The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

๙๐ ปี เศรษฐีธรรม ชีวประวัติ ปฏิปทา และพระธรรมเทศนา หลวงปู่ลี กุสลธโร (พระอริยสาวกแห่งภูผาแดง) วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ray of Dhamma ตามแสงธรรม, 2023-09-24 18:11:09

๙๐ ปี เศรษฐีธรรม -หลวงปู่ลี กุสลธโร

๙๐ ปี เศรษฐีธรรม ชีวประวัติ ปฏิปทา และพระธรรมเทศนา หลวงปู่ลี กุสลธโร (พระอริยสาวกแห่งภูผาแดง) วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

Keywords: ธรรม

ประวัติการจำาพรรษา 100 ผู้ที่จะมาขอบวชกับหลวงปู่อ่อน หลวงปู่อ่อนท่านเป็นผู้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานที่แท้จริง ดังนั้น จึงอบรมสั่งสอนพระเณรด้วยความเคร่งครัด เข้มงวด จริงจัง ผู้ที่เข้ามาบวชจะต้องเริ่มต้นจากการปลงผม เป็นผ้าขาวรักษาศีลแปด และศึกษาเรียนรู้ข้อวัตร ปฏิบัติ อันเป็นเครื่องขัดเกลาฝึกฝนกาย วาจา ใจ ให้พ้นจากกิเลสอย่างหยาบ เช่น ความเกียจคร้าน ความดูดาย ความมักง่าย ความเห็นแก่ตัว ข้อวัตรข้อปฏิบัติที่ต้องฝึกฝนตนนั้น เริ่มจากการหลับ การนอน การพูดจา จะต้องระมัดระวัง ควบคุมตัวให้อยู่ในอาการที่สำ�รวม รักษากิริยาไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามใจจนดูเป็นที่น่ารังเกียจแก่ สายตาของบุคคลอื่น ในขณะจะพักผ่อนร่างกาย ก็ให้มีความตั้งใจรักษาตนด้วยสติ กำ�หนดระยะเวลา การนอนให้พอดีเหมาะสมกับอัตภาพ เพื่อระงับบำ�บัดความอ่อนเพลียในการระมัดระวังเอาชนะความ เกียจคร้านมักง่าย ถือเป็นเรื่องสำ�คัญอยู่เสมอ ไม่เลือกว่าจะขณะนอนหลับ ขณะกำ�ลังขบฉัน และสำ�คัญไปในทุกอิริยาบถไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน สำ�หรับผู้ที่มามอบตัวเป็นนาค (ผ้าขาว) บางรายก่อนจะได้รับการบรรพชาอุปสมบทเป็นพระนั้น อาจจะได้อยู่เป็นนาคนานถึง ๙ เดือน เพื่อฝึกความอดทน และเรียนรู้ข้อวัตรต่างๆ รวมทั้งศึกษาจดจำ� สิกขาบทวินัยที่พระภิกษุต้องระวังรักษา นกยูงขาว วิหารกลางน้ำ ภายในวัดป่านิโครธาราม


101 พรรษาที่ ๑๘ ปีพุทธศักร�ช ๒๕๑๐ จำ�พรรษาที่วัดถ้ำ�กลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำ�ภู ในปีนี้ได้มีโอกาสจำ�พรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโย ตั้งแต่กลางปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ ข่าวอาการ อาพาธของหลวงปู่ขาว ก็เริ่มแพร่สะพัดกระจายออกไปเรื่อย ซึ่งอาการเป็นที่น่าวิตกอย่างมากในวงศ์ ของพระกรรมฐาน และคณะศิษยานุศิษย์ทุกคน หลวงปู่ลี กุสลธโร ได้ปรารภถึง หลวงปู่ขาว อนาลโย อย่างพ่อแม่ครูจารย์ใหญ่ พ่อแม่ครูจารย์ขาว ท่านพูดเรื่องประวัติถ้ำ�กลองเพล สมัยก่อนเป็น บ้านเป็นเมืองหมดทั้งภูทั้งเขา ไม่มีอะไรนะ พันกว่าปีเท่านั้น ท่านว่า ถ้ำ�กลองเพลเป็นนั่นหมดทั้งภูทั้ง เขา ตามภูตามเขามีจารึกไว้หมดล่ะ ภูพานยิ่งจารึกไว้หมด บ้านเมืองมันมากนะ พอได้อยู่ทำ�กินเท่านั้น เพราะคนมันมากนะ อันนี้ท่านจัดไว้ แต่พอนานเข้า คนมากเข้าๆ ก็แบ่งเท่านั้นล่ะ คนนั้นขอ คนนี้ขอ ก็หมดเหมือนกัน คนมากนะ เวลารักษาก็รักษาเหมือนกัน ให้มันเป็นสมบัติของบ้านของเมืองของประเทศ ชาติ รักษาช่วยกันเท่านั้นล่ะ ปลูกฝังไว้ อธิบดีนั่นให้ปลูกใครปลูกมัน มันใหญ่มันโตมาแล้ว ไม่ต้องขอ อนุญาตตัด ทำ�เลยของใครของมัน ทุกวันนี้ (ให้พากันตั้งใจภาวนา ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๘) พระประธาน พระพุทธรูปปางต่างๆ ภายในถ้ำากลองเพล ธรรมชาติภายในวัดถ้ำากลองเพล ในปัจจุบัน


ประวัติการจำาพรรษา 102 “หลวงปู่ขาวชอบเที่ยวหาวิเวกและเปลี่ยนที่ทำ�ความเพียรอยู่เสมอ ปรกติก็ชอบเที่ยวธุดงค์ ไปตามป่าตามเขาอยู่แล้ว แล้วยังชอบเที่ยวเปลี่ยนที่ทำ�ความเพียรอยู่เรื่อยๆ เช่น ไปพักอยู่ที่นั่น เป็นปรกติแล้ว แต่เวลาเข้าไปทำ�ความเพียรกลับไปอยู่ที่หนึ่ง ตอนบ่ายๆ หรือเย็นก็เปลี่ยนไปทำ�อีก แห่งหนึ่ง กลางคืนก็เที่ยวไปทำ�ความเพียรอยู่อีกแห่งหนึ่งในแถบที่ท่านพักอยู่นั่นแล เปลี่ยนทิศทางบ้าง ไปใกล้บ้าง ไกลบ้าง ไปอยู่ในถ้ำ�อื่นจากถ้ำ�เดิมบ้าง ขึ้นไปอยู่บนหลังเขาบ้าง ตามหินดานบ้าง ดึกๆ จึงกลับมาที่พัก ท่านให้เหตุผลสำ�หรับนิสัยท่านว่า “เวลากำ�ลังชุลมุนวุ่นวายกับการแก้กิเลส การเปลี่ยนอุบาย ต่างๆ เช่นนั้น ปัญญามักเกิดขึ้นเสมอ กิเลสตั้งตัวไม่ติดเพราะถูกอุบายของสติปัญญาตีต้อนในท่าต่างๆ ให้หลุดลอยไปเป็นพักๆ ถ้าอยู่ในที่แห่งเดียวทำ�ให้ชินต่อสถานที่ แต่กิเลสมิได้ชินกับเรา มันสั่งสม ตัวขึ้นเสมอ ไม่ว่าเราจะชินกับอะไรหรือไม่ก็ตาม เราจำ�ต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอุบายและสถานที่ เพื่อปลุกสติปัญญาอยู่เสมอให้ทันกับกลมายาของกิเลสที่ปักหลักสั่งสมตัวเอง และต่อสู้กับเราไม่มีเวลา พักผ่อนตัวตลอดเวลา ถ้าเว้นบ้างก็เพียงเวลาหลับสนิทเท่านั้น นอกนั้นเป็นเวลาทำ�งานของมันเสียสิ้น ดังนั้นการทำ�ความเพียรจะลดหย่อนอ่อนข้อและผลัดเปลี่ยนเลื่อนเวลาอยู่ จึงทำ�ให้กิเลสตัวขยันหัวเราะ เอาการเปลี่ยนสถานที่และอุบายอยู่เสมอ จึงพอมองเห็นความแพ้ความชนะกับกิเลสบ้าง ไม่ปล่อยให้มัน รับเหมาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวดังนี้ เหตุผลของท่านก็น่าฟังและเป็นคติได้ดีสำ�หรับผู้ไม่นอนใจให้กิเลส ขึ้นเหยียบย่ำ�ทำ�ลายเอาทุกๆ กรณีที่จิตไหวตัว” (จากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว อนาลโย) อานิสงส์จากการที่องค์หลวงปู่ลี ได้ไปพักปฏิบัติธรรมและมีโอกาสได้อุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่ขาว ทำ�ให้ได้มีโอกาสเห็น และสัมผัสเรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติที่สืบทอดมาจากองค์หลวงปู่มั่นได้ในหลายแง่ หลายมุม ในบางโอกาสที่หลวงปู่ขาวท่านมีเหตุจะต้องพบปะคลุกคลีกับหมู่คณะและครูบาอาจารย์ จึงเป็นโอกาสพิเศษสำ�หรับท่านที่จะได้พบเจอครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน ได้รู้จักคุ้นเคยกับข้อวัตรปฏิปทา พระธุดงคกรรมฐานจนเป็นความศรัทธาประทับใจ พระพุทธรูปหินแกะสลัก พิพิธภัณฑ์อัฏบริขารหลวงปู่ขาว อนาลโย


103 ความเมตตาของหลวงปู่ขาว เพื่อให้เกิดความศรัทธาในการทำ�ความดี และมีกำ�ลังใจในการเอาชนะโทสะความโกรธที่เกิดขึ้น ในใจ พร้อมทั้งเตือนว่า ในเวลาที่ถูกโลกธรรมตำ�หนิติเตียนไปในทางร้ายให้ประสบความไม่สุขใจ จงตั้ง ใจให้แน่วแน่มั่นคงระลึกถึงบทคาถาของหลวงปู่ขาวไว้เป็นอารมณ์ คอยกำ�กับจิตใจให้สงบนิ่ง แล้วเจตนา ที่มุ่งร้ายหมายจะก่อเวรก็จะค่อยๆ คลี่คลายเปลี่ยนไปในทางดีได้ บทคาถานั้นมีว่า (นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ) พุทธะเมตตัง จิตตังมะมะ พุทธะพุทธานุภาเวนะ ธัมมะเมตตัง จิตตังมะมะ ธัมมะธัมมานุภาเวนะ สังฆะเมตตัง จิตตังมะมะ สังฆะสังฆานุภาเวนะ หลวงปู่ขาว อนาลโย พร้อมศิษยานุศิษย์ ถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ ณ วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต, หลวงพ่อปรีดา ฉันทกโร, หลวงพ่อวิไล เขมิโย, หลวงพ่ออุ่นหล้า ฐิตธัมโม


ประวัติการจำาพรรษา 104 พรรษาที่ ๑๙ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ จำ�พรรษาที่วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี หลวงปู่ลีได้พักปฏิบัติธรรมบำ�เพ็ญภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำ�กลองเพล กับหลวงปู่ขาว จนกระทั่งเวลา จวนจะเข้าพรรษา ท่านจึงได้กราบลาหลวงปู่ขาวเพื่อมาจำ�พรรษากับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ที่วัดป่า หนองแซง ซึ่งหลวงปู่บัวองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อีกรูปหนึ่งที่มีปฏิปทาเด็ดเดี่ยว น่าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก และเป็นที่ยอมรับของครูบาอาจารย์ต่างๆ ด้วย ที่วัดป่าหนองแซงนี้เป็น ที่แวะพักของครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่จะเดินทางผ่านระหว่างจังหวัดอุดรธานีกับจังหวัดเลย จะต้องมา แวะพักที่วัดนี้เสมอ ซึ่งในพรรษานี้ หลวงปู่เพียร วิริโย ก็ได้มาจำ�พรรษาที่นี้ด้วย เนื่องจากตั้งอยู่ ไม่ไกลจากวัดถ้ำ�กลองเพลมากนัก เพื่อจะได้เข้าออกได้สะดวก เพราะเป็นห่วงสุขภาพของหลวงปู่ขาว บางครั้งก็รอฟังข่าวอาการอาพาธของหลวงปู่ขาวที่นี่เลย โดยอาศัยบารมีธรรมของหลวงปู่บัว จึงได้รับ ความสะดวกสบายทุกอย่าง ท่านว่าครูบาอาจารย์ต่างๆ ในสมัยนั้น ออกจากวัดถ้ำ�กลองเพลแล้ว ส่วนมาก ก็จะมาศึกษาอบรมและปฏิบัติธรรมที่นี่ โอวาทธรรมของหลวงปู่บัว สิริปุณโณ เรื่องศีลนี่ เป็นของสำ�คัญที่ควรปฏิบัติให้มาก ถ้าแม้นผู้ใดมีศีล รักษาศีลเพียงอย่างเดียว ให้มั่นคงแล้ว จะศึกษาเล่าเรียนไม่ว่าวิชาคุณไสยศาสตร์หรือบำ�เพ็ญภาวนากรรมฐานอันเป็นทาง วิมุตติแล้ว ต้องมีศีลมีสัตย์เป็นเบื้องต้น อย่างไปทำ�ลายศีล ถ้าไปทำ�ลายศีลแล้ว ชีวิตมันจะไม่เป็น เรื่องสักอย่างเดียว ขอให้มีสติตัวเดียวเท่านี้ มันจะแจ้งหมดโลก ถ้ารักการพ้นทุกข์ รักการปฏิบัติ ต้องเอาให้ได้ ทำ�ให้ชำ�นาญเรื่องสตินี่ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ


105 สภาพทั่วไป และธรรมชาติภายในวัดป่าหนองแซง หลวงปู่ลี กุสลธโร ได้ปรารภถึง หลวงปู่บัว สิริปุณโณ (๖ ตุลาคม ๒๕๓๘) หลวงปู่บัว ท่านเร่งความเพียรท่านภาวนาตั้งแต่ท่านเป็นฆราวาสนู่น โดยมากหลวงปู่บัวท่านมี แต่นั่งเป็นส่วนมากนะแต่เดินนั้นไม่เท่าไหร่ท่านไม่ถนัด เอาล่ะลองเร่งภาวนาตลอดทั้งคืนดูถ้านั่งภาวนา มันจะไม่เกิดจริงๆ หรือความสงบ เราต้องฝึกดวงจิตให้เกิดความสงบ แล้วจะทำ�อย่างไรถึงจะสงบ เราต้องเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าทำ�ให้เกิดกับใจตัวเอง แล้วธรรมมันจะเกิดขึ้นเองนะ ถ้าภาวนาก็ให้ ท่องพุทโธๆ พุทโธนั้นก็คล้ายกันกับบันไดที่จะใช้ขึ้นไปหากุฏินั้นแหละ ก็ต้องมีราวจับ ถ้าไม่มีราวจับเวลา ขึ้นก็อาจเซคะมำ�ได้ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะปล่อยวางเองหรอก เหมือนกันกับเราขึ้นกุฏินั่นแหละ ถ้าเรามีความประสงค์ขึ้นกุฏิแล้ว เราจะไปจับราวบันไดอยู่ทำ�ไม เราก็ต้องปล่อยมือจากราวบันได การบริกรรมก็เปรียบเหมือนบันไดที่มีราวจับนั่นแหละ เราต้องใช้เพื่ออาศัยขึ้นกุฏิเท่านั้น ถ้าเราประสงค์ จะขึ้นไปกุฏิ แล้วเราจะไปยืนจับราวบันไดอยู่ทำ�ไมในเมื่อความประสงค์ของเรานั้น ต้องการจะขึ้นไปกุฏิ เราก็เพียงแค่อาศัยบันไดกับราวจับเพื่อเป็นทางผ่านขึ้นไปเท่านั้นเอง


ประวัติการจำาพรรษา 106 วัดป่าหนองแซง สถานที่สัปปายะ มากด้วยจิตวิญญาณ เจ้ากรรมนายเวรมาขอส่วนบุญ (เล่าโดย หลวงปู่จันทา ถาวโร) ในสมัยหนึ่งได้ไปภาวนาอยู่ที่ วัดป่าหนองแซง อำ�เภอ หนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ซึ่งเป็นเจ้า อาวาสในขณะนั้น วันนั้นทำ�ความเพียรอย่างหนัก ไม่ฉันอาหาร เดินจงกรมวันยังค่ำ� พอค่ำ�มาก็เข้าที่นั่งสมาธิตลอดทั้งคืน ไม่ยอมนอน พอล่วงไปถึง ๔ ทุ่ม ความทุกข์เกิดขึ้น ความร้อนเกิดขึ้น จนถึงเที่ยง คืนจึงดับพอตี ๑ ความร้อนแสบเย็นเกิดขึ้นอีกเป็นระยะๆ จนกระทั่ง แจ้งเป็นวันใหม่ นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิก มาวันหลังเข้าที่นั่งสมาธิอีก จิตก็สงบ พอจิตสงบลงไปก็เกิด นิมิตเห็นสัตว์ทั้งหลาย มีกบ เขียด ปู หอย นก หนู ที่ตนได้ฆ่าเขา มาแล้วนั้น ทั้งวัวและหมูก็ได้ทำ�มาแล้ว แต่ควายไม่ได้ทำ� และมนุษย์ ก็ไม่ได้ทำ� สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น หลั่งไหลมาเต็มสถานที่นั้น จึงกำ�หนดจิตถามไปว่า หลวงปู่ “มาทำ�อะไรกันมากมายเช่นนี้” เขาก็ตอบว่า “ ได้ทราบข่าวว่าท่านมาบวชในศาสนาแล้ว จึงมาขอรับส่วนบุญ ขอท่านจงแบ่งส่วน บุญให้ด้วย เพราะท่านเมื่อสมัยที่เป็นฆราวาสนั้นได้ฆ่าพวกข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร ฉะนั้น ถ้าไม่แบ่งส่วน บุญให้ จะขอจองเวรจองกรรมนะ ขอให้เป็นผู้ได้ประสบพบปะแต่เหตุเภทร้าย อายุสั้นพลันตาย ประกอบ ด้วยโรคภัยนานาชนิด ไม่มีวันจบสิ้น ” หลวงปู่เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ก็เลยตั้งจิตอุทิศแบ่งส่วนบุญไปให้และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ แล้วก็บอกให้เขามารับทุกวัน เขาก็ว่า “ดีแล้ว นับว่าเป็นโชคลาภอันดี จะได้มีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะภพชาติของพวก ข้าพเจ้านี้ต่ำ�ช้าลามก ไม่มีอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น ” หลวงปู่ก็เลยอุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น ไม่ลดละ จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๐ พรรษา ไม่พบเห็นสัตว์เหล่านั้นมาหาอีกเลย นั่นแหละที่เรียกว่า การบวชบำ�เพ็ญบุญล้างบาป เมื่อเห็นเป็นเช่น นั้นแล้วก็สิ้นสงสัย


107 สัตว์ต่างๆ ภายในวัดป่าบ้านตาด ได้อาศัยบารมีธรรมขององค์หลวงตา พรรษาที่ ๒๐-๒๓ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒-๑๕ จำ�พรรษาที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ในปีนี้ได้จำ�พรรษาอยู่กับ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ประวัติวัดป่าบ้านตาด (วัดเกษรศีลคุณ) วัดป่าบ้านตาด เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้ ประกาศตั้งขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๓ ให้ชื่อว่า “วัดเกษรศีลคุณ” ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในนาม “วัดป่าบ้านตาด” ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้านบ้านตาด ตำ�บลบ้านตาด อำ�เภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ห่างจากตัวเมืองอุดรธานี ไปทางทิศใต้ ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร โดยมีศรัทธาญาติโยมชาวบ้านตาดถวายพื้นที่ในกำ�แพงล้อมรอบ ประมาณ ๑๖๓ ไร่ และบริเวณรอบกำ�แพงที่มีผู้ซื้อที่ถวายอีกหลายแปลง ตลอดทั้งทางวัดซื้อที่เพิ่มอีก ประมาณ ๑๔๐ ไร่ รวมประมาณ ๓๐๐ ไร่ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอันสงบเรียบง่าย ร่มครึ้มไปด้วย ต้นไม้สูงใหญ่นานาพันธุ์ เป็นสถานที่พึ่งพิงของสัตว์น้อยใหญ่ ในเขตอภัยทานหลากชนิด อาทิเช่น ไก่ป่า กระจง กระรอก กระแต กระต่าย เต่า แย้ นกยูง ฯลฯ กุฏิหลวงตามหาบัว หลวงตามหาบัว, หลวงปู่บุญมี, หลวงปู่เพียร, หลวงปู่ลี, หลวงปู่อุ่นหล้า, หลวงพ่ออินทร์ถวาย


ประวัติการจำาพรรษา 108 • วัดป่าบ้านตาด (แดนธรรมอันล้ำ�ค่า) เมื่อก้าวย่างเข้าสู่บริเวณวัด จะพบศาลาการเปรียญซึ่งเป็นศาลาไม้หลังใหญ่ เดิมทีเป็นศาลาชั้น เดียวยกพื้นเตี้ย แต่ภายหลังถูกยกให้สูงขึ้น ๒ ชั้น เพื่อจะใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ด้านบนศาลานั้น ให้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่เป็นพระประธานของวัด ใช้เป็นที่แสดงธรรมอบรมแก่ พระภิกษุสามเณรในวัด ตลอดจนเป็นที่ประชุมทำ�สังฆกรรมร่วมกัน เช่น สวดพระปาฏิโมกข์ อธิษฐาน เข้าพรรษา สวดปวารณา และกรานกฐิน เป็นต้น ตู้ด้านขวาขององค์พระประธานนั้น เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นพระอาจารย์ขององค์หลวงตา มหาบัว รวมทั้งพระอัฐิธาตุของครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ ส่วนด้านล่างศาลานั้นใช้เป็นที่สำ�หรับฉันภัตตาหาร เช้า สถานที่ที่องค์หลวงตามหาบัวใช้ในการแสดงธรรมเทศนาและปฏิสันถารกับศรัทธาฆราวาสญาติโยม ที่มาจากทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ขาดสายไม่เว้นในแต่ละวัน สำ�หรับศาลาใหญ่ด้านนอกกำ�แพงนั้น สร้างเสร็จเมื่อปลายปี ๒๕๔๔ มีศรัทธาญาติโยมขอสร้าง ถวาย องค์หลวงตาท่านพิจารณาดูแล้ว เพราะเกี่ยวกับงานช่วยชาติที่จัดหลายๆ ครั้ง เช่น กฐินช่วยชาติ เป็นต้น ญาติโยมจากทุกสารทิศไม่มีที่พักอาศัย และที่ร่มบังในเวลามีงานแต่ละวาระ จึงเมตตาให้สร้าง เพื่ออาศัยประโยชน์จากจุดนี้ กุฏิของพระภิกษุสามเณรแต่ละรูป เป็นกุฏิเรียบง่าย พอแก่การบังแดด ลม ฝน จะสูงจากพื้นดิน ประมาณ ๑ เมตร เพื่อกันการรบกวนจากสัตว์เลื้อยคลาน ความชื้นจากพื้นดิน ฯลฯ มีขนาดเพียงพอ


109 สภาพทั่วไป และธรรมชาติภายในเขตสงฆ์วัดป่าบ้านตาด สำ�หรับอยู่เพียงองค์เดียว ฝาผนังส่วนใหญ่ใช้จีวรเก่าขึงแทน เพื่อกันลม กันฝน ใช้มุ้งกลดกันยุง ภายใน กุฏิจะมีเพียงกลด เสื่อปูนอน ผ้าห่ม เครื่องอัฐบริขาร ตะเกียงหรือเทียนไข และของใช้ที่จำ�เป็นอื่นๆ ด้านหัวนอนจะมีพระพุทธรูปหรือรูปครูบาอาจารย์ติดไว้ เพื่อกราบไหว้บูชาเป็นกำ�ลังใจในการบำ�เพ็ญ ภาวนา ทุกกุฏิจะมีทางเดินจงกรมอย่างน้อย ๑ เส้น ยาวประมาณ ๒๕ ก้าว อยู่ใต้ร่มไม้ดูร่มเย็น ในยามค่ำ�คืนการเดินจงกรม จะใช้โคมเทียนจุดสว่างพอให้เห็นทาง กุฏิแต่ละหลัง จะมองไม่เห็นกัน ประหนึ่งว่า อยู่ท่ามกลางป่าเพียงองค์เดียวเพื่อให้เกิดความสัปปายะสะดวกในการบำ�เพ็ญสมณธรรม กุฏิที่สร้างถาวรมีอยู่รวมประมาณ ๑๐ กว่าหลัง เป็นกุฏิของหลวงตา ภิกษุสูงอายุ กุฏิของญาติโยม ตามปกติญาติโยมทั้งหญิงและชายมักมาขออยู่พักปฏิบัติธรรมภาวนา เป็นช่วงเวลาสั้นๆ โดยเฉลี่ยอยู่ใน ระหว่าง ประมาณ ๕๐-๑๐๐ คน จัดแยกเขตกันระหว่างพระภิกษุสามเณร ญาติโยมชายและหญิงอย่าง เป็นระเบียบ สำ�หรับวัดป่าบ้านตาดนี้ องค์หลวงตาท่านเน้นย้ำ�ถึงเรื่องมหาภัย ๕ ประเภทที่ไม่ให้พระเกี่ยวข้อง เด็ดขาด คือ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ โทรศัพท์ เพราะเป็นอุปสรรคต่อการบำ�เพ็ญสมณธรรม โดยตรง อีกทั้งไฟฟ้าก็ไม่ให้ต่อเข้ามาในวัด มีเพียงเครื่องปั่นไฟ เพื่อใช้ในบางกาลที่ประชาชนมา ทำ�บุญมาก เป็นกรณีพิเศษในวันสำ�คัญทางศาสนาเท่านั้น ณ วัดป่าบ้านตาด ปัจจุบันในพรรษามีพระเณรจำ�พรรษาประมาณ ๕๐-๖๐ รูป ส่วนนอกพรรษา จะมีพระภิกษุสามเณรอาคันตุกะ เข้ามาพักศึกษาข้อวัตรปฏิบัติและด้านจิตภาวนาเพิ่มมากขึ้นเป็นประจำ�


ประวัติการจำาพรรษา กิจวัตรประจำ วันของพระสงฆ์ วัดป่าบ้านตาด 110 สำ�หรับพระภิกษุสามเณร ที่มาศึกษาอบรมสมาธิภาวนา วัดป่าบ้านตาดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นสถานที่ที่สงบสงัด อุดมบริบูรณ์ด้วยต้นไม้นานาพันธ์ บรรยากาศร่มเย็นเหมาะแก่การบำ�เพ็ญจิตตภาวนา องค์หลวงตาท่านจึงเข้มงวดกวดขันต่อ พระภิกษุสามเณร ที่เข้ามาพักปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง พระภิกษุสามเณรจะต้องรักษาธรรมวินัย และ ข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจริงจัง ระยะแรกมีพระที่จำ�พรรษาไม่มาก ประมาณ ๑๐-๑๕ รูป ระยะ หลังต่อมาองค์ท่านได้พิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้วจึงได้รับพระเพิ่มขึ้นทั้งนี้เพราะความเมตตาของ องค์หลวงตาจนกระทั่งปัจจุบัน(ช่วงวัยเริ่มชราภาพ)มีพระอยู่ในเกณฑ์ ๕๐ รูป สำ�หรับฆราวาส ผู้มาปฏิบัติธรรม ในระยะแรกหลวงตาท่านไม่รับฆราวาสที่มุ่งมาปฏิบัติธรรม แต่เมื่อมีผู้สนใจมากขึ้นๆ ท่านจึงได้ อนุโลมผ่อนผัน มีฆราวาสทั้งชายและหญิง ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศที่มุ่งมาพักปฏิบัติธรรม จำ�นวนมากในปัจจุบัน ทางวัดจัดให้มีเขตชาย-หญิงชัดเจน ไม่คลุกเคล้าปะปนกัน ผู้มุ่งมาปฏิบัติธรรม ล้วนแต่อยู่ในความสงบสำ�รวม ตามกฎระเบียบของวัดที่มุ่งเน้นด้านจิตตภาวนา สำ�หรับระยะเวลาที่ให้ พักปฏิบัติธรรม ทางวัดจะไม่ให้อยู่ถาวร แต่อนุญาตให้อยู่พักได้ไม่เกิน ๗-๑๐ วัน สำ�หรับผู้มุ่งมาทำ�บุญตักบาตร ฟังเทศน์ หลวงตาท่านจะแสดงธรรมเป็นประจำ�วันทุกวัน การบิณฑบาตจะเริ่มประมาณ ๐๖.๐๐ น. เริ่มฉันประมาณ ๐๗.๓๐ น. พระภิกษุสามเณรที่วัดป่าบ้านตาดนี้ ฉันเพียงวันละมื้อเดียวเท่านั้น เพื่อมิให้เป็นความกังวลและเสียเวลา หลวงตาจะเริ่มเทศนาประมาณ ๐๘.๐๐ น. หากมีคณะผู้แสวงบุญจากทั่วทุกสารทิศมุ่งมาฟังเทศน์ของหลวงตา ในยามบ่ายหลังจากท่าน กลับจากการเดินทางเพื่อมุ่งสงเคราะห์โลก สถานที่ราชการ โรงพยาบาลในถิ่นธุระกันดาร ฯลฯ ท่านมัก จะเมตตาเทศนาแก่คณะดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง


111 กิจวัตรประจำ�วันที่วัดป่าบ้านตาด กิจวัตรประจำ�วันหลักของพระเณร ก็คือ การนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม เพื่อฝึกสติปัญญา และ ชำ�ระกิเลสตัวร้อนรุ่มกระวนกระวายภายในจิตใจให้เหือดแห้งไป พระในวัดนี้จะไม่รับกิจนิมนต์ไปฉัน ในที่ต่างๆ เพื่อมีเวลาสำ�หรับบำ�เพ็ญเพียรภาวนาเพียงอย่างเดียว สำ�หรับในยามเช้าก่อนออกบิณฑบาต ทั้งพระและเณรต่างช่วยกันขัดถูปัดกวาดศาลาและบริเวณ รอบๆ เสร็จแล้วเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ระยะทางจากวัดถึงหมู่บ้านตาดไปกลับรวมแล้วประมาณ ๓ กิโลเมตร ขากลับแวะรับบาตรที่หน้าวัดอีกครั้งหนึ่ง เวลา ๑๒.๔๕-๑๓.๓๐ น. เป็นช่วงเวลาฉันน้ำ�ปานะของพระ-เณร เมื่อฉันเสร็จแล้วก็จะแยกย้ายกัน กลับกุฏิ และในช่วงเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเย็น ท่านก็จะออกมาทำ�ข้อวัตรปัดกวาดบริเวณวัด เสนาสนะ ขัดถูกุฏิ ศาลา เข็นน้ำ� ทำ�ความสะอาดห้องน้ำ�ห้องส้วม อย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเสร็จจากการปฏิบัติ กิจวัตรแล้วก็จะแยกย้ายกันกลับกุฏิ เพื่อนั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนาตามอัตภาพและกำ�ลังสติปัญญา ของแต่ละองค์ต่อไป กวาดใบไม้ ขัดถูศาลา เข็นน้ำ เป็นข้อวัตรปฏิบัติของพระวัดป่าบ้านตาด


ประวัติการจำาพรรษา 112 การประชุมสงฆ์ (ช่วงตอนหัวค่ำ�) อาจจะมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากองค์หลวงตา ซึ่งแล้วแต่องค์ท่าน จะพิจารณาเห็นสมควรจะลงแสดงธรรมเทศน์อบรมพระที่ศาลา วันไหนเมื่อไหร่จึงจะเหมาะสม จะอยู่ ในดุลยพินิจขององค์หลวงตามหาบัวได้พยายามสอนพระเณรอยู่เสมอ ในเรื่องความเรียบง่าย มักน้อย สันโดษ การใช้สอยปัจจัยสี่ที่ศรัทธาญาติโยมถวายมานั้น ให้เป็นไปด้วยความประหยัด ใช้สอยในสิ่งที่ จำ�เป็นเท่านั้น ไม่มีป้ายชื่อวัด หลายท่านที่ตั้งใจจะมากราบหลวงตาที่วัด อาจจะแปลกใจหากไม่พบป้ายชื่อวัด แต่นั่นก็อาจจะทำ�ให้ หลายคนได้นึกคิดจากปริศนาธรรมนี้ว่า หลวงตาท่านทำ�มีความหมายอย่างไร หลายคนอาจจะตีความ หมายไปต่างๆนานา มีบางท่านตีความหมายนี้ ซึ่งดูเหมือนจะเข้าทีที่สุดว่า การเดินทาง ถ้าเดินตามแผนที่ ที่บอกเป็นระยะ ว่าเส้นทางจะผ่านจุดที่สำ�คัญจุดไหนบ้างเป็นลำ�ดับ จนกระทั่งการเดินทางตามเส้นทาง ไปถึงจุดหมาย ถึงแม้จุดหมายจะไม่มีชื่อบอกก็ตาม ทุกคนที่เดินทางไปก็จะทราบเองว่า ถึงจุดหมายหรือยัง ชื่อก็ไม่จำ�เป็นอีกต่อไป หรือเส้นทางไปสู่วิมุตตินิพพานก็เช่นกัน ปฏิบัติไปตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้า วางไว้ เมื่อไปถึงแล้ว ก็ไม่จำ�เป็นจะต้องถามใครว่าถึงจุดมุ่งหมายหรือไม่ ปริศนาธรรมนี้อาจทำ�ให้ ผู้มีปัญญาทั้งหลายพอจะทราบว่า องค์หลวงตาท่านสอนอะไรตั้งแต่เริ่มก้าวเข้ามาในวัดนี้


113 พรรษาที่ ๒๔ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ จำ�พรรษาที่วัดป่าถ้ำ�พระนาหลวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พรรษานี้องค์หลวงปู่เกิดอาพาธป่วยเป็นไข้มาลาเรีย ประวัติความเป็นมาวัดป่าถ้ำพระนาหลวง บ้านนาหลวง หมู่ ๔ ตำ�บลคำ�ด้วง อำ�เภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อยู่ในเขตเทือกเขาภูพานตอนบน เชื่อมติดกับภูย่าอู่ ในระหว่างเขตอำ�เภอนายูง อำ�เภอศรีเชียงใหม่ จากหลักฐานในประวัติว่าวัดถ้ำ�พระ นาหลวงเป็นวัดเก่าแก่มาแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตตนาคนหุต สันนิษฐานว่า สร้างราว พ.ศ. ๒๐๑๖ แต่ไม่มีบันทึกเป็นหลักฐานยืนยันเป็นแต่คำ�บอกเล่าสืบต่อกันมา อาศัยการเทียบ เคียงกับวัดเก่าแก่ในพื้นที่อีสานตอนบนแถบลุ่มแม่น้ำ�โขงที่สร้างในช่วงเวลาเดียวกันและจากโบราณวัตถุ ทั้งยังเหลืออยู่ต่อมาคงจะร้างไป ชื่อบ้านนาหลวง แต่เดิมเรียกว่าถ้ำ�พระนาหลวงใน พ.ศ. ๒๕๑๐ มีชาวบ้านจากบ้านหนองกบ ตำ�บล เมืองพานได้พากันมาล่าสัตว์แถบถ้ำ�พระนาหลวง ได้เห็นพื้นที่บริเวณนี้ดีเป็นที่ราบสลับกับภูเขาอุดม สมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่า จึงกลับไปชักชวนญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านโดยมี นายเพ็ง สายแก้ว นายแหล่ สารียา พ่อตู้สมภาร พ่อบุญ เป็นผู้นำ�โดยมาสร้างที่พักพิงชั่วคราวก่อน แล้วตั้งเป็นชุมชน บุคคลเหล่านี้เล่าว่า


ประวัติการจำาพรรษา 114 วัดถ้ำ�พระนาหลวงเป็นวัดอยู่ก่อนแล้ว ได้พบพระพุทธรูปไม้แกะสลักเป็นจำ�นวนมาก ภายหลังถูกขโมย ไปเหลืออยู่เป็นส่วนน้อย ส่วนชื่อบ้านนาหลวง มาจากที่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านมีทุ่งนาขนาดใหญ่มี พื้นที่กว่า ๑๐๐ ไร่ ชาวบ้านเรียกทุ่งหลวง เพราะบริเวณทุ่งนานี้เคยเป็นทุ่งนาของทหารที่แตกศึกสงคราม มาได้ถากถางที่ดินเพื่อทำ�การเกษตรกรรม สภาพภูมิประเทศและลักษณะทั่วไปของวัดป่าถ้ำพระนาหลวง เป็นเนินเขาขนาดเล็กในเทือกเขาภูพานประกอบด้วยลานหินมีถ้ำ� และเพิงหินธรรมชาติกระจายอยู่ ทั่วไปลักษณะภูมิประเทศเช่นเดียวกับภูพระบาท ป่าไม้เป็นป่าเบญจพรรณ มีเพิงหนิ (ถ้ำ�) ๕ แห่ง ดังนี้ ถ้ำ�พระนาหลวง ๑ เป็นก้อนหินขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๘ เมตร วางทับบนก้อนหินขนาดเล็ก ๔ ก้อน คล้ายใต้หินใหญ่ที่เพดานถ้ำ�สูงจากพื้น ๑๕๐ เซนติเมตร พบภาพเขียนสี เขียนด้วยสีแดงคล้าย สีน้ำ�หมากเป็นภาพกลม ๒ วงต่อกัน ข้างในเขียนเป็นก้างปลากับภาพลายก้านขด มีจุดทึบ ๒ จุด และภาพลายเส้นคดไปมาคล้ายงูมีจุดทึบ ๔ จุด ถ้ำ�พระนาหลวง ๒ เป็นก้อนหิน ๒ ก้อนวางทับกัน กว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๐ เมตร สูงจากพื้น ๖ เมตร ภาพอยู่ตรงส่วน ใต้เพดานหินเป็นสีชมพูสูงจากพื้น ๖๐ เซนติเมตร ภาพเป็นภาพลายเส้นต่อกัน คดไปคดมารูปไข่ต่อกัน ลายเส้นตรง ลาย จุดเป็นกลุ่ม


115 สภาพทั่วไป และธรรมชาติภายในวัดป่าถ้ำาพระนาหลวง ถ้ำ�พระนาหลวง ๓ เป็นก้อนหินกว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๒ เมตร ทอดตัวตามแนว ทิศใต้อยู่บนก้อนหิน ๓ ก้อน ภาพเขียนสีอยู่ ทางทิศใต้ และตรงติดกันผสมกับลายเส้น โค้งและเส้นคด ด้านล่างเป็นลายเส้นหยักคู่ ขนานกับลายดอกไม้ และลายเส้นคู่ขนาน ถ้ำ�พระนาหลวง ๔ เป็นก้อนหิน ๒ ก้อน วางซ้อนกันมีเพิงหินยื่นออกไปทาง ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ก้อนหิน กว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๒ เมตร รูปร่างคล้าย ดอกเห็ด ทิศตะวันออกหินก้อนแรกถูกสกัด เป็นท่อนแล้วสลักหินเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิสมัยลพบุรี พลภาพคล้ายสัตว์มีเขาเขียนแบบ เงาทึบ ขาหน้า ๒ ขา ขาหลังเห็นข้างเดียวมีหางยาวจากหัวจรดหาง และภาพลายเส้นที่มีรูปร่างไม่ แน่นอน ถ้ำ�พระนาหลวง ๕ เป็นก้อนหินขนาดใหญ่กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร วางทับอยู่บนโขดหิน ใหญ่มีเพิงยื่นออกไปทางด้านทิศใต้ ลักษณะคล้ายหลืบหินมีภาพลายเส้นเล็กๆ เขียนด้วยสีแดงจางๆ บนผิวหินสีชมพู ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้มีการสกัดหินเป็นพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกทาสีเหลือง พระบาทถูกพอกด้วยปูนซีเมนต์ สันนิษฐานว่าพระบาทคงชำ�รุด จึงก่อปูนหุ้มไว้ ด้านหน้าและหลังของ เพิงหิน เทพื้นด้วยปูนซีเมนต์และมีใบเสมาสมัยทวารวดีปักไว้ ๘ หลัก ซึ่งทางวัดได้นำ�มาจากโบราณสถาน ด้านล่างภูเขา


ประวัติการจำาพรรษา 116 หลวงพ่อจันทร์เรียน หลวงพ่อสมศรี พรรษาที่ ๒๕ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ จำ�พรรษาที่วัดป่าสานตม อ.ภูเรือ จ.เลย ในปีนี้มีพระอยู่ร่วมจำ�พรรษ� ดังนี้ หลวงปู่ลี กุสลธโร (เป็นประธานสงฆ์) หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร (ปัจจุบันท่านพำ�นักอยู่ที่วัดถ้ำ�สหาย อำ�เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี) หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ (ปัจจุบันท่านพำ�นักอยู่ที่วัดป่าเวฬุวนาราม อำ�เภอวังสะพุง จังหวัดเลย) และสามเณรเหลา (ปัจจุบันคือพระอาจารย์เหลา ดำ�รงตำ�แหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสานตม) ศาลาหลังเก่า หอระฆัง ศาลาหอฉัน ในปัจจุบัน หลวงปู่ลี


สภาพทั่วไป และธรรมชาติอันร่มรื่นภายในวัดป่าสานตม 117 กุฏิพระสงฆ์ ประตูทางเข้าวัดป่าสานตม พระธุดงคกรรมฐานออกเที่ยวจาริกหาที่สงบวิเวกในเขตจังหวัดเลย สมัยก่อนท่านมักจะมาพัก ภาวนา ณ วัดป่าสามตมที่แห่งนี้ และเคยเป็นสำ�นักของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านเป็นพระเถระศิษย์ องค์สำ�คัญอีกรูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เมื่อครั้งที่องค์หลวงปู่ลี ท่านได้มาพักปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสานตมแห่งนี้ มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งขณะ ที่ท่านกำ�ลังนั่งภาวนาอยู่ในสมาธิธรรม ปรากฏว่ามีผ้าขาว(นาค) มาร้องตะโกนโวยวายเสียงดังลั่นไปทั่ว บริเวณวัดด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก เสียงร้องว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ ช่วยด้วยๆ ๆ มีคนมาเผาศาลา จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมาองค์ท่านจึงไม่ชอบให้ใครมาร้องตะโกนหรือทำ�เสียงดังอึกทึกครึกโครม เป็นการทำ�ลายความสงบของครูบาอาจารย์พระเณร ที่ท่านกำ�ลังปฏิบัติจิตอยู่ หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ในอดีตครั้งหนึ่ง ระหว่างฤดูแล้ง องค์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ท่านเคยพาลูกศิษย์ศรัทธา ญาติโยมมาทอดผ้าป่าถวายแด่องค์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดป่าสานตมแห่งนี้


ประวัติการจำาพรรษา 118 พรรษาที่ ๒๖ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ จำ�พรรษ�ที่ดงสีชมพู (วัดป่�ด�นวิเวก) อ.โซ่พิสัย จ.บึงก�ฬ ในปีนี้มีหลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านได้จำ�พรรษา ณ ดงสีชมพูแห่งนี้ และมีหลวงพ่อปรีดา ฉันทกโร (พระอาจารย์ทุย) ได้มาอยู่ร่วมจำ�พรรษาด้วย ดงสีชมพู ซึ่งสมัยก่อนนั้นยังเป็นดงหนาป่าทึบอยู่มาก และเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ถ้าหาก พระธุดงค์องค์ใดที่ไม่ชำ�นาญทาง หรือไม่คุ้นเคยกับดงแห่งนี้พวกชาวบ้านริมดงเขาจะพากันห้ามไม่ให้ ท่านเดินทางไปต่อ เพราะยิ่งไปองค์เดียวเขาเกรงว่าจะหลงทาง ไม่สามารถจะข้ามดงไปได้ในเวลาค่ำ�มืด ถ้าพักค้างคืนในดงจะต้องตายแน่ เนื่องจากอันตรายจากสัตว์นานาชนิด เช่น เสือ ช้าง หมี หมูป่า ฯลฯ สัตว์ร้ายเหล่านี้ชุกชุมมาก พระกรรมฐานครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ถ้าหากจำ�เป็นจะต้องผ่านเส้นทางนี้ ท่านจะเดินมุ่งหน้าไปด้วยความระมัดระวังจิตของท่านไม่ให้ส่งออกภายนอกเลย กำ�หนดความรู้ พุทโธ ติดแนบแน่นกับจิต เดินทั้งวันตั้งแต่ฉันจังหันเสร็จ ยามเมื่อหิวกระหายน้ำ�ก็ได้อาศัยน้ำ�ตามหนองซึ่งสัตว์ ป่าลงกิน ทั้งอุจจาระปัสสาวะใส่ ฉันพอทาคอ เพราะการเดินทางนั้นไม่ได้เอาน้ำ�ไปด้วย เอาไปแต่กระบอก กรองน้ำ� ครูบาอาจารย์ท่านทำ�อย่างนั้น ถ้าจะเอาน้ำ�ไปด้วยแล้วก็จะฉันแต่น้ำ�เมื่อหิว แล้วการเดินทาง จะไปได้ไม่ไกล น้ำ�จะลงพื้น เท้าจะพองเดินไม่ได้ ฉะนั้น ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านจึงไม่เอาน้ำ�ติดตัว ไปด้วย เพื่อจะได้ลดน้ำ�หนักในการเดินทาง เฉพาะบริขารที่จำ�เป็นก็หนักพอแล้ว ปัจจุบัน ที่ดงสีชมพูแห่งนี้มีวัดป่าดานวิเวก เป็นศูนย์รวมครูบาอาจารย์และมีพระกรรมฐานจากทิศ ต่างๆ เป็นจำ�นวนมาก ได้หลั่งไหลเดินทางมาเพื่อศึกษาอบรมข้อวัตรปฏิปทา และพักปฏิบัติธรรมกับ หลวงพ่อปรีดา ฉันทกโร (พระอาจารย์ทุย) หลวงพ่อปรีดา ฉันทกโร สถูปศิลามหามงคล กุฏิสำหรับรับรองพระเถระ(หลวงปู่ลี, หลวงปู่คำ ตันเคยมาพัก)


119 พรรษาที่ ๒๗-๒๘ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ - ๒๐ จำ�พรรษ�ที่วัดป่�บ้�นต�ด อ.เมือง จ.อุดรธ�นี ในปีนี้ได้มาจำ�พรรษาอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มหาวิทยาลัยธรรมะป่า วัดป่าบ้านตาด “มหาวิทยาลัยป่า” หลวงตาก็เคยปรารภ ท่านเคยพูด มหาวิทยาลัยป่า คือ เป็นสถานที่ฝึกหัด ดัดนิสัย พระที่จะดำ�รงทรงศาสนา ทรงมรรค ทรงผล ผู้เหล่านี้จะต้องมาศึกษาอยู่ในป่าดงพงไพร อยู่ใน ถ้ำ�เงื้อมผา ในที่สงบสงัด ท่านว่านี้ละคือ มหาวิทยาลัยป่า ที่นี้ หลวงตามหาบัวนี่ท่านเคยผ่านมาแล้ว ท่านประกาศตัวของท่านเองแล้วว่า เราเคยผ่านมาแล้ว เราหมดความสงสัยแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว สรุปแล้วก็คือ ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วจาก กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ อันนี้ท่านก็เคยพูด บอกว่าตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา ตั้งแต่วัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นต้นมา ไม่มีกิเลสตัวไหนจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น จะทำ�ให้เราเป็นที่ระคายเคืองไม่มี มันหมดจริงๆ แม้แต่ขนาดวันวาน วันก่อนนี้ ท่านนั่งอยู่ “ธาตุขันธ์ของเราอ่อนแอ แต่ใจของเราไม่มีอะไรนะ ในใจของเราไม่มีอะไรนะ” ท่านยืนยันนะ พูดบางทีท่านก็เหนื่อยนะ ขนาดท่านเหนื่อย ท่านก็ยังประกาศว่า “ใจของเราไม่มีอะไร จิตของเราไม่มีอะไร หมด” อันนี้คือความยืนยันของท่าน นาทีไหนก็นาทีนั้น


ประวัติการจำาพรรษา 120 หลวงตาท่านบอกคำ�ว่า มหาวิทยาลัย นี้คือท่านสอนธรรมะ ในธุดงค์อย่างนี้ ให้ปฏิบัติอย่างนี้นะ เข้าไปอยู่ป่า ให้ดูใจตนเองนะ ให้มีสตินะ สติสำ�คัญนะ สติสัมปชัญญะนะ สติเป็นกุญแจดอกสำ�คัญ อยู่ ณ สถานที่ใดก็ตาม อย่าให้ปราศจากสตินะ อันนี้ก็คือธรรม คำ�สอนของหลวงตา เมื่อเข้าไปอยู่ในป่าดงพงไพร เมื่อสติอยู่กับตัวเอง เมื่อจิตของเราเป็นสมาธิดีแล้ว จากนั้นก็เดิน ปัญญาวิปัสสนา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นบ่อเกิด เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็อยู่ในใจของเรา ทั้งหมด ถ้ามีสติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วก็จะมองเห็นได้ ดังนั้นก่อนที่จะมองเห็นได้ ท่านก็บอกว่า จิตอยู่ในที่วุ่นวาย สับสนวุ่นวาย คลุกคลี ตีวง พลุกพล่าน เสียงอะไรอย่างนี้ มันจะไม่เหมาะสมที่จะไป เสาะแสวงหามรรคผล เพราะฉะนั้นท่านจึงว่า ป่านี้เป็นมหาวิทยาลัยที่จะค้นคว้าศึกษา และก็ยกตัวเองให้พ้นจากทุกข์ใน วัฏฏะสงสาร ถึงแดนพระนิพพานได้คือป่า เป็นที่วิเวก วังเวง เป็นที่สงบ สงัด อันนี้คือมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทางโลกเขาคือ ศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก แต่มหาวิทยาลัยของพระของ พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกท่าน คือ ป่า ป่าดงพงไพรที่สงบ ที่สงัด ที่วิเวก ท่านก็ปลีกตัวอยู่ตาม ลำ�พัง ดูใจของตนเองให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในการเคลื่อนไหวของใจ ของตัวเอง นั่นละมรรค ผล นิพพาน อยู่จุดนั้น ผู้เช่นนั้นแล ผู้จะรื้อภพ รื้อชาติ จะไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารอย่าง ที่องค์หลวงตาว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว เราไม่เกิดอีกแล้ว หลวงตาท่านประกาศ อาตมาเองได้พูดกับโยมเมื่อเช้านี้นะว่า อาตมาน่ะเลือกครูบาอาจารย์ การจะปฏิบัติธรรมนี้นะ อาตมาว่าครูบาอาจารย์เป็นอันดับหนึ่ง สถานที่เป็นอันดับสอง เรื่องอย่างอื่น อาหาร การบริโภคอุดม สมบูรณ์ขาดแคลนหรือบริบูรณ์ ก็เป็นอันดับที่รองๆ ลงมา สี่ ห้า หก แต่เรื่องครูบาอาจารย์นี้เป็นเรื่อง ที่จำ�เป็นและสำ�คัญอย่างมากที่จะต้องเข้าไปศึกษา ศึกษาแล้วเราจะเลือกอย่างไร เลือกไปอยู่กับครูบา อาจารย์ พอเลือกเข้าไปฟัง แล้วเราจะรู้ได้ จากนั้นถ้าเรา ไม่มั่นใจ เราก็อ่านตำ�รับตำ�ราในพระไตรปิฎก มันจะไม่ฝืนกัน ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ถึงจะเป็นแนวคิด แต่ไม่ฝืนกัน แต่เหตุผล มันเข้ากัน อย่างที่หลวงตาบอกว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” อย่างนี้ แต่ตามที่จริง “สมาธิอบรมปัญญา” ได้ยินที่ไหนๆ ก็สมาธิอบรม ปัญญา แต่หลวงตาบอกว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” นี่มันฝืนกัน แล้ว แต่เมื่อเรามาพิจารณาตามที่หลวงตาอธิบายว่า ที่ปัญญา อบรมสมาธินั้นคืออะไร คือต้องใช้ความคิด ซึ่งสมาธิอบรม ปัญญา คือทำ�จิตให้สงบ ทำ�จิตให้นิ่ง พอนิ่งก็นำ�มาพิจารณา วิปัสสนา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้คือ สมาธิอบรมปัญญา แต่ว่าปัญญาอบรมสมาธินี้ทำ�อย่างไร หลวงตาท่านบอกว่า ปัญญาอบรมสมาธินี้ พอนั่งสมาธิภาวนาแล้วจิตมันจะปรุงออก คิดๆ มันเอาไม่อยู่ ในเมื่อมันเอาไม่อยู่ ก็ให้ความคิดนั้น


121 พิจารณาให้ดูให้ดูกะโหลกศีรษะตนเอง ดูกระดูกศีรษะเป็นลักษณะอย่างไร ให้เราดูกะโหลกศีรษะ ให้ พิจารณาโครงกระดูกของมนุษย์ ให้เห็นแล้วก็น้อมเข้ามาสู่ตนเอง ว่าข้าพเจ้าเป็น อย่างนั้นไหม กะโหลกศีรษะนะ ขากรรไกรนะ ฟันนะ จมูกนะ กำ�หนดดูตนเอง ให้มันเป็นอย่างนั้น กระดูกคอนะ กระดูกไหปลาร้านะ กระดูกแขนขวานะ ข้อศอกนะ ฝ่ามือนะ นิ้วมือนะ เล็บนะ แต่ละนิ้วนะ มันเป็นลักษณะอย่างไรแต่ละอาการ กระดูกหลัง กระดูกซี่โครง ดู ดู ดู จนถึงกระดูกเชิงกราน กระดูก ขา กระดูกหัวเข่า กระดูกแข้ง กระดูกฝ่าเท้าทั้งสองข้าง ดูแบบช้าๆ สังเกตให้เห็นชัดเจน พอดูแล้วก็ ย้อนกลับมาอีก ดูแล้วก็ย้อนกลับมาอีก แล้วในความรู้สึกของเรานะ เราเห็นตรงไหนที่มันชัดในกระดูกที่ เรามอง ที่มองเราย้อนกลับไปกลับมาหลายครั้ง มันจะมีจุดหนึ่งที่มันชัด เมื่อเราเห็นกระดูกซี่โครง หรือกระดูกสันหลัง หรือกระดูกศีรษะมันชัด เห็นมันชัด เราก็เอาสติของเราจับเข้าไปตรงที่มันชัด ในความรู้สึกเราในขณะนั้นนั่นแหละ จิตของเราจะ เข้าสู่ความสงบ อันนี้แปลว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” ต้องใช้ความคิดเสียก่อน พอคิดๆ ไปแล้วก็ใช้สติจ่อ อยู่ที่กะโหลกศีรษะของเรา จ่อแล้วไม่ต้องขยับ ในเมื่อมันเห็นชัดเจนตรงนี้ สติจับอยู่ตรงนี้ตรงเดียว จิตจะเข้าสู่ความสงบ อันนี้คือสมาธิ ต้องใช้ความคิดเสียก่อน ตะล่อมความคิดเสียก่อนให้มันหลุด ใช้ปัญญาตะล่อมไปตะล่อมมา จิตก็รวมได้เช่นกัน อันนี้ละ ปัญญาอบรมสมาธิ เหตุผลของท่านเถียง ไม่ขึ้นเลย ถูกต้อง ในเมื่อปฏิบัติดูแล้ว ถูกต้องที่หลวงตาพูด อันนี้ก็ถือที่หลวงตาแนะนำ�สั่งสอน และหลวงตาก็สั่งสอนศิษย์ ครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ หลวงตามหาบัว พร้อมด้วยพระสงฆ์วัดป่าบ้านตาด เมตตาออกรับบิณฑบาตโปรดสาธุชน


ประวัติการจำาพรรษา 122 การได้พบหลวงปู่ลี กุสลธโร เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๑๒ ที่วัดป่าหนองบัวบาน ข้าพเจ้าในตอน นั้นก็มีอายุพรรษาเพียง ๔ พรรษา ในที่สุดได้เข้าไปที่วัดป่าหนองบัวบานดังกล่าว แต่ไม่พบหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เพราะท่านมีศาสนกิจทางกรุงเทพฯ เผอิญได้พบหลวงปู่ลี กุสลธโร ศิษย์ผู้ใหญ่ของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาในขณะนั้น เดิน ทางไปเยี่ยมญาติโยมที่หนองบัวบาน กำ�ลังเดินทางกลับเข้าไปวัดป่า บ้านตาด ก็เลยถือโอกาสขอติดตามท่านเข้าไปกราบคารวะตามที่ หลวงปู่หล้า และคุณแม่ชีแก้วได้สั่งกับข้าพเจ้าไว้ก่อนหน้านั้น หลวงปู่ลี กุสลธโร (ภูผาแดง) ท่านก็บอกว่า “วันนี้ผมจะเข้าไป กราบพ่อแม่ครูอาจารย์” ท่านก็มีตาปะขาวน้อยคนหนึ่ง แล้วก็มีเณรคน หนึ่ง เราก็พูดกับท่านว่า “ครูอาจารย์ กระผมขอไปด้วย จะขัดข้องไหม” หลวงปู่ลี บอกว่า “ได้ ไปได้ ไปด้วยกัน” อาตมาก็เลยไป แต่พอเข้าไปทีแรกโดนหลวงตาขู่เลย ซะงั้น หลวงตาไม่ใช่ธรรมดา หลวงตาขู่เลยนะ ดุเลย ไม่ไว้หน้าใครทั้งหมด ท่านเห็น ท่านก็ว่า “มาอย่างไรพระ ไปเที่ยวทางไหนมา ไปทางไหนมา พระถ้ามา เที่ยวเถลไถล ไปนู้นไปนี้มา ไม่มีกฎมีเกณฑ์ เราไม่อยากจะรับ” “เป็นพระต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ต้องอยู่ในหลักธรรม หลักวินัย ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ ไปหาเที่ยว ที่โน่นที่นี้ไปเรื่อย ไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์ พระไม่มีกฎมีเกณฑ์ เราไม่รับ เราไม่อยากจะยุ่งด้วย พระอย่างนั้น” ท่านขู่ไว้อย่างนั้น พอต่อมาเราก็เห็นว่านี่แหละครูบาอาจารย์ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องขับเข้ากฎเกณฑ์ กิจวัตร ข้อวัตร ปัดกวาด ศาลา ตักน้ำ� เป็นระเบียบหมด พระทุกองค์ต้องอยู่ในระเบียบ เลๆ ลาดๆ ไม่ได้ แล้วถ้า องค์ไหนทำ�ผิด ก็อย่าให้เห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้าเห็นเป็นครั้งที่สอง ต้องหนีแล้วนะ อย่าให้หนักวัดนะ อย่�ให้ได้ไล่นะ เข้าใจไหม” “ถ้าอย่างนั้น อย่าให้เห็นครั้งที่สองนะ ถ้าเห็นนี้ไล่หนีนะ” โห ทุกองค์ที่อยู่นี้ก็ต้องเนี๊ยบละซิ นี่แหละหลวงตาสอนศิษย์ หลวงปู่หล้าเป็นปู่สอนหลาน แต่หลวงตามหาบัวเป็นอาจารย์สอนศิษย์ แปลว่าเด็ดขาด แต่ทุกวันนี้ท่านปล่อยแล้ว ท่านอายุมากแล้ว


123 แต่สมัยก่อน โห พระสมัยก่อนมีอยู่ ๑๖ องค์ ในช่วงสมัยอาตมาอยู่กับท่าน ถือว่าน้อยมาก ท่านไม่รับใครอีกต่างหาก แล้วก็มีพระฝรั่งอีก ๖-๗ องค์อีกต่างหาก พระฝรั่งมีท่านเชอรี่ ท่านปัญญา ท่านฟิลลิป ท่านดิ๊ค ท่านเอียน ท่านแพท พระฝรั่งตั้ง ๖-๗ องค์ แต่พระฝรั่งท่านก็ไม่ได้เข้มงวด ท่านก็บอกว่า พระไทยอย่าไปทะเลาะกับพระฝรั่งนะ เพราะเขาข้ามน้ำ�ข้ามทะเลมา นิสัยกิริยา มรรยาท มันก็แปลกแตกต่างกัน จะให้เหมือนพระไทยเป็นไปไม่ได้ เราเป็นพระไทยก็ต้องยืดหยุ่น อันนี้เราก็ต้อง ยืดหยุ่น ก็เราก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับพระต่างประเทศเท่าไร ถ้าไม่ผิดต่อหลักธรรมวินัยจริงๆ เพราะว่า เขาข้ามน้ำ�ข้ามทะเลมา เขามาทำ�ได้ขนาดนี้ก็นับว่าดีแล้ว เขาไม่มีพื้นเพมาแบบพวกเรามาก่อน อาหาร การบริโภคการอยู่มันก็ต่างกัน กิริยา มรรยาท วัฒนธรรม มันก็ต่างกัน ถึงเขาได้ขนาดนี้ก็เอา มันก็ พอแล้วละ หลวงตาท่านก็สอนพวกพระไทย สรุปแล้วหลวงตากับพระจะเข้มงวดกวดขันกันในสมัยก่อนเพราะมันน้อยติวเข้มเลย บางทีหลวงตา ท่านเห็นพระ บางทีท่านก็ดุ แต่ว่าบางองค์ก็ไม่ทันคิดว่าตัวเองทำ�ผิดใช่ไหมล่ะ แต่หลวงตาดุ มันก็เสียใจ ใช่ไหมละเมื่อโดนดุ ซึ่งจริงๆ เป็นกุศโลบายเพื่อสอนลูกศิษย์องค์อื่นด้วย แต่ทีนี้องค์ที่โดนดุมันเจ็บละซิ องค์ที่โดนดุนี้มันเจ็บ พอโดนด่าเท่านั้นละ องค์อื่นเป็นพี่ๆ ได้พูดให้กำ�ลังใจว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตรงนี้มันผิด แต่หลวงตาด่าไปแล้วละ ไม่ต้องเสียใจท่านสอนพวกเราด้วยกัน พวกเราผิดด้วยกันในจุดนี้ พวกเราก็ไม่รู้จุดนี้ ท่านด่าที่นี้ พวกเรา จะได้ระวังต่อไป คล้ายๆ มาบอกว่า ไม่ใช่ว่าผิดแค่เราคนเดียวนะ มันผิดกันทั้งหมู่นะ พวกหมู่ก็ไม่รู้นี่ พอพวกหมู่รู้ เออท่านเจ็บคนเดียว พวกเราก็จะได้ระวัง เออองค์นั้นเจ็บก็เจ็บไป แต่ไม่ต้องเสียใจนะ มัน ก็ผิดด้วยกันนั่นแหละ อันนี้คือ การดุ-การปลอบ” ท่านไม่เคยสอบจิตสอบอารมณ์ ท่านมีแต่สอบถามว่าเป็นอย่างไร ภาวนา ทำ�ให้พระ ที่เป็นลูกศิษย์ ภาวนาแล้วมันไม่ไปไหนมีหลายระดับ ถ้าพอถามแล้ว มันจะร้อนใจสำ�หรับผู้ภาวนา กลัวจะหนักใจ ครูบาอาจารย์ ทำ�ให้ท่านผู้ที่ถูกถามนั้นไม่สบายใจ บางทีหนีออกจากวัดก็มีในลักษณะอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่สอบ มีแต่แนะนำ�เท่านั้น เป็นกลางๆ แล้วก็ดูแนวประพฤติ ปฏิบัติ สอนแล้วเขาก็เป็นคนตั้งใจ ที่อยู่พระสงฆ์ จะทำ เป็นกระต๊อบเล็กๆ พอได้อาศัยเท่านั้น ธรรมชาติภายในวัดป่าบ้านตาด


ประวัติการจำาพรรษา ท่านไปตรวจสอบแต่ละวี่แต่ละวัน นานๆ ไปดูว่าร่องรอยทางเดินจงกรมเป็นอย่างไร ถ้าเห็นเขา เดินจงกรมอยู่ทางเดินเป็นมัน นี่ถึงอย่างไรเขายังสู้อยู่ เขายังปฏิบัติ ยังสู้อยู่ ภาวนาเป็นหรือไม่เป็น เขาก็ยังสู้อยู่ ก็นับว่าเขายังเป็นผู้มุ่งมั่น เป็นนักรบอยู่ แต่ถ้าไปดูแล้วเหลาะๆ แหละๆ ดูอะไรเศร้าหมอง ไปหมด นั่นแหละ โดนไล่บี้แล้ว อย่านะ หนีนะ เพราะฉะนั้นท่านจะเป็นผู้สังเกตเอง ถ้าไม่อย่างนั้นท่าน ก็ไม่เป็นครูบาอาจารย์ของเราหรอก ท่านก็ต้องบวก ลบ คูณ หาร ดูแล้วว่าอะไร ทั้งข้างนอก ข้างใน ดูข้างในแล้ว เอ้ ไปดูข้างนอกซิ ดูข้างนอกก็ยังฟ้องอีก ทั้งกิริยา มรรยาท เซ่อ ลอยอีก นั่นแหละท่าน จะซัดเลย (หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก เมตตาให้ข้อมูล ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ ) กุฏิหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ต่อมาได้บรูณปฏิสังขรณ์เรียบร้อยแล้ว กุฏิพระ ต้นโพธิ์ภายในวัด


125 พรรษาที่ ๒๙ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ จำ�พรรษาที่ ไร่สวน บ้านผาขาว อ.วังสะพุง จ.เลย จำ�พรรษาที่ ไร่สวน ของโยมพ่อใหญ่ถัน บ้านผาขาว อำ�เภอวังสะพุง จังหวัดเลย (ปัจจุบันเสนาสนะ และสิ่งก่อสร้างเพียงเพื่ออาศัยได้ชั่วคราวต่างๆ ได้พังทลายไปตามกาลเวลา หมดแล้ว กลายเป็นไร่อ้อย ไร่มันสำ�ปะหลังของชาวบ้านแถบนั้นไปหมดแล้ว) พรรษาที่ ๓๐ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๒ จำ�พรรษาที่วัดถ้ำ�หีบ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลังจากออกพรรษาแล้ว(ปลายปีพุทธศักราช ๒๕๒๑-๒๕๒๒) ได้ออกเที่ยววิเวกไปทาง บ้านลาด หอคำ� ตำ�บลนายูง กิ่งอำ�เภอน้ำ�โสม จังหวัดอุดรธานี ขณะนั้นไปพักภาวนาอยู่ที่ บริเวณป่าน้ำ�ตกยูงทอง ภูย่าอู่ ระหว่างนั้นมีพระที่ได้ออกร่วมธุดงค์ คือ พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก, พระอาจารย์ คำ�สด อรุโณ, พระอาจารย์นิพนธ์ อภิปสันโน, พระอาจารย์คำ�พันธ์ (ลาสิกขาบทแล้ว) พระธำ�รง ธัมมธโร (ปัจจุบันได้กลับคืนมาอุปสมบทอีกครั้ง) เมื่อถึงวาระลงอุโบสถก็จะมาทำ�พิธีสังฆกรรม โดยมีพระอาจารย์ คำ�สด เป็นผู้สวดปาฏิโมกข์ ที่วัดป่าโนนสว่าง บ้านปากราง พระอุโบสถ วัดป่าโนนสว่าง ในสมัยปัจจุบัน


ประวัติการจำาพรรษา 126 หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เคยจาริกแสวงหาสถานที่วิเวกตามเทือกเขาต่างๆ บริเวณอำ�เภอนายูงน้ำ�โสม จนท่านได้พบสถานที่สงัดซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาสูง มีหน้าผาหินทรายที่สูงชันเป็นเงื้อมผาและ ชะโงกหิน บริเวณผาแดงมีหลืบถ้ำ�เล็กๆ ซึ่งหลวงปู่มั่น เลือกเป็นสถานที่วิปัสสนากรรมฐาน วัดป่าโนนสว่าง เดิมคือ เสนาสนะป่าบ้านนาหมี-นายูง ที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ธุดงค์มาพักปฏิบัติ ธรรมภาวนาต่อจากวัดป่าดงมะไฟ ได้มีศิษย์ติดตามมาขอรับการอบรมธรรมปฏิบัติด้วยกับท่าน คือ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และหลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร เป็นต้น บ้านลาดหอคำ� ห่างจากน้ำ�ตกยูงทองไปทางทิศตะวันออก ประมาณ ๔-๕ กิโลเมตร (ยองภู) อยู่ในหุบเขาห่างไกลความเจริญมาก เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาพันธุ์ อาทิเช่น เสือ ช้าง หมี เก้ง หมูป่า ค่างเยอะมาก ได้ยินเสียงปืนดังมาจากริมแม่น้ำ�โขงสองฝั่งไทยลาว เพราะอยู่ใกล้ประเทศลาว เมื่อเวลา เครื่องบินโบราณของประเทศลาวบินผ่านมาเขตฝั่งไทยก็จะมองเห็นได้ชัดเจน ผาแดง – น้ำตกยูงทอง หลวงพ่อประธาน หลังเขาน้ำาตกยูงทอง ถ้ำาวิปัสสนา หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต


127 น้ำ ตกยูงทอง สภาพธรรมชาติในยุคปัจจุบัน บริเวณแห่งนี้เคยเป็นสถานที่พักบำ เพ็ญเพียรภาวนาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลายองค์ อาทิเช่น พระปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และหลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร


ประวัติการจำาพรรษา 128 องค์หลวงปู่ได้เที่ยววิเวกอยู่บริเวณป่าแถบนี้เป็นเวลานานพอสมควร แล้วท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปยัง สถานที่แห่งอื่นต่อไป ต่อมาเมื่อใกล้ถึงฤดูเข้าพรรษา ท่านจึงได้มาจำ�พรรษาที่วัดถ้ำ�หีบ ตำ�บลจำ�ปาโมง อำ�เภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี (มีหลวงปู่พงษ์ ธัมมาภิรโต และพระอาจารย์นิพนธ์ อภิปสันโน อยู่ร่วมจำ�พรรษาด้วย) ในพรรษานี้องค์หลวงปู่ลีท่านป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวาร เริ่มมีอาการกำ�เริบ ฝ่ายลูกศิษย์เขามี ตำ�รายารักษาโรคริดสีดวงทวาร จึงได้นำ�มาถวายเพื่อรักษาองค์หลวงปู่ อุบายธรรมของหลวงปู่ลี ที่ท่านได้เมตตาสอนหลวงพ่อนิพนธ์ อภิปสันโน เรื่องการติดต่อเกี่ยวข้อง กับญาติพี่น้องหรือชาติตระกูล ไว้ดังนี้ว่า “หากท่านทิ้งเขาไม่ได้ ท่านจะทิ้งท่านได้เหรอ” วัดถ้ำ�หีบ แต่กาลก่อนเคยมีหีบโบราณ อายุหลายร้อยปีตั้งอยู่ในบริเวณถ้ำ� จึงเป็นชื่อที่มาของ วัดป่าถ้ำ�หีบ ในกาลต่อมาโดยมีหลวงปู่พงษ์ ธัมมาภิรโต เป็นผู้ปกครองดูแลสถานที่แห่งนี้ ท่านเคยเป็น พระพี่เลี้ยงคอยให้คำ�แนะนำ�ต่างๆ แก่หลวงพ่อนิพนธ์ ในช่วงที่เป็นพระหนุ่มๆ จนในวาระสุดท้ายของ หลวงปู่พงษ์ ท่านได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบ และประชุมเพลิงสรีระสังขาร ณ วัดถ้ำ�หีบแห่งนี้ สิริ รวมอายุ ๘๖ ปี พรรษา ๔๑


129 พรรษาที่ ๓๑ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ จำ�พรรษาที่วัดปริตตบรรพต อ.วังสะพุง จ.เลย ณ ที่วัดปริตตบรรพต แห่งนี้นับเป็นครั้งที่ ๒ ที่องค์หลวงปู่ลี ท่านเมตตาย้อนกลับมาอยู่จำ� พรรษา เพื่อโปรดญาติโยมชาวบ้านกกกอก อีกครั้งหนึ่ง วัดปริตตบรรพต มีเนื้อที่ทั้งหมด ๗๐ ไร่ (เนื้อที่ในส่วนที่มีเอกสารสิทธิ์จำ�นวน ๑๕ ไร่) ปัจจุบันมี หลวงปู่สังข์ ฐานิสสโร อายุ ๙๕ ปี ๒๑ พรรษา เป็นประธานสงฆ์และคอยดูแลรักษา สถานที่แห่งนี้ ท่านได้อุปสมบท เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ ศาลาหอฉัน สร้างเสร็จเมื่อปี ๒๕๒๐ นับเป็นมงคลอย่างยิ่งที่ มีองค์หลวงปู่ชอบ ได้เมตตามาช่วยสร้างให้ สมัยก่อนวัดนี้สัตว์ป่าเยอะมาก เช่น เสือ ช้าง เก้ง หมูป่า ฯลฯ เพราะเป็นสถานที่ติดกับภูหลวง และอยู่ในอ้อมกอดแห่งขุนเขา ครั้งหนึ่ง พลเอกอาทิตย์ กำ�ลังเอก อดีตผู้บัญชาการทหารบก เคยนำ�กำ�ลังทหารมาปราบพวกลัทธิคอมมิวนิสต์ (ผกค.) เพื่อรักษา ความสงบของบ้านเมือง (ลัทธิคอมมิวนิสต์ คือ ลัทธิเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคม ที่ยึดหลัก ว่าการรวมกันของบรรดาทรัพย์สินทั้งหลายเป็นของกลางร่วมกันทั้งหมด เอกชนจะถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์มิได้) หลวงพ่อประธาน บนศาลาหอฉัน เดินข้ามสะพานไปก็จะถึง ศาลาหอฉัน


ประวัติการจำาพรรษา 130 พระประธานวัดป่าบ้านสวนกล้วย ศาลาวัดป่าบ้านสวนกล้วย เสนาสนะภายในวัดป่าบ้านสวนกล้วย พรรษาที่ ๓๒ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ จำ�พรรษาที่วัดป่าบ้านสวนกล้วย อ.ภูเรือ จ.เลย โดยในปีนี้มีพระภิกษุได้มาขอร่วมจำ�พรรษาด้วย ดังนี้ หลวงปู่ลี กุสลธโร (เป็นประธานสงฆ์) หลวงพ่อคำ�ผอง กุสลธโร (ปัจจุบันท่านละสังขารแล้ว) หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร (ปัจจุบันท่านพำ�นักอยู่ที่วัดถ้ำ�สหาย อำ�เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี) หลวงพ่อคำ�บ่อ กันตวีโร (ปัจจุบันท่านพำ�นักอยู่ที่วัดอุดมมงคล อำ�เภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก) พระอาจารย์อุทาน จารุธัมโม (ปัจจุบันท่านพำ�นักอยู่ที่วัดภูผาแดง) พระอาจารย์จันทร์เพ็ง (ปัจจุบันท่านพำ�นักอยู่ที่วัดป่านิโครธาราม จังหวัดอุดรธานี) หลวงปู่พันธ์ ฐิตธัมโม (ปัจจุบันท่านพำ�นักอยู่ที่วัดป่าสันติธรรม อำ�เภอเมือง จังหวัดเลย)


131 หลวงปู่มี ปมุตฺโต สถานที่ประชุมเพลิง พรรษาที่ ๓๓ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ จำ�พรรษาที่วัดดอยเทพนิมิต (ถ้ำ�เกีย) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี นับเป็นปีแรกที่พระเถระผู้ทรงธรรมทั้ง ๒ องค์ ได้มีโอกาสจำ�พรรษาร่วมกัน และท่านทั้งสอง ก็ยังเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันอีกด้วย หลวงปู่มี ปมุตโต สมัยที่ท่านยังเป็นฆราวาสนั้นมีศักดิ์เป็นพี่ชายของหลวงปู่ลี ในกาลต่อมา ท่านทั้งสองได้หันหน้าเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ อยู่ในเพศของสมณะผู้ปฏิบัติหวังเพื่อหลุดพ้นจากกิเลส ทั้งปวง โดยหลักธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้แล้วท่านทั้งสองจะเคารพกันตามอายุพรรษา ซึ่งองค์หลวงปู่ลี มีอายุพรรษามากกว่า ๑๘ พรรษา หลวงปู่ลี อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๙ ปี ในวันที่ ๓๐ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ หลวงปู่มี อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๔๘ ปี ในวันที่ ๒๐ เดือนพฤษภาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ การตั้งวัดดอยเทพนิมิต (ถ้ำ�เกีย) สมัยหนึ่งที่บ้านหนองบัวบานมีการเปลี่ยนแปลงที่สำ�คัญเกิดขึ้น เนื่องจากโครงการทำ�เขื่อนเก็บ กักน้ำ�ในพื้นที่บ้านหนองบัวบาน ซึ่งโครงการนี้ทำ�ให้หลวงปู่อ่อนได้ปรารภว่า พื้นที่ของวัดหนองบัวบาน อาจถูกน้ำ�ท่วมจมหายไปหมด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หลวงปู่อ่อนท่านก็ไม่ได้เตรียมรับสถานการณ์ต่อ โครงการที่อาจจะเกิดขึ้น เพียงแต่ได้ปรารภกับบรรดาลูกศิษย์ในวัดว่า ใครจะไปไหนก็ให้รีบไป ให้หาวัดอยู่ เพราะไม่แน่ไม่นอนว่าวัดหนองบัวบานจะถูกน้ำ�ท่วมจนจมเขื่อนหรือไม่


ประวัติการจำาพรรษา 132 ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำ�ให้บรรดาพระลูกศิษย์ของหลวงปู่อ่อนหลายรูป กราบลาท่านออกจากวัด หนองบัวบาน ซึ่งก็รวมถึงหลวงปู่มีลูกศิษย์ผู้อยู่จำ�พรรษากับท่านผ่านมา ๓ พรรษาแล้วด้วย เมื่อออก จากบ้านหนองบัวบาน ท่านก็ได้เที่ยววิเวกเรื่อยมากับท่านพระอาจารย์ยัง จนถึงบริเวณภูเขาน้อยๆ ลูกหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะที่ชาวบ้านเรียกว่า ภูกำ�พร้า * ซึ่งแต่ก่อนบริเวณภูเขาลูกนี้ท่านก็เคยเที่ยวลัดเลาะ ผ่านมาเมื่อครั้งยังเป็นนายพราน จากนั้นด้วยกุศลจิต ความศรัทธา ความเสียสละจากชาวบ้านเป็นเบื้อง ต้นในการให้ทาน ทั้งขวนขวายอนุเคราะห์ในการอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ สถานที่อันเงียบสงบ วิเวก บริเวณแห่งนี้ ต่อมาจึงเป็นที่พักปฏิบัติธรรมของครูบาอาจารย์ ปัญหาการขาดแคลนน้ำ�สำ�หรับใช้สอยอุปโภคบริโภค สถานที่แห่งนี้สำ�หรับเรื่องน้ำ�ที่ใช้ จะต้อง เดินลงไปถึงบ่อหน้าวัด ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากบริเวณกุฏิที่อยู่ แต่ด้วยชาวบ้านญาติโยมที่ทำ�ไร่อยู่บริเวณ นั้นมีกุศลจิตได้ขอปวารณาสละแรงช่วยเข็นน้ำ�ขึ้นมาถวายครูบาอาจารย์ได้ใช้อุปโภคบริโภคตามเห็น สมควร จากเริ่มต้นที่อยู่ที่อาศัยเป็นเพียงกระต๊อบเล็กๆ มุงหญ้าคา พอได้อาศัยหลบฝนบังแดดอยู่ไป ชั่วระยะ ถนนหนทางเดิมทีเคยอาศัยทางเกวียนเล็กๆ เป็นเส้นทางสัญจร ต่อมาก็ได้พัฒนาพื้นที่เป็น ถนนหนทางที่สะดวกในการคมนาคม ทั้งเพื่อวัดและเพื่อประชาชน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณ ใกล้เคียง เนื่องมาจากความเสียสละของชาวบ้านหลายคน ได้อุทิศที่ดินของตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เสนาสนะต่างๆ ที่เริ่มจะทรุดโทรมก็ได้เปลี่ยนมาเป็นกุฏิ ศาลา อันมั่นคงถาวรจากน้ำ�ใจของชาวบ้าน และแรงศรัทธาของญาติโยมทั่วไป ที่สำ�คัญได้อาศัยบุญบารมีของครูบาอาจารย์ จึงเป็นวัดที่สมบูรณ์ แบบขึ้นมาหรือเรียกกันว่า วัดดอยเทพนิมิต (วัดถ้ำ�เกีย) ดั่งที่เห็นในปัจจุบัน * ภูกำ�พร้า หมายถึง ภูเขาที่ตั้งอยู่ลูกเดียวที่ไม่มีเทือกเขาเชื่อมโยงกับภูเขาลูกอื่นๆ อีก วิหารพระนอน ศาลาวัดถ้ำาเกีย


133 สภาพทั่วไป และธรรมชาติภายในวัดถ้ำาเกีย ขนาดของศาลาวัดถ้ำ�เกียนั้นอาจจะดูว่าค่อนข้างใหญ่โต หลวงปู่มีท่านได้พูดเกี่ยวกับการก่อสร้าง ศาลาหลังนี้ว่า “หลวงปู่อ่อนเพิ่นว่า หลวงตาเกล้าต้องเฮ็ดศาลาหลังใหญ่ๆ ลูกศิษย์ซิหลาย” และก็ เป็นความจริงตามที่หลวงปู่อ่อนท่านทักเอาไว้เมื่อครั้งอดีต เพราะว่าเมื่อปี ๒๕๔๐ ศาลาวัดถ้ำ�เกียเป็น สถานที่ใช้สอยคอยต้อนรับญาติโยมที่มาจากทิศต่างๆ เพื่อทำ�บุญให้ทานไม่เคยเว้นในแต่ละวัน และศาลา ที่เห็นอยู่นี้ก็ไม่เคยว่างโหรงเหรงจากผู้คน อีกทั้งเทียบกับจำ�นวนพระเณร พื้นที่ของศาลาก็ไม่ถือว่าใหญ่ มากจนเกินไป เนื่องจากพระสงฆ์หลายสิบรูปต้องใช้พื้นที่นี้สำ�หรับปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ตั้งแต่อาศัยเป็น สถานที่ฉันจังหัน เป็นที่สวดมนต์ทำ�วัตร เป็นที่ประกอบสังฆกรรมต่างๆ และเป็นที่แสดงพระธรรมเทศนา อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณร ตลอดจนประชาชนทั่วไป ณ วัดถ้ำ�เกียแห่งนี้ก็มีเรื่องที่เป็นมหามงคลเกิดขึ้นอีกครั้ง คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เมตตาเดินทางมาเยี่ยมหลวงปู่มีที่วัดถ้ำ�เกียอยู่หลายครั้งหลายคราว ทั้งยังเมตตาแนะนำ�ให้ผู้มีศรัทธา ใคร่บวชในพระพุทธศาสนาบางคนเดินทางมาปฏิบัติธรรมเป็นศิษย์วัดถ้ำ�เกีย และปรารภถึงหลวงปู่มี ให้ญาติโยมที่มีจิตศรัทธาได้รู้จัก หลวงปู่มี พูดถึงเรื่องหลวงตามหาบัว อนุเคราะห์วัดถ้ำ�เกียไว้ว่า “เงินที่ให้ไป ไปย้ายกุฏิ เลาะศาลาหนีเด้อ หลวงตาเกล้า” และในเวลาที่ท่านพาพระเณรทำ�กุฏิ ท่านก็พูดด้วยความปีติดีใจอีกว่า “อาจารย์มหาบัวให้เงินมาสี่หมื่น ฟ่าวเฮ็ดตั้ว” แม้ว่าหลวงตามหาบัวจะมีความเมตตาต่อวัดถ้ำ�เกีย แต่ภาระหน้าที่ให้ความอนุเคราะห์ ทั้งพระเณร และญาติโยมในทุกสารทิศ ทำ�ให้ท่านไม่สามารถสละเวลามาเยี่ยมเยียนด้วยองค์ท่านเองได้ บ่อยครั้ง แต่ในทุกปีวันทำ�บุญระลึกถึงโยมมารดาขององค์หลวงตามหาบัว จะเป็นโอกาสอันดีที่หลวงปู่มี จะเดินทางไปร่วมบุญกับหลวงตามหาบัวที่วัดป่าบ้านตาดอยู่เสมอ


ประวัติการจำาพรรษา พรรษาที่ ๓๔ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ จำ�พรรษาที่วัดป่าหนองไฮ อ.เมือง จ.อุดรธานี


สภาพทั่วไป และธรรมชาติภายในวัดป่าหนองไฮ วัดป่าหนองไฮ มีเนื้อที่ ๑๕๐ ไร่ ลักษณะภูมิประเทศทั่วไปเป็นภูเขา มีสัตว์ที่อาศัยอยู่ภายในวัด ได้แก่ เหน ลิง กระรอก ไก่ ฯ ระยะทางเขตวัดห่างจากหมู่บ้านหนองไฮประมาณ ๑๘ เส้น ๖ วา หลวงปู่คำ�ดี ตันติปาโล เป็นผู้บุกเบิกตั้งวัดนี้ขึ้นในปี พุทธศักราช ๒๕๑๒ ในปีนั้นมีพระจำ�พรรษา ด้วยกันทั้งหมดจำ�นวน ๕ รูป ในช่วงที่หลวงปู่ลี กุสลธโร มาพักปฏิบัติธรรม ณ สถานที่แห่งนี้ ท่านได้สร้างเสนาสนะคือ กุฏิ ๒ หลัง เพื่อหวังให้เป็นประโยชน์ในพุทธศาสนาต่อไปในอนาคตข้างหน้า องค์หลวงปู่ได้มาจำ�พรรษาปี พุทธศักราช ๒๕๒๖ รวมระยะเวลาประมาณ ๗ เดือน ณ สถานที่แห่งนี้เคยมีพระกรรมฐานครูบาอาจารย์องค์สำ�คัญหลายองค์มักจะมาพักปฏิบัติธรรม อยู่เป็นระยะๆ อาทิเช่น ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๔ หลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม ได้มาพักและสร้างโบสถ์ เสร็จเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ก็เคยมาพักปฏิบัติธรรม (ช่วงนอกพรรษา) หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก เคยมาพักปฏิบัติธรรม (ช่วงนอกพรรษา) ปัจจุบัน พระครูบวรธรรมกิจ (หลวงพ่อผัน ฐิตโสภิโน) พรรษา ๔๑ เป็นพระครูชั้นโท ดำ�รงตำ�แหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าหนองไฮแห่งนี้


ประวัติการจำาพรรษา 136 ไปช่วยสร้างวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท) ปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ ปีนี้จำ�พรรษาอยู่วัดป่าบ้านหนองไฮ พอออกพรรษาแล้วองค์หลวงตา มหาบัว ได้สั่งให้ไปช่วยสร้างวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำ�เภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี มอบปัจจัยให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และสัมภาระเต็มรถ หม่อมราชวงศ์ทองศิริ ทองแถม (คุณชายป๋ำ� เป็นผู้ขับรถให้) องค์หลวงตาฯ สั่งว่าให้ไปสร้างกุฏิและเสนาสนะเอาไว้ เดี๋ยวผมจะเขียนจดหมายไปบอกท่านเจี๊ยะ จากนั้นท่านได้เรียกหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท มาหาที่วัดป่าบ้านตาด พอเสร็จธุระหลวงปู่เจี๊ยะกลับไปที่จังหวัด ปทุมธานี ทุกอย่างก็สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ลี ตั้งใจว่าจะไปจะช่วยงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำ�กลองเพล ก็เลยมาแวะพักที่วัดป่าบ้านตาดจึงได้มาช่วยสร้างห้องน้ำ�ที่หน้าศาลา พอหลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต ได้มาพบหลวงปู่ลี ก็เลยพูดว่า “ฮ่วยผู้เฒ่าป่านใด๋จะไปส่อยงานวัดถ้ำ�กลองเพล” (อ้าว ผู้เฒ่าเมื่อไหร่ จะไปช่วยงาน) จากนั้นหลวงปู่ลีก็ได้ไปช่วยงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว จนงานสำ�เร็จลุล่วงผ่านพ้นไปได้ ด้วยดี ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๗ ท่านพระอาจารย์บุญหลั่น กันโตภาโส ก็ได้เดินทางมากราบ อาราธนานิมนต์หลวงปู่ลีไปอยู่จำ�พรรษา ณ วัดป่าประสิทธิสามัคคี เพื่อโปรดเมตตาชาวบ้านต้าย อำ�เภอ สว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ส่วนทางหลวงปู่เจี๊ยะก็อยากจะให้หลวงปู่ลีไปอยู่ด้วยที่ปทุมธานีเหมือนกัน หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท หลวงปู่ลี กุสลธโร


ในปีนี้เป็นปีแรกที่หลวงปู่ลีได้มาจำ�พรรษา หลังจากที่ได้เมตตารับนิมนต์จากพระอาจารย์บุญหลั่น กันโตภาโส ท่านก็ได้ร่วมจำ�พรรษาด้วย เมื่อในอดีตที่ผ่านมาสถานที่แห่งนี้ ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ได้เป็นเจ้าอาวาสและอยู่พัก จำ�พรรษาที่นี่เป็นเวลานานที่สุด ซึ่งท่านได้มรณภาพด้วยประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ที่อำ�เภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ ๒๗ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๓ พร้อมด้วยพระคณาจารย์อีก ๔ องค์ คือ หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ และท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร พระอาจารย์บุญหลั่น กันโตภาโส พรรษาที่ ๓๕ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๗ จำ�พรรษ�ที่วัดป่�ประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ๕ พระบูรพาจารย์ พระกรรมฐานศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


ประวัติการจำาพรรษา 138 ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ กับหลวงปู่ลี ท่านทั้งสองเป็นสหธรรมิกซึ่งกันและกัน มีความสนิทสนม คุ้นเคยกันมานาน อีกทั้งยังเคยร่วมปฏิบัติธรรมและจำ�พรรษาด้วยกันหลายแห่ง เช่น ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม เคยจำ�พรรษาร่วมกันกับหลวงปู่ลี กุสลธโร เมื่อสมัยครั้งอยู่เสนาสนะป่าบ้านห้วยทราย อำ�เภอคำ�ชะอี จังหวัดมุกดาหาร ภายใต้ร่มธรรมขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นผู้ให้การอบรมด้านจิตตภาวนา จากนั้นใน ระยะโอกาสต่อมาปีพุทธศักราช ๒๔๙๘ ก็ได้ไปอยู่ที่สถานีทดลองการเกษตร (วัดชากใหญ่) จังหวัด จันทบุรี ปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ เคยร่วมจำ�พรรษาที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ปีพุทธศักราช ๒๕๐๖ เคยร่วมจำ�พรรษาที่วัดถ้ำ�กลองเพล จังหวัดหนองบัวลำ�ภู ฯลฯ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม (ที่มาของชื่อ ท่านอุปคุต) ครั้งหนึ่ง ณ วัดป่าอุดมสมพร อำ�เภอ พรรณานิคม จังหวัดสกลนคร วันหนึ่ง หลวงปู่ฝั้น อาจาโร กำ�ลังแสดงพระธรรม เทศนาอบรมลูกศิษย์ ตั้งแต่ช่วงค่ำ�จนถึงเวลา ดึกสงัด ขณะนั้นท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ ท่านกำ�ลังรู้สึกเพลียและมีอาการง่วงนอนเป็น อย่างมาก จนถึงกับพลาดตกศาลาลงไปเสียง ดังม�ก พอรุ่งเช้าวันต่อมา มีเด็กน้อยที่มาวัดได้เอ่ยปากถามแม่ด้วยความไม่ประสาว่า เมื่อคืนเสียงอะไร ดังเหรอ (ส่วนแม่ของเด็กคนนั้นเกรงว่าพระท่านจะอาย ก็พยายามบอกลูกว่า อย่าพูดๆ ) เมื่อหลวงปู่ฝั้น ท่านได้ยินดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า ไม่มีอะไรหรอกโยม พระท่านปราบมารเฉย ๆ หรอก นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ พระอุปคุต ซึ่งองค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านมักจะเรียกชื่อนี้เสมอๆ


139 รายชื่อพระ-เณร ที่จำ�พรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๒๗ ณ วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี บ้านต้าย ตำ�บลบ้านต้าย อำ�เภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ๑. หลวงปู่ลี กุสลธโร อายุ ๖๒ พรรษา ๓๕ ๘. พระสี วรธัมโม ๒. พระบุญหลั่น กันโตภาโส ๙. พระคำ� โชติปุญโญ ๓. พระวิชัย กันโตภาโส ๑๐. พระสมพงษ์ อนุตฺตโร ๔. พระประสงค์ สุจิตโต ๑๑. สามเณรสมพัฒน์ ๕. พระดาหวัน ตาณรโต ๑๒. สามเณรระนอง ๖. พระชินตา ชินวังโส ๑๓. สามเณรมนตรี ๗. พระกองสิน สีลสุทฺโธ สภาพธรรมชาติ บรรยากาศทั่วไปภายในวัดป่าประสิทธิ์สามัคคี พิพิธภัณฑ์อัฐบริขาร พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม กุฏิรับรองพระเถระ


ประวัติการจำาพรรษา 140 พรรษาที่ ๓๖ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ จำ�พรรษาที่วัดป่าบ้านสวนกล้วย อ.เมือง จ.เลย ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ หลวงปู่ลี เมตตามาโปรด ชาวบ้านสวนกล้วย ปีนี้มีพระร่วมจำ�พรรษ� ดังนี้ หลวงปู่ลี กุสลธโร (ประธานสงฆ์) หลวงพ่อนิพนธ์ อภิปสันโน หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ พระอาจารย์จันทร์เพ็ง พระอาจารย์อุทาน จารุธัมโม สภาพธรรมชาติ และบรรยากาศทั่วไปภายในวัดป่าบ้านสวนกล้วย


141 ท่านเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี มาเติบโตและเรียนหนังสืออยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ต่อมาทำ�หน้าที่การ ง�นประสบแต่ความผิดหวัง หมดอาลัยในชีวิต ญาติพี่น้องและครูบาอาจารย์ก็เลยแนะนำ�ว่า ให้ลองบวช เพื่อทดแทนบุญคุณบิดามารดา เมื่อลาสิกขาแล้วจะได้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไม่ประสบความ ผิดหวัง ท่านจึงคิดจะบวชลองดูสักระยะหนึ่ง เผื่อว่าจะดีอย่างที่แนะนำ� ญาติพี่น้องจึงได้พาท่านมาบวช กับหลวงปู่จันทร์ศรี ที่วัดโพธิสมภรณ์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ ขณะอายุได้ ๒๙ ปี (ปัจจุบันอายุ ๖๖ ปี) แล้วไปอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าหนองแซง อำ�เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ในช่วง ๑๕ วันสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่บัว สิริปุณโณ จะละสังขาร ได้รับโอวาทธรรมจากครูบาอาจารย์ที่สำ�คัญๆ ได้แก่ พระ อาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร หลวงปู่จันทา ถาวโร พระอาจารย์คำ�สด อรุโณ พระอาจารย์พงษ์ ธัมมาภิรโต ได้ตั้งใจปฏิบัติบำ�เพ็ญภาวนาจนจิตใจได้รับผลแห่งการปฏิบัติ เกิดความสงบระงับจึงเลิกคิดที่จะลาสิกขา มุ่งมั่นพากเพียรเพื่อความเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา พักภาวนาในสถานที่วิเวกกับครูบาอาจารย์ หลายแห่ง เช่น หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ, หลวงปู่เพียร วิริโย, หลวงปู่ลี กุสลธโร เป็นต้น ท่านได้ติดตามหลวงปู่ลีออกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ และอยู่ศึกษาอุบายในการปฏิบัติธรรมกับ ท่านเป็นเวลานานถึง ๙ ปี จากนั้นได้ไปบุกเบิกริเริ่มตั้งวัดป่านาคำ�น้อย อำ�เภอนายูง จังหวัดอุดรธานี วัดป่านาคูณ อำ�เภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และวัดป่าบ้านใหม่ เมืองพาน อำ�เภอบ้านผือ จังหวัด อุดรธานี อยู่จำ�พรรษาเป็นเวลา ๑๗ ปี แล้วต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่วัดป่าศาลาน้อย อำ�เภอด่านซ้าย จังหวัด เลย ดังนั้นท่านจึงเป็นครูบาอาจารย์สำ�คัญรูปหนึ่งที่ช่วยทำ�นุบำ�รุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรสืบไป พระอาจารย์นิพนธ์ อภิปสันโน เจ้าอาวาสวัดป่าศาลาน้อย อำ�เภอด่านซ้าย จังหวัดเลย


ประวัติการจำาพรรษา 142 พรรษาที่ ๓๗ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ จำ�พรรษาที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ในปีนี้หลวงปู่ลีท่านได้จำ�พรรษาอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สภาพธรรมชาติอันร่มรื่น และบรรยากาศทั่วไปภายในเขตสงฆ์ วัดป่าบ้านตาด เหมาะสมในการแสวงหาที่วิเวก บำ เพ็ญเพียรภาวนา สำหรับผู้ต้องการความพ้นทุกข์


143 วัดป่าบ้านตาด ต้นธารธรรมของหลวงตา วัดแห่งนี้ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยจำ�นวนมาก นกและไก่ป่านานาพันธุ์ส่งเสียงร้องให้ได้ยิน ตลอดทั้งวัน แต่ที่น่าแปลกใจคือ วัดแห่งนี้มีสิ่งปลูกสร้างน้อยมาก อาคารที่ใหญ่ที่สุดภายในวัดคือ ศาลา การเปรียญเพียงหนึ่งหลัง ซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่า หลวงตาใช้ศาลาหลังนี้ทำ�กิจกรรมทุกอย่าง คือ ชั้นบนเป็นที่สำ�หรับให้พระสงฆ์ทำ�สังฆกรรม ส่วนชั้นล่างเป็นที่สำ�หรับฉันภัตตาหารเช้า แสดงพระธรรม เทศนา และปฏิสันถารกับญาติโยมที่มารอพบ หลวงตาอบรมพระเณรเสมอว่า ให้อยู่อย่างสันโดษ มักน้อยและใช้ปัจจัยสี่ญาติโยมถวายอย่างคุ้ม ค่าที่สุด กุฏิพระมีขนาดเล็กลักษณะเรียบง่าย พอกันแดดฝนได้เท่านั้น แม้แต่หลวงตาก็พักอยู่ในกุฏิชั้น เดียวใต้ถุนสูง ซึ่งทรุดโทรมจนต้องซ่อมหลายครั้ง จนถึงเวลาที่ท่านป่วยมากในช่วงปีหลัง ๆ คณะศิษย์ จึงได้พร้อมกันกราบขออนุญาตยกกุฏิให้สูงขึ้น ปรับให้มี ๒ ชั้น โดยชั้นล่างสร้างเป็นห้องปลอดเชื้อ ห้องนอนและ ทางจงกรม นับตั้งแต่วัดป่าบ้านตาดก่อตั้งในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ประชาชนต่างหลั่งไหลกันมาที่วัดเพื่อนมัสการ และฟังพระธรรมเทศนาจากองค์หลวงตา อีกทั้งยังได้บริจาคเงินและสิ่งของจำ�นวนมาก ซึ่งท่านก็ได้ นำ�เงินและสิ่งของเหล่านั้นไปมอบให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นจำ�นวนมาก ท่านยังสั่งให้สร้างโกดังสำ�หรับเก็บเครื่องใช้อุปโภคบริโภคไว้ภายในวัด เพื่อนำ�ไปแจกยังสถานที่ ต่าง ๆ ที่รอการอนุเคราะห์ เช่น ในวัดถิ่นทุรกันดาร โรงพยาบาล สถานดูแลเด็กพิการ เรือนจำ� ความเมตตาของหลวงตายังแผ่ไพศาลไปถึงสัตว์ชนิด ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณวัดป่าบ้านตาด อาทิเช่น กระรอก กระแต กระจง ไก่ เต่า กระต่าย นกยูง สุนัข ฯลฯ ซึ่งท่าน จะคอยสอดส่องให้พวกเขามีอาหารการกินอย่างเพียงพอ ส่วน สัตว์พิการและสัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง หลวงตาก็เป็นผู้สนับสนุนหลัก บริจาคเงินช่วยเหลือให้สถานสงเคราะห์ดูแลรักษาสัตว์หลาย แห่ง รวมแล้วเป็นเงินเดือนละหลายแสนบาท กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา วัดป่าบ้านตาดจึงเป็นต้นแบบ ของการรักษาปฏิปทาของวัดฝ่ายอรัญวาสี ซึ่งมีวัตรปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่การหลุดพ้นให้ยั่งยืนสืบไป และ เป็นต้นธารแห่งการให้ที่ยังความชุ่มชื่นแก่หัวใจผู้ให้ตราบนานเท่านาน


ประวัติการจำาพรรษา 144 องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านเคยปรารภเกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้าง วัดป่าบ้านตาด กว่าจะสำ�เร็จลุล่วงพัฒนาเป็นวัดที่ถาวรจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๐ ไว้ดังนี้ว่า * เศรษฐีธรรมเศรษฐีเงินอยู่ด้วยกัน อบอุ่นทั้งชาตินี้ชาติหน้า * วัดป่าบ้านตาด ใครจะเกินกระทิงแดงเราวะ ว่าให้มันชัดเจนอย่างนี้ ที่ไหนก็พูดไปหมดแล้ว ที่เรา เหยียบเรานั่งนอนอยู่นี้มากี่ปีแล้ว ใครเป็นคนสร้างขึ้นมา นี่กระทิงแดง เห็นไหมเนื้อที่ ๓๐๐ ไร่ ซื้อที่เขา เท่าไร เอาดินมาถมเต็มไปหมด ก่อกำ�แพงมากน้อยเพียงไร นี่เห็นไหมกระทิงแดง คุณเฉลียวกับคุณ ภาวนา พร้อมทั้งลูกๆ หลานๆ ครอบครัว ยกทัพมาใส่นี่ ศาลาเห็นอยู่นั้นใครสร้าง การสร้างศาลานี้ก็มาบอกชัดๆ เลย คราวนี้เป็นก็เป็น ตายก็ตายเท่านั้น มันไปไหนไม่รอดว่างี้นะ ขึ้นมาหาเราเรายังไม่ลืม ก็คุณเฉลียวเรานั่นละขึ้นมาหาที่กุฏิ วันนี้สละตายว่างั้นนะ ทำ�ไม ก็ไม้นี้สั่งจาก เวียงจันทน์มาได้ ๒ ปีแล้วมันจะเน่าแล้ว จะปลูกศาลาก็กลัวแต่จะดุๆ วันนี้ยอมตายเลย ดุก็ดุเถอะ อยาก สร้างศาลา ชี้แจงเหตุให้ทราบว่า คนกำ�ลังช่วยชาติเวลานี้หนาแน่น ฝนตกมาเปียกหมดเลย ทนดูอยู่ ไม่ไหว เอาไม้มานี้จะมาขอสร้างศาลาว่างั้นนะ จะสร้างนู้น หยั่งเสียงเรา จะสร้างนู้นฟากภูเสิงเคิง สังโฆ ไปนู้นนะ หยั่งเสียงไว้ เราฟังเหตุผลขึ้นแล้ว ทุกอย่างพอแล้ว เอ้อ เอาเหตุผลลงกันได้แล้วให้สร้างได้ ศาลาหลังนี้กะว่าจะเอาเท่าไรว่าซิ ความกว้าง ๑๕ เมตร ความยาว ๕๕ เมตร เราก็คำ�นวณดู เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาความกว้าง ๓๐ เมตร ความยาว ๖๐ เมตร สาธุ เสียงลั่นวัด แทนที่จะเสียใจ ไม่เสียใจนะ สาธุ สมใจแล้วที่นี่ นั่นละศาลาใหญ่ขึ้น เป็นใครสร้างศาลาใหญ่ขึ้นมานี้ วัดกว้างแสนกว้าง นี้ใคร ถมดินทั้งหมดมีแต่กระทิงแดงทั้งนั้นถม เป็นเงินสักกี่ล้านๆ ไม่รู้นะ แล้วกำ�แพงรอบหมด ทุกอย่าง ทำ�ให้เรียบหมดเลยเชียว เราไม่ได้ไปแตะเลย ทางนั้นสั่งทีเดียวสร้างให้เรียบหมด นี่ละวัดเราที่กว้าง ขวางนี้เพราะใคร ก็กระทิงแดงของเรา นี่ก็เศรษฐีธรรมเศรษฐีเงินอยู่ด้วยกัน อบอุ่นทั้งชาตินี้ชาติหน้า ตายๆ ไปเถอะคนเรา ถ้าลงมีสมบัติทั้งสองอย่างเต็มหัวใจแล้วไปเถอะว่างั้นเลย ไม่ต้องนิมนต์พระ มากุสลาก็ได้ บุญกุสลาให้พอแล้ว นอกจากนั้นยังส่งเงินมาเรื่อยกระทิงแดงนี่น่ะ ส่งเงินมาแต่ละทีๆ น้อยเมื่อไร เป็นล้านๆๆ นู่นน่ะ ตอนที่เรากลับมานี้ก็ ๕ ล้าน แน่ะ ส่งตามมาตั้ง ๕ ล้าน คิดดูซิน่ะ


145 ก็คงเห็นรายจ่ายของเรา เพราะรายจ่ายของเรามันเอาโลกเข้าว่าเลย กระจายหมดเลย ทางนั้นก็ ใส่ตูมเข้ามาทีละหลายๆ ล้าน ส่งมาเรื่อย เราไปกรุงเทพคราวนี้ก็ดู ๑๐ ล้านละมัง พอมานี้ก็ตามหลัง มาอีก ๕ ล้าน อย่างนั้นแล้ว ส่งอย่างเงียบๆ ทำ�อย่างเงียบๆ ไม่บอกใคร ถึงไม่บอกคนทำ�ก็ไม่ได้หลับหูหลับตาทำ�นี่ลืมตาทำ� ผู้รับก็ลืมตารับจะไม่เห็นกันได้ยังไงใช่ไหม มันก็เห็น เห็นแล้วปากก็ปิดไม่ได้ มันก็ต้องพูดละซิ พูดตามเรื่องให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ให้พากันเข้าใจ เอาไว้ เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม อย่าพากันขี้เกียจขี้คร้านตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ได้แก่กินเห็นแก่กอบ แก่โกย ไปที่ไหนคับแคบตีบตัน ไปอยู่โลกนี้ก็คับแคบไปโลกหน้าคับแคบ คนที่สร้างความดีงามไว้นี้เปิด ทางตัวเอง ทั้งสถานที่อยู่ที่อาศัยเครื่องเสวยนี้เป็นของทิพย์ทั้งนั้นๆ ไปอยู่ที่ไหนเป็นของทิพย์ทั้งหมดที่ ตนสร้างเอาไว้ พากันจำ�เอานะ เอาละพอ (สองสำ นักนี้ฝังใจไม่ลืม ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๐) ภาพถ่ายทางอากาศวัดป่าบ้านตาดยุคปัจจุบัน


ประวัติการจำาพรรษา 146 วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี เริ่มก่อสร้างเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ ได้รับอนุญาตให้สร้างวัดเมื่อ วันที่ ๘ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๓ กระทรวงศึกษาธิการประกาศตั้งวัดเมื่อวันที่ ๑๒ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๔ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๑ กำ�หนดเขต ๒๐ คูณ ๔๐ เมตร ที่ดินสร้างวัดเนื้อที่ ๕๑ ไร่ ๑ งาน ๙๘ ตารางวา ที่ดินของวัดเนื้อที่ ๑๘๔ ไร่ ๒ งาน ๗๘ ตารางวา รวมเนื้อที่ทั้งหมด ๒๓๖ ไร่ ๗๖ ตารางวา พรรษาที่ ๓๘ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ จำ�พรรษาที่วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ในปีนี้องค์หลวงปู่ลี ท่านเมตตาชาวบ้านต้ายจึงได้ย้อนกลับมาจำ�พรรษา ณ สถานที่แห่ง นี้อีกเป็นครั้งที่ ๒ รายชื่อพระ-เณร ที่จำ�พรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ ณ วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี บ้านต้าย ตำ�บลบ้านต้าย อำ�เภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ๑. หลวงปู่ลี กุสลธโร อายุ ๖๕ พรรษา ๓๘ ๖. พระสมหวัง โชติธัมโม ๒. พระพระวิชัย กันโตภาโส ๗. พระสารสิทธิ์ ฐิติญาโน ๓. พระประสงค์ สุจิตโต ๘. สามเณรนคร ๔. พระชั่ง โชติธัมโม ๙. สามเณรประยงค์ ๕. พระสงบ ปภาโส ๑๐. สามเณรเมตตา ศาลาหอฉัน วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี กุฏิที่หลวงปู่ลี เคยอยู่จำ พรรษา


147 ในปีนี้มีพระร่วมจำ�พรรษ� ดังนี้ หลวงปู่ลี กุสลธโร (ประธานสงฆ์) พระอาจารย์แหว(ปัจจุบันได้ย้อนกลับมาอุปสมบทอีก), พระอาจารย์คำ�บ่อ กันตวีโร, พระอาจารย์แดง (มรณภาพแล้ว) ณ สถานที่แห่งนี้ พระอาจารย์อุทัย (อ.ติ๊ก) ฌานุตฺตโม เจ้าอาวาสวัดป่า ห้วยลาด องค์ปัจจุบัน เคยถูกงูกะปะกัดทนทุกข์ทรมานจากพิษงูอย่างหนัก แต่ด้วยเดชะ บุญท่านได้รับความเมตตาธรรมจากองค์หลวงปู่ลี ช่วยรักษาให้หายจากอาการบาดเจ็บ ของพิษงู จนสามารถพ้นขีดอันตราย (โดยใช้สารส้มกับใบสาบเสือ) พรรษาที่ ๓๙ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ จำ�พรรษาที่วัดป่าห้วยลาด อ.ภูเรือ จ.เลย ศาลาเฉลิมพระเกียรติ ศาลาหลังเก่า


ประวัติการจำาพรรษา 148 ประวัติวัดป่าภูทอง เดิมที่วัดป่าภูทอง ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านภูดิน อำ�เภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เดิมเป็นวัดร้าง แต่ก่อนมีโบสถ์ร้างซึ่งไม่มีหลังคามีแค่เสาและใบเสมาทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งมีมาแต่ก่อนตั้งบ้านภูดิน-ภูทอง ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ป่าไผ่เป็นป่ารกทึบ มีครูบาอาจารย์สายกรรมฐานองค์สำ�คัญได้เคยมาเที่ยววิเวกบ้าง เป็นบางคราว อาทิเช่น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ , หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และครูบาอาจารย์อีกหลายองค์ เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๐๒ มีท่านพระอาจารย์บัวคำ� ได้มาพักภาวนาและได้นำ�พาชาวบ้านสร้าง เสนาสนะ เป็นกุฏิถาวร ๒ หลัง แต่ท่านไม่ได้จำ�พรรษา ซึ่งมีหลวงพ่อบัวทอง ได้มาจำ�พรรษาเป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๒-๒๕๑๐ หลังจากนั้นหลวงพ่อบัวทองก็ได้ออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานไป จำ�พรรษาที่อื่น ต่อมาก็เป็นวัดร้างอีกเพราะไม่มีพระมาอยู่ประจำ� ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ซึ่งท่านเป็นพระธุดงคกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มาพักปฏิบัติธรรมตามนิมิตที่มีเทวดาอาราธนานิมนต์ เมื่อองค์หลวงปู่มหาบุญมี มาอยู่แล้วท่านได้ไตร่ตรองพิจารณาสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลเรียบร้อยแล้ว จึงได้เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซมเสนาสนะต่างๆ และสร้างศาลา กุฏิถาวรขึ้นมาและอยู่จำ�พรรษาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๙-๒๕๓๐ รวมเป็นระยะเวลา ๑๒ ปี หลังจากนั้นก็ได้ย้ายไปจำ�พรรษาที่วัดศรีโพธิ์ทอง อำ�เภอ พนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด และย้ายมาอยู่ที่วัดป่าวังเลิง อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ท่านได้ อยู่โปรดศิษยานุศิษย์ ณ สถานที่แห่งนี้จนกระทั่งท่านได้ละสังขาร พรรษาที่ ๔๐ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ จำ�พรรษาที่วัดป่าภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ในปีนี้มีพระภิกษุจำ�พรรษาร่วมกันทั้งหมดจำ�นวน ๑๘ องค์ พระประธาน หลวงพ่อคูณ (เมตตาให้ข้อมูลในการทำหนังสือ)


149 ต่อมาหลวงปู่พงษ์ ธัมมาภิรโต ได้มาอยู่จำ�พรรษาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๐-๒๕๓๑ รวมเป็นระยะ เวลา ๒ ปี จากนั้นท่านก็ย้ายไปจำ�พรรษาที่วัดป่าถ้ำ�หีบ ตำ�บลจำ�ปาโมง อำ�เภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งต่อมาหลวงปู่ลี กุสลธโร ก็ได้เที่ยวธุดงค์มาพักปฏิบัติธรรมและอยู่จำ�พรรษาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ เป็นระยะเวลา ๑ พรรษา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ หลวงพ่อคูณ สุเมโธ ได้มาอยู่พักปฏิบัติธรรมและอยู่จำ�พรรษาจนกระทั่ง ถึงปัจจุบันนี้ เหตุที่ได้ชื่อ วัดป่าภูทอง วัดป่าภูทองในสมัยก่อนมีชื่อวัดคือ วัดป่าภูดิน ต่อมาหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร จึงได้ไปกราบเรียน ปรึกษาองค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เมื่อได้ยินดังนั้น หลวงปู่แหวนจึงได้บอกว่า ที่นั่นมีทองเยอะมากซึ่ง ฝังอยู่ใต้ดิน ฉะนั้นหลวงปู่มหาบุญมีท่านจึงได้เอาตามคำ�ปรารภของหลวงปู่แหวน มาตั้งเป็นชื่อ วัดป่าภูทอง มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ พระอุโบสถ ต้นค้อเขียว ศาลาวัดป่าภูทอง ในปัจจุบัน ต้นค้อเขียว ซึ่งหลวงปู่ลีเคยปลูกไว้เมื่อคราวที่มาพักจำ พรรษาที่วัดป่าภูทอง เมื่อหลวงปู่ลีมีโอกาสได้เจอกับ หลวงพ่อคูณ สุเมโธ ในงานที่ต่างๆ ท่านมักจะพูดถึงต้นค้อเขียวต้นนี้อยู่เป็นประจำ (ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักกี่ปี สัญญาความจำขององค์หลวงปู่ดีมาก และท่านมีนิสัยขยันรักการปลูกต้นไม้) กุฏิหลวงพ่อคูณ สุเมโธ หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร


Click to View FlipBook Version