The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-02-23 02:06:39

วินัย

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

(๒๕๓)
จึงยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ มีมติลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในการประชุมเมื่อวนั ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยการลงมติดังกลาวมีคณะกรรมการในการประชุม
ลงมติไมถงึ กง่ึ หน่งึ จึงไมชอบดว ยกฎหมาย เมื่อผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ อาศัยมติ อ.ก.พ. กรมราชทณั ฑ ดงั กลาว
มีคําสั่งลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ ไลผูฟองคดีออกจากราชการตั้งแตวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒
จึงเปนคําสั่งไมชอบดวยกฎหมาย ตอมา ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ อ.ก.พ.
กรมราชทัณฑไดประชุมและมีมติใหมในเรื่องดังกลาว ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
หลังจากน้ันผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ใหยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี
๔ กันยายน ๒๕๕๒ และใหลงโทษผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒
ซ่ึงเปนคําสั่งลงโทษใหมีผลยอนหลัง จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ผูฟองคดีเห็นวา ผูฟองคดี
เปนเพียงผูรับฝากเงินคาซื้อทองคําจากเพื่อนขาราชการและผูเสียหายคนอ่ืนพรอมทั้งเงินของ
ผูฟองคดีเองแลวนําไปมอบใหกับนาง อ. กับพวก ตามท่ีเพ่ือนขาราชการผูเสียหายไดโทรศัพท
ติดตอกับนาง อ. กับพวกไวลวงหนา หลังจากผูฟองคดีมอบเงินใหนาง อ. กับพวกแลว
เพื่อนขาราชการผูเสียหายก็จะโทรไปสอบถามนาง อ. กับพวกวาไดรับเงินฝากซื้อทองของตนจาก
ผูฟองคดีครบถวนหรือไม ผูฟองคดีไมมีเจตนาหลอกลวงเพื่อนขาราชการใหหลงเช่ือและฝากตน
ซื้อทองคําติดตอกันหลายคร้ัง อันมีพฤติการณเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานไมรักษา
ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์ของตําแหนงขาราชการของตน กระทําตนไดชื่อวาประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามที่ถูกกลาวหาแตอยางใด หลังจากผูฟองคดีถูกไลออกจากราชการแลว ผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณ
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ขอใหมีคําส่ังยกเลิกเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาแลวเห็นวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการโดยไมจําเปนตองรอผลของคดีอาญา ผูฟองคดีเห็นวากรณีดังกลาวถือเปน
การเลือกปฏิบัติโดยไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
เพิกถอนคําสง่ั ลงวันที่ ๔ กนั ยายน ๒๕๕๒ และคาํ สง่ั ลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ รับผูฟองคดีกลับไปรับราชการในตําแหนง
เดิมหลังจากศาลมีคําพิพากษา เห็นวา การที่ผูฟองคดีชักชวนใหขาราชการทัณฑสถานหญิงกลาง
สั่งซื้อทองคําในราคาท่ีต่ํากวาทองตลาดมาเพ่ือเปนการเก็งกําไรเกินปกติ นั้น การแสดงขอความ
อันเปนเท็จดังกลาวเร่ิมตนมาจากนาง ร. และนาง ส. ไดรวมมือกับนาง อ. ซ่ึงเปนอดีตผูตองขัง
ที่ถูกลงโทษในขอหาท่ีมีลักษณะเชนเดียวกันนี้ จนกระทั่งเริ่มมีปญหาในการสงมอบทองคําใหกับ
ผูฝากซ้ือ ผูอํานวยการทัณฑสถานหญิงกลางจึงมีคําส่ังหามซ้ือขายทองคําภายในทัณฑสถานหญิงกลาง
เพ่ือเปนการปองปรามมิใหขาราชการทัณฑสถานหญิงกลาง ใชสถานท่ีราชการกระทําการใดๆ
แสวงหาประโยชนโดยมิชอบอันอาจไดรับโทษท้ังทางวินัยและทางอาญา และเปนการเส่ือมเสีย
แกราชการของผูถูกฟองคดีที่ ๑ เม่ือผูฟองคดีเปนขาราชการ ตําแหนง นักวิชาการอบรมและ
ฝกวิชาชีพ ๖ว สังกัดทัณฑสถานหญิงกลาง ยอมท่ีจะตองทราบถึงปญหาท่ีเกิดข้ึนภายใน
ทัณฑสถานหญิงกลางซึ่งเปนสถานท่ีงานของตนเอง รวมถึงคําส่ังของผูบังคับบัญชาที่หามซื้อขาย

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๕๔)
ทองคําภายในทัณฑสถานหญิงกลาง และผูฟองคดีสมควรที่จะตองปฏิบัติตามคําสั่งโดยไมเขาไป
เก่ียวของกับการซ้ือขายทองคําดังกลาว แตผูฟองคดีกลับไปพูดชักชวนใหขาราชการทัณฑสถานหญิงกลาง
เช่ือวายังสามารถซ้ือทองคําผานตนเองได โดยอางวารูจักกับนาง ร. ซ่ึงเปนหุนสวนรายใหญ
รานทอง จ. มีเจาของเปนนายกสมาคมทองคําแหงประเทศไทย ทําใหไดสิทธิในการส่ังซ้ือทองได
ในราคาบาทละ ๗,๕๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท และยังอางวานาง ร. มีฐานะดี ทํางานท่ีศาลแขวง
พระนครเหนือ จึงนาเช่ือถือ ซ่ึงการพูดขอความดังกลาวเปนการยืนยันวา ขาราชการกรมราชทัณฑ
ยังสามารถซื้อทองคําไดในราคาถูก ทั้งที่ในเวลาน้ันการซ้ือขายทองคําของนาง ร. กับพวก
เริ่มมีปญหาการสงมอบแลว การแสดงขอความดังกลาวจึงเปนแสดงขอความอันเปนเท็จ
แตเมื่อผูเสียหายที่ฝากผูฟองคดีซื้อทองคําตางใหการตอคณะกรรมการสอบสวนตรงกันวา ไดฝาก
ผูฟองคดีซ้ือทองคําเน่ืองจากเช่ือวาสามารถซื้อทองคําไดในราคาถูกเพราะการรูจักกับหุนสวนรานทอง
โดยไดนัดพบกับผูฟองคดีหรือจาสิบเอก ว. สามีของผูฟองคดีในสถานที่ตางๆ เพ่ือสงมอบเงิน
คาทองคาํ แตเ มอ่ื ถงึ กาํ หนดเวลาสง มอบทองคํา ผูฟองคดีกลบั ไมไ ดนําทองคํามามอบใหแตอยางใด
โดยอางวาไดมอบเงินใหกับนาง ร. ไปแลว แตนาง ร. ยังไมไดสงมอบทองคํามาให นอกจากน้ี
นาง ส. พยานและผูเสียหาย ไดเดินทางไปศาลอาญาในคดีที่มีการฟองนาง ส. และนาง ร.
เปนจําเลย และไดพบกับนาง ร. จึงสอบถามเกี่ยวกับเงินฝากซื้อทองคํา ซึ่งนาง ร. ปฏิเสธวา
ไมเคยไดรับเงินจากผูฟองคดี ผูเสียหายไดเรียกใหผูฟองคดีมายืนยันตอหนานาง ร. แตผูฟองคดี
กลับเดินไปรับโทรศัพทแลวเดินหายไป โดยอางในภายหลังวารีบกลับมาทํางานและหากอยูพูดจากัน
ตอไปอาจระงับอารมณไมอยูเพราะนาง ร. ไดใหการวาไมรูจักและไมเคยรับเงินจากผูฟองคดี น้ัน
เห็นวา ผูฟองคดีไดใหการตอคณะกรรมการสอบสวนวา นอกจากที่ไดรับฝากเงินจากผูเสียหาย
เพ่ือนําไปใหนาง ร. ซื้อทองคําแลว ผูฟองคดียังเปนผูเสียหายจากการฝากนาง ร. ซ้ือทองคําดวย
แตเม่ือผูฟองคดีไดพบนาง ร. ที่ศาลอาญา ผูฟองคดีกลับไมเดินเขาไปสอบถามนาง ร. เร่ืองเงิน
คาทองคําของตนและของผูเสียหายอื่นท่ีตนรับฝาก ซึ่งผิดวิสัยของผูซึ่งตองการติดตามทวงเงิน
จากบุคคลอื่นใหชําระหนี้คืนเงินแกตน อันเปนขอพิรุธสงสัยไดวาผูฟองคดีไมไดนําเงินรับฝากไป
ฝากซือ้ ทองคํา นอกจากนี้ พยานบุคคล ไดแก สามีและบุตรสาว ท่ีผูฟองคดีอางวารูเห็นเหตุการณ
การนัดพบกันระหวางผูฟองคดีกับกลุมของนาง ร. ก็เปนบุคคลใกลชิดกับผูฟองคดี อีกท้ังสามี
ของผูฟองคดีเองก็ถูกดําเนินคดีอาญาในขอหารวมกับผูฟองคดีฉอโกงผูอ่ืน จึงมีนํ้าหนักฟงไดนอย
ขออางของผูฟองคดีวา ไดรับฝากเงินผูเสียหายและนําเงินท้ังหมดไปฝากใหนาง ร. กับพวก
ซ้ือทองคําแลว จึงฟงไมข้ึน เม่ือผูฟองคดีเปนขาราชการสังกัดกรมราชทัณฑ แตกลับมีพฤติการณ
ที่แสวงหาประโยชนจากการแสดงขอความอันเปนเท็จวาสามารถซ้ือทองคําไดในราคาถูกท้ังที่
ในเวลาน้ันการซ้ือขายทองคําของนาง ร. กับพวกเริ่มมีปญหาการสงมอบแลว อีกท้ัง
เมื่อผูอํานวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาชั้นตนของผูฟองคดีไดมีคําส่ังหาม
มิใหมีการซ้ือขายทองคําในสถานท่ีราชการ ผูฟองคดีก็หลีกเล่ียงคําสั่งดังกลาวโดยการนัดหมาย
ผูเสียหายไปรับฝากเงินซื้อทองคําในสถานที่ตางๆ นอกสถานที่ราชการ การกระทําของผูฟองคดี
ดงั กลาวมคี วามเช่ือมโยงกับอดตี ผูต องขงั ท่กี ระทาํ ผิดอาญาลกั ษณะเดยี วกนั และเมื่อมีการทวงถาม

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๕๕)
ถึงเงินรับฝากซื้อทองคํา ผูฟองคดีกลับบายเบ่ียงวาไดมอบเงินดังกลาวใหกับนาง ร. นาง อ. หรือ
นาง ส. โดยไมไดแสดงความกระตือรือรนติดตามเงินคืนจากบุคคลตางๆ เพื่อแสดงใหเห็นถึง
ความบริสุทธ์ิใจของผูฟองคดีวาเปนเพียงผูรับฝากเงินเทาน้ัน การกระทําของผูฟองคดีเปนผล
ใหตองถูกดําเนินคดีอาญาในขอหาฉอโกง กรณีจึงถือวาผูฟองคดีไดกระทําการอันมีพฤติการณ
ไมรักษาช่ือเสียงของตน และไมรักษาเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาที่ราชการของตน และ
ทําใหภารกิจตามอํานาจหนาท่ีตามกฎหมายของกรมราชทัณฑเสียหาย อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตามมติ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ
ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่
๔ กันยายน ๒๕๕๒ จึงเปนการลงโทษตามความรายแรงแหงกรณีและชอบดวยกฎหมายแลว
เม่ือฟงเปนท่ียุติไดวาคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ชอบดวยกฎหมายแลว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ยกอุทธรณ
ของผูฟ อ งคดี จงึ ชอบดวยกฎหมายเชน กนั

กรณีผูฟองคดีอางวา การลงมติของ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ เมื่อวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ เปนมติที่ไมชอบดวยกฎหมาย น้ัน เมื่อการลงมติดังกลาว
มีอนุกรรมการนอ ยกวากงึ่ หน่งึ ของจํานวนอนุกรรมการทั้งหมด การพิจารณาและลงมติไลผูฟองคดี
ออกจากราชการจงึ ไมช อบดว ยกฎหมาย ตามมาตรา ๗๙ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒
ไลผูฟองคดีออกจากราชการนับแตวันที่ออกคําสั่ง คือ วันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒ ตามมติ อ.ก.พ.
กรมราชทัณฑ เม่ือวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จึงไมชอบดวยกฎหมายดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จึงมีอํานาจตามมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๕๐ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน
ที่จะเพิกถอนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมายดังกลาวได ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ยกเลิกคําส่ังลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ จึงชอบดวยกฎหมายแลว และ
เมอื่ ขอเทจ็ จริงปรากฏวา อ.ก.พ. กรมราชทัณฑไดพิจารณาเร่ืองของผูฟองคดีอีกคร้ังในการประชุม
เม่ือวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ และไดมีมติไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยในการประชุมครั้งน้ี
ไมปรากฏวา มีขอบกพรอ งท่ีจะเปนเหตุใหม ตไิ มช อบดวยกฎหมาย การท่ผี ถู ูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่ง
ไลผ ฟู อ งคดอี อกจากราชการตามมติ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๓
จึงเปนการดําเนินการตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยชอบแลว
สวนกรณีที่ผูฟองคดีอางวา การมีคําส่ังไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยมีผลตั้งแตวันที่
๔ กันยายน ๒๕๕๒ เปนการออกคําสั่งไลออกจากราชการยอนหลัง จึงไมชอบดวยกฎหมาย น้ัน
เห็นวา แมคดีนี้จะรับฟงไดวา คําสั่งลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ ท่ีไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ต้ังแตวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒ จะเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมายก็ตาม แตคําส่ังดังกลาว
ก็ยงั มีผลบงั คบั อยูตราบเทา ทีย่ งั ไมมีการเพกิ ถอน ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๕๖)
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือตอมามีเหตุที่จะตองมีคําสั่งไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ใหม ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ก็ชอบที่จะมีคําส่ังยอนหลังไปถึงวันออกจากราชการตามคําส่ังเดิมได
ตามขอ ๖ (๔) ของระเบียบ ก.พ. วาดวยวันออกจากราชการของขาราชการพลเรือนสามัญ
พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ไลผูฟองคดี
ออกจากราชการโดยใหม ผี ลตง้ั แตวันที่ ๔ กันยาน ๒๕๕๒ จงึ ชอบดว ยกฎหมายแลว

สวนที่ผูฟองคดีโตแยงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการโดยไมรอผลคดีอาญา และเม่ือศาลไดมีคําส่ังจําหนายคดีอาญาออกจากสารบบความ
หมดแลว กรณีจึงถือวาผูฟองคดีไมไดกระทําความผิดตามที่ถูกกลาวหา เห็นวา ในการดําเนินคดี
อาญาและการดําเนินการทางวินัย มีข้ันตอนและกระบวนการแตกตางกัน กลาวคือ ในการ
ดําเนินการคดีอาญานั้นมุงประสงคท่ีจะควบคุมการกระทําของบุคคลในสังคมมิใหกระทําการ
ท่ีกฎหมายกําหนดวาเปนความผิดอาญา เพ่ือคุมครองสังคมโดยรวมใหมีความสงบสุข และ
นําผูกระทําผิดมาลงโทษตามกฎหมาย โดยจะตองมีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจงปราศจาก
ขอ สงสัยวา ไดก ระทําความผิดจรงิ แตการดําเนินการทางวนิ ยั นั้น เปนมาตรการเพอื่ มุงทจ่ี ะปองกันและ
ปราบขาราชการที่ฝาฝนขอหามตามกฎหมายและระเบียบ โดยวิธีการลงโทษทางวินัย
ซึ่งผูบังคับบัญชามีดุลพินิจพิจารณาจากหลักฐานและพฤติการณตามที่ปรากฏในสํานวน
การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน ดังน้ัน การดําเนินการทางวินัยขาราชการจึงมิตอง
รอฟงผลในคดีอาญาแตอยางใด

พิพากษายกฟอง

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี ฟ.๒๑/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา ผฟู อ งคดีเปนขาราชการพลเรอื นสามญั ตําแหนงนิติกรชํานาญการพิเศษ

สํานักงานบังคบั คดีจังหวัดสุรินทร สังกัดกรมบังคับคดี เม่ือวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
(อธบิ ดกี รมบงั คับคด)ี มคี ําส่ังลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี กรณีกระทําผิดวินัย
ไมรายแรง ฐานไมใ หความเปน ธรรมแกป ระชาชนผตู ิดตอ ราชการเกี่ยวกับหนาที่ของตน และฐานดูหม่ิน
เหยียดหยาม กดข่ี หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๒ (๘) และมาตรา ๘๓ (๙)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีเม่ือคร้ังผูฟองคดีปฏิบัติหนาท่ีในตําแหนง
ผูอํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดสุรินทร สาขารัตนบุรี มีประกาศเจาพนักงานบังคับคดี
สํานักบังคับคดีจังหวัดสุรินทร สาขารัตนบุรี เรื่อง ประกาศใหมีการขายทอดตลาดทรัพยสิน
ลงวันท่ี ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๒ ขายทอดตลาดท่ีดินตามโฉนดที่ดินเลขท่ี ๑๙๑๒๗ ตําบลไพรขลา
อําเภอชมุ พลบรุ ี จงั หวัดสุรินทร โดยในการขายทอดตลาดมีนาย ห. ลงช่ือเขาสูราคาเพียงรายเดียว
และเสนอราคาสูงสุดเปนเงิน ๓,๐๐๐ บาท โดยโจทกและจําเลยไมไดมาดูแลการขายทอดตลาด
แตอยางใด ทําใหไมสามารถจะคัดคานราคาท่ีมีผูเสนอราคาได เจาพนักงานบังคับคดีเห็นวาราคา
ท่ีเสนอเปนราคาสมควรขายจึงเคาะไมขายใหแกนาย ห. โดยไมขออนุมัติจากผูฟองคดีกอน
ระหวางที่ผูซ้อื ทรพั ยรอรับหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ ผูฟองคดีขอใหเจาพนักงานบังคับคดีเรียกผูซ้ือทรัพย

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๕๗)
เขา พบเพอ่ื ช้ีแจงเหตุผล นาย ห. พรอมกบั นาย ก. ผรู องเรยี น เขา พบผูฟอ งคดี ซ่งึ ผูฟองคดีช้ีแจงให
บุคคลท้ังสองทราบวา เจาพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปในราคาที่ตํ่ากวาหนี้ตามคําพิพากษามาก
และเปนการขายคร้ังแรก ประกอบกับมีผูเสนอราคาเพียงรายเดียว อาจทําใหราชการและคูความ
เสยี หายได และเปนการไมชอบดวยกฎหมาย จากนั้นนาย ก. พูดจาตอบโตเก่ียวกับท่ีดินแปลงดังกลาว
กับผฟู องคดี และแสดงความไมพ อใจจนเกิดการทาทายกัน ผูฟองคดีจึงใหนาย ก. ออกไปจากหอง
แตเ ม่อื ผซู ้ือทรัพยไมยนิ ยอมเพม่ิ ราคาทรัพย ผูฟองคดีจึงลงนามในหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ใหแกผูซื้อทรัพย
โดยไมไดทํารายงานการขายทอดตลาดทรัพยใหมวาไมมีผูเขาสูราคา คณะกรรมการสอบสวนเห็นวา
การที่ผูฟองคดีเรียกผูเสนอราคาสูงสุดมาพบเพ่ือใหเพิ่มราคาสูงขึ้นอันเปนผลดีแกคูความในคดีก็ตาม
แตก็เปนการไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูติดตอราชการอันเกี่ยวกับหนาท่ีของตน เปนการ
กระทําผิดวินัยฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูติดตอราชการอันเก่ียวกับหนาท่ีของตน
ตามมาตรา ๘๒ (๘) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําสง่ั ลงโทษภาคทัณฑผฟู องคดีในความผดิ ฐานฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูติดตอราชการ
เก่ียวกับหนาท่ีของตน และฐานดูหม่ินเหยียดหยาม กดขี่ หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการ
ตามมาตรา ๘๒ (๘) และมาตรา ๘๓ (๙) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ผูฟองคดีไมเห็นดวย
จึงอุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) เห็นวา
อุทธรณของผูฟองคดีฟงข้ึนบางสวน จึงมีคําวินิจฉัย ลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ใหยกอุทธรณของ
ผูฟองคดี แตใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตัดขอความที่ระบุความผิดวินัยในสวนของฐานดูหมิ่น เหยียดหยาม
กดขี่ หรือขมเหงประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๓ (๙) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน
ออกจากคําสั่งลงโทษ ผูฟองคดีรับทราบคําวินิจฉัยอุทธรณเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ และเห็นวา
คําสั่งลงโทษและคําวินิจฉัยดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรอื คําสั่งเพิกถอนคาํ สั่งลงวนั ที่ ๑๘ มนี าคม ๒๕๕๔ ทล่ี งโทษภาคทัณฑผฟู องคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อมีกรณีรองเรียนกลาวหาวาผูฟองคดีซึ่งเปน
ขาราชการพลเรือนกระทําผิดวินัย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนผูมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗
แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มคี าํ สงั่ ลงวนั ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ มอบหมายให
ผูตรวจราชการกรมประจําเขตตรวจ ตรวจสอบขอเท็จจริง ซึ่งเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณา
ขอเท็จจริงตามที่ไดรับรายงานในเบื้องตนแลวเห็นวา มีมูลท่ีจะกลาวหาวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
จึงคําสั่งลงวันท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๓ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี อันเปน
การดาํ เนินการตามมาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒ แหง พระราชบญั ญัตดิ งั กลา วแลว โดยการสอบสวน
ทางวินัย คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑ วิธีการและระยะเวลา
ทกี่ าํ หนดในขอ ๑๔ ขอ ๑๕ และขอ ๒๑ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ซึ่งอนุโลมนํามาใชตามที่
มาตรา ๑๓๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติไว เพ่ือแสวงหาความจริง
ในเรื่องที่มีการกลาวหาและดูแลใหเกิดความยุติธรรมตลอดกระบวนการสอบสวน ทั้งนี้ ปรากฏ
ตามรายงานผลการสอบสวนวา ผูฟองคดีแจงตอคณะกรรมการสอบสวนวาไมประสงคจะยื่นคําชี้แจง

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๕๘)
เปนหนังสือ และไมประสงคที่จะนําสืบแกขอกลาวหา และเมื่อผูฟองคดีมีหนังสือขอใหเรงรัด
การสอบสวน พรอมทั้งเสนอขอใหมีการสอบพยานบุคคลเพ่ิมเติมอีก ๓ ราย ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําส่ังใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนพยานหลักฐานฝายผูฟองคดีเพ่ิมเติม และ
รายงานผลการสอบสวนเพ่มิ เตมิ ตอผถู ูกฟองคดีที่ ๑ กรณจี งึ เห็นไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดําเนินการ
ทางวินัยแกผูฟองคดีเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว เมื่อขอเท็จจริง
รับฟงไดวา การขายทอดตลาดในคร้ังนี้เจาพนักงานบังคับคดีพิจารณาแลวเห็นวาราคาท่ีผูเสนอราคา
เสนอมาเปนราคาสมควรขายโจทกแ ละจาํ เลยไมม าดูแลการขายจึงถือวาไมมีผูใดคัดคาน จึงเคาะไมขาย
การขายทอดตลาดของเจาพนักงานบังคับคดีจึงชอบดวยมาตรา ๓๐๙ ทวิ แหงประมวลกฎหมาย
วิธพี จิ ารณาความแพง จนกวาเจาหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหน้ีตามคําพิพากษาหรือบุคคลผูมีสวนไดเสีย
ในการบังคับคดียื่นคํารองตอศาลเพ่ือขอใหมีคําส่ังเพิกถอน ผูฟองคดีไมมีอํานาจท่ีจะถอนทรัพยสิน
ออกจากการทอดตลาด และมิใชหนาที่ของผูฟองคดีท่ีจะสอบถามหรือทวงติงในเร่ืองราคาทรัพย
กับผูซ้ือทรัพยแตอยางใด สวนที่เจาพนักงานบังคับคดีผูทอดตลาดมิไดรายงานใหผูฟองคดีเพ่ือขออนุมัติ
กอนเคาะไมขาย น้ัน ไมทําใหการขายทอดตลาดดังกลาวไมชอบแตอยางใด การท่ีผูฟองคดีที่เรียก
ผูซื้อทรัพยไปสอบถามเร่ืองราคาทรัพยในทํานองวาทําไมเสนอราคาแคนี้และสอบถามขอใหเพิ่มราคา
เปนเงิน ๘,๐๐๐ บาท จนเกินเลยไปถึงวาจะขอซ้ือทรัพยคืน ท้ังๆ ท่ีผูซ้ือทรัพยดําเนินการเสนอราคา
โดยถูกตองตามระเบียบและขั้นตอนในการขายทอดตลาดทรัพยสินของกรมบังคับคดีแลว แมวา
ผูฟองคดีจะมีเจตนาเพื่อจะใหราคาสูงข้ึน อันเปนผลดีแกคูความในคดีก็ตาม แตการท่ีผูฟองคดี
มฐี านะเปนผูอาํ นวยการสาํ นกั งาน ซ่ึงมีหนาที่ตองบริหารราชการเก่ียวกับการบังคับคดีใหบรรลุผล
ตองมีความเปนกลาง มีความเสมอภาค และเปนธรรมแกทุกฝายไมวาจะเปนคูความในคดี บุคคลภายนอก
ที่เขาไปมีสวนเก่ียวของ และในฐานะผูบังคับบัญชาซ่ึงควรตองประพฤติตนใหเปนแบบอยางที่ดี
แกผูใตบังคับบัญชา การพูดในลักษณะดังกลาวยอมกอใหเกิดความเขาใจผิดแกประชาชนผูมาใช
บริการไดง าย การกระทําของผูฟองคดีจึงเปนการแสดงออกถึงการไมใหความเปนธรรมแกนาย ห.
ผูซ้ือทรัพย และไมพึงปฏิบัติในฐานะท่ีเปนขาราชการสังกัดกรมบังคับคดี การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ซ่ึงเปนผูมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
พิจารณารายงานการสอบสวนแลวเห็นวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยไมรายแรงฐานไมใหความเปนธรรม
แกประชาชนผูตดิ ตอ ราชการอนั เกี่ยวกบั หนา ทขี่ องตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหง พระราชบัญญัติดังกลาว
จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดีซึ่งเปนระดับโทษเบาที่สุด
จึงเหมาะสมแกกรณีความผิด และไมปรากฏวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ใชดุลพินิจโดยไมชอบดวยกฎหมาย
คําสั่งลงโทษดังกลาวเฉพาะสวนความผิดวินัยไมรายแรงฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชน
ผมู าติดตอ ราชการเก่ียวกับหนาท่ีของตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงชอบ
ดวยกฎหมาย สวนท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวเห็นวา การที่ผูฟองคดี
ใชคําพูดไมสุภาพออกไปหลังจากท่ีพูดโตตอบกับนาย ก. ในเรื่องท่ีขอใหนาย ห. ซ้ือทรัพยในราคา
ท่ีสูงขึ้นกวาท่ีเสนอรวมท้ังเร่ืองอ่ืนๆ ซ่ึงคําพูดของนาย ก. บางประโยคก็เปนคําพูดย่ัวโทสะผูฟองคดี
จึงถือวาคําพูดท่ีผูฟองคดีพูดกับนาย ก. วา ไอบาพูดอะไร ออกไป เปนคําพูดในขณะบันดาลโทสะ

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๕๙)
ซ่ึงนาย ก. มีสวนยั่วยุ ที่ผูฟองคดีอางวาเปนคําพูดโดยมีเจตนาใหนาย ก. ออกไปจากหอง จึงรับฟงได
เพราะหลังจากนัน้ ผฟู องคดไี มไดกลา วถอ ยคําหรอื แสดงกริยาอาการโทสะกับนาย ก. อกี แตอยางใด
คํากลาวนี้เปนเพียงคําไมสุภาพไมสมควรกลาวกับประชาชนผูมาติดตอราชการ ไมมีเจตนาดูถูก
หรือเหยียดหยาม ถอ ยคําดงั กลา วจึงไมเปนการดูหมนิ่ เหยยี ดหยามนาย ก. จึงไมเปนความผิดวินัยฐาน
ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ขมเหงประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๓ (๙) แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แตอยางไรก็ตาม การท่ีผูฟองคดีเรียกนาย ห. เขาพบและพูดขอให
เพม่ิ ราคาสงู ขน้ึ ท้ังๆ ทีผ่ ูเสนอราคาดําเนินการโดยถกู ตองตามระเบียบและขั้นตอนในการขายทอดตลาด
ทรัพยสินของกรมบังคับคดีแลว แมจะเปนผลดีแกคูความในคดีก็ตาม แตก็เปนการทําใหนาย ห.
มีภาระท่ีจะตองจายเงินเพ่ิมขึ้น เปนการไมใหความเปนธรรมแกนาย ห. ผูซ้ือทรัพยไดจากการขายทอดตลาด
จงึ เปน ความผดิ วินยั ไมรายแรงฐานไมใ หความเปน ธรรมแกประชาชนผูต ิดตอราชการเกี่ยวกับหนาที่
ของตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว อุทธรณฟงข้ึนบางสวน แตไมมีผลเปลี่ยนแปลง
ระดบั โทษ โทษภาคทัณฑเหมาะสมแกกรณีความผิดแลว จึงมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณ แตใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ตัดขอความที่ระบุความผิดวินัยในสวนของฐานดูหม่ิน เหยียดหยาม กดขี่ ขมเหงประชาชนผูติดตอราชการ
ตามมาตรา ๘๓ (๙) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ออกจากคําสั่งลงโทษ ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ใหตัดขอความดังกลาวออกจากคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔
นอกจากที่แกไขน้ีใหเปนตามคําสั่งเดิม การพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเปนการพิจารณา
ในกรอบแหงบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวของแลว และเม่ือวินิจฉัยไวขางตนแลววาเฉพาะสวน
ความผิดวินัยไมรายแรงฐานไมใหความเปนธรรมแกประชาชนผูมาติดตอราชการเก่ียวกับหนาที่
ของตนตามมาตรา ๘๒ (๘) แหงพระราชบัญญัติขางตน ชอบดวยกฎหมาย การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
เห็นวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงและระดับโทษทางวินัยที่ไดรับเหมาะสมแลว
จึงเปนการใชดุลพินิจโดยชอบดวยกฎหมาย คําวินิจฉัยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
ใหย กอุทธรณของผฟู องคดี จึงเปนคําวินิจฉยั ท่ีชอบดวยกฎหมาย

พิพากษายกฟอง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ. ๒๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๖๑

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๓/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา ผฟู อ งคดขี ณะรบั ราชการตําแหนงเจาพนักงานธุรการชํานาญงาน

กรมบังคับคดี ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมบังคับคดี)
มีคําสั่งลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ กรณีท่ีเม่ือครั้งผูฟองคดี
ปฏิบัติหนาท่ีในกองบังคับคดีลมละลาย ๔ มีหนาที่จัดสงคาใชจายในคดีลมละลายใหแกสํานักงาน
บังคับคดีจังหวัดตางๆ โดยในชวงเวลาระหวางเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕
กลุมตรวจสอบภายในไดตรวจสอบเอกสารรายงานการจายเช็คใหกองบังคับคดีลมละลาย ๔

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๐)
เพ่ือซ้ือธนาณัติคานําหมายแทน พบวามีการสงเงินลาชาจํานวน ๗๒๔ คดี รวมเปนเงินจํานวน
๓๓๔,๓๓๘ บาท อันเปนการไมปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงิน
และการนําเงินสงคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวด ๘ การนําเงินสงคลังและฝากคลัง ขอ ๙๕ และขอ ๙๗ (๑)
และกรณีการไมสงเงินคานําหมายแทน กลาวคือ ไดมีการตรวจพบวาเจาหนาท่ีธุรการกองบังคับคดี
ลมละลาย ๔ ไดรับเช็คจากกองคลัง จํานวน ๖๐,๘๓๙ บาท ผูฟองคดีไดรับเงินสดจํานวนดังกลาว
จากเจาหนาท่ีธุรการแลว แตสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรียังไมไดรับเงินคานําหมายดังกลาว
ท้ังยงั พบวา มีเงนิ คา นาํ หมายแทนคา งสงจากใบสง่ั จา ย จํานวน ๗๗ คดี รวมเปนเงิน ๖๐,๐๔๑ บาท
เมอ่ื สํานกั งานบงั คับคดีจังหวัดนนทบุรีไดท วงถามคา ใชจ ายดังกลา วมายังกองบังคับคดีลมละลาย ๔
ผูฟองคดีจึงมีบันทึกช้ีแจงตอผูอํานวยการโดยยอมรับวา ไมพบหลักฐานการสงเงินคานําหมาย
ในสํานวน และผูฟองคดีไดดําเนินการสงเงินคาใชจายใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ จนครบ
ทั้ง ๗๗ คดี อันเปนการดําเนินการภายหลังจากที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังใหเจาหนาที่ตรวจสอบ
ภายในดําเนินการตรวจสอบขอเท็จจริงในเร่ืองดังกลาว พฤติกรรมของผูฟองคดีในการเบิกเงินแลว
เก็บเงินสดไวกับตนเองเปนเวลานาน กอนท่ีจะจัดสงใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัด สงผลให
สํานักงานบังคับคดีจังหวัดไดรับเงินคาใชจายลาชา และในบางคดียังไมไดรับเงินคาใชจาย ซึ่งทําให
เกดิ ความเสียหายตอระบบงานการเงินและบัญชีของกรมบังคับคดี การกระทําดังกลาวเปนความผิด
ตามมาตรา ๘๒ (๑) (๒) และ (๔) ประกอบมาตรา ๘๕ (๑) (๔) และ (๗) แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ัง แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษ
ระบบคุณธรรม) ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัย ลงวันท่ี ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ ยกอุทธรณ ผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ ที่ใหยกอุทธรณ เห็นวา คดีนี้ผูอํานวยการกองบังคับคดีลมละลาย ๔ ไดรับ
แจงจากเจาหนาที่กองคลังวา กองบังคับคดีลมละลาย ๔ มีเจาหนาท่ีเบิกเงินคาใชจายในคดีลมละลาย
จัดสงใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ ลาชา จึงขอใหกองบังคับคดีลมละลาย ๔ ดําเนินการ
ตรวจสอบ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจสั่งบรรจุและแตงต้ังตามมาตรา ๕๗
วรรคหน่ึง (๑๐) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงมีคําส่ังใหหนวยงาน
ตรวจสอบภายในกรมบังคับคดีตรวจสอบขอเท็จจริงตามมาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ผลจากการตรวจสอบพบวา ระหวางวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
ผูฟองคดีมีการเบิกเงินคาใชจายในคดีเพ่ือจัดสงไปยังสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรี เม่ือวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จํานวน ๖๐,๘๓๙ บาท แตเม่ือตรวจสอบพบวาสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรี
ยังไมไดมีการรับเงินคาใชจายดังกลาวแตอยางใด และยังพบวามีเงินคาใชจายในคดีคางจัดสงจาก
ใบสั่งจายเปนเงินจํานวน ๖๐,๐๔๑ บาท ไปยังสํานักงานบังคับคดีกรุงเทพมหานคร ๓ ในวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ เชนเดียวกัน จึงแจงใหกองบังคับคดีลมละลาย ๔ และผูถูกฟองคดีที่ ๑
เพ่ือพิจารณา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดีไดเบิกและรับเงิน

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๑)
จากเจาหนาท่ีแลวไดเก็บเงินสดไวกับตนเปนเวลานานกอนที่จะจัดสงใหสํานักบังคับคดีจังหวัด
โดยกระทําอยางตอเนื่องอันเปนการ ปฏิบัติงานไมเปนไปตามระเบียบการเบิกจายเงินจากคลัง
การเก็บรักษาเงินและการนําเงินสงคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๔ ขอ ๙๕ และขอ ๙๗ (๑) กรณีมีมูล
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๙๑ วรรคสอง มาตรา ๙๓ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มคี าํ ส่ังลงวนั ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ แตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรง และตอมาคณะกรรมการสอบสวนไดแจงและอธิบายขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบตามแบบบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหา (แบบ สว.๒) เม่ือวันท่ี
๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามขอ ๑๔ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา และผูฟองคดี
ไดมีหนังสือลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ชี้แจงพรอมแสดงพยานหลักฐานแกขอกลาวหา
ตอคณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน
ที่เกี่ยวของกับขอกลาวหา โดยสอบปากคําบุคคลที่เกี่ยวของกับการเบิกจายเงินและสงเงิน
คาใชจายในคดีจัดสงใหแกสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ และไดแจงขอกลาวหาและ
สรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาตามขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับดังกลาว ใหผูฟองคดีทราบ
ผูฟองคดีไดลงลายมือชื่อรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน ปรากฏตามแบบบันทึก
การแจงและรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา (แบบ สว.๓)
เมื่อวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ ชี้แจงพรอม
แสดงพยานหลักฐานสนับสนุนแกขอกลาวหาตอคณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวน
ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ รายงานผลการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๑
เพื่อพิจารณาตอไปตามมาตรา ๙๓ วรรคหน่ึง มาตรา ๙๕ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับขอ ๕ ขอ ๑๒ วรรคหนึ่ง ขอ ๑๔ วรรคหนึ่ง และขอ ๑๕
วรรคหน่ึง ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา จากขอเท็จจริงดังกลาวเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดดาํ เนินการสอบสวนวินยั อยางรา ยแรงผูฟองคดีเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการตามที่กฎหมาย
กําหนดไวแ ลว เมื่อคณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยรายแรง ไดส อบสวนแลวพบวา ในชวงระหวางวันท่ี
๑ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ผูฟองคดีไดรับเงินคาใชจายในคดีจากกองคลัง
เพื่อจัดสงเงินคาใชจายในคดีใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ แลว เก็บเงินสดไวโดยมิได
จัดสงเงินคาใชจายในคดีใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ เกินกวาสิบหาวันทําการ นับจาก
วันรับเงินจากคลัง ลาชาอีก ๗๒๔ คดี เปนจํานวนเงิน ๓๓๔,๓๓๘ บาท ผูฟองคดีกระทําการแบบน้ี
อยางตอ เนือ่ งอันเปน การปฏบิ ตั หิ นาทีไ่ มเปนไปตามระเบียบการเบิกจายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงิน
และการนําเงินสงคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวด ๘ การนําเงินสงคลังและฝากคลัง ขอ ๔ ขอ ๙๕
และขอ ๙๗ (๑) และ (๔) อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบเพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรงแกผูหนึ่งผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวน
การปฏบิ ตั ิหนาทีร่ าชการโดยทุจริต ฐานกระทําการอนั ไดช อ่ื วา เปน ผปู ระพฤติช่ัวอยางรายแรง และ

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๒)
ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีดวยความซ่ือสัตย สุจริต และเท่ียงธรรม และผูอํานวยการการกองบังคับคดี
ลมละลาย ๔ มคี ําสั่งใหผูฟอ งคดีดําเนนิ การจัดสง เงนิ คาใชจ า ยในคดใี หสาํ นักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ
ใหแลวเสร็จภายในเจ็ดวัน นับแตรับทราบคําสั่ง ผูฟองคดีทําบันทึกรายงานเสนอตอผูบังคับบัญชา
รายงานวา ผูฟองคดีไดจัดสงเงินคาใชจายในคดีไปใหสํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ เรียบรอยแลว
ซึ่งความจริงผฟู องคดยี ังไมจัดสง เงินคาใชจายในคดไี ปใหส ํานักงานบังคับคดีจังหวัดตางๆ เสร็จเรียบรอย
ตามท่ีบันทึกรายงานแตอยางไร อันเปนรายงานเท็จเสนอตอผูบังคับบัญชา เปนความผิดฐาน
ไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ และฐานไมปฏิบัติ
ตามคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังในหนาที่ราชการโดยชอบดวยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
อันเปนความผิดวินัยตามมาตรา ๘๒ (๑) (๒) และ (๔) ประกอบมาตรา ๘๕ (๑) (๔) และ (๗)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการสอบสวนวินัยรายแรง
จึงรายงานเสนอความเหน็ ตอ ผถู กู ฟองคดีที่ ๑ วา เห็นสมควรใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ผูถ กู ฟองคดที ี่ ๑ ไดม ีหนังสือลงวนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ พรอ มความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน
นําเสนอ อ.ก.พ. กรมบังคับคดีเพื่อพิจารณาตอไป อ.ก.พ. กรมบังคับคดี ในการประชุมเมื่อวันที่
๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๗ มีมติเปนเอกฉันทเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเปนไปตามมาตรา ๙๗ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
จึงเปนการใชดุลพินิจที่ชอบดวยกฎหมาย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๕๗
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.พ. กรมบังคับคดี เปนไปตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๕๗
ลงโทษไลผูฟอ งคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘
ใหย กอทุ ธรณของผูฟองคดี จึงเปน การกระทาํ ท่ีชอบดว ยกฎหมาย

พิพากษายกฟอง

คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๑๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการตําแหนงนักวิชาการอบรมและฝกวิชาชีพ

ชํานาญการ งานดานพอบาน สังกัดสถานพินิจและคุมครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางไมรายแรงแกผูฟองคดี กรณีถูกกลาวหาวาใชไมหวายเฆี่ยนตีลงโทษเด็กและเยาวชนท่ีอยู
ในความควบคุม จากนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมพินิจและคุมครองเด็กและเยาวชน)
ไดมีคําสั่งลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดีรอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ัง
แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา คําส่ังลงโทษ
ตัดเงินเดือนผูฟองคดีไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากไดมีหนังสือคัดคานคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ทั้งคณะ แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติยกคําคัดคานเม่ือพนระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด นอกจากน้ี
คณะกรรมการสอบสวนวินัยไมเปนกลาง ไมมีการแจงพยานหลักฐานอ่ืนที่เก่ียวของกับขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบ การลงโทษวินัยมีความลาชาเกินสมควร อัตราโทษที่ไดรับไมเหมาะสม

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๓)
ไมเปนธรรมและเกินกวาเหตุเม่ือเทียบกับขาราชการรายอ่ืน ตลอดจนผูลงนามในคําสั่งดังกลาว
ไมใชผูมีอํานาจ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาย่ืนฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดีรอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน และคืนเงินที่ตัดไป
ตามคําส่ังดังกลาวแกผูฟองคดี และเพกิ ถอนคาํ วินิจฉยั อุทธรณของผูถกู ฟองคดที ่ี ๒

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดรับหนังสือคัดคานคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยไมรายแรงในวันท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖
การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีหนังสือ ลงวันท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ แจงผลการพิจารณา
โดยยกคําคัดคานใหผูฟองคดีทราบ จึงเปนการพิจารณาคําคัดคานภายในสิบหาวันนับแตวันท่ี
ไดรับหนังสือคัดคานดังกลาวแลว สวนผูฟองคดีจะไดรับหนังสือแจงผลการคัดคานเมื่อใด
เปนเพียงข้ันตอนการแจงผลการพิจารณา ไมมีผลกระทบตอกําหนดเวลาการพิจารณาคําคัดคาน
ที่กําหนดตามขอ ๘ วรรคสาม ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณาแตอยางใด
สวนท่ีผูฟองคดีอางวา คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางไมรายแรงมีลักษณะไมเปนกลาง นั้น
เมื่อไมมีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนท่ีจะทําใหเช่ือไดวา คณะกรรมการสอบสวนวินัยมีสาเหตุ
โกรธเคืองกับผูฟองคดี และไมปรากฏวา คณะกรรมการสอบสวนวินัยท้ังคณะไดรูเห็นเหตุการณ
ในขณะกระทําการตามเรื่องท่ีกลาวหา หรือมีประโยชนไดเสียในเรื่องที่สอบสวน หรือเปนคูสมรส
บุพการี ผูสืบสันดาน หรือเปนพ่ีนองรวมบิดาหรือรวมมารดาหรือรวมบิดาหรือมารดาเดียวกันกับ
ผูฟองคดี หรือมีเหตุอื่นซ่ึงอาจทําใหการสอบสวนเสียความเปนธรรมแตอยางใด จึงรับฟงไมไดวา
คณะกรรมการสอบสวนวินัยมีเหตุท่ีมีสภาพรายแรงท่ีอาจทําใหการพิจารณาทางปกครองไมเปนกลาง
ตามขอ ๘ ของกฎ ก.พ. ฉบบั ดงั กลา ว สวนการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอกลาวหา ตลอดจนการรับฟงพยานหลักฐานไดดําเนินการโดยชอบดวยกฎหมายตามขอ ๑๔
ขอ ๑๕ ขอ ๒๐ และขอ ๒๑ ของกฎ ก.พ. ฉบับเดยี วกันแลว

เม่ือผูฟองคดีดํารงตําแหนงนักวิชาการอบรมและฝกวิชาชีพชํานาญการ
ผูถ กู ฟอ งคดที ่ี ๑ จึงเปนผูมีอํานาจออกคําสั่งลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดี เม่ือคําส่ังลงโทษทางวินัย
ตัดเงินเดือนผูฟองคดีออกโดยนาย ส. รองอธิบดีรักษาราชการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงมีอํานาจหนาท่ี
เชนเดียวกับผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการ
แผนดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังน้ัน คําสั่งลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดี จึงออกโดยเจาหนาท่ีผูมีอํานาจ
ตามมาตรา ๕๗ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
กอนการออกคําสั่งลงโทษแกผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดพิจารณาสํานวนการสอบสวนของ
คณะกรรมการสอบสวนวินัย ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนวินัยมีความเห็นวา ผูฟองคดีกระทําผิด
ตามทถี่ กู กลาวหาจรงิ และยงั มีความผิดฐานทํารายรางกายเด็กและเยาวชนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๙๕ แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ เห็นวา ผูฟองคดีมิไดมีเจตนาทํารายรางกายเด็กและเยาวชน
แตเปน การลงโทษเด็กและเยาวชนโดยไมมีอาํ นาจ เปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติ
หนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และ

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๔)
นโยบายของรัฐบาลตามมาตรา ๘๒ (๒) และมาตรา ๘๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ และไดนําเหตุอันควรลดหยอนโทษมาพิจารณาประกอบการใชดุลพินิจในการลงโทษ
ผูฟองคดีดวยแลว คําสั่งลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดีรอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน จึงเปน
การใชดุลพินิจโดยชอบแลว การที่ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ และ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยอาศัยขอเท็จจริงอยางเดียวกัน
จึงเปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมายเชนกัน และโดยที่ระยะเวลาการดําเนินการสอบสวนตามขอ ๑๒
ของ กฎ ก.พ. ฉบับขางตน เปนเพียงระยะเวลาเรงรัดใหคณะกรรมการสอบสวนวินัยดําเนินการ
สอบสวนใหแลวเสร็จ มิใชระยะเวลาบังคับท่ีหากไมปฏิบัติภายในกําหนดเวลาดังกลาวจะสงผลตอ
ความไมชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษทางวินัย ดังนั้น แมคําส่ังลงโทษทางวินัยผูฟองคดี
ลาชาไปบาง แตก็ไมใชเหตุที่ทําใหคําส่ังลงโทษทางวินัยไมชอบดวยกฎหมายแตอยางใด และแมวา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดลงโทษตัดเงินเดือนขาราชการรายอ่ืนท่ีใชเทาและมือทํารายรางกายเด็กและ
เยาวชนในอัตราเดียวกันกับการลงโทษผูฟองคดีก็ตาม แตการกระทําดังกลาวอยูในฐานความผิดวินัย
อยางไมร า ยแรง ซง่ึ เปน ฐานความผดิ เดียวกันกับผฟู องคดี จึงรับฟงไมไดวา การลงโทษตัดเงินเดือน
ผฟู อ งคดีรอ ยละ ๔ เปน เวลาสองเดือน เปนการกระทาํ ท่ีไมเปน ธรรมตอผูฟองคดี

พิพากษายกฟอ ง

คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๕๑๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดฟี องวา เม่ือครัง้ ผฟู องคดีเปน ขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงนิติกร ๔

สังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๒ (กรมบังคับคดี) ปฏิบัติหนาท่ีกองบังคับคดีลมละลาย ถูกผูถูกฟองคดีท่ี ๓
(อธบิ ดกี รมบังคบั คดี) ออกคําส่งั ลงวันท่ี ๑๑ มนี าคม ๒๕๔๘ แตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
และคําส่งั ลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๘ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี และตอมา
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ออกคําสั่งลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
โดยกลาวหาวา ผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกรับเงินจากนาย ส. ลูกหน้ีในคดีลมละลาย เพื่อเปนหลักประกัน
ในการอนญุ าตใหน าย ส. เดนิ ทางไปตา งประเทศ จํานวน ๒๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงบรรจุในซองสีนํ้าตาลใหกับ
ผฟู อ งคดี และผูฟองคดีไดเก็บซองดงั กลาวไวใ นลิ้นชักโตะทํางานโดยมไิ ดแ จง เรื่องดังกลาวใหผูบังคับบัญชา
หรือเพ่ือนรวมงานทราบ ซึ่งเปนการกระทําที่ไมถูกตองตามแนวทางปฏิบัติท่ีตองใหเจาหนาที่ธุรการ
เปน ผรู ับคํารอ ง โดยใหวางเงินหลักประกันที่กองคลัง กรมบังคับคดี และเจาพนักงานพิทักษทรัพย
จะไมร ับหรือถือเงินหลักประกันหรือเงินคาใชจายในคดีไมวากรณีใดๆ และในวันเดียวกันนั้นนาย ส.
ไดนําเจาหนาท่ีตํารวจเขาจับกุม ณ กองบังคับคดีลมละลาย พฤติการณของผูฟองคดีฟงไดวา
เปน การกระทาํ ผดิ วนิ ยั อยา งรา ยแรง ฐานปฏบิ ตั หิ นาท่รี าชการโดยมิชอบดวยความไมซ่ือสัตยสุจริต
และเที่ยงธรรม และ อ.ก.พ. กรมบังคับคดีไดมีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดี
ไดอุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการขาราชการพลเรือน (ก.พ.))
โดยผูถูกฟองคดีที่ ๔ (นายกรัฐมนตรี) พิจารณาแลวมีมติยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งลงโทษ
ไลผ ูฟอ งคดอี อกจากราชการไมชอบดวยกฎหมายจึงนาํ คดมี าฟองขอใหศ าลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๕)
เพกิ ถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๘ เร่ือง แตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง เพิกถอนคําสั่ง
ลงวนั ท่ี ๕ เมษายน ๒๕๔๘ เรอ่ื ง แตง ตงั้ คณะกรรมการสอบสวน เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๙
เรื่อง ลงโทษไลขาราชการออกจากราชการ และเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ที่ยกอุทธรณ
ของผฟู องคดีตามหนังสือลงวนั ท่ี ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อพิจารณาขอกลาวอางตามคําอุทธรณของผูฟองคดีวา
คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง ไมใหโอกาสผูฟองคดีช้ีแจงอธิบายเหตุผลท่ีถูกกลาวหา สงผลให
ผูบังคับบัญชาออกคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโดยผิดหลงและคลาดเคล่ือนไป น้ัน
เหน็ วา การสืบสวนขอเท็จจริงเปนเพียงข้ันตอนที่กฎหมายกําหนดใหผูบังคับบัญชามีอํานาจหนาท่ี
ดําเนินการแสวงหาขอเท็จจริงและพยานหลักฐานในเบื้องตนในกรณีที่มีการกลาวหาหรือสงสัยวา
ผใู ตบ งั คบั บัญชากระทําผิดวินัยแตยังไมมีหลักฐาน ท้ังน้ี เพื่อใหทราบวากรณีมีมูลสมควรที่ผูบังคับบัญชา
จะดําเนินการทางวินัยแกผูใตบังคับบัญชาตอไปหรือไมเทานั้น ไมใชการดําเนินการทางวินัย
หรอื การสอบสวนทางวินัยตามมาตรา ๑๐๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซ่ึงมีผลใชบังคับอยูในขณะน้ัน ท่ีตองแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา
ใหผูถูกกลาวหาทราบ รวมท้ังตองใหโอกาสผูถูกกลาวหาไดโตแยงแสดงพยานหลักฐานของตน
แตอ ยางใด เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูฟองคดีมีกรณีกลาวหาวามีพฤติการณเรียกรับเงินจากนาย ส.
ลูกหน้ีในคดีลมละลาย เพื่อเปนหลักประกันในการอนุญาตใหนาย ส. เดินทางไปตางประเทศ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในฐานะผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี จึงมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
เพ่ือทําการสอบขอเท็จจริงในเบื้องตนวากรณีมีเหตุอันสมควรและมีพฤติการณอื่นท่ีเกี่ยวของหรือไม
อยางไร และใหดําเนินการใหแลวเสร็จโดยเร็ว แลวรายงานผลการสอบขอเท็จจริงพรอมทั้งใหเสนอความเห็น
หรือมูลความผิดตามระเบียบท่ีเกี่ยวของเพื่อประกอบการดําเนินการตอไป การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ไดสัง่ การใหคณะกรรมการสอบขอเทจ็ จรงิ ดําเนนิ การสอบขอเท็จจริงและรายงานผลการสอบขอเท็จจริง
ใหผถู กู ฟอ งคดีที่ ๓ ทราบและพิจารณา จึงเปนการดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีตามที่บัญญัติไวใน
มาตรา ๙๙ วรรคหา แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อดําเนินการสืบสวน
ขอเทจ็ จรงิ วา กรณีมมี ูลตามทีก่ ลา วหาหรือไม เพื่อท่ีจะไดด าํ เนินการทางวินัยตอไป ตามที่บัญญัติไว
ในมาตรา ๑๐๒ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ซ่ึงผลที่ไดรับจากการสืบสวน คือ รายงานการสืบสวน
ขอเทจ็ จริง ยังมิไดมีลกั ษณะเปน คาํ สัง่ ทางปกครองที่มีผลเปน การกระทบตอสิทธิและหนา ทข่ี องผฟู อ งคดี
ที่จะตองแจงขอกลาวหาใหผูฟองคดีทราบหรือเปดโอกาสใหผูฟองคดีไดโตแยงและแสดงพยานหลักฐาน
ของตน ตามนัยมาตรา ๓๐ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แตอยางใด
ดังนั้น การดําเนินการในชน้ั สบื สวนขอเทจ็ จริงของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ และคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
จึงเปน ไปโดยชอบดว ยกฎหมายแลว คดีมีประเด็นท่ตี องวินิจฉัยตอไปวา การดําเนินการสอบสวนวินัย
ผูฟองคดีไดดําเนินการเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการตามที่กฎหมายกําหนดหรือไม เห็นวา
คณะกรรมการสอบสวนไดแจงสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาเทาท่ีมีใหผูฟองคดีทราบ
โดยระบุวัน เวลา สถานท่ีและการกระทําท่ีมีลักษณะเปนการสนับสนุนขอกลาวหา อีกท้ัง ไดระบุชื่อ
พยานบุคคลซ่ึงพอที่จะเขาใจไดวาถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และการกระทํา

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๖)
อันมีลักษณะเปนการสนับสนุนขอกลาวหาอยางไร ตามขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
โดยชอบแลว ตอมา ผูฟองคดีไดมีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการสอบสวนขอใหการช้ีแจง
ขอเท็จจริง และระบุพยานเพื่อนําสืบแกขอกลาวหา ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๘ ซ่ึงผูฟองคดี
ไดใหถ อยคําตอคณะกรรมการสอบสวนตามแบบ สว.๔ ในวนั เดียวกัน สรุปวา ผูฟองคดีไดรับทราบ
ขอกลาวหาโดยตลอดแลว ขอใหการปฏิเสธและไดช้ีแจงแกขอกลาวหาโดยระบุวัน เวลา และ
สถานท่ีเกดิ เหตุ หลงั จากนัน้ คณะกรรมการสอบสวนวินยั ไดสอบสวนพยานบุคคลรวมท้ังพิจารณา
พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนและแกขอกลาวหาแลวเห็นวา ผูฟองคดีอาศัยตําแหนงหนาที่ราชการของตน
เรียกรับเงิน จึงเปนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ ดวยความไมซ่ือสัตยสุจริตและเที่ยงธรรม
เพื่อใหตนเองไดประโยชนอันมิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และเปนความผิดวินัย
อยางรา ยแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งใชบังคับอยูในขณะน้ัน จึงเห็นสมควรใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และเสนอรายงานการสอบสวนพรอมสํานวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ ซ่ึงมีคําส่ังใหเสนอเรื่องให อ.ก.พ.
กรมบงั คบั คดีพิจารณา ซ่งึ ตอมาไดพ จิ ารณาแลว มีมติเปนเอกฉันทใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
จากขอเท็จจริงที่รับฟงไดขางตนถือไดวา คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการสอบสวนตามรูปแบบ
ข้ันตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญท่ีกฎหมายกําหนดไวใหสําหรับการดําเนินการทางวินัย
ตามนัยขอ ๑๔ และขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
ระเบียบขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา โดยชอบดวยกฎหมายแลว
คดีมีประเด็นท่ีตองพิจารณาตอไปวา คําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เปน การใชด ลุ พินจิ โดยชอบดว ยกฎหมายหรือไม เมื่อปรากฏขอเท็จจริงรับฟงไดตามรายงานการสอบสวนวา
ผูฟองคดีไดใชหนาท่ีราชการในฐานะเจาพนักงานพิทักษทรัพยดําเนินการในสํานวนคดีลมละลาย
สอไปในทางคดโกง ไมสุจริตและเท่ียงธรรม โดยนัดนาย ส. ไปเจรจาตอรองท่ีรานอาหารแหงหนึ่ง
เพ่ือใหจายเงินคาตอบแทนใหผูฟองคดี ในการที่ผูฟองคดีจะดําเนินการทําเรื่องอนุญาตใหนาย ส.
เดินทางไปตางประเทศตามที่รองขอ โดยอางวาการขออนุญาตเดินทางไปตางประเทศของนาย ส.
จะกระทําได แตนาย ส. จะตองจายคาใชจายใหแกผูฟองคดีเปนคาตอบแทนในการดําเนินการ
และผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ส. มาแลวบางสวน สวนที่เหลือไดนัดใหมาชําระที่กรมบังคับคดี
อันเปนวันรุงข้ึน ซ่ึงนาย ส. ไดนําเรื่องดังกลาวไปแจงความรองทุกขตอเจาพนักงานตํารวจ
และเจา พนักงานตํารวจไดทําการจับกุมผูฟองคดีท่ีกรมบังคับคดี โดยไดพบซองใสเงินในล้ินชักโตะ
ของผูฟองคดี เปนเงินจํานวน ๒๐,๐๐๐ บาท และจากการตรวจสอบธนบัตรที่อยูในซองดังกลาว
กับธนบัตรที่เจาหนาที่ตํารวจไดถายเอกสารไวกอนท่ีนาย ส. จะสงมอบใหแกผูฟองคดี ปรากฏวา
มีหมายเลขธนบัตรตรงกัน กรณีจึงมีน้ําหนักใหเชื่อไดวาผูฟองคดีมีการเรียกรับเงินจากนาย ส.
ตามท่ีถูกกลาวหาจริง ซึ่งถือเปนความผิดซ่ึงหนา และเปนหลักฐานที่มีนํ้าหนักท่ีรับฟงได พฤติการณ
แหงการกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ ดวยความไมซ่ือสัตยสุจริต

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๗)
และเท่ียงธรรม เพ่ือใหตนเองไดประโยชนอันมิควรได อนั เปน การทจุ ริตตอ หนาท่ีราชการ และเปนความผิดวินัย
อยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซง่ึ ใชบงั คับอยูใ นขณะนัน้ การที่ผูถูกฟองคดที ่ี ๓ มคี ําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการจึงเปน
การเหมาะสมกับกรณคี วามผดิ และชอบดวยกฎหมาย และเมอื่ คาํ สงั่ ท่ลี งโทษไลผูฟอ งคดอี อกจากราชการ
เปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําสั่งยกอุทธรณของผูฟองคดีตามหนังสือ
ลงวนั ท่ี ๑๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ จงึ ชอบดว ยกฎหมายเชนกนั ทีศ่ าลปกครองช้นั ตนพพิ ากษายกฟอง นั้น
ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดว ย

พิพากษายนื

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง วิธีพิจารณาคดีปกครอง
หนา ๙๗

กรณอี ืน่ ๆ
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ฟ.๑/๒๕๖๓

ผฟู องคดฟี องวา ผฟู อ งคดีเปน อดตี พนักงานของสํานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ัง
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกต้ังไดมีคําส่ัง
ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงาน เน่ืองจากผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานหาผลประโยชนอันอาจทําใหเสียความเท่ียงธรรม หรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์
ของตําแหนงหนาที่ของตน ตามขอ ๖๕ ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง วาดวย
การบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ และฐานกระทําการอื่นใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง ตามขอ ๖๘ วรรคสอง ของระเบียบเดียวกัน จากกรณีที่นาย ธ. นายกเทศมนตรี
ตําบลพยุห รองเรียนกลาวโทษผูฟองคดีตอนาย พ. รองผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษ ประธาน
กรรมการการเลือกต้ังประจําจังหวัดศรีสะเกษวา ผูฟองคดีมีพฤติกรรมเรียกรับเงินจากบุคคลดังกลาว
จํานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนําไปใหประธานกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดศรีสะเกษ
เพ่ือชวยเหลือใหนาย ธ. กับพวก หลุดพนจากขอรองเรียน ซ่ึงคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ผูฟองคดี ไดกําหนดประเด็นในการสอบสวนไว ๒ ขอกลาวหา คือ ขอกลาวหาที่ ๑ ผูฟองคดี
เรียกรับเงินจากนาย ธ. เพ่ือแลกเปลี่ยนกับการใหความชวยเหลือใหพนขอกลาวหาในเรื่องที่
นาย ธ. ถูกรองเรียน โดยเรียกรับเงิน จํานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท หรือไม และขอกลาวหาท่ี ๒
ผูฟองคดีแอบอางช่ือนาย พ. ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชา แสวงหาผลประโยชนท่ีมิควรได หรือเพื่อสะดวก
ในการแสวงหาผลประโยชนจากนาย ธ. หรือไม ตอมา คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมีความเห็นวา
ไมมพี ยานหลกั ฐานเพยี งพอทจี่ ะรับฟง ไดว า ผูฟ องคดไี ดร ับเงนิ จากนาย ธ. ตามขอ รอ งเรียน แตกลับ
เห็นวา ผูฟ อ งคดีมีพฤติการณเขาขายเปนพนักงานทําการหลอกลวงหรือชักจูงใหผูสมัครรับเลือกต้ัง
ซ่ึงถูกรองเรียนวากระทําการฝาฝน พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาทองถ่ินหรือผูบริหารทองถิ่น

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๘)
พ.ศ. ๒๕๔๕ ดวยการแอบอางชื่อของผูบังคับบัญชาระดับสูง หรือกระทําการดวยประการใดๆ
แลวเรียกรับเงินจากนาย ธ. พฤติการณเปนเรื่องรายแรงที่ทําใหเสียหายตอช่ือเสียงของสํานักงาน
คณะกรรมการการเลือกต้ังเปนอยางยิ่ง เปนความผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตาม ขอ ๖๘
วรรคสอง ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ัง วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗
เห็นควรลงโทษไลออก ผูฟองคดีเห็นวาคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไมมีพยานหลักฐาน
ท่ีชัดเจนวาผูฟองคดีกระทําความผิดตามขอรองเรียน แตกลับมีความเห็นใหลงโทษผูฟองคดี
ผูฟอ งคดจี งึ มหี นังสอื ฉบบั ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ อุทธรณคําสัง่ ดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดี
(คณะกรรมการการเลอื กตั้ง) ไดม ีมติเม่ือวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
และมีหนังสือลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ
โดยผูฟองคดีรับหนังสือดังกลาวเมื่อวันท่ี ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือมีคําส่ังเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ยกอุทธรณของผูฟองคดี และให
ผถู ูกฟอ งคดรี ับผฟู องคดีเขาเปนพนักงานหรือลูกจางของผูถูกฟองคดีในตําแหนงเดิมหรือเทียบเทา
ตําแหนงเดิม โดยใหผูฟองคดีมีสิทธิไดรับเงินเดือนและคาตอบแทนเทาเดิม เดือนละ ๓๘,๐๐๐ บาท
รวมทั้งคาครองชีพ เดือนละ ๔,๐๐๐ บาท รวมเปนเงินทั้งส้ินเดือนละ ๔๒,๐๐๐ บาท นับถัดจาก
วันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ซึ่งเปนวันท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่ง จนกวาผูถูกฟองคดีจะรับผูฟองคดี
เขาเปนพนักงานหรือลูกจาง และจายเงินเดือนรวมทั้งคาตอบแทนดังกลาวใหผูฟองคดีตอไป
เห็นวา เม่ือพิจารณาขอกลาวหาท่ี ๑ ท่ีนาย ธ. กับพวกกลาวหาวา ผูฟองคดีเรียกเงินจากนาย ธ.
เปนเงินจํานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ธ. จํานวน ๕ คร้ัง แตคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยมีความเห็นวา พยานหลักฐานมีนํ้าหนักเพียงพอใหเช่ือไดวา ผูฟองคดีไดรับเงิน
จากนาย ธ. ในวันท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๙ จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนั้นอีก ๔ คร้ัง
ไมมีพยานหลักฐานที่จะรับฟงไดวานาย ธ. ไดมอบเงินใหแกผูฟองคดี โดยพยานหลักฐาน
และพฤติการณท่ีคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเห็นวา ผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ธ. ในวันที่
๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๙ คือ พยานบุคคล ไดแก นาย ธ. นาย ย. นาย ว. และนาง ท. ซ่ึงท้ังส่ีคน
เปนผูท่ีลงลายมือชื่อในหนังสือรองเรียนกลาวโทษผูฟองคดี ถึงประธานกรรมการการเลือกตั้ง
ประจําจงั หวัดศรสี ะเกษ ซึง่ ถอื เปนคกู รณี ประกอบกับพยานบุคคลท้ังสี่ใหถอยคําตรงกันวานาย ธ.
เดินข้ึนไปพบผูฟองคดีที่หองทํางานเพียงคนเดียว และไมมีพยานบุคคลอื่นที่รูเห็นเหตุการณ
หรือพยานอ่ืนใดท่ีชี้ชัดไดวาผูฟองคดีไดรับเงินจากนาย ธ. จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จริงหรือไม
คําใหการของพยานดังกลาวจึงไมอาจรับฟงเปนพยานหลักฐานในการลงโทษผูฟองคดีได
แตอยางไรก็ตาม เม่ือพิจารณาถอยคําสนทนาระหวางนาย พ. กับผูฟองคดี จากการถอดเทป
บันทึกเสียงซ่ึงผูฟองคดีใหการรับวาเปนเหตุการณท่ีผูฟองคดีไดพูดคุยสนทนากับนาย พ.
เม่ือครั้งนาย พ. เรียกผูฟองคดีเขาไปสอบถามเร่ืองที่ถูกรองเรียน โดยนาย พ. ถามวา “แลวคุณ
ไปเรียกรับเขาหรือเปลาหละ” สวนผูฟองคดีตอบวา “เขาใหหนูเองคะ หนูไมไดเรียกรอง”
และท่ีนาย พ. ถามวา “... เขาใหเงินคุณเทาไหร” และผูฟองคดีตอบวา “แสนหน่ึงคะ”
ซึ่งเมือ่ พิจารณาประกอบกับพฤตกิ ารณของผฟู อ งคดีท่ีรับทราบเร่ืองที่นาย ช. ไดมีหนังสือรองเรียน

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๖๙)
นาย ธ. เกี่ยวกับการยื่นบัญชีคาใชจายในการเลือกตั้งไมถูกตองตามความเปนจริง และผูฟองคดี
ใหการยอมรับวาไดโทรศัพทติดตอนาย ธ. เพื่อแจงใหทราบเกี่ยวกับเอกสารการยื่นบัญชีรายรับ
รายจายในการเลือกตั้งที่ไมเรียบรอย รวมท้ังไดนําเอกสารเกี่ยวกับคาใชจายในการเลือกตั้งของนาย ธ.
มาเปดเผยใหนาย ธ. ดู ท้ังที่ในขณะน้ันมีการแตงต้ังคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน
เพื่อดําเนินการสืบสวนสอบสวนในเร่ืองนี้แลว รวมถึงพฤติการณของผูฟองคดีท่ีไดติดตอนัดพบ
กับนาย ธ. อีกหลายครั้ง พยานหลักฐานและพฤติการณดังกลาวเพียงพอท่ีจะเช่ือไดวา ผูฟองคดี
มีพฤติการณไมสุจริต ใชอํานาจหนาที่ของตนในฐานะหัวหนางานพรรคการเมือง ซ่ึงมีหนาที่
เกยี่ วกับคาใชจายในการเลือกต้ังของผูสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตําบลพยุห ในการเลือกต้ัง
เมื่อวันท่ี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๘ แสวงหาผลประโยชนสวนตนโดยมิชอบดวยการเรียกหรือรับ
ทรัพยส ินจากนาย ธ. ผูสมัครรับเลือกตงั้ ทถ่ี กู รอ งเรียนวา ยนื่ บญั ชีคา ใชจ ายในการเลือกตั้งไมถูกตอง
เพอ่ื แลกเปลย่ี นกับการใหค วามชว ยเหลอื ใหพน จากขอกลา วหาในเร่ืองท่ีถูกรองเรียน และผูฟองคดี
ไดรับเงินจากนาย ธ. ไปแลว จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สวนพยานหลักฐานท่ีคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยเห็นวาผูฟองคดีไดแอบอางช่ือของนาย พ. ไปแสวงหาผลประโยชนท่ีมิควรได
หรือเพื่อสะดวกในการแสวงหาผลประโยชนจากนาย ธ. ตามขอกลาวหาท่ี ๒ คือ พยานบุคคล
ไดแก นาย ธ. นาย ย. และนาง ท. ซ่ึงทั้งสามคนเปนผูท่ีลงลายมือชื่อในหนังสือรองเรียนกลาวโทษ
ผูฟอง ซ่ึงถือเปนคูกรณี ประกอบกับถอยคําของนาง ท. ท้ังในชั้นสอบขอเท็จจริงและในช้ัน
สอบสวนทางวินัยท่ีระบุวา ภายหลังนาย ธ. ไดรับใบเหลือง นาย ธ. ไดมอบหมายใหตนไปพบ
ผูฟองคดีเพื่อทวงถามเรื่องเงินท่ีไดรับไปจากนาย ธ. ขัดแยงกับถอยคําตามหนังสือรองเรียน
และถอยคําของนาย ธ. ในชั้นสอบขอเท็จจริงและในช้ันสอบสวนทางวินัย ที่ระบุวา นาย ธ.
พรอมดวยนาย ว. นาย ย. และนาง ท. ไดเดินทางไปพบผูฟองคดีเพื่อขอรับเงินคืน ดังน้ัน
คําใหก ารของพยานดงั กลาวจงึ ไมอาจรับฟงเปนพยานหลักฐานในการลงโทษผูฟองคดีได อยางไรก็ตาม
เม่ือพิจารณาถอยคําสนทนาระหวางนาย พ. กับผูฟองคดี จากการถอดเทปบันทึกเสียง
ตามท่ีกลาวมาขางตน ประกอบกับพฤติการณของผูฟองคดีตามที่นาย พ. ไดใหถอยคําวา
ผูฟองคดีมักจะกลาวอางวาสนิทสนมกับตนบอยคร้ัง อีกท้ัง นาย พ. ไดแจงความดําเนินคดีอาญา
กับผูฟองคดีในขอหาหม่ินประมาทแลว ซึ่งพนักงานอัยการย่ืนฟองคดีตอศาลจังหวัดศรีสะเกษ
และศาลนําคดีเขาสูกระบวนการไกลเกลี่ย โดยผูฟองคดีไดประกาศขอขมาและขออภัยนาย พ.
ในวารสารและหนังสือพิมพทองถิ่น นาย พ. จึงถอนคํารองทุกขและศาลมีคําสั่งจําหนายคดี
ออกจากสารบบความแลว ดวยพยานหลักฐานและพฤติการณดังกลาวเพียงพอที่จะเชื่อไดวา
ผฟู อ งคดีไดแอบอา งช่ือนาย พ. ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อใหเกิด
ความนาเชื่อถือในการเรียกรองเงินจากนาย ธ. เปนจํานวนสูงถึงหลักแสนบาท แลกเปลี่ยน
กับการใหความชวยเหลือใหพนจากขอกลาวหาในเร่ืองที่ถูกรองเรียน เมื่อขอเท็จจริงฟงไดวา
ผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกหรือรับผลประโยชนจากนาย ธ. ผูสมัครรับเลือกต้ังนายกเทศมนตรี
ตําบลพยุห ซ่ึงถูกรองเรียนวากระทําผิด พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถ่ิน
พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อแลกเปล่ียนกับการใหความชวยเหลือใหพนจากเรื่องท่ีถูกรองเรียน ท้ังในการเรียกรับเงิน

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๐)
หรือผลประโยชนดังกลาวยังรับฟงไดวาผูฟองคดีไดแอบอางช่ือนาย พ. ประธานกรรมการการเลือกตั้ง
ประจําจังหวัดศรีสะเกษในขณะนั้น เพื่อใหเกิดความนาเช่ือถือในการเรียกรองเงินจากนาย ธ.
ตามท่ถี ูกกลา วหาจริง การกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการ
อนั ไดช่อื วาเปนผูป ระพฤติช่วั อยา งรายแรงตามขอ ๖๘ วรรคสอง ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนั้น การที่คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา
การดําเนนิ การทางวินัยพจิ ารณารายงานการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี แลวเห็นพองกับความเห็น
ของคณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั ซึง่ ตอ มาเลขาธกิ ารคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีคําสั่งลงวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงาน จึงเปนการใชดุลพินิจในการส่ังลงโทษ
ผูฟองคดีเหมาะสมกับความรายแรงแหงกรณีแลวตามขอ ๙๙ ของระเบียบดังกลาว ประกอบ
มาตรา ๑๐๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ เม่ือกรณีน้ีคณะอนุกรรมการ
เพ่ือพิจารณาการดําเนินการทางวินัยมีมติเห็นพองกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ที่เหน็ วา การกระทาํ ของผฟู องคดีเปนความผิดฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๖๘ วรรคสอง
ของระเบียบเดียวกันเพียงฐานเดียว ดังน้ัน คําส่ังลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ เฉพาะสวนที่ลงโทษไล
ผูฟองคดีออกจากงานในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
จงึ ชอบดว ยกฎหมาย และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีในการประชุม เม่ือวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี เฉพาะสวนที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงานในความผิดฐานกระทําการ
อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงจึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน กรณีนี้แมเลขาธิการ
คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากงานในความผิดฐานกระทําการ
หรอื ยอมใหผ ูอน่ื กระทาํ การหาผลประโยชนอันอาจทําใหเสียความเที่ยงธรรม หรือเส่ือมเสียเกียรติศักดิ์
ของตาํ แหนง หนาท่ีของตน ตามขอ ๖๕ ของระเบียบขางตน แตกตางไปจากมติของคณะอนุกรรมการ
เพ่ือพิจารณาการดําเนินการทางวินัย ซึ่งไมเปนไปตามขอ ๗๕ วรรคสอง (๑) ของระเบียบดังกลาวก็ตาม
แตไมทําใหผลของคําส่ังของเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งที่สั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากงาน และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ยกอุทธรณของผูฟองคดีในความผิดฐาน
กระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๖๘ วรรคสอง ของระเบียบเดียวกัน
ซึ่งเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายเปล่ียนแปลงไป อีกทั้ง โทษไลออกจากงานเปนโทษสูงสุด
ของโทษทางวินัย ศาลจึงไมจําตองพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังในสวนอื่นท่ีไมชอบดวยกฎหมาย
ของผูถูกฟองคดีอีก และแมวาในมูลเหตุเดียวกันกับท่ีผูฟองคดีถูกรองเรียนนั้น ศาลจังหวัดศรีสะเกษ
และศาลอุทธรณไดมีคําพิพากษายกฟองแลวก็ตาม แตคําพิพากษาของศาลดังกลาวไมไดพิพากษาวา
ผูฟองคดีไมมีความผิด เพียงแตพยานหลักฐานยังไมแนชัดวาผูฟองคดีเรียกรับเงินจากนาย ธ.
หรือไม ศาลจึงยกประโยชนแหงความสงสัยใหแกผูฟองคดี เม่ือคดีนี้พยานหลักฐานจากการสอบสวน
ทางวินัยรับฟงไดวา พฤติการณของผูฟองคดีเปนการกระทําอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามที่ถูกกลาวหา แมในการดําเนินคดีอาญา
ของศาลจะมีคําพิพากษายกฟองผูฟองคดี แตในการดําเนินการทางวินัย ผูบังคับบัญชาก็สามารถ
ใชดลุ พนิ ิจส่งั ลงโทษไลผฟู อ งคดีออกจากงานได

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๑)

พิพากษายกฟอง

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟ. ๒๔/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา เดิมผูฟ องคดดี ํารงตําแหนง เจา พนกั งานการเลือกตั้ง (งานการมีสวนรวม)

สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดเลย ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่
ผูถูกฟองคดี (เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกต้ัง) มีคําสั่งลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ปลดผูฟองคดี
ออกจากงาน โดยใหม ีผลตงั้ แตว ันท่ี ๓ ธนั วาคม ๒๕๕๐ กรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาท่ี
โดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดรับประโยชนท่ีมิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ี ผูฟองคดี
เหน็ วาคาํ สงั่ ดงั กลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงไดย่ืนอุทธรณตอผูถูกฟองคดี และไดรับแจงผลการพิจารณา
อุทธรณ ใหย นื ตามมตขิ องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผูฟอ งคดจี งึ นําคดีมาฟอ งขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ลงโทษทางวนิ ัย และใหค ืนสิทธิประโยชนท ีผ่ ฟู องคดีพึงไดต ามกฎหมาย

ศาลปกครองสงู สดุ วนิ ิจฉัยวา เม่ือผูถูกฟองคดีไดมีคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ขอเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแลว คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการแจงให
ผูฟองคดีรับทราบขอกลาวหา ตามแบบ สว. ๒ และเม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดรวบรวม
พยานหลักฐานท่ีเก่ียวของแลวเสร็จไดดําเนินการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ที่สนับสนุนขอกลาวหาตามแบบ สว. ๓ ใหผูฟองคดีทราบ อีกทั้ง ผูฟองคดีไดใหถอยคําไวกับ
คณะกรรมการสอบสวนแลวตามบันทึกถอยคําของผูถูกกลาวหาตามแบบ สว. ๔ กรณีจึงถือวา
ผูฟองคดีไดมีโอกาสทราบขอเท็จจริงอยางเพียงพอ และไดโตแยงแสดงพยานหลักฐานของตน
ตามมาตรา ๓๐ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แลว อีกทั้ง คณะกรรมการ
สอบสวนไดดําเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑและวิธีการสอบสวนตามที่กําหนดไวในขอ ๑๔
วรรคหน่ึง และขอ ๑๕ วรรคหน่ึง ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา และระเบียบคณะกรรมการ
การเลือกต้ัง วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยชอบแลว สวนท่ีผูฟองคดีอางวา
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไมดําเนินการสอบสวนใหแลวเสร็จ ภายในเวลาที่กําหนดไว และ
ไมปรากฏวามีการขอขยายระยะเวลาจนระยะเวลาลวงเลยมาถึง ๔ ป และมีคําส่ังลงโทษปลด
ผฟู องคดีออกจากงาน จงึ เปนการดําเนินการที่ไมเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการวาดวยการสอบสวน
และพิจารณาตามขอ ๑๒ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ ฯ นั้น ระยะเวลาในการดําเนินการสอบสวน
ตามท่ีกฎหมายกําหนดไวดังกลาว ถือวาเปนมาตรการเรงรัดใหการดําเนินการสอบสวนแลวเสร็จ
ภายในเวลาอนั สมควรเทานั้น และกฎหมายไมไดกําหนดใหการดําเนินการสอบสวนซ่ึงเกินกําหนด
ระยะเวลาดังกลาวไมมีผลสมบูรณตามกฎหมายหรือใชบังคับไมได หรือมีผลกระทบตอความสมบูรณ
ของคําสั่งปลดผูฟองคดีออกจากงานแตอยางใด เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูฟองคดีไดรับมอบหมาย
จากผูบังคับบญั ชาใหช วยเหลือในการปฏิบตั หิ นาทด่ี า นการเงินของสาํ นกั งานคณะกรรมการการเลอื กตั้ง
ประจําเขตเลือกต้ังท่ี ๓ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๔ แมจะไมปรากฏขอเท็จจริงวา
มีคาํ สง่ั แตงตัง้ ผูฟองคดใี หด าํ รงตําแหนงหรือมีคําสั่งเปนลายลักษณอักษรมอบหมายจากผูบังคับบัญชา

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๒)
ใหป ฏิบตั ิหนา ทีเ่ กี่ยวกบั การเงินกต็ าม แตโดยที่ พ.ร.บ. วิธปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๓๔ บัญญัติวา คําส่ังทางปกครองอาจทําเปนหนังสือหรือวาจาหรือโดยการส่ือความหมาย
ในรูปแบบอื่นก็ได แตตองมีขอความหรือความหมายท่ีชัดเจนเพียงพอที่จะเขาใจได มาตรา ๓๕
บัญญัติวา ในกรณีท่ีคําสั่งทางปกครองเปนคําส่ังดวยวาจา ถาผูรับคําสั่งนั้นรองขอและการรองขอได
กระทําโดยมีเหตุอันสมควรภายในเจ็ดวันนับแตวันที่มีคําส่ังดังกลาว เจาหนาที่ผูออกคําส่ังตองยืนยัน
คําสั่งน้ันเปนหนังสือ มาตรา ๔๒ วรรคสอง บัญญัติวา คําสั่งทางปกครองยอมมีผลตราบเทาที่ยังไมมี
การเพิกถอนหรือสิ้นผลลงโดยเงื่อนเวลาหรือโดยเหตุอื่น จากบทบัญญัติดังกลาวเห็นไดวา คําส่ัง
ทางปกครองน้ันอาจทําดวยวาจาได เพียงแตตองมีความหมายท่ีชัดเจนเพียงพอที่จะเขาใจไดเทานั้น
เม่ือคาํ สง่ั มอบหมายใหผฟู อ งคดีปฏิบัติหนา ทด่ี า นการเงนิ เปน คาํ ส่งั ท่ีมีความหมายชัดแจง ยอมถือไดวา
ผูฟองคดีไดรับมอบหมายใหเปนเจาหนาที่ดานการเงิน ซ่ึงในการปฏิบัติหนาท่ีดังกลาว ผูฟองคดี
จะตองปฏิบัติหนาที่ดวยความซ่ือสัตย สุจริตและเท่ียงธรรม รวมทั้งตองปฏิบัติหนาท่ีใหเกิดผลดี
หรือความกาวหนาแกสํานักงานดวยความอุตสาหะ เอาใจใส และระมัดระวังรักษาประโยชนของ
สํานักงาน และตอ งไมประมาทเลินเลอในหนา ท่ี และเม่ือพจิ ารณาขอเท็จจริงตามทางการสอบสวน
และเอกสารพยานหลักฐานประกอบกับพฤติการณของผูฟองคดีที่ปรากฏในสํานวนมีนํ้าหนักเพียงพอ
ที่สนับสนุนใหรับฟงไดวา ผูฟองคดีแกไขใบสําคัญรับเงินคาเชาเคร่ืองเสียงจากจํานวน ๑,๕๐๐ บาท
เปนจํานวน ๓,๐๐๐ บาท จริง และแมวาการแกไขเอกสารดังกลาวจะเปนการแกไขเพ่ือใหตรงกับ
ขอเท็จจริงท่ีผูฟองคดีไดจายเงินเปนคาใชจายเก่ียวกับอาหารและเคร่ืองด่ืมแกอาสาสมัครรัฐธรรมนูญ
ตามความเปนจริงก็ตาม แตเม่ือสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไมไดจัดสรรงบประมาณในสวน
ของคา ใชจ ายดงั กลาวและเปนคาใชจ า ยทีไ่ มส ามารถเบิกจา ยกบั ทางราชการได การกระทําดังกลาว
ของผฟู องคดีจงึ เปนการจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ัง วาดวยการเงินและ
ทรัพยสิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอ ๑๑ ที่กําหนดวา ใบเสร็จรับเงิน หามขูด ลบ แกไข เพ่ิมเติม หมายเลข
กํากบั ใบเสร็จรบั เงิน จํานวนเงนิ หรอื ช่ือผชู าํ ระเงิน หากใบเสร็จรับเงินใดลงรายการรับเงินผิดพลาด
ใหทําการยกเลิกใบเสร็จรับเงินนั้น และขอ ๒๑ ที่กําหนดวา หลักฐานการจายเงินตองพิมพ หรือ
เขียนดวยหมึก การแกไขหลักฐานการจายใหใชวิธีขีดฆา การตกเติม ใหผูจายเงินลงลายมือช่ือ
กํากับไวทกุ แหง โดยพฤติการณดังกลาวของผูฟองคดีจึงเปนการปฏิบัติหนาที่โดยไมซื่อสัตย สุจริต
ไมเ อาใจใส และระมัดระวังรักษาประโยชนของสํานักงาน อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานปฏบิ ตั หิ นาทโ่ี ดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนท่ีไมควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ี
ตามขอ ๕๕ วรรคสาม และขอ ๕๖ ของระเบยี บคณะกรรมการการเลือกตงั้ วา ดว ยการบรหิ ารงานบคุ คล
พ.ศ. ๒๕๔๒ และฐานกระทาํ การอนั ไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๗๐ วรรคหน่ึง
ของระเบียบดังกลาว ซึ่งกรณีพนักงานของสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งฝาฝนขอหามหรือไม
ปฏบิ ตั ติ ามขอปฏิบัตทิ างวินยั นนั้ ตามขอ ๗๒ วรรคสอง ของระเบยี บเดยี วกัน ไดก ําหนดโทษทางวนิ ยั ไว
๕ สถาน คือ (๑) ภาคทัณฑ (๒) ตัดเงินเดือน (๓) ลดขั้นเงินเดือน (๔) ปลดออก และ (๕) ไลออก
และขอ ๗๖ วรรคหนึ่ง กําหนดวา พนักงานผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงใหเลขาธิการหรือ
ประธานกรรมการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการแลวแตกรณี ส่ังลงโทษปลดออก หรือไลออก

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๓)
ตามความรายแรงแหงกรณี ถามีเหตุอันควรลดหยอนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได
แตหามมิใหลดโทษลงตํ่ากวาปลดออก เม่ือไดวินิจฉัยแลววา พฤติการณของผูฟองคดีถือไดวา
เปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชน
ท่ไี มค วรได อันเปนการทุจริตตอหนาที่ และฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ดงั นั้น การทผี่ ูถกู ฟองคดมี ีคําส่งั ตามมตขิ องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
ที่ส่งั ลงโทษปลดผูฟอ งคดอี อกจากงาน จงึ ชอบดวยกฎหมายแลว

พพิ ากษายกฟอง

คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๔๙๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (สํานักงานรับรอง

มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน)) ตําแหนงนักวิชาการ กลุมงาน
อํานวยการ ตามสัญญาจาง ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ มีกําหนดระยะเวลาการจาง ๓ ป
นับแตวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ผูฟองคดีไดรับมอบหมาย
ใหปฏิบัติหนาท่ีเก่ียวกับการจัดอบรม แตตอมาไดรับมอบหมายใหเปนเจาหนาที่พัสดุ หลังจากน้ัน
ผูถ ูกฟอ งคดที ่ี ๒ (ผอู ํานวยการสํานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษา (องคการ
มหาชน)) มีคําสั่งลงวันท่ี ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ปลดผูฟองคดีออกจากการเปนเจาหนาที่มีผลต้ังแต
วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ผูฟองคดีเห็นวา การปลดผูฟองคดีตามคําส่ังขางตนไมชอบดวยกฎหมาย
เนื่องจากผูฟองคดีมิไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๐ มีนาคม
๒๕๕๔ ขอความเปนธรรมตอประธานกรรมการบริหารของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และมีหนังสือลงวันท่ี
๔ เมษายน ๒๕๕๔ อุทธรณคําส่ังปลดผูฟองคดีออกจากการเปนเจาหนาที่ตอประธานกรรมการ
อุทธรณและรองทุกขของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แตจนถึงวันฟองคดีน้ี ผูฟองคดีก็ยังไมไดรับแจงผลการ
พิจารณาเร่ืองดังกลาวจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี
๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ใหผูฟองคดีกลับไปปฏิบัติงานเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และให
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี เปนจํานวน ๑๒๑,๓๐๒ บาท พรอมดอกเบี้ย
รอยละ ๗.๕ ตอป นับถัดจากวันฟองเปนตนไป และชดใชเงินเปนรายเดือน เดือนละ ๒๐,๓๓๐ บาท
นบั ถดั จากวันฟอ งเปน ตน ไปจนกวา ศาลจะมคี าํ พิพากษา

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ภายหลังผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดรับหนังสือรองเรียน
พฤติกรรมของเจาหนาท่ีจัดซื้อจัดจางต๋ัวเครื่องบินของโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการ
ตามคํารับรองการปฏิบัติราชการของสถาบันอุดมศึกษา โดยสวนของหัวหนากลุมงานอํานวยการ
เปนผูมีสวนไดเสียในการจัดจางเนื่องจากครอบครัวเปนเจาของบริษัท ท. ผูถูกฟองคดีที่ ๒
ไดมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงพฤติกรรมเจาหนาท่ี ตอมา คณะกรรมการ
สอบขอเท็จจริงไดรวบรวมพยานหลักฐาน ในสวนคําขออนุมัติจัดจางบริษัท ท. ใหจัดทําโปรแกรม
ศึกษาดูงาน ณ ประเทศเวียดนาม เปนเงิน ๕๕,๗๘๔ บาท ตามใบเสนอราคา ลงวันที่

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๔)
๒๔ กุมภาพนั ธ ๒๕๕๒ โดยเสนออนุมัตแิ ตง ตั้งคณะกรรมการตรวจรบั งาน ภายหลังส้ินสุดโครงการ
ผฟู อ งคดจี ัดทํารายงานการตรวจรับงาน ลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๒ ใหประธานกรรมการลงนาม
พรอมกรรมการและเลขานุการ ยืนยันวาบริษัทดังกลาว ไดดําเนินการและสงมอบงานไดถูกตอง
ครบถวนตามใบส่ังจางแลวเสนอใหอนุมัติเบิกจายเงินแกผูรับจาง และมีการจายเงินแกบริษัท
ดังกลาวไปแลวเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๒ โดยผูฟองคดียอมรับวาเปนผูจัดทําเอกสาร
การขออนมุ ัติจัดจาง และจัดทาํ รายงานการตรวจรับงานจางโดยคณะกรรมการไมไดประชุมกันจริง
และไดใหนาง ป. เปนผูลงนามแทนประธานกรรมการจริง และรับวาเปนความผิดพลาดของผูฟองคดี
ตามบันทึกถอยคํา ลงวันท่ี ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เมื่อหัวเร่ือง
ของบันทึกถอยคําทั้งสองฉบับดังกลาวเปนเร่ืองการสอบสวนขอเท็จจริงพฤติกรรมของเจาหนาที่
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ กรณีจัดซื้อจัดจางซ้ือต๋ัวเครื่องบินเทาน้ัน ไมมีขอกลาวหาวาผูฟองคดี
ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงในเรื่องใด ไมมีการแจงพยานหลักฐานท่ีคณะกรรมการ
รวบรวมมาไวเพ่ือใหผูฟองคดีรับรูรับทราบและจะใหการตอสูหักลางพยานหลักฐานน้ันอยางไร
ตามมาตรา ๓๐ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และกรณีนี้
ไมเขาขอยกเวนตามความในมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๓) ท่ีวา เม่ือเปนขอเท็จจริงที่คูกรณีนั้นเอง
ไดใหไวใ นคาํ ใหก าร อนั จะทาํ ใหเ จาหนาที่ไมจําตองใหสิทธิดังกลาวแกผูฟองคดี เนื่องจากผูฟองคดี
รบั วา กระทาํ การผดิ พลาดในการใหน าง ป. ลงนามแทนประธานกรรมการ และโดยไมมีการประชุม
เน่ืองจากเปนการจัดจางรายเล็กและเจาหนาท่ีในสังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ก็ทํากันเปนประจํา
จึงเขาใจวาทําได แตผูฟองคดีมิไดรับวาไดปฏิบัติหนาที่สอไปในทางทุจริตตอหนาท่ี อาศัยอํานาจ
หนา ท่ขี องตนรว มกระทาํ การหาประโยชนใหแ กผ อู น่ื โดยมชิ อบ ทาํ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับความเสียหาย
อยางรายแรงแตอยางใด จึงเห็นวาการท่ีคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงอางขอ ๔๙ วรรคสอง
ของขอบังคับสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน) วาดวย
การบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๕ มาใชบังคับกับการดําเนินการทางวินัยอยางรายแรงโดยไมเสนอ
ใหมีการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการทางวินัยอยางรายแรงน้ัน เม่ือพิเคราะหขอ ๔๙
วรรคสาม ของบังคับดังกลาว กําหนดวา หลักเกณฑและวิธีการในการสอบสวนใหเปนไปตามที่
คณะอนุกรรมการกําหนด ซึ่งคณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคล มีมติใหคณะกรรมการหรือ
คณะทํางานที่สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน)
แตงต้ังใหมีหนาที่สอบสวน อนุโลมใหใชหลักเกณฑและวิธีการสอบสวนโดยอาศัยกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
เปนแนวทางในการพิจารณาดําเนินการ เม่ือคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไดรับการแตงต้ัง
ใหมีหนาที่สอบสวนดําเนินคดีวินัยอยางรายแรง ไมไดดําเนินการตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ดังกลาว จึงฟงไดวาคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง กระทําการสอบขอเท็จจริงและ
เสนอใหล งโทษปลดผูฟ อ งคดีโดยไมเปนไปตามขั้นตอนอันเปนสาระสําคัญในการบริหารงานบุคคล
ประกอบกับในชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณและรองทุกขไดมีมติใหเพิกถอนคําสั่งปลดผูฟองคดี
ออกจากการเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลวแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๕)
เพื่อดําเนินการใหถูกตองและเปนไปตามขั้นตอนของกฎหมายตอไป แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑
และคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงหาไดดําเนินการตามที่คณะกรรมการอุทธรณมีมติไม
อันเปนการไมยอมรับตามที่กฎหมายบัญญัติใหมีอํานาจหนาที่พิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ
ขออางวาการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรง คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงทําตามขอบังคับ
สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน) วาดวย
การบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๔ ขอ ๔๙ วรรคสอง โดยชอบแลวจึงไมอาจรับฟงได
เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีความประสงคจัดโครงการศึกษาดูงาน ณ ประเทศ
เวยี ดนาม วงเงนิ ไมเกินสองแสนบาท ตามระเบียบสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ
การศึกษา วา ดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๔ ขอ ๗ และขอ ๘ สําหรับกรณีผูฟองคดีในฐานะเจาหนาท่ี
พัสดุไดเสนอใหตกลงราคากับ บริษัท ท. ในวงเงิน ๕๕,๐๐๐ บาท ตอผูมีอํานาจอนุมัติเม่ือวันที่
๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๕๒ หลังเสร็จสิ้นโครงการ ผูฟองคดีทําเร่ืองเสนอคณะกรรมการตรวจรับงาน
โดยมีนาง ป. เปนประธานกรรมการแทนนาย ส. และผูมีอํานาจอนุมัติเบิกจายเงินจากคลัง
อนมุ ัตกิ ารจา ยโดยมไิ ดต รวจดูวาผูรายงานตรวจการจา งมใิ ชนาย ส. ประธานกรรมการตรวจรับงาน
แตบริษัท ท. ไดรับเงินไปแลวตามผลการปฏิบัติงาน โดยท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จัดซื้อต๋ัวเคร่ืองบิน
จัดจางบริษัท ท. ใหทําโปรแกรมศึกษาดูงานมาตลอด และผูฟองคดีก็ไดตกลงราคากับบริษัท
ดังกลาว เนื่องจากเห็นวามีช่ือเสียงและติดตอกับผูถูกฟองคดีที่ ๑ มาโดยตลอด ประกอบกับ
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไมสามารถแสวงหาพยานหลักฐานไดวาผูฟองคดีกระทําการทุจริต
แสวงหาประโยชนใหกับ บริษัท ท. โดยไมชอบดวยกฎหมายอยางไร แตกลับปรากฏขอเท็จจริงวา
บริษัท ท. ดําเนินการตามที่ตกลงจางแลวเสร็จและรับเงินคาจางตามสัญญาไปแลว โดยไมปรากฏวา
คาใชจายตางๆ สูงเกินราคาท่ีควรจะเปนอยางไร แมนาง ป. มีสามีทํางานอยูบริษัท ท. และเปน
ผูบริหารยังไมสามารถพิสูจนไดวา ผูฟองคดีเอื้อประโยชนแกบริษัท ท. และนาง ป. โดยไมชอบ
อยางไร แมบริษัทดังกลาวจะมีรายไดจากการรับจางคร้ังนี้ แตเม่ือไมพบความผิดปกติในการ
แสวงหาประโยชนอันมิควรไดโดยชอบดวยกฎหมายของผูฟองคดี กรณีจึงไมอาจถือวาผูฟองคดี
ทุจริตตอหนาท่ี สําหรับฐานความผิดอาศัยอํานาจหนาท่ีของตนรวมกระทําการกับหัวหนากลุม
อํานวยการหาประโยชนใหกับหัวหนากลุมงานและผูอื่น ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เสียหาย
อยา งรายแรง นนั้ ไมป รากฏขอ เทจ็ จริงวา ผฟู องคดีไดรว มกับนาง ป. ในการเจาะจงใหใชบริษัท ท.
เปนผูรับจาง จัดโปรแกรมศึกษาดูงานที่ประเทศเวียดนาม ดวยราคาท่ีสูงกวาปกติในทองตลาด
โดยท่วั ไป และผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ ไดร บั บริการจากการรบั จางของบรษิ ทั ดงั กลา วไปโดยชอบ โดยไมมี
ขอเท็จจริงเร่ืองความไมชอบดวยกฎหมาย ขอสัญญา แตอยางใด กรณีจึงฟงไมไดวาผูฟองคดี
กระทําผิดตามท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง เม่ือไดวินิจฉัยแลววา ผูถูกฟองคดี
มิไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ตามนัยขอ ๔๙ วรรคหน่ึง ของขอบังคับสํานักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพการศึกษา (องคการมหาชน) วาดวยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๔
การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังปลดผูฟองคดีออกจากการเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงเปนการกระทําท่ีไมชอบดวยขอบังคับดังกลาว เมื่อคดีน้ีสัญญาจางผูฟองคดีระบุระยะเวลา

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๖)
การจางไว ๓ ป นับแตวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ แตผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําสั่งปลดผูฟองคดีเม่ือวันท่ี ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๕๔
จึงคงเหลือเวลาตามสัญญาจาง ๘ เดือน ๒๔ วัน ในขณะถูกเลิกจางผูฟองคดีไดรับเงินเดือน
เดือนละ ๒๐,๓๓๐ บาท ผูฟองคดีจึงควรไดรับเงินคาเสียหายจากการเลิกจางกอนครบกําหนด
เปนเวลา ๘ เดือน ๒๔ วัน แตผูฟองคดีมีคําขอคาเสียหายนับแตวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่
๕ กันยายน ๒๕๕๔ รวม ๕ เดือน ๒๙ วัน เปนเงิน ๑๒๑,๓๐๒ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรา
รอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินคาเสียหายนับแตวันถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ
ศาลจึงกําหนดใหตามคําขอ สวนคําขอใหชดใชเงินเปนรายเดือน เดือนละ ๒๐,๓๓๐ บาท
นับถัดจากวันฟองจนกวาศาลจะมีคําพิพากษา เมื่อสัญญาจางส้ินสุดลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน
๒๕๕๔ ผูฟองคดีมีสิทธิไดรับคาเสียหายที่เหลืออีกนับแตวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ รวม ๒ เดือน ๒๕ วัน รวมเปนเงิน ๕๗,๖๐๑.๖๐ บาท แตผูฟองคดีไมได
ขอดอกเบี้ยในสวนนี้ จึงไมกําหนดให สวนขออางของผูถูกฟองคดีท้ังสองวา ตามท่ีศาลปกครอง
ช้นั ตนกาํ หนดคาเสียหายโดยใหผ ถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ จายคาเสยี หายใหแกผ ฟู องคดีดังกลาว เปนกรณีที่
ไมอ าจมสี ิ่งใดรบั รองไดว าผูฟ อ งคดจี ะสามารถปฏิบัติงานตามสัญญาจางท่ีทําไวกับผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จนครบกําหนดในสัญญา โดยผูฟองคดีอาจลาออกไปปฏิบัติงานท่ีอ่ืนดวยความสมัครใจของตนเอง
หรือกรณีท่ีผูฟองคดีอาจไมผานการประเมิน น้ัน เห็นวาขออางของผูถูกฟองคดีทั้งสอง เปนเพียง
การคาดเหตุการณในอนาคตที่ยังไมเกิดข้ึนจริง และอาจไมเกิดกรณีเชนวาน้ันก็เปนได แตเม่ือได
วินิจฉัยแลววา ผูถูกฟองคดีทั้งสองมีคําส่ังเลิกจางโดยปลดผูฟองคดีออกกอนสิ้นสุดระยะเวลาตาม
สัญญาโดยไมชอบ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีหนาที่ตองชดใชคาเสียหายแกผูฟองคดีตามสัญญา ที่ศาล
ปกครองช้ันตนพิพากษาใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ชดใชคาเสียหายเปนเงินเดือนคางจายแกผูฟองคดี
จํานวน ๑๒๑,๓๐๒ บาท พรอมดอกเบี้ยรอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวนดังกลาว นับถัดจาก
วันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ และชดใชคาเสียหายเปนเงินเดือนคางจายอีกจํานวน
๕๗,๖๐๑.๖๖ บาท ท้ังน้ีใหดําเนินการใหแลวเสร็จภายใน ๔๕ วัน นับแตวันที่คําพิพากษาถึงที่สุด
นอกจากนี้ ใหคืนคาธรรมเนียมศาลเปนเงินจํานวน ๒,๔๒๖ บาท แกผูฟองคดี สวนคําขออ่ืนใหยก
น้ัน ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดว ย

พพิ ากษายนื

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๕๑๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนพนักงานกองทุนเงินใหกูยืมเพ่ือการศึกษา (กยศ.)

ตําแหนงผูอํานวยการฝายประสานกิจการสัมพันธ ไดรับมอบหมายใหปฏิบัติหนาท่ีโครงการ
ประสานงานกองทุนเงินใหกูยืมเพื่อการศึกษาท่ีผูกกับรายไดในอนาคต (กรอ.) ไดรับ
ความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดี (ผูจัดการกองทุนเงินใหกูยืมเพื่อการศึกษา) มีคําส่ัง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน เน่ืองจากเห็นวาผูฟองคดีมีพฤติการณไปทําสัญญา

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๗)
กยู ืมเงนิ กรอ. ใหกับสถานศกึ ษาซ่ึงถูกเพิกถอนการมอบอํานาจการดําเนินงาน และเปนการไปทําสัญญา
ในวันเสาร – อาทิตย โดยมิไดแจงและขออนุมัติตอผูบังคับบัญชา และมีพฤติการณปกปดไมให
ผูบังคับบัญชาทราบ มีการเรียกรองคาเบ้ียเลี้ยงจากสถานศึกษาใหตนเองและผูอ่ืนเกินสมควร
ใหสถานศึกษาจายคาเคร่ืองบินใหคณะทํางานซ่ึงเปนลูกจางเกินความจําเปนและเกินสิทธิ รับฝาก
ของจากสถานศึกษาซงึ่ มมี ลู คา กวา ๓,๐๐๐ บาท จัดทําสญั ญากยู มื เงิน กรอ. รายใหมท่ีวิทยาลัย ฉ.
โดยทราบอยูแลววานักศึกษาอาจไมมีสิทธิขอรับทุน ซึ่งผูฟองคดีไดกระทําในนามของ กยศ.
ทําใหภาพลักษณของ กยศ. เสียหาย และผูฟองคดีเคยดํารงตําแหนงผูอํานวยการฝายกฎหมาย
และติดตามหน้ีมากอน ยอมทราบขอกฎหมายเปนอยางดี แตกลับฝาฝนมิไดดําเนินการใหเปนไป
ตามกฎหมาย จึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ผูฟองคดีเห็นวา พฤติการณดังกลาวไมเปน
ความจริง และการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีทันที โดยมิไดให
ผูฟองคดีมีโอกาสช้ีแจงขอเท็จจริงในช้ันสอบขอเท็จจริงกอน เปนการกระทําที่ผิดขั้นตอนของ
การสอบสวน และการสอบสวนไมโปรงใส ไมเปนธรรม และมีอคติ ผูฟองคดีจึงอุทธรณคําสั่ง
ดังกลาวตอคณะกรรมการ กยศ. แตเมื่อเวลาลวงเลยมากวาเกาสิบวันนับแตวันท่ีผูฟองคดีไดย่ืน
อุทธรณ ก็ยังไมมีการดําเนินการใดๆ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากพนักงาน ให กยศ. คืนเงินเดือน สิทธิประโยชนและ
สวัสดิการตางๆ ตั้งแตวันที่ส่ังพักงานจนถึงวันท่ีมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งลงโทษเต็มจํานวน และให
กยศ. เยียวยาผูฟองคดีท่ีไดรับความเสียหายท้ังทางจิตใจ ชื่อเสียง เกียรติยศ สิทธิประโยชนตางๆ
นบั ต้ังแตว ันถกู ส่งั ใหพ กั งานจนถึงวนั ที่มคี าํ สัง่ ยกเลิกคาํ ส่ังลงโทษดงั กลา ว

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีไดแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงถึงพฤติกรรมดังกลาวของผูฟองคดีกอนที่จะมีคําส่ังแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง โดยผลการสอบขอเท็จจริงมีมูลวาผูฟองคดีทําผิดวินัย
อยางรายแรง ผูถูกฟองคดีจึงไดแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี
โดยในการสอบสวนวินัยผูฟองคดีน้ัน คณะกรรมการสอบสวนไดแจงและอธิบายขอกลาวหา
และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาใหผูฟองคดีทราบ ตามบันทึกการแจงและอธิบาย
ขอกลาวหา ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ และบันทึกการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ท่ีสนับสนุนขอกลาวหา ลงวันท่ี ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๒ และเปดโอกาสใหผูฟองคดีช้ีแจงและ
นําพยานหลักฐานเขาสืบแกขอกลาวหาได โดยผูฟองคดีไดย่ืนคําช้ีแจงแกขอกลาวหาเปนหนังสือ
รวม ๓ ฉบับ กรณีจึงเปนการดําเนินการตามขอบังคับกองทุนเงินใหกูยืมเพ่ือการศึกษา วาดวย
พนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ ขอ ๙๘ วรรคหน่ึง แลว เม่ือคณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวน
ตอผูถูกฟองคดี ผูถูกฟองคดีไดเสนอรายงานผลการสอบสวนดังกลาวตอคณะกรรมการ กยศ.
เพ่ือพิจารณาใหความเห็นชอบ ตามขอ ๑๐๑ วรรคหน่ึง ของขอบังคับดังกลาว ซึ่งคณะกรรมการ
กยศ. มีมติเห็นชอบตามรายงานการสอบสวน โดยใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน
ดังน้ัน การดําเนินการสอบสวนและการออกคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากพนักงานจึงเปน
การดําเนินการโดยถูกตองตามรูปแบบข้ันตอนและวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดแลว นอกจากนี้

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๘)
เม่ือพิจารณาจากพยานหลักฐานในสํานวนคดีแลวเห็นวา การเดินทางไปจัดทําสัญญากูยืมเงิน กรอ.
ใหส ถานศกึ ษาตางๆ ของผูฟองคดีและคณะ เปนการเดินทางไปปฏิบัติงานโดยไมไดรับอนุญาตจาก
ผถู กู ฟองคดซี ่ึงเปนผูบังคบั บญั ชา จงึ เปนการไมปฏิบัติตามขอ ๖๒ ของขอบังคับกองทุนเงินใหกูยืม
เพ่ือการศึกษา วาดวยพนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ และในการเดินทางดังกลาว ผูฟองคดีและคณะ
ไดเรียกรองคาตอบแทนจากสถานศึกษาเปนจํานวนเงินท่ีสูงกวาคาเบ้ียเล้ียงท่ีสามารถเบิกจาย
จาก กยศ. ตามขอ ๖๔ (๑) ของขอบังคับดังกลาวมาก และยังใหเจาหนาท่ีซึ่งเปนลูกจาง กยศ.
เดินทางโดยเครื่องบินโดยใหสถานศึกษาเปนผูออกคาใชจายให ทั้งที่ตามขอบังคับเดียวกัน
พนักงานระดับ ๑ ถึงระดับ ๒ ไมสามารถเดินทางไปปฏิบัติงานโดยเครื่องบินได การกระทําของ
ผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนการอาศัยอํานาจหนาท่ีของตน หาผลประโยชนใหกับตนเองและผูอ่ืน
โดยมิชอบ สรางความเดือดรอนใหกับสถานศึกษา เรียกรองเอาผลประโยชนจากสถานศึกษา
โดยอาศยั อาํ นาจหนา ที่การงานของตนในการทําสัญญากูยืมเงิน กรอ. ใหกับสถานศึกษาซ่ึงถูกเพิกถอน
การมอบอํานาจ ไมสามารถทําสัญญากูยืมเองไดและเรียกรองเอาทรัพยจากสถานศึกษาใหกับตนเอง
และคณะโดยมิชอบ ประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาที่การงานของตน การกระทําของ
ผูฟองคดีจึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ
เพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ี อันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง และปฏิบัติหนาที่โดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และ
ขอบังคับของกองทุนอันเปนเหตุใหเสียหายแกกองทุนอยางรายแรง ตามขอ ๙๔ (๓) (๖) และ (๘)
ของขอบังคับกองทุนเงินใหกูยืมเพ่ือการศึกษา วาดวยพนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ ดังน้ัน คําส่ังลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงานจึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว อีกท้ัง ผูฟองคดี
เปนผูเรียกรองคาใชจายตางๆ จากทางสถานศึกษา โดยทางสถานศึกษาเกรงกลัววาจะไมไดรับ
ความรวมมือในการจัดทําสัญญากูยืมเงิน กรอ. กรณีน้ีจึงมิใชเปนกรณีที่สถานศึกษายินดีรับภาระ
คาใชจายโดยสมัครใจตามมติของคณะกรรมการ กยศ. ในคราวประชุมเม่ือวันท่ี ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๖
แตอ ยา งใด ทศ่ี าลปกครองชนั้ ตน พพิ ากษายกฟอง น้นั ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดวย

พิพากษายนื

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อร.๒๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนกํานันตําบลราษฎรเจริญ อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย

จังหวัดมหาสารคาม ถูกจับและดําเนินคดีในขอหาเลนการพนันชนไกโดยไมไดรับอนุญาต
ซ่ึงศาลจังหวัดมหาสารคามไดพิพากษาวาผูฟองคดีรวมกับผูท่ีอยูในเหตุการณจํานวน ๑๕ คน
ฐานเปนผูรวมเลน ไมมีเจามือหรือเจาสํานัก ปรับคนละ ๘๐๐ บาท ซึ่งกรณีดังกลาวผูฟองคดีเพียงแต
จะเขาไประงับเหตุลักลอบเลนการพนันในฐานะกํานันผูปกครองทองที่ แตในระหวางนั้นมีเจาหนาท่ี
ทหารและตํารวจเขาไปทําการจับกุมผูลักลอบเลนการพนันดังกลาว จึงไดควบคุมตัวผูฟองคดีไวดวย
เจาหนาท่ีดังกลาวไดเกลี้ยกลอมใหผูฟองคดีรับสารภาพ ผูฟองคดีคิดวาหากรับสารภาพไปแลว

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๗๙)
ไมนาจะทําใหขาดคุณสมบัติของการเปนกํานัน/ผูใหญบาน จึงยอมรับสารภาพในชั้นสอบสวน
และในชั้นศาล จนเปนเหตุใหคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ใหปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงตามคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูวาราชการจังหวัดมหาสารคาม)
ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ผูฟองคดีไมเห็นดวยจึงย่ืนคํารองทุกขตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(กระทรวงมหาดไทย) ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ใหยกคํารองทุกข จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากตําแหนงกํานัน เพิกถอนผลการวินิจฉัยคํารองทุกขของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ยกคํารองทุกข
ของผูฟอ งคดี และใหคนื สิทธปิ ระโยชนแ กผูฟ องคดีทั้งหมด

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อปรากฏวา ผูฟองคดีถูกจับและดําเนินคดีในขอหา
เลนการพนนั ชนไกโดยไมไ ดรบั อนญุ าต ซ่งึ ศาลจงั หวัดมหาสารคามไดพ ิพากษาใหป รับคนละ ๘๐๐ บาท
นายอําเภอพยัคฆภูมิพิสัยจึงไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ขอเท็จจริงกรณีดังกลาว พรอมกับพักหนาที่ผูฟองคดีดวย นายอําเภอพยัคฆภูมิพิสัยไดรายงาน
ผลการสอบสวนขอเท็จจริงวามีพฤติการณอันเช่ือไดวาผูฟองคดีกระทําผิดตาม พ.ร.บ. การพนัน
พุทธศักราช ๒๔๗๘ ตอ มา รองผวู าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการแทนผูวาราชการจังหวัดมหาสารคาม
ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี
คณะกรรมสอบสวนไดร ายงานผลการสอบสวนทางวินยั วา เหน็ สมควรลงโทษปลดออก ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
พิจารณาแลวจึงไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน
ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงมีหนังสือลงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ รองทุกขตอนายอําเภอพยัคฆภูมิพิสัย
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดพิจารณาคํารองทุกขแลวเห็นวา การท่ีรองผูวาราชการจังหวัด ปฏิบัติราชการแทน
ผูวาราชการจังหวัดมหาสารคาม ออกคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยรายแรง
เปนการดําเนินการโดยไมมีอํานาจ เนื่องจากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดมอบอํานาจใหรองผูวาราชการ
จังหวัดมหาสารคามมีอํานาจในการดําเนินการทางวินัยกับกํานัน ผูใหญบาน ตาม พ.ร.บ. ลักษณะ
ปกครองทองที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ จึงใหจังหวัดเพิกถอนคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดีออกจาก
ตําแหนงกํานัน และยกเลิกคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง พรอมท้ังใหแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีเสียใหม และพิจารณาดําเนินการตามอํานาจหนาท่ี
ตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๖ มีนาคม
๒๕๕๘ ที่ส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน และเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๔ ตุลาคม
๒๕๕๗ ที่แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี พรอมกับมีคําสั่งแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั อยางรายแรงผูฟองคดใี หม ตอมา คณะกรรมการสอบสวนไดดาํ เนนิ การ
สอบสวนและรายงานการสอบสวนลงวนั ท่ี ๙ ตลุ าคม ๒๕๕๘ ตอ ผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ และผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน ต้ังแตวันที่ ๑๕
กันยายน ๒๕๕๗ เมื่อคําส่ังจังหวัดมหาสารคาม ลงวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากตําแหนงกํานัน เปนคําสั่งที่มีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี
จึงเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๘๐)
เมื่อดําเนินการไมถูกตองตามขั้นตอนอันเปนสาระสําคัญตามท่ีกฎหมายกําหนด มีผลใหคําส่ังดังกลาว
ไมชอบดวยกฎหมาย เจาหนาท่ีหรือผูบังคับบัญชาของเจาหนาที่อาจเพิกถอนคําสั่งทางปกครองได
ตามมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติวิธีดังกลาว และการเพิกถอนคําส่ังทางปกครอง
ที่ไมชอบดวยกฎหมาย อาจถูกเพิกถอนท้ังหมดหรือบางสวน โดยใหมีผลยอนหลังหรือไมยอนหลังได
ตามมาตรา ๕๐ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๘
สิงหาคม ๒๕๕๘ เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนง
กํานัน ซึ่งแปลความใหการเพิกถอนคําส่ังลงโทษดังกลาวมีผลยอนหลังไปถึงวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘
จงึ เปน กรณที ่ีผูบังคับบัญชาเพิกถอนคําส่ังทางปกครองทีไ่ มช อบดว ยกฎหมายตามมาตรา ๔๙ วรรคหน่ึง
ประกอบกับมาตรา ๕๐ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ซ่ึงเมื่อไดดําเนินการเพิกถอนคําส่ังดังกลาวแลว
ยอมถือไดวา ผูฟองคดีไมเคยถูกลงโทษทางวินัยสําหรับการกระทําความผิดในกรณีเดียวกันนี้มากอน
ดังน้ัน เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจาก
ตําแหนงกํานัน จึงไมใชกรณีที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงโทษผูฟองคดีซํ้าอีกครั้งหนึ่ง จึงไมอาจ
ถือไดวาเปนการลงโทษสองครั้งในการกระทําครั้งเดียว ดังน้ัน คําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากตําแหนงกํานัน จึงเปนคําสั่งท่ีชอบดวยกฎหมาย
และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ียกคํารองทุกขของผูฟองคดีโดยอาศัยเหตุผลเดียวกัน
จงึ เปนคําสั่งท่ีชอบดวยกฎหมายเชนกัน ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง นั้น ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพอ งดว ย

พพิ ากษายนื

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓




Click to View FlipBook Version