(๕๓)
หรือปญหาเก่ียวกับประโยชนสาธารณะ ผูฟองคดีจึงไมอาจยกข้ึนกลาวอางในคําอุทธรณได
ท้ังนี้ ตามขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ สวนกรณีผูถูกฟองคดีท่ี ๗ เห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๗ เปนหนวยงานในสังกัด
กระทรวงการคลังที่มีหนาที่ดําเนินการจายเงินบําเหน็จบํานาญตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ.
บําเหน็จบํานาญขาราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ แมผูถูกฟองคดีท่ี ๗ โดยอธิบดีกรมบัญชีกลางจะเปน
ผูมีอํานาจพิจารณาส่ังจายเงินบําเหน็จบํานาญก็ตาม แตการจะดําเนินการพิจารณาสั่งจายเงิน
บําเหน็จบํานาญไดก็ตอเมื่อกระทรวง ทบวง กรม หรือสวนราชการเจาสังกัดไดมีการขอรับเงิน
บําเหน็จบํานาญเทานั้น การที่ผูฟองคดีจะไดรับเงินบําเหน็จบํานาญหรือไมน้ัน ยอมเปนไป
ตามกฎหมายและระเบียบท่ีเกี่ยวของ ในชั้นน้ีผูถูกฟองคดีท่ี ๗ มิไดกระทําการหรืองดเวน
กระทําการใดอันเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟอง
ผถู ูกฟองคดที ี่ ๗ ท้ังน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนงึ่ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคําสั่งไมรับคําฟองในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๗ ไวพิจารณา น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดว ย
จงึ มคี าํ ส่งั ยนื ตามคําส่งั ของศาลปกครองชัน้ ตน
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๑๖๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหนง
ผูอํานวยการสถานศึกษา โรงเรียนสระแกว ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ศึกษาธิการจังหวัดสระแกว) ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งแกไข
โดยคําส่ังลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี
กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวนิ ยั อยางรายแรง ผูฟองคดีจงึ ไดร อ งทุกขต อผถู กู ฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการ
ศึกษาธิการจังหวัดสระแกว) เพื่อขอใหเพิกถอนคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
ซ่งึ ผูถูกฟองคดที ี่ ๒ ไดม ีมตใิ หย กคาํ รอ งทกุ ขข องผฟู องคดี และผูถูกฟอ งคดีท่ี ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ แจง ผลการพิจารณาเรื่องรองทุกขและสิทธิในการฟองคดีใหผูฟองคดีทราบ
ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลพิพากษาใหผูถูกฟองคดี
ทั้งสองรวมกันหรือแทนกันเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ท่ีแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผฟู อ งคดี และคาํ สงั่ ที่แกไ ขเพิม่ เตมิ ตอ เนือ่ งจากคาํ สัง่ ดังกลาว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีฟองวาไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย
จากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัยรายแรงผูฟองคดี
ตามคําส่ังลงวันท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งแกไขโดยคําสั่งลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ แตการที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเปนเพียงขั้นตอนเพ่ือแสวงหา
ขอเทจ็ จริงตามขอ กลาวหา ซึ่งมีขั้นตอนการดําเนินการและระยะเวลาที่กําหนดใหคณะกรรมการสอบสวน
ตอ งแจง ขอกลา วหาและสรปุ พยานหลักฐานใหผ ฟู อ งคดที ราบ พรอ มท้ังรบั ฟงคําชี้แจงของผูฟองคดี
และเม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดด าํ เนินการเสร็จส้ิน ตองรายงานผลการสอบสวนและเสนอความเห็น
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๔)
ตอ ผูถ กู ฟอ งคดีที่ ๑ เพ่อื ใหว นิ ิจฉัยวา ผฟู องคดีกระทําผดิ วินยั ตามที่ถูกกลาวหาหรือไม คําสั่งแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัยดังกลาว จึงมีลักษณะเปนเพียงการเตรียมการของเจาหนาท่ี
เพื่อจัดใหมีคําส่ังทางปกครอง อันเปนขั้นตอนการพิจารณาทางปกครองเทานั้น ซ่ึงคําส่ังดังกลาว
หาไดเ ปน คําสง่ั ทางปกครองท่ีมีผลเปนการกอ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบตอ
สถานภาพของสิทธิหรอื หนาท่ีของผฟู อ งคดีแตอยา งใดตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธปี ฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเม่ือคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยรายแรงดังกลาว
ยังไมมีผลเปนการช้ีขาดวาผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัยตามท่ีถูกกลาวหาหรือไม อยางไร กรณีจึงไมอาจ
ถือไดวา คําสั่งดังกลาวกอใหเกิดความเสียหายตอช่ือเสียงของผูฟองคดี ดังนั้น ผูฟองคดีจึงมิใช
ผูท่ีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงได
ท่ีจะมีสิทธิฟองคดีน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ นอกจากนี้
การดําเนินการวินัยแกขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีที่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรายแรงกําหนดใหผูมีอํานาจบรรจุและแตงตั้งตามมาตรา ๕๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ เปนผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๙๘
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ซ่ึงเดิมเปนอํานาจของผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต ๗ แตตอมาไดมีคําส่ังหัวหนาคณะรักษาความสงบแหงชาติ ที่ ๑๙/๒๕๖๐ ลงวันท่ี
๓ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ โดยขอ ๑๒
ของคําสง่ั ดงั กลา ว กําหนดใหอ ํานาจดงั กลา วเปน ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ รวมท้ังในกรณที ่ีมีการแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวนิ ยั อยางรา ยแรงแลว คณะกรรมการสอบสวนวินัยดังกลาว ยอมมีอํานาจหนาท่ี
ท่ีจะสอบสวนวาพฤติการณของผูฟองคดีตามท่ีถูกกลาวหาเปนความผิดวินัยอยางรายแรงหรือไม
หรือเปนเพียงความผิดวินัยอยางไมรายแรง หรือเปนความผิดวินัยท้ังอยางรายแรงและไมรายแรง
รวมอยูดวย ดังน้ัน การท่ีผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต ๗ สงเรื่องให
ผถู กู ฟองคดีที่ ๑ ดําเนินการแตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนวนิ ยั อยา งรายแรง และผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดม ีคาํ ส่งั แตง ตัง้ คณะกรรมการสอบสวนวินยั อยางรายแรงผฟู อ งคดตี ามคําสั่งสํานักงานศึกษาธิการ
จงั หวดั สระแกว ลงวนั ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซ่งึ แกไขโดยคําส่งั สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดสระแกว
ลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมายแลว ท่ีศาลปกครองช้ันตน
มีคําสง่ั ไมร บั คําฟอ งน้ไี วพ ิจารณาและใหจําหนา ยคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพอ งดวย
จึงมีคาํ สง่ั ยืนตามคําสั่งของศาลปกครองช้นั ตน
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๖๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๓
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๕๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๔
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๕)
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ ฟ.๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาหนาที่การเงินและบัญชี ๕
ท่ีทําการปกครองอําเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ ไดรับคําส่ังลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
ใหลงโทษไลผ ฟู องคดอี อกจากราชการโดยกลาวหาวา ผูฟองคดีเมื่อครั้งเปนขาราชการพลเรือนสามัญ
ตําแหนงเจาหนาที่การเงินและบัญชี ๕ อําเภอวิเชียรบุรี ชวยราชการท่ีทําการปกครอง
จังหวัดเพชรบูรณ ไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงในเร่ืองจัดทําหลักฐาน เอกสารการขอเบิกเงิน
และการจายเงินคาตอบแทนกํานัน ผูใหญบาน แพทยประจําตําบล สารวัตรกํานัน ผูชวยผูใหญบาน
ไมตรงกับจํานวนหมูบานและวันท่ีไดรับการแตงต้ัง ซึ่งเกิดความเสียหายแกราชการคิดเปนมูลคา
จํานวนเงิน ๗๘๙,๑๗๘ บาท ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ อุทธรณคําสั่ง
ลงโทษของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูวาราชการจังหวัดเพชรบูรณ) ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการ
พิทักษระบบคุณธรรม) ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณ ผูฟองคดีไมเห็นดวย
จึงมีหนังสือลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงประธานผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ขอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓
พิจารณาทบทวนคําวินิจฉัยดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีหนังสือลงวันท่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔
ถึงผูฟองคดีแจงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมอาจพิจารณาทบทวนคําวินิจฉัยดังกลาวได ผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหมีการสอบสวนใหมทั้งหมดทุกขอกลาวหา
และใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่ไลผูฟองคดีออกจากราชการ เห็นวา
คดีมีประเด็นท่ีจะตองวินิจฉัยรวม ๒ ประเด็น คือ ประเด็นที่หน่ึง ผูฟองคดีเปนผูมีสิทธิฟอง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (นายกรัฐมนตรี) ตอศาลปกครอง หรือไม เห็นวา ตามคําฟองของผูฟองคดี
กลา วอางเพียงวาผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากคําสั่งลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และจากคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ที่ใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดีโดยไมปรากฏวาความเดือดรอนหรือเสียหายท่ีผูฟองคดีไดรับเกิดจากการกระทํา
หรือการงดเวนการกระทําอยางหน่ึงอยางใดของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามท่ีกําหนดไวในมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ดังนั้น ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเน่ืองจากการกระทํา
หรอื การงดเวน การกระทําของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๒ ท่ีจะมีสิทธิฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตอศาลปกครองสูงสุด
ตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติเดียวกันได ประเด็นท่ีสอง คําสั่งลงวันท่ี
๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี เปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมายหรือไม เห็นวา คําสั่งลงวันที่
๒๘ กันยายน ๒๕๕๐ ที่ผูถ ูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะผูมอี ํานาจสง่ั บรรจุผูฟองคดีตามมาตรา ๕๗ (๑๑)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ไดแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี
โดยมีนาย จ. ปลัดจังหวัดเพชรบูรณ ในขณะน้ัน เปนประธานกรรมการ เม่ือคณะกรรมการ
สอบสวนดําเนินการเสร็จไดรายงานผลการสอบสวนและความเห็นตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยเห็นวา
พฤติกรรมของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เห็นควรลงโทษไลออกจากราชการ
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๖)
ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดสงเรื่องให อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ก็ปรากฏวา อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ
ไดพิจารณารายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนดังกลาวในการประชุมเม่ือวันที่
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ซึ่งมีนาย จ. รองผูวาราชการจังหวัดเพชรบูรณที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มอบหมายเปนรองประธาน อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ทําหนาท่ีเปนประธานในที่ประชุม
แทนผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ซึง่ กอ นการประชมุ พิจารณา นาย ส. อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ไดขออนุญาต
ออกจากหองประชุมเน่ืองจากเห็นวาตนเปนผูมีสวนไดเสียกรณีเปนผูกลาวโทษรองเรียน
ผูฟองคดีและท่ีประชุม อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณดังกลาวไดมีมติเห็นชอบใหลงโทษไล
ผูฟองคดีออกจากราชการ โดยนาย จ. ประธานในที่ประชุมของดออกเสียงในการพิจารณาเนื่องจาก
เห็นวาตนเปนหน่ึงในคณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดี กรณีจึงเห็นไดวา การท่ีนาย จ.
ไดเคยพจิ ารณาวนิ ิจฉยั ในเรอ่ื งการดําเนนิ การทางวินยั ผฟู องคดใี นฐานะประธานกรรมการสอบสวน
มากอนแลว เมื่อตอมานาย จ. ไดเขาประชุม อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในฐานะรองประธาน
อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ และทําหนาที่เปนประธานในการประชุมพิจารณาในเร่ืองเดิมอีก
จึงเปนการเขาไปมีสวนรวมเพ่ือทําหนาที่ควบคุมการประชุมและพิจารณาเร่ืองของผูฟองคดี
ทั้งในขั้นตอนการสอบสวนและพิจารณาเสนอความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน และข้ันตอน
การพิจารณารายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือมีมติเห็นชอบใหสั่งลงโทษ
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ดังน้ัน แมนาย จ. จะงดออกเสียง แตในการปฏิบัติหนาที่ประธาน
ในการประชุม นาย จ. ยอมมีความโนมเอียงไปตามความเห็นเดิมท่ีตนไดเคยพิจารณาวินิจฉัยไปแลว
เมือ่ คร้งั ทเี่ ปนประธานกรรมการสอบสวน อนั เปนความเห็นทเ่ี ปน ปฏิปก ษตอผูฟองคดี ประกอบกับ
การที่นาย จ. ไดทําหนาที่เปนประธานในการประชุมเร่ืองของผูฟองคดียอมเปนท่ีเห็นไดวา
จะมีผลทําให อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณคนอ่ืนไมอาจโตแยงหรือแสดงความคิดเห็นของตน
อยางเปนอิสระ อันขัดตอหลักความเปนกลางในการพิจารณาทางปกครอง ถึงแมเหตุดังกลาว
จะมิใชเหตุความมีสวนไดเสียตามมาตรา ๑๓ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ แตกรณียอมเปนการพิจารณาทางปกครองของคณะกรรมการท่ีมีเจาหนาท่ี
หรือกรรมการในคณะกรรมการ ซ่ึงมีสภาพรายแรงที่อาจทําใหการพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ไมเปนกลางหรือมีเหตุแหงความไมเปนกลางในทางเน้ือหา
หรือโดยสภาพภายในของเจาหนาที่หรือกรรมการท่ีมีสวนรวมในการพิจารณาทางปกครอง
อนั เปนการพิจารณาทางปกครองที่ไมชอบตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
ซ่ึงนาย จ. ยอมเห็นไดเองอยูแลววาตนมีลักษณะตองหามดังกลาว แมจะไมมีผูคัดคานวา
ตนมีลักษณะตองหามเชนวาน้ัน นาย จ. ก็สมควรหยุดการพิจารณาเร่ืองนั้นและควรจะให
เจาหนาท่ีอื่นเขาปฏิบัติหนาที่แทน เพื่อมิใหการดําเนินการเปนไปตามนัยดังกลาวซ่ึงถือวา
เปนขั้นตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ และเน่ืองจากไมใชกรณีที่จะไมมีผูอ่ืนปฏิบัติหนาที่แทนได
และมิใชเ ปนกรณีท่ีมีความจําเปนเรงดวน หากปลอยใหลาชาไปจะเสียหายตอประโยชนสาธารณะ
หรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไมมีทางแกไขได อันจะเปนขอยกเวนมิใหนําบทบัญญัติมาตรา ๑๓
ถึงมาตรา ๑๖ มาใชบังคับ ตามมาตรา ๑๘ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน แตนาย จ. หาไดหยุด
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๗)
การพิจารณาเรื่องของผูฟองคดีไม ยังคงทําหนาที่ประธานในที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง
ของผูฟองคดีตอไป เพียงแตงดออกเสียงในการลงมติเทานั้น ดังน้ัน การพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในเรื่องของผูฟองคดีจึงเปนการไมชอบดวยกฎหมาย สําหรับ
นาย ส. ปลัดจังหวัดเพชรบูรณ แมจะไดรบั เลือกใหเ ปน อ.ก.พ. จงั หวัดเพชรบูรณ และไดเขาประชุม
อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ดวยก็ตาม แตเน่ืองจาก
กอนการพิจารณาเร่ืองการดําเนินการทางวินัยผูฟองคดีในระเบียบวาระท่ี ๒ หัวขอ ๒.๒ นาย ส.
ไดขออนุญาตออกจากหองประชุมเน่ืองจากเห็นเองวาตนเปนผูมีสวนไดเสียในเรื่องที่พิจารณาเ
พราะไดเ ปน ผูกลาวหารองเรียนผูฟองคดี อีกทั้ง ไมปรากฏวานาย ส. ไดเขาไปมีสวนรวมในการพิจารณา
ทางปกครองเรื่องของผูฟองคดีในข้ันตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวในข้ันตอนใดอีก
กรณีจึงไมมีประเด็นท่ีจะตองพิจารณาวานาย ส. มีเหตุอื่นใดเก่ียวกับเจาหนาที่หรือกรรมการใน
คณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองซึ่งมีสภาพรายแรงอันอาจทําใหการพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จงั หวัดเพชรบรู ณ ไมเปนกลางตามมาตรา ๑๖ วรรคหน่งึ แหง พระราชบัญญัติเดียวกัน
หรือไม แตอยางใด เม่ือไดวินิจฉัยแลววานาย จ. รองประธาน อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ
ที่ทําหนาท่ีประธานในการประชุมและมีสวนรวมในการพิจารณาเรื่องของผูฟองคดีมีเหตุอ่ืนใด
เกี่ยวกับเจาหนาท่ีหรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองซึ่งมีสภาพรายแรง
อันอาจทําใหการพิจารณาทางปกครองไมเปนกลาง และกรณีไมตองดวยขอยกเวนตามกฎหมาย
ที่จะทําใหนาย จ. มีอํานาจพิจารณาทางปกครองในเร่ืองของผูฟองคดีได นาย จ. จึงไมอาจ
ทําการพิจารณาทางปกครองในเร่ืองของผูฟองคดีได โดยที่ปญหาเก่ียวกับกระบวนการสอบสวน
ทางวินัยอยางรายแรงกระทําโดยถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ
ท่ีกําหนดไวสําหรับการกระทํานั้นหรือไม ถือเปนปญหาขอกฎหมายอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอย
ของประชาชน แมคูกรณีจะไมไดยกขึ้นเปนขอตอสู ศาลปกครองสูงสุดสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
ไดตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
เมื่อนาย จ. ทําการพิจารณาทางปกครองเรื่องของผูฟองคดียอมทําใหการพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณในเรื่องดังกลาวเปนการไมชอบดวยกฎหมายและยอมมีผลทําให
มติของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ท่ีเห็นชอบ
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย กรณีจึงไมจําตองวินิจฉัยเกี่ยวกับ
ความชอบดวยกฎหมายของการใชดุลพินิจในการออกคําส่ังลงโทษผูฟองคดีอีก เพราะไมทําให
ผลของคําวินิจฉัยดังกลาวเปล่ียนแปลงไป ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี
๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามมติของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ
ดังกลาว และผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดีจึงเปนคําส่ังที่ไมชอบ
ดวยกฎหมายเชน กนั
พิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปตั้งแตวันที่คําส่ังมีผลใชบังคับเปนตนไป
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๘)
แตท้ังนี้ ไมตัดอาํ นาจของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ที่จะดําเนินการทางวินัยเสียใหมใหถูกตอง และเพิกถอน
คําวินิจฉัยของผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ ท่ใี หย กอุทธรณของผูฟองคดี และใหยกฟองสําหรับผูถกู ฟองคดีท่ี ๒
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๑๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการกระทําของ
ผูถูกฟองคดีท้ังสามสิบส่ี (กรมที่ดิน ท่ี ๑ อธิบดีกรมท่ีดิน ที่ ๒ รองอธิบดีกรมท่ีดิน ท่ี ๓ ผูอํานวยการ
สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ ท่ี ๔ ผูอํานวยการกองการเจาหนาท่ี ท่ี ๕ นาย ก. กลุมงานวินัย ท่ี ๖
หัวหนาฝายทะเบียนประวัติและบําเหน็จความชอบ ท่ี ๗ ผูอํานวยการกองคลัง ที่ ๘ ผูอํานวยการ
ศูนยอํานวยการเดินสํารวจออกโฉนดท่ีดินจังหวัดสกลนคร ที่ ๙ ผูกํากับการรังวัดออกโฉนดท่ีดิน
สายสํารวจท่ี ๑๑ (นาย ป.) ที่ ๑๐ ผูกํากับการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดิน สายสํารวจท่ี ๑๑ (นาย ช.) ที่ ๑๑
คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง ตามคําส่ังกรมท่ีดิน ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๐ ที่ ๑๒
คณะกรรมการสอบสวน ตามคําส่ังกรมท่ีดิน ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ท่ี ๑๓ อ.ก.พ. กรมท่ีดิน ที่ ๑๔
คณะกรรมการพจิ ารณาบาํ เหนจ็ ความชอบขา ราชการของสาํ นักมาตรฐาน การออกหนังสือสาํ คัญ ที่ ๑๕
ผูอํานวยการสวนปฏิบัติการรังวัดและออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ท่ี ๑๖ หัวหนากลุมงานออกโฉนดท่ีดิน
แบบทองถิ่น ท่ี ๑๗ หัวหนาฝายอํานวยการสํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ ท่ี ๑๘ หัวหนา
ฝายบัญชีและการเงิน กองคลัง ที่ ๑๙ ผูอํานวยการสํานักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน ท่ี ๒๐
หวั หนาฝายอํานวยการสํานกั มาตรฐานการทะเบียนท่ดี ิน ที่ ๒๑ หัวหนาฝายตรวจสอบและควบคุม
ทะเบยี นทีด่ นิ ที่ ๒๒ เจาพนักงานทีด่ นิ จงั หวัดสกลนคร ท่ี ๒๓ เจาพนักงานที่ดินจังหวัดสกลนคร สาขา
สวางแดนดิน ที่ ๒๔ ผูวาราชการจังหวัดสกลนคร ที่ ๒๕ เจาพนักงานการเงินและบัญชีชํานาญงาน
(นางสาว ส.) ที่ ๒๖ หัวหนาฝายตรวจสอบและควบคุมทะเบียนท่ีดิน (นาง ศ.) ที่ ๒๗ หัวหนาฝายตรวจสอบ
และควบคุมทะเบียนท่ีดิน (นางสาว จ.) ท่ี ๒๘ คณะกรรมการจัดบุคลากรออกปฏิบัติงานภาคสนาม
ตามคําสั่งสํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ ที่ ๒๙ นายชางรังวัด ๔ (นาย ภ.) ท่ี ๓๐
เจาหนาที่ท่ีดิน ๔ (นาง พ.) ท่ี ๓๑ เจาหนาท่ีที่ดิน ๔ (นาง น.) ท่ี ๓๒ เลขานุการกรม ท่ี ๓๓
และคณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ที่ ๓๔) กรณีเดิมผูฟองคดีเปนขาราชการ
พลเรือนสามัญ ตําแหนงเจาพนักงานที่ดินชํานาญงาน สวนปฏิบัติการรังวัดและออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในท่ีดิน สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ชวยราชการประจําสํานัก
มาตรฐานการทะเบียนที่ดิน ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ออกคําส่ังกรมท่ีดิน ลงวันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ฐานละท้ิงหนาที่ราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวา
สิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควรหรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบ
ของทางราชการ ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังดังกลาวและผูถูกฟองคดีท่ี ๓๔ มีคําวินิจฉัยเม่ือวันท่ี
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ใหลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ
ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังกรมที่ดินลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี
๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
ตามคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓๔ แลว ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังลงโทษและคําวินิจฉัยอุทธรณ
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๕๙)
ดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการ
คําส่ังลงโทษปลดออกจากราชการ และคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาว เห็นวา ในขณะที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรายแรงฐานละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผล
อันสมควร ผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาที่ที่ดิน ๕ สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ สังกัด
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนตําแหนงในราชการสวนกลางโดยมีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เปนผูบังคับบัญชา
ผูมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง (๖) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงเปนผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
วินัยอยางรายแรงผูฟองคดีตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสาม แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบ
มาตรา ๑๓๑ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับคําสั่งดังกลาว
มีกรรมการประกอบดวยบุคคลท่ีมีจํานวนและคุณสมบัติเปนไปตามที่กําหนดในขอ ๓ วรรคหน่ึง
ของ กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความ พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดว ยการสอบสวนพิจารณา เม่ือพฤตกิ ารณข องผูฟ องคดเี ขา ลักษณะเปนการกระทํา
อันมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกัน
เปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควรตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และผูถูกฟองคดีที่ ๒ เปนผูมีอํานาจสั่งแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี รวมท้ังกรรมการสอบสวนประกอบดวยบุคคล
ท่ีมีจํานวนและคุณสมบัติเปนไปตามท่ีกําหนดในกฎ ก.พ. ขางตน คําสั่งกรมท่ีดินลงวันที่
๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี จึงชอบ
ดวยกฎหมาย เมื่อตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ มีหนังสือแจงใหผูฟองคดีไปพบเพื่อแจงและรับทราบ
ขอกลาวหา (สว. ๒) แตผูฟองคดีไมยอมรับหนังสือและไมไดไปพบผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ ตามกําหนด
ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑๓ จึงมหี นังสอื สง สว. ๒ ใหผูฟ องคดีทางไปรษณยี ตอบรับ แตผูฟองคดีก็ไมยอมรับ
และเม่ือทําการสอบสวนพยานบุคคลท่ีเกี่ยวของแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ มีหนังสือแจงใหผูฟองคดี
ไปพบเพื่อรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา (สว. ๓) ซึ่งปรากฏ
ตามหลักฐานใบตอบรับวานองสาวของผูฟองคดีเปนผูรับ แตผูฟองคดีไมไปพบผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ จึงมีหนังสือสง สว. ๓ ดังกลาวใหผูฟองคดีโดยทางไปรษณียไปยังที่อยูตาม
ทะเบยี นราษฎร โดย สว. ๓ มกี ารสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาและระบุฐานความผิด
ตามมาตรา ๘๕ มาตรา ๘๘ และมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
แตผูฟองคดีไมยอมรับหนังสือและไมไดใหการแกขอกลาวหา ผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ จึงพิจารณา
จากคําใหการของผูฟองคดีท่ีใหไวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑๒ ในช้ันการสอบสวนขอเท็จจริง
แลวมีความเห็นวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามท่ีถูกกลาวหาควรลงโทษไลออก
จากราชการและรายงานผลการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ เพื่อพิจารณา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
จงึ มคี าํ ส่ังใหผ ูถกู ฟองคดที ่ี ๑๓ เดนิ ทางไปแจง สว. ๓ ใหผูฟองคดีทราบอีกครั้ง ณ สํานักมาตรฐาน
การทะเบียนที่ดิน กรมที่ดิน ซึ่งเปนสถานท่ีท่ีผูฟองคดีปฏิบัติงานอยูในขณะนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๐)
จึงไปพบและแจง สว. ๓ ใหผูฟองคดีทราบเม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ ผูฟองคดีเขาพบ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ แตไมยอมฟงคําช้ีแจงและไมยอมลงลายมือชื่อรับทราบการแจง สว. ๓
โดยผูฟองคดีไมไดปฏิเสธหรือคัดคานขอเท็จจริงดังกลาวของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๒ แตอยางใด
กรณจี งึ ถอื ไดวา เปนการดําเนนิ การที่ชอบดว ยขอ ๑๕ วรรคหน่งึ และวรรคหา ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา และถือวาเปนการใหผูฟองคดีมีโอกาสทราบขอเท็จจริงอยางเพียงพอและ
มีโอกาสในการโตแยงแสดงพยานหลักฐานเพ่ือตอสูปองกันสิทธิของตนตามสมควรแกกรณีและ
ตามท่ีกฎหมายกําหนดแลว การท่ีผูฟองคดีไมยอมรับทราบขอกลาวหาและพยานหลักฐาน
ท่ีสนับสนุนขอกลาวหา รวมท้ังไมยอมใหถอยคําตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ จึงเปนการไมรักษาหรือ
นําพาตอสิทธิของตนเองอันพึงตองกระทําในการตอสูปองกันสิทธิของตน ผูฟองคดีจะยกเหตุดังกลาว
ขึ้นอางวาเปนการกระทําโดยไมชอบดวยกฎหมาย กลั่นแกลงผูฟองคดีหาไดไม ทั้งไมปรากฏวา
มเี หตุอ่นื ใดทท่ี ําใหการสอบสวนไมช อบดว ยกฎหมาย ดังนน้ั การดําเนินการสอบสวนผูฟองคดีของ
ผูถ ูกฟอ งคดที ี่ ๑๓ ในคดนี ีจ้ ึงชอบดว ยกฎหมายแลว เมอื่ ขอเทจ็ จริงปรากฏวา ผฟู องคดีไมไปลงชื่อ
ในบัญชีลงเวลาการปฏิบัติราชการและปฏิบัติงานที่ศูนยอํานวยการเดินสํารวจออกโฉนดท่ีดิน
จงั หวดั สกลนคร โดยไมม ีเหตผุ ลอนั สมควรต้งั แตวันท่ี ๗ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ถงึ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐
เปน เวลา ๕๕ วัน อนั เปนการกระทําผิดวนิ ยั อยา งรายแรงฐานละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกัน
เปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจ
ไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ซ่ึงในกรณีทขี่ า ราชการพลเรอื นสามัญกระทําผิดวินัยอยางรา ยแรง ผูบังคบั บญั ชามีอํานาจส่ังลงโทษ
ปลดออกหรือไลอ อกตามความรายแรงแหง กรณีตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเปนกรณีท่ีกฎหมายกําหนดดุลพินิจของผูบังคับบัญชา
ในการกําหนดระดับโทษไว ๒ ระดับ คือ ปลดออกและไลออก ดังนั้น เม่ือคดีนี้ผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูฟองคดีอุทธรณ
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ ตามมาตรา ๑๑๔ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
การทผ่ี ูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๓๔ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวมีคําวินิจฉัยลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ วา
การท่ีผูฟองคดีขาดราชการตั้งแตวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ เปนเวลา ๕๕ วัน
เปนการกระทําผิดวนิ ยั อยา งรา ยแรงฐานละท้ิงหนาที่ราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวา
สิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบ
ของทางราชการตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
แตเนื่องจากผูฟองคดีไปรายงานตัวที่กรมที่ดินเม่ือวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ โดยลงชื่อปฏิบัติงานทุกวัน
และย่ืนใบลาอยางถูกตองในกรณีที่ไมไปปฏิบัติราชการ ประกอบกับจังหวัดสกลนครปลอยเวลาใหลวงเลย
ในการสงตัวผูฟองคดีกลับกรมท่ีดิน กรณีของผูฟองคดีจึงไมใชเปนการละท้ิงหนาที่ราชการติดตอ
ในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควรและไมกลับมาปฏิบัติราชการอีกเลย
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๑)
ซึง่ คณะรัฐมนตรีมีมติใหไลออกจากราชการตามหนังสือสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ ผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ จึงมีมติใหลดโทษผูฟองคดีลงเปนปลดออกจากราชการ
จึงเปนระดับโทษที่เหมาะสมกับความผิดแลว ดังนั้น คําส่ังลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ท่ียกเลิก
คําส่ังลงโทษไลออกจากราชการและลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่เห็นควรลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
จงึ ชอบดว ยกฎหมาย และเมื่อคําวินิจฉัยอุทธรณลงวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ มีผลเปนการยกเลิก
เพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ตั้งแตวันที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณแลว
ดังน้ัน คําสั่งลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ จึงส้ินผลลงแลวตั้งแตวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
กอนที่ผูฟองคดีจะนําคดีมาฟองตอศาล คําส่ังดังกลาวจึงไมมีผลกอใหเกิดความเดือดรอนหรือ
เสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเล่ียงไดแกผูฟองคดีนับตั้งแตวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ประกอบกับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงวันท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ยกเลิกคําส่ัง
ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการตามคําวินิจฉัยขางตนของผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ แลว ผูฟองคดีจึงไมใชผูไดรับ
ความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเล่ียงไดท่ีจะมีสิทธิ
ฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ แตอยางใด ท้ังน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และโดยท่ีความเดือดรอนเสียหายที่ผูฟองคดีไดรับเกิดจากการท่ี
ผูฟองคดีถูกดําเนินการทางวินัยอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหนาที่เดินสํารวจออกโฉนดท่ีดินและ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาท่ีมีอํานาจลงโทษทางวินัยผูฟองคดีตามท่ีกฎหมายบัญญัติ
ออกคําสั่งลงโทษใหผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ ยกอุทธรณของผูฟองคดี
ประกอบกับการปฏิบัติหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๙ ถึงท่ี ๑๑ เปนการปฏิบัติหนาที่ตามปกติ
และในสวนของผูถูกฟองคดีท่ี ๑๒ ถึงท่ี ๑๔ เปนกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เพื่อจัดใหมีคําสั่ง
ทางปกครองตอไป นอกจากนี้ ยังไมปรากฏรายละเอียดและขอเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหนาท่ี
ของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ถึงที่ ๘ และท่ี ๑๕ ถึงที่ ๓๓ วาทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย
ในประการใดบาง ประกอบกับกรณีน้ีเปนเร่ืองการใชอํานาจของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมเกี่ยวของกับ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ผูฟองคดีจึงไมใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเลี่ยงไดที่จะมีสิทธิฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ ๓ ถึงท่ี ๓๓ ในคดีนี้ตอ
ศาลปกครองสูงสดุ ดว ยเหตผุ ลดงั กลา วขา งตน กรณีจงึ ไมมเี หตทุ ่ีจะตองเพิกถอนคําสั่งผูถูกฟองคดีที่ ๒
และคําวนิ จิ ฉัยของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๓๔
พิพากษายกฟอ ง
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟ. ๒๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงเจาพนักงาน
อบรมและฝกวิชาชีพชํานาญงาน สังกัดเรือนจําจังหวัดพิษณุโลก ถูกลงโทษตามคําสั่งลงวันท่ี
๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ไลออกจากราชการฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๒)
อยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามมติ
อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ มูลกรณีสืบเนื่องจากเม่ือวันท่ี ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ผูฟองคดีถูกเจาพนักงาน
ตํารวจงานสืบสวนตํารวจภูธร ภาค ๖ เจา พนักงาน ป.ป.ส. และเจาหนาที่เรือนจําจังหวัดพิษณุโลก
รว มกันจับกมุ ตวั โดยถูกกลาวหาวากระทําความผิดอาญาฐานรวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑
(ยาบา) ไวในความครอบครองเพ่ือจําหนายและมีอาวุธปนและเครื่องกระสุนปนไวในความครอบครอง
โดยไมไดรับอนุญาต โดยผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมราชทัณฑ) มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี และมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔
ใหผ ูฟอ งคดอี อกจากราชการไวก อ นตัง้ แตวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ เพอ่ื รอฟง ผลการสอบสวนพิจารณา
ซึ่งผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑแลว ตอมา คณะกรรมการสอบสวน
ดําเนินการสอบสวนแลวเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานกระทาํ การอันไดชือ่ วาเปน ผูประพฤติช่ัวอยา งรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ควรปลดออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาแลวเห็นชอบดวยและเสนอ อ.ก.พ.
กรมราชทัณฑพิจารณา ซึ่ง อ.ก.พ. กรมราชทัณฑพิจารณาแลวมีมติเห็นชอบดวยกับฐานความผิด
ดังกลาวขางตน แตใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีคําสั่งลงวันท่ี
๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔
ซ่ึงเปนวันท่ีผูฟองคดีถูกจับกุมตัวและคุมขังไวในเรือนจําตามขอ ๑๑ ของระเบียบ ก.พ. วาดวย
วันออกจากราชการของขาราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาว
ตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาแลว
มีคําวินิจฉัยลงวันท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยมีหนังสือลงวันที่
๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ แจงผลคําวินิจฉัยใหผูฟองคดีทราบแลวเม่ือวันท่ี ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ผูฟองคดี
เห็นวาคําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากผูฟองคดีไมไดมี
สวนเก่ียวของกับการกระทําผิด แตอาจมีบุคคลอ่ืนตองการกลั่นแกลงใหรายผูฟองคดี จึงนําคดี
มาฟอ งขอใหศ าลมีคําพพิ ากษาหรือคําส่งั เพกิ ถอนคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ท่ีใหผูฟองคดี
ออกจากราชการไวกอ น เพกิ ถอนคําสั่งลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามหนังสือลงวันท่ี
๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ ทีใ่ หยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหผฟู อ งคดีกลบั คืนสฐู านะเดมิ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา การดําเนินการทางวินัยผูฟองคดีในกรณีน้ีเปนกรณีที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ พจิ ารณาขอ เทจ็ จรงิ ตามทไี่ ดร ับรายงานในเบอ้ื งตน แลว เห็นวา เปนกรณีมีมูล
ท่ีจะกลาวหาวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัย จึงดําเนินการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก
ผฟู อ งคดี อันเปน การดาํ เนนิ การตามมาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๓ แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว
โดยการดําเนินการสอบสวนทางวินัย คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑ
วิธีการและระยะเวลาที่กําหนดในขอ ๑๔ ขอ ๑๕ และขอ ๒๑ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๓)
ซ่ึงอนุโลมนํามาใชตามที่มาตรา ๑๓๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติไว เพื่อแสวงหาความจริงในเรื่องท่ีมีการกลาวหาและดูแลใหเกิดความยุติธรรม
ตลอดกระบวนการสอบสวน และจัดทําบันทึกถอยคําไวทุกครั้งที่มีการสอบสวน ซ่ึงตอมา
คณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวนทางวินัยเสนอผูถูกฟองคดีที่ ๑ รวมท้ังมีการเสนอ
เร่ืองให อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ พิจารณา อันเปนการดําเนินการตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว กรณีจึงเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดี
เปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว ท้ังน้ีแมผูฟองคดีจะใหการปฏิเสธวา
ไมไ ดม สี วนรูเห็นกบั ผตู องขังในการซุกซอ นยาบาไวในไมแขวนเสื้อสูทและเกี่ยวของกับการกระทําผิด
แตการท่ีผูฟองคดีถูกจับกุมในครั้งน้ีเปนผลมาจากการเขาจับกุมตรวจยึดยาบาท่ีสมาคมยิงปน
จงั หวดั พษิ ณุโลกและขยายผลมาถงึ การจับกมุ ผูฟ อ งคดใี นภายหลัง โดยที่เจาหนาที่ไมไดมุงท่ีจะเขา
จับกุมผูฟองคดีต้ังแตแรก อีกท้ังคําใหการของเจาหนาท่ีที่เขารวมกันจับกุมผูฟองคดีตลอดจน
พยานที่ใหการในชั้นสอบสวนทางวินัยไมมีผูใดมีสาเหตุโกรธเคืองกับผูฟองคดีมากอน
โดยพฤติการณจึงเชื่อไดวาผูฟองคดีนาจะรูเกี่ยวกับยาบาท่ีซุกซอนอยูในไมแขวนเส้ือสูทตามท่ี
ตรวจพบและจะนําเขาไปใหผูตองขัง ดังน้ัน การที่ผูฟองคดีเปนขาราชการสังกัดกรมราชทัณฑ
โดยปฏิบัติหนาท่ีเจาหนาท่ีราชทัณฑมาเปนเวลานาน ควรตองปฏิบัติตนใหเปนแบบอยางท่ีดี
และเคารพกฎหมายอยางเครงครัด แตผูฟองคดีกลับเขาไปมีสวนเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ
โดยถูกเจา พนักงานตํารวจจับกุมและพบของกลางยาบา จาํ นวน ๒๑๕ เมด็ ภายในรถยนตของตนเอง
และถูกตั้งขอหาวากระทําผิดอาญาฐานมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) ไวในครอบครอง
เพ่ือจําหนาย พฤติการณของผูฟองคดีจึงไมเหมาะสมกับการเปนขาราชการที่ดี และเปนผูที่
ไมรักษาช่ือเสียงของตนและไมรักษาเกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนาที่ราชการ ประกอบกับ
ศาลจังหวัดพิษณุโลกมีคําพิพากษา คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๘๘๔/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕
พพิ ากษาวา ผฟู องคดีมคี วามผดิ ฐานมีเมทแอมเฟตามนี ไวในครอบครองเพอ่ื จําหนายโดยฝา ฝน กฎหมาย
ลงโทษจําคุก ๑๘ ป ปรับ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ฐานมีอาวุธไวในครอบครองโดยไมไดรับอนุญาต
ลงโทษจําคุก ๖ เดือน ฐานพาอาวุธปนไปในเมือง หมูบานหรือทางสาธารณะโดยไมไดรับอนุญาต
ลงโทษจําคุก ๑ ป ฐานพยายามนําเมทแอมเฟตามีนเขาไปในเรือนจําโดยไมไดรับอนุญาต
ลงโทษจําคุก ๑ ป ๔ เดือน รวมลงโทษจําคุก ๒๐ ป ๑๐ เดือน ปรับ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท พฤติการณ
และการกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนการกระทําอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเปนวันท่ีผูฟองคดีถูกจับกุมดําเนิน
คดีอาญาและคุมขังไวในเรือนจําติดตอกันจนถึงปจจุบันตามขอ ๑๑ ของระเบียบ ก.พ. วาดวย
วันออกจากราชการของขาราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๔ จึงชอบดวยกฎหมาย และการที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มคี าํ ส่ังลงวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผ ูฟองคดอี อกจากราชการต้งั แตวนั ท่ี ๔
เมษายน ๒๕๕๔ เปนผลใหคาํ ส่ังลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ทใ่ี หผ ฟู อ งคดีออกจากราชการไวกอน
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๔)
เพื่อรอฟงผลการสอบสวนพจิ ารณาส้ินผลลงตั้งแตกอนนําคดีมาฟองตอศาลปกครอง และเปนการออก
คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการยอนหลังเพราะเหตุถูกคุมขังติดตอกันจนถึงวันท่ี
ตองรับโทษจําคุกตามขอ ๑๑ ของระเบียบ ก.พ. วาดวยวันออกจากราชการของขาราชการ
พลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๔ การที่ผูฟองคดีฟองคดีตอศาลโดยมีคําขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ท่ีใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕
จึงเปนการย่ืนฟองตอศาลภายหลังจากคําส่ังดังกลาวส้ินผลแลว ผูฟองคดีจึงไมใชผูไดรับ
ความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเลี่ยงไดที่จะมีสิทธิฟอง
ขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาวตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
และการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดี
เชื่อไดวา ผูฟองคดีรูวามียาบาซุกซอนอยูในไมแขวนเสื้อสูทตามที่ถูกตรวจพบ ผูฟองคดี
เปนถึงเจาหนาท่ีของรัฐจึงตองปฏิบัติตนใหเปนแบบอยางท่ีดีแกประชาชนท่ัวไปโดยควรเคารพ
ตอกฎหมายอยางเครงครัด และจะตองระมัดระวังตนมิใหเขาไปเกี่ยวของกับยาเสพติด แตผูฟองคดี
กลับเขาไปมีสวนเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษหรือกระทําผิดกฎหมายเสียเอง จึงถือวา
ผูฟองคดีเปนผูไมรักษาชื่อเสียงของตนและไมรักษาเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาท่ีราชการของตน
พฤติการณของผูฟองคดีจึงถือเปนการกระทําอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงถูกตอง
และเหมาะสมแกกรณีความผิดแลว วินิจฉัยใหยกอุทธรณ การพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒
จึงเปนการพิจารณาในกรอบแหงบัญญัติกฎหมายท่ีเก่ียวของแลว และเมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดี
โตแยงกระบวนการในการวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดี ประกอบกับวินิจฉัยไวขางตนแลววา
การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางรายแรงฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พระราชบัญญัติดังกลาว โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เห็นวา ผูฟองคดี
กระทําผิดวินัย ระดับโทษทางวินัยท่ีไดรับเหมาะสมแกกรณีความผิดแลว และไมปรากฏวามีเหตุอ่ืนใด
ท่ที ําใหค าํ วนิ ิจฉัยของผูถ ูกฟองคดที ี่ ๒ ไมชอบดวยกฎหมาย ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัย
ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ใหย กอุทธรณของผฟู องคดี จึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน
ดวยเหตุผลดังที่วินิจฉัยขางตน กรณีจึงไมมีเหตุที่จะตองเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ที่ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน คําส่ังลงวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔
ทล่ี งโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคาํ วนิ จิ ฉยั ของผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ลงวนั ท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕
ใหย กอุทธรณข องผูฟองคดี ตามคาํ ขอทา ยคําฟองของผฟู อ งคดี
พิพากษายกฟอ ง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๖/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟอ งวา เดิมผฟู องคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงผูวาราชการ
จงั หวัดลาํ พนู ไดรับความเดอื ดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการปองกันและ
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๕)
ปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดแตงต้ังอนุกรรมการไตสวนขอเท็จจริง กรณีเม่ือครั้งผูฟองคดี
ดํารงตําแหนงผูวาราชการจังหวัดลําปาง ต้ังแตวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๑
มหี นา ท่ีจับกุมผกู ระทาํ ความผดิ ตามกฎหมายปา ไม และในฐานะประธานกองทุนพัฒนาชุมชนพื้นท่ี
รอบโรงไฟฟาจงั หวดั ลําปางไดพจิ ารณาอนมุ ัตกิ อ สรา งอา งเก็บนา้ํ ท้งั สแี่ หง ไดแ ก อางเก็บนาํ้ ก่วิ ขาวหลาม
อางเก็บน้ําปงชัย อางเก็บนํ้าแมทู และอางเก็บน้ําแมหลวง เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และ
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐ โดยยังไมไดรับอนุญาตจากกรมปาไม ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีมติ
เหน็ ชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวนวา การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัย
ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรง
แกผหู นงึ่ ผูใ ด หรอื ปฏบิ ัติหรือละเวน การปฏิบตั ิหนา ท่รี าชการโดยทุจริต และฐานกระทาํ การอันไดช ่อื วา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) จึงไดมีคําส่ังลงวันที่
๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟอ งคดอี อกจากราชการตั้งแตวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ผูฟองคดี
ไดยื่นอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี และเห็นวาคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
และมติของผูถูกฟองคดที ี่ ๒ ไมถ กู ตอ งตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใชบังคับอยูในขณะกระทําผิด
จึงใหแกไขฐานความผิดใหเปนไปตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเปน
กฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิด ผูฟองคดีทราบคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เม่ือวันที่
๙ มนี าคม ๒๕๖๐ ตอ มา ผูถกู ฟองคดที ่ี ๑ จงึ ไดมีคําส่ังแกไขคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหาย
อยางรายแรงแกผูหน่ึงผูใด และฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๕ (๑) และ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แกไขเปนส่ังลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ
เพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรงแกผูหนึ่งผูใด และฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง ตามมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบ
มาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ที่วินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดีไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังเพิกถอนลงวันท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เร่ือง ลงโทษไลออกจากราชการ และเพิกถอน
คําสั่งลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง แกไขคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการ ใหเพิกถอนมติ
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ชี้มูลวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ เพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และคืนสิทธิ
ตามกฎหมายแกผูฟองคดี และเยียวยาความเสียหายใหแกผูฟองคดีตามท่ีศาลเห็นสมควร เห็นวา
คดมี ีประเด็นท่ีตองวินิจฉัยกอนวา การใชอํานาจไตสวนและวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และช้ีมูล
ความผิดทางวินัยเปนการใชอํานาจวินิจฉัยช้ีขาดซ่ึงเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญหรือไม
และศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน้ีหรือไม เห็นวา ในกรณีที่รัฐธรรมนูญประสงค
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๖)
จะใหการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรอิสระใดเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญน้ัน รัฐธรรมนูญ
ตองกําหนดบทบัญญัติใหอํานาจดังกลาวไวอยางชัดเจนเม่ือไดพิจารณาบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
ไมปรากฏวามมี าตราใดท่ใี หอาํ นาจผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการช้ีมูลความผิดทางวินัย แตอํานาจหนาที่
ของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๒ ในการช้ีมลู ความผิดทางวินัยเปนเรอื่ งทีก่ ําหนดไวในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
วา ดวยการปอ งกันและปราบปรามการทจุ ริต ดังนัน้ การใชอ าํ นาจไตสวนและวินจิ ฉยั ของผูถูกฟองคดีที่ ๒
ตามมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
และช้มี ลู ความผิดทางวินัยจึงเปนการใชอํานาจที่บัญญัติไวในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวย
การปองกนั และปราบปรามการทจุ ริต มใิ ชการวนิ จิ ฉยั ช้ีขาดซึ่งเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญ
แตอ ยา งใด ดังนน้ั ศาลปกครองจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ไดตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง
ของรฐั ธรรมนูญดังกลา ว
สวนที่ผูฟองคดีอางวา การแตงต้ังอนุกรรมการไตสวนไมชอบดวยกฎหมาย
เน่ืองจากอนกุ รรมการไดเคยทําการไตสวนในเร่ืองที่ไดมีการกลาวหาผูฟองคดี จึงเปนผูรูเหตุการณ
เก่ยี วกบั เรือ่ งทีก่ ลาวหามากอ น นน้ั การเปน ผรู ูเ ห็นเหตุการณเก่ียวกับเรื่องท่ีกลาวหา ที่จะเปนลักษณะ
ตองหามตามมาตรา ๔๖ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
หมายถึงบุคคลท่ีไดรูหรือทราบพฤติการณการกระทําอันเปนความผิดในทางความเปนจริง มิใช
เจาหนาท่ีที่มีหนา ท่ีตรวจสอบเรื่องที่มกี ารกลาวหา ขอ อา งของผูฟ องคดีกรณนี จ้ี ึงไมอ าจรับฟงได
สวนประเด็นท่ีวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีอํานาจหนาที่ในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูล
ความผิดทางวนิ ัยผูฟองคดีหรือไม เพียงใด นั้น ขอกลาวหาท่ีอยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาท่ีเกี่ยวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
กระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการหรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรมเทาน้ัน
โดยความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม เปนมูล
ความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ถือเปนมูลความผิดทางวินัย หากปรากฏวา
เจาหนาท่ีของรัฐผูถูกรองเรียนไดกระทําความผิดวินัยฐานอื่น อันมิใชความผิดฐานตอหนาที่เชน
ในคดีนี้ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ช้ีมูลวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง กรณีดังกลาวไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีจะตองถือเอารายงาน
การไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัย
ของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปราม
การทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒
คดีมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยประการตอไปวา คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหาย
อยา งรายแรงแกผูหนึ่งผูใด หรือปฏบิ ัติหรอื ละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยทุจริต และฐานกระทําการ
อันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมายหรือไม ซ่ึงการพิจารณาวา
การกระทําใดเปนการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ จะตองพิจารณาจากองคประกอบ
ในการกระทําความผิด ๓ ประการ คือ ประการแรก ผูกระทํามีหนาท่ีราชการที่จะตองปฏิบัติ
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๗)
ประการท่ีสอง ผูกระทําไดปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ และประการท่ีสาม
ผกู ระทาํ มเี จตนากระทาํ การหรือละเวน กระทําการในหนา ทเี่ พ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได
นอกจากน้ัน ยังตองพิจารณาถึงเจตนาของผูฟองคดีวา มีเจตนากระทําการเพื่อแสวงหาประโยชน
ที่มิควรไดโดยชอบดวยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผูอื่นหรือไม ขอเท็จจริงปรากฏวา ในการกอสราง
อางเก็บน้ําทั้งส่ีแหงไดมีการจัดทําสัญญาจางผูรับจางดําเนินการกอสราง การท่ีผูฟองคดีอนุมัติ
จา ยเงนิ คากอ สรางงวดท่ี ๑ ของอา งเกบ็ นา้ํ กิ่วขา วหลาม เมอ่ื วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ในฐานะ
ประธานกองทุนพัฒนาชุมชนพื้นท่ีรอบโรงไฟฟาจังหวัดลําปาง และอนุมัติจายเงินคากอสราง
อางเก็บน้ําปงชัย เม่อื วนั ที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ โดยไมป รากฏขอเท็จจรงิ วา การดําเนินการกอสราง
ในงวดงานท่ีผูฟองคดีอนุมัติใหมีการจายไมแลวเสร็จหรือมีขอบกพรองประการอ่ืน กรณีจึงเปน
การอนุมัติใหมีการจายเงินคาจางซ่ึงผูรับจางมีสิทธิไดรับตามสัญญาจาง นอกจากน้ี ขอเท็จจริง
ปรากฏตามรายงานผลการตรวจสอบขอเท็จจริงเรื่องรองเรียนขอความเปนธรรมของนาย ม. กับพวก
กรณีถูกไลออกจากตําแหนงกํานันและผูใหญบานโดยไมเปนธรรม ของคณะอนุกรรมาธิการประสาน
ภารกิจสภาปฏิรปู แหง ชาติ ดานการปกครองทองถิ่น ในคณะกรรมาธิการการปกครองสวนทองถ่ิน
สภานิติบัญญัติแหงชาติ วา จากผลการไตสวนของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมพบวา เจาหนาที่
ผูถูกกลาวหาทั้งหมดมีสวนเก่ียวของกับการทุจริตเรียกรับผลประโยชนในการกอสรางอางเก็บน้ํา
ท้ังสี่แหง แตเปนเพียงการไมปฏิบัติตามระเบียบกรมปาไม วาดวยการกําหนดหลักเกณฑ วิธีการ
และเง่ือนไขในการใชพ้ืนท่ีเปนสถานที่ปฏิบัติงาน หรือเพ่ือประโยชนอยางอ่ืนของสวนราชการ
หรือองคกรของรัฐ ภายในเขตปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๘ กรณีจงึ ไมอาจรับฟงไดวา การกระทํา
ของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืน
ไดประโยชนที่มิควรไดโดยชอบดวยกฎหมาย อันเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการตามมาตรา ๘๒
วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕
สวนกรณีความผิดฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง น้ัน
เม่ือไดวินิจฉัยไวขางตนแลววา การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดของ
ผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ซึ่งจะตองแตงตั้งคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนผูฟองคดีในกรณีที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติวา
ผูฟองคดีกระทําความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงกอน ดังนั้น
การที่ผูถกู ฟองคดที ่ี ๑ มีคาํ ส่งั ลงโทษไลผูฟองคดอี อกจากราชการ ในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมิไดมีการแตงต้ังคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนผูฟองคดีจึงเปนการกระทํา
โดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญในการลงโทษทางวินัยอยางรายแรง
ตามทกี่ ฎหมายกําหนด ประกอบกับศาลไดวินิจฉัยแลววา ขอเท็จจริงไมอาจรับฟงไดวาการกระทํา
ของผูฟองคดีเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ และขอเท็จจริงท่ีปรากฏตามรายงานการตรวจสอบ
ขอเท็จจริงเรื่องรองเรียนขอความเปนธรรมของนาย ม. และพวก กรณีถูกไลออกจากตําแหนงกํานัน
และผูใหญบานโดยไมเปนธรรม ของคณะอนุกรรมาธิการประสานภารกิจสภาปฏิรูปแหงชาติ
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๘)
ดานการปกครองทองถิ่นในคณะกรรมาธิการปกครองทองถิ่น สภานิติบัญญัติแหงชาติ วา
การกอสรางอางเก็บนํ้าท้ังส่ีแหงมีสภาพแข็งแรง สามารถรองรับและเก็บกักน้ําไดเปนอยางดี
และหากมีการบริหารจัดการเพื่อนํานํ้าในอางมาใชประโยชนจะสามารถแกปญหาภัยแลงในพ้ืนท่ี
อาํ เภอแมเ มาะ และทําใหประชาชนมีนํ้าเพียงพอตอการประกอบอาชีพ อันเปนขอเท็จจริงที่แสดง
ใหเห็นไดวา การไมปฏิบัติตามระเบียบกรมปาไม วาดวยการกําหนดหลักเกณฑ วิธีการ และเง่ือนไข
ในการใชพ้ืนท่ีเปนสถานท่ีปฏิบัติงาน หรือเพื่อประโยชนอยางอ่ืนของสวนราชการหรือองคกรของรัฐ
ภายในเขตปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๘ ของผูฟองคดี ไมไดกอใหเกิดความเสียหายตอทางราชการ
แตกลับทําใหประชาชนในพื้นที่ไดรับประโยชนจากโครงการอางเก็บน้ําท้ังส่ีแหงดังกลาว อีกท้ัง
ไมปรากฏการกระทําอ่ืนใดของผูฟองคดีที่จะนํามาซ่ึงความเส่ือมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักด์ิ
ของตําแหนงหนา ทร่ี าชการ กรณจี งึ มิอาจถือไดว า ผูฟองคดกี ระทาํ การอืน่ ใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยา งรายแรง อนั เปนความผดิ วนิ ยั อยา งรายแรงตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
เชนเดียวกัน
ดังนั้น เม่ือขอเท็จจริงไมอาจรับฟงไดวา การกระทําของผูฟองคดีเปนการทุจริต
ตอหนาที่ราชการ และผูถูกฟองคดีที่ ๑ มิไดแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดีในความผิด
ฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง อันเปนการไมดําเนินการ
ตามรูปแบบและข้ันตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญในการลงโทษทางวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๙๓ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
และขอเท็จจริงมิอาจถือไดวา ผูฟองคดีไดกระทําการอ่ืนใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ คําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรงแกผูหน่ึงผูใด และ
ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ จงึ เปนคาํ สงั่ ที่ไมชอบดว ยกฎหมาย
สวนกรณีที่ผูฟองคดีขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีชี้มูลวาผูฟองคดี
กระทําผิดวินยั นน้ั มตขิ องผูถกู ฟอ งคดีที่ ๒ ดงั กลา วถือเปนเพยี งขั้นตอนภายในทีย่ งั ไมมีผลกระทบ
ตอ สทิ ธิหนา ทขี่ องผฟู องคดี จนกวาผถู กู ฟองคดีที่ ๑ จะไดพจิ ารณาออกคาํ ส่ังไลผูฟองคดีออกจากราชการ
กรณีจึงถือไดวา ผูฟองคดีมิใชผูที่ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายที่จะมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอน
มตขิ องผูถ กู ฟองคดีที่ ๒ ดงั กลา วได ทง้ั นี้ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึง่ แหง พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลปกครองฯ
สําหรับคําขอท่ีขอใหคืนสิทธิตามกฎหมายแกผูฟองคดี และเยียวยาความเสียหาย
ใหแกผูฟองคดีตามที่ศาลเห็นสมควร น้ัน หากศาลไดออกคําบังคับใหเพิกถอนคําสั่งที่พิพาท
โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันที่มีคําสั่ง ผูฟองคดียอมไดรับคืนสิทธิตามกฎหมายท่ีเกี่ยวของอยูแลว
โดยศาลไมจาํ ตอ งกําหนดคําบงั คบั
พิพากษาเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ แกไขโดยคําส่ังลงวันที่
๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๓
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๖๙)
ท่ีวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันที่มีคําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณ
ดังกลาว และใหยกฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทั้งนี้ โดยมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการ
ใหเปนไปตามคําพิพากษาวา ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ คืนสิทธิประโยชนใหแกผูฟองคดีตามที่กฎหมาย
และระเบียบกําหนดตอ ไป
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๖/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๒๕
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๔๖๑-๔๖๒/๒๕๖๓
คดีนี้ผูฟองคดีที่ ๑ ฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต ๓) ไดมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
ผูฟองคดีท่ี ๑ กรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง เมื่อคร้ังดํารงตําแหนงผูอํานวยการ
สถานศึกษาโรงเรยี นบานสนั กทู อง สาํ นักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาเชยี งราย เขต ๒ ไดถอนเงินงบประมาณ
วัสดุรายหัวนักเรียนปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกมาทั้งหมด
แตนําไปซื้อวัสดุอุปกรณเพียงเล็กนอย ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดออกคําสั่งท่ี ๑๒/๒๕๔๙ ลงวันที่
๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ลงโทษปลดผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ และคําส่ังที่ ๑๓/๒๕๔๙ ลงวันที่
๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ แกไขคําส่ังที่ ๑๒/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผูฟองคดีที่ ๑
ไมเห็นดวยจึงอุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยทั้งสองฉบับตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา) ตอมา อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชียงราย เขต ๓ ไดประชุม
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๐ แลวมีมติใหแกไขบทลงโทษใหถูกตอง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีคําสั่ง
ที่ ๒๑/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ แกไขคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ
ตามมติ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชียงราย เขต ๓ และคําสั่งที่ ๒๓/๒๕๕๐ ลงวันที่
๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ แกไขคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีที่ ๑ ออกจากราชการ ผูฟองคดีท่ี ๑
จึงมีหนังสืออุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยเพิ่มเติมตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตอมา อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ
เกี่ยวกบั การอทุ ธรณและการรอ งทุกข ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดประชุมเม่ือวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐
แลว มมี ตเิ ปนเอกฉันทใ หผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งเพ่ิมโทษผูฟองคดีที่ ๑ จากโทษปลดออกจากราชการ
เปนโทษไลออกจากราชการ ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดออกคําสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันท่ี
๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ เร่ือง เพิ่มโทษ ใหเพ่ิมโทษผูฟองคดีที่ ๑ จากโทษปลดออกจากราชการ
เปนโทษไลออกจากราชการ ผูฟองคดีท่ี ๑ เห็นวา คําส่ังลงโทษทางวินัยของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และ
มตขิ องผูถ ูกฟองคดที ี่ ๒ ท่ีใหเพ่ิมโทษทางวินัยผูฟองคดีที่ ๑ ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังท่ี ๑๒/๒๕๔๙ และท่ี ๑๓/๒๕๔๙ ลงวันที่
๑๒ มิถนุ ายน ๒๕๔๙ คําสั่งที่ ๒๑/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ และที่ ๒๓/๒๕๕๐ ลงวันท่ี
๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ เพิกถอนมติผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ตามหนงั สือสํานกั งาน ก.ค.ศ. ลงวันที่ ๑๖ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ทแ่ี จงผลการพิจารณาอุทธรณโดยใหเพิ่มโทษ
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๐)
ทางวินัยผูฟองคดีท่ี ๑ เปนใหไลออกจากราชการ และเพิกถอนคําสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่
๒๗ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ทเ่ี พิม่ โทษทางวินัยผฟู อ งคดที ี่ ๑ จากปลดออกจากราชการเปน ไลออกจากราชการ
โดยในระหวางการพิจารณาโทษทางวินัย ผูฟองคดีท่ี ๑ ไดยื่นเรื่องขอรับเงินบําเหน็จบํานาญ และ
กระทรวงการคลังไดส่ังใหสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยผูอํานวยการสํานักงาน
เขตพื้นท่กี ารศึกษาเชียงราย เขต ๓ ไดจายเงินบําเหน็จใหแกผูฟองคดีท่ี ๑ ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง
ลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๙ จํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท ใหแกผูฟองคดีท่ี ๑ พรอมทั้งใหผูฟองคดีท่ี ๑
ทําหนังสือสัญญาการใชเงินคืน ลงวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยผูฟองคดีที่ ๒ เปนผูทําหนังสือ
สญั ญาค้ําประกนั เมอ่ื ผถู กู ฟองคดีท่ี ๑ มีคําสงั่ ที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ เร่ือง เพิ่มโทษ
ใหเพ่ิมโทษผูฟองคดีท่ี ๑ จากโทษปลดออกจากราชการเปนโทษไลออกจากราชการ ผูฟองคดีท่ี ๑
จงึ ไมมสี ทิ ธไิ ดร บั เงินบําเหน็จ ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๐ แจงใหผูฟอง
คดีที่ ๑ และท่ี ๒ ในฐานะผูคํ้าประกันชดใชเงินบําเหน็จจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑ และ
ท่ี ๒ ไดรับหนังสือฉบับดังกลาวแลว แตผูฟองคดีท้ังสองยังไมชําระเงินคืนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓
(สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน) ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จงึ นาํ คดมี าฟอ งขอใหผูฟองคดีท้ังสอง
รวมกนั และหรอื แทนกนั ชําระเงนิ บําเหนจ็ คืนใหแกผ ถู กู ฟอ งคดีท่ี ๓ พรอ มดอกเบ้ีย
ศาลปกครองสูงสดุ วินิจฉัยวา เม่ือ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณและการรองทุกข
ไดประชุมเม่ือวันท่ี ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ วินิจฉัยอุทธรณในปญหาขอกฎหมายของผูฟองคดีที่ ๑
ฟงไมข้ึน และมีการประชุมเม่ือวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐ มีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังเพ่ิมโทษ
ผฟู องคดที ่ี ๑จากโทษปลดออกจากราชการเปน โทษไลออกจากราชการ ตอมา ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๑ ไดออกคําสั่ง
ที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๗ สงิ หาคม ๒๕๕๐ เรื่อง เพ่ิมโทษ โดยใหเพิ่มโทษผูฟองคดีท่ี ๑ จากโทษ
ปลดออกจากราชการเปนโทษไลอ อกจากราชการยอนหลงั ไปถึงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ เปนตนไป
ตามมติ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณและการรองทุกข ทั้งน้ี ตามมาตรา ๑๒๔ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งมีผลทําใหคําสั่ง
ที่ ๑๒/๒๕๔๙ และท่ี ๑๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ คําสั่งท่ี ๒๑/๒๕๕๐ ลงวันที่
๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ และคําส่ังที่ ๒๓/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีที่ ๑
ออกจากราชการตั้งแตวันท่ี ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ส้ินผลลงต้ังแตวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผูฟองคดีท่ี ๑
จึงไมไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายจากคําสั่งทั้งสี่ฉบับดังกลาว
กรณีจึงไมอาจถือไดวาในขณะท่ีผูฟองคดีท่ี ๑ ยื่นฟองคดีนี้ตอศาลปกครอง ผูฟองคดีท่ี ๑ ไดรับ
ความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายจากคําส่ังปลดผูฟองคดีที่ ๑
ออกจากราชการ ผฟู องคดจี งึ ไมมสี ิทธิฟองคดใี นขอ หานี้ได ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ
คดมี ีประเดน็ ทีต่ อ งวนิ ิจฉยั ตอไปวา มตขิ องผูถกู ฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเมื่อวันท่ี
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ที่ใหเพม่ิ โทษทางวนิ ัยผูฟองคดีท่ี ๑ จากปลดออกจากราชการเปนไลออกจากราชการ
เปนมติท่ีชอบดวยกฎหมายหรือไม และคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีท่ี ๑
ออกจากราชการ ตามคําสั่ง ที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ เปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมาย หรือไม
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๑)
เห็นวา กรณีน้ีคณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีท่ี ๑
ไดมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย โดยมีการแจงขอกลาวพรอมท้ังในโอกาสโตแยง
แสดงพยานหลักฐานโดยถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญตามขอ ๑๔
และขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วา ดวยการสอบสวนพิจารณาแลว เมื่อผูฟองคดีท่ี ๑ มีพฤติกรรมสั่งจายเช็ค
ใหตนเอง เบิกถอนเงินออกจากบัญชีของโรงเรียนมากเกินกวาความจําเปน และเก็บเงินสวนตาง
ที่เบิกถอนไวกับตนเองไมนําไปจัดซ้ือจัดจางในทันทีและการจัดซื้อบางรายการไมมีใบเสร็จรับเงิน
มาแสดง และผูฟองคดีที่ ๑ ไมมีเอกสารหลักฐานมาช้ีแจง อีกท้ังไมมีการจัดทําบัญชีรายรับรายจายไว
ตามระเบียบของทางราชการ รวมท้ังการที่ผูฟองคดีที่ ๑ มีพฤติกรรมในการจัดซ้ือของจากราน ย.
เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๖ จํานวนสองรายการ มีการนําเงินงบประมาณป พ.ศ. ๒๕๔๗
ไปใชช ําระหนี้ที่เกิดในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ เปนการใชเงินผิดประเภท การจางเหมารถยนต
เพอ่ื พาครูและนักเรยี นไปศึกษาดูงานสวนสัตวเชยี งใหมเ ม่ือวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๗ โดยวิธีตกลงราคา
ซึ่งมีหลักฐานใบสําคัญการรับเงินแลว แตไมมีหลักฐานการจัดซื้อจัดจาง ถือเปนการไมปฏิบัติ
ใหเปนไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ อีกท้ัง การจัดซ้ือของ
จากรา น บ. เมื่อวันท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จํานวนสองรายการ มีการลงลายมือช่ือผูตรวจรับปลอม
และการจัดซ้ือของจากราน พ. เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๗ จํานวน ๓,๐๐๐ บาท ซ่ึงในเอกสาร
การตรวจรับระบุวาไดชําระเงินแลว กลับปรากฏวาผูฟองคดีที่ ๑ ยังไมไดชําระเงิน ตอมาจึงคืนเงิน
จํานวนดังกลาวใหนาย บ. นําไปชําระใหภายหลัง เห็นไดวาพฤติการณของผูฟองคดีท่ี ๑ ดังกลาว
เปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดรับประโยชน
ที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ ท้ังเปนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติ
ตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกราชการ
อยางรา ยแรง เปนความผิดวนิ ัยอยา งรายแรงตามมาตรา ๘๔ วรรคสาม และมาตรา ๘๕ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงจะตองถูกลงโทษ
ปลดออกจากราชการหรือไลออกจากราชการ ตามความรายแรงแหงกรณี เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ัง
ปลดผูฟองคดีที่ ๑ ออกจากราชการตามมติ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชียงราย เขต ๓ และ
ผูฟองคดีที่ ๑ ไดอุทธรณคําส่ังปลดออกจากราชการตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีอํานาจ
เพ่ิมโทษได ตามขอ ๑๗ วรรคหน่ึง ประกอบขอ ๑๔ (๘) ของกฎ ก.ค.ศ. วาดวยการอุทธรณและ
การพิจารณาอุทธรณ พ.ศ. ๒๕๕๐ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดดําเนินการวินิจฉัยอุทธรณคําส่ังลงโทษ
ปลดออกจากราชการของผูฟ อ งคดที ่ี ๑ จากพยานหลักฐานในสํานวนการสอบสวน เอกสารการอุทธรณ
ของผูฟองคดีท่ี ๑ โดยไดใหโอกาสผูฟองคดีที่ ๑ นํานาย ส. ที่ปรึกษากฎหมายของผูฟองคดีท่ี ๑
เขารวมรับฟงการแถลงการณดวยวาจาของผูฟองคดีที่ ๑ ดวยแลว เมื่อผูฟองคดีที่ ๑ กระทําผิดวินัย
อยางรายแรงตามมาตรา ๘๔ วรรคสาม และมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครู
และบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซง่ึ ตามขอ ๑๔ (๘) ของกฎ ก.ค.ศ. ดังกลาวขางตน ใหมีมติ
ใหเพิ่มโทษเปนปลดออกจากราชการหรือไลออกจากราชการ และเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติอยางไร
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๒)
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชาตองปฏิบัติตามน้ัน ประกอบกับกรณีกระทําผิดวินัยฐานทุจริต
ตอหนาที่ราชการ คณะรัฐมนตรีมีมติเม่ือวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ ตามหนังสือสํานักเลขาธิการ
คณะรัฐมนตรี ลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ กําหนดวา การลงโทษผูกระทําผิดวินัยฐานทุจริต
ตอ หนา ท่รี าชการ หรือละทิ้งหนาท่ีราชการ เปนความผิดวินัยอยางรายแรง ซ่ึงควรลงโทษเปนไลออก
จากราชการ การนําเงินท่ีทุจริตไปแลวมาคืนหรือมีเหตุอันสมควรปรานีอ่ืนใดไมเปนเหตุลดหยอนโทษ
ลงเปนปลดออกจากราชการ ดังน้ัน การที่ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณและรองทุกข
ซึง่ ทําหนาท่ีแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดพิจารณาคําอุทธรณคําส่ังลงโทษปลดออกแลวมีมติในการประชุม
เมื่อวันท่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ใหเพิ่มโทษทางวินัยผูฟองคดีท่ี ๑ จากปลดออกจากราชการเปนไลออก
จากราชการ จึงถูกตองเหมาะสม และชอบดวยกฎหมายแลว เมื่อมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ชอบดวยกฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐
ลงโทษไลผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ ตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวย
กฎหมายเชน กัน
คดีมีประเด็นท่ีตองวินิจฉัยตอไปอีกวา ผูฟองคดีทั้งสองจะตองชดใชเงินบําเหน็จ
ใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ หรือไม เพียงใด เม่ือคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีที่ ๑
ออกจากราชการชอบดวยกฎหมาย ดังน้ัน จึงรับฟงเปนยุติวาผูฟองคดีที่ ๑ เปนผูท่ีไมมีสิทธิไดรับ
บําเหน็จ เน่ืองจากเปนขาราชการท่ีถูกไลออกจากราชการเพราะกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘ (๑) แหง พ.ร.บ. บําเหน็จบํานาญขาราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ผูฟองคดีที่ ๑ จึงตองคืนเงิน
บําเหน็จที่รับไปโดยไมมีสิทธิใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๐ เรียกใหผูฟองคดีท่ี ๑ ชดใชเงินบําเหน็จจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท
คนื ใหแกผ ูถูกฟอ งคดีท่ี ๓ ใหเสร็จส้ินภายใน ๓๐ วัน นับแตวันที่ไดรับหนังสือ ผูฟองคดีที่ ๑ ไดรับ
หนังสือดังกลาวเม่ือวันท่ี ๑๐ กันยายน ๒๕๕๐ ซ่ึงครบกําหนดในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐
แตเ พิกเฉยไมน ําเงินบําเหนจ็ ไปชําระเงินคนื ใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ผูฟองคดีท่ี ๑ จึงตกเปนผูผิดนัด
เพราะเจาหนี้เตอื นแลว ทงั้ นี้ ตามมาตรา ๒๐๔ วรรคหนึง่ แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ผูฟองคดีที่ ๑ จึงตองรับผิดชําระดอกเบ้ียในระหวางเวลาผิดนัดในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงิน
จํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท ตามมาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง แหงประมวลกฎหมายดังกลาว ตั้งแตวันท่ี
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ จนถงึ วนั ฟองคดี คอื วนั ท่ี ๒๕ มถิ ุนายน ๒๕๕๑ เปนเวลา ๒๕๘ วัน คิดเปนดอกเบ้ีย
จาํ นวน ๓๘,๒๓๖.๒๐ บาท รวมเปนตนเงินและดอกเบ้ียทั้งสิ้นจํานวน ๗๕๙,๔๘๗.๖๐ บาท นอกจากน้ี
ยังตองรับผิดชําระดอกเบ้ียของตนเงินจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท นับถัดจากวันฟองเปนตนไป
จนกวาจะชําระเสร็จอีกดวย เมื่อผูฟองคดีท่ี ๑ ผิดนัดชําระหน้ีใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ ผูฟองคดีท่ี ๒
ในฐานะผคู า้ํ ประกันจึงตองรบั ผดิ รว มกันกับผูฟ อ งคดีที่ ๑ ในการชําระหน้ีจํานวนดังกลาวพรอมดอกเบี้ย
ตั้งแตวันถัดจากวันผิดนัดใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดวย ท้ังน้ี ตามมาตรา ๖๘๖ และมาตรา ๖๙๑
แหงประมวลกฎหมายเดียวกัน อยางไรก็ตาม เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีคําขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งใหผูฟองคดีท้ังสองรับผิดชดใชเงินบําเหน็จคืนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เปนเงินจํานวน
๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท พรอมดวยดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวนดังกลาว
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๓)
นับแตวันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถึงวันฟองคดี คือ วันท่ี ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๑ เปนเงินจํานวน
๓๖,๐๖๒.๖๔ บาท รวมเปนเงินบําเหน็จและดอกเบ้ียทั้งส้ินจํานวน ๗๕๗,๓๑๔.๐๔ บาท
ศาลจงึ พิพากษาใหไ ดไ มเ กนิ คาํ ขอ ดังนน้ั ผฟู องคดที ั้งสองจงึ ตอ งรว มกันและหรือแทนกันชําระเงิน
บําเหน็จคืนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ จํานวน ๗๕๗,๓๑๔.๐๔ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ
๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท นับถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระ
เสร็จใหแกผ ูถ กู ฟองคดที ่ี ๓ ทศ่ี าลปกครองชนั้ ตนมีคําพิพากษายกฟองผูฟองคดีท่ี ๑ และใหผูฟอง
คดีท่ี ๑ และท่ี ๒ รวมกันและหรือแทนกันชําระเงินบําเหน็จคืนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จํานวน
๗๕๗,๓๑๔.๐๔ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรา ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท
นับถดั จากวนั ฟอ งเปนตนไปจนกวา จะชําระเสร็จ ท้ังนี้ ใหชําระใหแลวเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต
วันที่คดีถึงที่สุด กับใหคืนคาธรรมเนียมศาลท้ังหมดแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ คําขออ่ืนใหยก นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดว ย
พพิ ากษายนื
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๐๐๙ – ๑๐๑๐/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา ขณะผฟู องคดรี ับราชการเปนขาราชการตํารวจยศรอยตํารวจเอก
ผูถูกฟอ งคดที ่ี ๒ (ผบู ญั ชาการตํารวจภูธรภาค ๕) มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ แตงตั้งผูฟองคดี
ซึ่งดํารงตาํ แหนง รองสารวตั รปองกนั ปราบปราม สถานีตาํ รวจนครบาลพญาไท ใหไปดํารงตําแหนง
รองสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรอําเภอสบเมย จังหวัดแมฮองสอน ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ) ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี กรณีผูฟองคดีซ่ึงมีหนาที่รับผิดชอบโดยตรง
ในการปราบปรามแหลงอบายมุขในพื้นท่ี ไดปลอยปละละเลยหรืออาจเขาไปมีผลประโยชนเก่ียวของ
ใหมีบอนการพนันขนาดใหญในพ้ืนท่ีจนถูกเจาหนาที่ตํารวจจากหนวยเหนือเขาทําการจับกุม ไดผูตองหา
และของกลางจํานวนมาก แตผูฟองคดีไมรูเร่ือง ไมมีสวนรวมในการจับกุมและไมไดใหการชวยเหลือ
สนับสนุนในการเขาจับกุม ระหวางรอผลการรองทุกขดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําส่ังลงวันที่
๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ สงสํารองราชการผูฟองคดีที่กองบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน
เนื่องจากผูฟองคดีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงจนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน
แตยังไมถึงข้ันถูกสั่งพักราชการ หรือส่ังใหออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงไดมีหนังสือลงวันท่ี
๕ กันยายน ๒๕๕๐ รองทุกขตอประธานของผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ)
ซึ่งอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการรองทุกขทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ)
ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ มีมติใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา
คําสัง่ สาํ นกั งานลงวันที่ ๒๑ มิถนุ ายน ๒๕๕๐ ท่แี ตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี และคําส่ัง
ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ ท่ีสั่งใหผูฟองคดีสํารองราชการเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมาย
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔
ทแี่ ตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดีใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๔)
เปน จํานวนเงิน ๗,๕๐๐ บาท ใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ ท่ีสํารองราชการผูฟองคดี
ทก่ี องบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกคําสั่งแตงต้ังผูฟองคดี
ไปดํารงตําแหนงรองสารวัตรในสังกัดกองบัญชาการตํารวจนครบาลที่ผูฟองคดีเคยดํารงตําแหนง
มากอนถูกแตงตั้งไปดํารงตําแหนงท่ีตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอนในโอกาสแรก และเพิกถอนมติ
ของผถู กู ฟองคดีที่ ๔ ทยี่ กคํารอ งทุกขของผฟู องคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรง
เปนข้ันตอนอันเปนสาระสําคัญเพ่ือแสวงหาขอเท็จจริงตามขอกลาวหา ซึ่งเมื่อคณะกรรมการสอบสวน
ดาํ เนนิ การเสร็จตองรายงานผลการสอบสวนและความเห็นตอผูบังคับบัญชาซ่ึงกฎหมายกําหนดให
เปนผูมีอํานาจพิจารณาวินิจฉัยวา ผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยหรือไม ในชั้นถูกต้ังกรรมการสอบสวน
ทางวินัยอยางรายแรง ผูถูกกลาวหาอางวาตนมิไดกระทําผิดวินัยตามขอกลาวหาและนําคดีมายื่นฟอง
ขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรง โดยผูบังคับบัญชา
ยังมิไดว ินิจฉัยวา ผถู กู กลาวหากระทาํ ผิดวนิ ยั หรือไม ผูถูกกลาวหาจึงยังไมอยูในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองคดี
ตอศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ดังนั้น เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๑
ยงั มิไดวินจิ ฉยั วา ผฟู อ งคดีกระทาํ ผดิ วินยั ตามขอกลาวหา ผูฟองคดีในฐานะผูถูกกลาวหาจึงยังไมอยู
ในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
เรอ่ื ง แตง ต้งั คณะกรรมการสอบสวน และคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี
ในกรณีดังกลาว สําหรับคําฟองในสวนท่ีขอใหผูถูกฟองคดีที่ ๔ ชดใชคาเสียหายนั้น เม่ือผูฟองคดี
ไมอยูในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองโตแยงการกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนผฟู องคดี ดงั นน้ั ผฟู องคดจี ึงยังไมอ ยูในฐานะเปนผูม สี ทิ ธฟิ อ งคดีตอ ศาลขอใหผ ูถูกฟองคดีที่ ๔
ชดใชคาเสียหายในมูลละเมิดอันเกิดจากการกระทําดังกลาวเชนเดียวกัน ทั้งน้ี เม่ือปรากฏวา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี
กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงเมื่อครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองสารวัตรปองกัน
และปราบปราม สถานีตํารวจนครบาลพญาไท กรณีจึงมีเหตุตามที่กําหนดใน กฎ ก.ตร. วาดวย
การสั่งใหขาราชการตํารวจประจําสํานักงานตํารวจแหงชาติ หรือสวนราชการใด หรือสํารองราชการ
ในสวนใด พ.ศ. ๒๕๔๘ ขอ ๓ ท่ีผูบังคับบัญชาสามารถส่ังพักราชการได และในขณะที่ผูฟองคดี
ถูกสั่งใหสํารองราชการน้ัน ผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธร
สบเมย จังหวัดแมฮองสอน ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๕
จึงมีอํานาจตามมาตรา ๖๑ (๓) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ออกคําส่ังลงวันที่
๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ เร่ือง ใหขาราชการตํารวจสํารองราชการ และตามคําส่ังสํารองราชการดังกลาว
ไดแจง เหตุที่มคี ําสัง่ สาํ รองราชการใหผฟู องคดีทราบแลววา เนื่องจากผูฟองคดีถูกตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ยั อยางรายแรง คําส่ังของผูถ ูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันท่ี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ ที่ใหผูฟองคดี
ซ่งึ ตาํ แหนงรองสารวตั รปองกนั และปราบปราม สถานีตาํ รวจภูธรอําเภอสบเมย จงั หวัดแมฮองสอน
สํารองราชการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน จึงเปนการกระทําโดยชอบดวยกฎหมายแลว การท่ี
ผถู กู ฟองคดที ี่ ๓ มคี ําสงั่ ตามหนังสอื ลงวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ ที่ใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๕)
จึงเปน คาํ สั่งที่ชอบดวยกฎหมายเชนกัน ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟองนั้น ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดว ยในผล
พพิ ากษายนื
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อบ.๕๑-๕๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ในขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ
พันตํารวจเอก ท. ไดยนื่ หนังสือรองเรยี นลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
และลงวนั ที่ ๒๘ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๕๑ ตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกรัฐมนตรี) โดยกลาวหาวาผูฟองคดี
กระทําผิดวินัย ซ่ึงสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีไดรับหนังสือรองเรียนของพันตํารวจเอก ท.
ทง้ั สามฉบับดังกลาวเมื่อวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ และภายหลังจากไดรับหนังสือรองเรียนดังกลาว
เพยี ง ๑ วนั ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ ไดอ อกคาํ ส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี และออกคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒
(สํานักนายกรัฐมนตรี) ผูฟองคดีจึงมีหนังสือรองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๔ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ)
เพื่อขอใหยกเลิกคําส่ังทั้งสองคําส่ังดังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๕ (คณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจ
เก่ียวกับการรองทุกข) กระทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไดมีมติใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑
และคําส่ังท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เสนอโปรดเกลาฯ
ใหผูฟองคดีกลับมาดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติในทันทีที่ศาลมีคําส่ัง และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
ถึงท่ี ๓ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ ที่ ๓) รวมกันหรือแทนกันชดใชคาสินไหมทดแทน เงินเดือน
เงินคาบริหาร และเงินประจําตําแหนงใหแกผูฟองคดี โดยคํานวณตั้งแตวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ รวมเปนเงินจํานวน ๗๘๘,๕๕๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรา
รอ ยละ ๗.๕ ตอ ป นบั แตว นั ฟองคดีเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ และชําระคาเสียหายตอช่ือเสียง
ของผูฟองคดีและวงศตระกูล รวมท้ังคาเสียหายทางจิตใจและเกียรติยศเปนเงินจํานวน ๑๐๐ ลานบาท
เพิกถอนมติผูถูกฟองคดีที่ ๕ ท่ีใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดีในระหวางการพิจารณาของ
ศาลปกครองชั้นตนปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบ
ใหยตุ ิการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ เพ่ิมเติม
ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๔๕/๒๕๕๑ และใหยกเลิกคําส่ังที่ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน
ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗๓/๒๕๕๑ เห็นวา เมื่อพิจารณาตามมาตรา ๘๔ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และขอ ๒ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง
พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว จะเหน็ ไดว า เมือ่ มกี ารกลาวหาวา ขา ราชการตาํ รวจกระทําผิดวนิ ัย กฎหมายบัญญตั ิให
อํานาจดุลพินิจแกผูบังคับบัญชาของขาราชการตํารวจคนดังกลาววา หากผูบังคับบัญชาพิจารณา
ในเบื้องตนแลวเห็นวา กรณีมีมูลเพียงพอที่จะออกคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรา ยแรงขา ราชการตาํ รวจทีถ่ กู กลา วหาได ผูบังคับบัญชาก็มอี ํานาจออกคําส่งั แตง ตง้ั คณะกรรมการ
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๖)
สอบสวนวินัยอยางรายแรงไดโดยไมตองสืบสวนขอเท็จจริง แตก็มิไดหมายความวาผูบังคับบัญชา
จะใชอํานาจดุลพินิจนั้นอยางไรตามอําเภอใจก็ได เพราะแมคําส่ังดังกลาวจะยังไมมีผลกระทบ
ตอสิทธิและหนาที่ของขาราชการตํารวจคนนั้นโดยตรงก็ตาม แตคําส่ังดังกลาวก็อาจเปนฐานที่มา
ในการออกคําสั่งอื่น ๆ ที่กระทบสิทธิของขาราชการตํารวจผูนั้นได ดวยเหตุนี้ ศาลยอมมีอํานาจ
ตรวจสอบการใชดุลพินจิ ดังกลา ววาสอดคลองกับวตั ถุประสงคของกฎหมายและอยูภายใตขอบเขต
ของกฎหมายที่ใหอํานาจหรือไม เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา เม่ือพันตํารวจเอก ท. ยื่นหนังสือรองเรียน
ผูฟองคดีจํานวน ๓ ฉบับ ดังน้ี (๑) ผูฟองคดีดําเนินโครงการเชารถยนตขนาดตางๆ โดยมีพฤติการณ
สอไปในทางทุจริต และเปนการกระทําท่ีฝาฝนกฎหมาย (๒) ผูฟองคดีสั่งการโดยใชถอยคําท่ีมิบังควร
และไมเหมาะสมในฐานะที่เปนผูบังคับบัญชาสูงสุดของหนวยงาน (๓) ผูฟองคดีดําเนินการ
บริหารงานบุคคลโดยออกคําส่ังแตงต้ังขาราชการตํารวจโดยไมถูกตองตามท่ีกฎหมายกําหนด
พรอมเอกสารประกอบประมาณ ๖๐๐ แผน ซึ่งขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียนดังกลาวบางกรณี
เปนเร่ืองท่ีมีรายละเอียดปลีกยอยจํานวนมากและมีขอเท็จจริงท่ีเกี่ยวพันกับหลายหนวยงาน รวมทั้งใชเงิน
งบประมาณจํานวนมาก ประกอบกับในขณะนนั้ ผูฟอ งคดดี าํ รงตําแหนง เปนผูบญั ชาการตาํ รวจแหงชาติ
อันเปนผูบังคับบัญชาสูงสุดของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และเปนกรณีกลาวหาวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชา จึงควรตรวจสอบความถูกตองของขอมูล
ตามหนังสือรองเรียนและเอกสารประกอบดวยความละเอียดรอบคอบ เพ่ือใหไดความชัดเจนในเรื่องท่ี
รอ งเรียนเสยี กอ นวามีมลู เพียงพอท่ีจะสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีหรือไม
โดยเฉพาะผูรองเรียนเปนผูที่เคยถูกปลดออกจากราชการตํารวจ เน่ืองจากผูรองเรียนนําขอความ
ตามหนังสือรองทุกขที่กลาวหาวาผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่ดวยอคติและขาดความยุติธรรมไปให
หนังสือพิมพ โดยมีเจตนาใหหนังสือพิมพเผยแพรขอความดังกลาว เพื่อใหเกิดความเสียหาย
แกผูฟองคดี แตกลับปรากฏวา ในข้ันตอนการพิจารณาเรื่องรองเรียนเพื่อมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ยั อยา งรา ยแรงผฟู อ งคดีเปน ไปดวยความรวดเร็วผิดปกติ ตั้งแตในช้ันพิจารณาเบ้ืองตน
ของผถู กู ฟองคดีที่ ๒ และในช้ันสัง่ การของผูถ ูกฟอ งคดที ี่ ๑ ซงึ่ เม่อื พจิ ารณาขอกลา วหาตามหนังสือ
รองเรียนแตละฉบับแลวเห็นวา ขอกลาวหาท่ีวาผูฟองคดีดําเนินโครงการเชารถยนตประเภทตาง ๆ
ของผถู กู ฟองคดีที่ ๓ โดยมีพฤติการณสอไปในทางทุจริต นั้น ปรากฏขอเท็จจริงในภายหลังวาสํานักงาน
ตรวจสอบการบริหารพัสดุและสืบสวนท่ี ๓ สํานักงานการตรวจเงินแผนดิน มีบันทึกเสนอความเห็นวา
ไมพบพฤติการณที่เปนการกีดกันการเสนอราคาของผูใหเชารถยนตรายใดรายหนึ่ง และไมปรากฏวา
มีพฤติการณใดที่เปนการทุจริตกอใหเกิดความเสียหายแกราชการ จึงเห็นควรไมรับเร่ืองไวตรวจสอบ
โดยรองผูวาการตรวจเงินแผนดินไดเห็นชอบใหยุติเรื่องเม่ือวันท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ สวนขอกลาวหา
ทวี่ า ผฟู องคดีสั่งการโดยใชถ อยคาํ ท่มี ิบงั ควรและไมเหมาะสมในฐานะทีเ่ ปนผบู งั คบั บญั ชาสูงสุดของ
หนวยงาน น้ัน แมขอเท็จจริงจะพิจารณาไดตามหนังสือรองเรียนดังกลาว แตการกระทําดังกลาว
ของผูฟองคดีก็เปนเพียงการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานใชกิริยาวาจาหรือประพฤติตน
ในลักษณะที่ไมสมควร ตามมาตรา ๗๘ (๑๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เทานั้น
สาํ หรบั ขอกลาวหาท่ีวาผูฟองคดีดําเนินการบริหารงานบุคคลโดยไมถูกตองตามท่ีกฎหมายกําหนด น้ัน
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๗)
การที่ผฟู อ งคดมี ีคําสง่ั กาํ หนดตาํ แหนงเพอ่ื ใหสอดคลอ งกับปริมาณงานและคุณภาพตามหนาที่และ
ความรับผิดชอบของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ตามท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไดมีมติไว และการกําหนดตําแหนง
ขาราชการตํารวจดังกลาวสามารถดําเนินการแกไขไดดวยการแกไขเพ่ิมเติมกฎกระทรวงแบงสวนราชการฯ
อีกทั้ง หากขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียนทั้งสามฉบับของพันตํารวจเอก ท. มีพยานหลักฐาน
เพียงพอท่ีจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงเพื่อพิสูจนความผิดของผูฟองคดีไดจริง
ตามที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาแลว การดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดีก็นาจะดําเนินการไปได
โดยรวดเร็วเสมือนกับมีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจงตามหนังสือรองเรียน แตกลับปรากฏวา
อีกประมาณ ๒ ป ๓ เดือน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ใหยุติการสอบสวน
ทางวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ และใหยกเลิกคําส่ัง
ท่ีใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ โดยอาศัยอํานาจ
ตามขอ ๑๒ (๙) ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสั่งพักราชการและการส่ังใหออกจากราชการไวกอน
พ.ศ. ๒๕๔๗ เน่ืองจากคณะกรรมการสอบสวนฯ ดําเนินการสอบสวนไมแลวเสร็จภายในระยะเวลา ๑ ป
นับแตผูฟองคดีถูกสัง่ ใหอ อกจากราชการไวกอ น อันเปนการแสดงใหเห็นวา คณะกรรมการสอบสวนฯ
ทผ่ี ถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ แตง ต้งั ไมอาจสอบสวนหาพยานหลักฐานมาพสิ ูจนไ ดวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงตามหนังสือรองเรียนของพันตํารวจเอก ท. จึงแสดงใหเห็นโดยปริยายวาขอกลาวหา
ตามหนังสือรองเรียนท้ังสามฉบับของพันตํารวจเอก ท. ยังไมมีขอเท็จจริงและพยานหลักฐานสนับสนุน
เพียงพอที่จะแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีได ฉะนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
อาศัยขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียนของพันตํารวจเอก ท. ทั้งสามฉบับ ในการออกคําส่ังสํานัก
นายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผูฟองคดี จึงเปนกรณีที่ไมมีมูลเพียงพอที่จะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผูฟองคดี อันเปนการใชดุลพินิจในการออกคําส่ังโดยไมชอบตามมาตรา ๘๔ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบขอ ๒ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง
พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนั้น คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
ที่แตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยอยางรา ยแรงผูฟ องคดี จงึ ไมชอบดวยกฎหมาย อยางไรก็ตาม
เมือ่ คาํ ส่งั แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงเปนเพียงกระบวนการแสวงหาขอเท็จจริง
และรวบรวมพยานหลักฐานตามขอกลาวหาเพ่ือนําไปสูการออกคําสั่งลงโทษทางวินัยอันเปนคําสั่ง
ทางปกครอง ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
ผฟู องคดี จึงยังไมมผี ลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีและเปนเพียงข้ันตอน
การพิจารณาทางปกครอง ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดจากคําส่ังดังกลาว ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงมิใชผูมีสิทธิฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งสํานัก
นายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ ดังกลาว กรณีพิจารณาไดตอไปวาเหตุผลท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่ง
ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๘)
พ.ศ. ๒๕๓๔ อันเปนกฎหมายท่ัวไป น้ัน สืบเนื่องมาจากผูฟองคดีถูกแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรง เมื่อผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติและถูกแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรง ซึ่งมีมาตรา ๖๑ (๑) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ อันเปน
กฎหมายเฉพาะ ไดบัญญัติใหอํานาจผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชาท่ีจะส่ังใหผูฟองคดี
ไปปฏิบัติราชการในสวนราชการใดไวเปนการเฉพาะแลว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะมีคําสั่งให
ผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยใหพนจากตําแหนงหนาท่ีเดิมและโดยจะใหขาด
จากอัตราเงินเดอื นในตาํ แหนงเดมิ หรอื ไมกไ็ ด จึงตองอาศัยอาํ นาจตามมาตรา ๖๑ (๑) แหง พ.ร.บ.
ตาํ รวจแหง ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบขอ ๓ (๑) ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสั่งใหขาราชการตํารวจ
ประจําสํานักงานตํารวจแหงชาติ หรือสวนราชการใด หรือสํารองราชการในสวนราชการใด
พ.ศ. ๒๕๔๘ อันเปนกฎหมายเฉพาะ ทั้งน้ี แมผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะมีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๑ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน
พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบมาตรา ๗๒ (๑) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ อันเปนบทกฎหมาย
ที่บัญญตั อิ าํ นาจหนาทีใ่ นการบรหิ ารงานบุคคลโดยทั่วไปของผูถกู ฟอ งคดีที่ ๑ ก็ตาม กรณีเปนเพียง
การอางองิ บทบัญญัตแิ หงกฎหมายท่ีเปนฐานอํานาจในการออกคําส่ังผิดพลาดคลาดเคลื่อนเทาน้ัน
มิใชกรณีที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ปราศจากอํานาจในการออกคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๕/๒๕๕๑
แตอยางใด อยางไรก็ตาม เม่ือไดวินิจฉัยในขางตนแลววา คําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรา ยแรงผูฟ องคดี เปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งสํานัก
นายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการ
ท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยอาศัยเหตุวาผูฟองคดีถูกแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง นั้น
จึงเปนกรณีที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ นําขอเท็จจริงที่ไมชอบดวยกฎหมายมาใชเปนฐานในการมีคําส่ัง
ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ อันมีผลใหคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๕/๒๕๕๑
เปน คําส่ังท่ไี มช อบดวยกฎหมาย และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๔ ท่ียกคํารองทุกข
ของผูฟ องคดี โดยอาศัยขอเท็จจริงและขอกฎหมายเดียวกันกับการออกคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ และคําสั่งที่ ๓๕/๒๕๕๑ จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน แตเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ไดส้ินผลไปแลวโดยผลของคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๗๓/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๘ เมษายน ๒๕๕๑ ที่ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน ศาลจึงไมจําตอง
มีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังดังกลาว และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ในการประชุมเม่ือวันท่ี
๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ ที่ยกคํารองทุกขของผูฟองคดี เมื่อไดวินิจฉัยแลววา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑ และคําส่ัง ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ เปนการใชอํานาจออกคําส่ัง
โดยไมชอบดวยกฎหมาย และคําส่ังดังกลาวมีผลทําใหผูฟองคดีไมไดรับสิทธิประโยชนตาง ๆ
ในตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ จึงเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย อันเปน
การกระทําละเมิดแกผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย สําหรับ
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอนโดยอาศัยเหตุวา
ผูฟองคดีถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา ๙๕ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๗๙)
พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบขอ ๓ (๑) และ (๒) และขอ ๘ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการส่ังพักราชการ
และการสั่งใหออกจากราชการไวกอน พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงเปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ นําขอเท็จจริง
ที่ไมชอบดวยกฎหมายมาใชเปนฐานในการมีคําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน อันมีผลให
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗๓/๒๕๕๑ เปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมาย และเม่ือคําส่ังดังกลาว
มีผลทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย โดยทําใหผูฟองคดีตองพนจากการปฏิบัติหนาที่ราชการ
จึงเปนการกระทําละเมิดแกผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ท้งั นี้ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑ คําส่ัง ที่ ๓๕/๒๕๕๑ และ
คาํ สงั่ ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ เปน การกระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาท่ใี หแ กผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓
จึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูฟองคดีในผลแหงละเมิดที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดกระทําในการ
ปฏิบัติหนาที่ ตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
ดวยเหตุนี้ คาสินไหมทดแทนท่ีผูฟองคดีจะเรียกรองไดน้ันตองเปนคาเสียหายที่เปนผลโดยตรงจาก
การกระทําละเมิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงสามารถแยกพิจารณาคาสินไหมทดแทนที่ผูฟองคดี
มีสิทธิไดรับ ดังน้ี การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๕/๒๕๕๑ ใหผูฟองคดี
ไปปฏิบัติราชการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ ใหผูฟองคดี
ออกจากราชการไวกอน เปนเหตุใหผูฟองคดีไมไดรับเงินเดือนและเงินประจําตําแหนงผูบัญชาการ
ตํารวจแหงชาติ จึงเปนคาเสียหายท่ีเปนผลโดยตรงจากการกระทําละเมิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ผูฟองคดีจึงมีสิทธิไดรับเงินเดือน ต้ังแตวันท่ี ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ถึงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑
ซึ่งเปนวันท่ีผูฟองคดีเกษียณอายุราชการ รวมเปนเงินจํานวน ๓๓๕,๗๕๐ บาท และเงินประจํา
ตําแหนงเดือนละ ๔๒,๐๐๐ บาท ตั้งแตวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑
รวมเปน เงินจาํ นวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท สวนคา เบีย้ ประชมุ ผูถ กู ฟองคดที ี่ ๔ น้ัน เมื่อผูฟองคดีไมไดเขา
รว มประชมุ ผถู กู ฟองคดีท่ี ๔ ในระหวางเดอื นมีนาคม ๒๕๕๑ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีจึง
ไมมีสิทธิไดรับคาเบ้ียประชุมดังกลาว สวนคาเสียหายทางจิตใจ รวมทั้งช่ือเสียงของผูฟองคดี
และวงศตระกูล น้ัน เมื่อพฤติการณแสดงใหเห็นวา การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี มิไดมีวัตถุประสงคเพื่อพิสูจนความผิดของผูฟองคดีตามหนังสือ
รองเรยี นทงั้ สามฉบบั ของพันตาํ รวจเอก ท. ท้ังยังปรากฏขอเท็จจริงที่แสดงใหเห็นวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ประสงคจะถวงเวลาในการดําเนินกระบวนการพิจารณาเร่ืองรองทุกขของผูฟองคดี อันเปนเหตุให
การพิจารณาเร่ืองรองทุกขดังกลาวโดยผูถูกฟองคดีที่ ๕ ตองลาชาออกไปเปนเวลาเกือบหาเดือน
ทงั้ ๆ ท่ีในขณะน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ดํารงตําแหนงประธานของผูถูกฟองคดีที่ ๔ จึงเปนการแสดงใหเห็น
อีกวา การดําเนนิ การและไมดําเนินการของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามที่วินิจฉัยมาขางตน ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มิไดประสงคจะใหมีการพิสูจนความผิดของผูฟองคดีตามเจตนารมณของการดําเนินการทางวินัย
แตมุงประสงคเพียงเพื่อใหผูฟองคดีพนไปจากตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติเทาน้ัน อันเปน
การกระทําโดยไมสุจริต ประกอบกับภายหลังจากท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓๔/๒๕๕๑ คําสั่งท่ี ๓๕/๒๕๕๑ และคําสั่งที่ ๗๓/๒๕๕๑ ก็ไดมีการเผยแพรคําสั่งดังกลาวของ
ผถู กู ฟองคดที ี่ ๑ ผา นสอื่ สารมวลชน ทางดานวิทยุ โทรทัศน และหนังสือพิมพ อันอาจทําใหบุคคล
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๐)
ท่ัวไปที่รับรูขาวสารดังกลาว รวมทั้งผูใตบังคับบัญชาของผูฟองคดี เกิดความเคลือบแคลงสงสัย
ในตัวของผูฟองคดีวาผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่โดยทุจริตและกระทําการอ่ืนโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ตามที่ถูกรองเรียนจริง จึงทําใหผูฟองคดีไดรับความอับอายและตองเส่ือมเสียชื่อเสียง อันเปนความเสียหาย
ตอจิตใจของผูฟองคดี แมในเวลาตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังใหยุติการสอบสวนทางวินัย
อยางรายแรงแกผูฟองคดี แตก็ไมอาจเยียวยาความเสียหายทางจิตใจของผูฟองคดีใหกลับมาดังเดิม
เหมือนกอนท่ีจะมีคําสั่งดังกลาวได เม่ือพิจารณาพฤติการณและความรายแรงแหงการกระทําละเมิด
ในคดีน้ีแลว เห็นควรกําหนดคาสินไหมทดแทนความเสียหายทางจิตใจใหแกผูฟองคดีเปนเงินจํานวน
๑๐๐,๐๐๐ บาท สําหรับดอกเบี้ยผิดนัด น้ัน เมื่อความเสียหายท่ีผูฟองคดีไดรับเปนหน้ีอันเกิด
แตมูลละเมิด จึงถือวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ผิดนัดนับแตวันที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ กระทําละเมิด และเม่ือ
คาสินไหมทดแทนท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะตองรับผิดชดใชใหแกผูฟองคดีเปนหนี้เงิน ผูฟองคดีจึงมีสิทธิ
ไดรับชําระดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาว นับแตวันกระทําละเมิด ทั้งนี้
ตามมาตรา ๒๐๖ ประกอบมาตรา ๒๒๔ วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
แตเม่ือคดีนี้ ผูฟองคดีมีคําขอดอกเบ้ียผิดนัดนับแตวันฟองคดีเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จส้ิน
ศาลจึงพิพากษาใหตามคําขอ ดวยเหตุน้ี ผูฟองคดีจึงมีสิทธิไดรับดอกเบ้ียของเงินประจําตําแหนง
จํานวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาว นับแตวันฟองเปนตนไป
จนกวาจะชําระเสร็จสิ้น สวนดอกเบ้ียผิดนัดของเงินเดือนจํานวน ๓๓๕,๗๕๐ บาท น้ัน
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดีไดรับเงินเดือนครบถวนแลวเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗
ผฟู องคดจี งึ มีสิทธิไดรับชําระดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาว นับแตวันฟองคดี
เปนตนไปจนถึงวันท่ี ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗ สําหรับดอกเบ้ียผิดนัดของคาเสียหายทางจิตใจจํานวน
๑๐๐,๐๐๐ บาท น้ัน เมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดีไดมีคําขอดอกเบี้ยผิดนัดสําหรับคาสินไหมทดแทน
ดังกลาว ศาลจึงไมอาจกําหนดดอกเบ้ียในสวนนี้ใหได ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง
ในประเด็นท่ีผูฟองคดีขอใหศาลพิพากษาเพิกถอนคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑
และคําส่ังท่ี ๓๕/๒๕๕๑ แตใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๓
สิงหาคม ๒๕๕๑ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ รับผิดชดใชคาเสียหาย จํานวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท พรอม
ดอกเบ้ียในอตั รารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จส้ินใหแกผูฟองคดี
ภายใน ๓๐ วัน นับแตวันท่ีคําพิพากษาถึงท่ีสุด สวนคําขออื่นใหยก และคืนคาธรรมเนียมศาล
ตามสวนแหงการชนะคดีใหแกผฟู อ งคดี นัน้ ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวยบางสวน
พิพากษาแก เปนใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ชดใชคาสินไหมทดแทน จํานวน ๓๙๔,๐๐๐ บาท
พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท นับแตวันฟอง
เปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จสิ้นแกผูฟองคดี รวมท้ังชําระดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป
ของตน เงนิ จํานวน ๓๓๕,๗๕๐ บาท นับแตวันฟองจนถึงวันท่ี ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗ ใหแกผูฟองคดี
ทั้งนี้ ภายใน ๓๐ วัน นับแตวันที่มีคําพิพากษา และใหยกฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๖ (สํานักงาน
คณะกรรมการขา ราชการตาํ รวจ) นอกจากที่แก ใหเปนไปตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตน
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๑)
และใหคืนคาธรรมเนียมศาลในศาลปกครองช้ันตนและในช้ันอุทธรณแกผูฟองคดีตามสวนของ
การชนะคดี
การดาํ เนินการตามขน้ั ตอนและวธิ กี ารทีก่ ฎหมายกําหนดกอ นการฟอ งคดี
คาํ ส่ังศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๑๔๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงผูอํานวยการกองชาง
(นักบริหารงานชาง) ระดับตน สังกัดองคการบริหารสวนตําบลนานกกก ถูกกลาวหาวาไดกระทํา
ผิดวินัยอยางรายแรงในกรณีเมื่อคร้ังดํารงตําแหนงหัวหนาสวนโยธา สังกัดองคการบริหาร
สวนตําบลบานดานนาขาม ไดรับการแตงตั้งเปนคณะกรรมการกําหนดราคากลางและคณะกรรมการ
ตรวจรับงานจางโครงการขุดลอกคลอง ๓ โครงการขององคการบริหารสวนตําบลบานดานนาขาม
อําเภอเมอื งอุตรดติ ถ จงั หวดั อุตรดิตถ ซง่ึ สํานักงานการตรวจเงินแผนดินโดยสํานักตรวจสอบพิเศษ
ภาค ๙ ไดตรวจสอบสืบสวนพบวา คณะกรรมการกําหนดราคากลางไดกําหนดราคากลางสูงกวา
ท่ีควรจะเปนและกําหนดราคากลางไมถูกตอง เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกองคการบริหาร
สวนตําบลบานดานนาขามรวมเปนเงิน ๘,๓๑๑,๓๔๑ บาท ตอมา คณะกรรมการสอบสวน
ไดร ายงานการสอบสวน เหน็ ควรลงโทษผูฟองคดีผูถูกกลาวหาข้ันไลออกจากราชการ แตเน่ืองจาก
รับราชการมาเปนเวลานาน ไมเ คยถูกลงโทษทางวินัยมากอน จึงมเี หตบุ รรเทาโทษ เห็นควรลดโทษ
จากสถานโทษขั้นไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (นายกองคการ
บรหิ ารสว นตาํ บลนานกกก) เห็นชอบกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนจึงใหเสนอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดอุตรดิตถ) พิจารณาตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุม
เมือ่ วนั ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จงึ ไดมีมตใิ หลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จึงมีคาํ ส่ังลงวนั ที่ ๒๗ มิถนุ ายน ๒๕๖๐ ปลดผูฟ อ งคดีออกจากราชการตงั้ แตวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐
เปน ตน ไป ผฟู องคดไี ดอ ุทธรณคาํ สง่ั ดงั กลา ว ตอ มา ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๒ ไดม ีมตใิ นการประชุมเม่ือวันท่ี
๑๓ กุมภาพันธ ๒๕๖๑ และเม่ือวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๖๑ ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ที่ลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติที่ประชุมของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมครั้งเม่ือวันท่ี
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ท่ีมีมติใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติที่ประชุมของ
ผูถกู ฟอ งคดีท่ี ๒ ในการประชมุ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพนั ธ ๒๕๖๑ และวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๖๑
ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดีและขอใหองคการบริหารสวนตําบลนานกกกมีคําสั่งใหผูฟองคดี
กลบั เขารับราชการ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา หลังจากที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่
๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ลงโทษปลดผูฟอ งคดอี อกจากราชการ ตามขอ ๘๕ ของประกาศคณะกรรมการ
พนักงานสวนตําบลจงั หวัดอตุ รดติ ถ เร่อื ง หลกั เกณฑและเง่อื นไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย
พ.ศ. ๒๕๕๘ ผูฟองคดีไดย่ืนหนังสือลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาว
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๒)
ตอประธานกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดอุตรดิตถ ตามขอ ๑๕ วรรคหนึ่ง ของประกาศ
คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดอุตรดิตถ เรื่อง หลักเกณฑและเง่ือนไขในการอุทธรณ
และการรองทุกข พ.ศ. ๒๕๕๘ ซง่ึ เจา หนา ที่ของสํานักงานสงเสริมการปกครองทองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ
ไดรบั หนังสืออทุ ธรณของผูฟอ งคดีไวเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองพิจารณา
วนิ จิ ฉัยอุทธรณของผฟู องคดใี หแ ลวเสรจ็ ภายใน ๙๐ วันนับแตวันท่ีเลขานุการของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ไดรับหนังสืออุทธรณตามขอ ๑๐ ของประกาศดังกลาว คือ ภายในวันท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐
แตเม่ือมิไดมีคําวินิจฉัยอุทธรณภายในกําหนดเวลาดังกลาว การฟองคดีปกครองขอใหเพิกถอน
คาํ สง่ั ลงวนั ที่ ๒๗ มถิ ุนายน ๒๕๖๐ จึงยอมกระทําไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ โดยถือวาวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ เปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหง
การฟองคดีในขอหานี้ ผูฟองคดีจึงตองฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันที่
๒๗ มถิ ุนายน ๒๕๖๐ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ตอศาลภายในวันท่ี ๙๐ วันนับแตวันที่
๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว คือตองยื่นฟองภายในวันที่
๒๒ มกราคม ๒๕๖๑ เม่อื ผูฟ องคดยี นื่ ฟอ งคดีนี้ตอศาลปกครองชนั้ ตน เม่ือวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
จึงเปนการย่ืนฟองคดีเมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติ
เดียวกันแลว และการฟองคดีนี้เพื่อประโยชนเฉพาะตัวของผูฟองคดีมิใชเปนคดีท่ีย่ืนฟองจะเปน
ประโยชนแกสวนรวม หรือปรากฏวามีเหตุจําเปนอ่ืนใดท่ีทําใหผูฟองคดีไมอาจย่ืนฟองคดีนี้
ภายในระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนดท่ีศาลปกครองจะรับไวพิจารณาได ตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติขางตน และขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวย
วิธีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนน้ั คําฟอ งในขอหาท่ีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑ และฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ จึงเปนคําฟองท่ีศาลปกครอง
ไมมีอํานาจรับไวพิจารณา ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองของผูฟองคดีในสวนที่ฟอง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และคําฟองในขอหาท่ีผูฟองคดีฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
คําส่ังลงวันท่ี ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ท่ีใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณา นั้น
ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดว ยในผล
จึงมคี ําสั่งยนื ตามคําส่งั ของศาลปกครองชน้ั ตน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ. ๗๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑
คําสัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๖๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานมหาวิทยาลัย ตําแหนงอาจารย
คณะมนุษยศาสตรและสงั คมศาสตร สังกดั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏศรีสะเกษ ถูกกลา วหาวาลวงละเมิด
ทางเพศนกั ศกึ ษา ผูถ ูกฟอ งคดี (อธกิ ารบดมี หาวิทยาลยั ราชภัฏศรีสะเกษ) ไดแตงตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยแลวมีคําสั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๓)
โดยเห็นวาเปน การกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ตั้งแตวันที่ ๓
ธันวาคม ๒๕๕๗ ซ่ึงเปนวันที่ผูฟองคดีถูกสั่งใหพักราชการเปนตนไป ผูฟองคดีไมเห็นดวยและ
เพิ่งทราบคําสั่งดังกลาวในภายหลังเนื่องจากผูฟองคดีไปบวชเปนพระท่ีตางจังหวัด เมื่อผูฟองคดี
กลับมาและทราบวาถูกไลออกจากราชการจึงมีหนังสือขอคําสั่งดังกลาวพรอมเอกสารท่ีเกี่ยวของ
จากผูถูกฟองคดี โดยผูฟองคดีไดรับเอกสารจากผูถูกฟองคดีเม่ือวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ตอมา
ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ อุทธรณคําส่ังดังกลาว ผูถูกฟองคดีไดรับ
คําอุทธรณเมื่อวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ แตไมแจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ
ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากผูฟองคดี
ไมไดลงลายมือช่ือรับทราบขอกลาวหา และกรรมการสอบสวนทางวินัยบางคนไมไดลงลายมือชื่อ
ในเอกสารบางฉบับ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่งของ
ผูถูกฟองคดีตามคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหคืน
สิทธิหนาที่การงานแกผูฟองคดี เห็นวา กรณีที่พนักงานมหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ศรีสะเกษถูกสั่งลงโทษไลออกจากราชการน้ันไดมีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับ
การแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายในเรื่องนี้ไวโดยเฉพาะ การฟองคดีเพื่อขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังลงโทษทางวินัยดังกลาวจึงจะกระทําไดก็ตอเมื่อผูถูกส่ังลงโทษทางวินัยไดยื่นคํารองอุทธรณ
คําส่ังลงโทษทางวินัยนั้นตอสภามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษภายในสามสิบวันนับแตวันท่ีไดรับ
คําสั่งดังกลาวตามขอ ๓๗ ของขอบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ วาดวยพนักงาน
มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อปรากฏวา กอนท่ีผูถูกฟองคดีจะมีคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตั้งแตวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเปนวันที่ผูฟองคดีถูกสั่ง
ใหพักราชการ เปนตนไป ผูฟองคดีไมไดมาปฏิบัติราชการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
แตผ ฟู อ งคดไี ดใ หทอ่ี ยู คือ บานเลขท่ี ๘๘๘ หมูท่ี ๗ ถนนหนองแคน ตําบลกําแพง อําเภออุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ ไวกับเจาหนาท่ี การที่ผูถูกฟองคดีไดจัดสงคําสั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘
ไปใหแกผูฟองคดี ตามที่อยูขางตนโดยไปรษณียลงทะเบียนดวนพิเศษ และนาง จ. ซึ่งเปนพ่ีสะใภ
ของผูฟองคดีเปนผูลงลายมือชื่อรับไวเม่ือวันท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ จึงตองถือวาผูฟองคดีไดรับ
คําสั่งมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ เม่ือวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘
ตามมาตรา ๖๙ วรรคสองและวรรคสาม ประกอบมาตรา ๗๑ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับนาง จ. เปนผูซ่ึงบรรลุนิติภาวะแลวไดเขาทํากิจการ
ในการรับคําสั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีไดสงมาทางไปรษณียลงทะเบียนดวนพิเศษ โดยแมวา
จะไมมีพยานหลักฐานยืนยันไดวาผูฟองคดีไดวาขานวานใชใหทํา แตการกระทําของนาง จ.
ดังกลาวเปนการจัดการงานไปในทางท่ีจะใหสมประโยชนของผูฟองคดีตามท่ีจะพึงสันนิษฐาน
ไดวาเปนความประสงคของผูฟองคดี การกระทําของนาง จ. ดังกลาวจึงถือเปนการจัดการ
งานนอกส่งั ตามมาตรา ๓๙๕ แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ดังนั้น จึงตองถือวาผูฟองคดี
ไดรบั คาํ สั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีเปนเหตุแหงการฟองคดีแลวเม่ือวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘
สวนท่ีผูฟองคดีอางวา เมื่อนาง จ. ไดรับเอกสารดังกลาวแลวไดนําไปวางไวหนาบานของผูฟองคดี
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๔)
ตอ มาเอกสารน้ันไดสญู หายไปนั้นไมเ ปน เหตหุ ักลา งขอสันนษิ ฐานของกฎหมายดังกลาวได และเม่ือ
ผูฟองคดีไดรับคําส่ังลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ เม่ือวันท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ แลว ผูฟองคดี
ตอ งอุทธรณค ําสั่งดังกลาวตอสภามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ภายใน ๓๐ วันนับแตวันดังกลาว
คือ ภายในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๘ ตามขอ ๓๗ ของขอบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
วาดวยพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๐ แตเมื่อครบกําหนดเวลาดังกลาวแลวไมปรากฏวา
ผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณคําส่ังที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตอสภามหาวิทยาลัยราชภัฏ
ศรีสะเกษแตอยางใด เมื่อผูฟองคดีมิไดย่ืนอุทธรณคําสั่งที่เปนเหตุแหงการฟองคดี แตนําคดี
มาฟองตอศาลมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จึงเปนกรณีที่ผูฟองคดียังมิไดดําเนินการ
ตามขั้นตอนหรอื วธิ กี ารสําหรบั การแกไ ขความเดอื ดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมายกําหนดไวกอน
ฟองคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ คําฟองคดีนี้จึงเปนคําฟอง
ที่ศาลไมมีอํานาจรับไวพิจารณา สวนที่ผูฟองคดีอางวาผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๘ สิงหาคม
๒๕๕๙ อุทธรณคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ และผูถูกฟองคดีไดรับหนังสืออุทธรณดังกลาว
เม่ือวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ แตไมไดรับแจงผลการพิจารณานั้น ผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณคําสั่ง
ทางปกครองที่เปน เหตุแหง การฟองคดีเมื่อพนกําหนดระยะเวลาอุทธรณตามขอ ๓๗ ของขอบังคับ
มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ วาดวยพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเปนกฎหมาย
ที่ใชบังคับในขณะท่ีมีเหตุแหงการฟองคดีนี้แลว จึงไมเปนเหตุใหถือไดวาผูฟองคดีไดดําเนินการ
ตามขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมายกําหนดไว
กอนฟอง สวนท่ีผูฟองคดีอางวา คําส่ังลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจาก
วิธีการสอบสวนของผูถูกฟองคดีไมชอบดวยกฎหมายและขอบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
วาดวยวนิ ัยและการดําเนินการทางวินัยขาราชการและพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๕๒ ขอ ๑๒
ขอ ๑๓ ขอ ๒๐ ขอ ๒๓ ขอ ๒๔ ขอ ๒๕ ขอ ๒๖ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๕๔ น้ัน เปนขอตอสู
ในประเด็นเน้ือหาของคดีมิใชเปนขอคัดคานคําสั่งของศาลปกครองชั้นตนท่ีส่ังไมรับคําฟอง
ไวพิจารณา จึงเปนขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายท่ีไมเปนสาระสําคัญอันควรวินิจฉัย ที่ศาลปกครอง
ชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพองดว ย
จึงมีคาํ สง่ั ยนื ตามคาํ ส่งั ของศาลปกครองช้ันตน
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๑
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๑๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๔๔
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๕)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๖๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๓
คําขอใหศ าลมคี าํ บังคับหรือแกไ ขความเดือดรอ นเสียหาย
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๑
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ ฟ. ๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนง
เจาพนักงานตรวจทาชํานาญการ สังกัดกรมเจาทา กระทรวงคมนาคม ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดี
กรมเจาทา) มีคําสั่งลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติ
อ.ก.พ. กรมเจาทา ฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ของราชการ และฐานรายงานเทจ็ ตอผบู งั คับบญั ชา อนั เปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ซ่ึงเปนการลงโทษตามฐานความผิดท่ีผูรองสอด (คระกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริต
แหงชาติ) มีมติ เน่ืองจาก เม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาพนักงานตรวจทา ๔ สํานักงานเจาทา
ภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ สํานักงานเจาทาภูมิภาคที่ ๓ (ชื่อในขณะน้ัน) รับมอบอํานาจจาก
เจาทาภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ ใหไประวังช้ีแนวเขตและรับรองแนวเขตทะเล ในการรังวัดสอบ
เขตท่ีดินกรณีบริษัท ย. ผูฟองคดีระวังชี้แนวเขตขางเคียงโดยระบุวาไมมีการรุกลํ้าท่ีหาดทราย
ชายทะเลแตอ ยางใด แตป รากฏวา การรวมโฉนดท่ีดินและ น.ส. ๓ ก ดังกลาว มีการรุกล้ําชายหาดทะเล
ผูฟองคดีมีหนังสืออุทธรณคําส่ังลงโทษไลออกจากราชการตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการ
พิทักษระบบคุณธรรม) วา ผูฟองคดีไมไดกระทําผิดตามท่ีถูกลงโทษ การชี้มูลความผิดของผูรองสอด
คลาดเคลื่อนดวยขอเท็จจริงและขอกฎหมายโดยไมรับฟงพยานหลักฐานอยางครบถวนเพียงพอ
มติดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๔
ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา ผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่อยางถูกตองตามกฎหมายแลว จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และเพิกถอนคําส่ัง
ลงวันท่ี ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๒ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมีคําสั่งบรรจุใหผูฟองคดี
กลับเขารับราชการ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เยียวยาความเสียหายใหกับผูฟองคดีตามหลักเกณฑ
ท่ี ก.พ. กําหนด และกรณีท่ีผูฟองคดีไมถูกไลออกจากราชการ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ คืนสิทธิท่ี
ผูฟองคดีพึงไดรับโดยชอบธรรม เห็นวา ผูฟองคดีเขามาเก่ียวของกับการรวมโฉนดที่ดิน ใหกับ
บริษัท ย. เนื่องจาก ไดรับมอบหมายจากผูบังคับบัญชาใหไประวังช้ีและรับรองแนวเขต
ในการรังวัดรวมโฉนดท่ีดินทั้งหาแปลง และ น.ส. ๓ ก. ทั้งส่ีแปลง เมื่อวันท่ี ๒๕ ถึงวันท่ี
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซ่ึงในวันรังวัดรวมโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๑
เจาพนักงานที่ดินซึ่งเปนผูรังวัดแจงวาไมสามารถตรวจสอบรายการรังวัดเดิมได เน่ืองจาก
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๖)
หลักฐานที่ดินเดิมสูญหาย ๔ หลัก จึงทําการโยงยึดออกจากหมุดหลักฐานใหม และรังวัดไปตามที่
ผูขอซ่ึงเปนเจาของที่ดินนําชี้โดยทําการรังวัดเฉพาะรอบนอก โดยที่ขอ ๖.๑.๓ ของระเบียบ
กรมเจาทา วาดวยการระวังช้ีและรับรองแนวเขตที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๘ กําหนดไวในกรณีท่ีไมพบ
หลกั เขตทีด่ ินกใ็ หแ จง ชา งรังวัดทําการรงั วัดสอบเขตจากหลักเขตดานบน เพื่อหาจุดที่หลักเขตที่ดิน
ควรจะต้ังอยู เมื่อไดจุดหลักเขตท่ีดินแลวในกรณีที่หลักเขตท่ีดินอยูตรงแนวฝงของทะเลก็ให
ชา งรงั วัดปกหลกั เขตใหมแ ทนหลกั เขตทดี่ ินเดิม แตการท่ีผฟู องคดีเพียงแตเ ดนิ ดูพนื้ ทท่ี ที่ าํ การรังวัด
ตามท่ีเจาพนักงานที่ดินชี้ใหดูและบอกวาไมมีการบุกรุกท่ีสาธารณะ ซึ่งผูฟองคดีดูแลวและ
เห็นวาไมมีการบุกรุกชายหาดของทะเล จึงเดินทางกลับโดยไมมีการดําเนินการตามระเบียบ
ดังกลาว เพื่อใหทราบวา หลักเขตท่ีดนิ ทมี่ กี ารรังวัดนั้นอยูท่ีใด เพื่อท่ีจะใหชางรังวัดปกหลักเขตใหม
แทนหลักเขตเดิม และจุดที่เจาพนักงานท่ีดินชี้ใหดูมีการรุกล้ําชายหาดของทะเล หรือไม
อันเปนการไมปฏิบัติตามขอ ๖ ของระเบียบดังกลาว อีกทั้ง ผูฟองคดียังลงนามรับรองแนวเขตที่ดิน
และรายงานใหผูบังคับบัญชาทราบวา ในการระวังช้ีและรับรองแนวเขตที่ดินมิไดมีการลงหลักเขต
ลว งลาํ้ ลงไปในแนวเขตชายฝง ทะเลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชแตอยางใด ซึ่งตอมาสํานักงานที่ดิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ และสํานักงานท่ีดินอําเภอบางสะพานดําเนินการออกโฉนดที่ดิน
เลขที่ ๒๓๗ และ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๐๐ และเลขที่ ๒๕๘๔ ใหแกบริษัท ย. ไป โดยโฉนดที่ดิน
และ น.ส. ๓ ก. ดังกลา วมแี นวเขตดา นทศิ ตะวนั ออกรกุ ลาํ้ ชายหาดของทะเลอนั เปนสาธารณสมบัติ
ของแผนดินถึง ๑๙ เมตร ตลอดแนว การกระทําของผูฟองคดีจึงเปนไปเพ่ือประโยชนของบริษัท
ดังกลาว จึงเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ เพื่อใหตนเองหรือผูอื่น
ไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และเมื่อผูรองสอด
ไตสวนขอเท็จจริงและมีมติช้ีมูลวาผูฟองคดีกระทําผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ โดยผูรองสอด
มีหนังสือสํานักงาน ป.ป.ช. ลงวันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๕๓ สงรายงานและเอกสารพรอมท้ัง
ความเห็นไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแก
ผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงตองผูกพันตามมติของผูรองสอด ในการพิจารณาโทษทางวินัย
ฐานทุจริตตอหนาที่ราชการแกผูฟองคดีตามที่ผูรองสอดมีมติโดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอีก และตองถือเอารายงานเอกสารและความเห็นของผูรองสอดเปนสํานวน
การสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการ
พลเรือน ท้ังน้ี ตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูมีอํานาจแตงต้ังถอดถอนผูฟองคดี
จึงตองพิจารณาส่ังลงโทษผูฟองคดีตามฐานความผิดที่ผูรองสอดมีมติโดยไมตองแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก สวนที่ผูฟองคดีกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติ
หนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี
หรือนโยบายของรัฐบาล และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหาย
แกทางราชการอยางรายแรง หรือไม นั้น เมื่อพิจารณาตามมาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง ของ
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๗)
รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน ประกอบกับ
มาตรา ๑๙ มาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒ วรรคหน่งึ แหง พ.ร.ป. วาดว ยการปองกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ จะเห็นไดวา อํานาจหนาท่ีของผูรองสอดในการไตสวนขอเท็จจริงและ
ช้ีมูลความผิดทางวินัย มีเฉพาะความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการเทาน้ัน ไมอาจไตสวน
ขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยฐานอ่ืนได การที่ผูรองสอดไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูล
ทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานอ่ืนจึงเปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจตามกฎหมาย มติของผูรองสอด
ทีช่ มี้ ลู ความผดิ วนิ ัยผูฟอ งคดใี นความผิดฐานอื่น จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชา
และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูรองสอด
มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล
อันเปนเหตุใหเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง เพ่ือใหผูฟองคดีซ่ึงเปนผูถูกกลาวหา
ไดรับทราบขอกลาวหาและมีโอกาสชี้แจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการ
ท่ีกําหนดไวในมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ประกอบกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ซึ่งใชบังคับในขณะน้ัน โดยที่ขั้นตอนและ
วิธีการดังกลาวถือเปนขั้นตอนและวิธีการที่เปนสาระสําคัญตามท่ีกฎหมายกําหนด เมื่อขอเท็จจริง
ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดวินัยอยางรายแรงฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง
และมาตรา ๙๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมิไดมี
การแตงต้ังคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดีและมิไดแจงขอกลาวหาดังกลาว เพ่ือให
ผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงช้ีแจงแสดงพยานหลักฐานและนําสืบแกขอกลาวหา คําส่ังลงโทษไล
ผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมาย และคําวินิจฉัย
อุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีใหยกอุทธรณผูฟองคดีจึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ทั้งน้ี
กรณีอํานาจหนาท่ีของผูรองสอด แมผูฟองคดีจะมิไดยกขึ้นกลาวอางก็ตาม แตโดยท่ีการตรวจสอบ
ความชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษทางวินัย ซ่ึงเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ นั้น จะตองพิจารณาถึงอํานาจหนาที่
ของเจาหนาท่ีผูออกคําสั่งรวมถึงอํานาจหนาที่ของเจาหนาท่ีท่ีเก่ียวของในทุกกระบวนการ
กอนออกคําสั่งดวย เมื่ออํานาจหนาที่ของผูรองสอดในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิด
ทางวินัย เปนกฎหมายอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน ที่ศาลสามารถยกข้ึนวินิจฉัยเอง
ไดแมคูกรณีจะมิไดกลาวอางตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ สวนท่ีผูรองสอดโตแยงวา ในการรับฟงขอเท็จจริงเปนดุลพินิจโดยแท
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๘)
ของผูรองสอด และการวินิจฉัยชี้มูลความผิดของผูรองสอด เปนการใชอํานาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญ นั้น การที่จะพิจารณาวาเรื่องใดถือเปนการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกร
ตามรัฐธรรมนญู ซงึ่ เปน การใชอ ํานาจโดยตรงตามรฐั ธรรมนูญน้ัน จึงตองพิจารณาจากอํานาจหนาท่ี
ท่ีรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอันเปนกฎหมายจัดตั้งของแตละองคกร
กําหนดไว รวมทั้งลักษณะของการกระทําตามอํานาจหนาที่ประกอบกัน โดยในสวนอํานาจหนาที่
ของผูรองสอด ประการหน่ึงตามมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน ใหดําเนินการตามมาตรา ๙๗ แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๖
และมาตรา ๙๗ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาว ใหอํานาจผูรองสอด
กระทําการเกี่ยวกับความผิดวินัยและความผิดอาญาไว ซ่ึงเปนการใชอํานาจตาม พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มิไดเปนการวินิจฉัยช้ีขาดของผูรองสอด
องคกรตามรัฐธรรมนูญ ท่ีเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญของผูรองสอด องคกร
ตามรฐั ธรรมนญู นั้นแตอ ยา งใด มติชมี้ ูลความผิดของผรู องสอดจึงยังไมถงึ กับเปนทส่ี ุด และการใชอ ํานาจ
ขององคกรตามรัฐธรรมนูญท่ีไมอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง น้ัน นอกจาก
จะตองเปน การใชอาํ นาจโดยตรงตามรฐั ธรรมนูญแลว ยังตอ งเปน การใชอํานาจในการวินิจฉัยชี้ขาด
ปญหาตามรัฐธรรมนูญโดยตรงอีกดวย เมื่อขอเท็จจริงในสวนนี้ฟงยุติวา ผูรองสอดเปนคณะบุคคล
ที่รัฐธรรมนญู แหงราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ซึง่ ใชบังคับในขณะน้ัน กําหนดแตเพียงเปน
องคกรตามรัฐธรรมนูญประเภทองคกรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และในขณะเดียวกันผูรองสอด
ก็เปนคณะบุคคลท่ีมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติใหอํานาจในการออกกฎ คําส่ังหรือมติใดๆ
ท่ีมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของบุคคล จึงมีฐานะเปนเจาหนาท่ีของรัฐดวย
เมื่อฐานอํานาจท่ีนําไปสูการปฏิบัติหนาท่ีของผูรองสอดมาจากรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็บัญญัติใหอํานาจผูรองสอดในการไตสวน
และวินิจฉัยช้ีมูลความผิดของผูถูกกลาวหาและใหผูบังคับบัญชาของผูถูกกลาวหามีอํานาจดุลพินิจ
ในการส่ังลงโทษตามฐานความผิดท่ีผูรองสอดมีมติ อีกท้ัง สิทธิของผูถูกกลาวหาในการอุทธรณ
คํ า สั่ ง ล ง โ ท ษ ท า ง วิ นั ย ก็ ถู ก จํ า กั ด เ พี ย ง ว า จ ะ อุ ท ธ ร ณ ไ ด เ ฉ พ า ะ ดุ ล พิ นิ จ ใ น ก า ร ส่ั ง ล ง โ ท ษ
ของผูบังคับบัญชาเทานั้น โดยมิไดมีบทบัญญัติมาตราใดท่ีมีลักษณะเปนการจํากัดสิทธิของบุคคล
ท่ีไดรับการรับรองไวตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอยางย่ิงสิทธิของบุคคลผูถูกลงโทษทางวินัย
ในการฟองคดีตอศาลปกครอง หากจะถือวากระบวนการต้ังแตการไตสวนและวินิจฉัยมูลความผิด
ผูถูกกลาวหาของผูรองสอด จนกระทั่งมีการออกคําสั่งลงโทษทางวินัยโดยผูบังคับบัญชาของ
ผูถกู กลา วหา เปนกระบวนการท่ีไมอยูภายใตการตรวจสอบความชอบดวยกฎหมายจากองคกรใดๆ แลว
ยอมแตกตางกับกรณที กี่ ารดําเนินการทางวินัยที่เร่ิมตนและสิ้นสุดโดยผูบังคับบัญชา กรณีดังกลาว
ผูถูกลงโทษทางวินัยมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง ดังน้ัน การที่ผูรองสอดมีมติช้ีมูลความผิดของ
ผฟู องคดวี าเปนความผดิ วินยั จงึ มิไดเปน การวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดขององคกรตามรฐั ธรรมนูญซ่ึงเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๘๙)
แหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน สวนที่ผูฟองคดีอางวา
กรณีของผูฟองคดีไมอยูในอํานาจหนาท่ีของผูรองสอด น้ัน เมื่อปรากฏวา ผูรองสอดรับเร่ืองของ
ผูฟองคดไี วไ ตส วนเนอ่ื งจากมผี ูรองเรียนกลาวหาผฟู องคดีตอผูร อ งสอดเม่ือวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓
วาผูฟองคดีกับพวกมีพฤติการณกระทําความผิดเก่ียวกับการทุจริตตอหนาท่ีหรือกระทําความผิด
ตอ ตําแหนง หนา ที่ราชการ เม่ือผูฟองคดีมีสถานะเปนขาราชการซ่ึงมีตําแหนงหรือเงินเดือนประจํา
จึงเปนเจาหนาที่ของรัฐ ขอรองเรียนกลาวหาผูฟองคดีจึงเปนเร่ืองท่ีอยูในอํานาจหนาที่ของผูรองสอด
ตามมาตรา ๑๙ (๓) แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
โดยผูรองสอดมีคําส่ังแตงต้ังคณะอนุกรรมการไตสวนและแจงคําส่ังดังกลาวใหผูฟองคดีทราบแลว
เม่ือวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๐ ซึ่งผูฟองคดีมิไดคัดคานแตอยางใด คณะอนุกรรมการไตสวน
แจงขอกลาวหาใหผูฟองคดีรับทราบเม่ือวันท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑ และผูฟองคดีมีหนังสือลงวันท่ี
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ชี้แจงแกขอกลาวหาตอคณะอนุกรรมการไตสวนแลว การดําเนินการไตสวน
ขอ เทจ็ จรงิ จงึ เปนไปโดยชอบดวยกฎหมายและระเบียบท่ีเกย่ี วของแลว
เมื่อไดวินิจฉัยไวขางตนแลววา การกระทําของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ เพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่
ราชการ และเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาแลวมีคําส่ังกรมเจาทา ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เฉพาะสวนท่ีมีความผิดวินัยอยางรายแรงฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ จึงชอบดวยกฎหมาย แมผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะมีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มตคิ ณะรฐั มนตรี หรอื นโยบายของรัฐบาล อันเปน เหตุใหเ สียหายแกท างราชการอยางรายแรง และ
ฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕
วรรคสอง และมาตรา ๙๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน โดยมิไดใหผูฟองคดีรับทราบขอกลาวหาและมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบ
แกขอ กลา วหาตามขั้นตอนและวิธีการท่ีกําหนดไวในมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง แหง พระราชบัญญัติ
ดังกลาว ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ซึ่งไมชอบดวยกฎหมายก็ตาม
แตไมทําใหผลของคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิด
ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ ซ่ึงเปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมายเปล่ียนแปลงไป อีกท้ัง โทษไลออก
จากราชการเปนโทษสูงสุดของโทษทางวินัย ศาลจึงไมจําตองพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังในสวนอ่ืน
ท่ีไมชอบดวยกฎหมายของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ อีก สวนที่ผูฟองคดีอางวา อ.ก.พ. กรมเจาทา
ชุดที่พิจารณาโทษทางวินัยผูฟองคดีมีนาย อ. เปน อ.ก.พ. รวมพิจารณาดวย ทั้งที่นาย อ.
จะทําการพิจารณาทางปกครองไมได น้ัน การท่ีนาย อ. ตําแหนงหัวหนาสํานักงานเจาทาภูมิภาคที่ ๓
และเปนผมู อบอาํ นาจใหผูฟองคดีไประวังช้ีและรับรองแนวเขตที่ดิน ผูฟองคดีก็มีหนาที่ตองปฏิบัติ
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๐)
ตามระเบียบและคําส่ังที่เกี่ยวของ การกระทําที่ทําไปนอกเหนือขอบอํานาจหรือมิไดเปนไปตามท่ี
ผบู งั คับบญั ชามอบอํานาจให ถือเปน เรือ่ งเฉพาะตวั ของผรู บั มอบอาํ นาจ ตอ มา เมื่อนาย อ. ไดรับแตงตั้ง
เปน อ.ก.พ. กรมเจาทา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดี โดยในการประชุมเม่ือวันที่
๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ท่ี อ.ก.พ. กรมเจาทา มีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในฐานความผิดตามที่ผูรองสอดมีมติ แมจะมีนาย อ. เขารวมประชุมดวย แตก็เปนการพิจารณา
เพียงระดับโทษทางวินัย โดยไมมีหนาที่ที่จะตองพิจารณาวาการกระทําของผูฟองคดีเปนความผิด
ทางวินัยอยางรายแรงหรือไม อีกท้ัง ในการประชุมมี อ.ก.พ. ท่ีรวมพิจารณา ๑๐ คน การที่
นาย อ. ไดรับแตงตั้งเปน อ.ก.พ. กรมเจาทา จึงไมถึงขนาดท่ีมีสภาพรายแรงอันอาจทําให
การพิจารณาทางปกครองไมเปนกลางตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเม่ือวินิจฉัยไวขางตนแลววา คําสั่งลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเฉพาะสวนท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิด
ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการชอบดวยกฎหมาย และแมคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง
และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงจะไมชอบ
ดวยกฎหมายก็ตาม แตก็ไมทําใหผลของคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ที่ชอบดวยกฎหมาย
เปลีย่ นแปลงไป ดังน้ัน คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ใหยกอุทธรณ
ผูฟองคดีเฉพาะสวนท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ
จึงชอบดวยกฎหมาย และศาลไมจําตองเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในสวนอ่ืน
ที่ไมชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน สวนที่ผูฟองคดีมีคําขอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังใหผูฟองคดี
กลับเขารับราชการเชนเดิม โดยมีสิทธิไดรับเงินเดือนและเงินบําเหน็จ บํานาญขาราชการ
ตามกฎหมาย นั้น การสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการเปนหนาที่ของผูมีอํานาจสั่งบรรจุ
และแตงต้ังที่จะตองดําเนินการตามท่ีกฎหมายกําหนด ศาลไมอาจกําหนดคําบังคับในสวนนี้
ใหผูฟองคดีไดตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ศาลปกครองสูงสุด
จึงไมจ ําตอ งวินจิ ฉัยคําขอน้ี
พิพากษายกฟอ ง
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๔๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๓๙
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๑๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๔๔
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๑)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๐๙/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๔๐
ระยะเวลาการฟองคดี
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๑
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๙
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๓๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายกรณีถูกกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยอยางรายแรง ในขณะดํารงตําแหนงคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร โดยไดอนุมัติ
ใหมีการเบิกจายเงินในการจัดโครงการพัฒนาบุคลากรสายสนับสนุน ณ จังหวัดขอนแกน จังหวัด
อุดรธานี และจังหวัดหนองคาย เกินกวาจํานวนที่ตองจาย และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิการบดี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารงาน
บุคคลประจํามหาวิทยาลัย พิจารณาแลวเห็นวา พฤติกรรมดังกลาวของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติ
หนาที่ราชการโดยประมาทเลินเลอ ขาดการเอาใจใสระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการ
อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกราชการอยางรายแรง เปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๓๙ วรรคหา แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา
พ.ศ. ๒๕๔๗ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๑ ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผฟู อ งคดีเหน็ วาคาํ ส่ังลงโทษดงั กลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงไดมีหนังสือลงวันท่ี
๔ ตลุ าคม ๒๕๖๑ อทุ ธรณคําสง่ั ดังกลาวตอประธานของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิจารณา
วินิจฉัยอุทธรณและรองทุกข) ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาไดรับหนังสือดังกลาวไว
ในวันเดียวกัน ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติเม่ือวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ใหยกอุทธรณของ
ผฟู อ งคดตี ามคําวนิ จิ ฉัยลงวนั ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ และเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ไดมหี นงั สือแจงคาํ วินิจฉัยของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๒ ใหผูฟองคดีทราบตามหนังสือลงวันท่ี ๒๓ มกราคม
๒๕๖๒ ผูฟองคดีไดรับหนังสือดังกลาวเม่ือวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังรวมสองขอหา ดังนี้ ขอหาที่หน่ึง ขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๔ กันยายน ๒๕๖๑ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และขอหาที่สอง ขอใหเพิกถอน
คําวินิจฉัยอุทธรณลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองขอหาท่ีหน่ึง
ไวพิจารณา ผูฟองคดีอุทธรณ เห็นวา คดีนี้ในขอหาที่หน่ึงผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๑ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีมีหนังสือ
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๒)
ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอประธานของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซ่ึงสํานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษาไดรับหนังสือดังกลาวไวในวันเดียวกัน ระยะเวลาการพิจารณา
อุทธรณจึงเริ่มนับแตตั้งวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามขอ ๑๔ ของขอบังคับ ก.อ.ร. วาดวย
การอุทธรณและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณคําสั่งใหออกจากราชการและคําส่ังลงโทษทางวินัย
อยางรา ยแรง พ.ศ. ๒๕๖๐ และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองพิจารณาคําอุทธรณและแจงผลการพิจารณา
อุทธรณใหผูฟองคดีทราบภายในเกาสิบวัน คือ ภายในวันท่ี ๒ มกราคม ๒๕๖๒ ตามท่ีกําหนดไว
ในมาตรา ๖๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
เมอื่ ขอ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมอาจพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายใน
วนั ท่ี ๒ มกราคม ๒๕๖๒ ผูฟอ งคดจี ึงมสี ทิ ธิฟอ งคดตี อศาลปกครองเพ่ือขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี
๔ กันยายน ๒๕๖๑ ไดตามหลักเกณฑที่กําหนดในกฎหมายวาดวยการจัดต้ังศาลปกครองและ
วิธีพจิ ารณาคดีปกครองตามทบ่ี ัญญัติไวในมาตรา ๖๒ วรรคสาม แหงพระราชบัญญัติฉบับดังกลาว
และใหถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดดังกลาว คือ วันท่ี ๓ มกราคม ๒๕๖๒ เปนวันท่ีผูฟองคดีรู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และนับเปนวันแรกที่เริ่มใชสิทธิฟองในขอหาน้ี โดยตองยื่นฟอง
ภายในระยะเวลาเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๒ ตามมาตรา ๔๙
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยไมจําตองรอผลคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒
การที่ผูฟองคดีนําคดีตามคําฟองในขอหาน้ีมาฟองตอศาลเม่ือวันที่ ๒๓ เมษายน ๕๖๒ จึงเปน
การฟองคดีเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟองในขอหาท่ีหน่ึงนี้ไวพิจารณาได ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่ง
ไมร ับคาํ ฟอ งขอ หาทห่ี นง่ึ ไวพ ิจารณา ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวย
จึงมีคําสัง่ ยืนตามคําสัง่ ของศาลปกครองชน้ั ตน
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คบ.๔๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจถูกจับกุมและถูกดําเนินคดีอาญา
ในขอหารวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาไอซ) ไวในครอบครองโดยผิดกฎหมาย คณะกรรมการ
พิจารณากล่ันกรองพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัย ตํารวจภูธรจังหวัดนนทบุรี พิจารณาแลวเห็นวา
ผูฟองคดีเปนผูกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
มีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดนนทบุรี)
จึงมีคําส่ังลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งดังกลาว
แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) มีหนังสือลงวันท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑
แจงผลการพิจารณาอุทธรณตอผูฟองคดีวา อนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผถู กู ฟองคดีที่ ๒ มมี ติยกอทุ ธรณ ผฟู องคดีไดรับหนังสือดังกลาวเมื่อวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ผูฟองคดี เห็นวา การกระทําของผูถูกฟองคดีท้ังสองทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย
เนือ่ งจากกรณขี องผูฟ องคดียงั ไมผานกระบวนการทางศาลยตุ ธิ รรม และยังไมมีคําพิพากษาวาผูฟองคดี
มีความผิดตามท่ีถูกกลาวหา การที่ผูถูกฟองคดีท้ังสองมีคําส่ังลงโทษผูฟองคดีเปนการลงโทษโดยกาวลวง
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๓)
อาํ นาจศาลยตุ ิธรรม ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอน
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตามมติในการประชุม เม่ือวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๑ เห็นวา
ในการดาํ เนนิ การแจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จะสงทางไปรษณีย
ลงทะเบียนตอบรับไปใหผูฟองคดี ณ ภูมิลําเนาของผูฟองคดี หรือตามที่อยูที่ผูฟองคดีไดใหไวกับ
ผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ก็ได เม่ือขอเทจ็ จริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดสงหนังสือลงวนั ท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑
แจงผลการพิจารณาอุทธรณทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับ โดยระบุช่ือผูฟองคดีเปนผูรับและสงไป
ตามทอ่ี ยทู ่ผี ฟู อ งคดีไดใหไ วกับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในหนังสืออุทธรณคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ประกอบกับขอเท็จจริงปรากฏตามหลักฐานใบตอบรับทางไปรษณียลงทะเบียนวามีผูลงลายมือช่ือ
รบั ไวแทนผูฟอ งคดีเมื่อวันท่ี ๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ กรณีจึงถอื ไดว า ผูฟอ งคดีไดรับแจงผลการพิจารณา
อุทธรณโดยชอบดวยกฎหมายแลว เม่ือวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ท้ังน้ี ตามขอ ๑๐ วรรคสอง (๒)
ขอ ๒๓ และขอ ๒๔ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการอุทธรณและการพิจารณาอุทธรณ พ.ศ. ๒๕๔๗
ซ่งึ แมผ ฟู องคดจี ะกลา วอา งวา ผฟู อ งคดีรบั ทราบผลการพิจารณาอุทธรณในวนั ท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
กไ็ มอ าจทําใหระยะเวลาท่ีผฟู อ งคดีรับทราบผลการพิจารณาอทุ ธรณข ยายออกไปแตอยางใด ดังน้ัน
ผูฟองคดจี งึ รหู รือควรรูเหตแุ หง การฟองคดีขอใหเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ของผูถ ูกฟองคดีที่ ๑ และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เมื่อวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
และตอ งนาํ คดมี าฟอ งตอ ศาลภายในเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒
การท่ีผูฟองคดีนําคดีมายื่นฟองตอศาลปกครองชั้นตนเม่ือวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ จึงเปน
การยื่นฟองเมื่อพนกําหนดเกาสิบวันนับแตวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๔๙
แหง พ.ร.บ. จดั ตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองชนั้ ตนมคี ําส่ังไมรับคําฟองไวพิจารณา และใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ นัน้ ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพองดว ย
จึงมคี าํ สั่งยนื ตามคาํ สั่งของศาลปกครองช้นั ตน
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๔๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๘๑
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๙
คําสั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ คบ.๖๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมูธุรการ
ทําหนาท่ีการเงิน สถานีตํารวจนครบาลบางชัน ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผบู ังคบั การตาํ รวจนครบาล ๔) มีคําสง่ั ลงโทษไลผ ูฟอ งคดีออกจากราชการ รวม ๒ คําสั่ง คือ ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒ กรณีผูฟองคดีไดรับมอบหมายใหปฏิบัติราชการเจาหนาท่ีธุรการ
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๔)
(ประจําวัน) ตั้งแตวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๑ ตามคําส่ังลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๑ ตอมา
ระหวางวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีไมมาปฏิบัติราชการ
โดยมิไดแจงสาเหตุใหผูบังคับบัญชาทราบ รวมเปนระยะเวลาจํานวน ๓๒ วัน การกระทําของผูฟองคดี
ถือเปนกรณีละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกิน ๑๕ วัน โดยไมมีเหตุอันควร
ซ่ึงเปนกรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ เปนตนไป
และตามคําส่ังลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ กรณีผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่การเงินมีหนาท่ีนําสงเงิน
คาบํารุงและคาซอมแซมอาคารบานพักสวนกลางของกองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ ระหวาง
เดือนตุลาคม ๒๕๔๙ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๑ รวมเปนเงินทั้งส้ิน ๔๗๘,๕๙๙.๓๐ บาท ใหกับ
กองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ โดยมีการนําเอาเช็คไปเรียกเก็บเงินสด แตไมไดนําสงเงินจํานวน
ดังกลาวตามที่ตนมีหนาท่ีแตอยางใด กลับยักยอกเอาเงินไปเปนประโยชนสวนตน พฤติการณและ
การกระทําของผูฟองคดี ถือไดวาเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการ
ปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อใหตนหรือผูอ่ืนไดรับประโยชนท่ีมิควรได และจงใจไมปฏิบัติ
ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๑) (๖) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ต้ังแตวันวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผูฟองคดีไดย่ืนอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ซึ่งผถู กู ฟองคดที ่ี ๒ ไดพิจารณาแลวมมี ตใิ หยกอุทธรณ ผูฟองคดี
เห็นวา คําสั่งท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเปนคําส่ังที่ไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากผูฟองคดี
ไดมาปฏิบตั หิ นาทแ่ี ลวแตผ ูถูกฟองคดที ่ี ๑ ไมย อมใหผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่และลงลายมือในสมุดบัญชี
ลงเวลาปฏบิ ตั ิหนาท่ีของสถานตี ํารวจนครบาลบางชนั จนผูฟองคดีเกิดความเครียดมีอาการปวยทางจิต
ตอ งไปรกั ษาตวั ที่โรงพยาบาลศรธี ญั ญาตง้ั แตว ันท่ี ๒๖ ตลุ าคม ๒๕๕๔ และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
อาการปวยทางจิตเปนสาเหตุที่ทําใหผูฟองคดีไมไดไปปฏิบัติหนาที่ราชการ จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมคี ําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังกองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒
และคําสั่งกองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ ลงวันท่ี ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ ท่ีสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนคาํ วนิ จิ ฉัยอทุ ธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เม่ือวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘
และตามมตเิ ม่อื วันที่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๘ ท่ใี หยกอุทธรณของผูฟองคดี ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒
มีคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ และคืนสิทธิอันพึงมีพึงไดแกผูฟองคดีตอไป และให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) เยียวยาความเสียหายใหแกผูฟองคดีเปนเงินจํานวน
๕๐๐,๐๐๐ บาท ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาเนื่องจากเปนการฟองคดี
เมื่อพนกําหนดระยะเวลา ผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งดังกลาว โดยมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยเพียงวาศาล
จะใชดุลพินิจรับคําฟองของผูฟองคดีท่ียื่นเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีไดหรือไม เห็นวา
แมจะฟงไดวาผูฟองคดีปวยเปนโรคซึมเศรา โดยไดเขารับการบําบัดรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา
ครั้งแรกเขารับการบําบัดรักษาแบบผูปวยนอกเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ หลังจากนั้นไดเขารับ
การบําบัดรักษาแบบผูปวยในระหวางวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๖๒
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๕)
ก็ตาม แตปรากฏวาในระหวางท่ีผูฟองคดีปวยเปนโรคดังกลาว ผูฟองคดีก็ยังสามารถยื่นหนังสือ
ลงวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และหนังสือลงวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ อุทธรณคําสั่งลงโทษ
ไลออกจากราชการตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ได ประกอบกับตามมาตรา ๔๕ แหง พ.ร.บ. จัดต้ัง
ศาลปกครองฯ ประกอบขอ ๒๐ แหงระเบียบของทป่ี ระชุมใหญฯ วาดวยองคคณะ การจายสํานวน
การโอนคดี การปฏิบัติหนาท่ีของตุลาการในคดีปกครอง การคัดคานตุลาการศาลปกครอง
การปฏิบัติหนาที่ของพนักงานคดีปกครองและการมอบอํานาจใหดําเนินคดีปกครองแทน
พ.ศ. ๒๕๔๔ นัน้ ผทู ่ีไดรบั ความเดอื ดรอนหรอื เสยี หายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจ
หลีกเลี่ยงได อันเน่ืองจากการกระทําหรือการงดเวนการกระทําของหนวยงานทางปกครองหรือ
เจาหนาท่ีของรัฐ ซึ่งมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองไมจําตองฟองคดี หรือดําเนินคดีปกครอง
ดวยตนเองแตอยางใด บุคคลดังกลาวอาจมอบอํานาจใหทนายความหรือบุคคลอ่ืน ซ่ึงบรรลุนิติภาวะ
แลวและมีความรูความสามารถท่ีอาจดําเนินการแทนผูมอบอํานาจใหฟองคดีหรือดําเนินคดีแทนตนได
ดังน้ัน อาการปวยเปนโรคซึมเศราของผูฟองคดี จึงไมนาเชื่อวารุนแรงถึงขนาดขาดสติสัมปชัญญะ
โดยสิ้นเชิง เขาขายเปนคนวิกลจริต ไมอยูในวิสัยท่ีจะมอบอํานาจใหบุคคลอ่ืนที่มีคุณสมบัติตามท่ี
กฎหมายและระเบียบของท่ีประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุดดังกลาวกําหนด กรณีจึงยัง
ไมอาจถือไดวาเปนเหตุที่เปนอุปสรรคขัดขวางมิใหผูฟองคดีสามารถย่ืนฟองคดีน้ีภายในระยะเวลา
ที่กฎหมายกําหนดได เมื่อการรับฟองคดีน้ีไวพิจารณาไมเปนประโยชนแกสวนรวม ทั้งอาการปวย
เปนโรคซึมเศราของผูฟองคดีก็มิใชเหตุที่เปนอุปสรรคขัดขวางไมใหผูฟองคดีสามารถย่ืนฟองคดีน้ี
ภายในระยะเวลาการฟองคดีที่กฎหมายกําหนดได ศาลจึงไมอาจใชดุลพินิจรับคําฟองคดีนี้
ไวพิจารณาพิพากษาได ตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบ
ขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดว ย
จึงมคี ําสงั่ ยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองชัน้ ตน
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สุดที่ คบ.๖๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานธุรการและพนักงานพัสดุ สถาบันพัฒนา
เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ (สวทช.)
ผถู ูกฟองคดีมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ แตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง กรณีกลาวอางวา
ผูฟองคดีนํารถยนตกระบะสวนตัวมาใหสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตยเชาใชงาน
โดยผานบริษัท อ. โดยมีพฤติการณรับเงินหรือผลประโยชนจากบุคคลภายนอกเพ่ือใหสถาบัน
พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตยจัดซ้ือจัดจางจากบริษัท ฮ. ผูถูกฟองคดีจึงมีคําส่ังลงวันที่
๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ แตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดีและตอมามีคําส่ังลงวันที่
๑๖ กนั ยายน ๒๕๕๓ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ อุทธรณคําส่ังดังกลาว ซ่ึงคณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคลในการประชุม
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๖)
เม่ือวันท่ี ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา คําส่ังดังกลาวมิชอบ
ดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี
๑๖ กันยายน ๒๕๕๓ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน ศาลปกครองชั้นตน
มีคําส่ังไมรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ เน่ืองจาก
ผูฟองคดีไดยื่นคําฟองเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ.
จดั ตง้ั ศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงย่ืนคํารองอุทธรณคําส่ังดังกลาว โดยอางวาคดีน้ีเปนคดีท่ีเก่ียวกับ
ประโยชนสวนรวมและมีเหตุจําเปนอื่นที่ศาลสามารถใชดุลพินิจรับคําฟองไวพิจารณาได เห็นวา
การที่จะวินิจฉัยวาการรับคดีท่ีย่ืนฟองเมื่อลวงพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีแลวไวพิจารณา
จะเปนประโยชนแกสวนรวมหรือไม ตองพิจารณาจากผลท่ีจะเกิดข้ึนจากคําพิพากษาคดีน้ัน
วาจะกอใหเกิดประโยชนแกประชาชนโดยสวนรวมโดยตรงและอยางแทจริงหรือไมเปนสําคัญ
สวนเหตุจําเปนอื่นน้ันแมจะไมใชเหตุสุดวิสัยตามนัยมาตรา ๘ ประกอบมาตรา ๑๙๓/๑๙ แหง
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย แตก็ยอมหมายถึงเหตุที่เปนอุปสรรคขัดขวางมิใหผูฟองคดี
ยื่นคําฟองภายในระยะเวลาการฟองคดีที่กฎหมายกําหนดไดเปนสําคัญ เมื่อพิจารณาผลท่ีจะเกิดจาก
คาํ พพิ ากษาคดีนี้หากจะกอ ใหเกิดประโยชน ก็คงเปนประโยชนแกผูฟอ งคดีท่ีจะไมตองถกู สง่ั ลงโทษ
ปลดออกจากการเปนพนักงานสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติเทานั้น
การรับคําฟองคดีนี้ไวพิจารณาจึงไมเปนประโยชนแกสวนรวมแตอยางใด และที่ผูฟองคดีอางวา
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไมไดมีการสอบถามขอเท็จจริงจากผูฟองคดี และไมมีการแจงผูฟองคดี
ใหทราบและคัดคานรายชื่อคณะกรรมการแตอยางใด ผูฟองคดีเพิ่งไดทราบเรื่องท่ีนาย ท.
เปนประธานกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง และเปนประธานอนุกรรมการการบริหารงานบุคคลซ่ึงมีหนาที่
ลงมติเก่ียวกับการอุทธรณของผูฟองคดี ซึ่งยอมคาดหมายไดวาจะแสดงความเห็นสอดคลองกับ
ความเห็นเดมิ ที่ตนไดใหไ วใ นฐานะประธานสอบสวนขอ เทจ็ จริงถอื ไดว ามีสภาพรา ยแรง อันเปนเหตุสงสัย
ในความเปนกลางตามมาตรา ๑๖ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และ
ผูฟองคดีไมทราบถึงการออกระเบียบสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ
วาดวยหลักเกณฑและวิธีการดําเนินการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๒ นั้น ก็ไมอาจถือไดวาเปนเหตุ
ท่ีเปนอุปสรรคขัดขวางมิใหผูฟองคดีสามารถยื่นฟองคดีน้ีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดได
ศาลปกครองจึงไมอาจใชดุลพินิจรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ประกอบขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบท่ีประชุมใหญฯ
วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟองนี้ไวพิจารณา
และใหจ าํ หนายคดอี อกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พองดวย
จงึ มคี ําสั่งยืนตามคาํ สั่งของศาลปกครองช้ันตน
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๔๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๘๑
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๗)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๙๓
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๖๕/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๙๕
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๔๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๘๑
วธิ ีพิจารณาคดีปกครอง
ผดู ําเนินคดีปกครอง
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๙๓
อํานาจในการตรวจสอบและแสวงหาขอ เท็จจริงของศาล
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ป.) อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๕
การรบั ฟงพยานหลกั ฐานท่ไี ดมานอกเหนอื จากที่คูก รณีเสนอตอศาล
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๖๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงอัยการพิเศษประจํากรม สํานักงาน
อัยการเขต ๓ รักษาการในตําแหนงอัยการจังหวัดสุรินทร ไดรับความเดือดรอนเสียหายเน่ืองจาก
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.)) มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒ ไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี ๒๒ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ กรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ ประพฤติช่ัวอยางรายแรง ไมปฏิบัติหนาที่ดวยความซ่ือสัตยสุจริต กระทําการ
อันทําใหเสียเกียรติศักด์ิแหงตําแหนงหนาที่ราชการ ตามมาตรา ๔๔ มาตรา ๔๗ มาตรา ๖๐ (๑) (๘)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการฝายอัยการ พ.ศ. ๒๕๒๑ เนื่องดวยนาย อ. ผูตองหาตามสํานวน ส.๑
เลขรับท่ี ๑๑๐๒/๒๕๕๐ ของสํานักงานอัยการจังหวัดสุรินทร ไดมีหนังสือถึงอธิบดีอัยการเขต ๓
และสํานักงานอัยการสูงสุด รองเรียนวา ผูฟองคดีขมขู เรียกเงินประมาณ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ในการที่จะชวยเหลือสั่งไมฟองนาย อ. ขอหานํายาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน)
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๘)
เขามาในราชอาณาจักรเพื่อจําหนาย และหากไมยอมรับตามขอเสนอจะดําเนินการทุกวิถีทางให
นาย อ. ไดรับโทษประหารชีวิต ตอมา เม่ือวันท่ี ๒๒ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ประธาน
คณะกรรมการอัยการ) ไดมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแกผูฟองคดี หลังจาก
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไดสอบสวนเสร็จสิ้นแลว ผูถูกฟองคดีไดมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูฟองคดีเห็นวา การท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่งไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยอาศัย
พยานหลักฐานของผูกลาวหา (นาย อ.) แพทยหญิง ภ. และนาย ก. เพียงฝายเดียวซึ่งไดมา
โดยไมชอบดวยกฎหมายมารับฟงเพื่อลงโทษผูฟองคดีนั้น เปนการไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหรับผูฟองคดีกลับเขาปฏิบัติหนาท่ีในตําแหนงเดิม
พรอมท้ังคืนสิทธแิ ละหนาท่ีใหก ับผูฟองคดีตามทีเ่ คยไดร บั เดิมทกุ ประการ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ขอกลาวอางของผูฟองคดีเกี่ยวกับความไมชอบ
ดวยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาลงโทษทางวินัยผูฟองคดี เปนขอกลาวอางท่ีผูฟองคดี
เพ่งิ ยกขึน้ กลาวอา งในชนั้ อทุ ธรณ มไิ ดเปนขอท่ยี กข้ึนวากลาวกันมาแลวโดยชอบในศาลปกครองช้ันตน
อีกท้ัง ไมไดเปนปญหาอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชนหรือปญหาอันเกี่ยวกับ
ประโยชนสาธารณะ จึงไมชอบดวยขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวย
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พงศ. ๒๕๔๓ สวนที่ผูฟองคดีอางวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไมลดหยอนโทษ
ใหแกผูฟองคดีโดยอางวา ผูฟองคดีไมลุแกโทษตอเจาพนักงานเปนการใชดุลพินิตโดยไมชอบนั้น
มิไดเปนประเด็นที่มีการยกข้ึนกลาวอางและโตแยงกันแตอยางใด จึงถือเปนกรณีของขอเท็จจริง
หรอื ขอกฎหมายทไี่ มไ ดย กขนึ้ วา กลาวกันมาแลว โดยชอบในศาลปกครองช้นั ตน มิใชปญหาอันเก่ียว
ดวยความสงบเรยี บรอยของประชาชนหรือปญหาเกี่ยวกับประโยชนสาธารณะท่ีผูฟองคดีจะยกขึ้น
วากลาวในชั้นอุทธรณไดตามขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบดังกลาว สําหรับกรณีที่ผูฟองคดี
โตแยงการรับฟงขอเท็จจริงของศาลปกครองช้ันตนนั้น เม่ือพิจารณารายงานผลการสอบสวนทางวินัย
ที่มีการสอบปากคําพยานฝายผูกลาวหา จะเห็นไดวา พยานดังกลาวไดอยูรวมดวยในเหตุการณ
สนทนาระหวางผูฟองคดีกับญาติของนาย อ. ที่บานของแพทยหญิง ภ. จึงมีความนาเชื่อถือ
อีกท้ังเมื่อการรวบรวมพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาในคดีน้ี เปนการรวบรวม
พยานหลักฐานจากวัตถุพยานและพยานเอกสารเปนหลัก และมีเหตุผลอันสมควรเพื่อประโยชน
แหงความยุตธิ รรม กรณีจึงรับฟงพยานบุคคลดังกลา วเพื่อใชป ระกอบการรับฟงพยานหลักฐานอื่นดวยได
ตามขอ ๖๘ แหงระเบียบเดียวกัน สวนกรณีที่อางวา การรับฟงเทปบันทึกขอมูลภาพและเสียง
การสนทนาระหวางผูฟองคดีกับครอบครัวของนาย อ. เปนไปโดยไมถูกตอง เน่ืองจากพยานหลักฐาน
ดังกลาวไดมาจากการดักฟง และไมมีคํารับรองของบุคคลที่เก่ียวของหรือดําเนินการอันเปนการ
ตองหามศาลรับฟงเปนพยานหลักฐานในคดีตามขอ ๑ ของประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุข ฉบับท่ี ๒๑ เร่ือง หามการดักฟง
ทางโทรศัพทหรือเครื่องมือสื่อสารใด นั้น เห็นวา ประกาศดังกลาวเปนการกําหนดโทษทางอาญา
แกผูดักฟง ใชประโยชน หรือเปด เผย ซึ่งขอความท่ีมีการติดตอทางโทรศัพทหรือเคร่ืองมือส่ือสารอ่ืนใด
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๙๙)
โดยไมมีอํานาจโดยชอบดวยกฎหมาย โดยที่ในตัวประกาศเองมิไดมีบทบัญญัติหามเด็ดขาด
ท่ีจะนําขอมูลที่ไดมาดังกลาวมาใชเปนพยานหลักฐานในการดําเนินคดี การพิจารณาวาจะรับฟง
เปนพยานหลักฐานในคดีไดหรือไม จึงตองพิจารณาจากกฎหมายวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
ซ่ึงเม่ือพิจารณาถอยคําของผูฟองคดีและพยานบุคคลที่ปรากฏในเทปบันทึกภาพและเสียง
การสนทนาในคดี เห็นไดวา การพูดและตอบคําถามนั้นเปนการพูดโดยอิสระ โดยเฉพาะเรื่อง
เก่ียวกับการเรียกรับเงินของผูฟองคดีซ่ึงผูฟองคดีไดพูดเองท้ังส้ิน ซ่ึงถึงแมจะเปนพยานหลักฐาน
ท่ีไดมาโดยไมชอบเพราะไดมาจากการแอบบันทึก โดยที่ผูฟองคดีไมรูตัวซ่ึงโดยหลักตองหามมิให
รับฟง เวนแตการรับฟงพยานหลักฐานน้ันจะเปนประโยชนตอการอํานวยความยุติธรรมมากกวา
ผลเสียอันเกิดจากผลกระทบตอมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพ
พื้นฐานของประชาชนตามมาตรา ๒๒๖/๑ แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมท้ัง
ไมมีคํารับรองของบุคคลที่เกี่ยวของหรือดําเนินการตามขอ ๖๗ วรรคหน่ึง แหงระเบียบของ
ที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ แตเมื่อกฎหมายวาดวยวิธีพิจารณา
คดีปกครองมิไดบัญญัติหามมิใหรับฟงพยานหลักฐานประเภทดังกลาว และผูฟองคดีไดมีโอกาส
ตรวจดู และแสดงพยานหลักฐานเพื่อยืนยันหรือหักลางแลว กับทั้งเม่ือไดคํานึงถึงคุณคาในการ
พิสูจน ความสาํ คญั และความนา เชือ่ ถือของบันทกึ ขอมลู ดังกลาว เพ่ือประโยชนแหงความยุติธรรม
ศาลปกครองชั้นตนจึงมีดุลพินิจที่จะรับฟงพยานดังกลาวไดตามขอ ๖๕ แหงระเบียบดังกลาว
สวนท่ีผูฟองคดีอางวา ศาลปกครองช้ันตนไมอาจรับฟงหนังสือสอบสวนเพิ่มเติมในคดีอาญา ส.๑
เลขรับท่ี ๑๑๐๒/๒๕๕๐ ได เพราะเอกสารดังกลาวเปนเพียงสําเนาเอกสาร นั้น เม่ือในช้ันการ
สอบสวนทางวินัยแกผูฟองคดี คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไดใหผูฟองคดีดูเอกสารดังกลาวแลว
และผูฟองคดีใหการวาสําเนาหนังสือดังกลาวเปนสําเนาหนังสือใหสอบสวนเพิ่มเติมท่ีผูฟองคดี
สั่งใหพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรปราสาททําการสอบสวนเพ่ิมเติมในคดีที่นาย อ.
เปนผูตองหาในคดียาเสพติด จึงเห็นไดวา ผูฟองคดีไดจัดทําหนังสือแจงใหพนักงานสอบสวน
ทําการสอบสวนเพ่ิมเติมในประเด็นดังกลาวจริง นอกจากน้ี เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา นางสาว ว.
ซึ่งเปนเจาหนาท่ีบันทึกขอมูลของสํานักงานอัยการจังหวัดสุรินทร และมีหนาท่ีพิมพคําฟอง
และพิมพหนังสือท่ีพนักงานอัยการมีคําส่ังใหพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเพิ่มเติมไดใหการ
ยืนยันตอคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยวา เม่ือวันท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผูฟองคดีไดใหตนเอง
พิมพหนังสือใหพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเพ่ิมเติมในสํานวนคดีอาญา ส.๑ เลขรับ
ที่ ๑๑๐๒/๒๕๕๐ ระหวาง พันตํารวจโท ส. ผูกลาวหา นาย อ. ผูตองหาขอหานําเขายาเสพติด
ใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) โดยไมไดรับอนุญาต ซ่ึงมีขอความเชนเดียวกับสําเนาหนังสือ
ใหสอบสวนเพ่ิมเติมจริง ศาลจึงมีดุลพินิจท่ีจะรับฟงหนังสือสอบสวนเพิ่มเติมในคดีอาญา ส.๑
เลขรับท่ี ๑๑๐๒/๒๕๕๐ เปนพยานหลักฐานในคดีน้ีได ตามขอ ๖๖ แหงระเบียบเดียวกัน
ที่ศาลปกครองชั้นตน มคี ําพิพากษาใหยกฟอ งน้ันชอบแลว ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พอ งดวย
พิพากษายนื
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๐๐)
การรบั ฟง สําเนาเอกสารเปน พยานหลักฐาน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง วิธีพิจารณาคดีปกครอง
หนา ๙๗
การรับฟง ขอมูลทบ่ี ันทกึ สําหรับเคร่อื งคอมพิวเตอรห รอื ประมวลผลโดยเคร่ืองคอมพิวเตอรเปน
พยานหลกั ฐาน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง วิธีพิจารณาคดีปกครอง
หนา ๙๗
การรับฟงพยานบอกเลาเปนพยานหลกั ฐานประกอบพยานหลกั ฐานอ่ืน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง วิธีพิจารณาคดีปกครอง
หนา ๙๗
กรณคี ดเี ปน อันถงึ ท่สี ุดเน่ืองจากคูก รณมี ิไดยื่นอุทธรณ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ.๕๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบล
(นักบริหารงานองคการบริหารสวนตําบล) ระดับ ๗ สังกัดองคการบริหารสวนตําบลดานชาง
อําเภอดานชาง จังหวัดสุพรรณบุรี ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
(นายกองคการบริหารสวนตําบลดานชาง) มีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษลดข้ันเงินเดือน
ผฟู อ งคดีจาํ นวน ๑ ขน้ั เน่ืองจากกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไป
ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการกรณเี ปน ปลดั องคก ารบรหิ ารสวนตําบลดานชางแตมีความขัดแยง
กับผูบริหาร ไมใหความชวยเหลือ แนะนํา ใหคําปรึกษา และรวมมือกับผูบริหารในการทํางาน
ตามหนาที่ท่ีตองปฏิบัติเพ่ือใหการปฏิบัติงานสําเร็จลุลวง มีประสิทธิภาพ เปนไปตามนโยบาย
และแผนงาน ท่ีกําหนดไว ทําใหมีโครงการท่ีไมไดดําเนินการจนมีงบประมาณตกเปนเงินสะสม
โดยมยี อดเงนิ สะสมเปน เงนิ ๔๑,๑๐๖,๖๖๓.๘๕ บาท ทําใหประชาชนในพ้ืนที่เสียโอกาสท่ีจะไดรับ
การพัฒนา ในฐานะปลัดองคการบริหารสวนตําบลดานชาง เปนการไมปฏิบัติหนาที่ใหเปนไป
ตามกฎหมาย ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งดังกลาวออกโดยคูกรณีซ่ึงตองหามตามมาตรา ๑๓ แหง พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ผูฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๕๔ อุทธรณคําส่ังตอประธานกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดสุพรรณบุรี
แตผ ถู กู ฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดสุพรรณบุรี) ยังมิไดดําเนินการพิจารณา
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๐๑)
อุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จโดยไมมีเหตุผลอันสมควร จึงนําคดีมาฟองขอใหมีศาลมีคําพิพากษา
หรอื คําสัง่ เพกิ ถอนคาํ ส่ังลงวันท่ี ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษลดขั้นเงินเดือนผูฟองคดีจํานวน ๑ ขั้น
และใหผูถกู ฟองคดีที่ ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในกําหนด ๓๐ วัน นับแตวันที่
ศาลมีคําพิพากษา เห็นวา คดีน้ีศาลปกครองชั้นตนวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มิไดเปนคูกรณีกับ
ผูฟองคดีตามมาตรา ๑๓ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และไมปรากฏเหตุ
ท่ีมีสภาพรายแรงถึงขนาดท่ีอาจะทําใหการพิจารณาออกคําส่ังแตงตั้งคระกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงกับผูฟองคดีไมเปนกลาง ตามมาตรา ๑๖ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว การที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ เร่ือง แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงกับผูฟองคดี จึงชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงผูฟองคดีมิไดอุทธรณในประเด็นน้ี คําวินิจฉัย
ของศาลปกครองชั้นตนในประเด็นนี้จึงเปนท่ีสุด ตามมาตรา ๗๓ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ โดยทีผ่ ูฟอ งคดีไดอุทธรณคําวินิจฉัยของศาลปกครองช้ันตนในประเด็นวา ผูฟองคดี
มิไดกระทําผิดตามที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษ คดีจึงมีประเด็นที่จะตองวินิจฉัยตามอุทธรณ
ตามอุทธรณของผูฟองคดีวา ผูฟองคดีกระทําผิดตามขอกลาวหาหรือไม เม่ือปรากฏขอเท็จจริงวา
ในชน้ั การสอบสวนทางวนิ ยั มพี ยานบคุ คลหลายคนใหถอยคํา สรุปไดตรงกันวา ผูฟองคดีมีความขัดแยง
กับผูบริหารองคการบริหารสวนตําบลดานชาง โดยมีการทําบันทึกโตตอบระหวางกันดวยเอกสารตลอด
ไมคอยพูดจาหรือปรึกษาหารือกัน และผูฟองคดีไมคอยใหคําแนะนําหรือเสนอวิธีการแกไขปญหา
ในการทํางาน การเบิกจายเงินขององคการบริหารสวนตําบลดานชางจึงเกิดความลาชา อีกท้ัง
ไมเขารวมประชุมสภาองคการบริหารสวนตําบลดานชางเพื่อชี้แจงขอราชการตางๆ ซึ่งสอดคลอง
กับพยานเอกสาร ไดแก รายงานการประชุมสภาองคการบริหารสวนตําบลดานชาง ที่พบวาผูฟองคดี
ไมเขารวมประชุม ทั้งท่ีผูบังคับบัญชาแจงใหเขารวมประชุม โดยมีการลาปวยหลายคร้ังในวันที่มี
การประชุม พฤติการณลักษณะนี้เช่ือไดวา ผูฟองคดีมีความขัดแยงกับผูบริหารองคการบริหาร
สวนตาํ บลดา นชา ง ไมใหความรวมมือกับผูบริหารในการบริหารงานขององคการบริหารสวนตําบล
ดานชางจริง เมอ่ื พิจารณาจากสถานะของผฟู องคดีในฐานะปลัดองคการบริหารสวนตําบลดานชาง
ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของพนักงานสวนตําบลและลูกจางในองคการบริหารสวนตําบลดานชางรอง
จากผถู กู ฟอ งคดที ี่ ๑ มีอํานาจหนา ท่คี วบคุมดูแลราชการประจําขององคการบริหารสวนตําบลดานชาง
ใหเ ปนไปตามนโยบายและยังมอี าํ นาจหนาท่ีอน่ื ตามที่มกี ฎหมายกาํ หนดหรอื ตามท่ผี ถู ูกฟองคดีที่ ๑
มอบหมาย ตามมาตรา ๖๐/๑ แหง พ.ร.บ. สภาตําบลและองคการบริหารสวนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๗
และในฐานะเจาหนาที่งบประมาณ ซึ่งมีอํานาจหนาที่จัดทํางบประมาณและท่ีเกี่ยวกับการงบประมาณ
กับปฏิบัติการอื่นตามท่ีกําหนดไวในระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยวิธีการงบประมาณขององคกร
ปกครองสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ พฤติการณของผูฟองคดีดังกลาวยอมสงผลกระทบใหการดําเนินการ
ตามโครงการตางๆ ขององคการบริหารสวนตําบลดานชางเกิดความลาชา เห็นไดจากการท่ีเงินงบประมาณ
ขององคการบริหารสวนตําบลดานชางตกเปนเงินสะสม ณ วันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ มากถึง
๔๑,๑๐๖,๖๖๓.๘๕ บาท จึงเปนการไมปฏิบัติหนาท่ีใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๐๒)
ตามมาตรา ๖๐/๑ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบกับมาตรฐานกําหนดตําแหนงนักบริหารงาน
องคการบรหิ ารสวนตาํ บล และในฐานะเจาหนาที่งบประมาณ เปนการไมปฏิบัติตามขอ ๘ และขอ ๓๓
ของระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยวธิ กี ารงบประมาณขององคกรปกครองสวนทองถน่ิ พ.ศ. ๒๕๔๑
อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย
ระเบยี บของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาล ตามขอ ๖ วรรคหนึ่ง ของประกาศ
คณะกรรมการพนักงานสวนตําบล จังหวดั สุพรรณบุรี เร่ือง หลักเกณฑและเงื่อนไขในการสอบสวน
การลงโทษทางวินัย การใหออกจากราชการ การอุทธรณ และการรองทุกข ลงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๕
การทผ่ี ูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสัง่ ลงวนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษลดข้ันเงินเดือนผูฟองคดีจํานวน ๑ ข้ัน
จึงเปนคําสั่งท่ีชอบดวยกฎหมาย ท่ีศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดวย
พพิ ากษายนื
คาํ พพิ ากษาหรือคําส่ังของศาลปกครองสงู สดุ ใหเ ปนทส่ี ดุ
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๑๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๔๔
กรณีเปนปญหาขอ กฎหมายอนั เกย่ี วกับความสงบเรียบรอยของประชาชน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๕๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๘๕
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๑๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการ ตําแหนงเจาพนักงานที่ดินจังหวัด
(เจาหนาที่บริหารงานที่ดิน ๙) สํานักงานที่ดินจังหวัดระยอง ไดรับความเดือดรอนจากการที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ ฐานปฏิบตั หิ รอื ละเวน การปฏิบัติหนา ท่ีราชการโดยมิชอบ เพื่อใหตนเอง
หรอื ผอู ื่นไดประโยชนทมี่ ิควรได เปนการทจุ รติ ตอหนาท่ีราชการ และฐานปฏบิ ตั หิ นาทีร่ าชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
จากกรณีการออกหนังสือรับรองการทําประโยชน (น.ส.๓ ก.) เลขท่ี ๒๑๗๑ ตําบลเนินพระ
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓