พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๒๐ ปฏิปทา อุบายการภาวนา เดี๋ยวนี้มันอดอาหารอยู่ไม่หยุด สังเกตดูอยู่นี่ โดยมากมันนอนตื่นสายนะ ตอนนี้มานอนตอนเช้า ปฏิปทาท่านให้นอน ๔ ชั่วโมง ๔ ทุ่มไปแล้วให้นอน ตี ๒ ให้ลุกถึงแจ้งเลย ไม่หัดมันไม่ได้นะ ตัวเอง ฝึกตัวเองนะ ตัวเองไม่ทำ เอา ไม่ได้นะ ก็เลยไม่มีหลักอะไร อยากนอนตอนไหนก็นอน เลยไม่มีระเบียบ แล้วตื่นสายก็ไม่ค่อยบิณฑบาต ก็ว่าภาวนาเก่ง อดข้าวอวดหมู่ก็มีนะ เสริมกิเลสนะนั่น ไม่ได้จะมาเพื่อ ละกิเลสนะ ได้วันเดียวเท่านั้น การอดอาหารนี้ โอ้ย เราก็ได้ทำ มาแล้ว ฤดูร้อนนี้ ไม่ได้ผลอะไรกับตัว เอง นอนมาก ทื่อไปหมด ปัญญาไม่มี มันเผามันร้อน อากาศมันร้อน สังเกตตัวเองนะ มีแต่สังเกตนี่ การผ่อนอาหาร ๖ คำก็ได้ ให้กิน ๖ คำ เท่านั้น แล้วหยุดเลย ดัดมันขนาดนั้นะ ดัดเรื่องกิเลส ถ้าไม่ อย่างนั้น ไม่ทันมัน มันเอาไปกินหมดเลยล่ะ มันอยากนอนมาก โอ้ย..ไม่นอนแล้ว เดินจงกรมจนเช้าก็มี ไม่ขึ้นกุฏิ อธิษฐานมันใส่ อยากนอนมาก ดัดอย่างนั้นนะ ดัดตัวเอง ถ้าไม่ทำ อย่างนั้นแล้ว ถ้ามันเหนื่อยแล้ว จิตมันไม่ออกจากกายหรอก อันไหนมันจะรักตัวเอง กลับมาตัวเองหมดแล้ว ถ้ามันจวนจะตายจริงๆ นั่งสู้ดูซิ มันจะคิดไปนั่นไปนี่ ไม่ได้สู้เวทนาใหญ่ ถ้าไม่สู้แล้ว โอ้ย..ไปถึงของเก่าแล้ว ล้มแหมะเลยล่ะ ก็ไม่เท่านั้นล่ะ ถ้าไม่ชนะมัน ถ้าชนะตัวเองแล้ว มันไม่กลับกลอกนะ ชนะผู้อื่นนี่ กลับแพ้กลับกลัวอยู่อย่างนั้นล่ะ ไม่คืนแล้ว อันนี่ อะไร ทำ อะไรเหยาะๆแหยะๆ นี่ ก็ได้เท่านั้นล่ะ จะได้อะไร บวชมาเท่าไหร่ก็เท่านั้นล่ะ มืดแจ้งๆ อยู่อย่าง นี้ล่ะ ปีนั่นเดือนนี่ก็ของเก่านั่นล่ะ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็มาตรัสรู้เรื่องหลงของเก่านั่นล่ะ องค์ไหนมา เปลี่ยนกันอยู่อย่างนั้น วัฏฏะอันนี้ ตะเกียกตะกายอยู่นั่น วิ่งอยู่อย่างนี่ล่ะ วัฏฏะ ไม่มีคนไหนหรอก มีคนเดียว นอนตื่นสายแล้ว ดูลักษณะ ครั้งหลวงปู่มั่นแล้ว โอ้ย.. ผู้ใดไปเที่ยวนี่กลับมา ถามภาวนาไม่ได้เรื่องแล้ว ไล่หนีเลย อย่างนั้นนะ ลูกศิษย์ท่านมากจริงๆ นะ หลวงปู่มั่นไม่ให้อยู่เลย มาต้องมีเรื่องธรรมะมาพูดให้ท่านฟัง ถ้าผู้ใดไปต้องมีล่ะ อันนี่อะไร อยู่ก็อยู่อย่างนั้น จะประกอบความพากความเพียร มีแต่นอน มันจะได้ความอะไร แล้วมันจะ เห็นอะไร กว่าเขาจะได้เป็นเจ้าเป็นนาย เขาดูหนังสือขนาดไหน กลัวสอบไม่ได้กับเขา เรื่องภายนอก การทำ ไร่ทำ นาทำ รั้วทำ สวน มาใคร่ครวญ กับการค้าขายพวกนั้น มาคิดใคร่ครวญกับเราบวชปัจจุบัน การทำ เป็นอย่างไร เอามาสั่งสอนตัวเองดูซิ มันก็ต้องจับหลักได้แล้ว มีแต่เรื่องสุงสิงกันแล้ว ก็ไม่เกิด ประโยชน์อะไรนะ สักพักก็ไปแล้ว ไปเรื่องอดีตนู่นนะ ไปไม่พอใจ ไปกระทบอันนั่นอันนี่แล้ว ก็คืนมาแล้ว มาเผาตัวเองอยู่นั่น มันเป็นอยู่อย่างนั้น จิตใจเลยไม่เป็นกลางสักที แต่ธัมมจักรท่านก็ยังพูดให้ฟังอยู่นะ ไม่ให้เสพทาง ๒ ฝั่ง ฝั่งไหน ฝั่งรักฝั่งชังนี่ละ มาพิจารณาดูซิ มันไม่เป็นกลางนะ ท่านจะได้ตรัสรู้ท่านเป็นกลางนะ ใจท่านเป็นกลางเลย เหมือน กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตาธัมมา พวกนั้น อัพยากตาธัมมา ก็ไม่มีรักไม่มีชังนะ ถ้ามี มันกระทบกันอยู่อย่างนั้น 200
วางใจนู่นนะ เป็นแผ่นดินนู่นนะ มันถึงจะเป็นสัปปายะได้ จิตมันถึงจะรวมได้ มันจะเกิดอัศจรรย์ ได้อย่างนั้น อันนี่อะไร ทำ อะไร ดูกิริยามารยาทแล้ว มันพลิกอยู่อย่างนั้น แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ พอเลิกกัน ภาวนานะ เนื่องในโอกาส หลวงปู่ลี กุสลธโร กราบคารวะสรีระสังขาร พระเทพวิสุทธิมงคล หลวงปู่ศรี มหาวีโร ณ ศาลามหาวีระธรรมสภา วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ 201
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๒๑ ฝึกความสงบเป็นอันดับแรก อากาศมันก็เย็นขึ้นๆ นะ ฝนตก หลวงปู่เจี๊ยะท่านอยากได้กล้าไม้ยางงามๆ ก็เป็นอารมณ์ท่าน ให้พาหมู่ไปดูหนองบัวบานให้หน่อย เผื่อได้มาเพิ่มกัน แล้วแต่วาสนาท่าน ท่านว่าไม้ยางมันไม่ตาย เลยจะหา คิดไปคิดมา ผมก็ได้ไปทำกับท่านนะวัดนี้ตั้งแต่แรก พ่อแม่ครูจารย์ก็บอกให้ไปทำ ผมจะไปดึงเอาท่านเจี๊ยะมาอยู่หรอก ปีนั้นท่านมอบเงินให้ ๑๖๐,๐๐๐ ให้ไปสร้างวัด คุมพ่อออกอยู่นู่นล่ะ ตอนออกพรรษาท่านก็ไปนะ เอาพ่อออกไปด้วย ๒๐ คน เอ้า ถ้ากุฏิไม่เสร็จ ๒ หลัง ไม่ให้กลับนะ ดูเขาทำถึงกลางคืน เป็นอย่างไรล่ะ การภาวนา หมู่ตั้งไว้อย่างไร เร่งความพากความเพียร ความตายมันมาถึงเมื่อไหร่ ไม่รู้ ความพลัดพรากจากกันและกันแล้ว โอ้ย มันเป็นอยู่อย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวไปนั่น เดี๋ยวไปนี่ ธุระของ มนุษย์นี่ โถๆ ขี่รถมาถึงมีธุระ วิ่งกัน ถ้าไปติเขาก็ไม่ได้ เรามาอะไร มันวิ่งอยู่อย่างนั้น วัฏฏะตัวนี้ ความรัก ความชังเหมือนกัน ไม่มีต้นไม่มีปลายล่ะ วนอยู่นั่น เกิดภพไหนชาติไหนก็เหมือนเก่านี่ล่ะ หลงของเก่า อยู่นั่นล่ะ ไม่มีของใหม่สักอย่างล่ะ ดินฟ้าอากาศก็นี่ล่ะ พอจะสงสัยอะไร ความแก่ความเจ็บความตาย ก็เอากันอยู่อย่างนั้น วัฏฏะนี้ อยู่ดีๆ ก็ตายไป สังขารอันนี้มีแต่ชำ รุดทรุดโทรมไป พิจารณาเข้าไปซิ คิดไปคิดมา ก็มีแต่หลงหนังกันเท่านี้ล่ะ อัตภาพร่างกายนี้ ไม่มีหนังแล้ว ผู้ใดจะมาใกล้ หนังห่อเท่านั้น ม้างไปดูซิ เอาหนังออกไป มีแต่เนื้อแดงๆ หมดล่ะ ไม่มีอะไร โลกอันนี้ สกปรกเท่ามนุษย์มันจะมีหรือ อาบน้ำ อยู่ก็ได้เท่านั้น ก็จะมาเสกสรรอะไร ถ้าพิจารณาธรรมธาตุ มันไม่มีแนวข้องวัฏฏะ แล้วไปเสกไป สรรเอา การภาวนาต้องหัดความสงบซะก่อน จิตมันสงบแล้ว มันก็เป็นสมาธิได้ จะพิจารณา ก็ไปพิจารณา สัญญานั่นล่ะ มันเลยไม่เกิดกับใจ ถ้าเกิดกับใจแล้ว โอ้ย มันไม่ลืมหรอก ๒๐ ปี ๓๐ ปี มันก็ไม่ลืม มันเป็นไป การภาวนามันเกิดอยู่ที่นั่นๆ ไปอย่างนั้น มันไม่ลืมแล้ว ถ้ามันเห็นแล้วเรื่องปัญญา มันใคร่ครวญ อยู่นั่น มันไม่ออกไปนั่นหรอก ให้มันเกิดกับใจ มันถึงใจ เหมือนเราเรียนหนังสือนั่นล่ะ ทีแรกก็เขียนตัว ยาวตัวสั้น หัวยาวหางสั้นเอาอยู่อย่างนั้นล่ะ ไม่สวยไม่งามอะไรหรอก หัดเข้าๆ มันก็พอดูได้ บางครั้ง ก็จนครูจับมือเขียน นี่ก็เหมือนกัน การพิจารณา จะพิจารณาร่างกาย ก็แต่เกสาลงมาถึงพื้นเท้า แต่พื้นเท้าขึ้นมาหาเกสาดูซิ พิจารณา อยู่นั่น เร่งเข้าดูซิ ถ้าจะพิจารณาเอาปัญญาอบรมสมาธิ พ่อแม่ครูจารย์ (หลวงตามหาบัว) ท่านได้แต่ง ไว้หมดแล้ว เหตุผลมันลงกันไปแล้ว อีกหน่อยจิตมันรวมพรึบลงได้เหมือนกัน ให้พากันเร่งความพากความเพียร เดินจงกรมภาวนา โอ้ย มันสนุก เดินบนภูบนเขานู่น ฉันจังหันไปแล้ว เดินอยู่นั่น ตั้งใจทำ จริงๆ แล้ว ถ้าไม่ตั้งใจจริงๆ ไม่เห็นอะไรหรอก ไม่ว่าทางโลกทางธรรมเหมือนกันล่ะ เขาทำ ไร่ทำ นาทำ รั้วทำ สวน 202
กับเรามาภาวนา มันผิดกันอย่างไร ได้ผ่านมาเหมือนกันแล้ว มีแต่ลูกชาวนาเหมือนกัน หรือจะฝ่ายเรียน เหมือนกันล่ะ กว่าจะสอบได้เหมือนกับเขา ก็ไม่ง่าย ถ้าไม่ตั้งใจดูหนังสือก็สอบไม่ได้เหมือนเขา ความขยันนะ ความขยันหมั่นเพียรถึงจะได้ เกิดมานี่มีแต่การกระทำ ทั้งนั้นล่ะ ถ้าไม่ทำาเอา มันไม่ได้สักอย่างหรอก ทำ ดีเหมือนกัน ทำชั่วเหมือนกัน จะไปทำชั่วนี่ โอ้ย.. จะไปแอบ ไปมอง ไปเอาของเขาอยู่นั่น ก็ใช้ปัญญาเหมือนกัน อันนี่เหมือนกัน แต่มันไปทางผิดนี่ล่ะ คิดว่าเขาจับไม่ได้ เห็นเต็มอยู่ในตะรางนั่น ทุกวันนี้ เขาขังกันอยู่นั่น คิดว่าเขาไม่รู้จักตัวเอง ทำ เข้าๆ มันก็ชินเข้าๆ เดี๋ยวไม่เกรงไม่กลัวอะไร สักพัก เขาก็จับเข้าคุกเข้าตะรางเท่านั้น ความเพียรให้พากันเร่ง ผู้ใดจะตัดอะไร ให้ตัด จีวรขาดเขิน ห้ามทิ้ง ของเก่าไว้ที่นี่เท่านั้น จะไปเที่ยวทางไหนเอาไปด้วย ประเพณีไม่มี พ่อแม่ครูจารย์ท่านพาทำ ให้พากันเร่ง ไปเลิกกัน วันนี้มันถ่ายท้องนะ 203
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๒๒ ให้ดูหัวใจเจ้าของ ๖ โมงค่ำแล้วนะทุกวันนี้ ผู้ที่จะทำ ความพากความเพียร ผู้ใดสมัครไปอยู่ทางเขานู่น หาความสงบนะ เข้ากันแล้วเหมือนนกเอี้ยง ดูอยู่นี่ ไม่ออกจากศาลาสักที เย็บจักรนั่นไม่เสร็จสักที ทำ อย่างไร มันจะเห็น อรรถเห็นธรรม ถ้าเข้ากันแล้ว เอาแต่เรื่องโลกนะ มาพูดเพื่อความสนุกเฮฮากัน เหมือนคนเป็นไข้ กินแต่ ของแสลงอยู่นั่น แล้วจะรักษาโรให้มันหายอย่างไรได้ โรคอะไร โรคกิเลสนี่ล่ะ ถ้ากิเลสตัวนี้ยังครองหัวใจ อยู่แล้ว โอ้ย ก็เป็นคนรับใช้มันอยู่อย่างนั้นล่ะ ภพไหนชาติไหน มันก็บดบังปัญญาหมดนั่นล่ะ คิดอ่าน อะไรก็บกพร่องขัดข้องอยู่นั่น ครูบาอาจารย์ท่านทำ ไม่ได้ทำ เล่นนะ สละตายเลย อย่างหลวงปู่ขาว ท่านว่า เดินจงกรมนี่ โอ้ย..ท่านเดินทางท่าน ๓ เส้นนู่นล่ะวันหนึ่ง เส้นหนึ่งพุทโธ บูชาพระพุทธเจ้า เส้นหนึ่งบูชาพระธรรม เส้นหนึ่งบูชาพระสงฆ์ เอาอยู่อย่างนั้นนะ ท่านไม่ย่อท้อนะ เอาความเพียรเผาอยู่นั่น เอาความเพียรอยู่นั่น ตอนนั่งภาวนาถึงทำ ความสงบ ทำ ความเพียร ปัจจุบันนี้ ไม่กำกับใจตัวเองสักทีแล้วแต่จะแล่นไปทางไหน ถ้าเป็นควายก็วิ่งเข้ารั้วเข้าสวนเขานู่นล่ะ ดมก้นเขาอยู่ นู่นล่ะ อยู่ทุ่งไร่ทุ่งนานู่นแล้วถึงกลับมา แล้วมันจะทันกินหรือ ธรรมดาควายฝึกยาก พอเขาเอาใส่คราด ใส่ไถนี่ คนหนึ่งจูงไป อีกคนจับเชือกไถ ๒ คนอย่างนั้นล่ะ อันนี่สติปัญญาของเรามัดเข้าไปซิ วิธีปราบปรามจิตใจตัวเองนี้ ให้ผู้อื่นปราบปรามไม่อยู่หรอก ไม่ให้คิด มันก็คิดอยู่นั่นล่ะ ไม่เหมือนตัวเองปราบตัวเองนะ ถ้าปราบตัวเองได้แล้ว โอ้ย.. ไม่กลับคืน ถ้าชนะตัวเองได้ ชนะผู้อื่นนี่ กลับแพ้กลับกลัวกันอยู่นั่นล่ะ เรื่องผู้อื่น ถ้าจะเอาตัวเองจริงๆ เอ้า วันนี้ จะไม่นอนมันเลย จะนั่งตลอดรุ่งดูซิ ถ้าเอาชนะได้แล้ว โอ้ย อันเวทนาเรียกหาเลย มันจะเอาหน้าไหน มาหลอก ถ้ามันสู้จริงๆ นะ ถ้าไม่สู้อย่างนั้นแล้ว โอ้ย ไม่เห็นร่องรอยของสติปัญญาหรอก ความอดทน เวลา เข้ามันเข้าง่าย เพราะมันจับหลักได้แล้ว อันนี่มันจับหลักไม่ได้สักอย่าง เหมือนไม้พาดรั้วนี่ แค่ลมมา เอียงข้างนั่น เอียงข้างนี่อยู่ อันนี้ก็อารมณ์อันไหนเข้ามา ก็กวนอยู่หัวใจตัวเองนั่น แล้วก็บ่นแล้วนั่นนี่ อิจฉาตัวเอง บางครั้งก็ไปข้างนอกล่ะ มันเป็นอยู่อย่างนั้น แล้วจะให้เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาได้อย่างไร อย่างครูบาอาจารย์ท่านทำ โถๆ ไม่ใช่ของเล่นนะ ท่านทรมานตัวเอง ถ้าฟังก็ฟังเทศน์เท่านั้นล่ะ ฟังแล้ว จับเอาไปเป็นคติเตือนใจตัวเองไม่มี สมัยทุกวันนี้มันเป็นอย่างนั้นนะ มาอยู่กับครูบาอาจารย์เหมือนกันล่ะ ญาติโยมมานี่ ประจบประแจงแล้ว อยากให้เขานับถือลือหน้า แต่หัวใจตัวเองก็ไม่เลื่อมใสตัวเอง แล้วผู้อื่นจะมาเลื่อมใสได้อย่างไร ตัวเองไม่เป็นสมาธิ จะไปสอนคนอื่น ให้เป็นสมาธิก็ไม่ได้แล้ว โอชารสนั้นไม่มี 204
ขอให้เร่งความพากความเพียรนั่นนะ สู้ดูซิ คืนเดียวมันก็ได้ผลแล้ว ผมว่า เอาซิ ให้จิตอยู่ในพุทโธนี่ ๒๔ ชั่วโมง อย่าให้มันขาดดูซิ อันนี่มันไม่ได้แล้ว มีแต่กิเลสครอบงำ หัวใจอยู่อย่างนั้น วันไหนๆ ก็เหมือน กัน แล้ววันไหนมันจะละกิเลสได้ ตั้งใจเร่ง ถ้าจะพิจารณา ก็พิจารณาแต่เกสาลงมาหาพื้นเท้า เอาให้มัน เห็นดูซิ กำ หนดอยู่นั่น เอามีดเอาหอกเอาอะไรแทงตัวเอง อนุมานตัวเองอยู่อย่างนั้น พลิกนั่นพลิกนี่อยู่ ไม่ให้ออกนั่นเลย นี่หลวงปู่บัวท่านเทศน์นั่น ท่านว่าท่านนั่งอยู่สามวันสามคืนนู่นนะ นั่งทับทุกข์ เอามึงมาเลย ท่านว่า เพราะว่าไม่เห็นกาย กำ หนดอยู่นั่น ไม่ให้ออกจากนั่นเลย บังคับอยู่นั่น ไม่ให้มันออกไปทางอื่นอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ท่านทำ มาถึงจะเห็น ถ้าทำ ไม่จริง แล้วไปตู่ศาสนาว่าไม่จริงนะ เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้นล่ะ เหมือนเขาจับเข้าตะราง ก็มีแต่ว่าเขากล่าวหานะ เขาหาว่าอย่างนี้อย่างนั้นแล้ว เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ต่อไปมันใหญ่ขึ้นๆ นะ แต่ผมนี่ ผมไม่หวังว่าจะมาเป็นครูเป็นอาจารย์หมู่นะ มันต้องบังคับเอา เพราะผมไม่ได้เรียนอะไรนะ มีแต่ก้มหน้าปฏิบัติเลย ว่าแต่จะเอาตัวให้พ้นทุกข์เท่านั้น พอเลิกกัน 205
พระธรรมเทศนา หลวงปู่ลี กุสลธโร กำลังสนทนากับ หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม 206
กัณฑ์ที่ ๒๓ ทุกข์เพราะอารมณ์ วันนี้เดินไปดูเขาถางป่าอยู่นู่น เห็นต้นกระเจี๊ยบที่เขาถางทิ้ง มีพระมา เลยบอกให้เณรมาเก็บเอา กระเจี๊ยบไป ดีกว่าทิ้งไปเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ผู้ใดที่ชอบความสงัด ก็ขึ้นไปนู่นนะ หลังเขื่อนนู่น กุฏิมันว่างอยู่ ผู้ใดตั้งใจภาวนา ตัวเองนะทำ เอา ตัวเองนะทำ เอาปฏิบัติเอา สมบัติอยู่กับตัวเองเลย นั่งยังไง ทำ อะไร ให้มีสัจจะบังคับใจตัวเองนะ ไม่อย่างนั้น กิเลสเอาไปกินหมดล่ะ มีแต่เล่นแต่คะนองกัน ไม่ใช่ทางพระทางเณรนะ มั่วสุมกันอยู่อย่าง นั้น ที่หลบที่หลีกมีเยอะวัดเรานี่ ไปหาวัดไหนเถอะ ถ้าจะเอาความพากความเพียร กำกับจิตใจตัวเอง จะหลบไม่ให้คนเห็นก็ได้ นู่น ถ้ำ หนึ่งอยู่หลังเขานู่น เลยเมรุ มันมีมากถ้าจะไปถ้าแสวงหา นี่มีแต่แสวงหา เอาไฟเผาตัวเอง เหมือนกับลูกศิษย์ท่านเรียน (หลวงพ่อจันทร์เรียน) อยู่ดีๆ ก็เอามีดแทงตัวเอง ดูซิ มันทุกข์ขนาดนั้นล่ะ หัวใจอยากฆ่าตัวเอง โลกเขามีแต่รักตัวเอง เป็นขนาดนั้นนะ มันชินมาหลายภพ หลายชาตินะ เอาอยู่อย่างนั้นนะ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ให้เบียดเบียนตน ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น อันนี่อะไร เบียดเบียนตัวเอง เป็นอย่างนั้น ให้แก้มันดู เรื่องอารมณ์ของใจ มันทุกข์กับอารมณ์ล่ะ ถ้ามันคิดมาก ก็เอาพุทโธท่องเข้า ให้มันถี่ยิบ เอาพุทโธๆ อยู่นั่น ถึงเสือมาช้างมา มันก็ไม่ไปนะ ถ้าอยู่กับพุทโธ จิตมันไม่ส่งออกไปนะ มันไม่กลัวแล้ว จิตมันส่งออกไป มันถึงค่อยกลัว ถึงค่อยเกิด ถ้าจิตอยู่กับกายแล้ว โอ้ย มันก็สบายเท่านั้นล่ะ อันนี่ วันหนึ่งคืนหนึ่งได้กี่ครั้งก็ไม่รู้ เห่ออยู่ทางโลกนู่นในสงสารนู่น นักบวชชำ ระตัวนี้ซิ จิตไม่เป็นอรรถ เป็นธรรม เราก็แก้มันอยู่นั่น ดึงมาใส่อยู่นั่น เขาฝึกวัวฝึกควายใส่คราดใส่ไถ เขาทำ งานอยู่นั่น เขาก็ฝึก อยู่นั่น ก็น้อมอันนั้นแล้วมาฝึกตัวเอง ให้ทำ ความพากความเพียร นั่งก็ให้มันมีสัจจะ ถ้าไม่บังคับอย่าง นั้นไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปแล้ว เอ้อ อันนั้นมันเป็นไปเองหรอก อัตโนมัติ จะนั่งเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าจิตเป็นอัปปนา สมาธิแล้ว ไม่มีกายแล้ว กายไม่ปรากฎแล้ว คล้ายกับนอนหลับล่ะ สบายแต่นอนหลับ ปุถุชนคนหนา พวกเรา มันไม่เจ็บไม่ปวดอะไรล่ะ ผู้รู้มันก็รู้อยู่อย่างนั้นล่ะ วันนี้นอนหลับปางตาย วันนี้ฝันเรื่องนั่นเรื่องนี้ มีเท่านั้น เพราะว่าไม่มีสตินะ ถ้าหัดสติเป็นมหาสติแล้ว หัดปัญญาเป็นมหาปัญญาแล้ว มันรอบแล้ว มันก็เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านรู้ไปหมด พวกเรานี่มันไม่มีซิ มันแล่นอยู่อย่างนั้น เหมือนกับหมาเห่าบ่างนั่นล่ะ มันไม่มีกลิ่นนะ เห่าไปทั่ว ให้พากันตั้งอกตั้งใจทำ ความพากความเพียร สมัยทุกวันนี้มันหมดไปๆ ฝ่ายกรรมฐานนี่หดเข้าๆ แล้ว จะไม่มีแล้ว ไปที่ไหนแล้ว โลกเขาใช้หมดแล้ว ตั้งเป็นพระครูเป็นเจ้าคุณไปหมด ได้เป็นพระมันประเสริฐ มากแล้ว แต่รักษาใจของตัวเองให้ประเสริฐเถอะนะ ประเสริฐแต่กายนี่ซิ หัวใจไม่หนักแน่น เหมือนเอา กองไฟมาเผาตัวเองอยู่นั่น วันนั้นเดือนนี่ก็ของเก่านั่นล่ะ ไปไหนมาไหนปีไหนก็เหมือนเก่านั่นล่ะ หลงก็ หลงของเก่านั่นล่ะ พอแล้ว เลิกกันเถอะ ปวดขา 207
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๒๔ กิเลสเต็มหัวใจ เมื่อวานค่ำ มืดแล้ว ทำ อะไรกันมีเสียงดัง มาพูดให้ฟังหน่อย กุฏิมันว่างอยู่ข้างบนนู่น หมู่พวกคน ขยัน ท่านนั่นนะไม่ขึ้นไปหรือ ให้มันลดความอ้วนหน่อย มันอ้วนมากไป หัดไปภาวนาอยู่นู่น ทางภูทางเขา นู่น ที่มันหายากแล้วเหมือนวัดนี้ ไปวัดไหนก็ไปเถอะ ถ้าไม่มีท้องมีปาก ไม่ให้คนเห็นก็ได้ ที่มันกว้างนะ เอ้า...ดูแต่หัวใจอยู่นั่น มันเกิดสิ่งไหนขึ้นมา สังเกตอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นท่านพาทำ อย่างนั้น ดูตอนไหน มันก็เต็มอยู่ศาลา อุ่มอิ่มๆ อยู่นั่น คำ พูดมันมากจริงๆ แล้วจะทำ อย่างไร มันจะเห็นอรรถเห็นธรรม ไม่แสวงหาตัวเองแล้ว โอ้ย.. ไม่เห็นหรอก ได้ยินก็ได้ยินไป อย่างนั้นล่ะ ตัวเองไม่ทำ เอาไม่ได้นะ เหมือนกับกินข้าวนั่นล่ะ ไม่กินมันก็ไม่อิ่มหรอก ว่าดีขนาดไหนก็ช่าง ได้ยินได้ฟังแล้วไปพิจารณาใคร่ครวญเข้าอีก เอาไปสอนจิตสอนใจตัวเองอย่างนั้น อันนี่เพลินอยู่อย่างนั้น แล้วทำ อย่างไรธรรมมันถึงจะเกิดขึ้น มีแต่กิเลสเต็มหัวใจอยู่ มันก็โลเลอยู่นั่น แล้วจะเอาธรรมเข้ามา ก็ไม่มีที่อยู่ในใจ แล้วก็ไม่เห็นล่ะ แล้วก็บ่นเท่านั้นล่ะ เดี๋ยวก็ดูถูกศาสนาเท่านั้นว่าไม่จริง อันหัวใจตัวเองไม่จริงแล้ว ไม่ไปคิดนะ หัวใจตัวเอง บกพร่องแล้ว มันจะเกิดอะไร ความเพียรก็ไม่ทำ เดินจงกรมภาวนาก็ไม่ทำ ทางจะสังหารกิเลสออกจากใจ มีแต่เดินจงกรมกับภาวนาเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านพาทำ มาแล้ว ดูซิ ท่านจะได้ตรัสรู้นั่น อธิษฐาน อัตภาพร่างกายจะแตกเป็นดินเป็นน้ำ ไปก็ไม่ลุก หรือเนื้อหนังมังสา เลือดจะเหือดแห้งไปก็ตาม จะไม่ยอมลุกขึ้น ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ ท่านอธิษฐานขนาดนั้น ท่านทำ เอาอย่างนั้นนะ ตัวต้นศาสนาเป็นอย่างนั้น พวกเรานี้มีแต่ตั้งท่ากินอยู่อย่างนั้น ทำ อย่างไรแล้วจะเห็น ถ้าไม่ประกอบ ความเพียรนะ เอ้าเลิกกัน 208
กัณฑ์ที่ ๒๕ สถานที่น่ากลัวทำ ให้ภาวนาดี ๒๗ มกราคม ๒๕๓๘ หลวงปู่ขาวตอนกลางคืน ไปหานั่งอยู่ที่ก้อนหินภาวนาอยู่นั่น เดือนหงายๆ ที่ไหนมันน่ากลัวๆ นั่นจะภาวนาดี ที่ไหนมันไม่กลัวแล้ว ไม่ดีล่ะ มันคุ้นเคย ถ้าจะแก้จริตนิสัยตัวเอง ถ้าไม่มีความสุขในใจแล้ว ให้ออกจากกุฏิแล้วก็ไป อยู่กุฏิก็มีแต่จะนอนล่ะ ฤดูแล้ง นั่งภาวนาอยู่ก้อนหิน หลวงปู่ขาวท่านพาไปนั่งอยู่ภูวัว อาจารย์เพ็งท่านพาลูกศิษย์หลายคน ก็นั่ง หลวงปู่ขาวเฒ่าขนาดนั้นจะแข็งแรงมั้ยนะ นั่งแข่งผู้เฒ่าก่อนนะ เลยลองนั่ง มันไม่ไหวเลยนอน สักพักก็ลุกมา เห็นผู้เฒ่านั่ง สักพักก็เปลี่ยนท่าอีก เหนื่อยก็นอนอีก จนท่านได้ปลุกให้กลับวัด ตั้งแต่นั้น ไม่คิดจะแข่งกับท่านอีก อาจารย์เพ็งนี่เหมือนกัน แข่งกันเดินจงกรม ท่านไม่มีเกียจคร้าน พวกเรามีแต่กินกับนอน ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว ถ้าไม่เห็น ก็ตู่ศาสนาเท่านั้นว่าไม่จริง ตัวเองไม่จริง ก็ไม่เห็นของจริง อันนี่มีแต่คอยจะรวมกลุ่มกัน แข่งชนะ แข่งพูด ยิ่งเณรนี่ยิ่งคะนองมาก ทำยังไงมัน จะเห็นอรรถเห็นธรรม ความสงบไม่เพียงพอ เหมือนคนยืนคนวิ่งคนเดินนั่นล่ะ คนที่ยืนอยู่กลางแจ้ง ใครจะมาทางไหนก็เห็น มาทางซ้ายทางขวาทางหลัง มันเห็นหมดล่ะ แต่นี่มันไม่อยู่นะ แล้วแต่อารมณ์ ไหนมากระทบ มาเล่นมาคะนองแล้วจิตจะเป็นสมาธิได้ยังไง มันก็เป็นโลกไปหมด ไปเป็นโลกแล้วก็มีแต่ ร้อนนะซิ เรื่องอะไรก็ต้องให้มันถูกใจตัวเองไปหมด เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น ไม่ยอมรับว่าตัวเองชั่ว ขนาดเขาจะจับตัวเข้าตะราง ยังว่าเขากล่าวหา กิเลสมันไม่รับความจริง มีธรรมเท่านั้นที่รับความจริง ปฏิบัติไปเถอะ ให้เกิดในใจตัวเอง มันจะรู้ขึ้นมาเอง ให้มันเป็นสมาธิดูซิ จิตสว่างแล้วจะมีเรื่องผุด ขึ้นมา ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งล่ะ เรื่องนั้นเกิดขึ้นมาแล้ว คนไม่เคยเห็นเรื่องความอัศจรรย์ของจิตใจ จิตไม่ออกจากนั้นนะ จิตมันฟอกอยู่นั่น การพิจารณา พิจารณาอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มีหลักสมาธิก็ไปตาม สัญญาแล้ว ตามหนังสือไป ตามครูบาอาจารย์ไปอยู่นั่น ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้นนะ มันก็ไปตามเรื่องของสมาธิ ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านจะสอนศีลสมาธิปัญญาทำ ไม ท่านเปรียบเทียบ ไว้หมด อธิจิต อธิปัญญา อธิศีล ถ้าจิตแท้ๆ ก็ต้องมีสติปัญญา ตัวสติสำ คัญมาก นี่ล่ะยอดคำ สอนของ พระพุทธเจ้า เร่งความพากความเพียร อย่าไปเล่น ถ้าอยากเห็นของจริง ก็พูดได้ ดูตามหนังสือก็พูดได้ แต่ใจของเรามันโลเลอยู่อย่างนั้น เหมือนไม้พาดรั้วนั่น แล้วแต่ลมพาไป แต่โอชารสซึมซาบในจิตใจผู้ได้ยิน ได้ฟังน่ะ โอชารสไม่ถึงใจ มันผิดกันนะ ผู้ปฏิบัติมีแยบคายกว่านั้น เป็นอย่างนั้น ให้พากันเร่ง เทศน์กัณฑ์นี้ ถ้าเอาไปปฏิบัติแล้ว ให้มันเกิดในจิตในใจตัวเองแล้ว โอ้ย มันจะสิ้นหรอกความสงสัยนั่น อยู่ศาสนา มีแต่ถือศาสนา แต่ไม่เต็มหัวใจกันนะ เลิกกันนะ 209
พระธรรมเทศนา หลวงปู่ลี กุสลธโร กำ ลังสนทนากับ หลวงพ่อบุญช่วย ปัญญวันโต วัดภูริทัตตปฏิปทาราม หลวงปู่ลี เมตตารับนิมนต์ ณ โรงเรียนอุดมศึกษา จังหวัดปทุมธานี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘ 210
กัณฑ์ที่ ๒๖ กายคตาสติ อบรมพระ ปี ๒๕๓๘ ประกอบความพากความเพียร เณรนั่นไม่ได้เอาหนังสือไปดูหรือ ดูหนังสือนะ ดูแล้วเอาไปพิจารณาด้วย มีแต่เล่นอยู่นั่น มีแต่เล่น เข้าหมู่แล้วมีแต่หยอกกัน ก๊อกๆแก๊กๆ อ้อแอ้ๆ นะ พอพระกับเณรอยู่ด้วยกัน หยอกกันสนุกสนานเหมือนฆราวาส ไม่คลำ ดูศีรษะตัวเอง ทำ อย่างไรมันจะเป็นภาวนานี่ ไปนั่งก็มีแต่ เรื่องอันนั้นมาหลอกมาลวงตัวเองอยู่นั่น ตะครุบเงาตัวเอง เงามันจะเป็นตัวจริงอะไร พวกเรานี่ พระพุทธเจ้าท่านพาไปทรมานท่านได้ พวกเรานี่มันไม่ทรมานตัวเองนะซิ ดูแต่ภายนอก ทางอื่น ไม่ดูหัวใจตัวเองนะ มันคิดอะไร แก้มันอยู่นั่น ฝึกมันอยู่นั่น อย่างเขาฝึกช้างนั่น เขายังเอามา ใช้ลากท่อนซุงได้ พระพุทธเจ้าท่านฝึกท่านจริงๆ นะ ท่านได้ตรัสรู้แล้วจนท้อพระทัย หมกมุ่นในกามคุณ ไม่เห็นอรรถเห็นธรรม เสด็จไปที่นั่นที่นี่ รับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาเท่านั้นล่ะ ๔๙ วันนู่นนะ ท่านถึง ค่อยได้ฉัน ยากก็ไม่เหลือวิสัยนะ ธรรมพวกนี้มันจะเห็นไปหรอก พระพุทธเจ้าท่านแสดงอย่างไร ใจของเรานี่ จะรับ ขอให้ทรมานดูเถอะ ทำ เข้าๆ มันจะประมวลมาหรอก แก้เข้าๆ พอแก้ได้ มันก็หยุดเท่านั้นล่ะ จิตสงบลงเลย ธรรมมันจะโผล่ขึ้น ไม่ลงมือทำ สักที แต่กินกับนอนแล้ว มันก็จบเท่านั้นล่ะ อยู่โลกไหนก็ เหมือนเก่านั่นล่ะ เพราะใจตัวเก่า เขาได้ฝึกได้หัด เขาฝึกหมดล่ะ เขาเป็นเจ้าเป็นนาย เขาฝึกหัดหมดล่ะ เขาเรียนอะไร เขาทำ เอานะ ทำชั่วก็ทำ เอา ทำ ดีก็ทำ เอา ให้พากันลงมือทำ อย่าไปเล่น ถ้าไม่เป็นไปได้ โลกมันไม่หลาบหรอกอันนี้ โลกนี่มันไม่มีหลาบ มันกลัวแต่หาอรรถหาธรรมหามรรคผลนิพพานมาใส่ใจตัว เองเท่านั้นล่ะ ท่านเปรียบเทียบว่า นรกอยู่ในหน้าอกนั่น สวรรค์อยู่ในใจ ท่านเทียบไว้หมด มาคิดมาอ่าน ถ้าจิตไม่อยู่ ก็พิจารณาสภาพร่างกายของเรา แต่ศีรษะลงมาหาพื้นเท้า แต่พื้นเท้าขึ้นไปหาศีรษะ เหมือนหลวงปู่บัวนั่น ท่านภาวนา เอาม้ามเอาอะไร ท่านว่าไม่เห็นกาย เอาปอดเอาเนื้อหนัง ไม่ให้มัน ออกจากนั่นเลย ท่านว่าจิตมันก็พิจารณาอยู่นั่นล่ะ นั่งกับทุกข์ถึง ๓ วัน ๓ คืน เอาอยู่นั่น ความเจ็บมัน ก็เจ็บอยู่นั่นล่ะ ถ้ามันทรมาน มันก็เท่านั้นนะ ท่านว่าจิตมันวางพรึบลงเท่านั้นล่ะ เกิดความอัศจรรย์ขึ้นเลย นี่อะไร ถ้านั่งสักพัก เวทนาขึ้นทับก็นอนซะ ก็ไปแบบเดิม สักพักก็ล้มลงนอนเหมือนเก่า ไม่สู้กับมัน เหมือนคนเข้ามาทะเลาะกับเรา คนเคยข่มเห่งก็ข่มอยู่อย่างนั้น ถ้าเอาถึงเจ็บกันแล้ว รู้จักความหนักเบา กันแล้ว ตั้งแต่นั้น มันไม่หยอกหรอก มันก็กลัวเหมือนกัน มันต้องมีขยาดมีโชกโชนซะก่อน อันนี่ก็เหมือน กันล่ะ ถ้าไม่สู้ซะก่อน ไม่เห็นรายแพ้รายชนะ นั่งเข้าไปดูซิ นี่แหละ ท่านว่ากิเลสมาร มันจะแย้งขึ้นเลย เรื่องหยอกขึ้นมา เรื่องเกิดขึ้นมา มันผุดขึ้นมาอันนั่นอันนี่ คิดไปก่อกวนไม่ให้จิตใจของเราสงบได้ ให้มันรู้กลมารยาของธาตุของขันธ์เรื่อง 211
พระธรรมเทศนา จิตใจของตัวเอง ฝึกเข้า คิดอ่านใคร่ครวญอยู่นั่น ให้มันแยบคายขึ้นไป มันไม่ปล่อยไปแล้ว ธรรมดามัน ก็โง่ทุกคนนั่นล่ะ ถ้ารู้จักตัวโง่ จะฉลาดหรอก ถ้าไม่รู้จักตัวโง่นี่ โอ้ย..มันก็ปรากฎเต็มอยู่อย่างนั้นล่ะ แบก หามอยู่นั่น ตัวเองนะคิดเอาตัวเอง เอาไฟมาเผาตัวเอง ถ้าเรื่องความรัก กับคนที่คิดตรงกัน คิดดูซิ เรานั่งอยู่ในมุ้งอยู่ในกุฏินู่น ส่งไปหาอย่างนั้น ส่งไปหาอย่างนี้ เรื่องอดีตที่ล่วงมาแล้ว คำ พูดอย่างนั้น คำ พูดอย่างนี้ เอามาก่อกวนตัวเอง มันเป็นอย่างนั้นแล้ว เอาไฟมาเผาตัวเองอยู่นั่น เอาไฟมาจุดตัวเอง อยู่นั่น หงุดหงิดล่ะ จะหาความสงบอะไร ถ้าจะหาความสงบแล้ว โอ้ย มันไม่อยู่กับพุทโธ ก็มัดมันเข้า พูดถี่ๆ เข้าดูซิ บริกรรมไม่ให้มันมาแทรกอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ท่านทำ มา พิจารณาก็พิจารณาแต่ ร่างกายตัวเองอยู่นั่น ในกายนี้ คนตายหามเข้ากองไฟ ไฟไหม้เขาก็ไม่เห็นเจ็บ พอ เลิกกัน 212
กัณฑ์ที่ ๒๗ เห็นธรรมด้วยสัญญา หรือด้วยปัญญา ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๘ หัวใจตัวเอง ไม่ยอมปล่อยวางนะ ไปเฝ้าไปคอยอยู่อย่างนั้น ไปแย่งพระธาตุกัน เถียงกันอยู่นั่น โอ้ย ไม่อายญาติโยมกัน ไม่มีอายกันล่ะ ถ้าไม่ให้มาน่าจะดี นู่นไปอยู่ถ้ำขามเลย ผู้ที่จะสนใจภาวนามันหายากนะทุกวันนี้ มีแต่ครูบาอาจารย์เท่านั้น ต่อไปนี้มันจะไม่มีล่ะ เห่อกันอยู่นั่น วิ่งกันอยู่นั่น จะปฏิบัติจริงๆ ไม่เห็นล่ะทีนี้ ไม่เอาจริงๆ ไม่ได้นะ ไม่เกิด คิดดูซิ พระพุทธเจ้าท่านบำ เพ็ญมา ท่านออกผนวชน่ะ ๖ ปีนู่นถึงค่อยได้ตรัสรู้ การภาวนาทางกายท่านก็ทรมาน อดอาหาร ๔๙ วันท่านก็อด ผ่อนลมหายใจเข้าออก ท่านทำ หมด ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ท่านพลิกใหม่ทำ ใหม่ ถ้าเอาจริงๆจังๆ ท่านก็เอ้า มันไม่ใช่ทางแล้วก็เปลี่ยนใหม่ พอเปลี่ยนใหม่แล้วปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ออกหนีจากท่าน ว่าท่านถอยความเพียร เวียนมาหาความมักมาก ท่านก็เลยอยู่องค์เดียว ท่านก็แสวงหาบิณฑบาต นางสุชาดามาเอาข้าวมาถวาย ข้าวมธุปายาสปั้นได้ ๔๙ ก้อนนั่นล่ะ ท่านฉันแล้วก็อธิษฐานนะ เสี่ยงถาดพร้อมถวายถึงถาดนะ ก็อธิษฐาน อยู่ต้นโพธิ์เลย ท่านกำ หนดจิต ท่านเข้าอยู่ในอานาปานสติ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยเราก็ดูลมหายใจเข้าออก ไม่ให้ออกจากจิต ยามที่ ๑ ท่านก็รู้ปุพเพฯ ยามที่ ๒ ก็รู้ทำกรรมอันนั่นไปเกิดอันนั่นนู่น ไล่ไปหมดแล้ว นรกอเวจี อะไรรู้หมด ผุดขึ้นมาหมด ยามที่ ๓ ท่านก็ได้ตรัสรู้ พวกเรามีแต่การคิดค้นพิจารณาไป พิจารณาไปก็ เป็นสัญญาไปหมด เพราะว่ามันไม่เกิดกับใจนะ อย่างหลวงปู่มั่นท่านสอนนั่น ท่านให้บริกรรมพุทโธ แม้เรียนมาถึง ๕ ประโยคก็ได้มาเรียนพุทโธ กับท่าน บางองค์ ปี ๖ เดือนถึงค่อยอยู่ก็มี ๒ ปีก็มี พออยู่กับพุทโธเท่านั้นล่ะ ธรรมมันจะเกิดหรอก จะเกิดความสงบ ให้มันจิตสงบซะก่อน อันนี้ถ้าได้ค้นคิดพิจารณา กับเห็นครูบาอาจารย์ ได้ดูหนังสือ นั่นละเป็นสัญญาไป มันไม่เกิดกับตัวเอง มันต้องเห็นด้วยตัวเอง ถึงจะเป็นปัจจัตตัง ถ้าไม่ทำ เอา ไม่เห็นหรอก ครูบาอาจารย์ท่านมีแต่แนะนำ แนวทางเท่านั้นล่ะ เหมือนอาหารนี่ล่ะ ถ้าไม่รับประทาน ก็ไม่รู้รส ธรรมของพระพุทธเจ้าจริง แต่เราทำ ไม่จริงเท่านั้นล่ะ แล้วก็ตู่ศาสนาว่าไม่จริง เพราะกิเลสนะหลอกเรา ออกไป เราเชื่อมันมาหลายภพหลายชาติแล้วนะ กิเลสมันกล่อมนู่น ทำ อะไร กลัวแต่จะตาย กลัวแต่จะเหนื่อย ครูบาอาจารย์ท่านสู้มาจนเต็มที่แล้วนะ อย่างหลวงปู่มั่น สู้จนสลบไสลนู่น อย่างครูบาอาจารย์องค์ไหน พูดมา มีแต่สลบไลสทั้งนั้น หลวงปู่ขาวท่านไม่ได้ทำ เล่นนะ แต่นี่ที่เห็น ถ้าได้เข้ากลุ่มกันแล้ว โอ้ย ไม่รู้หาคำ พูดมาจากไหน เป็นธรรมกถึกหมด ใครก็พูดได้ ถ้าจะพูด ตำ รามีมากมาย ท่องเอาเหมือนนกแก้ว แก้วจ๋าๆ อยู่นั่น ไม่รู้ว่าตัวแก้วอยู่ไหน จะยากอะไร 213
พระธรรมเทศนา ให้พากันเร่งความพากความเพียร เอ้า ถ้าจิตอยู่กับพุทโธ ๒๔ ชั่วโมง มันก็สังเกตได้หรอก มัน จะเห็นเองหรอก ธรรมของพระพุทธเจ้าจะผุดขึ้นเอง แต่นี่พอนั่งภาวนา มีแต่ความอยาก วิ่งตามความ อยากอยู่นั่นล่ะ เขาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไปกับเขา นี่มีแต่เรื่องกิเลสหลอกไปเลย หลวงปู่มั่นท่านสอน อย่างนั้นแล้ว หลวงปู่ชอบท่านเดินตอนกลางคืน ท่านไม่ได้ละพุทโธ เสือก็กินไม่ได้ จะพูดยังไง ท่านไป อยู่ถ้ำ งู ว่างูพิษเยอะ มันก็ไม่เห็นกัด เลยเป็นมิตรเป็นสหายไปเลย เรื่องนี้อำ นาจของธรรม ไม่งั้นกิน หมดแล้ว ท่านพ่อลีเมื่อก่อนท่านเดินอยู่คำ ม่วง ปีพรรษา ๗ เดิน ๓ วัน ๓ คืน ไม่ได้ฉันอาหาร มีแต่เดิน เหนื่อยมาก นอนขวางทางช้างเลย แต่ก่อนช้างมันเยอะนะ ทางถนนช้างเหมือนทางรถแล้ว เป็นด่านไป ก็นอนผูกใส่ต้นไม้นั่นผูกใส่ต้นไม้นี่ นอนปูอาสนะ ช้างก็มาแล้ว หัวหน้ามันมาก่อนนะ มาตรวจตรา ลูกน้องอยู่หลัง มันเห็นมันก็ย้ายท่านเข้าในป่านู่น กลดก็กางเหมือนเก่า ผ้าปูนอนก็ปูให้เหมือนเก่า ไม่ได้ ผิดเก่าเลย แล้วมันก็บังท่านไว้ไม่ให้หมู่เห็น หมู่ช้างมาก็ผ่านเลยไป หมู่ไปหมดแล้วจึงค่อยไปตามหลัง นู่น จิตวิญญาณอันนี้มันอันเดียวกันหมด มันรู้จักดีจักชั่วเหมือนกันหมด รู้จักบาปจักบุญเหมือนกัน แต่เสวย กรรมของเขาแล้ว เขาทำ มาอย่างนั้นก็เสวยตามวิบากกรรม จิตอันเดียวกัน ต่างกันแต่กายเท่านั้น เราเป็นมนุษย์นี่ โอ้ย.. กลัวแต่จะตาย ถ้าครูบาอาจารย์ท่านตายนี่ ตายไปนานแล้ว ท่านทำ มาเยอะแล้ว อันนี้ทำ หน่อยก็มีแต่กลัวตาย กลัวแต่อดอยาก เลยไม่เห็นของดีแล้ว เชื่อแต่กิเลสตัณหาอยู่นี่ มันเชื่อมา หลายภพหลายชาตินะ มันกล่อมอยู่นั่น ไม่ฝืนไม่เห็นนะธรรมของพระพุทธเจ้า ประกอบความพากความ เพียรเข้า ถ้ามันเกิดในใจตัวเองแล้ว โอ้ย..มันต้องเอาแล้ว ดูก็รู้ คนที่ประกอบความเพียร มันไม่ได้สุงสิง กับใครหรอก คนจะมาพูดมาคุยด้วยน่ะมีเยอะ อยู่คนเดียวมันสบาย ปุจฉาวิสัชนามันเกิดขึ้นอยู่นั่น ขอให้มันเห็นในใจเถอะ เรียนมาแล้ว เอาความจำ มาพูดกันอยู่นั่น โอ้ย.. มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก อันนั้นน่ะ ความสงสัยลังเลในใจ มันเกิดอยู่อย่างนั้น ว่าอันนั้นอันนี้ มันเกิดในใจมันเป็นอย่างหนึ่งนะ โอชารส ขอให้เร่งความพากความเพียรเถอะ ผู้ใดตั้งใจทำ มันก็เห็นล่ะ เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์ก็หมดไปๆแล้วนะ ปีนี้เป็นคู่เลยเต็มที พ่อแม่ครูจารย์(หลวงตามหาบัว)เดี๋ยวนี้ รับแขกมาก แต่ก่อนได้ยินท่านบ่นว่าพ่อแม่ครูจารย์ฝั้นรับแขกมาก แล้วจะทำยังไง สุขภาพท่านจะต้านทานได้ แล้วก็ว่าหลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง ว่าท่านรับแขกมาก ก็ท่านใจดีมีเมตตา จะให้ทำ ยังไง มีแต่ ยิ้มแย้มต้อนรับศรัทธาญาติโยมหลั่งไหลไปหาท่าน พ่อแม่ครูจารย์เทสก์ก็เลยพูดว่า ให้ถึงคราวเสียก่อน ถึงคราวใครคราวมันหรอก ใครดุ ใครใจดี จะมากหรือไม่มากก็ให้ดูไป เดี๋ยวนี้เหมือนท่านหมด ถึงท่าน จะดุขนาดไหน เขาไม่ได้ถือแล้ว ท่านดุเป็นธรรมนะ มีแต่คนเข้าหา เขาไม่ได้ถือคำ พูดจา คนหลั่งเข้าๆ อย่างหลวงปู่หล้าก็พึ่งผ่าตัดมา คิดว่าท่านคงจะไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวนี้ท่านก็อ่อนแอลงมากแล้ว พวกเรานี้ ไม่เกิดนะหมู่พระหนุ่ม สมัยนี่มันน้อยลงๆ อีกหน่อยกรรมฐานจะไม่มีเลย วงศ์ปฏิบัติจะไม่มีแล้ว กลืนหมดแล้ว ปริยัติกลืนไปหมดแล้ว โอ้ย คราวหลวงปู่มั่น เจ้าคุณอุบาลี กรรมฐานเยอะจริงๆ เจ้าคุณ อุบาลีท่านส่งเสริมทางนี้นะ เจ้าคุณธรรมเจดีย์ส่งเสริมฝ่ายปฏิบัติมาก เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว น้อยลงๆแล้ว จะหมดไปๆ แล้ว เอ้า เลิกกัน 214
ภาพถ่ายที่วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) งานครบรอบ ๙๐ ปี หลวงปู่ศรี มหาวีโร 215
พระธรรมเทศนา อิริยาบถสบายๆ ขององค์หลวงปู่ลี (ถ่ายที่วัดป่าบ้านตาด) 216
กัณฑ์ที่ ๒๘ กรรม ๑๑ เมษายน ๒๕๓๘ ให้มันเกิดจากใจตัวเอง ทรมานตัวเองได้ก็สบาย ชนะตัวเองสำ คัญ ถ้าชนะตัวเองได้แล้ว มันไม่ กลับคืนนะ แต่ถ้าชนะคนอื่น กลับกลัวแพ้ กลัวไปต่างๆ ภพไหนชาติไหนก็เหมือนกัน กรรมที่เราก่อที่เรา สร้างกันมา ถึงคราวคนนั้นมาฆ่า ชาติหน้าคนนี้ไปฆ่า แก้แค้นกันอยู่อย่างนั้น ในธรรมบทมีอยู่ ในนิทาน ท่านสรุปมาไว้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านเห็นมา ปัจจุบันนี้อย่างหลวงปู่มั่นท่านเห็นหมดนะ มีแต่พระอรหันต์ เท่านั้นถึงจะพูดเรื่องเหล่านี้ได้ อย่างปุถุชนคนหนา เขาไม่เข้ามาใกล้หรอก เขาเหม็นสาบ เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ ศีลไม่บริสุทธิ์ มันเกี่ยวกับจิตใจนะ จิตใจมันสำ คัญที่สุดนะ คิดอิจฉาผู้อื่นคิดเบียดเบียนผู้อื่น อยากทำ ลายคนนั้น ผูกอาฆาตจองเวร คิดอยู่อย่างนั้น นี่ตัวสำ คัญ ศีลบริสุทธิ์นั้น พร้อมด้วยสติปัญญานะ แก้ไขพิจารณาเข้าไป อย่าไปเล่น เรื่องคะนองมันสำ คัญ เอาล่ะ เร่งความพากความเพียร ไม่มีใครทำ ให้เราได้ มีแต่ตัวเราต้องทำ เอาเอง ครูบาอาจารย์มีแต่บอก ทางเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน มีแต่บอกทางเท่านั้น ทางเดิน ถ้าเราไม่เดิน มันก็เป็นเรื่องของเรา ให้พากันทำ เอาล่ะเลิกกัน 217
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๒๙ ใจมันคอยวิ่งตามกิเลส ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ฉันจังหันแล้ว หาความสงบให้ตัวเอง กายวิเวก ใจก็วิเวก ให้ทำ งานก็ไม่พอใจ ให้ทำ นั่นทำ นี่ก็ไม่พอใจ ถ้าให้ทำ ความเพียรก็ไม่พอใจ มันก็พอเท่านั้นล่ะ ทำ จริงทำ จัง ทำ ไม่จริงไม่จังแล้ว โอ้ย..เป็นควายให้ เขาทำ นานะ เขาให้ทานข้าวปั้นหนึ่ง เขาปรารถนาบุญนะ ตัวเองไม่ทำ ไม่มีบุญให้เขานะ จะบริกรรมอะไร ก็ให้อยู่กับอันนั้น เหมือนถากหัวสิ่ว สิ่วลงไปดูซิ ตีลงไปจนมันทะลุนู่น จนตีซ้ำ ลงอีกไม่ได้ เป็นยังงั้นล่ะ มันสะอาดแล้ว งามแล้ว มันก็เรียบร้อยแล้วล่ะตรงนั้น การพิจารณาก็เหมือน กันนั่นล่ะ พิจารณากายหรือจะพิจารณาอะไร ก็ให้มันเห็นดูซิ ให้มันเห็นร่างกระดูก ตับไตไส้พุง ถ้ามัน พิจารณาอันนี้แล้ว มันไม่มีเรื่องอะไร เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ มันไม่มาครอบงำ อันนี่อะไร รวมกันก็มี แต่อันนั่นแล้ว ทำ อย่างไร ครูบาอาจารย์ก็หมดไปๆ ทุกวันนี้ปริยัติกลืนไปหมดแล้ว มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เกิดขึ้นมา ผู้มาใหม่ ก็ตั้งใจปฏิบัตินะ อย่ามาเล่นนะ เร่งความพากความเพียร เดินจงกรมภาวนา ตัวเองนะ ทำ เอาบุญ เหมือนกินข้าวล่ะ อยู่ภาชนะเดียวกัน ถ้าเราไม่กินก็ไม่รู้ ครูบาอาจารย์มีแต่ท่านบอกทาง เท่านั้นล่ะ ทำ เอาเป็นของตัวเองหมด เหมือนความเจ็บความปวด ความเจ็บป่วยอะไร ผู้ใดจะเป็นแทน กันได้ เสวยกรรมใครกรรมมันแล้ว ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ เท่านั่นนะ มีแต่ได้ยินได้ฟังไป แล้วก็ไม่ไปพิจารณา ใคร่ครวญเหตุผลสักครั้ง มันก็ไม่เกิดผลแล้ว ว่าท่านให้ละให้ถอนอะไร ถ้าเราเอาไปคิดไปใคร่ครวญแล้ว โอ้ย.. มันก็เป็น ฟังแล้วก็เอาไปใคร่ครวญไปเจียระไนให้พิสดารออกไป มันก็เป็นสมบัติของเรา เราเรียน สวดมนต์ กว่าจะได้สูตรหนึ่ง มันไม่ใช่ของง่ายนะ คือเรียนปาฏิโมกข์ ถ้าไม่คล่องจริงๆ แล้ว มาสวดให้ หมู่ฟังไม่ได้ อันนี้เหมือนกับการปฏิบัติ เหมือนเรามาเดินจงกรมนี่ เดินแป๊ปเดียวมันไม่มีทางหรอก เดินมัน เป็นชั่วโมงนู่น ถึงค่อยจะมีทาง ถึงค่อยจะเป็นทางได้ นี่การพิจารณาเหมือนกัน โอ้ย.. มันลากไม่ได้ ถอนไม่ได้ ข่มมันอยู่นั่นล่ะ บังคับใจอยู่นั่น ต้องฝึกตัวเองหมดล่ะ พวกนี้ ทางโลกเขาก็ฝึกนะ ฝึกงาน กว่าจะเป็น ช่างได้ต้องเป็นลูกน้องเขาซะก่อน อันนี้เหมือนกับการปฏิบัติ ต้องเร่งความพากความเพียรตัวสำ คัญเลยนั่น จิตไม่ทันสงบ อย่ารีบไปคิดไปพิจารณาใคร่ครวญ หักมันเข้าความสงบ อย่างครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น มีแต่สอนมีแต่เรื่องความสงบทั้งนั้น ให้ภาวนาพุทโธ บางองค์ปี ๖ เดือน ก็มี ๒ ปีก็มี ไม่ให้มันคิดไปทางใดแล้ว ผูกมันอยู่นั่น เพราะใจอันนี้วิ่งตามอารมณ์อยู่อย่างนั้นนะ หาอันนั่นอันนี่มาก็อกๆแก็กๆ ไม่พอใจก็โกรธซะ ก็เครียดซะ สักพักก็เบียดเบียนตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ดังใจ ตัวเอง ก็เบียดเบียนตัวเอง ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จะให้เบียดเบียนตัวเอง ไม่ให้เบียดเบียนตน 218
ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น แล้วมันจะถูกหรือถ้าเป็นอย่างนั้น หนังสือมี เอาไปดูแล้วก็มาคิดใคร่ครวญ พ่อแม่ครูจารย์เอาจัดมาให้หมด พระไตรปิฎกท่านมี เอามาท่องดูข้อไหน ฝึกใจตัวเองให้อยู่ในหลักธรรมนั่น ต้องฝึกอยู่อย่างนั้นนะ เข้าหาความสงบ อย่าให้ มันคุ้นกัน คุ้นกันไม่ได้ มันเป็นทางโลกเขาล่ะ ทางผัวเมีย สักพักก็ด่ากัน ทางพระไม่เป็นอย่างนั้น คุ้นกัน แล้วก็ดูถูกกันเท่านั้นล่ะ มันก็เป็นเรื่องโลก ไม่ใช่เป็นธรรม นู่นนะอยู่กับครูอาจารย์ท่าน ได้สุงสิงกันก็มี แต่ตอนกวาดตาดกับตักน้ำ เท่านั้นล่ะ นอกนั้นไปใครไปมันเลย อยู่ใครอยู่มัน เอาถึงขนาดนั้นนะ แต่ก่อน ยิ่งไม่มีพระเณรมาก พ่อแม่ครูจารย์อยู่ อยู่บางครั้งก็ ๙ องค์ บางครั้งก็ ๘ องค์ เท่านั้นทั้งพระทั้งเณร บางครั้ง ๕ องค์ก็มี ทุกวันนี้มันเยอะ ที่วิเวกมันก็หมดไปๆ ถ้าไปวิเวกก็ไปตามสำ นักซะ คิดไปคิดมา จะไปทางไหนก็พอๆกัน ไปวิเวกอันนี่ ถ้าตั้งใจจริงๆ แล้ว ไม่ฉันจังหันแล้วก็หลบเลยไม่ให้คนเห็นก็ได้ ขึ้นไปอยู่อ่างนู่น ถ้ามันนั่นก็ขึ้นนู่น ผาแดงนู่น ที่มากมาย ลงมาแต่ตอนฉันจังหัน การปฏิบัติเมื่อก่อนมันไม่มีหรอกเรื่องน้ำ ร้อนน้ำ อุ่นน้ำ ตาล ไม่มี มีมาแต่นี่ ๒๕๒๐ มานี่ อยู่บ้านตาดเหมือนกันไม่มี ทุกวันนี้ท่านรับแขก พระเยอะนะ ผมออกจากท่าน ๒๕๒๑ เมื่อก่อนพระมีเพียง ๑๘ เท่านั้น ปี ๒๕๒๐ จำ พรรษา มีพระลาบวช ๓ องค์ เลยเป็น ๒๑ องค์ ปีนี้ปี ๒๕๒๐ นั่น ออกพรรษามาก็สึกไปแล้ว ตั้งแต่นั้นก็มากขึ้นเรื่อยๆ นะ พ่อแม่ครูจารย์เดี๋ยวนี้ก็ ๕๐-๖๐ องค์จนว่าไม่มีที่อยู่ กุฏิจะปลูกแล้วมันถี่ ปีนี้ท่านก็ยังปลูกอีก ๒ หลัง งานอยู่นั่น ข้อวัตรกิจวัตรแขก เยอะ ธุระมันก็เยอะแล้วมันกระเทือนถึงลูกศิษย์ลูกหาแล้วหมด แขกเยอะมันก็ยุ่งนะ อันนี้พวกเราแขกมันไม่มาก ก็ควรประกอบความพากความเพียร ดูตอนล้างบาตรก็คุยกันอยู่นั่นล่ะ เดี๋ยวก็ทะเลาะกันเท่านั้น มีแต่นักเทศน์ ไม่รู้เอาคำ พูดมาจากไหน เอาอยู่นั่น ประจบคนนั้นประจบคนนี้ หยอกนู่นหยอกนี่แล้ว เป็นทางฆราวาสแล้ว ไม่ใช่ทางพระอันนี้ในหลักธรรมก็ไม่มี ในหลักพระสูตร พระวินัยก็ไม่มี แล้วมันจะเห็นอะไร ความสงบ ไปนั่งเข้าดูซิ ความคิดอันนั่นมา เกิดขึ้นจากตัวเองหมดแล้ว กว่าจะได้ เวทนาทับแล้ว สักพักก็กรนครอกๆ กรนครอกๆ แล้วมันก็ไชโยแล้ว มันกล่อมดีแล้วนะ เรื่องกิเลสมันกล่อมอย่างนั้น กล่อมนอนอยู่นั่นก็ไม่เห็นอะไรแล้ว แล้วก็ไปกล่าวตู่ศาสนาว่าไม่จริงล่ะ ไม่เกิดมรรคผลได้ ทำ อะไรก็ไม่จริง ก็ไม่จริงหมด ของตัวเองไม่จริง มันจะเป็นอะไร อยู่ทางโลกมันก็ไม่ ได้อะไรสักอย่าง อย่างหมาเห่าเมียไปหาลักกินข้าว หมาก็เห่านั่นแล้ว มันอดมันอยากนะ คนขี้เกียจขี้คร้าน พระพุทธเจ้าท่านว่า อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร ท่านไม่ว่าเกียจคร้านนะ ใน ภาษิตมีอย่างนั้น ให้ตั้งใจปฏิบัติ เอ้า ทำ อย่างไรมันจะเกิด ตัวเองมันคิดอะไร ถามมันเข้าไปในจิตตัวเอง มันจะตอบขึ้นมาเองหรอก ถ้าจะพิจารณา ถ้าจะหัดความสงบก็หัดเข้าเลย มันจะเกิดขึ้นเองหรอก สงบเข้าๆ จิตมันก็ตะล่อมเข้าๆ จิตมันก็รวมลงได้เท่านั้น เกิดแสงสว่างขึ้น ความอัศจรรย์มันไม่ออกจาก นั่นหรอก มันใคร่ครวญอยู่นั่น เนี่ย ปัญญาเกิด เกิดขึ้นเองนะ ปัญญาไม่ได้หามันหรอก ให้มันเกิดเถอะ เรื่องผลมันจะไหลอยู่นั่นแหละ เหมือนคนไม่เคยมีเงิน กำ จนเหงื่อมือออก นี่ก็เหมือนกัน มันใคร่ครวญ อยู่นั่น เป็นแล้วนะเป็นวัน มันเกิดความอัศจรรย์ 219
พระธรรมเทศนา เหมือนหลวงปู่ชอบท่านเดินตอนกลางคืน ไปเจอเสือ ๒ ตัว ข้างหลังก็ร้องมา ข้างหน้าก็ร้องมา ข้างหลังก็เจอเสือเดินมา ใกล้เข้าๆ ก็จะถึงท่าน ดูข้างหน้าก็จะตะครุบ ดูข้างหลังก็จะตะครุบ ท่านก็ ย้อนจิตเข้ามาหาตัวเองเลย ไม่ส่งไปหานั่น ท่านว่าชีวิตก็คงจะคราวนี้ล่ะ ตั้งจิตเลย ถ้าเคยได้กระทำกัน มาแต่ภพชาติหนหลังแต่เก่า ก็สละอัตภาพร่างกาย ถ้าไม่ได้กระทำ กันมาแต่ก่อน ก็อโหสิกรรมกัน พอคิดเท่านั้น จิตรวมพรึบเลย ท่านว่า พอจิตรวมพรึบ เกิดความรู้ขึ้นมา เสือกินไม่ได้เด็ดขาด ท่านก็ยืน อยู่นั่นล่ะ สักชั่วโมงล่ะยืนอยู่นั่น ไฟเทียนกะไต้โคมนะ ไฟเทียนก็ดับ มือแบกกลดอยู่ สะพายบาตรก็ สะพายอยู่อย่างนั้น กลดก็แบกอยู่อย่างนั้น มือหนึ่งก็จับอยู่อย่างนั้น พอจิตถอนขึ้นมา หาเสือก็ไม่เห็น วางของลงกับเอาเทียนจุดโคมแล้วก็มองหาเสืออยู่ ความกลัวหายไปหมดเลย มันมีแต่ความกล้าหาญว่า จะสู้เสือได้ ดูซิ ใจมันกล้า ตั้งแต่นั้นมาคิดถึงเสือคู่นั้น ให้ได้อรรถได้ธรรม ท่านว่าเกิดความฉลาดอัศจรรย์ เราไปไหนไปได้เลย ไม่มีวิตกวิจารณ์ มีแต่ไป ไปที่ไหนมีแต่เสือนะ ท่านไปอยู่พม่า เสือก็นั่งเฝ้าอยู่นั่น จน เช้าไปบิณฑบาตก็ผ่านมันไป ดูซิ ท่านทำ มาอย่างนั้นนะครูบาอาจารย์ อันนี่อะไร นั่งได้หน่อยก็กลัวตาย เดินจงกรมก็ว่าเหนื่อย มีแต่กลัวตาย ก็ไม่เห็นแล้ว ถ้าไม่สละตาย ไม่เห็นหรอกธรรมของพระพุทธเจ้า ดูนะ พระพุทธเจ้าท่านนั่งอธิษฐานอยู่ต้นโพธิ์ อัตภาพนี้กลายเป็น ดินเป็นน้ำ ไปก็ตาม ไม่ยอมลุกจากที่นี่ ถ้าไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำถึงขนาดนั้น ทำ จริงมันต้องเห็นจริง ไม่ว่าอยู่ทางโลก ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ ใกล้เข้าพรรษาแล้วนะ มันจวนเข้ามา การทำ อะไรอันไหน เข้าพรรษาก็ไม่มีทำการทำ งาน ประเพณีพ่อแม่ครูจารย์ท่านพาทำ เว้นไว้แต่ ถนนหนทางมันขาด เป็นหลุม ตรงไหนมันไม่ดี ไปซ่อมแซม อันนี้ปฏิบัติในเขตวัดเสนาสนะตัวเอง ท่านพาทำ อย่างนั้น เรื่องการก่อสร้างก๊อกๆแก๊กๆ ไม่มี ตรงไหนดินพัง มันเป็นเหว ได้ปรับได้แปลง ท่านพาอยู่อย่างนั้น ประเพณีตั้งแต่หลวงปู่มั่นมา ไปเดินวัด ตรงไหนไม่ดีก็เปลี่ยนล่ะ ถนนหนทางตรง ไหนไม่ดีก็เปลี่ยนนั่น ไม่เปลี่ยนก็ไม่งามตาเรา ก็ไม่งามตาโลก โลกมาดูเสนาสนะหรือเดินเดินวัดเดินวา อย่างนี้ เขาก็เลื่อมใสแล้วฝ่ายปฏิบัติ ทำ ให้สกปรกก็เท่านั้นล่ะ มันก็ส่อเข้าไปถึงใจ ใจมันสกปรก ใจไม่สะอาดแล้ว ธรรมก็ไม่อยู่แล้ว จะให้ธรรมมาจากไหน มันแย่มาจากใจนะ มันสำ คัญอยู่ในใจ เอ้า เลิกกัน 220
กัณฑ์ที่ ๓๐ ภาวนาสู้กิเลส ทำ อย่างไร นั่งภาวนาก็มีแต่อารมณ์มาแทรก ว่าพูดอย่างนั้นทำ ให้เป็นอย่างนั้น คนนั้นผิดใจ คนนี้ผิดใจ เอามาใส่ในใจตัวเอง เลยหงุดหงิด ก็นอนเท่านั้นล่ะ เรื่องกิเลสมันกล่อมเราไป เลยนอนกรนครอกๆ กิเลสไชโย เพราะมันชนะเรา เราต้องสู้นะ เวทนาเกิด เราต้องสู้ซะก่อน ถ้าไม่สู้ไม่เห็น ถ้าตาย ตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็คงตายไปแล้ว ท่านคงไม่ได้ประกาศศาสนาจนมาถึงทุก วันนี้หรอก อย่างครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นนี้ ท่านได้บำ เพ็ญเพียรจนสลบถึงสามครั้งนะคิดดู ไม่ใช่ของง่ายนะ ท่านทำ ความพากความเพียร ครูบาอาจารย์ แต่นี่มานั่งกิน นอนกินกันเฉยๆ เพียงอาศัยว่าเป็นสายกรรมฐานเท่านั้น ไม่เอาจริงเอาจัง ถ้าไม่เอาจริงเอาจัง มันไม่เกิด ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ พอนะเลิกกัน 221
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๓๑ แก้อารมณ์จากใจ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๘ การภาวนาไปดูแต่คนอื่นเขานั่น มันเป็นยังงั้นนะ ต้องฝึกตัวเอง ทางโลกเขายังฝึกนะ ต้องฝึก การละการวางนั่น เรื่องอารมณ์นั้นตัวนี้ สำ คัญที่สุด แก้อารมณ์จากใจแล้วสบาย มันจะรวมเองหรอก ปัญญาอบรมสมาธิก็มี พ่อแม่ครูจารย์ท่านแต่งไว้ เอ้า ฝึก เรื่องสัตว์พาหนะ อย่างช้างเขาเอามาจากใน ดงในป่านู่น เอามาฝึกให้ทำ ประโยชน์ ลากนั่นลากนี่ ได้เงินได้ทอง จิตใจเหมือนกัน ฝึกให้เป็นศีลสมาธิ ปัญญาก็ด้วยการฝึกล่ะ ถ้าไม่ฝึกจริงๆ ไม่เห็นหรอก แต่ก่อนเราไม่ได้บวช การฆ่าสัตว์นับแต่ยุงตัวนึงขึ้น ไปนั่น มันจะมีอะไร เว้นไว้แต่ผู้มีสมบัติเป็นเจ้าฟ้าเจ้านายไปอย่างนั้น การฆ่าสัตว์เขาไม่มีแล้ว มีแต่ซื้อ สัตว์มาปล่อยเท่านั้น แต่ชาวนานี้ โอ้ย.. มันก็เท่านั้นล่ะ ปาดแข้งปาดขาเขามากินอยู่อย่างนั้น ต้องฝึกสมาธิเหมือนกัน ให้มันเกิดมันมี เรื่องปัญญาเหมือนกัน ต้องฝึก ทำ อย่างไรมันจะเกิด อันนี่อะไร จิตมันไม่สงบให้สักที แล้วมันไม่มีพลังซิ คิดไปก็คิดไปทางโลกเสีย เลยเป็นโลกไป เป็นสัญญาไป เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะเกิดจากใจมันไม่มี แล้วก็ไม่เป็น ไม่เห็นอะไร ก็เกิดความท้อแท้ สักพักก็ตู่ศาสนา ไม่จริงเท่านั้น เรื้องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น อันตัวไม่จริงไม่ดู สำ คัญตรงนี้ล่ะ ผมว่ามันไม่หมดสมัย เรื่องพวกนี่ มันหมดสมัยแต่เรื่องศีลเรื่องธรรม พวกเราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดเท่านั้น เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เปลี่ยนพ่อเปลี่ยนแม่กันอยู่อย่างนั้น จิตมันข้องอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้นล่ะ เหมือนกับควายลากเชือกลากอะไร มันก็ข้องอยู่นั่น ถ้าคนไม่มา ก็ตายอยู่นั่น อันนี้เหมือนกัน อารมณ์พัวพันจิตอยู่นั่น นอนหลับก็ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่อย่างนั้น มันจะมี อะไรเรื่องกาย ทำ งานทางใจนี่ มันไม่มีหยุดนะ ถ้านั่งภาวนา ก็อยากได้ปัจจุบัน อยากเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ตัวกิเลสล่ะ อยากจะเห็น อยากให้มันทันอกทันใจตัวเอง ดูแต่ไม่ธรรมดานะ เขาปลูกต้นไม้ต้นไร่ กว่าจะได้รับผลกี่ปี เป็นอย่างนั้น คิดอ่าน จับสติให้มันกำ กับจิตตัวเองอยู่อย่างนั้น เอาซิ ธรรมมันจะผุดขึ้นหรอก ถ้าเอาจริงเอาจัง อันนี่ดูก็มีแต่คุยกัน กินน้ำ ร้อนไปก็คุยกัน นั่งเรียงกันอยู่ศาลาอยู่นั่น พอภาวนาแล้วมีแต่โงกเงก โอ้ย มันจะทันกินอะไร พวกนี้นั่งสักหน่อย เวทนาเกิดขึ้น เจ็บนั่นเจ็บนี่ ก็เลยนอนหงายนู่น แล้วจะเห็นอะไร ท่องได้อยู่ธรรมะนี่ เอาหนังสือไปดู ดูยังงั้นล่ะ จิตใจของเราไม่เป็นไปแล้ว ก็เท่านั้นล่ะ โลเลเหมือนไม้ พาดรั้วนี่ ไม่รู้ว่าปลายมันจะเอียงไปทางไหนแล้ว ประกอบกันไปอย่างนั้น เรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ทำ เอาจริงๆ จังๆ แล้ว ไม่เห็นอรรถเห็นธรรมล่ะ 222
ภาพถ่าย ณ วัดป่ากุง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ๔ กันยายน ๒๕๕๕๔ 223
พระธรรมเทศนา วันไหนก็ของเก่าล่ะ มืดกับแจ้ง ปีนั้นปีนี่ ก็ของเก่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามี ๓ ฤดู ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝนเท่านั้น อันนี่ก็ของเก่านะ อันไหนจะมีใหม่ อันไหน หลงก็หลงของเก่านั่นแล้ว เกิดภพนี้ก็เหมือน เก่า เกิดภพหน้าก็เหมือนเก่า โลกอันนี้ให้ค้นเข้าไปดู ขอให้จิตมันเป็นปัจจุบันเถอะ อดีตที่ล่วงมาแล้ว อย่าไปคำ นึง อนาคตไม่ทันมาถึง อย่าไปคำ นึง ทำ ให้เป็นปัจจุบันอยู่นั่น สังเกตดูหัวใจตัวเอง มันคิดไปไหนไม่ดีก็ หักห้ามมัน ห้ามเข้าๆ ห้ามหลายครั้ง มันก็อยู่เข้าๆ มันก็จับหลักได้เท่านั้น อันนี่อะไร นั่งก็นั่งไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่าน หลวงปู่ชอบท่านว่า จิตท่านไม่มี เดินทั้งวันก็อยู่กับพุทโธทั้งวัน แต่วาระจิตมัน ไม่เป็นอย่างนั้นนะ สะพายบาตรสะพายอะไรนี่ ไม่มีเหนื่อย ท่านว่าไม่มีความรู้สึกเลย เบาตนเบาตัว เดินไปเหมือนไม่เหยียบดินก็มี ท่านว่าไม่มีเหนื่อย ยามท่านไปผู้เดียว ทั้งคืนไม่ได้นอนก็มี มันเพลิน แต่วาระจิตท่านไม่ได้ทิ้งพุทโธ ท่านว่า ถ้าเวลานั่งอย่างนี้เหมือนนั่งไม่ถูกอาสนะเลย แต่วาระจิตนั่น เรื่องกาย มันไม่สัมผัสนะ เปรียบเทียบก็เป็นอัปปนาสมาธิแล้ว มันไม่มีกายแล้ว อุปจารสมาธินี่ สัญญาไม่ขาดออก แต่จิตไม่ยึดเอา ได้ยินแต่จิตไม่ยึด ความเจ็บความปวดก็มี แต่จิตไม่ยึดเอา ถ้าอัปปนาสมาธิแล้ว โอ้ย มันไม่มีแล้ว เรื่องกายมันไม่มี มีแต่ใจล้วนๆ มันเป็นหนึ่ง มันไม่มีสองนะ มีแต่หนึ่ง แล้วมันจะกระทบ อะไร ขอให้ทำ ให้เห็นเถอะ เรื่องอันนี่ ในตำ ราพระพุทธเจ้าท่านเข้านิโรธสมาบัติ หรือสาวกท่านก็เหมือนกัน อย่างท่านนั่งภาวนาอยู่นั่น พระโมคคัลลาน์นั่ง มียักษ์มาตี ท่านนั่งที่เดิมอยู่ ยักษ์เซไป ในตำ รามีหมด เข้านิโรธสมาบัตินั่งภาวนา ไก่มาขันอยู่นั่น จนหัวแตก ในตำ รามี พวกเรามีแต่ได้ยินได้อ่านเท่านั้น อันจิตใจของเรามันไม่ถึงนี่ซิ ไม่ถึงจุดท่านเทศน์ ไม่เกิดอานิสงส์ แล้วความเพียรก็ลุ่มๆ ดอนๆ ถ้าเป็นทางไปก็ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่สม่ำ เสมอ มีแต่ความคะนองเท่านั้น อยู่ใครอยู่มัน ดูก่อนนะ วันหนึ่งเข้า เดินจงกรม เดินอยู่นั่น เอาอยู่นั่น ปัปๆ อยู่นั่น เห็นครูบาอาจารย์ท่านทำ อย่างนั้น อย่างพ่อแม่ครูจารย์เหมือนกัน ไปกับท่าน ๒ องค์ พอดีท่านฉันจังหันแล้วนี่ เข้านั่งที่เลย ปุปปัป เอามุ้งลง มันไม่มีฝานะอยู่นั่น ปุ๊ปๆ ท่านเอาลง นั่งอยู่นั่น นู่นกวาดตาด กวาดตาดก็บ่ายสามบ่ายสี่ กวาดตาดออกมา ถ้าเดินก็ฉันจังหันแล้ว ก็เดินแล้ว กวาดตาดนู่นถึงออกมา ถึงขนาดนั้นล่ะ มันต้องมีล่ะ มันต้องรู้ล่ะ อันนี่อะไร นั่งก็โยกเยก แล้วจิตใจ ไม่รู้มันวิ่งไปทางไหน ถ้าเป็นควายก็อยู่ทุ่งนานู่น เลียก้นเขาอยู่นั่น อันนี่อะไร ไม่เตรียมตัวไว้เลย ทำ อย่างไรมันจะทัน ทันแต่ความต้องการของเรา มาบวชก็หวังจะพ้นทุกข์นะ ปรารถนานู่น มรรคผลนิพพาน ตายแล้วถึงจะไปนิพพาน โอ้ย ไม่ได้ทำ ไว้ เดี๋ยวนี้ไม่เห็น เดี๋ยวนี้ไม่ถึงหรอก ให้พากันเร่งความพากความเพียร จวนเข้าๆ ใกล้เข้าพรรษาแล้ว 224
หลวงปู่ลี กุสลธโร กับ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อัมพโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร ภาพถ่ายที่วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ (พูดท้ายเทศน์) พวกนั้นมาถามเรื่องทำ ไม้ให้เขาทำ หรือเปล่า มันมากไม้เหลือ ผมกลัวกรมป่าไม้มายึดเอา เมียกรมป่าไม้มาพูดเรื่องไม้เก่าไม่มีไม้ใหม่ เอาไม้ปาเก้มาใส่ แล้วถอนไม้เก่าท่านออก ไม้มีแต่ไม้มีค่านะ หลวงปู่ท่านทำ เอาไว้ศาลา ไม้หน้า ๑๖ , ๑๘ , ๒๐ ก็มี มีแต่แผ่นใหญ่ๆ แต่ก่อนไม้มีมาก จะเอาอย่างไร ก็ได้ ไม่ต้องขออนุญาตนะสมัยก่อน ไปตามไร่ตามสวนมีมากมายนะ ทุกวันนี้มันขาดแคลน เพราะขาย ไม้ไปหมดแล้ว ขายไปต่างประเทศหมดแล้ว ถึงจะมารักษา แล้วก็มายึดเอาไปเห็นเมียกรมป่าไม้มาพูดให้ ฟัง หลวงปู่ลี : เป็นอย่างไรภาวนา ลูกศิษย์ : สงบดีอยู่ครับผม เร่งรักษาความสงบแล้ว จะให้มันสงบหมดทั้งวันก็ให้สงบ อย่าไปรบกวนมันเลย อันนี้นี่แหละ เวลา มันจะเกิดอันนี่แล้ว มันจะใคร่ครวญเองหรอก บางครั้งมันผุดขึ้นมาเองหรอก ตั้งใจนะ เรามาบวชเมื่อแก่ ถ้าจะเอาพ้นทุกข์จริงๆ อย่างแย่ก็ได้โสดา ละอัตภาพร่างกายนี่เพียง ๗ ชาติเท่านั้น ถ้าสกิทาแล้วเกิด อีกชาติเดียวเท่านั้น พระอนาคามีแล้ว โอ้ย ไม่มาเกิดอีกแล้ว นู่นแล้ว ดับขันธ์แล้วไปอยู่ชั้นสุทธาวาสพรหม สร้างบารมีต่อไปเลย อันนั่นขาดจากกามไปแล้วนะ 225
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๓๒ เป็นพระให้เป็นนักเสียสละ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๘ การงานที่กำ ลังเริ่ม ทำ ให้มันเสร็จก่อนเข้าพรรษา เข้าพรรษาแล้ว ตั้งใจกันทำ ความพากความเพียร เดินจงกรมภาวนา อยากเห็นจริงความรู้จริง ให้มันเห็นอยู่นั่น จิตไม่สงบ จิตไม่เป็นสมาธิ ไม่เห็นนะ มัวแต่เล่น เข้าหมู่กันแล้วเหมือนนกเอี้ยง มันก็มีเท่านั้นล่ะ พูดกันหน่อยก็เอาแล้ว เอาแต่เรื่องโลก มาพูด เรื่องของธรรมมันไม่ปรากฎแล้ว สักพักก็ทะเลาะกันเท่านั้น อวดดี ไม่เอานะแบบนั่น ถ้าผิดกัน ให้ออกไปทั้งคู่เลย ไม่ใช่ทางพระทางเณรนะ ทางพระทางเณรไม่เป็นไปอย่างนั้น ปฏิบัติไม่ได้ก็ไปอยู่ ทางโลกเขานู่น เป็นพระก็นักเสียสละนู่น ไปถือทิฐิมานะเหมือนอย่างโลกเขานั่น รักษาศีลยังไง ศีลตั้ง ๒๒๗ ข้อ เอาอันไหนเป็นศีล ศีลกาย ศีลวาจา พวกนี้นะ มันผิดก็ผิดอันนี้ มันจะไปผิดอันไหน ผู้มีศีลก็อยู่นี่ล่ะ คำ พูดสำ คัญ ตัววาจานี้เก่งจริงๆ ตัวมุสามันกินทุกเวลา เรื่องโกหกตัวเองนี้เก่งจริงๆ นั่งเข้าสิ นั่งเข้า ปุปปัปเอาแล้ว มากล่อมล่ะ เจ็บนั่นปวดนี่ สักพักก็ทนไม่ไหว ก็ล้มลงเลยใส่หมอนนู่น กรนครอกเลย เอาแล้ว มันได้คะแนนไปแล้ว เรื่องกิเลส ทำ อย่างไรเราถึงสละกิเลสอันนี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่มีกิเลสนะ สละออกหมด ท่านเอาธรรมไปจับหมด อันไหนไม่ถูกธรรม ท่านปลดเปลื้องออกหมด เรื่องราคะ ตัณหา อะไรมันจะพาเกิดพาตาย ท่านละออกหมด ตัวเรายังไปถืออยู่นั่น ถือดีถือเด่นอยู่นั่น แล้ว ก็นอนอยู่นั่นล่ะ จิตนั่นถ้าไม่ถึง การภาวนาถ้าไม่ถึงสัปปายะ จิตมันก็ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่นั่นล่ะ ถ้าเหมือนไม้พาดรั้ว แล้วแต่ลมมาแล้ว ลมไปทางไหน ก็เอนไปทางนั่น นี่เหมือนกัน หลักจิตไม่มี หลักจิตไม่มีแล้วมันก็เอน ไปอย่างนั้น เอาตามอารมณ์ มาแล้ว อารมณ์มาทางไหนก็ไปตามนั่น ท่านว่าหลักสมาธิไม่มี สมาธิ แปลว่าความตั้งมั่นนะ ไม่เอนเอียงแล้ว เหมือนหลักเขื่อนเขาปักไว้ ลมมาก็ไม่เอนเอียง จิตใจพวกเรานี่มันวิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะเห็นอะไร เหมือนกับคนเดินหรือคนวิ่ง ถ้าคนยืนอยู่กลาง แจ้งแล้ว โอ้ย...คนจะมาจากทางไหนก็เห็นหมดแล้ว มาจากทางซ้ายทางขวา อันนี้เปรียบเทียบ จิตมันไม่เห็นหลักเห็นธรรมอะไร ญาติโยมเขาทำ ดีกว่าพระก็มีนะ ทุกวันนี้ มาพูดให้ฟังเป็นที่น่าอัศจรรย์ก็มี พวกเรานี้ไม่ได้อะไร ไม่ได้เรื่อง เดินจงกรม ทางจงกรมก็ไม่มีแล้ว ว่ากรรมฐานไปอวดโลกเขาอย่างนั้น ลูกศิษย์คนนั้น ลูกศิษย์คนนี้ พอออกจากนั่น ไปโฆษณาหาอยู่หากิน เรื่องกิเลสตัณหามีมาก มันเป็นไปอย่างนั้น 226
การภาวนา ถ้ามันสู้เอาจริงๆ นะ จนตายนู่นนะ ธรรมถึงจะเกิด ความอัศจรรย์มันถึงจะเกิด ถ้าไม่สู้อย่างนั้นไม่ได้แล้ว ไม่เห็นธรรมเลย ไม่เห็นความอัศจรรย์เลย เอาซิ สู้ดูซิ คืนหนึ่งเอาดูซิ จะเอาอิริยาบถเดินก็เอา จะเอาอิริยาบถนั่งก็เอา เอาถึงขนาดนั้นะ โอ้ย...ไม่จับหลักไม่ได้แล้ว ไม่มี แล้วก็ไม่เกิด ถ้าจิตมันรวมได้ครั้งหนึ่งแล้ว มันมีทางไปหรอก แต่อันนี่มันรวมลงไม่ได้สักครั้ง อย่างพ่อแม่ครูจารย์ให้พาหมู่ไปภูหลวงดูซิ ให้ช้างให้เสือทรมานช่วย จิตมันไม่รวมสักที ให้ไปที่ไหน มันกลัวแล้ว ตัวนั่นล่ะมันได้ความเพียร จิตมันไม่ออกจากกายนะ ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ตามมันแล้ว โอ้ย เหมือนควาย ก็ไปหาดมก้นเขาอยู่นู่น ทุ่งนานู่น วิ่งอยู่อย่างนั้น เรื่องมัดจิตมัดใจของเรา ไม่มีอุบาย แล้วก็ปล่อยตามเลย แล้วอย่างไรมันจะเห็น ต้องฝึกต้องฝนเอาจริงนะ ถึงจะเกิด ให้แก้ไขตัวเองอยู่อย่างนั้น สิ่งที่ต้องปลด ก็ปลดอยู่อย่างนั้นล่ะ ไปหาที่วิเวกไปอย่างนั้นล่ะ อยู่กับภูกับเขานู่น อยู่องค์เดียวมันสบาย มันสนุกนะไปอยู่องค์เดียวอย่างนั้น ไปหาวิเวกอยู่อย่างนั้น เดินจงกรมภาวนาอยู่อย่างนั้น ไปเที่ยวเมืองเลย เขาไม่สนใจหรอก เขาทำ แต่ งานเท่านั้น มีแต่เขาใส่บาตรให้กินเท่านั้นแหละ เราก็บอกว่า ใส่หมกใส่ห่อพร้อม ไม่ให้มาเลยก็มี อยู่บนภูบนเขาพวกนั้น มันไกลนะ ไปอยู่ภูนั่น หนทางไปบิณฑบาต กว่าจะได้กลับมา นู่นแล้ว พอล้างบาตรก็ถึงเวลาเพลแล้ว มันเพลินกับสัตว์ แต่ก่อนตอนกลางคืนเห็นกวาง ไปบิณฑบาต เห็นฟานแม่ลูกอ่อน มันออกหากินแล้ว เพลินกับเขา ตอนแรกเห็นเรานี่ วิ่งแล้ว จนร้องบอกมัน เฮ้ย อย่าวิ่ง เพศนี้ไม่ใช่เพศเบียดเบียนหรอก ว่างั้น เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราอย่าไปกลัวกัน อย่าไปวิ่งสิ เดียวมันจะตกเหวนะ แต่มัน วิ่งอยู่นั่น ๓ วัน วันที่สี่ โอ้ย ไม่วิ่งแล้ว แต่ยืน ๓ ตัว กินมะกอกอยู่นั่น ตาดูเรา ก็พูดกับมัน โอ้ย อย่าไปวิ่งนะ พวกเดียวกันล่ะเรา เราเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่ผิดอะไรกัน ต่อไป โอ้ย มีแต่ กินเฉยแล้ว มันไม่ดู มันก็รู้นะสัตว์ เปรียบเทียบมันก็จิตใจอันเดียวกัน มันต่างแต่กายเท่านั้น เขาก็ เสวยวิบากของเขา เขาเคยทำ ดีทำ ชั่วมา กรรมดีกรรมชั่วของเขา อันวาระจิตอันเดียวกัน ผูกโกรธ อาฆาตก็มีเหมือนกัน สัตว์ ไปซิไปทำ มัน มันเอาเลยล่ะ อย่างกวางอยู่กับหลวงปู่ชา พระไปตีมัน พอตีแล้วก็ไปอาบน้ำ แล้วก็ขึ้นกุฏิ พอค่ำ มาเดินจงกรม มันแอบอยู่แล้ว พอพระที่ตีลงมา มันก็ชนเอา จนต้องประคบไฟ ถ้ามันไม่ผูกโกรธ มันจะทำ ได้อย่าง นั้นหรือ อาจารย์ทุยเหมือนกัน หมู่พูดให้ฟังว่าท่านเลี้ยงค่างไว้ มันกัดเอาอย่างนั้นแล้วกัดเจ้าของ ไม่เป็นอะไร กัดมือจนทะลุนู่น ท่านก็ไม่พูด หมูพูดให้ฟัง ก็ไปตีมันล่ะ มันดื้อก็ตีมัน มันก็ผูกอาฆาต ผมไม่อยากเลี้ยงสัตว์ มันจะเป็นกรรมต่อกัน พากันเร่งความพากความเพียร หนังสือก็มี เทปก็มี เปิดอ่านเอา บังคับจิตใจตัวเองใส่หลัก ธรรม อย่าคิดไปทางไม่ใช่ทาง ทางโลกทางสงสาร ให้คิดทางบวชของตัวเอง เราบวชมาหวังบุญ หวังกุศล สิ่งไหนเป็นบุญเป็นกุศลทำ เลย อย่าพากันเล่นมาก วันนี้พอ เลิกกัน 227
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๓๓ ให้ฝึกความสงบ กรกฏาคม ๒๕๓๘ เป็นอย่างไรหมู่พวก ภาวนา ภาวนาพูดให้หมู่ฟังหน่อยซิ เมื่อวานหมากัดกันดังมาก เลยไปดู เห็นหมู่พวกมา เลยบอกให้ไล่หนี ไม้กวาดตาด มีคนมาเอาไปหรือ โอ้ย เป็นสมบัติฝากไว้ที่นี่ กองไว้ให้ เป็นประโยชน์ที่นี่ ทำ ๕๐ กว่าไม้ ทุกวันนี้อะไรเป็นของดีหมดนะ เช้าถึงเย็น คนนั้นไปคนนี้มา ผู้หนึ่งไปผู้นี่มา คิดดู พ่อแม่ครูจารย์ท่านเก่งกว่านี้ ต่อไปมันจะได้ใช้ อุบาย ครูบาอาจารย์ท่านก็ไป โอ้ย..ผมนี่โรคกำ เริบเก่งจริง แต่สบายทางใจเท่านั้น มันเอาอยู่ เจ็บขึ้น มาเป็นตุ่มขึ้นเลย ถ้ามันขัดตรงไหนมากๆ เป็นตุ่มขึ้นเลย ผมว่าเป็นโรคมะเร็งหรือเปล่าว้า เห็นแต่เขา พูดโรคมะเร็งเป็นยังไง อาการมันวิ่งอยู่อย่างนั้น มันผุดขึ้นมาแต่นู่นล่ะ อยู่กุฏิใหญ่ พูดมากก็ไม่ได้ คนจะมากวนเอาไปโรงพยาบาล เร่งนะ ความเพียร เผื่อผมตายไป ปัจจัยอยู่กับโยมประหยัด เป็นสมบัติ ของวัดนี้ ไม่ได้เอามาประกัน เผื่อผมตายก็ให้หมู่รับเอา มันจวนแล้วนะทุกวันนี้ คิดดู สังขารร่างกาย อ่อนทุกปี วันไหนมันจะไป บางคืนนี่ โอ้ย ลมขึ้นมาก ลมนี่สำ คัญมาก ให้พากันเร่งนะ ความพากความเพียร ตัวการกระทำ นั้นสำ คัญ ภาวนากำ หนดตัวเองนั่นให้มันสงบ ถ้าไม่สงบแล้วไม่เห็นอะไรหรอก หัดความสงบซะก่อน มันสงบเป็นชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมงก็ช่างมัน จิตถอนออกจากความสงบแล้วถึงมาใคร่ครวญ ใคร่ครวญความสงบ ใคร่ครวญอันนั้น ถ้าจะพิจารณา แยกธาตุแยกขันธ์ออกเป็นนส่วนๆ ก็ได้ เวลาสงบอย่าไปกวนเลย มันจะสงบทั้งวันก็ช่าง อย่างพ่อแม่ครูจารย์ ท่านพูด ถ้าอยู่กับพุทโธแล้ว ไม่มีเสือ ช้างไม่มี มันปรุงไม่ได้นะ อยู่กับพุทโธ ไม่มีกลัวอะไร เพราะจิต ไม่แส่ไปทางนั่น สงบอยู่นั่น สังเกตจิตใจของเราเหมือนกัน เวลานอนหลับนั่นนะ นอนหลับมันไม่มีสตินะ การภาวนามีสติ ทำ ไมจะไม่รู้ มันว่าเวทนายังงี้ ก็รู้จัก อันนั่นการนอนมันไม่มีแล้ว เช้ามา โอ้ย... หลับเป็นตาย ไม่ฝันอะไร อันผู้รู้มันว่าอย่างนั้นนะ วันนั้นฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ รู้ขึ้นหมด ตัวรู้มันไม่ได้ขาดปราศจากสติ นี่แหละ ขอให้ฝึกสติให้มากๆ เถอะ มันจะเห็นล่ะ ตามพุทธประวัตินะ เรื่องภพชาติหรือเรื่อง ละเอียดเข้าไปกว่านั้น มันจะปรากฎขึ้นไปเองหรอก ขอให้มันอยู่เถอะ เหมือนเขายืนอยู่กลางแจ้งนั่น มาทางทิศไหน ขึ้นอยู่กับสติ ผ่านหรือไม่ผ่าน มันจ้องอยู่นั่นนะ ความเพ่ง อย่างอาจารย์ทุยมาพูดว่า ท่านไปประเทศนอก ท่านว่าเขามาศึกษา มันก็ของหยาบๆ นี่ล่ะ ประเทศ อเมริกาก็ไปมา เขาไปล่าเนื้อ กำ ลังจะยิงเนื้อ จะยิงก็ยิงไม่ได้ ก็เลยเพ่งอยู่นั่น ความเพ่งตัวนั้นล่ะ จิตมันจ้องแต่อันนั้นนะ มันจ่ออันนั้น จิตไม่มีอารมณ์ใดๆ มันจ่อเข้าๆ สักพักก็เกิดนิมิตขึ้นเห็น ลืมตาเห็น เทวดาเดินออกมาจากต้นไม้ อ้าว ทำ ไมเป็นอย่างนี้ ก็เพ่งอยู่อย่างนั้น จะยิงเนื้อก็เลยยิงไม่ลงเลย แล้วเกิดอัศจรรย์ตัวเองขึ้น เลยทิ้งปืน เลยหันมาภาวนาทางใจอยู่อย่างนั้น เกิดจับต้นได้ตรงนั้น อันนี้ มันเป็นสมาธินั้น จิตเพ่งใส่นั่น จิตนิ่งนะ จิตมันเที่ยง ใครจิตเที่ยงก็เป็นอย่างนั้น เป็นของแปลกนะ เพราะมันจดจ่ออยู่อย่างนั้น 228
พวกเรานี่วิ่งตามอารมณ์น่ะ วิ่งตามความอยาก นั่งเข้าป๊ัปก็อยากได้อันนั่น อยากเห็นอันนี่ อยากเหาะได้ คิดไปคำ นึงไปแล้วมันไม่ซิ พิจารณาก็พิจารณาไปอย่างนั้น ไปตามสัญญา มันไม่เกิดจากใจ ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์อย่างนั้น แล้วก็พิจารณาไปอย่างนั้น แล้วมันก็อืดๆ เข้าทีนี้ เพราะมันไม่เกิดจากใจ อันนี่มันไม่เกิดกับตัวเอง นิสัยมันต่างกันนะ อันนี้พูดอะไรเรื่องมรรค ก็ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ถึงพระอรหันต์มันมีหลายขั้นนะ การพิจารณา เหมือนกัน มันก็มีหลายขั้นนะ คิดดูตั้งแต่พระพุทธเจ้า กว่าจะได้ตรัสรู้ นางตัณหาอรดีมาเกลี้ยกล่อม ออกจากนั่น ทำ อย่างไร พระพุทธเจ้าไม่ยินดียินร้ายด้วยแล้ว ทำยังไงก็เอาอยู่นั่น ก็ยั่วยวนอยู่อย่างนั้น ๓ คน เนรมิตคนละร้อยอย่าง รวมกันเป็น ๓๐๐ อย่าง พระพุทธเจ้าไม่ยินดีนะ วางจิตเป็นดินหรือเป็น ผ้าเช็ดเท้า จะทำ อย่างไรไม่ได้ เสียใจวิ่งไปหาพญามารนั่นล่ะ พ่อนะบอกให้มาตัดรอน ไม่ให้พระพุทธเจ้า ได้เป็นพระพุทธเจ้า ไป เจ้าไปเกลี้ยกล่อม พ่อก็โกรธมาก พาเสนามาเป็นร้อยอย่างพันอย่าง มาล้อม พระพุทธเจ้า ทั้งช้างทั้งม้าทั้งควายทั้งวัวหลั่งมา ยิงศรใส่พระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้น ยิงก็เป็นดอกไม้บูชา ท่านหมด ทำ อย่างไรก็ยิงไม่ถึงท่านๆ เรื่องบารมีนะ พระพุทธเจ้า สักพักนางธรณีก็มาเป็นพยาน บีบน้ำ ไปท่วมพญามารได้ หรือพวกเราจะเป็นพวกนี้ การภาวนาต้องวางพวกนี้นะ ถ้าไม่วางพวกนี้ เขาก็โอ้ย.. อยู่นี่ล่ะ เกิดแก่เจ็บตายอยู่นี่ ถ้าไม่เอาชนะ นั่งเข้าไปสักพักก็เป็นเหน็บ นั่นล่ะพญามาร เดี๋ยวก็คันนั่นคันนี่ แล้วก็เข้าถึงใจหนักๆ โอ้ย จะทำ งาน เอาแต่ใจมาก กายไม่เอาก็นอน มันกล่อม เรื่องกิเลสกล่อมเลยนอน เลยไม่ได้ความพากความเพียรอะไร แล้วก็เดินๆ ไป สัตว์เดรัจฉานเขาก็เดินได้ถึงขนาดวิ่งนู่น เดินไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ก็ไม่เป็น พระพุทธเจ้า สรรเสริญสติกับปัญญา จะพ้นทุกข์ได้ ก็เป็นเรื่องปัญญา นั่งตอนนั้น มันเป็นอย่างนั้น นั่งตอนนี้ มันเป็น เอย่างนี้ ให้สังเกตสังกาจิตตัวเอง ถ้าไม่ดู จับหลักไม่ได้ จิตมันเป็นไปอยู่ แต่นั่น จับจิตไม่ได้จับต้นสาย ปลายเหตุ เอ้า...ถ้าจิตรวมได้ครั้งหนึ่งขนาดเกิดแล้ว มันจะจับหลักได้แล้ว แต่นี่มันไม่รวมสักที อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านให้ไปภูหลวง จัดให้พระไป ให้ไปครั้งละ ๕ องค์ เปลี่ยนกันไปให้ช้างให้ เสือทรมานช่วย อันนี่ใส่หมอนเท่านั้นล่ะ นั่งเข้าจริงๆ กำ หนดจิตเข้าจริงๆ ไม่มีลมหายใจนู่น แต่มันไม่ตายนะ วาระจิต สังเกตอยู่ว่าลมไม่หมด มันเป็นอย่างนั้นก็มี ให้พากันเร่งความพากความเพียร เข้าพรรษาแต่ ครั้งพุทธกาลนั้น โอ้ย ต้ังสัจจะอธิษฐาน ว่าจะเร่งให้มันได้ตรัสรู้อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นวัตรๆ ธุดงควัตร เอาเพิ่มเติมเป็นสมบัติพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านดำ เนินมา ให้มีสัจจะบังคับจิตใจตัวเอง ถ้าไม่มีการ บังคับจิตใจตัวเองแล้ว โลเล ไม่มีหลัก แล้วแต่มันจะไปทางไหน ให้บังคับสอนตัวเองนั่น ผู้อื่นสอนแล้ว มันจะผิดใจนะ 229
พระธรรมเทศนา ภาพถ่าย ณ วัดป่ากุง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ๔ กันยายน ๒๕๕๕๔ 230
กัณฑ์ที่ ๓๔ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ๑๙ กรกฏาคม ๒๕๓๘ เร่งเข้า ความเพียร มันบีบมันคั้นอยู่นั่นแล้วนะกิเลส ทำ อะไรมีแต่กลัว กลัวแต่ตายเท่านั้นล่ะ ตัวนี่แหละ วันนี้ผู้กองไม่มาเหรอ เขาไปพักแล้วหรือ เอาธรรมะมา กัณฑ์นี้ไม่ให้ผู้ใดฟังหรอก ตัวเองฟังเอง นึกว่าผู้กองมาที่นี่ จะเปิดให้ฟังเร่งความเพียรเขา หายากนะ คนมาภาวนาและมาอดอาหารด้วย หลวงปู่ลี : เป็นอย่างไรแม่ออก การภาวนา หรือมากินมานอนอยู่อย่างนั้นหรือ? โยม : มีแต่เจ็บแต่ปวด ทำ อย่างไรเจ้าคะ หลวงปู่ลี : โอ๊ย ทำ ให้มันเลยปวดเลยเจ็บนู่นล่ะ ตอนนอนหลับ ไม่เห็นมันเจ็บมันปวดอะไร แต่ใจไม่เห็นมันตายนะ ตอนนอนหลับแล้ว วันนี้หลับเป็นตายไม่รู้ตัว วันนี้ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ของอันนี้ อย่าไปยึดมัน อันไหนก็ของกูๆ หมด มันก็เจ็บซินั่น ถ้ามันวางดูซิ ถ้าว่ามันเจ็บน่ะ จิตไม่เป็นสมาธิ เป็น สมาธิแต่เพียงนอนเท่านั้น มันแยกกันไม่ออกซินั่น ถ้าจิตเป็นสมาธิจริงๆ แล้ว โอ้ย..อัปปนาสมาธิแล้ว มันไม่มีหรอกกาย มันมีแต่ผู้รู้นั่น ให้มันสัมผัส อยู่นั่น นั่งทั้งคืนก็ทั้งคืนอยู่นั่น ถ้าอย่างนั้นมันจะไปอัศจรรย์อะไร ธรรมพระพุทธเจ้า มีแต่ชมครูบา อาจารย์ ชมพระพุทธเจ้าเฉยๆ หัวใจของตัวเองแล้วไม่ได้ดื่มสักครั้ง มีแต่ดื่มความเจ็บความปวดนั่น จะอัศจรรย์อะไรนั่น ตามกิเลสตัณหาเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วไม่ทำ เองๆ สักครั้ง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้แหละ วัฏฏะ เปลี่ยนพ่อเปลี่ยนแม่ เปลี่ยนพี่เปลี่ยนน้องแล้ว จิตมันข้องอยู่นั่นนะ ทำ เอาซะ ให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านี้ก็ดีแล้ว มันเปลี่ยนแปลงนะ เรื่องการกระทำ สักพักไปเป็นสัตว์ให้ เขาทำ ไร่ทำ นาอยู่นั่น เขาตีเอาๆ มันจะเห็นหรอก นับวันล่ะ ถ้าไม่เห็นอันนี้ เขาจะบวชเหรอ ขอให้จิตมันสงบเถอะ ก็เรื่องราคะล่ะ มันพาไปเกิดนั่นเกิดนี่ ตามจิตให้มันทันเถอะ ถ้าอยากเห็นภพ เห็นชาติแล้ว หัดสติให้เป็นมหาสติ หัดปัญญาให้เป็นมหาปัญญาดูซิ ตามจิตให้มันทัน อันนี่จะไปทัน อะไร อันนี่จะพูดทำ ไมภพชาติ แค่วันหนึ่งก็ตามจิตไม่ทันแล้ว มันคิดไปทางชั่วหรือมันคิดไปทางดี ยังไม่รู้จักเลย เหมือนหมาเห่าบ่างพวกนั้น ไม่รู้ว่าขึ้นต้นไหน เห่าซะไปทั่ว เพราะมันไม่ได้กลิ่นนะ อันนี่ เหมือนกันล่ะ ถ้าหัดดู ครูบาอาจารย์ท่านหัด กว่าจะได้รู้คุณวิเศษ หัดพุทโธนี่เป็นปีๆ นู่นนะ ถึงค่อยอยู่ ไม่ใช่ของง่ายนะ มันชำ นาญแล้ว ทางภพทางชาตินี่ เทียวเกิดเทียวตายนี่มันชำ นาญมามากแล้ว มันไม่ฝืนแล้ว เหมือนเขา หัดควายหัดวัวนู่น ดูซิ ควายวัวนั่นเอาแอกใส่คอนี่ เอาแล้ว ดิ้น เพราะมันไม่เคยแบกสักครั้ง มันก็พลิก ข้างนั่นบ้าง ข้างนี้ล่ะ ถ้ามันด้านแล้ว โอ้ย มันไม่ได้พลิกล่ะ เพราะมันเคยแล้วนะ มีแต่ดิ้นพราดๆ เลยล่ะ ดิ้นไปเลย เร็วก็เร็ว อันนั้นแทงนั่นแทงนี่แล้วมันไม่ชำ นาญ 231
พระธรรมเทศนา อันจิตใจของเราเหมือนกันล่ะ การนั่งเหมือนกันแหละ จิตมันไม่สงบสักทีนะ จิตไม่เป็นสมาธิสักที แล้วมันจะวางอุปาทานได้ยังไงนั่ง ก็แบกหามอยู่อย่างนั้นล่ะ ตอนนอนหลับแล้ว โอ้ย..มีได้เท่านั้นล่ะ ความสุขของผู้มีกิเลสตัณหานั่น มีแต่นอนหลับเท่านั้น นอกจากนั้นมีแต่ไฟหมดล่ะ ดีไม่ดีก็โกรธตัวเอง ไม่ได้ดั่งใจตัวเองก็โกรธ เครียดกับตัวเองก็มี จะฆ่าตัวเอง ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เป็นยังงั้นนะ ไม่ให้ เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ให้เบียดเบียนตัวเอง หัดเข้า ฝึกเข้าหมดล่ะ อยู่กับการฝึกนะพวกนี่ นั่งก็ฝึก นอนก็ ฝึกอยู่นั่น ฝึกตัวเอง ฝึกจิตฝึกใจ ฝึกการฝึกงาน เขาเรียนมาแล้วในตำราเรียนมาหมด แล้วก็มาฝึกงานอีก เรานี่นักปฏิบัติ ฝึกตัวเองอยู่อย่างนั้นล่ะ ไม่มีผู้ใดทำแทน ครูบาอาจารย์มีแต่บอกทางเท่านั้นล่ะ อันว่าจะทำ เอา ตัวเองทำ เอาหมด ทำ เอาเอง เหมือนกับเรากินข้าวนี่ล่ะ มันจะนั่งเฝ้าอยู่ก็ช่าง ถ้าไม่กินแล้ว ไม่รู้จักรส ไม่รู้จักอิ่ม เหมือนความเจ็บความปวดนี่ล่ะ วันนี้มันเป็นยังงั้น มีแต่ถามกันเท่านั้นล่ะ อันความเจ็บปวดทำ แทนกันไม่ได้ อันนี่มีแต่ให้ท่านสอน แล้วก็จำ เอาคำ พูดท่านไปโฆษณาเท่านั้นล่ะ ท่านดี เทศน์ดี เทศน์เท่านั้น แต่จะละกิเลสตัณหานั้นไม่มี มีแต่ทำ เอาเอง นี่ล่ะ ไม่อยากพูด พูดไปก็ไม่มี ประโยชน์ ดูหมู่ดูพวกเหมือนกัน โอ้ย.. มีแต่เล่นล่ะ ทะเลาะกันเหมือนหมา ผมระอานะ โอ้ย...ผมก็เคย อยู่กับครูบาอาจารย์มานะ เท่านั้นล่ะ รับหมู่พวกทุกวันนี้ บวชมาไม่ได้ทำ เล่นนะ เดินจงกรมทั้งวันก็เดินได้ นั่งภาวนานี่ โอ้ย.. นั่งเอา ทั้งวันทั้งคืนล่ะ ไม่ได้ทำ เล่น ไม่เล่นกับหมู่ หยอกล้อกับใครไม่เป็น ทำ เอานั่นล่ะ พวกสนุกเฮฮาไม่เคยทำ ฝึกมาอย่างนั้นนะ มีแต่ไปคนเดียวๆ เห็นหมู่ติดตามมาก เข้าบ้านตาด เข้าไปแล้วก็ว่างแล้วล่ะ ช่วยการ ช่วยงานท่าน แล้วก็หลบไปล่ะ เป็นอย่างนั้น แต่พรรษามากขึ้นมา ถ้าพรรษาอ่อน ก็อยู่ประจำ นั่นล่ะ ท่านพูดอะไร จับทันที จับเอาไปพิจารณาเอาไปทำ ความตายมันจะมาวันไหนนะ นั่งก็ตาย นอนก็ตายแล้ว พิจารณาอยู่อย่างนั้นแล้ว ให้มันชินกับ ความตาย ดูเวลาจะตายแล้วก็ร้องคร่ำ ครวญจนให้คนอยู่รำ คาญ บ้านอื่นก็รำ คาญ โอ่ยโอ้ยอยู่นั่น ตายแบบนั่น ตายขาดทุนแล้ว ไม่มีที่เกิดก็เป็นตุ๊กแก ตีฝาอยู่ตุ้บๆ มันห่วงอันนั้นนะ ของกูๆ อยู่นั่น มันเป็นไปอย่างนั้นล่ะ เอ้า ตามดูดีๆ ถ้าว่ามันตาย เอาธรรมของพระพุทธเจ้าไปวัดดูซิ คนไม่สัตย์ซื่ออะไร มันไม่เห็นหรอก ภพภูมิ คนไม่มีศีลมีธรรม มีแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ระดับ จิตท่านรับได้หมด อันปุถุชนคนหนานี่มันจะรับได้อะไร แค่จิตตัวเองก็รักษาไม่ได้ ไปทั่วโลกทั่วแดน ก็เลย ไม่เกิดอานิสงส์อะไร เดินจงกรมก็เดิน แต่ไม่รู้สติมันไปทางไหน แล้วมันจะอัศจรรย์อะไร หมาขนาดวิ่ง มันไม่เห็นได้ตรัสรู้ เดินไม่มีสติไม่มีปัญญา ถ้านั่งก็นั่งเฉยๆ นั่งหลับตานั่งสัปหงก ก็ว่าตัวทำ ความเพียรนู่น มันก็ไม่เห็นอะไรนะ สักพักก็ติธรรมของพระพุทธเจ้า ตัวเองทำ ไม่จริงแล้วไม่ตินะ ไปติผู้อื่นนู่น เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้นล่ะ อันไหนให้มันถูกใจตัวเองหมดล่ะถึงว่าดี มันเป็นอย่างนั้น เอาเรื่องกิเลสมาพูด ก็เชื่อมันนะ เชื่อมันมาหลายภพหลายชาติแล้ว เชื่ออยู่อย่างนั้นแล้ว ของไม่อยากออกจากโลก มันเปลี่ยนแปลงไปได้ ถ้างั้นคนมั่งคนมีคนจนมันก็เห็นกันอยู่อย่างนี้แล้ว ความสุขความทุกข์ก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ล่ะ ข้าวเกิดกับจานก็มี ข้าวเกิดกับหม้อก็มี ความสุขของมนุษย์ก็ ดูเอาชัดๆ อาบเหงื่อกินต่างน้ำ เหมือนพวกเรานี้ก็มี หรือจนท่านว่าหาอะไรก็ไม่มี ก็บุญกุศลล่ะ ดูซิโลก 232
อันนี้ ถ้าคิดอ่านดูดีๆ มันก็เกิดด้วยการกระทำ นะ ท่านถึงพูดว่า “ทำ ดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ไม่สร้างสม บารมีแล้ว โอ้ย.. ทุกข์ตายล่ะ เกิดภพหน้าเห็นกันอยู่อย่างนั้นล่ะ ขนาดออกจากพ่อจากแม่เดียวกัน การทำ อยู่ทำกิน มันก็เราสังเกตสังกาดูซิ ต่างกันที่สุดแล้ว ท่านว่าอกุศลหนึ่ง กุศลหนึ่ง กุสลา ธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา เราทำ ไว้อย่างไร ให้ภาวนาเข้า มันจะประมวลมาเองหรอก ให้ทำ ทุกวันนี้ดูซิ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ ไม่มีเวลาแล้ว ทุกวันนี้วุ่นๆ อยู่อย่างนั้น ไปดูซิ เป็นบุญทุกวันนี้มันเป็นไปอย่างนั้นล่ะ ด้วยความเมตตา ท่านก็พูดไป ก็เทศน์ไปให้ฟัง แต่ก่อน ท่านไม่ได้สนใจอะไรนะ แต่อาตมาอยู่ด้วย เรื่องเทศน์ท่านก็ไม่ได้ สนใจนะ มาแล้วก็ไป แต่คนไม่เหมือนสมัยนี้ ไปบิณฑบาตก็ได้แต่ข้าวล่ะ กลับมาก็ฉันเอาอย่างนั้นล่ะ ไม่เหมือนทุกวันนี้ สบายผิดกันมาก อย่างหลวงปู่มั่นท่านไปอยู่บ้านนาหมี กินข้าวเปล่าอยู่อย่างนั้นล่ะ เขาว่ากรรมฐานนี้ท่านไม่กินเนื้อ กินปลา ถ้าตำ แจ่วก็มีแต่แจ่วล่ะ มีแต่ตำ พริกกับเกลือเท่านั้น ปลาร้าก็ว่าท่านไม่กิน ไม่ฉันกับกล้วย กินกันอยู่อย่างนั้น พอดีโยมแพงเขาพูดให้ฟังหรอก มันก็โง่ขนาดนั้นล่ะ แต่ก่อนนั้น พอดีท่าน(หลวงปู่มั่น) พูดกับเด็กนะ เด็กน้อยไปหา สูมีมะขามไหม มีอยู่แล้ว จะเอามะขามหวานหรือมะขามส้ม มะขามอะไร ก็เอามา จะเอามาขัดฝาบาตร ว่างั้น มาขัดฝาบาตร เขาก็เอาใส่ตะกร้ามาแล้ว ตอนเช้ามา พ่อออกมา คนหนึ่งกับเด็กน้อย มะขามสุกเอาประเคนเลย เอามาท่านก็กินกับข้าวเลย ท่านอาจารย์ก็กินอย่างนี้ก็ได้หรือ เรากินอย่างนี้แหละ พวกโยมกินยังไง ทานยังไง อาตมากินอย่างนั้น โอ้ย มันจะไปอดไปอยากอะไร พวกโยมกินอะไร เว้นแต่สัตว์ ๑๐ จำ พวก หมา ท่านก็ไล่ไปล่ะ งูไม่ฉัน พระพุทธเจ้าห้าม เนื้อมนุษย์ พระพุทธเจ้าห้าม เนื้อช้างนั่นพระพุทธเจ้าห้าม นอกนั้นพวกโยมกินยังไง อาตมาก็กินได้ เป็นอะไร โอ้ย พวกผมนี้มันโง่นะ ว่างั้น ตั้งแต่นั้นมาถึงได้ฉันอาหาร แต่ท่านครูจารย์ดีเหมือนกัน พ่อออกก็มาล่ะ มารับใช้ มาก็กินข้าวเปล่าหรอก รินน้ำ ในฝาบาตร แล้วก็ข้าวนี่จิ้ม โอ้ย.. ครูบาอาจารย์เอาข้าวจิ้มน้ำ อย่างนั้น โอ้ย มันไม่มีอาหารอะไรหรือ ส่องบาตรท่าน โอ้ย เราตาย ได้กินอย่างนั้นนะ ท่านสอนคน โอ้ มันหนามาก มันอยู่ที่การภาวนา การทำ อะไร มันอยู่กับความตั้งใจหรอก ถ้าเราไม่ตั้งใจทำ อะไร ก็ได้เท่านั้นล่ะ การทำ งานเหมือนกัน ถ้าตั้งใจจริงๆ แล้ว งานนี่ได้จริงๆ การภาวนาเหมือนกันล่ะ มันจะค่อยๆ เห็นไป หรอก ถ้าเห็นเข้าไปแล้ว โอ้ย... ความเกียจคร้านมันไม่มีหรอก ขอให้มันเกิดเถอะ มันจะออกอุทานมา หรอก ดีก็ไม่อยู่มัน โลกอันนี้ ชั่วก็ไม่อยู่โลกอันนี้ มันจะอุทานออกมาเลย ขอให้มันเห็นธรรมพระองค์ เจ้าจริง ธรรมพระพุทธเจ้า แต่ผู้ปฏิบัติมันไม่จริงนั่น ก็กลัวตายนั่นล่ะ ของมันเคยตายมาหลายภพหลาย ชาติแล้ว มีแต่กลัวตาย คิดดูอย่างพ่อแม่ครูจารย์ชอบ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ขาว โอ้ย ไปอยู่กับพวกมูเซอ อันพ่อแม่ครูจารย์ ขาวนั่น ไปแล้ว ไปอยู่ที่เสือมากๆ นั่น เขากลัวเสือกินท่าน มาล้อมรั้วให้ ล้อมรั้วไม้เรียงตัดกันแล้วมัดอยู่ ล้อมไม่ให้ท่านออกมาตอนกลางคืน ท่านเดินจงกรม มันก็มาเลียแข้งเลียขาอยู่ฟากรั้วนั่นล่ะ เหมือนหมา บ้านล่ะ ตาอ่อนๆ เหมือนสุนัขเรา ๒ ตัว บางครั้งก็ตัวเดียว มานั่งเฝ้าท่านอยู่นั่น มันคุ้นพระฝ่ายกรรมฐาน มันคุ้นขนาดนั้นล่ะ 233
พระธรรมเทศนา อย่างท่านพ่อลีท่านพูดให้ฟัง ตั้งแต่สมัยท่านเป็นพระหนุ่ม ๓ วัน ๓ คืน ท่านไม่ได้กินข้าว ไม่เห็น บ้านคน มันหลงป่า เหนื่อยมาก ไปถึงมันมืดแล้ว มันเป็นทางช้าง มันเป็นทางอย่างนี้นะคือ ทางคนเดิน สะอาด ใบไม้มันก็ไม่มีนะ ก็มัดเชือกใส่ต้นไม้ฝั่งนู่นฝั่งนี่ นอนขวางทางช้างไว้ พอดีนอนก็หลับแล้ว ช้างก็มาแล้ว ช้างใหญ่ช้างหัวหน้ามาก่อน มาก่อนพวกโขลงช้างมา ช้างตัวนั้นก็อุ้มท่านออกไป กลดไป กางไว้นอกทาง แล้วก็กางให้ท่านนอน อุ้มท่านไป อุ้มยังไง อุ้มเบา ท่านไม่รู้สึกตัวเลย แล้วกลดก็กาง อะไรเหมือนเดิมหมด มันก็ขวางทาง ขวางไม่ให้มองเห็นท่าน หมู่พวกผ่านไปหมด ผ่านท่านไปหมดแล้ว ถึงค่อยไปตามหลังล่ะ นู่นน่ะ ท่านก็มีสติดีนะ เอ๊..เรามานอนนี่ แล้วหันหัวไม่ถูกเหมือนเดิม ขนาดนั้นนะ สติท่าน อันนี้ มันเป็นยังไง ลุกขึ้นเหลียวดู ท่านเลยเข้าที่ภาวนา ภาวนาว่า ช้างตัวหัวหน้ามาตรวจทาง ตรวจอันตราย แล้วก็ลูกน้องมาตามหลัง แล้วมันอุ้มออกมา แล้วก็มาขวางทางไม่ให้หมู่เบียดเบียนท่าน สัตว์ทุกชนิดต้อง มีหัวหน้าทุกตัวทุกคน ต้องเคารพผู้นั้น ภูหลวงนี้ก็มีช้างใหญ่ตัวหนึ่ง ช้างใหญ่ตัวนี้ยืนกินอยู่กลางหมู่ ลูกน้องกินอ้อมอยู่อย่างนั้น ไม่สุงสิงกับใคร อยู่ตัวเดียวอยู่อย่างนั้น นั่นหัวหน้าหมู่ พรานนี่จะเข้าไปหา มันไม่ได้หรอก ชนตัวนั้นชนตัวนี้ มันกินอยู่กลางหมู่นะ หมู่กินอ้อมอยู่อย่างนั้น รักษามัน พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธัมมธโร) 234
กัณฑ์ที่ ๓๕ ส่งเสริมการปฏิบัติ ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๘ ค่ำ เหนื่อยนั่งรถ กลางคืนก็ปวดเนื้อตัว ไปไหนก็ไปยากมายาก เป็นอย่างไรล่ะหมู่พวก การภาวนา ไม่ได้เรื่องได้ราว เข้ากันแล้ว โอ้ย...เหมือนนกเอี้ยงล่ะ ผมเบื่อเรื่องนี้ล่ะ ไม่ได้เบื่อเรื่องอื่นให้หนักใจ ผมก็เคยเป็นผู้น้อยมา ฉันจังหันแล้วก็ไปใครไปมัน โอ้ย.. จะมาคุยกันอยู่ศาลาไม่ได้ อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ (หลวงตามหาบัว) คนก็ไม่มากขนาดนี้ อยู่ห้วยทรายก็มีไม่ถึงสิบ ๘-๙ องค์ ทั้งพระทั้งเณร มันไม่มากเหมือนสมัยนี้ ตั้งเจตนามาก็ดีแล้ว มาอยู่แล้วก็เท่านั้นล่ะ พอคุ้นครูบาอาจารย์ คุ้นหมู่คุ้นพวกแล้ว แล้วก็ทะเลาะกัน มันเป็นไปอย่างนั้น จะให้มันเกิดมรรคผล มันเกิดได้หรือ สัตว์เดรัจฉานเขาก็ทำ ได้อย่างนั้น ไม่เป็นมรรคเป็นผล มีศีลมีธรรมอะไร อยู่ที่นี่หมู่พวกก็หลั่งไหลมา โอ้ย คิดว่าจะอยู่ด้วยกัน ๓ องค์เท่านั้นนะ อยู่ถ้ำก็ผลัดกันออกมาลงอุโบสถ สองวันนี่เจ็บหลัง พวกนี้มันเป็นประเพณี แต่ก่อนอยู่บ้านตาดไม่มีแล้ว เรื่องไปทำ วัตรนั่นทำ วัตรนี่ โดยนิสัยไม่มี ไม่มีการนั่น แล้วพ่อแม่ครูจารย์ก็ไม่ได้ส่งเสริมทางนี้ มีแต่ส่งเสริมการปฏิบัติเดินจงกรมภาวนา แล้วแต่ หมู่จะไป มันจะกลายเป็นพิธีไปหมดแล้ว อย่างผ้าสังฆาฯ ไม่จำ เป็นอะไร เป็นเครื่องประดับไปซะ การใช้พระวินัยก็บอกอยู่นะ การใช้สังฆาฏิ ทางไปเป็นโคลนตมอะไรไปหมดแล้ว ไปกับรถกับเรือ ท่านก็ ไม่อยากให้ใช้เท่านั้น ในหลักธรรมท่านบอกไว้อย่างนั้น ทุกวันนี้มันก็เป็นพิธีไปหมด อะไรก็ตัดเข้าๆ หนังสือ สวดมนต์อย่างนี้ ตัดเข้าหมด ย่อเข้า ทุกวันนี้มีแต่พิธีเท่านั้น ดูซิ ศาสนาทุกวันนี้ว่าเจริญ มีแต่จะเสื่อมแล้ว เสื่อมไปหมด วัดไหนไม่มีเทวทัตต์ โทรทัศน์จะหายากอะไรทุกวันนี้ ขนาดนั้น รูป เสียง กลิ่น รส ตัวเอง ชอบดูรูป อัศจรรย์อะไร ท่านไม่ให้ติดในรูปในเสียงอะไร ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องพวกนี้ พวกเรามันยิ่ง ติดอันนั้น มันจะติดอันไหน ติดหนังนี่ล่ะ พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ให้อุปัชฌาย์อาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ให้พูดสอน กรรมฐาน ๕ ก็สอนอันนี้ล่ะ ของมันข้องอยู่นี่นะอารมณ์ ถ้าจิตไม่ข้องอารมณ์ ๕ แล้ว โอ้ย...มันก็ไป ตามพระพุทธเจ้าแล้ว อยู่กับโลกกับสงสาร มันติดอันนี่ ยินดียินร้ายอยู่นี่ ภพไหนชาติไหนก็อันเดียวกัน หมดแล้ว จะต่างอะไร ความทุกข์ความสุข ผู้ที่เห็นแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าและสาวกเจ้าทั้งหลาย เปรียบเทียบเหมือนกับเป็ดเล่นน้ำ ครำ นั่นล่ะ มันไม่เห็นน้ำ ในแม่น้ำ สมุทรสาครอะไรนะ ไปแล้วก็เลี้ยวมา ของเก่านั่น วัฏฏะอันนี้ มันหมุนอยู่อย่างนั้น มันติดอยู่กับความรักความชังอยู่อย่างนั้น อิจฉาพยาบาท อยู่นั่น พูดไม่ถูกใจแล้ว เอาแล้ว เอามาคิดมาค้นมาพิจารณาอยู่นั่น ผูกโกรธผูกเกลียดอยู่นั่น ใจอันนี่ 235
พระธรรมเทศนา ภาพถ่าย ณ วัดพิชัยพัฒนาราม(เขาน้อยสามผาน) อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 236
พระพุทธเจ้า สาวกเจ้าท่านไม่ได้ข้องกับอันนี้นะ ท่านก็ไปได้ พวกเรามันข้องกับอันนี้ล่ะ แล้วจิต ไม่เป็นสมาธิก็อันนี่ล่ะ ผู้ใดตั้งใจทำ ความสงบก็ให้สงบ สงบแล้วก็ให้พิจารณา แต่เกสาลงไปหาพื้นเท้า แต่พื้นเท้าขึ้นมาหาศีรษะ ให้พิจารณาอยู่นั่นๆ มันข้องอยู่กับนี่ล่ะ ถามมันเข้า ตอบมันเข้า หรือมันจะ เกิดนิมิตอะไร ต้องถามนะ เรื่องพวกนี้ไม่ถามไม่ได้ การฝึก เขาฝึกทำ งานพวกนั้นทางภายนอกหรือทาง โลกเขา อันนี่ก็เราฝึกจิตฝึกใจของเรานี่ พระพุทธเจ้าท่านพาฝึกอย่างไร เอาแบบฉบับของพระพุทธเจ้า มาเป็นหลัก เอาไปใคร่ครวญพิจารณาอยู่นั่น วันนั้นวันนี้อยู่นั่น เอ้า...มันชำ นาญเข้า มันจะคล่องไปหรอก เหมือนเราทำ ไร่ ทำการทำ งานหรือการ จักสานพวกนั้น ทำ ใหม่ๆ มันก็ไม่เป็นล่ะ เหมือนเราเรียนหนังสือ เขียนหนังสือนั่นล่ะ หัวยาวหัวสั้นอยู่ บางครั้งครูต้องจับช่วยนั่นล่ะ อันนี้ทำ เข้าบ่อย มันก็คล่องอยู่นั่น อย่างหลวงปู่มั่นท่านว่า ทำ ให้มากนะ ทำ ให้มาก ให้มันชำ นาญ ชำ นาญแล้ว ไม่ว่าอันไหนมันก็ คล่องหมด การทำ สะดวก วันไหน มืดกับแจ้งมันมีอยู่ประจำ อย่างนี้ล่ะ เราไม่ทำ เอาไม่ได้หรอก เราไม่ทำ เอา ไม่ได้สักอย่าง อย่างท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านว่า ตนนั้นนะเป็นที่พึ่งของตน ให้พากันเร่งความพาก ความเพียร อย่าไปนอนใจนะ ทำ เอา ทำ ใครทำ มันอยู่อย่างนั้น สมบัติใครสมบัติมัน ผู้ใดขี้เกียจขี้คร้าน ก็เท่านั้นล่ะ เรื่องกิเลสนะ มันเหยียบหัวอยู่นั่น อะไรจะให้ถูกใจหมด ผู้อื่นก็จะให้ถูกใจตัวเองหมด แต่หัวใจตัวเองก็ไม่ถูก ทำยังไงมันจะถูก เอ้า เลิกกัน ผมออกร้อนท้องมาก ธรรมชาติ บริเวณสวนอาสน์ เป็นแหล่งที่งูเหลือมชอบมาอาศัยอยู่ 237
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๓๖ ให้พากันตั้งใจภาวนา ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๘ มันไม่ดี น้ำ จะท่วม ไม่ใช่ท่วมแล้วหรือปีนี้ ฝนตกมากไม่ได้ น้ำ ท่วม ถ้าไม่ตกก็บ่นกันปีนี้ฝนดี เป็นอย่างไรภาวนาพวกแม่ออก ดูไม่ใช่หาแต่อยู่แต่กิน เมื่อวานแซวอยู่ป่าไม้ป่าไร่ อย่าทำ มากไปอาหาร มากไป กลัวแต่ไม่เหลือให้กินหรือไง กลัวกินหมดก่อน นู่นนะ เข้าพรรษามาแล้ว เอาธุดงควัตร อยากได้น้อย ยิ่งได้มากพวกนี้ มีแต่เมาการกิน ไม่ได้เดินจงกรม ภาวนาอะไร ไม่ชำ ระสะสางจิตใจตัวเอง มีแต่สะสม แกงหม้อใหญ่มันไม่อร่อยหรอก แกงหม้อเล็กๆ ถึงอร่อย นี่อะไร อารมณ์อันไหน ขนมาใส่ตัวเอง เลยไม่รักษาอะไร ให้ภาวนาดูหัวใจตัวเองอยู่อย่างนั้น อะไรมันเกิด ไม่เป็นอรรถเป็นธรรม เราก็กลั่นกรองเอาได้หมด เสื้อผ้าหน้าแพรเราก็ยังตัดให้มันถูกแบบ ถูกแปลน สิ่งใดไม่งามก็ชำ ระสะสาง สิ่งใดไม่ดี เรามาประกอบประดับ เครื่องตัดไม่ดี ก็กระจุยกระจายซะ เหมือนกันล่ะ อันไหนไม่ถูกตามแบบตามแปลน มันก็ไม่มีระเบียบ พะรุงพะรัง ภาวนาก็คืออันนี่ละ อบรมใจให้มีเหตุมีผล เรื่องการเรื่องงานภายนอกภายใน ให้มันสะอาดเข้าๆ จิตสะอาดเข้า มันก็ผ่องใสเท่านั้น รกรุงรังก็เท่านั้นล่ะ มีแต่ความร้อนมาเผาตัวเอง แม้จะหาเงินกอง เท่าภูเขาก็ช่าง ถ้าใจไม่มีธรรมแล้ว ความกระทบกระเทือนจิตใจนี่นะ จิตใจถดถอยก็เท่านั้น สมบัติก็รั่วไหล ไปหมด ให้พากันตั้งใจภาวนา ถ้าอยากเอาตัวเองพ้นทุกข์นั่น การเข้ามาได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ก็ ดีมาก สบายไปมาก ถ้าออกไปอยู่บ้านอยู่เรือนตัวเอง ก็เอาแล้ว อึดอัดแล้ว สักพักก็อยากออกจากบ้าน อยากเข้ามาหาวัด ทุกวันนี้มันเป็นอย่างนั้น ทุกวันนี้ เพราะโลกมันร้อนมากนะ คิดดู อย่างพ่อแม่ครูจารย์ โอ้ย คนหลั่งเข้ามามาก ที่แท้ทางกรุงเทพฯ อยู่นู่น อยู่บ้านตัวเองมัน ร้อนมันไหม้ ใจมันโลภมาก สมบัติในแผ่นดินนี้ว่าเป็นของตัวเองหมดนู่น หัวใจมันอยากแล้วก็ร้อน เพราะ ไม่ได้ดังใจ แล้วก็หาฟันหาไฟมาเผาหัวใจตัวเองนั่นล่ะ ถ้าไม่มีธรรมเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ก็มีแต่ บอกทางเท่านั้นล่ะ ถ้าจะทำ เอาก็ต้องทำ เอง สมบัติตัวเองก็ทำ เอาเอง เหมือนกับป่วยไข้ ผู้ใดเจ็บแทน กันไม่ได้ล่ะ มีแต่ไปถามอาการเท่านั้นล่ะ เหมือนอาหารนี่ล่ะ อยู่ภาชนะใบเดียวกัน ถ้าเราไม่กิน ก็ไม่รู้จักรส เหมือนกันล่ะ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่รู้จัก มันเกิดด้วยการกระทำ นะ ท่านว่าทำ ดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ต้องทำ เอา อันโลกมันก็เท่านี้ล่ะ มืดแจ้งๆ ล่ะ ความจริง นอกนั้นเป็นสมมุติหมด สมมุติเอาหมด วันนั่นวันนี่ ปีนั่นปีนี่ ก็ของเก่าล่ะ ทางศาสนาท่านตั้ง ให้เป็น ๓ ฤดู ฤดูฝน ฤดูแล้ง ฤดูหนาว นี่มันก็ถูกของท่านล่ะ ฤดูน้ำ ฤดูหนาวมา นอกจากนั้นไม่มีหรอก ก็ของเก่านั่นล่ะ ปีไหนก็ปีเก่านั่นล่ะ 238
ให้เรียนให้มันรู้มหาสมมุติมหานิยมไว้ ใจมันถึงไม่ได้ข้อง ถ้าจะทำ อะไร ก็มีแต่มาหารือล่ะ วันนั้น เป็นอย่างไร วันนี้เป็นอย่างไร ก็วันเก่าล่ะเว้ย มืดกับแจ้งมันอยู่อย่างนั้นล่ะ จะไปเอาอะไรอีก ประกอบ ความดี มันก็ดีเท่านั้นล่ะ ประกอบความร้าย มันก็ร้าย เหมือนมาหาบวชวันนั่นดี วันนี่ดี โอ้ย..มันก็ดีทุกวัน อาตมาไม่ได้หาว่าวันไหนวันนั้น ถ้าไม่กินข้าวดูซิ วันนั้นมันหรือจะรู้สึกอิ่ม มากนะทุกวันนี้ พิธีมากจริงๆ ศาสนากลายเป็นพิธีไปหมด ดูอย่างข้าวสุกปลาตายมาแล้ว แมลงวัน มาตอมอยู่นู่นแล้ว เพิ่งว่า อิมานิ โอ้ย...เจตนาจะทำ บุญตอนไหน เหตุผลมันเป็นอย่างนั้นนะ พอเป็นข้าวสุก ปลาตายมาแล้วนี่ มา อิมานิฯ อยู่นั่น ให้แมลงวันตอมอยู่นั่นล่ะ ถึงค่อยเอามาประเคนให้ฉัน โอ้ย.. พิธี มันมาก พระพุทธเจ้าไม่มีหรอก ครั้งพุทธกาลไม่มี สมัยนี้เกจิอาจารย์แต่งขึ้นยิ่งแหลม เรียนปริยัติได้ เรียนบาลีได้ มาแปลร้อยไปหมด เขาทำ บุญหาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้นั้น พระเจ้าพิมพิสารนั่น ญาติไปตกนรกเป็นเปรตอยู่นู่น มาแสดงอากัปกิริยาอะไร มาให้เสียงให้อะไร มาเหมือนเพื่อน ไม่ได้นุ่งเสื้อนุ่งผ้า เปลือยกายมา แล้วก็ ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้า ว่าฝันอย่างนั้น เกี่ยวอย่างนั้น แล้วก็แสดงเสียงอย่างนั้น ญาติของมหาบพิตรนั่น ไปตกนรกอยู่นู่น แล้วก็ทำ บุญอุทิศให้ซะ ไปแล้วก็ไปทำ บุญใส่บาตรพระพุทธเจ้า ใส่บาตรให้พระพุทธเจ้า แล้วก็มาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั่น ได้นิมิตเห็นรูปร่างพวกนั้น จากตัวผอม หายหมด เป็นอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ไม่มีเสื้อผ้า แล้วก็ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าอีก พระพุทธเจ้าว่า ไม่ได้นุ่งเสื้อนุ่งผ้า ก็เอาสิ ทำ บุญ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ เอาผ้าบังสกุลให้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็แจกจ่ายให้ลูกศิษย์ลูกหาตัดจีวร อะไร ให้นุ่งแล้ว ทางนั้นไปแสดงนิมิตให้พระเจ้าพิมพิสารเห็น ว่าได้นุ่งเสื้อนุ่งผ้า โอ้ย..เป็นคนสวยคนงาม แล้วเป็นอย่างนั้นล่ะ ในตำ ราว่าไปอย่างนั้นนะ ทุกวันนี้ พิธีอยู่นั่น มันกลายเป็นพิธีหมด ดูซิ ในหนังสือสวดมนต์อะไรเหมือนกันล่ะ แต่งเข้ามา สมัย ก่อน หนังสือมันยาวนะ ตัดเอาตัดเข้า ย่อเข้าๆ มีแต่พิธีหมด สวดมนต์ฉบับหลวงสมัยก่อนเล่มตั้งใหญ่ ทุกวันนี้ ตัดเข้าๆ หมดล่ะ แล้วก็คาถาก็มีมาก กันอันนั่นกันอันนี่ โอ้ย..ไม่มีหรอก สิ่งกันตาย แต่พวกเป็น หมอเป็นแพทย์ เรียนหมด จะไม่ให้คนตายนู่นน่ะ แต่ก็ไม่ได้ ไม่พ้นความเจ็บความปวดเหมือนกันนั่นแหละ ทำ รักษากันไปอย่างนั้นล่ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้หมดล่ะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของมันไม่เที่ยง แต่เราเป็นเด็กน้อยมา ก็เปลี่ยนมาๆ อยู่อย่างนั้น พอเฒ่าแก่ชรามาแล้ว มีอะไรเหมือนเก่า สังเกตสังกาตัวเองดู มันไม่เหมือน เก่าสักอย่าง แต่ก่อนขึ้นภูขึ้นเขานี่ โอ้ย...หมู่พวกได้วิ่งตามหลังล่ะ ทุกวันนี้ ไปไม่ได้ มันเปลี่ยนไปหมดล่ะ ฝ่ามือเป็นหลังมือไปหมด ความเจ็บความปวดบีบคั้นอยู่อย่างนั้น เกาหย็อกแหยกๆ มีแต่ตัวหนอนล่ะซ่อนอยู่ กินเนื้อกินหนังอยู่นั่น ของกินเขานะ 239
พระธรรมเทศนา ให้พากันเร่ง เมื่อไหร่วันไหน ความตายมันก็มาถึงนะ นั่งก็ตาย นอนก็ตายนะ ทุกวันนี้ไม่มีหนีพ้น โลกมันรกชัฏวุ่นวายมาก คนมากเป็นอย่างนี้ล่ะ สมัยก่อน โอ้ย.. ไปเที่ยวนี่ ปีนภูขึ้นเขานั่น มีแต่ป่าแต่ดงนะ ทุกวันนี้ มีแต่ป่าคนแล้ว ไปที่ไหนก็ตาม อันนี่ก็เจ้านายรักษาไว้ ต่อไปมันจะไม่เป็นป่า ก็ต้องรักษาไว้ซะ ก่อนไปนั่นล่ะ มากเข้าๆ แถวนี้ก็จะเป็นไร่เป็นบ้าน เป็นสวนคนกันไป ถ้าขอเข้าไปหน่อยก็ไป นี่พอได้อยู่ ได้กินเท่านี้ ค่อยทำ ไป คนมากเข้าไปแล้ว ก็แบ่งกันล่ะซิ เจ้านายท่านคิดถูกนะ พออยู่พอกินก็ทำ ไปซะก่อน มากเข้าๆ ก็ไม่มีแล้ว อย่างพ่อแม่ครูจารย์ใหญ่ พ่อแม่ครูจารย์ขาว ท่านพูดเรื่องประวัติถ้ำกลองเพล สมัยก่อนเป็นบ้าน เป็นเมืองหมดทั้งภูทั้งเขา ไม่มีอะไรนะ พันกว่าปีเท่านั้น ท่านว่า ถ้ำกลองเพลเป็นนั่นหมดทั้งภูทั้งเขา ตามภูตามเขามีจารึกไว้หมดล่ะ ภูพานยิ่งจารึกไว้หมด บ้านเมืองมันมากนะ พอได้อยู่ทำกินเท่านั้นเพราะ คนมันมากนะ อันนี้ท่านจัดไว้ แต่พอนานเข้า คนมากเข้าๆ ก็แบ่งเท่านั้นล่ะ คนนั้นขอ คนนี้ขอ ก็หมด เหมือนกัน คนมากนะ เวลารักษาก็รักษาเหมือนกัน ให้มันเป็นสมบัติของบ้านของเมืองของประเทศชาติ รักษาช่วยกันเท่านั้นล่ะ ปลูกฝังไว้ อธิบดีนั่นให้ปลูกใครปลูกมัน มันใหญ่มันโตมาแล้ว ไม่ต้องขออนุญาตตัด ทำ เลยของใครของมัน ทุกวันนี้ ถึงจะทำ อยู่กับหมู่นี่ก็ช่าง ถ้าจะปลูกไม้เขาไม่ว่า การปลูกทางไหนก็แบ่งกันแล้วนะ มาจองปลูก ป่ามาก ทำ ไว้ให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลังนะ ปลูกไว้ พวกเราไม่ทันได้ใช้หรอก มันตายก่อน ทำ ไว้ให้เขานั่น เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น นับวันมันจะอดอยากเข้า สักพักก็เจริญเข้าๆ สักพักก็เอาแล้ว เกาะแกะกัน บ้านห่างไกลกันก็ฆ่ากัน โลกมนุษย์มันเป็นอย่างนั้นแล้ว ดูหน่อยเป็นไร สังเกตดูเอา มีแต่ฆ่ากัน ถึงจะ อยู่ห่างไกลกันก็ตาม แต่ผู้ที่มีศีลธรรมก็ไปหาหลบอยู่ตามภูเขา ไม่รบกับเขา พวกรบก็ตายหมด พอรบกัน จนตายหมดแล้ว ก็พวกนี้ล่ะจะออกมา เป็นทุนเป็นสมบัติ เห็นกันก็ร้องไห้อยู่นั่น ว่าพวกเราประมาท ก็เจริญขึ้นล่ะ คนน้อย แล้วแผ่ขยายขึ้น สักพักก็ย้ายบ้านนั้นบ้านนี้ ใหญ่ขึ้นๆ เหมือนเดิม ดูซิ ตั้งแต่พ่อแต่แม่เรามา รถราอะไรก็มากขึ้นๆ ทุกวันนี้ ไปอุดรนี่ ตั้งแต่เป็นเด็กน้อยก็เดินเอาแล้ว ไปกับล้อกับเกวียนเขา ไม่มีหรอกรถ ตั้งแต่อาตมาบวช รถมีก็แต่หน้าแล้ง รถมาก็นานๆ มาที โดยมาก รถโดยสารจะมีไฟติดไว้ทางใต้ ทางท้ายคนขึ้น มีไฟด้วยพร้อม คิดดู ความเจริญมันเจริญขึ้นๆ แล้วคิดดู อุดร ไปดูนี่ โอ้ย.. แต่ก่อนเป็นป่าไผ่เต็มไปหมด เดี๋ยวนี้เป็นบ้านเป็นเมืองไปหมด คิดดู อย่างกรุงเทพนะ เหมือนกัน ปีอาตมาบวชไปเที่ยวกับท่านนะ ทุกวันนี้ เป็นเหมือนกันหมด ที่ไหนก็เหมือนกัน คนมันมากนะ ทำ อย่างไรล่ะ เอ้า เลิกกัน ไปภาวนาก่อน 240
กัณฑ์ที่ ๓๗ ทำ ให้จริง ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๘ ค่ำ แต่ละองค์ ผมระอานะเรื่องนี้ มันไม่เป็นเรื่องนะ ทะเลาะกันก็เข้าใจอยู่ เรื่องทะเลาะกันเหมือน สุนัข มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันไม่เป็นพระเป็นเณรเลย มันไม่ต่างกับสัตว์ เรื่องตีกัน โอ้ย.. มันหยาบมาก ไปบิณฑบาต ไปหาขอทานเขาแล้วมากัดกัน แล้วศีลตั้ง ๒๒๗ ข้อ อยู่ยังไง เณรศีล ๑๐ อยู่ยังไง นี่แหละ ผมระอาใจอ่อนใจ ถ้าพูดเรื่องนี้ ไม่เคยเป็นแล้ว พ่อแม่ครูจารย์เจี๊ยะ ท่านพูดให้ฟัง โอ้ย...พระสมัยนี้มันขี้เกียจ มันไม่เหมือนอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น พาทำ มันอ่อนไปหมด สังเกตดูมันไม่ตั้งใจตัวนั้นสำ คัญ ต้องทำ จริง หน้าที่การงานเหมือนกัน ไม่ว่าทางโลก ทางธรรม วันไหนขี้เกียจขี้คร้านก็เท่านั้นล่ะ การงานทำ วันนั้นทำ วันนี้ พอเลิกกัน 241
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๓๘ สะสมบ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๘ ถ้าเชื่อแต่กิเลส มันก็ไม่เห็นธรรมนะซิ ถ้าจิตมันไม่สงบ ก็ได้เท่านั้นแหละ คิดดู ที่ประเทศอเมริกา มีคนหนึ่งไปหาล่าสัตว์ในป่า ไปเจอสัตว์ เขากำ ลังจะยิง แต่ก็ยังไม่ได้ยิง แต่จิตก็จดจ่ออยู่แต่กับการจะ ฆ่าสัตว์ พอจิตมันจดจ่อเข้าไป เกิดเป็นอารมณ์สมาธิขึ้นมา เห็นเทวดาออกมาจากต้นไม้ เห็นอย่างนั้น ก็ เลยไม่กล้ายิง นี่คือจิตมันเป็นสมาธิ มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่นี่อะไร นั่งสมาธิภาวนาก็เอาอยู่อย่างนั้น อยู่กับกาย สมาธิมันมีหลายขั้นมีตั้ง ๓ ขั้นมี ขณิกสมาธิ , อุปจารสมาธิ , อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ ไม่มีกายนะ มีแต่ตัวรู้ นั่งตลอดทั้งคืนก็นั่งได้ ไม่เป็นอะไร เหมือนการนอนหลับนั้นแหละ การนอนหลับไม่มีหรอกเวทนา ไม่มีว่าเจ็บตรงนั้นตรงนี้นะ เวลานอนหลับ เพราะมันขาดสติเท่านั้นแหละ แต่สมาธิมันก็อันเดียวกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันมีความรู้สึกเท่านั้นเอง กิเลสตัณหาอยู่หัวใจตัวเองเต็ม ไปหมดนะ มีแต่ความอยาก สิ่งใดที่ถูกใจที่ชอบใจ ก็ต้องการทั้งหมด มันเป็นนานาจิตตังนะ จิตคนไม่เหมือนกัน การฝึกเลยไม่เหมือนกัน เราจึงต้องฝึกทุกอย่าง พ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ให้ฟังถึง ขนาดนั้นนะ แต่ทุกวันนี้ ไม่เอาไม่สนใจกัน แล้วมาก็มานอนเหมือนนกยูงนะ แต่ก่อนผมก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้นนะ หมู่พวก หลบที่นั้นที่นี่เลยแหละ ถ้าจะจำ พรรษา ก็เว้นไว้แต่ที่บ้านตาดเท่านั้นแหละ ถ้าออกจากท่านพ่อ แม่ครูจารย์ไป ก็ช่วงออกพรรษาแล้ว ก็ถึงไปหาเที่ยวป่า แต่ถ้ามีหมู่พวกติดตามมาก ก็จะพาเขาเข้าบ้าน ตาดเลย เอาหมู่พวกไปด้วยไม่ได้หรอก พอหมู่พวกออกห่างจากผมแล้ว ผมก็หนีเข้าป่าเลยแหละ ตั้งใจ ดูสิโลกนี้ว่าไม่อยู่ ถึงจะดีก็ไม่อยู่ ถึงจะชั่วก็ไม่อยู่ มันต้องเห็นแน่ มันจะผุดขึ้นมาเองหรอก เหมือนชาวนา เขาไปปลูกต้นไม้ แต่หมากผลมันก็เกิดขึ้นเอง เขาไม่ได้ปรารถนามัน ไม่ได้บำ รุงลำ ต้นมัน เหมือนกัน เดินจงกรมภาวนา หรือนั่งสมาธิภาวนาบ่อยๆ ก็เกิดความเคยชินขึ้นเหมือนกัน ก็เป็นธรรมดา มันก็เริ่ม จากเล็กไปหาใหญ่ เริ่มจากยากไปหาง่าย ถ้ามาวัด ก็ให้มันได้ประโยชน์ ไม่ใช่ไปภาวนาแล้ว มีหลานมาถาม ก็ว่าให้หลาน ว่าอย่ามาพูด ตอนนี้กำ ลังหิวข้าวไม่ได้กินข้าวเย็น แบบนี้ก็มีอยู่นะ ทำ ไปบ่มบารมีไปเรื่อยๆแหละ เดี๋ยวมันก็ใกล้เข้าไปเอง คิดดูสิ พระพุทธเจ้าท่านปรารถนาจะสอน สัตว์โลก หลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน ท่านปรารถนาเป็นพุทธภูมิเลย พอมาชาตินี้ภาวนามยปัญญาท่านเกิด ระลึกชาติได้ว่า ท่านเคยเกิดเป็นหมาถึงหมื่นชาติ เลยเกิดความสลดสังเวชขึ้นว่า จะเอาตัวเองให้รอด จึงทำ ให้บุญบารมีในอดีตชาติที่บำ เพ็ญมา เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้มาประมวลรวมลงมาในชาตินี้เลย เพราะท่านจะไม่เอาอีกต่อไปแล้ว จึงทำ ให้ท่านเร็วนะ เรื่องความแตกฉานในอรรถในธรรม เพราะท่าน 242
เกิดความสลดสังเวชมากนะ ให้เราดูจิตดูใจตัวเอง ถ้าจิตไม่อยู่ในหลักธรรม ก็ให้บริกรรมพุทโธให้มันอยู่ นั้นแหละ ถ้าจิตอยู่กับพุทโธแล้ว ผีหลอกก็ไม่มีนะ ตัดความกลัวออกไป ไม่มีเลย เพราะจิตมันไม่ไปปรุงแต่งนะ จิตมันอยู่แต่กับอารมณ์พุทโธอย่างเดียวนะ ถ้าจิตอยู่กับพุทโธแล้ว มันไม่ไปไหนนะ มันไม่มีกลัวนะ เสือ ก็กินไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาหมดแล้ว อย่างหลวงปู่ชอบ ท่านเดินทั้งคืน ก็มีแต่พุทโธนะท่านว่า ไปเจอเสือ ทางด้านหน้าก็มา ด้านหลัง ก็มาอีกตัว เดินตอนกลางคืน มือหนึ่งท่านก็ถือโคมไฟ ที่บ่าก็สะพายบาตร อีกมือก็แบกกลด เดินอยู่ อย่างนั้นหมดทั้งคืน พอเจอเสือมาก็ไม่มีกลัวนะ เพราะใจอยู่กับพุทโธ ด้านหน้าเสือก็ร้องมาทางด้านหลัง เสือก็ร้องใกล้มา จนมาถึงท่านพร้อมกันเลย มองดูเสือตัวอยู่ข้างหลังก็จะตะครุบท่าน ตัวข้างหน้าก็จะ ตะครุบเหมือนกัน ท่านก็เลยย่อจิตของท่านเข้ามาหาตัวเอง ไม่สนใจเสือเลย ท่านก็เลยปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชีวิตของเราคงจะสิ้นสุดลงคราวนี้แหละ แต่ความกลัวก็กลัวมากนะ ถ้าเราเคยทำกรรมต่อกัน ไว้ ตั้งแต่ภพใดชาติใด ท่านก็ขอสละชีวิตและร่างกายของท่าน ถ้าจะไม่ได้ปฏิบัติธรรมถวายพ่อแม่ครูจาร ย์แล้ว จิตท่านก็รวมปุ๊บเลย ท่านว่าก็เกิดความรู้ขึ้นทันที เสือก็กินไม่ได้เด็ดขาด ท่านยืนอยู่นั้นไม่รู้กี่นาที นะ พอจิตท่านถอนออกมา ไฟเทียนในโคมก็ดับ กลดก็แบกอยู่ ท่านก็ยืนอยู่ในท่าเดิม ท่านว่า พอจิตถอน ท่านเหลียวมองหาเสือก็ไม่เห็น ความกลัวหายจากใจไปหมด มีแต่ความกล้าหาญ ตั้งแต่นั้นมา เสือเป็นเหมือนคู่มิตรคู่สหาย มาให้อรรถให้ธรรมท่าน ทำ ให้เกิดความอัศจรรย์ ท่านก็วาง โคมลง ก็เอาเทียนใส่ในโคม แล้วก็จุดไฟ ก็มองหาเสือก็ไม่เห็น ท่านก็เลยคิดว่า ต่อไปนี้เราจะไปไหนก็ไป ได้แล้ว เพราะความกลัวของท่านไม่มีแล้ว ถ้าจิตเป็นสมาธิ จิตรวมลงได้แล้ว มันกินเราไม่ได้หรอก สัตว์มันทำ อันตรายเราไม่ได้หรอก แต่ครั้งพุทธกาลก็มีเหมือนกัน อำ นาจของสมาธินี้แก่กล้ามากนะ แต่เดี๋ยวนี้ที่เห็นจะมีอะไร นั่งสมาธิภาวนาก็มีแต่ปรุง มีแต่ความอยากได้ มันจะไปได้อะไร มีแต่เรื่อง กิเลสทั้งนั้น เห็นหรือไม่ เขาปลูกต้นไม้ตั้งกี่ปี ถึงจะได้ผล ถ้าทำ อะไรก็จะให้ทันใจในทันทีนั้น มันก็เป็นเรื่องของ กิเลสไป เพราะยังตัด สัญญา* ไม่ขาดจากใจ จึงไม่เกิดผลอะไร และความสงบก็ยังไม่เพียงพอ เขาจะทำ ไร่ทำ นาทำ สวน เขาก็ต้องปลูกที่พักก่อนนะ พอทำ นาเหนื่อยแล้ว ก็ต้องออกไปพักก่อนเหมือนกัน สมาธิ ก็คือที่พักนั่นแหละ สมถะกับวิปัสสนาก็ไปทางเดียวกัน หรืออันเดียวกันนั่นแหละ ถ้าไม่เห็นนิมิตใน อุปจารสมาธิ** นิมิตมันต้องเห็นก่อน พอมันเกิดจากใจแล้ว รู้ว่าเป็นอย่างไรแล้ว พอจิตถอนออกมาแล้ว มันไม่ออกไปไหนหรอก มันจะพิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เหมือนคนไม่เคยมีเงิน พอได้เงินก็กำ เงินในมือ จนเหงื่อออก มือก็ไม่ยอมปล่อย * สัญญา คือ ความจำ ได้หมายรู้ ** อุปจารสมาธิ คือ สมาธิจวนจะแน่วแน่ 243
พระธรรมเทศนา พิธีมอบทองคำ ครั้งที่ ๕ ณ ตึกสันติไมตรี ทำ เนียบรัฐบาล ๒๖ กันยายน ๒๕๔๔ 244
กัณฑ์ที่ ๓๙ การกระทำ สำ คัญที่สุด ๗ สิงหาคม ๒๕๓๘ (ค่ำ ) เป็นอย่างไรภาวนาทำ ความเพียร ถ้าตั้งใจ มันต้องเห็น แต่นี่มันไม่ตั้งใจ มีแต่มาเล่นเฉยๆ ตั้งใจ จริงๆ มันต้องเกิดแน่ ความตั้งใจตัวนี้สำ คัญที่สุด ฝึกมานาน จิตไม่เป็นสมาธิสักที แต่ถ้าเราไม่ฝึก มันยิ่งไม่เป็นนะ หนังสือก็อ่านได้ท่องได้จำ ได้ แต่ใจมันไม่รู้อย่างถ่องแท้ ถึงจะรู้ว่าแก้ไขอย่างนั้นอย่าง นี้จากตำ รา ก็พูดได้ แต่หัวใจไม่ได้ขาดจากความลังเลสงสัยเลย ฉะนั้น การกระทำ สำ คัญที่สุด เหมือนอาหารถ้าเราไม่กินก็เท่านั้นแหละ ก็ไม่รู้จักรส ให้พากันตั้งใจ ปฏิบัตินะ ครั้งพุทธกาลนั้น เหมือนอย่างหลวงปู่มั่นท่านพาทำ อย่างหลวงปู่เนตร กลางพรรษานี้ท่าน ไม่นอนนะ สามเดือนไตรมาสท่านไม่นอนนะ สู้อยู่อย่างนั้น ถ้าทำ จริงๆ ไม่เห็นผลไม่มีหรอก ถ้าตั้งใจจดจ่อ จริงๆ มันต้องเกิด ถ้ามีแต่นอนแล้ว ไม่มีใจฝักใฝ่ในการปฏิบัติ มันก็ไม่เกิดนะ ถ้าจะหลุดพ้นจริงๆ นั้น ตัวเองต้องทำ เอาเอง แล้วจะรู้ขึ้นเอง ตัวเองนะต้องทำ เอา ครูบาอาจารย์มีแต่บอกทางเท่านั้น ว่าทาง เดินทางนั้นเป็นอย่างนั้น ทางนี้เป็นอย่างนี้ มีแต่บอกทางเท่านั้น ผู้ทำ มีแต่ตัวเองเท่านั้น เอาไปคิด พิจารณาดูซิ อย่างครูบาอาจารย์ท่านทำ ความเพียร ดูซิกับพวกเรา มันแตกต่างกันขนาดไหน ท่านถึงได้มาสอน ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน อย่างหลวงปู่เสาร์ จนท่านสลบไสลไม่รู้กี่ครั้งท่านว่า อย่างหลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน แล้วท่านก็ไม่สนใจกับหมู่พวก เหมือนทุกวันนี้นะ สมัยนั้นมาอยู่กับท่านได้แค่สองสาม ๒-๓ องค์เท่านั้นนะ เณรหนึ่ง พระหนึ่ง รวมท่านเป็นสาม นอกนั้นให้ไปอยู่ที่นั้นที่นี่หมด ไม่ให้มาอยู่ใกล้กัน พอถึงเวลามาลง อุโบสถ* ก็มากันฟังเทศน์กับท่าน ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ มันคุ้นกัน เจอกัน ก็หยอกกันสนุกสนานเฮฮา พอ แยกกัน ก็มีแต่ไปคิดคำ นึงว่าเราพูดอย่างนั้น คิดอย่างนั้น ก็คำ นึงอยู่อย่างนั้น กว่าจิตจะสงบได้ เวทนาก็ ขึ้นทับเราก่อนแล้ว และอาหารการกินมากด้วยนะ สมัยปัจจุบันนี้ ดูอย่างเรานอนหลับดูสิ เวทนา**มันมีหรือไม่ เราหายใจไปอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เราได้คำ นึงหรือ ไม่เวลาเรานอนหลับ ถ้าเราภาวนาก็รู้หมดนะ ถ้าเรามีสติ จิตมันเดินไปนั่นไปนี่ มันก็รู้ รู้ว่าไปทางราคะ หรือไปทางตัณหา จะไปทางไหนเราก็ต้องแก้ไข ต้องดึงตัวเองออกห่าง ไม่อย่างนั้นไม่เห็นนะ ต้องหัด ต้องฝึกตัวเองอยู่เสมอ ไม่ฝึกไม่เห็นนะ มืดกับแจ้ง สมมุติเอาเองนะ ในกายนี้เหมือนกัน จะมีอะไร ที่สมมุติว่าสวยว่างาม ก็ตบแต่งกันเข้าไปเต็มตัวไปหมด ถ้ามา ใคร่ครวญดูแล้ว ไม่มีอะไรเป็นความสวยงามเลย มีแต่ผิวหนังเท่านั้นแหละ พระอุปัชฌาย์ท่านสอนมา ให้พิจารณาหนัง หนังเป็นใหญ่ ถ้าไม่มีหนังห่อหุ้มร่างกายแล้ว จะมีใครรักจะมีใครยินดี ให้ใคร่ครวญ พิจารณาอยู่อย่างนั้น นี่เรื่องปัญญาอบรมสมาธิ ให้พากันเร่งความพากความเพียร * อุโบสถ คือ การสวดปาฏิโมกข์ของพระสงฆ์ทุกกึ่งเดือน เป็นเครื่องซักซ้อมตรวจสอบความบริสุทธิ์ทางวินัยของภิกษุ ** เวทนา คือ ความเสวยอารมณ์ 245
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๔๐ ถ้าหากกลัวตาย ธรรมะเกิดไม่ได้ ๑๕ ส.ค. ๒๕๓๘ (ค่ำ ) พากันตั้งใจเร่งความพากความเพียรนะ หมดเดือนนี้ ก็เข้าไปครึ่งพรรษาแล้ว ถ้าออกพรรษาแล้ว ก็เท่านั้นแหละ ยิ่งเรื่องการปฏิบัติ เดี๋ยวก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ เข้ามารบกวน เดี๋ยวก็ติดกิจนิมนต์ต่างๆ ความไม่ตั้งใจนั่นแหละสำ คัญ ถึงจะมีข้อวัตรปฏิบัติ หรือกิจของวัด ก็ไม่อยากสนใจ กุฏิก็ไม่อยากกวาด ทางเดินผ่านไปผ่านมา ก็ไม่กวาดสักที รกรุงรังไปหมด ทางไหนที่พระไป ทางนั้นก็ต้องให้มีความสะอาด เช่นทางไปกุฏิ ทางเดินจงกรมก็ทำ ให้พอดีแล้ว ก็ยังมาทำ เพิ่มอีก ตัดต้นไม้อีก ทางที่ทำ ให้ก็ตั้งสองเส้น อยู่ในร่มและก็มีก้อนหินอีก ก็ยังจะมาทำ เพิ่มอีก นี่แหละความเห็นคน ทางที่ทำ ไว้ให้มันก็กว้างอยู่แล้ว ท่าน ปลูกต้นไม้ไว้ ก็เพื่อสงวนให้มันรักษาพื้นดิน ไม่ให้มันพังทลาย ก็ไม่รู้จักคิดนะ คนที่เขามาปลูกไว้ก็ทำ ไว้ อย่างยากลำ บากอยู่แล้ว ส่วนคนมาอยู่ใหม่ ก็ยังจะมาทำ ลายเพิ่มอีก ถ้าจะเดินก็เดินที่หลังฝายกั้นน้ำ ก็ได้นะ ถ้ามันไม่สมควรและไม่จำ เป็นที่จะไปทำ ลายมัน ครูบาอาจารย์แต่เก่าแต่ก่อน ท่านเร่งความพากความเพียรนะ ยกตัวอย่าง ตั้งแต่พ่อแม่ครูบาจารย์ลงมา ท่านนั่งภาวนาอยู่กลางแจ้งใต้ต้นไม้ จิตท่านไม่สนใจอะไร นั่งตลอดทั้งคืน เพราะท่านเห็นความอัศจรรย์ ภายใน ท่านไม่ได้ยึดติดกับอะไรนั่งตลอดทั้งคืนถึงขนาดนั้นนะ ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่ ท่านหลับตา พอท่านลืมตาขึ้นมา ยังไม่สว่างพอที่จะมองเห็นนะ ท่านว่า ท่านกำ หนดดูอัตภาพร่างกายของตัวเองจนถึง ขนาดที่ว่า นับกระดูกเป็นชิ้นๆ ในร่างกายตัวเองนั้น ได้หมดทุกชิ้น ในอัตภาพร่างกายนั้น ท่านมีความรู้ แจ้งเห็นจริงมาก จนเกิดความอัศจรรย์ ท่านนั่งอยู่กลางแจ้ง มีทั้งยุงที่เป็นพาหะนำ โรคไข้มาลาเรียด้วย แต่พ่อแม่ครูจารย์ใหญ่มั่น ท่านก็พาปฏิบัติอยู่บ้านสามผงนะ อยู่ดงน้อย ตั้งแต่ครั้งท่านเข้าไปปฏิบัติ ใหม่ๆ ท่านทำถึงขนาดนั้นนะ แต่หมู่พวกเรานี้กลัวแต่ว่า หมอนหนุนนอนจะออกจากศีรษะตัวเอง ถ้าเดิน จงกรมก็ยังไม่ถึงสามสิบนาที ก็เหลียวมองดูแต่กุฏิตัวเองอยู่อย่างนั้น แล้วจะไปเห็นมรรคเห็นผลอะไร มีแต่กลัวตายอยู่อย่างนั้น ก็เลยไม่เกิดสักที ครูบาอาจารย์ท่านทำ มาอย่างนั้นนะ มองดูหมู่สมัยนี้แล้ว ย่อหย่อนมาก ความพากความเพียรและศรัทธาก็ถดถอยลงมาก จับจ้องไป ทางไหน มีแต่กิเลสที่โผล่ออกมาให้เห็น แล้วจะมาหาอรรถหาธรรมได้อย่างไร ลองพิจารณาดูซิ แล้วยัง จะมาว่าจะเอาตัวเองให้พ้นทุกข์ คิดดูว่า มันจะไปพ้นทุกข์ได้อย่างไร มีแต่อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เต็มหัวใจอยู่อย่างนั้น แบกกองทุกข์อยู่อย่างนั้นแล้วจะไปเห็นอะไร จับจ้องเข้าไปซิ ถ้าจะพิจารณาอะไร ก็พิจารณาให้มันเห็นเข้าไปจริงๆ ซิ พิจารณาอัตภาพร่างกาย ตรงไหน ก็พิจารณาให้มันเป็นสิ่งปฏิกูลโสโครก อย่างหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ไว้หมดนั้นแหละ ท่านเห็นท่านรู้ ท่านฉลาด ท่านประมวลมาให้หมดแล้วนะ 246
ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว ปฏิปทาหลวงปู่มั่นทิ้งกันหมด เพราะเห็นปีนั้น ก็มีมาขอยืมของ ยืมอุปกรณ์กลาง พรรษา เราก็ว่าจะไปทำยังไงกลางพรรษา เขาก็ว่าจะไปทำกุฏิ แต่ปฏิปทาหลวงปู่มั่นท่านไม่ได้พาทำ ใน ช่วงเข้าพรรษา ท่านมีแต่เดินจงกรมภาวนากันเท่านั้น ระเบียบครูบาอาจารย์ ถึงขนาดนั้น ยังว่าตัวเอง เป็นสายอาจารย์มั่นอยู่นะหรือ อ้างเอาเอง เลยว่ากล่าวไป ทุกวันนี้มันเป็นไปแล้วนะ พอได้ทำ งานเข้า ก็เริ่มติดการทำ งานแล้วนะ เลยเข้าสมาธิในงานนั้นแหละ แล้วแบกกันอยู่อย่างนั้น มีแต่แข่งกัน คนนั้น ทำ สวย คนนี้ทำ สวยกว่า วัดนั้นสวย วัดนี้สวยกว่า เป็นไปอย่างนั้นล่ะ หัวใจมันสวยหรือไม่ ไม่ยอมดู ความสวยความงามในจิตใจไม่ยอมดู ดูแต่ภายนอก เดี๋ยวนี้เป็นไปแล้ว ถ้าปฏิบัติมาแล้ว ไม่เกิดขึ้น มันไม่มีหรอก ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ถ้าจะตั้งใจพิจารณา เอาตั้งแต่ อัตภาพร่างกายของเรา ตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงพื้นเท้า ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไปถึงศีรษะ ไม่ให้ออกจากนั่น ธรรม ของพระพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ ตั้งใจดูซิ บริกรรมพุทโธ ๒๔ ชั่วโมง ให้อยู่กับพุทโธดูสิ ถ้าอยากเห็นจริงๆ ให้ ฝึกหัดสติให้เป็นมหาสติ ฝึกหัดปัญญาให้เป็นมหาปัญญา พระพุทธเจ้าท่านเป็นมหาสติอยู่อย่างนั้น ท่าน เห็นหมดทุกอย่างนะ อย่างหลวงปู่มั่นท่านก็เห็นหมดทุกอย่างนั่นแหละที่เกิดขึ้นมา พวกเรามันเผลออยู่อย่างนั้นนะ คำ นึงถึงแต่ทางโลก มันไม่ได้คำ นึงมาทางอรรถทางธรรมอะไร วิ่งตามแต่ทางโลกอยู่ตลอด แล้วจะไปเห็นอะไร ถ้าตัวเองไม่สนใจในทางที่จะใช้เดิน พอแล้ว ให้พากัน เร่งความพากความเพียร เลิกกันนานแล้ว 247
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๔๑ มีแต่ความจำ ความจริงไม่มี ๒๒ ส.ค. ๒๕๓๘ (ค่ำ ) ช่วงนี้ร้อนอบอ้าวมากนะ เข้าพรรษามานี้ อีกสองวันก็จะกลางพรรษาแล้ว ออกพรรษาแล้ว อย่ากัดกันนะ เรื่องกฐิน ใครจะเอาอย่างไรก็คุยกัน อย่ากัดกัน ให้ท่องเอาไว้ อีกหนึ่งเดือน กับอีก ๑๕ วันเท่านั้นก็ออกพรรษาแล้ว แล้วรับกฐินก็วันที่ ๒๒ เขามาบอกแล้ว เขาว่าจะมาพักอยู่ด้วยสัก ๔๐ คน ถ้าจะมาก็มาเลย ถ้าที่นอนไม่พอ ก้อนหินใหญ่ใช้นอนได้ก็มีมากนะ ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แต่ก้อนหินก็ มีมากมายอยู่นะ พ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ มีแต่เด็ดๆ นะ เอาไปปฏิบัติได้เลย ถ้าเราเอาไปใคร่ครวญ เอาไปเป็น คติตัวอย่าง เอาไปเป็นความพากความเพียร แต่ถ้าฟังแล้ว ไม่เอาไปพิจารณา ไม่เอาไปกำกับจิตใจตัวเอง มันก็ไม่เกิดผลนะ ถ้าเราจะเอาแต่ความจำ ความจริงมันก็เลยไม่เกิดจากใจของเราสักที เลยไม่สิ้นสงสัย สักที เหมือนเราเดินทางไปเห็นมาแล้ว ใครจะมาเถียงเราคัดค้านเราก็ไม่ได้ เพราะเราได้ไปเห็นมาแล้ว แต่ถ้าไม่เคยเห็นกันเลย ก็เถียงกันอยู่นั่น สมาธิ ถ้าเราไม่เคยเห็นก็เท่านั้น พูดตามตำ ราก็พูดได้ แต่จิตเรา ไม่เห็นถึงรากฐานด้วยตนเอง มีแต่เอาคำ พูดคนอื่นมาพูดเท่านั้น มันสำ คัญนะ คำ พูดเล่นๆ นั่นล่ะสำ คัญ พูดเล่นจนเป็นนิสัย ถ้าไปพูด ศีลวาจานั้นแหละสำ คัญที่สุด มีทั้งสิ่งควรพูดและไม่ควรพูด อย่าไปอวด ตัวเองนะ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกตามทางของพระพุทธเจ้า จิตใจจะลุ่มๆ ดอนๆ ถ้าเปรียบกับทางเดิน ก็เป็นทางเดิน ที่ขรุขระนะ ต้องฝึกหัดตัวเองไว้นะ อย่างทางโลกเขาก็ฝึกเหมือนกันนั่นล่ะ อย่างทหารเขาต้องฝึกและก็ ยังต้องมีวินัยอีก วินัยกับศีล ก็คืออันเดียวกันนั่นเอง แต่ทางพระเรียกว่าศีล วินัยเป็นระเบียบที่ต้องรักษาไว้ ไม่อย่างนั้น มันคงเลวร้ายไปหมด จะเรียนมาสูงขนาดไหนก็ช่าง ถ้าประพฤติไม่ดี ไม่มีใครชอบนะ ความดีต้องทำ เอาเอง วันไหนก็ต้องทำ ถ้าไม่สู้กันจนเต็มที่ ไม่รู้ผลนะ ถ้าจะเร่งความเพียร ก็ลองสู้กันสักคืน น่าจะปรากฏผลนะ สู้กันจนเหนื่อยนะ ถ้านั่งก็นั่งจนเหนื่อยนะ ถ้ามันเหนื่อยแล้ว มันไม่คิดหรอก จิตมัน ไม่ออกจากกายเลย อันนี่จิตมันวิ่งไปตามอารมณ์วิ่งไปนั่นไปนี่ นี่แหละ จิตมันไม่สงบ ปฏิปทาครูบา อาจารย์ท่านเอาจริงๆ นะ อย่างครูบาอาจารย์จิตท่านไม่ได้ออกจากพุทโธนะ ท่านเอาพุทโธเป็นที่ตั้ง ท่านเข้าอยู่อย่างนั้น ถ้าพิจารณา ท่านก็พิจารณาในสมาธิด้วยซ้ำ ถ้าจิตมันรวมลงไปในความสงบแล้ว ถ้าเหนื่อย ท่านก็เข้าไปพักในสมาธิเลย เหมือนเขาทำ ไร่ทำ นาทำ สวนนั่นแหละ เขาก็ต้องปลูกสร้าง กระต๊อบ เอาไว้พักหลบแดดหลบฝนก่อน ไม่ใช่ว่าเขาจะไปตากแดดตากฝนอยู่อย่างนั้น การภาวนาก็เหมือนกัน ค้นเข้าไปพิจารณาเข้าไป ก็เหนื่อยนะ พอเหนื่อยแล้ว ไม่หาที่พัก จะให้ทำ อย่างไร เหนื่อยก็ต้องพักผ่อน ถ้าเหนื่อยแล้วไม่ได้พัก ต้องทำ ต่อไป สักพักก็เกิดความเกียจคร้าน แล้ว ก็นอนเท่านั้น มันเป็นอย่างนั้นแหละ สาเหตุที่จะไม่ฝึกฝน คือถ้าไม่ได้ทำ อย่างหนึ่ง ก็ต้องทำ อีกอย่าง หนึ่งนะ 248
ดูอย่างพระพุทธเจ้าท่านเคยทรมานตัวเอง แรกๆ ก็กลั้นลมหายใจ ต่อมาอดอาหาร ๔๙ วัน พอตรัสรู้ก็ยังไม่ฉัน จนพบพ่อค้า ๒ คนเดินทางผ่านมา เกิดเลื่อมใสศรัทธา นำข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง เข้าไปถวาย ท่านถึงได้รับประทาน เป็นเวลา ๔๐ กว่าวันเหมือนกัน พอได้ตรัสรู้ ท่านก็คิดคำ นึงถึงธรรม ที่ได้ตรัสรู้นั้น ว่าเป็นธรรมอันลึกซึ้งยิ่งนัก ยากที่ใครๆ จะรู้ตามได้ ท้อพระทัยจะสั่งสอน แต่เป็นเพียง ชั่วขณะจิตหนึ่งเท่านั้น ท่านเห็นกิเลสตัณหามันห่อหุ้มในจิตใจของคนอย่างหนาแน่น จนไม่สามารถเห็น อรรถเห็นธรรมได้ มีพวกพรหมมาอาราธนา ให้พระองค์ทรงเทศนาสั่งสอน พระองค์ถึงได้เปรียบเทียบ ดอกบัว ๔ เหล่า ว่ามี ดอกบัวที่อยู่เหนือน้ำ รอคอยแสงอาทิตย์ เทียบผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ดอกบัวที่อยู่เสมอผิวน้ำ จะบานในวันพรุ่งนี้ เทียบผู้มีปัญญาอยู่ในระดับปานกลาง ดอกบัวที่ยังโผล่ไม่พ้นน้ำ ซึ่งจักบานในวันต่อๆ ไป เทียบผู้ที่พอจะแนะนำ ได้ ดอกบัวที่ยังจมอยู่ในน้ำ โคลนตม ซึ่งย่อมเป็นอาหารแห่งปลาและเต่า เทียบผู้ด้อยปัญญา พวกเรานี้เปรียบเทียบเหมือนอยู่ในโคลนตมนะ ยังมีโคลนตมถมอยู่ อาจเป็นอาหารของปลาหรือ ของอะไรไปก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้วางศาสนาไว้ เพื่อให้เราได้เร่งปฏิบัติกัน ถ้าพวกเราไม่มีนิสัยแล้ว เรามาทางนี้ไม่ได้หรอก แต่นี่เรามีนิสัยมาทางนี้ และเราก็ได้สร้างบารมีมาบ้าง เราถึงมาบวชได้ ผู้เอาหู ไปไร่เอาตาไปนา นั่นโลกเราเต็มไปหมด ถ้าไม่มีนิสัยแล้ว ทำ ไม่ได้หรอก เหมือนควายนั่นแหละ จะเป่าปี่ ใส่หู มันก็ไม่สนใจ ก็กินหญ้าไปเฉย นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต่างกันหรอก พรรษานี้ก็เข้ามาครึ่งพรรษาแล้วนะ ใครจะตั้งใจก็ตั้งทำ ความพากความเพียร อย่าพากันเล่นมากนะ ครูบาอาจารย์เหลือน้อยลงทุกทีแล้วนะ ฝ่ายปฏิบัติ อีกหน่อยมันจะเป็นทาง โลกไปหมด อย่างหลวงปู่มั่นท่านได้ทำ นายไว้เรื่องศาสนาว่า “วัดป่ามันจะกลายเป็นวัดบ้าน วัดบ้านจะ กลายเป็นคนตาย คนตายจะกลายเป็นบ้า” ท่านทำ นายไว้หมดแล้วนะ เดี๋ยวนี้ดูซิ โลกมันร้อนมากนะ พอได้เข้าหาพระหาเจ้า พอได้เห็นครูบาอาจารย์ จิตใจมันก็สบาย ดูซิ คนได้เข้าหาครูบาอาจารย์ มันก็ สบายเย็นใจ แค่เห็นวัดเท่านั้นแหละ เห็นกิริยามารยาทของครูบาอาจารย์ จิตมันก็สงบสบาย ถ้าได้ออก ไปทางโลก เดี๋ยวก็วิ่งกลับมาทางธรรมอีก ก็เป็นอยู่อย่างนั้น สังเกตดูซิ ถ้าใจมันไม่ร้อน ไม่วิ่งกลับมา หรอก วุ่นวายมากนะสมัยนี้ ความเจริญกับความเสื่อมอยู่ด้วยกันนะ จะไปอะไรมากมาย ขนาดครอบครัว ก็ยังจะแย่งกันเป็นใหญ เรื่องเป็นเจ้าเป็นนายก็เหมือนกันนะ แย่งเก้าอี้ เพื่อความเป็นใหญ่กันอยู่นั้นแหละ สักพักก็ปลดออก เดี๋ยวก็แต่งตั้งขึ้นใหม่อยู่อย่างนั้น โลกนี้คิดไปคิดมาแล้ว ที่ไหนที่มันมีความสุข ไม่เห็น มีความสุขนะ ถ้าคิดใคร่ครวญดูจริงๆ ให้ไปคิดอ่านใคร่ครวญเข้าไปดูซิ เอา เลิกกันเถอะ ผู้ใดที่จิตใจยังไม่ทันสงบ ก็ให้หัดความสงบให้มาก ผู้ใดที่จะพิจารณา ก็พิจารณาให้เห็น พิจารณา อัตภาพร่างกายของตัวเอง ให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลโสโครก พิจารณาอยู่อย่างนั้น อย่าเอาความสวยความงาม มากั้นกางจิตใจของตัวเอง คนไหนมันสวยมันงาม ไม่มีหรอก ใบหน้านั่นแหละสกปรก ทั้งมูตรทั้งคูถอยู่ นั่นถึง ๗ อย่าง พิจารณาดูซิ ตาก็สอง หูก็สอง ปากก็หนึ่ง จมูกก็สองรู นั่นแหละ ทั้งน้ำ มูกขี้ตา และอื่นๆ ตอนเช้าดูซิ ต้องล้างหน้า ชำ ระร่างกายให้สะอาด มาพิจารณาดูแล้ว ไม่มีที่สวยเลย ถึงจะว่าใบหน้า 249