ลงมา วัดแล้ว นั่งอยู่ก้อนหินใคร ก้อนหินมัน แต่ก่อนมันไม่สนใจนะ ว่ายุงจะกัด มิน่าล่ะถึงเป็นไข้มาลาเรียอยู่ บ่อยๆ แต่มันก็ใจสู้นะ กำ ลังใจมันเข้มแข็ง ความอดทนสูง ถ้าได้นั่งแล้ว ก็เป็นหัวตอเลยแหละ ถ้าจิตมันสงบได้แล้ว ความเจ็บความปวดมันไม่มีหรอก ถ้าพวกเรานี้ไม่ภาวนา ความสุขนั้นก็มีแต่การนอน หลับเท่านั้น ความเจ็บความปวดไม่มี มีแต่ความฝัน ก็ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ วันไหนไม่ฝัน ก็นอนหลับสนิท จน ไม่รู้เรื่อง แต่ตัวรู้ก็รู้อยู่อย่างนั้นนะ ผู้ที่กำ ลังจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาตินั้น ถ้าเกิดมีอุปาทาน ก็ไปอยู่ที่นั่นแหละ ก็ไปอยู่กับลูก ไปเกิด กับลูกตัวเองอีก เปลี่ยนกันเป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่อยู่อย่างนั้นแหละ อุปาทานตัวนี้ มันทำ ให้ไม่ออกไป จากนี้ ใครจะไม่รักตระกูลตัวเอง ไม่มีหรอก ติดตระกูลอยู่อย่างนั้นแหละ ติดว่าหลานกูว่าลูกกูอยู่อย่างนั้น 259
พระธรรมเทศนา เพราะอุปาทานตัวนี้แหละ เพราะเคยเป็นพ่อเป็นแม่กันมา ก็ด่าอยู่อย่างนั้นแหละลูกหลาน เพราะสับเปลี่ยนกันเลี้ยงกันอยู่อย่างนั้น ถ้าทำ อกุศลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ก็ยังดีอยู่ ถ้าทำ บาปไว้มาก ก็ไป เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นควายเป็นวัว ให้เขาใช้งานอยู่นั้นแหละ ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ ถ้าอยากเห็น พอเถอะ เลิกกัน ไปหาภาวนาของใครของมัน ทำ ใครทำ มันนะ ไม่ทำก็ไม่ได้นะ เนื่องในโอกาส หลวงปู่ลี กุสลธโร กราบคารวะสรีระสังขาร พระเทพวิสุทธิมงคล หลวงปู่ศรี มหาวีโร ณ ศาลามหาวีระธรรมสภา วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ 260
กัณฑ์ที่ ๔๖ สอนพระให้เป็นพระ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ คนไม่ภาวนาจะไปเข้าใจที่พระท่านพูดได้ยังไง ที่พระท่านพูดนั้น จิตใจของท่านเป็นภาวนานะ แต่ที่เห็นอยู่นั้น มีแต่จมอยู่กับสิ่งสกปรกนะ กิเลสก็เต็มจิตใจ แล้วก็เลยมีแต่พูดว่าคนอื่นเขา พระท่าน พูดเรื่องจิตละเอียด เป็นเรื่องที่เข้าใจยากนะ ถ้าผู้ฟังเป็นคนที่ไม่ภาวนา แต่ถ้าเป็นผู้ที่ภาวนาอยู่แล้ว ก็ จะเข้าใจง่ายและเป็นเร็วขึ้น เข้าใจมากขึ้น เดี๋ยวนี้พ่อแม่ครูจารย์(หลวงตามหาบัว)ท่านเทศน์ช้าลงมากนะ แต่ก่อนตั้งแต่ ๒๕๐๔-๒๕๐๕ ฟัง ท่านเทศน์ หายใจแทบไม่ทันนะ ธรรมะที่เทศน์สมัยนั้น ๆ ไม่มีเทปที่บันทึกเอาไว้เหมือนปัจจุบันนี้นะ แต่ก่อน อยู่บ้านห้วยทรายก็เหมือนกัน ยังไม่มีเทปที่ใช้บันทึกนะ ตอนอยู่บ้านห้วยทราย ท่านก็ไม่ค่อยเทศน์ให้ ญาติโยมฟังนะ อยู่นั่นเหมือนไม่มีวันพระนะ เพราะญาติโยมเขาไม่ได้มาวัดกัน แต่ท่านก็เทศน์ให้พระฟัง มากนะ ท่านว่าเทศน์สั่งสอนพระ ให้เป็นพระสักองค์หนึ่ง ท่านว่าอานิสงส์ไม่มีประมาณนะ หลวงปู่มั่น ท่านว่าอย่างนั้น เพราะพระต้องออกไปสั่งสอนประชาชนอีก ออกไปสั่งสอนพระด้วยกันต่อไปอีกอย่าง หลวงปู่มั่นหลวงปู่ขาว ท่านเทศน์ให้ญาติโยมฟังเท่านี้ว่า “ให้พากันละบาปทำ บุญ” แล้วท่านก็พูดไปสัก ประโยคสองประโยค แล้วท่านก็ไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพระเป็นเณรนะ อย่างหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมง ก็ยังเทศน์อยู่นะ เราผู้ฟังก็ไม่มีถอยเหมือนกัน จะเป็นอะไร เราก็มีบารมีของเราอยู่นะ ท่านว่าจะฟัง ไปทำ ไม ญาติโยมฟังไปแล้วก็เอาไปเก็บไว้ ดูสิ ฟังแล้วก็เอาไปใส่หม้อข้าวหม้อแกงหมดนะ จะฟังอีกไหม จะเอาธรรมะหลวงปู่บัวมาพูดให้ฟังนะ ท่านเร่งความเพียร ท่านภาวนาตั้งแต่ท่าน เป็นฆราวาสโน้น โดยมากหลวงปู่บัวท่านมีแต่นั่งเป็นส่วนมากนะ แต่เดินนั้นไม่เท่าไหร่ ท่านไม่ถนัด เอาล่ะ ลองเร่งภาวนาตลอดทั้งคืนดู ถ้านั่งภาวนา มันจะไม่เกิดจริงๆ หรือความสงบ เราต้องฝึก ดวงจิตให้เกิดความสงบ แล้วจะทำ อย่างไรถึงจะสงบ เราต้องเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า ทำ ให้เกิดกับ ใจตัวเอง แล้วธรรมมันจะเกิดขึ้นเองนะ ถ้าภาวนาก็ให้ท่องพุทโธๆ พุทโธนั้นก็คล้ายบันไดที่จะใช้ขึ้นไปหา กุฏินั้นแหละ ต้องมีราวจับ ถ้าไม่มีราว เวลาขึ้นอาจเซคะมำ ได้ ถ้าจิตมันสงบแล้ว มันจะปล่อยวางเอง หรอก เหมือนกับเราขึ้นกุฏินั่นแหละ ถ้าเราประสงค์ขึ้นกุฏิแล้ว เราจะไปจับราวบันไดอยู่ทำ ไม เราก็ต้อง ปล่อยมือจากราวบันได การบริกรรม เปรียบเหมือนบันไดที่มีราวจับ นั่นแหละ เราต้องใช้เพื่ออาศัยขึ้น กุฏิเท่านั้น ถ้าเราประสงค์จะขึ้นไปกุฏิแล้ว เราจะไปยืนจับราวบันไดอยู่ทำ ไม ในเมื่อความประสงค์ของเรานั้น ต้องการจะขึ้นไปกุฏิ เราก็เพียงแค่อาศัยบันไดกับราวจับ เพื่อเป็นทางผ่านขึ้นไปเท่านั้นเอง 261
พระธรรมเทศนา ที่ให้บริกรรมพุทโธ ก็เพื่อไม่ให้จิตวิ่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ถึงให้บริกรรมพุทโธไว้ ถ้ามีพุทโธแล้ว เสือก็ไม่กลัว ผีก็ไม่กลัว ไม่มีสิ่งที่กลัวเลย เพราะจิตไม่ได้ส่งออกไปภายนอกเลย ให้อยู่แต่ภายใน ให้อยู่กับพุทโธ แต่ที่ทำ ให้เรากลัว ก็เพราะจิตเราคิดไปหาผี หาสิ่งที่เรากลัว ที่นั่นที่นี่ก็เลยกลัว บางครั้ง ตุ๊กแกปีนขึ้นขาก็ว่าเป็นผี แล้วหลอกตัวเองไปเลย คิดอะไรเห็นอะไรเป็นผีไปหมดเลย เพราะใจไม่มีพุทโธนะ ถ้าใจมีพุทโธแล้ว ไม่กลัวอะไรนะ ทั้งความเจ็บความตาย ถ้ามีพุทโธแล้ว หายไปหมด เอาซิ ลองดูให้จิต จดจ่ออยู่กับพุทโธดูสิ แต่นี่ไม่รู้อะไร ถ้านั่งภาวนาเข้าไปแล้ว มีแต่ความอยากเห็นสวรรค์เห็นนิพพานไปนู่น แต่หัวใจตัวเองกลับไม่เห็นสักที มันต้องเห็นในหัวใจตัวเองเสียก่อน ถ้าไม่เห็นกิเลสที่อยู่ในจิตใจ ตัวเองแล้ว ไม่เห็นหรอก จิตใจของเราไปกับสิ่งใด ให้สังเกตดูตัวเอง การปฏิบัตินั้น มันต้องสังเกตหมดนั้นแหละ ไม่ว่าจะ กินมาก จะนอนมาก หรือเดินมาก แล้วนั่งตอนนั้น มันเป็นอย่างนั้น นั่งตอนนี้เป็นอย่างนี้ ต้องสังเกต ตัวเองนะ ถึงจะจับหลักได้ จิตของเราสามารถประยุกต์ หรือสามารถปรับตัวเองได้ แต่บางครั้ง ตัวเรา ไม่รู้ก็มี พอจิตของเรามันละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะรู้ก็มี การฝึกหัดใหม่ๆ เหมือนเขาฝึกหัดวัวหัดควาย นั่นแหละ เขาใส่แอกใส่ไถ กว่าจะเป็นมัน ก็ยากเหลือเกินแหละ การฝึกของเราก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะเป็นทางที่เราไม่เคยเดินนะ เหมือนกับเราเข้าเรียนใหม่ๆ นั้นแหละหัดเขียนตัวหนังสือ ถึงขนาดที่ ครูต้องมาจับมือพาเขียน เพราะเราเขียนไม่เป็น แต่พอเรียนจนเข้าใจถึงใจแล้ว เขียนเป็นหมดนั้นแหละ แต่ขนาดหลับตาแล้ว ก็ยังเขียนได้ เพราะมันเข้าถึงใจ ถ้าเข้าถึงใจแล้ว สระตัวนั้นผสมกับตัวนั้น เขียนไปได้หมด เพราะมันเข้าถึงใจแล้ว นี้ก็เหมือนกันนะการภาวนา ไม่ได้ต่างอะไรกัน ท่านเทศน์สองกัณฑ์ก็ชัดเจนแล้วนะ พ่อแม่ครูจารย์ ท่านเทศน์ละเอียดนะ ธรรมะของท่าน อย่างหลวงปู่บัว หลวงปู่ขาว ตั้งแต่เคยไปท่องเที่ยวด้วยกัน กับท่าน ท่านเก่งนะ และมีอาจารย์อีกหลายองค์เก่งนะเรื่องภาวนา ไปจำ พรรษาด้วยกันกับท่าน อยู่ถ้ำ กลองเพล ท่านไม่ได้นอนนะ ท่านนั่งภาวนาเดินจงกรม ท่านสู้จริงๆ ท่านไม่กลัวความตายนะ ท่านทิ้งตายนะ ถึงจะได้ความเพียร ถึงจะได้ธรรมเกิดขึ้น เอาเลิกกันเท่านี้แหละ 262
กัณฑ์ที่ ๔๗ โทษแต่ศาสนาไม่ดูใจตัวเอง ในพรรษาปี ๒๕๔๑ ...ธรรมะนี้เอาไปสอนตัวเองนะ น้อมเข้าไปในจิตใจ ไปสอนตัวเอง คืนเดียวก็น่าจะปรากฏแล้วนะ ถ้าเอาจริงเอาจัง แต่นี่มีแต่กลัวตาย ก็เลยไม่ทำ อะไรนะ เดี๋ยวนี้ก็กำ ลังตู่ศาสนาว่าไม่จริง แต่หัวใจตัวเอง ไม่จริงสักที ก็ไม่ว่านะ ตำ หนิแต่สิ่งภายนอกนะ เพราะตัวเองมองไม่เห็นสิ่งบกพร่องภายในตัวเอง คุมเข้า คุมมันเข้า ต้องรู้แน่ นั่งภาวนาตลอดทั้งคืนดูสักคืนหนึ่ง ต้องได้ความแน่ ความอัศจรรย์จะเกิด ขึ้นแน่ ลองสละร่างกายสักคืนดูสิ ถ้าไม่ทำ อย่างนั้น ไม่เห็นนะ ธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้ามีแต่กินกับ นอนไม่เห็น ปวดขามากเลิกกันเถอะ (พูดท้ายเทศน์) ฝนมันแล้งมากนะเดี๋ยวนี้ ไม่รู้จะแล้งอะไรกันขนาดนั้น เป็นอย่างไรบ้าง ผู้เฒ่า เรื่องสังขารนี้ สำ หรับผมนี้เต็มที ปวดทั้งเอวทั้งหัวเข่า ตกเย็น ก็มีอาการแน่นท้อง ลมขึ้น คิดดู มันคงใกล้จะตายแล้วนะ ปีนี้ร้ายแรงนะ สังขารมันบีบคั้นร่างกายอยู่อย่างนั้น ยังดีที่ได้อบรมทางใจมา บางวันสังขารมันบีบคั้น วันนั้นวันนี้ ผมก็ไม่ได้ลงมาหาญาติโยม ก็ให้หมู่พวกเปิดเทปให้ญาติโยมฟัง เทปเราก็มีมากนะ คงใกล้จะ ตายแล้ว หมู่พวกพากันเร่งความพากความเพียร เดินจงกรมภาวนานะ อย่างวันนั้น ขอแรงหมู่พวกปลูกต้นไม้ จะปลูกให้มันเสร็จ ไม่อยากทิ้งไปนาน ไปดูแล้วต้นไม้มัน ห่างกันมากนะ ดีหน่อย ปีที่แล้วปลูกต้นสัก ปีนี้เลยไม่ต้องปลูก ที่ปลูกไปนั้น พวกนี้ปลูกให้เขาหมด ส่วนเขาไปข้างใน ก็ปล่อยมันเถอะ ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาดูแล เราก็ดูแลบริเวณเรา ดูแลเท่านั้นแหละ ให้มันน่าดู ใครมา ก็ให้รู้สึกร่มรื่นน่าอยู่ มีเจ้าหน้าที่เขาดูแลหมดนะ ป่านายคนนั้นรักษาตรงนั้น นายคนนี้ รักษาตรงนี้ ถ้าเราไม่ทำ ก็เท่านั้นแหละ ถ้าเราทำ ก็มีแต่มาถ่ายรูป เอาไปเป็นหน้าเป็นตา ไม่รู้มันได้อะไร ขึ้นทะเบียนก็ขึ้นอยู่อย่างนั้น ปีไหนมา ก็มาจดมาขึ้นอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นทำ อะไร คิดดูว่าได้อะไร เลิกกัน 263
พระธรรมเทศนา ภาพถ่าย ณ วัดพิชัยพัฒนาราม(เขาน้อยสามผาน) อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี มิถุนายน ๒๕๔๓ 264
กัณฑ์ที่ ๔๘ กิเลสเป็นเจ้าหัวใจ ...เหมือนอาจารย์เติม อาตมาไปดูที่โรงพยาบาล มีแต่ปั๊มหัวใจ ถ้าเป็นอาตมา อย่าเอาไปเลยนะ โรงพยาบาล ถ้าเป็นอย่างนั้น ให้มันตายไปเถอะ เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ว่ามันจะทุกข์ แต่ตัวเองนะ มันทุกข์ถึงเพื่อนด้วย ต้องไปเผาไปหาไปดูอยู่อย่างนั้น ไปเขาก็ไม่รับแล้ว ทั้งโรงพยาบาล หนองวัวซอ ทั้งโรงพยาบาลอุดร ไปโรงพยาบาลไหน เขาก็ไม่รับ ไปจังหวัดขอนแก่นก็ไม่รับ ก็ยังไป ที่กรุงเทพอีก โรงพยาบาลอะไรไม่รู้ลืมแล้ว พากันประกอบความพากความเพียรนะ เดินจงกรมภาวนา หมดไปเรื่อยนะครูบาอาจารย์ เดี๋ยวก็เผาที่นั่นที่นี่ ทำ ให้มันถูกตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้านะ ท่านทำ อย่างไร ท่านรู้ ท่านเห็น อย่างไร ในตำ รา เราก็ดูมามากแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็แนะนำ มามากแล้ว มีทั้งเทปทั้งหนังสือ เหลือแต่บังคับใจตัวเอง ใส่ทางคือใส่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ ตัวสำ คัญตัวนี้แหละ เป็นก็เป็นอยู่ในใจ อยู่ในกายเรานี้แหละ จะไปรู้ที่ไหน ถ้าไม่รู้ที่นี่ คิดดูซิ เพียงแต่บริกรรมพุทโธ ให้มัน อยู่ดูสิ ๒๔ ชั่วโมง ถ้าไม่เกิดความอัศจรรย์ ตัวสติสำ คัญที่สุด ถ้าไม่มีสติก็เหมือนกับการนอนหลับ นั่นแหละไม่ได้ต่างอะไร การนอนหลับ ไม่มีเวทนานะ เพราะมันเลยเวทนามาแล้วนะ ก็เลยไม่ปรากฏเวทนา แต่ตัวรู้มันก็ยังรู้อยู่อย่างนั้นนะ รู้ว่าฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ รู้ว่าวันนี้นอนหลับสนิทจนไม่รู้ตัว ส่วนความเจ็บความปวดมันไม่มีนะ แต่ถ้าเรา มีสติ มันรู้หมดนั่นแหละนั่งก็รู้ นอนก็รู้ ตัวสติลองทำ ดูซิ ทำ ให้มันได้ ให้มันเหมือนอย่างที่ว่า ให้มัน เป็นอธิศีล* อธิปัญญา** อธิจิต*** ให้รวมกันดูซิ เป็นมหาสติมหาปัญญาดูซิ ถ้าทำ เหมือนท่านแล้ว ไม่เห็นตามพระพุทธเจ้าไม่มีหรอก แต่นี่มันโลเล ทำ อะไรหน่อยก็กลัวจะไปตาย แต่มันก็หนีไม่พ้นหรอก ความตาย ไม่ตายตอนแก่ ก็ตายตอนหนุ่ม ไม่เห็นหรือ เขาก็มีตายให้เราพบเห็นอยู่ ให้เราเร่งความพากความเพียรนะ ถ้ามันรู้ จะออกอุทานเองหรอก เอาซิ ตอนกลางคืนก็รู้ ส่วนท่านที่ภาวนาเป็นนั้น ไม่ขาดนะ จะมีแต่ผู้ที่มาหาท่าน แต่ส่วนท่านจะพูดให้ฟังหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของท่าน ถ้าท่านพูดให้คนหูมืดตามืดฟังก็เท่านั้นแหละ ถ้าท่านพูดให้ฟังก็จะหาว่าท่านอวดอุตริมนุสธรรม แล้วเดี๋ยวนี้ เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้นนะ มันไม่เอาของดีเข้าไปใส่ในใจหรอก มันมีแต่จะเพ่งโทษตัวเราเท่านั้น ดูแต่เรื่องภายนอกเท่านั้น เรื่องการยกโทษให้ตัวเองนี่รวดเร็วมาก เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น มันไม่หาความดีหรอก มันหาแต่ ความชั่วนะ ถ้าทิ้งความดีกับความชั่ว มันจะจับความชั่วทันที ความดีมันไม่จับหรอก นี่แหละคือกิเลส เป็นเจ้าหัวใจ มีทิฐิมานะ มันไม่พาเราทำ นะ เพราะมันบังคับเราอยู่ * อธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำ หรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง) ** อธิปัญญาสิกขา (สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำ หรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง) *** อธิจิตตสิกขา (สิกขาคือจิตอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำ หรับฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรมเช่นสมาธิอย่างสูง) 265
พระธรรมเทศนา นี่แหละพ่อแม่ครูจารย์ใหญ่ขาวท่านพูดว่า นี่แหละคือกรรมของสัตว์ ท่านไม่ค่อยพูดอะไรนะ หลวงปู่อยู่กับท่านก็มากนะ หลวงปู่ชอบก็เหมือนกับหลวงปู่ขาว ท่านเดินจงกรมเก่งมาก เดินจงกรม ภาวนา ท่านทำ ให้ดูอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเทศน์นี้ไม่เท่าไหร่ อย่างญาติโยมมา อย่างครูจารย์เพ็งมา ท่านบอกให้อ่านหนังสือเอา บางครั้งท่านก็ไม่ลงมา ท่านก็แก่ชราแล้ว ทำ อย่างไร แค่แบกสังขารตัวเอง นี่ก็หนักมากแล้ว ถ้าเก่งจริงๆ เรื่องเทศน์ก็มีแต่หลวงปู่บุญยัง กับพ่อแม่ครูจารย์หลวงปู่อ่อน นี่ นักเทศน์ เลิกกันเถอะนะวันนี้ (หลวงปู่ลี เมตตาสุนัขชื่อบู๊ ณ วัดปาบ้านตาด) 266
กัณฑ์ที่ ๔๙ ปลดเปลื้องตัวเองออกจากกองทุกข์ ...มันติดอยู่ตัวนี้แหละ กว่าจิตมันจะเป็นไปได้นั้น มันติดตัวนี้แหละ ถ้าทำ ให้มันถูก มันจะเกิดอรรถ เกิดธรรมได้นั้น มันจะต้องไม่ยึดติด สิ่งนี้คือความวุ่นวายภายในใจ ถ้าใจมันวุ่นอยู่อย่างนั้น มันก็ติดก็คา อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็คิดนั่นคิดนี่ เดี๋ยวก็คิดไปเกี่ยวข้องถึงคนนั้นคนนี้ มันเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะไม่ดูหัวใจตัวเองนะ ถ้าดูหัวใจตัวเองแล้ว มันไม่เป็นหรอก เขาพูดก็พูดอยู่ปากเขานู่น ดีก็อยู่ปากเขา ชั่วก็อยู่ปากเขานู่น เขาจะติฉินนินทา ก็อยู่ปากเขานู่น เราไม่เอามาเป็นอารมณ์ ก็จบเท่านั้น คนมีธรรม เขาเป็นอย่างนั้นนะ ส่วนคนไม่มีธรรมนั้นวิ่งอยู่อย่างนั้น เอาแล้ว หมดทั้งโลกต้องให้มันถูกใจตัวเองหมด ทุกอย่าง แต่หัวใจตัวเองนั้น ก็ยังไม่ถูกเลย มันเป็นอยู่อย่างนั้นนะ ถ้าอบรมอันนี้ได้แล้ว จิตมันก็รวมกันทันที ก็ได้กราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบครูบาอาจารย์ อยู่อย่างนั้น ขอให้ลงมือทำ จริงๆ เท่านั้นแหละ ถ้ามีแต่ทำ เล่นๆ กลัวแต่ว่าโลกจะฉิบหาย มันก็ได้เท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะไปภพใดชาติใด ก็จะเหมือนเก่านะ เพราะเป็นคนเก่า ถ้าตั้งใจทำ จริงๆ ทำ ไมจะไม่เห็น ของมัน เปลี่ยนแปลงกันได้ ของดีของชั่วก็มี แต่ปลาไหลอยู่ในดินแท้ๆ เขาแทงหามันไม่หยุด มันจึงขึ้นมา เขาถึงจับได้ ทำ ไมเราจะไม่เห็น ถ้าคิดจะปลดเปลื้องตัวเองออกจากกองทุกข์ ที่มันไม่เห็น เพราะขนาด ความคิดวันหนึ่งมันยังจำ ไม่ได้เลย แล้วจะไปพูดอะไรเรื่องข้ามภพข้ามชาติ แค่วันหนึ่งๆ คิดดีคิดชั่วกี่ครั้ง ก็ยังจำ สิ่งที่ตัวเองคิดไม่ได้เลย เอามาใคร่ครวญดูซิ สักพักก็กิเลสขึ้นทับหัว ก็คิดว่าบาปไม่มี บุญไม่มีแล้ว มันเป็นอย่างนั้นแล้ว ทุกวันนี้ มันไม่เคยเห็น น้ำ ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มันก็เลยเล่นแต่น้ำ สกปรกในแอ่งน้ำ เล็กๆ นั้นแหละ นี่ก็เหมือนกัน จิตใจ เรามันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ต่างกันเลยนะ มันมีแต่วิ่งไปหาที่เก่าของมัน เพราะมันเกิดจากที่นั้นนะ ถ้าไม่ แก้ไขมัน ก็จะเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนั้น มันก็ไม่รู้จักหนทางสักที พากันเร่งความพากความ เพียร หัดสติ ให้มันเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้ว มันจะทันหรอก พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้ อธิจิต อธิศีล อธิปัญญา เอาไปอบรมดูซิ ให้มันทันเหตุการณ์ของจิตตัวเอง ทั้งความนึก ทั้งความคิดของตัวเอง มันจะ ประมวลมาเองหรอก เอาไปพิจารณาใคร่ครวญ เลิกกัน 267
พระธรรมเทศนา ภาพถ่าย ณ วัดพิชัยพัฒนาราม(เขาน้อยสามผาน) อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี มิถุนายน ๒๕๔๓ 268
กัณฑ์ที่ ๕๐ ศาสนาแห่งเหตุผล เป็นอย่างไรภาวนา หมู่พวก มีแต่กินกับนอน แล้วก็ไป มันไม่ได้อะไรนะ ถ้าไม่สู้เวทนาใหญ่ไม่เห็น อรรถเห็นธรรมหรอก ต้องลองดูสักคืน นั่งตลอดทั้งคืนดูสิ ถ้ามันผ่านตัวนี้แล้ว มันจะเห็นความอัศจรรย์ ในศาสนานะ มันไม่เห็นนะ ถ้าไม่สู้เสียก่อน ถ้ายังกลัวตายอยู่ มันก็ไม่เห็นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่าน นั่งอยู่ต้นโพธิ์ ท่านอธิษฐานถึงขนาดที่ว่า แม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไป จนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ก็ตาม ท่านก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ ท่านอธิษฐานผูกมัดจิตท่านขนาดนั้นเชียวนะ แต่พวกเรามีแต่กินกับนอน จะให้ว่าอย่างไร สักหน่อยก็มากล่าวตู่ศาสนา หาว่าศาสนาไม่จริงเท่านั้นแหละ ตัวเองไม่จริง ก็ยังไม่รู้จักตัวเองอีกนะ ถ้าตั้งใจทำ จริงๆ แล้วมันต้องเห็นแน่ มันต้องปรากฏขึ้นมา มันจะผุดขึ้นมาเองหรอก แน่แท้นั้นมันต้องภาวนามยปัญญานะ ถ้าสุตตมยปัญญาก็ได้ยินได้ฟังก็เท่านั้นแหละ คิดไปกับท่าน มันก็เป็นสัญญา ถ้าจินตามยปัญญานี้คือค้นคิด พอคิดไปคิดมาก็ลงไปหาสิ่งสกปรกนั่นล่ะ โดยมากถ้าจิตใจไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ ถึงจับหลักแล้ว ก็เท่านั้นแหละ ก็ลงไปหาของเก่านั่นแหละ เพราะมัน เคยเกิดอยู่นั่นนะ ก็ขอให้ได้พอมองเห็นหนทางหน่อย ไม่ใช่ให้เขามาเทียวเกิดเทียวตายอยู่อย่างนั้นนะ หนทางนั้นยัง อีกยาวไกล อย่างคนมีสามีอยู่แล้ว ไปเล่นชู้ ก็กลัวสามีจับได้ เลยให้น้องชายฆ่าสามี ส่วนตัวเองก็ตาย พอตายแล้วคนรักกัน มันเลยผูกพันกัน เลยมาเกิดเป็นงูเขียว เกิดทีไรก็มาฆ่ากันอีก มาเกิดเป็นหมาก็ถูก ฆ่าอีก ก็ความรักนั้นแหละที่มันผูกพันให้ไปเกิดที่นั่น จิตใจเหมือนกัน ให้เห็นเหมือนพระพุทธเจ้าท่านแล้ว มันจะผุดขึ้นมาเองหรอก ถ้าได้บรรลุ พวกเรามีแต่กินกับนอน จะให้ทำ อย่างไร เดี๋ยวก็ไปศาสนานั้น เดี๋ยวก็ไปศาสนานี้ จะไปศาสนาไหน ก็ไปเลย เหมือนอาจารย์ปัญญาท่านพูดว่า ท่านศึกษาหมดทุกศาสนาแล้วนะ ท่านเรียนถึงขั้นด็อกเตอร์ แต่ความสุขทางใจไม่ปรากฏ ท่านมีแต่ทุกข์ทางใจมาก ก่อนท่านจะเข้ามาเรียนทางศาสนา ศาสนาไหนก็อ้างแต่ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ชั้นสวรรค์ ศาสนาไหนก็เหมือนกัน อาจารย์ปัญญาก็เลยมา ศึกษาศาสนาพุทธ พอมาดูแล้วเห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ แล้วท่านก็ประกาศสิ่งที่ตรัสรู้นั้น อันนี้ มีเหตุผล อาจารย์ปัญญาว่า พอได้เหตุผล แล้วก็ค้นหา พอค้นหาฝ่ายปฏิบัติ ประเทศไหนก็ไม่มีการปฏิบัติเลย มีแต่ประเทศไทย อาจารย์ปัญญาถึงได้เข้ามาประเทศไทย มาก็มาบวชอยู่ปากน้ำ ก็เกิดความสงสัยทั้ง การเทศน์การพูดนั้นดี แต่ความประพฤตินั้นไม่ตรงกับพระธรรมวินัย ท่านสังเกตถึงขนาดนั้นนะ แล้วท่าน ก็หาถามผู้รู้ว่า ครูบาอาจารย์ดีกว่านี้มีหรือไม่ เขาบอกว่ามีอาจารย์มหาบัวอยู่จังหวัดอุดร ท่านก็อยากมา พอมาก็มากราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์(หลวงตามหาบัว) พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ให้รอก่อนถึงสามปีนะ ปีที่สี่ ถึงให้มา ถึงขนาดนั้นนะ 269
พระธรรมเทศนา พอพระอาจารย์ปัญญามาอยู่ปีแรกๆ ท่านก็ยังบอกหมู่พวกไม่ให้ไปสุงสิงด้วย ให้ระวังพระต่างชาติ นะหมู่พวกว่าเขาจะมาแบบไหนให้สังเกตดูนะ อย่าไปสุงสิงอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพระอาจารย์ปัญญามาถวาย ของอะไร ก็ให้ประเคนต่อหน้านะ ตั้งแต่นั้นมาท่านเห็นความเอาจริงเอาจังของพระอาจารย์ปัญญา ท่าน ถึงได้ย้ายให้พระอาจารย์ปัญญามาเป็นธรรมยุต เพราะเห็นในความตั้งใจจริง การทำ ความเพียรไม่ใช่ของ ง่ายนะ การเดินจงกรมก็ไม่ใช่ของง่าย ถ้าพวกเรามีแต่กินกับนอนแล้ว ทำ อย่างไรถึงจะเห็นอรรถเห็นธรรมได้ จิตใจของเรา ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีสติ แล้วมันก็วิ่งไปนั่นไปนี่อยู่ตลอดนะ แต่ถ้าเราฝึกหัดสติของเราแล้ว มันไม่ไปไหนหรอก ฝึกหัดให้มันเป็นมหาสติ เป็นมหาปัญญาแล้ว มันจะ ไม่ไปกังวลกับเรื่องอะไรพวกนั้นหรอก ผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ นั้น ไม่ค่อยไปสุงสิงกับคนอื่นนะ มีแต่คิดจะเอา ตัวให้พ้นทุกข์เท่านั้น มีแต่กลัวว่าตัวเองนั้น จะหลุดพ้นจากโลกนี้หรือไม่ เท่านั้นเอง พวกเราอยู่ ก็ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ ผมว่าแค่คืนเดียว คืนเดียวก็น่าจะจับหลักในการปฏิบัติภาวนาได้แล้วนะ เอาสิ เราสู้ดู สู้กับเวทนาดู ตัวไหนมันจะมาหลอกเรา ดูมันไว้ มันต้องมี ตัวเวทนามันมีเหมือนกันนะ เวลา เรานอนหลับ แต่ที่เราไม่รู้สึก เพราะว่ามันเลยเวทนาไปแล้ว แต่ตัวรู้นั้น ก็ยังรู้ว่า วันนี้เรานอนหลับสนิท จนไม่รู้สึกตัว วันนั้นเรานอนหลับไป เราก็ยังฝันถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่คือตัวรู้ ถ้าจับหลักอันนี้ได้แล้ว เรา จะนั่งภาวนานานเท่าไหร่ก็นั่งไปเลย ถ้าไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านจะพูด ท่านจะทำ นายไว้ทำ ไม ว่า ท่านนั้นเข้านิโรธสมาบัติถึง ๗ วัน ๗ คืน ในตำ รามีบอกไว้หมดนะ แต่พวกเรานี้จะไปรู้อะไร มีแต่แบก กองทุกข์อยู่อย่างนั้น หาเอาแต่ไฟมาเผาหัวใจตัวเองอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะเห็นความอัศจรรย์อะไร ไม่ แปลกหรอก เขาไม่บวช เขาก็ยังทำ ได้ มีแต่เอาเรื่องคนนั้นคนนี้ ที่เขาติฉินนินทาเรา มาคิดอยู่อย่างนั้น เขาไม่บวชเขาก็ยังทำ ได้คิดได้ เราต้องทำ ให้มันเกิดความอัศจรรย์แก่ตัวเองก่อน แต่นี่มันไม่ยอมทำ นะ มันเลยมีแต่เห็นคนอื่นเกิดความอัศจรรย์ เกิดแต่กับคนอื่น มันเลยไม่เกิดอะไรกับตัวเองสักที วันไหนๆ มันก็ เหมือนเดิม มีแต่มืดกับสว่างแจ้งเท่านั้น มันมีอยู่อย่างนั้น ให้เร่งความพากความเพียร เลิกกัน (พูดท้ายเทศน์) ญาติโยมนั้น ถ้าไม่จำ เป็น ไม่ต้องพามาหาผมก็ได้นะ ให้ถามเขาดูก่อน ไม่ใช่พามา หาผมหมดนะ ผู้่มีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ มาก็มาขอนั่นขอนี่ พระก็เหมือนกัน โยมก็เหมือนกัน มีแต่เรื่องขอ ศาสนาทุกวันนี้ มาหาพระก็ไม่มีอะไรนะ ทำ อย่างกับเราไปค้าขายร่ำ รวยได้เป็นมหาเศรษฐี มีแต่คนมาหา เห็นแล้วสลดสังเวชนะ มีคนมาขอนะว่า ได้สอนที่โรงเรียนนั้นเลยมาขอให้เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ มาคิดดูแล้ว เด็กน้อยนั้นก็มีพ่อมีแม่อยู่นะ ครูก็มีเงินเดือนกินอยู่นะ จะไปให้อะไรกันมากนัก ทำ อะไรไม่ยอมคิดหน้า คิดหลังก่อนนะ มีแต่ความอยากได้ เห็นแล้วสลดสังเวชนะทุกวันนี้ ผมไม่ได้ถือญาติโยมเป็น สรณัง คัจฉามิ นะ ใครไม่ชอบนิสัยผม ก็ออกไป จะไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ไหน ก็ให้ดูนิสัยก่อนนะ ถ้าไม่ชอบนิสัย ก็อย่า มาอยู่ด้วยกัน เลิกกัน เอาไปพิจารณาดู 270
ชีวประวัติหลวงพ่อปัญญา ปัญญาวัฑโฒ ท่านเป็นชาวอังกฤษ นามเดิมชื่อ ปีเตอร์ จอห์น นามสกุล มอร์แกน (PETER J. MORGAN) บิดา จอห์น วอตคิน นามสกุล มอร์แกน ( J. W. MORGAN ) มารดา ไวโอเลต แมรี่ นามสกุล มอร์แกน ( V. M. MORGAN ) ชาติกาล วันจันทร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปี ฉลู สถานที่เกิด ณ ประเทศอินเดีย ในเหมืองทองโคลาร์ รัฐไมซอร์ (ปัจจุบันเรียกว่า การ์นาตากะ) ภาคใต้ของอินเดีย ที่อยู่ ณ ประเทศอังกฤษ ที่ตำ บล บริน อำ เภอ แลนเนลี กรุงลอนดอน พี่น้อง ท่านมีพี่น้องร่วมท้องมารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน ชาย ๒ คน หญิง ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนโต วิทยฐานะ จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากฟาราเดย์เฮาส์ วิทยาลัยเทคนิค ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อาชีพ วิศวกรไฟฟ้า ท่านใช้ชีวิตเป็นฆราวาสอยู่ ๓๐ ปี โดยไม่ได้แต่งงาน บรรพชา เมื่ออายุได้ ๓๐ ปี ท่านได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ณ พุทธวิหาร กรุงลอนดอน (ซึ่งรัฐบาลศรีลังกาสร้างไว้) โดยมีพระกปิลวัฑโฒภิกขุ (ซึ่งเป็นพระชาวศรีลังกา แต่บวชในประเทศไทย) เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบท อายุ ๓๑ ปี พระอุปัชฌายะได้พาท่านเข้ามาในประเทศไทย โดยได้อุปสมบทในคณะ มหานิกาย เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๙๙ โดยมี พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ศึกษาวิชชาธรรมกายกับหลวงพ่อสดอยู่ระยะหนึ่งเดือนกรกฎาคมปีนั้นเอง ได้เดินทางกลับ ประเทศอังกฤษ พักจำ พรรษาอยู่ที่พุทธวิหาร ในกรุงลอนดอน เป็นเวลากว่า ๕ ปี พ.ศ.๒๕๐๔ ได้กลับ มาประเทศไทยอีกครั้ง โดยได้พำ นักอยู่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ กรุงเทพมหานคร 271
พระธรรมเทศนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในสำ นัก วัดป่าบ้านตาดครั้งแรก ในความดูแลของ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี อุปสมบทครั้งที่ ๒ อายุ ๓๙ ปี อุปสมบทซ้ำ ในฝ่ายธรรมยุตินิกาย ด้วยวิธี ทัฬหีกรรม (คือทำ พิธีบวชซ้ำ อีกโดยมิได้ลาสิกขาบทไปเป็นฆราวาสก่อน) เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๐๘ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ต.บางลำ ภู อ.พระนคร กรุงเทพมหานคร ได้รับนามฉายา ภาษามคธว่า “ปญฺญาวฑฺโฒ” แปลว่า ผู้เจริญด้วยปัญญา ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์ลูกหาทั่วไปจึงได้เรียกชื่อท่านสั้นๆ ว่า “ปัญญา” ตั้งแต่นั้นมา (บวชพระพร้อมกันกับท่านพระอาจารย์เชอร์รี่ อภิเจโต วัดป่าบ้านตาด) พระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน (หรือพระสาสนโสภณ ราชทินนามในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ พระเทพญาณกวี พระอนุสาวนาจารย์ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน หลวงตามหาบัว ยกย่องท่านว่า “เป็นพระที่สุขุม ฉลาด ไม่มีที่ต้องติ” ท่านบรรลุธรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มรณภาพ เมื่อวันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เวลา ๘.๓๐ น. ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ด้วยโรคมะเร็งที่ลำ ไส้ สิริรวมอายุได้ ๗๘ ปี ๑๐ เดือน ๓๘ พรรษา รวมเวลาที่ได้อยู่ ณ วัดป่าบ้านตาด เป็นเวลา ๔๑ ปี ( นับแต่ปี ๒๕๐๖) รูปเมรุหลวงพ่อปัญญา หน้าศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด (ลูกศิษย์ขออนุญาตถ่ายช่วงเวลาก่อนค่ำ ) 272
กัณฑ์ที่ ๕๑ อุฏฐานสัมปทา ..ภาวนานั้นต้องฝึกตัวเองนะ ถ้าคนอื่นมาฝึก มาว่าเรา แล้วมันจะไปโกรธเขา ตัวเองต้องว่า ต้องด่าตัวเองนะ จะได้ไม่ไปโกรธใคร ต้องทำถึงขนาดนั้นนะ การพิจารณา ก็พิจารณาอยู่แต่กับสิ่งที่ ท่านเทศน์ให้ฟัง ที่มันไม่เห็นหนทาง อันนี้ที่มันปิดบังเราอยู่นะ ความขี้เกียจขี้คร้าน มันก็เรื่องกิเลสทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่นะว่า อุฏฐานสัมปทา* ทำ อย่างท่านว่าดู เห็นแน่ ถ้าให้มันติดให้มันคาอยู่ในโลก อันนี้แล้ว มันก็ปิดก็บังอยู่นั่นแหละ พญามารตัวนี้ไม่อยากให้ไปนะ ตัวกิเลสมาร นั่งภาวนาไปสักหน่อย ก็เจ็บนั่นปวดนี่นิดหน่อย แล้วก็ว่าร่างกายของเราไม่ไหวแล้ว ก็เลยตามความอยาก ตามใจตัวเอง มันก็ล้ม ตัวลงนอนหลับสบายเท่านั้นแหละ ความอยากมันก็ชนะเรา จะไปเกิดภพใดชาติใด ก็เหมือนเก่านั่นแหละ ไม่จริงไม่จังเหมือนเก่านั่นแหละ มันก็ปิดบังเราอยู่อย่างนั้นแหละ ปิดบังถึงขนาดว่า บาปไม่มี บุญไม่มีเลยนะ เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น เรื่องอรรถเรื่องธรรม มันไม่สนใจหรอก จะนั่งไปทำ ไมภาวนา ถ้าเรา ไม่สู้มันก่อน ไม่เห็นนะอรรถธรรม คืนหนึ่งจะจับไม่ได้เลยหรือ ถ้าเราสู้กับเวทนาใหญ่ มันไม่ตายหรอก ครูบาอาจารย์ท่านทำ มาหมดแล้ว ถ้าไม่สู้กับสิ่งนี้ ไม่เห็นหรอกนะ เราต้องทิ้งความตายเลยนะ ครูบา อาจารย์ท่านทำ อย่างนั้นมา ไม่ใช่ว่าท่านทำ เล่นนะ มันจะรู้แจ้งเองหรอก ถ้าเบาเข้าๆ มันจะออกมาหมด นั่นแหละความอัศจรรย์นี้ พระพุทธเจ้าท่านเห็นอย่างนั้น ท่านเห็นจากใจตัวเองนะ เหมือนกินข้าวในภาชนะ เดียวกัน ถ้าไม่กินกับเขา นั่งดูเขามันก็ไม่รู้จักรสชาตินะ นี่ก็เหมือนกันนะ ถึงฟังมา มันก็ได้ฟังมาหลายภพ หลายชาติแล้ว ก็ฟังอยู่อย่างนั้น ศึกษาอยู่อย่างนั้น ก็ของเก่ามันนั่นแหละ ถ้าให้วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ให้เราจำ ว่า จิตใจตัวเองนั้นมันคิดไปในทางดีกี่ครั้ง คิดไปในทางชั่วกี่ครั้ง แค่วันเดียวก็ตามจิตไม่ทันแล้ว แล้วมันจะไปเห็นอดีตอนาคตนั้น มันยากมาก ในเมื่อมันมีแต่ความหลง วันหนึ่งคิดไปสักกี่ครั้ง เอาสิ ถ้าตามจิตตัวเองทัน วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงไม่ให้ขาดนะ มันต้องเกิดความ อัศจรรย์แน่ มันจะเห็นไปไกลนะ แต่นี่มันตามไม่ได้สักทีเลิกกันนะ (พูดท้ายเทศน์) จะเข้าพรรษาแล้วนะ อีกสองวันสามวันเท่านั้น ถ้าเป็นครั้งพุทธกาล ท่านเร่งความ พากความเพียรนะ ท่านกะเอาเท่านั้นเท่านี้ กะว่าให้ได้ตรัสรู้ที่นั่นที่นี่นะ วันนั้นวันนี้ ท่านตั้งความสัตย์ ความจริงของท่านนะ แต่พวกเรานั้น มีแต่ตั้งความกินกับนอนเท่านั้น มีเท่านั้น ก็เห็นได้เท่านั้นแหละ เลยไม่ทิ้งความสงสัยสักที ก็ถามอยู่อย่างนั้นแหละ พระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้อีก ก็ยังไม่สิ้นสงสัยสักที ความกลัวตายนั้น เอาไปเปรียบเทียบสอนใจตัวเองเข้าไป มีเหตุมีผล ใช้มันมัดเข้ามัดเข้าดูซิ จิตมันจะ รวมทันที พอรวมกันได้แล้ว มันจะออกอุทานแปลกๆ ขึ้นมาหรอก ปวดขามาก ไม่รู้มันปวดอะไรขนาดนั้น นี่แหละคือทุกขัง พอเลิกกันเถอะ * อุฏฐานสัมปทา คือ ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร 273
พระธรรมเทศนา ภาพถ่าย ณ งานพิธีหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙ 274
กัณฑ์ที่ ๕๒ เลี้ยงจิตด้วยพุทโธ จะให้ทำ อย่างไร มันแล้งก็ธรรมดานะ ฝนก็ยังไม่ตกลงมาให้ความชุ่มชื่นสักทีปีนี้ โลกนี้ดินฟ้า อากาศมันทรมานคน ส่วนคนมันก็เพิ่มมากขึ้นทุกที ก็เป็นอย่างนี้แหละ อะไรก็มีพิษหมด ตั้งแต่สมัยพ่อแม่ ไม่มีหรอกโรงพยาบาล สมัยนี้โรงพยาบาลยิ่งมีมาก โรคก็ยิ่งมีมาก มันทันกันหมดนะ สมมุติเอาทั้งหมดนะในร่างกายนี้ โรคนี้แต่ก่อนมีแต่ปวดหัวเจ็บท้อง แล้วก็เป็นไข้เท่านั้น เดี๋ยวนี้ ก็แต่งขึ้นสมมุติขึ้นมามากมาย ไม่รู้โรคอะไรต่อโรคอะไร แล้วก็มาหลงกันอยู่นั่นล่ะ สมมุติขึ้นแล้วก็หลงกัน ของจริงแท้ๆ นั้นก็มีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้นล่ะ เดือนนั้นเดือนนี้็มีแต่สมมุติทั้งหมด อันนี่เราวิ่งไปกับสมมุติ ถ้าใครพูดไม่ถูกใจ ก็เอาแล้ว เอาไฟมาเผาตัวเอง มันเป็นอยู่อย่างนั้นนะ โลกใบนี้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เป็นอยู่อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ผู้ที่ท่านดำ เนินมา ท่านไม่ได้ทิ้งจากพุทโธนะ อย่างหลวงปู่ขาว ท่านไปทางไหน พุทโธ ทางนั้น ท่านว่าถ้าอยู่กับพุทโธแล้ว อะไรก็ทำ อันตรายไม่ได้นะ ท่านว่าถ้าปล่อยให้พิจารณาตามสัญญา ก็เท่านั้นแหละ ถ้าพิจารณาตามสัญญาก็ไปกับสัญญานะ ว่าเคยได้ยินได้ฟังมา จากครูบาอาจารย์ท่าน เคยเทศน์ไปอย่างนั้น ท่านว่าอย่างนั้น ก็ตามสัญญาตามตำ ราที่เขียนไว้ว่าอย่างนั้น ก็ไปตาม อย่าง หลวงปู่มั่นท่านสอนพ่อแม่ครูจารย์ให้บริกรรมพุทโธ ท่านให้อยู่กับพุทโธ ที่เรียนให้เก็บเข้าตู้เข้าหีบไว้ อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าเอามาเป็นสัญญา เรียนอยู่กับพุทโธ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเรียน หนึ่งปีหกเดือนนะ ท่านถึงอยู่กับพุทโธ อย่างพ่อแม่ครูจารย์มหาทองสุกเกือบถึงสองปี ท่านว่าท่านฝึกหัด ขนาดนั้นนะ นี่คือการฝึกหัดสติด้วยนะ ฝึกหัดสติ ให้เป็นมหาสติ ฝึกหัดปัญญาให้เป็นมหาปัญญา พอได้เห็น มันเกิดกับตัวเองแล้ว มันจะรู้ มันจะเกิดเองหรอก ถ้าจิตมันสงบ พอจิตมันสงบเข้าไป มันต้องมีแสง บางทีก็เดี๋ยวเดียว คล้ายแสงหิ่งห้อย บางทีก็เกิดแสงอย่างไฟฉาย ภาพมันก็เกิด นี่แหละคือคลื่นจิต ได้เห็นเท่านั้นแหละ เหมือนวิทยุของเรานั่นแหละ ถ้าวิทยุของเรามันไม่ดี เขาก็เปิดทุกสถานีแล้ว แต่ เราเปิดรับสถานีเขาไม่ได้ จิตเราก็เหมือนกันนะ เพราะมันสกปรกเลยรับของเขาไม่ได้ จะไปพูดอะไร เรื่องกายทิพย์หูทิพย์ กายตัวเองยังไม่เห็นเลย เพราะใจของเรามันไม่สะอาด ถ้าเราทำ ใจให้สะอาดดูซิ มันเกิดเลยแหละ ธรรมของพระองค์เจ้าของจริงนะ เหมือนผู้หญิงคนหนึ่งมาพูดให้ฟัง กับผู้หญิงก็เป็นนะ แปลก พอเราพูดด้วยว่า ภาวนามันเป็นไปอย่างนั้น เขาก็พูดกับเราได้นะ แต่พอให้เขาเทศน์ กลับเทศน์ไม่ได้ แต่ถ้าภาวนามันเกิด ก็รู้อย่างนั้น พอพูดด้วยเราได้อยู่ แต่พอให้เทศน์ ยังไม่มีโวหาร ไม่มีปฏิภาณใน 275
พระธรรมเทศนา การเทศน์ ให้มันเป็นอยู่ในใจนั้นแหละ คืนหนึ่งวันหนึ่ง มันไม่ออกจากนั้นนะ มันจะค้นคิดอยู่อย่างนั้นแหละ นี่แหละปัญญาเกิด ปัญญามันจะเกิดเองหรอก พอให้มันคิดไปได้หน่อย พอคิดไปคิดมา มันก็คิด ลงไปหาสิ่งสกปรกของเก่ามันนั่นแหละ ให้พากันภาวนานะ ตอนเย็นตอนกลางวันไปหาเดินจงกรมในป่า แอบมองหาดูคนที่ไปภาวนาอยู่นะ ว่าจุดไฟอยู่ในป่าที่ไหนที่มันสงบสงัด อยู่ที่นี่ คนไหนไม่สามัคคีกัน ให้ออกไปนะ ไม่ใช่มาเลี้ยงหมาไว้กัดกันนะ มันเคยเป็นนะวัดนี้ ไม่เอา นะแบบนี้ ผมเคยถูกพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ว่า รักหมู่พวกมากนะ ไปตอนไหนท่านเทศน์อยู่อย่างนั้น เอานะเลิกกัน ภาพถ่าย ณ ศาลาวัดภูผาแดง ปีพ.ศ. ๒๕๔๒ 276
กัณฑ์ที่ ๕๓ ฝึกหัดดัดตนเอง จะมานอนภาวนาได้อย่างไร เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ จะมากินมานอนได้อย่างไร จะทำ ยังไง ถ้าตัวเองไม่ยอมสอนตัวเอง ถ้าคนอื่นมาสอน มันก็ไม่รับเอาคำ สอนไปใคร่ครวญอะไรนะ ฟังไปแล้ว ไม่รับเอาไปใคร่ครวญ ไม่เอาไปสอนตัวเอง แล้วจะให้ทำ อย่างไร ถ้าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ขนาดนั้น ก็ออกไป อย่าให้มาอยู่เป็นมลทินศาสนา ให้ไปอยู่กับทางโลกเขาโน้น ถ้าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ขนาดนั้น ต้องฝึกตัวเอง ใครจะไปฝึกให้เราได้ ถ้าเราไม่ฝึกตัวเราเอง เหมือนไปกินข้าว จะให้เพื่อนกินแทนเรา แล้วเราอิ่มไม่มีหรอก เหมือนการว่ายน้ำ นั่นแหละ เราจะไปว่ายน้ำ ตามเขาได้อย่างไร ถ้าเราว่ายน้ำ ไม่เป็น ก็มีแต่จมน้ำ ตายเท่านั้นแหละ เราต้องฝึกหัด ว่ายน้ำ ให้เป็นก่อน แต่นี่ไม่สนใจอะไร มีแต่กินกับนอนเท่านั้นแหละ ไม่ดูหน้าดูหลังอะไรเลย แล้วความดี มันจะไปเห็นได้อย่างไร มีแต่กิเลสห่อหุ้มจิตใจอยู่อย่างนั้น ธรรมมันก็เกิดขึ้นไม่ได้นะ เพราะธรรมไม่มีที่อยู่ ต้องชำ ระจิตใจของเราเข้าไป ถ้าทำ อะไรแล้ว มันไม่มีสติเลย ทำก็ทำ ไปอย่างนั้นแหละ หัวใจตัวเองมัน เป็นไฟอยู่ ไม่ดูเลย ไม่หาดูว่าไฟนั้นมันเกิดมาจากไหนมันถึงร้อน ไปคิดแต่ทางโลกนู่น ทางธรรมมัน ไม่คิดเลย แล้วมันจะไปเกิดความอัศจรรย์ได้อย่างไร ไปกับรูป กับเสียง กับกลิ่น กับรส มีเสียงอะไร มาก็ไปด้วยหมด แล้วหัวใจมันก็ไม่เกิดอะไรสักอย่าง ไม่มีความอัศจรรย์อะไร นั่งภาวนาก็นั่งได้ไม่เกิน ๓๐ นาทีหรอก ดูอยู่นี่ ถึงนั่ง ก็มีแต่นั่งปรุงแต่งนั่นแหละ สร้างบ้านสร้าง เรือนไปทั่ว สร้างโลกสร้างสงสาร ไปกอบโกยมา ก็ยังว่าตัวเองภาวนา แล้วมันจะไปเห็นอะไร นี่ไม่ใช่ ทางของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ให้ทำ อย่างนั้น ก่อนท่านจะตรัสรู้ ท่านก็เจริญอานาปานสติภาวนา ถ้าแปล เป็นไทยก็คือดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ท่านไม่ให้ออกจากนั้นเลย เข้าก็รู้ ออกก็รู้อยู่อย่างนั้น มันเป็นอย่าง นั้นนะ ศาสนาจะเกิด ไม่ได้เกิดด้วยความปรุงแต่งอะไรนะ ก่อนท่านจะตรัสรู้ในยามที่หนึ่งท่านก็บรรลุ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ในยามที่สองก็ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ อันนี่ไม่ดูหัวใจตัวเองสักทีนะ ไปดูแต่หัวใจคนอื่นนู่น ไม่ว่าอะไรต้องให้มันถูกใจตัวเองก่อน ใครทำ อะไรก็ต้องให้มันถูกใจตัวเอง นี่แหละเรื่องกิเลสตัณหา ดูเอาซิ มันจะเห็นเองหรอกธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างครูบาอาจารย์ท่านทำ มา อย่างหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว ท่านไม่ได้ทิ้งพุทโธ ท่านภาวนาอยู่แต่กับ พุทโธ ถ้าออกจากพุทโธ มันคิดไปสารพัด คิดไปตามโลกตามสงสาร คิดไปสารพัดที่มันจะคิดได้ ถ้าจิต มันเป็นไปแล้ว ถึงจ้างให้มันไป มันก็ไม่ไปนะ ถ้ามันเห็นภาวนามยปัญญาแล้ว ถ้าเรารู้ว่าเป็นไฟแล้ว รู้ว่าไฟเป็นอย่างไรแล้ว ใครจะอยากไปจับ แต่ถ้าไม่รู้จักไฟเลย ไฟมันก็อาจเผาตัวเราได้นะ นานาจิตตัง จิตคนไม่เหมือนกัน ต้องทำ เอาเอง ใครจะ ไปทำ ให้กันได้ มีแต่บอกทางเท่านั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านก็มีแต่บอกทางเท่านั้น ส่วนความพากความ เพียรนั้น ก็มีแต่เราต้องทำ เอาเองทั้งหมด ถ้าไม่เอาคำ สอนไปคิดไปนึก ถึงเราฟังเทศน์ไปก็ได้เท่านั้นเอง ไม่นานนะ พอฟังแล้วก็มีแต่ไปนอนหลับแถมละเมอด้วย ถ้าดูแล้วไม่เป็นธรรมขนาดนั้น ก็ไปนะ อย่ามา อยู่ให้หนักศาสนาหมู่พวก ถ้าไม่ปฏิบัติ พอเลิกกันนะ 277
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๕๔ บังคับกิเลส เป็นอย่างไรหมู่พวกภาวนา มีแต่กินกับนอนหรือ ทุกวันนี้ ถ้ามันเป็นแล้ว มันอดไม่ได้หรอก ถ้ามัน เกิดจากใจจริงๆ แต่นี่มันไม่ได้ใช้ความคิดไปทางอรรถทางธรรมนะ มันคิดไปแต่ทางโลกทางสงสาร โดยมากก็ไปตามกิเลสนั่นแหละ เพราะมันยังภาวนาไม่เป็น มันก็เลยเป็นอย่างนั้นแหละ ของมันคุ้นเคย กันมากี่ภพกี่ชาติแล้ว มันก็ดึงไปของเก่ามันนั่นแหละ เราไม่เห็นอะไรหรอก เพราะมันปิดบังเราอยู่ เราใช้ปัญญาจักษุของเรา ตีปัญหาไม่แตกนะ เราเคยเชื่อมันมามากแล้วนะ ถ้าเราไม่ฝืนมันมากพอ ไม่ได้นะ เรื่องความเพียร ถ้าบริกรรมพุทโธก็ให้มันอยู่กับพุทโธ ๒๔ ชั่วโมง อย่าให้เผลอ มันจะมีความรู้ แปลกๆ ขึ้นมาเองนะ มันจะเกิดขึ้นมาเองเลยนะ ธรรมของพระองค์เจ้า แต่นี่จะทำ อะไร ก็มีแต่กลัวตาย ก็เลยไม่เห็นอะไรนะ นั่งภาวนาก็มีแต่กลัวตาย ก็เลยมีแต่กินกับนอนเท่านั้น พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ท่านทำ จนท่านสลบไสล ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทุกวันนี้มีแต่สอนกันเรื่อง พิจารณาไปเลย ก็เลยลงทะเลไปเลยนะซิ คิดดู พระพุทธเจ้าท่านนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ท่านกำ หนดอานาปานสติ ถ้าแปลภาษาไทยก็ดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ท่านไม่ให้ออกจากนั้นเลย ในยามที่หนึ่งท่านก็บรรลุ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ในยามที่สองก็ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ ในยามที่สามท่านก็ได้ตรัสรู้ ดูซิปฏิปทา ศาสนา มันเกิดขึ้นอย่างนั้นนะ แล้วมันจะเป็นไปเองหรอก เรื่องความคิดพิจารณา แต่ให้มันเห็นอันนี้แล้ว มันจะใคร่ครวญไปเองหรอก ถ้าถึงขั้นภาวนามยปัญญาแล้ว มันจะไหลไปเองเหมือนน้ำ มันไม่สนใจว่า จะนอนวันไหน หรือจะนอนนานเท่าไหร่ มันมีแต่ทำ งานของมันไป ต้องบังคับมันนะ ไม่บังคับไม่ได้นะ ตัวเองนะต้องสอนตัวเอง ถ้าจะเอาความจริงนั้น ก็คือเป็น ตัวเองทั้งหมดนั้นแหละ เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านรู้เองเห็นเองหมด ไม่มีครูไม่มีอาจารย์ ถ้าจะเอาให้สิ้น สงสัยจริงๆ ก็มีแต่เรื่องของตัวเองทั้งหมด มันเกิดขึ้นกับตัวเองหมด ถ้าจะอาศัยก็พอได้อาศัย แต่ถ้าจะ เอาความบริสุทธิ์ มันเป็นเรื่องของเราหมด มันจะเกิดขึ้นเอง มันจะปรากฏเอง อย่างหลวงปู่มั่นท่านมี พระอรหันต์มาสอนนะ ถ้าภาวนาถึงขั้นภาวนามยปัญญาแล้ว ถ้าเกิดติดขัดตรงไหน จะมีผู้ที่มาแก้ปัญหา ให้เพราะคลื่นจิตมันตรงกันนะสำ คัญ คลื่นจิตมันสำ คัญ ตัวนี้แหละ ฝึกเข้าไปหัดเข้าไป มันจะเห็นไปเองหรอก แต่ถ้ากินกับนอนมันไม่เห็นอะไรนะ สักพักก็กล่าวตู่ศาสนาว่าไม่จริงเท่านั้นแหละ 278
กัณฑ์ที่ ๕๕ บริกรรมพุทโธๆ อย่าให้เผลอ อบรมพระปี ๒๕๔๒ ไปภาวนาก็ไปดูแต่โลก ไปภาวนาอะไร เดี๋ยวไปนั่นไปนี่ ครูบาอาจารย์ท่านพาดำ เนินมาที่ไหนสงบ ท่านให้อยู่นั่นนะ ท่านไม่ได้พาเที่ยวเหมือนสมัยนี้นะ แล้วสมัยก่อนก็มีแต่เดินนะ เพราะไม่มีรถยนต์เหมือน สมัยนี้ ใจของเรามันไปตามเรื่องกิเลสตัณหานะ ถ้าใจมันไม่อยู่กับเรื่องที่พิจารณา มันก็ไปตามโลก ก็มีเท่านั้นแหละ ถ้าภาวนายังไม่ทันชำ นาญ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ สำ คัญนะ ความเคยชินกับงานที่ทำ การพิจารณาก็เหมือนกัน ถ้าบริกรรมพุทโธ ๒๔ ชั่วโมง อย่าให้เผลอ แล้วจะเกิดความอัศจรรย์ขึ้นใน จิตใจเลย แต่ภาวนามันไม่สงบสักทีนะซิแรกๆ ก็ไปแต่ทางโลกหมด แต่ก็ยังคิดว่าตัวเองนั่งภาวนาอยู่นะ มันจะไปได้เรื่องอะไรกัน ทางโลกเขาไม่ภาวนา เขาก็ยังคิดได้ จะไปอัศจรรย์อะไร สักหน่อยก็หาว่า ศาสนาไม่จริงก็ไปแล้วไม่นานก็กลับมาอีก สมัยนี้เป็นไปสารพัดนะ คนมาบวชใส่ผ้าเหลือง ไปหาขอทาน หัวไม่โกนหรอก ใส่หมวกก็ไปหาเข้า บ้านเข้าเมือง ขอแต่ว่าได้เงินพอซื้ออาหาร ก็ยอมแก้ผ้าออก มันเป็นไปอย่างนั้นนะทุกวันนี้ พวกทำ ลายศาสนา บวชเข้ามามีแต่ทำ ลายศาสนา ราคะตัณหามันมาก สังเกตดูซิ ยุคสมัยนี้หนีพ่อหนีแม่ไป ถ้าไม่เป็นลูกจ้าง เขาแล้วไม่ได้นะ คนสมัยนี้บังคับตัวเองไม่เป็น เดี๋ยวนี้ดูซิ คนทำ ไร่ทำ นาก็น้อยลงนะ ไม่เหมือนสมัยพ่อ สมัยแม่นะ แต่ก่อนอาตมาจะออกบวช ข้าวเกวียนละสามบาทนะ ทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ก่อนควาย กับวัวตัวละ ๕๐ บาท ตัวละ ๔๐ บาทก็มี แต่เดี๋ยวนี้ราคามันแพงขึ้นมากขนาดไหน คิดดู คนยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ศาสนาก็ยิ่งเสื่อมมากขึ้นเท่านั้น คนก็ไม่มีธรรม มีแต่กิเลสตัณหา นักบวชก็เหมือนกันนั่นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านพาดำ เนินมา ท่านไม่เคยมีนะ ว่าให้รู้จักนิสัยใจคอกันนะ ให้ฝึกหัดการอยู่คนเดียวนะ มันสบาย พวกนักภาวนาคนไหนที่มีภูมิจะรู้เองหรอก พอได้เข้าใกล้มันต้อง มีปีติ มีความเกรงๆ กลัวๆ นะ คนไหนที่ภาวนา จิตมันไม่พุ่งพล่านคิดนั้นคิดนี่หรอก มันเกรงๆ กลัวๆ อยู่ คนยิ่งภาวนามาก ผู้ที่พบยิ่งมีความรู้สึกเกรงๆ กลัวๆ มาก มันมีนะเรื่องนี้ เพราะวาระจิตมันถึงกัน คือมันสัมผัสกันได้ คนไหนที่ขี้เกียจมักง่าย อย่าไปอยู่ด้วย อยู่ไปก็ไม่ได้หลักอะไร อย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่ไหนช้างมากเสือมาก มีแต่บอกให้หมู่พวกไป ถ้าเสือมาหา ไม่ได้นอน หมดทั้งคืน มีแต่นั่งภาวนาเพราะความกลัว ครูอาจารย์ท่านผ่านอย่างนี้มา ถึงได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์ ของเรา ไม่ได้มากินแล้วนอนเหมือนสมัยทุกวันนี้นะ บางองค์สามเดือนไตรมาส ไม่มีนอนเลยนะ ไม่เอน หลังด้วย ทำขนาดนั้นนะ ทำขนาดนั้นนะ ท่านถึงจะเห็นธรรม ถึงเห็นความอัศจรรย์ ถ้าจะนอนก็ได้แต่ การนอนเท่านั้นแหละ แต่ขนาดหลวงปู่มั่นท่านก็ยังสลบถึงสามครั้ง กว่าจะได้เป็นครูเป็นอาจารย์ ทุกวันนี้เอาแต่นอน ทำ อย่างไรมันถึงจะเห็น คิดไปคิดมาแล้วมีแต่ทำ เล่น ตัวเองต้องฝึกตัวเองนะ ถ้าคนอื่นฝึก มันไม่พอใจ มันเครียดมันโกรธ ต้องหัดว่ากล่าวตักเตือนตัวเองฝึกตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละ อยู่คนเดียว 279
พระธรรมเทศนา แต่ถ้ามีแต่กินกับนอนจะทำ อย่างไร สักหน่อยกิเลสเกิดขึ้นในหัวใจ ก็ไปกับมันเลย ถ้าได้มาพบกัน ก็หยอกกัน มันก็เลยเป็นโลกไปหมด ไม่เป็นธรรม ถ้าคนไหนตั้งใจ ก็ไปอยู่ใครอยู่มัน พ่อแม่ครูจารย์ท่าน พาทำ อย่างนั้นนะ ไม่ได้อยู่ใกล้กันนะ ไม่ได้ไปคุยกัน อยู่ใครอยู่มัน กวาดตาดหามน้ำ นั้นแหละถึงได้มา พร้อมกัน นอกนั้นไปใครไปมันอยู่อย่างนั้น แต่ก่อนอยู่บ้านห้วยทราย ท่านไม่รับพระมากนะ บางทีก็แปด องค์ บางทีก็ห้าองค์ ทุกวันนี้มันมากนะ พระที่จะไปวิเวกก็ไม่มีแล้ว ไปก็ต้องไปตามสำ นักต่างๆ ไม่เหมือน สมัยก่อนนะนอนตามดินตามหญ้า ศรัทธาสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้นะ สมัยก่อนไปบิณฑบาตก็ได้แต่ข้าวเปล่า มาฉัน แล้วก็ไปภาวนา โยมเขาไม่มาวุ่นวาย เขาไม่มาสนใจเรื่องพระกรรมฐานหรอก มันต่างกันสมัยนี้ นั่งภาวนายังกับหัวตอนะ พอกินอาหารมากๆ ก็มีแต่จะง่วงนอนนะ เวทนาก็จะทับเอา มันผิดกันนะ ถ้าเราสังเกตสมัยก่อนกับสมัยนี้ ถ้าจะบริกรรมพุทโธก็ให้อยู่กับพุทโธ ถ้าจะพิจารณาก็พิจารณาตั้งแต่เกศาลงมาถึงพื้นเท้า พิจารณาดูซิ อย่าให้มันออกจากนั้น นี่แหละธรรมเกิดก็เกิดอยู่ที่นี่แหละ ทำ อย่างไรมันถึงจะเป็นไปได้ เราก็ต้องทำ นะ ต้องสอนตัวเอง ฝึกตัวเอง ผู้ที่จะเห็นอรรถเห็นธรรมจริงๆ ก็คือตัวผู้ฝึกเองนะ พระพุทธเจ้าท่านเพียง แต่บอกทางเท่านั้น จะรู้ก็ตัวผู้ปฏิบัติเองนะ พอเราค้นคิดพิจารณาไปแล้ว ก็พอรู้ขึ้นมาก็นึกได้ว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเคยเทศน์ให้เราฟังมาแล้ว มีแต่ตัวเราต้องลงมือปฏิบัติเอา ทำ เอาเองนะเรื่องการ ภาวนา ไม่เหมือนฝ่ายปริยัตินะ ท่องจำ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง ท่องเหมือนสวดปาฏิโมกข์ก็ท่องได้ ถ้าได้เรียน แต่ด้านจิตใจของเรามันต่างกัน การโปรดชาวโลกก็แตกต่างกัน เลิกกัน ปวดขา ภาพถ่าย ณ วัดชากใหญ่ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี มิถุนายน ๒๕๔๓ 280
กัณฑ์ที่ ๕๖ เอาแบบพระพุทธเจ้าหรือแบบเทวทัตต์ พิจารณาสภาพร่างกายตัวเอง จิตมันรวมได้ก็เพราะอันนี้แหละ พุทโธ พูดถึงการภาวนา ถ้าสนใจ จริงๆ ใคร่ครวญอยู่แต่สิ่งนี้ มันก็ต้องพบ ต้องเห็นความอัศจรรย์เกิดขึ้นในใจ แต่นี่มันปล่อยไปตามโลก เกินไป เป็นพระคิดไปแต่ทางโลก ถ้าไม่คิดอย่างนั้น มาคิดทางอรรถทางธรรมมันต้องเกิด แต่นี่อดีตที่ ผ่านมาแล้วเอามาคิด คนนั้นพูดอย่างนั้น คนนี้พูดอย่างนี้ เอามาร้อนมาเผาหัวใจตัวเอง แล้วก็เกิดความ กลุ้มใจหงุดหงิด มันลำ บากนะ หัวใจเป็นไฟนี้มันลำ บากและทุกข์ทรมานนะ ต้องแก้ตัวนี้ก่อนนะถึงจะเห็น ของจริง พิจารณาดูทำ อะไร ก็ทำ เหยาะแหยะ สมัยนี้มีแต่เรื่องกินเป็นใหญ่ กับเรื่องเล่น อยากไปดูอันนั้น ไปดูอันนี้ กิเลสตัวนี้แหละ มันต้องหาเหตุผลมามัดตัวเอง ให้มันจับหลักไว้ ไม่ให้มันไปไหน ถ้าจะแก้ ก็แก้ตัวนี้แหละ ถ้าตายแล้ว ก็ไม่ได้แก้หรอกนะ เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไปนิพพาน ท่านทำ เอาจริงเอาจังนะ ถ้าจะเอาแบบลำ บาก หรือจะเอาแบบพระเทวทัตต์ ก็มีอยู่สองแนวนะ ตั้งใจภาวนานะ การงานก็ไม่มีนะ เดินจงกรมจนถึงเช้าก็ได้ เดินจงกรมตลอดคืนดู สู้ดูซิ ถ้าไม่สู้ก่อน ไม่เห็นหรอกของจริง ถ้าได้เห็นของจริง จะไปกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กราบครูบาอาจารย์ อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าทำ จริงๆ แต่ที่เห็นมีแต่เล่น ผมดูอยู่ ผู้ใดไม่ตั้งใจก็ไป อย่ามาเบียดเบียนศาสนา ไปอยู่ทางโลกเลย ถ้าเห็นว่าทางโลกนั้นดีกว่าบวช จะไปเห็นอะไร ถ้ามาเล่น เดินจงกรมก็เดินสักครั้ง หรือเปล่าไม่รู้ นั่งสมาธิก็นั่งหรือเปล่าไม่รู้ นอนยังกับควาย ออกไปจากครูบาอาจารย์ ก็กำ เริบเสิบสาน พวกไม่กลัวอะไร ถ้าจิตไม่อยู่กับสมาธิ ก็ดูหนังสือ ถ้าไม่อยู่ก็สวดมนต์ บทไหนก็สวดได้หมด ให้มันอยู่ในธรรมดูซิ วันหนึ่งกับคืนหนึ่งมันจะต้องปรากฏ แต่ที่เห็นมันวิ่งตามโลกเขานู่น ถ้าวิ่งตามโลก ก็เป็นอย่างนี้แหละ จนมันเคยชินทางโลก ภพใดชาติใดก็เหมือนเดิม ไม่สะทกสะท้านอะไร สมัยนี้เขาว่าโลกเจริญมันเจริญอะไร โลกฟืนโลกไฟมันเผากันอยู่อย่างนั้น ครอบครัวหนึ่งๆ ก็แย่งกันเป็นผู้ปกครอง เป็นผู้มีอำ นาจ ถ้าคนใน ครอบครัวนิสัยไม่ดี ไม่ตรงกัน นิสัยเข้ากันไม่ได้ ก็ยิ่งไม่น่าอยู่นะ อยู่ก็ไม่มีความสุข ถ้าเราสงสัยยัง ไม่เข้าใจ ก็ให้ดูพ่อดูแม่เรา เดี๋ยวก็ผิดใจกัน เดี๋ยวก็ดีกันอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ถูกใจกันก็เอาอีกแล้ว แต่ก็อยู่ ด้วยกัน แต่บางครอบครัวถึงขนาดฆ่ากันก็มี แย่งกันเป็นใหญ่ แย่งเป็นผู้ปกครอง ตรงไหนความสุข พิจารณา ดูซิ เหมือนชาวนา เขาหาอยู่หากินไม่หยุดหย่อน แต่เดี๋ยวนี้นั่งภาวนาก็นั่งอยู่ในมุ้ง เดินจงกรมทางเดิน เขาก็ทำ ไว้ให้ ก็ยังว่ายากลำ บาก แล้วจะไปหาความสุขอะไรจากโลกมนุษย์ ลองแก้หัวใจตัวเองออกมา ดูซิ ว่าตรงไหนที่มันติดขัด ก็ปลดมันแก้มันไป พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญสติกับปัญญานะ ถ้าสติมันเกิดเป็นมหาสติ ปัญญาเกิดเป็นมหาปัญญาแล้ว มันจะรู้เท่าทันเองหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอก แต่นี่มันไม่คิดไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ มันก็เลยไม่เกิดอะไร คิดไปกับคนอื่นนู่น แต่หัวใจตัวเองไม่ดูเสียก่อน ฝึกแรกๆ ชอบไปดูแต่ใจคนอื่นนู่น ที่จริงเขาให้ฝึกใจตัว 281
พระธรรมเทศนา เองนะ เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น ผู้ที่หลุดพ้นไปแล้ว เวลาภาวนาไม่ได้สนใจนะคนอื่น ท่านดูแต่เงื่อนที่มัด ใจตัวเอง หาทางแก้เงื่อนที่มัดออก ผู้มีบารมีเขาแก้โลกธรรม ๘* ออกจากใจได้แล้ว เขาไม่มีความหวั่นไหว อะไรหรอก มันก็มีความสบายใจ มันก็ทำ งานได้อย่างเต็มที่ แต่ทีเห็นใจมันวิ่งก็วิ่งไปกับนี่แหละกับโลกธรรม ๘ นี่แหละสรรเสริญนินทา ถ้าตัดออกได้มันก็สบาย แต่ที่ดู มันไม่ยอมตัดออกนะ วิ่งตามมันอยู่อย่างนั้น ถึงจะมาบวชในศาสนา แต่หัวใจมันก็ไปอยู่ทางโลกนะ มันจะไปแตกต่างอะไรกับทางโลกเขา ผ้าเหลือง ในตลาดก็มี จะหายากอะไร พอตายก็ให้ญาติเอาผ้าเหลืองมาคลุมกายก็ได้ แต่ว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นนะซิ การปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติให้มันเป็นศีล ให้มันเป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญาดูแล้ว ถ้าปฏิบัติได้แล้ว โลกนี้มันก็ไม่ อยากจะอยู่แล้ว มันจะออกอุทานเองหรอก ให้เร่งเข้าความเพียร เอาซิ ให้เร่งเข้าพุทโธ ๒๔ ชั่วโมง อย่าให้เผลอ มันต้องมีความรู้แปลกๆ ขึ้นมาแหละ มันต้องเกิดความอัศจรรย์ขึ้นมาในศาสนา แต่นี่มันไม่รู้จัก เหมือนทัพพีที่ไม่รู้จักรสชาติของแกง จิตก็เหมือนกัน นักบวชในศาสนา แต่ไม่รู้จัก รสวิมุตติก็เท่านั้นแหละ เรียนทำ ไมเรียนในตำรา เรียนถึงพระนิพพานก็เรียนได้ แต่ก็สงสัยถึงพระนิพพาน เรียนเรื่องนรกก็สงสัยนรกเท่านั้นแหละ เพราะหัวใจมันไม่เห็นนะ มันเห็นไปตามหนังสือเท่านั้นเอง ถ้าอยากเห็นของจริง ไปค้นพิจารณาเข้าไปซิ เร่งซิความเพียร กว่าจะได้ข้าวมาใส่ยุ้งข้าว ต้องทำ นาตาก แดดตากฝนนะ นานเท่าไหร่ ถึงจะได้มา มันก็ได้มาจากของที่มีอยู่แล้วนะ เอามาปลูกลงดิน สมาธิกับ ปัญญาก็อยู่กับจิตกับใจของเรานะ ทำ ไมจะไม่เกิด พระพุทธเจ้าท่านพาทำ พาปฏิบัติ ถ้าเอาพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาแล้ว อาตมาคิดว่าไม่นานนะ ได้จับหลักแน่ การพิจารณาร่างกายก็เหมือนกัน เอาซิ อนุมานดู คาดคะเนตามหลักเหตุผลดู ฝึกเข้าไป พอจิต มันจดจ่อพิจารณาร่างกายนี้ ไม่ให้มันออกจากร่างกายนี้เลย อย่างหลวงปู่บัว บางครั้งท่านก็ไม่เห็นอสุภะ ท่านนั่งภาวนาอยู่สามวันสามคืน ท่านพูด ถ้าจิตไม่เห็นความอัศจรรย์ ไม่เกิดนะนี้ ถ้านั่งภาวนาจนถึงว่า จิตมันจดจ่อเข้าแล้ว อัตภาพร่างกายมันจะเป็นไปเองหรอก มันจะกลายเป็นดินเป็นน้ำ ไปหมด นั่งอยู่ก็ มีแต่โครงกระดูก กระดูกนี้ก็จะกลายไปเป็นดินนั้นแหละ พอคิดได้อย่างนั้น ในจิตก็เกิดแสงสว่างทันทีทันใด เกิดความอัศจรรย์ขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่มีเสีย มีแต่จะก้าวหน้า แต่ว่ามันไม่เป็นให้นะซิ นั่งก็นั่งอยู่เฉยๆ พอมีงานก็ทำ ไป พอหมดงานก็เลยไม่มีสมาธิ พอไม่มีสมาธิก็เลยหาทำ อะไรไป พอได้แก้ความรำ คาญ ของตัวเอง ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็ทำ ถ้าไม่ตั้งใจก็พากันลาสึกออกไปก็ได้ โลกใบนี้ไม่ได้แคบถึงขนาดที่ไปไหนไม่ได้ ถ้าอยากได้ลูกได้เมียก็ออกไปเอาเลย จะไปเอาวันละคนสองคน หรือวันละสามก็ไป เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนั้น คนหวังความดีต้องทำ อย่างนั้น แต่ผมดูท่ามันจะไปทางโลกนะมากกว่า มันวิ่ง ตามโลกนะ มันไปเอาแบบทางโลกนั่นแหละมาเป็นอาจารย์ มันไม่ยอมเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็น อาจารย์นะ เดี๋ยวมันก็ว่าศาสนาไม่ดี มันเป็นไปอย่างนั้นแล้วนะเดี๋ยวนี้ อาตมาดูหมู่พวกอยู่นี่ ถ้าจิตใจมัน ไม่เป็นไปทางธรรมแล้ว มันไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่อยู่นะ ออกไปอยู่ทางโลกดีกว่า อย่ามาเบียดเบียน ศาสนา ตักเตือนหมู่พวกนะ เลิกกัน * โลกธรรม มี ๘ อย่าง คือ ธรรมที่ครอบงำ สัตว์โลกและสัตว์โลกก็เป็นไปตามมัน คือ มีลาภ ไม่มีลาภ มียศ ไม่มี ยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ 282
เนื่องในโอกาส หลวงปู่ลี กุสลธโร กราบคารวะสรีระสังขาร พระเทพวิสุทธิมงคล หลวงปู่ศรี มหาวีโร ณ ศาลามหาวีระธรรมสภา วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ 283
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๕๗ บวชจริงเห็นจริง อดีตที่ล่วงผ่านมาแล้ว อย่าไปคำ นึงเลย มันก็ออกไปจากปัจจุบันนี้แหละ อนาคตก็เหมือนกัน มันก็ออกไปจากปัจจุบันนี้แหละ อย่าไปคำ นึงมันเลย คุมมันเข้า ให้ดูหัวใจตัวเอง อย่าไปดูหัวใจคนอื่น เรื่องของเขา เรามีหน้าที่ของเรา นักปฏิบัติต้องตัดอย่างนั้นนะ ถ้าไม่ตัดออกอย่างนั้น ก็จะโลเลอยู่อย่าง นั้นแหละ เดี๋ยวก็วิ่งไปนั่นไปนี่ ไม่ว่าจะทำ อะไร ก็จะต้องให้ถูกใจตัวเองหมด อยู่อย่างนั้นเป็นอย่างนั้น ก่อนที่จะเป็นบ้านะมันบ้าตัวนี้แหละ ถ้านักปฏิบัติจริงๆ ถ้าคุมสอนตัวเองจริงๆ ถ้าพิจารณาอัตภาพร่างกายก็จะเห็น พิจารณาอยู่อย่างนั้น เอาซิ ๒๔ ชั่วโมงไม่ให้พูด ต้องเกิดแน่ แต่นี่หัวใจมันวิ่ง ไม่หยุดวิ่งตามโลกตามสงสาร พิจารณาดูซิ ถ้าคุมเข้าจริงๆ มันต้องจับได้ เดี๋ยวมันจะเกิดอันนั้นอันนี้ นี่แหละ ถ้าพูดจริงทำาจริง มันต้องรู้จริง แต่ นี่ถ้าทำ อะไรเหลาะแหละอยู่อย่างนั้น มันไม่เห็นอะไร เหมือนคนวิ่งจะไปเห็นอะไรถนัดชัดเจน ่อารมณ์ก็ เหมือนกันนะ มันเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น มันวิ่งอยู่อย่างนั้น พอมันเกิดอารมณ์ความเจ็บปวดเข้ามา ก็มาร้องครวญคราง สิ่งที่จะใช้นำ มาแก้ไขก็ไม่มีนะ เพราะไม่ได้ฝึกการพิจารณาเอาไว้เลย การพิจารณา ให้เป็นนะตัวสำ คัญ สักพักก็จะจับจุดได้ แล้วมันจะออกอุทานเองหรอก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยสัจจ์* ทั้งนั้น ถ้าได้เห็นแล้ว กราบพระพุทธเจ้า กราบครูบาอาจารย์ กราบอยู่อย่างนั้นทั้งคืนเลยแหละ ถ้าบวชจริง เห็นจริง มันจะมาประมวลหรือรวบรวมมาเกิดที่ใจของเรานี่แหละ ให้พากันเร่งความพากความเพียร อย่าไปเล่น เจอกันนะหยอกกัน มีแต่เรื่องโลกทั้งนั้น จะไปเห็นอรรถเห็นธรรมนะยากที่สุด บวชมีหลาย ประเภทนะ บวชสนุกเฮฮาก็มี เลิกกัน ปวดขามาก * อริยสัจจ์ คือความจริงอันประเสริฐ, ความจริงที่ทำ ให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มี ๔ อย่าง ๑. ทุกข์ (ความทุกข์, สภาพที่ทนได้ยาก, ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก) ๒. สมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์, สาเหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) ๓. นิโรธ (ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป, ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำ จัดอวิชชา) ๔. มรรค (ปฏิปทาที่นำ ไปสู่ความดับแห่งทุกข์, ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มัชฌิมาปฏิปทา) 284
กัณฑ์ที่ ๕๘ บริกรรมพุทโธด้วยสติ เป็นอย่างไรภาวนา ถ้านอนหลับไม่ได้นะ มีแต่จะแก่ชราเข้าไปเรื่อยๆ ความตายมันจะมาถึงวันไหน ก็ไม่รู้นะ อาตมาเองก็ถูกบีบคั้นอยู่ทุกวันนี้แต่ก็อดทนเอา จะทำ อย่างไร ขาตัวเองก็แบกหามไปโรคของคนแก่ ใกล้ความแก่ความเจ็บความตายเข้าไปทุกที มันเป็นโรคประจำธาตุ จะทำ อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านว่า เกิดแก่เจ็บตายก็มีเท่านั้น จะไปฝืนธรรมชาติไม่มี เอาไปพิจารณาใคร่ครวญนะ เมื่อได้ฟังแล้ว ถ้าความจริงแท้ๆ แล้วมันเป็นวิปัสสนา เป็นรู้จริงเห็นจริง แตกออกไป มันจะเห็น ด้วยตัวเองหรอก มันไม่ได้เหมือนฟังมา ไม่ได้เหมือนดูตามตำ ราหรอก มันรู้ขึ้นเอง รู้จริงเห็นจริงนะ ก่อนท่านจะตรัสรู้นะ พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติมา ไม่มีครูไม่มีอาจารย์นะ พิจารณาดูซิ ถ้าจิตมันไม่สงบ ก็เอาพุทโธซิ เข้ากำากับจิตใจตัวเอง อย่าเอาทางโลกทางสงสาร มาคิดมาคำ นึงในจิตใจ ให้อยู่กับพระสูตร อยู่กับ พุทโธ อยู่กับพุทธคุณธรรมคุณเอามาท่องนะ ถ้าเรื่องคิดจะมาเล่นๆ หัวๆ มันไม่เห็นอะไรนะ มันไม่ต่าง กับโลกเขานะ นั่งภาวนาเข้าไป ก็ไม่ปลง เอาลูกเอาเมีย เอานั่นเอานี่ไปคิด มันก็เลยไกลคำ สอนของ พระพุทธเจ้า แล้วมันจะไปเห็นอะไร พระพุทธเจ้าท่านเดินทางหนึ่ง ตัวผู้ปฏิบัติตามกลับเดินไปอีกทางหนึ่ง คิดไปมีแต่ปรุงแต่แต่ง พอปรุงเข้าไปก็ร้อนนะซิ เพราะเอาไฟมาเผาตัวเอง ถ้าไม่โกรธคนอื่น ก็โกรธตัวเอง แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เบียดเบียนตน ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นนะ มันไม่ปลงตามธรรมของ พระพุทธเจ้า ถ้าไม่ยอมปลง ไม่ยอมปล่อยวาง มันก็ไม่เห็นนะ ทำ อย่างไรมันถึงสงบ ก็ต้องทำ ต้องฝึกลงไป ความสงบนะมันเป็นความสุข ถ้าไม่เห็นความสงบ เสียก่อน มันไม่เห็นธรรมหรอก เข้าบริกรรมพุทโธให้มันสงบดูซิ เรื่องอารมณ์ทางอื่นไม่มี ถ้ามันสงบแล้ว มันไม่คิดไปทางโลกนะ มีแต่คิดไปทางธรรมเท่านั้น มันจะเกิดแสงสว่างขึ้นนะ ถ้าจับหลักได้อย่างพ่อแม่ ครูจารย์ท่านพูดให้ฟังว่า บวชแล้วได้ไปดูพุทธสถานได้เห็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า ท่านได้ตรัสรู้ที่นั่นที่นี่ เกิดอยากภาวนาขึ้นมา ท่านว่าไปถามท่านเจ้าคุณเป็นพระครูอยู่จุฬาฯว่า อยากภาวนา ท่านบอกว่าพุทโธ ท่านว่าให้บริกรรมพุทโธๆ เข้า พอจิตสงบเกิดแสงสว่างขึ้น คล้ายกับแหที่ใช้ทอดแผ่ลงในน้ำ แล้วค่อยๆ ดึงขึ้นมา มันก็หุบเข้าหากัน ท่านเลยจับหลักได้ มันเกิดอย่างนั้นนะ แต่พวกเรามันไม่ได้หลักอะไรนะ จิตใจโลเลเหมือนไม้พาดรั้ว ลมมาทางไหนก็ไปทางนั้นนะ เดี๋ยวก็ ไปทางโลก เดี๋ยวก็ไปทางธรรม มันไม่เที่ยงนะ ตัวเองทำ ไม่จริงแล้วก็ไปกล่าวตู่ศาสนาว่าไม่จริงนะ ทำ อะไร ต้องทำ ให้มันจริงนะ ปฏิบัติใช้สัจจะมัดตัวเองซิ ตัวเองนะต้องฝึกตัวเอง ถ้าให้ผู้อื่นฝึกแล้ว โกรธให้ผู้อื่น ว่ากล่าวแล้วโกรธ ตัวเองนะสอนตัวเอง ทำ อย่างไรมันถึงจะดี ก็ต้องทำ ต้องฝึกตัวเองจนดี มันถึงจะเกิดผล ก็เหมือนเขาเรียนมา เขาก็มาฝึกงาน เรียนมาแล้วก็ไปหาสมัครงานที่นั่นที่นี่ ไม่ใช่แต่ทางโลกนะ ทางธรรมก็เหมือนกัน พวกเรานี้มันโลเลนะ ถ้าได้พบกัน ก็ร่าเริงเหมือนนกเอี้ยง เอาแต่เรื่องทางโลกนะ 285
พระธรรมเทศนา มาคุยกัน เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่มีหรอก มาคุยกันแล้วมันจะไปเห็นอะไร มันเป็นอย่างนั้นนะโลกนี้ เรื่อง กิเลสมันเป็นอย่างนั้นนะ แต่เรื่องธรรม มันไม่เป็นหรอก ถ้าทำ งานทางใจเป็นแล้ว ภาวนาเป็นแล้ว มันไม่อยากสนใจกับใครนะ เพราะมันทำ งานทางใจแล้วนะ มันค้นคิดพิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ มันหนีวิ่งเข้าป่าเข้าเขานู่นแหละ หลบหลีกหมู่พวก อย่างหลวงปู่มั่น ท่านไปอยู่คนเดียว พอมีหมู่พวกตามไป ท่านก็เทศน์ให้ฟัง แล้วก็ให้ไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ท่านไม่ให้อยู่กับท่าน ถึงขนาดนั้นนะ เพราะท่านทำ งานอยู่นะเสียเวลา ดูคนภาวนาดีๆ นั้นดูไม่ยากนะ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เท่าไหร่นะ ถ้าคนภาวนาไม่เป็น มีแต่สนุกสนานไป พอหยอกกันหน่อยก็ทะเลาะกันแล้ว ไม่ต่างอะไรกัน กับสัตว์นะ ไม่ได้มาเรียนเป็นพระเป็นเจ้าอะไรกันนะ เลิกกัน ปวดขามาก 286
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ ธรรมทานชนะทานทั้งปวง (ขุททกนิกาย สุตตันตปิฎก ๒๕/๖๓) สื่อธรรมะ ต่างๆ CD-MP3 รายชื่อกัณฑ์เทศน์ โดย. หลวงปู่ลี กุสลธโร MP3 ๐๑. หลงกิเลส หลงสมมุติ ๐๒. ฝึกตนเองเป็นสิ่งสำ คัญ ๐๓. ฝึกสติให้อยู่กับจิต ๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๐๔. ตนเองต้องฝึกหัดตนเอง ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๐๕. พิจารณากาย ๕ มิถุนายน ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๐๖. มีแต่ดีกับชั่วที่ฝากโลกไว้ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๐๗. ฝึกหัดสังเกตตนเอง ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๐๘. ให้อยู่กับพุทโธ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๐๙. มาศึกษาหรือมาทำ ลาย ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๑๐. มัวจับปลานอกสุ่ม ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๑๑. สติอยู่กับลมหายใจ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๑๒. ให้ดูหัวใจเจ้าของ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๗(ค่ำ ) ๑๓. เวลา ๒๔ ชั่วโมง ให้อยู่กับพุทโธ (ปี ๒๕๓๘) ๑๔. สถานที่น่ากลัวทำ ให้ภาวนาดี ๒๗ มกราคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๑๕. เห็นธรรมด้วยสัญญา หรือด้วยปัญญา ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๑๖. กรรม ๑๑ เมษายน ๒๕๓๘ ๑๗. ใจมันคอยวิ่งตามกิเลส ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ๑๘. แก้อารมณ์จากใจ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ๑๙. เป็นพระให้เป็นนักเสียสละ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๒๐. ให้ฝึกความสงบ กรกฎาคม ๒๕๓๘ ๒๑. เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘ ๒๒. ส่งเสริมการปฏิบัติ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๒๓. ให้พากันตั้งใจภาวนา ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๘ ๒๔. ทำ ให้จริง ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๒๕. สะสมบ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๘ ๒๖. การกระทำ สำ คัญที่สุด ๗ สิงหาคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๒๗. ถ้าหากกลัวตาย ธรรมะเกิดไม่ได้ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๒๘. มีแต่ความจำ ความจริงไม่มี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๒๙. ให้สำ รวจดูใจตนเอง ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๓๐. ทรมานกิเลสตนเอง ๕ กันยายน ๒๕๓๘(ค่ำ ) ๓๑. เรื่องกบกินเดือน ๒๓ กันยายน ๒๕๓๘ ๓๒. ดูแต่ตำ ราไม่ดูใจตนเอง(เรื่องภพชาติ) ๑ ตุลาคม ๒๕๓๘ ๓๓. สอนพระให้เป็นพระ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ ๓๔. โทษแต่ศาสนาไม่จริง ใจตัวเองมันไม่จริง (ในพรรษาปี ๒๕๔๑) ๓๕. บริกรรมพุทโธ ๆ อย่าให้เผลอ (อบรมพระปี ๒๕๔๒) ๓๖. เรื่องผ้า (สมัยก่อน) ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ๓๗. ทำ วัตรคารวะหลวงปู่ลี ๘ กันยายน ๒๕๔๔ ๓๘. อานิสงส์สวดทิพยมนต์ ๙ กันยายน ๒๕๔๔ ๓๙. เรื่องที่คุยกับลูกศิษย์ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๔ 287
กุสลธโรวาท (โอวาทธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร) พระธรรมเทศนา (ภาษาอีสาน) “...บ่ทันนาน คั่นจิตเป็นปัจจุบันอยู่ฮั่น บ่เห็นแนวหนึ่งต้องแนวหนึ่งหละ มันซิเกิดเฮ็ดให้มันเป็น ปัจจุบัน อดีตที่ล่วงมาแล้ว ก็อย่าไปคำ นึงเลย มันก็ออกไปจากปัจจุบันนั่นหละ อนาคตคือกัน มันออก ไปจากปัจจุบันนี่ละ อย่าไปคำ นึงมันเลย คุมมันเข้าเบิ่ง ให้เบิ่งหัวใจเจ้าของนั่นละ อย่าไปเบิ่งหัวใจผู้อื่น... คั่นคุมเจ้าของแท้ๆ ต้องเห็น คั่นพิจารณาสภาพร่างกายก็พิจารณาอยู่ฮั่น แต่พื้นเท้ามาศีรษะ แต่ศีรษะ ลงมาพื้นเท้า ให้พิจารณาอยู่ฮั่น เอาแหมะ ๒๔ ชั่วโมงนี่ บ่ให้มันปากมาเลย ต้องเกิดแน่... อันนี้หัวใจ มันแลนอยู่นำ โลกนำ สงสารพุ่น มันบ่ปักมั่น แล้วซิเห็นหยังฮั่น คือกินข้าวเนี่ย กินนอนอยู่ ย้ายไปนั่น นอนอยู่ก็ไปฮั่น นอนก็ไปนี่ เลยบ่อิ่มจักที นี่เรื่องมัน เอ้า พิจารณามันซิ คั่นคุมเข้าแท้ๆ มันซิต้องจับได้เงื่อน เดี๋ยวมันซิเกิดอันนั้นเกิดอันนี่โลด นี่เฮ็ดจริงทำ จริงมันต้องรู้จริง... ไอ้ พิจารณาโตนี่ละ โตสำ คัญ ถ้าหากว่าได้จับจุดได้ละ เออ มันซิออกอุทานบัดทีนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยสัจทั้งนั้น... คั่นตีแตก อริยสัจนี่ได้แล้ว ฮ่วย กราบพระพุทธเจ้ากราบครูอาจารย์ โอ๊ย มันก็กราบอยู่จังซั่นหละ หมดคืนหละนี่ เพิ่นเว้าจริงเฮ็ดจริง มันซิประมวลมาหมดดอก อันพระพุทธเจ้าเพิ่นเห็นนะ มันซิมาเกิดจากใจเฮานี่ละ... ให้พากันเร่งความพากความเพียร...” (ภาษาภาคกลาง) ไม่นานถ้าจิตเป็นปัจจุบันอยู่นั่น ไม่เห็นอย่างหนึ่งต้องเห็นอย่างหนึ่งแหละ มันจะเกิดก็ทำ ให้มันเป็น ปัจจุบัน อดีตที่ล่วงมาแล้วก็อย่าไปคำ นึงเลย มันก็ออกไปจากปัจจุบันนั่นแหละ อนาคตเหมือนกัน มัน ออกไปจากปัจจุบันนี่แหละ อย่าไปคำ นึงมันเลย คุมมันเข้า ดูให้ดูหัวใจตัวเองนั่นแหละ อย่าไปดูหัวใจผู้อื่น ถ้า คุมตัวเองจริงๆ ต้องเห็น ถ้าพิจารณาสภาพร่างกาย ก็พิจารณาอยู่นั่น แต่พื้นเท้ามาศีรษะแต่ศีรษะ ลงมาพื้นเท้า ให้พิจารณาอยู่นั่นรอบอยู่นั่น เอาซิ ๒๔ ชั่วโมงนี้ ไม่ให้มันพูดเลย ต้องเกิดแน่ แต่นี่หัวใจ มันวิ่งอยู่กับโลกกับสงสารนู่น มันไม่ปักมั่นแล้วมันจะเห็นอะไรกัน คือกินข้าวเนี่ย กินนอนอยู่ ย้ายไปนั่น นอนอยู่ก็ไปนั่น นอนก็ไปนี่ เลยไม่อิ่มสักที นี้เรื่องมัน เอาพิจารณามันซิ ถ้าคุมเข้าจริง ๆ มันจะต้อง จับด้วยเงื่อน เดี่ยวมันจะเกิดอันนั้นอันนี้โลด นี่ลงมือจริงทำ จริง มันต้องรู้จริง ให้พิจารณาตัวนี้แหละ ตัวสำ คัญ ถ้าหากว่าจับจุดได้แล้ว มันจะออกอุทานทันที อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยสัจทั้งนั้น ถ้า ตีแตกอริยสัจนี้ได้แล้ว กราบพระพุทธเจ้ากราบครูบาอาจารย์ มันก็กราบอยู่อย่างนั้นแหละหมดทั้งคืนนะ นี่ ท่านพูดจริงทำ จริง มันจะประมวลมาหมดหรอก ที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นนะ มันจะมาเกิดจากใจเรานี่ละ ให้พากันเร่งความพากความเพียร 289
พระธรรมเทศนา “ เรื่องกิเลสมันยุ่งมันหนาจริงๆ นะ ไปทำ เล่นๆ ไม่ได้หรอก ” “ มัจจุราชมันไล่เข้าๆ แล้วนะ มันบีบเข้าๆ อยู่นั้น คนเรานี้มันก็เท่านั้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิดอยู่อย่างนั้น มีแต่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านไม่มีอุปาทาน ความยึดมั่น ” จิตตวิญญาณอันนี้มันอันเดียวกันหมด มันรู้จักดีรู้จักชั่วเหมือนกัน รู้จักบาปรู้จักบุญเหมือนกัน แต่เสวยกรรมของเขานั่นล่ะ เขาทำ มาอย่างนั้นก็เสวยตามวิบากกรรม จิตอันเดียวกันต่างแต่กายเท่านั้น ” ถ้าเราเอาไปใคร่ครวญ เอาไปเป็นคติตัวอย่าง เอาความพากความเพียร ฟังไปก็ไม่เอาไปพิจารณา ไปกำกับจิตเจ้าของนั้นมันก็ไม่เกิดผลนะ มันเอาแต่ความจำ ความจริงมันไม่เกิดกับใจเจ้าของ มันก็ไม่สิ้น สงสัย เหมือนกันกับเราเดินทางนั่นล่ะ เราไปเห็นแล้วใครจะมาเถียงคัดค้านไม่ได้ เพราะได้ไปเห็นมาแล้ว ให้พากันดูตัวเองอ่านตัวเองการภาวนามีเท่านั้น ถ้าออกจากใจแล้วไม่มีที่รู้นะกิเลสตัณหามันอยู่ที่นี่ (องค์หลวงปู่ปรารภถึงพระที่ทำ ไม่ดีแล้วไปตกนรก ดังนี้ว่า) เขาเอาผ้าเหลืองออกก่อนเพราะ ผ้าเหลืองไม่ได้ทำ ผิด แล้วพาดไว้ที่เส้นลวด เส้นลวดมีขนาดเท่ากับลำ ตาล จนรับน้ำ หนักผ้าจีวรไม่ไหว แต่ละพุทธันดร สุดท้ายก็เลยขาด โยมเขาทานผักเส้นหนึ่ง ยกมือสุดศอก จะเอาบุญที่ไหนให้เขา อย่ากินของชาวบ้านอยู่โดยความ ประมาท ถ้าหากเป็นพระ ให้ปฏิสังขาโยก่อน ไม่สามารถจะให้บุญเขาได้ อย่างน้อยจะต้องมีศีล พิจารณา ปัจจัย ๔ (๑.จีวร ๒.อาหารบิณฑบาต ๓.เสนาสนะ ๔.ยารักษาโรค) (ใช้หนี้ค่าข้าว และน้ำของญาติโยม ไม่ได้ ผลของกรรมเลยกลายเป็นควายตู้ ไถนารับใช้ให้เขา) คิดหมิ่นเหม่ไม่ได้ อุปมาเปรียบเหมือน “ขาหนึ่งเหยียบประตูพระนิพพาน อีกขาข้างหนึ่งเหยียบ ปากกระทะทองแดง สามารถจะตกนรกได้ภายในฉับพลัน” สำ หรับชีวิตนักบวช ถ้าทำ ดีก็ได้บุญมาก ถ้าทำชั่วก็ได้บาปมาก การภาวนาให้จิตอยู่กับปัจจุบัน ให้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน ตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยไม่ให้เผลอ จิตจะรวม ถ้าจิตรวมแล้วถึงจะพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ได้ผล อานิสงส์การสวดพระปาฏิโมกข์ สามารถช่วยบุพการีบิดามารดาได้ อานุภาพของการสวด พระปาฏิโมกข์แรงสุดๆ แรงมากจริงๆ 290
ภาพถ่าย ณ ศาลาใหญ่หน้าวัดป่าบ้านตาด ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ 291
พระธรรมเทศนา อยากได้คะแนนแต่ไม่ยอมอ่านหนังสือ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ มีดาบตำ รวจนายหนึ่ง อยากจะไปสอบเลื่อนขั้น เพื่อเป็นนายตำ รวจ ชั้นสัญญาบัตรตามวาระโอกาส จึงได้มากราบเรียนขอความเมตตาจากองค์หลวงปู่ลี ดาบตำ รวจคนนั้น จึงได้กราบเรียนแด่องค์หลวงปู่ว่า ดาบตำ รวจ : หลวงปู่ครับผมอยากจะไปสอบนายตำ รวจชั้นสัญญาบัตร ไม่ทราบว่าผมจะสอบได้ไหมครับ หลวงปู่ลี : มันจะได้ยังไง หนังสือไม่ยอมอ่าน อยากจะได้แต่คะแนน (เรื่องนี้นับว่าเป็นคติสอนใจได้อย่างดีแก่เหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ทุกคน ที่มีครูบาอาจารย์ช่วย ชี้แนะบอกหนทางที่ถูกที่ควร ไม่ให้เราลืมตัว มัวมองหาแต่สิ่งไกลตัว ไม่ยอมมองสิ่งใกล้ตัวเรา และต้อง รู้จักพึ่งตนเองก่อนอื่นเป็นอันดับแรกก่อนที่จะไปพึ่งบารมีครูบาอาจารย์) เจิมรถให้ดีต้องเจิมคนขับ ครั้งหนึ่งมีญาติโยมได้ซื้อรถใหม่ ด้วยความดีใจจึงคิดจะไปกราบหลวงปู่ลี ที่วัดภูผาแดง เพื่อขอ ให้หลวงปู่เมตตาทำ พิธีเจิมรถให้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่รถคันดังกล่าวนี้ เมื่อไปถึงวัดภูผาแดง ได้กราบ เรียนหลวงปู่ตามเจตนาที่ตนคิดเอาไว้แต่ต้น จากนั้นหลวงปู่จึงได้เมตตาให้โอวาทธรรมเตือนสติว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์ไม่พาทำ เราไม่ทำ อย่างนี้ การใช้รถจะดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่คนขับต่างหาก ถ้าหากว่า เราขับดีมันก็ปลอดภัย ” อานิสงส์สวดทิพยมนต์ (๙ กันยายน ๒๕๔๔) โยม : ขาหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง? หลวงปู่ลี : ขากับเอวก็ปวด เขาว่าเป็นโรคชราไปหาหมอเขาก็ว่า น้ำ มันไขข้อมันแห้งมันสึกหรอ แล้วก็เลยไม่ไปหาหมอสักที โยม : แล้วเริ่มดีขึ้นแล้วหรือคะ? หลวงปู่ลี : ก็พอไปได้มาได้มีหมู่พวกมาตั้งยาให้เดี๋ยวนี้เป็นยาประคบ ทั้งประคบทั้งนวดด้วย อาการดีขึ้นมากแล้ว โยม : หลวงปู่คะ อย่างลูกศิษย์ที่ไปสวดมนต์ถวายท่านพระอาจารย์วันชัย ตอนเย็นนี้ได้หรือไม่คะ? หลวงปู่ลี : ได้หมดนั้นแหละ สวดบ่อยๆ ยิ่งดี จิตใจของเราก็สบายนะ สวดมนต์ อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาวนี้สวดมนต์เป็นชั่วโมง 292
ขอความไม่มี จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้า ครั้งหนึ่งในสมัยก่อน หลวงปู่ลี ได้พาลูกศิษย์ในวัดไปเก็บมะกอกป่า เอาถังเหลืองไปด้วยเพื่อใส่ มะกอกป่า ปรากฏว่า ได้มะกอกป่ากลับมาเยอะพอสมควร จากนั้นองค์หลวงปู่ก็บอกกับลูกศิษย์ว่า เอ้า อยากได้อะไรก็อธิษฐานเอา ลูกศิษย์เกิดความสงสัยว่า แค่เก็บมะกอกป่า อุตส่าห์มาเก็บ ก็ไม่ได้ เตรียมอะไรให้ยุ่งยากสักเท่าไหร่ มะกอกเราก็ไม่ได้ปลูก แล้วจะได้บุญมากขนาดไหนหนอ จึงได้กราบ เรียนถามองค์หลวงปู่ว่า อย่างเช่นอะไรครับ หลวงปู่ลี เมตตาสอนว่า เช่น “ขอความไม่มี จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้า” (การทำ บุญ ไม่ใช่ลักษณะทุนนิยม ไม่ใช่การลงทุน ผลบุญจะได้มากหรือน้อย สำ คัญที่เจตนาคือแรงศรัทธา และความตั้งใจเป็นใหญ่ ผลบุญที่สนองกลับมานั้นมากมายมหาศาลขนาดไหน เหตุการณ์นี้จึงทำ ให้ลูกศิษย์ได้คติเตือน ใจว่า องค์หลวงปู่ท่านเคยให้สร้างกระต๊อบเล็กๆ ไว้สำ หรับให้พระพักภาวนาบนภูผาแดง บางทีอานิสงส์ผลบุญอาจ จะได้มากกว่าคนที่สร้างตึกสูง ๑๐ ชั้น แต่แรงศรัทธาของเขาอาจจะยังไม่เต็มร้อยก็ได้) ถูกดุด้วยเหตุผล ครั้งหนึ่งในอดีตสมัยที่องค์หลวงปู่ลี ท่านเคยอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดกับพ่อแม่ครู อาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในบางครั้งที่หลวงปู่ลีถูกองค์หลวงตาดุอย่างแรง ส่วนลูกศิษย์ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงเกิดความสงสัยว่า ทำ ไมองค์หลวงตาถึงดุหลวงปู่ลี ทั้งๆ ที่หลวงปู่ลีท่านเป็นพระ สุปฏิปันโนแล้ว องค์หลวงตาก็มักจะพูดชมคุณธรรมของท่านเสมอ และมักจะเรียกท่านว่า ธรรมลี ถ้าท่านดุพวกเราคนมีกิเลสก็เพื่อให้มีความเพียร ให้เกิดมรรคผล ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับ หลวงปู่ก็ขนาดนี้แล้ว ไม่ทราบว่าองค์หลวงตา จะดุหลวงปู่ทำ ไมอีก ดุพวกผมก็อยากให้มีความเพียร อยากให้เห็นธรรม ให้มีความรู้ ให้มีสติปัญญา หลวงปู่ลี : อ๋อ เหตุผลของท่านเหนือเรา ท่านก็ยังดุเราได้อยู่ (ยกตัวอย่าง เช่น มีคน ๒ คน เถียงกันว่า บนภูเขานี้มีช้าง ๓ เชือก อีกคนบอกว่า มี ๕ เชือก แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านรู้ละเอียดกว่า กว้างขวางรอบคอบกว่า ท่านก็พูดฟันธงได้เลยว่า ไม่ใช่ผิด ทั้งสองคนนั่นแหละ สรุปคือมี ๑๐ เชือก ) 293
พระธรรมเทศนา นกยูง วิธีสังเกตนกยูงไทยและนกยูงอินเดีย นกยูงไทย ขนที่หัวมันจะเป็นกระจุก ส่วนนกยูงอินเดีย ขนที่หัวมันจะเป็นลักษณะแบน ๆ หลวงปู่ลี พูดขึ้นว่า นกยูงไทยกับนกยูงอินเดียมันไม่ผสมพันธ์ุกันนะมันรักตระกูล มันหยิ่งในตระกูล มันไม่เหมือนคน... (เรื่องนี้เป็นคติและข้อคิด เช่น คนไม่รักในตระกูลไม่หยิ่ง ในตระกูลพอเห็นชาวต่างชาติแล้ว คิดว่าเขาจะรวยมีเงินมีทอง ก็รีบกระโดดใส่เลย) กราบกระดูก ครั้งหนึ่งหลวงปู่ลีท่านไปเยี่ยมเยือนครูบาอาจารย์ ณ วัดถ้ำ เกีย อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เป็นวัดของหลวงปู่มี ปมุตฺโต ซึ่งเป็นพระพี่ชายขององค์หลวงปู่ลี จากนั้นท่านก็เดินไปดูธาตุที่ใส่กระดูก คนตายต่างๆ ที่วางตั้งเรียงรายกันอยู่ตามลานหิน ซึ่งมีจำ นวนค่อนข้างมาก เมื่อท่านเห็นดังนั้น องค์หลวงปู่ก็ได้ปรารภขึ้นว่า พวกนี้มันกราบกระดูกกัน เมื่อลูกศิษย์ได้ยินดังนั้นจึงพูดเสริมขึ้นว่า ลูกหลานเขาเคารพบรรพบุรุษ เขาก็อยากมีธาตุเอาไว้ใส่ กระดูกเพื่อเป็นเครื่องหมายสำ หรับเอาไว้เคารพ สักการะ หลวงปู่ลี เมตตาสอนว่า รำ ลึกถึงคุณงามความดี ก็รำ ลึกอยู่ในใจซิ (ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เราอย่าไปมุ่งสร้างแต่วัตถุ แต่เราเป็นการสร้างวัตถุมาอวดอ้าง เปลืองเนื้อที่และเป็นการสิ้นเปลืองเงินทอง) 294
ตาทิพย์ หูทิพย์ ลูกศิษย์หลวงปู่ลีได้ไปนวดเส้นถวายหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ที่วัดภูริทัตปฏิปทาราม อำ เภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ทีนี้หลวงปู่เจี๊ยะ ได้ปรารภขึ้นมาทำ นองว่า พระอาจารย์จันทร์เรียนเหาะได้ คล้ายๆ ว่าท่านมีฤทธิ์ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ต่อมาลูกศิษย์ก็เลยกลับมาเล่าให้หลวงปู่ลีฟังตามที่ได้ยินจากหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่ลีก็เลยบอกว่าหูทิพย์ ตาทิพย์ มันจะไปยากอะไร ตื่นเช้ามาใครจะมาวัดกี่คนมันก็รู้หมดแล้ว ไม่แสดงตัวไม่แสดงออกหรอก เพราะถ้าโยมเขารู้เขาจะมาขอให้ดูนั่นดูนี่ เดี๋ยวคนจะมากวน จากนั้นท่าน ก็เล่าเรื่องหลวงปู่ชอบ ฐานสโม มาประกอบให้ฟัง ครั้งหนึ่งหลวงปู่ชอบท่านไปธุดงค์อยู่แถวริมแม่น้ำ โขงทางฝั่งไทย ท่านนั่งภาวนาแล้วนึกอยากไป เที่ยวฝั่งลาว ทีนี้พญานาคก็เลยมากราบท่านแล้วบอกว่า ถ้าหลวงปู่อยากจะไปเที่ยวทางฝั่งลาว พรุ่งนี้ เช้าฉันจังหันเสร็จขอนิมนต์ให้หลวงปู่ไปที่ท่าน้ำ นี้ผมจะคอยอยู่ พอรุ่งเช้าหลวงปู่ชอบก็ไปตามคำ นิมนต์ ของพญานาค เมื่อถึงที่ท่าน้ำก็มองเห็นจระเข้ใหญ่มันลอยตัวอยู่ แต่แผ่นหลังโผล่ขึ้นมาพอปิ่มน้ำ นิดหนึ่ง จากนั้นหลวงปู่ชอบท่านก็ได้เหยียบขึ้นบนหลังจระเข้ แล้วจระเข้ตัวนั้นก็พาหลวงปู่ลอยไปแบบนิ่มๆ ช้าๆ เพื่อจะพาข้ามไปส่งยังฝั่งลาว พอชาวลาวมองเห็นเหตุการณ์อย่างนั้น เขาก็เลยคิดว่าหลวงปู่ชอบเดินบน น้ำ ได้ คนก็ยิ่งแตกตื่นกันมาเฝ้าหลวงปู่ชอบทั้งวันทั้งคืน เพราะถือว่าท่านเป็นผู้วิเศษ เมื่อมีผู้คนมารุมเฝ้า ท่านมากๆ สถานที่อยู่จึงไม่ค่อยสัปปายะท่านก็เลยตัดสินใจธุดงค์ต่อไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ณ สถานที่แห่งนี้มีผีเจ้าที่มาเข้าฝันท่าน บอกเรื่อง ไหทองคำ ว่าได้เอาฝังอยู่ที่ใต้ต้นไม้นี้ แต่ก่อน ยังไม่มีต้นไม้แต่ต้นไม้นี้มันมาเกิดทีหลังเพราะฝังสมบัติไว้นานแล้ว ขอให้หลวงปู่ช่วยบอกลูกหลานให้ด้วย ลูกหลานชื่อนี้นามสกุลนี้ ให้มาเอาไหทองคำ ไปผมจะได้ไปเกิดเสียที ด้วยความเมตตาของหลวงปู่ชอบ ท่านก็ไปถามคนในบ้านหลังนั้นว่า โยมมีญาติชื่อนี้นามสกุลนี้ไหม โยมเขาก็ตอบว่า มีครับ หลวงปู่ชอบ: นั่นแหละ วิญญาณของบรรพบุรุษเขาบอกว่าให้โยมไปเอาไหทองคำ ที่เขาฝังเอาไว้ แล้วเขาจะได้ไปผุดเกิด จากนั้นต่อมาโยมก็ได้ไปขุดเอาไหทองคำ ตามที่หลวงปู่ชอบท่านบอก ปรากฏว่า เจอไหทองคำ จริงๆ ทีนี้คนทั้งหมู่บ้านก็พากันแตกตื่นเยอะเต็มไปหมด หลั่งไหลมาเฝ้าท่านทั้งวันทั้งคืน (หลวงปู่ลี ท่านเล่าทั้ง ๒ เรื่องนี้ให้ลูกศิษย์ฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่า ครูบาอาจารย์ท่านจึงไม่พยายามทำ ตัวเป็น ผู้วิเศษ ไม่ทำ ตัวเป็นผู้มีตาทิพย์หูทิพย์ เดี๋ยวคนก็จะหลั่งไหลมากวนเยอะ วันหนึ่งๆ ไม่มีเวลาได้พักผ่อน ท่านบอกว่า ความเกี่ยวข้องของคนมันเหมือนใยบวบ ญาณหรือความรู้ วาระจิตที่ท่านเห็น ท่านรับรู้ได้เหมือนใยบวบนั่นแหละ แต่ท่านไม่พูด) 295
พระธรรมเทศนา อยากสวยเหมือนมาลัย ณ วัดป่าบ้านตาด ตอนนั้นกำ ลังถมกำแพง หลวงปู่ลีก็ได้มาพัก อยู่กุฏิต้นสะเดา แล้วท่านเดินไปดูที่ถมดิน ไม่ได้อยู่อาสนะที่นั่งขององค์ท่าน มีโยมอุบาสิกาคนหนึ่ง มีความศรัทธาในองค์หลวงปู่ได้นำ พวงมาลัย ที่สวยงามมากและทำ มาอย่างดี เขาได้นำ มาถวายแด่องค์หลวงปู่ โดย มาวางไว้ที่อาสนะของท่าน แล้วก็กลับไป พอหลวงปู่กลับมาถึงที่อาสนะ จึงมองเห็นพวงมาลัยที่เขามาวางเอาไว้ จึงได้ปรารภว่า ประสาของแค่ นี้ก็เอาถวาย ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิด จึงได้กราบเรียนว่า หลวงปู่ ผู้หญิงเขาก็อยาก สวยอยากงาม จึงได้ถวายของที่ละเอียดประณีตครับผม หลวงปู่ลี เมตตาสอนว่า อยากสวยอยากงามก็ให้รักษาศีล ภาวนาซิ (คติข้อคิดที่ได้ คือ ครูบาอาจารย์ท่านสอนไม่ให้สาธุชนไปยึดติดในวัตถุภายนอกมากเกินไป ไปหลง ความสวยงามของดอกไม้จนลืมเรื่องสำ คัญคือ การรักษาศีลเจริญเมตตาภาวนา) ให้มองดูตนเอง ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ได้ติดตามองค์หลวงปู่ลี ไปธุระต่างจังหวัด ระหว่างทางบังเอิญลูก ศิษย์ได้มองไปเห็นสามเณร ๒ องค์ รูปร่างดีลักษณะท่าทางดีกำ ลังถือปิ่นโตเดินผ่านหมู่บ้านเพื่อที่จะ กลับวัดในระหว่างเวลาก่อนเพล สามเณรนุ่งแต่อังสะไม่ได้ห่มจีวร ดูกิริยาไม่ค่อยเรียบร้อยงามตาตาม แบบอย่างของครูบาอาจารย์ จึงได้แต่นึกตำ หนิในใจ และได้กราบเรียนองค์หลวงปู่ลี ว่า หลวงปู่ครับ สามเณร ๒ องค์นี้รูปร่างดีท่าทางมีบุญ ถ้าหากได้มีโอกาสอยู่ศึกษากับครูบาอาจารย์ที่ดีคงจะได้ดีกว่านี้ นะครับ หลวงปู่ลี ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า ตนเองก็เหมือนกัน ขนาดอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ท่านอุตส่าห์สอนแทบตาย มันไม่เอาก็มี ปรารถนาพุทธภูมิ มีลูกศิษย์คนหนึ่ง ขับรถพาหลวงปู่ลี ขึ้นไปชมถ้ำขาม ซึ่งอยู่ในวัดภูผาแดง พอกลับลงมาระหว่าง ทาง ลูกศิษย์จึงได้กราบเรียนถามหลวงปู่ด้วยความไม่ประสา ว่า ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับ หลวงปู่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ บ้างหรือครับ หลวงปู่ : รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี 296
แก่นขาม แก่นขาม เป็นสิ่งที่หาได้ยากและมีประโยชน์มากมายหลายอย่าง เช่น ทำกลด ด้ามมีด ด้ามขวาน ขาบาตร หรือบริขารอื่นๆ ฯลฯ ของ พระกรรมฐาน องค์หลวงปู่ลี ได้เมตตาแนะนำ ลูกศิษย์ว่า การปลูก ต้นมะขาม ให้เราคอยสังเกตดูให้ดีว่า ถ้าต้นไหนมันงอกออกจากเมล็ดตรง กับวันอังคาร แสดงว่ามะขามต้นนั้นมันจะมีแก่น ถ้าต้นไหนงอกวันอื่นแล้ว ปลูกจนตายก็ไม่มีแก่น (วันอังคาร มีความสำ คัญและมีความหมายอย่างไร ถ้าเทียบตามหลัก โหราศาสตร์แล้วถือว่า วันอังคาร เปรียบเสมือนวันนักรบ วันขุนศึก) ปลูกมะละกอ ทำ อย่างไรการปลูกต้นมะละกอ จะทำ ให้ได้ผลดก ออกลูกออก ผลเยอะๆ สมดังเจตนารมณ์ของผู้ปลูก องค์หลวงปู่ลี ได้เมตตาแนะนำ ลูกศิษย์ว่า เวลาปลูกให้เราหงายมือขึ้นบนฟ้า เพราะถ้าหากว่า เวลาปลูก เราคว่ำ มือลงข้างล่างแล้วมะละกอต้นนั้นจะไม่มีลูก ให้หงายมือขึ้น มันจะเป็นตัวเมีย ถ้าหากคว่ำ มือ มันจะเป็นตัวผู้ จะไม่มีลูก จะมีรัฐมนตรี หรือไม่ มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ได้ขับรถพาหลวงปู่ไปธุระต่างจังหวัด พอดีมองเห็นโรงเรียนกำ ลัง เลิกเรียน มีนักเรียนจำ นวนมากประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ คน ฝ่ายลูกศิษย์ที่ไปด้วยจึงได้กราบเรียนถามว่า หลวงปู่ครับทั้งโรงเรียนนี้จะมีรัฐมนตรีสักคนไหมครับ หลวงปู่ลี ปรารภว่า ไม่มีหรอก อย่างเก่งก็มีเศรษฐี (จากเหตุการณ์ทำ ให้เราได้คติและข้อคิดว่า ความรู้ของครูบาอาจารย์ ถามปุ๊บ ท่านก็จะตอบปั๊บทันที เป็น คำถามคำ ตอบอยู่ในนั้นพร้อมตลอดเวลา ไม่ต้องไปสอบถามหรือเช็คแฟ้มข้อมูล ไม่ต้องคิดนานเสียเวลา นั่งหลับตา ทั้งวันทั้งคืนหรือตอบแบบลังเลสงสัย) 297
พระธรรมเทศนา รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมขององค์หลวงปู่ลี ภาพถ่ายที่ กุฏิรับรองพ่อแม่ครูอาจารย์ บริเวณถ้ำขาม 298
เดินกลางคืนให้ส่องไฟฉาย ครั้งหนึ่งณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพมหานคร ลูกศิษย์กำ ลังเดินไปมาอยู่ใน สำ นักในตอนกลางคืนแต่ไม่ได้ส่องไฟฉาย คิดว่าจำ ทางได้และคงจะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น พอจากนั้น ก็ได้เดินสวนทางกับองค์หลวงปู่ ท่านจึงเมตตาเตือนสติว่า หลวงปู่ลี : เดินกลางค่ำกลางคืน ทำ ไมไม่ใช้ไฟฉาย ลูกศิษย์ : มันก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับหลวงปู่ หลวงปู่ลี : เอ้า แล้วสัตว์เล็กสัตว์น้อยล่ะ (องค์หลวงปู่ ท่านเมตตาสอนให้รู้จักคิด รู้จักพิจารณา ให้มีเมตตาต่อสัตว์ตัวเล็ก ๆ น้อยๆ เช่น หอยทาก มด แมลงต่างๆ เราอาจจะพลาดไปเหยียบเขาตาย ถ้าเราใช้ไฟฉายเขาก็จะได้ไม่ตายเพราะเราตัวเราเองก็ไม่ต้องลำ บากเพราะกรรมที่ไม่ได้เจตนาให้ ชีวิตสัตว์อื่นๆ ต้องตาย เรามัวแต่เป็นห่วงคิดว่าเขาจะทำ อันตรายเรา ก็เลยลืมคิดว่าเราจะไปทำ อันตรายต่อสัตว์เล็กๆ สรุปง่ายๆ คือ คนเรามันห่วงแต่ชีวิตตนเองไม่ค่อยเป็นห่วงชีวิตผู้อื่น ถ้าเป็นห่วงชีวิตสัตว์อื่นมันก็ต้องฉายไฟเพื่อป้องกันไม่ให้ไปเหยียบเขา) ปลูกมะขามเทศ ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์เก็บมะขามเทศมาถวายหลวงปู่ลี เพื่อนำ มาเพาะต้นกล้า เป็นจำ นวนมากซึ่ง ในปีนั้นองค์หลวงปู่ลีได้มาพักอยู่ที่ บ้านนาแอง อ.เมือง จ.อุดรธานี องค์หลวงปู่ลีก็เมตตาอุตส่าห์มานั่งทำช่วยลูกศิษย์ โดยการเอาดินกรอกใส่ถุงดำ พอทำ ไปนานๆ ลูกศิษย์ที่มาช่วยทำก็รู้สึกเหนื่อยล้า เริ่มจะขี้เกียจ อยากจะหาทางออก ไม่ค่อยอยากทำ ต่อจึงหาอุบาย แกล้งไปนับจำ นวนถุงต้นกล้าว่าทำ ได้มากขนาดไหนกี่ต้นแล้วเมื่อองค์หลวงปู่ท่านเห็นอย่างนั้นท่านจึงได้ เมตตาเตือนสติว่า หลวงปู่ลี บอกว่า จะไปนับทำ ไม ให้ทำ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็เสร็จหรอก (หมายความว่า ท่านสอนเราว่า อย่าไปมัวมองอดีต อนาคต ให้สนใจอยู่กับปัจจุบันทำ ไปทีละนิดทีละหน่อยเดี๋ยวมัน ก็เสร็จได้ งานมันจะหนักมากขนาดไหนก็มีทางที่จะเสร็จได้ถ้าหากเราไม่ลดละความเพียรพยายาม) 299