The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

๙๐ ปี เศรษฐีธรรม ชีวประวัติ ปฏิปทา และพระธรรมเทศนา หลวงปู่ลี กุสลธโร (พระอริยสาวกแห่งภูผาแดง) วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ray of Dhamma ตามแสงธรรม, 2023-09-24 18:11:09

๙๐ ปี เศรษฐีธรรม -หลวงปู่ลี กุสลธโร

๙๐ ปี เศรษฐีธรรม ชีวประวัติ ปฏิปทา และพระธรรมเทศนา หลวงปู่ลี กุสลธโร (พระอริยสาวกแห่งภูผาแดง) วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

Keywords: ธรรม

ประวัติการจำาพรรษา ในช่วงฤดูแล้ง องค์หลวงปู่ลีได้มาพักปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำ�สหายธรรมจันทร์นิมิต อำ�เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี กับหลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร (ซึ่งเป็นพระหลานชาย) หลวงปู่ลีท่านได้พำ�นักอยู่ที่ ถ้ำ�สหายแห่งนี้เป็นเวลานานพอสมควร จากนั้นได้ธุดงค์ต่อไปยังดอยน้ำ�จั่น ท่านพักอยู่ได้ระยะหนึ่งแล้ว พิจารณาสถานที่แห่งนี้และบุคคลรอบข้างว่าไม่สัปปายะ จึงได้หวนกลับมาถ้ำ�สหายอีกครั้งหนึ่ง ในระหว่าง นั้นเป็นช่วงเวลาที่ท่านกำ�ลังตัดสินใจว่า จะขึ้นไปบำ�เพ็ญสมณธรรมบนเทือกเขาที่อยู่ตรงกันข้ามกับ วัดถ้ำ�สหายฯ นั่นก็คือ ภูผาแดง ในสมัยทุกวันนี้ องค์หลวงปู่ได้ให้พระลูกศิษย์เดินทางขึ้นไปสำ�รวจบน ภูผาแดงไว้ก่อนล่วงหน้า และต่อมาอีกไม่กี่วันองค์หลวงปู่ท่านก็ได้ตามขึ้นไปอยู่ด้วย พรรษาที่ ๔๑-๕๐ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓-๒๕๔๒ จำ�พรรษาที่วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี พระประธานภายในถ้ำาสหาย กุฏิหลังเดิมของหลวงพ่อจันทร์เรียน เสนาสนะต่างๆ ภายในวัดถ้ำาสหาย


151 พระอาจารย์จันทร์เรียน ท่านเป็นพระเถระฝ่ายวิปัสสนารูปหนึ่ง ซึ่งได้รับความเคารพนับถืออย่าง สูงจากพุทธศาสนิกชนจำ�นวนมาก ท่านบวชกับพระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป) จากนั้นได้ ไปอยู่ศึกษาอบรมธรรมะกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระมหาเถระผู้ทรงคุณธรรม สูงท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เที่ยวจาริกธุดงค์ติดตามหลวงปู่ชอบไปในสถานที่วิเวกป่า เขาลำ�เนาไพร โดยเฉพาะทางภาคเหนือเป็นเวลาหลายปี จนต่อมาภายหลังท่านได้มาพำ�นักที่วัดถ้ำ�สหายฯ ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งทับสมปอง บริเวณด้านหน้าถ้ำ�จะเป็นเนินใหญ่ มีปล่องแสงจากยอดถ้ำ� ทำ�ให้ถ้ำ�ส่อง สว่างตลอดทั้งวัน โดยมีน้ำ�ซับใสสะอาดไหลออกมาจากก้นถ้ำ� เข้าใจว่าจะไหลลงห้วยสามพาด ถ้ำ�แห่งนี้ เดิมใช้เป็นสถานที่อบรมการเมือง และฝึกอาวุธหลักสูตรเร่งรัดให้แก่มวลชน พื้นฐานชายดง และยังใช้ เป็นโรงพยาบาลด้วยในบางครั้ง เมื่อสหายสมปองเสียสละจากการซุ่มโจมตีของศัตรูก็ได้มีการจัดพิธี ไว้อาลัยและได้เก็บอัฐิของสหายสมปองไว้ที่นี่ จากนั้นจึงได้เรียกทัพนี้ว่าทับสมปอง ต่อมาพวกชาวบ้านที่ ขึ้นภูเขามาล่าสัตว์ ได้พบเห็นร่องรอยของสหายที่บริเวณถ้ำ�นี้มากขึ้น จึงพากันเรียกว่าทับสหาย จนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ได้เดินทางมาพักบำ�เพ็ญ ภาวนาในบริเวณป่าแถบนี้และได้พบอัฐิสหาย และสิ่งของที่พวกสหายได้ซุกซ่อนไว้ในถ้ำ�แห่งนี้ มีความ พอใจจึงได้พำ�นักปฏิบัติธรรม และสวดอุทิศส่วนกุศลแล้วจึงนำ�อัฐิสหายสมปองมาโรยลงในทางเดินจงกรม และได้ตั้งชื่อวัดนี้ว่า วัดถ้ำ�สหายธรรมจันทร์นิมิต ช่วงระหว่างในพรรษา พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านจะมากราบทำ�วัตร-คารวะ องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร ณ วัดภูผาแดง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพมากอีกองค์หนึ่งอยู่เป็นประจำ�ทุกปี หลวงปู่จันทร์ศรีเล่าว่า “พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีพระเณร ไปอยู่ศึกษาอบรมกับท่านมาก” พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร เจ้าอาวาสวัดถ้ำ สหายธรรมจันทร์นิมิต อำ เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี


ประวัติการจำาพรรษา กุฏิหลวงปู่ลี เคยพักปฏิบัติธรรม ศีลโปรดคนทำ จริง สภาพธรรมชาติ และบรรยากาศทั่วไปภายในวัดถ้ำาสหายฯ เมื่อมองตรงไปจากหลังเทือกเขาวัดถ้ำสหาย จะเห็นเทือกเขาที่อยู่ด้านหน้า คือ วัดภูผาแดง


จากวัดป่าบ้านตาดถึงวัดภูผาแดง โดยจริตนิสัยขององค์หลวงปู่ลี มักจะเที่ยวไปองค์เดียว ไปธุดงค์ตามสถานที่สงบแต่จะอย่างไร ก็ยังติดตามวนเวียนเข้าไปอยู่กับองค์หลวงตามหาบัว ที่วัดป่าบ้านตาดโดยสม่ำ�เสมอ เหตุผลที่สำ�คัญ คือความเคารพในองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ และองค์หลวงตามหาบัวก็เมตตาท่านมากเป็นพิเศษ เสมือนหนึ่งว่าพ่อกับลูก ดังที่องค์หลวงตาได้กล่าวกับหลวงปู่ลี ที่ศิษยานุศิษย์มักจะได้ยินอยู่เป็นประจำ� ด้วยความอบอุ่นใจ ดังนี้ว่า “ธรรมลี ก็ตั้งแต่วันบวชแล้ว บวชวันถวายเพลิงหลวงปู่มั่น บวชวันนั้นที่วัดป่าสุทธาวาส ตั้งแต่ บวชแล้วติดสอยห้อยตามเราตลอดเหมือนเด็กนะ ธรรมลีนี่เหมือนเด็ก ไม่มีธรรมวินัยอะไรเลยเอาพ่อ แม่กับลูกเข้าเลย เป็นใหญ่กว่า เราจะไปไหนติดตามคือไม่ต้องขออนุญาตนะ เห็นไหมไปกรุงเทพด้วย ด้อมตาม ถ้าไปขออนุญาตท่านจะไม่ให้ไป ต้องขโมยไปแบบนี้แหละ เห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น” (๒ มิถุนายน ๒๕๔๖) “พอบวชแล้วติดตลอดเลยธรรมลีนี้ แต่เป็นผู้ตั้งใจดีมากเชียว ตั้งแต่บวชทีแรกเอาจริงเอาจัง แล้วติดมาเรื่อยตลอด ออกจากนี้ก็ไปอยู่ผาแดงเท่านั้นเอง ถึงจะอายุพรรษาแก่แล้ว ไปแล้วก็มา มาอยู่อย่างนั้นล่ะตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่เป็นเศรษฐีธรรมนะนั่น เงียบๆ ท่านผ่านไปนานแล้วนะ ผ่านไปสัก ๓๐ ปีแล้วมั้ง” (๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘) พระประธานวัดป่าเกษรศีลคุณ (ภูผาแดง)


ประวัติการจำาพรรษา 154 อิริยาบถสบายๆ ขององค์หลวงปู่ลี ณ วัดภูผาแดง อิริยาบถสบายๆ ขององค์หลวงปู่ลี ณ สวนแสงธรรม มีนาคม ๒๕๔๓


หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ หลวงปู่ลี มักจะกล่าวถึงวัดป่าบ้านตาด กล่าวถึงองค์หลวงตามหาบัว ด้วยความเคารพความผูกพัน อยู่เสมอ ที่ทำ�ให้ท่านมักเข้าไปจำ�พรรษาอยู่กับองค์หลวงตาอยู่บ่อยๆ ดังที่ท่านได้กล่าวว่า “ แถวนี้มันสิบ่มีบ่อนหลบคนบ่น้อ พอผมได้มาเฮ็ด ตามปกติผมว่าสิบ่อยู่ ปกติไปหม่องฮั่น หม่องนี่ หลบบ่อซ้ำ�หม่องเก่า เว้นไว้แต่บ้านตาด จำ�พรรษา อยู่นำ�ครูบาอาจารย์กะอยู่ เว้นไว้แต่บ้าน ตาด บ้านตาดนี่อยู่ ๔ ฝน ๕ ฝน ผมกะอยู่ได้ อยู่นำ�เพิ่นมาเด๊ แต่บวชกะเลยอยู่ไป อยู่บ่อนอื่นนี่ฮ่วย อยู่พรรษาเดียวทอนั่น พระเณรมาหลายมาศึกษาจั่งสิ จวนสิเข้าพรรษาแล้วกะบ่มีที่อยู่ให้หมู่จั่งซิ คือจั่ง พระอาจารย์ทุยจั่งซิ อยู่จังซั่นสำ�บาย บ่ได้ยุ่งงาน ” เมื่อมีผู้เข้ามาอบรมที่วัดป่าบ้านตาดมากขึ้น ทำ�ให้ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ในยุคนั้น ต้องเปิดโอกาสให้ ผู้มาใหม่ได้เข้ามาอยู่ศึกษาแทน เป็นต้นว่า หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ, หลวงปู่เพียร วิริโย, หลวงปู่ลี กุสลธโร ซึ่งองค์หลวงตามหาบัว ได้ให้ไปบำ�เพ็ญอยู่ตามอัธยาศัยของแต่ละองค์ ดังที่องค์หลวงตาได้เทศน์ไว้เมื่อ วันที่ ๑๕ เดือนมีนาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ว่า “ท่านเหล่านี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งนั้น เป็นลูกศิษย์ เรามาตั้งแต่ต้นเลย ที่ออกไปนี่ถูกเราขับไล่ออกไปนะ นี่ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งป่านนี้ ตามธรรมดา เป็นพ่อตาแม่ยายเขาได้เลย มันขนาดนั้นล่ะ นี่ยังมาเป็นลูกเขยใหม่ มันยังไงนี่ ไป ไล่ไปองค์นั้นไปอยู่ นั้น องค์นี้ไปอยู่นี้ ท่านเพียรไปหนองกอง ท่านบุญมีไปอยู่นาคูณ ธรรมลีไปอยู่ผาแดง อันนี้ไล่ไม่ค่อย ไปนะ ไล่ทางนี้หลบมาทางนี้ ไล่ทางนี้หลบมาทางนี้นะ ธรรมลีอยู่กับเรามาดั้งเดิม” หลวงปู่ลี ท่านได้อธิษฐานว่า ถ้าหากพรรษาไม่เกิน ๔๐ จะไม่ยอมสร้างวัดเป็นอันขาด ฉะนั้นองค์หลวงปู่จึงไม่ค่อยอยู่ประจำ�ที่ไหนนานๆ นอกจากวัดป่าบ้านตาดเท่านั้น ในช่วงอายุย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย ท่านได้พิจารณาเหตุผลต่างๆ แล้วสุดท้ายท่านจึงได้ตัดสินใจสร้าง วัดป่าเกษรศีลคุณ ธรรมเจดีย์(ภูผาแดง) อำ�เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ท่านได้เมตตารับพระที่มา ขออยู่ศึกษาข้อวัตรและปฏิบัติธรรม ที่วัดแห่งนี้มาโดยตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ ในช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ หลวงปู่ลี กุสลธโร ได้พิจารณาถึงเรื่องหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ และองค์หลวงปู่ลีได้บอกกับหลวงพ่อสมศรีว่า “ ให้ท่านศรีมองดูข้างหลังบ้างว่า ทุกวันนี้ลูกศิษย์ท่าน เต็มบ้านเต็มเมือง ท่านศรีพรรษาท่านก็มากกว่าเพื่อนแล้ว ให้ ท่านไปหาวัดอยู่เป็นหลักได้แล้ว อนาคตข้างหน้าท่านจะต้องมี ลูกศิษย์ลูกหาที่จะให้ความเคารพท่านอีกมากมาย และอนาคต ข้างหน้าท่านจะเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีทั้งพระเณรและฆราวาสให้ ความเคารพนับถือ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่จะสืบสานพระธรรมคำ�สั่ง สอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เผยแพร่ในอนาคต ข้างหน้าต่อไป ”


ประวัติการจำาพรรษา 156 ในปีนี้องค์หลวงปู่ได้เมตตามาจำ�พรรษาที่บ้านนาแอง ซึ่งในสมัยนั้น พระอาจารย์บุญเติม ฐิโตภาโส เป็นผู้ดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้ นับว่าเป็นสิริมงคลแก่วัดป่านาแอง ชาวบ้านนาแองและหมู่บ้านใกล้เคียง บริเวณนี้ ที่ได้มีครูบาอาจารย์ผู้เป็นเนื้อนาบุญมาโปรด เพื่อให้ศรัทธาญาติโยมสาธุชนทั้งหลายได้สักการ บูชา ร่วมสร้างบุญบารมีกับองค์หลวงปู่ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก เพราะวันเดือนปีล่วงไปๆ นาน แสนนานถึงจะมีพระบูรพาจารย์เถระผู้ใหญ่มาพักอยู่จำ�พรรษาให้ ซึ่งนำ�ความปีติยินดีแก่ศิษยานุศิษย์และ สาธุชนทั่วไปเป็นอย่างมาก พรรษาที่ ๕๑ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ จำ�พรรษาที่วัดป่านาแองญาณสัมปันโน อ.เมือง จ.อุดรธานี กุฏิที่หลวงปู่ลี เคยจำ พรรษา พระประธาน ศาลาหอฉัน และสภาพธรรมชาติ บรรยากาศทั่วไปภายในวัดป่านาแอง


157 เหตุที่องค์หลวงปู่ลี ท่านได้มาจำ�พรรษาที่วัดป่านาแองในปีนี้ ด้วยเหตุเพราะวัดป่านาแองยัง ไม่มีศาลาการเปรียญที่ถาวร มีเพียงศาลาที่มุงด้วยหญ้าคาหลังเล็กๆ เท่านั้น อีกทั้งถาวรวัตถุก็ยังมีไม่ กี่หลัง ขณะนั้นช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน องค์หลวงปู่ได้พำ�นักอยู่ที่วัดภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี คุณชายใหม่(ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ได้มีจิตศรัทธาอยากจะขอเป็นเจ้าภาพ ทอดกฐินเพื่อสร้างศาลาและเสนาสนะต่างๆ จึงได้ขอนิมนต์องค์หลวงปู่มาจำ�พรรษาที่วัดป่านาแอง องค์หลวงปู่เมตตารับนิมนต์และได้เป็นประธานสงฆ์ในงานทอดกฐินปีนี้ หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจทุก อย่างแล้ว ท่านจึงได้หวนย้อนกลับมาพำ�นักที่วัดภูผาแดงเรื่อยมา


ประวัติการจำาพรรษา 158 พรรษาที่ ๕๒-๖๒ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๔-๒๕๕๕...จนถึงปัจจุบัน จำ�พรรษาที่ป่าวัดเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ในปีนี้นับเป็นมหามงคลอย่างสูงที่องค์หลวงปู่ลีท่านได้เมตตาย้อนกลับคืนมาจำ�พรรษา ณ ภูผาแดงแห่งนี้ อีกครั้ง และได้อยู่ต่อมาตลอดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ นับเป็นบุญวาสนาของญาติโยมชาว บ้านหนองอ้อและหมู่บ้านใกล้เคียงในบริเวณเขตอำ�เภอหนองวัวซอ เป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีโอกาสร่วมสร้าง บุญบารมีกับครูบาอาจารย์ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก พระประธานภายในถ้ำาจัน ทางจงกรมของหลวงปู่ลี ในสมัยก่อน แต่ก่อนเคยเป็นที่ตั้งศาลา มุงด้วยหญ้าคา ฟากไม้ไผ่ พระประธานภาย บริเวณผาแดง


159 เสนาสนะต่างๆ และธรรมชาติอันร่มรื่น ภายในวัดภูผาแดง โรงต้มน้ำาร้อน-ฉันน้ำาปานะ ศาลาการเปรียญวัดภูผาแดง กุฏิหลวงปู่ลี กุฏิหลวงตามหาบัว


พระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่ลี กุสลธโร สุขา สทฺธมฺมเทสนา การแสดงสัทธรรม นำ ความสุขมาให้ ขุ. ธ. ๒๕/๔๑.


เข้าพรรษามา มันก็ครึ่งเดือนแล้ว วันนั้นเดือนนี้ปีนั้น ของเก่านี่ล่ะ มืดกับแจ้ง มันหลงสมมุติตัวเอง ใครจะเร่งความเพียรก็เร่ง ครั้งพุทธกาล ท่านก็เร่งความพากความเพียร เข้าพรรษา ๓ เดือนไตรมาส ท่านอธิษฐานไม่นอนอย่างนั้น อธิษฐานธุดงควัตร อธิษฐานบังคับใจตัวเอง ถ้าไม่บังคับอย่างนั้น กิเลสเอาไปกินหมดล่ะ ธรรมก็ไม่โผล่ขึ้นนะ แล้วก็มาตู่ศาสนาเท่านั้นว่าศาสนาไม่จริง ตัวเองไม่จริงไม่รู้ สักพักก็ถอยความเพียรไปหาความมักมาก เป็นอย่างนั้นโลกนี้ สู้กิเลสไม่ได้ ตายไม่ได้เกิดนะพวกนี้ ให้ดูลมหายใจตัวเอง มันเกิดอยู่นั่น มันรักมันชังมันเกิดอยู่กับหัวใจ หัวใจจะไปเสวยภพชาติแบบไหน สภาพร่างกายนี่ตายแตกลงไปเป็นดิน เป็นน้ำ เหมือนของเก่ามัน นั่นล่ะโลก ผู้รู้คือจิตเคยติด มันก็ไป ตามโลก เอ้า.. มันมี ๒๔ ชั่วโมงนอนหลับดู วันนี้นอนหลับตายไม่รู้ วันนั้นฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ เอามาเล่า ให้หมู่ฟัง ๒๔ ชั่วโมงรู้อย่างนั้นล่ะ ขัดเกลากิเลสออกจากใจดูซิ ให้ธรรมโผล่ขึ้นมา จะแสดงออกมาเรื่อง ภพชาติเรื่องเทียวเกิดเทียวตายที่นั่นที่นี่ มันจะประมวลออกมาอยู่นี่ ขอให้มันบรรลุเถอะน่า ธรรมของพระพุทธเจ้า อันนี้มันบังคับจิตไม่ได้นะ วิ่งไปอยู่อย่างนั้น พอนั่งภาวนา ก็ไปแล้วถึงโลกไหน นั่งปรุงอยู่นั่น วิเศษวิโสอะไร เขาไม่ภาวนา เขาก็ปรุงได้หรอกอย่างนั้น จิตมันไม่สงบสักที จิตไม่เป็นสมาธิสักที จิตไม่รวมได้สักที นี่ก็ไม่เห็นอะไร เดี๋ยวก็เวทนาขึ้นทับซะ ก็ไปนอนลงเลย ถ้าไม่นอนจะตาย ของมันเคยตายมาหลายภพหลายชาติแล้ว ก็กลัวอย่างอย่างนั้น ความตาย ค้นหาสาเหตุที่มันเป็น ถ้าตัวมันจริงๆ มันไม่มีเรื่องอะไรหรอก มันไม่ปรากฎกายหรอก จิตรวมก็เหมือนกัน ท่านเปรียบเทียบไว้เหมือนคนดำ น้ำ อยู่ในครรภ์ ท่านเปรียบเทียบไว้หมด เราไม่เห็น มันก็เท่านั้นล่ะ ทำ ให้หนักเข้าๆ พิจารณาเข้า เดินจงกรมก็ให้จิตมันสงบได้ แต่นี่มันเอาแล้ว เครื่องปรุงสร้าง บ้านสร้างเรือนไปนู่นแล้ว ก่ออันนั้นก่ออันนี้ เป็นมหาเศรษฐี มันจะเห็นอะไร แล้วก็เมื่อยแล้วก็นอน เท่านั้นล่ะ ไม่บังคับตัวเองไม่ได้นะ ดูครูบาอาจารย์ท่านทำ มา อย่างพ่อแม่ครูจารย์มหาทองสุก ท่านเรียนถึงประโยค ๖ ประโยค ๗ ไปอยู่กับหลวงปู่มัน โอ้ย..สอนพุทโธ ให้อยู่กับพุทโธ ที่เรียนมานั่นให้เก็บเข้าตู้เข้าหีบ อย่ามาเป็นสัญญา เป็นอารมณ์ เรียนพุทโธอยู่เป็นปี ๒ ปี ท่านพูดให้ฟัง เวลาจิตจะเป็น จิตอยู่กับพุทโธเท่านั้น เวลาจิต จะเป็น เกิดแสงสว่างขึ้น คล้ายกับเดินไปตามทาง แล้วก้มหัวสะดุดไปข้างหน้า เงยขึ้นเท่านั้นล่ะ เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นแจ้งหมด ปรากฎว่าตัวเองนี่เป็นร่างกระดูกกองอยู่ จิตท่านรวมได้เป็นอย่างนั้น เอาอยู่นั่นล่ะท่านว่า เดี๋ยวจิตงอกแงกๆ จิตถอนขึ้นมา โอ้ย..ความเพียรไม่รู้มาจากไหนแล้ว กัณฑ์ที่ ๑ หลงกิเลส หลงสมมุติ 161


พระธรรมเทศนา ตั้งความอยากให้มันเห็นเหมือนเก่า เร่งอยู่อย่างนั้น สักพักไปปฏิบัติหลวงปู่มั่น ปัดกวาดในศาลา ปัดกวาดในกุฏิแล้ว หลวงปู่มั่นนั่งอยู่นอก แล้วมากราบ ท่านก็เลยเทศน์ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของอยาก ทำาเหตุให้มันพอ ผลมันจะเกิดเอง อย่างชาวนาเขาไม่ได้ปรารถนารวงข้าว รวงข้าวมันเกิดเองเมื่อถึง คราว ให้รักษาแต่รากลำ ต้นมัน ถ้าไปตั้งความอยากล่ะ ไม่เห็นหรอก อรรถธรรม นั่งเอาอยู่นั่นล่ะ เดี๋ยวก็ไปตั้งความอยากคิดไปนั่น กำ หนดไม่ให้อยาก พอจิตอยู่กับพุทโธอีก จิตรวมลงพรึบ เกิดแสงสว่างขึ้น โอ้ย ยิ่งกว่าเดิม นานเข้าๆ เป็นอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ท่านเห็นมา แต่นี่พวกเรามันไม่เห็น การงานลุ่มๆ ดอนๆแล้ว เพราะใจมัน ไม่เห็นนะ ถ้าฝึกให้มันเห็นแล้ว โอ้ย..มันไม่เกียจคร้านหรอก คนมาหานี่ มันกลัวเสียเวลาความเพียร ถึงขนาดนั้นนะ มันทำ งานทางใจ ธรรมมันเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น เรื่องนั้นเรื่องนี้ เอาอยู่นั่นล่ะ ขอให้มันเป็นเถอะ ให้มันเกิดขึ้นเถอะ มันจะรู้ขึ้นเองหรอก ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบรรลุอยู่ต้นโพธิ์ต้นเดียวกระจ่างไปหมด ท่านไม่ทำ อะไรนะ ท่านก็เจริญอานาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ท่านไม่ให้ออกจากนั้นนะ ให้มันรู้ออกเข้าอยู่นั่น พวกเรานี่เอาแต่วิ่งตามจิตไป นั่นล่ะ อะไรวิ่งมาก็เกาะติดหมด ไม่รู้จักเรื่องจักราวอะไร เหมือนหมาเห่าบ่างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักต้นเหตุนะ เห่าซะไปอย่างนั้น แหงนต้นไหน เห่าไปหมด นี่ก็เหมือนกัน ไม่เกิดผลประโยชน์อะไร พอไม่เกิดผล ประโยชน์ ก็เกิดความเกียจคร้านเข้ามาทับหัวใจอีก แต่กินแล้วนอน กอนแล้วนิน แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ อะไร แล้วก็สังเกตดูแต่ลูกกะโปกตัวเองเท่านั้นล่ะ เหมือนเป็ดนี่ล่ะ มันเห็นแม่น้ำ ลำ คลอง มันก็วิ่งไปนั่นล่ะ ไปเล่นน้ำ ครำ อยู่นั่น นี่ก็เหมือนกันล่ะ จิตใจมันก็วิ่งที่มันเทียวเกิดเทียวตายอยู่นั่น ภพไหนชาติไหนก็เกิด อยู่นั่น ไม่เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นสมมุติ พากันเร่งความพากความเพียร จวนแล้วนะออกพรรษา ใกล้ออกพรรษาแล้ว มันไม่แน่นอนกันนะ ไปนั่นไปนี่ แล้วไม่มีสัจจะอะไรที่มามัดจิตใจ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันจะมาถึงวันไหนนะ ให้พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตาย จิตมันจะอ่อน มันจะได้เกิดสลดสังเวช พิจารณาให้มันรู้ พิจารณาอันไหน ให้มันเกิดสลดสังเวชในใจตัวเอง มันถึงจะเกิดธรรมได้ จะปรากฎได้ พากันเร่ง ความพากความเพียร จวนแล้วนะออกพรรษา นี่ก็ครึ่งพรรษาล่ะนะ เอาล่ะ เลิกกัน กุฏิหลวงปู่ลี ณ วัดป่าบ้านตาด 162


กัณฑ์ที่ ๒ ความสงบให้มันเพียงพอ มืดแจ้งๆ มันเป็นอยู่อย่างนั้นล่ะ วันนั้นเดือนนี้ โลกเขาใส่ชื่อสมมุติหมด อัตภาพร่างกายของเรา มีชื่อหมด ขี้ก็เต็มตนเต็มตัวอยู่ ขี้หัว ขี้กลาก ขี้ไคล คนก็มาหลงสมมุติความปรุงความแต่งของตัวเอง พิจารณาเข้าไป แล้วแก้ไขเข้าไป จิตใจของเรามันก็ผ่องเข้าไป รู้จริงเห็นจริงแล้ว มันรวมลงพรึบ รู้หมด นี่มันไม่มี นั่งภาวนาทีแรก มีแต่ปรุงนะ อยากได้นั่น อยากเห็นนั่น อยากเห็นกายทิพย์ หูทิพย์โน่น โอ้ย.. มันเกินพระพุทธเจ้า ในตำ ราไม่มีนะ กิเลสตัณหายังปลดเปลื้องออกจากใจยังไม่ได้ มันมีแต่ความร้อน ความกังวลในหัวใจอยู่นั่น มันจะเห็นได้ยังไง ความร้อนมันก็เป็นกิเลสเหมือนกับความรักความชัง ถ้า ไม่มีความรักความชัง มันไม่ร้อนหรอก มันก็มีแต่สบายเท่านั้น ต้องแก้ให้มันถึงฐานมัน พิจารณาให้มัน ถึงฐานมัน ความสงบให้มันเพียงพอ ครูบาอาจารย์ท่านฝึกทีแรก มีแต่ให้ฝึกความสงบซะก่อน ถ้าจิตมันรวมลงได้ มันเป็นไปเองหรอก แบบนั้น ปัญญามันเกิดเองเลยนั่น ท่านว่าเป็นวิปัสสนา ถ้าไปคิดเองค้นเอง มันเกิดสัญญาไปหมดนั่นละ ค้นก็ค้นไปกับสัญญาน่ะล่ะ ครูบาอาจารย์ได้ยินอย่างนั้น ได้เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เป็นด้วยนะ เอาตำ รา มาพูดไป คิดไป ถ้าเป็นจริง ปัญญามันเกิดกับตัวเองนะ นั่นล่ะ ธรรมของพระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นท่าน แสดงธรรม ท่านฝึกหัดลูกศิษย์ลูกหา เอ้า..ให้พากันเร่งความพากความเพียร เอ้า เลิกกันนะ ไม่นาน ฝนคงจะตก ทัศนียภาพอันสวยงาม และร่มรื่นรอบๆ บริเวณภูผาแดง 163


พระธรรมเทศนา อีกเดือนเดียวนะออกพรรษา มืดแจ้งๆ อยู่นั่นล่ะ ความจริงมีเท่านั้น นอกนั้นมีแต่สมมุติหมด พลิกไปพลิกมาดูนะ มันหลงสมมุติอยู่น่ะล่ะ หลงรักหลงชัง หลงดีหลงชั่วอยู่นั่น เร่งความเพียรเอานะ เดี๋ยวออกพรรษาแล้ว ออกพรรษาแล้วการงานมากนะ เดี๋ยวเรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่านครูจารย์เพ็ง (หลวงปู่ บุญเพ็ง เขมาภิรโต) ท่านก็มานิมนต์อยากให้ไป ท่านจะฉลองวันเกิดท่านพร้อมกันเลยนะ จะไปยังไง วัน เดียวกัน ไปกะใครก็ไป อันนี้ไปไม่ได้หรอก ใครก็ติดนิมนต์หมดนั่นล่ะ ธุระมันเยอะจริงๆนะ สมัยนี้ไม่เหมือนครั้งหลวงปู่ใหญ่มั่นพาดำ เนินนะ ทีแรกมันไม่มีนะ แต่ ๒๕๒๐ มานี่ เปลี่ยนแปลง ไปหมด ถ้าจะประกอบความพากความเพียร มันก็เป็นไปหมดแล้ว อย่างนั้นอย่างนี้ งานมันเยอะ พิธีมันเยอะ ผู้ประกอบความพากความเพียร มันต้องรู้จักมีสติรักษาจิตอยู่นั่น ไม่ให้ออก ใจนี่แหละที่รู้ ใจนี้ล่ะ จะเป็นศีล เป็นสมาธิ ก็ใจตัวนี้ ปัญญาก็ใจตัวนี้ จะไปเอาอะไรมาอีก จดจ่ออยู่นั่นล่ะ มันคิดไปเรื่องไม่ดี ดึงมันคืนมา ฝึกมั้นอยู่นั่นล่ะ เขาฝึกช้างเอามาใช้งานก็ยังได้ มันอยู่ป่าอยู่ดง ฝึกวัวฝึกควายก็ยังฝึกได้ แต่ฝึกตัวเองนี่ตัวสำ คัญ พระพุทธเจ้าท่านฝึกมาเต็มที่แล้ว ท่านถึงได้มาประกาศศาสนา ท่านได้ตรัสรู้ ที่นั่นที่นี่ ท่านถึงได้มาประกาศศาสนา ถึงมาสั่งสอนประชาชน มาตลอดถึงพวกเรา ศาสนาท่านก็วางไว้แล้ว แต่เราไม่ทันเกิดนู้น เป็นยุคๆ มาตลอด ของจริงมันไม่สูญไป พวกเรานี่นะมันกลับกลอกหลอกลวงตัวเอง หลอกอันนั้น หลอกอันนี้ มีแต่เรื่องกิเลสเอาไปกินหมด เอาซิ เดินจงกรมเข้าไป เหนื่อยหน่อย เอาแล้ว ตัวเองหลอกตัวเอง มันกล่อมดีแท้ๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ กล่อมอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่เห็นกิเลสแล้ว ไม่เห็นธรรมนะ ไม่เห็นธรรม มันต้องทำ จริงๆ อย่างครูบาอาจารย์ท่านทำ มาตั้งแต่นู้นแล้ว ไม่ใช่ทำ เล่นนะ อันนี้เอากันแล้ว หยอกกันเหมือนนกเอี้ยง หยอกกัน โอ้ย เสียงสนั่น ค่ำ มืดเถียงกัน เป็นอย่างนั้น ทำยังไงถึงจะเห็น มีแต่มาบวชสนุกเฮฮาไป กินไม่เป็นแล้ว ก็เป็นหนี้เป็นสินเขาหมด เป็นควายให้เขาไถนาอยู่นั่นล่ะ เขาทำ บุญเข้าวัด หวังเอาบุญ หวังกุศล เขาไม่ได้หวังอะไรนะ ไม่เห็นหรือ เขาอธิษฐานตอนจะยกข้าวใส่บาตรเรานี่ กินไม่เป็นก็กินไฟ นั่นล่ะ มันเผาอยู่นั่นล่ะ เดี๋ยวก็เกิดหนักตัวเอง เบียดเบียนตัวเอง ไม่ได้เบียดเบียนคนอื่นนะ เบียดเบียน ตัวเอง มันกลับกลอกยังงั้น ให้สังเกตดูเอา จิต ถ้าสังเกตตรงนี้ได้แล้ว โอ้ย..มันจับหลักได้หรอก ถ้าไม่สังเกตตัวนี้ จับหลักไม่ได้ จิตใจเป็นไปอยู่ สบายไปอยู่ แต่ตัวกิเลสนี่มันกวนอยู่ เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมา สังเกตนั่งดูนั่นล่ะ ถ้าสังเกตดู มันจะปรุงแพล็บขึ้นมาเลย นั่งให้มันนิ่งดูซิ ถ้าไม่นั่ง เดี๋ยวก็นอนเท่านั้น ก็ไปหาหมู่พวกเท่านั้นล่ะ นั่น สมาธิเป็นอย่างงั้น อยู่คนเดียวไม่ได้ หมู่พวกพอใจหรือไม่พอใจ ก็ไม่คิดนะ เราไปหานี่จะพอใจไหม ถ้าไม่พูดก็กลัวผิดใจกันว่าถือตัวไปล่ะ ไปอย่างนั้น เรื่องของใจมันเป็นเป็นอย่างนั้น ให้สังเกตสังกาตัวเองอยู่อย่างนั้น ที่ไหนไม่ดี แก้มันๆอยู่นั่น กัณฑ์ที่ ๓ ความเป็นนักบวช 164


แก้ไม่หยุด มันก็หมดเท่านั้นล่ะ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันบีบคั้นเอาอยู่อย่างนั้นล่ะ บีบอยู่อย่างนั้น สังขารอันนี่ ถ้าไม่เปลี่ยนอิริยาบถไม่สม่ำ เสมอแล้ว ก็เอาแล้ว ให้ประกอบความพากความเพียรอยู่อย่างนั้น เมื่อประกอบเข้าๆ จิตมันก็อ่อนลงๆ มันไม่แข็งกระด้าง แต่นี่ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องเพลิดเพลิน หยอก กัน แล้วก็ทะเลาะกันเท่านั้น ไม่มีอะไร มันเป็นโลกไปเลย ไม่ใช่เป็นธรรมอย่างนั้น บวชแล้วทำ อะไร เสร็จ กิจแล้ว ทำ ความสงบ เดินจงกรมภาวนาอยู่คนเดียวอย่างนั้นล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านได้มาสั่งสอนพวกเราเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา ศาสนามีแต่ความ สงบนะ ขอให้เร่ง ครั้งพุทธกาล โอ้ย..เข้าพรรษานี้ตั้งใจ ตั้งสัจจะผูกมัดจิตใจแล้ว ว่าจะให้มันได้ตรัสรู้ ก่อนออกพรรษา ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มีครูบาอาจารย์ท่านว่า อย่างพ่อแม่ครูจารย์เนตร เร่งความเพียร ท่านไม่นอนนะตอนกลางคืน อย่างอาจารย์ชาลี (โชติปาโล) ไม่นอนนะตอนกลางคืน แต่กลางวันนอน กลางคืนทำ ความเพียรทั้งคืน ไม่นั่งก็เดิน ตอนกลางวันคนพลุกพล่านคนมาก เข้าในห้องอยู่เงียบนิ่ง ไม่เปิด ท่านทำ ความเพียรอย่างนั้น ไม่เห็นท่านหรอก ประกอบความเพียร ท่านไม่สุงสิงกับใครอยู่ในห้อง ท่านออกไปก็ไปฉันน้ำ ร้อนกับหมู่ แล้วมากวาดตาดเท่านั้น จิตใจท่านถ่อมตัวจริงๆนะ เราไปถามท่าน เราไม่รู้เรื่องท่านหรอกท่านทำขนาดนั้น ท่านไม่ถือเนื้อถือตัวอะไร เอ้า วันนี้เลิกกัน ปวดหัว ไปภาวนาก่อน 165


พระธรรมเทศนา ภาพถ่ายที่ ศาลาใหญ่หน้าวัดป่าบ้านตาด ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ 166


กัณฑ์ที่ ๔ พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกทาง หลวงปู่ : ได้ไปทำ ความสะอาดหรือยัง ลูกศิษย์ : ทำ ครับ ยังมีเหลืออีกหลังหนึ่งครับ หลวงปู่ : ให้ไปทำ หน่อย ทำ ความสะอาด กวาดตาด ปัดกวาดของสงฆ์ ไม่มีใครอยู่ก็ปัดกวาด จะกวาดแต่ที่ของตัวเอง มันก็ไม่ดีนะ สมบัติของศาสนา สมบัติเราเป็นผู้ปฏิบัติ ไปทำ ความสะอาดเสีย ทำ เอาบุญเอากุศล ภาวนาก็ไม่ได้เรื่อง รักษาสมบัติศาสนาก็ไม่เป็น ถ้าภาวนาก็ไม่ได้ถึงชั่วโมง แล้วก็นอนแอ้งแม้งเท่านั้น ทำยังไงการปฏิบัติ คิดอ่านดูซิ ทำ ความสะอาดซะ แขกมากฐินมาแล้วก็ไป เดินดู สกปรก การปฏิบัติไม่ดี เขาติเอานะ ติมันถูกนะ ถ้าเราไม่รักษาสมบัติของวัด สมบัติของวัดก็พวก เรานี่ล่ะรักษา อย่าให้เขาติพระปฏิบัติ จะปฏิบัติอะไร ปฏิบัติจิตใจของตัวเองนั่นล่ะ ไม่ปฏิบัติที่นี่ จะไป ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติแต่ร่างกาย จิตใจปล่อยเห่อเหิมไปทั่วแดน เอาแต่จะคิดไป ไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือ ไม่มีประโยชน์ แล้วก็ขนเอาไฟมาเผาตัวเอง มันร้อนนะ ร้อนก็ร้อนตัวเองก่อนนะ ไม่ร้อนแต่ตัวเองนะ ไปกระทบหมู่พวกอีก มันต้องเผาตัวเองเสียก่อน มันถึงไปเผาคนอื่น คิดดูพิจารณาดูเอา เรื่องความโกรธ นี้มันต้องเผาตัวเอง ถ้าโกรธมากๆ นี่ หน้าไม่มีสีหรอก คือไฟโทสะมันเข้านะ ทำ ให้โลหิตดำแล้ว พากันเร่งความพากความเพียร ครั้งพุทธกาลท่านมีแต่สัจจะนะ ถ้าไม่มีสัจจะผูกมัด จะนั่งเท่านั้น เท่านี้ นาฬิกาแขวนเอวอยู่นั่น ทำ ไมจะไม่ได้ บังคับมันเอา ไม่ทรมาน ใครจะมาทรมานช่วย พระพุทธเจ้า มีแต่บอกทางเท่านั้น จะเดินหรือไม่เดินเป็นเรื่องของเรา ท่านชี้ช่องทาง ใครจะทำ ให้กันได้ ความเจ็บ ความป่วยความไข้ มีแต่เราเสวยเอา แล้วอาหารการอยู่การกิน ถ้าเราไม่กิน มันก็ไม่อิ่ม ไม่รู้จักรสจักชาติ อะไร ใครจะทำ ให้กันได้ มีแต่เราต้องเสวยเอา ทำ เอาหมด ทำชั่วก็ทำ เอา จะเป็นลูกศิษย์พระเทวทัตต์ ก็ทำ เอา จะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็ทำ เอานะ ถ้าไม่ทำ มันก็หมด ความจริงมีเท่านั้นล่ะ โลกเขาที่เห็น กัน ก็มีแต่ความดีกับความชั่วเท่านั้นที่ฝากโลกไว้ ถ้าไม่ทำ ดีแล้ว มันจะฝังใจเราอยู่อย่างนั้น มันจะเห็นหรอกพระพุทธเจ้า ก็เพราะท่านได้ตรัสรู้แล้ว ท่านถึงค่อยได้มาประกาศศาสนา พวกเราถึงได้ปฏิบัติ สวรรค์ นรก เปรต อสุรกายพวกนั้น ขอให้จิต มันสงบเถอะน่า อันนี้มันฟุ้งซ่านรำ คาญแล้ว มีแต่ความอยากได้ คาดคะเนไปหมด จิตสงบ จิตรวมลงได้ มันก็เกิดแสงสว่างขึ้นเท่านั้นล่ะ มันจะเห็นเองหรอกอันนั่น เรื่องปัญญามันเห็นเกิดด้วยตัวเองหรอก มันไม่ออกจากนั่นหรอก นี่ล่ะ ตัวปัญญา เหมือนคนไม่มีเงิน มันต้องจับจนเหงื่อมือออก เพราะมัน ไม่เคยเห็นนะ มันจะเอา ใคร่ครวญอยู่นั่น ออกสมาธิมาแล้ว เห็นทีแรก มันตั้งแต่ความอยากนั่นแล้ว เรื่องความเพียรมันเป็นไปเองเลย ถ้ามันเห็นเท่านั้น เดินจงกรมมันไม่มีคร้าน นั่งสมาธิมันก็ไม่มีคร้าน ไม่ได้บังคับมันเลย ขอให้มันเกิดขึ้น เรื่องไปคิดตาม เรื่องวาดภาพไปยังงั้นยังงี้ โอ้ย.. มีแต่สัญญาหลอก ตัวเองไป 167


พระธรรมเทศนา พระพุทธเจ้าท่านจะได้ตรัสรู้ ท่านก็นั่งอยู่ต้นโพธิ์ นั่งสมาธิท่านก็เจริญอานาปานสติ ดูลมหายใจ เข้าออกเท่านั้น ตอนจะได้ตรัสรู้ปุพเพฯ ประมวลเข้ามา พวกเรานี้ไม่จับเอาแล้ว ทำ อะไรไม่ได้ ก็ติศาสนา ตัวเองไม่จริงก็ไม่ว่านะ ไปติเขาเนาะ ความงมงาย ให้พากันเร่งความพากความเพียร ฝ่ายปฏิบัติ อันไหนที่ต้องรักษา คือปฏิบัติ ไปดูคนอื่นว่าผิดว่าถูก ไม่ดูจิตตัวเองสักครั้ง แทรกแซงอยู่อย่างนั้น แล้วทำยังไงมันจะเกิด เขาทำ ไร่ทำ นาทำ รั้วทำ สวน โอ้ย...กว่ามันจะได้ มันก็หลายเดือน ต้นไม้ต้นไร่เขา ต้องรักษา เสียหญ้าเสียคาอยู่อย่างนั้น ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น มันขาดการปฏิบัติไม่ได้ กว่าจะได้รับผล หรือ เขาเรียนเป็นเจ้าเป็นนาย ลงทุนเท่าไหร่ มันคล่องมันชำ นาญแล้วนะ มันเคย ฝ่ายปฏิบัติรักษา มันไม่ชิน มันไม่มีหามาฝึกหัดใหม่ นั่นมันชินแล้ว ชินมาหลายภพหลายชาติแล้ว มันคล่องแล้ว ไปสร้างกิเลสตัณหา ความประพฤติเขาอีก ประพฤติไม่ดี เขาก็ตกตำแหน่ง ทางโลกเป็นอย่างนั้น ทางธรรมประพฤติไม่ดี ก็สิ้นหวัง ก็เห็นกันอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่สละตายไม่ได้ ธรรมไม่เกิด สู้ดูซิ คืนนี้จะนั่งตลอดรุ่งดู ธรรมเกิดขึ้นเลย ถ้าสู้จริงๆ โดยมากมันไม่สู้กิเลสนั่นล่ะ กลัวตาย ของมันเคยตายมาหลายภพหลายชาติ แต่ความจริงมันไม่มีที่ตายเลย ธาตุดินก็กระจายไปเป็นดินของ เก่านั่นล่ะ ธาตุน้ำก็ไหลไปของเก่ามันนั่นล่ะ ธาตุลม ธาตุไฟ ผู้รู้คือใจ รู้ไปยังงั้น ถ้าทำ ดีไว้ก็ไปทางดี เท่านั้น ทำ ชั่วก็ไปทางชั่ว ให้ค้นลงไปดูซี่ ให้มันเกิดเห็นทุกข์ผู้เดียว มันจะออกอุทานไปทางไหน มันจะกราบพระพุทธเจ้า โอ้ย เอาอยู่ขนาดนั้น กราบแล้วกราบอีก ขอให้มันลงได้เถอะจิต สมัยนั้นไม่มี สมัยนี้ไม่มี มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เอาธรรมะพระพุทธเจ้า มาใส่หัวใจดูซิ ครั้งพุทธกาลเป็นอย่างนี้ สมัยนี้เป็นอย่างนี้ นี่ล่ะ ความเพียร มันย่นเข้าๆ อย่างนี้ ปฏิปทา ย่นเข้าเลย ความมักง่ายมันเต็มหัวใจอยู่เดี๋ยวนี้ มีแต่เห่อเหิมกันไป มันเป็นโลกไปหมด เอ้า เลิกกัน 168 หลวงปู่ลี เมตตารับนิมนต์มาโปรดญาติโยมที่บ้าน


กัณฑ์ที่ ๕ ผลเกิดจากเหตุ เป็นอย่างไรหมู่พวกการภาวนา โธ่เอ๊ย ไม่สนใจกันเฉยๆนี่แหละ ผู้เทศน์ๆ อยู่ที่นี่ผู้ฟังออกไป ทำ ไมที่นู้น ให้อยู่กับพุทโธดูซิ ไม่ให้มันออกไปไหน ๒๔ ชั่วโมง ให้มันอยู่กับพุทโธ ไม่ให้มันออกไปจาก ที่นั่นเลยนะ ให้มันสับสนภายในจิตใจของตัวนั่นแหละ เอาจริงเอาจังนะ ถ้าเราจับหลักมันได้ๆ รู้แน่ๆ ถ้าเราไม่ฝึกสังเกตสังกาตัวเองสักที ไม่ได้นะ การฝึกตัวเองสำ คัญที่สุด ยิ่งกว่างานใดๆทั้งสิ้น งานทาง โลกเขาก็มีการฝึก ถึงจะไปเรียนมาเป็นเจ้าเป็นนายคน ก็ต้องลงทุนไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ถึงอากาศ มันจะหนาวมากขนาดไหนก็ตาม ให้เดินจงกรมอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเราไม่เหนื่อย ก็จับหลักของจิตไม่ได้นะ จิตมันวิ่งไปกับอารมณ์ ความอยากตัวนั้นแหละเป็นตัวล่อหลอก อยากได้นั่นอยากได้นี่ จะอยากได้ไป ทำ ไม นั่งก็อยากให้เห็นปัจจุบัน ให้อยู่กับปัจจุบันนี่แหละ ถึงเขาจะทำ ไร่ทำ นาทำ รั้วทำ สวน กว่าเขาจะ ได้ผลสำ เร็จนั้น ก็หลายขั้นหลายตอนเหมือนกัน ถ้าเราไปตั้งเอาแต่ความอยากเอาไว้ นั่งสมาธิก็ไม่เห็น อะไรนะ ธรรมของพระพุทธเจ้าเหตุมันทำ ให้เกิดผล ผลมันเกิดขึ้นเองจากเหตุ... ตั้งสัจจะอยู่ในใจนั่นแหละ จะทำ อะไรก็ปรารถนาขึ้น พบธรรมะก็พบในใจนั่นแหละ ถ้าไม่ทิ้งตาย ไม่ได้ธรรมไม่พบ ก็สู้ดูซิ วันนี้นั่งสมาธิภาวนาตลอดทั้งคืนจนสว่าง ธรรมเกิดขึ้นในใจแน่ๆ ถ้าสู้จริงๆ โดยมากมันไม่สู้กิเลสนะซิ เพราะกลัวตาย ของมันเคยตายมาหลายภพหลายชาติแล้ว จะไม่ให้มันกลัว ตายได้อย่างไร กลัวสิ่งนี้ แต่ความจริงมันไม่มีอะไรที่ตายนะ ธาตุดินก็กลายไปเป็นดินของเก่ามันนั่นแหละ ธาตุน้ำก็ไหลไปของเก่ามัน ธาตุลมธาตุไฟก็ไปเป็นของเก่ามัน ผู้รู้คือใจรู้ไปอย่างนั้นนะ ถ้าได้ทำ ดีไว้มัน ก็ไปทางดี ถ้าได้ทำชั่วไว้มันก็ไปทางชั่ว ค้นมันเข้าไปดูซิ ให้มันได้เห็นความทุกข์ตัวเดียวก็พอ ถ้าค้นจน พบมันแล้ว จะได้กราบพระพุทธเจ้ากราบแล้วกราบอีก ขอให้มันรวมได้เถอะ จิตนี้ไม่มีสมัยนะ มันเป็น เรื่องของกิเลสทั้งนั้น เอาธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมาใส่ในใจดูซิ แต่ครั้งพุทธกาลเป็นอย่างนั้น แต่สมัย นี้เป็นอย่างนี้นี่แหละ ความเพียรก็น้อยลง ปฏิปทาหรือความประพฤติก็น้อยลง ความมักง่ายมันเต็ม หัวใจอยู่อย่างนั้น มีแต่เรื่องเห่อเหิมกันหนักขึ้นทุกที มันเป็นทางโลกไปหมดแล้ว พอนะ เลิกกันจะไปภาวนา ทันตธาตุของหลวงปู่ลี กุสลธโร กำ ลังแปรเป็นพระธาตุ คณุอรุณลักษณ์ ตั้งเจริญเวช เก็บรักษาไว้ 169


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๖ การภาวนาให้มีสัจจะ เดือนนั่น เดือนนี่ ผู้ใดจะเร่งความพากความเพียรก็เร่ง ออกพรรษาแล้วก็งานนั่นงานนี่ มนต์อันนั่น มนต์อันนี่ มันเยอะอยู่ ในการภาวนาให้มีสัจจะ ต้องผูกมัดตัวเองนะ ถ้าไม่ได้ความเพียรนี่ เวลาเท่านั้น เท่านี้ ให้สังเกตสังกาตัวเอง การภาวนาสังเกตจิตตัวเอง อ่านจิตตัวเอง อย่าไปส่งนู่นส่งนี่ เรื่องนั้นเรื่องนี้ โอ้ย นั่นมันเป็นเรื่องกิเลสตัณหาไปหมด หัดมันความสงบ ครั้งแรกถ้าจิตไม่สงบล่ะ เอาแล้ว จิตฟุ้งซ่านล่ะ มีแต่ร้อนแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านฝึกอย่างนั้น เป็นครูเป็นอาจารย์มาขนาดนั้น ยังเอามาอยู่นั่นล่ะ เอามาหลอกมาหลอนตัวเองอยู่นั่น เรื่องนั่นเรื่องนี่ สักพักก็ไปกับมันแล้ว ตามไป สักพักไปกับหมู่กับพวกไป ถ้าไม่บังคับไม่ได้ เขาฝึกควายฝึกวัวฝึกสัตว์ เขายังฝึกได้นะ ช้างอยู่ดง เขาคล้องฝึกลากซุงให้ อันจิตใจของเรานี่นะ มาบวชชำ ระ ถ้าไม่ชำ ระอันนี้ไม่เห็นล่ะ อันนี้ล่ะ มันวิ่งตามโลกตามสงสาร อยู่นี่ มันจะอัศจรรย์อะไร เขาไม่บวชเขาก็ทำ ได้ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เหมือนกัน เขาทำ ได้หมด ไม่ต่างกับโลก พวกเรามีศีลมีธรรมนะ ทำ อย่างไรบังคับจิตให้มันอยู่นั่น ใส่ศีลใส่ธรรม ใส่สมาธิ ใส่ปัญญา อบรมจิตใจเข้า มันวิ่งอยู่นั่นล่ะ อย่าให้มันออกนอก เอ้า ไม่วันใดก็วันหนึ่งล่ะ จิตมันจะตะล่อมเข้าๆ อันนี้จิตใจของเรา มันก็หว่าน โลกนี้ สังเกตเป็นไง นอนหลับมันก็ยังไปละเมอเพ้อฝันไป แต่ผู้รู้มันรู้อยู่ อย่างนั้นนะ วันนี้ หลับเป็นตาย มันก็รู้นะ วันนี้ฝันเรื่องนั่นเรื่องนี่ มันก็รู้อยู่นั่น ขอให้ซักฟอกตัวนี้ออกเท่านั้นล่ะ ให้มันเกิดแสงสว่างขึ้นก่อน มันจะรู้หรอก เรื่องภพเรื่องชาติ เทียวเกิดเทียวตายมานี้ จะประมวลหมดนั่นล่ะ พระพุทธเจ้าท่านรู้มาหมด นี่ล่ะ การฝึก ดูซิ พระพุทธเจ้า ท่านสร้างบารมีเท่าไหร่ ขนาดนั้น ท่านฝึกหัดอยู่ตั้ง ๖ ปีนู่น ถึงได้ตรัสรู้ บารมีของเราก็ทำ มาแล้ว จึงค่อยได้บวช ถ้าไม่มีบารมี บวชไม่ได้หรอก เหมือนควายกับวัวนั่นล่ะ จะรู้จักอะไร มีแต่ก้มหน้ากินหญ้า อยู่อย่างนั้น ไม่เห็นหรือนิทานอีสป ไก่แจ้ตัวหนึ่งหาคุ้ยเขี่ยหาอาหาร ไปพบพลอยเห็นพลอยมันก็รู้จักอยู่ แต่มันไม่เท่าข้าวสารเม็ดเดียว อันนี่เหมือนกัน ไม่มีบารมี ไม่มีวาสนามันไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านวางศาสนาไว้ ก็วางให้มีอุปนิสัย ทางอย่างนั้นท่านรู้หมดแล้ว ท่านเห็นแล้ว ยุคนั้นได้เท่านั้น ยุคนี้ได้เท่านี้ ท่านมีญาณ ท่านเล็งเห็นแล้ว ถ้าไม่มีศาสนาก็เหมือนกันแล้ว ไม่ได้ต่างกับ สัตว์เดรัจฉาน เห็นกันก็แยกเขี้ยวใส่กันแล้ว ทุกวันนี้มีศาสนา มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ ให้สังเกตดู ถ้ารักษา ในศีลในธรรมแล้ว ไม่ต้องมีตำ รวจทหาร ถ้าจะเอาธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าเยียวยาจิตใจตัวเอง นี่ทำ ไม่ได้นะ กิเลสเอาไปกินหมด เอากันอยู่อย่างนี้ ผัวเมียก็เหมือนกัน พูดกันแย่งกันเป็นใหญ่อยู่อย่าง นั้นล่ะ 170


ณ งานพิธีหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี 171


พระธรรมเทศนา เอ้า พิจารณาดูซิ มันเป็นอย่างนั้นแล้ว โลกอันนี้จะหาความสุขที่ไหน สักพักก็ทะเลาะกันแล้ว ในบ้านในเมืองพอๆ กันนั่นล่ะ เห็นมั้ย ความสุขยังไง ถ้าพิจารณาไป ละเอียดเข้าไปก็เห็น เราก็มีพ่อมีแม่ เหมือนกัน พ่อแม่เป็นกระดานให้ลูกดู กระดานดำ ให้ลูกดูหมด คำ พูดคำ ด่า ความอิจฉาริษยากัน นอกใจกัน พวกนั้นเราเห็นมาหมดล่ะ แต่ไม่ได้คำ นวนนะ ก็เหมือนกับหนอนนั่น ไม่เห็นหรือ อยู่ในส้วม มันก็รู้จัก เหม็นจักอะไรเลย แต่มันพอดีมันแล้ว อันนี้จิตใจของเราเหมือนกันล่ะ มันก็หลงอยู่นั่นล่ะ พิจารณา ใคร่ครวญ การภาวนาจะจับหลักอะไรก็ให้จับ ให้มีสัจจะผูกมัดจิตใจอย่างนั้น ผูกกันอยู่อย่างนั้น ปล่อยตาม วาระมันก็ไปตามเรื่อง เหมือนวัวควาย เขาก็ผูกมัดไว้แล้ว ถ้ามีหลักแล้ว มันก็รอบหลักเท่านั้นนั่นล่ะ มันไม่ได้วิ่งตามใจได้นะ อันนี้เหมือนกันล่ะ จิตใจของเรา ตัวเองทำ เอา ครูบาอาจารย์มีแต่บอกทางเท่านั้น จะทำ ให้กันไม่ได้หรอก เหมือนความเจ็บความปวดอันนี้ คิดดูซิ เจ็บอันนั่นเจ็บอันนี่ มีแต่ถามอาการเท่านั้นล่ะ ปวดหัวตัวร้อน ถามอาการเท่านั้น จะมาทำ ให้กันไม่ได้ เหมือนกินข้าวฉันอาหาร ถ้าเราไม่กินก็ไม่รู้จักรส จักอิ่มเหมือนกัน อันนี้เหมือนกัน อันนั้นอร่อย อันนี่อร่อย ถ้าเราไม่รับก็เท่านั้น อันนี้คือการปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านบอกท่านเทศน์ เราต้องลงมือทำ เอาหมด มันจึงจะเป็นปัจจัตตัง ให้กำ หนดสตินะ ฝึกสติตัวนี้ล่ะ ให้มันเป็นมหาสติมหาปัญญา ให้มันทันกันอย่างนั้น ถ้าปัญญาแก่กล้า เข้าไปก็เป็นญาณไปเลยล่ะ อะไรเกิดมา ทันๆๆ เป็นญาณเลย ถ้าถึงขั้นนั้นแล้ว อันนี่อะไร พวกเรามีแต่ เข้ากันเหมือนนกเอี้ยงนั่น ไปแล้วก็คำ นึงอยู่นั่น พูดอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น ไปแล้วกระทบอันนั่นอันนี่นั่น นั่งภาวนาเข้ามันเป็นเลย มีแต่นั่งปรุงนั่งแต่งอยู่อย่างนั้น แล้วก็ทำ อะไรมีแต่ความอยากดึงเอาไปกินหมด ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของอยาก ทำ เหตุให้พอ ผลมันเกิดเอง ชาวนาเขาไม่ได้ปรารถนา รวงข้าวหรอก เขาทำ ลำ ต้นมัน รักษามัน ปฏิบัติต้นไม้ดอกอะไรมันเป็นเอง อันจิตใจเหมือนกันแล้ว ขอให้รักษาเถอะ ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นไปเองเลย ถึงมันเต็มภูมิรู้ไปเองเลย ดูซิ พระพุทธเจ้านั่ง อยู่ต้นโพธิ์คืนเดียวนั่นล่ะ ทำถูกเหตุถูกผลนะ ให้พากันเร่งความพากความเพียร อย่าไปเห็นแก่การนอน อย่างนี้ อย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านหัด แต่ก่อนให้นอน ๔ ชั่วโมงเท่านั้น ๔ ทุ่มไปแล้วก็นอน ถึงตี ๒ ก็ลุกแล้วเดินจงกรม ตี ๒ ไปจนสว่าง หรือจะนั่งก็ได้ ถ้าเหนื่อยจากนั่งแล้ว ก็เดินจงกรมล่ะ ถ้าไม่เหนื่อย แล้วจะไม่เห็นธรรมนะ มันวิ่งๆ กับโลกเขา ของมันชำ นาญนะ งานนั่น มันเคยเกิดเคยแก่เคยเจ็บเคย ตายมาแล้ว วิ่งอยู่อย่างนั้นล่ะ เวลาไหนวันไหน ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าเห็นธรรมแล้ว ถึงให้มันไป มันไม่หรอก เรื่องพวกนี้ เรื่องราคะตัณหาเหมือนกัน จะคิดไปอะไร ไม่ใช่เรื่องของมัน ธรรมมันผุดขึ้นเองหรอก ดูอยู่อย่างนั้นทั้งวัน อย่างผู้รู้อย่างครูอาจารย์ อย่างหลวงปู่มั่นพูดกับหมู่ พอหยุด ธรรมผุดขึ้นแล้ว ใคร่ครวญอยู่นั่นทั้งวันทั้งคืน ถ้าไม่ได้สุงสิงกับใครแล้ว อยู่แต่นั่น ธรรมมันเกิดอยู่อย่างนั้น บางทีปรากฎ อย่างนั้นอย่างนี้ มันจะมาเองหรอก คลื่นจิตท่านตรงกับเขานะ คลื่นจิตของเราไม่ตรงกับอะไรนะ ตรงแต่เรื่องของโลกของสงสารไปอย่างนั้น ของมันชินทางนั้นนะ 172


เรื่องการทำ งานเหมือนกัน ถ้ามันชินแล้ว มันคล่อง มันงามไปหมดล่ะ อย่างเขาไสกบนั่นล่ะ ทีแรกมันตะกุกตะกัก ไสเข้าๆ มันเรียบแล้ว โอ้ย จนเป็นเงานู่นแล้ว มันสวย อันนี่เหมือนกัน ให้พากัน ตั้งใจปฏิบัติ มันใกล้แล้วนะ ยังอีก ๒ เดือนเท่านั้นก็ออกพรรษาแล้ว จะไปนั่นไปนี่ ความพลัดพรากจากกัน มันเป็นอยู่อย่างนั้น ความล้มความตายก็เป็นอยู่อย่างนั้น นั่งอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ถึงคราวมันมา ก็ไปแล้ว ความพรากความตายมันอยู่ประจำ สังขาร ดูซิ 173


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๗ ฝึกสติให้อยู่กับจิต ๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ เป็นยังไงการภาวนาหมู่พวก ตั้งใจภาวนานะ ผมว่ามันคุ้นเคยเกินไป สนิทกัน เล่นกันนั่นล่ะ มันไม่เป็น หยอกกันแล้วก็ไปคิดอันนั่น ไม่มีความคิด คิดไปแต่เรื่องอย่างนั้น จิตไม่สงบก็เท่านั้นล่ะ ต้องทำ จนให้ เห็นอานิสงส์ในความสงบดู ต้องหาหลักจะมามัดมาผูกอยู่อย่างนั้นนะ หาสิ่งมาแก้มาไขอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าพาแก้มามากแล้ว ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่เห็นอะไรนะ มันไม่มีอุบายเอาตัวเอง พลิกตัวเอง ตัวเองนะ สอนตัวเอง จะให้แต่คนอื่นมาสอนก็เท่านั้นล่ะ ถ้าตัวเองไม่สอนตัวเอง นั่นไม่ได้ มันไม่ได้เลย เข้ามาบวช ก็หวังอันนี้นะ จะเอาพ้นทุกข์จริงๆ ต้องแก้ไขจิตใจตัวเองอยู่อย่างนั้น อยู่คนเดียวมันก็สู้กันอยู่อย่างนั้นล่ะ ถ้าจิตภาวนาดีๆ แล้วมันไม่สุงสิงกับใครนะ ไม่ได้คุ้นเคยกับใครหรอก ไม่ได้ชินชากับใคร มันฝึกตัวเอง ของมัน เรื่องนั้นมา เรื่องนี้มาอยู่นั่น การภาวนา อิริยาบถทั้ง ๔ มันได้หมด จิตนะเป็นผู้ทำ เรื่องกายนี้มันก็ธรรมดานี่ล่ะ เหมือนท่อนไม้ ท่อนฟืนนั่นล่ะ ถ้าจิตมันเอาจริงๆ ไม่รู้จักอะไร มีแต่ผู้รู้ เวทนามันก็ไม่มี เหมือนกับเรานอนหลับนี่ล่ะ เมื่อคืนนอนอย่างกับตาย เวทนามันไม่มีตอนหลับ เพราะจิตมันวางจากกายแล้วนะ จิตมันไม่มีสติ ตอนเรานอน การภาวนามีสตินะ ขอให้อบรมให้จิตเป็นมหาสติเถอะ ฝึกจิตใจตัวเองให้อยู่อย่างนั้น ฝึกปัญญาให้มีจักษุเกิดขึ้น เกิดมี ท่านฝึกอย่างนั้น อย่างหลวงปู่ชอบ ท่านภาวนาจนเกิดปัญญาจักษุ แล้วรู้ถึงวาระจิตของผู้อื่น ท่านไปภาวนาอยู่บ้านบง โอ้ย..เกิดอัศจรรย์ รู้หมดใครมา แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจ ถ้าหมู่เพื่อนไม่ถาม ไม่รู้เรื่องท่านนะ ท่านมีเรื่อง เล่าแปลกๆ ซอกแซกท่านถึงค่อยเปิดเผย อย่างพ่อแม่ครูจารย์ก็เปิดปี ๒๕๑๔ ผมเป็นผู้อัดเทป ท่านจะ เอามาประมวลใส่ประวัติหลวงปู่มั่น ตั้งแต่ทุ่มหนึ่ง ถึงตี ๒ ท่านเล่าเรื่องพม่า ท่านพูดพม่าได้นะ พ่อแม่ ครูจารย์ท่านว่า เอ้า พูดภาษาเรานี่ล่ะ พวกเรามันไม่เห็นอะไรนะ เพราะกิเลสมันเต็มหัวใจอยู่ เรื่องธรรมมันไม่โผล่เข้าสักครั้ง มันไม่เกิด อะไรแล้วนี่ คิดเรื่องไหนมีแต่กิเลสตัณหาไปหมด ความรักความชังอยู่นั่น ธรรมคือขันติความอดทนไม่มี หิริโอตตัปปะไม่มี พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้หมด ต้องหาธรรมพระพุทธเจ้าใส่ใจตัวเองดู ใครจะแย้งได้ ถ้าจะแย้ง ก็ไม่ได้เดินตามทางท่านแล้ว เดินไม่ตามทางท่าน ก็ไม่ถูก ให้ฝึกตัวเอง นั่งก็ฝึก นอนก็ฝึก เหมือนที่หลวงปู่ฝั้นท่านว่า นั่งก็วัด นอนก็วัด วัดใจตัวเองอย่างนั้นล่ะ ท่านสอนเข้าวัดเข้าวา ขนาดตัด เสื้อผ้าก็ยังวัด ถ้าไม่วัด มันไม่ถูก ท่านสอนถึงขนาดนั้น การอดอาหารให้สังเกตธาตุขันธ์ตัวเองนะ ให้สังเกตธาตุตัวเอง กินมากมันเป็นยังไง นอนมาก มันเป็นยังไง เดินจงกรมมากเป็นยังไง สังเกตตัวเอง ไม่สังเกตตัวเอง จับหลักไม่ได้นะ ไม่สังเกตสังกา มีแต่ทำ ไปเฉยๆ ไม่ได้ จับอะไรไม่ได้ ให้มีศีลธรรม เคารพกัน ธรรมวินัยมี ระเบียบมี ไม่เอาเรื่องทะเลาะ นักปฏิบัติให้พากันเร่งความพาก ความเพียร เวลาพาทำ งาน ก็หาว่าเสียเวลากับมันนู่น ถ้าให้ภาวนาจริงๆ แล้ว มีสิ่งจะทำ เยอะ ก๊อกๆแก๊กๆ 174


ภาพถ่ายที่ เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ 175


พระธรรมเทศนา ทำ ให้ส่วนรวมก็ไม่พอใจล่ะ อะไรวะ ทำ นั่นทำ นี่อยู่นั่น แก้ความรำ คาญนะ สมาธิไม่มี มันเป็นอย่างนั้น ถ้ามีสมาธิแล้ว มันไม่คิดหรอกเรื่องอย่างนั้น ทำแล้วแล้วไป มีแต่คิดว่า จะพ้นทุกข์ไหมหนอๆ เร่งเข้าสิ มันจะเห็นหรอก ธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดเองหรอก แต่ให้มันอบรมจิตใจตัวเองให้มันดีๆ เถอะ มันโผล่ ขึ้นมาเองหรอก มันบอกขึ้นมาเองหมด เกิดเองหรอก จะปรากฎครูบาอาจารย์ไม่เคยเห็นหน้าสักครั้ง จะมาแสดง อย่างประวัติครูบาอาจารย์ท่านทำ มา คลื่นจิตของเรามันไม่ตรงนะ ไม่ตรงมันจะมาหาได้ยังไง เหมือนเทปนี่ล่ะ แต่เทปเราไม่ดี เปิดรับเขาก็ไม่ได้ อันนี้จิตใจก็เหมือนกัน มันแน่นหนาอยู่นั่น ความรักก็เต็ม ความชังก็เต็ม ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความโลภ ความหลงก็เต็มหัวใจอยู่นั่น พัวพันอยู่นั่น ความกำ หนัดรักใคร่เต็มอยู่นั่นแล้ว ธรรมก็เข้าไม่ได้ อย่างขันติความอดทนก็ยังไม่เข้าถึงใจได้ ให้พากัน ตั้งใจ พอนะ เลิกกัน หลวงปู่ลี ออกจากกุฏิกำ ลังเดินมาที่โรงต้มน้ำ ร้อน วัดภูผาแดง 176


กัณฑ์ที่ ๘ ตนเองต้องฝึกหัดตนเอง ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๗ พระใหม่เณรใหม่ตั้งใจทำ ความพากความเพียรนะ อย่าไปเห็นแก่เล่นมาก เล่นมันก็เล่นมาตั้งแต่ เป็นเด็กแล้ว กำ หนด จะกำ หนดอะไรก็กำ หนด หรือจะบริกรรมพุทโธ ก็กำ หนดไปให้มันอยู่กับพุทโธจริงๆ ถ้าจิตไม่อยู่แล้ว มันไม่เห็นอะไรนะ เหมือนกับคนเดินกับคนวิ่งนั่นล่ะจะเห็นอะไร คนยืนอยู่กลางแจ้งถึง จะเห็น ต้องขัดเกลานะเรื่องกิเลสตัณหา เรื่องความโลภ ความโกรธ อย่าเอาเข้ามาใส่ใจเลย นั่นต้อง หัดอย่างนั้นนะ ตัวเองนะหัดตัวเอง ถ้าไม่หัดไม่ได้ ก็เป็นพิษเป็นภัยอยู่นั่นล่ะ ความโกรธตัวนี้มันเผาตัว เองก่อนล่ะ คนอื่นไม่เผาหรอก ถ้าผู้มีธรรมแล้ว โอ้ย... เขาไม่สนใจ เขาสบายแล้ว ชั่วก็อยู่ปากเขานู่น ดีก็อยู่ปากเขานู่น เราจะไปอะไร ผู้เห็นอรรถธรรมเป็นอย่างนั้น มันผิดกันนะ ไม่เห็นหรือ พระพุทธเจ้าไปทรมานยักษ์ได้ พระพุทธเจ้าท่านไปทรมานเอา เข้าไปหายักษ์ในเขตยักษ์ กินคน พระราชาเมืองอาฬวีไปล่าเนื้อ ถูกยักษ์จับจะกิน เลยขอชีวิตไว้ว่า จะส่งนักโทษมาให้กินแทน นักโทษมันก็หมดไปๆ พระพุทธเจ้าท่านทราบ โอ้ย..ถ้าท่านไม่ไปช่วยเมืองอาฬวีนี้จะต้องเดือดร้อนที่สุด พระพุทธเจ้าก็เสด็จไป เสด็จไปตอนแรก ยักษ์ก็ขู่อย่างใหญ่โต แล้วพระพุทธเจ้าปัญญาท่านฉลาดนะ ยักษ์มันขู่ ท่านก็ฟังมันอยู่อย่างนั้น อ่อนอย่างกับอะไร มันบอกให้นั่งก็นั่ง มันบอกให้เดินก็เดิน มันบอก ให้วิ่งก็วิ่ง ต่อไปๆ พูดบอกยังไง ท่านไม่ตอบโต้อะไร มันใช้อะไร มันบอกยังไง ทำ ตามมันหมด ไม่โกรธตอบ ใจมันก็อ่อนเท่านั้น พอใจอ่อนแล้ว พระพุทธเจ้าชนะแล้วนะ คราวนี้ท่านก็เทศน์ เทศน์เสร็จ ยักษ์ก็เลิกกินสัตว์เรื่องฆ่าสัตว์ สมาทานศีลกับท่านเลย เรื่องโทษ เรื่องฆ่าสัตว์ท่านก็พูดให้ฟัง ไปตกนรกอย่างนั้น ประมวลเข้ามาๆ ปวารณาเป็นอุบาสกแล้ว พวกเราไม่เป็น อย่างนั้นนะ พอว่าบ้า ก็บ้าไปกับเขา ตอบกันแล้ว กระทบกันเรื่อย ความฉลาดไม่มี พระพุทธเจ้าถ่อม ขนาดนั้น เห็นอรรถเห็นธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่เห็นแก่ตัว ถ้าพระพุทธเจ้าเห็นแก่ความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว โอ้ย..เราเป็นถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ยักษ์บอกยังงั้นบอกยังงี้ แล้วท่านก็ไม่ทำ ตาม อันนั่นมันเป็นกิเลสนะ มันกระทบกัน นี่ล่ะ ความฉลาด นี่ก็เหมือนกัน ตอนแรก ท่านก็ให้ฝึกไม่ให้จิตโกรธล่ะ ในธัมมจักรฯ ก็เหมือนกัน ท่านไม่ให้เสพสองฝั่ง สองฝั่งอะไร ก็เรื่องความรักกับความชังนั่นล่ะ เหมือน กุสลากับอกุสลา กุศลก็เป็นบุญ อกุศลก็เป็นบาป อัพยากตาก็เป็นกลาง มันก็มีอยู่เหมือนกัน มันมีครบอยู่ แต่เราเลือกเอาไม่ถูก คือร้อนก็มี เย็นมันก็มี ฤดูมันเป็นอยู่อย่างนั้น แต่พวกเรานี่ มันเลือกเอาแต่ร้อนมาใส่หัวใจ ไม่เอาเย็นใส่ การภาวนาต้องเลือกสังเกตตัวเอง นั่งตอนนั้น หรือเดินจงกรมมากเป็นอย่างไร ให้สังเกตตัวเอง มันถึงจะรู้ได้ จิตเป็นไป แต่เราไม่สังเกตก็ไม่รู้นะ การเข้าการออกอะไร ก่อนมันเป็น ต้องฝึกอย่างนั้น 177


พระธรรมเทศนา เวลาจิตเข้าถึงฐาน บางครั้งมันก็สงบเข้าๆ มันเกิดแสง บางทีเหมือนแสงหิ่งห้อย บางทีเหมือนแสง ไฟฉายแวบเท่านั้น สักพักก็ไปทางใหม่ แล้วก็สังเกตไม่ได้ วาระจิตของเรามันเป็นยังไง ตัวนี้ตัวสำ คัญ หัดใหม่ๆ ต้องเป็นอย่างนั้นล่ะ ถ้ามันเป็นไปแล้ว มันไม่ยาก เรื่องเกียจคร้านมันไม่มีหรอก มันเป็นไปเองเลย การละการถอนพวกนี่ มันวางเองหมด ขอให้หัดทีแรกเท่านั้น เรื่องความรู้มันจะผุดขึ้นมาเองหรอก หรือ แสดงขึ้นมา เหมือนครูบาอาจารย์มาเทศน์ให้ฟังอยู่อย่างนั้น เรื่องนั้นเรื่องนี้ อันนี้เราหัดใหม่ มันต้อง บังคับ เหมือนควายนี่ล่ะ ฝึกใส่ล้อใส่เกวียน หรือฝึกหัดใส่แอกใส่ไถ มันไม่เคยแบกแอกแบกไถ มันต้อง ดิ้นซะก่อน อันนี้เหมือนกัน จิตใจของเราเหมือนกัน บังคับใส่ธรรมพระพุทธเจ้า เพราะมันไม่เคยชำ นาญ ต้องวิ่งไปทางเก่า ฝึกเข้าๆ มันก็ต้องชินเข้าๆ ตัวเองนะฝึกตัวเอง ครูบาอาจารย์มีแต่แนะนำ ทางเท่านั้นล่ะ ให้เป็นทางเท่านั้น เหมือนความเจ็บปวด ความป่วย ความเป็น ไม่ต่างกันหรอก เหมือนอาหารภาชนะ อันเดียวกัน ถ้าเราไม่กิน ก็ไม่รู้จักรส แล้วไม่รู้จักอิ่ม ว่าอันนั่นอร่อย อันนี่อร่อย ถ้าเราไม่กินด้วย ก็ไม่รู้ เหมือนกัน ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พวกนี้มันจะประมวลมาเองหรอก ขอให้จิตรวมได้เถอะ สักครั้ง ๒ ครั้ง นี่อะไร ถ้าภาวนา มันมีแต่ปรุง อยากได้อยากเห็นอันนั้น อยากเห็นอันนี้ ถ้าวาสนา บารมีไม่เพียงพอล่ะ ไม่เห็นหรอก อันนั้นต้องสร้างสมมานะ ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านจะปรารถนา พุทธภูมิหรือ คิดดู จะเอาโลก โอ้ย กองทุกข์ อย่างหลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าโน่น บำ เพ็ญมาเท่าไหร่แล้ว มาภาวนาระลึกชาติได้ ว่าเคยเป็นหมาตั้งหมื่นชาตินะนั่น มาเกิดความสลดสังเวชตัวเอง เรื่องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเลยเลิกเลย ว่าจะเอาแต่ตัวรอด ประมวลลงมา ท่านก็เลี่ยงเลย เรื่องบารมีที่ท่านสร้างมาเป็น พระพุทธเจ้า ประมวลเข้ามา มันก็แตกฉานขึ้นๆ เร็วขึ้น ความปรารถนาอันนั้นล่ะ มันพิสดารกว่ากัน อย่างสาวกก็เหมือนกัน ที่ท่านจารึกไว้ มีแต่องค์เด่นๆ เท่านั้นล่ะ ผู้ไม่เด่นหรือผู้กลางๆ ท่านไม่ยกมาไว้หรอก ไม่ยกมาให้พวกเราได้อ่านได้พิจารณาหรอก ความปรารถนามันผิดกัน สมัยนี้ก็เหมือนกัน ปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้าก็มีเยอะ อย่างหลวงปู่จาม โอ้ย.. ท่านพูดมีแต่เรื่องพระพุทธเจ้าทั้งนั้นล่ะ สร้างบารมีหมดล่ะ ภูมิท่านเป็น อย่างนั้นนะ ท่านไปเห็นหมดแล้ว ของภูมิท่านเป็นอย่างนั้น จะรื้อขนสัตว์ออกจากโลก ให้เราพากันตั้งใจ ปฏิบัติ สิ่งใดไม่ปฏิบัติเอง ไม่ได้หรอก อยู่ทางโลกก็เหมือนกัน มีควายมีวัว เขาก็ต้องปฏิบัติ ไม่งั้นถูก เอาไปกินหมด ไม่ว่าอะไร จิตใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าไม่ปฏิบัติ เดี๋ยวความโลภความโกรธความหลง ก็มาดึงเอาไปกินหมด แล้วก็ไม่เห็นอรรถเห็นธรรมล่ะทีนี้ เดี๋ยวก็หาโทษใส่ตัวเองอีกว่า ไม่มีมรรคผล นิพพานอะไรหรอก เดี๋ยวก็สึกเท่านั้นล่ะ ทิ้งบาตรทำ รังไก่ก็มี มันไม่สู้เขานะ มันกล่อมเรามาหลายภพ หลายชาติแล้ว ความตายนี้มันเทียวเกิดเทียวตายมา มันก็กลัวมันตายอยู่อย่างนั้นนะ เกิดภพไหนชาติไหน ก็ตายอยู่อย่างนั้น พากันกลัวอยู่อย่างนั้น ท่านไม่กลัวนะ พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านไม่กลัว ไม่มีกลัว อะไร เพราะท่านเห็นภัยแล้วนะ อย่างพวกเรานี่มันงมอยู่นี่ล่ะ เอ้า เอาล่ะเลิกกัน พากันตั้งใจ 178


ภาพถ่ายที่ กุฏิรับรองพ่อแม่ครูอาจารย์ บริเวณถ้ำขาม วัดภูผาแดง 179


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๙ พิจารณากาย ๕ มิถุนายน ๒๕๓๗ บวชเหลืออีก ๒ วัน พรุ่งนี้วันที่ ๖ มะรืนวันที่ ๗ เตรียมบริขาร โกนผมไว้เลย วันที่ ๗ เครื่อง บริขารจัดไว้ จัดให้มันครบ ผ้าหอบไปทำ ไมมากมาย เตรียมไว้เลย บริขาร ๘ ยัดใส่บาตรแล้วสะพายเลย สบงจีวร สังฆาเราก็พาดบ่า เครื่องบริขารก็ยัดใส่บาตรไป แล้วก็ขอนิสัยอุปัชฌาย์ ฉันจังหันแล้ว จะขอศีล ศีลมันก็มีอยู่นั่นแล้ว ไม่ทำ ความผิดแล้ว มันก็เป็นศีลอยู่แล้วนะ ปฏิบัติงมงายอยู่นั่นล่ะ มีแต่ขอกับขอ คนขอก็คือคนจน คนมีจะมาขออะไร พิจารณาดู จวนเข้าแล้วนะ ใกล้จะเข้าพรรษา ที่ไหนมันขัดข้องอยู่ พากันทำ นะ กุฏินั่นถ้าเข้าพรรษาแล้ว มันรั่วตรงนั้นตรงนี้ ให้พากันดูช่วยกัน มันเป็นกิจฝ่ายเรานะ ทำ อะไร มีแต่ความเกียจคร้าน อะไรก็ ไม่อยากทำ มันก็หมดเท่านั่นล่ะ จะให้ญาติโยมทางไหน มันไกลบ้าน พากันทำกันทำ เอา มันไม่หนักไม่หนา เป็นหน้าที่ของพระนี่ล่ะ ถ้าจะพาทำ งานก็มีแต่จะหลบ นู่น วัดภูสังโฆมีแต่พระแต่เณรทำ โยมก็มีเท่านั้นล่ะ ทำกุฏินะ ทำกันโครมครามๆ ถ้าให้ภาวนาก็มีแต่นอน กินแล้วก็ไปนอนเลย ยังงั้นจะไปเห็นอรรถเห็นธรรมหรือ ตามครูบาอาจารย์ ท่านบอกนั่น ฉันจังหันแล้ว ท่านให้เจริญธาตุขันธ์ดูอาการ ๓๒ แต่เกสาลงไปถึงพื้นเท้า แต่พื้นเท้าขึ้นมา ถึงเกสา ให้พิจารณาธาตุประกอบธาตุ พิจารณาอยู่นี่ล่ะ อัตภาพร่างกายของเรา ถ้าไปพิจารณาที่อื่นแล้ว โอ้ย จิตไปเลย มีแต่อยากจะได้ญาน ไปดูไปคาดยังงั้นยังงี้ อีกหน่อยเสียจริตเสียแล้ว โรคประสาทขึ้น ครอบงำ มันไม่ใช่ทางนะ ทางมันเกิดขึ้นจากกายกับใจนี่นะ ตามปกติอย่างครูบาอาจารย์ท่านฝึกมานี่ ท่านหัดให้จิตสงบซะก่อน ให้บริกรรมพุทโธ ให้มันอยู่ในพุทโธนี่ ให้มันเห็นความอัศจรรย์ของความสงบ ตัวเอง อย่างเขาฝึกสัตว์พาหนะ ทำยังไง จะใส่แอกใส่ไถ หรือเขาจะตอนหำ มัน ตอนหำ มันแล้ว ควายตัวนั้น มันเป็นยังไง ความพยศของมันยังกับควายแม่ มันคะนองก็เพราะอันนี้ล่ะ เพราะจิตใจมันไม่ได้ทรมานนะ จิตใจไม่ได้ฝึกหัด มันผิดกัน เข้ามาผิดกันเลย ถ้าจิตเราภาวนาเป็น มันรู้จักเลย ผ่านมาก็รู้จัก ทำ ไมจะไม่รู้จัก ความสงบของจิต ความขยันมัน ก็เกิดขึ้นเลย เอาซิ ขอให้มันเกิดขึ้นเถอะ ธรรมของพระพุทธเจ้า ความเพียรมันไม่เกียจไม่คร้านเลย จะพ้นทุกข์ไหมหนอๆ เท่านั้นล่ะ มีแต่เร่งความเพียร ถ้าจะพูดคุยกับหมู่นี่ มันกลัวแต่จะเสียเวลา ของทำ งานทางใจนะ มีแต่หลบเข้าป่าๆ ขอให้เห็นเถอะธรรมของพระพุทธเจ้า อันนี่อะไร มากันอยู่อย่างนั้น ผมดูอยู่นี่ เต็มกันอยู่ศาลา จะไปประกอบความพากความเพียรไม่มีหรอก กลางคืนขี้เกียจมาก ก็มานอน อยู่แถวศาลานี่ 180


ภาพถ่ายที่ ศาลามหาวีระธรรมสภา วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) ๔ กันยายน ๒๕๕๔ 181


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๐ มีแต่ดีกับชั่วที่ฝากโลกไว้ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๗ หลวงปู่ : พระองค์นั้นไปแล้วหรือ ลูกศิษย์ : เห็นมีแต่ของครับ หลวงปู่ : เป็นอย่างนั้นล่ะ ทิ้งซะกระจัดกระจาย เหมือนตอนไปอยู่ถ้ำ พระนั่น ท่านก็ไปอยู่กุฏินู้น ของเสีย โอ้ย..เสียก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปที่กุฏิก้อนหินสักครั้ง มาก็ไม่รู้จัก ไปก็ไม่รู้จัก อยู่ถ้ำ พระมาตั้งแต่ ๒๕๐๗ นู่นล่ะ อันนี้เหมือนกันล่ะ ไปก็ไประวังเอา อย่าไปสุงสิงพระอันธพาล มาหาผมไม่รู้จักเรื่องจักราวอะไร ฟาดโจมตีว่าผมเป็นยังงั้นยังงี้ พระอันธพาลนะ คนเห็นกันก็ต้องปราศรัยกันถ้ามีสมบัติผู้ดี เป็นอย่างนั้น นะโลกอันนี้ โลกกิเลสตัณหานี่ มันไม่ใช่ว่ารักษาศีลรักษาธรรม เอาผ้าเหลืองปกเฉยๆ มันจะสำ คัญอะไร พูดก็ให้มีเหตุผล อันนี้การงานเหมือนกัน ทำ เข้าๆ มันไม่เสร็จก็หยุดเท่านั้น วันพระทิ้งไว้นี่ล่ะ ไม่ตาย ถ้าตายคนใหม่ก็มาทำ เอาล่ะ สมบัติของโลกมันเป็นอย่างนั้น ตายไปแล้วไม่เอาอะไรไปหรอก มีแต่ดีกับชั่ว ที่ฝากโลกไว้ ใครทำ ดีก็ทำซะ มีเท่านั้นล่ะ จะเป็นลูกศิษย์พระเทวทัตต์ก็เอา จะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็เอา ท่านก็เทศน์เปรียบเทียบไว้ใน ธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไปนิพพาน พระเทวทัตต์ไปอเวจี ท่านก็ทำ นายไว้ ทำ เอาๆ นั่นล่ะ ท่านว่า กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา กุสลา แปลว่ากุศล อกุสลา ก็แปลว่าอกุศล ทำยังไงถึงจะได้ การนั่งภาวนาก็นั่ง มีแต่นั่งปรุงก็ไม่ได้อะไรนะ มีแต่อยากได้ คิดอันนั้นคิดอันนี้ วาดภาพหลอกตัวเอง อยู่นั่น ครูบาอาจารย์ท่านได้ความสงบเสียก่อน เห็นความสงบซะก่อน จิตสงบเข้าๆ จิตมันก็รวมได้ เกิดแสงสว่าง มันจะเห็นนิมิตนั่นนิมิตนี่ นั่นล่ะ จิตไม่ออกจากนั่นล่ะ มันใคร่ครวญอยู่นั่น มันเกิดจากนั่นล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นครูบาอาจารย์ท่านมา อย่างหลวงปู่ชอบ โอ้ย.. เดินไปทั้งวันก็ทั้งวันอยู่ในสมาธิเลย ท่านว่า จิตสงบอยู่อย่างนั้น เอาพุทโธอยู่อย่างนั้น เดินดงเหมือนไม่เหยียบดินไปเลย คล้ายอยู่กับอากาศโน่น เอาให้สงบจิต ความฟุ้งซ่านรำ คาญเท่านั้นล่ะ มีแต่เอาไฟมาเผาหัวใจอยู่ยังงั้น ไฟอะไร ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันเผาอยู่ยังงั้น จะไฟอะไรอีก อันนี้ล่ะ ก่อกวนอยู่ อันนี้ล่ะปิดบังธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ แล้วก็ทิฐิมานะนั่นล่ะตัวหนึ่ง หลงตัวเองอยู่นั่น เห็นผู้อื่นชั่วไปหมด ถ้ามีทิฐิมานะตัวนี้ขึ้น แล้วอรรถธรรม ของพระพุทธเจ้าจะโผล่ขึ้นได้ยังไง มาติดอยู่อย่างนั้นล่ะ จิตไม่สะอาด ชำ ระจิตตัวเองให้สะอาดโน่น กว่าจิตมันจะลงได้ วางจิตลงเป็นผ้าเช็ดเท้าดู หรือเป็นดินโน่น ถึงค่อยเห็นอรรถเห็นธรรมของ พระพุทธเจ้า มันจะโผล่ขึ้นมาเองหรอก ถ้าเห็นแล้วมันเป็นไปเองหรอก ถ้ามันเกิดขึ้น เรื่องหมู่เรื่อง พวกมันไม่ติดใจหรอก มันไม่สนใจเลย ทำ งานทางใจนะ มันเป็นอย่างนั้น ธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าทำ ไม่จริงไม่จัง ไม่เกิดผลหรอก ดูชาวไร่ชาวนาเหมือนกัน เขาทำ รั้วทำ สวน ทำการทำ งานอะไร เราสังเกต ดูเอา วันไหนเกียจคร้านเท่านั้นล่ะ ก็ไม่ได้งาน 182


นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันนั่งมันเปิดเองหรอก ถ้ามันเห็นเข้าไป มันไม่ได้บังคับอะไรหรอก ทีแรกมันต้อง บังคับเสียก่อน เหมือนเราเรียนหนังสือนั่นล่ะ อยากสอบได้ มันขยันขึ้น มันก็ได้คะแนน พากันตั้งใจ ใกล้เข้าพรรษาแล้วนะ ทำ อะไรก็รีบทำ ให้มันเสร็จ เข้าพรรษามันจะได้ไม่มีการมีงาน ครูบาอาจารย์มีแต่แนะนำ ให้เดินจงกรมภาวนาเท่านั้น ไม่ให้ทำ อย่างอื่น เราก็มุ่งมาอย่างนั้นนะ มุ่งเอา บุญเอากุศล จะเอาอะไร มาบวชก็หวังเพื่อมรรคผลนิพพานบุญกุศล คนไม่มีบุญกุศลก็เท่านั้นล่ะ ไปทำ ก็ได้เท่านั้น สังเกตดูเอา เพราะอกุศลแล้ว มันถึงไปในที่ชั่ว มาเกิดก็มาเกิดกับคนทุกข์ยากเข็ญใจไปอย่าง นั้น ไม่ได้ไปเกิดกับคนมั่งมีร่ำ รวยหรอก ความสุขมนุษย์เหมือนกันทุกวันนี้ จะพูดถึงสวรรค์อะไร ข้าวเกิดกับจานก็มี ข้าวเกิดกับหม้อก็มีอยู่ ในโลกนี้ ผู้อาบเหงื่อนกินต่างน้ำก็มี บางวันหาข้าวจะกินก็ไม่มี ก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ จะพูดถึงสวรรค์ นิพพานอะไร เราไม่พิจารณาใคร่ครวญ ดูซิ มันก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ ดีชั่ว อันนี้เอามาเปรียบเทียบดู เรื่องจะประกอบความพากความเพียรของเรา ให้พากันเร่งความพากความเพียร ต่อไปนี้จะไม่มีนะ มันจะเป็นทางโลกไปหมด ครูบาอาจารย์ก็หมดไปๆ แล้ว กรรมฐานเหลืออยู่เท่านี้ หลวงปู่หินหมากเป้ง ก็ว่าเดือนนี้จะไม่ให้คนเข้าใกล้แล้ว ต้องใส่กระจกเหมือนหลวงปู่ขาว กราบอยู่ข้างนอกอย่างนั้น ท่านก็นอนอยู่ให้เห็นตัวเท่านั้น ทำยังไง ๙๐ กว่าแล้วทำ งานอะไรได้ พอเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเท่านั้นล่ะ รัศมีเรามาอยู่แถวนี้ กับรัศมีของครูบาอาจารย์ท่านคุ้มหัว มากราบครูบาอาจารย์กับมาหาพวกเข้า เพราะว่าเป็นสายเดียวกัน ให้พากันเร่งความพากความเพียร วันหนึ่งคืนหนึ่งนอน การนอนก็ให้ฝึกหัดตัวเอง นอน ๔ ชั่วโมง ก็พอแล้ว ๔ ทุ่มไปก็นอนซะ ตี ๒ ก็ลุกแล้ว อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ท่านพาหัดอย่างนั้น ไปอยู่บ้านห้วยทราย ท่านแนะนำ อย่างนั้น ลุกแล้วถ้ามันง่วง ก็เดินจงกรมเลย เดินจงกรมจนเหนื่อย ถ้าไม่เหนื่อยแล้ว จิตไม่อยู่ มันวิ่งไปกับอารมณ์ ความอยากตัวนั้นล่ะสำ คัญ มันบีบอยู่อย่างนั้น เอา เลิกกัน ภาพถ่ายที่วัดป่าพระราชญาณวิสุทธิโสภณ (ถ้ำ เกียน้อย) อ.หนองแสง จ.อุดรธานี ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๙ 183


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๑ ฝึกหัดสังเกตตนเอง ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๗ พรรษามากขึ้นๆ สอนแต่คนอื่น สอนตัวเองไม่ได้ แก่พรรษาเข้า ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ การภาวนาเบื้องต้น มันต้องหัดความสงบให้มาก ฝึกสติให้มาก ตัวสตินี่ตัวยอดคำ สอนของพระพุทธเจ้า จิตจะเป็นสมาธิหรือจิตจะเป็นปัญญา สติไม่เพียงพอ มันก็เผลอไป ตัวสติให้มันกำกับอยู่นั่น เหมือนฝึกควาย ฝึกวัว เขาต้องมีเชือก เชือกก็แปลว่าลากมันไป เขาก็ดึงเชือก อันนี่เหมือนกัน ทำ อะไร ถ้าไม่สังเกต สังกาตัวเอง ก็จับหลักไม่ได้ ต้องฝึก กินมากมันเป็นยังไง นอนมากมันเป็นยังไง วันนี้ให้ได้คิด นั่งตอนนั้น ตอนนี้เป็นยังไง ให้สังเกต ถ้าไม่สังเกต จับหลักไม่ได้นะ ต้องหัดต้องฝึกจิตตัวเองอยู่อย่างนั้น เหมือนกับนักมวยที่เรียนกับครูมาแล้ว เขาต้องมาฝึกอยู่อย่างนั้น เราก็เหมือนกัน ต้องฝึก เดี๋ยวกิเลสเอาไปกินหมด บางทีก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ ตัวกิเลสกับตัวธรรมไม่รู้จัก เลยคลุกเคล้ากันอยู่อย่างนั้น แยกกันไม่ได้ เปรียบเทียบว่า อาหารมันก็มีก้าง กระดูกมันก็มี มันก็ต้องเลือกกินนะ อันนี้เหมือนกัน การภาวนาต้องสังเกตสังกาตัวเอง มันจะค่อยๆ จับหลักได้ ตัวสำ คัญ ถ้ามันเป็นไปแล้ว เรื่องความเพียรมันกล้าเองหรอก ไม่ได้บังคับยาก ทีแรกมันต้องบังคับ เหมือนเขาฝึกควายฝึกวัวนี่ล่ะ ถ้ามันเป็นไปแล้วนี่ โอ้ย..เขาขี่ล้อขี่เกวียน เขานอนไปก็ได้ อันนี้เหมือนกันล่ะ จิตใจของเราฝึกเข้า มันเป็นไปเองหรอก ธรรมของพระพุทธเจ้า เดินจงกรมมันไม่อยากหยุดเลยล่ะ มันเอาอยู่อย่างนั้น คนจะมาหามาคุยนี่ มันไม่อยากรับ เพราะทำ งานทางใจนะ มีแต่จะหลบเข้าป่า ๆ ขอให้เห็นเถอะ ธรรมพระพุทธเจ้า อย่างครูบาอาจารย์ท่านว่า “ทำ ให้สุด ขุดให้ถึง” มันจะประมวลมาเองหรอก ธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเห็นยังไง ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนั้น เรื่องภพชาติหรือเรื่องอะไรมันเกิดขึ้นเองหรอก นั่นล่ะมันถึงจะเห็น ถ้าไม่เห็นอะไร นั่น ความเกียจคร้านมันก็ครอบงำ อย่างเวทนาเหมือนกัน ถ้าเรา ไม่สู้เสียก่อน ก็ไม่เห็นความชนะ ต้องสู้นะ เอ้า มันเจ็บเท่าไร ก็อดทนมันอยู่นั่น มันขึ้นถึง ๓ ครั้งแล้ว เอ้อ ครั้งที่ ๓ โอ้ย หัวนี่เหมือนผมมันร่วงหมดแล้ว มือมันร้อนเป็นไฟไปนู่น มีแต่ว่าตายๆ ไปเท่านั้น ยอมตาย จะตายก็เอาเลย เข้าไปหน่อยจิตรวมพรึบเลย ถ้าไม่สู้ซะก่อน ไม่เห็นความอัศจรรย์นะ ต้องสละตายเลย นักภาวนาถ้าไม่สละตายก็ไม่เห็นล่ะ แล้วก็ตู่ศาสนาไม่จริง ตัวเองไม่จริงนี่ที่สำ คัญ มีแต่เรื่องกิเลสเอาไปกินเฉยๆ ให้แก้ตัวเอง มันไปทางราคะเราก็ต้องพิจารณาซิ แต่พื้นเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ แต่ศีรษะลงไปหาพื้นเท้า แยกดูซี ถามมันดู ขา ตา ตานี่ตรงไหนงาม ดึงตาออกมา กำ หนดอยู่นั่น หนังงามก็เอามีดถากหนังดูซิ หมดในกายมีแต่หนังหุ้มเท่านั้น นอกนั้นมีแต่อสุภะหมด พิจารณาใคร่ครวญเข้าดู ทำยังไงมันจะแก้ตัวนี้ 184


ล่ะมันรุนแรงมาก ให้เร่งความพากความเพียร มันไม่เป็น ก็เดินอยู่อย่างนั้นล่ะ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ก็นั่งเข้า เวลามันเป็น เป็นพรึบ เข้าๆเลยนะ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ ถ้าจิตไม่อยู่กับคำ บริกรรม หรือมันจะฟุ้งซ่านรำ คาญ ให้พิจารณากาย พิจารณาเข้าๆ จิตรวมกันพรึบ เลยเป็นสมาธิ ท่านก็แสดงไว้ หมด นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ท่านว่า อย่าอยู่เฉยๆ พอเจอก็คุยกัน ออกจากกันก็หาคุยกันอยู่อย่างนั้นอย่างนี้ สักพักก็ทะเลาะกัน มันไม่เรียนภาษาพระนะ มันเรียนภาษาสุนัขนะ ทุกวันนี้ ผมเบื่อหน่ายแล้วเกี่ยวกับหมู่พวกนี่ ผมก็เคยเป็นพระผู้น้อยมาก่อน ผมถึงค่อยได้มาเป็นพระผู้ใหญ่ ไม่เคยเป็น นี่ละ ผมระอา ไม่อยากรับ เดี๋ยวก็ออกจากกัน ก็สุงสิงอยู่ นั่นละ ไม่ออกจากศาลา สนใจแต่เรื่องเครื่องบริขารก็อกๆแก๊กๆ อยู่อย่างนั้น จะพูดก็พูดไม่มีประโยชน์ ตัวนี้สำ คัญ มันไม่เกิดศรัทธา มันดูก็รู้นะ คนประกอบความพากความเพียร มองดูกิริยามารยาทมันก็บอก ให้พากันเร่งความพากความเพียร พระกรรมฐานไม่เหมือนเดิมแล้ว สมัยทุกวันนี้ มันไม่เหมือนสมัย หลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์พาดำ เนิน ดินฟ้าอากาศมันก็ไปแล้ว มีแต่ป่าคน ป่าสัตว์หมดไปแล้ว บ้านเมือง มันคนมากนะ แต่สมัยนั้นคนน้อย พวกสัตว์มันก็เยอะ พ่อแม่ครูจารย์ท่านแนะนำ ให้ผมพาพระไปอยู่ ภูหลวง ท่านว่าจะไปทำกุฏิให้ ให้ผมไปถามกระทรวง กระทรวงให้ถามอนุรักษ์ อนุรักษ์ว่าไม่ได้สั่งมา ยังไงก็ไม่ได้สั่งมา ถ้าได้แล้วจะจัดหมู่ไปเดือนละ ๕ องค์ เรื่องอาหารการกินไม่ให้อด ผมไปถาม ถามอะไรก็ไม่ได้เรื่อง เลยไม่ได้ ท่านว่าพระเณรมันภาวนาจิตไม่รวมได้สักที ท่านจะไปให้ช้างให้เสือ ทรมานช่วย เดี๋ยวนี้ก็มากราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์ท่านว่าอยากให้ไปอยู่ แต่ก่อนไม่ เดี๋ยวนี้อยากให้ไปอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ให้ท่านศักดิ์ไปอยู่ที่ผมไปทำ ไว้ ให้พากันเร่งความพากความเพียร จวนเข้าพรรษาแล้วนะ สิ่งใดมันขาดเขิน พากันทำ กุฏิที่ไหนที่ มันรั่ว ก็อุดยาเข้า พวกเขาทำ ทางไปถ้ำ เขาแปลงยังไง บางทีหัวหน้าศูนย์เขาจะมาถามว่าลูกน้องเขาทำ ยังไง บางทีพ่อแม่ครูจารย์มา ขี่รถเข้าไป เขาเลิกไปแล้วนะ ร้านนั้นทำ เสร็จแล้วหรือ เสร็จแล้วเอาเตียง ไปไว้ที่นั่นทำ คอยไว้ บางทีหมู่ไปเรื่อย อดอาหารไปหาอยู่ล่ะ ที่ไหนมันสะดวกสบาย ทำ เข้า ธรรมของพระพุทธเจ้า ขอให้รักษาจิตให้ได้เถอะ อย่าไปละผู้รู้นะ การภาวนานี่ล่ะ ผู้จะไปเกิด ไปแก่ ไปเจ็บ ไปตาย สภาพร่างกายนี้ไปแล้ว ไปธาตุเดิมมัน เป็นน้ำ เป็นดินไป ธาตุไฟก็ไปไฟ ธาตุลมก็ ไปตามลม ตัวผู้รู้ก็รู้อยู่อย่างนั้นะ ๒๔ ชั่วโมง สังเกตซิ นอนหลับสนิทมันก็รู้ ตื่นมันก็รู้ ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันรู้อยู่อย่างนั้น ขอให้ชำ ระสะสางออกมาดู ให้มันแจ้งดู มันจะสว่างโล่อยู่อย่างนั้น ถ้ามันสว่างแล้ว เหมือนกับพวกพ่อค้าเขามีแก้ว เขาไม่ได้มานั่งเฝ้าของเขาหรอก เขาอยู่ในนู่น เขาดูกระจกเท่านั้น คนจะ ไปซื้อของ เขาต้องรู้ ไม่ซื้อผ่านไปผ่านมา เขาก็รู้ มันไปผ่านกระจกเขานะ อันนี้ นี่จิตใจของเรามันสกปรก ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง พัวพันจิตใจอยู่นั่น ความรักความชังเต็มอยู่นั่น นี่ มาชำ ระตัวนี้ ถ้าชำ ระตัวนี้ออกแล้วก็แล้ว ในธัมมจักรฯ ท่านก็ว่าไม่ให้เสพ ๒ ฝั่ง ฝั่งไหน ฝั่งรักฝั่งชังนั่นไง ถ้าไม่ไป ๒ ฝั่งแล้ว มันก็เป็นกลางเท่านั้นล่ะ ใจมันก็เป็นกลางเป็นมัชฌิมา ให้เร่ง พอละ เลิกกันแล้ว 185


พระธรรมเทศนา หลวงปู่ลี ติดตามพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมตตาเดินทางไปรับผ้าป่าช่วยชาติทางภาคเหนือ 186


กัณฑ์ที่ ๑๒ ให้อยู่กับพุทโธ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เอาหนังสือไปดูนะ ประวัติหลวงปู่มั่น ให้หมู่หาให้ บวชชั่วคราว ให้มันได้ความรู้ไปติดตัว แล้วเอา วินัยด้วย นวโกวาท ดูประวัติหลวงปู่มั่น ท่านทำยังไง แล้วก็หัดภาวนาไปด้วย หัดภาวนาทีแรก มันต้อง ฝึกหัดความสงบ หรือจะบริกรรมพุทโธ ก็พุทโธอยู่นั่น ให้มันอยู่กับพุทโธเถอะ วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง มันต้องปรากฎล่ะ ต้องผุดขึ้นมาเลยธรรม ขอให้มันดูเถอะ ขอให้มันสงบเถอะ จิตนั่นมันไม่ว่างจากอารมณ์สักครั้งเลย นอนหลับมันก็ไม่ว่าง ฝันเรื่องนั่นเรื่องนี่อยู่นั่น นี่แหละ ผู้ที่จะไปเกิดไปแก่ไปเจ็บไปตาย ตัวนี้ล่ะ เอ้า ชำ ระดูซิ ชำ ระมลทินมันออก มันจะเห็นแจ้งหรอก พระพุทธเจ้าท่านนั่งอยู่ต้นโพธิ์ ท่านเจริญอานาปานสติดูลม ถ้าแปลเป็นไทยก็ดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ท่านไม่ให้ออกจากนั่นเลย พอจิตมันตะล่อมเข้าๆ มันก็เอาเลย ปฐมยามก็รู้ขึ้นทันทีเรื่องปุพเพฯ ยามที่ ๒ ก็รู้เรื่องทำกรรมอันนั้นอันนี้ นรกอันนั้น ไปแสดงนรกเลย ยามที่ ๓ ก็ได้ตรัสรู้เลย สังเกตดูต้นเค้านั่น ให้ดูที่มา ท่านนั่งอยู่ต้นโพธิ์ นักปฏิบัติดูนั่น แก้ตัวนั่นแล้ว อันนี่มีแต่สัญญาไป ความจำ เอามาคิดมานึกอยู่นี่ โอ้ย..กว่าจิตจะสงบได้ เวทนามันทับแล้ว แล้วก็ลง หมอนล่ะ ถ้านั่งภาวนาก็ปรุงอยู่ทั้งคืน โอ้ย...โลกอันนี้มันปรุงหมดล่ะ จนเช้าก็ปรุงอยู่อย่างนั้น แล้วมัน จะเห็นอรรถเห็นธรรมยังไง จิตไม่อยู่ มีแต่กิเลสเต็มหัวใจอยู่นั่น ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีกิเลสนะ มีแต่ความวาง นั่นมีแต่ความอยาก แก้ตัวนี้เข้า ชำ ระตัวนี้ จิตมันจะผ่องใส จิตผ่องใสแล้วมันจะเห็นหรอก อันนี่มีแต่มลทินเต็มอยู่นั่น พอมีอำ นาจอันนั้นอันนี้ขึ้น ข่มเหงคนนั้นคนนี้ ตัวนี้ล่ะมีแต่เรื่องกิเลส วัดเรามันก็มีแล้วนะ ผมได้ยินมาแล้วนะเรื่องทะเลาะกัน เขาไปพูดอยู่นู้น เฒ่าจ่ามาพูดให้ฟัง มีนักมวยแล้วนะ เรื่องปกครองหมู่พวกนี่ ถูกเทศน์พ่อแม่ครูจารย์อยู่อย่างนั้นนะ กำ ลังพูดอยู่นี่ ไปดูซิ พระผู้ใหญ่ อย่าให้มันเป็น นี่คือโลกสมัยปัจจุบันนี้ โลกเจริญมันมีแต่เจริญเรื่องนี้แหละ มันขาดศีลธรรมความเมตตา เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันไม่มีเลย ไม่มีธรรมในใจ มีแต่คำ ว่า “กูเอาแน่” โลกมันเป็นอย่างนั้น เรื่องกิเลสตัณหามันไม่ยอมใครล่ะ การแต่งตัวเครื่องสำ อางนี้ไม่มีอะไร การแต่งตัวเป็นเรื่องกิเลสตัณหา น่าสลดสังเวช จะมาหาความสุขอะไรกับสิ่งนี้ เจริญก็เจริญสิ่งนี้แหละ วัตถุแย่งกันอยู่อย่างนี้ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้ วัฏฏะนี้ 187


พระธรรมเทศนา หลวงปู่ลีติดตามพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมตตาเดินทางไปรับผ้าป่าช่วยชาติทางภาคเหนือ


กัณฑ์ที่ ๑๓ มาศึกษาหรือมาทำ ลาย ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๗ พระมาจำ พรรษาอยู่นี่ล่ะที่ไปพูดอยู่นั่น ตำ หนิผมอยู่นั่น ไม่ใช่มาศึกษานะ มาทำ ลาย ทำ ลาย ครูบาอาจารย์ ทำ ลายหมู่พวก ถ้าชอบอย่างนั้นก็ไปซิ สมัครขึ้นไปเตะกับเขานู่น นักมวยเต็มไปหมด จะมาขอข้าวบาตรเขากินพอเลี้ยงชีพ จะต่างอะไร บวชก็บวชเฉยๆ ผ้าเหลืองห่มอยู่หรอก อยู่ที่ตลาด เยอะแยะ ตายโน่นถึงเอาผ้าคลุมกายก็ได้นะ ไม่ยากนะเรื่องผ้าเหลือง ให้ญาติพี่น้องมาคลุม มันสำ เร็จได้ไม่ใช่เพราะผ้าเหลือง มันสำ เร็จได้ด้วยการปฏิบัตินะ ผมดูอยู่ มันขวางหูขวางตามาก หนีจากบ้านตาด ท่านก็ขับ ไม่อยากให้อยู่ แล้วยังไม่เห็นโทษตัวเอง ไปอยู่วัดไหนเหมือนกัน มีแต่ทำ ลายหมู่ มาปฏิบัติผมนี่ ดูมันขึ้นเรื่อยๆ ทรนงตนขึ้นเรื่อยๆ นะ ถ้าสังเกตตัวเองเป็นยังไง ทำ ไมจะไม่รู้ ขึ้นกุฏิ ลงกุฏิ โอ้ย..เอาแต่ความคิดตัวเองเลย ไม่เกรงกลัว ครูบาอาจารย์ท่านนั่งอย่างไร ท่านอยู่อย่างไร ท่านจะไปอย่างไร มันขาดแคลนขนาดนั้นหรือผู้มาปฏิบัติ ผมพาหมู่มาอยู่นี่ ก็เพื่อให้หมู่ปฏิบัตินะ ผมไม่ได้ มาเพื่ออะไรนะ ผมมาอยู่นี่ ๔ ปี ๕ ปีแล้ว ถ้าไม่มีหมู่ ก็อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์เท่านั้น นอกนั้นก็จะไปผู้เดียว ไปวิเวกอย่างมากก็สามเท่านั้น ทำ จริงๆ นะ ไม่ได้ทำ เล่นเหมือนหมู่พวก ดูหมู่พวก สังเกตนะ มีแต่เรื่องโลก เอามาปราศรัยกัน ผมอยู่นั่นก็ไม่อายนะ ไม่มีหิริเลยสักนิด ทำการทำ งานไม่ใช่ทำ เล่น มีแต่เล่นนั่น ทำ อย่างไรจะเห็นของจริงนั่น วันหนึ่งไม่ดูตัวเอง มีแต่ให้ ครูบาอาจารย์สั่งสอน แล้วก็จำ คำ พูดไป พอไปหากินเท่านั้น กิเลสเต็มหัวใจตัวเอง ไม่ลดลงอะไรเลย แล้วจะให้เขาเคารพอย่างไร ให้พากันแก้ไขนะ ผู้ใดไม่ถูกกัน ทะเลาะกันให้ออกไปเลย ไม่ต้องมากราบ เรียนผมก็ได้ เอาไว้ทำ ไม เอาไว้มันเป็นเสี้ยนหนามในพระพุทธศาสนาเฉยๆ เป็นมลทินนะ นักปฏิบัตินะ ครูบาอาจารย์ก็ดูอยู่ เทวดาเขาก็ดูอยู่ เอาซิ ถ้าไปทะเลาะกันแล้ว พวกนี้ต้องเสื่อมนะ สังเกตมา เสื่อมมาเรื่อยๆ พวกหูทิพย์ตาทิพย์มันมีนะ เขาเห็นมนุษย์ เขาเห็นทุกเวลาล่ะ มนุษย์มันตาบอดแล้ว จะเห็นอะไร ไปของเก่าสัก ๑๐ ครั้งก็ไม่เห็นอะไรแล้ว เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดก็ไม่เห็นแล้ว มันตา บอดนะ ถ้าตาดีมันจะเห็นหรอก อย่างนิทานคนตาบอดคลำช้างนั่น มันจะไปคลำ ทำ ไม ถ้าตาดี งวงนั้นงวงนี้ ไปเถียงกัน นักปราชญ์ ท่านเปรียบไว้หมด อันนี่เอามาสอนตัวเราดูซิ ให้ดูหนังสือ ตั้งใจบวช มาบวชชั่วคราว ให้รักษาศีลให้ บริสุทธิ์ อย่าให้เป็นมลทิน ไปสร้างโลกสร้างสงสาร อย่าให้มีมลทินล่ะ อยู่คนเดียวนั่นล่ะ การงานก็ไม่มี ต่อไปเข้าพรรษาแล้ว มันไม่มีคนพูดด้วย ก็พูดกับหนังสือเท่านั้น หลักธรรมถูกอย่างนั้น เอ้า เลิกกันทีนี้ เหนื่อยนะ ผมเป็นหวัด ผู้ใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยมันเป็นผู้น้อยนะ อาวุโสภันเต มันถือรวมกันหมดแล้วนะเดี๋ยวนี้ มันจะ ไม่มีธรรมวินัยอะไร ระเบียบครูบาอาจารย์ฉิบหายไปหมดแล้ว ผู้เลิศผู้ประเสริฐ เพราะเรามันขาดการ ปฏิบัตินะ อานิสงส์มันก็ไม่เกิด 189


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๔ มัวจับปลานอกสุ่ม ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๗ มันต้องเห็นด้วยตัวเองก่อนนะ พวกเรานี่มันไม่รู้จักหรอก กิเลสกับธรรม จะเอาอันนี้ไปจับแล้ว โอ้ย..งมปลานอกสุ่มล่ะ ให้จับเอา ตะครุบเงาตัวเองอยู่ยังงั้น อันไหนเป็นกิเลส อันไหนเป็นธรรม มันแยกกันไม่ออกเลย ดูพวกเรานู่น เข้าที่นู่นถึงค่อยเตรียม มันต้องเตรียมตัวอยู่อย่างนั้นนะ ดัดอยู่ อย่างนั้น เหมือนควายวัว ไม่ใช่จะหาใส่แอกใส่ไถซะก่อน โอ้ย...มันไม่ทันกินแล้ว อันนี่เหมือนกัน ดูหมู่พวก เวลาได้คุยกัน เอาอยู่อย่างนั้น สักพักคุยกันไปคุยกันมา ไม่ถูกอารมณ์กัน ก็ทะเลาะกันเท่านั้นล่ะ มันเป็นอย่างนั้น ดูอยู่นี่ แล้วจะหาความสงบยังไง คนภาวนาเป็นมองดูก็รู้นะ มันไม่ได้สุงสิงกับใครล่ะ ทำ งานทางใจ มีแต่หาหลบตัวเองอยู่นั่น อยู่คนเดียว มันสนุกนะอยู่คนเดียว มันเกิดมันดับอยู่อย่างนั้น นี่ได้เข้ากันแล้ว โอ้ย..ยังกับนกเอี้ยง คุยนั่นคุยนี่ อยากเห็น ทำ อย่างไรจะเห็นธรรม มาใคร่ครวญดูซิ ชั่งตัวเองดูซิ ฟังเทศน์ฟังเฉยๆ จะเอา ไปกำกับจิตใจตัวเองนั่นมันยาก อันนี้ตัวสำ คัญ ให้แก้ตัวนี้ล่ะ การนั่งมันก็รู้จักสังเกตสังกา นั่งตอนนั้นตอนนี้ โอ้ย...มันจับได้หมดล่ะ ถ้าไม่สังเกตไม่รู้เลย นั่งก็ นั่งเฉยๆ แล้วนั่งก็สัปหงกงกงัน ถ้าว่าพิจารณา ก็พิจารณาไปแต่เรื่องอดีตอนาคตอันมาไม่ถึง คาดไป อย่างนั้น เดาไปอย่างนั้น แล้วสิ่งที่เกิดจากจิตจริงๆ มันไม่เห็น เพราะจิตไม่สงบนะ จิตไม่สงบ ไม่รวมได้ มันอยู่ในหลักธรรมสมาธินะ สมัยนี้อย่างพวกสอนกันพิจารณาไปเลย เลยก็ลงทะเลไปเลย เอาซิ จะเอาอะไรนี่ เกจิอาจารย์ แต่งขึ้นเก่ง คืออะไร กินหนอนั่งหนอ อันนั้นมันไม่มีในตำ รา ประดิษฐ์ขึ้นเอง เทียบกับสมถะเหมือนกัน สมถะก็แปลว่าสงบ แยกไปแล้วก็เป็นคำ บริกรรมนั่นล่ะ ยกหนอ ย่างหนอไปทั่ว อันนี้แต่งกันขึ้น ทำ ไป หลายแบบนะ มันมีหลายแบบนะ ถ้าจิตมันสงบแล้ว เอ้อ..มันจะเกิดขึ้นเองหรอก ธรรมะของพระพุทธเจ้า จับไม่วาง อันนั่นมันผุด ขึ้นมา ของว่าไม่เคยรู้ มันก็รู้ขึ้นด้วยตนเองๆ นี่มันเป็นปัจจัตตัง ขอให้เห็นเถอะ ธรรมของพระพุทธเจ้า ขอให้มันสงบ ขอให้จิตรวมได้ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านว่า ถ้าเก่งก็ไปสร้างวัดอยู่ภูหลวงให้ผม ผมจะไป ติดต่อกระทรวง ไปก็เลยไม่ได้ หมู่ก็ไปอยู่แล้ว ทำกระต็อบกระแต๊บไป ว่าอยากให้ช้างให้เสือนู่นทรมานช่วย ท่านว่าจะให้ส่งพระไปเดือนละ ๕ องค์ เรื่องอาหารการฉันผมจะไม่ให้อด ไปก็เลยไม่ได้ ไม่ได้อย่างนั้น ท่านก็กลับมา แถวนี้จะไม่มีที่หลบคนเลยหรือ พอผมได้มาทำ ตามปกติผมว่าจะไม่อยู่ ปกติไปที่นั่นที่นี่ หลบไม่ซ้ำ ที่เก่า เว้นไว้แต่บ้านตาด จำ พรรษาอยู่กับครูบาอาจารย์ก็อยู่ เว้นไว้แต่บ้านตาด บ้านตาดนี้อยู่ ๔ ฝน ๕ ฝน ผมก็อยู่ได้ อยู่กับท่านมาตั้งแต่บวช ก็เลยอยู่ไป อยู่ที่อื่นนี่ โอ้ย..อยู่พรรษาเดียวเท่านั้น 190


พระเณรมาเยอะ มาศึกษาอย่างนี้ จวนจะเข้าพรรษาแล้ว ไม่มีที่อยู่ให้หมู่อย่างนี้ ออกให้หมู่ ทานที่อยู่ให้หมู่ได้อานิสงส์นะ ไปถ้ำกลองเพลงอย่างนี้ล่ะ หนองแซงอย่างนี้ เหมือนอย่างพระอาจารย์ทุย อยู่อย่างนั้นสบาย ไม่ได้ยุ่งกับงาน ให้พากันเร่งความเพียรนั่น อย่าเห็นแก่หลับแก่นอน ผู้มาบวชใหม่เหมือนกัน ให้ทำ ปัจจุบัน เราก็ จะได้ไปเท่านั้น จะได้ไปทำการทำ งาน ขอให้ทำ ๓ เดือน ขอให้อยู่กับพุทโธเท่านั้น เอ้า.. ๒๔ ชั่วโมงนี่ ให้มันอยู่กับพุทโธเถอะ ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวอยู่อย่างนั้น ธรรมของพระพุทธเจ้ามันจะเกิดหรอก ผุดขึ้นเลย ขอให้มันอยู่เถอะหลักธรรม อันนี่มันวิ่งกับอดีตนี่ซิ เคยได้ศึกษามาอย่างนี้ เอามาเป็นอารมณ์หมด ได้ผ่านมาที่ไหน เอามาเป็นเอารมณ์นั่น สักพักก็หงุดหงิด แล้วก็เครียดอีก ตัวเองเครียดอยู่อย่างนั้น อิจฉาตัวเองนะ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ให้เบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่นนะ มันก็จะถูกตรงกับหลักธรรม พิจารณาดูซิ โดยมากมันเป็นอย่างนั้นนะจิตปุถุชน มันชนซะทั่วแดน อันไหนก็ให้มันถูกใจตัวเองหมด มันเป็นอย่างนั้น ให้พากันเร่ง เดินจงกรมนั่งสมาธิก็ให้หัด มันเกียจคร้านก็บังคับ ได้ ๕ นาทีหรือ ๖ นาทีก็ช่าง หัดใหม่ต้องฝึกอย่างนั้น อิริยาบถทั้งสี่นี่ เปลี่ยนอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่เปลี่ยนไม่ได้ เอาซิ นอนๆเข้า จะตายเลย นอนทั้งวันไม่ลุกดูซิ นั่งมากก็เหมือนกัน เดินมากก็เหมือนกัน ยืนมากก็เหมือนกัน ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ อยู่นั่น อันความเพียรถ้ามันเป็นไปแล้ว มันนั่งก็ได้ นอนก็ได้ ทำ อยู่อย่างนั้น เพราะทำงานทางใจนะ เรื่องกายก็เป็นเรื่องอันหนึ่ง เรื่องใจก็เป็นเรื่องอันหนึ่ง ถ้าแยกกันมันเห็นแล้ว ชินงานแล้วมันคล่อง เหมือนกับเรื่องภายนอกเหมือนกัน แต่ก่อนเราเขียนหนังสือ ครูจับเขียนทีแรก ต่อไปก็เขียน หัดเขียนเข้าไป ก็หัวยาวไปหน่อย ก็หางยาวอยู่นั่น มันชินเข้าๆ โอ้ย..หลับตาเขียนก็ได้ มันเข้าถึงใจแล้วนะ ตัวนั่นตัวนี่อ่านคล่องแล้ว หลับตาเขียนได้หมด ไม่ต้องลืมตายาก จะแปลยังงั้นแปลอย่างนี้ ขอมันเข้า ถึงใจ ถ้าไม่ถึงใจ มันก็งงอยู่นั่น ลูบคลำ อยู่นั่น พากันเร่ง ธรรมชาติอันร่มรื่น ภายในวัดภูผาแดง 191


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๕ สติอยู่กับลมหายใจ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๗ หลวงปู่ : การภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง ลูกศิษย์ : กระผมภาวนาไม่ค่อยสงบครับ หลวงปู่ : ภาวนาไม่ค่อยสงบแล้วที่ไหนจะไปสงบ ลูกศิษย์ : กระผมคิดนั่นคิดนี่อยู่ครับ นั่นล่ะ ต้องใช้พุทโธล่ะ พุทโธเข้าถี่ๆ ให้มันอยู่กับพุทโธ จิตไม่สงบแล้วไม่เห็นธรรมล่ะ มันจะโผล่ ขึ้นมาเองหรอก ครูบาอาจารย์ท่านฝึกมาแต่เก่าแต่ก่อน โหย บางองค์อย่างพ่อแม่ครูจารย์ ๑ ปี ๖ เดือน ถึงอยู่กับพุทโธ จะไปปรุงอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ต่างกับโลก มันแยกไม่ได้แล้ว มีแต่เรื่องกิเลสเอาไปกินหมด นั่งภาวนาก็ปรุงแล้วนั่นนี่ สร้างบ้านสร้างเรือนไปแล้ว เอาลูกเอาเมียไปอย่างนั้น ไม่ต่างกับคนไม่บวชหรอก ถ้าคิดไปยังงั้น มันต่างอะไร เขาก็คิดได้ ไม่มีความหักห้ามต้านทานจิตใจตัวเอง โอ้ย..มันก็หมดเท่านั้นล่ะ ไม่เห็นอรรถเห็นธรรม เอาให้จิตมันอยู่ มันลงจริงๆ ดูซิ อย่างครูบาอาจารย์ท่านเห็นท่านทำ อย่างนั้น บริกรรมพุทโธๆ อยู่กับพุทโธเข้า จิตมันเบาเข้าๆ สักพักจิตก็รวมลงพรึบ เกิดแสงสว่าง ธรรมจะโผล่ขึ้นหรอกอันนี้ บางองค์ก็เห็นคนมาตายอยู่ต่อหน้าขึ้นอืด ครูบาอาจารย์ท่านทำ อย่างนั้นนะ อันนี่ไปคิดปรุงคิดแต่งอยู่อย่างนั้น โอ้ย..สักพักก็เวทนาทับ ก็นอนแล้ว มันไม่ได้หลักไม่ได้เกณฑ์แล้ว ยังงั้น ไม่หักห้ามตัวเอง ไม่สอนตัวเอง ไม่ฝึกตัวเอง การภาวนานี่ ดูใจตัวเอง อ่านใจตัวเองเลย เอาซิ มันจะวิ่งไปทางไหน ก็จับมันไว้ เหมือนควายนี่ จับใส่จมูกมันซี ฝึกใส่คราดใส่แอกใส่ไถ อันนี่ฝึกใส่ธรรม พระพุทธเจ้าดูซิ มีแต่รู้จักไปฝึกผู้อื่นนี่นะ ไม่รู้จักฝึกตัวเอง ดูซิ พระพุทธเจ้าท่านฝึกมา ท่านทรงออกผนวชจน ๖ ปีจึงได้ตรัสรู้ อดข้าวพระกระยาหารดูตั้ง ๔๙ วัน กลั้นลมหายใจ พิจารณาใคร่ครวญไปแล้ว ก็ว่าไม่ใช่ทาง ทรมานกายนั้น เรื่องกายไม่มีกิเลส ตัวกิเลสมันอยู่กับจิตเท่านั้น อยู่กับจิต ท่านก็เลยกลับมา เอ้า..ถ้าจะทรมานทางใจ ต้องฉันอาหารซะก่อน ร่างกายสมบูรณ์ซะก่อน บิณฑบาตมาฉัน ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ว่าพระพุทธเจ้าถอยความเพียร เวียนมา หาความมักมาก เลยพากันหนีเลย ท่านก็สบายแล้วนะ กายท่านก็วิเวก ใจท่านก็วิเวก อยู่องค์เดียวนะ ฉันอาหารสมบูรณ์แล้วท่านก็เข้าที่ เข้าต้นโพธิ์แล้วอธิษฐาน อัตภาพร่างกายจะแปรเป็นดินเป็นน้ำ ไปก็ช่าง ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ จะไม่ยอมลุก ท่านก็เจริญอานาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออก ถ้าแปลเป็นภาษาไทยเรา ไม่ให้จิตออกจากนั่น บังคับมันให้มันอยู่กับลมเข้าออกเท่านั้น ศาสดาท่านบังคับอย่างนั้น 192


อันนี้ปรุงอันนั้นปรุงนี่ คิดเอา นั่งเข้า เหาะไป อยากได้หมด มันก็เป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้นล่ะ จะเป็น เรื่องธรรมอะไร อยากได้มรรคอย่างนั้น อยากเดินอย่างนั้น เอานู่น เอาสัญญานู่นมาดู แล้วก็เป็นไป ตามสัญญายังงั้น สัญญานี่มาปิดบังความรู้ พิจารณาเข้าไปดูซิ ถ้ามันอยู่จริงๆ มันต้องผุดขึ้นแล้วธรรม อันนี่มันไม่อยู่นั่นแล้ว วิ่งไปอยู่อย่างนั้น วัฏฏะอันนี้ พระพุทธเจ้าก็ว่าสมถะวิปัสสนา กินหนอ นั่งหนอ สมัยนี้มันก็เกจิอาจารย์แต่งขึ้น ในหลักธรรมไม่มี แข่งดีแข่งเด่น สมัยนี้ถ้าเทียบเข้าจริงๆ ก็อยู่สมถะ เหมือนกัน ทำ ให้จิตอยู่เหมือนกัน ธรรมชาติวิปัสสนาจริงๆ แล้ว โอ้ย..มันไม่ได้นั่นแล้ว มันไม่ได้คิดทางโลกอย่างนี้ มันไม่มีสัญญา อย่างนี้ล่ะ มันเกิดมันดับอยู่นั่น เรื่องนั้นเกิดขึ้นมา ก็พิจารณาไป เรื่องนั้นก็ดับไป เอาเรื่องใหม่มา นั่นเป็นลูกโซ่อยู่ คืนเป็นคืน วันเป็นวัน อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์เรื่องการละวาง มันวางไปหมดแล้ว เพราะมันเห็นนะ มันได้แยกไปแล้ว แยกเรื่องกิเลสกับเรื่องธรรม ท่านต้องคิดเป็นธรรมไปหมด พวกเรา นี่อะไร มีแต่ตะครุบเงาอยุ่นั่น ตื่นเงาตัวเองแล้ว นั่งเข้าๆ เวทนาทับแล้วก็นอนฟุบ กรนครอกๆ กิเลส มันไชโยนะ มันชนะ นั่งเข้าซิ เดินจงกรมเหมือนกัน สักพักก็เหลียวดูกุฏิ ขนาดนั้นยังว่าตัวทำ ความเพียร ครูบาอาจารย์ท่านทำจริงๆ นะ สละตายนู่นนะ ถึงค่อยเห็นหลักธรรมพระพุทธเจ้า จะมาทำ เล่นเหมือน เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ถ้าจะเอาตัวพ้นทุกข์ ต้องทำ อย่างนั้น แต่ไม่เห็นครูบาอาจารย์ตายนะ สมัยก่อน เสือมันมาก ช้างมันมาก อย่างครูบาอาจารย์ท่านไปเที่ยว อย่างท่านพ่อลีนี้ ท่านว่าตั้งแต่อายุท่านได้ ๗ พรรษาแล้ว ๘ พรรษา หลงป่าไม่ได้ฉันข้าว ๓ วัน ๓ คืน ไม่รู้ไปยังไง เหนื่อยมาก นอนขวางทางช้างเลย นอนก็ กางกลดใส่ต้นนั่นต้นนี่ นอกนั้นมันรกหมดนะ พอดีก็นอนหลับอยู่นั่นล่ะ ช้างตัวหัวหน้ามาก่อน มาเห็น ท่านอยู่นั่น ก็อุ้มท่านออกไปเลย กลดก็กางเหมือนเก่า ผ้าปูนอนก็ปูให้เหมือนเก่า พอทำ ท่านแล้ว มันก็ ยืนกันอยู่ไม่ให้หมู่เห็น พอหมู่ไปหมดแล้ว มันค่อยไปตาม พอท่านรู้สึกตัวขึ้น เอ๊..แต่เดิมเรานอนหันหัวไปอย่างนั้น นู่น เรื่องสติของท่าน ตอนนี้หันหัวมาทางนี้ ได้ยังไง สังเกตสังกา ท่านก็เลยนั่งสมาธิกำ หนดจิตดู โอ้..ช้างตัวหัวหน้ามาก่อน มาทำ อย่างนั้นอย่างนี้ มาอุ้มออก อุ้มออกไปให้ไปนอนอยู่นู่น ถึงค่อยพิจารณาไป เสร็จมันก็หนีไป ดูซิ ท่านสละขนาดนั้นนะ มันจะทำ ไงได้ แล้วก็เกิดความอัศจรรย์แล้วนั่นนะ สัตว์ไม่ทำ อันตรายท่านมีมากอยู่ ครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่ชอบเหมือนกัน หลวงปู่มั่นเก่ง หลวงปู่ขาวเหมือนกัน จนมีชื่อเสียงแล้วครูบาอาจารย์ ไปกราบไปไหว้ท่าน ท่านไม่ทำ เหมือนเรานะ ของเรานี้ มันกินแล้วนอน กอนแล้วนินเท่านั้น กินไม่เป็นแล้ว ก็เป็นควาย ให้เขาทำ นาล่ะ เดี๋ยวจะว่าไม่บอก เขาใส่บาตรข้าวปั้นหนึ่ง เขาก็ยกมือใส่หัวอยู่นั่น ใส่บาตรอะไร เขาก็ ยกมือใส่หัวอยู่นั่น ไม่ใช่กินก้อนสารพัดพิษหรือ ชำ ระสะสางจิตใจตัวเอง เห็นแต่ว่าเขาให้เอาไปใช้แล้ว ไม่พิจารณาใคร่คราวญอะไร จะเป็นพิษนะ ให้ใคร่ครวญนะ ไม่ใช่เห็นว่าเขาเลื่อมใสแล้ว โอ้ย.. ความเลื่อมใส มันจะไปทางความเลื่อมใส ก็เป็นเรื่องของความเลื่อมใส ไฟมันก็เป็นไฟ บาปมันก็เป็นบาป อยู่นั่น โทษมันก็เป็นโทษ มันไม่คลุกเคล้ากันนะ 193


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๖ ให้ดูหัวใจเจ้าของ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๗ ให้พากันเร่งความเพียรนะ พวกบวชใหม่ตั้งใจให้มันได้ บวชสามเดือนก็ให้มันเป็นบุญเป็นกุศล สิ่งใดไม่ดี อย่าไปเอามาใช้ ฝึกความดีต่อไป ให้มันเป็นสมบัติ อย่าให้มันเป็นมลทิน แม้จะไป สร้างโลกสงสาร มันก็ไม่เป็นมลทิน อย่างคนนั้นเขาบวชแล้ว มาปฏิบัติหลวงปู่สิงห์ใหญ่ อานิสงส์ที่เขาได้ปฏิบัติครูบาอาจารย์ พอเขาสึกไปทำ งานเป็น ทหารได้ยศสิบเอก เมียเขาเวลาอาบน้ำก็มาถูหลังให้ เวลาร้อนๆ ก็เอาผ้าชุบน้ำ มาเช็ดให้ มาคิดพิจารณาใคร่ครวญดูแล้ว เป็นเพราะ อานิสงส์ที่ได้มาปฏิบัติครูบาอาจารย์มา นั่นล่ะหว่านพืชอย่างไร ก็เป็นไปอย่างนั้น ส่วนหมู่พวก ลูกเมียไม่ทำ นะ แต่เมียเขายัง ปฏิบัติอยู่ นี่ก็เหมือนหลวงพ่อบวชใหม่นะ หาคนมาปฏิบัติไม่มี นี่แหละอานิสงส์ไม่มี พรรษามากก็เท่านั้นถ้าอานิสงส์ไม่มี พอล่ะ เลิกกัน หลวงปู่ลี เมตตาโปรดญาติโยมที่เกาะสีชัง จ.ชลบุรี 194


กัณฑ์ที่ ๑๗ ฝืนกิเลสในใจเรา เร่งนะ ความเพียร ให้มันเกิดในใจตัวเอง มันถึงจะรู้ ความเพียรนั่นล่ะตัวเอก เอาซิ ถ้าจะบริกรรม อันไหน ให้มันอยู่ดูซิ อันนี่มันโลเลเหมือนไม้พาดรั้ว เอาแต่อารมณ์ แล้วก็อันนั้นดี อันนี้ดีไป มันไม่ใช่จะ สอนตัวให้ได้หลักได้เกณฑ์อะไร สมัยนี้เหมือนกัน วิ่งหาครูบาอาจารย์ นี่มีแต่นักสืบทั้งนั้น วิ่งนั่นวิ่งนี่ สืบอันนั้นสืบอันนี้เท่านั้น มีแต่ดูข้างนอก มันไม่ดูหัวใจตัวเองนะ ธรรมมันจะเกิด ใครจะเห็น เห็นหัวใจ ตัวเอง กิเลสมันก็อยู่นั่นล่ะ กายมันไม่มีกิเลสหรอก เอาซิ นั่งใคร่ครวญดูซิ อยากในรูปในเสียง เดี๋ยวก็ เสริมกันขึ้นเลย ให้ดูหัวใจ อ่านหัวใจตัวเอง ผมว่าไม่ถึงวันนะ จิตมันจะรวมลงพรึบ ลงเลย แต่นี่จิตมันรวมไม่ได้สักที มันเลยไม่ได้หลักอะไร วิ่งนู่นวิ่งนี่อยู่นั่น ที่นั่นดี ที่นี่ดีไป ตัวนี้ตัวสำ คัญไม่ดูนะ ถ้าฟอกตัวนี้เข้าดูซิ เอ้อ มันจะออกอุทานออกมา ถ้ามันเป็น กายมันไม่ปรากฎหรอก ผู้รู้มันเด่นอยู่อย่างนั้น ผู้ที่ท่านเป็นไป ตามครูบาอาจารย์ท่านพูดให้ฟังนู่น เรื่องกายมันไม่มีหรอก มีแต่ใจ ไม่ปรากฎเลยเรื่องกาย มีแต่ภาษาใจ บางทีมันอยู่นู่น ก้นบาดาลนู่น บางทีมันขึ้นอยู่อากาศนู่น ทั้งวันก็ทั้งวัน วาระจิตขอให้รวมได้เถอะนา อันนี่มันทำ อะไรทำ ไม่จริงไม่จัง ถ้าเข้าหมู่เพื่อน เอา ไปแล้วทีนี้ ไปแล้ว มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น สักพักก็หยอกกันพูดกัน สักพักก็ไม่ถูกใจกัน กระทบกันเท่านั้นล่ะ มันเป็นอย่างนั้นนะ กว่าจะได้ทะเลาะกัน แล้วเกิดศึกกันล่ะทีนี้ ไม่ใช่ทางพระทางเณรอะไรนะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เลยไม่ไหว้พระ สวดมนต์ เปล่งแต่วาจา แต่หัวใจมันนู่น เป็นสุนัขอยู่นู่น เอ้า พิจารณาดูซิ ว่าผมดูถูกหมู่ มันเป็นอย่างนั้น แล้วจะเห็นอรรถเห็นธรรมอะเไร ยากที่สุดแล้ว แค่ของหยาบๆ อย่างนี้ ยังไม่รู้จักดีจักชั่ว ในพระพุทธ ศาสนาไม่มีเรื่องอย่างนี้ ดูซิ พระ ๕๐๐ สามเณรน้อยองค์เดียว ท่านเปรียบเทียบ เณรไม่ได้นอนแล้ว ผู้นั้นก็ไปดึงมา ไปเรียกเณรทำ ทางจงกรมให้ ผู้อื่นก็ไปเรียกทั้งคืน ๕๐๐ ดูซิ สามเณรน้อยองค์เดียว สมัยทุกวันนี้ไม่ได้แล้ว กลัวมันวิ่งเข้าบ้านนู่นล่ะ มันเป็นอย่างนั้นแล้ว ของมีแต่กิเลสนะ อันนั้นมีแต่ธรรมล้วนๆ มันผิดกัน ขอให้มันรวมลงได้เถอะนะ มันจะแยกออกเองหรอก ธรรมกับ กิเลส มันจะบอกมาหรอก เรื่องภพเรื่องชาติเคยเกิดเคยตายเคยได้ยินนั่นมา พระพุทธเจ้า ถ้าจิตของ เราไม่ถึงขั้นของพระพุทธเจ้ารู้ มันจะรู้ได้ยังไง ขอให้มันบังคับเถอะนะ การภาวนาต้องบังคับใจนะ อันนี่อะไร ไปทั่วทวีปแล้ว อดเท่านั้นวันเท่านี้วัน อันนี้มันเป็นเรื่องการทรมานกายเท่านั้น พระพุทธเจ้า ท่านอดมาแล้ว ถ้าฆ่าตัวนี้ได้แล้ว โอ้ย.. มันไม่มีภัยหรอก จะมีที่ไหน ขอให้เห็นเถอะนะ มันจะแสดงขึ้น มาล่ะ ไม่เห็นน้อยก็เห็นมากล่ะ เราเป็นสาวกไม่ละเอียดเหมือนพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องผ่านอันนี้ ถ้าไม่ได้ ผ่านภพชาติแล้ว โอ้ย จิตมันไม่วิ่ง มันข้องอยู่ ขอให้เห็นเถอะ ขอทำ จิตให้สงบ สงบแล้วจิตก็รวมได้ เหมือนแสงตะเกียงเจ้าพายุนี่ มันต้องรวม หมดแล้ว ทั้งโป๊ะ ทั้งไส้ ทั้งน้ำ มัน ทั้งลม เข้าดูซิ มันเต็มแล้วจุดไฟใส่ดูซิ อันนี่อะไร วิ่งไปกับหูกับตากับ 195


พระธรรมเทศนา หมู่กับพวกไป อันนั่นดี อันนี่ดีไปอย่างนั้น นั่งภาวนาก็ปรุงอันนี้ล่ะ ขาดเขินกับวัตถุข้าวของเครื่องบริขาร อย่างนั้น อยากได้อันนี้ไปอยู่อย่างนั้น มันจะอัศจรรย์อะไร เขาไม่ภาวนาเขาก็คิดได้ เขานอนกับลูกกับเมีย เขาคิดได้หมด ไม่ใช่ของอัศจรรย์อะไร ถ้าได้ปักที่ใดแล้ว ปักให้มันทะลุนู่น อันนี่ก็เหมือนกัน จับอันไหน ให้ม้นจับจริง จึงจะเห็นของจริง นั่งเข้าสิ นั่งเข้าไป ก็สงสัยอันนั่น สงสัยอันนี่ ที่จริงกิเลส มันติคนนั้นติคนนี้ ก็ย้อนไปถูกตัวเองหมดนั่นล่ะ เรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้นนะ อันนี้อะไร ฟังมาแล้วก็ฟังไปอย่างนั้นแหละ พอได้ตื่นคราวหนึ่งเท่านั้น ถึงพรุ่งนี้ เรื่องเก่านั่นล่ะ ไม่เอาไปใคร่ครวญแล้วจะเห็นอะไร โอ้ย..ครูบาอาจารย์ท่านเอาจริงๆ นะ มาเรียนกับพ่อแม่ครูจารย์ใหญ่มั่น อย่างท่านอาจารย์มหา ทองสุก ท่านเรียน ๕ ประโยค ๖ ประโยคนู่น เข้าเรียนกับท่านนู่น เข้าป่าเขาดง หลวงปู่มั่นท่านสอนว่า ท่านมหาเรียนมานี่ให้เก็บเข้าตู้เข้าหีบ เรียนพุทโธนู่น เป็นปี ๒ ปีนู่นล่ะ ถึงค่อยอยู่กับพุทโธ ท่านว่าท่าน ไม่ได้ทำ เล่นนะ ขนาดนั้นน่ะ นอนอยู่ก็รู้สึกตัว หัวใจอยู่กับพุทโธ กินข้าวก็อยู่กับพุทโธ พอมันเข้าถึงใจ แล้วเป็นอย่างนั้นล่ะ เหมือนเราเรียนหนังสือ ทีแรกก็ครูจับมือเขียน เขียนตัวนั้นยาว ตัวนี้สั้น หัวยาว ขายาวไปล่ะ ชำ นาญเข้าๆ มันก็คล่องเข้าๆ แล้ว การอ่านก็คล่องเข้าแล้ว สระอะ สระอิ สระอีมาผสม กันเข้า ตัวนั้นมาบวกเข้าๆ ถ้าเราเรียนแตกฉานแล้ว โอ้ย หลับตาเขียนก็ได้ ไม่ได้ยาก เพราะมันถึงใจ แล้วนะ มันเข้าในใจ การภาวนาเหมือนกัน มันไม่ได้ยาก ให้สังเกตสังกาตัวเอง เป็นนักสังเกตนะ เอ้า การภาวนาเวลานั้น จิตมันเป็นอย่างไร เวลานี้จิตมันเป็นอย่างไร มันวิ่งไปกับอะไร สอบถามมันอยู่อย่างนั้นดูซิ เหมือนเรา เดินทาง ถ้าไม่ถามดูซิ บ้านนั่นบ้านนี่ เลยไม่รู้เรื่อง ทางไปนั่น ทางไปนี่ อันนี่ก็ฝึกตัวเองถามนะ เรื่องปัญญาจักษุเหมือนกัน ต้องอบรม ต้องฝึกต้องหัดหมดนะ หัดถามหัดพูด เกิดอันไหนถามลงไปในจิต ธรรมมันได้โผล่ขึ้นมาเองหรอก เอ้า รักษาคลื่นจิตได้ มันไม่ยากหรอก ถ้าคลื่นจิตตรงกับอันนี่ มันจะ มาแสดงให้ฟังหรอก อย่างหลวงปู่มั่นท่านว่าพระอรหันต์ท่านมาแสดงธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้จิต รวมได้เถอะ แสงสว่างได้มันจะปรากฏเองหรอก ปัจจัตตัง อันนี่มันทำ ไม่ได้ ดูหมู่พวก โอ้ย มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น เรื่องภาวนาไม่มีนะ ไม่สนใจอะไร ไม่เห็นหรือ เขาฝึกหัดควายวัว กว่าเป็นแอกเป็นไถ ไถไร่ไถนา เขาจับอย่างไร เขาฝึกอย่างไร คนไม่ฝึกก็เป็นอย่างนี้ การเดินมันก็ผิดเขา ไปดูซิ พวกทหารเขาเดินผิดกับคนสามัญร้อยเท่านู่นน่ะ แต่เดินเหมือนกันนะ มันผิด กันอยู่ คนปฏิบัติกับคนไม่เคยปฏิบัติมันผิดกัน เข้ามาหาก็รู้ ผ่านเข้ามาให้มันรู้จักตัวเอง จิตมันเป็นอย่างนั้น จิตมันเป็นอย่างนี้ ให้เร่งความพากความเพียรนั่น อย่างครั้งพุทธกาลนี้ อย่างประวัติพ่อแม่ครูจารย์เนตร (กันตสีโล) กลางพรรษานี่ ท่านไม่นอนนะ ท่านเข้าไปอยู่ในซองเล็กๆ พอออกพรรษา ช้ำ หมดนะตาม หน้าผากท่าน ช่องนั้นมันสูงไม่พอศีรษะท่าน 196


ภาพถ่ายที่วัดป่าบ้านตาด ช่วงระหว่างองค์พ่อแม่ครูอาจารย์กำลังเริ่มอาพาธ ปลายปี ๒๕๕๓ ภาพถ่ายที่ งานประชุมเพลิง ๙ ม.ค. ๒๕๔๘ พระครูสมณกิจจาทร หลวงปู่สว่าง โอภาโส วัดศรีอุดมรัตนาราม อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี 197


พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๘ อยู่กับพุทโธ ๒๔ ชั่วโมง ปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ อาจารย์วันชัยพูดเหมือนกัน โอ้ย ก็รู้ว่าเป็นทำ เลหาอยู่หากินของเขา ไฟปีนี้จะไหม้หรือไม่ มันก็ แล้งเหมือนเดิม ปีนี้ฝนไม่ตก ตั้งแต่ออกพรรษามาจะถึงเดือนสี่แล้ว ไปหาเดินจงกรมอยู่นู่นกับป่ากับเขา อยู่โน่นนะ ฉันน้ำ ร้อนถึงค่อยลงมา ความเพียรตัวเอง ทำ เอานะๆ จิตใจรักษาตัวเอง ผู้ใดจะรักษาให้ ถ้าไม่ใช่ตัวเองทำาเอา ได้ยินได้ฟังแล้วเอาไปพิจารณา เอาไปดัดจิตดัดใจตัวเองซิ อันนี่จะฟังคำ พูดเฉยๆ โอ้ย..ตำ รามันมีมาก พระไตรปิฎกนั่นเอามาอ่านดูซิ ท่องจำ เหมือนนกขุนทองนั่นแหละ แต่จิตใจเรา ไม่เห็นนะ เราไม่ได้ปฏิบัติมันก็ไม่เกิดนะ เกิดกิเลสก็ไม่รู้จักถึงกิเลสด้วยซ้ำ ไป เณรนั่นให้ไปดูไปปฏิบัติเรานี่ มันจะสนใจเราอะไร นู่น วิ่งไปกินข้าวกับเขา ฝ่ายปริยัติเขาไม่มีเวลาแล้ว โอ้ย.. มันก็เอาไปด้วยขายหน้าล่ะ ตอนนี้ไม่เอาไปด้วยนะทีนี้ มันรอไม่ทันนาน ก็บอกให้กลับไปหาพ่อนั่น เอาไว้ก็ไม่ปฏิบัติอะไร หลักธรรมวินัยมันก็มีอยู่ หนังสือมากมาย เอามาดูซิ จะให้แต่คนอื่นสอนมันไม่ได้แล้ว มีแต่ตัวเองสอนตัวเองล่ะ มีแต่สอน พูดให้ฟังเท่านั้นล่ะ เทปก็มากมาย หนังสือก็มากมาย เอามาซิ เอาไปดูแล้วก็ไปสอนตัวเองนั่นล่ะ ความบริสุทธิ์จริงๆ มันจะมาเกิดกับตัวเองเลย ให้มันอยู่กับพุทโธดูซิ ๒๔ ชั่วโมงนี่ สติอย่าให้มันเผลอ มันต้องเกิด อันนี่มันไม่ทำ สักที พอเข้ากันแล้ว โอ้ย.. เหมือนนกเอี้ยงล่ะ สักพักก็วิ่งไปทางโลกนั่นนะ เข้ากันแล้วนี่ มีแต่เรื่องโลกเรื่องสงสาร ไปอยู่กับ หลวงปู่มั่นนี่ โอ้ย ออกไปเที่ยวนี่ มาถามเรื่องภาวนาไม่ได้เรื่องนี่ ไม่ให้จำ พรรษาด้วย ไล่หนีนู่นออกไป แล้วต้องมีอุบายพูดให้ท่านฟัง ผู้ที่ได้อยู่ ถ้าไปถามแล้วไม่ได้อะไร ไม่ให้อยู่แล้ว ขนาดนั้นนะ หลวงปู่มั่น ท่านกลั่นกรองขนาดนั้นนะ ปฏิปทาท่านไปหาออกภาวนานี่ ต้องได้คำ พูดให้ท่านฟังแล้ว ถ้าไม่ได้อย่ากลับ มาเลย กลับคืนมาก็ไม่ได้อยู่ เอ้า ขนาดนั้นล่ะ เรื่องครูบาอาจารย์ท่าน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเก่ง องค์ไหนๆ เหมือนกันหมด ทุกวันนี้มันโลเลไปหมดแล้ว อย่างวัดหลวงปู่ ชอบนั่น ทุกวันนี้มันไม่มีแล้ว ข้อวัตรกิจวัตรมันเป็นปริยัติไปหมดแล้ว สมภารเลี้ยงไก่ชนนู่น ตอนเขาตีกัน ก็ให้โยมเอาไปล่ะ ไปทำ ได้ยังไงอย่างนั้น ทำ ไปสุ่มสี่สุ่มห้า มีแต่เงิน มีแต่หาเงิน สลดสังเวช ปฏิปทา ครูบาอาจารย์สอน ไม่มีเหลือ หลวงปู่ชอบนี่ โอ้ย ขัดปฏิปทาเลยล่ะ พระมากๆ แต่ท่านเดินไม่ได้ เลยเข้ามากินกับท่าน แต่ก่อนไม่มีหรอก พระเณรอยู่กับท่าน แต่ขาท่านเสียไปนี่ แล้วก็พูดก็พูดไม่ได้ ลิ้นแข็ง เหมือนเด็กหัดพูดนี่ จะทำ อย่างไรล่ะ พูดก็ไม่ถึงใจล่ะ ท่านก็ไม่เสียอะไรนะ ของท่านฝึกท่านมา ได้หมดแล้ว เอา เลิกกันเถอะ 198


กัณฑ์ที่ ๑๙ ให้ตั้งใจในความเพียร ถ้าให้ไปภาวนาก็ไม่รู้เป็นอะไร ถ้าผมพาทำ งาน ก็ว่าพาทำแต่งาน ไม่สนใจอะไร อย่างพระรูปหนึ่ง เวลามีแขกมา ก็มายืนดูอยู่อย่างนั้นเหมือนเด็กน้อย อยากจะให้เขาดูถูกดูแคลนหรืออย่างไร ส่องดูนั่นดูนี่ เหมือนนักเลง นิสัยมันเป็นอย่างไร พรรษาก็มากแล้ว เดินมองให้เขาดูถูกหรืออย่างไร ผมเห็น หลายครั้งแล้ว ถ้าใช้ปัญญา มันไม่ได้อยู่อย่างนั้นหรอก มาวิเคราะห์ดูแล้ว เหมือนเด็กน้อยดูผู้ใหญ่พูดกัน งานที่เป็นหน้าที่ของตัวเอง ไม่ดูไม่สนใจ ไม่ดูหัวใจตัวเองว่ามันบิดมันโค้งไปทางไหน มันไปทางดี หรือไปทางชั่ว ดูอยู่อย่างนั้นดูซิ ผมว่ามันไม่นานนะถ้าจะสอนตัวเองจริงๆ ฟังไปก็ฟังไปเฉยๆ ไม่เอาไป ฝึกเรื่องจิตใจตัวเอง มีแต่อยากจะฟัง ดูสมัยนี้การประกอบความพากความเพียรมันไม่มี มีแต่เป็นเล่นไปหมด มีแต่สนุกเฮฮา มันเป็น อย่างนั้นนะ วัดผาแดงเป็นอย่างนั้น จะเรียกตนเองว่านักปฏิบัติได้อย่างไร มีแต่เรื่องแต่ราวอยู่อย่างนั้น ผมก็จะตายอยู่แล้ว ทุกวันนี้ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเน่า ให้ตั้งใจในความเพียรดูซิ เดินจงกรมดูซิ ผมได้ทำ มาหมดแล้ว เดินจงกรมทั้งคืนก็เดิน นั่งทั้งคืนจนสว่าง ก็ได้ทำ มาหมดแล้ว ไม่ได้มาทำ เล่นเหมือนหมู่ พวกทำ อยู่เดี๋ยวนี้นะ ฝึกหัดครั้งแรกกับพ่อแม่ครูจารย์ ท่านบอกให้มาถามว่า ท่านลีนั่งสมาธิตลอดทั้ง คืนจนสว่างได้อยู่หรือ ตัวเองไม่รู้จะอธิบายกับท่านอย่างไร จึงว่าตัวของผมไม่รู้สึกตัว เพียงรู้สึกว่าตัว เองนั่งอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองนอนตอนไหน ท่านก็เลยหัวเราะ ท่านเลยว่าไปนั่งอยู่หินก้อนนั้น ถ้าสั่นไม่มี สติขนาดนั้น ถ้ามันจะลง ก็ให้มันลงทางนั้นลงทางนี้ถ้าไม่มีสติ พอได้ฟังท่าน ท่านยังพูดได้ แล้วเราจะ ทำ ไม่ได้หรือ ใจมันค้านกันอยู่ โอ้ย มันจะเผลอสติได้หรือ มันกลัวตาย สู้อยู่อย่างนั้นแหละ ดัดมันอยู่ อย่างนั้นนะ แต่นี่ที่เห็น ไม่มีดัดนะ มีแต่ใช้หมอนดัดอยู่อย่างนั้น ให้ดัดความเห็นตัวเองเสียก่อน นั่งสมาธิ เข้าหน่อย มีแต่คิดว่าจะตาย โธ่เอ๊ย มันไม่ง่วงนอนจนตายหรอก ความตายมีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้นแหละ ความตายมันก็ตายอยู่อย่างนั้น เคยตายมาแล้วหลายภพหลายชาติ ตั้งแต่เด็กมาเป็นหนุ่มเป็นสาว แก่เฒ่าแล้วก็ตายเป็นยุคๆ ไป เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้นอัตภาพร่างกายนี้ มันจะแตกต่างอะไรกันหนอ เหลือแต่เพียงเข้าโลงเท่านั้นเอง ถ้ายังไม่ตาย มันก็รู้เท่านั้นเอง อย่างพระพุทธเจ้า กิเลสท่านก็มี เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านพ้นไปได้ ท่านก็มีกิเลสเหมือนกัน เราไม่สามารถปิดบังมันได้ ใช้ใจเราปัก เข้าไปดูซิ มันต้องเห็นแน่ แต่นี่ไม่รู้อะไร พอได้เจอกันเหมือนกับนกเอี้ยง หยอกเล่นกันเหมือนฆราวาส ท่านว่า แล้วมันจะเกิดความอัศจรรย์ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านเดินทางหนึ่ง สาวกเดินไปอีกทางหนึ่ง พอนะ เลิกกันพอแล้ว 199


Click to View FlipBook Version