The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-02-23 02:06:39

วินัย

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

(๓)
คือ ภายในวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กรณีจึงถือวาผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายตามขั้นตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ แลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองเพื่อขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไดนับแตวันถัดจาก
วันครบกาํ หนดเวลาดงั กลาว ศาลปกครองจงึ มีอาํ นาจรบั คาํ ฟองนไ้ี วพ จิ ารณาได

เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูชวยผูอํานวยการโรงเรียน
เมืองโพธ์ิชัย ผูอํานวยการโรงเรียนเมืองโพธ์ิชัยไดมีคําส่ังลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๒ แตงต้ังผูฟอง
คดเี ปน กรรมการเก็บรักษาเงินและเบิกจายเงินนอกงบประมาณ และตอมา ผูอํานวยการโรงเรียน
เมืองโพธ์ิชัยยังไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๒ มอบหมายใหผูฟองคดีทําหนาที่ผูชวย
ผอู ํานวยการฝา ยธุรการและการเงิน มหี นา ทรี่ ับผดิ ชอบการลงบัญชแี ละทะเบียนคุมเงินทุกประเภท
ตลอดจนควบคุม ตรวจสอบรายการใชงบประมาณของโรงเรียน รวมท้ังปฏิบัติหนาที่หัวหนางาน
พัสดุของโรงเรียน จากนั้น บริษัท ซ. ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ และวันที่ ๑
มิถนุ ายน ๒๕๔๔ มอบเงนิ สมทบทุนการศึกษาประจําปการศึกษา ๒๕๔๓ และปการศึกษา ๒๕๔๔
เปนเงินปละ ๒,๐๐๐ บาท ใหแกโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย ซึ่งผูฟองคดีไดลงลายมือช่ือเปนผูรับเงิน
จํานวนดังกลาวไวเปนหลักฐานในหนังสือของบริษัท ซ. เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๓ และวันท่ี
๑๓ กนั ยายน ๒๕๔๔ ตามลาํ ดับ โดยทีเ่ งินสมทบทนุ การศึกษาทบี่ ริษัท ซ. มอบใหแกโรงเรียนเมือง
โพธิ์ชัย จึงมีลักษณะเปนเงินบํารุงการศึกษาตามขอ ๔ (๑) ของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
วาดวยเงินบํารุงการศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๔ และผูฟองคดีมีหนาท่ีปฏิบัติเก่ียวกับการรับเงิน โดยออก
ใบเสรจ็ รับเงินใหแกผูชําระเงินทุกครั้งท่ีมีการรับเงิน พรอมทั้งตองบันทึกเงินท่ีไดรับในบัญชีเงินสด
หรือบัญชีเงินฝาก แลวแตกรณี ภายในวันที่ไดรับเงินน้ัน ตามนัยขอ ๕ วรรคหน่ึง ของระเบียบ
ดังกลาวประกอบขอ ๑๖ และขอ ๑๘ วรรคหน่ึง ของระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนําเงินสง
คลังของสวนราชการ พ.ศ. ๒๕๒๐ อยางไรก็ตาม แมผูฟองคดีไมไดออกใบเสร็จรับเงินใหแกบริษัท ซ.
ไมไ ดล งรับในบญั ชีคมุ เงนิ นอกงบประมาณของโรงเรยี นเมืองโพธช์ิ ยั และไมไดนําเงินทั้งหมดท่ีรับไว
สงเขาเปนรายไดของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย แตโดยที่พยานบุคคลลวนใหถอยคําสอดคลองกันวา
โรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยไดดาํ เนนิ โครงการโรงเรียนสง เสริมสุขภาพ โดยกอสรางที่ลางมือและแปรงฟน
สําหรับนักเรียน อีกท้ัง ยังสอดคลองและรับกับภาพถายท่ีลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียน
ที่ผูฟองคดีอางสงเปนพยานประกอบคําชี้แจงแกขอกลาวหาตอผูรองสอด กรณีจึงรับฟงไดวา
มีการกอสรางท่ีลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียนจริง ซ่ึงแมวาจะไมมีพยานหลักฐานยืนยัน
ขอเท็จจริงไดวาผูฟองคดีนําเงินสมทบทุนการศึกษาที่ไดรับจากบริษัท ซ. จํานวน ๔,๐๐๐ บาท
ดังกลาว มาใชในการกอสรางท่ีลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียน เน่ืองจากผูฟองคดีมิไดลงรับเงิน
ดังกลาวในบัญชีรับ - จายเงินของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย แตเม่ือพิจารณาถอยคําของพยานบุคคล
ในชั้นไตสวนขอเท็จจริงของผูรองสอดซ่ึงสอดคลองกับการใหถอยคําในช้ันพิจารณาคดีของ
ศาลจังหวัดรอยเอ็ด คดีหมายเลขดําที่ ๔๙๔๙/๒๕๕๗ แลว เช่ือไดวา ผูฟองคดีไดมอบหมายให
นาย ช. และนาย ข. นกั การภารโรง เปน ผูกอสรา งที่ลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียน โดยใหนาย ช.

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔)
เปนผูส่ังซื้อและจายเงินคาวัสดุกอสรางใหแกรานเมืองโพธ์ิชัยวัสดุเปนเงินจํานวน ๔,๐๐๐ บาท
อันเปนจํานวนเงินเทากับเงินสมทบทุนการศึกษาที่ไดรับจากบริษัทฯ จึงเชื่อวา ผูฟองคดีไดนําเงิน
สมทบทุนการศึกษาท่ีไดรับจากบริษัทฯ จํานวน ๔,๐๐๐ บาท ดังกลาว มาใชในการกอสรางที่ลางมือ
และแปรงฟนสําหรับนักเรียนโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย อีกทั้งขอเท็จจริงยังปรากฏวา สํานักงาน
การตรวจเงินแผนดินภูมิภาคที่ ๗ (จังหวัดขอนแกน) ไดตรวจพบพฤติกรรมของผูฟองคดีกรณีรับเงิน
สวัสดิการและทุนการศึกษาที่บริษัทฯ มอบใหแกโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยแลว แตไมนําเงินดังกลาว
สงเปนรายไดของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยเพียงแคป พ.ศ. ๒๕๔๓ – พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยเอกสาร
ในสํานวนคดีน้ีไมปรากฏขอเท็จจริงวาหลังจากนั้นผูฟองคดีไดมีพฤติกรรมอ่ืนหรือไดปฏิบัติ
ไมถูกตองตามระเบียบเก่ียวกับการเงินอ่ืนแตอยางใด ประกอบกับไมปรากฏขอเท็จจริงอ่ืนใด
ในสํานวนการไตสวนของผูรองสอดวา ผูฟองคดีมีสวนไดเสียหรือมีเจตนาใหตนเองหรือผูอ่ืนไดรับเงิน
หรือประโยชนอื่นใดที่มิควรไดจากการกระทําดังกลาว อันจะเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
กรณีจึงไมอาจรับฟงไดวาการกระทําของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการ
โดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกับ
มาตรา ๔ แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓

สวนความผิดทางวินัยฐานอ่ืนที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ใชเปนเหตุผลในการลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ไดแก ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแก
ราชการอยางรายแรง และฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง นั้น
เมื่อไดวินิจฉัยแลววา การพิจารณาโทษทางวินัยที่จะถือวารายงาน เอกสาร และความเห็นของ
ผูรองสอด เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวย
ระเบียบขาราชการพลเรือน ตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ตองเปนกรณีท่ีผูรองสอดไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิด
แกเ จาหนาท่ีของรัฐ ในกรณีท่ีเจาหนาท่ีของรัฐกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ ดังนั้น มติของ
ผูรองสอดท่ีชี้มูลความผิดทางวินัยแกผูฟองคดีในความผิดฐานอื่น จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๑
ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี และผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริง
และความเห็นของผูรองสอดมาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือนตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาวไมได ดังนั้น ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีหนาท่ีตองดําเนินการทางวินัยแก
ผูฟองคดีโดยแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดีตามท่ีถูกกลาวหาในความผิดฐาน
กระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ วิธีการ และ
เงื่อนไขเกยี่ วกับการสอบสวนพิจารณา เพื่อใหผูฟองคดีซ่ึงเปนผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหา
และมีโอกาสชี้แจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการที่กําหนดไวในกฎหมายวาดวย
ระเบียบขาราชการพลเรือน เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมไดดําเนินการ

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕)
ตามขั้นตอน วิธีการ และกระบวนการสอบสวนวินัยตามกฎหมายดังกลาว แตกลับนํารายงาน
เอกสาร และความเห็นของผูรองสอด มาพิจารณาแลวมีคําส่ังลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามฐานความผิดดังกลาว กรณีจึงเปนเหตุใหคําส่ังดังกลาวไมชอบ
ดวยกฎหมาย เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเปน
สาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทําน้ัน อีกทั้ง เม่ือไดวินิจฉัยขางตนแลววา ผูฟองคดีมิได
มีพฤติการณกระทําการทุจริตตอหนาที่ราชการเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนท่ีมิควรได
แตการท่ีผูฟองคดีไดรับมอบเงินสมทบทุนการศึกษาจากบริษัท ซ. แลว แตกลับไมออกใบเสร็จรับเงิน
ใหแกบริษทั ซ. ไมล งรับในบัญชคี ุมเงินนอกงบประมาณของโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัย และไมนําเงินท้ังหมด
ที่รับไวสงเขาเปนรายไดของโรงเรียนเมืองโพธ์ิชัย ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ วาดวย
เงินบํารุงการศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนําเงินสงคลังของสวนราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๐ อกี ทัง้ ไมป รากฏวาผูฟองคดีไดดําเนินโครงการโรงเรียนสงเสริมสุขภาพ โดยกอสราง
ที่ลางมือและแปรงฟนสาํ หรับนกั เรียนโดยปฏบิ ัติตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๕ การกระทาํ ของผฟู อ งคดีดงั กลาวจงึ เปนการจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบ
ของทางราชการ ซึง่ แมวา จะเปนการนําเงินไปใชผิดวัตถุประสงคของบริษัท ซ. ซ่ึงเปนผูบริจาคเงิน
ดังกลาว แตที่ลางมือและแปรงฟนสําหรับนักเรียนก็เปนทรัพยสินของโรงเรียนและเปนประโยชน
แกนกั เรียนทุกคนในโรงเรียนเมืองโพธ์ิชัย ประกอบกับเงินจํานวน ๔,๐๐๐ บาท เปนจํานวนเงินไมมาก
การกระทาํ ดังกลาวจึงมไิ ดเปนเหตใุ หเกดิ ความเสยี หายแกร าชการอยางรา ยแรง ประกอบกับขอเท็จจริง
ไมป รากฏวา ผูฟอ งคดมี ีเจตนากระทาํ การอื่นใดท่จี ะนํามาซึ่งความเส่ือมเสียช่ือเสียงและเกียรติศักด์ิ
ของตําแหนงหนาท่ีราชการ กรณีนี้จึงเห็นวา การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยฐาน
ไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และ
นโยบายของรัฐบาลโดยไมใหเสียหายแกราชการ อันเปนความผิดวินัยไมรายแรง ตามมาตรา ๘๕
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกับมาตรา ๔ แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชามีอํานาจออกคําส่ัง
ลงโทษทางวินยั แกผ ูฟองคดีไดเพียงโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดข้ันเงินเดือน ตามมาตรา ๑๐๐
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังน้ัน
คาํ ส่ังลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนคําส่ังที่ไมชอบดวยกฎหมาย
ทศ่ี าลปกครองช้ันตน พพิ ากษาเพกิ ถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปนับแตวันที่มีคําสั่งดังกลาว นั้น
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดว ย

พิพากษายืน

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖)

กรณีเปนคดที ่อี ยใู นอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๓๐/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการบํานาญ ไดรับความเดือดรอนหรือ
เสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (กระทรวงมหาดไทย) โดยปลัดกระทรวงมหาดไทย ไดมีคําส่ัง
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๓๐
กันยายน ๒๕๕๐ ซ่ึงเปนวันส้ินปงบประมาณท่ีผูฟองคดีมีอายุครบหกสิบปบริบูรณเปนตนไป
เนือ่ งจากเมือ่ ครงั้ ผฟู องคดีดาํ รงตําแหนง รองผูวา ราชการจังหวัดสรุ าษฎรธ านี ไดร บั มอบอํานาจจาก
ผูวาราชการจังหวัดสุราษฎรธานีใหมีอํานาจในการส่ังการ การอนุญาต การอนุมัติ และกํากับดูแล
การปฏิบัติราชการของสวนราชการตางๆ ของโรงพยาบาลทุกแหงในจังหวัดสุราษฎรธานี ลงวันที่
๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ และใหมีอํานาจอนุมัติในการส่ังซ้ือหรือส่ังจาง และดําเนินการตามระเบียบ
สํานกั นายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ไดดําเนินการประกวดราคาจางปรับปรุงระบบ
จายกระแสไฟฟาแรงตํ่า จํานวน ๔ เฟส ของโรงพยาบาลสุราษฎรธานีตามประกาศจังหวัดสุราษฎรธานี
เร่ือง ประกวดราคาจางปรับปรุงระบบจายกระแสไฟฟาแรงต่ํา ลงวันท่ี ๔ สิงหาคม ๒๕๔๓ และ
อนุมัติจา งผูชนะการประกวดราคาตามผลการประกวดราคาดังกลาว ซึ่งมีผลใหตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓
(คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดรับคํารองเรียนกลาวหาวาผูฟองคดี
กับพวกละเวนไมดําเนินการยกเลิกการประกวดราคาจางในการประกวดราคาคร้ังดังกลาว
เพราะเหตุท่ีมีการลักซองเสนอราคาและเอกสารท่ีเกี่ยวของในการเสนอราคาของบริษัท อ.
ซึ่งเปนผูซ้ือเอกสารประกวดราคา เปนเหตุใหบริษัทดังกลาวไมไดเขายื่นซองเสนอราคา
โดยมีพฤติการณชวยเหลือหรือเอื้อประโยชนผูเสนอราคาบางรายทําใหมีผูเสนอราคาถูกตอง
ตามรายละเอียดและเง่ือนไขเพียงรายเดียว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาแลวมีมติเห็นชอบตาม
ความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวนวาการกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
จึงสงรายงานและเอกสาร พรอมท้ังความเห็นดังกลาวไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้น
ปลดั กระทรวงมหาดไทยไดสง เร่ืองใหผ ูถูกฟองคดีที่ ๒ (อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย) ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒
พิจารณาแลวมีมติใหไลผูฟองคดีออกจากราชการผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการดังกลาว ผูฟองคดีไมเห็นพองดวย จึงอุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ท่ีวาการกระทําของผูฟองคดี
เปนความผิดวินัยอยางรายแรง เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนคาํ สั่งของผูถูกฟอ งคดที ี่ ๑ ทีล่ งโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามคําส่ังกระทรวงมหาดไทย
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
และพิพากษาวาการกระทําของผูฟองคดีกับพวกไมเปนความผิดตามกฎหมาย และไมกอใหเกิด

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗)
ความเสียหายแกผูใด รวมทั้งใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งใหผูฟองคดีไดกลับเขารับราชการเชนเดิม
โดยใหไดร บั บาํ เหนจ็ บาํ นาญตามปกติโดยไมมีความผิดใดๆ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ขอกลาวหาที่อยูในอํานาจไตสวนและวินิจฉัยช้ีมูล
ความผิดทางวินัยของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๓ นนั้ คงมแี ตเ ฉพาะท่เี ปน กรณีกลา วหาวาการกระทําความผิด
ฐานทุจริตตอหนาที่ กระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการหรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่
ในการยุติธรรมเทาน้ัน การชี้มูลของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ดังกลาว จึงไมมีผลผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ท่ี ๒ และท่ี ๔ ที่จะตองส่ังลงโทษผูฟองคดีไปตามการช้ีมูลน้ัน โดยไมตองสอบสวนและพิจารณา
โทษทางวินัยในขอหาดังกลาว อีกท้ังมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีชี้มูลความผิดทางวินัยของผูฟองคดี
แลวสงใหผูมีอํานาจพิจารณาลงโทษตอไปตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปอ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ.๒๕๔๒ นั้น ก็มิใชเปนการวินิจฉัยชี้ขาดตามนัยมาตรา ๒๒๓
วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ อันจะทําใหคดีนี้ไมอยู
ในอํานาจการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแตอยางใด เนื่องจากไมใชเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๕๐ (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ซ่ึงใชบังคับอยูในขณะนั้นศาลปกครองจึงมีอํานาจพิจารณาคดีน้ีได ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง
ของรัฐธรรมนูญดังกลาว ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
แมผูฟองคดีจะทราบวามีเหตุโจรกรรมลักซองเสนอราคาของบริษัท อ. แตเหตุดังกลาวเกิดขึ้น
ที่โรงแรม ว. ซ่ึงอยูหางจากสถานที่รับซองเสนอราคา และเปนเหตุท่ีเกิดข้ึนกอนเวลาเสนอราคา
มิไดเกิดข้ึนในบริเวณสถานที่รับซองเสนอราคา และในระหวางการรับซองเสนอราคา การท่ี
ซองเสนอราคาไดถูกลักไปในขณะที่อยูในความครอบครองของนาย ค. ยอมเปนหนาท่ีของนาย ค.
ที่จะตองดูแลรักษาทรัพยสินของตนเยี่ยงวิญูชนทั่วไปมิใหทรัพยสินของตนสูญหายหรือถูกลักไป
กรณีดังกลาวจึงมิใชกรณีท่ีอยูในความรับผิดชอบของผูฟองคดีในฐานะหัวหนาสวนราชการ
ผูมีอํานาจอนุมัติสั่งซื้อสั่งจางพัสดุ หรือเจาหนาท่ีของผูฟองคดีท่ีเปนกรรมการรับซองเสนอราคา
อีกทั้งรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและการรวบรวมพยานหลักฐานของผูถูกฟองคดีที่ ๓
ก็ไมปรากฏหลักฐานวาผูฟองคดีมีสวนรูเห็นหรือเกี่ยวของกับการลักซองประมูลของบริษัท อ.
หรือผูฟองคดีไดรับผลประโยชน หรือมีสวนไดเสียอยางใดจากการท่ีบริษัท อ. ไมสามารถย่ืนซอง
ประมูลไดแตอยางใด แมในการประกวดราคาโครงการน้ีมีผูยื่นซองเสนอราคา จํานวน ๒ ราย คือ
บริษัท อ. และบริษัท ซ. โดยมีเพียงบริษัท ซ. ท่ีเสนอราคาถูกตองตามเง่ือนไขเพียงรายเดียว และ
เสนอราคาเกินราคากลางไมเกินรอยละ ๑๐ ซึ่งกรณีปกติคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
ควรที่จะตองเสนอความเห็นตอหัวหนาสวนราชการใหยกเลิกการประกวดราคาในคร้ังนั้น
แตหากคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นวามีเหตุผลสมควรท่ีจะดําเนินการ
โดยไมตองยกเลิกการประกวดราคา ก็สามารถกระทําได โดยระบุเหตุผลความจําเปนท่ีจะตอง
ดําเนินการประกวดราคาตอไป ตามขอ ๕๑ ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๕ เม่ือผลการประกวดราคาปรากฏวามีผเู สนอราคาถูกตองตามเงื่อนไขเพยี งรายเดียวคือ
บริษัท ซ. โดยบริษัทดังกลาวเสนอราคาเปนเงินทั้งสิ้น ๒๕,๙๙๐,๙๔๔.๒๘ บาท คณะกรรมการ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘)
พิจารณาผลการประกวดราคาตอรองราคาแลวบริษัทลดราคาใหเหลือ ๒๕,๘๐๐,๐๐๐ บาท
เปน ราคาไมเ กนิ วงเงนิ งบประมาณทตี่ งั้ ไว การดําเนินการดังกลาวจึงเปนการดําเนินการตามขอ ๔๓ (๑)
ของระเบียบดังกลาว เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคามีความเห็นเสนอผูฟองคดี
ใหจัดจางบริษัท ซ. เขาทําสัญญารับจางปรับปรุงระบบจายกระแสไฟฟาแรงตํ่า จํานวน ๔ เฟส
ของโรงพยาบาลสุราษฎรธานี เปนเงินจํานวน ๒๕,๘๐๐,๐๐๐ บาท แลว ผูฟองคดีในฐานะ
ผูมีอํานาจอนุมัติในการสั่งซ้ือ ส่ังจาง ยอมมีอํานาจใชดุลพินิจพิจารณาวาจะสมควรดําเนินการ
จัดจางตอไปหรือสมควรจะยกเลิกการจัดจางครั้งนั้น ซึ่งเม่ือเหตุการณลักซองเอกสารประกวดราคา
ดังกลาวนั้น เกิดข้ึนนอกพื้นที่ประกวดราคา อีกท้ังยังไมมีขอเท็จจริงใหพิจารณาไดวาเหตุการณ
ดังกลา วเกดิ ข้ึนเพราะเหตุใดและเกิดข้ึนไดอยางไร เก่ียวของกับการกีดกัน กลั่นแกลงมิใหมีการย่ืน
ซองเสนอราคาครงั้ น้นั หรือไม อยางไร หากตองยกเลิกการประกวดราคาโครงการดังกลาวจะทําให
การจัดทําบริการสาธารณะตองหยุดชะงักลง และอาจเกิดความเสียหายตอบริการสาธารณะ
ทางการแพทยอยางรายแรงได ประกอบกับในขณะนั้นเปนชวงใกลจะส้ินปงบประมาณ ๒๕๔๓
หากตองมีการยกเลิกการประกวดราคาเพ่ือดําเนินการใหม ยอมเล็งเห็นไดอยางชัดเจนวา
จะไมส ามารถดําเนนิ การจัดจางไดภายในสิ้นปงบประมาณดังกลาว ซึ่งจะทําใหงบประมาณที่ไดรับ
จัดสรรในปงบประมาณ ๒๕๔๓ ตกไป อันจะกอใหเกิดความเสียหายตอการใหบริการ
รักษาพยาบาลของโรงพยาบาลสุราษฎรธานี ซึ่งจะสงผลใหผูปวยและประชาชนผูเขารับบริการ
ดานการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลดังกลาวไดรับความเสียหายไปดวย ดังนั้น กรณีท่ีผูฟองคดี
ใชดุลพินิจไมส่ังการใหยกเลิกการประกวดราคาคร้ังดังกลาว จึงเปนการส่ังการโดยมีเหตุผล
อันสมควรตามขอ ๕๑ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังน้ัน
เมื่อไมมีขอเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอ่ืนใดที่จะแสดงใหรับฟงไดวาผูฟองคดีมีพฤติการณกระทํา
การอันมลี ักษณะเปน การขัดขวางการเสนอราคาอยา งเปน ธรรม และไดดําเนินการจัดจางบริษัท ซ.
โดยไมสจุ ริต หรอื โดยไมมเี หตุผลอันสมควร การดําเนินการของผูฟองคดี ในกรณีนี้จึงเปนไปตามท่ี
ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ แลว การกระทําของผูฟองคดี
จึงมิไดเปน การปฏิบตั หิ รอื ละเวนการปฏบิ ัตหิ นาทีร่ าชการโดยมิชอบ เพื่อใหบริษัท ซ. ไดประโยชน
ที่มิควรไดในการเขาทําสัญญาจางกับหนวยงานของรัฐ อันจะเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
และเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และเม่ือไดวินิจฉัยแลววาผูฟองคดีกระทําโดยชอบดวยระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
ดังกลาวแลว การกระทําของผูฟองคดีจึงไมเปนการผิดวินัยตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง และ
มาตรา ๙๕ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกับขอ ๑๐
ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติชี้มูล
ความผิด การที่ผูถูกฟองท่ี ๑ มีคําสั่งลงโทษทางวินัยอยางรายแรง ตามการชี้มูลความผิดของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ และตอมาเม่ือผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังไลออกดังกลาว และผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ยกอทุ ธรณข องผฟู องคดนี ัน้ จงึ เปนการไมชอบดว ยกฎหมาย

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙)
พิพากษาใหเพิกถอนคาํ ส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามคําส่ังผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๓ และเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ลงวันท่ี
๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยใหมีผลยอนหลังไปตั้งแตวันที่คําส่ังและ
คําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาวมีผลบังคับเปนตนไป คําขออ่ืนนอกจากน้ีใหยก โดยมีขอสังเกต
ในการปฏิบัติตามคําพิพากษาน้ีวา เมื่อศาลเพิกถอนคําสั่ง และคําวินิจฉัยดังกลาวยอนหลังแลว
ยอมมีผลเสมือนวาผูฟองคดีมิไดเคยถูกไลออกจากจากราชการเลย ดังน้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จึงตองคืนสิทธิประโยชนอันพึงมีพึงไดใหแกผูฟองคดีในฐานะท่ีเปนขาราชการซึ่งออกจากราชการ
โดยการเกษยี ณอายุราชการตามกฎหมาย

กรณีเปนคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)

คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ. ๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน) มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ
ชี้มูลความผิดวินัยอยางรายแรง โดยอางวาเม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียน
ลําทะเมนไชยพิทยาคม มีอํานาจหนาท่ีพิจารณากําหนดจํานวนและอัตราตําแหนงและ
เกล่ียอัตรากําลัง พิจารณาใหความเห็นชอบการบรรจุและแตงตั้งขาราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา และดําเนินการสอบแขงขันเพื่อบรรจุและแตงต้ังบุคคลเขารับราชการเปน
ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษานครราชสีมา เขต ๗
และไดรับแตงตั้งใหเปนกรรมการจัดทําขอสอบในการสอบคัดเลือกพนักงานราชการหรือครูอัตราจาง
เพือ่ บรรจแุ ละแตง ตงั้ เขา รับราชการเปนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตําแหนงครูผูชวย
ไดอาศัยโอกาสท่ีมีตําแหนงหนาที่ดังกลาวเรียกรับเงินจากผูสมัครสอบ เพ่ือชวยเหลือให
สอบคัดเลือกไดและไดรับการบรรจุและแตงตั้งเปนครูผูชวยดังกลาว ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันที่
๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา) โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และ
มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ียกอุทธรณของผูฟองคดี โดยศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟอง
ขอหาที่ขอใหเ พกิ ถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณา ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ัง
ดังกลาว เห็นวา กรณีเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจาหนาที่ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ไมวาจะเปน การออกกฎ คําสั่งหรือการกระทําอื่นใด ซ่ึงอยูในอํานาจของศาลปกครองที่จะพิจารณา
พิพากษาหรือมีคําสั่งได ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏตามคําฟองวา ผูฟองคดีรับทราบคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เม่ือวันท่ี ๗ กันยายน ๒๕๖๐ และมีหนังสือลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังดังกลาว

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐)
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซึ่งไมปรากฏวาผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดรับหนังสืออุทธรณของผูฟองคดีเม่ือใด
แตอยา งเรว็ ที่สุดทผี่ ูถูกฟอ งคดที ี่ ๒ จะไดรบั หนังสืออทุ ธรณของผูฟองคดี คือ ในวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงตองพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในกําหนดระยะเวลาเกาสิบวัน
นับแตวันที่ไดรับหนังสืออุทธรณของผูฟองคดี ตามมาตรา ๑๒๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ คือ ภายในวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑ แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มิไดพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในกําหนดเวลาดังกลาว กรณีจึงตองถือวา
วันถัดจากวันที่ครบกําหนดเกาสิบวัน คือ วันท่ี ๔ มกราคม ๒๕๖๑ เปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึง
เหตุแหงการฟอ งคดแี ละเปน วนั เริม่ ตนท่ผี ูฟองคดีมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงตองย่ืนฟองคดีตอศาลปกครองช้ันตน เพื่อขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ดังกลาวภายในเกาสิบวันนบั แตว นั ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๑ กลาวคือ ภายในวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๑
การท่ผี ฟู องคดนี ําคดีมาฟอ งตอศาลปกครองชั้นตน ขอใหเ พกิ ถอนคําสัง่ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ เม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ จึงเปนการย่นื ฟองคดีเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดี
ตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลจึงไมอาจรับคําฟองขอหาท่ีฟองขอให
เพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณาได แตอยางไรก็ตาม กอนที่ศาลจะ
พิจารณาถึงความชอบดวยกฎหมายของคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตามขอหา
ท่ศี าลปกครองชนั้ ตนรบั ไวพิจารณาไดน้ัน ศาลยอมจะตองพิจารณาถึงความชอบดวยกฎหมายของ
คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเสียกอน หากมีความไมชอบดวยกฎหมายของคําส่ัง
ทางปกครองดังกลาวในข้ันตอนใด ยอมปรากฏชัดแจงในคําพิพากษา อีกท้ัง การฟองคดีในขอหาน้ี
ไมใชการฟองคดีท่ีเกี่ยวกับการคุมครองประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคลท่ีจะย่ืนฟองคดี
เมอ่ื ใดก็ได และไมใชก รณเี ปนการยื่นฟองท่ีเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอื่นที่ศาลจะ
รับคดีน้ีไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน นอกจากน้ี แมตามมาตรา ๑๒๒
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ จะมิไดบัญญัติไว
โดยชัดแจงวาใหผูไดรับคําส่ังทางปกครองที่ถูกกระทบสิทธิตองนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ทางปกครองเมื่อใด ในกรณีท่ีผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณไมพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จภายใน
กําหนดระยะเวลาก็ตาม แตระยะเวลาการฟองคดีขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังหรือการกระทํา
ทางปกครองทไี่ มช อบดวยกฎหมายไดถกู บญั ญตั ไิ วในมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
และพระราชบัญญัติฉบับนี้ไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๒ จึงถือวา
ผฟู อ งคดีหรือประชาชนท่ัวไปทราบถึงความมีอยขู องกฎหมายนี้ ดงั นน้ั จงึ ไมจ ําตอ งระบุระยะเวลา
การฟองคดีไวใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ แตอยางใด
อีกทั้ง กรณีมิไดมีบทบัญญัติของกฎหมายกําหนดใหผูออกคําสั่งทางปกครองจะตองระบุวิธีการ
และระยะเวลาสาํ หรบั ย่ืนคําฟองไวในคําส่ังทางปกครองดังกลาวแตอยางใด ที่ศาลปกครองช้ันตน
มีคาํ ส่ังไมรับคําฟองขอหาท่ีฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณา นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดว ย

จงึ มีคําส่งั ยืนตามคําสั่งของศาลปกครองช้นั ตน

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑)

คําสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟองวา ผฟู องคดไี ดรบั ความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๔

(ผูบังคับการตํารวจตระเวนชายแดนภาค ๑) มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ อันมีมูลเหตุมาจากการที่ผูฟองคดี
ถูกกลาวหาวาเปนผูกระทําความผิดอาญา จํานวน ๒ คดี ซ่ึงปรากฏวา คดีแรก ศาลมีคําพิพากษา
ยกฟองโจทก สวนคดีที่สอง ศาลพิพากษาใหผูฟองคดีเปนผูบริสุทธิ์ ดังน้ัน การลงโทษทางวินัย
ผูฟองคดีจึงเปนการลงโทษทางวินัยท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ตอมา เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐
ผูฟองคดีไดย่ืนคําขอกลับเขารับราชการตํารวจ ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๗
กันยายน ๒๕๖๐ ใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการในตําแหนง ชั้นยศ อัตราเงินเดือน และสถานที่
ปฏิบัติราชการเดิมได แสดงใหเห็นวาผูฟองคดีมิไดเปนผูขาดคุณสมบัติท่ีจะกลับเขารับราชการ
แตตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๓ (ผูบัญชาการกองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน) กลับมีคําส่ังไมให
ผูฟองคดีกลับเขารับราชการตํารวจตามหนังสือลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยเห็นวาเปนผูขอ
กลับเขารับราชการตํารวจท่ีขาดคุณสมบัติตามระเบียบที่เกี่ยวของ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตามหนังสือลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ) คําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ท่ีลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหมีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการตํารวจ โดยรับเงินเดือน
และเงินประจําตําแหนงเหตุพิเศษ (ต.ป.ป.) เชนเดิม เห็นวา คดีนี้เปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ี
เจาหนาที่ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายไมวาจะเปนการออกกฎ คําส่ังหรือการกระทํา
อื่นใด อันอยูในอํานาจของศาลปกครองท่ีจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งไดตามนัยมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ เมื่อคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และที่ ๔ และมติ
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดังกลาว มีผลทําใหผูฟองคดีพนจากการเปนขาราชการตํารวจ และไมไดรับ
การบรรจุกลับเขารับราชการ ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะ
เดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเนื่องจากการกระทําของผูถูกฟองคดีดังกลาว
และคําขอใหศ าลมีคําพิพากษาหรอื คาํ สง่ั เพิกถอนคําสั่งและมตพิ พิ าท ศาลมอี าํ นาจกําหนดคําบังคับ
ใหไดตามมาตรา ๗๒ ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีนี้ตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ซ่ึงกรณีท่ีขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ที่ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี นั้น
แมขอเท็จจริงจะรับฟงตามคําฟองไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี
เนื่องจากเปนการยื่นอุทธรณเกินกําหนดระยะเวลาก็ตาม แตผูฟองคดีไมเห็นดวยกับมติดังกลาว
จึงนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี
และโดยท่มี ตขิ องผูถกู ฟองคดที ี่ ๒ ดงั กลา ว เปนการกระทําในรปู ของคณะกรรมการท่ีไมมีกฎหมาย
กําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายในเรื่องน้ีไว ผูฟองคดี

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒)
จึงสามารถนําเร่ืองดังกลาวมาฟองตอศาลปกครองไดทันที เมื่อปรากฏวาผูฟองคดีไดรับแจง
ผลการพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เม่ือวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ การที่ผูฟองคดีนําคดี
มาฟองตอศาลเมื่อวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ จึงเปนการยื่นฟองภายในเกาสิบวันนับแตวันที่รู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ สวนผูฟองคดี
จะย่ืนคําอุทธรณเม่ือพนกําหนดระยะเวลาตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ หรือไม เปนเร่ืองท่ี
ศาลปกครองช้ันตนจะตองพิจารณาวินิจฉัยในเน้ือหาแหงคดีวาผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไมรับคําอุทธรณ
ของผูฟองคดีไวพิจารณาชอบดวยกฎหมายหรือไม อันเปนเง่ือนไขการฟองคดีท่ีศาลปกครองช้ันตน
จะตองพิจารณาตอ ไปวา ผูฟองคดีไดดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ในสวนที่ขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ซ่ึงหากศาลพิจารณาแลวเห็นวา
มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีไมรับพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีชอบดวยกฎหมายแลวก็ไมจําตอง
พิจารณาในสวนที่ขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ อีกตอไป แตหากศาลเห็นวามติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมชอบดวยกฎหมาย ศาลก็ชอบที่จะตองพิจารณาในสวนท่ีขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ดังกลาว ดังนั้น คําฟองของผูฟองคดีในสวนท่ีขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ทีไ่ มร ับพิจารณาอุทธรณข องผูฟองคดี จึงเปนคําฟองที่ศาลรับไวเพื่อดําเนินกระบวนพิจารณาตอไปได
ท่ีศาลปกครองช้ันตนไมรับคําฟองในสวนนี้ไวพิจารณา ศาลปกครองสูงสุดไมเห็นพองดวย สวนกรณี
ที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ไมบรรจุผูฟองคดีกลับเขารับราชการ นั้น
เปนการใชอํานาจตามกฎหมายของเจาหนาที่ท่ีมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ี
ของผูฟองคดี อันเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงเปนกรณีที่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายที่ผูฟองคดีไดรับจากคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีเปนเหตุแหงการฟองคดีไวโดยเฉพาะ
ผูฟองคดีจึงตองดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกลาวกอนนําคดีมาฟองตามนัยมาตรา ๔๒
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยการยื่นอุทธรณตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในฐานะเจาหนาที่
ผูทําคําส่ังทางปกครองตามนัยมาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา หลังจากผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
ไมบรรจุผูฟองคดีกลับเขารับราชการแลว ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ อุทธรณ
คําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยไมไดย่ืนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ ซ่ึงเปนเจาหนาท่ีผูทําคําส่ัง
ทางปกครอง ประกอบกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ก็มิไดมีอํานาจหนาท่ีในการพิจารณาอุทธรณคําสั่งดังกลาว
แทนผูถูกฟองคดีท่ี ๓ หรือที่ ๑ แตอยางใด กรณีจึงถือไมไดวาผูฟองคดีไดดําเนินการตามขั้นตอน
และวธิ ีการสําหรบั การแกไขความเดือดรอ นหรอื เสียหายตามท่กี ฎหมายกาํ หนดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงไมอาจนําคําฟองในสวนน้ีมาฟองตอศาลปกครองได
ที่ศาลปกครองชั้นตนไมรับคําฟองในกรณีนี้ไวพิจารณา ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวยในผล

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓)
ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองน้ีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดวยบางสว น

จงึ มคี ําสงั่ กลับ เปนใหศาลปกครองช้ันตนดําเนินกระบวนพิจารณาในสวนที่ผูฟองคดี
ขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอน
มติของผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ท่ไี มร บั พิจารณาอุทธรณของผฟู องคดีตามเงอื่ นไขการฟอ งคดี และหากคําฟอง
ดงั กลาวเปน ไปตามเง่อื นไขการฟองคดี กใ็ หร บั คําฟองในสว นนไ้ี วพิจารณาพิพากษาคดีตอไป

คําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คบ. ๑๖๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูวาราชการจังหวัดลําปาง) ออกคําสั่งลงวันท่ี

๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ลงโทษภาคทัณฑผ ูฟ องคดีโดยไมม อี าํ นาจ เนื่องจากผฟู องคดบี รรจุเขารบั ราชการ
ครั้งแรกท่ีกระทรวงยุติธรรม ตอมา ไดโอนไปรับราชการในสังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๔ (สํานักงาน
ศาลยุติธรรม) แตภายหลังผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม) ไดมีคําส่ังใหผูฟองคดี
โอนไปรับราชการที่กระทรวงมหาดไทยโดยไมชอบดวยกฎหมาย ผูฟองคดียังคงสถานะเปนขาราชการ
สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๔ อยูตามเดิม จึงเปนการออกคําสั่งโดยไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ทลี่ งโทษภาคทัณฑผฟู องคดี สง ตวั ผฟู องคดีกลับไปรับราชการในสังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ซึ่งเปนตนสังกัด
โดยชอบดวยกฎหมายของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (จังหวัดลําปาง) และที่ ๔ ชดใชคาเสียหาย
ใหแกผูฟองคดีเปนเงิน จํานวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ียรอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงิน
จํานวนดังกลาว นับต้ังแตวันท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จนกวาผูฟองคดีจะไดกลับไปปฏิบัติราชการ
สงั กดั ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๔

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีนี้เปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีเจาหนาท่ีของรัฐ
กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายและการกระทําละเมิดของเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจาก
การใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
เม่ือพิจารณา พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๑๔ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
และมาตรา ๑๑๘ ประกอบ กฎ ก.พ.ค. วาดวยการอุทธรณและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ
พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๙๑ แลว จะเห็นไดวา เปนกรณีท่ีมีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับ
การแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายไวโดยเฉพาะ การฟองคดีปกครองในเร่ืองน้ีจะกระทําได
ตอเมื่อมีการดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกลาว และไดมีการสั่งการตามกฎหมายหรือ
มิไดมีการส่ังการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กําหนด ดังนั้น ก.พ.ค. ซ่ึงเปนองคกร
วินิจฉัยอุทธรณจึงตองดําเนินการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายใน
หน่ึงรอยย่ีสิบวันนับแตวันท่ีไดรับอุทธรณ ถามีเหตุขัดของไมอาจพิจารณาใหแลวเสร็จได
ใหขยายระยะเวลาพิจารณาไดอีกไมเกินสองครั้ง โดยแตละคร้ังจะตองไมเกินหกสิบวัน
และใหบันทึกเหตุขัดของใหปรากฏไวดวย ตามมาตรา ๑๑๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับขอ ๙๑ ของกฎ ก.พ.ค. วาดวยการอุทธรณและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔)
พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่บทบัญญัติดังกลาว มิไดกําหนดใหตองมีหนังสือแจงเหตุขัดของท่ีตองขยายระยะเวลา
พิจารณาอุทธรณใหผูอุทธรณทราบ ในกรณีเชนน้ีถาผูอุทธรณไมไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณ
หรือไมไดรับแจงเหตุขัดของท่ีตองขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ ผูอุทธรณยอมคาดหมายไดวา
มีการขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณออกไปตามระยะเวลาที่กฎหมายใหอํานาจไว กลาวคือ
๒๔๐ วนั นับแตว นั ท่ไี ดรับอุทธรณ จึงตองถือวาวันที่ครบกําหนดสองรอยสี่สิบวันดังกลาวเปนวันท่ี
ผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบตามขั้นตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมาย
กําหนดไวแลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ โดยใหถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดดังกลาว คือ วันที่สองรอยสี่สิบเอ็ดเปนวันท่ี
ผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีและเปนวันแรกท่ีเริ่มใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๙
แหง พระราชบญั ญตั ดิ ังกลาว เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ลงโทษ
ภาคทัณฑผูฟองคดี และผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณคําส่ังดังกลาว เม่ือวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ก.พ.ค. จึงตองพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณใหแลวเสร็จภายในระยะเวลาสองรอยส่ีสิบวันนับแต
วนั ท่ไี ดร บั อุทธรณ เมื่อผูฟองคดีนําคดีมาฟองตอศาลปกครองชั้นตนโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียน
เม่ือวันท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยที่ผูฟองคดียังมิไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณจาก ก.พ.ค.
และยังอยูภายในระยะเวลาพิจารณาอุทธรณของ ก.พ.ค. กรณีจึงถือไดวาผูฟองคดียังไมได
ดําเนินการตามข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมาย
กําหนดไวกอนการฟองคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ศาลจึงไมอาจ
รับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาได สําหรับกรณีที่ผูฟองคดีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ และท่ี ๕
โดยมีคําขอใหสงตัวผูฟองคดีกลับไปราชการในสังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๔ และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓
และท่ี ๔ ชดใชคาเสียหาย นั้น เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๕ (คณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม)
มิไดกระทําการใดๆ ท่ีเปนการกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีที่จะทําให
ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได
อันเน่ืองมาจากคําสั่งลงโทษภาคทัณฑดังกลาว อีกท้ัง กรณีท่ีผูฟองคดีกลาวอางวาผูฟองคดียังคง
มีสถานะเปนขาราชการสังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๔ ก็มิใชประเด็นอันเปนขอพิพาทในคดีน้ี ผูฟองคดี
จึงไมมีสิทธฟิ อ งผูถ กู ฟอ งคดที ี่ ๒ และที่ ๕ ตอศาลได ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึง่ แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ เมอื่ ผฟู องคดไี มม ีสิทธฟิ อ งผูถูกฟอ งคดที ่ี ๒ และที่ ๕ จึงไมอาจฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ใหรับผดิ ในผลแหง ละเมิดท่จี ะตองชดใชคา สนิ ไหมทดแทนแกผ ฟู อ งคดีไดเ ชนกัน ที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคาํ ส่งั ไมร ับคําฟองและคําฟองเพิ่มเติมคดีนี้ไวพิจารณา และใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน
ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดว ย

จงึ มคี ําส่งั ยืนตามคําส่ังของศาลปกครองชนั้ ตน

คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๕๘/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดฟี องวา ในขณะท่ผี ฟู องคดรี บั ราชการตาํ แหนงหัวหนาสํานักปลัดเทศบาล

เมืองลาดสวาย ผูถูกฟองคดี (นายกเทศมนตรีเมืองลาดสวาย) ปลัดเทศบาล และผูอํานวยการกองคลัง

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕)
ของเทศบาลเมอื งลาดสวาย ไดร ว มกันอนมุ ตั ิเบกิ จา ยเงินงบประมาณรายจา ยจํานวน ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ใหกับมหาวิทยาลัยปทุมธานีเปนคาจางจัดการฝกอบรมและดูงานท่ีประเทศสเปนและประเทศโปรตุเกส
ในระหวางวนั ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถงึ วนั ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ แตปรากฏวาผูถูกฟองคดีไดสั่ง
ระงับโครงการฝกอบรมและดูงานตางประเทศดังกลาว โดยอางวาสํานักงานการตรวจเงินแผนดิน
ไดทักทวง และไดทําหนังสือเพ่ือขอเงินคืนจากมหาวิทยาลัยปทุมธานี แตมหาวิทยาลัยปทุมธานี
ไมไดคืนเงินจํานวนดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๑ เรื่อง
แตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง กรณี การฝกอบรมและศึกษาดูงาน โครงการ “การพัฒนา
องคความรู กฎหมาย การเมือง การปกครองทองถ่ิน” ณ ราชอาณาจักรสเปนและสาธารณรัฐ
โปรตุเกส โดยไดแตงต้ังนาง จ. ซึ่งเปนผูใตบังคับบัญชาของผูถูกฟองคดี เปนประธานกรรมการ
สอบสวนขอเท็จจริงโดยไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคาํ สงั่ ดงั กลา ว

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจาหนาที่ของรัฐ
กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
การท่ผี ูถ กู ฟอ งคดมี คี ําสง่ั แตง ต้งั คณะกรรมการสอบขอ เท็จจรงิ กอใหเ กิดหนาทีแ่ กผ ไู ดร ับการแตงตั้ง
เปนคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงในการตรวจสอบขอเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง
ท่ีเก่ียวของ ตลอดจนใหโอกาสแกเจาหนาที่ท่ีเก่ียวของหรือผูเสียหายไดช้ีแจงขอเท็จจริง และ
รายงานผลการสอบสวนเพ่ือใหผูมีอํานาจหนาที่พิจารณาตอไป กรณีจึงเห็นไดวา คําส่ังแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงดังกลาว ตลอดจนกระบวนการตางๆ ที่เกี่ยวเนื่อง จึงเปนเพียง
การดําเนินการภายในของเจาหนาท่ีเพ่ือเตรียมการจัดใหมีคําสั่งทางปกครองตอไป อันเปนเพียง
การพิจารณาทางปกครองเทานั้น มิใชคําสั่งทางปกครองอันจะมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิ
หรือหนาที่ของผูฟองคดี ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจ
หลกี เลย่ี งได ผูฟองคดีจึงไมอยูในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองคดีตอศาลเพ่ือขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาว
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับ
คาํ ฟองไวพิจารณา และใหจาํ หนา ยคดอี อกจากสารบบความ นนั้ ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดวย

จงึ มีคาํ สัง่ ยืนตามคําสั่งของศาลปกครองช้นั ตน

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ประชมุ ใหญ)
ผูฟองคดีฟองวา เม่ือคร้ังท่ีผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาท่ีบริหารงานที่ดิน ๗

สํานักงานทด่ี นิ อาํ เภอบางสะพาน จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ ผูถูกฟอ งคดที ี่ ๓ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.)) ไดมีคําสั่งแตงตั้งคณะอนุกรรมการ
ไตสวน กลาวหาผูฟองคดีกับพวกและเจาหนาท่ีท่ีเก่ียวของในการรังวัดรวมแปลงโฉนดที่ดินและ
น.ส. ๓ ก. วากระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีหรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ
ไดรวมกันกระทําการโดยทุจริตทําการรังวัดรวมแปลงโฉนดท่ีดินและ น.ส. ๓ ก. ใหกับบริษัท ย.

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖)
รุกล้ําแนวเขตท่ีสาธารณประโยชนบริเวณที่หาดทรายชายทะเล ตําบลธงชัย อําเภอบางสะพาน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการ ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ไดมีมติเปนเอกฉันท เห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวน โดยเห็นวาการกระทํา
ของผูฟองคดีและพวกมีมูลเปนความผิดทางวินัยอยางรายแรง จึงไดสงรายงาน เอกสาร และ
ความเหน็ ไปยังผบู ังคับบญั ชาเพ่อื พิจารณาโทษทางวินัยกับผูฟองคดีและพวก จากนั้น ผูถูกฟองคดี
ท่ี ๑ (อธิบดีกรมท่ีดิน) ไดมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ
คําสั่งดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)) ไดมีคําวินิจฉัย
ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของ
ผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ ท่ลี งโทษไลผ ฟู อ งคดอี อกจากราชการ ตามมตขิ องผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ ใหผูถูกฟองคดี
ท่ี ๑ มีคาํ ส่ังใหผ ูฟ องคดีกลับเขารบั ราชการและมีสทิ ธิไดร บั เงินบําเหนจ็ บาํ นาญตอไป และเพิกถอน
คาํ วินิจฉยั อทุ ธรณข องผูถกู ฟอ งคดที ่ี ๒ ทใ่ี หย กอทุ ธรณข องผฟู อ งคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ศาลปกครองสูงสุดโดยมติท่ีประชุมใหญพิเคราะห
รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง (๓) และ พ.ร.ป.
วาดว ยการปองกันและปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑
และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แลวเห็นวา ขอกลาวหาที่อยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาท่ีเกี่ยวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี
กระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรม
เทานั้น และโดยท่ีประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับความผิดตอ
ตําแหนงหนาท่ีราชการไวในภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ และ
ไดบ ัญญัตถิ ึงองคป ระกอบและโทษเก่ียวกับความผดิ ตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรมไวในลักษณะ ๓
หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๕ ดังน้ัน ความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิด
ตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรมจึงเปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
ถือเปนมูลความผิดทางวินัย นอกจากสามกรณีดังกลาวแลว ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไมมีอํานาจ
ในการไตสวนขอเท็จจริง ผูถูกฟองคดีที่ ๓ คงมีอํานาจหนาท่ีในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูล
ความผิดทางวินัยผูฟองคดีเฉพาะความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการเทานั้น ดังน้ัน เมื่อคดีนี้
ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีใน
ความผดิ ฐานอื่นนอกจากความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการดวย จึงเปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจ
ตามกฎหมาย มตขิ องผูถูกฟอ งคดีที่ ๓ ท่ีชี้มูลความผิดวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานอื่นจึงไมผูกพัน
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชา และผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะถือเอารายงานการไตสวน
ขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓ มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของ
คณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือนตามมาตรา ๙๒
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ไมได
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี เพื่อใหผูฟองคดี
ไดรับทราบขอกลาวหาและไดมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา ซ่ึงใชบังคับในขณะเกิดเหตุ เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ในความผิดวินัยฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยางรายแรง และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
อยางรายแรง โดยมิไดมีการแตงตั้งคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดีและมิไดแจง
ขอกลาวหาดังกลาวแกผูฟองคดี เพื่อใหผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงช้ีแจงแสดงพยานหลักฐานและ
นําสืบแกข อ กลา วหา คาํ สัง่ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลาวจึงไมชอบ
ดวยกฎหมาย และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดีตามฐาน
ความผิดดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ทั้งน้ี ในการตรวจสอบความชอบดวยกฎหมาย
ของคําสั่งลงโทษทางวินัย ซึ่งเปนคําสั่งทางปกครอง นอกจากตองพิจารณารูปแบบ ขั้นตอน และ
วิธีการอันเปนสาระสําคัญตามท่ีกฎหมายบัญญัติในการออกคําส่ังทางปกครอง ตลอดจนเนื้อหา
ของคําสั่งทางปกครองวาเจาหนาที่ใชดุลพินิจภายในขอบเขตแหงเจตนารมณของกฎหมาย
ท่ีใหอํานาจออกคําส่ังทางปกครองหรือไมแลว ยังตองพิจารณาถึงอํานาจหนาท่ีของเจาหนาท่ี
ผูออกคําสั่งรวมถึงอํานาจหนาที่ของเจาหนาที่ที่เกี่ยวของในทุกกระบวนการกอนออกคําสั่งดวย
ดังน้ัน อํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัย
จึงเปนขอกฎหมายอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชนที่ศาลสามารถยกข้ึนวินิจฉัยเอง
ไดแมคูกรณีจะมิไดกลาวอาง ทั้งน้ี ตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวย
วธิ พี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓

เมอ่ื ไดว ินจิ ฉยั วา ผฟู อ งคดีมีเจตนารังวดั รวมหนงั สือรับรองการทําประโยชน (น.ส. ๓ ก.)
โดยมิไดป ฏบิ ตั ิตามระเบยี บและแนวปฏิบัติของกรมทดี่ ิน ตลอดจนหลักวิชาการรังวัดและทําแผนที่
ทําใหบริษัท ย. จํากัด ไดเนื้อที่ดินเพิ่มข้ึนทางดานทิศตะวันออกของ น.ส. ๓ ก. ทั้งสองแปลง
ซง่ึ เปนชายฝง ทะเลอนั เปน สาธารณสมบตั ิของแผนดิน ทําใหรัฐไดรับความเสียหาย การกระทําของ
ผูฟองคดีจึงเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่น
ไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ และเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
พจิ ารณาแลวเหน็ สมควรลงโทษไลผฟู องคดีออกจากราชการ จงึ เปน การใชดุลพินิจในการสั่งลงโทษ
ผฟู องคดเี ปนไปตามมาตรา ๑๐๔ แหงพระราชบญั ญัติดังกลาว ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ คําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ เฉพาะสวนที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ
จึงเปนการใชดุลพินิจโดยชอบแลว คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในสวนนี้จึงชอบดวย
กฎหมาย คาํ วินจิ ฉัยอทุ ธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีเฉพาะสวนที่ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ จึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘)
ดังน้ัน แมผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะมีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ในฐานปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบาย
ของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง และมาตรา ๙๐ วรรคสอง
แหงระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมิไดใหผูฟองคดีไดรับทราบขอกลาวหาและ
ไดมีโอกาสชี้แจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการที่กําหนดไวในมาตรา ๑๐๒
วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ประกอบกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
ซงึ่ ไมชอบดวยกฎหมายก็ตาม แตไมท ําใหผลของคําส่ังของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ในความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ซึ่งเปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมายเปล่ียนแปลงไป ประกอบกับ
ผูฟองคดีมิไดโตแยงในประเด็นดังกลาว อีกทั้งโทษไลออกจากราชการเปนโทษสูงสุดของโทษ
ทางวินัย ศาลจึงไมจําตองพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังในสวนอื่นท่ีไมชอบดวยกฎหมายของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๒ อีก สําหรับกรณีท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ อางวาผูฟองคดีไมมีสิทธิฟอง
ขอใหศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงส่ังลงโทษผูฟองคดีตามมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ นั้น เห็นวา คําฟองของผูฟองคดีจึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจาหนาท่ีของรัฐ
กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายในการออกคําสั่งตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ และอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ตามมาตรา ๑๑ (๓)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว สวนการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ทําการไตสวนขอเท็จจริงและมีมติวา
การกระทําของผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัย และสงเรื่องใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชา
ของผูฟ องคดเี พ่อื พิจารณาโทษทางวนิ ยั ตามฐานความผิดทผ่ี ูถกู ฟอ งคดีที่ ๓ มีมติ น้นั เปนการใชอ ํานาจ
ตาม พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงเปนกฎหมายในระดับ
พระราชบัญญัติ และเปนการใชอํานาจทางปกครอง ดังน้ัน แมผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะเปนองคกร
ตามรัฐธรรมนูญ แตการใชอํานาจดังกลาวมิใชการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญแตอยางใด
สําหรับคําวนิ ิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ท่ี ๒/๒๕๔๖ ลงวันท่ี ๖ กมุ ภาพันธ ๒๕๔๖ ที่วาเมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ไดไตสวนและวินิจฉัยวาเจาหนาที่ของรัฐกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีจึงเปนอันยุติ
องคกรที่มีอํานาจพิจารณาอุทธรณจึงไมอาจพิจารณาเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยตามท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ วินิจฉัยยุติแลว ใหเปนประการอื่นไดอีก น้ัน กรณีดังกลาวเปนการวินิจฉัยปญหา
ระหวางอาํ นาจของผถู ูกฟองคดที ่ี ๓ กับผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณการลงโทษทางวินัยในคดีนี้ คือ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ แตไมมีผลผูกพันศาลซ่ึงเปนองคกรท่ีใชอํานาจตุลาการที่มีอิสระในการพิจารณาอรรถคดี
และสามารถตรวจสอบและแสวงหาขอเท็จจริงไดตามความเหมาะสม ในการน้ีศาลปกครองจะรับฟง
พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผูเชี่ยวชาญ หรือพยานหลักฐานอ่ืน นอกเหนือจากพยานหลักฐาน
ของคูกรณีไดตามที่เห็นสมควร ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๙๗ ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๕๕ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ดังนั้น

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙)
ศาลปกครองยอมมีอํานาจดุลพินิจอยางอิสระที่จะพิจารณาพิพากษาคดีน้ีไดตามรูปคดี โดยไมจําตอง
ยึดถือพยานหลกั ฐานจากสํานวนคดขี องผถู กู ฟองคดีท่ี ๓ แตอ ยางใด

พพิ ากษายกฟอง

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี ฟบ.๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการในตําแหนงปลัดอําเภอ (เจาพนักงาน

ปกครองชํานาญการ) ฝายทะเบียนและบัตร ท่ีทําการปกครองอําเภอแกงคอย จังหวัดสระบุรี
สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (กรมการปกครอง) กระทรวงมหาดไทย ไดสมัครและผานการคัดเลือก
เขารับการศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ รุนท่ี ๖๘ ตามประกาศกรมการปกครอง ลงวันท่ี
๒๓ เมษายน ๒๕๕๒ เรื่อง ผลการคัดเลือกขาราชการเพื่อเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ
ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ผูฟองคดีไดเขาศึกษาอบรมจนจบหลักสูตรดังกลาว ในระหวาง
การอบรม ไดมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีที่ ๕ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริต
แหงชาติ) กลาวหาผูบริหารของผูถูกฟองคดีที่ ๒ วามีพฤติการณเรียกรับเงินจากขาราชการ
เพื่อชวยเหลือใหไดรับคัดเลือกเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒
ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไดดําเนินการไตสวนกรณีดังกลาว และมีขาวแพรไปถึงคณะกรรมาธิการ
ปองกนั และปราบปรามการทุจรติ ประพฤติมิชอบ สภาผูแทนราษฎร ซง่ึ นาย ว. ขณะดํารงตําแหนง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมการปกครอง) และนาย ฒ. ผูอํานวยการกองการเจาหนาที่ ไดเขา
ชี้แจงตอคณะกรรมาธิการฯ ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยคณะกรรมาธิการฯ ไดมีมติให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ สงเอกสารขอมูลรายละเอียดคะแนนสอบท่ีประกาศไปแลวท้ังหมด นาย ว. และ
นาย ฒ. เกรงวา จะมกี ารตรวจกระดาษคําตอบในรายท่ีตนไดใหความชวยเหลือ จึงไดตรวจคําตอบ
ของผูไดรับการชวยเหลือวาเขียนขอความคําตอบสมควรกับคะแนนท่ีไดหรือไม หากรายใดได
คะแนนไมสมควร ก็จะนํากระดาษคําตอบเปลาเน้ือในท้ังขอสอบภาควิชาความรูความสามารถ
ทั่วไป (ปกสีเหลือง) และภาควิชาความรูความสามารถเฉพาะตําแหนง (ปกสีชมพู) ใหนาย ค.
เลขานุการของนาย ว. ซ่ึงเปนประธานรุนที่ ๖๘ ไปติดตอตัวแทนรุนทั้ง ๓ รุนใหมาพบนาย ฒ.
ท่ีกรมการปกครองในวันที่ ๓๐ หรือวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เพื่อนํากระดาษคําตอบเปลา
พรอมตัวอยางคําตอบ ๓ – ๔ ตัวอยาง ไปใหบุคคลท่ีชวยเหลือไวเพ่ือเขียนคําตอบใหม จากนั้น
ตัวแทนรุนไดนํากระดาษคําตอบเปลาไปใหผูเขาสอบที่มีรายช่ือรวม ๑๔๒ คน ดําเนินการเขียน
ขอความดังกลาว แลวนําไปมอบใหนาย ฒ. ดําเนินการปลอมเอกสารกระดาษคําตอบโดยวิธีแกะ
เนื้อกระดาษคําตอบสีขาวท่ีอยูดานในของชุดเดิมออก และนํากระดาษคําตอบที่ทําขึ้นใหม
สวมรวมเขากับปกสมุดคําตอบเดิมโดยกระดาษคําตอบของผูฟองคดีทั้งสีเหลืองและสีชมพูพบ
รองรอยการแกไ ข ซ่ึงผฟู อ งคดีใหการรบั วา ตนไดเ ขยี นกระดาษคาํ ตอบดวยลายมือเขยี นของตนเอง
ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ไดมีมติช้ีมูลความผิดวา
ผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตาม พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๘๕ (๔) และไดสงรายงาน และความเห็นใหผูถูกฟองคดี

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๐)
ที่ ๑ พิจารณาลงโทษทางวินัยกับผูฟองคดี แลวเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะอนุกรรมการ
ขาราชการพลเรือน กระทรวงมหาดไทย) ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พิจารณาแลวมีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑จึงมีคําสั่งลงวันท่ี
๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีไดรับคําสั่งดังกลาวเมื่อวันที่
๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ จึงอุทธรณตอผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม)
ซ่ึงไดพิจารณาในการประชุมเม่ือวันท่ี ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ แลว เห็นวา การกระทําของผูฟองคดี
เปนเพียงผูมีสวนรวมในการกระทําความผิดเก่ียวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกลักษณะมีการชวย
ผูลงมือกระทําผิดหลังจากไดลงมือกระทําความผิดแลว จึงไมถือวาเปนความผิดรวมกับผูกระทํา
ความผดิ อุทธรณข องผูฟองคดีฟงขึ้นบางสวน จึงใหลดโทษเปนปลดออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ และใหลดโทษ
จากไลออก เปนปลดออกจากราชการ ตั้งแตวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ผูฟองคดีเห็นวา การที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งไลผูฟองคดีออกจากราชการ และตอมาไดมีคําสั่งลดโทษเปนปลด
ผูฟอ งคดีออกจากราชการตามคาํ วินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไมชอบดวยกฎหมาย และมีผลทําให
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไมชอบดวยกฎหมายดวย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ท่ีปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพกิ ถอนมตขิ องผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ทม่ี มี ติลงโทษไลผฟู อ งคดีออกจากราชการ เพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘
และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีใหลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
ท่ีมีมติชี้มูลความผิดวินัยอยางรายแรงฐานประพฤติช่ัวอยางรายแรง และใหผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําส่ังรับผูฟองคดีกลับเขารับราชการที่กรมการปกครองในตําแหนงเดิม และเบิกจายเงินเดือน
คาตอบแทน โบนัส และสิทธิประโยชนอื่นคืนใหแกผูฟองคดีจนครบจํานวน และขอใหศาลมีคําส่ัง
ทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ไวเปนการชั่วคราวจนกวาคดีจะถึงท่ีสุด
เห็นวา อํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการช้ีมูลความผิดทางวินัย เปนกรณีที่กําหนดไว
ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต การใชอํานาจของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๕ ตามมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ และชี้มูลความผิดทางวินัย เปนการใชอํานาจที่บัญญัติไวในกฎหมายประกอบ
รฐั ธรรมนูญดังกลาว มิใชการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญแตอยางใด การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๕
ไตสวนและมีมติชี้มูลความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและ
ชี้มูลความผิดทางวินัยที่จะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาซ่ึงเปน
การใชอํานาจทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญน้ัน อันจะเปนขอยกเวนตามมาตรา ๒๒๓
วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เมื่อคดีน้ีผูฟองคดีฟอง
โตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิด

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๑)
ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๕ ช้ีมูล และโตแยงคําวินิจฉัยอุทธรณ ซ่ึงคําส่ังลงโทษวินัยอยางรายแรงและ
คําวินิจฉัยอุทธรณ เปนการใชอํานาจตามกฎหมายที่มีผลเปนการสรางนิติสัมพันธข้ึนระหวาง
บุคคลหรือมีผลกระทําตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดี จึงเปนคําส่ังทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดีมีคําขอให
ศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งท้ังสองดังกลาว จึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีหนวยงาน
ทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และเปนคดีที่มีกฎหมายกําหนดใหอยูในอํานาจศาลปกครองสูงสุด
ตามมาตรา ๑๑ (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบกับมาตรา ๑๑๖ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน้ีได
โดยท่ีขอกลาวหาที่อยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของผูถูกฟองคดีที่ ๕ หมายถึงเฉพาะ
ขอกลาวหาท่ีเก่ียวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี กระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่
ราชการหรอื กระทําความผดิ ตอ ตาํ แหนง หนา ท่ีในการยุตธิ รรมเทานั้น ซ่ึงเปนมูลความผิดทางอาญา
สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีถือเปนมูลความผิดทางวินัยแมวาในระหวางการพิจารณาของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๕ จะไดมีการแกไขอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ตามมาตรา ๑๙ (๔)
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีการประกาศใช
พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีผลใชบังคับ
ตั้งแตวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ แตบทบัญญัติเก่ียวกับอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๕
เปนกฎหมายในสวนสารบัญญัติ การพิจารณาขอบเขตอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๕
วามีอยูแคไหน เพียงใด นั้น จึงตองเปนไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใชบังคับอยูในขณะท่ีมี
การกลาวหาและต้ังอนุกรรมการไตสวนผูฟองคดีตาม พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปราม
การทุจริตพ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิด
ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของ
ผูฟองคดี ท่ีจะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕
มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ อยางไรก็ตาม การที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไดมีหนังสือสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงพรอมเอกสารประกอบเพ่ือให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาโทษทางวินัยกับผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง จึงถือไดวาเปนกรณีที่มีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวา
ผูฟองคดีซ่ึงเปนขาราชการพลเรือนไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซ่ึงตามมาตรา ๙๐ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวด ๗ การดําเนินการทางวินัย บัญญัติวา
เมื่อมีการกลาวหาหรือมีกรณีเปนที่สงสัยวาขาราชการพลเรือนสามัญผูใดกระทําผิดวินัย
ใหผูบังคับบัญชามีหนาท่ีตองรายงานใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
ทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจบรรจุตามมาตรา ๕๗ ดําเนินการตาม

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๒)
พระราชบัญญัตินี้โดยเร็วดวยความยุติธรรมและปราศจากอคติ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีหนาท่ี
ตองดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีโดยแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดีตามท่ี
ถูกกลาวหาในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง โดยปฏิบัติ
ตามหลักเกณฑ วิธีการ และเงื่อนไขเก่ียวกับการสอบสวนพิจารณาเพ่ือใหผูฟองคดีซ่ึงเปน
ผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหาและไดมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอน
และวิธีการท่ีกําหนดไวใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับกฎ ก.พ.
ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
วาดวยการสอบสวนพิจารณา เม่ือปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดดําเนินการ
ตามขั้นตอน วิธีการและกระบวนการสอบสวนวินัยตามพระราชบัญญัติดังกลาว แตกลับอาศัย
รายงาน เอกสาร และความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ แลวพิจารณามีคําสั่งลงวันท่ี ๙ มิถุนายน
๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ชี้มูลความผิด
การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ และตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออก เปนปลดออกจากราชการ
ต้ังแตวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ เปนตนไป จึงเปนการกระทําโดยไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน
เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ
ทีก่ าํ หนดไวส ําหรับการกระทาํ นนั้

พิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม
๒๕๕๘ และคาํ ส่งั ของผูถกู ฟองคดที ่ี ๑ ลงวนั ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ทีล่ ดโทษผูฟองคดีจากไลออก
เปนปลดออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ีคําสั่งดังกลาวใชบังคับ คําขออื่น
นอกจากนี้ ใหย ก โดยมีขอ สงั เกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษา
ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตามกฎหมายใหแกผูฟองคดีในระหวาง
ท่ีถูกปลดออกจากราชการ ท้ังน้ี ไมตัดสิทธิผูถูกฟองคดีที่ ๑ หรือผูมีอํานาจบรรจุแตงตั้ง
ท่ีจะดําเนินการสอบสวนและพิจารณามีคําส่ังใหมใหถูกตองตามกฎหมายตอไป และเมื่อมี
คําพิพากษาแลว กรณีจึงไมจําตองพิจารณาคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองของ
ผฟู องคดอี ีก

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟบ.๑๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนอดีตขาราชการพลเรือน เมื่อคร้ังดํารงตําแหนง

ปลัดอําเภอ (เจาพนักงานปกครองชํานาญการ) ฝายบริหารงานการปกครอง ท่ีทําการปกครอง
อาํ เภอบําเหนจ็ ณรงค จังหวัดชยั ภมู ิ สอบผานการคัดเลือกเพ่ือเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ
ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และไดเ ขารบั การศกึ ษาอบรมจนจบหลักสูตร แตปรากฏวา ในระหวาง
นั้นไดมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีท่ี ๕ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ)
วา ผูบริหารของผูถูกฟองคดีที่ ๒ (กรมการปกครอง) มีพฤติกรรมเรียกรับเงินเพื่อชวยเหลือใหเปน
ผูไดรับการคดั เลอื กเขา รบั การศกึ ษาอบรมหลักสูตรดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไดไตสวนขอเท็จจริง

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๓)
แลว รับฟงไดวาผูฟองคดีมีสวนรวมกระทําความผิด ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ จึงมีมติชี้มูลวา ผูฟองคดี
มีมูลความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และสงรายงาน เอกสาร ความเห็นไปยัง
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมการปกครอง) เพ่ือพิจารณาลงโทษทางวินัยผูฟองคดี ตอมา
ผูถ ูกฟองคดที ่ี ๓ (คณะอนกุ รรมการขาราชการพลเรือน กระทรวงมหาดไทย) ไดม ีมติในการประชุม
เมื่อวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดท่ี
ผูถกู ฟองคดีที่ ๕ มมี ติ ผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๑ จึงมีคําสัง่ ลงวันท่ี ๙ มถิ ุนายน ๒๕๕๗ ไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ดังกลาว โดยใหมีผลต้ังแตวันที่มีคําส่ัง ผูฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ อุทธรณคําสั่งดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการพิทักษ
ระบบคุณธรรม) ไดพิจารณาในการประชุมเม่ือวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ แลว เห็นวา ผูฟองคดี
เปนเพียงผูมีสวนสนับสนุนในการกระทําผิดเกี่ยวกับการทุจริตสอบคัดเลือกขาราชการ
เพ่ือเขาศึกษาอบรมหลักสูตรนายอําเภอ ประจําปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ในลักษณะชวยเหลือ
ผูลงมือกระทําผิดหลังจากไดลงมือกระทําผิดแลว จึงไมถือวาเปนความผิดรวมกับผูกระทําผิด
ไมสมควรกําหนดโทษในระดับเดียวกับผูกระทําผิด อุทธรณของผูฟองคดีฟงข้ึนบางสวน จึงมีมติ
ใหลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการ เปนปลดออกจากราชการตามคําวินิจฉัย ลงวันท่ี
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ จากนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษ
ผฟู องคดีตามมตขิ องผูถูกฟอ งคดีท่ี ๔ จากไลออกจากราชการ เปนปลดออกจากราชการ ผูฟองคดี
เห็นวา กระบวนการไตสวนขอเท็จจริงและการพิจารณาวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๕ เพ่ือมีมติ
ช้ีมูลความผิดของผูฟองคดีเปนการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย ไมมีผลผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ท่ีจะถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ มาเปนสํานวน
การสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ นําผลการดําเนินการ
ดังกลาว มามีมติลงโทษทางวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดีโดยมิไดตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
เปนมติท่ีไมชอบดวยกฎหมายทําใหคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙
ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันท่ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ที่ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ คําวินิจฉัยอุทธรณของ
ผูถกู ฟอ งคดที ่ี ๔ ลงวันที่ ๓๐ ธนั วาคม ๒๕๕๘ และมติของผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๔ ในการประชุมเม่ือวันที่
๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีมีคําวินิจฉัยอุทธรณและมีมติใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่มีมติช้ีมูลวา
ผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งรับผูฟองคดี
กลับเขารบั ราชการในตาํ แหนง เดมิ พรอ มเบกิ จา ยเงนิ เดอื น คาตอบแทน โบนัส และสิทธิประโยชน
อ่ืนคืนใหแกผูฟองคดีจนครบจํานวน เห็นวา เมื่อคดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมาย

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๔)
ของคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ และคําสั่งลงโทษปลดออกจากราชการ อันเปนคําสั่ง
ท่ีออกตามคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ซ่ึงมีลักษณะเปนการใชอํานาจตามกฎหมาย
ของเจาหนาท่ีท่ีมีผลเปนการสรางนิติสัมพันธข้ึนระหวางบุคคลหรือมีผลกระทบตอสถานภาพ
ของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี จึงเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดีมีคําขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังทั้งสอง
ดังกลาว จึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจาหนาท่ีของรัฐออกคําสั่งโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ และเปนคดีที่มีกฎหมายบัญญัติ
ใหอยูในอํานาจศาลปกครองสูงสุดตามมาตรา ๑๑ (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบกับ
มาตรา ๑๑๖ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสุด
จงึ มีอํานาจพจิ ารณาพิพากษาคดนี ้ไี ด

เม่ือฐานอํานาจท่ีนําไปสูการไตสวนและช้ีมูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๕ มาจาก
พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๕
ไตสวนและมีมติช้ีมูลความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและ
ชมี้ ลู ความผดิ ทางวินัยทจ่ี ะตองมีการพิจารณาสัง่ ลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาซึ่งเปนการ
ใชอํานาจทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญ ในอันจะเปนขอยกเวนตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
แหง ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐

เมื่อรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และ พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ท่ีใชบังคับในขณะเกิดขอพิพาท บัญญัติวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ มีอํานาจไตสวนและพิจารณาขอกลาวหาที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดวินัยฐาน
ทุจรติ ตอ หนาที่ กระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ี
ในการยุติธรรมเทา นน้ั และโดยทป่ี ระมวลกฎหมายอาญาไดบ ัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับ
ความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการไวในภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖
และไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเกี่ยวกับความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรมไว
ในลักษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๕ ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการและ
ความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรม จึงเปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริต
ตอหนาที่ถือเปนมูลความผิดทางวินัย ดังนั้น หากการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัย
ของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ปรากฏวา เจาหนาท่ีของรัฐผูถูกรองเรียนไดกระทําความผิดวินัยฐานอ่ืน
อันมิใชความผิดฐานทจุ ริตตอ หนา ท่ี เชน ในคดีนที้ ่ีผูถ ูกฟองคดีที่ ๕ ชี้มูลวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีดังกลาวจึงไมตองดวยบทบัญญัติ
มาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ เปนสํานวนการ
สอบสวนทางวนิ ยั ตาม พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แลวพิจารณาโทษทางวินัย

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๕)
ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕ มีมติโดยไมตองตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกได
อยางไรก็ตาม เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๕ ไดสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นเพ่ือให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง จึงถือไดวาเปนกรณีท่ีมีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวา
ผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซ่ึงตามมาตรา ๙๐ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติวา เม่ือมีการกลาวหาหรือมีกรณี
เปนท่ีสงสัยวาขาราชการพลเรือนสามัญผูใดกระทําผิดวินัย ใหผูบังคับบัญชามีหนาท่ีตองรายงาน
ใหผูบังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ ทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชา
ซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ ดําเนินการตามพระราชบัญญัติน้ีโดยเร็วดวยความยุติธรรม
และโดยปราศจากอคติ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีหนาที่ตองดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดี
ท่เี ปน ผใู ตบงั คับบัญชาของตน โดยแตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยตามท่ีถูกกลาวหาในความผิด
ฐานกระทําการอันไดช ่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขั้นตอนของกฎหมายแลวออกคําส่ัง
ลงโทษตามฐานความผิดท่ีไดดําเนินการสอบสวนใหมตอไป เมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไมไดดําเนินการตามข้ันตอน วิธีการและกระบวนการสอบสวนวินัยตามพระราชบัญญัติดังกลาว
แตกลับอาศัยรายงาน เอกสาร และความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ แลวพิจารณามีคําสั่งลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๕ ช้ีมูลความผิดจึงเปนคําส่ัง
ท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการ
อันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทํานั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณ
ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีใหลดโทษผูฟองคดี และตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการ เปนปลดออกจากราชการ
จงึ เปนคาํ สง่ั ทไี่ มช อบดว ยกฎหมายเชน กัน

พิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม
๒๕๕๘ เฉพาะในสวนที่วินิจฉัยอุทธรณคําส่ังลงโทษผูฟองคดี และคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มกราคม
๒๕๕๙ ทปี่ ลดผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ทั้งนี้ โดยใหมีผลยอนหลัง
ตั้งแตวันที่มีคําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาว โดยมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการ
ดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาวา ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชน
ที่พึงไดรับตามกฎหมายและระเบียบท่ีเก่ียวของใหแกผูฟองคดี เสมือนวาผูฟองคดีไมเคย
ถูกปลดออกจากราชการ

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ฟบ.๑๖/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาพนักงานปาไมอาวุโส สํานักงาน

ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมจังหวัดชลบุรี ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดมีมติเม่ือวันที่
๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพิ่มเติมในการประชุมเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ช้ีมูลความผิดผูฟองคดี

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖)
ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ สงความเห็นไปยังผูบังคับบัญชาตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ตอมา อ.ก.พ. สํานักงานปลัดกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม ไดมีมติเม่ือวันท่ี ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ใหลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม) จึงมีคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗
ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ อุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําวินิจฉัยลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีไดรับแจงคําวินิจฉัยเม่ือวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และ
ไมเห็นดวยเนื่องจากผูฟองคดีไมไดกระทําความผิดตามที่ถูกกลาวหา จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพ่ิมเติม
ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ และเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันท่ี
๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ี
ออกคําสั่งและดําเนินการใหผูฟองคดีกลับสูตําแหนงเดิม เห็นวา เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓)
มาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง วรรคสอง และ พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑) และ (๒) และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แลวจะเห็นไดวา ในกรณีท่ีรัฐธรรมนูญประสงคจะใหการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรอิสระใด
เปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญน้ัน รัฐธรรมนูญจะตองกําหนดบทบัญญัติใหอํานาจ
ดังกลาวไวอยางชัดเจน และเม่ือพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญ
ดังกลาว ไมไดบัญญัติใหอํานาจผูถูกฟองคดีที่ ๓ ช้ีมูลความผิดทางวินัยไว และบทบัญญัติมาตราอ่ืนๆ
ในรัฐธรรมนูญ ก็ไมมีมาตราใดท่ีใหอํานาจผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการช้ีมูลความผิดทางวินัย
เชนเดียวกัน เม่ือฐานอํานาจที่นําไปสูการไตสวนและชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มาจาก
พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ไตสวนและมีมติชี้มูลความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและ
ช้ีมูลความผิดทางวินัยท่ีจะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาซึ่งเปน
การใชอํานาจทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญ ในอันท่ีจะเปนขอยกเวนอํานาจพิจารณา
พิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ เมื่อคดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําส่ังลงโทษ
ปลดออกจากราชการ ซ่ึงมีลักษณะเปนการใชอํานาจตามกฎหมายของเจาหนาท่ีท่ีมีผล

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗)
เปนการสรางนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคลหรือมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่
ของผูฟองคดี จึงเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยผูฟองคดีมีคําขอใหศาลมีคําพิพากษา
เพิกถอนคาํ ส่งั ท้ังสองดงั กลา ว จงึ เปนคดีพพิ าทเกีย่ วกบั การท่เี จา หนาทขี่ องรัฐออกคําสั่งโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และเปนคดี
ที่มกี ฎหมายกําหนดใหอ ยูใ นอํานาจศาลปกครองสงู สุดตามมาตรา ๑๑ (๓) แหง พระราชบัญญัติดังกลาว
ประกอบกับมาตรา ๑๑๖ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีคําสั่งลงวันที่
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ แตงตั้งพนักงานไตสวนขอเท็จจริงผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี และ
จากการไตสวนปรากฏวา ผูฟองคดีมีสวนเก่ียวของในการกระทําความผิดดวย ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๒ มีมติรับเรื่องไวพิจารณาและมอบหมายใหพนักงาน
ไตสวนชุดเดิมไตสวนขอเท็จจริงผูฟองคดีและเจาหนาที่ท่ีถูกกลาวหา ซ่ึงสํานักงาน ป.ป.ช.
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ แจงคําส่ังแตงต้ังพนักงานไตสวนและแจงขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบ ดังน้ัน การชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ตองบังคับตามมาตรา ๑๙ (๓)
แหง พ.ร.ป. วาดว ยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชบังคับ
อยูในขณะท่ีมีการกลาวหาและต้ังอนุกรรมการไตสวนผูฟองคดี เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพ่ิมเติมในการประชุมเมื่อวันที่
๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ชี้มูลความผิดผูฟองคดีวา มีความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาที่
ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบาย
ของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง
พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงเปนความผิดฐานอ่ืนท่ีมิใชฐานทุจริตตอหนาท่ี
กรณีดังกลาวจึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและ
ความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓ เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยแลวพิจารณาโทษทางวินัย
ตามฐานความผิดที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ชี้มูลโดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได
ตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
อยางไรก็ตาม เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นเพ่ือให
ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๒ พิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดี ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงถือไดวาเปนกรณีที่มีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวา
ผูฟองคดีซึ่งเปนขาราชการพลเรือนสามัญไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซึ่งเปนหนาที่ของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะตองแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามฐานความผิดดังกลาว
ตามขัน้ ตอนของกฎหมาย แลวออกคําส่ังลงโทษทางวินัยตามฐานความผิดท่ีไดดําเนินการสอบสวนใหม
ตอไป เม่ือปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมไดดําเนินการตามขั้นตอนวิธีการ

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๘)
และกระบวนการสอบสวนวินัยตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และกฎ
ระเบียบท่ีเกี่ยวของ แตกลับอาศัยรายงาน เอกสารและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓
แลวพิจารณามีคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ ชี้มูล
จึงเปนคําส่ังทางปกครองท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตอง
ตามรูปแบบ ข้ันตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทําน้ัน และ
เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีและมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณโดยอาศัย
ขอเท็จจริงอยางเดียวกัน คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
จึงไมช อบดวยกฎหมายเชนกัน สาํ หรับคาํ ขอของผฟู อ งคดที ีข่ อใหศ าลเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แกไขเพ่ิมเติมในการประชุมเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ น้ัน
เมื่อไดวินิจฉัยแลววา คําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการเปนคําส่ังทางปกครอง มติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เปนข้ันตอนการดําเนินการหรือเตรียมการเพื่อจัดใหมีคําสั่งดังกลาว จึงเปนเพียง
การพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ท่ีมีผลทางกฎหมายระหวางผูถูกฟองคดีท่ี ๓ กับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ไมใชคําสั่งทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ศาลไมอาจมีคําพิพากษา
เพิกถอนตามคําขอของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟองโดยมีคําขอใหศาลพิพากษาเพิกถอน
มติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ สําหรับ
ขอ โตแ ยง อ่นื ไมจาํ ตองวนิ ิจฉยั เนอื่ งจากไมท าํ ใหผลของคดีเปล่ียนแปลงไป

พิพากษาเพกิ ถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
และคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามคําส่ังลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังตั้งแตวันที่มีคําวินิจฉัยอุทธรณและคําส่ังดังกลาว คําขออื่น
นอกจากนี้ ใหยก โดยมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาวา
ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชนท่ีผูฟองคดีพึงไดรับตามกฎหมาย
และระเบียบที่เก่ยี วของแกผูฟองคดี เสมือนวา ไมเ คยถูกปลดออกจากราชการ

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ ฟบ.๑๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการในตําแหนงปลัดอําเภอ (เจาพนักงานปกครอง

ชํานาญการ) ฝายความมั่นคง ท่ีทําการปกครองอําเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี สังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๒
(กรมการปกครอง) กระทรวงมหาดไทย ผานการคัดเลือกและเขารับการศึกษาอบรมหลักสูตร
นายอําเภอ รุนท่ี ๖๙ แตในระหวางการอบรมมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีที่ ๕ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทจุ ริตแหง ชาต)ิ กลาวหาวา ผบู รหิ ารของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีพฤติการณเรียกรับเงิน
จากขาราชการเพ่ือชว ยเหลอื ใหไ ดรบั คดั เลือกเขา ศึกษาอบรมหลักสูตรดังกลาว ซึ่งผูถูกฟองคดีที่ ๕
ไดดําเนินการไตสวนและมีมติชี้มูลความผิดวา ผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานประพฤติชั่วอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๙)
และไดสงรายงานและความเห็นใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมการปกครอง) พิจารณาลงโทษทางวินัย
ผูฟองคดี แลวเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะอนุกรรมการขาราชการพลเรือน กระทรวงมหาดไทย)
ในการประชมุ เม่อื วันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ พจิ ารณาแลวมมี ตใิ หลงโทษไลผ ฟู องคดอี อกจากราชการ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดี
จึงอุทธรณคําสั่งดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดพิจารณา
ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ แลวเห็นวา การกระทําของผูฟองคดีเปนเพียงผูมีสวนรวม
ในการกระทําความผิดเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกลักษณะมีการชวยผูลงมือกระทําผิด
หลังจากไดลงมือกระทําความผิดแลว จึงไมถือวาเปนความผิดรวมกับผูกระทําความผิด จึงใหลดโทษ
เปนปลดออกจากราชการ ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ จึงมีคาํ สั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี
๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ และใหลดโทษจากไลออกเปน ปลดออกจากราชการ ต้ังแตว ันท่ี ๙ มถิ นุ ายน ๒๕๕๗
ผฟู องคดีเห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไมมีอํานาจไตสวนและช้ีมูลความผิดวินัยฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงไมสามารถถือเอารายงานการไตสวนและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ มาเปนสํานวนการสอบสวน
ทางวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
ท่ีสิ้นผลไปแลวตามประกาศคณะรักษาความสงบแหงชาติ เม่ือวันท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
แตต องแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินยั ผูฟองคดตี ามข้ันตอนและวิธีการท่ีกําหนดในมาตรา ๙๓
วรรคหนง่ึ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในฐานความผิดตามมติช้มี ูลความผิดของผูถกู ฟองคดีท่ี ๕ โดยไมไดแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ผูฟองคดี จึงไมชอบดวยกฎหมาย และมีผลทําใหคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔
ไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ทีป่ ลดผูฟองคดีออกจากราชการ มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเม่ือวันท่ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ท่ีมีมติลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ คําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘
ท่ีใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการประชุมเมื่อวันที่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ท่ีมีมติชี้มูลความผิดวินัยอยางรายแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตาม พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๘๕ (๔) พรอมทั้งใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําส่ังรับ
ผฟู องคดีกลบั เขารับราชการทีก่ รมการปกครองในตําแหนงเดมิ และเบิกจา ยเงนิ เดอื น คาตอบแทน โบนัส
และสิทธิประโยชนอ่ืนคืนใหแกผูฟองคดีจนครบจํานวน เห็นวา เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติของ
รฐั ธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓) มาตรา ๒๒๓
วรรคหนง่ึ และวรรคสอง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓)
มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๙๖ แลว จะเห็นไดวา ในกรณีท่ีรัฐธรรมนูญ
ประสงคจะใหการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกรอิสระใดเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญน้ัน

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๐)
รัฐธรรมนญู จะตอ งกําหนดบทบญั ญตั ใิ หอํานาจดังกลาวไวอ ยางชัดเจน และเมือ่ พิจารณาบทบัญญัติ
มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓) แลว ไมไดบทบัญญัติใหอํานาจผูถูกฟองคดีที่ ๕ ในการชี้มูลความผิด
ทางวินยั ไว แตอ ํานาจหนา ท่ีของผถู กู ฟองคดที ่ี ๕ ในการชมี้ ลู ความผดิ ทางวินยั เปนกรณีที่กําหนดไว
ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต กรณีจึงเห็นไดวา
การใชอํานาจของผถู ูกฟองคดีที่ ๕ ในการชี้มูลความผิดทางวินัย เปนการใชอํานาจตามท่ีบัญญัติไว
ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกนั และปราบปรามการทุจริต มิใชการใชอ าํ นาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญแตอยางใด การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ไตสวนและมีมติช้ีมูลความผิดผูฟองคดีวา
เปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและช้ีมูลความผิดทางวินัยท่ีจะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษ
ทางวินยั ตอไปโดยผบู งั คับบญั ชาซึง่ เปน การใชอ ํานาจทางปกครอง มิใชเ ปนการวินจิ ฉัยช้ีขาดขององคกร
ตามรัฐธรรมนูญซ่ึงเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญน้ัน
อันจะเปน ขอ ยกเวน ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
คดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
ตามฐานความผิดที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ชี้มูล และโตแยงคําวินิจฉัยอุทธรณ ซึ่งคําส่ังลงโทษวินัยอยางรายแรง
และคําวินิจฉัยอุทธรณเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดีมีคําขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งทั้งสองดังกลาว จึงเปนคดีพิพาท
เกี่ยวกับการที่หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และเปนคดีที่มีกฎหมายกําหนดใหอยู
ในอาํ นาจศาลปกครองสงู สุดตามมาตรา ๑๑ (๓) แหง พระราชบัญญตั ิดังกลา ว ประกอบกับมาตรา ๑๑๖
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสดุ จึงมีอํานาจพิจารณา
พพิ ากษาคดนี ีไ้ ด และเมอ่ื พจิ ารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่ง (๓) และ พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๙๑ (๑) และมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แลว จะเห็นไดวา ขอกลาวหาที่อยูในอํานาจ
ไตสวนและพจิ ารณาของผถู กู ฟอ งคดีที่ ๕ หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาทเี่ กยี่ วกับการกระทําความผิด
ฐานทุจริตตอหนา ที่ กระทําความผดิ ตอตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่
ในการยุติธรรมเทานั้น และโดยที่ประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับ
ความผิดตอ ตําแหนงหนา ทร่ี าชการไวในภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖
และไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม
ไวในลักษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๕ ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ
และความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรม จึงเปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริต
ตอ หนาทีถ่ อื เปน มูลความผิดทางวนิ ัย ดังนน้ั การทผี่ ูถ ูกฟองคดีท่ี ๕ ช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดี
ในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี
ท่ีจะตองถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ มาเปนสํานวน
การสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป.

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๑)
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ อยางไรก็ตาม การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๕
ไดมีหนังสือสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงพรอมเอกสารประกอบเพื่อใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
พิจารณาโทษทางวินัยกับผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
จึงถือไดวาเปนกรณีที่มีการกลาวหาตอผูบังคับบัญชาโดยมีหลักฐานตามสมควรวาผูฟองคดีซ่ึงเปน
ขาราชการพลเรือนไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ซึ่งตามมาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีหนาที่ตองดําเนินการ
ทางวนิ ัยกับผฟู องคดโี ดยแตง ตัง้ คณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดีตามที่ถูกกลาวหาในความผิด
ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ วิธีการ
และเง่ือนไขเก่ียวกับการสอบสวนพิจารณาเพ่ือใหผูฟองคดีซึ่งเปนผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหา
และไดมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการที่กําหนดไวในพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา เมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา
ผถู ูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดด าํ เนินการตามขนั้ ตอน วธิ ีการ และกระบวนการสอบสวนวนิ ยั ตามพระราชบัญญัติ
ดังกลาว แตกลับอาศัยรายงาน เอกสาร และความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๕ แลวพิจารณามีคําส่ัง
ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๕
ช้ีมูลความผิด ซ่ึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมายการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณลงวันท่ี
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ท่ีใหลดโทษผูฟองคดี และตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออกเปนปลดออกจากราชการ จึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวย
กฎหมายเชนกัน เนื่องจากเปนการกระทําโดยไมถูกตองตามรูปแบบ ข้ันตอน หรือวิธีการอันเปน
สาระสาํ คญั ที่กาํ หนดไวส ําหรับการกระทาํ นั้น

พิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘
เฉพาะสวนทใี่ หลดโทษผฟู อ งคดี และคาํ ส่ังของผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๑ ตามคําส่ังลงวนั ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙
ที่ลดโทษผูฟองคดีจากไลออกเปนปลดออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันที่มีคําสั่งดังกลาว
คาํ ขออืน่ นอกจากน้ีใหย ก โดยมีขอสังเกตเกยี่ วกบั แนวทางหรือวิธีการดําเนนิ การใหเปนไปตามคําพิพากษา
ใหผูมีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตามกฎหมายใหแกผูฟองคดีในระหวาง
ที่ถูกปลดออกจากราชการ ท้ังนี้ ไมตัดสิทธิผูถูกฟองคดีท่ี ๑ หรือผูมีอํานาจบรรจุแตงตั้ง
ท่ีจะดําเนินการสอบสวนและพิจารณามีคําส่ังใหมใหถูกตองตามกฎหมายตอไป และเมื่อ
มีคําพิพากษาแลว กรณีจึงไมจําตองพิจารณาคําขอทุเลาการบังคับตามคําส่ังทางปกครองของ
ผูฟอ งคดีอกี

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๒๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานเทศบาล ตําแหนงวิศวกรโยธา ๗ ว สังกัด

กองชาง เทศบาลเมืองราชบุรี ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี) มีคําสั่งยกเลิกคําส่ังลงโทษลดขั้นเงินเดือนผูฟองคดีจํานวน ๑ ข้ัน

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๒)
และมีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการ
พนักงานเทศบาลจังหวัดราชบุรี) เนื่องจากกรณีผูฟองคดีถูกกลาวหาวา เม่ือครั้งผูฟองคดีไดรับ
แตงตั้งเปนกรรมการจัดซื้อท่ีดินเพ่ือใชเปนท่ีกําจัดขยะมูลฝอยและส่ิงปฏิกูลโดยวิธีพิเศษ
รวมกับพวกอีก ๖ คน รวมกันจัดซื้อที่ดินแพงกวาความเปนจริงและเกิดความเสียหายแก
ทางราชการ มีมูลความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย อันเปนเหตุใหเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง
และฐานเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ผูฟองคดีมีหนังสืออุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีมติใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการโดยอาศัยเพียงสํานวนการไตสวนขอเท็จจริงของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) เปนผลใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ออกคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการตามมติดังกลาว ไมชอบดวยกฎหมายและเปนการใชดุลพินิจโดยมิชอบ จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพพิ ากษาหรือคาํ สง่ั เพกิ ถอนมตขิ องผูถกู ฟอ งคดีท่ี ๑ ทเี่ หน็ ชอบตามความเห็น
และการช้ีมูลความผิดทางวินัยของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เห็นวา การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไตสวนขอเท็จจริงและมีมติชี้มูลความผิดของ
ผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย เปนเพียงการดําเนินการแสวงหาขอเท็จจริงและรวบรวม
พยานหลักฐานเพื่อท่ีจะทราบขอเท็จจริงหรือมูลความผิด และเปนการชี้มูลความผิดทางวินัย
ท่ีจะตองมีการพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชา จึงเปนการใชอํานาจ
ทางปกครอง มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญซ่ึงเปนการใชอํานาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญน้ัน อันจะเปนขอยกเวนอํานาจของศาลปกครอง
ในการพิจารณาพิพากษาคดีตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ และเมื่อคดีนี้ ผูฟองคดีฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี กรณีจึงเปน
คดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจาหนาท่ีของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมาย ซึ่งอยูในอํานาจ
พิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
ศาลปกครองจึงมีอํานาจรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาได โดยผูฟองคดีในฐานะ
คณะกรรมการจดั ซอ้ื ที่ดินโดยวิธีพิเศษมีหนาท่ีตองจัดซื้อที่ดินใหเปนไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
วาดวยการพัสดุของหนวยการบริหารราชการสวนทองถ่ิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ขอ ๕๐ วรรคหนึ่ง (๖)
ซึ่งคณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษมีหนาท่ีตองเชิญเจาของท่ีดินโดยตรงทุกรายใหมาเสนอ
ราคา เพื่อคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษจะไดทราบราคาที่ดินจากเจาของที่ดินแตละราย
และตอรองราคา แตปรากฏวาคณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษไดดําเนินการจัดซ้ือที่ดิน
โดยใหมีผูยื่นเสนอราคาเพียง ๑ ราย คือ นาง ล. เสนอขายท่ีดินจํานวน ๗ แปลง โดยนาง ล.
เปนผูรับมอบอํานาจจากเจาของท่ีดินรายอื่นอีก ๖ แปลง ซึ่งตามรายงานการไตสวนขอเท็จจริง
ของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ปรากฏวา การมอบอํานาจใหแกนาง ล. เกิดจากการดําเนินการของนาย พ.

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๓)
โดยเจาของท่ีดินรายอื่นๆ ไมทราบวาพวกตนไดมอบอํานาจใหนาง ล. เปนตัวแทนในการยื่นเสนอ
ราคาท่ีดินแกเทศบาลเมืองราชบุรี และคณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษไดทําการ
ตอรองราคาที่ดินกับนาง ล. กอนที่จะมีการมอบอํานาจใหนาง ล. เปนตัวแทนย่ืนเสนอราคา และ
มกี ารทาํ หนังสือมอบอาํ นาจยอนหลัง จึงฟงไดวา คณะกรรมการจัดซื้อท่ีดินโดยวิธีพิเศษไมไดเชิญ
เจาของที่ดินทุกรายมาเสนอราคาขายที่ดินโดยตรง แตไดดําเนินการจัดซื้อที่ดินผานการเสนอขาย
ของนาง ล. โดยมิไดตรวจสอบราคาขายท่ีดินจากเจาของท่ีดินแตละรายโดยตรง อันเปนการไมปฏิบัติ
ตามระเบียบดังกลาว ขอ ๕๐ วรรคหนึ่ง (๖) อีกทั้ง คณะกรรมการจัดซ้ือท่ีดินโดยวิธีพิเศษ
ยอมทราบดีวา สํานักงานท่ีดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบงึ ไดประเมนิ ราคาท่ีดินท่ีเสนอขายไวประมาณ
ไรล ะ ๓๐,๐๐๐ บาท ถึง ๘๐,๐๐๐ บาท และการซือ้ ขายท่ีดินขา งเคียงคร้ังหลังสุด ซ้ือขายกันเพียง
ไรละประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท เทานั้น แตคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษกลับเสนอให
เทศบาลเมืองราชบุรีซื้อท่ีดินดังกลาวในราคาไรละประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ท้ังท่ีปลัดเทศบาล
เมอื งราชบุรไี ดทักทวงแลว วาราคาท่ดี นิ ทีค่ ณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเสนอเพื่ออนุมัติน้ัน
มีราคาสูงกวาราคาประเมินของสํานักงานท่ีดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบึง ประกอบกับเจาของที่ดิน
ท่ีขายท่ีดินใหแกเทศบาลเมืองราชบุรีก็ไดใหถอยคําตอคณะอนุกรรมการไตสวนของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
สอดคลองกันวา ภายหลังจากทําการโอนที่ดินใหแกเทศบาลเมืองราชบุรีแลว มิไดมีการจายเงินใหกับ
ผูขายในราคาไรละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ตามท่ีทําสัญญาซ้ือขาย แตมีการจายเงินใหกับผูขายเพียงไรละ
๔๐,๐๐๐ บาท ถึง ๔๕,๐๐๐ บาท เทานั้น กรณีจึงเห็นไดวา การจัดซ้ือท่ีดินที่พิพาทในคดีนี้
เปนการจัดซ้ือในราคาที่สูงกวาราคาท่ีเจาของที่ดินขายจริง เปนเหตุใหเทศบาลเมืองราชบุรี
ไดรับความเสียหาย เนื่องจากตองซ้ือที่ดินในราคาท่ีสูงเกินจริง โดยมีผูไดรับผลประโยชนจากเงิน
สวนตางจากการขายท่ีดินดังกลาว ซึ่งเปนการแสวงหาประโยชนโดยมิชอบดวยกฎหมายสําหรับตนเอง
หรือผูอ่ืน ถือไดวาเปนการทุจริตในการจัดซื้อที่ดินดังกลาว แมวาความเห็นของผูฟองคดีในฐานะ
คณะกรรมการจัดซ้ือที่ดินโดยวิธีพิเศษท่ีไดเสนอใหมีการจัดซ้ือท่ีดินในราคาดังกลาว จะเปนเพียง
สว นประกอบหน่ึงในการตัดสนิ ใจของหวั หนาสวนราชการหรือผูมีอํานาจส่ังซื้อ โดยมิไดมีผลผูกพัน
ใหตองอนุมัติใหจัดซื้อตามท่ีเสนอก็ตาม แตพฤติการณของผูฟองคดีที่ละเวนการปฏิบัติหนาท่ี
ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยการพัสดุของหนวยการบริหารราชการสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕
ขอ ๕๐ วรรคหน่ึง (๖) ถอื เปนการดําเนินการจดั ซ้ือในลักษณะที่เอื้อใหมีการจัดซ้ือที่ดินในราคาสูงเกินจริง
ยอ มฟง ไดว า ผฟู อ งคดมี ีสวนรเู ห็นหรอื มสี ว นรวมในการทจุ รติ จดั ซอ้ื ทีด่ ินเพื่อใหเ ปนทกี่ าํ จดั ขยะมูลฝอย
และสิ่งปฏิกูลในราคาท่ีสูงกวาราคาที่เจาของท่ีดินขายจริง โดยมีการแบงหนาท่ีกันทําตามข้ันตอน
ท่ีแตละคนไดรับมอบหมาย เปนเหตุใหเทศบาลเมืองราชบุรีไดรับความเสียหาย การกระทําของ
ผูฟองคดีจึงเปนความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ และเปนความผิด
ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี
หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง รวมทั้งยังถือวาเปนความผิด
ฐานประพฤติชั่วอยา งรายแรง ตามขอ ๓ ขอ ๖ และขอ ๑๙ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล
จงั หวัดราชบรุ ี เรื่อง หลักเกณฑและเง่ือนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การใหออกจากราชการ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๔)
การอุทธรณ และการรอ งทุกข ลงวนั ท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๔๕ ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหยกเลิกคําสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนผูฟองคดี ๑ ข้ัน จึงเปนคําส่ัง
ที่ชอบดวยกฎหมายแลว และเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดพิจารณาอุทธรณของ
ผูฟองคดีโดยอาศัยขอเท็จจริงและขอกฎหมายอยางเดียวกัน แลวมีมติยกอุทธรณของผูฟองคดี
มตขิ องผถู กู ฟองคดที ี่ ๑ ดังกลาวจงึ ชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษา
เพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ียกอุทธรณ
ของผูฟองคดี โดยใหมีผลยอนหลังไปตั้งแตวันท่ีคําส่ังน้ันมีผล คําขออ่ืนนอกจากนี้ใหยก น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดไมเห็นพอ งดวย

พพิ ากษากลับเปนใหยกฟอ ง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ. ๗๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๒๐๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงอธิบดีกรมสรรพากร (นักบริหาร

ระดับ ๑๐) ผูถูกฟองคดี (ปลัดกระทรวงการคลัง) ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เน่ืองจากผูรอง (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการ
ทุจริตแหงชาติ) ไดช้ีมูลความผิดวา เม่ือคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองอธิบดีกรมสรรพากร
รักษาการในตําแหนงที่ปรึกษาดานประสิทธิภาพ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร นาย ว.
ดํารงตําแหนงผูอํานวยการสํานักกฎหมาย นางสาว ส. ดํารงตําแหนงนิติกร ๙ ชช. นางสาว ม.
ดํารงตําแหนงนิติกร ๘ ว และนางสาว ก. ดํารงตําแหนงนิติกร ๗ ว สังกัดสํานักกฎหมาย
ไดรวมกันพิจารณากรณีการรับโอนหุนบริษัท ช. ของนาย บ. จากนางสาว ด. ผูถือหุนแทน
คุณหญิง พ. เม่ือวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ จํานวน ๔.๕ ลานหุน มูลคา ๗๓๘ ลานบาท
โดยพิจารณาวาเปนการไดรับจากการอุปการะโดยหนาท่ีธรรมจรรยา และจากการใหโดยเสนหา
เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแหงขนบธรรมเนียมประเพณี ไดรับยกเวนไมตองเสียภาษีเงินได
ตามมาตรา ๔๒ (๑๐) แหงประมวลรัษฎากร ซึ่งเปน การกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย มีมูลความผิด
ทางวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเอง
หรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
และฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม
มาตรา ๘๕ วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และกระทําความผิดทางอาญา ฐานเปนเจาพนักงานมีหนาที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบ
ภาษีอากร กระทําการหรือไมกระทําการอยางใด เพ่ือใหผูมีหนาท่ีเสียภาษีอากรมิตองเสีย และ
ฐานเปนเจาพนักงานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหายแก

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๕)
ผูหน่ึงผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่โดยทุจริต ตามมาตรา ๑๕๔ และมาตรา ๑๕๗
แหงประมวลกฎหมายอาญา จากน้ันไดสงเรื่องใหผูบังคับบัญชาและอัยการสูงสุดเพ่ือพิจารณา
ลงโทษทางวนิ ัยและดําเนนิ คดอี าญาตามฐานความผิดดงั กลาว ซงึ่ อ.ก.พ. กระทรวงการคลงั ในการประชุม
เมือ่ วันท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ ไดพจิ ารณาขอเท็จจริงตามทผี่ ูรอ งไดช้มี ูลความผิดวินัยอยางรายแรง
แลวมีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตอมา ผูถูกฟองคดีไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ ธันวาคม
๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีไดอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอเลขาธิการ ก.พ.
ตอมา สํานักงาน ก.พ. ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๔ เมษายน ๒๕๕๑ แจงผลการพิจารณาอุทธรณ
ใหผูฟองคดีทราบวา ผูฟองคดีใชดุลพินิจพิจารณาตามอํานาจหนาที่ที่ไดรับมอบหมายจาก
ผูบังคับบัญชาโดยสุจริตและชอบดวยกฎหมายและขอเท็จจริงเทาที่ปรากฏตามสํานวนการไตสวน
ของผูรอง ไมไดความชัดเจนพอท่ีจะรับฟงวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางตามที่ถูกลงโทษ
อุทธรณของผูฟองคดีรับฟงได แตโดยที่ศาลรัฐธรรมนูญไดมีคําวินิจฉัยวา องคกรที่มีอํานาจ
พิจารณาอุทธรณจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยตามที่ผูรองวินิจฉัยแลวไมได
กรณีจึงมีเหตุอันควรลดโทษจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ ก.พ. ตอมา
นายกรัฐมนตรีไดพิจารณาแลวและมีคําสั่งใหดําเนินการตามมติของ ก.พ. ผูถูกฟองคดีจึงมีคําสั่ง
ลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ลดโทษผฟู อ งคดีจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ
ผูฟองคดีเห็นวา ผูฟองคดีมิไดกระทําความผิดตามท่ีผูรองไดชี้มูล และการดําเนินการของผูรอง
ไมถ ูกตองตามกฎหมายและเลือกปฏิบัติ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
การชี้มูลความผิดของผูรองที่ช้ีมูลวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงเพิกถอนมติ อ.ก.พ.
กระทรวงการคลัง ในการประชุมเม่ือวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ ท่ีใหลงโทษผูฟองคดีเพิกถอนคําสั่ง
ผูถูกฟองคดีลงวันท่ี ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเพิกถอนมติ ก.พ.
ท่ีมีผลการพิจารณาอุทธรณใหลดโทษผูฟองคดีเปนปลดออกจากราชการ เพิกถอนคําสั่งผูถูกฟองคดี
ตามคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และมีคําสั่งให
ผฟู อ งคดกี ลบั เขา รบั ราชการในตําแหนงเดิม นับแตว ันท่ี ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๔๙ เปน ตนไป

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีมีประเด็นตองวินิจฉัยสองประเด็น ดังน้ี
ประเด็นท่ีหนึ่ง ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน้ีหรือไม น้ัน เมื่อพิจารณา
มาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึงและวรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ประกอบมาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑) มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๙๖
แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แลว จะเห็นไดวา
ในกรณีที่รัฐธรรมนูญประสงคจะใหการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกรอิสระใดเปนการใชอํานาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญน้ัน รัฐธรรมนูญจะตองกําหนดบทบัญญัติใหอํานาจดังกลาวไวอยางชัดเจน
และเม่ือพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญดังกลาว ที่บัญญัติให
ผูรองมีอํานาจหนาที่ในการไตสวนและวินิจฉัยวาเจาหนาท่ีของรัฐตั้งแตผูบริหารระดับสูง
หรือขาราชการซ่ึงดํารงตําแหนงตั้งแตผูอํานวยการกองหรือเทียบเทาข้ึนไปร่ํารวยผิดปกติ
กระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๖)
ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม รวมทั้งดําเนินการกับเจาหนาท่ีของรัฐหรือขาราชการ
ในระดับต่ํากวาท่ีรวมกระทําความผิดกับผูดํารงตําแหนงดังกลาวหรือกับผูดํารงตําแหนง
ทางการเมือง หรือท่ีกระทําความผิดในลักษณะท่ีผูรองเห็นสมควรดําเนินการดวย ทั้งน้ี
ตาม พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริตแลว จะเห็นไดวา ไมมีบทบัญญัติใด
ใหอํานาจแกผูรองในการชี้มูลความผิดทางวินัยไวโดยตรง ประกอบกับเม่ือไดพิจารณาบทบัญญัติ
มาตราอ่ืนๆ ในรัฐธรรมนูญ ก็ไมปรากฏวา มีมาตราใดที่ใหอํานาจแกผูรองในการช้ีมูลความผิด
ทางวินัยดังกลาวเชนเดียวกัน แตอํานาจหนาที่ของผูรองในการช้ีมูลความผิดทางวินัยเปนกรณี
ที่กําหนดไวในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
ดังน้ัน การใชอํานาจในการไตสวนและช้ีมูลความผิดของผูรองเปนการใชอํานาจตาม พ.ร.ป.
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่ผูรองไตสวนและมีมติชี้มูล
ความผิดผูฟองคดีวาเปนความผิดวินัย จึงเปนเพียงการไตสวนและชี้มูลความผิดทางวินัย
ที่จะตองมีการพิจารณาส่ังลงโทษทางวินัยตอไปโดยผูบังคับบัญชาเปนการใชอํานาจทางปกครอง
มิใชเปนการวินิจฉัยช้ีขาดซึ่งเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญ
ในอันจะเปนขอยกเวนตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ เม่ือคดีนี้ผูฟองคดีฟองโตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําส่ังลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการท่ีออกตามคําวินิจฉัยอุทธรณของ ก.พ. ซ่ึงมีลักษณะเปนคําสั่ง
ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูฟองคดี
มีคาํ ขอใหศ าลมีคาํ พิพากษาเพกิ ถอนคาํ ส่งั ดงั กลาว จึงเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจาหนาที่ของรัฐ
ออกคาํ สั่งโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ศาลปกครองจงึ มอี ํานาจพจิ ารณาพิพากษาคดีนไ้ี ด

ประเด็นทีส่ อง คําสั่งของผูถูกฟองคดีลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เฉพาะสวนท่ี
ลดโทษผูฟองคดีจากไลอ อกเปน โทษปลดออกจากราชการเปน คําส่งั ทช่ี อบดวยกฎหมายหรือไม นั้น
เม่ือพิจารณา มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีผลใชบังคับในขณะที่มีการรองเรียน
กลาวหาและไตสวนขอเท็จจริงในกรณีน้ีแลวจะเห็นไดวา ขอกลาวหาวาเจาหนาท่ีของรัฐกระทํา
ความผิดที่อยูในอํานาจการไตสวนและวินิจฉัยของผูรอง หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาที่เก่ียวกับ
การกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ กระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือกระทํา
ความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรมเทาน้ัน และโดยท่ีประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติ
ถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการไวใน ภาค ๒ ลักษณะ ๒
หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ และไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเกี่ยวกับความผิด
ตอตาํ แหนงหนาทใ่ี นการยุตธิ รรมไวใ นลกั ษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐ ถงึ มาตรา ๒๐๕ ความผิด
ตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม จึงเปนมูลความผิด
ทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีถือเปนมูลความผิดทางวินัย นอกจากสามกรณีดังกลาวแลว
ผรู อ งไมมีอํานาจช้ีมูลความผิด การท่ีผูรองช้ีมูลความผิดทางวินัยในความผิดฐานอ่ืนนอกเหนือจากฐาน

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๗)
ทุจริตตอหนาที่ จึงไมผูกพันผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจแตงตั้งถอดถอนผูถูกกลาวหาที่จะตอง
ถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูรองมาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัย
ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกัน
และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แตเปนอํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีซ่ึงเปนผูบังคับบัญชา
ผูมีอํานาจบรรจุแตงตั้งผูฟองคดีตามมาตรา ๕๒ (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่ีจะตองดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีซ่ึงเปนผูใตบังคับบัญชาของตน โดยแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยตามท่ีถูกกลาวหาในความผิดฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจ
ไมป ฏิบัตติ ามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
และฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง
และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ตามข้ันตอนของกฎหมายแลวออก
คําส่ังลงโทษตามฐานความผิดท่ีไดดําเนินการสอบสวนใหมตอไป เม่ือพิจารณาการแบงสวน
ราชการตาม มาตรา ๔ และมาตรา ๕ และมาตรา ๖ แหง พ.ร.ฎ. แบงสวนราชการกรมสรรพากร
กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๔๐ แลวเห็นวา สํานักกฎหมายไมไดเปนหนวยงานท่ีมีอํานาจหนาที่
ในการตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีอากร แตมีหนาที่ ในการใหคําปรึกษาและแนะนําเก่ียวกับ
การวินิจฉัย ตีความกฎหมาย ประกาศ คําสั่ง และระเบียบปฏิบัติตางๆ ที่เกี่ยวกับภาษีอากร
ตามมาตรา ๖ (๖) (จ) แหงพระราชกฤษฎีกาดังกลาว โดยการใหความเห็นหรือตีความกฎหมาย
สํานักกฎหมายจําตองพิจารณาโดยรับฟงขอเท็จจริงตามประเด็นที่หารือ ซึ่งความเห็นในทางกฎหมาย
อาจแตกตางกันได ข้ึนอยูกับความรู ประสบการณ และความเช่ียวชาญในขอกฎหมายที่เก่ียวของ
กับประเด็นท่ีหารือ การท่ีจะพิจารณาวาการใหความเห็นในลักษณะใดเปนการกระทําท่ีไมชอบ
ดวยกฎหมายและเปนการกระทําผิดวินัยฐานใดหรือไม จึงตองพิจารณาเจตนาและพฤติการณ
ในขณะที่ผูนั้นมีความเห็นในเร่ืองท่ีหารือ ซ่ึงกรณีที่นาย บ. ไดรับโอนหุนบริษัท ช. จํานวน
๔,๕๐๐,๐๐๐ หุน มูลคา ๗๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากนางสาว ด. ผูมีช่ือถือหุนแทนพันตํารวจโท ท.
และหรือคุณหญิง พ. สํานักตรวจสอบภาษีไดพิจารณาหลักฐานและการไตสวนขอเท็จจริง
แลวเห็นวา การท่ีคุณหญิง พ. ยกหุนใหนาย บ. เปนการยกหุนใหโดยเสนหา การท่ีมูลคาของหุน
มีมลู คาสูงถึง ๗๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ก็อยใู นฐานะและวิสัยทีผ่ ใู หก ระทําไดเนื่องจากผูใหมีทรัพยสิน
มากกวา ๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเปนการใหบุคคลในครอบครัวเนื่องในโอกาสท่ีนาย บ.
แตงงานมีครอบครัวและมีบุตร จึงมีความเห็นวา เปนกรณีการรับหุนจากการใหโดยเสนหา
เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแหงขนบธรรมเนียมประเพณี ถือเปนเงินไดที่ไดรับการยกเวนภาษีเงินได
ตามมาตรา ๔๒ (๑๐) แหงประมวลรัษฎากร แตเนื่องจากประเด็นดังกลาวเปนปญหาขอกฎหมาย
จึงเห็นควรใหสํานักกฎหมายรวมพิจารณาใหความเห็นดวย ผูอํานวยการสํานักตรวจสอบภาษี
จึงมีหนังสือถึงผูอํานวยการสํานักกฎหมาย ขอหารือการเสียภาษีเงินไดบุคคลธรรมดากรณี
การรับโอนหุนของนาย บ. ซึ่งนางสาว ก. ขณะดํารงตําแหนงนิติกร ๖ กลุมกฎหมาย ๖
ไดรับมอบหมายใหเปนผูพิจารณาและทําความเห็นตามประเด็นที่หารือ มีความเห็นวา
การรับโอนหุนดังกลาวเปนการไดรับทรัพยหรือประโยชนอยางอ่ืนท่ีไดรับซ่ึงอาจคิดคํานวณ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๘)
เปนเงินได ถือเปนเงินไดพึงประเมินตามมาตรา ๓๙ แหงประมวลรัษฎากร การท่ีคุณหญิง พ.
ซ่ึงมีทรัพยสินมากกวา ๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยกหุนใหเปนของขวัญแกนาย บ. พี่ชายบุญธรรม
ซ่ึงเปน บคุ คลในครอบครัวและเปนบุคคลทใ่ี หความชวยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด และในโอกาส
ท่ีนาย บ. แตงงานมีครอบครัวและมีบุตร โดยมิไดมีขอผูกพันหรือมีสัญญาท่ีนาย บ. จะตอง
กระทําสิ่งใดเปนการตอบแทน จึงเปนท้ังเงินไดที่ไดรับจากการอุปการะในหนาท่ีธรรมจรรยา
และจากการใหโดยเสนหาเน่ืองในพิธีหรือตามโอกาสแหงขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งนางสาว ม.
นิติกร ๘ ว หัวหนากลุมงานกฎหมาย ๖ นางสาว ส. นิติกร ๙ ชช. ดานกฎหมายภาษีสรรพากร
และผูอํานวยการสํานักกฎหมายไดพิจารณาขอเท็จจริง ขอกฎหมาย รวมทั้งแนวความเห็นของ
กรมสรรพากรและคําพิพากษาศาลฎีกาท่ีนางสาว ก. อางอิงแลวเห็นดวยกับความเห็นดังกลาว
โดยนาย ช. รองอธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้นไดมีการตั้งขอสังเกตไวดวย กรณีจึงเห็นไดวา
การรับโอนหุนของนาย บ. สํานักตรวจสอบภาษีไดดําเนินการตรวจสอบและมีความเห็นอยูกอนแลว
ผูฟองคดีไมไดเปนผูรับผิดชอบการตอบขอหารือดังกลาวมาต้ังแตตน โดยที่ผูฟองคดีไมได
จบการศึกษาทางดานกฎหมายและเรื่องดังกลาวเปนเรื่องท่ีอยูในความสนใจของประชาชน
กอนพิจารณาผูฟองคดีจึงไดเชิญนางสาว ม. มาอธิบายรายละเอียด รวมทั้งเรื่องท่ีนาย ช.
ไดตง้ั ขอสังเกตไว ผูฟองคดีไดพิจารณาขอเทจ็ จริง ขอกฎหมาย โดยพิจารณาจากประมวลรัษฎากร
ระเบียบและแนวปฏิบัติราชการของกรมสรรพากร ตลอดจนเทียบเคียงแนวคําพิพากษาฎีกา
ในคดีภาษีอากรแลว จึงเห็นชอบตามที่สํานักกฎหมายเสนอมา จากนั้นจึงมีคําสั่งใหแจง
สํานักตรวจสอบภาษีทราบ แมความเห็นดังกลาวจะไมตรงกับความเห็นของผูรอง แตก็เปนเพียง
การใหความเห็นในทางกฎหมาย เมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวาการใหความเห็นในกรณีนี้ ผูฟองคดี
มีเจตนาเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรไดจึงไมอาจถือไดวาเปนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบ และตอมา นางสาว จ. ผูอํานวยการสํานักกฎหมายคนตอมา ไดมีหนังสือ
แจงความเห็นดังกลาวใหนาง บ. ผูอํานวยการสํานักตรวจสอบภาษีคนตอมาพิจารณาแลวมี
คําส่ังใหยุติการตรวจสอบขอมูลรายนาย บ. และมีหนังสือเสนออธิบดีกรมสรรพากรทราบ
โดยที่อธิบดีกรมสรรพากรมิไดมีคําสั่งใหสงเร่ืองดังกลาวใหคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
พิจารณาตามมาตรา ๑๓ สัตต (๓) แหงประมวลรัษฎากรแตอยางใด สวนการที่นาย บ.
ไดดําเนินการรับโอนหุนจากคุณหญิง พ. และหรือพันตํารวจโท ท. ผานระบบซ้ือขายใน
ตลาดหลักทรัพยอันจะเปนการโอนหลักทรัพยโดยอําพรางเพ่ือหลีกเล่ียงการเสียภาษีเงินได
ซึ่งบุคคลดังกลาวจะตองรับผิดตามกฎหมายท่ีเก่ียวของตามความเห็นของผูรองหรือไม น้ัน
ก็เปนเร่ืองท่ีจะตองแยกพิจารณาภาระภาษีท่ีผูมีเงินไดพึงประเมินจะตองเสียภาษีเงินได
ตามประมวลรัษฎากร อีกท้ัง ไมปรากฏพยานหลักฐานใดในสํานวนคดีนี้ที่พิสูจนไดวา ผูฟองคดี
ไดรับประโยชนที่มิควรไดจากการปฏิบัติหนาท่ีดังกลาว หรือปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหกรมสรรพากรไดรับ
ความเสียหาย กรณีจึงไมอาจรับฟงไดวาพฤติการณของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่น

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๓๙)
ไดป ระโยชนที่มิควรไดอันเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติ
ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และ
ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม มาตรา ๘๕
วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ตามที่ผูรองช้ีมูลความผิด การที่ผูถูกฟองคดีมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และตอมาไดมีคําส่ังลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ลดโทษผูฟองคดีจากไลออก
จากราชการเปนปลดออกจากราชการตามมติคณะกรรมการขาราชการพลเรือน (ก.พ.)
จึงเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษาเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ในสวนท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไป
ตั้งแตวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ ซ่ึงเปนวันท่ีคําส่ังดังกลาวมีผลบังคับ สวนคําขออื่นนอกจากน้ี
ใหยก และมีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาตามมาตรา ๖๙
วรรคหน่ึง (๘) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยใหผูถูกฟองคดีดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตางๆ
ทผ่ี ูฟองคดีพงึ ไดร บั หากมไิ ดถ ูกลงโทษทางวินยั ตามคําส่ังดังกลาวใหแกผูฟองคดีตามหลักเกณฑละเงื่อนไข
ที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ ภายในสามสิบวันนับแตวันท่ีคําพิพากษาถึงที่สุด นั้น ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพองดวย

พพิ ากษายืน

กรณีเปน คดพี พิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหน่งึ (๒)

คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๔๓/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟองวา ผูฟองคดีไดตกลงขายรถยนตใหแกนาย ม. แตนาย ม. ไมไดชําระเงิน

ใหค รบถวนภายในกําหนด จงึ ไดมกี ารตกลงกนั ใหนํารถยนตค นั ดงั กลาวไปเก็บไวท ่ีสถานีตาํ รวจภูธร
เมืองนครสวรรค โดยมีพันตํารวจโท ช. ปฏิบัติหนาที่พนักงานสอบสวน แตเม่ือนาย ม.
ไดไปตรวจดูปรากฏวารถยนตถูกนําไปเก็บไวท่ีอูชาง ด. โดยเคร่ืองยนตและเกียรไดหายไป
จนเหลือแตโครงรถ ผูฟองคดีเห็นวา พันตํารวจโท ช. กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย
นํารถยนตของผูฟองคดีไปขายใหแกชาง ด. แตกลับไมมีความผิดทางวินัยหรือไดรับการลงโทษ
ทางวินัย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหผูถูกฟองคดี (ผูกํากับการ
สถานีตํารวจภูธรเมืองนครสวรรค) ดําเนินการทางวินัยกับพันตํารวจโท ช. พนักงานสอบสวน
สถานีตํารวจภูธรเมืองนครสวรรค เห็นวา คดีนี้เปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีเจาหนาท่ีของรัฐ
ละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติหรือปฏิบัติหนาที่ดังกลาวลาชาเกินสมควร
ที่อยูในอํานาจของศาลปกครองท่ีจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําส่ังไดตามนัยมาตรา ๙ วรรคหน่ึง
(๒) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ อยางไรก็ตาม การท่ีผูบังคับบัญชาจะพิจารณาลงโทษ
ทางวินยั บคุ คลหน่งึ บุคคลใดกจ็ ะตอ งมเี หตตุ ามที่กฎหมายบญั ญัติไว และการจะดําเนนิ การทางวินัย
ตอผูใตบังคับบัญชาท่ีถูกกลาวหาหรือไม เพียงใด เปนอํานาจของผูบังคับบัญชาโดยเฉพาะ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๐)
ที่พิจารณาดําเนินการตามควรแกกรณี ศาลปกครองไมอาจกาวลวงเขาไปออกคําบังคับใหผูถูกฟองคดี
มีคําส่ังดําเนินการทางวินัยแกบุคคลดังกลาวตามคําขอของผูฟองคดีได ท้ังการขอใหผูถูกฟองคดี
มีคําส่ังดําเนินการทางวินัยแกบุคคลดังกลาวก็มิไดเปนการแกไขหรือบรรเทาความเดือดรอน
หรือความเสียหายของผูฟองคดีในกรณีพิพาทดังกลาว คําขอของผูฟองคดีตามคําฟองนี้ จึงเปน
คําขอท่ีศาลไมมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหไดตามนัยมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง (๒) แหง
พระราชบัญญัติดังกลาว ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟองคดีนี้ได ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง
พระราชบัญญัติเดียวกัน ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาและ
ใหจําหนายคดอี อกจากสารบบความ นัน้ ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดวย

จึงมีคําสง่ั ยืนตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้นั ตน

คําส่งั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ.๑๐๙/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดี (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๒) ไดมีคําสั่งลงวันที่

๙ เมษายน ๒๕๕๖ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรายแรง และมีคําสั่งลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน
เพื่อรอผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย แตผูถูกฟองคดีไมไดดําเนินการพิจารณาและส่ังการใหแลวเสร็จ
ภายในระยะเวลาตามที่กําหนดไวในมาตรา ๘๗ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
จนกระทั่งผูถูกฟองคดีไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๘ ใหผูฟองคดีกลับคืนสูสถานะเดิมกอน
และใหกลับเขารับราชการในตําแหนง ผูบังคับหมู ฝายอํานวยการ ๒ กองบังคับการอํานวยการ
ตาํ รวจภูธรภาค ๒ รบั อตั ราเงนิ เดอื น ป.๒ ขั้น ๒๗.๖ (๒๐,๖๔๐ บาท) และใหถือวาไมเปนผูที่อยูระหวาง
ถูกสอบสวน นับแตวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๘ เปนตนไป จนกวาการพิจารณาส่ังการจะเสร็จสิ้น
และมีคาํ ส่ัง แตผ ูถ ูกฟองคดีก็ยังคงไมดาํ เนนิ การพิจารณาส่ังการใหแลวเสร็จแตอยางใด ทําใหผูฟองคดี
ไดรับความเสียหาย เสียเวลา และเสียโอกาสท่ีจะไดรับสิทธิประโยชนอื่นๆ จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีดําเนินการสอบสวนและพิจารณาผลทางวินัย
ของผูฟองคดีโดยเร็ว

ศาลปกครองสงู สดุ วนิ ิจฉยั วา คดีนีเ้ ปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หนวยงานทางปกครอง
หรอื เจาหนา ทขี่ องรฐั ละเลยตอหนา ที่ตามที่กฎหมายกาํ หนดใหตองปฏบิ ัติหรอื ปฏิบัตหิ นาท่ีดังกลาว
ลาชาเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ซ่ึงในการแกไข
หรือบรรเทาความเดือดรอนหรือความเสียหายโดยสั่งใหผูถูกฟองคดีดําเนินการสอบสวน
และพิจารณาผลทางวินัยแกผูฟองคดีโดยเร็วนั้น ศาลจําตองมีคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง (๒)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว แตเม่ือในระหวางการพิจารณาคดี ขอเท็จจริงปรากฏตามคําช้ีแจง
ของผูฟองคดี ลงวันท่ี ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ และตามคําใหการของผูถูกฟองคดีวา ผูถูกฟองคดี
ไดพิจารณากรณีผฟู อ งคดถี ูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามคําสั่งลงวันท่ี ๙ เมษายน ๒๕๕๖
เสร็จส้ินแลว โดยพยานหลักฐานรับฟงไมไดวาผูฟองคดีกระทําผิดตามท่ีถูกกลาวหา จึงใหยุติเรื่อง
ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ ซ่ึงผูถูกฟองคดีไดสงสําเนาคําสั่งดังกลาวพรอมสํานวน

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๑)
การสอบสวนทางวนิ ยั และเอกสารท่ีเกีย่ วขอ งเสนอใหผูบญั ชาการตํารวจแหง ชาตเิ พ่ือทราบ และผูฟองคดี
ไดรับทราบคําส่ังดังกลาวแลวเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ กรณีจึงถือไดวา เหตุแหงการฟองคดี
กรณผี ูถกู ฟอ งคดีไมดําเนินการสอบสวนและพิจารณาผลทางวินัยแกผูฟองคดีโดยเร็วไดเสร็จส้ินลง
อันสงผลใหความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดีในกรณีดังกลาวหมดสิ้นไป ดังนั้น
ศาลปกครองจึงไมมีกรณที ่ีจะตอ งออกคําบังคับส่ังใหผูถูกฟองคดีดําเนินการสอบสวนและพิจารณา
ผลทางวินยั แกผฟู อ งคดโี ดยเร็วอีก ตามนัยมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๒) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน
ทีศ่ าลปกครองชัน้ ตนมีคาํ สงั่ จําหนา ยคดีออกจากสารบบความ ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พอ งดว ย

จงึ มีคาํ สัง่ ยนื ตามคาํ สั่งของศาลปกครองช้ันตน
กรณีเปน คดพี พิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๓)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๖๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๓
คดีทก่ี ฎหมายกาํ หนดใหอ ยใู นอาํ นาจของศาลปกครองสงู สดุ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ป.) อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๘
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๑๕/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๒๒
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๖/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๒๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๒๘
เงือ่ นไขการฟองคดี
ความเปนผูเดือดรอนเสียหาย

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๒)

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๑

คําส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ. ๙๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงปลัดองคการบริหาร

สวนตําบล สงั กัดองคการบรหิ ารสวนตําบลชํา ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(นายกองคการบริหารสวนตําบลชํา) มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ) กรณีสืบเนื่องมาจากการท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ช้ีมูลความผิดผูฟองคดีวา
เม่ือคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบลสวนกลวย ในฐานะกรรมการ
ตรวจการจาง ไดทําการตรวจรับและเบิกจายเงินโครงการกอสรางระบบประปาบาดาลขนาดกลาง
บานมะลิวัลย หมูที่ ๙ โดยไมถูกตองตามรูปแบบรายการ และเบิกจายเงินซ้ืออุปกรณประปา
โดยมิไดมีการจัดซื้อจริง จึงมีมูลความผิดวินัยรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
โดยไมชอบ เพ่ือใหผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ ปฏิบัติหนาท่ี
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และ
กระทาํ การอนั ไดชอ่ื วา เปน ผปู ระพฤติชวั่ อยางรายแรง ผฟู อ งคดเี หน็ วาคําสั่งและมติดังกลาวไมชอบ
ดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และมติไลผูฟองคดีออกจากราชการ ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองใน
สว นทข่ี อใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่มีมติไลผูฟองคดีออกจากราชการและในสวนที่ฟอง
ผูถ กู ฟองคดีที่ ๒ ไวพ จิ ารณา ผูฟอ งคดยี ืน่ คาํ รองอทุ ธรณค ําสั่งดงั กลาว

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการมีผลผูกพันใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ สั่งหรือปฏิบัติใหเปนไปตามนั้น ตามขอ ๘๕ วรรคหน่ึง
ของประกาศคณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ เร่ือง หลักเกณฑและเงื่อนไข
ในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๘ ลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเปนเร่ือง
ภายในระหวางผูถูกฟองคดีท่ี ๒ กับท่ี ๑ โดยเปนขั้นตอนในการเตรียมการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
จะมีคําส่ังลงโทษทางวินยั แกผูฟองคดีในภายหลังตอไป มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ดังกลาวจึงยังมิได
มีผลทางกฎหมายไปกระทบกระเทือนตอสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี หรือกอความเดือดรอน
หรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยตรงแกผูฟองคดี มติดังกลาวจึงยังมิใชคําสั่ง
ทางปกครองที่มีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีตามมาตรา ๕ แหง
พ.ร.บ. วธิ ีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังน้ัน ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเน่ืองจากมติดังกลาว
ท่ีจะมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอนมติดังกลาวตอศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๓)
จัดตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองของผูฟองคดีในขอหานี้และ
ในสวนทีฟ่ องผูถูกฟองคดที ี่ ๒ ไวพ จิ ารณา นน้ั ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวย
จึงมีคําสั่งยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้ันตน
คําสงั่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๙๗/๒๕๖๓

ผฟู องคดีฟอ งวา เม่อื ครงั้ ทผี่ ูฟองคดีดาํ รงตําแหนง ปลัดองคการบรหิ ารสวนตาํ บลยะรม
และปฏิบัติหนาที่นายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม ผูถูกฟองคดี (คณะกรรมการปองกันและ
ปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดรับการรองเรียนอีกทางหน่ึงวาผูฟองคดีกับพวกกระทําความผิด
ฐานทจุ ริตตอ หนา ทหี่ รอื กระทําความผิดตอหนาที่ราชการ กรณีจัดโครงการฝกอบรม สัมมนา และ
ศึกษาดูงานเพ่อื พัฒนาศกั ยภาพบุคลากร ผูนาํ ชุมชน และสตรีตาํ บลยะรม ประจําปงบประมาณ ๒๕๕๗
ทจี่ งั หวดั สตลู แตกลับนาํ ผเู ขา รวมโครงการไปเทีย่ วท่เี กาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย และทําเอกสาร
เท็จจายเงินงบประมาณ ผูถูกฟองคดีไดไตสวนและมีมติช้ีมูลวาการกระทําของผูฟองคดีมีมูลความผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
อยางรายแรง และประพฤติช่ัวอยางรายแรง และมีมูลความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๖๒ (๑) (๔) จึงใหสงรายงานเอกสารและความเห็น
ใหผูบังคับบัญชาพิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดี ผูฟองคดีไดมีหนังสือขอความเปนธรรม
พรอมยื่นพยานหลักฐานใหผูถูกฟองคดีพิจารณาทบทวนมติช้ีมูลดังกลาว ผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๒ ถึงนายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม แจงวา ผูถูกฟองคดีพิจารณา
แลวเห็นวา พยานหลักฐานท่ีสงมาดังกลาวไมใชพยานหลักฐานใหมและยืนยันมติช้ีมูลความผิด
ผูฟองคดีขางตน ตอมา คณะกรรมการพนักงานสวนจังหวัดยะลา ในการประชุมเมื่อวันที่
๒๔ เมษายน ๒๕๖๒ มมี ติใหลงโทษไลผ ูฟองคดีออกจากราชการ นายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม
จึงไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิด
ที่ผูถูกฟองคดีช้ีมูลความผิด ผูฟองคดีเห็นวา การไตสวนและชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีไมตรง
กับขอเท็จจริงในพฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดี ผูฟองคดีไมประสงคจะอุทธรณคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เน่ืองจากคําสั่งดังกลาว
ออกตามมติชี้มูลของผูถูกฟองคดี ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดี
ท่ชี ้ีมูลความผิดทางวนิ ัยและความผิดทางอาญาแกผูฟอ งคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา มติของผูถูกฟองคดีท่ีช้ีมูลความผิดทางวินัยและ
ความผิดทางอาญาแกผูฟองคดีมีผลผูกพันผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจแตงตั้งถอดถอน
ผูถกู กลา วหา (นายกองคก ารบรหิ ารสวนตําบลยะรม) ใหตอ งปฏิบัติตามไมอาจใชดุลพินิจเปนอยางอื่นได
ตามนัยมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
และเปนเรือ่ งภายในระหวางผูถกู ฟองคดกี บั นายกองคการบริหารสวนตําบลยะรม โดยเปนขั้นตอน

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๔)
ในการเตรียมการท่ีนายกองคการบริหารสวนตําบลยะรมจะมีคําส่ังลงโทษทางวินัยอยางรายแรง
แกผูฟองคดีในภายหลังตอไป ซึ่งผูฟองคดียอมมีสิทธิท่ีจะฟองเพิกถอนคําสั่งนายกองคการบริหาร
สวนตําบลยะรมที่มีคําส่ังลงโทษทางวินัยผูฟองคดี ดังนั้น มติของผูถูกฟองคดีดังกลาวขางตน
แมจะเปน การใชอ ํานาจตามกฎหมายของผูถูกฟองคดี แตยังมิไดมีผลทางกฎหมายไปกระทบกระเทือน
ตอสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีหรือกอความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือ
เสียหายโดยตรงแกผูฟองคดีดังเชนคําสั่งลงโทษทางวินัยแตอยางใด มติของผูถูกฟองคดีดังกลาว
จึงยังมิใชคําส่ังทางปกครองที่มีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดี
ตามนยั มาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับ
ความเดอื ดรอนหรอื เสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเน่ืองจาก
มติของผถู กู ฟองคดีดงั กลาว ทจ่ี ะมีสทิ ธฟิ องขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีดังกลาวตอศาลปกครอง
ตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ัง
ไมรับคําฟอ งไวพจิ ารณาและใหจําหนายคดอี อกจากสารบบความ นนั้ ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดว ย
จงึ มีคาํ สั่งยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้ันตน

คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คบ.๑๑๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีทั้งสองฟองวา เมือ่ ครัง้ ท่ีผูฟองคดีท้ังสองรับราชการตํารวจถูกกลาวหาวา

กระทําผิดวินัยอยางรายแรง กรณีตองหาคดีอาญาฐานรวมกันฆาผูอ่ืนโดยเจตนาและไตรตรองไวกอน
และพกพาอาวุธปนติดตัวไปในเมือง หมูบานหรือทางสาธารณะโดยไมไดรับอนุญาต ผูถูกฟองคดีท่ี ๓
(ผูบ งั คบั การตาํ รวจภธู รจงั หวดั เชยี งใหม) ไดม คี าํ สั่งลงวนั ท่ี ๒๙ มนี าคม ๒๕๕๙ ใหผูฟองคดีทั้งสอง
ออกจากราชการไวกอนต้ังแตวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เปนตนไป ในวันท่ี ๑๒ มกราคม ๒๕๖๐
พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟองผูฟองคดีท้ังสองตอศาลจังหวัดฝาง ตอมาวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
ศาลจังหวัดฝางไดพิพากษายกฟองและศาลอุทธรณภาค ๕ ไดมีคําพิพากษายืน ในระหวาง
การดําเนินคดีอาญาน้ัน ไดมีการดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีทั้งสองโดยคณะกรรมการพิจารณา
กลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษ ไดมีมติใหไลผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการ ต้ังแตวันที่
๒๙ มนี าคม ๒๕๕๙ ซ่งึ เปน วันท่ีใหออกจากราชการไวกอนเปนตนไป ตามความเห็นของคณะกรรมการ
สอบสวนวา พฤติการณของผูฟอ งคดีท้ังสองถือไดว ากระทาํ การอนั ไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการ
และหนงั สือลงวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ เพื่อแจง คาํ สงั่ ดังกลาวใหผูฟองคดีท้ังสองทราบ ผูฟองคดีท้ังสอง
จึงอุทธรณคําสั่งดังกลาว ตอมาอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ไดดําเนินการพิจารณาอุทธรณในการประชุมเมื่อวันที่
๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ โดยมีมติใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีท้ังสองไดรับแจงมติดังกลาวตามหนังสือ
ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ แตไมเห็นดวย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ท่ีใหผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการไวกอน เพิกถอน
คําสั่งลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีทั้งสองออกจากราชการ เพิกถอนมติของ

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๕)
ผถู ูกฟองคดที ี่ ๒ โดยอนกุ รรมการ ก.ตร. เกีย่ วกับการอุทธรณในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒
ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีทั้งสอง และใหผูฟองคดีท้ังสองกลับเขารับราชการตํารวจและ
คืนเงินเดือน บําเหน็จ บํานาญ สวัสดิการอื่นใดอันเปนความเสียหายเนื่องจากการออกคําสั่ง
โดยมชิ อบดว ยกฎหมายใหแ กผฟู องคดที งั้ สอง

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีท้ังสองเคยนําประเด็นพิพาทเดียวกันกับ
คดีน้ีมาฟองตอศาลปกครองช้ันตน ขอใหยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ และคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ซ่ึงศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ และศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา วันท่ีผูฟองคดีทั้งสองย่ืนฟองคดีตอศาลปกครองชั้นตน
ยังไมครบกําหนดเวลาที่ ก.ตร. จะตองพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสองใหแลวเสร็จ จึงถือวา
ผูฟองคดีท้ังสองยังไมไดดําเนินการตามข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับแกไขความเดือดรอนหรือเสียหาย
กอนนําคดีมาฟองตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลปกครองสูงสุด
จึงไดมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นตน ตอมาผูฟองคดีทั้งสองจึงไดนําคดีมาฟอง
ตอศาลปกครองช้ันตน อีกคร้ัง เปนคดีนี้โดยศาลปกครองชั้นตนไดมีคําสั่งไมรับคําฟองตามคําขอทาย
คําฟอ งที่ขอใหเพกิ ถอนคาํ สั่งลงวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ใหผูฟองคดีทั้งสองออกจากราชการไวกอน
ตั้งแตวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เปนตนไป และท่ีขอใหผูฟองคดีท้ังสองกลับเขารับราชการตํารวจ
และคืนเงินเดือน บําเหน็จ บํานาญและสวัสดิการอ่ืนใดอันเปนความเสียหายเน่ืองจากการออกคําส่ัง
โดยไมชอบดวยกฎหมายใหแกผูฟองคดีท้ังสอง และในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และในสวนที่ฟอง
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) ไวพิจารณา ผูฟองคดีท้ังสองจึงไดอุทธรณเปนคดีนี้
เพ่ือขอใหศาลปกครองสูงสุดมีคําส่ังใหรับคําฟองของผูฟองคดีทั้งสองในสวนดังกลาวไวพิจารณา
โดยท่ีคดีน้ีและคดีกอนน้ัน มีประเด็นพิพาทแหงคดีอยางเดียวกัน อีกท้ังคําขอหลักเพ่ือใหศาล
ออกคําบังคบั กเ็ ปน เปนคาํ ขอเดียวกนั แมจะมกี ารเปลยี่ นตวั ผถู กู ฟอ งคดีบางรายและเพิ่มเติมคําขอทาย
คําฟองบางขอใหแตกตางไปจากคดีกอนบาง โดยในคดีกอน ผูฟองคดีทั้งสองอุทธรณเฉพาะประเด็น
ทีเ่ กี่ยวกบั คาํ สง่ั ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ทล่ี งโทษไลออกจากราชการ เทา น้ัน ซงึ่ ศาลปกครองสูงสุด
ไดพิจารณาไดพิจารณาแลวเห็นวา การที่ผูฟองคดีท้ังสองไดมีหนังสือลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑
ถึงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติถือไดวาไดยื่นอุทธรณผานผูบังคับบัญชาแลว แตยังไมครบกําหนดเวลา
ทผ่ี ูถ กู ฟอ งคดที ่ี ๒ จะตอ งพจิ ารณาอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสองใหแลวเสร็จ กรณีจึงถือวาผูฟองคดีท้ังสอง
ยังไมไดดําเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายกอนนําคดีมาฟอง
ตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จดั ตัง้ ศาลปกครองฯ ดังน้ัน ในประเด็นท่ีฟองขอให
เพกิ ถอนคําสัง่ ลงวนั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ นั้น ยอมไมเปนการตัดสิทธิผูฟองคดีท้ังสองท่ีจะนําคดี
มาฟองใหมภ ายในระยะเวลาการฟอ งคดี หากปรากฏวา ในเวลาตอ มาผฟู องคดที ั้งสองไดดําเนินการ
ตามขั้นตอนหรือวิธีการตามท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว เม่ือผูฟองคดีท้ังสองไดนําคดีมาฟองใหม
เพอื่ ขอใหศาลพพิ ากษาเพิกถอนคําสัง่ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ภายหลังจากท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
พิจารณาอุทธรณแลวเสร็จ กรณีดังกลาวยอมไมถือวาเปนฟองซ้ําตามขอ ๙๗ แหงระเบียบของ
ท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ แตอยางไรก็ตาม ในประเด็นที่

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๖)
ผูฟองคดีท้ังสองฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ใหผูฟองคดีทั้งสอง
ออกจากราชการไวกอน น้ัน เม่ือศาลปกครองชั้นตนไดมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและ
ผูฟองคดีทั้งสองไมไดย่ืนอุทธรณในประเด็นดังกลาว ตอมาศาลปกครองสูงสุดไดมีคําส่ังยืน
ตามคาํ สง่ั ของศาลปกครองชั้นตน จึงถือวาคดีถึงที่สุดแลวตามมาตรา ๗๓ วรรคสี่ แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ดังน้ัน การที่ผูฟองคดีทั้งสองไดนําคดีนี้มาฟอง โดยมีการกระทําอันเปนเหตุแหงการฟองคดี
และคําขอเชนเดียวกันกับคดีกอนที่ศาลปกครองสูงสุดไดมีคําส่ังชี้ขาดคดีถึงท่ีสุดแลว มาร้ือรอง
เปนคดีอีกในประเด็นท่ีไดมีการวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน จึงเปนกรณีท่ีคูกรณีเดียวกัน
ยื่นฟองกันอีกในประเด็นที่ศาลไดมีคําสั่งช้ีขาดถึงท่ีสุดแลวโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน แมจะมีการเปล่ียน
ผูถกู ฟอ งคดบี างรายและเพ่ิมเตมิ คาํ ขอทายคําฟองบางขอใหแ ตกตา งไปจากคดกี อนก็ตาม แตประเด็นหลัก
ที่พิพาทเปนเร่ืองเดียวกัน อันเปนการฟองซํ้าตามขอ ๙๗ แหงระเบียบดังกลาว สําหรับประเด็น
คําขอตามคําขอทายฟองที่ขอใหผูฟองคดีทั้งสองกลับเขารับราชการตํารวจและคืนเงินเดือน
บําเหน็จ บํานาญและสวัสดิการอ่ืนใดอันเปนความเสียหายเนื่องจากการออกคําสั่งโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายใหแกผูฟองคดีทั้งสอง และในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ นั้น เห็นวา หากคดีนี้ศาล
มีคาํ พพิ ากษาใหเพิกถอนคําสง่ั ลงโทษไลผูฟ องคดีทั้งสองออกจากราชการ เปนกรณีท่ีกฎหมายและ
หลักเกณฑที่เก่ียวของท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีหนาท่ีจะตองดําเนินการอยูแลวจึงเปนกรณีท่ีการแกไข
หรือบรรเทาความเดอื ดรอ นหรือความเสียหายดงั กลา วศาลไมจาํ ตองกาํ หนดคาํ บังคับใหตามมาตรา ๗๒
วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคหน่ึงแหงพระราชบัญญัติขางตน และเม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนเพียงเปนหนวยงานตนสังกัด
ของผูฟ อ งคดีทง้ั สอง แมจ ะมหี นา ทีค่ วบคมุ และกํากบั การปฏบิ ัตงิ านของขาราชการตาํ รวจ แตก็ไมป รากฏ
ขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดกระทําการอยางใดๆ อันเปนเหตุใหผูฟองคดีท้ังสองไดรับความเดือดรอน
หรอื เสียหาย ในอนั ที่จะตองรับผดิ ตอผูฟองคดที ้ังสอง ผฟู องคดีท้ังสองจึงไมเปนผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสยี หายท่ีจะมสี ทิ ธิฟอ งคดีตอ ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองตามคําขอทายคําฟองท่ีขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ลงวนั ที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ท่ีใหผูฟองคดีท้ังสองออกจากราชการไวกอน ต้ังแตวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙
เปนตนไป และคําขอทายคําฟองที่ขอใหผูฟองคดีท้ังสองกลับเขารับราชการตํารวจและคืนเงินเดือน
บําเหน็จ บํานาญและสวัสดิการอื่นใดอันเปนความเสียหายเน่ืองจากการออกคําส่ังโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายใหแกผูฟองคดีทั้งสอง และในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑ และในสวนที่ฟอง
ผูถ ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ไวพจิ ารณา น้ัน ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดว ย

จึงมีคาํ สั่งยืน

คําสั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ คบ.๑๑๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงรองปลัดองคการบริหาร

สวนตําบล สังกัดองคการบริหารสวนตําบลเวียงเหนือ อําเภอกันทรลักษ จังหวัดศรีสะเกษ ไดรับ
ความเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกองคการบริหารสวนตําบลเวียงเหนือ) มีคําสั่งลงวันท่ี

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๗)
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี ๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามมติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ) ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยมีมูลกรณีสืบเนื่องมาจากผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกันและ
ปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ช้ีมูลความผิดวา ผูฟองคดีทุจริตตอหนาที่ราชการ ปฏิบัติหนาท่ี
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบาย
ของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และกระทําการอันไดชื่อวาเปน
ผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๓ ขอ ๖ และขอ ๑๙ ของประกาศคณะกรรมการพนักงาน
สวนตําบลจังหวัดศรีสะเกษ เรื่อง หลักเกณฑและเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย
การใหออกจากราชการ การอุทธรณ และการรองทุกข ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๕ ผูฟองคดีเห็นวา
คาํ สงั่ ลงโทษไลผฟู อ งคดอี อกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งใหเพิกถอนคําสั่งองคการบริหารสวนตําบลเวียงเหนือ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเม่ือวันที่
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ที่มมี ตใิ หลงโทษไลผูฟองคดอี อกจากราชการ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีผูฟองคดีฟองคดีตอศาลรวม ๒ ขอหา ดังนี้
ขอหาที่หน่ึง ฟองวา การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เปนการกระทําท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาว และขอหาท่ีสอง
ฟองวา การท่ผี ูถ กู ฟอ งคดีท่ี ๒ มีมติในการประชมุ เมือ่ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ใหลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เปนการกระทําท่ีไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหเพิกถอนมติดังกลาว น้ัน โดยใน
ขอหาท่ีสองน้ี แมในการดําเนินการทางวินัยแกขาราชการในองคการบริหารสวนตําบล จะกําหนดให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีสวนในการพิจารณาใหความเห็นชอบในการลงโทษทางวินัยกอนท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ซ่ึงเปนผูมีอํานาจในการออกคําส่ังจะออกคําสั่งลงโทษทางวินัยก็ตาม แตก็มิไดใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มีอํานาจในการสั่งการแตอยางใด ดังน้ัน มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๖๒ ที่ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนเพียงการกระทําภายในหนวยงาน
กอนจะมีคําส่ังทางปกครอง ซึ่งเปนเพียงขั้นตอนในการเตรียมการ และดําเนินการของเจาหนาที่
เพ่ือจัดใหมีคําส่ังทางปกครอง ถือเปนการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ลําพังมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ หากจะมีผลกอนิติสัมพันธก็เปน
ความสัมพันธภายในระหวางผูถูกฟองคดีท่ี ๒ กับผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เทาน้ัน หามีผลทางกฎหมาย
ออกสภู ายนอกไปกระทบกระเทือนตอสิทธิหรือหนา ทข่ี องผูฟ องคดี หรือกอความเดอื ดรอ นหรอื เสยี หาย
หรืออาจจะกอความเดือดรอนหรือเสียหายโดยตรงแกผูฟองคดีแตอยางใดไม คงมีแตเฉพาะคําส่ัง
ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําส่ังลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เทานั้นที่มผี ลทางกฎหมายกระทบกระเทือนตอสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๖๒ ที่ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟองของผูฟองคดีขอหาที่สองและ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๘)
ในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไวพิจารณา คงใหรับเฉพาะคําฟองขอหาที่หนึ่งไวพิจารณา น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดเห็นพองดวย

จึงมคี ําส่ังยืนตามคาํ สั่งของศาลปกครองชน้ั ตน

คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คบ.๑๑๙/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดฟี อ งวา มลู คดสี บื เน่ืองจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกัน

และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดรับเรื่องกลาวหานาย ช. เม่ือคร้ังดํารงตําแหนงนายก
องคการบริหารสวนตําบลทาขอนยาง กับพวกรวม ๑๑ คน วากระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการ กรณีการจัดซ้ือรถยนตบรรทุกขยะมูลฝอย
ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ มอบหมายใหองคคณะพนักงานไตสวนดําเนินการไตสวนขอเท็จจริง และไดพิจารณา
สํานวนการไตสวนขอเท็จจริงเรื่องดังกลาว และมีมติวา การกระทําของผูฟองคดีขณะดํารงตําแหนง
ปลัดองคการบริหารสวนตําบลทาขอนยางมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริต
ตอหนาที่ราชการ ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มตคิ ณะรัฐมนตรีหรอื นโยบายของรฐั บาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และฐาน
ประพฤตชิ ว่ั อยางรายแรงตามประกาศคณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดมหาสารคาม เรื่อง
หลักเกณฑและเง่ือนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การใหออกจากราชการ การอุทธรณ
และการรองทุกข ลงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๔ ขอ ๓ วรรคสาม ขอ ๖ วรรคสอง และขอ ๑๙
วรรคสอง และมีมูลความผิดทางอาญา จากน้ันผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีหนังสือสงสําเนารายงานการไตสวน
ขอเทจ็ จริงพรอ มเอกสารประกอบและมติดังกลาวไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกเทศมนตรีตําบลทาขอนยาง)
เพอื่ พิจารณาลงโทษทางวินยั แกผ ูฟ องคดี ตอมา ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานเทศบาล
จังหวัดมหาสารคาม) มีมติในการประชุมเม่ือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ เห็นชอบใหลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการและผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ ลงโทษ
ไลผ ฟู องคดอี อกจากราชการ ผฟู อ งคดเี หน็ วา คําสง่ั และมตขิ องผูถกู ฟองคดีทง้ั สามไมช อบดวยกฎหมาย
จึงนาํ คดีมาฟองขอใหศ าลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ที่ช้ีมูลความผิด
ทางวนิ ัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี ตามหนังสือลงวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ในการประชุมเม่อื วนั ท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ ที่พิจารณาเห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และเพกิ ถอนคาํ สง่ั ของผถู ูกฟองคดที ่ี ๑ ตามคําสง่ั ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีอํานาจโดยตรงในการกําหนด
หลักเกณฑและเงื่อนไขในการคัดเลือก การบรรจุและแตงต้ังพนักงานเทศบาลของแตละเทศบาล
ที่อยูในเขตจังหวัดของตน รวมทั้งใหความเห็นชอบในการออกคําสั่งแตงต้ังและการใหพนักงานเทศบาล
พนจากตาํ แหนง ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๑๕ วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา ๒๕ แหง พ.ร.บ.
ระเบียบบริหารงานบุคคลสวนทอ งถน่ิ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเมอ่ื ผถู ูกฟองคดีที่ ๒ มีมติกรณีพนักงานเทศบาล
ผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง สมควรลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการเปนประการใด

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๔๙)
ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ส่ังหรือปฏิบัติไปตามนั้น ท้ังนี้ ตามขอ ๘๕ วรรคหนึ่ง ของประกาศคณะกรรมการ
พนกั งานเทศบาลจงั หวัดมหาสารคาม เรอ่ื ง หลกั เกณฑแ ละเง่อื นไขเก่ียวกับวินัยและการรักษาวินัย
และการดําเนินการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๙ ก็ตาม แตเมื่อตามนัย
ของบทบัญญัติดังกลาว กําหนดใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนผูมีอํานาจออกคําส่ังลงโทษทางวินัยผูฟองคดี
โดยไดรับความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีเห็นชอบใหลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการมิไดมีผลเปนการสรางนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคลในอันท่ีจะกอ
เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี
ไมวาจะเปนการถาวร หรือเปนการช่ัวคราว การกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมใชคําสั่งทางปกครอง
หากแตเปนเพียงการพิจารณาทางปกครองตามนัยมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ หาไดมีผลทางกฎหมายออกไปกระทบกระเทือนตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ี
ของผูฟองคดี อันจะทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรอื เสยี หายโดยมอิ าจหลกี เล่ยี งไดที่สามารถนําคดมี าฟองตอศาลปกครองไดตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองในขอหาท่ีฟองวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ เห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยไมชอบดวยกฎหมาย และขอใหศาลเพิกถอนมติดังกลาวไวพิจารณา
ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพองดวย

จึงมคี ําสง่ั ยนื ตามคาํ สง่ั ของศาลปกครองชน้ั ตน

คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๒๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงปลัดองคการ

บริหารสวนตําบล สังกัดองคการบริหารสวนตําบลยางสีสุราช อําเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (นายกองคการบริหารสวนตําบล
ยางสีสุราช) มีคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดมหาสารคาม) ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑
กรกฎาคม ๒๕๖๑ และมติชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๔ (คณะกรรมการปองกันและปราบปราม
การทุจริตแหงชาติ) ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
เมื่อวันท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ สืบเน่ืองมาจากมีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีท่ี ๔ วามีการทุจริต
ในการดําเนินการสอบแขงขันเพื่อบรรจุแตงตั้งบุคคลเปนพนักงานสวนตําบลขององคการบริหาร
สวนตําบล ประจําป พ.ศ. ๒๕๕๗ ในพ้ืนที่จังหวัดมหาสารคาม ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งและมติดังกลาว
ไมชอบดวยกฎหมาย ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (องคการบริหารสวนตําบลยางสีสุราช) ในฐานะหนวยงาน
ตนสังกัดของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองรับผิดชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีตามมาตรา ๘ ประกอบ
มาตรา ๑๐ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนรายงานการประชุมและมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุม

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๐)
เม่ือวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ชําระเงินเดือน เงินประจําตําแหนง
เงินเพ่ิมประจําตําแหนง คาเชาบาน นับถัดจากวันที่มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ถึงวันฟองคดี รวมเปนเงินจํานวน ๑๕๔,๑๑๒ บาท และเงินเดือนเดือนละ ๕๓,๗๖๐ บาท
พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับถัดจากวันฟองคดีเปนตนไปจนกวาจะมีคําส่ังให
ผูฟองคดีกลับเขารับราชการ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ สั่งเล่ือนเงินเดือนใหแกผูฟองคดีทุกรอบ
ท่ีมีการเลื่อนเงินเดือนประจําป นับจากวันที่มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการจนถึง
วันที่มีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ (รอบวันท่ี ๑ เมษายน และวันที่ ๑ ตุลาคม ของทุกป)
รวมท้ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เม่ือวันที่ ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเมื่อวันท่ี ๑๓ มนี าคม ๒๕๖๑

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการซ่ึงเปนการใหพนจากตําแหนงจะตองไดรับความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีที่ ๓ กอน
ตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๒๕ วรรคเจ็ด แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารงานบุคคลสวนทองถิ่น
พ.ศ. ๒๕๔๒ แตมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ท่ีเห็นชอบ
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เปนเพียงการเตรียมการและการดําเนินการของเจาหนาท่ี
เพื่อจัดใหมีคําสั่งลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดีซ่ึงเปนคําสั่งทางปกครอง อันเปนการพิจารณา
ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หากจะมีผล
ก็มีผลผูกพันเฉพาะผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีจะตองปฏิบัติตามเทานั้น มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดังกลาว
ยังมิไดมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีแตอยางใด และแมวา
ทายที่สุดผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
โดยอาศัยมติเห็นชอบของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดังกลาวก็ตาม ความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดี
ก็เกิดจากคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการอันเปนผลสุดทายของการพิจารณาทางปกครอง
มิไดเกิดจากมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ผูฟองคดีจึงมิใชผูมีสิทธิฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอน
มตขิ องผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชมุ เมอื่ วันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ท่ีเห็นชอบใหล งโทษไลผ ฟู องคดี
ออกจากราชการ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองชั้นตน
มีคําส่ังไมรับคําฟองในขอหาท่ีฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๑ เห็นชอบใหล งโทษไลผ ูฟอ งคดีออกจากราชการ โดยไมช อบดว ยกฎหมาย และขอใหศ าลเพิกถอน
มตดิ ังกลาวไวพ จิ ารณา น้นั ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พอ งดว ย

จึงมีคําสัง่ ยนื ตามคาํ สง่ั ของศาลปกครองชัน้ ตน

คําสัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ.๑๕๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงรองปลัด

องคการบริหารสวนตําบล สังกัดองคการบริหารสวนตําบลยางสีสุราช อําเภอยางสีสุราช
จังหวัดมหาสารคาม ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ (นายกองคการ
บรหิ ารสวนตาํ บลยางสสี ุราช) มีคาํ สง่ั ลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๑)
ตามมติผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดมหาสารคาม) ในการประชุม
เม่ือวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และมติช้ีมูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (คณะกรรมการปองกัน
และปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เมื่อวันท่ี ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ มูลกรณีสืบเนื่องมาจากมีผูกลาวหารองเรียน
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๔ วามีการทุจริตในการดําเนินการสอบแขงขันเพื่อบรรจุและแตงต้ังบุคคลเปน
พนักงานสวนตําบลขององคการบริหารสวนตําบลประจําป พ.ศ. ๒๕๕๗ ในพ้ืนที่จังหวัดมหาสารคาม
ผฟู องคดีเหน็ วา คาํ สง่ั และมติดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย ทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหายตอง
ออกจากการรับราชการและไมไดรับเงินเดือนๆ ละ ๓๐,๗๙๐ บาท เงินประจําตําแหนงเดือนละ
๓,๕๐๐ บาท นบั ถัดจากวันทีม่ คี ําสง่ั ลงโทษไลผ ูฟองคดอี อกจากราชการเปนตนไป อันเปนการทําละเมิด
ตอผูฟองคดี จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งองคการบริหาร
สวนตําบลยางสีสุราช ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนรายงานการประชุมและมติของผถู กู ฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ชําระเงินเดือนๆ ละ ๓๐,๗๙๐ บาท เงินประจําตําแหนง
เดือนละ ๓,๕๐๐ บาท รวมเปนเงินเดือนละ ๓๔,๒๙๐ บาท นับถัดจากวันที่มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการถงึ วันฟอ งคดี รวมเปนเงนิ จาํ นวน ๙๘,๒๙๘ บาท และชําระเงินเดือนๆ ละ ๓๐,๗๙๐ บาท
เงินประจําตําแหนงเดือนละ ๓,๕๐๐ บาท รวมเปนเงินเดือนละ ๓๔,๒๙๐ บาท พรอมดอกเบ้ีย
ในอัตรารอ ยละ ๗.๕ ตอป นบั ถัดจากวนั ฟอ งคดีเปนตนไปจนกวา จะมคี าํ สัง่ ใหผ ฟู อ งคดีกลับเขารับราชการ
ใหผ ถู กู ฟองคดที ี่ ๑ สั่งเลอ่ื นเงนิ เดอื นใหแกผ ูฟองคดที ุกรอบท่ีมีการเล่ือนเงินเดือนประจําป นับถัดจาก
วันที่มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการจนถึงวันที่มีคําส่ังใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
(รอบวนั ที่ ๑ เมษายน และวันท่ี ๑ ตุลาคม ของทุกป) เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ในการประชุม
เม่ือวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เม่ือวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เม่ือวันท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑
ศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองในขอหาท่ีฟองวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีมติเมื่อวันท่ี
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยไมชอบดวยกฎหมาย
และขอใหศาลเพิกถอนมติดังกลาวไวพิจารณา ผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งไมรับคําฟองบางขอหา
ไวพจิ ารณา

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการซ่ึงเปนการใหพนจากตําแหนงจะตองไดรับความเห็นชอบจากผูถูกฟองคดีท่ี ๓
กอ นตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๒๕ วรรคเจ็ด แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารงานบุคคลสวนทองถ่ิน
พ.ศ. ๒๕๔๒ แตมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่เห็นชอบ
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เปนเพียงการเตรียมการและการดําเนินการของเจาหนาที่
เพอื่ จัดใหมีคําสั่งลงโทษทางวินยั แกผฟู อ งคดซี ่งึ เปน คาํ สงั่ ทางปกครอง อนั เปนการพิจารณาทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หากจะมีผลก็มีผลผูกพัน
เฉพาะผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะตองปฏิบัติตามเทาน้ัน มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดังกลาว ยังมิไดมี
ผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีแตอยางใด และแมวาตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๒

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๒)
ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยอาศัยมติของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ดังกลาวก็ตาม ความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดีก็เกิดจากคําส่ัง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการอันเปนผลสุดทายของการพิจารณาทางปกครอง อุทธรณของ
ผูฟองคดีที่วา มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เปนคําสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบตอสิทธิของผูฟองคดี
จึงไมอาจรับฟงได ผูฟองคดีจึงมิใชผูมีสิทธิฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓
ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ท่ีเห็นชอบใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนง่ึ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟอง
ในขอหาที่ฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติในการประชุมเมื่อวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เห็นชอบให
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยไมชอบดวยกฎหมาย และขอใหศาลเพิกถอนมติดังกลาว
ไวพ จิ ารณา นนั้ ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พอ งดวย

จงึ มคี าํ ส่ังยืนตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้นั ตน

คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คบ. ๑๖๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟอ งวา ผูฟ องคดไี ดรบั ความเดือดรอ นหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒

(ศึกษาธิการจังหวัดสุโขทัย) ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ เน่ืองจากผูถูกฟองคดีที่ ๘ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ)
ไดชี้มูลวาผูฟองคดีไดกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งดังกลาวไมชอบ
ดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งดังกลาว หรือหากศาลเห็นวา
ผูฟองคดีมีความผิดวินัยฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๘ ช้ีมูล ก็ขอให
ศาลพิพากษาลดโทษจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ และหากศาลไดเพิกถอนคําส่ัง
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ีผูฟองคดีถูกไลออกจากราชการ หรือศาล
ลดโทษจากไลออกเปนปลดออกก็ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ถึงที่ ๗ (คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด
สโุ ขทัย ที่ ๑ คณะกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ ๓ สํานักงานศึกษาธิการ
จังหวัดสุโขทัย ท่ี ๔ สํานักงานคณะกรรมการขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ ๕
สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ท่ี ๖ กรมบัญชีกลาง ที่ ๗) รวมกันหรือแทนกันชดใช
คาเสียหายซ่ึงเปนเงินบํานาญท่ีผูฟองคดีควรไดรับระหวางการพิจารณาคดีประมาณ ๔๐ เดือน
เปนเงนิ เดอื นละ ๕๑,๓๕๕.๗๓ บาท รวมเปน เงนิ ทัง้ สนิ้ ๒,๐๕๔,๒๒๙ บาท

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีไลผูฟองคดี
ออกจากราชการจะมีผลผูกพันใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองออกคําส่ังไลผูฟองคดีออกจากราชการก็ตาม
แตความเดือดรอนหรือเสียหายที่ผูฟองคดีไดรับเปนผลโดยตรงจากคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒
ดังน้ัน จึงไมมีเหตุผลหรือความจําเปนที่ศาลจะตองรับคําฟองในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไวพิจารณา นอกจากน้ี ผูฟองคดีไดมีคําขอเพ่ิมเติมมาในอุทธรณโดยขอใหศาลเพิกถอนมติของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีไลผูฟองคดีออกจากราชการ คําขอน้ีเปนขอเท็จจริงท่ีมิไดยกขึ้นวากันมาแลว
โดยชอบในศาลปกครองชั้นตน และก็มิใชเปนปญหาอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version