(๒๕๓)
จึงยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ มีมติลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในการประชุมเมื่อวนั ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยการลงมติดังกลาวมีคณะกรรมการในการประชุม
ลงมติไมถงึ กง่ึ หน่งึ จึงไมชอบดว ยกฎหมาย เมื่อผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ อาศัยมติ อ.ก.พ. กรมราชทณั ฑ ดงั กลาว
มีคําสั่งลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ ไลผูฟองคดีออกจากราชการตั้งแตวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒
จึงเปนคําสั่งไมชอบดวยกฎหมาย ตอมา ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ อ.ก.พ.
กรมราชทัณฑไดประชุมและมีมติใหมในเรื่องดังกลาว ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
หลังจากน้ันผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ใหยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี
๔ กันยายน ๒๕๕๒ และใหลงโทษผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒
ซ่ึงเปนคําสั่งลงโทษใหมีผลยอนหลัง จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ผูฟองคดีเห็นวา ผูฟองคดี
เปนเพียงผูรับฝากเงินคาซื้อทองคําจากเพื่อนขาราชการและผูเสียหายคนอ่ืนพรอมทั้งเงินของ
ผูฟองคดีเองแลวนําไปมอบใหกับนาง อ. กับพวก ตามท่ีเพ่ือนขาราชการผูเสียหายไดโทรศัพท
ติดตอกับนาง อ. กับพวกไวลวงหนา หลังจากผูฟองคดีมอบเงินใหนาง อ. กับพวกแลว
เพื่อนขาราชการผูเสียหายก็จะโทรไปสอบถามนาง อ. กับพวกวาไดรับเงินฝากซื้อทองของตนจาก
ผูฟองคดีครบถวนหรือไม ผูฟองคดีไมมีเจตนาหลอกลวงเพื่อนขาราชการใหหลงเช่ือและฝากตน
ซื้อทองคําติดตอกันหลายคร้ัง อันมีพฤติการณเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานไมรักษา
ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์ของตําแหนงขาราชการของตน กระทําตนไดชื่อวาประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามที่ถูกกลาวหาแตอยางใด หลังจากผูฟองคดีถูกไลออกจากราชการแลว ผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณ
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ขอใหมีคําส่ังยกเลิกเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาแลวเห็นวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการโดยไมจําเปนตองรอผลของคดีอาญา ผูฟองคดีเห็นวากรณีดังกลาวถือเปน
การเลือกปฏิบัติโดยไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
เพิกถอนคําสง่ั ลงวันที่ ๔ กนั ยายน ๒๕๕๒ และคาํ สง่ั ลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ รับผูฟองคดีกลับไปรับราชการในตําแหนง
เดิมหลังจากศาลมีคําพิพากษา เห็นวา การที่ผูฟองคดีชักชวนใหขาราชการทัณฑสถานหญิงกลาง
สั่งซื้อทองคําในราคาท่ีต่ํากวาทองตลาดมาเพ่ือเปนการเก็งกําไรเกินปกติ นั้น การแสดงขอความ
อันเปนเท็จดังกลาวเร่ิมตนมาจากนาง ร. และนาง ส. ไดรวมมือกับนาง อ. ซ่ึงเปนอดีตผูตองขัง
ที่ถูกลงโทษในขอหาท่ีมีลักษณะเชนเดียวกันนี้ จนกระทั่งเริ่มมีปญหาในการสงมอบทองคําใหกับ
ผูฝากซ้ือ ผูอํานวยการทัณฑสถานหญิงกลางจึงมีคําส่ังหามซ้ือขายทองคําภายในทัณฑสถานหญิงกลาง
เพ่ือเปนการปองปรามมิใหขาราชการทัณฑสถานหญิงกลาง ใชสถานท่ีราชการกระทําการใดๆ
แสวงหาประโยชนโดยมิชอบอันอาจไดรับโทษท้ังทางวินัยและทางอาญา และเปนการเส่ือมเสีย
แกราชการของผูถูกฟองคดีที่ ๑ เม่ือผูฟองคดีเปนขาราชการ ตําแหนง นักวิชาการอบรมและ
ฝกวิชาชีพ ๖ว สังกัดทัณฑสถานหญิงกลาง ยอมท่ีจะตองทราบถึงปญหาท่ีเกิดข้ึนภายใน
ทัณฑสถานหญิงกลางซึ่งเปนสถานท่ีงานของตนเอง รวมถึงคําส่ังของผูบังคับบัญชาที่หามซื้อขาย
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๕๔)
ทองคําภายในทัณฑสถานหญิงกลาง และผูฟองคดีสมควรที่จะตองปฏิบัติตามคําสั่งโดยไมเขาไป
เก่ียวของกับการซ้ือขายทองคําดังกลาว แตผูฟองคดีกลับไปพูดชักชวนใหขาราชการทัณฑสถานหญิงกลาง
เช่ือวายังสามารถซ้ือทองคําผานตนเองได โดยอางวารูจักกับนาง ร. ซ่ึงเปนหุนสวนรายใหญ
รานทอง จ. มีเจาของเปนนายกสมาคมทองคําแหงประเทศไทย ทําใหไดสิทธิในการส่ังซ้ือทองได
ในราคาบาทละ ๗,๕๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท และยังอางวานาง ร. มีฐานะดี ทํางานท่ีศาลแขวง
พระนครเหนือ จึงนาเช่ือถือ ซ่ึงการพูดขอความดังกลาวเปนการยืนยันวา ขาราชการกรมราชทัณฑ
ยังสามารถซื้อทองคําไดในราคาถูก ทั้งที่ในเวลาน้ันการซ้ือขายทองคําของนาง ร. กับพวก
เริ่มมีปญหาการสงมอบแลว การแสดงขอความดังกลาวจึงเปนแสดงขอความอันเปนเท็จ
แตเมื่อผูเสียหายที่ฝากผูฟองคดีซื้อทองคําตางใหการตอคณะกรรมการสอบสวนตรงกันวา ไดฝาก
ผูฟองคดีซ้ือทองคําเน่ืองจากเช่ือวาสามารถซื้อทองคําไดในราคาถูกเพราะการรูจักกับหุนสวนรานทอง
โดยไดนัดพบกับผูฟองคดีหรือจาสิบเอก ว. สามีของผูฟองคดีในสถานที่ตางๆ เพ่ือสงมอบเงิน
คาทองคาํ แตเ มอ่ื ถงึ กาํ หนดเวลาสง มอบทองคํา ผูฟองคดีกลบั ไมไ ดนําทองคํามามอบใหแตอยางใด
โดยอางวาไดมอบเงินใหกับนาง ร. ไปแลว แตนาง ร. ยังไมไดสงมอบทองคํามาให นอกจากน้ี
นาง ส. พยานและผูเสียหาย ไดเดินทางไปศาลอาญาในคดีที่มีการฟองนาง ส. และนาง ร.
เปนจําเลย และไดพบกับนาง ร. จึงสอบถามเกี่ยวกับเงินฝากซื้อทองคํา ซึ่งนาง ร. ปฏิเสธวา
ไมเคยไดรับเงินจากผูฟองคดี ผูเสียหายไดเรียกใหผูฟองคดีมายืนยันตอหนานาง ร. แตผูฟองคดี
กลับเดินไปรับโทรศัพทแลวเดินหายไป โดยอางในภายหลังวารีบกลับมาทํางานและหากอยูพูดจากัน
ตอไปอาจระงับอารมณไมอยูเพราะนาง ร. ไดใหการวาไมรูจักและไมเคยรับเงินจากผูฟองคดี น้ัน
เห็นวา ผูฟองคดีไดใหการตอคณะกรรมการสอบสวนวา นอกจากที่ไดรับฝากเงินจากผูเสียหาย
เพ่ือนําไปใหนาง ร. ซื้อทองคําแลว ผูฟองคดียังเปนผูเสียหายจากการฝากนาง ร. ซ้ือทองคําดวย
แตเม่ือผูฟองคดีไดพบนาง ร. ที่ศาลอาญา ผูฟองคดีกลับไมเดินเขาไปสอบถามนาง ร. เร่ืองเงิน
คาทองคําของตนและของผูเสียหายอื่นท่ีตนรับฝาก ซึ่งผิดวิสัยของผูซึ่งตองการติดตามทวงเงิน
จากบุคคลอื่นใหชําระหนี้คืนเงินแกตน อันเปนขอพิรุธสงสัยไดวาผูฟองคดีไมไดนําเงินรับฝากไป
ฝากซือ้ ทองคํา นอกจากนี้ พยานบุคคล ไดแก สามีและบุตรสาว ท่ีผูฟองคดีอางวารูเห็นเหตุการณ
การนัดพบกันระหวางผูฟองคดีกับกลุมของนาง ร. ก็เปนบุคคลใกลชิดกับผูฟองคดี อีกท้ังสามี
ของผูฟองคดีเองก็ถูกดําเนินคดีอาญาในขอหารวมกับผูฟองคดีฉอโกงผูอ่ืน จึงมีนํ้าหนักฟงไดนอย
ขออางของผูฟองคดีวา ไดรับฝากเงินผูเสียหายและนําเงินท้ังหมดไปฝากใหนาง ร. กับพวก
ซ้ือทองคําแลว จึงฟงไมข้ึน เม่ือผูฟองคดีเปนขาราชการสังกัดกรมราชทัณฑ แตกลับมีพฤติการณ
ที่แสวงหาประโยชนจากการแสดงขอความอันเปนเท็จวาสามารถซ้ือทองคําไดในราคาถูกท้ังที่
ในเวลาน้ันการซ้ือขายทองคําของนาง ร. กับพวกเริ่มมีปญหาการสงมอบแลว อีกท้ัง
เมื่อผูอํานวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาชั้นตนของผูฟองคดีไดมีคําส่ังหาม
มิใหมีการซ้ือขายทองคําในสถานท่ีราชการ ผูฟองคดีก็หลีกเล่ียงคําสั่งดังกลาวโดยการนัดหมาย
ผูเสียหายไปรับฝากเงินซื้อทองคําในสถานที่ตางๆ นอกสถานที่ราชการ การกระทําของผูฟองคดี
ดงั กลาวมคี วามเช่ือมโยงกับอดตี ผูต องขงั ท่กี ระทาํ ผิดอาญาลกั ษณะเดยี วกนั และเมื่อมีการทวงถาม
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๕๕)
ถึงเงินรับฝากซื้อทองคํา ผูฟองคดีกลับบายเบ่ียงวาไดมอบเงินดังกลาวใหกับนาง ร. นาง อ. หรือ
นาง ส. โดยไมไดแสดงความกระตือรือรนติดตามเงินคืนจากบุคคลตางๆ เพื่อแสดงใหเห็นถึง
ความบริสุทธ์ิใจของผูฟองคดีวาเปนเพียงผูรับฝากเงินเทาน้ัน การกระทําของผูฟองคดีเปนผล
ใหตองถูกดําเนินคดีอาญาในขอหาฉอโกง กรณีจึงถือวาผูฟองคดีไดกระทําการอันมีพฤติการณ
ไมรักษาช่ือเสียงของตน และไมรักษาเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาที่ราชการของตน และ
ทําใหภารกิจตามอํานาจหนาท่ีตามกฎหมายของกรมราชทัณฑเสียหาย อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตามมติ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ
ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่
๔ กันยายน ๒๕๕๒ จึงเปนการลงโทษตามความรายแรงแหงกรณีและชอบดวยกฎหมายแลว
เม่ือฟงเปนท่ียุติไดวาคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ชอบดวยกฎหมายแลว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ยกอุทธรณ
ของผูฟ อ งคดี จงึ ชอบดวยกฎหมายเชน กนั
กรณีผูฟองคดีอางวา การลงมติของ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ เมื่อวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ เปนมติที่ไมชอบดวยกฎหมาย น้ัน เมื่อการลงมติดังกลาว
มีอนุกรรมการนอ ยกวากงึ่ หน่งึ ของจํานวนอนุกรรมการทั้งหมด การพิจารณาและลงมติไลผูฟองคดี
ออกจากราชการจงึ ไมช อบดว ยกฎหมาย ตามมาตรา ๗๙ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒
ไลผูฟองคดีออกจากราชการนับแตวันที่ออกคําสั่ง คือ วันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒ ตามมติ อ.ก.พ.
กรมราชทัณฑ เม่ือวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จึงไมชอบดวยกฎหมายดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จึงมีอํานาจตามมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๕๐ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน
ที่จะเพิกถอนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมายดังกลาวได ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ยกเลิกคําส่ังลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ จึงชอบดวยกฎหมายแลว และ
เมอื่ ขอเทจ็ จริงปรากฏวา อ.ก.พ. กรมราชทัณฑไดพิจารณาเร่ืองของผูฟองคดีอีกคร้ังในการประชุม
เม่ือวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ และไดมีมติไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยในการประชุมครั้งน้ี
ไมปรากฏวา มีขอบกพรอ งท่ีจะเปนเหตุใหม ตไิ มช อบดวยกฎหมาย การท่ผี ถู ูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่ง
ไลผ ฟู อ งคดอี อกจากราชการตามมติ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๓
จึงเปนการดําเนินการตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยชอบแลว
สวนกรณีที่ผูฟองคดีอางวา การมีคําส่ังไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยมีผลตั้งแตวันที่
๔ กันยายน ๒๕๕๒ เปนการออกคําสั่งไลออกจากราชการยอนหลัง จึงไมชอบดวยกฎหมาย น้ัน
เห็นวา แมคดีนี้จะรับฟงไดวา คําสั่งลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ ท่ีไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ต้ังแตวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ จะเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมายก็ตาม แตคําส่ังดังกลาว
ก็ยงั มีผลบงั คบั อยูตราบเทา ทีย่ งั ไมมีการเพกิ ถอน ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๕๖)
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือตอมามีเหตุที่จะตองมีคําสั่งไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ใหม ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ก็ชอบที่จะมีคําส่ังยอนหลังไปถึงวันออกจากราชการตามคําส่ังเดิมได
ตามขอ ๖ (๔) ของระเบียบ ก.พ. วาดวยวันออกจากราชการของขาราชการพลเรือนสามัญ
พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ไลผูฟองคดี
ออกจากราชการโดยใหม ผี ลตง้ั แตวันที่ ๔ กันยาน ๒๕๕๒ จงึ ชอบดว ยกฎหมายแลว
สวนที่ผูฟองคดีโตแยงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการโดยไมรอผลคดีอาญา และเม่ือศาลไดมีคําส่ังจําหนายคดีอาญาออกจากสารบบความ
หมดแลว กรณีจึงถือวาผูฟองคดีไมไดกระทําความผิดตามที่ถูกกลาวหา เห็นวา ในการดําเนินคดี
อาญาและการดําเนินการทางวินัย มีข้ันตอนและกระบวนการแตกตางกัน กลาวคือ ในการ
ดําเนินการคดีอาญานั้นมุงประสงคท่ีจะควบคุมการกระทําของบุคคลในสังคมมิใหกระทําการ
ท่ีกฎหมายกําหนดวาเปนความผิดอาญา เพ่ือคุมครองสังคมโดยรวมใหมีความสงบสุข และ
นําผูกระทําผิดมาลงโทษตามกฎหมาย โดยจะตองมีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจงปราศจาก
ขอ สงสัยวา ไดก ระทําความผิดจรงิ แตการดําเนินการทางวนิ ยั นั้น เปนมาตรการเพอื่ มุงทจ่ี ะปองกันและ
ปราบขาราชการที่ฝาฝนขอหามตามกฎหมายและระเบียบ โดยวิธีการลงโทษทางวินัย
ซึ่งผูบังคับบัญชามีดุลพินิจพิจารณาจากหลักฐานและพฤติการณตามที่ปรากฏในสํานวน
การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน ดังน้ัน การดําเนินการทางวินัยขาราชการจึงมิตอง
รอฟงผลในคดีอาญาแตอยางใด
พิพากษายกฟอง
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี ฟ.๒๑/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา ผฟู อ งคดีเปนขาราชการพลเรอื นสามญั ตําแหนงนิติกรชํานาญการพิเศษ
สํานักงานบังคบั คดีจังหวัดสุรินทร สังกัดกรมบังคับคดี เม่ือวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
(อธบิ ดกี รมบงั คับคด)ี มคี ําส่ังลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี กรณีกระทําผิดวินัย
ไมรายแรง ฐานไมใ หความเปน ธรรมแกป ระชาชนผตู ิดตอ ราชการเกี่ยวกับหนาที่ของตน และฐานดูหม่ิน
เหยียดหยาม กดข่ี หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๒ (๘) และมาตรา ๘๓ (๙)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีเม่ือคร้ังผูฟองคดีปฏิบัติหนาท่ีในตําแหนง
ผูอํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดสุรินทร สาขารัตนบุรี มีประกาศเจาพนักงานบังคับคดี
สํานักบังคับคดีจังหวัดสุรินทร สาขารัตนบุรี เรื่อง ประกาศใหมีการขายทอดตลาดทรัพยสิน
ลงวันท่ี ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๒ ขายทอดตลาดท่ีดินตามโฉนดที่ดินเลขท่ี ๑๙๑๒๗ ตําบลไพรขลา
อําเภอชมุ พลบรุ ี จงั หวัดสุรินทร โดยในการขายทอดตลาดมีนาย ห. ลงช่ือเขาสูราคาเพียงรายเดียว
และเสนอราคาสูงสุดเปนเงิน ๓,๐๐๐ บาท โดยโจทกและจําเลยไมไดมาดูแลการขายทอดตลาด
แตอยางใด ทําใหไมสามารถจะคัดคานราคาท่ีมีผูเสนอราคาได เจาพนักงานบังคับคดีเห็นวาราคา
ท่ีเสนอเปนราคาสมควรขายจึงเคาะไมขายใหแกนาย ห. โดยไมขออนุมัติจากผูฟองคดีกอน
ระหวางที่ผูซ้อื ทรพั ยรอรับหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ ผูฟองคดีขอใหเจาพนักงานบังคับคดีเรียกผูซ้ือทรัพย
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๕๗)
เขา พบเพอ่ื ช้ีแจงเหตุผล นาย ห. พรอมกบั นาย ก. ผรู องเรยี น เขา พบผูฟอ งคดี ซ่งึ ผูฟองคดีช้ีแจงให
บุคคลท้ังสองทราบวา เจาพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปในราคาที่ตํ่ากวาหนี้ตามคําพิพากษามาก
และเปนการขายคร้ังแรก ประกอบกับมีผูเสนอราคาเพียงรายเดียว อาจทําใหราชการและคูความ
เสยี หายได และเปนการไมชอบดวยกฎหมาย จากนั้นนาย ก. พูดจาตอบโตเก่ียวกับท่ีดินแปลงดังกลาว
กับผฟู องคดี และแสดงความไมพ อใจจนเกิดการทาทายกัน ผูฟองคดีจึงใหนาย ก. ออกไปจากหอง
แตเ ม่อื ผซู ้ือทรัพยไมยนิ ยอมเพม่ิ ราคาทรัพย ผูฟองคดีจึงลงนามในหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ใหแกผูซื้อทรัพย
โดยไมไดทํารายงานการขายทอดตลาดทรัพยใหมวาไมมีผูเขาสูราคา คณะกรรมการสอบสวนเห็นวา
การที่ผูฟองคดีเรียกผูเสนอราคาสูงสุดมาพบเพ่ือใหเพิ่มราคาสูงขึ้นอันเปนผลดีแกคูความในคดีก็ตาม
แตก็เปนการไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูติดตอราชการอันเกี่ยวกับหนาท่ีของตน เปนการ
กระทําผิดวินัยฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูติดตอราชการอันเก่ียวกับหนาท่ีของตน
ตามมาตรา ๘๒ (๘) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําสง่ั ลงโทษภาคทัณฑผฟู องคดีในความผดิ ฐานฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูติดตอราชการ
เก่ียวกับหนาท่ีของตน และฐานดูหม่ินเหยียดหยาม กดขี่ หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการ
ตามมาตรา ๘๒ (๘) และมาตรา ๘๓ (๙) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ผูฟองคดีไมเห็นดวย
จึงอุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) เห็นวา
อุทธรณของผูฟองคดีฟงข้ึนบางสวน จึงมีคําวินิจฉัย ลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ใหยกอุทธรณของ
ผูฟองคดี แตใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตัดขอความที่ระบุความผิดวินัยในสวนของฐานดูหมิ่น เหยียดหยาม
กดขี่ หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๓ (๙) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน
ออกจากคําสั่งลงโทษ ผูฟองคดีรับทราบคําวินิจฉัยอุทธรณเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ และเห็นวา
คําสั่งลงโทษและคําวินิจฉัยดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรอื คําสั่งเพิกถอนคาํ สั่งลงวนั ที่ ๑๘ มนี าคม ๒๕๕๔ ทล่ี งโทษภาคทัณฑผฟู องคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อมีกรณีรองเรียนกลาวหาวาผูฟองคดีซึ่งเปน
ขาราชการพลเรือนกระทําผิดวินัย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนผูมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗
แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มคี าํ สงั่ ลงวนั ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ มอบหมายให
ผูตรวจราชการกรมประจําเขตตรวจ ตรวจสอบขอเท็จจริง ซึ่งเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณา
ขอเท็จจริงตามที่ไดรับรายงานในเบื้องตนแลวเห็นวา มีมูลท่ีจะกลาวหาวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
จึงคําสั่งลงวันท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๓ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี อันเปน
การดาํ เนินการตามมาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒ แหง พระราชบญั ญัตดิ งั กลา วแลว โดยการสอบสวน
ทางวินัย คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑ วิธีการและระยะเวลา
ทกี่ าํ หนดในขอ ๑๔ ขอ ๑๕ และขอ ๒๑ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ซึ่งอนุโลมนํามาใชตามที่
มาตรา ๑๓๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติไว เพ่ือแสวงหาความจริง
ในเรื่องที่มีการกลาวหาและดูแลใหเกิดความยุติธรรมตลอดกระบวนการสอบสวน ทั้งนี้ ปรากฏ
ตามรายงานผลการสอบสวนวา ผูฟองคดีแจงตอคณะกรรมการสอบสวนวาไมประสงคจะยื่นคําชี้แจง
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๕๘)
เปนหนังสือ และไมประสงคที่จะนําสืบแกขอกลาวหา และเมื่อผูฟองคดีมีหนังสือขอใหเรงรัด
การสอบสวน พรอมทั้งเสนอขอใหมีการสอบพยานบุคคลเพ่ิมเติมอีก ๓ ราย ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําส่ังใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนพยานหลักฐานฝายผูฟองคดีเพ่ิมเติม และ
รายงานผลการสอบสวนเพ่มิ เตมิ ตอผถู ูกฟองคดีที่ ๑ กรณจี งึ เห็นไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดําเนินการ
ทางวินัยแกผูฟองคดีเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว เมื่อขอเท็จจริง
รับฟงไดวา การขายทอดตลาดในคร้ังนี้เจาพนักงานบังคับคดีพิจารณาแลวเห็นวาราคาท่ีผูเสนอราคา
เสนอมาเปนราคาสมควรขายโจทกแ ละจาํ เลยไมม าดูแลการขายจึงถือวาไมมีผูใดคัดคาน จึงเคาะไมขาย
การขายทอดตลาดของเจาพนักงานบังคับคดีจึงชอบดวยมาตรา ๓๐๙ ทวิ แหงประมวลกฎหมาย
วิธพี จิ ารณาความแพง จนกวาเจาหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหน้ีตามคําพิพากษาหรือบุคคลผูมีสวนไดเสีย
ในการบังคับคดียื่นคํารองตอศาลเพ่ือขอใหมีคําส่ังเพิกถอน ผูฟองคดีไมมีอํานาจท่ีจะถอนทรัพยสิน
ออกจากการทอดตลาด และมิใชหนาที่ของผูฟองคดีท่ีจะสอบถามหรือทวงติงในเร่ืองราคาทรัพย
กับผูซ้ือทรัพยแตอยางใด สวนที่เจาพนักงานบังคับคดีผูทอดตลาดมิไดรายงานใหผูฟองคดีเพ่ือขออนุมัติ
กอนเคาะไมขาย น้ัน ไมทําใหการขายทอดตลาดดังกลาวไมชอบแตอยางใด การท่ีผูฟองคดีที่เรียก
ผูซื้อทรัพยไปสอบถามเร่ืองราคาทรัพยในทํานองวาทําไมเสนอราคาแคนี้และสอบถามขอใหเพิ่มราคา
เปนเงิน ๘,๐๐๐ บาท จนเกินเลยไปถึงวาจะขอซ้ือทรัพยคืน ท้ังๆ ท่ีผูซ้ือทรัพยดําเนินการเสนอราคา
โดยถูกตองตามระเบียบและขั้นตอนในการขายทอดตลาดทรัพยสินของกรมบังคับคดีแลว แมวา
ผูฟองคดีจะมีเจตนาเพื่อจะใหราคาสูงข้ึน อันเปนผลดีแกคูความในคดีก็ตาม แตการท่ีผูฟองคดี
มฐี านะเปนผูอาํ นวยการสาํ นกั งาน ซ่ึงมีหนาที่ตองบริหารราชการเก่ียวกับการบังคับคดีใหบรรลุผล
ตองมีความเปนกลาง มีความเสมอภาค และเปนธรรมแกทุกฝายไมวาจะเปนคูความในคดี บุคคลภายนอก
ที่เขาไปมีสวนเก่ียวของ และในฐานะผูบังคับบัญชาซ่ึงควรตองประพฤติตนใหเปนแบบอยางที่ดี
แกผูใตบังคับบัญชา การพูดในลักษณะดังกลาวยอมกอใหเกิดความเขาใจผิดแกประชาชนผูมาใช
บริการไดง าย การกระทําของผูฟองคดีจึงเปนการแสดงออกถึงการไมใหความเปนธรรมแกนาย ห.
ผูซ้ือทรัพย และไมพึงปฏิบัติในฐานะท่ีเปนขาราชการสังกัดกรมบังคับคดี การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ซ่ึงเปนผูมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
พิจารณารายงานการสอบสวนแลวเห็นวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยไมรายแรงฐานไมใหความเปนธรรม
แกประชาชนผูตดิ ตอ ราชการอนั เกี่ยวกบั หนา ทขี่ องตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหง พระราชบัญญัติดังกลาว
จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดีซึ่งเปนระดับโทษเบาที่สุด
จึงเหมาะสมแกกรณีความผิด และไมปรากฏวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ใชดุลพินิจโดยไมชอบดวยกฎหมาย
คําสั่งลงโทษดังกลาวเฉพาะสวนความผิดวินัยไมรายแรงฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชน
ผมู าติดตอ ราชการเก่ียวกับหนาท่ีของตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงชอบ
ดวยกฎหมาย สวนท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวเห็นวา การที่ผูฟองคดี
ใชคําพูดไมสุภาพออกไปหลังจากท่ีพูดโตตอบกับนาย ก. ในเรื่องท่ีขอใหนาย ห. ซ้ือทรัพยในราคา
ท่ีสูงขึ้นกวาท่ีเสนอรวมท้ังเร่ืองอ่ืนๆ ซ่ึงคําพูดของนาย ก. บางประโยคก็เปนคําพูดย่ัวโทสะผูฟองคดี
จึงถือวาคําพูดท่ีผูฟองคดีพูดกับนาย ก. วา ไอบาพูดอะไร ออกไป เปนคําพูดในขณะบันดาลโทสะ
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๕๙)
ซ่ึงนาย ก. มีสวนยั่วยุ ที่ผูฟองคดีอางวาเปนคําพูดโดยมีเจตนาใหนาย ก. ออกไปจากหอง จึงรับฟงได
เพราะหลังจากนัน้ ผฟู องคดไี มไดกลา วถอ ยคําหรอื แสดงกริยาอาการโทสะกับนาย ก. อกี แตอยางใด
คํากลาวนี้เปนเพียงคําไมสุภาพไมสมควรกลาวกับประชาชนผูมาติดตอราชการ ไมมีเจตนาดูถูก
หรือเหยียดหยาม ถอ ยคําดงั กลา วจึงไมเปนการดูหมนิ่ เหยยี ดหยามนาย ก. จึงไมเปนความผิดวินัยฐาน
ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ขมเหงประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๓ (๙) แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แตอยางไรก็ตาม การท่ีผูฟองคดีเรียกนาย ห. เขาพบและพูดขอให
เพม่ิ ราคาสงู ขน้ึ ท้ังๆ ทีผ่ ูเสนอราคาดําเนินการโดยถกู ตองตามระเบียบและขั้นตอนในการขายทอดตลาด
ทรัพยสินของกรมบังคับคดีแลว แมจะเปนผลดีแกคูความในคดีก็ตาม แตก็เปนการทําใหนาย ห.
มีภาระท่ีจะตองจายเงินเพ่ิมขึ้น เปนการไมใหความเปนธรรมแกนาย ห. ผูซ้ือทรัพยไดจากการขายทอดตลาด
จงึ เปน ความผดิ วินยั ไมรายแรงฐานไมใ หความเปน ธรรมแกประชาชนผูต ิดตอราชการเกี่ยวกับหนาที่
ของตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว อุทธรณฟงข้ึนบางสวน แตไมมีผลเปลี่ยนแปลง
ระดบั โทษ โทษภาคทัณฑเหมาะสมแกกรณีความผิดแลว จึงมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณ แตใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ตัดขอความที่ระบุความผิดวินัยในสวนของฐานดูหม่ิน เหยียดหยาม กดขี่ ขมเหงประชาชนผูติดตอราชการ
ตามมาตรา ๘๓ (๙) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ออกจากคําสั่งลงโทษ ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ใหตัดขอความดังกลาวออกจากคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔
นอกจากที่แกไขน้ีใหเปนตามคําสั่งเดิม การพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเปนการพิจารณา
ในกรอบแหงบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวของแลว และเม่ือวินิจฉัยไวขางตนแลววาเฉพาะสวน
ความผิดวินัยไมรายแรงฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูมาติดตอราชการเก่ียวกับหนาที่
ของตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหงพระราชบัญญัติขางตน ชอบดวยกฎหมาย การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
เห็นวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงและระดับโทษทางวินัยที่ไดรับเหมาะสมแลว
จึงเปนการใชดุลพินิจโดยชอบดวยกฎหมาย คําวินิจฉัยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
ใหย กอุทธรณของผฟู องคดี จึงเปนคําวินิจฉยั ท่ีชอบดวยกฎหมาย
พิพากษายกฟอง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ. ๒๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๖๑
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๓/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา ผฟู อ งคดขี ณะรบั ราชการตําแหนงเจาพนักงานธุรการชํานาญงาน
กรมบังคับคดี ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมบังคับคดี)
มีคําสั่งลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ กรณีท่ีเม่ือครั้งผูฟองคดี
ปฏิบัติหนาท่ีในกองบังคับคดีลมละลาย ๔ มีหนาที่จัดสงคาใชจายในคดีลมละลายใหแกสํานักงาน
บังคับคดีจังหวัดตางๆ โดยในชวงเวลาระหวางเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕
กลุมตรวจสอบภายในไดตรวจสอบเอกสารรายงานการจายเช็คใหกองบังคับคดีลมละลาย ๔
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๐)
เพ่ือซ้ือธนาณัติคานําหมายแทน พบวามีการสงเงินลาชาจํานวน ๗๒๔ คดี รวมเปนเงินจํานวน
๓๓๔,๓๓๘ บาท อันเปนการไมปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงิน
และการนําเงินสงคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวด ๘ การนําเงินสงคลังและฝากคลัง ขอ ๙๕ และขอ ๙๗ (๑)
และกรณีการไมสงเงินคานําหมายแทน กลาวคือ ไดมีการตรวจพบวาเจาหนาท่ีธุรการกองบังคับคดี
ลมละลาย ๔ ไดรับเช็คจากกองคลัง จํานวน ๖๐,๘๓๙ บาท ผูฟองคดีไดรับเงินสดจํานวนดังกลาว
จากเจาหนาท่ีธุรการแลว แตสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรียังไมไดรับเงินคานําหมายดังกลาว
ท้ังยงั พบวา มีเงนิ คา นาํ หมายแทนคา งสงจากใบสง่ั จา ย จํานวน ๗๗ คดี รวมเปนเงิน ๖๐,๐๔๑ บาท
เมอ่ื สํานกั งานบงั คับคดีจังหวัดนนทบุรีไดท วงถามคา ใชจ ายดังกลา วมายังกองบังคับคดีลมละลาย ๔
ผูฟองคดีจึงมีบันทึกช้ีแจงตอผูอํานวยการโดยยอมรับวา ไมพบหลักฐานการสงเงินคานําหมาย
ในสํานวน และผูฟองคดีไดดําเนินการสงเงินคาใชจายใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ จนครบ
ทั้ง ๗๗ คดี อันเปนการดําเนินการภายหลังจากที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังใหเจาหนาที่ตรวจสอบ
ภายในดําเนินการตรวจสอบขอเท็จจริงในเร่ืองดังกลาว พฤติกรรมของผูฟองคดีในการเบิกเงินแลว
เก็บเงินสดไวกับตนเองเปนเวลานาน กอนท่ีจะจัดสงใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัด สงผลให
สํานักงานบังคับคดีจังหวัดไดรับเงินคาใชจายลาชา และในบางคดียังไมไดรับเงินคาใชจาย ซึ่งทําให
เกดิ ความเสียหายตอระบบงานการเงินและบัญชีของกรมบังคับคดี การกระทําดังกลาวเปนความผิด
ตามมาตรา ๘๒ (๑) (๒) และ (๔) ประกอบมาตรา ๘๕ (๑) (๔) และ (๗) แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ัง แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษ
ระบบคุณธรรม) ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัย ลงวันท่ี ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ ยกอุทธรณ ผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ ที่ใหยกอุทธรณ เห็นวา คดีนี้ผูอํานวยการกองบังคับคดีลมละลาย ๔ ไดรับ
แจงจากเจาหนาที่กองคลังวา กองบังคับคดีลมละลาย ๔ มีเจาหนาท่ีเบิกเงินคาใชจายในคดีลมละลาย
จัดสงใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ ลาชา จึงขอใหกองบังคับคดีลมละลาย ๔ ดําเนินการ
ตรวจสอบ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจสั่งบรรจุและแตงต้ังตามมาตรา ๕๗
วรรคหน่ึง (๑๐) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงมีคําส่ังใหหนวยงาน
ตรวจสอบภายในกรมบังคับคดีตรวจสอบขอเท็จจริงตามมาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ผลจากการตรวจสอบพบวา ระหวางวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
ผูฟองคดีมีการเบิกเงินคาใชจายในคดีเพ่ือจัดสงไปยังสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรี เม่ือวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จํานวน ๖๐,๘๓๙ บาท แตเม่ือตรวจสอบพบวาสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรี
ยังไมไดมีการรับเงินคาใชจายดังกลาวแตอยางใด และยังพบวามีเงินคาใชจายในคดีคางจัดสงจาก
ใบสั่งจายเปนเงินจํานวน ๖๐,๐๔๑ บาท ไปยังสํานักงานบังคับคดีกรุงเทพมหานคร ๓ ในวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ เชนเดียวกัน จึงแจงใหกองบังคับคดีลมละลาย ๔ และผูถูกฟองคดีที่ ๑
เพ่ือพิจารณา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดีไดเบิกและรับเงิน
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๑)
จากเจาหนาท่ีแลวไดเก็บเงินสดไวกับตนเปนเวลานานกอนที่จะจัดสงใหสํานักบังคับคดีจังหวัด
โดยกระทําอยางตอเนื่องอันเปนการ ปฏิบัติงานไมเปนไปตามระเบียบการเบิกจายเงินจากคลัง
การเก็บรักษาเงินและการนําเงินสงคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๔ ขอ ๙๕ และขอ ๙๗ (๑) กรณีมีมูล
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๙๑ วรรคสอง มาตรา ๙๓ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มคี าํ ส่ังลงวนั ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ แตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรง และตอมาคณะกรรมการสอบสวนไดแจงและอธิบายขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบตามแบบบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหา (แบบ สว.๒) เม่ือวันท่ี
๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามขอ ๑๔ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา และผูฟองคดี
ไดมีหนังสือลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ชี้แจงพรอมแสดงพยานหลักฐานแกขอกลาวหา
ตอคณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน
ที่เกี่ยวของกับขอกลาวหา โดยสอบปากคําบุคคลที่เกี่ยวของกับการเบิกจายเงินและสงเงิน
คาใชจายในคดีจัดสงใหแกสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ และไดแจงขอกลาวหาและ
สรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาตามขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับดังกลาว ใหผูฟองคดีทราบ
ผูฟองคดีไดลงลายมือชื่อรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน ปรากฏตามแบบบันทึก
การแจงและรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา (แบบ สว.๓)
เมื่อวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ ชี้แจงพรอม
แสดงพยานหลักฐานสนับสนุนแกขอกลาวหาตอคณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวน
ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ รายงานผลการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๑
เพื่อพิจารณาตอไปตามมาตรา ๙๓ วรรคหน่ึง มาตรา ๙๕ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับขอ ๕ ขอ ๑๒ วรรคหนึ่ง ขอ ๑๔ วรรคหนึ่ง และขอ ๑๕
วรรคหน่ึง ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา จากขอเท็จจริงดังกลาวเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดดาํ เนินการสอบสวนวินยั อยางรา ยแรงผูฟองคดีเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการตามที่กฎหมาย
กําหนดไวแ ลว เมื่อคณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยรายแรง ไดส อบสวนแลวพบวา ในชวงระหวางวันท่ี
๑ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ผูฟองคดีไดรับเงินคาใชจายในคดีจากกองคลัง
เพื่อจัดสงเงินคาใชจายในคดีใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ แลว เก็บเงินสดไวโดยมิได
จัดสงเงินคาใชจายในคดีใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ เกินกวาสิบหาวันทําการ นับจาก
วันรับเงินจากคลัง ลาชาอีก ๗๒๔ คดี เปนจํานวนเงิน ๓๓๔,๓๓๘ บาท ผูฟองคดีกระทําการแบบน้ี
อยางตอ เนือ่ งอันเปน การปฏบิ ตั หิ นาทีไ่ มเปนไปตามระเบียบการเบิกจายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงิน
และการนําเงินสงคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวด ๘ การนําเงินสงคลังและฝากคลัง ขอ ๔ ขอ ๙๕
และขอ ๙๗ (๑) และ (๔) อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบเพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรงแกผูหนึ่งผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวน
การปฏบิ ตั ิหนาทีร่ าชการโดยทุจริต ฐานกระทําการอนั ไดช อ่ื วา เปน ผปู ระพฤติช่ัวอยางรายแรง และ
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๒)
ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีดวยความซ่ือสัตย สุจริต และเท่ียงธรรม และผูอํานวยการการกองบังคับคดี
ลมละลาย ๔ มคี ําสั่งใหผูฟอ งคดีดําเนนิ การจัดสง เงนิ คาใชจ า ยในคดใี หสาํ นักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ
ใหแลวเสร็จภายในเจ็ดวัน นับแตรับทราบคําสั่ง ผูฟองคดีทําบันทึกรายงานเสนอตอผูบังคับบัญชา
รายงานวา ผูฟองคดีไดจัดสงเงินคาใชจายในคดีไปใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ เรียบรอยแลว
ซึ่งความจริงผฟู องคดยี ังไมจัดสง เงินคาใชจายในคดไี ปใหส ํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ เสร็จเรียบรอย
ตามท่ีบันทึกรายงานแตอยางไร อันเปนรายงานเท็จเสนอตอผูบังคับบัญชา เปนความผิดฐาน
ไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ และฐานไมปฏิบัติ
ตามคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังในหนาที่ราชการโดยชอบดวยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
อันเปนความผิดวินัยตามมาตรา ๘๒ (๑) (๒) และ (๔) ประกอบมาตรา ๘๕ (๑) (๔) และ (๗)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการสอบสวนวินัยรายแรง
จึงรายงานเสนอความเหน็ ตอ ผถู กู ฟองคดีที่ ๑ วา เห็นสมควรใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ผูถ กู ฟองคดที ี่ ๑ ไดม ีหนังสือลงวนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ พรอ มความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน
นําเสนอ อ.ก.พ. กรมบังคับคดีเพื่อพิจารณาตอไป อ.ก.พ. กรมบังคับคดี ในการประชุมเมื่อวันที่
๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๗ มีมติเปนเอกฉันทเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเปนไปตามมาตรา ๙๗ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
จึงเปนการใชดุลพินิจที่ชอบดวยกฎหมาย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๕๗
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.พ. กรมบังคับคดี เปนไปตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๕๗
ลงโทษไลผูฟอ งคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘
ใหย กอทุ ธรณของผูฟองคดี จึงเปน การกระทาํ ท่ีชอบดว ยกฎหมาย
พิพากษายกฟอง
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๑๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการตําแหนงนักวิชาการอบรมและฝกวิชาชีพ
ชํานาญการ งานดานพอบาน สังกัดสถานพินิจและคุมครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางไมรายแรงแกผูฟองคดี กรณีถูกกลาวหาวาใชไมหวายเฆี่ยนตีลงโทษเด็กและเยาวชนท่ีอยู
ในความควบคุม จากนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมพินิจและคุมครองเด็กและเยาวชน)
ไดมีคําสั่งลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดีรอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ัง
แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา คําส่ังลงโทษ
ตัดเงินเดือนผูฟองคดีไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากไดมีหนังสือคัดคานคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ทั้งคณะ แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติยกคําคัดคานเม่ือพนระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด นอกจากน้ี
คณะกรรมการสอบสวนวินัยไมเปนกลาง ไมมีการแจงพยานหลักฐานอ่ืนที่เก่ียวของกับขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบ การลงโทษวินัยมีความลาชาเกินสมควร อัตราโทษที่ไดรับไมเหมาะสม
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๓)
ไมเปนธรรมและเกินกวาเหตุเม่ือเทียบกับขาราชการรายอ่ืน ตลอดจนผูลงนามในคําสั่งดังกลาว
ไมใชผูมีอํานาจ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาย่ืนฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดีรอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน และคืนเงินที่ตัดไป
ตามคําส่ังดังกลาวแกผูฟองคดี และเพกิ ถอนคาํ วินิจฉยั อุทธรณของผูถกู ฟองคดที ่ี ๒
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดรับหนังสือคัดคานคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยไมรายแรงในวันท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖
การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีหนังสือ ลงวันท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ แจงผลการพิจารณา
โดยยกคําคัดคานใหผูฟองคดีทราบ จึงเปนการพิจารณาคําคัดคานภายในสิบหาวันนับแตวันท่ี
ไดรับหนังสือคัดคานดังกลาวแลว สวนผูฟองคดีจะไดรับหนังสือแจงผลการคัดคานเมื่อใด
เปนเพียงข้ันตอนการแจงผลการพิจารณา ไมมีผลกระทบตอกําหนดเวลาการพิจารณาคําคัดคาน
ที่กําหนดตามขอ ๘ วรรคสาม ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณาแตอยางใด
สวนท่ีผูฟองคดีอางวา คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางไมรายแรงมีลักษณะไมเปนกลาง นั้น
เมื่อไมมีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนท่ีจะทําใหเช่ือไดวา คณะกรรมการสอบสวนวินัยมีสาเหตุ
โกรธเคืองกับผูฟองคดี และไมปรากฏวา คณะกรรมการสอบสวนวินัยท้ังคณะไดรูเห็นเหตุการณ
ในขณะกระทําการตามเรื่องท่ีกลาวหา หรือมีประโยชนไดเสียในเรื่องที่สอบสวน หรือเปนคูสมรส
บุพการี ผูสืบสันดาน หรือเปนพ่ีนองรวมบิดาหรือรวมมารดาหรือรวมบิดาหรือมารดาเดียวกันกับ
ผูฟองคดี หรือมีเหตุอื่นซ่ึงอาจทําใหการสอบสวนเสียความเปนธรรมแตอยางใด จึงรับฟงไมไดวา
คณะกรรมการสอบสวนวินัยมีเหตุท่ีมีสภาพรายแรงท่ีอาจทําใหการพิจารณาทางปกครองไมเปนกลาง
ตามขอ ๘ ของกฎ ก.พ. ฉบบั ดงั กลา ว สวนการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอกลาวหา ตลอดจนการรับฟงพยานหลักฐานไดดําเนินการโดยชอบดวยกฎหมายตามขอ ๑๔
ขอ ๑๕ ขอ ๒๐ และขอ ๒๑ ของกฎ ก.พ. ฉบับเดยี วกันแลว
เม่ือผูฟองคดีดํารงตําแหนงนักวิชาการอบรมและฝกวิชาชีพชํานาญการ
ผูถ กู ฟอ งคดที ่ี ๑ จึงเปนผูมีอํานาจออกคําสั่งลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดี เม่ือคําส่ังลงโทษทางวินัย
ตัดเงินเดือนผูฟองคดีออกโดยนาย ส. รองอธิบดีรักษาราชการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงมีอํานาจหนาท่ี
เชนเดียวกับผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการ
แผนดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังน้ัน คําสั่งลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดี จึงออกโดยเจาหนาท่ีผูมีอํานาจ
ตามมาตรา ๕๗ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
กอนการออกคําสั่งลงโทษแกผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดพิจารณาสํานวนการสอบสวนของ
คณะกรรมการสอบสวนวินัย ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนวินัยมีความเห็นวา ผูฟองคดีกระทําผิด
ตามทถี่ กู กลาวหาจรงิ และยงั มีความผิดฐานทํารายรางกายเด็กและเยาวชนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๙๕ แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ เห็นวา ผูฟองคดีมิไดมีเจตนาทํารายรางกายเด็กและเยาวชน
แตเปน การลงโทษเด็กและเยาวชนโดยไมมีอาํ นาจ เปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติ
หนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และ
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๔)
นโยบายของรัฐบาลตามมาตรา ๘๒ (๒) และมาตรา ๘๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ และไดนําเหตุอันควรลดหยอนโทษมาพิจารณาประกอบการใชดุลพินิจในการลงโทษ
ผูฟองคดีดวยแลว คําสั่งลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดีรอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน จึงเปน
การใชดุลพินิจโดยชอบแลว การที่ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ และ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยอาศัยขอเท็จจริงอยางเดียวกัน
จึงเปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมายเชนกัน และโดยที่ระยะเวลาการดําเนินการสอบสวนตามขอ ๑๒
ของ กฎ ก.พ. ฉบับขางตน เปนเพียงระยะเวลาเรงรัดใหคณะกรรมการสอบสวนวินัยดําเนินการ
สอบสวนใหแลวเสร็จ มิใชระยะเวลาบังคับท่ีหากไมปฏิบัติภายในกําหนดเวลาดังกลาวจะสงผลตอ
ความไมชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษทางวินัย ดังนั้น แมคําส่ังลงโทษทางวินัยผูฟองคดี
ลาชาไปบาง แตก็ไมใชเหตุที่ทําใหคําส่ังลงโทษทางวินัยไมชอบดวยกฎหมายแตอยางใด และแมวา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดลงโทษตัดเงินเดือนขาราชการรายอ่ืนท่ีใชเทาและมือทํารายรางกายเด็กและ
เยาวชนในอัตราเดียวกันกับการลงโทษผูฟองคดีก็ตาม แตการกระทําดังกลาวอยูในฐานความผิดวินัย
อยางไมร า ยแรง ซง่ึ เปน ฐานความผดิ เดียวกันกับผฟู องคดี จึงรับฟงไมไดวา การลงโทษตัดเงินเดือน
ผฟู อ งคดีรอ ยละ ๔ เปน เวลาสองเดือน เปนการกระทาํ ท่ีไมเปน ธรรมตอผูฟองคดี
พิพากษายกฟอ ง
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๕๑๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดฟี องวา เม่ือครัง้ ผฟู องคดีเปน ขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงนิติกร ๔
สังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๒ (กรมบังคับคดี) ปฏิบัติหนาท่ีกองบังคับคดีลมละลาย ถูกผูถูกฟองคดีท่ี ๓
(อธบิ ดกี รมบังคบั คดี) ออกคําส่งั ลงวันท่ี ๑๑ มนี าคม ๒๕๔๘ แตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
และคําส่งั ลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๘ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี และตอมา
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ออกคําสั่งลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
โดยกลาวหาวา ผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกรับเงินจากนาย ส. ลูกหน้ีในคดีลมละลาย เพื่อเปนหลักประกัน
ในการอนญุ าตใหน าย ส. เดนิ ทางไปตา งประเทศ จํานวน ๒๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงบรรจุในซองสีนํ้าตาลใหกับ
ผฟู อ งคดี และผูฟองคดีไดเก็บซองดงั กลาวไวใ นลิ้นชักโตะทํางานโดยมไิ ดแ จง เรื่องดังกลาวใหผูบังคับบัญชา
หรือเพ่ือนรวมงานทราบ ซึ่งเปนการกระทําที่ไมถูกตองตามแนวทางปฏิบัติท่ีตองใหเจาหนาที่ธุรการ
เปน ผรู ับคํารอ ง โดยใหวางเงินหลักประกันที่กองคลัง กรมบังคับคดี และเจาพนักงานพิทักษทรัพย
จะไมร ับหรือถือเงินหลักประกันหรือเงินคาใชจายในคดีไมวากรณีใดๆ และในวันเดียวกันนั้นนาย ส.
ไดนําเจาหนาท่ีตํารวจเขาจับกุม ณ กองบังคับคดีลมละลาย พฤติการณของผูฟองคดีฟงไดวา
เปน การกระทาํ ผดิ วนิ ยั อยา งรา ยแรง ฐานปฏบิ ตั หิ นาท่รี าชการโดยมิชอบดวยความไมซ่ือสัตยสุจริต
และเที่ยงธรรม และ อ.ก.พ. กรมบังคับคดีไดมีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดี
ไดอุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการขาราชการพลเรือน (ก.พ.))
โดยผูถูกฟองคดีที่ ๔ (นายกรัฐมนตรี) พิจารณาแลวมีมติยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งลงโทษ
ไลผ ูฟอ งคดอี อกจากราชการไมชอบดวยกฎหมายจึงนาํ คดมี าฟองขอใหศ าลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๕)
เพกิ ถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๘ เร่ือง แตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง เพิกถอนคําสั่ง
ลงวนั ท่ี ๕ เมษายน ๒๕๔๘ เรอ่ื ง แตง ตงั้ คณะกรรมการสอบสวน เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๙
เรื่อง ลงโทษไลขาราชการออกจากราชการ และเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ที่ยกอุทธรณ
ของผฟู องคดีตามหนังสือลงวนั ท่ี ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อพิจารณาขอกลาวอางตามคําอุทธรณของผูฟองคดีวา
คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง ไมใหโอกาสผูฟองคดีช้ีแจงอธิบายเหตุผลท่ีถูกกลาวหา สงผลให
ผูบังคับบัญชาออกคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโดยผิดหลงและคลาดเคล่ือนไป น้ัน
เหน็ วา การสืบสวนขอเท็จจริงเปนเพียงข้ันตอนที่กฎหมายกําหนดใหผูบังคับบัญชามีอํานาจหนาท่ี
ดําเนินการแสวงหาขอเท็จจริงและพยานหลักฐานในเบื้องตนในกรณีที่มีการกลาวหาหรือสงสัยวา
ผใู ตบ งั คบั บัญชากระทําผิดวินัยแตยังไมมีหลักฐาน ท้ังน้ี เพื่อใหทราบวากรณีมีมูลสมควรที่ผูบังคับบัญชา
จะดําเนินการทางวินัยแกผูใตบังคับบัญชาตอไปหรือไมเทานั้น ไมใชการดําเนินการทางวินัย
หรอื การสอบสวนทางวินัยตามมาตรา ๑๐๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซ่ึงมีผลใชบังคับอยูในขณะน้ัน ท่ีตองแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา
ใหผูถูกกลาวหาทราบ รวมท้ังตองใหโอกาสผูถูกกลาวหาไดโตแยงแสดงพยานหลักฐานของตน
แตอ ยางใด เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูฟองคดีมีกรณีกลาวหาวามีพฤติการณเรียกรับเงินจากนาย ส.
ลูกหน้ีในคดีลมละลาย เพื่อเปนหลักประกันในการอนุญาตใหนาย ส. เดินทางไปตางประเทศ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในฐานะผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี จึงมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
เพ่ือทําการสอบขอเท็จจริงในเบื้องตนวากรณีมีเหตุอันสมควรและมีพฤติการณอื่นท่ีเกี่ยวของหรือไม
อยางไร และใหดําเนินการใหแลวเสร็จโดยเร็ว แลวรายงานผลการสอบขอเท็จจริงพรอมทั้งใหเสนอความเห็น
หรือมูลความผิดตามระเบียบท่ีเกี่ยวของเพื่อประกอบการดําเนินการตอไป การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ไดสัง่ การใหคณะกรรมการสอบขอเทจ็ จรงิ ดําเนนิ การสอบขอเท็จจริงและรายงานผลการสอบขอเท็จจริง
ใหผถู กู ฟอ งคดีที่ ๓ ทราบและพิจารณา จึงเปนการดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีตามที่บัญญัติไวใน
มาตรา ๙๙ วรรคหา แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อดําเนินการสืบสวน
ขอเทจ็ จรงิ วา กรณีมมี ูลตามทีก่ ลา วหาหรือไม เพื่อท่ีจะไดด าํ เนินการทางวินัยตอไป ตามที่บัญญัติไว
ในมาตรา ๑๐๒ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ซ่ึงผลที่ไดรับจากการสืบสวน คือ รายงานการสืบสวน
ขอเทจ็ จริง ยังมิไดมีลกั ษณะเปน คาํ สัง่ ทางปกครองที่มีผลเปน การกระทบตอสิทธิและหนา ทข่ี องผฟู อ งคดี
ที่จะตองแจงขอกลาวหาใหผูฟองคดีทราบหรือเปดโอกาสใหผูฟองคดีไดโตแยงและแสดงพยานหลักฐาน
ของตน ตามนัยมาตรา ๓๐ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แตอยางใด
ดังนั้น การดําเนินการในชน้ั สบื สวนขอเทจ็ จริงของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ และคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
จึงเปน ไปโดยชอบดว ยกฎหมายแลว คดีมีประเด็นท่ตี องวินิจฉัยตอไปวา การดําเนินการสอบสวนวินัย
ผูฟองคดีไดดําเนินการเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการตามที่กฎหมายกําหนดหรือไม เห็นวา
คณะกรรมการสอบสวนไดแจงสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาเทาท่ีมีใหผูฟองคดีทราบ
โดยระบุวัน เวลา สถานท่ีและการกระทําท่ีมีลักษณะเปนการสนับสนุนขอกลาวหา อีกท้ัง ไดระบุชื่อ
พยานบุคคลซ่ึงพอที่จะเขาใจไดวาถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และการกระทํา
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๖)
อันมีลักษณะเปนการสนับสนุนขอกลาวหาอยางไร ตามขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
โดยชอบแลว ตอมา ผูฟองคดีไดมีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการสอบสวนขอใหการช้ีแจง
ขอเท็จจริง และระบุพยานเพื่อนําสืบแกขอกลาวหา ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๘ ซ่ึงผูฟองคดี
ไดใหถ อยคําตอคณะกรรมการสอบสวนตามแบบ สว.๔ ในวนั เดียวกัน สรุปวา ผูฟองคดีไดรับทราบ
ขอกลาวหาโดยตลอดแลว ขอใหการปฏิเสธและไดช้ีแจงแกขอกลาวหาโดยระบุวัน เวลา และ
สถานท่ีเกดิ เหตุ หลงั จากนัน้ คณะกรรมการสอบสวนวินยั ไดสอบสวนพยานบุคคลรวมท้ังพิจารณา
พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนและแกขอกลาวหาแลวเห็นวา ผูฟองคดีอาศัยตําแหนงหนาที่ราชการของตน
เรียกรับเงิน จึงเปนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ ดวยความไมซ่ือสัตยสุจริตและเที่ยงธรรม
เพื่อใหตนเองไดประโยชนอันมิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และเปนความผิดวินัย
อยางรา ยแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งใชบังคับอยูในขณะน้ัน จึงเห็นสมควรใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และเสนอรายงานการสอบสวนพรอมสํานวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ ซ่ึงมีคําส่ังใหเสนอเรื่องให อ.ก.พ.
กรมบงั คบั คดีพิจารณา ซ่งึ ตอมาไดพ จิ ารณาแลว มีมติเปนเอกฉันทใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
จากขอเท็จจริงที่รับฟงไดขางตนถือไดวา คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการสอบสวนตามรูปแบบ
ข้ันตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญท่ีกฎหมายกําหนดไวใหสําหรับการดําเนินการทางวินัย
ตามนัยขอ ๑๔ และขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
ระเบียบขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา โดยชอบดวยกฎหมายแลว
คดีมีประเด็นท่ีตองพิจารณาตอไปวา คําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เปน การใชด ลุ พินจิ โดยชอบดว ยกฎหมายหรือไม เมื่อปรากฏขอเท็จจริงรับฟงไดตามรายงานการสอบสวนวา
ผูฟองคดีไดใชหนาท่ีราชการในฐานะเจาพนักงานพิทักษทรัพยดําเนินการในสํานวนคดีลมละลาย
สอไปในทางคดโกง ไมสุจริตและเท่ียงธรรม โดยนัดนาย ส. ไปเจรจาตอรองท่ีรานอาหารแหงหนึ่ง
เพ่ือใหจายเงินคาตอบแทนใหผูฟองคดี ในการที่ผูฟองคดีจะดําเนินการทําเรื่องอนุญาตใหนาย ส.
เดินทางไปตางประเทศตามที่รองขอ โดยอางวาการขออนุญาตเดินทางไปตางประเทศของนาย ส.
จะกระทําได แตนาย ส. จะตองจายคาใชจายใหแกผูฟองคดีเปนคาตอบแทนในการดําเนินการ
และผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ส. มาแลวบางสวน สวนที่เหลือไดนัดใหมาชําระที่กรมบังคับคดี
อันเปนวันรุงข้ึน ซ่ึงนาย ส. ไดนําเรื่องดังกลาวไปแจงความรองทุกขตอเจาพนักงานตํารวจ
และเจา พนักงานตํารวจไดทําการจับกุมผูฟองคดีท่ีกรมบังคับคดี โดยไดพบซองใสเงินในล้ินชักโตะ
ของผูฟองคดี เปนเงินจํานวน ๒๐,๐๐๐ บาท และจากการตรวจสอบธนบัตรที่อยูในซองดังกลาว
กับธนบัตรที่เจาหนาที่ตํารวจไดถายเอกสารไวกอนท่ีนาย ส. จะสงมอบใหแกผูฟองคดี ปรากฏวา
มีหมายเลขธนบัตรตรงกัน กรณีจึงมีน้ําหนักใหเชื่อไดวาผูฟองคดีมีการเรียกรับเงินจากนาย ส.
ตามท่ีถูกกลาวหาจริง ซึ่งถือเปนความผิดซ่ึงหนา และเปนหลักฐานที่มีนํ้าหนักท่ีรับฟงได พฤติการณ
แหงการกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ ดวยความไมซ่ือสัตยสุจริต
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๗)
และเท่ียงธรรม เพ่ือใหตนเองไดประโยชนอันมิควรได อนั เปน การทจุ ริตตอ หนาท่ีราชการ และเปนความผิดวินัย
อยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซง่ึ ใชบงั คับอยูใ นขณะนัน้ การที่ผูถูกฟองคดที ่ี ๓ มคี ําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการจึงเปน
การเหมาะสมกับกรณคี วามผดิ และชอบดวยกฎหมาย และเมอื่ คาํ สงั่ ท่ลี งโทษไลผูฟอ งคดอี อกจากราชการ
เปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําสั่งยกอุทธรณของผูฟองคดีตามหนังสือ
ลงวนั ท่ี ๑๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ จงึ ชอบดว ยกฎหมายเชนกนั ทีศ่ าลปกครองช้นั ตนพพิ ากษายกฟอง นั้น
ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดว ย
พิพากษายนื
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง วิธีพิจารณาคดีปกครอง
หนา ๙๗
กรณอี ืน่ ๆ
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ฟ.๑/๒๕๖๓
ผฟู องคดฟี องวา ผฟู อ งคดีเปน อดตี พนักงานของสํานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ัง
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกต้ังไดมีคําส่ัง
ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงาน เน่ืองจากผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานหาผลประโยชนอันอาจทําใหเสียความเท่ียงธรรม หรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์
ของตําแหนงหนาที่ของตน ตามขอ ๖๕ ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง วาดวย
การบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ และฐานกระทําการอื่นใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง ตามขอ ๖๘ วรรคสอง ของระเบียบเดียวกัน จากกรณีที่นาย ธ. นายกเทศมนตรี
ตําบลพยุห รองเรียนกลาวโทษผูฟองคดีตอนาย พ. รองผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษ ประธาน
กรรมการการเลือกต้ังประจําจังหวัดศรีสะเกษวา ผูฟองคดีมีพฤติกรรมเรียกรับเงินจากบุคคลดังกลาว
จํานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนําไปใหประธานกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดศรีสะเกษ
เพ่ือชวยเหลือใหนาย ธ. กับพวก หลุดพนจากขอรองเรียน ซ่ึงคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ผูฟองคดี ไดกําหนดประเด็นในการสอบสวนไว ๒ ขอกลาวหา คือ ขอกลาวหาที่ ๑ ผูฟองคดี
เรียกรับเงินจากนาย ธ. เพ่ือแลกเปลี่ยนกับการใหความชวยเหลือใหพนขอกลาวหาในเรื่องที่
นาย ธ. ถูกรองเรียน โดยเรียกรับเงิน จํานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท หรือไม และขอกลาวหาท่ี ๒
ผูฟองคดีแอบอางช่ือนาย พ. ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชา แสวงหาผลประโยชนท่ีมิควรได หรือเพื่อสะดวก
ในการแสวงหาผลประโยชนจากนาย ธ. หรือไม ตอมา คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมีความเห็นวา
ไมมพี ยานหลกั ฐานเพยี งพอทจี่ ะรับฟง ไดว า ผูฟ องคดไี ดร ับเงนิ จากนาย ธ. ตามขอ รอ งเรียน แตกลับ
เห็นวา ผูฟ อ งคดีมีพฤติการณเขาขายเปนพนักงานทําการหลอกลวงหรือชักจูงใหผูสมัครรับเลือกต้ัง
ซ่ึงถูกรองเรียนวากระทําการฝาฝน พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาทองถ่ินหรือผูบริหารทองถิ่น
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๘)
พ.ศ. ๒๕๔๕ ดวยการแอบอางชื่อของผูบังคับบัญชาระดับสูง หรือกระทําการดวยประการใดๆ
แลวเรียกรับเงินจากนาย ธ. พฤติการณเปนเรื่องรายแรงที่ทําใหเสียหายตอช่ือเสียงของสํานักงาน
คณะกรรมการการเลือกต้ังเปนอยางยิ่ง เปนความผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตาม ขอ ๖๘
วรรคสอง ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ัง วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗
เห็นควรลงโทษไลออก ผูฟองคดีเห็นวาคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไมมีพยานหลักฐาน
ท่ีชัดเจนวาผูฟองคดีกระทําความผิดตามขอรองเรียน แตกลับมีความเห็นใหลงโทษผูฟองคดี
ผูฟอ งคดจี งึ มหี นังสอื ฉบบั ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ อุทธรณคําสัง่ ดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดี
(คณะกรรมการการเลอื กตั้ง) ไดม ีมติเม่ือวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
และมีหนังสือลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ
โดยผูฟองคดีรับหนังสือดังกลาวเมื่อวันท่ี ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือมีคําส่ังเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ยกอุทธรณของผูฟองคดี และให
ผถู ูกฟอ งคดรี ับผฟู องคดีเขาเปนพนักงานหรือลูกจางของผูถูกฟองคดีในตําแหนงเดิมหรือเทียบเทา
ตําแหนงเดิม โดยใหผูฟองคดีมีสิทธิไดรับเงินเดือนและคาตอบแทนเทาเดิม เดือนละ ๓๘,๐๐๐ บาท
รวมทั้งคาครองชีพ เดือนละ ๔,๐๐๐ บาท รวมเปนเงินทั้งส้ินเดือนละ ๔๒,๐๐๐ บาท นับถัดจาก
วันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ซึ่งเปนวันท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่ง จนกวาผูถูกฟองคดีจะรับผูฟองคดี
เขาเปนพนักงานหรือลูกจาง และจายเงินเดือนรวมทั้งคาตอบแทนดังกลาวใหผูฟองคดีตอไป
เห็นวา เม่ือพิจารณาขอกลาวหาท่ี ๑ ท่ีนาย ธ. กับพวกกลาวหาวา ผูฟองคดีเรียกเงินจากนาย ธ.
เปนเงินจํานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ธ. จํานวน ๕ คร้ัง แตคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยมีความเห็นวา พยานหลักฐานมีนํ้าหนักเพียงพอใหเช่ือไดวา ผูฟองคดีไดรับเงิน
จากนาย ธ. ในวันท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๙ จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนั้นอีก ๔ คร้ัง
ไมมีพยานหลักฐานที่จะรับฟงไดวานาย ธ. ไดมอบเงินใหแกผูฟองคดี โดยพยานหลักฐาน
และพฤติการณท่ีคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเห็นวา ผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ธ. ในวันที่
๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๙ คือ พยานบุคคล ไดแก นาย ธ. นาย ย. นาย ว. และนาง ท. ซ่ึงท้ังส่ีคน
เปนผูท่ีลงลายมือชื่อในหนังสือรองเรียนกลาวโทษผูฟองคดี ถึงประธานกรรมการการเลือกตั้ง
ประจําจงั หวัดศรสี ะเกษ ซึง่ ถอื เปนคกู รณี ประกอบกับพยานบุคคลท้ังสี่ใหถอยคําตรงกันวานาย ธ.
เดินข้ึนไปพบผูฟองคดีที่หองทํางานเพียงคนเดียว และไมมีพยานบุคคลอื่นที่รูเห็นเหตุการณ
หรือพยานอ่ืนใดท่ีชี้ชัดไดวาผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ธ. จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จริงหรือไม
คําใหการของพยานดังกลาวจึงไมอาจรับฟงเปนพยานหลักฐานในการลงโทษผูฟองคดีได
แตอยางไรก็ตาม เม่ือพิจารณาถอยคําสนทนาระหวางนาย พ. กับผูฟองคดี จากการถอดเทป
บันทึกเสียงซ่ึงผูฟองคดีใหการรับวาเปนเหตุการณท่ีผูฟองคดีไดพูดคุยสนทนากับนาย พ.
เม่ือครั้งนาย พ. เรียกผูฟองคดีเขาไปสอบถามเร่ืองที่ถูกรองเรียน โดยนาย พ. ถามวา “แลวคุณ
ไปเรียกรับเขาหรือเปลาหละ” สวนผูฟองคดีตอบวา “เขาใหหนูเองคะ หนูไมไดเรียกรอง”
และท่ีนาย พ. ถามวา “... เขาใหเงินคุณเทาไหร” และผูฟองคดีตอบวา “แสนหน่ึงคะ”
ซึ่งเมือ่ พิจารณาประกอบกับพฤตกิ ารณของผฟู อ งคดีท่ีรับทราบเร่ืองที่นาย ช. ไดมีหนังสือรองเรียน
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๖๙)
นาย ธ. เกี่ยวกับการยื่นบัญชีคาใชจายในการเลือกตั้งไมถูกตองตามความเปนจริง และผูฟองคดี
ใหการยอมรับวาไดโทรศัพทติดตอนาย ธ. เพื่อแจงใหทราบเกี่ยวกับเอกสารการยื่นบัญชีรายรับ
รายจายในการเลือกตั้งที่ไมเรียบรอย รวมท้ังไดนําเอกสารเกี่ยวกับคาใชจายในการเลือกตั้งของนาย ธ.
มาเปดเผยใหนาย ธ. ดู ท้ังที่ในขณะน้ันมีการแตงต้ังคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน
เพื่อดําเนินการสืบสวนสอบสวนในเร่ืองนี้แลว รวมถึงพฤติการณของผูฟองคดีท่ีไดติดตอนัดพบ
กับนาย ธ. อีกหลายครั้ง พยานหลักฐานและพฤติการณดังกลาวเพียงพอท่ีจะเช่ือไดวา ผูฟองคดี
มีพฤติการณไมสุจริต ใชอํานาจหนาที่ของตนในฐานะหัวหนางานพรรคการเมือง ซ่ึงมีหนาที่
เกยี่ วกับคาใชจายในการเลือกต้ังของผูสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตําบลพยุห ในการเลือกต้ัง
เมื่อวันท่ี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๘ แสวงหาผลประโยชนสวนตนโดยมิชอบดวยการเรียกหรือรับ
ทรัพยส ินจากนาย ธ. ผูสมัครรับเลือกตงั้ ทถ่ี กู รอ งเรียนวา ยนื่ บญั ชีคา ใชจ ายในการเลือกตั้งไมถูกตอง
เพอ่ื แลกเปลย่ี นกับการใหค วามชว ยเหลอื ใหพน จากขอกลา วหาในเร่ืองท่ีถูกรองเรียน และผูฟองคดี
ไดรับเงินจากนาย ธ. ไปแลว จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สวนพยานหลักฐานท่ีคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยเห็นวาผูฟองคดีไดแอบอางช่ือของนาย พ. ไปแสวงหาผลประโยชนท่ีมิควรได
หรือเพื่อสะดวกในการแสวงหาผลประโยชนจากนาย ธ. ตามขอกลาวหาท่ี ๒ คือ พยานบุคคล
ไดแก นาย ธ. นาย ย. และนาง ท. ซ่ึงทั้งสามคนเปนผูท่ีลงลายมือชื่อในหนังสือรองเรียนกลาวโทษ
ผูฟอง ซ่ึงถือเปนคูกรณี ประกอบกับถอยคําของนาง ท. ท้ังในชั้นสอบขอเท็จจริงและในช้ัน
สอบสวนทางวินัยท่ีระบุวา ภายหลังนาย ธ. ไดรับใบเหลือง นาย ธ. ไดมอบหมายใหตนไปพบ
ผูฟองคดีเพื่อทวงถามเรื่องเงินท่ีไดรับไปจากนาย ธ. ขัดแยงกับถอยคําตามหนังสือรองเรียน
และถอยคําของนาย ธ. ในชั้นสอบขอเท็จจริงและในช้ันสอบสวนทางวินัย ที่ระบุวา นาย ธ.
พรอมดวยนาย ว. นาย ย. และนาง ท. ไดเดินทางไปพบผูฟองคดีเพื่อขอรับเงินคืน ดังน้ัน
คําใหก ารของพยานดงั กลาวจงึ ไมอาจรับฟงเปนพยานหลักฐานในการลงโทษผูฟองคดีได อยางไรก็ตาม
เม่ือพิจารณาถอยคําสนทนาระหวางนาย พ. กับผูฟองคดี จากการถอดเทปบันทึกเสียง
ตามท่ีกลาวมาขางตน ประกอบกับพฤติการณของผูฟองคดีตามที่นาย พ. ไดใหถอยคําวา
ผูฟองคดีมักจะกลาวอางวาสนิทสนมกับตนบอยคร้ัง อีกท้ัง นาย พ. ไดแจงความดําเนินคดีอาญา
กับผูฟองคดีในขอหาหม่ินประมาทแลว ซึ่งพนักงานอัยการย่ืนฟองคดีตอศาลจังหวัดศรีสะเกษ
และศาลนําคดีเขาสูกระบวนการไกลเกลี่ย โดยผูฟองคดีไดประกาศขอขมาและขออภัยนาย พ.
ในวารสารและหนังสือพิมพทองถิ่น นาย พ. จึงถอนคํารองทุกขและศาลมีคําสั่งจําหนายคดี
ออกจากสารบบความแลว ดวยพยานหลักฐานและพฤติการณดังกลาวเพียงพอที่จะเชื่อไดวา
ผฟู อ งคดีไดแอบอา งช่ือนาย พ. ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อใหเกิด
ความนาเชื่อถือในการเรียกรองเงินจากนาย ธ. เปนจํานวนสูงถึงหลักแสนบาท แลกเปลี่ยน
กับการใหความชวยเหลือใหพนจากขอกลาวหาในเร่ืองที่ถูกรองเรียน เมื่อขอเท็จจริงฟงไดวา
ผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกหรือรับผลประโยชนจากนาย ธ. ผูสมัครรับเลือกต้ังนายกเทศมนตรี
ตําบลพยุห ซ่ึงถูกรองเรียนวากระทําผิด พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถ่ิน
พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อแลกเปล่ียนกับการใหความชวยเหลือใหพนจากเรื่องท่ีถูกรองเรียน ท้ังในการเรียกรับเงิน
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๐)
หรือผลประโยชนดังกลาวยังรับฟงไดวาผูฟองคดีไดแอบอางช่ือนาย พ. ประธานกรรมการการเลือกตั้ง
ประจําจังหวัดศรีสะเกษในขณะนั้น เพื่อใหเกิดความนาเช่ือถือในการเรียกรองเงินจากนาย ธ.
ตามท่ถี ูกกลา วหาจริง การกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการ
อนั ไดช่อื วาเปนผูป ระพฤติช่วั อยา งรายแรงตามขอ ๖๘ วรรคสอง ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนั้น การที่คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา
การดําเนนิ การทางวินัยพจิ ารณารายงานการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี แลวเห็นพองกับความเห็น
ของคณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั ซึง่ ตอ มาเลขาธกิ ารคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีคําสั่งลงวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงาน จึงเปนการใชดุลพินิจในการส่ังลงโทษ
ผูฟองคดีเหมาะสมกับความรายแรงแหงกรณีแลวตามขอ ๙๙ ของระเบียบดังกลาว ประกอบ
มาตรา ๑๐๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ เม่ือกรณีน้ีคณะอนุกรรมการ
เพ่ือพิจารณาการดําเนินการทางวินัยมีมติเห็นพองกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ที่เหน็ วา การกระทาํ ของผฟู องคดีเปนความผิดฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๖๘ วรรคสอง
ของระเบียบเดียวกันเพียงฐานเดียว ดังน้ัน คําส่ังลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ เฉพาะสวนที่ลงโทษไล
ผูฟองคดีออกจากงานในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
จงึ ชอบดว ยกฎหมาย และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีในการประชุม เม่ือวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี เฉพาะสวนที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงานในความผิดฐานกระทําการ
อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงจึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน กรณีนี้แมเลขาธิการ
คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงานในความผิดฐานกระทําการ
หรอื ยอมใหผ ูอน่ื กระทาํ การหาผลประโยชนอันอาจทําใหเสียความเที่ยงธรรม หรือเส่ือมเสียเกียรติศักดิ์
ของตาํ แหนง หนาท่ีของตน ตามขอ ๖๕ ของระเบียบขางตน แตกตางไปจากมติของคณะอนุกรรมการ
เพ่ือพิจารณาการดําเนินการทางวินัย ซึ่งไมเปนไปตามขอ ๗๕ วรรคสอง (๑) ของระเบียบดังกลาวก็ตาม
แตไมทําใหผลของคําส่ังของเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งที่สั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากงาน และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ยกอุทธรณของผูฟองคดีในความผิดฐาน
กระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๖๘ วรรคสอง ของระเบียบเดียวกัน
ซึ่งเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายเปล่ียนแปลงไป อีกทั้ง โทษไลออกจากงานเปนโทษสูงสุด
ของโทษทางวินัย ศาลจึงไมจําตองพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังในสวนอื่นท่ีไมชอบดวยกฎหมาย
ของผูถูกฟองคดีอีก และแมวาในมูลเหตุเดียวกันกับท่ีผูฟองคดีถูกรองเรียนนั้น ศาลจังหวัดศรีสะเกษ
และศาลอุทธรณไดมีคําพิพากษายกฟองแลวก็ตาม แตคําพิพากษาของศาลดังกลาวไมไดพิพากษาวา
ผูฟองคดีไมมีความผิด เพียงแตพยานหลักฐานยังไมแนชัดวาผูฟองคดีเรียกรับเงินจากนาย ธ.
หรือไม ศาลจึงยกประโยชนแหงความสงสัยใหแกผูฟองคดี เม่ือคดีนี้พยานหลักฐานจากการสอบสวน
ทางวินัยรับฟงไดวา พฤติการณของผูฟองคดีเปนการกระทําอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามที่ถูกกลาวหา แมในการดําเนินคดีอาญา
ของศาลจะมีคําพิพากษายกฟองผูฟองคดี แตในการดําเนินการทางวินัย ผูบังคับบัญชาก็สามารถ
ใชดลุ พนิ ิจส่งั ลงโทษไลผฟู อ งคดีออกจากงานได
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๑)
พิพากษายกฟอง
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟ. ๒๔/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา เดิมผูฟ องคดดี ํารงตําแหนง เจา พนกั งานการเลือกตั้ง (งานการมีสวนรวม)
สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดเลย ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่
ผูถูกฟองคดี (เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกต้ัง) มีคําสั่งลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ปลดผูฟองคดี
ออกจากงาน โดยใหม ีผลตงั้ แตว ันท่ี ๓ ธนั วาคม ๒๕๕๐ กรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาท่ี
โดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดรับประโยชนท่ีมิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ี ผูฟองคดี
เหน็ วาคาํ สงั่ ดงั กลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงไดย่ืนอุทธรณตอผูถูกฟองคดี และไดรับแจงผลการพิจารณา
อุทธรณ ใหย นื ตามมตขิ องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผูฟอ งคดจี งึ นําคดีมาฟอ งขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ลงโทษทางวนิ ัย และใหค ืนสิทธิประโยชนท ีผ่ ฟู องคดีพึงไดต ามกฎหมาย
ศาลปกครองสงู สดุ วนิ ิจฉัยวา เม่ือผูถูกฟองคดีไดมีคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ขอเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแลว คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการแจงให
ผูฟองคดีรับทราบขอกลาวหา ตามแบบ สว. ๒ และเม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดรวบรวม
พยานหลักฐานท่ีเก่ียวของแลวเสร็จไดดําเนินการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ที่สนับสนุนขอกลาวหาตามแบบ สว. ๓ ใหผูฟองคดีทราบ อีกทั้ง ผูฟองคดีไดใหถอยคําไวกับ
คณะกรรมการสอบสวนแลวตามบันทึกถอยคําของผูถูกกลาวหาตามแบบ สว. ๔ กรณีจึงถือวา
ผูฟองคดีไดมีโอกาสทราบขอเท็จจริงอยางเพียงพอ และไดโตแยงแสดงพยานหลักฐานของตน
ตามมาตรา ๓๐ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แลว อีกทั้ง คณะกรรมการ
สอบสวนไดดําเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑและวิธีการสอบสวนตามที่กําหนดไวในขอ ๑๔
วรรคหน่ึง และขอ ๑๕ วรรคหน่ึง ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา และระเบียบคณะกรรมการ
การเลือกต้ัง วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยชอบแลว สวนท่ีผูฟองคดีอางวา
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไมดําเนินการสอบสวนใหแลวเสร็จ ภายในเวลาที่กําหนดไว และ
ไมปรากฏวามีการขอขยายระยะเวลาจนระยะเวลาลวงเลยมาถึง ๔ ป และมีคําส่ังลงโทษปลด
ผฟู องคดีออกจากงาน จงึ เปนการดําเนินการที่ไมเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการวาดวยการสอบสวน
และพิจารณาตามขอ ๑๒ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ ฯ นั้น ระยะเวลาในการดําเนินการสอบสวน
ตามท่ีกฎหมายกําหนดไวดังกลาว ถือวาเปนมาตรการเรงรัดใหการดําเนินการสอบสวนแลวเสร็จ
ภายในเวลาอนั สมควรเทานั้น และกฎหมายไมไดกําหนดใหการดําเนินการสอบสวนซ่ึงเกินกําหนด
ระยะเวลาดังกลาวไมมีผลสมบูรณตามกฎหมายหรือใชบังคับไมได หรือมีผลกระทบตอความสมบูรณ
ของคําสั่งปลดผูฟองคดีออกจากงานแตอยางใด เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูฟองคดีไดรับมอบหมาย
จากผูบังคับบญั ชาใหช วยเหลือในการปฏิบตั หิ นาทด่ี า นการเงินของสาํ นกั งานคณะกรรมการการเลอื กตั้ง
ประจําเขตเลือกต้ังท่ี ๓ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๔ แมจะไมปรากฏขอเท็จจริงวา
มีคาํ สง่ั แตงตัง้ ผูฟองคดใี หด าํ รงตําแหนงหรือมีคําสั่งเปนลายลักษณอักษรมอบหมายจากผูบังคับบัญชา
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๒)
ใหป ฏิบตั ิหนา ทีเ่ กี่ยวกบั การเงินกต็ าม แตโดยที่ พ.ร.บ. วิธปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๓๔ บัญญัติวา คําส่ังทางปกครองอาจทําเปนหนังสือหรือวาจาหรือโดยการส่ือความหมาย
ในรูปแบบอื่นก็ได แตตองมีขอความหรือความหมายท่ีชัดเจนเพียงพอที่จะเขาใจได มาตรา ๓๕
บัญญัติวา ในกรณีท่ีคําสั่งทางปกครองเปนคําส่ังดวยวาจา ถาผูรับคําสั่งนั้นรองขอและการรองขอได
กระทําโดยมีเหตุอันสมควรภายในเจ็ดวันนับแตวันที่มีคําส่ังดังกลาว เจาหนาที่ผูออกคําส่ังตองยืนยัน
คําสั่งน้ันเปนหนังสือ มาตรา ๔๒ วรรคสอง บัญญัติวา คําสั่งทางปกครองยอมมีผลตราบเทาที่ยังไมมี
การเพิกถอนหรือสิ้นผลลงโดยเงื่อนเวลาหรือโดยเหตุอื่น จากบทบัญญัติดังกลาวเห็นไดวา คําส่ัง
ทางปกครองน้ันอาจทําดวยวาจาได เพียงแตตองมีความหมายท่ีชัดเจนเพียงพอที่จะเขาใจไดเทานั้น
เม่ือคาํ สง่ั มอบหมายใหผฟู อ งคดีปฏิบัติหนา ทด่ี า นการเงนิ เปน คาํ ส่งั ท่ีมีความหมายชัดแจง ยอมถือไดวา
ผูฟองคดีไดรับมอบหมายใหเปนเจาหนาที่ดานการเงิน ซ่ึงในการปฏิบัติหนาท่ีดังกลาว ผูฟองคดี
จะตองปฏิบัติหนาที่ดวยความซ่ือสัตย สุจริตและเท่ียงธรรม รวมทั้งตองปฏิบัติหนาท่ีใหเกิดผลดี
หรือความกาวหนาแกสํานักงานดวยความอุตสาหะ เอาใจใส และระมัดระวังรักษาประโยชนของ
สํานักงาน และตอ งไมประมาทเลินเลอในหนา ท่ี และเม่ือพจิ ารณาขอเท็จจริงตามทางการสอบสวน
และเอกสารพยานหลักฐานประกอบกับพฤติการณของผูฟองคดีที่ปรากฏในสํานวนมีนํ้าหนักเพียงพอ
ที่สนับสนุนใหรับฟงไดวา ผูฟองคดีแกไขใบสําคัญรับเงินคาเชาเคร่ืองเสียงจากจํานวน ๑,๕๐๐ บาท
เปนจํานวน ๓,๐๐๐ บาท จริง และแมวาการแกไขเอกสารดังกลาวจะเปนการแกไขเพ่ือใหตรงกับ
ขอเท็จจริงท่ีผูฟองคดีไดจายเงินเปนคาใชจายเก่ียวกับอาหารและเคร่ืองด่ืมแกอาสาสมัครรัฐธรรมนูญ
ตามความเปนจริงก็ตาม แตเม่ือสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไมไดจัดสรรงบประมาณในสวน
ของคา ใชจ ายดงั กลาวและเปนคาใชจ า ยทีไ่ มส ามารถเบิกจา ยกบั ทางราชการได การกระทําดังกลาว
ของผฟู องคดีจงึ เปนการจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ัง วาดวยการเงินและ
ทรัพยสิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอ ๑๑ ที่กําหนดวา ใบเสร็จรับเงิน หามขูด ลบ แกไข เพ่ิมเติม หมายเลข
กํากบั ใบเสร็จรบั เงิน จํานวนเงนิ หรอื ช่ือผชู าํ ระเงิน หากใบเสร็จรับเงินใดลงรายการรับเงินผิดพลาด
ใหทําการยกเลิกใบเสร็จรับเงินนั้น และขอ ๒๑ ที่กําหนดวา หลักฐานการจายเงินตองพิมพ หรือ
เขียนดวยหมึก การแกไขหลักฐานการจายใหใชวิธีขีดฆา การตกเติม ใหผูจายเงินลงลายมือช่ือ
กํากับไวทกุ แหง โดยพฤติการณดังกลาวของผูฟองคดีจึงเปนการปฏิบัติหนาที่โดยไมซื่อสัตย สุจริต
ไมเ อาใจใส และระมัดระวังรักษาประโยชนของสํานักงาน อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานปฏบิ ตั หิ นาทโ่ี ดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนท่ีไมควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ี
ตามขอ ๕๕ วรรคสาม และขอ ๕๖ ของระเบยี บคณะกรรมการการเลือกตงั้ วา ดว ยการบรหิ ารงานบคุ คล
พ.ศ. ๒๕๔๒ และฐานกระทาํ การอนั ไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๗๐ วรรคหน่ึง
ของระเบียบดังกลาว ซึ่งกรณีพนักงานของสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งฝาฝนขอหามหรือไม
ปฏบิ ตั ติ ามขอปฏิบัตทิ างวินยั นนั้ ตามขอ ๗๒ วรรคสอง ของระเบยี บเดยี วกัน ไดก ําหนดโทษทางวนิ ยั ไว
๕ สถาน คือ (๑) ภาคทัณฑ (๒) ตัดเงินเดือน (๓) ลดขั้นเงินเดือน (๔) ปลดออก และ (๕) ไลออก
และขอ ๗๖ วรรคหนึ่ง กําหนดวา พนักงานผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงใหเลขาธิการหรือ
ประธานกรรมการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการแลวแตกรณี ส่ังลงโทษปลดออก หรือไลออก
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๓)
ตามความรายแรงแหงกรณี ถามีเหตุอันควรลดหยอนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได
แตหามมิใหลดโทษลงตํ่ากวาปลดออก เม่ือไดวินิจฉัยแลววา พฤติการณของผูฟองคดีถือไดวา
เปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชน
ท่ไี มค วรได อันเปนการทุจริตตอหนาที่ และฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ดงั นั้น การทผี่ ูถกู ฟองคดมี ีคําส่งั ตามมตขิ องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
ที่ส่งั ลงโทษปลดผูฟอ งคดอี อกจากงาน จงึ ชอบดวยกฎหมายแลว
พพิ ากษายกฟอง
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๔๙๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (สํานักงานรับรอง
มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน)) ตําแหนงนักวิชาการ กลุมงาน
อํานวยการ ตามสัญญาจาง ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ มีกําหนดระยะเวลาการจาง ๓ ป
นับแตวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ผูฟองคดีไดรับมอบหมาย
ใหปฏิบัติหนาท่ีเก่ียวกับการจัดอบรม แตตอมาไดรับมอบหมายใหเปนเจาหนาที่พัสดุ หลังจากน้ัน
ผูถ ูกฟอ งคดที ่ี ๒ (ผอู ํานวยการสํานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษา (องคการ
มหาชน)) มีคําสั่งลงวันท่ี ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ปลดผูฟองคดีออกจากการเปนเจาหนาที่มีผลต้ังแต
วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ผูฟองคดีเห็นวา การปลดผูฟองคดีตามคําส่ังขางตนไมชอบดวยกฎหมาย
เนื่องจากผูฟองคดีมิไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๐ มีนาคม
๒๕๕๔ ขอความเปนธรรมตอประธานกรรมการบริหารของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และมีหนังสือลงวันท่ี
๔ เมษายน ๒๕๕๔ อุทธรณคําส่ังปลดผูฟองคดีออกจากการเปนเจาหนาที่ตอประธานกรรมการ
อุทธรณและรองทุกขของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แตจนถึงวันฟองคดีน้ี ผูฟองคดีก็ยังไมไดรับแจงผลการ
พิจารณาเร่ืองดังกลาวจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี
๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ใหผูฟองคดีกลับไปปฏิบัติงานเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และให
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี เปนจํานวน ๑๒๑,๓๐๒ บาท พรอมดอกเบี้ย
รอยละ ๗.๕ ตอป นับถัดจากวันฟองเปนตนไป และชดใชเงินเปนรายเดือน เดือนละ ๒๐,๓๓๐ บาท
นบั ถดั จากวันฟอ งเปน ตน ไปจนกวา ศาลจะมคี าํ พิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ภายหลังผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดรับหนังสือรองเรียน
พฤติกรรมของเจาหนาท่ีจัดซื้อจัดจางต๋ัวเครื่องบินของโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการ
ตามคํารับรองการปฏิบัติราชการของสถาบันอุดมศึกษา โดยสวนของหัวหนากลุมงานอํานวยการ
เปนผูมีสวนไดเสียในการจัดจางเนื่องจากครอบครัวเปนเจาของบริษัท ท. ผูถูกฟองคดีที่ ๒
ไดมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงพฤติกรรมเจาหนาท่ี ตอมา คณะกรรมการ
สอบขอเท็จจริงไดรวบรวมพยานหลักฐาน ในสวนคําขออนุมัติจัดจางบริษัท ท. ใหจัดทําโปรแกรม
ศึกษาดูงาน ณ ประเทศเวียดนาม เปนเงิน ๕๕,๗๘๔ บาท ตามใบเสนอราคา ลงวันที่
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๔)
๒๔ กุมภาพนั ธ ๒๕๕๒ โดยเสนออนุมัตแิ ตง ตั้งคณะกรรมการตรวจรบั งาน ภายหลังส้ินสุดโครงการ
ผฟู อ งคดจี ัดทํารายงานการตรวจรับงาน ลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๒ ใหประธานกรรมการลงนาม
พรอมกรรมการและเลขานุการ ยืนยันวาบริษัทดังกลาว ไดดําเนินการและสงมอบงานไดถูกตอง
ครบถวนตามใบส่ังจางแลวเสนอใหอนุมัติเบิกจายเงินแกผูรับจาง และมีการจายเงินแกบริษัท
ดังกลาวไปแลวเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๒ โดยผูฟองคดียอมรับวาเปนผูจัดทําเอกสาร
การขออนมุ ัติจัดจาง และจัดทาํ รายงานการตรวจรับงานจางโดยคณะกรรมการไมไดประชุมกันจริง
และไดใหนาง ป. เปนผูลงนามแทนประธานกรรมการจริง และรับวาเปนความผิดพลาดของผูฟองคดี
ตามบันทึกถอยคํา ลงวันท่ี ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เมื่อหัวเร่ือง
ของบันทึกถอยคําทั้งสองฉบับดังกลาวเปนเร่ืองการสอบสวนขอเท็จจริงพฤติกรรมของเจาหนาที่
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ กรณีจัดซื้อจัดจางซ้ือต๋ัวเครื่องบินเทาน้ัน ไมมีขอกลาวหาวาผูฟองคดี
ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงในเรื่องใด ไมมีการแจงพยานหลักฐานท่ีคณะกรรมการ
รวบรวมมาไวเพ่ือใหผูฟองคดีรับรูรับทราบและจะใหการตอสูหักลางพยานหลักฐานน้ันอยางไร
ตามมาตรา ๓๐ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และกรณีนี้
ไมเขาขอยกเวนตามความในมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๓) ท่ีวา เม่ือเปนขอเท็จจริงที่คูกรณีนั้นเอง
ไดใหไวใ นคาํ ใหก าร อนั จะทาํ ใหเ จาหนาที่ไมจําตองใหสิทธิดังกลาวแกผูฟองคดี เนื่องจากผูฟองคดี
รบั วา กระทาํ การผดิ พลาดในการใหน าง ป. ลงนามแทนประธานกรรมการ และโดยไมมีการประชุม
เน่ืองจากเปนการจัดจางรายเล็กและเจาหนาท่ีในสังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ก็ทํากันเปนประจํา
จึงเขาใจวาทําได แตผูฟองคดีมิไดรับวาไดปฏิบัติหนาที่สอไปในทางทุจริตตอหนาท่ี อาศัยอํานาจ
หนา ท่ขี องตนรว มกระทาํ การหาประโยชนใหแ กผ อู น่ื โดยมชิ อบ ทาํ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับความเสียหาย
อยางรายแรงแตอยางใด จึงเห็นวาการท่ีคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงอางขอ ๔๙ วรรคสอง
ของขอบังคับสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน) วาดวย
การบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๕ มาใชบังคับกับการดําเนินการทางวินัยอยางรายแรงโดยไมเสนอ
ใหมีการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการทางวินัยอยางรายแรงน้ัน เม่ือพิเคราะหขอ ๔๙
วรรคสาม ของบังคับดังกลาว กําหนดวา หลักเกณฑและวิธีการในการสอบสวนใหเปนไปตามที่
คณะอนุกรรมการกําหนด ซึ่งคณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคล มีมติใหคณะกรรมการหรือ
คณะทํางานที่สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน)
แตงต้ังใหมีหนาที่สอบสวน อนุโลมใหใชหลักเกณฑและวิธีการสอบสวนโดยอาศัยกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
เปนแนวทางในการพิจารณาดําเนินการ เม่ือคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไดรับการแตงต้ัง
ใหมีหนาที่สอบสวนดําเนินคดีวินัยอยางรายแรง ไมไดดําเนินการตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ดังกลาว จึงฟงไดวาคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง กระทําการสอบขอเท็จจริงและ
เสนอใหล งโทษปลดผูฟ อ งคดีโดยไมเปนไปตามขั้นตอนอันเปนสาระสําคัญในการบริหารงานบุคคล
ประกอบกับในชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณและรองทุกขไดมีมติใหเพิกถอนคําสั่งปลดผูฟองคดี
ออกจากการเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลวแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๕)
เพื่อดําเนินการใหถูกตองและเปนไปตามขั้นตอนของกฎหมายตอไป แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑
และคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงหาไดดําเนินการตามที่คณะกรรมการอุทธรณมีมติไม
อันเปนการไมยอมรับตามที่กฎหมายบัญญัติใหมีอํานาจหนาที่พิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ
ขออางวาการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรง คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงทําตามขอบังคับ
สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน) วาดวย
การบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๔ ขอ ๔๙ วรรคสอง โดยชอบแลวจึงไมอาจรับฟงได
เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีความประสงคจัดโครงการศึกษาดูงาน ณ ประเทศ
เวยี ดนาม วงเงนิ ไมเกินสองแสนบาท ตามระเบียบสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ
การศึกษา วา ดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๔ ขอ ๗ และขอ ๘ สําหรับกรณีผูฟองคดีในฐานะเจาหนาท่ี
พัสดุไดเสนอใหตกลงราคากับ บริษัท ท. ในวงเงิน ๕๕,๐๐๐ บาท ตอผูมีอํานาจอนุมัติเม่ือวันที่
๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๕๒ หลังเสร็จสิ้นโครงการ ผูฟองคดีทําเร่ืองเสนอคณะกรรมการตรวจรับงาน
โดยมีนาง ป. เปนประธานกรรมการแทนนาย ส. และผูมีอํานาจอนุมัติเบิกจายเงินจากคลัง
อนมุ ัตกิ ารจา ยโดยมไิ ดต รวจดูวาผูรายงานตรวจการจา งมใิ ชนาย ส. ประธานกรรมการตรวจรับงาน
แตบริษัท ท. ไดรับเงินไปแลวตามผลการปฏิบัติงาน โดยท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จัดซื้อต๋ัวเคร่ืองบิน
จัดจางบริษัท ท. ใหทําโปรแกรมศึกษาดูงานมาตลอด และผูฟองคดีก็ไดตกลงราคากับบริษัท
ดังกลาว เนื่องจากเห็นวามีช่ือเสียงและติดตอกับผูถูกฟองคดีที่ ๑ มาโดยตลอด ประกอบกับ
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไมสามารถแสวงหาพยานหลักฐานไดวาผูฟองคดีกระทําการทุจริต
แสวงหาประโยชนใหกับ บริษัท ท. โดยไมชอบดวยกฎหมายอยางไร แตกลับปรากฏขอเท็จจริงวา
บริษัท ท. ดําเนินการตามที่ตกลงจางแลวเสร็จและรับเงินคาจางตามสัญญาไปแลว โดยไมปรากฏวา
คาใชจายตางๆ สูงเกินราคาท่ีควรจะเปนอยางไร แมนาง ป. มีสามีทํางานอยูบริษัท ท. และเปน
ผูบริหารยังไมสามารถพิสูจนไดวา ผูฟองคดีเอื้อประโยชนแกบริษัท ท. และนาง ป. โดยไมชอบ
อยางไร แมบริษัทดังกลาวจะมีรายไดจากการรับจางคร้ังนี้ แตเม่ือไมพบความผิดปกติในการ
แสวงหาประโยชนอันมิควรไดโดยชอบดวยกฎหมายของผูฟองคดี กรณีจึงไมอาจถือวาผูฟองคดี
ทุจริตตอหนาท่ี สําหรับฐานความผิดอาศัยอํานาจหนาท่ีของตนรวมกระทําการกับหัวหนากลุม
อํานวยการหาประโยชนใหกับหัวหนากลุมงานและผูอื่น ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เสียหาย
อยา งรายแรง นนั้ ไมป รากฏขอ เทจ็ จริงวา ผฟู องคดีไดรว มกับนาง ป. ในการเจาะจงใหใชบริษัท ท.
เปนผูรับจาง จัดโปรแกรมศึกษาดูงานที่ประเทศเวียดนาม ดวยราคาท่ีสูงกวาปกติในทองตลาด
โดยท่วั ไป และผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ ไดร บั บริการจากการรบั จางของบรษิ ทั ดงั กลา วไปโดยชอบ โดยไมมี
ขอเท็จจริงเร่ืองความไมชอบดวยกฎหมาย ขอสัญญา แตอยางใด กรณีจึงฟงไมไดวาผูฟองคดี
กระทําผิดตามท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง เม่ือไดวินิจฉัยแลววา ผูถูกฟองคดี
มิไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ตามนัยขอ ๔๙ วรรคหน่ึง ของขอบังคับสํานักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน) วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๔
การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังปลดผูฟองคดีออกจากการเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงเปนการกระทําท่ีไมชอบดวยขอบังคับดังกลาว เมื่อคดีน้ีสัญญาจางผูฟองคดีระบุระยะเวลา
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๖)
การจางไว ๓ ป นับแตวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ แตผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําสั่งปลดผูฟองคดีเม่ือวันท่ี ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๕๔
จึงคงเหลือเวลาตามสัญญาจาง ๘ เดือน ๒๔ วัน ในขณะถูกเลิกจางผูฟองคดีไดรับเงินเดือน
เดือนละ ๒๐,๓๓๐ บาท ผูฟองคดีจึงควรไดรับเงินคาเสียหายจากการเลิกจางกอนครบกําหนด
เปนเวลา ๘ เดือน ๒๔ วัน แตผูฟองคดีมีคําขอคาเสียหายนับแตวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่
๕ กันยายน ๒๕๕๔ รวม ๕ เดือน ๒๙ วัน เปนเงิน ๑๒๑,๓๐๒ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรา
รอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินคาเสียหายนับแตวันถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ
ศาลจึงกําหนดใหตามคําขอ สวนคําขอใหชดใชเงินเปนรายเดือน เดือนละ ๒๐,๓๓๐ บาท
นับถัดจากวันฟองจนกวาศาลจะมีคําพิพากษา เมื่อสัญญาจางส้ินสุดลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน
๒๕๕๔ ผูฟองคดีมีสิทธิไดรับคาเสียหายที่เหลืออีกนับแตวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ รวม ๒ เดือน ๒๕ วัน รวมเปนเงิน ๕๗,๖๐๑.๖๐ บาท แตผูฟองคดีไมได
ขอดอกเบี้ยในสวนนี้ จึงไมกําหนดให สวนขออางของผูถูกฟองคดีท้ังสองวา ตามท่ีศาลปกครอง
ช้นั ตนกาํ หนดคาเสียหายโดยใหผ ถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ จายคาเสยี หายใหแกผ ฟู องคดีดังกลาว เปนกรณีที่
ไมอ าจมสี ิ่งใดรบั รองไดว าผูฟ อ งคดจี ะสามารถปฏิบัติงานตามสัญญาจางท่ีทําไวกับผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จนครบกําหนดในสัญญา โดยผูฟองคดีอาจลาออกไปปฏิบัติงานท่ีอ่ืนดวยความสมัครใจของตนเอง
หรือกรณีท่ีผูฟองคดีอาจไมผานการประเมิน น้ัน เห็นวาขออางของผูถูกฟองคดีทั้งสอง เปนเพียง
การคาดเหตุการณในอนาคตที่ยังไมเกิดข้ึนจริง และอาจไมเกิดกรณีเชนวาน้ันก็เปนได แตเม่ือได
วินิจฉัยแลววา ผูถูกฟองคดีทั้งสองมีคําส่ังเลิกจางโดยปลดผูฟองคดีออกกอนสิ้นสุดระยะเวลาตาม
สัญญาโดยไมชอบ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีหนาที่ตองชดใชคาเสียหายแกผูฟองคดีตามสัญญา ที่ศาล
ปกครองช้ันตนพิพากษาใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ชดใชคาเสียหายเปนเงินเดือนคางจายแกผูฟองคดี
จํานวน ๑๒๑,๓๐๒ บาท พรอมดอกเบี้ยรอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวนดังกลาว นับถัดจาก
วันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ และชดใชคาเสียหายเปนเงินเดือนคางจายอีกจํานวน
๕๗,๖๐๑.๖๖ บาท ท้ังน้ีใหดําเนินการใหแลวเสร็จภายใน ๔๕ วัน นับแตวันที่คําพิพากษาถึงที่สุด
นอกจากนี้ ใหคืนคาธรรมเนียมศาลเปนเงินจํานวน ๒,๔๒๖ บาท แกผูฟองคดี สวนคําขออ่ืนใหยก
น้ัน ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดว ย
พพิ ากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๕๑๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนพนักงานกองทุนเงินใหกูยืมเพ่ือการศึกษา (กยศ.)
ตําแหนงผูอํานวยการฝายประสานกิจการสัมพันธ ไดรับมอบหมายใหปฏิบัติหนาท่ีโครงการ
ประสานงานกองทุนเงินใหกูยืมเพื่อการศึกษาท่ีผูกกับรายไดในอนาคต (กรอ.) ไดรับ
ความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดี (ผูจัดการกองทุนเงินใหกูยืมเพื่อการศึกษา) มีคําส่ัง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน เน่ืองจากเห็นวาผูฟองคดีมีพฤติการณไปทําสัญญา
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๗)
กยู ืมเงนิ กรอ. ใหกับสถานศกึ ษาซ่ึงถูกเพิกถอนการมอบอํานาจการดําเนินงาน และเปนการไปทําสัญญา
ในวันเสาร – อาทิตย โดยมิไดแจงและขออนุมัติตอผูบังคับบัญชา และมีพฤติการณปกปดไมให
ผูบังคับบัญชาทราบ มีการเรียกรองคาเบ้ียเลี้ยงจากสถานศึกษาใหตนเองและผูอ่ืนเกินสมควร
ใหสถานศึกษาจายคาเคร่ืองบินใหคณะทํางานซ่ึงเปนลูกจางเกินความจําเปนและเกินสิทธิ รับฝาก
ของจากสถานศึกษาซงึ่ มมี ลู คา กวา ๓,๐๐๐ บาท จัดทําสญั ญากยู มื เงิน กรอ. รายใหมท่ีวิทยาลัย ฉ.
โดยทราบอยูแลววานักศึกษาอาจไมมีสิทธิขอรับทุน ซึ่งผูฟองคดีไดกระทําในนามของ กยศ.
ทําใหภาพลักษณของ กยศ. เสียหาย และผูฟองคดีเคยดํารงตําแหนงผูอํานวยการฝายกฎหมาย
และติดตามหน้ีมากอน ยอมทราบขอกฎหมายเปนอยางดี แตกลับฝาฝนมิไดดําเนินการใหเปนไป
ตามกฎหมาย จึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ผูฟองคดีเห็นวา พฤติการณดังกลาวไมเปน
ความจริง และการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีทันที โดยมิไดให
ผูฟองคดีมีโอกาสช้ีแจงขอเท็จจริงในช้ันสอบขอเท็จจริงกอน เปนการกระทําที่ผิดขั้นตอนของ
การสอบสวน และการสอบสวนไมโปรงใส ไมเปนธรรม และมีอคติ ผูฟองคดีจึงอุทธรณคําสั่ง
ดังกลาวตอคณะกรรมการ กยศ. แตเมื่อเวลาลวงเลยมากวาเกาสิบวันนับแตวันท่ีผูฟองคดีไดย่ืน
อุทธรณ ก็ยังไมมีการดําเนินการใดๆ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากพนักงาน ให กยศ. คืนเงินเดือน สิทธิประโยชนและ
สวัสดิการตางๆ ตั้งแตวันที่ส่ังพักงานจนถึงวันท่ีมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งลงโทษเต็มจํานวน และให
กยศ. เยียวยาผูฟองคดีท่ีไดรับความเสียหายท้ังทางจิตใจ ชื่อเสียง เกียรติยศ สิทธิประโยชนตางๆ
นบั ต้ังแตว ันถกู ส่งั ใหพ กั งานจนถึงวนั ที่มคี าํ สัง่ ยกเลิกคาํ ส่ังลงโทษดงั กลา ว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีไดแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงถึงพฤติกรรมดังกลาวของผูฟองคดีกอนที่จะมีคําส่ังแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง โดยผลการสอบขอเท็จจริงมีมูลวาผูฟองคดีทําผิดวินัย
อยางรายแรง ผูถูกฟองคดีจึงไดแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี
โดยในการสอบสวนวินัยผูฟองคดีน้ัน คณะกรรมการสอบสวนไดแจงและอธิบายขอกลาวหา
และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาใหผูฟองคดีทราบ ตามบันทึกการแจงและอธิบาย
ขอกลาวหา ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ และบันทึกการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ท่ีสนับสนุนขอกลาวหา ลงวันท่ี ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๒ และเปดโอกาสใหผูฟองคดีช้ีแจงและ
นําพยานหลักฐานเขาสืบแกขอกลาวหาได โดยผูฟองคดีไดย่ืนคําช้ีแจงแกขอกลาวหาเปนหนังสือ
รวม ๓ ฉบับ กรณีจึงเปนการดําเนินการตามขอบังคับกองทุนเงินใหกูยืมเพ่ือการศึกษา วาดวย
พนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ ขอ ๙๘ วรรคหน่ึง แลว เม่ือคณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวน
ตอผูถูกฟองคดี ผูถูกฟองคดีไดเสนอรายงานผลการสอบสวนดังกลาวตอคณะกรรมการ กยศ.
เพ่ือพิจารณาใหความเห็นชอบ ตามขอ ๑๐๑ วรรคหน่ึง ของขอบังคับดังกลาว ซึ่งคณะกรรมการ
กยศ. มีมติเห็นชอบตามรายงานการสอบสวน โดยใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน
ดังน้ัน การดําเนินการสอบสวนและการออกคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากพนักงานจึงเปน
การดําเนินการโดยถูกตองตามรูปแบบข้ันตอนและวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดแลว นอกจากนี้
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๘)
เม่ือพิจารณาจากพยานหลักฐานในสํานวนคดีแลวเห็นวา การเดินทางไปจัดทําสัญญากูยืมเงิน กรอ.
ใหส ถานศกึ ษาตางๆ ของผูฟองคดีและคณะ เปนการเดินทางไปปฏิบัติงานโดยไมไดรับอนุญาตจาก
ผถู กู ฟองคดซี ่ึงเปนผูบังคบั บญั ชา จงึ เปนการไมปฏิบัติตามขอ ๖๒ ของขอบังคับกองทุนเงินใหกูยืม
เพ่ือการศึกษา วาดวยพนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ และในการเดินทางดังกลาว ผูฟองคดีและคณะ
ไดเรียกรองคาตอบแทนจากสถานศึกษาเปนจํานวนเงินท่ีสูงกวาคาเบ้ียเล้ียงท่ีสามารถเบิกจาย
จาก กยศ. ตามขอ ๖๔ (๑) ของขอบังคับดังกลาวมาก และยังใหเจาหนาท่ีซึ่งเปนลูกจาง กยศ.
เดินทางโดยเครื่องบินโดยใหสถานศึกษาเปนผูออกคาใชจายให ทั้งที่ตามขอบังคับเดียวกัน
พนักงานระดับ ๑ ถึงระดับ ๒ ไมสามารถเดินทางไปปฏิบัติงานโดยเครื่องบินได การกระทําของ
ผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนการอาศัยอํานาจหนาท่ีของตน หาผลประโยชนใหกับตนเองและผูอ่ืน
โดยมิชอบ สรางความเดือดรอนใหกับสถานศึกษา เรียกรองเอาผลประโยชนจากสถานศึกษา
โดยอาศยั อาํ นาจหนา ที่การงานของตนในการทําสัญญากูยืมเงิน กรอ. ใหกับสถานศึกษาซ่ึงถูกเพิกถอน
การมอบอํานาจ ไมสามารถทําสัญญากูยืมเองไดและเรียกรองเอาทรัพยจากสถานศึกษาใหกับตนเอง
และคณะโดยมิชอบ ประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาที่การงานของตน การกระทําของ
ผูฟองคดีจึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ
เพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ี อันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง และปฏิบัติหนาที่โดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และ
ขอบังคับของกองทุนอันเปนเหตุใหเสียหายแกกองทุนอยางรายแรง ตามขอ ๙๔ (๓) (๖) และ (๘)
ของขอบังคับกองทุนเงินใหกูยืมเพ่ือการศึกษา วาดวยพนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ ดังน้ัน คําส่ังลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงานจึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว อีกท้ัง ผูฟองคดี
เปนผูเรียกรองคาใชจายตางๆ จากทางสถานศึกษา โดยทางสถานศึกษาเกรงกลัววาจะไมไดรับ
ความรวมมือในการจัดทําสัญญากูยืมเงิน กรอ. กรณีน้ีจึงมิใชเปนกรณีที่สถานศึกษายินดีรับภาระ
คาใชจายโดยสมัครใจตามมติของคณะกรรมการ กยศ. ในคราวประชุมเม่ือวันท่ี ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๖
แตอ ยา งใด ทศ่ี าลปกครองชนั้ ตน พพิ ากษายกฟอง น้นั ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดวย
พิพากษายนื
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อร.๒๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนกํานันตําบลราษฎรเจริญ อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม ถูกจับและดําเนินคดีในขอหาเลนการพนันชนไกโดยไมไดรับอนุญาต
ซ่ึงศาลจังหวัดมหาสารคามไดพิพากษาวาผูฟองคดีรวมกับผูท่ีอยูในเหตุการณจํานวน ๑๕ คน
ฐานเปนผูรวมเลน ไมมีเจามือหรือเจาสํานัก ปรับคนละ ๘๐๐ บาท ซึ่งกรณีดังกลาวผูฟองคดีเพียงแต
จะเขาไประงับเหตุลักลอบเลนการพนันในฐานะกํานันผูปกครองทองที่ แตในระหวางนั้นมีเจาหนาท่ี
ทหารและตํารวจเขาไปทําการจับกุมผูลักลอบเลนการพนันดังกลาว จึงไดควบคุมตัวผูฟองคดีไวดวย
เจาหนาท่ีดังกลาวไดเกลี้ยกลอมใหผูฟองคดีรับสารภาพ ผูฟองคดีคิดวาหากรับสารภาพไปแลว
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๗๙)
ไมนาจะทําใหขาดคุณสมบัติของการเปนกํานัน/ผูใหญบาน จึงยอมรับสารภาพในชั้นสอบสวน
และในชั้นศาล จนเปนเหตุใหคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ใหปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงตามคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูวาราชการจังหวัดมหาสารคาม)
ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ผูฟองคดีไมเห็นดวยจึงย่ืนคํารองทุกขตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(กระทรวงมหาดไทย) ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ใหยกคํารองทุกข จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากตําแหนงกํานัน เพิกถอนผลการวินิจฉัยคํารองทุกขของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ยกคํารองทุกข
ของผูฟอ งคดี และใหคนื สิทธปิ ระโยชนแ กผูฟ องคดีทั้งหมด
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อปรากฏวา ผูฟองคดีถูกจับและดําเนินคดีในขอหา
เลนการพนนั ชนไกโดยไมไ ดรบั อนญุ าต ซ่งึ ศาลจงั หวัดมหาสารคามไดพ ิพากษาใหป รับคนละ ๘๐๐ บาท
นายอําเภอพยัคฆภูมิพิสัยจึงไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ขอเท็จจริงกรณีดังกลาว พรอมกับพักหนาที่ผูฟองคดีดวย นายอําเภอพยัคฆภูมิพิสัยไดรายงาน
ผลการสอบสวนขอเท็จจริงวามีพฤติการณอันเช่ือไดวาผูฟองคดีกระทําผิดตาม พ.ร.บ. การพนัน
พุทธศักราช ๒๔๗๘ ตอ มา รองผวู าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการแทนผูวาราชการจังหวัดมหาสารคาม
ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี
คณะกรรมสอบสวนไดร ายงานผลการสอบสวนทางวินยั วา เหน็ สมควรลงโทษปลดออก ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
พิจารณาแลวจึงไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน
ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงมีหนังสือลงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ รองทุกขตอนายอําเภอพยัคฆภูมิพิสัย
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดพิจารณาคํารองทุกขแลวเห็นวา การท่ีรองผูวาราชการจังหวัด ปฏิบัติราชการแทน
ผูวาราชการจังหวัดมหาสารคาม ออกคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยรายแรง
เปนการดําเนินการโดยไมมีอํานาจ เนื่องจากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดมอบอํานาจใหรองผูวาราชการ
จังหวัดมหาสารคามมีอํานาจในการดําเนินการทางวินัยกับกํานัน ผูใหญบาน ตาม พ.ร.บ. ลักษณะ
ปกครองทองที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ จึงใหจังหวัดเพิกถอนคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดีออกจาก
ตําแหนงกํานัน และยกเลิกคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง พรอมท้ังใหแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีเสียใหม และพิจารณาดําเนินการตามอํานาจหนาท่ี
ตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๖ มีนาคม
๒๕๕๘ ที่ส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน และเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๔ ตุลาคม
๒๕๕๗ ที่แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี พรอมกับมีคําสั่งแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั อยางรายแรงผูฟองคดใี หม ตอมา คณะกรรมการสอบสวนไดดาํ เนนิ การ
สอบสวนและรายงานการสอบสวนลงวนั ท่ี ๙ ตลุ าคม ๒๕๕๘ ตอ ผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ และผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน ต้ังแตวันที่ ๑๕
กันยายน ๒๕๕๗ เมื่อคําส่ังจังหวัดมหาสารคาม ลงวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากตําแหนงกํานัน เปนคําสั่งที่มีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี
จึงเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๘๐)
เมื่อดําเนินการไมถูกตองตามขั้นตอนอันเปนสาระสําคัญตามท่ีกฎหมายกําหนด มีผลใหคําส่ังดังกลาว
ไมชอบดวยกฎหมาย เจาหนาท่ีหรือผูบังคับบัญชาของเจาหนาที่อาจเพิกถอนคําสั่งทางปกครองได
ตามมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติวิธีดังกลาว และการเพิกถอนคําส่ังทางปกครอง
ที่ไมชอบดวยกฎหมาย อาจถูกเพิกถอนท้ังหมดหรือบางสวน โดยใหมีผลยอนหลังหรือไมยอนหลังได
ตามมาตรา ๕๐ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๘
สิงหาคม ๒๕๕๘ เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนง
กํานัน ซึ่งแปลความใหการเพิกถอนคําส่ังลงโทษดังกลาวมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘
จงึ เปน กรณที ่ีผูบังคับบัญชาเพิกถอนคําส่ังทางปกครองทีไ่ มช อบดว ยกฎหมายตามมาตรา ๔๙ วรรคหน่ึง
ประกอบกับมาตรา ๕๐ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ซ่ึงเมื่อไดดําเนินการเพิกถอนคําส่ังดังกลาวแลว
ยอมถือไดวา ผูฟองคดีไมเคยถูกลงโทษทางวินัยสําหรับการกระทําความผิดในกรณีเดียวกันนี้มากอน
ดังน้ัน เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจาก
ตําแหนงกํานัน จึงไมใชกรณีที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงโทษผูฟองคดีซํ้าอีกครั้งหนึ่ง จึงไมอาจ
ถือไดวาเปนการลงโทษสองครั้งในการกระทําครั้งเดียว ดังน้ัน คําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน จึงเปนคําสั่งท่ีชอบดวยกฎหมาย
และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ียกคํารองทุกขของผูฟองคดีโดยอาศัยเหตุผลเดียวกัน
จงึ เปนคําสั่งท่ีชอบดวยกฎหมายเชนกัน ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง นั้น ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพอ งดว ย
พพิ ากษายนื
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓