(๓)
คือ ภายในวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กรณีจึงถือวาผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายตามขั้นตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ แลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองเพื่อขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไดนับแตวันถัดจาก
วันครบกาํ หนดเวลาดงั กลาว ศาลปกครองจงึ มีอาํ นาจรบั คาํ ฟองนไ้ี วพ จิ ารณาได
เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูชวยผูอํานวยการโรงเรียน
เมืองโพธ์ิชัย ผูอํานวยการโรงเรียนเมืองโพธ์ิชัยไดมีคําส่ังลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๒ แตงต้ังผูฟอง
คดเี ปน กรรมการเก็บรักษาเงินและเบิกจายเงินนอกงบประมาณ และตอมา ผูอํานวยการโรงเรียน
เมืองโพธ์ิชัยยังไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๒ มอบหมายใหผูฟองคดีทําหนาที่ผูชวย
ผอู ํานวยการฝา ยธุรการและการเงิน มหี นา ทรี่ ับผดิ ชอบการลงบัญชแี ละทะเบียนคุมเงินทุกประเภท
ตลอดจนควบคุม ตรวจสอบรายการใชงบประมาณของโรงเรียน รวมท้ังปฏิบัติหนาที่หัวหนางาน
พัสดุของโรงเรียน จากนั้น บริษัท ซ. ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ และวันที่ ๑
มิถนุ ายน ๒๕๔๔ มอบเงนิ สมทบทุนการศึกษาประจําปการศึกษา ๒๕๔๓ และปการศึกษา ๒๕๔๔
เปนเงินปละ ๒,๐๐๐ บาท ใหแกโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย ซึ่งผูฟองคดีไดลงลายมือช่ือเปนผูรับเงิน
จํานวนดังกลาวไวเปนหลักฐานในหนังสือของบริษัท ซ. เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๓ และวันท่ี
๑๓ กนั ยายน ๒๕๔๔ ตามลาํ ดับ โดยทีเ่ งินสมทบทนุ การศึกษาทบี่ ริษัท ซ. มอบใหแกโรงเรียนเมือง
โพธิ์ชัย จึงมีลักษณะเปนเงินบํารุงการศึกษาตามขอ ๔ (๑) ของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
วาดวยเงินบํารุงการศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๔ และผูฟองคดีมีหนาท่ีปฏิบัติเก่ียวกับการรับเงิน โดยออก
ใบเสรจ็ รับเงินใหแกผูชําระเงินทุกครั้งท่ีมีการรับเงิน พรอมทั้งตองบันทึกเงินท่ีไดรับในบัญชีเงินสด
หรือบัญชีเงินฝาก แลวแตกรณี ภายในวันที่ไดรับเงินน้ัน ตามนัยขอ ๕ วรรคหน่ึง ของระเบียบ
ดังกลาวประกอบขอ ๑๖ และขอ ๑๘ วรรคหน่ึง ของระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนําเงินสง
คลังของสวนราชการ พ.ศ. ๒๕๒๐ อยางไรก็ตาม แมผูฟองคดีไมไดออกใบเสร็จรับเงินใหแกบริษัท ซ.
ไมไ ดล งรับในบญั ชีคมุ เงนิ นอกงบประมาณของโรงเรยี นเมืองโพธช์ิ ยั และไมไดนําเงินทั้งหมดท่ีรับไว
สงเขาเปนรายไดของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย แตโดยที่พยานบุคคลลวนใหถอยคําสอดคลองกันวา
โรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยไดดาํ เนนิ โครงการโรงเรียนสง เสริมสุขภาพ โดยกอสรางที่ลางมือและแปรงฟน
สําหรับนักเรียน อีกท้ัง ยังสอดคลองและรับกับภาพถายท่ีลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียน
ที่ผูฟองคดีอางสงเปนพยานประกอบคําชี้แจงแกขอกลาวหาตอผูรองสอด กรณีจึงรับฟงไดวา
มีการกอสรางท่ีลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียนจริง ซ่ึงแมวาจะไมมีพยานหลักฐานยืนยัน
ขอเท็จจริงไดวาผูฟองคดีนําเงินสมทบทุนการศึกษาที่ไดรับจากบริษัท ซ. จํานวน ๔,๐๐๐ บาท
ดังกลาว มาใชในการกอสรางท่ีลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียน เน่ืองจากผูฟองคดีมิไดลงรับเงิน
ดังกลาวในบัญชีรับ - จายเงินของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย แตเม่ือพิจารณาถอยคําของพยานบุคคล
ในชั้นไตสวนขอเท็จจริงของผูรองสอดซ่ึงสอดคลองกับการใหถอยคําในช้ันพิจารณาคดีของ
ศาลจังหวัดรอยเอ็ด คดีหมายเลขดําที่ ๔๙๔๙/๒๕๕๗ แลว เช่ือไดวา ผูฟองคดีไดมอบหมายให
นาย ช. และนาย ข. นกั การภารโรง เปน ผูกอสรา งที่ลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียน โดยใหนาย ช.
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔)
เปนผูส่ังซื้อและจายเงินคาวัสดุกอสรางใหแกรานเมืองโพธ์ิชัยวัสดุเปนเงินจํานวน ๔,๐๐๐ บาท
อันเปนจํานวนเงินเทากับเงินสมทบทุนการศึกษาที่ไดรับจากบริษัทฯ จึงเชื่อวา ผูฟองคดีไดนําเงิน
สมทบทุนการศึกษาท่ีไดรับจากบริษัทฯ จํานวน ๔,๐๐๐ บาท ดังกลาว มาใชในการกอสรางที่ลางมือ
และแปรงฟนสําหรับนักเรียนโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย อีกทั้งขอเท็จจริงยังปรากฏวา สํานักงาน
การตรวจเงินแผนดินภูมิภาคที่ ๗ (จังหวัดขอนแกน) ไดตรวจพบพฤติกรรมของผูฟองคดีกรณีรับเงิน
สวัสดิการและทุนการศึกษาที่บริษัทฯ มอบใหแกโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยแลว แตไมนําเงินดังกลาว
สงเปนรายไดของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยเพียงแคป พ.ศ. ๒๕๔๓ – พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยเอกสาร
ในสํานวนคดีน้ีไมปรากฏขอเท็จจริงวาหลังจากนั้นผูฟองคดีไดมีพฤติกรรมอ่ืนหรือไดปฏิบัติ
ไมถูกตองตามระเบียบเก่ียวกับการเงินอ่ืนแตอยางใด ประกอบกับไมปรากฏขอเท็จจริงอ่ืนใด
ในสํานวนการไตสวนของผูรองสอดวา ผูฟองคดีมีสวนไดเสียหรือมีเจตนาใหตนเองหรือผูอ่ืนไดรับเงิน
หรือประโยชนอื่นใดที่มิควรไดจากการกระทําดังกลาว อันจะเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
กรณีจึงไมอาจรับฟงไดวาการกระทําของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการ
โดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกับ
มาตรา ๔ แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓
สวนความผิดทางวินัยฐานอ่ืนที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ใชเปนเหตุผลในการลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ไดแก ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแก
ราชการอยางรายแรง และฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง นั้น
เมื่อไดวินิจฉัยแลววา การพิจารณาโทษทางวินัยที่จะถือวารายงาน เอกสาร และความเห็นของ
ผูรองสอด เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวย
ระเบียบขาราชการพลเรือน ตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ตองเปนกรณีท่ีผูรองสอดไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิด
แกเ จาหนาท่ีของรัฐ ในกรณีท่ีเจาหนาท่ีของรัฐกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ ดังนั้น มติของ
ผูรองสอดท่ีชี้มูลความผิดทางวินัยแกผูฟองคดีในความผิดฐานอื่น จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๑
ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี และผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริง
และความเห็นของผูรองสอดมาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือนตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาวไมได ดังนั้น ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีหนาท่ีตองดําเนินการทางวินัยแก
ผูฟองคดีโดยแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดีตามท่ีถูกกลาวหาในความผิดฐาน
กระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ วิธีการ และ
เงื่อนไขเกยี่ วกับการสอบสวนพิจารณา เพื่อใหผูฟองคดีซ่ึงเปนผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหา
และมีโอกาสชี้แจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการที่กําหนดไวในกฎหมายวาดวย
ระเบียบขาราชการพลเรือน เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมไดดําเนินการ
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕)
ตามขั้นตอน วิธีการ และกระบวนการสอบสวนวินัยตามกฎหมายดังกลาว แตกลับนํารายงาน
เอกสาร และความเห็นของผูรองสอด มาพิจารณาแลวมีคําส่ังลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามฐานความผิดดังกลาว กรณีจึงเปนเหตุใหคําส่ังดังกลาวไมชอบ
ดวยกฎหมาย เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเปน
สาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทําน้ัน อีกทั้ง เม่ือไดวินิจฉัยขางตนแลววา ผูฟองคดีมิได
มีพฤติการณกระทําการทุจริตตอหนาที่ราชการเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนท่ีมิควรได
แตการท่ีผูฟองคดีไดรับมอบเงินสมทบทุนการศึกษาจากบริษัท ซ. แลว แตกลับไมออกใบเสร็จรับเงิน
ใหแกบริษทั ซ. ไมล งรับในบัญชคี ุมเงินนอกงบประมาณของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย และไมนําเงินท้ังหมด
ที่รับไวสงเขาเปนรายไดของโรงเรียนเมืองโพธ์ิชัย ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ วาดวย
เงินบํารุงการศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนําเงินสงคลังของสวนราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๐ อกี ทัง้ ไมป รากฏวาผูฟองคดีไดดําเนินโครงการโรงเรียนสงเสริมสุขภาพ โดยกอสราง
ที่ลางมือและแปรงฟนสาํ หรับนกั เรียนโดยปฏบิ ัติตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๕ การกระทาํ ของผฟู อ งคดีดงั กลาวจงึ เปนการจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบ
ของทางราชการ ซึง่ แมวา จะเปนการนําเงินไปใชผิดวัตถุประสงคของบริษัท ซ. ซ่ึงเปนผูบริจาคเงิน
ดังกลาว แตที่ลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียนก็เปนทรัพยสินของโรงเรียนและเปนประโยชน
แกนกั เรียนทุกคนในโรงเรียนเมืองโพธ์ิชัย ประกอบกับเงินจํานวน ๔,๐๐๐ บาท เปนจํานวนเงินไมมาก
การกระทาํ ดังกลาวจึงมไิ ดเปนเหตใุ หเกดิ ความเสยี หายแกร าชการอยางรา ยแรง ประกอบกับขอเท็จจริง
ไมป รากฏวา ผูฟอ งคดมี ีเจตนากระทาํ การอื่นใดท่จี ะนํามาซึ่งความเส่ือมเสียช่ือเสียงและเกียรติศักด์ิ
ของตําแหนงหนาท่ีราชการ กรณีนี้จึงเห็นวา การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยฐาน
ไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และ
นโยบายของรัฐบาลโดยไมใหเสียหายแกราชการ อันเปนความผิดวินัยไมรายแรง ตามมาตรา ๘๕
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกับมาตรา ๔ แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชามีอํานาจออกคําส่ัง
ลงโทษทางวินยั แกผ ูฟองคดีไดเพียงโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดข้ันเงินเดือน ตามมาตรา ๑๐๐
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังน้ัน
คาํ ส่ังลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนคําส่ังที่ไมชอบดวยกฎหมาย
ทศ่ี าลปกครองช้ันตน พพิ ากษาเพกิ ถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปนับแตวันที่มีคําสั่งดังกลาว นั้น
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดว ย
พิพากษายืน
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖)
กรณีเปนคดที ่อี ยใู นอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๓๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการบํานาญ ไดรับความเดือดรอนหรือ
เสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (กระทรวงมหาดไทย) โดยปลัดกระทรวงมหาดไทย ไดมีคําส่ัง
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๓๐
กันยายน ๒๕๕๐ ซ่ึงเปนวันส้ินปงบประมาณท่ีผูฟองคดีมีอายุครบหกสิบปบริบูรณเปนตนไป
เนือ่ งจากเมือ่ ครงั้ ผฟู องคดีดาํ รงตําแหนง รองผูวา ราชการจังหวัดสรุ าษฎรธ านี ไดร บั มอบอํานาจจาก
ผูวาราชการจังหวัดสุราษฎรธานีใหมีอํานาจในการส่ังการ การอนุญาต การอนุมัติ และกํากับดูแล
การปฏิบัติราชการของสวนราชการตางๆ ของโรงพยาบาลทุกแหงในจังหวัดสุราษฎรธานี ลงวันที่
๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ และใหมีอํานาจอนุมัติในการส่ังซ้ือหรือส่ังจาง และดําเนินการตามระเบียบ
สํานกั นายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ไดดําเนินการประกวดราคาจางปรับปรุงระบบ
จายกระแสไฟฟาแรงตํ่า จํานวน ๔ เฟส ของโรงพยาบาลสุราษฎรธานีตามประกาศจังหวัดสุราษฎรธานี
เร่ือง ประกวดราคาจางปรับปรุงระบบจายกระแสไฟฟาแรงต่ํา ลงวันท่ี ๔ สิงหาคม ๒๕๔๓ และ
อนุมัติจา งผูชนะการประกวดราคาตามผลการประกวดราคาดังกลาว ซึ่งมีผลใหตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓
(คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดรับคํารองเรียนกลาวหาวาผูฟองคดี
กับพวกละเวนไมดําเนินการยกเลิกการประกวดราคาจางในการประกวดราคาคร้ังดังกลาว
เพราะเหตุท่ีมีการลักซองเสนอราคาและเอกสารท่ีเกี่ยวของในการเสนอราคาของบริษัท อ.
ซึ่งเปนผูซ้ือเอกสารประกวดราคา เปนเหตุใหบริษัทดังกลาวไมไดเขายื่นซองเสนอราคา
โดยมีพฤติการณชวยเหลือหรือเอื้อประโยชนผูเสนอราคาบางรายทําใหมีผูเสนอราคาถูกตอง
ตามรายละเอียดและเง่ือนไขเพียงรายเดียว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาแลวมีมติเห็นชอบตาม
ความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวนวาการกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
จึงสงรายงานและเอกสาร พรอมท้ังความเห็นดังกลาวไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้น
ปลดั กระทรวงมหาดไทยไดสง เร่ืองใหผ ูถูกฟองคดีที่ ๒ (อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย) ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒
พิจารณาแลวมีมติใหไลผูฟองคดีออกจากราชการผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการดังกลาว ผูฟองคดีไมเห็นพองดวย จึงอุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ท่ีวาการกระทําของผูฟองคดี
เปนความผิดวินัยอยางรายแรง เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนคาํ สั่งของผูถูกฟอ งคดที ี่ ๑ ทีล่ งโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามคําส่ังกระทรวงมหาดไทย
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
และพิพากษาวาการกระทําของผูฟองคดีกับพวกไมเปนความผิดตามกฎหมาย และไมกอใหเกิด
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗)
ความเสียหายแกผูใด รวมทั้งใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งใหผูฟองคดีไดกลับเขารับราชการเชนเดิม
โดยใหไดร บั บาํ เหนจ็ บาํ นาญตามปกติโดยไมมีความผิดใดๆ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ขอกลาวหาที่อยูในอํานาจไตสวนและวินิจฉัยช้ีมูล
ความผิดทางวินัยของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๓ นนั้ คงมแี ตเ ฉพาะท่เี ปน กรณีกลา วหาวาการกระทําความผิด
ฐานทุจริตตอหนาที่ กระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการหรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่
ในการยุติธรรมเทาน้ัน การชี้มูลของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ดังกลาว จึงไมมีผลผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ท่ี ๒ และท่ี ๔ ที่จะตองส่ังลงโทษผูฟองคดีไปตามการช้ีมูลน้ัน โดยไมตองสอบสวนและพิจารณา
โทษทางวินัยในขอหาดังกลาว อีกท้ังมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีชี้มูลความผิดทางวินัยของผูฟองคดี
แลวสงใหผูมีอํานาจพิจารณาลงโทษตอไปตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปอ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ.๒๕๔๒ นั้น ก็มิใชเปนการวินิจฉัยชี้ขาดตามนัยมาตรา ๒๒๓
วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ อันจะทําใหคดีนี้ไมอยู
ในอํานาจการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแตอยางใด เนื่องจากไมใชเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๕๐ (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ซ่ึงใชบังคับอยูในขณะนั้นศาลปกครองจึงมีอํานาจพิจารณาคดีน้ีได ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง
ของรัฐธรรมนูญดังกลาว ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
แมผูฟองคดีจะทราบวามีเหตุโจรกรรมลักซองเสนอราคาของบริษัท อ. แตเหตุดังกลาวเกิดขึ้น
ที่โรงแรม ว. ซ่ึงอยูหางจากสถานที่รับซองเสนอราคา และเปนเหตุท่ีเกิดข้ึนกอนเวลาเสนอราคา
มิไดเกิดข้ึนในบริเวณสถานที่รับซองเสนอราคา และในระหวางการรับซองเสนอราคา การท่ี
ซองเสนอราคาไดถูกลักไปในขณะที่อยูในความครอบครองของนาย ค. ยอมเปนหนาท่ีของนาย ค.
ที่จะตองดูแลรักษาทรัพยสินของตนเยี่ยงวิญูชนทั่วไปมิใหทรัพยสินของตนสูญหายหรือถูกลักไป
กรณีดังกลาวจึงมิใชกรณีท่ีอยูในความรับผิดชอบของผูฟองคดีในฐานะหัวหนาสวนราชการ
ผูมีอํานาจอนุมัติสั่งซื้อสั่งจางพัสดุ หรือเจาหนาท่ีของผูฟองคดีท่ีเปนกรรมการรับซองเสนอราคา
อีกทั้งรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและการรวบรวมพยานหลักฐานของผูถูกฟองคดีที่ ๓
ก็ไมปรากฏหลักฐานวาผูฟองคดีมีสวนรูเห็นหรือเกี่ยวของกับการลักซองประมูลของบริษัท อ.
หรือผูฟองคดีไดรับผลประโยชน หรือมีสวนไดเสียอยางใดจากการท่ีบริษัท อ. ไมสามารถย่ืนซอง
ประมูลไดแตอยางใด แมในการประกวดราคาโครงการน้ีมีผูยื่นซองเสนอราคา จํานวน ๒ ราย คือ
บริษัท อ. และบริษัท ซ. โดยมีเพียงบริษัท ซ. ท่ีเสนอราคาถูกตองตามเง่ือนไขเพียงรายเดียว และ
เสนอราคาเกินราคากลางไมเกินรอยละ ๑๐ ซึ่งกรณีปกติคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
ควรที่จะตองเสนอความเห็นตอหัวหนาสวนราชการใหยกเลิกการประกวดราคาในคร้ังนั้น
แตหากคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นวามีเหตุผลสมควรท่ีจะดําเนินการ
โดยไมตองยกเลิกการประกวดราคา ก็สามารถกระทําได โดยระบุเหตุผลความจําเปนท่ีจะตอง
ดําเนินการประกวดราคาตอไป ตามขอ ๕๑ ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๕ เม่ือผลการประกวดราคาปรากฏวามีผเู สนอราคาถูกตองตามเงื่อนไขเพยี งรายเดียวคือ
บริษัท ซ. โดยบริษัทดังกลาวเสนอราคาเปนเงินทั้งสิ้น ๒๕,๙๙๐,๙๔๔.๒๘ บาท คณะกรรมการ
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘)
พิจารณาผลการประกวดราคาตอรองราคาแลวบริษัทลดราคาใหเหลือ ๒๕,๘๐๐,๐๐๐ บาท
เปน ราคาไมเ กนิ วงเงนิ งบประมาณทตี่ งั้ ไว การดําเนินการดังกลาวจึงเปนการดําเนินการตามขอ ๔๓ (๑)
ของระเบียบดังกลาว เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคามีความเห็นเสนอผูฟองคดี
ใหจัดจางบริษัท ซ. เขาทําสัญญารับจางปรับปรุงระบบจายกระแสไฟฟาแรงตํ่า จํานวน ๔ เฟส
ของโรงพยาบาลสุราษฎรธานี เปนเงินจํานวน ๒๕,๘๐๐,๐๐๐ บาท แลว ผูฟองคดีในฐานะ
ผูมีอํานาจอนุมัติในการสั่งซ้ือ ส่ังจาง ยอมมีอํานาจใชดุลพินิจพิจารณาวาจะสมควรดําเนินการ
จัดจางตอไปหรือสมควรจะยกเลิกการจัดจางครั้งนั้น ซึ่งเม่ือเหตุการณลักซองเอกสารประกวดราคา
ดังกลาวนั้น เกิดข้ึนนอกพื้นที่ประกวดราคา อีกท้ังยังไมมีขอเท็จจริงใหพิจารณาไดวาเหตุการณ
ดังกลา วเกดิ ข้ึนเพราะเหตุใดและเกิดข้ึนไดอยางไร เก่ียวของกับการกีดกัน กลั่นแกลงมิใหมีการย่ืน
ซองเสนอราคาครงั้ น้นั หรือไม อยางไร หากตองยกเลิกการประกวดราคาโครงการดังกลาวจะทําให
การจัดทําบริการสาธารณะตองหยุดชะงักลง และอาจเกิดความเสียหายตอบริการสาธารณะ
ทางการแพทยอยางรายแรงได ประกอบกับในขณะนั้นเปนชวงใกลจะส้ินปงบประมาณ ๒๕๔๓
หากตองมีการยกเลิกการประกวดราคาเพ่ือดําเนินการใหม ยอมเล็งเห็นไดอยางชัดเจนวา
จะไมส ามารถดําเนนิ การจัดจางไดภายในสิ้นปงบประมาณดังกลาว ซึ่งจะทําใหงบประมาณที่ไดรับ
จัดสรรในปงบประมาณ ๒๕๔๓ ตกไป อันจะกอใหเกิดความเสียหายตอการใหบริการ
รักษาพยาบาลของโรงพยาบาลสุราษฎรธานี ซึ่งจะสงผลใหผูปวยและประชาชนผูเขารับบริการ
ดานการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลดังกลาวไดรับความเสียหายไปดวย ดังนั้น กรณีท่ีผูฟองคดี
ใชดุลพินิจไมส่ังการใหยกเลิกการประกวดราคาคร้ังดังกลาว จึงเปนการส่ังการโดยมีเหตุผล
อันสมควรตามขอ ๕๑ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังน้ัน
เมื่อไมมีขอเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอ่ืนใดที่จะแสดงใหรับฟงไดวาผูฟองคดีมีพฤติการณกระทํา
การอันมลี ักษณะเปน การขัดขวางการเสนอราคาอยา งเปน ธรรม และไดดําเนินการจัดจางบริษัท ซ.
โดยไมสจุ ริต หรอื โดยไมมเี หตุผลอันสมควร การดําเนินการของผูฟองคดี ในกรณีนี้จึงเปนไปตามท่ี
ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ แลว การกระทําของผูฟองคดี
จึงมิไดเปน การปฏิบตั หิ รอื ละเวนการปฏบิ ัตหิ นาทีร่ าชการโดยมิชอบ เพื่อใหบริษัท ซ. ไดประโยชน
ที่มิควรไดในการเขาทําสัญญาจางกับหนวยงานของรัฐ อันจะเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
และเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และเม่ือไดวินิจฉัยแลววาผูฟองคดีกระทําโดยชอบดวยระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
ดังกลาวแลว การกระทําของผูฟองคดีจึงไมเปนการผิดวินัยตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง และ
มาตรา ๙๕ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกับขอ ๑๐
ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติชี้มูล
ความผิด การที่ผูถูกฟองท่ี ๑ มีคําสั่งลงโทษทางวินัยอยางรายแรง ตามการชี้มูลความผิดของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ และตอมาเม่ือผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังไลออกดังกลาว และผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ยกอทุ ธรณข องผฟู องคดนี ัน้ จงึ เปนการไมชอบดว ยกฎหมาย
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙)
พิพากษาใหเพิกถอนคาํ ส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามคําส่ังผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๓ และเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ลงวันท่ี
๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยใหมีผลยอนหลังไปตั้งแตวันที่คําส่ังและ
คําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาวมีผลบังคับเปนตนไป คําขออ่ืนนอกจากน้ีใหยก โดยมีขอสังเกต
ในการปฏิบัติตามคําพิพากษาน้ีวา เมื่อศาลเพิกถอนคําสั่ง และคําวินิจฉัยดังกลาวยอนหลังแลว
ยอมมีผลเสมือนวาผูฟองคดีมิไดเคยถูกไลออกจากจากราชการเลย ดังน้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จึงตองคืนสิทธิประโยชนอันพึงมีพึงไดใหแกผูฟองคดีในฐานะท่ีเปนขาราชการซึ่งออกจากราชการ
โดยการเกษยี ณอายุราชการตามกฎหมาย
กรณีเปนคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ. ๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน) มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ
ชี้มูลความผิดวินัยอยางรายแรง โดยอางวาเม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียน
ลําทะเมนไชยพิทยาคม มีอํานาจหนาท่ีพิจารณากําหนดจํานวนและอัตราตําแหนงและ
เกล่ียอัตรากําลัง พิจารณาใหความเห็นชอบการบรรจุและแตงตั้งขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา และดําเนินการสอบแขงขันเพื่อบรรจุและแตงต้ังบุคคลเขารับราชการเปน
ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษานครราชสีมา เขต ๗
และไดรับแตงตั้งใหเปนกรรมการจัดทําขอสอบในการสอบคัดเลือกพนักงานราชการหรือครูอัตราจาง
เพือ่ บรรจแุ ละแตง ตงั้ เขา รับราชการเปนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตําแหนงครูผูชวย
ไดอาศัยโอกาสท่ีมีตําแหนงหนาที่ดังกลาวเรียกรับเงินจากผูสมัครสอบ เพ่ือชวยเหลือให
สอบคัดเลือกไดและไดรับการบรรจุและแตงตั้งเปนครูผูชวยดังกลาว ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันที่
๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา) โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และ
มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ียกอุทธรณของผูฟองคดี โดยศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟอง
ขอหาที่ขอใหเ พกิ ถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณา ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ัง
ดังกลาว เห็นวา กรณีเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจาหนาที่ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ไมวาจะเปน การออกกฎ คําสั่งหรือการกระทําอื่นใด ซ่ึงอยูในอํานาจของศาลปกครองที่จะพิจารณา
พิพากษาหรือมีคําสั่งได ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏตามคําฟองวา ผูฟองคดีรับทราบคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เม่ือวันท่ี ๗ กันยายน ๒๕๖๐ และมีหนังสือลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังดังกลาว
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๐)
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซึ่งไมปรากฏวาผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดรับหนังสืออุทธรณของผูฟองคดีเม่ือใด
แตอยา งเรว็ ที่สุดทผี่ ูถูกฟอ งคดที ี่ ๒ จะไดรบั หนังสืออทุ ธรณของผูฟองคดี คือ ในวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงตองพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในกําหนดระยะเวลาเกาสิบวัน
นับแตวันที่ไดรับหนังสืออุทธรณของผูฟองคดี ตามมาตรา ๑๒๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ คือ ภายในวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑ แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มิไดพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในกําหนดเวลาดังกลาว กรณีจึงตองถือวา
วันถัดจากวันที่ครบกําหนดเกาสิบวัน คือ วันท่ี ๔ มกราคม ๒๕๖๑ เปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึง
เหตุแหงการฟอ งคดแี ละเปน วนั เริม่ ตนท่ผี ูฟองคดีมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงตองย่ืนฟองคดีตอศาลปกครองช้ันตน เพื่อขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ดังกลาวภายในเกาสิบวันนบั แตว นั ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๑ กลาวคือ ภายในวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๑
การท่ผี ฟู องคดนี ําคดีมาฟอ งตอศาลปกครองชั้นตน ขอใหเ พกิ ถอนคําสัง่ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ เม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ จึงเปนการย่นื ฟองคดีเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดี
ตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลจึงไมอาจรับคําฟองขอหาท่ีฟองขอให
เพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณาได แตอยางไรก็ตาม กอนที่ศาลจะ
พิจารณาถึงความชอบดวยกฎหมายของคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตามขอหา
ท่ศี าลปกครองชนั้ ตนรบั ไวพิจารณาไดน้ัน ศาลยอมจะตองพิจารณาถึงความชอบดวยกฎหมายของ
คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเสียกอน หากมีความไมชอบดวยกฎหมายของคําส่ัง
ทางปกครองดังกลาวในข้ันตอนใด ยอมปรากฏชัดแจงในคําพิพากษา อีกท้ัง การฟองคดีในขอหาน้ี
ไมใชการฟองคดีท่ีเกี่ยวกับการคุมครองประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคลท่ีจะย่ืนฟองคดี
เมอ่ื ใดก็ได และไมใชก รณเี ปนการยื่นฟองท่ีเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอื่นที่ศาลจะ
รับคดีน้ีไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน นอกจากน้ี แมตามมาตรา ๑๒๒
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ จะมิไดบัญญัติไว
โดยชัดแจงวาใหผูไดรับคําส่ังทางปกครองที่ถูกกระทบสิทธิตองนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ทางปกครองเมื่อใด ในกรณีท่ีผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณไมพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จภายใน
กําหนดระยะเวลาก็ตาม แตระยะเวลาการฟองคดีขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังหรือการกระทํา
ทางปกครองทไี่ มช อบดวยกฎหมายไดถกู บญั ญตั ไิ วในมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
และพระราชบัญญัติฉบับนี้ไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๒ จึงถือวา
ผฟู อ งคดีหรือประชาชนท่ัวไปทราบถึงความมีอยขู องกฎหมายนี้ ดงั นน้ั จงึ ไมจ ําตอ งระบุระยะเวลา
การฟองคดีไวใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ แตอยางใด
อีกทั้ง กรณีมิไดมีบทบัญญัติของกฎหมายกําหนดใหผูออกคําสั่งทางปกครองจะตองระบุวิธีการ
และระยะเวลาสาํ หรบั ย่ืนคําฟองไวในคําส่ังทางปกครองดังกลาวแตอยางใด ที่ศาลปกครองช้ันตน
มีคาํ ส่ังไมรับคําฟองขอหาท่ีฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณา นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดว ย
จงึ มีคําส่งั ยืนตามคําสั่งของศาลปกครองช้นั ตน
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๑)
คําสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟองวา ผฟู องคดไี ดรบั ความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(ผูบังคับการตํารวจตระเวนชายแดนภาค ๑) มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ อันมีมูลเหตุมาจากการที่ผูฟองคดี
ถูกกลาวหาวาเปนผูกระทําความผิดอาญา จํานวน ๒ คดี ซ่ึงปรากฏวา คดีแรก ศาลมีคําพิพากษา
ยกฟองโจทก สวนคดีที่สอง ศาลพิพากษาใหผูฟองคดีเปนผูบริสุทธิ์ ดังน้ัน การลงโทษทางวินัย
ผูฟองคดีจึงเปนการลงโทษทางวินัยท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ตอมา เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐
ผูฟองคดีไดย่ืนคําขอกลับเขารับราชการตํารวจ ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๗
กันยายน ๒๕๖๐ ใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการในตําแหนง ชั้นยศ อัตราเงินเดือน และสถานที่
ปฏิบัติราชการเดิมได แสดงใหเห็นวาผูฟองคดีมิไดเปนผูขาดคุณสมบัติท่ีจะกลับเขารับราชการ
แตตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๓ (ผูบัญชาการกองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน) กลับมีคําส่ังไมให
ผูฟองคดีกลับเขารับราชการตํารวจตามหนังสือลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยเห็นวาเปนผูขอ
กลับเขารับราชการตํารวจท่ีขาดคุณสมบัติตามระเบียบที่เกี่ยวของ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตามหนังสือลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ) คําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ท่ีลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหมีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการตํารวจ โดยรับเงินเดือน
และเงินประจําตําแหนงเหตุพิเศษ (ต.ป.ป.) เชนเดิม เห็นวา คดีนี้เปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ี
เจาหนาที่ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายไมวาจะเปนการออกกฎ คําส่ังหรือการกระทํา
อื่นใด อันอยูในอํานาจของศาลปกครองท่ีจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งไดตามนัยมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ เมื่อคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และที่ ๔ และมติ
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดังกลาว มีผลทําใหผูฟองคดีพนจากการเปนขาราชการตํารวจ และไมไดรับ
การบรรจุกลับเขารับราชการ ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะ
เดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเนื่องจากการกระทําของผูถูกฟองคดีดังกลาว
และคําขอใหศ าลมีคําพิพากษาหรอื คาํ สง่ั เพิกถอนคําสั่งและมตพิ พิ าท ศาลมอี าํ นาจกําหนดคําบังคับ
ใหไดตามมาตรา ๗๒ ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีนี้ตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ซ่ึงกรณีท่ีขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ที่ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี นั้น
แมขอเท็จจริงจะรับฟงตามคําฟองไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี
เนื่องจากเปนการยื่นอุทธรณเกินกําหนดระยะเวลาก็ตาม แตผูฟองคดีไมเห็นดวยกับมติดังกลาว
จึงนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี
และโดยท่มี ตขิ องผูถกู ฟองคดที ี่ ๒ ดงั กลา ว เปนการกระทําในรปู ของคณะกรรมการท่ีไมมีกฎหมาย
กําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายในเรื่องน้ีไว ผูฟองคดี
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๒)
จึงสามารถนําเร่ืองดังกลาวมาฟองตอศาลปกครองไดทันที เมื่อปรากฏวาผูฟองคดีไดรับแจง
ผลการพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เม่ือวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ การที่ผูฟองคดีนําคดี
มาฟองตอศาลเมื่อวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ จึงเปนการยื่นฟองภายในเกาสิบวันนับแตวันที่รู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ สวนผูฟองคดี
จะย่ืนคําอุทธรณเม่ือพนกําหนดระยะเวลาตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ หรือไม เปนเร่ืองท่ี
ศาลปกครองช้ันตนจะตองพิจารณาวินิจฉัยในเน้ือหาแหงคดีวาผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไมรับคําอุทธรณ
ของผูฟองคดีไวพิจารณาชอบดวยกฎหมายหรือไม อันเปนเง่ือนไขการฟองคดีท่ีศาลปกครองช้ันตน
จะตองพิจารณาตอ ไปวา ผูฟองคดีไดดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ในสวนที่ขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ซ่ึงหากศาลพิจารณาแลวเห็นวา
มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีชอบดวยกฎหมายแลวก็ไมจําตอง
พิจารณาในสวนที่ขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ อีกตอไป แตหากศาลเห็นวามติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมชอบดวยกฎหมาย ศาลก็ชอบที่จะตองพิจารณาในสวนท่ีขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ดังกลาว ดังนั้น คําฟองของผูฟองคดีในสวนท่ีขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ทีไ่ มร ับพิจารณาอุทธรณข องผูฟองคดี จึงเปนคําฟองที่ศาลรับไวเพื่อดําเนินกระบวนพิจารณาตอไปได
ท่ีศาลปกครองช้ันตนไมรับคําฟองในสวนนี้ไวพิจารณา ศาลปกครองสูงสุดไมเห็นพองดวย สวนกรณี
ที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ไมบรรจุผูฟองคดีกลับเขารับราชการ นั้น
เปนการใชอํานาจตามกฎหมายของเจาหนาที่ท่ีมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ี
ของผูฟองคดี อันเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงเปนกรณีที่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายที่ผูฟองคดีไดรับจากคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีเปนเหตุแหงการฟองคดีไวโดยเฉพาะ
ผูฟองคดีจึงตองดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกลาวกอนนําคดีมาฟองตามนัยมาตรา ๔๒
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยการยื่นอุทธรณตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในฐานะเจาหนาที่
ผูทําคําส่ังทางปกครองตามนัยมาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา หลังจากผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
ไมบรรจุผูฟองคดีกลับเขารับราชการแลว ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ อุทธรณ
คําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยไมไดย่ืนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ ซ่ึงเปนเจาหนาท่ีผูทําคําส่ัง
ทางปกครอง ประกอบกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ก็มิไดมีอํานาจหนาท่ีในการพิจารณาอุทธรณคําสั่งดังกลาว
แทนผูถูกฟองคดีท่ี ๓ หรือที่ ๑ แตอยางใด กรณีจึงถือไมไดวาผูฟองคดีไดดําเนินการตามขั้นตอน
และวธิ ีการสําหรบั การแกไขความเดือดรอ นหรอื เสียหายตามท่กี ฎหมายกาํ หนดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงไมอาจนําคําฟองในสวนน้ีมาฟองตอศาลปกครองได
ที่ศาลปกครองชั้นตนไมรับคําฟองในกรณีนี้ไวพิจารณา ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวยในผล
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๓)
ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองน้ีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดวยบางสว น
จงึ มคี ําสงั่ กลับ เปนใหศาลปกครองช้ันตนดําเนินกระบวนพิจารณาในสวนที่ผูฟองคดี
ขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอน
มติของผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ท่ไี มร บั พิจารณาอุทธรณของผฟู องคดีตามเงอื่ นไขการฟอ งคดี และหากคําฟอง
ดงั กลาวเปน ไปตามเง่อื นไขการฟองคดี กใ็ หร บั คําฟองในสว นนไ้ี วพิจารณาพิพากษาคดีตอไป
คําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คบ. ๑๖๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูวาราชการจังหวัดลําปาง) ออกคําสั่งลงวันท่ี
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ลงโทษภาคทัณฑผ ูฟ องคดีโดยไมม อี าํ นาจ เนื่องจากผฟู องคดบี รรจุเขารบั ราชการ
ครั้งแรกท่ีกระทรวงยุติธรรม ตอมา ไดโอนไปรับราชการในสังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๔ (สํานักงาน
ศาลยุติธรรม) แตภายหลังผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม) ไดมีคําส่ังใหผูฟองคดี
โอนไปรับราชการที่กระทรวงมหาดไทยโดยไมชอบดวยกฎหมาย ผูฟองคดียังคงสถานะเปนขาราชการ
สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๔ อยูตามเดิม จึงเปนการออกคําสั่งโดยไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ทลี่ งโทษภาคทัณฑผฟู องคดี สง ตวั ผฟู องคดีกลับไปรับราชการในสังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ซึ่งเปนตนสังกัด
โดยชอบดวยกฎหมายของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (จังหวัดลําปาง) และที่ ๔ ชดใชคาเสียหาย
ใหแกผูฟองคดีเปนเงิน จํานวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ียรอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงิน
จํานวนดังกลาว นับต้ังแตวันท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จนกวาผูฟองคดีจะไดกลับไปปฏิบัติราชการ
สงั กดั ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๔
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีนี้เปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีเจาหนาท่ีของรัฐ
กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายและการกระทําละเมิดของเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจาก
การใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
เม่ือพิจารณา พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๑๔ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
และมาตรา ๑๑๘ ประกอบ กฎ ก.พ.ค. วาดวยการอุทธรณและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ
พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๙๑ แลว จะเห็นไดวา เปนกรณีท่ีมีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับ
การแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายไวโดยเฉพาะ การฟองคดีปกครองในเร่ืองน้ีจะกระทําได
ตอเมื่อมีการดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกลาว และไดมีการสั่งการตามกฎหมายหรือ
มิไดมีการส่ังการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กําหนด ดังนั้น ก.พ.ค. ซ่ึงเปนองคกร
วินิจฉัยอุทธรณจึงตองดําเนินการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายใน
หน่ึงรอยย่ีสิบวันนับแตวันท่ีไดรับอุทธรณ ถามีเหตุขัดของไมอาจพิจารณาใหแลวเสร็จได
ใหขยายระยะเวลาพิจารณาไดอีกไมเกินสองครั้ง โดยแตละคร้ังจะตองไมเกินหกสิบวัน
และใหบันทึกเหตุขัดของใหปรากฏไวดวย ตามมาตรา ๑๑๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับขอ ๙๑ ของกฎ ก.พ.ค. วาดวยการอุทธรณและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๔)
พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่บทบัญญัติดังกลาว มิไดกําหนดใหตองมีหนังสือแจงเหตุขัดของท่ีตองขยายระยะเวลา
พิจารณาอุทธรณใหผูอุทธรณทราบ ในกรณีเชนน้ีถาผูอุทธรณไมไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณ
หรือไมไดรับแจงเหตุขัดของท่ีตองขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ ผูอุทธรณยอมคาดหมายไดวา
มีการขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณออกไปตามระยะเวลาที่กฎหมายใหอํานาจไว กลาวคือ
๒๔๐ วนั นับแตว นั ท่ไี ดรับอุทธรณ จึงตองถือวาวันที่ครบกําหนดสองรอยสี่สิบวันดังกลาวเปนวันท่ี
ผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบตามขั้นตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมาย
กําหนดไวแลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ โดยใหถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดดังกลาว คือ วันที่สองรอยสี่สิบเอ็ดเปนวันท่ี
ผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีและเปนวันแรกท่ีเริ่มใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๙
แหง พระราชบญั ญตั ดิ ังกลาว เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ลงโทษ
ภาคทัณฑผูฟองคดี และผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณคําส่ังดังกลาว เม่ือวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ก.พ.ค. จึงตองพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณใหแลวเสร็จภายในระยะเวลาสองรอยส่ีสิบวันนับแต
วนั ท่ไี ดร บั อุทธรณ เมื่อผูฟองคดีนําคดีมาฟองตอศาลปกครองชั้นตนโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียน
เม่ือวันท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยที่ผูฟองคดียังมิไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณจาก ก.พ.ค.
และยังอยูภายในระยะเวลาพิจารณาอุทธรณของ ก.พ.ค. กรณีจึงถือไดวาผูฟองคดียังไมได
ดําเนินการตามข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมาย
กําหนดไวกอนการฟองคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ศาลจึงไมอาจ
รับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาได สําหรับกรณีที่ผูฟองคดีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ และท่ี ๕
โดยมีคําขอใหสงตัวผูฟองคดีกลับไปราชการในสังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๔ และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓
และท่ี ๔ ชดใชคาเสียหาย นั้น เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๕ (คณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม)
มิไดกระทําการใดๆ ท่ีเปนการกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีที่จะทําให
ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได
อันเน่ืองมาจากคําสั่งลงโทษภาคทัณฑดังกลาว อีกท้ัง กรณีท่ีผูฟองคดีกลาวอางวาผูฟองคดียังคง
มีสถานะเปนขาราชการสังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๔ ก็มิใชประเด็นอันเปนขอพิพาทในคดีน้ี ผูฟองคดี
จึงไมมีสิทธฟิ อ งผูถ กู ฟอ งคดที ี่ ๒ และที่ ๕ ตอศาลได ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึง่ แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ เมอื่ ผฟู องคดไี มม ีสิทธฟิ อ งผูถูกฟอ งคดที ่ี ๒ และที่ ๕ จึงไมอาจฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ใหรับผดิ ในผลแหง ละเมิดท่จี ะตองชดใชคา สนิ ไหมทดแทนแกผ ฟู อ งคดีไดเ ชนกัน ที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคาํ ส่งั ไมร ับคําฟองและคําฟองเพิ่มเติมคดีนี้ไวพิจารณา และใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน
ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดว ย
จงึ มคี ําส่งั ยืนตามคําส่ังของศาลปกครองชนั้ ตน
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๕๘/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดฟี องวา ในขณะท่ผี ฟู องคดรี บั ราชการตาํ แหนงหัวหนาสํานักปลัดเทศบาล
เมืองลาดสวาย ผูถูกฟองคดี (นายกเทศมนตรีเมืองลาดสวาย) ปลัดเทศบาล และผูอํานวยการกองคลัง
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๕)
ของเทศบาลเมอื งลาดสวาย ไดร ว มกันอนมุ ตั ิเบกิ จา ยเงินงบประมาณรายจา ยจํานวน ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ใหกับมหาวิทยาลัยปทุมธานีเปนคาจางจัดการฝกอบรมและดูงานท่ีประเทศสเปนและประเทศโปรตุเกส
ในระหวางวนั ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถงึ วนั ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ แตปรากฏวาผูถูกฟองคดีไดสั่ง
ระงับโครงการฝกอบรมและดูงานตางประเทศดังกลาว โดยอางวาสํานักงานการตรวจเงินแผนดิน
ไดทักทวง และไดทําหนังสือเพ่ือขอเงินคืนจากมหาวิทยาลัยปทุมธานี แตมหาวิทยาลัยปทุมธานี
ไมไดคืนเงินจํานวนดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๑ เรื่อง
แตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง กรณี การฝกอบรมและศึกษาดูงาน โครงการ “การพัฒนา
องคความรู กฎหมาย การเมือง การปกครองทองถ่ิน” ณ ราชอาณาจักรสเปนและสาธารณรัฐ
โปรตุเกส โดยไดแตงต้ังนาง จ. ซึ่งเปนผูใตบังคับบัญชาของผูถูกฟองคดี เปนประธานกรรมการ
สอบสวนขอเท็จจริงโดยไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคาํ สงั่ ดงั กลา ว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจาหนาที่ของรัฐ
กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
การท่ผี ูถ กู ฟอ งคดมี คี ําสง่ั แตง ต้งั คณะกรรมการสอบขอ เท็จจรงิ กอใหเ กิดหนาทีแ่ กผ ไู ดร ับการแตงตั้ง
เปนคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงในการตรวจสอบขอเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง
ท่ีเก่ียวของ ตลอดจนใหโอกาสแกเจาหนาที่ท่ีเก่ียวของหรือผูเสียหายไดช้ีแจงขอเท็จจริง และ
รายงานผลการสอบสวนเพ่ือใหผูมีอํานาจหนาที่พิจารณาตอไป กรณีจึงเห็นไดวา คําส่ังแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงดังกลาว ตลอดจนกระบวนการตางๆ ที่เกี่ยวเนื่อง จึงเปนเพียง
การดําเนินการภายในของเจาหนาท่ีเพ่ือเตรียมการจัดใหมีคําสั่งทางปกครองตอไป อันเปนเพียง
การพิจารณาทางปกครองเทานั้น มิใชคําสั่งทางปกครองอันจะมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิ
หรือหนาที่ของผูฟองคดี ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจ
หลกี เลย่ี งได ผูฟองคดีจึงไมอยูในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองคดีตอศาลเพ่ือขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาว
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับ
คาํ ฟองไวพิจารณา และใหจาํ หนา ยคดอี อกจากสารบบความ นนั้ ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดวย
จงึ มีคาํ สัง่ ยืนตามคําสั่งของศาลปกครองช้นั ตน
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ประชมุ ใหญ)
ผูฟองคดีฟองวา เม่ือคร้ังท่ีผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาท่ีบริหารงานที่ดิน ๗
สํานักงานทด่ี นิ อาํ เภอบางสะพาน จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ ผูถูกฟอ งคดที ี่ ๓ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.)) ไดมีคําสั่งแตงตั้งคณะอนุกรรมการ
ไตสวน กลาวหาผูฟองคดีกับพวกและเจาหนาท่ีท่ีเก่ียวของในการรังวัดรวมแปลงโฉนดที่ดินและ
น.ส. ๓ ก. วากระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีหรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ
ไดรวมกันกระทําการโดยทุจริตทําการรังวัดรวมแปลงโฉนดท่ีดินและ น.ส. ๓ ก. ใหกับบริษัท ย.
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖)
รุกล้ําแนวเขตท่ีสาธารณประโยชนบริเวณที่หาดทรายชายทะเล ตําบลธงชัย อําเภอบางสะพาน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการ ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ไดมีมติเปนเอกฉันท เห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวน โดยเห็นวาการกระทํา
ของผูฟองคดีและพวกมีมูลเปนความผิดทางวินัยอยางรายแรง จึงไดสงรายงาน เอกสาร และ
ความเหน็ ไปยังผบู ังคับบญั ชาเพ่อื พิจารณาโทษทางวินัยกับผูฟองคดีและพวก จากนั้น ผูถูกฟองคดี
ท่ี ๑ (อธิบดีกรมท่ีดิน) ไดมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ
คําสั่งดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)) ไดมีคําวินิจฉัย
ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของ
ผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ ท่ลี งโทษไลผ ฟู อ งคดอี อกจากราชการ ตามมตขิ องผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ ใหผูถูกฟองคดี
ท่ี ๑ มีคาํ ส่ังใหผ ูฟ องคดีกลับเขารบั ราชการและมีสทิ ธิไดร บั เงินบําเหนจ็ บาํ นาญตอไป และเพิกถอน
คาํ วินิจฉยั อทุ ธรณข องผูถกู ฟอ งคดที ่ี ๒ ทใ่ี หย กอทุ ธรณข องผฟู อ งคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ศาลปกครองสูงสุดโดยมติท่ีประชุมใหญพิเคราะห
รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง (๓) และ พ.ร.ป.
วาดว ยการปองกันและปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑
และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แลวเห็นวา ขอกลาวหาที่อยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาท่ีเกี่ยวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี
กระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรม
เทานั้น และโดยท่ีประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับความผิดตอ
ตําแหนงหนาท่ีราชการไวในภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ และ
ไดบ ัญญัตถิ ึงองคป ระกอบและโทษเก่ียวกับความผดิ ตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรมไวในลักษณะ ๓
หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๕ ดังน้ัน ความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิด
ตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรมจึงเปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
ถือเปนมูลความผิดทางวินัย นอกจากสามกรณีดังกลาวแลว ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไมมีอํานาจ
ในการไตสวนขอเท็จจริง ผูถูกฟองคดีที่ ๓ คงมีอํานาจหนาท่ีในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูล
ความผิดทางวินัยผูฟองคดีเฉพาะความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการเทานั้น ดังน้ัน เมื่อคดีนี้
ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีใน
ความผดิ ฐานอื่นนอกจากความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการดวย จึงเปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจ
ตามกฎหมาย มตขิ องผูถูกฟอ งคดีที่ ๓ ท่ีชี้มูลความผิดวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานอื่นจึงไมผูกพัน
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชา และผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะถือเอารายงานการไตสวน
ขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓ มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของ
คณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือนตามมาตรา ๙๒
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ไมได
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี เพื่อใหผูฟองคดี
ไดรับทราบขอกลาวหาและไดมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา ซ่ึงใชบังคับในขณะเกิดเหตุ เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ในความผิดวินัยฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยางรายแรง และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
อยางรายแรง โดยมิไดมีการแตงตั้งคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดีและมิไดแจง
ขอกลาวหาดังกลาวแกผูฟองคดี เพื่อใหผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงช้ีแจงแสดงพยานหลักฐานและ
นําสืบแกข อ กลา วหา คาํ สัง่ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลาวจึงไมชอบ
ดวยกฎหมาย และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดีตามฐาน
ความผิดดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ทั้งน้ี ในการตรวจสอบความชอบดวยกฎหมาย
ของคําสั่งลงโทษทางวินัย ซึ่งเปนคําสั่งทางปกครอง นอกจากตองพิจารณารูปแบบ ขั้นตอน และ
วิธีการอันเปนสาระสําคัญตามท่ีกฎหมายบัญญัติในการออกคําส่ังทางปกครอง ตลอดจนเนื้อหา
ของคําสั่งทางปกครองวาเจาหนาที่ใชดุลพินิจภายในขอบเขตแหงเจตนารมณของกฎหมาย
ท่ีใหอํานาจออกคําส่ังทางปกครองหรือไมแลว ยังตองพิจารณาถึงอํานาจหนาท่ีของเจาหนาท่ี
ผูออกคําสั่งรวมถึงอํานาจหนาที่ของเจาหนาที่ที่เกี่ยวของในทุกกระบวนการกอนออกคําสั่งดวย
ดังน้ัน อํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัย
จึงเปนขอกฎหมายอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชนที่ศาลสามารถยกข้ึนวินิจฉัยเอง
ไดแมคูกรณีจะมิไดกลาวอาง ทั้งน้ี ตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวย
วธิ พี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
เมอ่ื ไดว ินจิ ฉยั วา ผฟู อ งคดีมีเจตนารังวดั รวมหนงั สือรับรองการทําประโยชน (น.ส. ๓ ก.)
โดยมิไดป ฏบิ ตั ิตามระเบยี บและแนวปฏิบัติของกรมทดี่ ิน ตลอดจนหลักวิชาการรังวัดและทําแผนที่
ทําใหบริษัท ย. จํากัด ไดเนื้อที่ดินเพิ่มข้ึนทางดานทิศตะวันออกของ น.ส. ๓ ก. ทั้งสองแปลง
ซง่ึ เปนชายฝง ทะเลอนั เปน สาธารณสมบตั ิของแผนดิน ทําใหรัฐไดรับความเสียหาย การกระทําของ
ผูฟองคดีจึงเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่น
ไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ และเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
พจิ ารณาแลวเหน็ สมควรลงโทษไลผฟู องคดีออกจากราชการ จงึ เปน การใชดุลพินิจในการสั่งลงโทษ
ผฟู องคดเี ปนไปตามมาตรา ๑๐๔ แหงพระราชบญั ญัติดังกลาว ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ คําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ เฉพาะสวนที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ
จึงเปนการใชดุลพินิจโดยชอบแลว คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในสวนนี้จึงชอบดวย
กฎหมาย คาํ วินจิ ฉัยอทุ ธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีเฉพาะสวนที่ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ จึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘)
ดังน้ัน แมผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะมีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ในฐานปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบาย
ของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง และมาตรา ๙๐ วรรคสอง
แหงระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมิไดใหผูฟองคดีไดรับทราบขอกลาวหาและ
ไดมีโอกาสชี้แจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการที่กําหนดไวในมาตรา ๑๐๒
วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ประกอบกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
ซงึ่ ไมชอบดวยกฎหมายก็ตาม แตไมท ําใหผลของคําส่ังของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ในความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ซึ่งเปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมายเปล่ียนแปลงไป ประกอบกับ
ผูฟองคดีมิไดโตแยงในประเด็นดังกลาว อีกทั้งโทษไลออกจากราชการเปนโทษสูงสุดของโทษ
ทางวินัย ศาลจึงไมจําตองพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังในสวนอื่นท่ีไมชอบดวยกฎหมายของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๒ อีก สําหรับกรณีท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ อางวาผูฟองคดีไมมีสิทธิฟอง
ขอใหศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงส่ังลงโทษผูฟองคดีตามมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ นั้น เห็นวา คําฟองของผูฟองคดีจึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจาหนาท่ีของรัฐ
กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายในการออกคําสั่งตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ และอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ตามมาตรา ๑๑ (๓)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว สวนการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ทําการไตสวนขอเท็จจริงและมีมติวา
การกระทําของผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัย และสงเรื่องใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชา
ของผูฟ องคดเี พ่อื พิจารณาโทษทางวนิ ยั ตามฐานความผิดทผ่ี ูถกู ฟอ งคดีที่ ๓ มีมติ น้นั เปนการใชอ ํานาจ
ตาม พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงเปนกฎหมายในระดับ
พระราชบัญญัติ และเปนการใชอํานาจทางปกครอง ดังน้ัน แมผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะเปนองคกร
ตามรัฐธรรมนูญ แตการใชอํานาจดังกลาวมิใชการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญแตอยางใด
สําหรับคําวนิ ิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ท่ี ๒/๒๕๔๖ ลงวันท่ี ๖ กมุ ภาพันธ ๒๕๔๖ ที่วาเมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ไดไตสวนและวินิจฉัยวาเจาหนาที่ของรัฐกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีจึงเปนอันยุติ
องคกรที่มีอํานาจพิจารณาอุทธรณจึงไมอาจพิจารณาเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยตามท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ วินิจฉัยยุติแลว ใหเปนประการอื่นไดอีก น้ัน กรณีดังกลาวเปนการวินิจฉัยปญหา
ระหวางอาํ นาจของผถู ูกฟองคดที ่ี ๓ กับผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณการลงโทษทางวินัยในคดีนี้ คือ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ แตไมมีผลผูกพันศาลซ่ึงเปนองคกรท่ีใชอํานาจตุลาการที่มีอิสระในการพิจารณาอรรถคดี
และสามารถตรวจสอบและแสวงหาขอเท็จจริงไดตามความเหมาะสม ในการน้ีศาลปกครองจะรับฟง
พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผูเชี่ยวชาญ หรือพยานหลักฐานอ่ืน นอกเหนือจากพยานหลักฐาน
ของคูกรณีไดตามที่เห็นสมควร ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๙๗ ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๕๕ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ดังนั้น
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙)
ศาลปกครองยอมมีอํานาจดุลพินิจอยางอิสระที่จะพิจารณาพิพากษาคดีน้ีไดตามรูปคดี โดยไมจําตอง
ยึดถือพยานหลกั ฐานจากสํานวนคดขี องผถู กู ฟองคดีท่ี ๓ แตอ ยางใด
พพิ ากษายกฟอง
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี ฟบ.๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการในตําแหนงปลัดอําเภอ (เจาพนักงาน
ปกครองชํานาญการ) ฝายทะเบียนและบัตร ท่ีทําการปกครองอําเภอแกงคอย จังหวัดสระบุรี
สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (กรมการปกครอง) กระทรวงมหาดไทย ไดสมัครและผานการคัดเลือก
เขารับการศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ รุนท่ี ๖๘ ตามประกาศกรมการปกครอง ลงวันท่ี
๒๓ เมษายน ๒๕๕๒ เรื่อง ผลการคัดเลือกขาราชการเพื่อเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ
ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ผูฟองคดีไดเขาศึกษาอบรมจนจบหลักสูตรดังกลาว ในระหวาง
การอบรม ไดมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีที่ ๕ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริต
แหงชาติ) กลาวหาผูบริหารของผูถูกฟองคดีที่ ๒ วามีพฤติการณเรียกรับเงินจากขาราชการ
เพื่อชวยเหลือใหไดรับคัดเลือกเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒
ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไดดําเนินการไตสวนกรณีดังกลาว และมีขาวแพรไปถึงคณะกรรมาธิการ
ปองกนั และปราบปรามการทุจรติ ประพฤติมิชอบ สภาผูแทนราษฎร ซง่ึ นาย ว. ขณะดํารงตําแหนง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมการปกครอง) และนาย ฒ. ผูอํานวยการกองการเจาหนาที่ ไดเขา
ชี้แจงตอคณะกรรมาธิการฯ ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยคณะกรรมาธิการฯ ไดมีมติให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ สงเอกสารขอมูลรายละเอียดคะแนนสอบท่ีประกาศไปแลวท้ังหมด นาย ว. และ
นาย ฒ. เกรงวา จะมกี ารตรวจกระดาษคําตอบในรายท่ีตนไดใหความชวยเหลือ จึงไดตรวจคําตอบ
ของผูไดรับการชวยเหลือวาเขียนขอความคําตอบสมควรกับคะแนนท่ีไดหรือไม หากรายใดได
คะแนนไมสมควร ก็จะนํากระดาษคําตอบเปลาเน้ือในท้ังขอสอบภาควิชาความรูความสามารถ
ทั่วไป (ปกสีเหลือง) และภาควิชาความรูความสามารถเฉพาะตําแหนง (ปกสีชมพู) ใหนาย ค.
เลขานุการของนาย ว. ซ่ึงเปนประธานรุนที่ ๖๘ ไปติดตอตัวแทนรุนทั้ง ๓ รุนใหมาพบนาย ฒ.
ท่ีกรมการปกครองในวันที่ ๓๐ หรือวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เพื่อนํากระดาษคําตอบเปลา
พรอมตัวอยางคําตอบ ๓ – ๔ ตัวอยาง ไปใหบุคคลท่ีชวยเหลือไวเพ่ือเขียนคําตอบใหม จากนั้น
ตัวแทนรุนไดนํากระดาษคําตอบเปลาไปใหผูเขาสอบที่มีรายช่ือรวม ๑๔๒ คน ดําเนินการเขียน
ขอความดังกลาว แลวนําไปมอบใหนาย ฒ. ดําเนินการปลอมเอกสารกระดาษคําตอบโดยวิธีแกะ
เนื้อกระดาษคําตอบสีขาวท่ีอยูดานในของชุดเดิมออก และนํากระดาษคําตอบที่ทําขึ้นใหม
สวมรวมเขากับปกสมุดคําตอบเดิมโดยกระดาษคําตอบของผูฟองคดีทั้งสีเหลืองและสีชมพูพบ
รองรอยการแกไ ข ซ่ึงผฟู อ งคดีใหการรบั วา ตนไดเ ขยี นกระดาษคาํ ตอบดวยลายมือเขยี นของตนเอง
ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ไดมีมติช้ีมูลความผิดวา
ผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตาม พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๘๕ (๔) และไดสงรายงาน และความเห็นใหผูถูกฟองคดี
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๐)
ที่ ๑ พิจารณาลงโทษทางวินัยกับผูฟองคดี แลวเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะอนุกรรมการ
ขาราชการพลเรือน กระทรวงมหาดไทย) ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พิจารณาแลวมีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑จึงมีคําสั่งลงวันท่ี
๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีไดรับคําสั่งดังกลาวเมื่อวันที่
๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ จึงอุทธรณตอผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม)
ซ่ึงไดพิจารณาในการประชุมเม่ือวันท่ี ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ แลว เห็นวา การกระทําของผูฟองคดี
เปนเพียงผูมีสวนรวมในการกระทําความผิดเก่ียวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกลักษณะมีการชวย
ผูลงมือกระทําผิดหลังจากไดลงมือกระทําความผิดแลว จึงไมถือวาเปนความผิดรวมกับผูกระทํา
ความผดิ อุทธรณข องผูฟองคดีฟงขึ้นบางสวน จึงใหลดโทษเปนปลดออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ และใหลดโทษ
จากไลออก เปนปลดออกจากราชการ ตั้งแตวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ผูฟองคดีเห็นวา การที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งไลผูฟองคดีออกจากราชการ และตอมาไดมีคําสั่งลดโทษเปนปลด
ผูฟอ งคดีออกจากราชการตามคาํ วินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไมชอบดวยกฎหมาย และมีผลทําให
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไมชอบดวยกฎหมายดวย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ท่ีปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพกิ ถอนมตขิ องผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ทม่ี มี ติลงโทษไลผฟู อ งคดีออกจากราชการ เพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘
และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีใหลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
ท่ีมีมติชี้มูลความผิดวินัยอยางรายแรงฐานประพฤติช่ัวอยางรายแรง และใหผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําส่ังรับผูฟองคดีกลับเขารับราชการที่กรมการปกครองในตําแหนงเดิม และเบิกจายเงินเดือน
คาตอบแทน โบนัส และสิทธิประโยชนอื่นคืนใหแกผูฟองคดีจนครบจํานวน และขอใหศาลมีคําส่ัง
ทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ไวเปนการชั่วคราวจนกวาคดีจะถึงท่ีสุด
เห็นวา อํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการช้ีมูลความผิดทางวินัย เปนกรณีที่กําหนดไว
ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต การใชอํานาจของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๕ ตามมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ และชี้มูลความผิดทางวินัย เปนการใชอํานาจที่บัญญัติไวในกฎหมายประกอบ
รฐั ธรรมนูญดังกลาว มิใชการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญแตอยางใด การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๕
ไตสวนและมีมติชี้มูลความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและ
ชี้มูลความผิดทางวินัยที่จะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาซ่ึงเปน
การใชอํานาจทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญน้ัน อันจะเปนขอยกเวนตามมาตรา ๒๒๓
วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เมื่อคดีน้ีผูฟองคดีฟอง
โตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิด
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๑)
ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๕ ช้ีมูล และโตแยงคําวินิจฉัยอุทธรณ ซ่ึงคําส่ังลงโทษวินัยอยางรายแรงและ
คําวินิจฉัยอุทธรณ เปนการใชอํานาจตามกฎหมายที่มีผลเปนการสรางนิติสัมพันธข้ึนระหวาง
บุคคลหรือมีผลกระทําตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดี จึงเปนคําส่ังทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดีมีคําขอให
ศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งท้ังสองดังกลาว จึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีหนวยงาน
ทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และเปนคดีที่มีกฎหมายกําหนดใหอยูในอํานาจศาลปกครองสูงสุด
ตามมาตรา ๑๑ (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบกับมาตรา ๑๑๖ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน้ีได
โดยท่ีขอกลาวหาที่อยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของผูถูกฟองคดีที่ ๕ หมายถึงเฉพาะ
ขอกลาวหาท่ีเก่ียวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี กระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่
ราชการหรอื กระทําความผดิ ตอ ตาํ แหนง หนา ท่ีในการยุตธิ รรมเทานั้น ซ่ึงเปนมูลความผิดทางอาญา
สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีถือเปนมูลความผิดทางวินัยแมวาในระหวางการพิจารณาของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๕ จะไดมีการแกไขอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ตามมาตรา ๑๙ (๔)
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีการประกาศใช
พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีผลใชบังคับ
ตั้งแตวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ แตบทบัญญัติเก่ียวกับอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๕
เปนกฎหมายในสวนสารบัญญัติ การพิจารณาขอบเขตอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๕
วามีอยูแคไหน เพียงใด นั้น จึงตองเปนไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใชบังคับอยูในขณะท่ีมี
การกลาวหาและต้ังอนุกรรมการไตสวนผูฟองคดีตาม พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปราม
การทุจริตพ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิด
ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของ
ผูฟองคดี ท่ีจะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕
มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ อยางไรก็ตาม การที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไดมีหนังสือสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงพรอมเอกสารประกอบเพ่ือให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาโทษทางวินัยกับผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง จึงถือไดวาเปนกรณีที่มีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวา
ผูฟองคดีซ่ึงเปนขาราชการพลเรือนไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซ่ึงตามมาตรา ๙๐ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวด ๗ การดําเนินการทางวินัย บัญญัติวา
เมื่อมีการกลาวหาหรือมีกรณีเปนที่สงสัยวาขาราชการพลเรือนสามัญผูใดกระทําผิดวินัย
ใหผูบังคับบัญชามีหนาท่ีตองรายงานใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
ทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจบรรจุตามมาตรา ๕๗ ดําเนินการตาม
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๒)
พระราชบัญญัตินี้โดยเร็วดวยความยุติธรรมและปราศจากอคติ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีหนาท่ี
ตองดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีโดยแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดีตามท่ี
ถูกกลาวหาในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง โดยปฏิบัติ
ตามหลักเกณฑ วิธีการ และเงื่อนไขเก่ียวกับการสอบสวนพิจารณาเพ่ือใหผูฟองคดีซ่ึงเปน
ผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหาและไดมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอน
และวิธีการท่ีกําหนดไวใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับกฎ ก.พ.
ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
วาดวยการสอบสวนพิจารณา เม่ือปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดดําเนินการ
ตามขั้นตอน วิธีการและกระบวนการสอบสวนวินัยตามพระราชบัญญัติดังกลาว แตกลับอาศัย
รายงาน เอกสาร และความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ แลวพิจารณามีคําสั่งลงวันท่ี ๙ มิถุนายน
๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ชี้มูลความผิด
การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ และตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออก เปนปลดออกจากราชการ
ต้ังแตวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ เปนตนไป จึงเปนการกระทําโดยไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน
เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ
ทีก่ าํ หนดไวส ําหรับการกระทาํ นนั้
พิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม
๒๕๕๘ และคาํ ส่งั ของผูถกู ฟองคดที ่ี ๑ ลงวนั ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ทีล่ ดโทษผูฟองคดีจากไลออก
เปนปลดออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ีคําสั่งดังกลาวใชบังคับ คําขออื่น
นอกจากนี้ ใหย ก โดยมีขอ สงั เกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษา
ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตามกฎหมายใหแกผูฟองคดีในระหวาง
ท่ีถูกปลดออกจากราชการ ท้ังน้ี ไมตัดสิทธิผูถูกฟองคดีที่ ๑ หรือผูมีอํานาจบรรจุแตงตั้ง
ท่ีจะดําเนินการสอบสวนและพิจารณามีคําส่ังใหมใหถูกตองตามกฎหมายตอไป และเมื่อมี
คําพิพากษาแลว กรณีจึงไมจําตองพิจารณาคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองของ
ผฟู องคดอี ีก
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟบ.๑๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนอดีตขาราชการพลเรือน เมื่อคร้ังดํารงตําแหนง
ปลัดอําเภอ (เจาพนักงานปกครองชํานาญการ) ฝายบริหารงานการปกครอง ท่ีทําการปกครอง
อาํ เภอบําเหนจ็ ณรงค จังหวัดชยั ภมู ิ สอบผานการคัดเลือกเพ่ือเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ
ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และไดเ ขารบั การศกึ ษาอบรมจนจบหลักสูตร แตปรากฏวา ในระหวาง
นั้นไดมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีท่ี ๕ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ)
วา ผูบริหารของผูถูกฟองคดีที่ ๒ (กรมการปกครอง) มีพฤติกรรมเรียกรับเงินเพื่อชวยเหลือใหเปน
ผูไดรับการคดั เลอื กเขา รบั การศกึ ษาอบรมหลักสูตรดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไดไตสวนขอเท็จจริง
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๓)
แลว รับฟงไดวาผูฟองคดีมีสวนรวมกระทําความผิด ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ จึงมีมติชี้มูลวา ผูฟองคดี
มีมูลความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และสงรายงาน เอกสาร ความเห็นไปยัง
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมการปกครอง) เพ่ือพิจารณาลงโทษทางวินัยผูฟองคดี ตอมา
ผูถ ูกฟองคดที ่ี ๓ (คณะอนกุ รรมการขาราชการพลเรือน กระทรวงมหาดไทย) ไดม ีมติในการประชุม
เมื่อวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดท่ี
ผูถกู ฟองคดีที่ ๕ มมี ติ ผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๑ จึงมีคําสัง่ ลงวันท่ี ๙ มถิ ุนายน ๒๕๕๗ ไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ดังกลาว โดยใหมีผลต้ังแตวันที่มีคําส่ัง ผูฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ อุทธรณคําสั่งดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการพิทักษ
ระบบคุณธรรม) ไดพิจารณาในการประชุมเม่ือวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ แลว เห็นวา ผูฟองคดี
เปนเพียงผูมีสวนสนับสนุนในการกระทําผิดเกี่ยวกับการทุจริตสอบคัดเลือกขาราชการ
เพ่ือเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ ประจําปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ในลักษณะชวยเหลือ
ผูลงมือกระทําผิดหลังจากไดลงมือกระทําผิดแลว จึงไมถือวาเปนความผิดรวมกับผูกระทําผิด
ไมสมควรกําหนดโทษในระดับเดียวกับผูกระทําผิด อุทธรณของผูฟองคดีฟงข้ึนบางสวน จึงมีมติ
ใหลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการ เปนปลดออกจากราชการตามคําวินิจฉัย ลงวันท่ี
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ จากนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษ
ผฟู องคดีตามมตขิ องผูถูกฟอ งคดีท่ี ๔ จากไลออกจากราชการ เปนปลดออกจากราชการ ผูฟองคดี
เห็นวา กระบวนการไตสวนขอเท็จจริงและการพิจารณาวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๕ เพ่ือมีมติ
ช้ีมูลความผิดของผูฟองคดีเปนการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย ไมมีผลผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ท่ีจะถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ มาเปนสํานวน
การสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ นําผลการดําเนินการ
ดังกลาว มามีมติลงโทษทางวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดีโดยมิไดตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
เปนมติท่ีไมชอบดวยกฎหมายทําใหคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙
ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันท่ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ที่ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ คําวินิจฉัยอุทธรณของ
ผูถกู ฟอ งคดที ่ี ๔ ลงวันที่ ๓๐ ธนั วาคม ๒๕๕๘ และมติของผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๔ ในการประชุมเม่ือวันที่
๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีมีคําวินิจฉัยอุทธรณและมีมติใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่มีมติช้ีมูลวา
ผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งรับผูฟองคดี
กลับเขารบั ราชการในตาํ แหนง เดมิ พรอ มเบกิ จา ยเงนิ เดอื น คาตอบแทน โบนัส และสิทธิประโยชน
อ่ืนคืนใหแกผูฟองคดีจนครบจํานวน เห็นวา เมื่อคดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมาย
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๔)
ของคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ และคําสั่งลงโทษปลดออกจากราชการ อันเปนคําสั่ง
ท่ีออกตามคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ซ่ึงมีลักษณะเปนการใชอํานาจตามกฎหมาย
ของเจาหนาท่ีท่ีมีผลเปนการสรางนิติสัมพันธข้ึนระหวางบุคคลหรือมีผลกระทบตอสถานภาพ
ของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี จึงเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดีมีคําขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังทั้งสอง
ดังกลาว จึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจาหนาท่ีของรัฐออกคําสั่งโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ และเปนคดีที่มีกฎหมายบัญญัติ
ใหอยูในอํานาจศาลปกครองสูงสุดตามมาตรา ๑๑ (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบกับ
มาตรา ๑๑๖ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสุด
จงึ มีอํานาจพจิ ารณาพิพากษาคดนี ้ไี ด
เม่ือฐานอํานาจท่ีนําไปสูการไตสวนและช้ีมูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๕ มาจาก
พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๕
ไตสวนและมีมติช้ีมูลความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและ
ชมี้ ลู ความผดิ ทางวินัยทจ่ี ะตองมีการพิจารณาสัง่ ลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาซึ่งเปนการ
ใชอํานาจทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญ ในอันจะเปนขอยกเวนตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
แหง ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐
เมื่อรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และ พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ท่ีใชบังคับในขณะเกิดขอพิพาท บัญญัติวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ มีอํานาจไตสวนและพิจารณาขอกลาวหาที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดวินัยฐาน
ทุจรติ ตอ หนาที่ กระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ี
ในการยุติธรรมเทา นน้ั และโดยทป่ี ระมวลกฎหมายอาญาไดบ ัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับ
ความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการไวในภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖
และไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเกี่ยวกับความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรมไว
ในลักษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๕ ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการและ
ความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรม จึงเปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริต
ตอหนาที่ถือเปนมูลความผิดทางวินัย ดังนั้น หากการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัย
ของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ปรากฏวา เจาหนาท่ีของรัฐผูถูกรองเรียนไดกระทําความผิดวินัยฐานอ่ืน
อันมิใชความผิดฐานทจุ ริตตอ หนา ท่ี เชน ในคดีนที้ ่ีผูถ ูกฟองคดีที่ ๕ ชี้มูลวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีดังกลาวจึงไมตองดวยบทบัญญัติ
มาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ เปนสํานวนการ
สอบสวนทางวนิ ยั ตาม พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แลวพิจารณาโทษทางวินัย
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๕)
ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕ มีมติโดยไมตองตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกได
อยางไรก็ตาม เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๕ ไดสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นเพ่ือให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง จึงถือไดวาเปนกรณีท่ีมีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวา
ผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซ่ึงตามมาตรา ๙๐ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติวา เม่ือมีการกลาวหาหรือมีกรณี
เปนท่ีสงสัยวาขาราชการพลเรือนสามัญผูใดกระทําผิดวินัย ใหผูบังคับบัญชามีหนาท่ีตองรายงาน
ใหผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ ทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชา
ซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ ดําเนินการตามพระราชบัญญัติน้ีโดยเร็วดวยความยุติธรรม
และโดยปราศจากอคติ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีหนาที่ตองดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดี
ท่เี ปน ผใู ตบงั คับบัญชาของตน โดยแตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยตามท่ีถูกกลาวหาในความผิด
ฐานกระทําการอันไดช ่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขั้นตอนของกฎหมายแลวออกคําส่ัง
ลงโทษตามฐานความผิดท่ีไดดําเนินการสอบสวนใหมตอไป เมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไมไดดําเนินการตามข้ันตอน วิธีการและกระบวนการสอบสวนวินัยตามพระราชบัญญัติดังกลาว
แตกลับอาศัยรายงาน เอกสาร และความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ แลวพิจารณามีคําสั่งลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๕ ช้ีมูลความผิดจึงเปนคําส่ัง
ท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการ
อันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทํานั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณ
ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีใหลดโทษผูฟองคดี และตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการ เปนปลดออกจากราชการ
จงึ เปนคาํ สง่ั ทไี่ มช อบดว ยกฎหมายเชน กัน
พิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม
๒๕๕๘ เฉพาะในสวนที่วินิจฉัยอุทธรณคําส่ังลงโทษผูฟองคดี และคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มกราคม
๒๕๕๙ ทปี่ ลดผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ทั้งนี้ โดยใหมีผลยอนหลัง
ตั้งแตวันที่มีคําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาว โดยมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการ
ดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาวา ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชน
ที่พึงไดรับตามกฎหมายและระเบียบท่ีเก่ียวของใหแกผูฟองคดี เสมือนวาผูฟองคดีไมเคย
ถูกปลดออกจากราชการ
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ฟบ.๑๖/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาพนักงานปาไมอาวุโส สํานักงาน
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมจังหวัดชลบุรี ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดมีมติเม่ือวันที่
๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพิ่มเติมในการประชุมเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ช้ีมูลความผิดผูฟองคดี
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖)
ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ สงความเห็นไปยังผูบังคับบัญชาตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ตอมา อ.ก.พ. สํานักงานปลัดกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม ไดมีมติเม่ือวันท่ี ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ใหลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม) จึงมีคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗
ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ อุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําวินิจฉัยลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีไดรับแจงคําวินิจฉัยเม่ือวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และ
ไมเห็นดวยเนื่องจากผูฟองคดีไมไดกระทําความผิดตามที่ถูกกลาวหา จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพ่ิมเติม
ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ และเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันท่ี
๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ี
ออกคําสั่งและดําเนินการใหผูฟองคดีกลับสูตําแหนงเดิม เห็นวา เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓)
มาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง วรรคสอง และ พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑) และ (๒) และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แลวจะเห็นไดวา ในกรณีท่ีรัฐธรรมนูญประสงคจะใหการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรอิสระใด
เปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญน้ัน รัฐธรรมนูญจะตองกําหนดบทบัญญัติใหอํานาจ
ดังกลาวไวอยางชัดเจน และเม่ือพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญ
ดังกลาว ไมไดบัญญัติใหอํานาจผูถูกฟองคดีที่ ๓ ช้ีมูลความผิดทางวินัยไว และบทบัญญัติมาตราอ่ืนๆ
ในรัฐธรรมนูญ ก็ไมมีมาตราใดท่ีใหอํานาจผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการช้ีมูลความผิดทางวินัย
เชนเดียวกัน เม่ือฐานอํานาจที่นําไปสูการไตสวนและชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มาจาก
พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ไตสวนและมีมติชี้มูลความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและ
ช้ีมูลความผิดทางวินัยท่ีจะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาซึ่งเปน
การใชอํานาจทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญ ในอันท่ีจะเปนขอยกเวนอํานาจพิจารณา
พิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ เมื่อคดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําส่ังลงโทษ
ปลดออกจากราชการ ซ่ึงมีลักษณะเปนการใชอํานาจตามกฎหมายของเจาหนาท่ีท่ีมีผล
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗)
เปนการสรางนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคลหรือมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่
ของผูฟองคดี จึงเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยผูฟองคดีมีคําขอใหศาลมีคําพิพากษา
เพิกถอนคาํ ส่งั ท้ังสองดงั กลา ว จงึ เปนคดีพพิ าทเกีย่ วกบั การท่เี จา หนาทขี่ องรัฐออกคําสั่งโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และเปนคดี
ที่มกี ฎหมายกําหนดใหอ ยูใ นอํานาจศาลปกครองสงู สุดตามมาตรา ๑๑ (๓) แหง พระราชบัญญัติดังกลาว
ประกอบกับมาตรา ๑๑๖ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีคําสั่งลงวันที่
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ แตงตั้งพนักงานไตสวนขอเท็จจริงผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี และ
จากการไตสวนปรากฏวา ผูฟองคดีมีสวนเก่ียวของในการกระทําความผิดดวย ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๒ มีมติรับเรื่องไวพิจารณาและมอบหมายใหพนักงาน
ไตสวนชุดเดิมไตสวนขอเท็จจริงผูฟองคดีและเจาหนาที่ท่ีถูกกลาวหา ซ่ึงสํานักงาน ป.ป.ช.
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ แจงคําส่ังแตงต้ังพนักงานไตสวนและแจงขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบ ดังน้ัน การชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ตองบังคับตามมาตรา ๑๙ (๓)
แหง พ.ร.ป. วาดว ยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชบังคับ
อยูในขณะท่ีมีการกลาวหาและต้ังอนุกรรมการไตสวนผูฟองคดี เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพ่ิมเติมในการประชุมเมื่อวันที่
๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ชี้มูลความผิดผูฟองคดีวา มีความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาที่
ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบาย
ของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง
พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงเปนความผิดฐานอ่ืนท่ีมิใชฐานทุจริตตอหนาท่ี
กรณีดังกลาวจึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและ
ความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓ เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยแลวพิจารณาโทษทางวินัย
ตามฐานความผิดที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ชี้มูลโดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได
ตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
อยางไรก็ตาม เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นเพ่ือให
ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๒ พิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดี ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงถือไดวาเปนกรณีที่มีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวา
ผูฟองคดีซึ่งเปนขาราชการพลเรือนสามัญไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซึ่งเปนหนาที่ของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะตองแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามฐานความผิดดังกลาว
ตามขัน้ ตอนของกฎหมาย แลวออกคําส่ังลงโทษทางวินัยตามฐานความผิดท่ีไดดําเนินการสอบสวนใหม
ตอไป เม่ือปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมไดดําเนินการตามขั้นตอนวิธีการ
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๘)
และกระบวนการสอบสวนวินัยตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และกฎ
ระเบียบท่ีเกี่ยวของ แตกลับอาศัยรายงาน เอกสารและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓
แลวพิจารณามีคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ ชี้มูล
จึงเปนคําส่ังทางปกครองท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตอง
ตามรูปแบบ ข้ันตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทําน้ัน และ
เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีและมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณโดยอาศัย
ขอเท็จจริงอยางเดียวกัน คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
จึงไมช อบดวยกฎหมายเชนกัน สาํ หรับคาํ ขอของผฟู อ งคดที ีข่ อใหศ าลเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพ่ิมเติมในการประชุมเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ น้ัน
เมื่อไดวินิจฉัยแลววา คําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการเปนคําส่ังทางปกครอง มติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เปนข้ันตอนการดําเนินการหรือเตรียมการเพื่อจัดใหมีคําสั่งดังกลาว จึงเปนเพียง
การพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ท่ีมีผลทางกฎหมายระหวางผูถูกฟองคดีท่ี ๓ กับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ไมใชคําสั่งทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ศาลไมอาจมีคําพิพากษา
เพิกถอนตามคําขอของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟองโดยมีคําขอใหศาลพิพากษาเพิกถอน
มติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ สําหรับ
ขอ โตแ ยง อ่นื ไมจาํ ตองวนิ ิจฉยั เนอื่ งจากไมท าํ ใหผลของคดีเปล่ียนแปลงไป
พิพากษาเพกิ ถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
และคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามคําส่ังลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังตั้งแตวันที่มีคําวินิจฉัยอุทธรณและคําส่ังดังกลาว คําขออื่น
นอกจากนี้ ใหยก โดยมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาวา
ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชนท่ีผูฟองคดีพึงไดรับตามกฎหมาย
และระเบียบที่เก่ยี วของแกผูฟองคดี เสมือนวา ไมเ คยถูกปลดออกจากราชการ
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ ฟบ.๑๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการในตําแหนงปลัดอําเภอ (เจาพนักงานปกครอง
ชํานาญการ) ฝายความมั่นคง ท่ีทําการปกครองอําเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี สังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๒
(กรมการปกครอง) กระทรวงมหาดไทย ผานการคัดเลือกและเขารับการศึกษาอบรมหลักสูตร
นายอําเภอ รุนท่ี ๖๙ แตในระหวางการอบรมมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีที่ ๕ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทจุ ริตแหง ชาต)ิ กลาวหาวา ผบู รหิ ารของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีพฤติการณเรียกรับเงิน
จากขาราชการเพ่ือชว ยเหลอื ใหไ ดรบั คดั เลือกเขา ศึกษาอบรมหลักสูตรดังกลาว ซึ่งผูถูกฟองคดีที่ ๕
ไดดําเนินการไตสวนและมีมติชี้มูลความผิดวา ผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานประพฤติชั่วอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๙)
และไดสงรายงานและความเห็นใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมการปกครอง) พิจารณาลงโทษทางวินัย
ผูฟองคดี แลวเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะอนุกรรมการขาราชการพลเรือน กระทรวงมหาดไทย)
ในการประชมุ เม่อื วันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ พจิ ารณาแลวมมี ตใิ หลงโทษไลผ ฟู องคดอี อกจากราชการ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดี
จึงอุทธรณคําสั่งดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดพิจารณา
ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ แลวเห็นวา การกระทําของผูฟองคดีเปนเพียงผูมีสวนรวม
ในการกระทําความผิดเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกลักษณะมีการชวยผูลงมือกระทําผิด
หลังจากไดลงมือกระทําความผิดแลว จึงไมถือวาเปนความผิดรวมกับผูกระทําความผิด จึงใหลดโทษ
เปนปลดออกจากราชการ ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ จึงมีคาํ สั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี
๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ และใหลดโทษจากไลออกเปน ปลดออกจากราชการ ต้ังแตว ันท่ี ๙ มถิ นุ ายน ๒๕๕๗
ผฟู องคดีเห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไมมีอํานาจไตสวนและช้ีมูลความผิดวินัยฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงไมสามารถถือเอารายงานการไตสวนและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ มาเปนสํานวนการสอบสวน
ทางวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
ท่ีสิ้นผลไปแลวตามประกาศคณะรักษาความสงบแหงชาติ เม่ือวันท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
แตต องแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินยั ผูฟองคดตี ามข้ันตอนและวิธีการท่ีกําหนดในมาตรา ๙๓
วรรคหนง่ึ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในฐานความผิดตามมติช้มี ูลความผิดของผูถกู ฟองคดีท่ี ๕ โดยไมไดแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ผูฟองคดี จึงไมชอบดวยกฎหมาย และมีผลทําใหคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔
ไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ทีป่ ลดผูฟองคดีออกจากราชการ มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเม่ือวันท่ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ท่ีมีมติลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ คําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘
ท่ีใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันที่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ท่ีมีมติชี้มูลความผิดวินัยอยางรายแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตาม พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๘๕ (๔) พรอมทั้งใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําส่ังรับ
ผฟู องคดีกลบั เขารับราชการทีก่ รมการปกครองในตําแหนงเดมิ และเบิกจา ยเงนิ เดอื น คาตอบแทน โบนัส
และสิทธิประโยชนอ่ืนคืนใหแกผูฟองคดีจนครบจํานวน เห็นวา เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติของ
รฐั ธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓) มาตรา ๒๒๓
วรรคหนง่ึ และวรรคสอง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓)
มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๙๖ แลว จะเห็นไดวา ในกรณีท่ีรัฐธรรมนูญ
ประสงคจะใหการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกรอิสระใดเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญน้ัน
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๐)
รัฐธรรมนญู จะตอ งกําหนดบทบญั ญตั ใิ หอํานาจดังกลาวไวอ ยางชัดเจน และเมือ่ พิจารณาบทบัญญัติ
มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓) แลว ไมไดบทบัญญัติใหอํานาจผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการชี้มูลความผิด
ทางวินยั ไว แตอ ํานาจหนา ท่ีของผถู กู ฟองคดที ่ี ๕ ในการชมี้ ลู ความผดิ ทางวินยั เปนกรณีที่กําหนดไว
ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต กรณีจึงเห็นไดวา
การใชอํานาจของผถู ูกฟองคดีที่ ๕ ในการชี้มูลความผิดทางวินัย เปนการใชอํานาจตามท่ีบัญญัติไว
ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกนั และปราบปรามการทุจริต มิใชการใชอ าํ นาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญแตอยางใด การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไตสวนและมีมติช้ีมูลความผิดผูฟองคดีวา
เปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและช้ีมูลความผิดทางวินัยท่ีจะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษ
ทางวินยั ตอไปโดยผบู งั คับบญั ชาซึง่ เปน การใชอ ํานาจทางปกครอง มิใชเ ปนการวินจิ ฉัยช้ีขาดขององคกร
ตามรัฐธรรมนูญซ่ึงเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญน้ัน
อันจะเปน ขอ ยกเวน ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
คดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
ตามฐานความผิดที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ชี้มูล และโตแยงคําวินิจฉัยอุทธรณ ซึ่งคําส่ังลงโทษวินัยอยางรายแรง
และคําวินิจฉัยอุทธรณเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดีมีคําขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งทั้งสองดังกลาว จึงเปนคดีพิพาท
เกี่ยวกับการที่หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และเปนคดีที่มีกฎหมายกําหนดใหอยู
ในอาํ นาจศาลปกครองสงู สุดตามมาตรา ๑๑ (๓) แหง พระราชบัญญตั ิดังกลา ว ประกอบกับมาตรา ๑๑๖
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสดุ จึงมีอํานาจพิจารณา
พพิ ากษาคดนี ีไ้ ด และเมอ่ื พจิ ารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓) และ พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๙๑ (๑) และมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แลว จะเห็นไดวา ขอกลาวหาที่อยูในอํานาจ
ไตสวนและพจิ ารณาของผถู กู ฟอ งคดีที่ ๕ หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาทเี่ กยี่ วกับการกระทําความผิด
ฐานทุจริตตอหนา ที่ กระทําความผดิ ตอตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่
ในการยุติธรรมเทานั้น และโดยที่ประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับ
ความผิดตอ ตําแหนงหนา ทร่ี าชการไวในภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖
และไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม
ไวในลักษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๕ ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ
และความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรม จึงเปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริต
ตอ หนาทีถ่ อื เปน มูลความผิดทางวนิ ัย ดังนน้ั การทผี่ ูถ ูกฟองคดีท่ี ๕ ช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดี
ในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี
ท่ีจะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ มาเปนสํานวน
การสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป.
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๑)
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ อยางไรก็ตาม การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕
ไดมีหนังสือสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงพรอมเอกสารประกอบเพื่อใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
พิจารณาโทษทางวินัยกับผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
จึงถือไดวาเปนกรณีที่มีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวาผูฟองคดีซ่ึงเปน
ขาราชการพลเรือนไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซึ่งตามมาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีหนาที่ตองดําเนินการ
ทางวนิ ัยกับผฟู องคดโี ดยแตง ตัง้ คณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดีตามที่ถูกกลาวหาในความผิด
ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ วิธีการ
และเง่ือนไขเก่ียวกับการสอบสวนพิจารณาเพ่ือใหผูฟองคดีซึ่งเปนผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหา
และไดมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการที่กําหนดไวในพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา เมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา
ผถู ูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดด าํ เนินการตามขนั้ ตอน วธิ ีการ และกระบวนการสอบสวนวนิ ยั ตามพระราชบัญญัติ
ดังกลาว แตกลับอาศัยรายงาน เอกสาร และความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ แลวพิจารณามีคําส่ัง
ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๕
ช้ีมูลความผิด ซ่ึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมายการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณลงวันท่ี
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีใหลดโทษผูฟองคดี และตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออกเปนปลดออกจากราชการ จึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวย
กฎหมายเชนกัน เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ข้ันตอน หรือวิธีการอันเปน
สาระสาํ คญั ที่กาํ หนดไวส ําหรับการกระทาํ นั้น
พิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘
เฉพาะสวนทใี่ หลดโทษผฟู อ งคดี และคาํ ส่ังของผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๑ ตามคําส่ังลงวนั ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙
ที่ลดโทษผูฟองคดีจากไลออกเปนปลดออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันที่มีคําสั่งดังกลาว
คาํ ขออืน่ นอกจากน้ีใหย ก โดยมีขอสังเกตเกยี่ วกบั แนวทางหรือวิธีการดําเนนิ การใหเปนไปตามคําพิพากษา
ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตามกฎหมายใหแกผูฟองคดีในระหวาง
ที่ถูกปลดออกจากราชการ ท้ังนี้ ไมตัดสิทธิผูถูกฟองคดีท่ี ๑ หรือผูมีอํานาจบรรจุแตงตั้ง
ท่ีจะดําเนินการสอบสวนและพิจารณามีคําส่ังใหมใหถูกตองตามกฎหมายตอไป และเมื่อ
มีคําพิพากษาแลว กรณีจึงไมจําตองพิจารณาคําขอทุเลาการบังคับตามคําส่ังทางปกครองของ
ผูฟอ งคดีอกี
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๒๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานเทศบาล ตําแหนงวิศวกรโยธา ๗ ว สังกัด
กองชาง เทศบาลเมืองราชบุรี ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี) มีคําสั่งยกเลิกคําส่ังลงโทษลดขั้นเงินเดือนผูฟองคดีจํานวน ๑ ข้ัน
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๒)
และมีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการ
พนักงานเทศบาลจังหวัดราชบุรี) เนื่องจากกรณีผูฟองคดีถูกกลาวหาวา เม่ือครั้งผูฟองคดีไดรับ
แตงตั้งเปนกรรมการจัดซื้อท่ีดินเพ่ือใชเปนท่ีกําจัดขยะมูลฝอยและส่ิงปฏิกูลโดยวิธีพิเศษ
รวมกับพวกอีก ๖ คน รวมกันจัดซื้อที่ดินแพงกวาความเปนจริงและเกิดความเสียหายแก
ทางราชการ มีมูลความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย อันเปนเหตุใหเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง
และฐานเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ผูฟองคดีมีหนังสืออุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีมติใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการโดยอาศัยเพียงสํานวนการไตสวนขอเท็จจริงของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) เปนผลใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ออกคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการตามมติดังกลาว ไมชอบดวยกฎหมายและเปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบ จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพพิ ากษาหรือคาํ สง่ั เพกิ ถอนมตขิ องผูถกู ฟอ งคดีท่ี ๑ ทเี่ หน็ ชอบตามความเห็น
และการช้ีมูลความผิดทางวินัยของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เห็นวา การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไตสวนขอเท็จจริงและมีมติชี้มูลความผิดของ
ผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย เปนเพียงการดําเนินการแสวงหาขอเท็จจริงและรวบรวม
พยานหลักฐานเพื่อท่ีจะทราบขอเท็จจริงหรือมูลความผิด และเปนการชี้มูลความผิดทางวินัย
ท่ีจะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชา จึงเปนการใชอํานาจ
ทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญซ่ึงเปนการใชอํานาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญน้ัน อันจะเปนขอยกเวนอํานาจของศาลปกครอง
ในการพิจารณาพิพากษาคดีตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ และเมื่อคดีนี้ ผูฟองคดีฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี กรณีจึงเปน
คดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจาหนาท่ีของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมาย ซึ่งอยูในอํานาจ
พิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
ศาลปกครองจึงมีอํานาจรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาได โดยผูฟองคดีในฐานะ
คณะกรรมการจดั ซอ้ื ที่ดินโดยวิธีพิเศษมีหนาท่ีตองจัดซื้อที่ดินใหเปนไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
วาดวยการพัสดุของหนวยการบริหารราชการสวนทองถ่ิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ขอ ๕๐ วรรคหนึ่ง (๖)
ซึ่งคณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษมีหนาท่ีตองเชิญเจาของท่ีดินโดยตรงทุกรายใหมาเสนอ
ราคา เพื่อคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษจะไดทราบราคาที่ดินจากเจาของที่ดินแตละราย
และตอรองราคา แตปรากฏวาคณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษไดดําเนินการจัดซ้ือที่ดิน
โดยใหมีผูยื่นเสนอราคาเพียง ๑ ราย คือ นาง ล. เสนอขายท่ีดินจํานวน ๗ แปลง โดยนาง ล.
เปนผูรับมอบอํานาจจากเจาของท่ีดินรายอื่นอีก ๖ แปลง ซึ่งตามรายงานการไตสวนขอเท็จจริง
ของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ปรากฏวา การมอบอํานาจใหแกนาง ล. เกิดจากการดําเนินการของนาย พ.
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๓)
โดยเจาของท่ีดินรายอื่นๆ ไมทราบวาพวกตนไดมอบอํานาจใหนาง ล. เปนตัวแทนในการยื่นเสนอ
ราคาท่ีดินแกเทศบาลเมืองราชบุรี และคณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษไดทําการ
ตอรองราคาที่ดินกับนาง ล. กอนที่จะมีการมอบอํานาจใหนาง ล. เปนตัวแทนย่ืนเสนอราคา และ
มกี ารทาํ หนังสือมอบอาํ นาจยอนหลัง จึงฟงไดวา คณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษไมไดเชิญ
เจาของที่ดินทุกรายมาเสนอราคาขายที่ดินโดยตรง แตไดดําเนินการจัดซื้อที่ดินผานการเสนอขาย
ของนาง ล. โดยมิไดตรวจสอบราคาขายท่ีดินจากเจาของท่ีดินแตละรายโดยตรง อันเปนการไมปฏิบัติ
ตามระเบียบดังกลาว ขอ ๕๐ วรรคหนึ่ง (๖) อีกทั้ง คณะกรรมการจัดซ้ือท่ีดินโดยวิธีพิเศษ
ยอมทราบดีวา สํานักงานท่ีดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบงึ ไดประเมนิ ราคาท่ีดินท่ีเสนอขายไวประมาณ
ไรล ะ ๓๐,๐๐๐ บาท ถึง ๘๐,๐๐๐ บาท และการซือ้ ขายท่ีดินขา งเคียงคร้ังหลังสุด ซ้ือขายกันเพียง
ไรละประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท เทานั้น แตคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษกลับเสนอให
เทศบาลเมืองราชบุรีซื้อท่ีดินดังกลาวในราคาไรละประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ท้ังท่ีปลัดเทศบาล
เมอื งราชบุรไี ดทักทวงแลว วาราคาท่ดี นิ ทีค่ ณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเสนอเพื่ออนุมัติน้ัน
มีราคาสูงกวาราคาประเมินของสํานักงานท่ีดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบึง ประกอบกับเจาของที่ดิน
ท่ีขายท่ีดินใหแกเทศบาลเมืองราชบุรีก็ไดใหถอยคําตอคณะอนุกรรมการไตสวนของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
สอดคลองกันวา ภายหลังจากทําการโอนที่ดินใหแกเทศบาลเมืองราชบุรีแลว มิไดมีการจายเงินใหกับ
ผูขายในราคาไรละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ตามท่ีทําสัญญาซ้ือขาย แตมีการจายเงินใหกับผูขายเพียงไรละ
๔๐,๐๐๐ บาท ถึง ๔๕,๐๐๐ บาท เทานั้น กรณีจึงเห็นไดวา การจัดซ้ือท่ีดินที่พิพาทในคดีนี้
เปนการจัดซ้ือในราคาที่สูงกวาราคาท่ีเจาของที่ดินขายจริง เปนเหตุใหเทศบาลเมืองราชบุรี
ไดรับความเสียหาย เนื่องจากตองซ้ือที่ดินในราคาท่ีสูงเกินจริง โดยมีผูไดรับผลประโยชนจากเงิน
สวนตางจากการขายท่ีดินดังกลาว ซึ่งเปนการแสวงหาประโยชนโดยมิชอบดวยกฎหมายสําหรับตนเอง
หรือผูอ่ืน ถือไดวาเปนการทุจริตในการจัดซื้อที่ดินดังกลาว แมวาความเห็นของผูฟองคดีในฐานะ
คณะกรรมการจัดซ้ือที่ดินโดยวิธีพิเศษท่ีไดเสนอใหมีการจัดซ้ือท่ีดินในราคาดังกลาว จะเปนเพียง
สว นประกอบหน่ึงในการตัดสนิ ใจของหวั หนาสวนราชการหรือผูมีอํานาจส่ังซื้อ โดยมิไดมีผลผูกพัน
ใหตองอนุมัติใหจัดซื้อตามท่ีเสนอก็ตาม แตพฤติการณของผูฟองคดีที่ละเวนการปฏิบัติหนาท่ี
ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยการพัสดุของหนวยการบริหารราชการสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕
ขอ ๕๐ วรรคหน่ึง (๖) ถอื เปนการดําเนินการจดั ซ้ือในลักษณะที่เอื้อใหมีการจัดซ้ือที่ดินในราคาสูงเกินจริง
ยอ มฟง ไดว า ผฟู อ งคดมี ีสวนรเู ห็นหรอื มสี ว นรวมในการทจุ รติ จดั ซอ้ื ทีด่ ินเพื่อใหเ ปนทกี่ าํ จดั ขยะมูลฝอย
และสิ่งปฏิกูลในราคาท่ีสูงกวาราคาที่เจาของท่ีดินขายจริง โดยมีการแบงหนาท่ีกันทําตามข้ันตอน
ท่ีแตละคนไดรับมอบหมาย เปนเหตุใหเทศบาลเมืองราชบุรีไดรับความเสียหาย การกระทําของ
ผูฟองคดีจึงเปนความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ และเปนความผิด
ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี
หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง รวมทั้งยังถือวาเปนความผิด
ฐานประพฤติชั่วอยา งรายแรง ตามขอ ๓ ขอ ๖ และขอ ๑๙ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล
จงั หวัดราชบรุ ี เรื่อง หลักเกณฑและเง่ือนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การใหออกจากราชการ
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๔)
การอุทธรณ และการรอ งทุกข ลงวนั ท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหยกเลิกคําสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนผูฟองคดี ๑ ข้ัน จึงเปนคําส่ัง
ที่ชอบดวยกฎหมายแลว และเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดพิจารณาอุทธรณของ
ผูฟองคดีโดยอาศัยขอเท็จจริงและขอกฎหมายอยางเดียวกัน แลวมีมติยกอุทธรณของผูฟองคดี
มตขิ องผถู กู ฟองคดที ี่ ๑ ดังกลาวจงึ ชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษา
เพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ียกอุทธรณ
ของผูฟองคดี โดยใหมีผลยอนหลังไปตั้งแตวันท่ีคําส่ังน้ันมีผล คําขออ่ืนนอกจากนี้ใหยก น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดไมเห็นพอ งดวย
พพิ ากษากลับเปนใหยกฟอ ง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ. ๗๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๒๐๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงอธิบดีกรมสรรพากร (นักบริหาร
ระดับ ๑๐) ผูถูกฟองคดี (ปลัดกระทรวงการคลัง) ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เน่ืองจากผูรอง (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการ
ทุจริตแหงชาติ) ไดช้ีมูลความผิดวา เม่ือคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองอธิบดีกรมสรรพากร
รักษาการในตําแหนงที่ปรึกษาดานประสิทธิภาพ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร นาย ว.
ดํารงตําแหนงผูอํานวยการสํานักกฎหมาย นางสาว ส. ดํารงตําแหนงนิติกร ๙ ชช. นางสาว ม.
ดํารงตําแหนงนิติกร ๘ ว และนางสาว ก. ดํารงตําแหนงนิติกร ๗ ว สังกัดสํานักกฎหมาย
ไดรวมกันพิจารณากรณีการรับโอนหุนบริษัท ช. ของนาย บ. จากนางสาว ด. ผูถือหุนแทน
คุณหญิง พ. เม่ือวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ จํานวน ๔.๕ ลานหุน มูลคา ๗๓๘ ลานบาท
โดยพิจารณาวาเปนการไดรับจากการอุปการะโดยหนาท่ีธรรมจรรยา และจากการใหโดยเสนหา
เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแหงขนบธรรมเนียมประเพณี ไดรับยกเวนไมตองเสียภาษีเงินได
ตามมาตรา ๔๒ (๑๐) แหงประมวลรัษฎากร ซึ่งเปน การกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย มีมูลความผิด
ทางวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเอง
หรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
และฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม
มาตรา ๘๕ วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และกระทําความผิดทางอาญา ฐานเปนเจาพนักงานมีหนาที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบ
ภาษีอากร กระทําการหรือไมกระทําการอยางใด เพ่ือใหผูมีหนาท่ีเสียภาษีอากรมิตองเสีย และ
ฐานเปนเจาพนักงานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหายแก
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๕)
ผูหน่ึงผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่โดยทุจริต ตามมาตรา ๑๕๔ และมาตรา ๑๕๗
แหงประมวลกฎหมายอาญา จากน้ันไดสงเรื่องใหผูบังคับบัญชาและอัยการสูงสุดเพ่ือพิจารณา
ลงโทษทางวนิ ัยและดําเนนิ คดอี าญาตามฐานความผิดดงั กลาว ซงึ่ อ.ก.พ. กระทรวงการคลงั ในการประชุม
เมือ่ วันท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ ไดพจิ ารณาขอเท็จจริงตามทผี่ ูรอ งไดช้มี ูลความผิดวินัยอยางรายแรง
แลวมีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตอมา ผูถูกฟองคดีไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ ธันวาคม
๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีไดอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอเลขาธิการ ก.พ.
ตอมา สํานักงาน ก.พ. ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๔ เมษายน ๒๕๕๑ แจงผลการพิจารณาอุทธรณ
ใหผูฟองคดีทราบวา ผูฟองคดีใชดุลพินิจพิจารณาตามอํานาจหนาที่ที่ไดรับมอบหมายจาก
ผูบังคับบัญชาโดยสุจริตและชอบดวยกฎหมายและขอเท็จจริงเทาที่ปรากฏตามสํานวนการไตสวน
ของผูรอง ไมไดความชัดเจนพอท่ีจะรับฟงวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางตามที่ถูกลงโทษ
อุทธรณของผูฟองคดีรับฟงได แตโดยที่ศาลรัฐธรรมนูญไดมีคําวินิจฉัยวา องคกรที่มีอํานาจ
พิจารณาอุทธรณจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยตามที่ผูรองวินิจฉัยแลวไมได
กรณีจึงมีเหตุอันควรลดโทษจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ ก.พ. ตอมา
นายกรัฐมนตรีไดพิจารณาแลวและมีคําสั่งใหดําเนินการตามมติของ ก.พ. ผูถูกฟองคดีจึงมีคําสั่ง
ลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ลดโทษผฟู อ งคดีจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ
ผูฟองคดีเห็นวา ผูฟองคดีมิไดกระทําความผิดตามท่ีผูรองไดชี้มูล และการดําเนินการของผูรอง
ไมถ ูกตองตามกฎหมายและเลือกปฏิบัติ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
การชี้มูลความผิดของผูรองที่ช้ีมูลวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงเพิกถอนมติ อ.ก.พ.
กระทรวงการคลัง ในการประชุมเม่ือวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ีใหลงโทษผูฟองคดีเพิกถอนคําสั่ง
ผูถูกฟองคดีลงวันท่ี ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเพิกถอนมติ ก.พ.
ท่ีมีผลการพิจารณาอุทธรณใหลดโทษผูฟองคดีเปนปลดออกจากราชการ เพิกถอนคําสั่งผูถูกฟองคดี
ตามคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และมีคําสั่งให
ผฟู อ งคดกี ลบั เขา รบั ราชการในตําแหนงเดิม นับแตว ันท่ี ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๔๙ เปน ตนไป
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีมีประเด็นตองวินิจฉัยสองประเด็น ดังน้ี
ประเด็นท่ีหนึ่ง ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน้ีหรือไม น้ัน เมื่อพิจารณา
มาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึงและวรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ประกอบมาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑) มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๙๖
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แลว จะเห็นไดวา
ในกรณีที่รัฐธรรมนูญประสงคจะใหการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกรอิสระใดเปนการใชอํานาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญน้ัน รัฐธรรมนูญจะตองกําหนดบทบัญญัติใหอํานาจดังกลาวไวอยางชัดเจน
และเม่ือพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญดังกลาว ที่บัญญัติให
ผูรองมีอํานาจหนาที่ในการไตสวนและวินิจฉัยวาเจาหนาท่ีของรัฐตั้งแตผูบริหารระดับสูง
หรือขาราชการซ่ึงดํารงตําแหนงตั้งแตผูอํานวยการกองหรือเทียบเทาข้ึนไปร่ํารวยผิดปกติ
กระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือ
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๖)
ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม รวมทั้งดําเนินการกับเจาหนาท่ีของรัฐหรือขาราชการ
ในระดับต่ํากวาท่ีรวมกระทําความผิดกับผูดํารงตําแหนงดังกลาวหรือกับผูดํารงตําแหนง
ทางการเมือง หรือท่ีกระทําความผิดในลักษณะท่ีผูรองเห็นสมควรดําเนินการดวย ทั้งน้ี
ตาม พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริตแลว จะเห็นไดวา ไมมีบทบัญญัติใด
ใหอํานาจแกผูรองในการชี้มูลความผิดทางวินัยไวโดยตรง ประกอบกับเม่ือไดพิจารณาบทบัญญัติ
มาตราอ่ืนๆ ในรัฐธรรมนูญ ก็ไมปรากฏวา มีมาตราใดที่ใหอํานาจแกผูรองในการช้ีมูลความผิด
ทางวินัยดังกลาวเชนเดียวกัน แตอํานาจหนาที่ของผูรองในการช้ีมูลความผิดทางวินัยเปนกรณี
ที่กําหนดไวในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
ดังน้ัน การใชอํานาจในการไตสวนและช้ีมูลความผิดของผูรองเปนการใชอํานาจตาม พ.ร.ป.
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่ผูรองไตสวนและมีมติชี้มูล
ความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและชี้มูลความผิดทางวินัย
ที่จะตองมีการพิจารณาส่ังลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาเปนการใชอํานาจทางปกครอง
มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดซึ่งเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญ
ในอันจะเปนขอยกเวนตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ เม่ือคดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําส่ังลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการท่ีออกตามคําวินิจฉัยอุทธรณของ ก.พ. ซ่ึงมีลักษณะเปนคําสั่ง
ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดี
มีคาํ ขอใหศ าลมีคาํ พิพากษาเพกิ ถอนคาํ ส่งั ดงั กลาว จึงเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจาหนาที่ของรัฐ
ออกคาํ สั่งโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ศาลปกครองจงึ มอี ํานาจพจิ ารณาพิพากษาคดีนไ้ี ด
ประเด็นทีส่ อง คําสั่งของผูถูกฟองคดีลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เฉพาะสวนท่ี
ลดโทษผูฟองคดีจากไลอ อกเปน โทษปลดออกจากราชการเปน คําส่งั ทช่ี อบดวยกฎหมายหรือไม นั้น
เม่ือพิจารณา มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีผลใชบังคับในขณะที่มีการรองเรียน
กลาวหาและไตสวนขอเท็จจริงในกรณีน้ีแลวจะเห็นไดวา ขอกลาวหาวาเจาหนาท่ีของรัฐกระทํา
ความผิดที่อยูในอํานาจการไตสวนและวินิจฉัยของผูรอง หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาที่เก่ียวกับ
การกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ กระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือกระทํา
ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรมเทาน้ัน และโดยท่ีประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติ
ถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการไวใน ภาค ๒ ลักษณะ ๒
หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ และไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเกี่ยวกับความผิด
ตอตาํ แหนงหนาทใ่ี นการยุตธิ รรมไวใ นลกั ษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถงึ มาตรา ๒๐๕ ความผิด
ตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม จึงเปนมูลความผิด
ทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีถือเปนมูลความผิดทางวินัย นอกจากสามกรณีดังกลาวแลว
ผรู อ งไมมีอํานาจช้ีมูลความผิด การท่ีผูรองช้ีมูลความผิดทางวินัยในความผิดฐานอ่ืนนอกเหนือจากฐาน
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๗)
ทุจริตตอหนาที่ จึงไมผูกพันผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจแตงตั้งถอดถอนผูถูกกลาวหาที่จะตอง
ถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูรองมาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัย
ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกัน
และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แตเปนอํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีซ่ึงเปนผูบังคับบัญชา
ผูมีอํานาจบรรจุแตงตั้งผูฟองคดีตามมาตรา ๕๒ (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่ีจะตองดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีซ่ึงเปนผูใตบังคับบัญชาของตน โดยแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยตามท่ีถูกกลาวหาในความผิดฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจ
ไมป ฏิบัตติ ามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
และฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง
และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ตามข้ันตอนของกฎหมายแลวออก
คําส่ังลงโทษตามฐานความผิดท่ีไดดําเนินการสอบสวนใหมตอไป เม่ือพิจารณาการแบงสวน
ราชการตาม มาตรา ๔ และมาตรา ๕ และมาตรา ๖ แหง พ.ร.ฎ. แบงสวนราชการกรมสรรพากร
กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๔๐ แลวเห็นวา สํานักกฎหมายไมไดเปนหนวยงานท่ีมีอํานาจหนาที่
ในการตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีอากร แตมีหนาที่ ในการใหคําปรึกษาและแนะนําเก่ียวกับ
การวินิจฉัย ตีความกฎหมาย ประกาศ คําสั่ง และระเบียบปฏิบัติตางๆ ที่เกี่ยวกับภาษีอากร
ตามมาตรา ๖ (๖) (จ) แหงพระราชกฤษฎีกาดังกลาว โดยการใหความเห็นหรือตีความกฎหมาย
สํานักกฎหมายจําตองพิจารณาโดยรับฟงขอเท็จจริงตามประเด็นที่หารือ ซึ่งความเห็นในทางกฎหมาย
อาจแตกตางกันได ข้ึนอยูกับความรู ประสบการณ และความเช่ียวชาญในขอกฎหมายที่เก่ียวของ
กับประเด็นท่ีหารือ การท่ีจะพิจารณาวาการใหความเห็นในลักษณะใดเปนการกระทําท่ีไมชอบ
ดวยกฎหมายและเปนการกระทําผิดวินัยฐานใดหรือไม จึงตองพิจารณาเจตนาและพฤติการณ
ในขณะที่ผูนั้นมีความเห็นในเร่ืองท่ีหารือ ซ่ึงกรณีที่นาย บ. ไดรับโอนหุนบริษัท ช. จํานวน
๔,๕๐๐,๐๐๐ หุน มูลคา ๗๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากนางสาว ด. ผูมีช่ือถือหุนแทนพันตํารวจโท ท.
และหรือคุณหญิง พ. สํานักตรวจสอบภาษีไดพิจารณาหลักฐานและการไตสวนขอเท็จจริง
แลวเห็นวา การท่ีคุณหญิง พ. ยกหุนใหนาย บ. เปนการยกหุนใหโดยเสนหา การท่ีมูลคาของหุน
มีมลู คาสูงถึง ๗๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ก็อยใู นฐานะและวิสัยทีผ่ ใู หก ระทําไดเนื่องจากผูใหมีทรัพยสิน
มากกวา ๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเปนการใหบุคคลในครอบครัวเนื่องในโอกาสท่ีนาย บ.
แตงงานมีครอบครัวและมีบุตร จึงมีความเห็นวา เปนกรณีการรับหุนจากการใหโดยเสนหา
เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแหงขนบธรรมเนียมประเพณี ถือเปนเงินไดที่ไดรับการยกเวนภาษีเงินได
ตามมาตรา ๔๒ (๑๐) แหงประมวลรัษฎากร แตเนื่องจากประเด็นดังกลาวเปนปญหาขอกฎหมาย
จึงเห็นควรใหสํานักกฎหมายรวมพิจารณาใหความเห็นดวย ผูอํานวยการสํานักตรวจสอบภาษี
จึงมีหนังสือถึงผูอํานวยการสํานักกฎหมาย ขอหารือการเสียภาษีเงินไดบุคคลธรรมดากรณี
การรับโอนหุนของนาย บ. ซึ่งนางสาว ก. ขณะดํารงตําแหนงนิติกร ๖ กลุมกฎหมาย ๖
ไดรับมอบหมายใหเปนผูพิจารณาและทําความเห็นตามประเด็นที่หารือ มีความเห็นวา
การรับโอนหุนดังกลาวเปนการไดรับทรัพยหรือประโยชนอยางอ่ืนท่ีไดรับซ่ึงอาจคิดคํานวณ
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๘)
เปนเงินได ถือเปนเงินไดพึงประเมินตามมาตรา ๓๙ แหงประมวลรัษฎากร การท่ีคุณหญิง พ.
ซ่ึงมีทรัพยสินมากกวา ๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยกหุนใหเปนของขวัญแกนาย บ. พี่ชายบุญธรรม
ซ่ึงเปน บคุ คลในครอบครัวและเปนบุคคลทใ่ี หความชวยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด และในโอกาส
ท่ีนาย บ. แตงงานมีครอบครัวและมีบุตร โดยมิไดมีขอผูกพันหรือมีสัญญาท่ีนาย บ. จะตอง
กระทําสิ่งใดเปนการตอบแทน จึงเปนท้ังเงินไดที่ไดรับจากการอุปการะในหนาท่ีธรรมจรรยา
และจากการใหโดยเสนหาเน่ืองในพิธีหรือตามโอกาสแหงขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งนางสาว ม.
นิติกร ๘ ว หัวหนากลุมงานกฎหมาย ๖ นางสาว ส. นิติกร ๙ ชช. ดานกฎหมายภาษีสรรพากร
และผูอํานวยการสํานักกฎหมายไดพิจารณาขอเท็จจริง ขอกฎหมาย รวมทั้งแนวความเห็นของ
กรมสรรพากรและคําพิพากษาศาลฎีกาท่ีนางสาว ก. อางอิงแลวเห็นดวยกับความเห็นดังกลาว
โดยนาย ช. รองอธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้นไดมีการตั้งขอสังเกตไวดวย กรณีจึงเห็นไดวา
การรับโอนหุนของนาย บ. สํานักตรวจสอบภาษีไดดําเนินการตรวจสอบและมีความเห็นอยูกอนแลว
ผูฟองคดีไมไดเปนผูรับผิดชอบการตอบขอหารือดังกลาวมาต้ังแตตน โดยที่ผูฟองคดีไมได
จบการศึกษาทางดานกฎหมายและเรื่องดังกลาวเปนเรื่องท่ีอยูในความสนใจของประชาชน
กอนพิจารณาผูฟองคดีจึงไดเชิญนางสาว ม. มาอธิบายรายละเอียด รวมทั้งเรื่องท่ีนาย ช.
ไดตง้ั ขอสังเกตไว ผูฟองคดีไดพิจารณาขอเทจ็ จริง ขอกฎหมาย โดยพิจารณาจากประมวลรัษฎากร
ระเบียบและแนวปฏิบัติราชการของกรมสรรพากร ตลอดจนเทียบเคียงแนวคําพิพากษาฎีกา
ในคดีภาษีอากรแลว จึงเห็นชอบตามที่สํานักกฎหมายเสนอมา จากนั้นจึงมีคําสั่งใหแจง
สํานักตรวจสอบภาษีทราบ แมความเห็นดังกลาวจะไมตรงกับความเห็นของผูรอง แตก็เปนเพียง
การใหความเห็นในทางกฎหมาย เมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวาการใหความเห็นในกรณีนี้ ผูฟองคดี
มีเจตนาเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรไดจึงไมอาจถือไดวาเปนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบ และตอมา นางสาว จ. ผูอํานวยการสํานักกฎหมายคนตอมา ไดมีหนังสือ
แจงความเห็นดังกลาวใหนาง บ. ผูอํานวยการสํานักตรวจสอบภาษีคนตอมาพิจารณาแลวมี
คําส่ังใหยุติการตรวจสอบขอมูลรายนาย บ. และมีหนังสือเสนออธิบดีกรมสรรพากรทราบ
โดยที่อธิบดีกรมสรรพากรมิไดมีคําสั่งใหสงเร่ืองดังกลาวใหคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
พิจารณาตามมาตรา ๑๓ สัตต (๓) แหงประมวลรัษฎากรแตอยางใด สวนการที่นาย บ.
ไดดําเนินการรับโอนหุนจากคุณหญิง พ. และหรือพันตํารวจโท ท. ผานระบบซ้ือขายใน
ตลาดหลักทรัพยอันจะเปนการโอนหลักทรัพยโดยอําพรางเพ่ือหลีกเล่ียงการเสียภาษีเงินได
ซึ่งบุคคลดังกลาวจะตองรับผิดตามกฎหมายท่ีเก่ียวของตามความเห็นของผูรองหรือไม น้ัน
ก็เปนเร่ืองท่ีจะตองแยกพิจารณาภาระภาษีท่ีผูมีเงินไดพึงประเมินจะตองเสียภาษีเงินได
ตามประมวลรัษฎากร อีกท้ัง ไมปรากฏพยานหลักฐานใดในสํานวนคดีนี้ที่พิสูจนไดวา ผูฟองคดี
ไดรับประโยชนที่มิควรไดจากการปฏิบัติหนาท่ีดังกลาว หรือปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหกรมสรรพากรไดรับ
ความเสียหาย กรณีจึงไมอาจรับฟงไดวาพฤติการณของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่น
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๓๙)
ไดป ระโยชนที่มิควรไดอันเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติ
ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และ
ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม มาตรา ๘๕
วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ตามที่ผูรองช้ีมูลความผิด การที่ผูถูกฟองคดีมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และตอมาไดมีคําส่ังลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออก
จากราชการเปนปลดออกจากราชการตามมติคณะกรรมการขาราชการพลเรือน (ก.พ.)
จึงเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษาเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ในสวนท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไป
ตั้งแตวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ ซ่ึงเปนวันท่ีคําส่ังดังกลาวมีผลบังคับ สวนคําขออื่นนอกจากน้ี
ใหยก และมีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาตามมาตรา ๖๙
วรรคหน่ึง (๘) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยใหผูถูกฟองคดีดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตางๆ
ทผ่ี ูฟองคดีพงึ ไดร บั หากมไิ ดถ ูกลงโทษทางวินยั ตามคําส่ังดังกลาวใหแกผูฟองคดีตามหลักเกณฑละเงื่อนไข
ที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ ภายในสามสิบวันนับแตวันท่ีคําพิพากษาถึงที่สุด นั้น ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพองดวย
พพิ ากษายืน
กรณีเปน คดพี พิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหน่งึ (๒)
คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๔๓/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟองวา ผูฟองคดีไดตกลงขายรถยนตใหแกนาย ม. แตนาย ม. ไมไดชําระเงิน
ใหค รบถวนภายในกําหนด จงึ ไดมกี ารตกลงกนั ใหนํารถยนตค นั ดงั กลาวไปเก็บไวท ่ีสถานีตาํ รวจภูธร
เมืองนครสวรรค โดยมีพันตํารวจโท ช. ปฏิบัติหนาที่พนักงานสอบสวน แตเม่ือนาย ม.
ไดไปตรวจดูปรากฏวารถยนตถูกนําไปเก็บไวท่ีอูชาง ด. โดยเคร่ืองยนตและเกียรไดหายไป
จนเหลือแตโครงรถ ผูฟองคดีเห็นวา พันตํารวจโท ช. กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย
นํารถยนตของผูฟองคดีไปขายใหแกชาง ด. แตกลับไมมีความผิดทางวินัยหรือไดรับการลงโทษ
ทางวินัย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหผูถูกฟองคดี (ผูกํากับการ
สถานีตํารวจภูธรเมืองนครสวรรค) ดําเนินการทางวินัยกับพันตํารวจโท ช. พนักงานสอบสวน
สถานีตํารวจภูธรเมืองนครสวรรค เห็นวา คดีนี้เปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีเจาหนาท่ีของรัฐ
ละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติหรือปฏิบัติหนาที่ดังกลาวลาชาเกินสมควร
ที่อยูในอํานาจของศาลปกครองท่ีจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําส่ังไดตามนัยมาตรา ๙ วรรคหน่ึง
(๒) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ อยางไรก็ตาม การท่ีผูบังคับบัญชาจะพิจารณาลงโทษ
ทางวินยั บคุ คลหน่งึ บุคคลใดกจ็ ะตอ งมเี หตตุ ามที่กฎหมายบญั ญัติไว และการจะดําเนนิ การทางวินัย
ตอผูใตบังคับบัญชาท่ีถูกกลาวหาหรือไม เพียงใด เปนอํานาจของผูบังคับบัญชาโดยเฉพาะ
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๐)
ที่พิจารณาดําเนินการตามควรแกกรณี ศาลปกครองไมอาจกาวลวงเขาไปออกคําบังคับใหผูถูกฟองคดี
มีคําส่ังดําเนินการทางวินัยแกบุคคลดังกลาวตามคําขอของผูฟองคดีได ท้ังการขอใหผูถูกฟองคดี
มีคําส่ังดําเนินการทางวินัยแกบุคคลดังกลาวก็มิไดเปนการแกไขหรือบรรเทาความเดือดรอน
หรือความเสียหายของผูฟองคดีในกรณีพิพาทดังกลาว คําขอของผูฟองคดีตามคําฟองนี้ จึงเปน
คําขอท่ีศาลไมมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหไดตามนัยมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง (๒) แหง
พระราชบัญญัติดังกลาว ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟองคดีนี้ได ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง
พระราชบัญญัติเดียวกัน ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาและ
ใหจําหนายคดอี อกจากสารบบความ นัน้ ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดวย
จึงมีคําสง่ั ยืนตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้นั ตน
คําส่งั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ.๑๐๙/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดี (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๒) ไดมีคําสั่งลงวันที่
๙ เมษายน ๒๕๕๖ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรายแรง และมีคําสั่งลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน
เพื่อรอผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย แตผูถูกฟองคดีไมไดดําเนินการพิจารณาและส่ังการใหแลวเสร็จ
ภายในระยะเวลาตามที่กําหนดไวในมาตรา ๘๗ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
จนกระทั่งผูถูกฟองคดีไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๘ ใหผูฟองคดีกลับคืนสูสถานะเดิมกอน
และใหกลับเขารับราชการในตําแหนง ผูบังคับหมู ฝายอํานวยการ ๒ กองบังคับการอํานวยการ
ตาํ รวจภูธรภาค ๒ รบั อตั ราเงนิ เดอื น ป.๒ ขั้น ๒๗.๖ (๒๐,๖๔๐ บาท) และใหถือวาไมเปนผูที่อยูระหวาง
ถูกสอบสวน นับแตวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๘ เปนตนไป จนกวาการพิจารณาส่ังการจะเสร็จสิ้น
และมีคาํ ส่ัง แตผ ูถ ูกฟองคดีก็ยังคงไมดาํ เนนิ การพิจารณาส่ังการใหแลวเสร็จแตอยางใด ทําใหผูฟองคดี
ไดรับความเสียหาย เสียเวลา และเสียโอกาสท่ีจะไดรับสิทธิประโยชนอื่นๆ จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีดําเนินการสอบสวนและพิจารณาผลทางวินัย
ของผูฟองคดีโดยเร็ว
ศาลปกครองสงู สดุ วนิ ิจฉยั วา คดีนีเ้ ปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หนวยงานทางปกครอง
หรอื เจาหนา ทขี่ องรฐั ละเลยตอหนา ที่ตามที่กฎหมายกาํ หนดใหตองปฏบิ ัติหรอื ปฏิบัตหิ นาท่ีดังกลาว
ลาชาเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ซ่ึงในการแกไข
หรือบรรเทาความเดือดรอนหรือความเสียหายโดยสั่งใหผูถูกฟองคดีดําเนินการสอบสวน
และพิจารณาผลทางวินัยแกผูฟองคดีโดยเร็วนั้น ศาลจําตองมีคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง (๒)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว แตเม่ือในระหวางการพิจารณาคดี ขอเท็จจริงปรากฏตามคําช้ีแจง
ของผูฟองคดี ลงวันท่ี ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ และตามคําใหการของผูถูกฟองคดีวา ผูถูกฟองคดี
ไดพิจารณากรณีผฟู อ งคดถี ูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามคําสั่งลงวันท่ี ๙ เมษายน ๒๕๕๖
เสร็จส้ินแลว โดยพยานหลักฐานรับฟงไมไดวาผูฟองคดีกระทําผิดตามท่ีถูกกลาวหา จึงใหยุติเรื่อง
ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ ซ่ึงผูถูกฟองคดีไดสงสําเนาคําสั่งดังกลาวพรอมสํานวน
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๑)
การสอบสวนทางวนิ ยั และเอกสารท่ีเกีย่ วขอ งเสนอใหผูบญั ชาการตํารวจแหง ชาตเิ พ่ือทราบ และผูฟองคดี
ไดรับทราบคําส่ังดังกลาวแลวเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ กรณีจึงถือไดวา เหตุแหงการฟองคดี
กรณผี ูถกู ฟอ งคดีไมดําเนินการสอบสวนและพิจารณาผลทางวินัยแกผูฟองคดีโดยเร็วไดเสร็จส้ินลง
อันสงผลใหความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดีในกรณีดังกลาวหมดสิ้นไป ดังนั้น
ศาลปกครองจึงไมมีกรณที ่ีจะตอ งออกคําบังคับส่ังใหผูถูกฟองคดีดําเนินการสอบสวนและพิจารณา
ผลทางวินยั แกผฟู อ งคดโี ดยเร็วอีก ตามนัยมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๒) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน
ทีศ่ าลปกครองชัน้ ตนมีคาํ สงั่ จําหนา ยคดีออกจากสารบบความ ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พอ งดว ย
จงึ มีคาํ สัง่ ยนื ตามคาํ สั่งของศาลปกครองช้ันตน
กรณีเปน คดพี พิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๓)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๖๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๓
คดีทก่ี ฎหมายกาํ หนดใหอ ยใู นอาํ นาจของศาลปกครองสงู สดุ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ป.) อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๘
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๑๕/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๒๒
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๖/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๒๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๒๘
เงือ่ นไขการฟองคดี
ความเปนผูเดือดรอนเสียหาย
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๒)
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๑
คําส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ. ๙๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงปลัดองคการบริหาร
สวนตําบล สงั กัดองคการบรหิ ารสวนตําบลชํา ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(นายกองคการบริหารสวนตําบลชํา) มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ) กรณีสืบเนื่องมาจากการท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ช้ีมูลความผิดผูฟองคดีวา
เม่ือคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบลสวนกลวย ในฐานะกรรมการ
ตรวจการจาง ไดทําการตรวจรับและเบิกจายเงินโครงการกอสรางระบบประปาบาดาลขนาดกลาง
บานมะลิวัลย หมูที่ ๙ โดยไมถูกตองตามรูปแบบรายการ และเบิกจายเงินซ้ืออุปกรณประปา
โดยมิไดมีการจัดซื้อจริง จึงมีมูลความผิดวินัยรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
โดยไมชอบ เพ่ือใหผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ ปฏิบัติหนาท่ี
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และ
กระทาํ การอนั ไดชอ่ื วา เปน ผปู ระพฤติชวั่ อยางรายแรง ผฟู อ งคดเี หน็ วาคําสั่งและมติดังกลาวไมชอบ
ดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และมติไลผูฟองคดีออกจากราชการ ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองใน
สว นทข่ี อใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่มีมติไลผูฟองคดีออกจากราชการและในสวนที่ฟอง
ผูถ กู ฟองคดีที่ ๒ ไวพ จิ ารณา ผูฟอ งคดยี ืน่ คาํ รองอทุ ธรณค ําสั่งดงั กลาว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการมีผลผูกพันใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ สั่งหรือปฏิบัติใหเปนไปตามนั้น ตามขอ ๘๕ วรรคหน่ึง
ของประกาศคณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ เร่ือง หลักเกณฑและเงื่อนไข
ในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๘ ลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเปนเร่ือง
ภายในระหวางผูถูกฟองคดีท่ี ๒ กับท่ี ๑ โดยเปนขั้นตอนในการเตรียมการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
จะมีคําส่ังลงโทษทางวินยั แกผูฟองคดีในภายหลังตอไป มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ดังกลาวจึงยังมิได
มีผลทางกฎหมายไปกระทบกระเทือนตอสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี หรือกอความเดือดรอน
หรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยตรงแกผูฟองคดี มติดังกลาวจึงยังมิใชคําสั่ง
ทางปกครองที่มีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีตามมาตรา ๕ แหง
พ.ร.บ. วธิ ีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังน้ัน ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเน่ืองจากมติดังกลาว
ท่ีจะมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอนมติดังกลาวตอศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๓)
จัดตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองของผูฟองคดีในขอหานี้และ
ในสวนทีฟ่ องผูถูกฟองคดที ี่ ๒ ไวพ จิ ารณา นน้ั ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวย
จึงมีคําสั่งยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้ันตน
คําสงั่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๙๗/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟอ งวา เม่อื ครงั้ ทผี่ ูฟองคดีดาํ รงตําแหนง ปลัดองคการบรหิ ารสวนตาํ บลยะรม
และปฏิบัติหนาที่นายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม ผูถูกฟองคดี (คณะกรรมการปองกันและ
ปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดรับการรองเรียนอีกทางหน่ึงวาผูฟองคดีกับพวกกระทําความผิด
ฐานทจุ ริตตอ หนา ทหี่ รอื กระทําความผิดตอหนาที่ราชการ กรณีจัดโครงการฝกอบรม สัมมนา และ
ศึกษาดูงานเพ่อื พัฒนาศกั ยภาพบุคลากร ผูนาํ ชุมชน และสตรีตาํ บลยะรม ประจําปงบประมาณ ๒๕๕๗
ทจี่ งั หวดั สตลู แตกลับนาํ ผเู ขา รวมโครงการไปเทีย่ วท่เี กาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย และทําเอกสาร
เท็จจายเงินงบประมาณ ผูถูกฟองคดีไดไตสวนและมีมติช้ีมูลวาการกระทําของผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
อยางรายแรง และประพฤติช่ัวอยางรายแรง และมีมูลความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) จึงใหสงรายงานเอกสารและความเห็น
ใหผูบังคับบัญชาพิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดี ผูฟองคดีไดมีหนังสือขอความเปนธรรม
พรอมยื่นพยานหลักฐานใหผูถูกฟองคดีพิจารณาทบทวนมติช้ีมูลดังกลาว ผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๒ ถึงนายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม แจงวา ผูถูกฟองคดีพิจารณา
แลวเห็นวา พยานหลักฐานท่ีสงมาดังกลาวไมใชพยานหลักฐานใหมและยืนยันมติช้ีมูลความผิด
ผูฟองคดีขางตน ตอมา คณะกรรมการพนักงานสวนจังหวัดยะลา ในการประชุมเมื่อวันที่
๒๔ เมษายน ๒๕๖๒ มมี ติใหลงโทษไลผ ูฟองคดีออกจากราชการ นายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม
จึงไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิด
ที่ผูถูกฟองคดีช้ีมูลความผิด ผูฟองคดีเห็นวา การไตสวนและชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีไมตรง
กับขอเท็จจริงในพฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดี ผูฟองคดีไมประสงคจะอุทธรณคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เน่ืองจากคําสั่งดังกลาว
ออกตามมติชี้มูลของผูถูกฟองคดี ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดี
ท่ชี ้ีมูลความผิดทางวนิ ัยและความผิดทางอาญาแกผูฟอ งคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา มติของผูถูกฟองคดีท่ีช้ีมูลความผิดทางวินัยและ
ความผิดทางอาญาแกผูฟองคดีมีผลผูกพันผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจแตงตั้งถอดถอน
ผูถกู กลา วหา (นายกองคก ารบรหิ ารสวนตําบลยะรม) ใหตอ งปฏิบัติตามไมอาจใชดุลพินิจเปนอยางอื่นได
ตามนัยมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
และเปนเรือ่ งภายในระหวางผูถกู ฟองคดกี บั นายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม โดยเปนขั้นตอน
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๔)
ในการเตรียมการท่ีนายกองคการบริหารสวนตําบลยะรมจะมีคําส่ังลงโทษทางวินัยอยางรายแรง
แกผูฟองคดีในภายหลังตอไป ซึ่งผูฟองคดียอมมีสิทธิท่ีจะฟองเพิกถอนคําสั่งนายกองคการบริหาร
สวนตําบลยะรมที่มีคําส่ังลงโทษทางวินัยผูฟองคดี ดังนั้น มติของผูถูกฟองคดีดังกลาวขางตน
แมจะเปน การใชอ ํานาจตามกฎหมายของผูถูกฟองคดี แตยังมิไดมีผลทางกฎหมายไปกระทบกระเทือน
ตอสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีหรือกอความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือ
เสียหายโดยตรงแกผูฟองคดีดังเชนคําสั่งลงโทษทางวินัยแตอยางใด มติของผูถูกฟองคดีดังกลาว
จึงยังมิใชคําส่ังทางปกครองที่มีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดี
ตามนยั มาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับ
ความเดอื ดรอนหรอื เสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเน่ืองจาก
มติของผถู กู ฟองคดีดงั กลาว ทจ่ี ะมีสทิ ธฟิ องขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีดังกลาวตอศาลปกครอง
ตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ัง
ไมรับคําฟอ งไวพจิ ารณาและใหจําหนายคดอี อกจากสารบบความ นนั้ ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดว ย
จงึ มีคาํ สั่งยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้ันตน
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คบ.๑๑๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีทั้งสองฟองวา เมือ่ ครัง้ ท่ีผูฟองคดีท้ังสองรับราชการตํารวจถูกกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยอยางรายแรง กรณีตองหาคดีอาญาฐานรวมกันฆาผูอ่ืนโดยเจตนาและไตรตรองไวกอน
และพกพาอาวุธปนติดตัวไปในเมือง หมูบานหรือทางสาธารณะโดยไมไดรับอนุญาต ผูถูกฟองคดีท่ี ๓
(ผูบ งั คบั การตาํ รวจภธู รจงั หวดั เชยี งใหม) ไดม คี าํ สั่งลงวนั ท่ี ๒๙ มนี าคม ๒๕๕๙ ใหผูฟองคดีทั้งสอง
ออกจากราชการไวกอนต้ังแตวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เปนตนไป ในวันท่ี ๑๒ มกราคม ๒๕๖๐
พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟองผูฟองคดีท้ังสองตอศาลจังหวัดฝาง ตอมาวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
ศาลจังหวัดฝางไดพิพากษายกฟองและศาลอุทธรณภาค ๕ ไดมีคําพิพากษายืน ในระหวาง
การดําเนินคดีอาญาน้ัน ไดมีการดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีทั้งสองโดยคณะกรรมการพิจารณา
กลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษ ไดมีมติใหไลผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการ ต้ังแตวันที่
๒๙ มนี าคม ๒๕๕๙ ซ่งึ เปน วันท่ีใหออกจากราชการไวกอนเปนตนไป ตามความเห็นของคณะกรรมการ
สอบสวนวา พฤติการณของผูฟอ งคดีท้ังสองถือไดว ากระทาํ การอนั ไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการ
และหนงั สือลงวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ เพื่อแจง คาํ สงั่ ดังกลาวใหผูฟองคดีท้ังสองทราบ ผูฟองคดีท้ังสอง
จึงอุทธรณคําสั่งดังกลาว ตอมาอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ไดดําเนินการพิจารณาอุทธรณในการประชุมเมื่อวันที่
๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ โดยมีมติใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีท้ังสองไดรับแจงมติดังกลาวตามหนังสือ
ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ แตไมเห็นดวย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ท่ีใหผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการไวกอน เพิกถอน
คําสั่งลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีทั้งสองออกจากราชการ เพิกถอนมติของ
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๕)
ผถู ูกฟองคดที ี่ ๒ โดยอนกุ รรมการ ก.ตร. เกีย่ วกับการอุทธรณในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒
ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีทั้งสอง และใหผูฟองคดีท้ังสองกลับเขารับราชการตํารวจและ
คืนเงินเดือน บําเหน็จ บํานาญ สวัสดิการอื่นใดอันเปนความเสียหายเนื่องจากการออกคําสั่ง
โดยมชิ อบดว ยกฎหมายใหแ กผฟู องคดที งั้ สอง
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีท้ังสองเคยนําประเด็นพิพาทเดียวกันกับ
คดีน้ีมาฟองตอศาลปกครองช้ันตน ขอใหยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ และคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ซ่ึงศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ และศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา วันท่ีผูฟองคดีทั้งสองย่ืนฟองคดีตอศาลปกครองชั้นตน
ยังไมครบกําหนดเวลาที่ ก.ตร. จะตองพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสองใหแลวเสร็จ จึงถือวา
ผูฟองคดีท้ังสองยังไมไดดําเนินการตามข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับแกไขความเดือดรอนหรือเสียหาย
กอนนําคดีมาฟองตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลปกครองสูงสุด
จึงไดมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นตน ตอมาผูฟองคดีทั้งสองจึงไดนําคดีมาฟอง
ตอศาลปกครองช้ันตน อีกคร้ัง เปนคดีนี้โดยศาลปกครองชั้นตนไดมีคําสั่งไมรับคําฟองตามคําขอทาย
คําฟอ งที่ขอใหเพกิ ถอนคาํ สั่งลงวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ใหผูฟองคดีทั้งสองออกจากราชการไวกอน
ตั้งแตวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เปนตนไป และท่ีขอใหผูฟองคดีท้ังสองกลับเขารับราชการตํารวจ
และคืนเงินเดือน บําเหน็จ บํานาญและสวัสดิการอ่ืนใดอันเปนความเสียหายเน่ืองจากการออกคําส่ัง
โดยไมชอบดวยกฎหมายใหแกผูฟองคดีท้ังสอง และในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และในสวนที่ฟอง
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) ไวพิจารณา ผูฟองคดีท้ังสองจึงไดอุทธรณเปนคดีนี้
เพ่ือขอใหศาลปกครองสูงสุดมีคําส่ังใหรับคําฟองของผูฟองคดีทั้งสองในสวนดังกลาวไวพิจารณา
โดยท่ีคดีน้ีและคดีกอนน้ัน มีประเด็นพิพาทแหงคดีอยางเดียวกัน อีกท้ังคําขอหลักเพ่ือใหศาล
ออกคําบังคบั กเ็ ปน เปนคาํ ขอเดียวกนั แมจะมกี ารเปลยี่ นตวั ผถู กู ฟอ งคดีบางรายและเพิ่มเติมคําขอทาย
คําฟองบางขอใหแตกตางไปจากคดีกอนบาง โดยในคดีกอน ผูฟองคดีทั้งสองอุทธรณเฉพาะประเด็น
ทีเ่ กี่ยวกบั คาํ สง่ั ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ทล่ี งโทษไลออกจากราชการ เทา น้ัน ซงึ่ ศาลปกครองสูงสุด
ไดพิจารณาไดพิจารณาแลวเห็นวา การที่ผูฟองคดีท้ังสองไดมีหนังสือลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑
ถึงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติถือไดวาไดยื่นอุทธรณผานผูบังคับบัญชาแลว แตยังไมครบกําหนดเวลา
ทผ่ี ูถ กู ฟอ งคดที ่ี ๒ จะตอ งพจิ ารณาอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสองใหแลวเสร็จ กรณีจึงถือวาผูฟองคดีท้ังสอง
ยังไมไดดําเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายกอนนําคดีมาฟอง
ตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จดั ตัง้ ศาลปกครองฯ ดังน้ัน ในประเด็นท่ีฟองขอให
เพกิ ถอนคําสัง่ ลงวนั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ นั้น ยอมไมเปนการตัดสิทธิผูฟองคดีท้ังสองท่ีจะนําคดี
มาฟองใหมภ ายในระยะเวลาการฟอ งคดี หากปรากฏวา ในเวลาตอ มาผฟู องคดที ั้งสองไดดําเนินการ
ตามขั้นตอนหรือวิธีการตามท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว เม่ือผูฟองคดีท้ังสองไดนําคดีมาฟองใหม
เพอื่ ขอใหศาลพพิ ากษาเพิกถอนคําสัง่ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ภายหลังจากท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
พิจารณาอุทธรณแลวเสร็จ กรณีดังกลาวยอมไมถือวาเปนฟองซ้ําตามขอ ๙๗ แหงระเบียบของ
ท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ แตอยางไรก็ตาม ในประเด็นที่
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๖)
ผูฟองคดีท้ังสองฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ใหผูฟองคดีทั้งสอง
ออกจากราชการไวกอน น้ัน เม่ือศาลปกครองชั้นตนไดมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและ
ผูฟองคดีทั้งสองไมไดย่ืนอุทธรณในประเด็นดังกลาว ตอมาศาลปกครองสูงสุดไดมีคําส่ังยืน
ตามคาํ สง่ั ของศาลปกครองชั้นตน จึงถือวาคดีถึงที่สุดแลวตามมาตรา ๗๓ วรรคสี่ แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ดังน้ัน การที่ผูฟองคดีทั้งสองไดนําคดีนี้มาฟอง โดยมีการกระทําอันเปนเหตุแหงการฟองคดี
และคําขอเชนเดียวกันกับคดีกอนที่ศาลปกครองสูงสุดไดมีคําส่ังชี้ขาดคดีถึงท่ีสุดแลว มาร้ือรอง
เปนคดีอีกในประเด็นท่ีไดมีการวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน จึงเปนกรณีท่ีคูกรณีเดียวกัน
ยื่นฟองกันอีกในประเด็นที่ศาลไดมีคําสั่งช้ีขาดถึงท่ีสุดแลวโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน แมจะมีการเปล่ียน
ผูถกู ฟอ งคดบี างรายและเพ่ิมเตมิ คาํ ขอทายคําฟองบางขอใหแ ตกตา งไปจากคดกี อนก็ตาม แตประเด็นหลัก
ที่พิพาทเปนเร่ืองเดียวกัน อันเปนการฟองซํ้าตามขอ ๙๗ แหงระเบียบดังกลาว สําหรับประเด็น
คําขอตามคําขอทายฟองที่ขอใหผูฟองคดีทั้งสองกลับเขารับราชการตํารวจและคืนเงินเดือน
บําเหน็จ บํานาญและสวัสดิการอ่ืนใดอันเปนความเสียหายเนื่องจากการออกคําสั่งโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายใหแกผูฟองคดีทั้งสอง และในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ นั้น เห็นวา หากคดีนี้ศาล
มีคาํ พพิ ากษาใหเพิกถอนคําสง่ั ลงโทษไลผูฟ องคดีทั้งสองออกจากราชการ เปนกรณีท่ีกฎหมายและ
หลักเกณฑที่เก่ียวของท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีหนาท่ีจะตองดําเนินการอยูแลวจึงเปนกรณีท่ีการแกไข
หรือบรรเทาความเดอื ดรอ นหรือความเสียหายดงั กลา วศาลไมจาํ ตองกาํ หนดคาํ บังคับใหตามมาตรา ๗๒
วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคหน่ึงแหงพระราชบัญญัติขางตน และเม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนเพียงเปนหนวยงานตนสังกัด
ของผูฟ อ งคดีทง้ั สอง แมจ ะมหี นา ทีค่ วบคมุ และกํากบั การปฏบิ ัตงิ านของขาราชการตาํ รวจ แตก็ไมป รากฏ
ขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดกระทําการอยางใดๆ อันเปนเหตุใหผูฟองคดีท้ังสองไดรับความเดือดรอน
หรอื เสียหาย ในอนั ที่จะตองรับผดิ ตอผูฟองคดที ้ังสอง ผฟู องคดีท้ังสองจึงไมเปนผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสยี หายท่ีจะมสี ทิ ธิฟอ งคดีตอ ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองตามคําขอทายคําฟองท่ีขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ลงวนั ที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ท่ีใหผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการไวกอน ต้ังแตวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙
เปนตนไป และคําขอทายคําฟองที่ขอใหผูฟองคดีท้ังสองกลับเขารับราชการตํารวจและคืนเงินเดือน
บําเหน็จ บํานาญและสวัสดิการอื่นใดอันเปนความเสียหายเน่ืองจากการออกคําส่ังโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายใหแกผูฟองคดีทั้งสอง และในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑ และในสวนที่ฟอง
ผูถ ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ไวพจิ ารณา น้ัน ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดว ย
จึงมีคาํ สั่งยืน
คําสั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ คบ.๑๑๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงรองปลัดองคการบริหาร
สวนตําบล สังกัดองคการบริหารสวนตําบลเวียงเหนือ อําเภอกันทรลักษ จังหวัดศรีสะเกษ ไดรับ
ความเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกองคการบริหารสวนตําบลเวียงเหนือ) มีคําสั่งลงวันท่ี
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๗)
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี ๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามมติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ) ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยมีมูลกรณีสืบเนื่องมาจากผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกันและ
ปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ช้ีมูลความผิดวา ผูฟองคดีทุจริตตอหนาที่ราชการ ปฏิบัติหนาท่ี
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบาย
ของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และกระทําการอันไดชื่อวาเปน
ผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๓ ขอ ๖ และขอ ๑๙ ของประกาศคณะกรรมการพนักงาน
สวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง หลักเกณฑและเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย
การใหออกจากราชการ การอุทธรณ และการรองทุกข ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๕ ผูฟองคดีเห็นวา
คาํ สงั่ ลงโทษไลผฟู อ งคดอี อกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งใหเพิกถอนคําสั่งองคการบริหารสวนตําบลเวียงเหนือ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเม่ือวันที่
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ที่มมี ตใิ หลงโทษไลผูฟองคดอี อกจากราชการ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีผูฟองคดีฟองคดีตอศาลรวม ๒ ขอหา ดังนี้
ขอหาที่หน่ึง ฟองวา การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เปนการกระทําท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาว และขอหาท่ีสอง
ฟองวา การท่ผี ูถ กู ฟอ งคดีท่ี ๒ มีมติในการประชมุ เมือ่ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ใหลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เปนการกระทําท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหเพิกถอนมติดังกลาว น้ัน โดยใน
ขอหาท่ีสองน้ี แมในการดําเนินการทางวินัยแกขาราชการในองคการบริหารสวนตําบล จะกําหนดให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีสวนในการพิจารณาใหความเห็นชอบในการลงโทษทางวินัยกอนท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ซ่ึงเปนผูมีอํานาจในการออกคําส่ังจะออกคําสั่งลงโทษทางวินัยก็ตาม แตก็มิไดใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มีอํานาจในการสั่งการแตอยางใด ดังน้ัน มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๖๒ ที่ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนเพียงการกระทําภายในหนวยงาน
กอนจะมีคําส่ังทางปกครอง ซึ่งเปนเพียงขั้นตอนในการเตรียมการ และดําเนินการของเจาหนาที่
เพ่ือจัดใหมีคําส่ังทางปกครอง ถือเปนการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ลําพังมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ หากจะมีผลกอนิติสัมพันธก็เปน
ความสัมพันธภายในระหวางผูถูกฟองคดีท่ี ๒ กับผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เทาน้ัน หามีผลทางกฎหมาย
ออกสภู ายนอกไปกระทบกระเทือนตอสิทธิหรือหนา ทข่ี องผูฟ องคดี หรือกอความเดอื ดรอ นหรอื เสยี หาย
หรืออาจจะกอความเดือดรอนหรือเสียหายโดยตรงแกผูฟองคดีแตอยางใดไม คงมีแตเฉพาะคําส่ัง
ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําส่ังลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เทานั้นที่มผี ลทางกฎหมายกระทบกระเทือนตอสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๖๒ ที่ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟองของผูฟองคดีขอหาที่สองและ
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๘)
ในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไวพิจารณา คงใหรับเฉพาะคําฟองขอหาที่หนึ่งไวพิจารณา น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดเห็นพองดวย
จึงมคี ําส่ังยืนตามคาํ สั่งของศาลปกครองชน้ั ตน
คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คบ.๑๑๙/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดฟี อ งวา มลู คดสี บื เน่ืองจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดรับเรื่องกลาวหานาย ช. เม่ือคร้ังดํารงตําแหนงนายก
องคการบริหารสวนตําบลทาขอนยาง กับพวกรวม ๑๑ คน วากระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ กรณีการจัดซ้ือรถยนตบรรทุกขยะมูลฝอย
ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ มอบหมายใหองคคณะพนักงานไตสวนดําเนินการไตสวนขอเท็จจริง และไดพิจารณา
สํานวนการไตสวนขอเท็จจริงเรื่องดังกลาว และมีมติวา การกระทําของผูฟองคดีขณะดํารงตําแหนง
ปลัดองคการบริหารสวนตําบลทาขอนยางมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริต
ตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มตคิ ณะรัฐมนตรีหรอื นโยบายของรฐั บาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และฐาน
ประพฤตชิ ว่ั อยางรายแรงตามประกาศคณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดมหาสารคาม เรื่อง
หลักเกณฑและเง่ือนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การใหออกจากราชการ การอุทธรณ
และการรองทุกข ลงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๔ ขอ ๓ วรรคสาม ขอ ๖ วรรคสอง และขอ ๑๙
วรรคสอง และมีมูลความผิดทางอาญา จากน้ันผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีหนังสือสงสําเนารายงานการไตสวน
ขอเทจ็ จริงพรอ มเอกสารประกอบและมติดังกลาวไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกเทศมนตรีตําบลทาขอนยาง)
เพอื่ พิจารณาลงโทษทางวินยั แกผ ูฟ องคดี ตอมา ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานเทศบาล
จังหวัดมหาสารคาม) มีมติในการประชุมเม่ือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ เห็นชอบใหลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการและผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ ลงโทษ
ไลผ ฟู องคดอี อกจากราชการ ผฟู อ งคดเี หน็ วา คําสง่ั และมตขิ องผูถกู ฟองคดีทง้ั สามไมช อบดวยกฎหมาย
จึงนาํ คดีมาฟองขอใหศ าลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ที่ช้ีมูลความผิด
ทางวนิ ัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี ตามหนังสือลงวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ในการประชุมเม่อื วนั ท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ ที่พิจารณาเห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และเพกิ ถอนคาํ สง่ั ของผถู ูกฟองคดที ่ี ๑ ตามคําสง่ั ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีอํานาจโดยตรงในการกําหนด
หลักเกณฑและเงื่อนไขในการคัดเลือก การบรรจุและแตงต้ังพนักงานเทศบาลของแตละเทศบาล
ที่อยูในเขตจังหวัดของตน รวมทั้งใหความเห็นชอบในการออกคําสั่งแตงต้ังและการใหพนักงานเทศบาล
พนจากตาํ แหนง ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๑๕ วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา ๒๕ แหง พ.ร.บ.
ระเบียบบริหารงานบุคคลสวนทอ งถน่ิ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเมอ่ื ผถู ูกฟองคดีที่ ๒ มีมติกรณีพนักงานเทศบาล
ผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง สมควรลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการเปนประการใด
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๔๙)
ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ส่ังหรือปฏิบัติไปตามนั้น ท้ังนี้ ตามขอ ๘๕ วรรคหนึ่ง ของประกาศคณะกรรมการ
พนกั งานเทศบาลจงั หวัดมหาสารคาม เรอ่ื ง หลกั เกณฑแ ละเง่อื นไขเก่ียวกับวินัยและการรักษาวินัย
และการดําเนินการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๙ ก็ตาม แตเมื่อตามนัย
ของบทบัญญัติดังกลาว กําหนดใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนผูมีอํานาจออกคําส่ังลงโทษทางวินัยผูฟองคดี
โดยไดรับความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีเห็นชอบใหลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการมิไดมีผลเปนการสรางนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคลในอันท่ีจะกอ
เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี
ไมวาจะเปนการถาวร หรือเปนการช่ัวคราว การกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมใชคําสั่งทางปกครอง
หากแตเปนเพียงการพิจารณาทางปกครองตามนัยมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ หาไดมีผลทางกฎหมายออกไปกระทบกระเทือนตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ี
ของผูฟองคดี อันจะทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรอื เสยี หายโดยมอิ าจหลกี เล่ยี งไดที่สามารถนําคดมี าฟองตอศาลปกครองไดตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองในขอหาท่ีฟองวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ เห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยไมชอบดวยกฎหมาย และขอใหศาลเพิกถอนมติดังกลาวไวพิจารณา
ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพองดวย
จึงมคี ําสง่ั ยนื ตามคาํ สง่ั ของศาลปกครองชน้ั ตน
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๒๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงปลัดองคการ
บริหารสวนตําบล สังกัดองคการบริหารสวนตําบลยางสีสุราช อําเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (นายกองคการบริหารสวนตําบล
ยางสีสุราช) มีคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดมหาสารคาม) ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑
กรกฎาคม ๒๕๖๑ และมติชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๔ (คณะกรรมการปองกันและปราบปราม
การทุจริตแหงชาติ) ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
เมื่อวันท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ สืบเน่ืองมาจากมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีท่ี ๔ วามีการทุจริต
ในการดําเนินการสอบแขงขันเพื่อบรรจุแตงตั้งบุคคลเปนพนักงานสวนตําบลขององคการบริหาร
สวนตําบล ประจําป พ.ศ. ๒๕๕๗ ในพ้ืนที่จังหวัดมหาสารคาม ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งและมติดังกลาว
ไมชอบดวยกฎหมาย ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (องคการบริหารสวนตําบลยางสีสุราช) ในฐานะหนวยงาน
ตนสังกัดของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองรับผิดชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีตามมาตรา ๘ ประกอบ
มาตรา ๑๐ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนรายงานการประชุมและมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุม
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๐)
เม่ือวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ชําระเงินเดือน เงินประจําตําแหนง
เงินเพ่ิมประจําตําแหนง คาเชาบาน นับถัดจากวันที่มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ถึงวันฟองคดี รวมเปนเงินจํานวน ๑๕๔,๑๑๒ บาท และเงินเดือนเดือนละ ๕๓,๗๖๐ บาท
พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับถัดจากวันฟองคดีเปนตนไปจนกวาจะมีคําส่ังให
ผูฟองคดีกลับเขารับราชการ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ สั่งเล่ือนเงินเดือนใหแกผูฟองคดีทุกรอบ
ท่ีมีการเลื่อนเงินเดือนประจําป นับจากวันที่มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการจนถึง
วันที่มีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ (รอบวันท่ี ๑ เมษายน และวันที่ ๑ ตุลาคม ของทุกป)
รวมท้ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เม่ือวันที่ ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเมื่อวันท่ี ๑๓ มนี าคม ๒๕๖๑
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการซ่ึงเปนการใหพนจากตําแหนงจะตองไดรับความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีที่ ๓ กอน
ตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๒๕ วรรคเจ็ด แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารงานบุคคลสวนทองถิ่น
พ.ศ. ๒๕๔๒ แตมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ท่ีเห็นชอบ
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เปนเพียงการเตรียมการและการดําเนินการของเจาหนาท่ี
เพื่อจัดใหมีคําสั่งลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดีซ่ึงเปนคําสั่งทางปกครอง อันเปนการพิจารณา
ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หากจะมีผล
ก็มีผลผูกพันเฉพาะผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีจะตองปฏิบัติตามเทานั้น มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดังกลาว
ยังมิไดมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีแตอยางใด และแมวา
ทายที่สุดผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
โดยอาศัยมติเห็นชอบของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดังกลาวก็ตาม ความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดี
ก็เกิดจากคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการอันเปนผลสุดทายของการพิจารณาทางปกครอง
มิไดเกิดจากมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ผูฟองคดีจึงมิใชผูมีสิทธิฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอน
มตขิ องผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชมุ เมอื่ วันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ท่ีเห็นชอบใหล งโทษไลผ ฟู องคดี
ออกจากราชการ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองชั้นตน
มีคําส่ังไมรับคําฟองในขอหาท่ีฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๑ เห็นชอบใหล งโทษไลผ ูฟอ งคดีออกจากราชการ โดยไมช อบดว ยกฎหมาย และขอใหศ าลเพิกถอน
มตดิ ังกลาวไวพ จิ ารณา น้นั ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พอ งดว ย
จึงมีคําสัง่ ยนื ตามคาํ สง่ั ของศาลปกครองชัน้ ตน
คําสัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ.๑๕๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงรองปลัด
องคการบริหารสวนตําบล สังกัดองคการบริหารสวนตําบลยางสีสุราช อําเภอยางสีสุราช
จังหวัดมหาสารคาม ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ (นายกองคการ
บรหิ ารสวนตาํ บลยางสสี ุราช) มีคาํ สง่ั ลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๑)
ตามมติผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดมหาสารคาม) ในการประชุม
เม่ือวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และมติช้ีมูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เมื่อวันท่ี ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ มูลกรณีสืบเนื่องมาจากมีผูกลาวหารองเรียน
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๔ วามีการทุจริตในการดําเนินการสอบแขงขันเพื่อบรรจุและแตงต้ังบุคคลเปน
พนักงานสวนตําบลขององคการบริหารสวนตําบลประจําป พ.ศ. ๒๕๕๗ ในพ้ืนที่จังหวัดมหาสารคาม
ผฟู องคดีเหน็ วา คาํ สง่ั และมติดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย ทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหายตอง
ออกจากการรับราชการและไมไดรับเงินเดือนๆ ละ ๓๐,๗๙๐ บาท เงินประจําตําแหนงเดือนละ
๓,๕๐๐ บาท นบั ถัดจากวันทีม่ คี ําสง่ั ลงโทษไลผ ูฟองคดอี อกจากราชการเปนตนไป อันเปนการทําละเมิด
ตอผูฟองคดี จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งองคการบริหาร
สวนตําบลยางสีสุราช ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนรายงานการประชุมและมติของผถู กู ฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ชําระเงินเดือนๆ ละ ๓๐,๗๙๐ บาท เงินประจําตําแหนง
เดือนละ ๓,๕๐๐ บาท รวมเปนเงินเดือนละ ๓๔,๒๙๐ บาท นับถัดจากวันที่มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการถงึ วันฟอ งคดี รวมเปนเงนิ จาํ นวน ๙๘,๒๙๘ บาท และชําระเงินเดือนๆ ละ ๓๐,๗๙๐ บาท
เงินประจําตําแหนงเดือนละ ๓,๕๐๐ บาท รวมเปนเงินเดือนละ ๓๔,๒๙๐ บาท พรอมดอกเบ้ีย
ในอัตรารอ ยละ ๗.๕ ตอป นบั ถัดจากวนั ฟอ งคดีเปนตนไปจนกวา จะมคี าํ สัง่ ใหผ ฟู อ งคดีกลับเขารับราชการ
ใหผ ถู กู ฟองคดที ี่ ๑ สั่งเลอ่ื นเงนิ เดอื นใหแกผ ูฟองคดที ุกรอบท่ีมีการเล่ือนเงินเดือนประจําป นับถัดจาก
วันที่มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการจนถึงวันที่มีคําส่ังใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
(รอบวนั ที่ ๑ เมษายน และวันท่ี ๑ ตุลาคม ของทุกป) เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ในการประชุม
เม่ือวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เม่ือวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เม่ือวันท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑
ศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองในขอหาท่ีฟองวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีมติเมื่อวันท่ี
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยไมชอบดวยกฎหมาย
และขอใหศาลเพิกถอนมติดังกลาวไวพิจารณา ผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งไมรับคําฟองบางขอหา
ไวพจิ ารณา
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการซ่ึงเปนการใหพนจากตําแหนงจะตองไดรับความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีท่ี ๓
กอ นตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๒๕ วรรคเจ็ด แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารงานบุคคลสวนทองถ่ิน
พ.ศ. ๒๕๔๒ แตมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่เห็นชอบ
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เปนเพียงการเตรียมการและการดําเนินการของเจาหนาที่
เพอื่ จัดใหมีคําสั่งลงโทษทางวินยั แกผฟู อ งคดซี ่งึ เปน คาํ สงั่ ทางปกครอง อนั เปนการพิจารณาทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หากจะมีผลก็มีผลผูกพัน
เฉพาะผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะตองปฏิบัติตามเทาน้ัน มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดังกลาว ยังมิไดมี
ผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีแตอยางใด และแมวาตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๒
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๒)
ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยอาศัยมติของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ดังกลาวก็ตาม ความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดีก็เกิดจากคําส่ัง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการอันเปนผลสุดทายของการพิจารณาทางปกครอง อุทธรณของ
ผูฟองคดีที่วา มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เปนคําสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบตอสิทธิของผูฟองคดี
จึงไมอาจรับฟงได ผูฟองคดีจึงมิใชผูมีสิทธิฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓
ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ท่ีเห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนง่ึ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟอง
ในขอหาที่ฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เห็นชอบให
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยไมชอบดวยกฎหมาย และขอใหศาลเพิกถอนมติดังกลาว
ไวพ จิ ารณา นนั้ ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พอ งดวย
จงึ มคี าํ ส่ังยืนตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้นั ตน
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ. ๑๖๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟอ งวา ผูฟ องคดไี ดรบั ความเดือดรอ นหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(ศึกษาธิการจังหวัดสุโขทัย) ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ เน่ืองจากผูถูกฟองคดีที่ ๘ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ)
ไดชี้มูลวาผูฟองคดีไดกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งดังกลาวไมชอบ
ดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งดังกลาว หรือหากศาลเห็นวา
ผูฟองคดีมีความผิดวินัยฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๘ ช้ีมูล ก็ขอให
ศาลพิพากษาลดโทษจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ และหากศาลไดเพิกถอนคําส่ัง
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ีผูฟองคดีถูกไลออกจากราชการ หรือศาล
ลดโทษจากไลออกเปนปลดออกก็ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ถึงที่ ๗ (คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด
สโุ ขทัย ที่ ๑ คณะกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ ๓ สํานักงานศึกษาธิการ
จังหวัดสุโขทัย ท่ี ๔ สํานักงานคณะกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ ๕
สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ท่ี ๖ กรมบัญชีกลาง ที่ ๗) รวมกันหรือแทนกันชดใช
คาเสียหายซ่ึงเปนเงินบํานาญท่ีผูฟองคดีควรไดรับระหวางการพิจารณาคดีประมาณ ๔๐ เดือน
เปนเงนิ เดอื นละ ๕๑,๓๕๕.๗๓ บาท รวมเปน เงนิ ทัง้ สนิ้ ๒,๐๕๔,๒๒๙ บาท
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีไลผูฟองคดี
ออกจากราชการจะมีผลผูกพันใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองออกคําส่ังไลผูฟองคดีออกจากราชการก็ตาม
แตความเดือดรอนหรือเสียหายที่ผูฟองคดีไดรับเปนผลโดยตรงจากคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒
ดังน้ัน จึงไมมีเหตุผลหรือความจําเปนที่ศาลจะตองรับคําฟองในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไวพิจารณา นอกจากน้ี ผูฟองคดีไดมีคําขอเพ่ิมเติมมาในอุทธรณโดยขอใหศาลเพิกถอนมติของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีไลผูฟองคดีออกจากราชการ คําขอน้ีเปนขอเท็จจริงท่ีมิไดยกขึ้นวากันมาแลว
โดยชอบในศาลปกครองชั้นตน และก็มิใชเปนปญหาอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓