The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-02-23 02:06:39

วินัย

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

(๕๓)
หรือปญหาเก่ียวกับประโยชนสาธารณะ ผูฟองคดีจึงไมอาจยกข้ึนกลาวอางในคําอุทธรณได
ท้ังนี้ ตามขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ สวนกรณีผูถูกฟองคดีท่ี ๗ เห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๗ เปนหนวยงานในสังกัด
กระทรวงการคลังที่มีหนาที่ดําเนินการจายเงินบําเหน็จบํานาญตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ.
บําเหน็จบํานาญขาราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ แมผูถูกฟองคดีท่ี ๗ โดยอธิบดีกรมบัญชีกลางจะเปน
ผูมีอํานาจพิจารณาส่ังจายเงินบําเหน็จบํานาญก็ตาม แตการจะดําเนินการพิจารณาสั่งจายเงิน
บําเหน็จบํานาญไดก็ตอเมื่อกระทรวง ทบวง กรม หรือสวนราชการเจาสังกัดไดมีการขอรับเงิน
บําเหน็จบํานาญเทานั้น การที่ผูฟองคดีจะไดรับเงินบําเหน็จบํานาญหรือไมน้ัน ยอมเปนไป
ตามกฎหมายและระเบียบท่ีเกี่ยวของ ในชั้นน้ีผูถูกฟองคดีท่ี ๗ มิไดกระทําการหรืองดเวน
กระทําการใดอันเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟอง
ผถู ูกฟองคดที ี่ ๗ ท้ังน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนงึ่ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคําสั่งไมรับคําฟองในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๗ ไวพิจารณา น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดว ย

จงึ มคี าํ ส่งั ยนื ตามคําส่งั ของศาลปกครองชัน้ ตน

คาํ สั่งศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๑๖๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหนง

ผูอํานวยการสถานศึกษา โรงเรียนสระแกว ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ศึกษาธิการจังหวัดสระแกว) ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งแกไข
โดยคําส่ังลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี
กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวนิ ยั อยางรายแรง ผูฟองคดีจงึ ไดร อ งทุกขต อผถู กู ฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการ
ศึกษาธิการจังหวัดสระแกว) เพื่อขอใหเพิกถอนคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
ซ่งึ ผูถูกฟองคดที ี่ ๒ ไดม ีมตใิ หย กคาํ รอ งทกุ ขข องผฟู องคดี และผูถูกฟอ งคดีท่ี ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ แจง ผลการพิจารณาเรื่องรองทุกขและสิทธิในการฟองคดีใหผูฟองคดีทราบ
ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลพิพากษาใหผูถูกฟองคดี
ทั้งสองรวมกันหรือแทนกันเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ท่ีแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผฟู อ งคดี และคาํ สงั่ ที่แกไ ขเพิม่ เตมิ ตอ เนือ่ งจากคาํ สัง่ ดังกลาว

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีฟองวาไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย
จากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัยรายแรงผูฟองคดี
ตามคําส่ังลงวันท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งแกไขโดยคําสั่งลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ แตการที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเปนเพียงขั้นตอนเพ่ือแสวงหา
ขอเทจ็ จริงตามขอ กลาวหา ซึ่งมีขั้นตอนการดําเนินการและระยะเวลาที่กําหนดใหคณะกรรมการสอบสวน
ตอ งแจง ขอกลา วหาและสรปุ พยานหลักฐานใหผ ฟู อ งคดที ราบ พรอ มท้ังรบั ฟงคําชี้แจงของผูฟองคดี
และเม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดด าํ เนินการเสร็จส้ิน ตองรายงานผลการสอบสวนและเสนอความเห็น

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๔)
ตอ ผูถ กู ฟอ งคดีที่ ๑ เพ่อื ใหว นิ ิจฉัยวา ผฟู องคดีกระทําผดิ วินยั ตามที่ถูกกลาวหาหรือไม คําสั่งแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัยดังกลาว จึงมีลักษณะเปนเพียงการเตรียมการของเจาหนาท่ี
เพื่อจัดใหมีคําส่ังทางปกครอง อันเปนขั้นตอนการพิจารณาทางปกครองเทานั้น ซ่ึงคําส่ังดังกลาว
หาไดเ ปน คําสง่ั ทางปกครองท่ีมีผลเปนการกอ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบตอ
สถานภาพของสิทธิหรอื หนาท่ีของผฟู อ งคดีแตอยา งใดตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธปี ฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเม่ือคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยรายแรงดังกลาว
ยังไมมีผลเปนการช้ีขาดวาผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัยตามท่ีถูกกลาวหาหรือไม อยางไร กรณีจึงไมอาจ
ถือไดวา คําสั่งดังกลาวกอใหเกิดความเสียหายตอช่ือเสียงของผูฟองคดี ดังนั้น ผูฟองคดีจึงมิใช
ผูท่ีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงได
ท่ีจะมีสิทธิฟองคดีน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ นอกจากนี้
การดําเนินการวินัยแกขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีที่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรายแรงกําหนดใหผูมีอํานาจบรรจุและแตงตั้งตามมาตรา ๕๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ เปนผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๙๘
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ซ่ึงเดิมเปนอํานาจของผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต ๗ แตตอมาไดมีคําส่ังหัวหนาคณะรักษาความสงบแหงชาติ ที่ ๑๙/๒๕๖๐ ลงวันท่ี
๓ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ โดยขอ ๑๒
ของคําสง่ั ดงั กลา ว กําหนดใหอ ํานาจดงั กลา วเปน ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ รวมท้ังในกรณที ่ีมีการแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวนิ ยั อยางรา ยแรงแลว คณะกรรมการสอบสวนวินัยดังกลาว ยอมมีอํานาจหนาท่ี
ท่ีจะสอบสวนวาพฤติการณของผูฟองคดีตามท่ีถูกกลาวหาเปนความผิดวินัยอยางรายแรงหรือไม
หรือเปนเพียงความผิดวินัยอยางไมรายแรง หรือเปนความผิดวินัยท้ังอยางรายแรงและไมรายแรง
รวมอยูดวย ดังน้ัน การท่ีผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต ๗ สงเรื่องให
ผถู กู ฟองคดีที่ ๑ ดําเนินการแตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนวนิ ยั อยา งรายแรง และผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดม ีคาํ ส่งั แตง ตัง้ คณะกรรมการสอบสวนวินยั อยางรายแรงผฟู อ งคดตี ามคําสั่งสํานักงานศึกษาธิการ
จงั หวดั สระแกว ลงวนั ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซ่งึ แกไขโดยคําส่งั สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดสระแกว
ลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมายแลว ท่ีศาลปกครองช้ันตน
มีคําสง่ั ไมร บั คําฟอ งน้ไี วพ ิจารณาและใหจําหนา ยคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพอ งดวย

จึงมีคาํ สง่ั ยืนตามคําสั่งของศาลปกครองช้นั ตน
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๖๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๓
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๕๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๔

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๕)

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ ฟ.๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาหนาที่การเงินและบัญชี ๕

ท่ีทําการปกครองอําเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ ไดรับคําส่ังลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
ใหลงโทษไลผ ฟู องคดอี อกจากราชการโดยกลาวหาวา ผูฟองคดีเมื่อครั้งเปนขาราชการพลเรือนสามัญ
ตําแหนงเจาหนาที่การเงินและบัญชี ๕ อําเภอวิเชียรบุรี ชวยราชการท่ีทําการปกครอง
จังหวัดเพชรบูรณ ไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงในเร่ืองจัดทําหลักฐาน เอกสารการขอเบิกเงิน
และการจายเงินคาตอบแทนกํานัน ผูใหญบาน แพทยประจําตําบล สารวัตรกํานัน ผูชวยผูใหญบาน
ไมตรงกับจํานวนหมูบานและวันท่ีไดรับการแตงต้ัง ซึ่งเกิดความเสียหายแกราชการคิดเปนมูลคา
จํานวนเงิน ๗๘๙,๑๗๘ บาท ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ อุทธรณคําสั่ง
ลงโทษของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูวาราชการจังหวัดเพชรบูรณ) ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการ
พิทักษระบบคุณธรรม) ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณ ผูฟองคดีไมเห็นดวย
จึงมีหนังสือลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงประธานผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ขอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓
พิจารณาทบทวนคําวินิจฉัยดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีหนังสือลงวันท่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔
ถึงผูฟองคดีแจงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมอาจพิจารณาทบทวนคําวินิจฉัยดังกลาวได ผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหมีการสอบสวนใหมทั้งหมดทุกขอกลาวหา
และใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่ไลผูฟองคดีออกจากราชการ เห็นวา
คดีมีประเด็นท่ีจะตองวินิจฉัยรวม ๒ ประเด็น คือ ประเด็นที่หน่ึง ผูฟองคดีเปนผูมีสิทธิฟอง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (นายกรัฐมนตรี) ตอศาลปกครอง หรือไม เห็นวา ตามคําฟองของผูฟองคดี
กลา วอางเพียงวาผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากคําสั่งลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และจากคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ที่ใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดีโดยไมปรากฏวาความเดือดรอนหรือเสียหายท่ีผูฟองคดีไดรับเกิดจากการกระทํา
หรือการงดเวนการกระทําอยางหน่ึงอยางใดของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามท่ีกําหนดไวในมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ดังนั้น ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเน่ืองจากการกระทํา
หรอื การงดเวน การกระทําของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๒ ท่ีจะมีสิทธิฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตอศาลปกครองสูงสุด
ตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติเดียวกันได ประเด็นท่ีสอง คําสั่งลงวันท่ี
๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี เปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมายหรือไม เห็นวา คําสั่งลงวันที่
๒๘ กันยายน ๒๕๕๐ ที่ผูถ ูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะผูมอี ํานาจสง่ั บรรจุผูฟองคดีตามมาตรา ๕๗ (๑๑)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ไดแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี
โดยมีนาย จ. ปลัดจังหวัดเพชรบูรณ ในขณะน้ัน เปนประธานกรรมการ เม่ือคณะกรรมการ
สอบสวนดําเนินการเสร็จไดรายงานผลการสอบสวนและความเห็นตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยเห็นวา
พฤติกรรมของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เห็นควรลงโทษไลออกจากราชการ

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๖)
ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดสงเรื่องให อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ก็ปรากฏวา อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ
ไดพิจารณารายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนดังกลาวในการประชุมเม่ือวันที่
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ซึ่งมีนาย จ. รองผูวาราชการจังหวัดเพชรบูรณที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มอบหมายเปนรองประธาน อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ทําหนาท่ีเปนประธานในที่ประชุม
แทนผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ซึง่ กอ นการประชมุ พิจารณา นาย ส. อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ไดขออนุญาต
ออกจากหองประชุมเน่ืองจากเห็นวาตนเปนผูมีสวนไดเสียกรณีเปนผูกลาวโทษรองเรียน
ผูฟองคดีและท่ีประชุม อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณดังกลาวไดมีมติเห็นชอบใหลงโทษไล
ผูฟองคดีออกจากราชการ โดยนาย จ. ประธานในที่ประชุมของดออกเสียงในการพิจารณาเนื่องจาก
เห็นวาตนเปนหน่ึงในคณะกรรมการสอบสวนวินัยผูฟองคดี กรณีจึงเห็นไดวา การท่ีนาย จ.
ไดเคยพจิ ารณาวนิ ิจฉยั ในเรอ่ื งการดําเนนิ การทางวินยั ผฟู องคดใี นฐานะประธานกรรมการสอบสวน
มากอนแลว เมื่อตอมานาย จ. ไดเขาประชุม อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในฐานะรองประธาน
อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ และทําหนาที่เปนประธานในการประชุมพิจารณาในเร่ืองเดิมอีก
จึงเปนการเขาไปมีสวนรวมเพ่ือทําหนาที่ควบคุมการประชุมและพิจารณาเร่ืองของผูฟองคดี
ทั้งในขั้นตอนการสอบสวนและพิจารณาเสนอความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน และข้ันตอน
การพิจารณารายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือมีมติเห็นชอบใหสั่งลงโทษ
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ดังน้ัน แมนาย จ. จะงดออกเสียง แตในการปฏิบัติหนาที่ประธาน
ในการประชุม นาย จ. ยอมมีความโนมเอียงไปตามความเห็นเดิมท่ีตนไดเคยพิจารณาวินิจฉัยไปแลว
เมือ่ คร้งั ทเี่ ปนประธานกรรมการสอบสวน อนั เปนความเห็นทเ่ี ปน ปฏิปก ษตอผูฟองคดี ประกอบกับ
การที่นาย จ. ไดทําหนาที่เปนประธานในการประชุมเร่ืองของผูฟองคดียอมเปนท่ีเห็นไดวา
จะมีผลทําให อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณคนอ่ืนไมอาจโตแยงหรือแสดงความคิดเห็นของตน
อยางเปนอิสระ อันขัดตอหลักความเปนกลางในการพิจารณาทางปกครอง ถึงแมเหตุดังกลาว
จะมิใชเหตุความมีสวนไดเสียตามมาตรา ๑๓ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ แตกรณียอมเปนการพิจารณาทางปกครองของคณะกรรมการท่ีมีเจาหนาท่ี
หรือกรรมการในคณะกรรมการ ซ่ึงมีสภาพรายแรงที่อาจทําใหการพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ไมเปนกลางหรือมีเหตุแหงความไมเปนกลางในทางเน้ือหา
หรือโดยสภาพภายในของเจาหนาที่หรือกรรมการท่ีมีสวนรวมในการพิจารณาทางปกครอง
อนั เปนการพิจารณาทางปกครองที่ไมชอบตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
ซ่ึงนาย จ. ยอมเห็นไดเองอยูแลววาตนมีลักษณะตองหามดังกลาว แมจะไมมีผูคัดคานวา
ตนมีลักษณะตองหามเชนวาน้ัน นาย จ. ก็สมควรหยุดการพิจารณาเร่ืองนั้นและควรจะให
เจาหนาท่ีอื่นเขาปฏิบัติหนาที่แทน เพื่อมิใหการดําเนินการเปนไปตามนัยดังกลาวซ่ึงถือวา
เปนขั้นตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ และเน่ืองจากไมใชกรณีที่จะไมมีผูอ่ืนปฏิบัติหนาที่แทนได
และมิใชเ ปนกรณีท่ีมีความจําเปนเรงดวน หากปลอยใหลาชาไปจะเสียหายตอประโยชนสาธารณะ
หรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไมมีทางแกไขได อันจะเปนขอยกเวนมิใหนําบทบัญญัติมาตรา ๑๓
ถึงมาตรา ๑๖ มาใชบังคับ ตามมาตรา ๑๘ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน แตนาย จ. หาไดหยุด

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๗)
การพิจารณาเรื่องของผูฟองคดีไม ยังคงทําหนาที่ประธานในที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง
ของผูฟองคดีตอไป เพียงแตงดออกเสียงในการลงมติเทานั้น ดังน้ัน การพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในเรื่องของผูฟองคดีจึงเปนการไมชอบดวยกฎหมาย สําหรับ
นาย ส. ปลัดจังหวัดเพชรบูรณ แมจะไดรบั เลือกใหเ ปน อ.ก.พ. จงั หวัดเพชรบูรณ และไดเขาประชุม
อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ดวยก็ตาม แตเน่ืองจาก
กอนการพิจารณาเร่ืองการดําเนินการทางวินัยผูฟองคดีในระเบียบวาระท่ี ๒ หัวขอ ๒.๒ นาย ส.
ไดขออนุญาตออกจากหองประชุมเน่ืองจากเห็นเองวาตนเปนผูมีสวนไดเสียในเรื่องที่พิจารณาเ
พราะไดเ ปน ผูกลาวหารองเรียนผูฟองคดี อีกทั้ง ไมปรากฏวานาย ส. ไดเขาไปมีสวนรวมในการพิจารณา
ทางปกครองเรื่องของผูฟองคดีในข้ันตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวในข้ันตอนใดอีก
กรณีจึงไมมีประเด็นท่ีจะตองพิจารณาวานาย ส. มีเหตุอื่นใดเก่ียวกับเจาหนาที่หรือกรรมการใน
คณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองซึ่งมีสภาพรายแรงอันอาจทําใหการพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จงั หวัดเพชรบรู ณ ไมเปนกลางตามมาตรา ๑๖ วรรคหน่งึ แหง พระราชบัญญัติเดียวกัน
หรือไม แตอยางใด เม่ือไดวินิจฉัยแลววานาย จ. รองประธาน อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ
ที่ทําหนาท่ีประธานในการประชุมและมีสวนรวมในการพิจารณาเรื่องของผูฟองคดีมีเหตุอ่ืนใด
เกี่ยวกับเจาหนาท่ีหรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองซึ่งมีสภาพรายแรง
อันอาจทําใหการพิจารณาทางปกครองไมเปนกลาง และกรณีไมตองดวยขอยกเวนตามกฎหมาย
ที่จะทําใหนาย จ. มีอํานาจพิจารณาทางปกครองในเร่ืองของผูฟองคดีได นาย จ. จึงไมอาจ
ทําการพิจารณาทางปกครองในเร่ืองของผูฟองคดีได โดยที่ปญหาเก่ียวกับกระบวนการสอบสวน
ทางวินัยอยางรายแรงกระทําโดยถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญ
ท่ีกําหนดไวสําหรับการกระทํานั้นหรือไม ถือเปนปญหาขอกฎหมายอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอย
ของประชาชน แมคูกรณีจะไมไดยกขึ้นเปนขอตอสู ศาลปกครองสูงสุดสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
ไดตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
เมื่อนาย จ. ทําการพิจารณาทางปกครองเรื่องของผูฟองคดียอมทําใหการพิจารณาทางปกครอง
ของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณในเรื่องดังกลาวเปนการไมชอบดวยกฎหมายและยอมมีผลทําให
มติของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ท่ีเห็นชอบ
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย กรณีจึงไมจําตองวินิจฉัยเกี่ยวกับ
ความชอบดวยกฎหมายของการใชดุลพินิจในการออกคําส่ังลงโทษผูฟองคดีอีก เพราะไมทําให
ผลของคําวินิจฉัยดังกลาวเปล่ียนแปลงไป ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี
๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามมติของ อ.ก.พ. จังหวัดเพชรบูรณ
ดังกลาว และผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดีจึงเปนคําส่ังที่ไมชอบ
ดวยกฎหมายเชน กนั

พิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปตั้งแตวันที่คําส่ังมีผลใชบังคับเปนตนไป

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๘)
แตท้ังนี้ ไมตัดอาํ นาจของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ที่จะดําเนินการทางวินัยเสียใหมใหถูกตอง และเพิกถอน
คําวินิจฉัยของผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ ท่ใี หย กอุทธรณของผูฟองคดี และใหยกฟองสําหรับผูถกู ฟองคดีท่ี ๒

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๑๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการกระทําของ

ผูถูกฟองคดีท้ังสามสิบส่ี (กรมที่ดิน ท่ี ๑ อธิบดีกรมท่ีดิน ที่ ๒ รองอธิบดีกรมท่ีดิน ท่ี ๓ ผูอํานวยการ
สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ ท่ี ๔ ผูอํานวยการกองการเจาหนาท่ี ท่ี ๕ นาย ก. กลุมงานวินัย ท่ี ๖
หัวหนาฝายทะเบียนประวัติและบําเหน็จความชอบ ท่ี ๗ ผูอํานวยการกองคลัง ที่ ๘ ผูอํานวยการ
ศูนยอํานวยการเดินสํารวจออกโฉนดท่ีดินจังหวัดสกลนคร ที่ ๙ ผูกํากับการรังวัดออกโฉนดท่ีดิน
สายสํารวจท่ี ๑๑ (นาย ป.) ที่ ๑๐ ผูกํากับการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดิน สายสํารวจท่ี ๑๑ (นาย ช.) ที่ ๑๑
คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง ตามคําส่ังกรมท่ีดิน ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๐ ที่ ๑๒
คณะกรรมการสอบสวน ตามคําส่ังกรมท่ีดิน ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ท่ี ๑๓ อ.ก.พ. กรมท่ีดิน ที่ ๑๔
คณะกรรมการพจิ ารณาบาํ เหนจ็ ความชอบขา ราชการของสาํ นักมาตรฐาน การออกหนังสือสาํ คัญ ที่ ๑๕
ผูอํานวยการสวนปฏิบัติการรังวัดและออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ท่ี ๑๖ หัวหนากลุมงานออกโฉนดท่ีดิน
แบบทองถิ่น ท่ี ๑๗ หัวหนาฝายอํานวยการสํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ ท่ี ๑๘ หัวหนา
ฝายบัญชีและการเงิน กองคลัง ที่ ๑๙ ผูอํานวยการสํานักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน ท่ี ๒๐
หวั หนาฝายอํานวยการสํานกั มาตรฐานการทะเบียนท่ดี ิน ที่ ๒๑ หัวหนาฝายตรวจสอบและควบคุม
ทะเบยี นทีด่ นิ ที่ ๒๒ เจาพนักงานทีด่ นิ จงั หวัดสกลนคร ท่ี ๒๓ เจาพนักงานที่ดินจังหวัดสกลนคร สาขา
สวางแดนดิน ที่ ๒๔ ผูวาราชการจังหวัดสกลนคร ที่ ๒๕ เจาพนักงานการเงินและบัญชีชํานาญงาน
(นางสาว ส.) ที่ ๒๖ หัวหนาฝายตรวจสอบและควบคุมทะเบียนท่ีดิน (นาง ศ.) ที่ ๒๗ หัวหนาฝายตรวจสอบ
และควบคุมทะเบียนท่ีดิน (นางสาว จ.) ท่ี ๒๘ คณะกรรมการจัดบุคลากรออกปฏิบัติงานภาคสนาม
ตามคําสั่งสํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ ที่ ๒๙ นายชางรังวัด ๔ (นาย ภ.) ท่ี ๓๐
เจาหนาที่ท่ีดิน ๔ (นาง พ.) ท่ี ๓๑ เจาหนาท่ีที่ดิน ๔ (นาง น.) ท่ี ๓๒ เลขานุการกรม ท่ี ๓๓
และคณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ที่ ๓๔) กรณีเดิมผูฟองคดีเปนขาราชการ
พลเรือนสามัญ ตําแหนงเจาพนักงานที่ดินชํานาญงาน สวนปฏิบัติการรังวัดและออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในท่ีดิน สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ชวยราชการประจําสํานัก
มาตรฐานการทะเบียนที่ดิน ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ออกคําส่ังกรมท่ีดิน ลงวันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ฐานละท้ิงหนาที่ราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวา
สิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควรหรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบ
ของทางราชการ ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังดังกลาวและผูถูกฟองคดีท่ี ๓๔ มีคําวินิจฉัยเม่ือวันท่ี
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ใหลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ
ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังกรมที่ดินลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี
๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
ตามคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓๔ แลว ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังลงโทษและคําวินิจฉัยอุทธรณ

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๕๙)
ดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการ
คําส่ังลงโทษปลดออกจากราชการ และคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาว เห็นวา ในขณะที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย
อยางรายแรงฐานละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผล
อันสมควร ผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาที่ที่ดิน ๕ สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ สังกัด
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนตําแหนงในราชการสวนกลางโดยมีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เปนผูบังคับบัญชา
ผูมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง (๖) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงเปนผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
วินัยอยางรายแรงผูฟองคดีตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสาม แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบ
มาตรา ๑๓๑ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับคําสั่งดังกลาว
มีกรรมการประกอบดวยบุคคลท่ีมีจํานวนและคุณสมบัติเปนไปตามที่กําหนดในขอ ๓ วรรคหน่ึง
ของ กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความ พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดว ยการสอบสวนพิจารณา เม่ือพฤตกิ ารณข องผูฟ องคดเี ขา ลักษณะเปนการกระทํา
อันมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกัน
เปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควรตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และผูถูกฟองคดีที่ ๒ เปนผูมีอํานาจสั่งแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี รวมท้ังกรรมการสอบสวนประกอบดวยบุคคล
ท่ีมีจํานวนและคุณสมบัติเปนไปตามท่ีกําหนดในกฎ ก.พ. ขางตน คําสั่งกรมท่ีดินลงวันที่
๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี จึงชอบ
ดวยกฎหมาย เมื่อตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ มีหนังสือแจงใหผูฟองคดีไปพบเพื่อแจงและรับทราบ
ขอกลาวหา (สว. ๒) แตผูฟองคดีไมยอมรับหนังสือและไมไดไปพบผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ ตามกําหนด
ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑๓ จึงมหี นังสอื สง สว. ๒ ใหผูฟ องคดีทางไปรษณยี ตอบรับ แตผูฟองคดีก็ไมยอมรับ
และเม่ือทําการสอบสวนพยานบุคคลท่ีเกี่ยวของแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ มีหนังสือแจงใหผูฟองคดี
ไปพบเพื่อรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา (สว. ๓) ซึ่งปรากฏ
ตามหลักฐานใบตอบรับวานองสาวของผูฟองคดีเปนผูรับ แตผูฟองคดีไมไปพบผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ จึงมีหนังสือสง สว. ๓ ดังกลาวใหผูฟองคดีโดยทางไปรษณียไปยังที่อยูตาม
ทะเบยี นราษฎร โดย สว. ๓ มกี ารสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาและระบุฐานความผิด
ตามมาตรา ๘๕ มาตรา ๘๘ และมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
แตผูฟองคดีไมยอมรับหนังสือและไมไดใหการแกขอกลาวหา ผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ จึงพิจารณา
จากคําใหการของผูฟองคดีท่ีใหไวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑๒ ในช้ันการสอบสวนขอเท็จจริง
แลวมีความเห็นวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามท่ีถูกกลาวหาควรลงโทษไลออก
จากราชการและรายงานผลการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ เพื่อพิจารณา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
จงึ มคี าํ ส่ังใหผ ูถกู ฟองคดที ่ี ๑๓ เดนิ ทางไปแจง สว. ๓ ใหผูฟองคดีทราบอีกครั้ง ณ สํานักมาตรฐาน
การทะเบียนที่ดิน กรมที่ดิน ซึ่งเปนสถานท่ีท่ีผูฟองคดีปฏิบัติงานอยูในขณะนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๐)
จึงไปพบและแจง สว. ๓ ใหผูฟองคดีทราบเม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ ผูฟองคดีเขาพบ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ แตไมยอมฟงคําช้ีแจงและไมยอมลงลายมือชื่อรับทราบการแจง สว. ๓
โดยผูฟองคดีไมไดปฏิเสธหรือคัดคานขอเท็จจริงดังกลาวของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๒ แตอยางใด
กรณจี งึ ถอื ไดวา เปนการดําเนนิ การที่ชอบดว ยขอ ๑๕ วรรคหน่งึ และวรรคหา ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา และถือวาเปนการใหผูฟองคดีมีโอกาสทราบขอเท็จจริงอยางเพียงพอและ
มีโอกาสในการโตแยงแสดงพยานหลักฐานเพ่ือตอสูปองกันสิทธิของตนตามสมควรแกกรณีและ
ตามท่ีกฎหมายกําหนดแลว การท่ีผูฟองคดีไมยอมรับทราบขอกลาวหาและพยานหลักฐาน
ท่ีสนับสนุนขอกลาวหา รวมท้ังไมยอมใหถอยคําตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ จึงเปนการไมรักษาหรือ
นําพาตอสิทธิของตนเองอันพึงตองกระทําในการตอสูปองกันสิทธิของตน ผูฟองคดีจะยกเหตุดังกลาว
ขึ้นอางวาเปนการกระทําโดยไมชอบดวยกฎหมาย กลั่นแกลงผูฟองคดีหาไดไม ทั้งไมปรากฏวา
มเี หตุอ่นื ใดทท่ี ําใหการสอบสวนไมช อบดว ยกฎหมาย ดังนน้ั การดําเนินการสอบสวนผูฟองคดีของ
ผูถ ูกฟอ งคดที ี่ ๑๓ ในคดนี ีจ้ ึงชอบดว ยกฎหมายแลว เมอื่ ขอเทจ็ จริงปรากฏวา ผฟู องคดีไมไปลงชื่อ
ในบัญชีลงเวลาการปฏิบัติราชการและปฏิบัติงานที่ศูนยอํานวยการเดินสํารวจออกโฉนดท่ีดิน
จงั หวดั สกลนคร โดยไมม ีเหตผุ ลอนั สมควรต้งั แตวันท่ี ๗ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ถงึ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐
เปน เวลา ๕๕ วัน อนั เปนการกระทําผิดวนิ ยั อยา งรายแรงฐานละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกัน
เปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจ
ไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ซ่ึงในกรณีทขี่ า ราชการพลเรอื นสามัญกระทําผิดวินัยอยางรา ยแรง ผูบังคบั บญั ชามีอํานาจส่ังลงโทษ
ปลดออกหรือไลอ อกตามความรายแรงแหง กรณีตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเปนกรณีท่ีกฎหมายกําหนดดุลพินิจของผูบังคับบัญชา
ในการกําหนดระดับโทษไว ๒ ระดับ คือ ปลดออกและไลออก ดังนั้น เม่ือคดีนี้ผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูฟองคดีอุทธรณ
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ ตามมาตรา ๑๑๔ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
การทผ่ี ูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๓๔ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวมีคําวินิจฉัยลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ วา
การท่ีผูฟองคดีขาดราชการตั้งแตวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ เปนเวลา ๕๕ วัน
เปนการกระทําผิดวนิ ยั อยา งรา ยแรงฐานละท้ิงหนาที่ราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวา
สิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบ
ของทางราชการตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
แตเนื่องจากผูฟองคดีไปรายงานตัวที่กรมที่ดินเม่ือวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ โดยลงชื่อปฏิบัติงานทุกวัน
และย่ืนใบลาอยางถูกตองในกรณีที่ไมไปปฏิบัติราชการ ประกอบกับจังหวัดสกลนครปลอยเวลาใหลวงเลย
ในการสงตัวผูฟองคดีกลับกรมท่ีดิน กรณีของผูฟองคดีจึงไมใชเปนการละท้ิงหนาที่ราชการติดตอ
ในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวาสิบหาวันโดยไมมีเหตุผลอันสมควรและไมกลับมาปฏิบัติราชการอีกเลย

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๑)
ซึง่ คณะรัฐมนตรีมีมติใหไลออกจากราชการตามหนังสือสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ ผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ จึงมีมติใหลดโทษผูฟองคดีลงเปนปลดออกจากราชการ
จึงเปนระดับโทษที่เหมาะสมกับความผิดแลว ดังนั้น คําส่ังลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ท่ียกเลิก
คําส่ังลงโทษไลออกจากราชการและลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่เห็นควรลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
จงึ ชอบดว ยกฎหมาย และเมื่อคําวินิจฉัยอุทธรณลงวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ มีผลเปนการยกเลิก
เพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ตั้งแตวันที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ มีคําวินิจฉัยอุทธรณแลว
ดังน้ัน คําสั่งลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ จึงส้ินผลลงแลวตั้งแตวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
กอนที่ผูฟองคดีจะนําคดีมาฟองตอศาล คําส่ังดังกลาวจึงไมมีผลกอใหเกิดความเดือดรอนหรือ
เสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเล่ียงไดแกผูฟองคดีนับตั้งแตวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ประกอบกับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงวันท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ยกเลิกคําส่ัง
ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการตามคําวินิจฉัยขางตนของผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ แลว ผูฟองคดีจึงไมใชผูไดรับ
ความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเล่ียงไดท่ีจะมีสิทธิ
ฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ แตอยางใด ท้ังน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และโดยท่ีความเดือดรอนเสียหายที่ผูฟองคดีไดรับเกิดจากการท่ี
ผูฟองคดีถูกดําเนินการทางวินัยอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหนาที่เดินสํารวจออกโฉนดท่ีดินและ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาท่ีมีอํานาจลงโทษทางวินัยผูฟองคดีตามท่ีกฎหมายบัญญัติ
ออกคําสั่งลงโทษใหผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีที่ ๓๔ ยกอุทธรณของผูฟองคดี
ประกอบกับการปฏิบัติหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๙ ถึงท่ี ๑๑ เปนการปฏิบัติหนาที่ตามปกติ
และในสวนของผูถูกฟองคดีท่ี ๑๒ ถึงท่ี ๑๔ เปนกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เพื่อจัดใหมีคําสั่ง
ทางปกครองตอไป นอกจากนี้ ยังไมปรากฏรายละเอียดและขอเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหนาท่ี
ของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ถึงที่ ๘ และท่ี ๑๕ ถึงที่ ๓๓ วาทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย
ในประการใดบาง ประกอบกับกรณีน้ีเปนเร่ืองการใชอํานาจของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมเกี่ยวของกับ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ผูฟองคดีจึงไมใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเลี่ยงไดที่จะมีสิทธิฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ ๓ ถึงท่ี ๓๓ ในคดีนี้ตอ
ศาลปกครองสูงสดุ ดว ยเหตผุ ลดงั กลา วขา งตน กรณีจงึ ไมมเี หตทุ ่ีจะตองเพิกถอนคําสั่งผูถูกฟองคดีที่ ๒
และคําวนิ จิ ฉัยของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๓๔

พิพากษายกฟอ ง

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟ. ๒๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงเจาพนักงาน

อบรมและฝกวิชาชีพชํานาญงาน สังกัดเรือนจําจังหวัดพิษณุโลก ถูกลงโทษตามคําสั่งลงวันท่ี
๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ไลออกจากราชการฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๒)
อยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามมติ
อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ มูลกรณีสืบเนื่องจากเม่ือวันท่ี ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ผูฟองคดีถูกเจาพนักงาน
ตํารวจงานสืบสวนตํารวจภูธร ภาค ๖ เจา พนักงาน ป.ป.ส. และเจาหนาที่เรือนจําจังหวัดพิษณุโลก
รว มกันจับกมุ ตวั โดยถูกกลาวหาวากระทําความผิดอาญาฐานรวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑
(ยาบา) ไวในความครอบครองเพ่ือจําหนายและมีอาวุธปนและเครื่องกระสุนปนไวในความครอบครอง
โดยไมไดรับอนุญาต โดยผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมราชทัณฑ) มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี และมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔
ใหผ ูฟอ งคดอี อกจากราชการไวก อ นตัง้ แตวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ เพอ่ื รอฟง ผลการสอบสวนพิจารณา
ซึ่งผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑแลว ตอมา คณะกรรมการสอบสวน
ดําเนินการสอบสวนแลวเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานกระทาํ การอันไดชือ่ วาเปน ผูประพฤติช่ัวอยา งรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ควรปลดออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาแลวเห็นชอบดวยและเสนอ อ.ก.พ.
กรมราชทัณฑพิจารณา ซึ่ง อ.ก.พ. กรมราชทัณฑพิจารณาแลวมีมติเห็นชอบดวยกับฐานความผิด
ดังกลาวขางตน แตใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีคําสั่งลงวันท่ี
๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการต้ังแตวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔
ซ่ึงเปนวันท่ีผูฟองคดีถูกจับกุมตัวและคุมขังไวในเรือนจําตามขอ ๑๑ ของระเบียบ ก.พ. วาดวย
วันออกจากราชการของขาราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาว
ตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาแลว
มีคําวินิจฉัยลงวันท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยมีหนังสือลงวันที่
๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ แจงผลคําวินิจฉัยใหผูฟองคดีทราบแลวเม่ือวันท่ี ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ผูฟองคดี
เห็นวาคําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากผูฟองคดีไมไดมี
สวนเก่ียวของกับการกระทําผิด แตอาจมีบุคคลอ่ืนตองการกลั่นแกลงใหรายผูฟองคดี จึงนําคดี
มาฟอ งขอใหศ าลมีคําพพิ ากษาหรือคําส่งั เพกิ ถอนคําส่ังลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ท่ีใหผูฟองคดี
ออกจากราชการไวกอ น เพกิ ถอนคําสั่งลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามหนังสือลงวันท่ี
๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ ทีใ่ หยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหผฟู อ งคดีกลบั คืนสฐู านะเดมิ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา การดําเนินการทางวินัยผูฟองคดีในกรณีน้ีเปนกรณีที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ พจิ ารณาขอ เทจ็ จรงิ ตามทไี่ ดร ับรายงานในเบอ้ื งตน แลว เห็นวา เปนกรณีมีมูล
ท่ีจะกลาวหาวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัย จึงดําเนินการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก
ผฟู อ งคดี อันเปน การดาํ เนนิ การตามมาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๓ แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว
โดยการดําเนินการสอบสวนทางวินัย คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑ
วิธีการและระยะเวลาที่กําหนดในขอ ๑๔ ขอ ๑๕ และขอ ๒๑ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๓)
ซ่ึงอนุโลมนํามาใชตามที่มาตรา ๑๓๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติไว เพื่อแสวงหาความจริงในเรื่องท่ีมีการกลาวหาและดูแลใหเกิดความยุติธรรม
ตลอดกระบวนการสอบสวน และจัดทําบันทึกถอยคําไวทุกครั้งที่มีการสอบสวน ซ่ึงตอมา
คณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวนทางวินัยเสนอผูถูกฟองคดีที่ ๑ รวมท้ังมีการเสนอ
เร่ืองให อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ พิจารณา อันเปนการดําเนินการตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว กรณีจึงเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดี
เปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว ท้ังน้ีแมผูฟองคดีจะใหการปฏิเสธวา
ไมไ ดม สี วนรูเห็นกบั ผตู องขังในการซุกซอ นยาบาไวในไมแขวนเสื้อสูทและเกี่ยวของกับการกระทําผิด
แตการท่ีผูฟองคดีถูกจับกุมในครั้งน้ีเปนผลมาจากการเขาจับกุมตรวจยึดยาบาท่ีสมาคมยิงปน
จงั หวดั พษิ ณุโลกและขยายผลมาถงึ การจับกมุ ผูฟ อ งคดใี นภายหลัง โดยที่เจาหนาที่ไมไดมุงท่ีจะเขา
จับกุมผูฟองคดีต้ังแตแรก อีกท้ังคําใหการของเจาหนาท่ีที่เขารวมกันจับกุมผูฟองคดีตลอดจน
พยานที่ใหการในชั้นสอบสวนทางวินัยไมมีผูใดมีสาเหตุโกรธเคืองกับผูฟองคดีมากอน
โดยพฤติการณจึงเชื่อไดวาผูฟองคดีนาจะรูเกี่ยวกับยาบาท่ีซุกซอนอยูในไมแขวนเส้ือสูทตามท่ี
ตรวจพบและจะนําเขาไปใหผูตองขัง ดังน้ัน การที่ผูฟองคดีเปนขาราชการสังกัดกรมราชทัณฑ
โดยปฏิบัติหนาท่ีเจาหนาท่ีราชทัณฑมาเปนเวลานาน ควรตองปฏิบัติตนใหเปนแบบอยางท่ีดี
และเคารพกฎหมายอยางเครงครัด แตผูฟองคดีกลับเขาไปมีสวนเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ
โดยถูกเจา พนักงานตํารวจจับกุมและพบของกลางยาบา จาํ นวน ๒๑๕ เมด็ ภายในรถยนตของตนเอง
และถูกตั้งขอหาวากระทําผิดอาญาฐานมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) ไวในครอบครอง
เพ่ือจําหนาย พฤติการณของผูฟองคดีจึงไมเหมาะสมกับการเปนขาราชการที่ดี และเปนผูที่
ไมรักษาช่ือเสียงของตนและไมรักษาเกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนาที่ราชการ ประกอบกับ
ศาลจังหวัดพิษณุโลกมีคําพิพากษา คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๘๘๔/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕
พพิ ากษาวา ผฟู องคดีมคี วามผดิ ฐานมีเมทแอมเฟตามนี ไวในครอบครองเพอ่ื จําหนายโดยฝา ฝน กฎหมาย
ลงโทษจําคุก ๑๘ ป ปรับ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ฐานมีอาวุธไวในครอบครองโดยไมไดรับอนุญาต
ลงโทษจําคุก ๖ เดือน ฐานพาอาวุธปนไปในเมือง หมูบานหรือทางสาธารณะโดยไมไดรับอนุญาต
ลงโทษจําคุก ๑ ป ฐานพยายามนําเมทแอมเฟตามีนเขาไปในเรือนจําโดยไมไดรับอนุญาต
ลงโทษจําคุก ๑ ป ๔ เดือน รวมลงโทษจําคุก ๒๐ ป ๑๐ เดือน ปรับ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท พฤติการณ
และการกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนการกระทําอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเปนวันท่ีผูฟองคดีถูกจับกุมดําเนิน
คดีอาญาและคุมขังไวในเรือนจําติดตอกันจนถึงปจจุบันตามขอ ๑๑ ของระเบียบ ก.พ. วาดวย
วันออกจากราชการของขาราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๔ จึงชอบดวยกฎหมาย และการที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มคี าํ ส่ังลงวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผ ูฟองคดอี อกจากราชการต้งั แตวนั ท่ี ๔
เมษายน ๒๕๕๔ เปนผลใหคาํ ส่ังลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ทใ่ี หผ ฟู อ งคดีออกจากราชการไวกอน

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๔)
เพื่อรอฟงผลการสอบสวนพจิ ารณาส้ินผลลงตั้งแตกอนนําคดีมาฟองตอศาลปกครอง และเปนการออก
คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการยอนหลังเพราะเหตุถูกคุมขังติดตอกันจนถึงวันท่ี
ตองรับโทษจําคุกตามขอ ๑๑ ของระเบียบ ก.พ. วาดวยวันออกจากราชการของขาราชการ
พลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๔ การที่ผูฟองคดีฟองคดีตอศาลโดยมีคําขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ท่ีใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕
จึงเปนการย่ืนฟองตอศาลภายหลังจากคําส่ังดังกลาวส้ินผลแลว ผูฟองคดีจึงไมใชผูไดรับ
ความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยไมอาจหลีกเลี่ยงไดที่จะมีสิทธิฟอง
ขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาวตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
และการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดี
เชื่อไดวา ผูฟองคดีรูวามียาบาซุกซอนอยูในไมแขวนเสื้อสูทตามที่ถูกตรวจพบ ผูฟองคดี
เปนถึงเจาหนาท่ีของรัฐจึงตองปฏิบัติตนใหเปนแบบอยางท่ีดีแกประชาชนท่ัวไปโดยควรเคารพ
ตอกฎหมายอยางเครงครัด และจะตองระมัดระวังตนมิใหเขาไปเกี่ยวของกับยาเสพติด แตผูฟองคดี
กลับเขาไปมีสวนเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษหรือกระทําผิดกฎหมายเสียเอง จึงถือวา
ผูฟองคดีเปนผูไมรักษาชื่อเสียงของตนและไมรักษาเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาท่ีราชการของตน
พฤติการณของผูฟองคดีจึงถือเปนการกระทําอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงถูกตอง
และเหมาะสมแกกรณีความผิดแลว วินิจฉัยใหยกอุทธรณ การพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒
จึงเปนการพิจารณาในกรอบแหงบัญญัติกฎหมายท่ีเก่ียวของแลว และเมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดี
โตแยงกระบวนการในการวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดี ประกอบกับวินิจฉัยไวขางตนแลววา
การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางรายแรงฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๔) แหง พระราชบัญญัติดังกลาว โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เห็นวา ผูฟองคดี
กระทําผิดวินัย ระดับโทษทางวินัยท่ีไดรับเหมาะสมแกกรณีความผิดแลว และไมปรากฏวามีเหตุอ่ืนใด
ท่ที ําใหค าํ วนิ ิจฉัยของผูถ ูกฟองคดที ี่ ๒ ไมชอบดวยกฎหมาย ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัย
ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ใหย กอุทธรณของผฟู องคดี จึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน

ดวยเหตุผลดังที่วินิจฉัยขางตน กรณีจึงไมมีเหตุที่จะตองเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ที่ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน คําส่ังลงวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔
ทล่ี งโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคาํ วนิ จิ ฉยั ของผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ลงวนั ท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕
ใหย กอุทธรณข องผูฟองคดี ตามคาํ ขอทา ยคําฟองของผฟู อ งคดี

พิพากษายกฟอ ง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๖/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟอ งวา เดิมผฟู องคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงผูวาราชการ

จงั หวัดลาํ พนู ไดรับความเดอื ดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการปองกันและ

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๕)
ปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดแตงต้ังอนุกรรมการไตสวนขอเท็จจริง กรณีเม่ือครั้งผูฟองคดี
ดํารงตําแหนงผูวาราชการจังหวัดลําปาง ต้ังแตวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๑
มหี นา ท่ีจับกุมผกู ระทาํ ความผดิ ตามกฎหมายปา ไม และในฐานะประธานกองทุนพัฒนาชุมชนพื้นท่ี
รอบโรงไฟฟาจงั หวดั ลําปางไดพจิ ารณาอนมุ ัตกิ อ สรา งอา งเก็บนา้ํ ท้งั สแี่ หง ไดแ ก อางเก็บนาํ้ ก่วิ ขาวหลาม
อางเก็บน้ําปงชัย อางเก็บนํ้าแมทู และอางเก็บน้ําแมหลวง เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และ
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐ โดยยังไมไดรับอนุญาตจากกรมปาไม ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีมติ
เหน็ ชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวนวา การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัย
ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรง
แกผหู นงึ่ ผูใ ด หรอื ปฏบิ ัติหรือละเวน การปฏิบตั ิหนา ท่รี าชการโดยทุจริต และฐานกระทาํ การอันไดช ่อื วา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) จึงไดมีคําส่ังลงวันที่
๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟอ งคดอี อกจากราชการตั้งแตวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ผูฟองคดี
ไดยื่นอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีคําวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี และเห็นวาคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
และมติของผูถูกฟองคดที ี่ ๒ ไมถ กู ตอ งตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใชบังคับอยูในขณะกระทําผิด
จึงใหแกไขฐานความผิดใหเปนไปตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเปน
กฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิด ผูฟองคดีทราบคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เม่ือวันที่
๙ มนี าคม ๒๕๖๐ ตอ มา ผูถกู ฟองคดที ่ี ๑ จงึ ไดมีคําส่ังแกไขคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหาย
อยางรายแรงแกผูหน่ึงผูใด และฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๕ (๑) และ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แกไขเปนส่ังลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ
เพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรงแกผูหนึ่งผูใด และฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง ตามมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบ
มาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ที่วินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดีไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังเพิกถอนลงวันท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เร่ือง ลงโทษไลออกจากราชการ และเพิกถอน
คําสั่งลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง แกไขคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการ ใหเพิกถอนมติ
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ชี้มูลวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ เพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และคืนสิทธิ
ตามกฎหมายแกผูฟองคดี และเยียวยาความเสียหายใหแกผูฟองคดีตามท่ีศาลเห็นสมควร เห็นวา
คดมี ีประเด็นท่ีตองวินิจฉัยกอนวา การใชอํานาจไตสวนและวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และช้ีมูล
ความผิดทางวินัยเปนการใชอํานาจวินิจฉัยช้ีขาดซ่ึงเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญหรือไม
และศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน้ีหรือไม เห็นวา ในกรณีที่รัฐธรรมนูญประสงค

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๖)
จะใหการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรอิสระใดเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญน้ัน รัฐธรรมนูญ
ตองกําหนดบทบัญญัติใหอํานาจดังกลาวไวอยางชัดเจนเม่ือไดพิจารณาบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
ไมปรากฏวามมี าตราใดท่ใี หอาํ นาจผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการช้ีมูลความผิดทางวินัย แตอํานาจหนาที่
ของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๒ ในการช้ีมลู ความผิดทางวินัยเปนเรอื่ งทีก่ ําหนดไวในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
วา ดวยการปอ งกันและปราบปรามการทจุ ริต ดังนัน้ การใชอ าํ นาจไตสวนและวินจิ ฉยั ของผูถูกฟองคดีที่ ๒
ตามมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
และช้มี ลู ความผิดทางวินัยจึงเปนการใชอํานาจที่บัญญัติไวในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวย
การปองกนั และปราบปรามการทจุ ริต มใิ ชการวนิ จิ ฉยั ช้ีขาดซึ่งเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญ
แตอ ยา งใด ดังนน้ั ศาลปกครองจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ไดตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง
ของรฐั ธรรมนูญดังกลา ว

สวนที่ผูฟองคดีอางวา การแตงต้ังอนุกรรมการไตสวนไมชอบดวยกฎหมาย
เน่ืองจากอนกุ รรมการไดเคยทําการไตสวนในเร่ืองที่ไดมีการกลาวหาผูฟองคดี จึงเปนผูรูเหตุการณ
เก่ยี วกบั เรือ่ งทีก่ ลาวหามากอ น นน้ั การเปน ผรู ูเ ห็นเหตุการณเก่ียวกับเรื่องท่ีกลาวหา ที่จะเปนลักษณะ
ตองหามตามมาตรา ๔๖ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
หมายถึงบุคคลท่ีไดรูหรือทราบพฤติการณการกระทําอันเปนความผิดในทางความเปนจริง มิใช
เจาหนาท่ีที่มีหนา ท่ีตรวจสอบเรื่องที่มกี ารกลาวหา ขอ อา งของผูฟ องคดีกรณนี จ้ี ึงไมอ าจรับฟงได

สวนประเด็นท่ีวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีอํานาจหนาที่ในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูล
ความผิดทางวนิ ัยผูฟองคดีหรือไม เพียงใด นั้น ขอกลาวหาท่ีอยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาท่ีเกี่ยวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
กระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการหรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรมเทาน้ัน
โดยความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม เปนมูล
ความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ถือเปนมูลความผิดทางวินัย หากปรากฏวา
เจาหนาท่ีของรัฐผูถูกรองเรียนไดกระทําความผิดวินัยฐานอื่น อันมิใชความผิดฐานตอหนาที่เชน
ในคดีนี้ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ช้ีมูลวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง กรณีดังกลาวไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีจะตองถือเอารายงาน
การไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัย
ของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปราม
การทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒

คดีมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยประการตอไปวา คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหาย
อยา งรายแรงแกผูหนึ่งผูใด หรือปฏบิ ัติหรอื ละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยทุจริต และฐานกระทําการ
อันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมายหรือไม ซ่ึงการพิจารณาวา
การกระทําใดเปนการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ จะตองพิจารณาจากองคประกอบ
ในการกระทําความผิด ๓ ประการ คือ ประการแรก ผูกระทํามีหนาท่ีราชการที่จะตองปฏิบัติ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๗)
ประการท่ีสอง ผูกระทําไดปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ และประการท่ีสาม
ผกู ระทาํ มเี จตนากระทาํ การหรือละเวน กระทําการในหนา ทเี่ พ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได
นอกจากน้ัน ยังตองพิจารณาถึงเจตนาของผูฟองคดีวา มีเจตนากระทําการเพื่อแสวงหาประโยชน
ที่มิควรไดโดยชอบดวยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผูอื่นหรือไม ขอเท็จจริงปรากฏวา ในการกอสราง
อางเก็บน้ําทั้งส่ีแหงไดมีการจัดทําสัญญาจางผูรับจางดําเนินการกอสราง การท่ีผูฟองคดีอนุมัติ
จา ยเงนิ คากอ สรางงวดท่ี ๑ ของอา งเกบ็ นา้ํ กิ่วขา วหลาม เมอ่ื วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ในฐานะ
ประธานกองทุนพัฒนาชุมชนพื้นท่ีรอบโรงไฟฟาจังหวัดลําปาง และอนุมัติจายเงินคากอสราง
อางเก็บน้ําปงชัย เม่อื วนั ที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ โดยไมป รากฏขอเท็จจรงิ วา การดําเนินการกอสราง
ในงวดงานท่ีผูฟองคดีอนุมัติใหมีการจายไมแลวเสร็จหรือมีขอบกพรองประการอ่ืน กรณีจึงเปน
การอนุมัติใหมีการจายเงินคาจางซ่ึงผูรับจางมีสิทธิไดรับตามสัญญาจาง นอกจากน้ี ขอเท็จจริง
ปรากฏตามรายงานผลการตรวจสอบขอเท็จจริงเรื่องรองเรียนขอความเปนธรรมของนาย ม. กับพวก
กรณีถูกไลออกจากตําแหนงกํานันและผูใหญบานโดยไมเปนธรรม ของคณะอนุกรรมาธิการประสาน
ภารกิจสภาปฏิรปู แหง ชาติ ดานการปกครองทองถิ่น ในคณะกรรมาธิการการปกครองสวนทองถ่ิน
สภานิติบัญญัติแหงชาติ วา จากผลการไตสวนของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมพบวา เจาหนาที่
ผูถูกกลาวหาทั้งหมดมีสวนเก่ียวของกับการทุจริตเรียกรับผลประโยชนในการกอสรางอางเก็บน้ํา
ท้ังสี่แหง แตเปนเพียงการไมปฏิบัติตามระเบียบกรมปาไม วาดวยการกําหนดหลักเกณฑ วิธีการ
และเง่ือนไขในการใชพ้ืนท่ีเปนสถานที่ปฏิบัติงาน หรือเพ่ือประโยชนอยางอ่ืนของสวนราชการ
หรือองคกรของรัฐ ภายในเขตปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๘ กรณีจงึ ไมอาจรับฟงไดวา การกระทํา
ของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืน
ไดประโยชนที่มิควรไดโดยชอบดวยกฎหมาย อันเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการตามมาตรา ๘๒
วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕

สวนกรณีความผิดฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง น้ัน
เม่ือไดวินิจฉัยไวขางตนแลววา การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดของ
ผูฟองคดีฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ซึ่งจะตองแตงตั้งคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนผูฟองคดีในกรณีที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติวา
ผูฟองคดีกระทําความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงกอน ดังนั้น
การที่ผูถกู ฟองคดที ่ี ๑ มีคาํ ส่งั ลงโทษไลผูฟองคดอี อกจากราชการ ในความผิดฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมิไดมีการแตงต้ังคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนผูฟองคดีจึงเปนการกระทํา
โดยไมถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญในการลงโทษทางวินัยอยางรายแรง
ตามทกี่ ฎหมายกําหนด ประกอบกับศาลไดวินิจฉัยแลววา ขอเท็จจริงไมอาจรับฟงไดวาการกระทํา
ของผูฟองคดีเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ และขอเท็จจริงท่ีปรากฏตามรายงานการตรวจสอบ
ขอเท็จจริงเรื่องรองเรียนขอความเปนธรรมของนาย ม. และพวก กรณีถูกไลออกจากตําแหนงกํานัน
และผูใหญบานโดยไมเปนธรรม ของคณะอนุกรรมาธิการประสานภารกิจสภาปฏิรูปแหงชาติ

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๘)
ดานการปกครองทองถิ่นในคณะกรรมาธิการปกครองทองถิ่น สภานิติบัญญัติแหงชาติ วา
การกอสรางอางเก็บนํ้าท้ังส่ีแหงมีสภาพแข็งแรง สามารถรองรับและเก็บกักน้ําไดเปนอยางดี
และหากมีการบริหารจัดการเพื่อนํานํ้าในอางมาใชประโยชนจะสามารถแกปญหาภัยแลงในพ้ืนท่ี
อาํ เภอแมเ มาะ และทําใหประชาชนมีนํ้าเพียงพอตอการประกอบอาชีพ อันเปนขอเท็จจริงที่แสดง
ใหเห็นไดวา การไมปฏิบัติตามระเบียบกรมปาไม วาดวยการกําหนดหลักเกณฑ วิธีการ และเง่ือนไข
ในการใชพ้ืนท่ีเปนสถานท่ีปฏิบัติงาน หรือเพื่อประโยชนอยางอ่ืนของสวนราชการหรือองคกรของรัฐ
ภายในเขตปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๘ ของผูฟองคดี ไมไดกอใหเกิดความเสียหายตอทางราชการ
แตกลับทําใหประชาชนในพื้นที่ไดรับประโยชนจากโครงการอางเก็บน้ําท้ังส่ีแหงดังกลาว อีกท้ัง
ไมปรากฏการกระทําอ่ืนใดของผูฟองคดีที่จะนํามาซ่ึงความเส่ือมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักด์ิ
ของตําแหนงหนา ทร่ี าชการ กรณจี งึ มิอาจถือไดว า ผูฟองคดกี ระทาํ การอืน่ ใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยา งรายแรง อนั เปนความผดิ วนิ ยั อยา งรายแรงตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
เชนเดียวกัน

ดังนั้น เม่ือขอเท็จจริงไมอาจรับฟงไดวา การกระทําของผูฟองคดีเปนการทุจริต
ตอหนาที่ราชการ และผูถูกฟองคดีที่ ๑ มิไดแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดีในความผิด
ฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง อันเปนการไมดําเนินการ
ตามรูปแบบและข้ันตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญในการลงโทษทางวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๙๓ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
และขอเท็จจริงมิอาจถือไดวา ผูฟองคดีไดกระทําการอ่ืนใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ คําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรงแกผูหน่ึงผูใด และ
ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ จงึ เปนคาํ สงั่ ที่ไมชอบดว ยกฎหมาย

สวนกรณีที่ผูฟองคดีขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีชี้มูลวาผูฟองคดี
กระทําผิดวินยั นน้ั มตขิ องผูถกู ฟอ งคดีที่ ๒ ดงั กลา วถือเปนเพยี งขั้นตอนภายในทีย่ งั ไมมีผลกระทบ
ตอ สทิ ธิหนา ทขี่ องผฟู องคดี จนกวาผถู กู ฟองคดีที่ ๑ จะไดพจิ ารณาออกคาํ ส่ังไลผูฟองคดีออกจากราชการ
กรณีจึงถือไดวา ผูฟองคดีมิใชผูที่ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายที่จะมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอน
มตขิ องผูถ กู ฟองคดีที่ ๒ ดงั กลา วได ทง้ั นี้ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึง่ แหง พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลปกครองฯ

สําหรับคําขอท่ีขอใหคืนสิทธิตามกฎหมายแกผูฟองคดี และเยียวยาความเสียหาย
ใหแกผูฟองคดีตามที่ศาลเห็นสมควร น้ัน หากศาลไดออกคําบังคับใหเพิกถอนคําสั่งที่พิพาท
โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันที่มีคําสั่ง ผูฟองคดียอมไดรับคืนสิทธิตามกฎหมายท่ีเกี่ยวของอยูแลว
โดยศาลไมจาํ ตอ งกําหนดคําบงั คบั

พิพากษาเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ แกไขโดยคําส่ังลงวันที่
๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๓

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๖๙)
ท่ีวินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยใหมีผลยอนหลังไปถึงวันที่มีคําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณ
ดังกลาว และใหยกฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทั้งนี้ โดยมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการ
ใหเปนไปตามคําพิพากษาวา ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ คืนสิทธิประโยชนใหแกผูฟองคดีตามที่กฎหมาย
และระเบียบกําหนดตอ ไป

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๖/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๒๕

คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๔๖๑-๔๖๒/๒๕๖๓
คดีนี้ผูฟองคดีที่ ๑ ฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่

การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต ๓) ไดมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
ผูฟองคดีท่ี ๑ กรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง เมื่อคร้ังดํารงตําแหนงผูอํานวยการ
สถานศึกษาโรงเรยี นบานสนั กทู อง สาํ นักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาเชยี งราย เขต ๒ ไดถอนเงินงบประมาณ
วัสดุรายหัวนักเรียนปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกมาทั้งหมด
แตนําไปซื้อวัสดุอุปกรณเพียงเล็กนอย ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดออกคําสั่งท่ี ๑๒/๒๕๔๙ ลงวันที่
๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ลงโทษปลดผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ และคําส่ังที่ ๑๓/๒๕๔๙ ลงวันที่
๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ แกไขคําส่ังที่ ๑๒/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผูฟองคดีที่ ๑
ไมเห็นดวยจึงอุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยทั้งสองฉบับตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา) ตอมา อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชียงราย เขต ๓ ไดประชุม
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๐ แลวมีมติใหแกไขบทลงโทษใหถูกตอง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีคําสั่ง
ที่ ๒๑/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ แกไขคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ
ตามมติ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชียงราย เขต ๓ และคําสั่งที่ ๒๓/๒๕๕๐ ลงวันที่
๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ แกไขคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีที่ ๑ ออกจากราชการ ผูฟองคดีท่ี ๑
จึงมีหนังสืออุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยเพิ่มเติมตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตอมา อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ
เกี่ยวกบั การอทุ ธรณและการรอ งทุกข ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดประชุมเม่ือวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐
แลว มมี ตเิ ปนเอกฉันทใ หผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งเพ่ิมโทษผูฟองคดีที่ ๑ จากโทษปลดออกจากราชการ
เปนโทษไลออกจากราชการ ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดออกคําสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันท่ี
๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ เร่ือง เพิ่มโทษ ใหเพ่ิมโทษผูฟองคดีที่ ๑ จากโทษปลดออกจากราชการ
เปนโทษไลออกจากราชการ ผูฟองคดีท่ี ๑ เห็นวา คําส่ังลงโทษทางวินัยของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และ
มตขิ องผูถ ูกฟองคดที ี่ ๒ ท่ีใหเพ่ิมโทษทางวินัยผูฟองคดีที่ ๑ ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังท่ี ๑๒/๒๕๔๙ และท่ี ๑๓/๒๕๔๙ ลงวันที่
๑๒ มิถนุ ายน ๒๕๔๙ คําสั่งที่ ๒๑/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ และที่ ๒๓/๒๕๕๐ ลงวันท่ี
๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ เพิกถอนมติผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ตามหนงั สือสํานกั งาน ก.ค.ศ. ลงวันที่ ๑๖ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ทแ่ี จงผลการพิจารณาอุทธรณโดยใหเพิ่มโทษ

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๐)
ทางวินัยผูฟองคดีท่ี ๑ เปนใหไลออกจากราชการ และเพิกถอนคําสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่
๒๗ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ทเ่ี พิม่ โทษทางวินัยผฟู อ งคดที ี่ ๑ จากปลดออกจากราชการเปน ไลออกจากราชการ
โดยในระหวางการพิจารณาโทษทางวินัย ผูฟองคดีท่ี ๑ ไดยื่นเรื่องขอรับเงินบําเหน็จบํานาญ และ
กระทรวงการคลังไดส่ังใหสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยผูอํานวยการสํานักงาน
เขตพื้นท่กี ารศึกษาเชียงราย เขต ๓ ไดจายเงินบําเหน็จใหแกผูฟองคดีท่ี ๑ ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง
ลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๙ จํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท ใหแกผูฟองคดีท่ี ๑ พรอมทั้งใหผูฟองคดีท่ี ๑
ทําหนังสือสัญญาการใชเงินคืน ลงวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยผูฟองคดีที่ ๒ เปนผูทําหนังสือ
สญั ญาค้ําประกนั เมอ่ื ผถู กู ฟองคดีท่ี ๑ มีคําสงั่ ที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ เร่ือง เพิ่มโทษ
ใหเพ่ิมโทษผูฟองคดีท่ี ๑ จากโทษปลดออกจากราชการเปนโทษไลออกจากราชการ ผูฟองคดีท่ี ๑
จงึ ไมมสี ทิ ธไิ ดร บั เงินบําเหน็จ ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๐ แจงใหผูฟอง
คดีที่ ๑ และท่ี ๒ ในฐานะผูคํ้าประกันชดใชเงินบําเหน็จจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑ และ
ท่ี ๒ ไดรับหนังสือฉบับดังกลาวแลว แตผูฟองคดีท้ังสองยังไมชําระเงินคืนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓
(สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน) ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จงึ นาํ คดมี าฟอ งขอใหผูฟองคดีท้ังสอง
รวมกนั และหรอื แทนกนั ชําระเงนิ บําเหนจ็ คืนใหแกผ ถู กู ฟอ งคดีท่ี ๓ พรอ มดอกเบ้ีย

ศาลปกครองสูงสดุ วินิจฉัยวา เม่ือ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณและการรองทุกข
ไดประชุมเม่ือวันท่ี ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ วินิจฉัยอุทธรณในปญหาขอกฎหมายของผูฟองคดีที่ ๑
ฟงไมข้ึน และมีการประชุมเม่ือวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐ มีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังเพ่ิมโทษ
ผฟู องคดที ่ี ๑จากโทษปลดออกจากราชการเปน โทษไลออกจากราชการ ตอมา ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๑ ไดออกคําสั่ง
ที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๗ สงิ หาคม ๒๕๕๐ เรื่อง เพ่ิมโทษ โดยใหเพิ่มโทษผูฟองคดีท่ี ๑ จากโทษ
ปลดออกจากราชการเปนโทษไลอ อกจากราชการยอนหลงั ไปถึงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ เปนตนไป
ตามมติ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณและการรองทุกข ทั้งน้ี ตามมาตรา ๑๒๔ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งมีผลทําใหคําสั่ง
ที่ ๑๒/๒๕๔๙ และท่ี ๑๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ คําสั่งท่ี ๒๑/๒๕๕๐ ลงวันที่
๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ และคําส่ังที่ ๒๓/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีที่ ๑
ออกจากราชการตั้งแตวันท่ี ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ส้ินผลลงต้ังแตวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผูฟองคดีท่ี ๑
จึงไมไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายจากคําสั่งทั้งสี่ฉบับดังกลาว
กรณีจึงไมอาจถือไดวาในขณะท่ีผูฟองคดีท่ี ๑ ยื่นฟองคดีนี้ตอศาลปกครอง ผูฟองคดีท่ี ๑ ไดรับ
ความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายจากคําส่ังปลดผูฟองคดีที่ ๑
ออกจากราชการ ผฟู องคดจี งึ ไมมสี ิทธิฟองคดใี นขอ หานี้ได ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ

คดมี ีประเดน็ ทีต่ อ งวนิ ิจฉยั ตอไปวา มตขิ องผูถกู ฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเมื่อวันท่ี
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ที่ใหเพม่ิ โทษทางวนิ ัยผูฟองคดีท่ี ๑ จากปลดออกจากราชการเปนไลออกจากราชการ
เปนมติท่ีชอบดวยกฎหมายหรือไม และคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีท่ี ๑
ออกจากราชการ ตามคําสั่ง ที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ เปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมาย หรือไม

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๑)
เห็นวา กรณีน้ีคณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีท่ี ๑
ไดมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย โดยมีการแจงขอกลาวพรอมท้ังในโอกาสโตแยง
แสดงพยานหลักฐานโดยถูกตองตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญตามขอ ๑๔
และขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วา ดวยการสอบสวนพิจารณาแลว เมื่อผูฟองคดีท่ี ๑ มีพฤติกรรมสั่งจายเช็ค
ใหตนเอง เบิกถอนเงินออกจากบัญชีของโรงเรียนมากเกินกวาความจําเปน และเก็บเงินสวนตาง
ที่เบิกถอนไวกับตนเองไมนําไปจัดซ้ือจัดจางในทันทีและการจัดซื้อบางรายการไมมีใบเสร็จรับเงิน
มาแสดง และผูฟองคดีที่ ๑ ไมมีเอกสารหลักฐานมาช้ีแจง อีกท้ังไมมีการจัดทําบัญชีรายรับรายจายไว
ตามระเบียบของทางราชการ รวมท้ังการที่ผูฟองคดีที่ ๑ มีพฤติกรรมในการจัดซ้ือของจากราน ย.
เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๖ จํานวนสองรายการ มีการนําเงินงบประมาณป พ.ศ. ๒๕๔๗
ไปใชช ําระหนี้ที่เกิดในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ เปนการใชเงินผิดประเภท การจางเหมารถยนต
เพอ่ื พาครูและนักเรยี นไปศึกษาดูงานสวนสัตวเชยี งใหมเ ม่ือวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๗ โดยวิธีตกลงราคา
ซึ่งมีหลักฐานใบสําคัญการรับเงินแลว แตไมมีหลักฐานการจัดซื้อจัดจาง ถือเปนการไมปฏิบัติ
ใหเปนไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ อีกท้ัง การจัดซ้ือของ
จากรา น บ. เมื่อวันท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จํานวนสองรายการ มีการลงลายมือช่ือผูตรวจรับปลอม
และการจัดซ้ือของจากราน พ. เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๗ จํานวน ๓,๐๐๐ บาท ซ่ึงในเอกสาร
การตรวจรับระบุวาไดชําระเงินแลว กลับปรากฏวาผูฟองคดีที่ ๑ ยังไมไดชําระเงิน ตอมาจึงคืนเงิน
จํานวนดังกลาวใหนาย บ. นําไปชําระใหภายหลัง เห็นไดวาพฤติการณของผูฟองคดีท่ี ๑ ดังกลาว
เปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืนไดรับประโยชน
ที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ ท้ังเปนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติ
ตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกราชการ
อยางรา ยแรง เปนความผิดวนิ ัยอยา งรายแรงตามมาตรา ๘๔ วรรคสาม และมาตรา ๘๕ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงจะตองถูกลงโทษ
ปลดออกจากราชการหรือไลออกจากราชการ ตามความรายแรงแหงกรณี เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ัง
ปลดผูฟองคดีที่ ๑ ออกจากราชการตามมติ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชียงราย เขต ๓ และ
ผูฟองคดีที่ ๑ ไดอุทธรณคําส่ังปลดออกจากราชการตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีอํานาจ
เพ่ิมโทษได ตามขอ ๑๗ วรรคหน่ึง ประกอบขอ ๑๔ (๘) ของกฎ ก.ค.ศ. วาดวยการอุทธรณและ
การพิจารณาอุทธรณ พ.ศ. ๒๕๕๐ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดดําเนินการวินิจฉัยอุทธรณคําส่ังลงโทษ
ปลดออกจากราชการของผูฟ อ งคดที ่ี ๑ จากพยานหลักฐานในสํานวนการสอบสวน เอกสารการอุทธรณ
ของผูฟองคดีท่ี ๑ โดยไดใหโอกาสผูฟองคดีที่ ๑ นํานาย ส. ที่ปรึกษากฎหมายของผูฟองคดีท่ี ๑
เขารวมรับฟงการแถลงการณดวยวาจาของผูฟองคดีที่ ๑ ดวยแลว เมื่อผูฟองคดีที่ ๑ กระทําผิดวินัย
อยางรายแรงตามมาตรา ๘๔ วรรคสาม และมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการครู
และบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซง่ึ ตามขอ ๑๔ (๘) ของกฎ ก.ค.ศ. ดังกลาวขางตน ใหมีมติ
ใหเพิ่มโทษเปนปลดออกจากราชการหรือไลออกจากราชการ และเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติอยางไร

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๒)
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชาตองปฏิบัติตามน้ัน ประกอบกับกรณีกระทําผิดวินัยฐานทุจริต
ตอหนาที่ราชการ คณะรัฐมนตรีมีมติเม่ือวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ ตามหนังสือสํานักเลขาธิการ
คณะรัฐมนตรี ลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ กําหนดวา การลงโทษผูกระทําผิดวินัยฐานทุจริต
ตอ หนา ท่รี าชการ หรือละทิ้งหนาท่ีราชการ เปนความผิดวินัยอยางรายแรง ซ่ึงควรลงโทษเปนไลออก
จากราชการ การนําเงินท่ีทุจริตไปแลวมาคืนหรือมีเหตุอันสมควรปรานีอ่ืนใดไมเปนเหตุลดหยอนโทษ
ลงเปนปลดออกจากราชการ ดังน้ัน การที่ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณและรองทุกข
ซึง่ ทําหนาท่ีแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดพิจารณาคําอุทธรณคําส่ังลงโทษปลดออกแลวมีมติในการประชุม
เมื่อวันท่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ใหเพิ่มโทษทางวินัยผูฟองคดีท่ี ๑ จากปลดออกจากราชการเปนไลออก
จากราชการ จึงถูกตองเหมาะสม และชอบดวยกฎหมายแลว เมื่อมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ชอบดวยกฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๐
ลงโทษไลผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ ตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวย
กฎหมายเชน กัน

คดีมีประเด็นท่ีตองวินิจฉัยตอไปอีกวา ผูฟองคดีทั้งสองจะตองชดใชเงินบําเหน็จ
ใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ หรือไม เพียงใด เม่ือคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีที่ ๑
ออกจากราชการชอบดวยกฎหมาย ดังน้ัน จึงรับฟงเปนยุติวาผูฟองคดีที่ ๑ เปนผูท่ีไมมีสิทธิไดรับ
บําเหน็จ เน่ืองจากเปนขาราชการท่ีถูกไลออกจากราชการเพราะกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘ (๑) แหง พ.ร.บ. บําเหน็จบํานาญขาราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ผูฟองคดีที่ ๑ จึงตองคืนเงิน
บําเหน็จที่รับไปโดยไมมีสิทธิใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๐ เรียกใหผูฟองคดีท่ี ๑ ชดใชเงินบําเหน็จจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท
คนื ใหแกผ ูถูกฟอ งคดีท่ี ๓ ใหเสร็จส้ินภายใน ๓๐ วัน นับแตวันที่ไดรับหนังสือ ผูฟองคดีที่ ๑ ไดรับ
หนังสือดังกลาวเม่ือวันท่ี ๑๐ กันยายน ๒๕๕๐ ซ่ึงครบกําหนดในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐
แตเ พิกเฉยไมน ําเงินบําเหนจ็ ไปชําระเงินคนื ใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ผูฟองคดีท่ี ๑ จึงตกเปนผูผิดนัด
เพราะเจาหนี้เตอื นแลว ทงั้ นี้ ตามมาตรา ๒๐๔ วรรคหนึง่ แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ผูฟองคดีที่ ๑ จึงตองรับผิดชําระดอกเบ้ียในระหวางเวลาผิดนัดในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงิน
จํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท ตามมาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง แหงประมวลกฎหมายดังกลาว ตั้งแตวันท่ี
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ จนถงึ วนั ฟองคดี คอื วนั ท่ี ๒๕ มถิ ุนายน ๒๕๕๑ เปนเวลา ๒๕๘ วัน คิดเปนดอกเบ้ีย
จาํ นวน ๓๘,๒๓๖.๒๐ บาท รวมเปนตนเงินและดอกเบ้ียทั้งสิ้นจํานวน ๗๕๙,๔๘๗.๖๐ บาท นอกจากน้ี
ยังตองรับผิดชําระดอกเบ้ียของตนเงินจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท นับถัดจากวันฟองเปนตนไป
จนกวาจะชําระเสร็จอีกดวย เมื่อผูฟองคดีท่ี ๑ ผิดนัดชําระหน้ีใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ ผูฟองคดีท่ี ๒
ในฐานะผคู า้ํ ประกันจึงตองรบั ผดิ รว มกันกับผูฟ อ งคดีที่ ๑ ในการชําระหน้ีจํานวนดังกลาวพรอมดอกเบี้ย
ตั้งแตวันถัดจากวันผิดนัดใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ดวย ท้ังน้ี ตามมาตรา ๖๘๖ และมาตรา ๖๙๑
แหงประมวลกฎหมายเดียวกัน อยางไรก็ตาม เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีคําขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งใหผูฟองคดีท้ังสองรับผิดชดใชเงินบําเหน็จคืนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เปนเงินจํานวน
๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท พรอมดวยดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวนดังกลาว

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๓)
นับแตวันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถึงวันฟองคดี คือ วันท่ี ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๑ เปนเงินจํานวน
๓๖,๐๖๒.๖๔ บาท รวมเปนเงินบําเหน็จและดอกเบ้ียทั้งส้ินจํานวน ๗๕๗,๓๑๔.๐๔ บาท
ศาลจงึ พิพากษาใหไ ดไ มเ กนิ คาํ ขอ ดังนน้ั ผฟู องคดที ั้งสองจงึ ตอ งรว มกันและหรือแทนกันชําระเงิน
บําเหน็จคืนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ จํานวน ๗๕๗,๓๑๔.๐๔ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ
๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท นับถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระ
เสร็จใหแกผ ูถ กู ฟองคดที ่ี ๓ ทศ่ี าลปกครองชนั้ ตนมีคําพิพากษายกฟองผูฟองคดีท่ี ๑ และใหผูฟอง
คดีท่ี ๑ และท่ี ๒ รวมกันและหรือแทนกันชําระเงินบําเหน็จคืนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จํานวน
๗๕๗,๓๑๔.๐๔ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรา ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๗๒๑,๒๕๑.๔๐ บาท
นับถดั จากวนั ฟอ งเปนตนไปจนกวา จะชําระเสร็จ ท้ังนี้ ใหชําระใหแลวเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต
วันที่คดีถึงที่สุด กับใหคืนคาธรรมเนียมศาลท้ังหมดแกผูถูกฟองคดีที่ ๓ คําขออ่ืนใหยก นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดว ย

พพิ ากษายนื

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๐๐๙ – ๑๐๑๐/๒๕๖๓
ผูฟอ งคดฟี องวา ขณะผฟู องคดรี ับราชการเปนขาราชการตํารวจยศรอยตํารวจเอก

ผูถูกฟอ งคดที ่ี ๒ (ผบู ญั ชาการตํารวจภูธรภาค ๕) มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ แตงตั้งผูฟองคดี
ซึ่งดํารงตาํ แหนง รองสารวตั รปองกนั ปราบปราม สถานีตาํ รวจนครบาลพญาไท ใหไปดํารงตําแหนง
รองสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรอําเภอสบเมย จังหวัดแมฮองสอน ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ) ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี กรณีผูฟองคดีซ่ึงมีหนาที่รับผิดชอบโดยตรง
ในการปราบปรามแหลงอบายมุขในพื้นท่ี ไดปลอยปละละเลยหรืออาจเขาไปมีผลประโยชนเก่ียวของ
ใหมีบอนการพนันขนาดใหญในพ้ืนท่ีจนถูกเจาหนาที่ตํารวจจากหนวยเหนือเขาทําการจับกุม ไดผูตองหา
และของกลางจํานวนมาก แตผูฟองคดีไมรูเร่ือง ไมมีสวนรวมในการจับกุมและไมไดใหการชวยเหลือ
สนับสนุนในการเขาจับกุม ระหวางรอผลการรองทุกขดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําส่ังลงวันที่
๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ สงสํารองราชการผูฟองคดีที่กองบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน
เนื่องจากผูฟองคดีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงจนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน
แตยังไมถึงข้ันถูกสั่งพักราชการ หรือส่ังใหออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงไดมีหนังสือลงวันท่ี
๕ กันยายน ๒๕๕๐ รองทุกขตอประธานของผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ)
ซึ่งอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการรองทุกขทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ)
ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ มีมติใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา
คําสัง่ สาํ นกั งานลงวันที่ ๒๑ มิถนุ ายน ๒๕๕๐ ท่แี ตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี และคําส่ัง
ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ ท่ีสั่งใหผูฟองคดีสํารองราชการเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมาย
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔
ทแี่ ตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดีใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๔)
เปน จํานวนเงิน ๗,๕๐๐ บาท ใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ ท่ีสํารองราชการผูฟองคดี
ทก่ี องบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกคําสั่งแตงต้ังผูฟองคดี
ไปดํารงตําแหนงรองสารวัตรในสังกัดกองบัญชาการตํารวจนครบาลที่ผูฟองคดีเคยดํารงตําแหนง
มากอนถูกแตงตั้งไปดํารงตําแหนงท่ีตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอนในโอกาสแรก และเพิกถอนมติ
ของผถู กู ฟองคดีที่ ๔ ทยี่ กคํารอ งทุกขของผฟู องคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรง
เปนข้ันตอนอันเปนสาระสําคัญเพ่ือแสวงหาขอเท็จจริงตามขอกลาวหา ซึ่งเมื่อคณะกรรมการสอบสวน
ดาํ เนนิ การเสร็จตองรายงานผลการสอบสวนและความเห็นตอผูบังคับบัญชาซ่ึงกฎหมายกําหนดให
เปนผูมีอํานาจพิจารณาวินิจฉัยวา ผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยหรือไม ในชั้นถูกต้ังกรรมการสอบสวน
ทางวินัยอยางรายแรง ผูถูกกลาวหาอางวาตนมิไดกระทําผิดวินัยตามขอกลาวหาและนําคดีมายื่นฟอง
ขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรง โดยผูบังคับบัญชา
ยังมิไดว ินิจฉัยวา ผถู กู กลาวหากระทาํ ผิดวนิ ยั หรือไม ผูถูกกลาวหาจึงยังไมอยูในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองคดี
ตอศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ดังนั้น เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๑
ยงั มิไดวินจิ ฉยั วา ผฟู อ งคดีกระทาํ ผดิ วินยั ตามขอกลาวหา ผูฟองคดีในฐานะผูถูกกลาวหาจึงยังไมอยู
ในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
เรอ่ื ง แตง ต้งั คณะกรรมการสอบสวน และคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี
ในกรณีดังกลาว สําหรับคําฟองในสวนท่ีขอใหผูถูกฟองคดีที่ ๔ ชดใชคาเสียหายนั้น เม่ือผูฟองคดี
ไมอยูในฐานะเปนผูมีสิทธิฟองโตแยงการกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนผฟู องคดี ดงั นน้ั ผฟู องคดจี ึงยังไมอ ยูในฐานะเปนผูม สี ทิ ธฟิ อ งคดีตอ ศาลขอใหผ ูถูกฟองคดีที่ ๔
ชดใชคาเสียหายในมูลละเมิดอันเกิดจากการกระทําดังกลาวเชนเดียวกัน ทั้งน้ี เม่ือปรากฏวา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี
กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงเมื่อครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองสารวัตรปองกัน
และปราบปราม สถานีตํารวจนครบาลพญาไท กรณีจึงมีเหตุตามที่กําหนดใน กฎ ก.ตร. วาดวย
การสั่งใหขาราชการตํารวจประจําสํานักงานตํารวจแหงชาติ หรือสวนราชการใด หรือสํารองราชการ
ในสวนใด พ.ศ. ๒๕๔๘ ขอ ๓ ท่ีผูบังคับบัญชาสามารถส่ังพักราชการได และในขณะที่ผูฟองคดี
ถูกสั่งใหสํารองราชการน้ัน ผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองสารวัตรปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธร
สบเมย จังหวัดแมฮองสอน ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๕
จึงมีอํานาจตามมาตรา ๖๑ (๓) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ออกคําส่ังลงวันที่
๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ เร่ือง ใหขาราชการตํารวจสํารองราชการ และตามคําส่ังสํารองราชการดังกลาว
ไดแจง เหตุที่มคี ําสัง่ สาํ รองราชการใหผฟู องคดีทราบแลววา เนื่องจากผูฟองคดีถูกตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ยั อยางรายแรง คําส่ังของผูถ ูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันท่ี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ ที่ใหผูฟองคดี
ซ่งึ ตาํ แหนงรองสารวตั รปองกนั และปราบปราม สถานีตาํ รวจภูธรอําเภอสบเมย จงั หวัดแมฮองสอน
สํารองราชการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน จึงเปนการกระทําโดยชอบดวยกฎหมายแลว การท่ี
ผถู กู ฟองคดที ี่ ๓ มคี ําสงั่ ตามหนังสอื ลงวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ ที่ใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๕)
จึงเปน คาํ สั่งที่ชอบดวยกฎหมายเชนกัน ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟองนั้น ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดว ยในผล

พพิ ากษายนื

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อบ.๕๑-๕๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ในขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ

พันตํารวจเอก ท. ไดยนื่ หนังสือรองเรยี นลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
และลงวนั ที่ ๒๘ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๕๑ ตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกรัฐมนตรี) โดยกลาวหาวาผูฟองคดี
กระทําผิดวินัย ซ่ึงสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีไดรับหนังสือรองเรียนของพันตํารวจเอก ท.
ทง้ั สามฉบับดังกลาวเมื่อวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ และภายหลังจากไดรับหนังสือรองเรียนดังกลาว
เพยี ง ๑ วนั ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ ไดอ อกคาํ ส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี และออกคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒
(สํานักนายกรัฐมนตรี) ผูฟองคดีจึงมีหนังสือรองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๔ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ)
เพื่อขอใหยกเลิกคําส่ังทั้งสองคําส่ังดังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๕ (คณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจ
เก่ียวกับการรองทุกข) กระทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไดมีมติใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑
และคําส่ังท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เสนอโปรดเกลาฯ
ใหผูฟองคดีกลับมาดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติในทันทีที่ศาลมีคําส่ัง และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
ถึงท่ี ๓ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ ที่ ๓) รวมกันหรือแทนกันชดใชคาสินไหมทดแทน เงินเดือน
เงินคาบริหาร และเงินประจําตําแหนงใหแกผูฟองคดี โดยคํานวณตั้งแตวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ รวมเปนเงินจํานวน ๗๘๘,๕๕๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรา
รอ ยละ ๗.๕ ตอ ป นบั แตว นั ฟองคดีเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ และชําระคาเสียหายตอช่ือเสียง
ของผูฟองคดีและวงศตระกูล รวมท้ังคาเสียหายทางจิตใจและเกียรติยศเปนเงินจํานวน ๑๐๐ ลานบาท
เพิกถอนมติผูถูกฟองคดีที่ ๕ ท่ีใหยกคํารองทุกขของผูฟองคดีในระหวางการพิจารณาของ
ศาลปกครองชั้นตนปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบ
ใหยตุ ิการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ เพ่ิมเติม
ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๔๕/๒๕๕๑ และใหยกเลิกคําส่ังที่ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน
ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗๓/๒๕๕๑ เห็นวา เมื่อพิจารณาตามมาตรา ๘๔ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และขอ ๒ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง
พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว จะเหน็ ไดว า เมือ่ มกี ารกลาวหาวา ขา ราชการตาํ รวจกระทําผิดวนิ ัย กฎหมายบัญญตั ิให
อํานาจดุลพินิจแกผูบังคับบัญชาของขาราชการตํารวจคนดังกลาววา หากผูบังคับบัญชาพิจารณา
ในเบื้องตนแลวเห็นวา กรณีมีมูลเพียงพอที่จะออกคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรา ยแรงขา ราชการตาํ รวจทีถ่ กู กลา วหาได ผูบังคับบัญชาก็มอี ํานาจออกคําส่งั แตง ตง้ั คณะกรรมการ

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๖)
สอบสวนวินัยอยางรายแรงไดโดยไมตองสืบสวนขอเท็จจริง แตก็มิไดหมายความวาผูบังคับบัญชา
จะใชอํานาจดุลพินิจนั้นอยางไรตามอําเภอใจก็ได เพราะแมคําส่ังดังกลาวจะยังไมมีผลกระทบ
ตอสิทธิและหนาที่ของขาราชการตํารวจคนนั้นโดยตรงก็ตาม แตคําส่ังดังกลาวก็อาจเปนฐานที่มา
ในการออกคําสั่งอื่น ๆ ที่กระทบสิทธิของขาราชการตํารวจผูนั้นได ดวยเหตุนี้ ศาลยอมมีอํานาจ
ตรวจสอบการใชดุลพินจิ ดังกลา ววาสอดคลองกับวตั ถุประสงคของกฎหมายและอยูภายใตขอบเขต
ของกฎหมายที่ใหอํานาจหรือไม เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา เม่ือพันตํารวจเอก ท. ยื่นหนังสือรองเรียน
ผูฟองคดีจํานวน ๓ ฉบับ ดังน้ี (๑) ผูฟองคดีดําเนินโครงการเชารถยนตขนาดตางๆ โดยมีพฤติการณ
สอไปในทางทุจริต และเปนการกระทําท่ีฝาฝนกฎหมาย (๒) ผูฟองคดีสั่งการโดยใชถอยคําท่ีมิบังควร
และไมเหมาะสมในฐานะที่เปนผูบังคับบัญชาสูงสุดของหนวยงาน (๓) ผูฟองคดีดําเนินการ
บริหารงานบุคคลโดยออกคําส่ังแตงต้ังขาราชการตํารวจโดยไมถูกตองตามท่ีกฎหมายกําหนด
พรอมเอกสารประกอบประมาณ ๖๐๐ แผน ซึ่งขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียนดังกลาวบางกรณี
เปนเร่ืองท่ีมีรายละเอียดปลีกยอยจํานวนมากและมีขอเท็จจริงท่ีเกี่ยวพันกับหลายหนวยงาน รวมทั้งใชเงิน
งบประมาณจํานวนมาก ประกอบกับในขณะนนั้ ผูฟอ งคดดี าํ รงตําแหนง เปนผูบญั ชาการตาํ รวจแหงชาติ
อันเปนผูบังคับบัญชาสูงสุดของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และเปนกรณีกลาวหาวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชา จึงควรตรวจสอบความถูกตองของขอมูล
ตามหนังสือรองเรียนและเอกสารประกอบดวยความละเอียดรอบคอบ เพ่ือใหไดความชัดเจนในเรื่องท่ี
รอ งเรียนเสยี กอ นวามีมลู เพียงพอท่ีจะสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีหรือไม
โดยเฉพาะผูรองเรียนเปนผูที่เคยถูกปลดออกจากราชการตํารวจ เน่ืองจากผูรองเรียนนําขอความ
ตามหนังสือรองทุกขที่กลาวหาวาผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่ดวยอคติและขาดความยุติธรรมไปให
หนังสือพิมพ โดยมีเจตนาใหหนังสือพิมพเผยแพรขอความดังกลาว เพื่อใหเกิดความเสียหาย
แกผูฟองคดี แตกลับปรากฏวา ในข้ันตอนการพิจารณาเรื่องรองเรียนเพื่อมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ยั อยา งรา ยแรงผฟู อ งคดีเปน ไปดวยความรวดเร็วผิดปกติ ตั้งแตในช้ันพิจารณาเบ้ืองตน
ของผถู กู ฟองคดีที่ ๒ และในช้ันสัง่ การของผูถ ูกฟอ งคดที ี่ ๑ ซงึ่ เม่อื พจิ ารณาขอกลา วหาตามหนังสือ
รองเรียนแตละฉบับแลวเห็นวา ขอกลาวหาท่ีวาผูฟองคดีดําเนินโครงการเชารถยนตประเภทตาง ๆ
ของผถู กู ฟองคดีที่ ๓ โดยมีพฤติการณสอไปในทางทุจริต นั้น ปรากฏขอเท็จจริงในภายหลังวาสํานักงาน
ตรวจสอบการบริหารพัสดุและสืบสวนท่ี ๓ สํานักงานการตรวจเงินแผนดิน มีบันทึกเสนอความเห็นวา
ไมพบพฤติการณที่เปนการกีดกันการเสนอราคาของผูใหเชารถยนตรายใดรายหนึ่ง และไมปรากฏวา
มีพฤติการณใดที่เปนการทุจริตกอใหเกิดความเสียหายแกราชการ จึงเห็นควรไมรับเร่ืองไวตรวจสอบ
โดยรองผูวาการตรวจเงินแผนดินไดเห็นชอบใหยุติเรื่องเม่ือวันท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ สวนขอกลาวหา
ทวี่ า ผฟู องคดีสั่งการโดยใชถ อยคาํ ท่มี ิบงั ควรและไมเหมาะสมในฐานะทีเ่ ปนผบู งั คบั บญั ชาสูงสุดของ
หนวยงาน น้ัน แมขอเท็จจริงจะพิจารณาไดตามหนังสือรองเรียนดังกลาว แตการกระทําดังกลาว
ของผูฟองคดีก็เปนเพียงการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานใชกิริยาวาจาหรือประพฤติตน
ในลักษณะที่ไมสมควร ตามมาตรา ๗๘ (๑๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เทานั้น
สาํ หรบั ขอกลาวหาท่ีวาผูฟองคดีดําเนินการบริหารงานบุคคลโดยไมถูกตองตามท่ีกฎหมายกําหนด น้ัน

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๗)
การที่ผฟู อ งคดมี ีคําสง่ั กาํ หนดตาํ แหนงเพอ่ื ใหสอดคลอ งกับปริมาณงานและคุณภาพตามหนาที่และ
ความรับผิดชอบของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ตามท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไดมีมติไว และการกําหนดตําแหนง
ขาราชการตํารวจดังกลาวสามารถดําเนินการแกไขไดดวยการแกไขเพ่ิมเติมกฎกระทรวงแบงสวนราชการฯ
อีกทั้ง หากขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียนทั้งสามฉบับของพันตํารวจเอก ท. มีพยานหลักฐาน
เพียงพอท่ีจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงเพื่อพิสูจนความผิดของผูฟองคดีไดจริง
ตามที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาแลว การดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดีก็นาจะดําเนินการไปได
โดยรวดเร็วเสมือนกับมีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจงตามหนังสือรองเรียน แตกลับปรากฏวา
อีกประมาณ ๒ ป ๓ เดือน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ใหยุติการสอบสวน
ทางวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ และใหยกเลิกคําส่ัง
ท่ีใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน ตามคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ โดยอาศัยอํานาจ
ตามขอ ๑๒ (๙) ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสั่งพักราชการและการส่ังใหออกจากราชการไวกอน
พ.ศ. ๒๕๔๗ เน่ืองจากคณะกรรมการสอบสวนฯ ดําเนินการสอบสวนไมแลวเสร็จภายในระยะเวลา ๑ ป
นับแตผูฟองคดีถูกสัง่ ใหอ อกจากราชการไวกอ น อันเปนการแสดงใหเห็นวา คณะกรรมการสอบสวนฯ
ทผ่ี ถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ แตง ต้งั ไมอาจสอบสวนหาพยานหลักฐานมาพสิ ูจนไ ดวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงตามหนังสือรองเรียนของพันตํารวจเอก ท. จึงแสดงใหเห็นโดยปริยายวาขอกลาวหา
ตามหนังสือรองเรียนท้ังสามฉบับของพันตํารวจเอก ท. ยังไมมีขอเท็จจริงและพยานหลักฐานสนับสนุน
เพียงพอที่จะแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีได ฉะนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
อาศัยขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียนของพันตํารวจเอก ท. ทั้งสามฉบับ ในการออกคําส่ังสํานัก
นายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผูฟองคดี จึงเปนกรณีที่ไมมีมูลเพียงพอที่จะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผูฟองคดี อันเปนการใชดุลพินิจในการออกคําส่ังโดยไมชอบตามมาตรา ๘๔ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบขอ ๒ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง
พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนั้น คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
ที่แตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยอยางรา ยแรงผูฟ องคดี จงึ ไมชอบดวยกฎหมาย อยางไรก็ตาม
เมือ่ คาํ ส่งั แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงเปนเพียงกระบวนการแสวงหาขอเท็จจริง
และรวบรวมพยานหลักฐานตามขอกลาวหาเพ่ือนําไปสูการออกคําสั่งลงโทษทางวินัยอันเปนคําสั่ง
ทางปกครอง ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
ผฟู องคดี จึงยังไมมผี ลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดีและเปนเพียงข้ันตอน
การพิจารณาทางปกครอง ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดจากคําส่ังดังกลาว ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงมิใชผูมีสิทธิฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งสํานัก
นายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ ดังกลาว กรณีพิจารณาไดตอไปวาเหตุผลท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่ง
ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๘)
พ.ศ. ๒๕๓๔ อันเปนกฎหมายท่ัวไป น้ัน สืบเนื่องมาจากผูฟองคดีถูกแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรง เมื่อผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติและถูกแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรง ซึ่งมีมาตรา ๖๑ (๑) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ อันเปน
กฎหมายเฉพาะ ไดบัญญัติใหอํานาจผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะผูบังคับบัญชาท่ีจะส่ังใหผูฟองคดี
ไปปฏิบัติราชการในสวนราชการใดไวเปนการเฉพาะแลว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะมีคําสั่งให
ผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยใหพนจากตําแหนงหนาท่ีเดิมและโดยจะใหขาด
จากอัตราเงินเดอื นในตาํ แหนงเดมิ หรอื ไมกไ็ ด จึงตองอาศัยอาํ นาจตามมาตรา ๖๑ (๑) แหง พ.ร.บ.
ตาํ รวจแหง ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบขอ ๓ (๑) ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสั่งใหขาราชการตํารวจ
ประจําสํานักงานตํารวจแหงชาติ หรือสวนราชการใด หรือสํารองราชการในสวนราชการใด
พ.ศ. ๒๕๔๘ อันเปนกฎหมายเฉพาะ ทั้งน้ี แมผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะมีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๑ (๔) แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน
พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบมาตรา ๗๒ (๑) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ อันเปนบทกฎหมาย
ที่บัญญตั อิ าํ นาจหนาทีใ่ นการบรหิ ารงานบุคคลโดยทั่วไปของผูถกู ฟอ งคดีที่ ๑ ก็ตาม กรณีเปนเพียง
การอางองิ บทบัญญัตแิ หงกฎหมายท่ีเปนฐานอํานาจในการออกคําส่ังผิดพลาดคลาดเคลื่อนเทาน้ัน
มิใชกรณีที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ปราศจากอํานาจในการออกคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๕/๒๕๕๑
แตอยางใด อยางไรก็ตาม เม่ือไดวินิจฉัยในขางตนแลววา คําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรา ยแรงผูฟ องคดี เปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งสํานัก
นายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการ
ท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยอาศัยเหตุวาผูฟองคดีถูกแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง นั้น
จึงเปนกรณีที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ นําขอเท็จจริงที่ไมชอบดวยกฎหมายมาใชเปนฐานในการมีคําส่ัง
ใหผูฟองคดีไปปฏิบัติราชการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ อันมีผลใหคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๕/๒๕๕๑
เปน คําส่ังท่ไี มช อบดวยกฎหมาย และมติของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๔ ท่ียกคํารองทุกข
ของผูฟ องคดี โดยอาศัยขอเท็จจริงและขอกฎหมายเดียวกันกับการออกคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ท่ี ๓๔/๒๕๕๑ และคําสั่งที่ ๓๕/๒๕๕๑ จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน แตเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ ไดส้ินผลไปแลวโดยผลของคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๗๓/๒๕๕๑ ลงวันท่ี ๘ เมษายน ๒๕๕๑ ที่ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน ศาลจึงไมจําตอง
มีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังดังกลาว และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ในการประชุมเม่ือวันท่ี
๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ ที่ยกคํารองทุกขของผูฟองคดี เมื่อไดวินิจฉัยแลววา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑ และคําส่ัง ท่ี ๓๕/๒๕๕๑ เปนการใชอํานาจออกคําส่ัง
โดยไมชอบดวยกฎหมาย และคําส่ังดังกลาวมีผลทําใหผูฟองคดีไมไดรับสิทธิประโยชนตาง ๆ
ในตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ จึงเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย อันเปน
การกระทําละเมิดแกผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย สําหรับ
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอนโดยอาศัยเหตุวา
ผูฟองคดีถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา ๙๕ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๗๙)
พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบขอ ๓ (๑) และ (๒) และขอ ๘ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการส่ังพักราชการ
และการสั่งใหออกจากราชการไวกอน พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงเปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ นําขอเท็จจริง
ที่ไมชอบดวยกฎหมายมาใชเปนฐานในการมีคําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน อันมีผลให
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗๓/๒๕๕๑ เปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมาย และเม่ือคําส่ังดังกลาว
มีผลทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย โดยทําใหผูฟองคดีตองพนจากการปฏิบัติหนาที่ราชการ
จึงเปนการกระทําละเมิดแกผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ท้งั นี้ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑ คําส่ัง ที่ ๓๕/๒๕๕๑ และ
คาํ สงั่ ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ เปน การกระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาท่ใี หแ กผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓
จึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูฟองคดีในผลแหงละเมิดที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดกระทําในการ
ปฏิบัติหนาที่ ตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
ดวยเหตุนี้ คาสินไหมทดแทนท่ีผูฟองคดีจะเรียกรองไดน้ันตองเปนคาเสียหายที่เปนผลโดยตรงจาก
การกระทําละเมิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงสามารถแยกพิจารณาคาสินไหมทดแทนที่ผูฟองคดี
มีสิทธิไดรับ ดังน้ี การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๕/๒๕๕๑ ใหผูฟองคดี
ไปปฏิบัติราชการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๗๓/๒๕๕๑ ใหผูฟองคดี
ออกจากราชการไวกอน เปนเหตุใหผูฟองคดีไมไดรับเงินเดือนและเงินประจําตําแหนงผูบัญชาการ
ตํารวจแหงชาติ จึงเปนคาเสียหายท่ีเปนผลโดยตรงจากการกระทําละเมิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ผูฟองคดีจึงมีสิทธิไดรับเงินเดือน ต้ังแตวันท่ี ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ถึงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑
ซึ่งเปนวันท่ีผูฟองคดีเกษียณอายุราชการ รวมเปนเงินจํานวน ๓๓๕,๗๕๐ บาท และเงินประจํา
ตําแหนงเดือนละ ๔๒,๐๐๐ บาท ตั้งแตวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑
รวมเปน เงินจาํ นวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท สวนคา เบีย้ ประชมุ ผูถ กู ฟองคดที ี่ ๔ น้ัน เมื่อผูฟองคดีไมไดเขา
รว มประชมุ ผถู กู ฟองคดีท่ี ๔ ในระหวางเดอื นมีนาคม ๒๕๕๑ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีจึง
ไมมีสิทธิไดรับคาเบ้ียประชุมดังกลาว สวนคาเสียหายทางจิตใจ รวมทั้งช่ือเสียงของผูฟองคดี
และวงศตระกูล น้ัน เมื่อพฤติการณแสดงใหเห็นวา การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี มิไดมีวัตถุประสงคเพื่อพิสูจนความผิดของผูฟองคดีตามหนังสือ
รองเรยี นทงั้ สามฉบบั ของพันตาํ รวจเอก ท. ท้ังยังปรากฏขอเท็จจริงที่แสดงใหเห็นวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ประสงคจะถวงเวลาในการดําเนินกระบวนการพิจารณาเร่ืองรองทุกขของผูฟองคดี อันเปนเหตุให
การพิจารณาเร่ืองรองทุกขดังกลาวโดยผูถูกฟองคดีที่ ๕ ตองลาชาออกไปเปนเวลาเกือบหาเดือน
ทงั้ ๆ ท่ีในขณะน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ดํารงตําแหนงประธานของผูถูกฟองคดีที่ ๔ จึงเปนการแสดงใหเห็น
อีกวา การดําเนนิ การและไมดําเนินการของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามที่วินิจฉัยมาขางตน ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มิไดประสงคจะใหมีการพิสูจนความผิดของผูฟองคดีตามเจตนารมณของการดําเนินการทางวินัย
แตมุงประสงคเพียงเพื่อใหผูฟองคดีพนไปจากตําแหนงผูบัญชาการตํารวจแหงชาติเทาน้ัน อันเปน
การกระทําโดยไมสุจริต ประกอบกับภายหลังจากท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓๔/๒๕๕๑ คําสั่งท่ี ๓๕/๒๕๕๑ และคําสั่งที่ ๗๓/๒๕๕๑ ก็ไดมีการเผยแพรคําสั่งดังกลาวของ
ผถู กู ฟองคดที ี่ ๑ ผา นสอื่ สารมวลชน ทางดานวิทยุ โทรทัศน และหนังสือพิมพ อันอาจทําใหบุคคล

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๐)
ท่ัวไปที่รับรูขาวสารดังกลาว รวมทั้งผูใตบังคับบัญชาของผูฟองคดี เกิดความเคลือบแคลงสงสัย
ในตัวของผูฟองคดีวาผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่โดยทุจริตและกระทําการอ่ืนโดยไมชอบดวยกฎหมาย
ตามที่ถูกรองเรียนจริง จึงทําใหผูฟองคดีไดรับความอับอายและตองเส่ือมเสียชื่อเสียง อันเปนความเสียหาย
ตอจิตใจของผูฟองคดี แมในเวลาตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังใหยุติการสอบสวนทางวินัย
อยางรายแรงแกผูฟองคดี แตก็ไมอาจเยียวยาความเสียหายทางจิตใจของผูฟองคดีใหกลับมาดังเดิม
เหมือนกอนท่ีจะมีคําสั่งดังกลาวได เม่ือพิจารณาพฤติการณและความรายแรงแหงการกระทําละเมิด
ในคดีน้ีแลว เห็นควรกําหนดคาสินไหมทดแทนความเสียหายทางจิตใจใหแกผูฟองคดีเปนเงินจํานวน
๑๐๐,๐๐๐ บาท สําหรับดอกเบี้ยผิดนัด น้ัน เมื่อความเสียหายท่ีผูฟองคดีไดรับเปนหน้ีอันเกิด
แตมูลละเมิด จึงถือวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ผิดนัดนับแตวันที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ กระทําละเมิด และเม่ือ
คาสินไหมทดแทนท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะตองรับผิดชดใชใหแกผูฟองคดีเปนหนี้เงิน ผูฟองคดีจึงมีสิทธิ
ไดรับชําระดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาว นับแตวันกระทําละเมิด ทั้งนี้
ตามมาตรา ๒๐๖ ประกอบมาตรา ๒๒๔ วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
แตเม่ือคดีนี้ ผูฟองคดีมีคําขอดอกเบ้ียผิดนัดนับแตวันฟองคดีเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จส้ิน
ศาลจึงพิพากษาใหตามคําขอ ดวยเหตุน้ี ผูฟองคดีจึงมีสิทธิไดรับดอกเบ้ียของเงินประจําตําแหนง
จํานวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาว นับแตวันฟองเปนตนไป
จนกวาจะชําระเสร็จสิ้น สวนดอกเบ้ียผิดนัดของเงินเดือนจํานวน ๓๓๕,๗๕๐ บาท น้ัน
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดีไดรับเงินเดือนครบถวนแลวเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗
ผฟู องคดจี งึ มีสิทธิไดรับชําระดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาว นับแตวันฟองคดี
เปนตนไปจนถึงวันท่ี ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗ สําหรับดอกเบ้ียผิดนัดของคาเสียหายทางจิตใจจํานวน
๑๐๐,๐๐๐ บาท น้ัน เมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดีไดมีคําขอดอกเบี้ยผิดนัดสําหรับคาสินไหมทดแทน
ดังกลาว ศาลจึงไมอาจกําหนดดอกเบ้ียในสวนนี้ใหได ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง
ในประเด็นท่ีผูฟองคดีขอใหศาลพิพากษาเพิกถอนคําส่ังสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๔/๒๕๕๑
และคําส่ังท่ี ๓๕/๒๕๕๑ แตใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๓
สิงหาคม ๒๕๕๑ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ รับผิดชดใชคาเสียหาย จํานวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท พรอม
ดอกเบ้ียในอตั รารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จส้ินใหแกผูฟองคดี
ภายใน ๓๐ วัน นับแตวันท่ีคําพิพากษาถึงท่ีสุด สวนคําขออื่นใหยก และคืนคาธรรมเนียมศาล
ตามสวนแหงการชนะคดีใหแกผฟู อ งคดี นัน้ ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวยบางสวน

พิพากษาแก เปนใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ชดใชคาสินไหมทดแทน จํานวน ๓๙๔,๐๐๐ บาท
พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๒๙๔,๐๐๐ บาท นับแตวันฟอง
เปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จสิ้นแกผูฟองคดี รวมท้ังชําระดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป
ของตน เงนิ จํานวน ๓๓๕,๗๕๐ บาท นับแตวันฟองจนถึงวันท่ี ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗ ใหแกผูฟองคดี
ทั้งนี้ ภายใน ๓๐ วัน นับแตวันที่มีคําพิพากษา และใหยกฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๖ (สํานักงาน
คณะกรรมการขา ราชการตาํ รวจ) นอกจากที่แก ใหเปนไปตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตน

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๑)
และใหคืนคาธรรมเนียมศาลในศาลปกครองช้ันตนและในช้ันอุทธรณแกผูฟองคดีตามสวนของ
การชนะคดี

การดาํ เนินการตามขน้ั ตอนและวธิ กี ารทีก่ ฎหมายกําหนดกอ นการฟอ งคดี

คาํ ส่ังศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๑๔๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนพนักงานสวนตําบล ตําแหนงผูอํานวยการกองชาง

(นักบริหารงานชาง) ระดับตน สังกัดองคการบริหารสวนตําบลนานกกก ถูกกลาวหาวาไดกระทํา
ผิดวินัยอยางรายแรงในกรณีเมื่อคร้ังดํารงตําแหนงหัวหนาสวนโยธา สังกัดองคการบริหาร
สวนตําบลบานดานนาขาม ไดรับการแตงตั้งเปนคณะกรรมการกําหนดราคากลางและคณะกรรมการ
ตรวจรับงานจางโครงการขุดลอกคลอง ๓ โครงการขององคการบริหารสวนตําบลบานดานนาขาม
อําเภอเมอื งอุตรดติ ถ จงั หวดั อุตรดิตถ ซง่ึ สํานักงานการตรวจเงินแผนดินโดยสํานักตรวจสอบพิเศษ
ภาค ๙ ไดตรวจสอบสืบสวนพบวา คณะกรรมการกําหนดราคากลางไดกําหนดราคากลางสูงกวา
ท่ีควรจะเปนและกําหนดราคากลางไมถูกตอง เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกองคการบริหาร
สวนตําบลบานดานนาขามรวมเปนเงิน ๘,๓๑๑,๓๔๑ บาท ตอมา คณะกรรมการสอบสวน
ไดร ายงานการสอบสวน เหน็ ควรลงโทษผูฟองคดีผูถูกกลาวหาข้ันไลออกจากราชการ แตเน่ืองจาก
รับราชการมาเปนเวลานาน ไมเ คยถูกลงโทษทางวินัยมากอน จึงมเี หตบุ รรเทาโทษ เห็นควรลดโทษ
จากสถานโทษขั้นไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (นายกองคการ
บรหิ ารสว นตาํ บลนานกกก) เห็นชอบกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนจึงใหเสนอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดอุตรดิตถ) พิจารณาตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุม
เมือ่ วนั ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จงึ ไดมีมตใิ หลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จึงมีคาํ ส่ังลงวนั ที่ ๒๗ มิถนุ ายน ๒๕๖๐ ปลดผูฟ อ งคดีออกจากราชการตงั้ แตวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐
เปน ตน ไป ผฟู องคดไี ดอ ุทธรณคาํ สง่ั ดงั กลา ว ตอ มา ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๒ ไดม ีมตใิ นการประชุมเม่ือวันท่ี
๑๓ กุมภาพันธ ๒๕๖๑ และเม่ือวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๖๑ ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ที่ลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติที่ประชุมของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมครั้งเม่ือวันท่ี
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ท่ีมีมติใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติที่ประชุมของ
ผูถกู ฟอ งคดีท่ี ๒ ในการประชมุ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพนั ธ ๒๕๖๑ และวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๖๑
ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดีและขอใหองคการบริหารสวนตําบลนานกกกมีคําสั่งใหผูฟองคดี
กลบั เขารับราชการ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา หลังจากที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่
๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ลงโทษปลดผูฟอ งคดอี อกจากราชการ ตามขอ ๘๕ ของประกาศคณะกรรมการ
พนักงานสวนตําบลจงั หวัดอตุ รดติ ถ เร่อื ง หลกั เกณฑและเง่อื นไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย
พ.ศ. ๒๕๕๘ ผูฟองคดีไดย่ืนหนังสือลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังลงโทษดังกลาว

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๒)
ตอประธานกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดอุตรดิตถ ตามขอ ๑๕ วรรคหนึ่ง ของประกาศ
คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดอุตรดิตถ เรื่อง หลักเกณฑและเง่ือนไขในการอุทธรณ
และการรองทุกข พ.ศ. ๒๕๕๘ ซง่ึ เจา หนา ที่ของสํานักงานสงเสริมการปกครองทองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ
ไดรบั หนังสืออทุ ธรณของผูฟอ งคดีไวเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองพิจารณา
วนิ จิ ฉัยอุทธรณของผฟู องคดใี หแ ลวเสรจ็ ภายใน ๙๐ วันนับแตวันท่ีเลขานุการของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ไดรับหนังสืออุทธรณตามขอ ๑๐ ของประกาศดังกลาว คือ ภายในวันท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐
แตเม่ือมิไดมีคําวินิจฉัยอุทธรณภายในกําหนดเวลาดังกลาว การฟองคดีปกครองขอใหเพิกถอน
คาํ สง่ั ลงวนั ที่ ๒๗ มถิ ุนายน ๒๕๖๐ จึงยอมกระทําไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ โดยถือวาวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ เปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหง
การฟองคดีในขอหานี้ ผูฟองคดีจึงตองฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันที่
๒๗ มถิ ุนายน ๒๕๖๐ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ตอศาลภายในวันท่ี ๙๐ วันนับแตวันที่
๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว คือตองยื่นฟองภายในวันที่
๒๒ มกราคม ๒๕๖๑ เม่อื ผูฟ องคดยี นื่ ฟอ งคดีนี้ตอศาลปกครองชนั้ ตน เม่ือวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
จึงเปนการย่ืนฟองคดีเมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติ
เดียวกันแลว และการฟองคดีนี้เพื่อประโยชนเฉพาะตัวของผูฟองคดีมิใชเปนคดีท่ีย่ืนฟองจะเปน
ประโยชนแกสวนรวม หรือปรากฏวามีเหตุจําเปนอ่ืนใดท่ีทําใหผูฟองคดีไมอาจย่ืนฟองคดีนี้
ภายในระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนดท่ีศาลปกครองจะรับไวพิจารณาได ตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติขางตน และขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวย
วิธีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนน้ั คําฟอ งในขอหาท่ีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑ และฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ จึงเปนคําฟองท่ีศาลปกครอง
ไมมีอํานาจรับไวพิจารณา ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองของผูฟองคดีในสวนที่ฟอง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และคําฟองในขอหาท่ีผูฟองคดีฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
คําส่ังลงวันท่ี ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ท่ีใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการไวพิจารณา นั้น
ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดว ยในผล

จึงมคี ําสั่งยนื ตามคําส่งั ของศาลปกครองชน้ั ตน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ. ๗๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑

คําสัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คบ.๖๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานมหาวิทยาลัย ตําแหนงอาจารย

คณะมนุษยศาสตรและสงั คมศาสตร สังกดั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏศรีสะเกษ ถูกกลา วหาวาลวงละเมิด
ทางเพศนกั ศกึ ษา ผูถ ูกฟอ งคดี (อธกิ ารบดมี หาวิทยาลยั ราชภัฏศรีสะเกษ) ไดแตงตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยแลวมีคําสั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๓)
โดยเห็นวาเปน การกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ตั้งแตวันที่ ๓
ธันวาคม ๒๕๕๗ ซ่ึงเปนวันที่ผูฟองคดีถูกสั่งใหพักราชการเปนตนไป ผูฟองคดีไมเห็นดวยและ
เพิ่งทราบคําสั่งดังกลาวในภายหลังเนื่องจากผูฟองคดีไปบวชเปนพระท่ีตางจังหวัด เมื่อผูฟองคดี
กลับมาและทราบวาถูกไลออกจากราชการจึงมีหนังสือขอคําสั่งดังกลาวพรอมเอกสารท่ีเกี่ยวของ
จากผูถูกฟองคดี โดยผูฟองคดีไดรับเอกสารจากผูถูกฟองคดีเม่ือวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ตอมา
ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ อุทธรณคําส่ังดังกลาว ผูถูกฟองคดีไดรับ
คําอุทธรณเมื่อวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ แตไมแจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ
ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากผูฟองคดี
ไมไดลงลายมือช่ือรับทราบขอกลาวหา และกรรมการสอบสวนทางวินัยบางคนไมไดลงลายมือชื่อ
ในเอกสารบางฉบับ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่งของ
ผูถูกฟองคดีตามคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหคืน
สิทธิหนาที่การงานแกผูฟองคดี เห็นวา กรณีที่พนักงานมหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ศรีสะเกษถูกสั่งลงโทษไลออกจากราชการน้ันไดมีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับ
การแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายในเรื่องนี้ไวโดยเฉพาะ การฟองคดีเพื่อขอใหศาลเพิกถอน
คําส่ังลงโทษทางวินัยดังกลาวจึงจะกระทําไดก็ตอเมื่อผูถูกส่ังลงโทษทางวินัยไดยื่นคํารองอุทธรณ
คําส่ังลงโทษทางวินัยนั้นตอสภามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษภายในสามสิบวันนับแตวันท่ีไดรับ
คําสั่งดังกลาวตามขอ ๓๗ ของขอบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ วาดวยพนักงาน
มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อปรากฏวา กอนท่ีผูถูกฟองคดีจะมีคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตั้งแตวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเปนวันที่ผูฟองคดีถูกสั่ง
ใหพักราชการ เปนตนไป ผูฟองคดีไมไดมาปฏิบัติราชการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
แตผ ฟู อ งคดไี ดใ หทอ่ี ยู คือ บานเลขท่ี ๘๘๘ หมูท่ี ๗ ถนนหนองแคน ตําบลกําแพง อําเภออุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ ไวกับเจาหนาท่ี การที่ผูถูกฟองคดีไดจัดสงคําสั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘
ไปใหแกผูฟองคดี ตามที่อยูขางตนโดยไปรษณียลงทะเบียนดวนพิเศษ และนาง จ. ซึ่งเปนพ่ีสะใภ
ของผูฟองคดีเปนผูลงลายมือชื่อรับไวเม่ือวันท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ จึงตองถือวาผูฟองคดีไดรับ
คําสั่งมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ เม่ือวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘
ตามมาตรา ๖๙ วรรคสองและวรรคสาม ประกอบมาตรา ๗๑ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับนาง จ. เปนผูซ่ึงบรรลุนิติภาวะแลวไดเขาทํากิจการ
ในการรับคําสั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีไดสงมาทางไปรษณียลงทะเบียนดวนพิเศษ โดยแมวา
จะไมมีพยานหลักฐานยืนยันไดวาผูฟองคดีไดวาขานวานใชใหทํา แตการกระทําของนาง จ.
ดังกลาวเปนการจัดการงานไปในทางท่ีจะใหสมประโยชนของผูฟองคดีตามท่ีจะพึงสันนิษฐาน
ไดวาเปนความประสงคของผูฟองคดี การกระทําของนาง จ. ดังกลาวจึงถือเปนการจัดการ
งานนอกส่งั ตามมาตรา ๓๙๕ แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ดังนั้น จึงตองถือวาผูฟองคดี
ไดรบั คาํ สั่งลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ท่ีเปนเหตุแหงการฟองคดีแลวเม่ือวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘
สวนท่ีผูฟองคดีอางวา เมื่อนาง จ. ไดรับเอกสารดังกลาวแลวไดนําไปวางไวหนาบานของผูฟองคดี

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๔)
ตอ มาเอกสารน้ันไดสญู หายไปนั้นไมเ ปน เหตหุ ักลา งขอสันนษิ ฐานของกฎหมายดังกลาวได และเม่ือ
ผูฟองคดีไดรับคําส่ังลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ เม่ือวันท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ แลว ผูฟองคดี
ตอ งอุทธรณค ําสั่งดังกลาวตอสภามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ภายใน ๓๐ วันนับแตวันดังกลาว
คือ ภายในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๘ ตามขอ ๓๗ ของขอบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
วาดวยพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๐ แตเมื่อครบกําหนดเวลาดังกลาวแลวไมปรากฏวา
ผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณคําส่ังที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตอสภามหาวิทยาลัยราชภัฏ
ศรีสะเกษแตอยางใด เมื่อผูฟองคดีมิไดย่ืนอุทธรณคําสั่งที่เปนเหตุแหงการฟองคดี แตนําคดี
มาฟองตอศาลมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จึงเปนกรณีที่ผูฟองคดียังมิไดดําเนินการ
ตามขั้นตอนหรอื วธิ กี ารสําหรบั การแกไ ขความเดอื ดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมายกําหนดไวกอน
ฟองคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ คําฟองคดีนี้จึงเปนคําฟอง
ที่ศาลไมมีอํานาจรับไวพิจารณา สวนที่ผูฟองคดีอางวาผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๘ สิงหาคม
๒๕๕๙ อุทธรณคําสั่งลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ และผูถูกฟองคดีไดรับหนังสืออุทธรณดังกลาว
เม่ือวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ แตไมไดรับแจงผลการพิจารณานั้น ผูฟองคดีไดยื่นอุทธรณคําสั่ง
ทางปกครองที่เปน เหตุแหง การฟองคดีเมื่อพนกําหนดระยะเวลาอุทธรณตามขอ ๓๗ ของขอบังคับ
มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ วาดวยพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเปนกฎหมาย
ที่ใชบังคับในขณะท่ีมีเหตุแหงการฟองคดีนี้แลว จึงไมเปนเหตุใหถือไดวาผูฟองคดีไดดําเนินการ
ตามขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมายกําหนดไว
กอนฟอง สวนท่ีผูฟองคดีอางวา คําส่ังลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจาก
วิธีการสอบสวนของผูถูกฟองคดีไมชอบดวยกฎหมายและขอบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
วาดวยวนิ ัยและการดําเนินการทางวินัยขาราชการและพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๕๒ ขอ ๑๒
ขอ ๑๓ ขอ ๒๐ ขอ ๒๓ ขอ ๒๔ ขอ ๒๕ ขอ ๒๖ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๕๔ น้ัน เปนขอตอสู
ในประเด็นเน้ือหาของคดีมิใชเปนขอคัดคานคําสั่งของศาลปกครองชั้นตนท่ีส่ังไมรับคําฟอง
ไวพิจารณา จึงเปนขอเท็จจริงหรือขอกฎหมายท่ีไมเปนสาระสําคัญอันควรวินิจฉัย ที่ศาลปกครอง
ชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพองดว ย

จึงมีคาํ สง่ั ยนื ตามคาํ ส่งั ของศาลปกครองช้ันตน
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๑
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๑๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๔๔

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๕)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๖๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๓

คําขอใหศ าลมคี าํ บังคับหรือแกไ ขความเดือดรอ นเสียหาย
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๑

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ ฟ. ๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนง

เจาพนักงานตรวจทาชํานาญการ สังกัดกรมเจาทา กระทรวงคมนาคม ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดี
กรมเจาทา) มีคําสั่งลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติ
อ.ก.พ. กรมเจาทา ฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ฐานจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ของราชการ และฐานรายงานเทจ็ ตอผบู งั คับบญั ชา อนั เปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ซ่ึงเปนการลงโทษตามฐานความผิดท่ีผูรองสอด (คระกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริต
แหงชาติ) มีมติ เน่ืองจาก เม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาพนักงานตรวจทา ๔ สํานักงานเจาทา
ภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ สํานักงานเจาทาภูมิภาคที่ ๓ (ชื่อในขณะน้ัน) รับมอบอํานาจจาก
เจาทาภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ ใหไประวังช้ีแนวเขตและรับรองแนวเขตทะเล ในการรังวัดสอบ
เขตท่ีดินกรณีบริษัท ย. ผูฟองคดีระวังชี้แนวเขตขางเคียงโดยระบุวาไมมีการรุกลํ้าท่ีหาดทราย
ชายทะเลแตอ ยางใด แตป รากฏวา การรวมโฉนดท่ีดินและ น.ส. ๓ ก ดังกลาว มีการรุกล้ําชายหาดทะเล
ผูฟองคดีมีหนังสืออุทธรณคําส่ังลงโทษไลออกจากราชการตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการ
พิทักษระบบคุณธรรม) วา ผูฟองคดีไมไดกระทําผิดตามท่ีถูกลงโทษ การชี้มูลความผิดของผูรองสอด
คลาดเคลื่อนดวยขอเท็จจริงและขอกฎหมายโดยไมรับฟงพยานหลักฐานอยางครบถวนเพียงพอ
มติดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๔
ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา ผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่อยางถูกตองตามกฎหมายแลว จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และเพิกถอนคําส่ัง
ลงวันท่ี ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๒ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมีคําสั่งบรรจุใหผูฟองคดี
กลับเขารับราชการ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เยียวยาความเสียหายใหกับผูฟองคดีตามหลักเกณฑ
ท่ี ก.พ. กําหนด และกรณีท่ีผูฟองคดีไมถูกไลออกจากราชการ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ คืนสิทธิท่ี
ผูฟองคดีพึงไดรับโดยชอบธรรม เห็นวา ผูฟองคดีเขามาเก่ียวของกับการรวมโฉนดที่ดิน ใหกับ
บริษัท ย. เนื่องจาก ไดรับมอบหมายจากผูบังคับบัญชาใหไประวังช้ีและรับรองแนวเขต
ในการรังวัดรวมโฉนดท่ีดินทั้งหาแปลง และ น.ส. ๓ ก. ทั้งส่ีแปลง เมื่อวันท่ี ๒๕ ถึงวันท่ี
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซ่ึงในวันรังวัดรวมโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๑
เจาพนักงานที่ดินซึ่งเปนผูรังวัดแจงวาไมสามารถตรวจสอบรายการรังวัดเดิมได เน่ืองจาก

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๖)
หลักฐานที่ดินเดิมสูญหาย ๔ หลัก จึงทําการโยงยึดออกจากหมุดหลักฐานใหม และรังวัดไปตามที่
ผูขอซ่ึงเปนเจาของที่ดินนําชี้โดยทําการรังวัดเฉพาะรอบนอก โดยที่ขอ ๖.๑.๓ ของระเบียบ
กรมเจาทา วาดวยการระวังช้ีและรับรองแนวเขตที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๘ กําหนดไวในกรณีท่ีไมพบ
หลกั เขตทีด่ ินกใ็ หแ จง ชา งรังวัดทําการรงั วัดสอบเขตจากหลักเขตดานบน เพื่อหาจุดที่หลักเขตที่ดิน
ควรจะต้ังอยู เมื่อไดจุดหลักเขตท่ีดินแลวในกรณีที่หลักเขตท่ีดินอยูตรงแนวฝงของทะเลก็ให
ชา งรงั วัดปกหลกั เขตใหมแ ทนหลกั เขตทดี่ ินเดิม แตการท่ีผฟู องคดีเพียงแตเ ดนิ ดูพนื้ ทท่ี ที่ าํ การรังวัด
ตามท่ีเจาพนักงานที่ดินชี้ใหดูและบอกวาไมมีการบุกรุกท่ีสาธารณะ ซึ่งผูฟองคดีดูแลวและ
เห็นวาไมมีการบุกรุกชายหาดของทะเล จึงเดินทางกลับโดยไมมีการดําเนินการตามระเบียบ
ดังกลาว เพื่อใหทราบวา หลักเขตท่ีดนิ ทมี่ กี ารรังวัดนั้นอยูท่ีใด เพื่อท่ีจะใหชางรังวัดปกหลักเขตใหม
แทนหลักเขตเดิม และจุดที่เจาพนักงานท่ีดินชี้ใหดูมีการรุกล้ําชายหาดของทะเล หรือไม
อันเปนการไมปฏิบัติตามขอ ๖ ของระเบียบดังกลาว อีกทั้ง ผูฟองคดียังลงนามรับรองแนวเขตที่ดิน
และรายงานใหผูบังคับบัญชาทราบวา ในการระวังช้ีและรับรองแนวเขตที่ดินมิไดมีการลงหลักเขต
ลว งลาํ้ ลงไปในแนวเขตชายฝง ทะเลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชแตอยางใด ซึ่งตอมาสํานักงานที่ดิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ และสํานักงานท่ีดินอําเภอบางสะพานดําเนินการออกโฉนดที่ดิน
เลขที่ ๒๓๗ และ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๐๐ และเลขที่ ๒๕๘๔ ใหแกบริษัท ย. ไป โดยโฉนดที่ดิน
และ น.ส. ๓ ก. ดังกลา วมแี นวเขตดา นทศิ ตะวนั ออกรกุ ลาํ้ ชายหาดของทะเลอนั เปนสาธารณสมบัติ
ของแผนดินถึง ๑๙ เมตร ตลอดแนว การกระทําของผูฟองคดีจึงเปนไปเพ่ือประโยชนของบริษัท
ดังกลาว จึงเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ เพื่อใหตนเองหรือผูอื่น
ไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และเมื่อผูรองสอด
ไตสวนขอเท็จจริงและมีมติช้ีมูลวาผูฟองคดีกระทําผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ โดยผูรองสอด
มีหนังสือสํานักงาน ป.ป.ช. ลงวันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๕๓ สงรายงานและเอกสารพรอมท้ัง
ความเห็นไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแก
ผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงตองผูกพันตามมติของผูรองสอด ในการพิจารณาโทษทางวินัย
ฐานทุจริตตอหนาที่ราชการแกผูฟองคดีตามที่ผูรองสอดมีมติโดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอีก และตองถือเอารายงานเอกสารและความเห็นของผูรองสอดเปนสํานวน
การสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการ
พลเรือน ท้ังน้ี ตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูมีอํานาจแตงต้ังถอดถอนผูฟองคดี
จึงตองพิจารณาส่ังลงโทษผูฟองคดีตามฐานความผิดที่ผูรองสอดมีมติโดยไมตองแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก สวนที่ผูฟองคดีกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติ
หนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี
หรือนโยบายของรัฐบาล และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหาย
แกทางราชการอยางรายแรง หรือไม นั้น เมื่อพิจารณาตามมาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง ของ

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๗)
รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน ประกอบกับ
มาตรา ๑๙ มาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒ วรรคหน่งึ แหง พ.ร.ป. วาดว ยการปองกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ จะเห็นไดวา อํานาจหนาท่ีของผูรองสอดในการไตสวนขอเท็จจริงและ
ช้ีมูลความผิดทางวินัย มีเฉพาะความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการเทาน้ัน ไมอาจไตสวน
ขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยฐานอ่ืนได การที่ผูรองสอดไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูล
ทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานอ่ืนจึงเปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจตามกฎหมาย มติของผูรองสอด
ทีช่ มี้ ลู ความผดิ วนิ ัยผูฟอ งคดใี นความผิดฐานอื่น จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชา
และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของผูรองสอด
มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล
อันเปนเหตุใหเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง เพ่ือใหผูฟองคดีซ่ึงเปนผูถูกกลาวหา
ไดรับทราบขอกลาวหาและมีโอกาสชี้แจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการ
ท่ีกําหนดไวในมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ประกอบกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ซึ่งใชบังคับในขณะน้ัน โดยที่ขั้นตอนและ
วิธีการดังกลาวถือเปนขั้นตอนและวิธีการที่เปนสาระสําคัญตามท่ีกฎหมายกําหนด เมื่อขอเท็จจริง
ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดวินัยอยางรายแรงฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง
และมาตรา ๙๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมิไดมี
การแตงต้ังคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดีและมิไดแจงขอกลาวหาดังกลาว เพ่ือให
ผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงช้ีแจงแสดงพยานหลักฐานและนําสืบแกขอกลาวหา คําส่ังลงโทษไล
ผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมาย และคําวินิจฉัย
อุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีใหยกอุทธรณผูฟองคดีจึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ทั้งน้ี
กรณีอํานาจหนาท่ีของผูรองสอด แมผูฟองคดีจะมิไดยกขึ้นกลาวอางก็ตาม แตโดยท่ีการตรวจสอบ
ความชอบดวยกฎหมายของคําสั่งลงโทษทางวินัย ซ่ึงเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ นั้น จะตองพิจารณาถึงอํานาจหนาที่
ของเจาหนาท่ีผูออกคําสั่งรวมถึงอํานาจหนาที่ของเจาหนาท่ีท่ีเก่ียวของในทุกกระบวนการ
กอนออกคําสั่งดวย เมื่ออํานาจหนาที่ของผูรองสอดในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิด
ทางวินัย เปนกฎหมายอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน ที่ศาลสามารถยกข้ึนวินิจฉัยเอง
ไดแมคูกรณีจะมิไดกลาวอางตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ สวนท่ีผูรองสอดโตแยงวา ในการรับฟงขอเท็จจริงเปนดุลพินิจโดยแท

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๘)
ของผูรองสอด และการวินิจฉัยชี้มูลความผิดของผูรองสอด เปนการใชอํานาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญ นั้น การที่จะพิจารณาวาเรื่องใดถือเปนการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกร
ตามรัฐธรรมนญู ซงึ่ เปน การใชอ ํานาจโดยตรงตามรฐั ธรรมนูญน้ัน จึงตองพิจารณาจากอํานาจหนาท่ี
ท่ีรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอันเปนกฎหมายจัดตั้งของแตละองคกร
กําหนดไว รวมทั้งลักษณะของการกระทําตามอํานาจหนาที่ประกอบกัน โดยในสวนอํานาจหนาที่
ของผูรองสอด ประการหน่ึงตามมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน ใหดําเนินการตามมาตรา ๙๗ แหง พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๖
และมาตรา ๙๗ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาว ใหอํานาจผูรองสอด
กระทําการเกี่ยวกับความผิดวินัยและความผิดอาญาไว ซ่ึงเปนการใชอํานาจตาม พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มิไดเปนการวินิจฉัยช้ีขาดของผูรองสอด
องคกรตามรัฐธรรมนูญ ท่ีเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญของผูรองสอด องคกร
ตามรฐั ธรรมนญู นั้นแตอ ยา งใด มติชมี้ ูลความผิดของผรู องสอดจึงยังไมถงึ กับเปนทส่ี ุด และการใชอ ํานาจ
ขององคกรตามรัฐธรรมนูญท่ีไมอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง น้ัน นอกจาก
จะตองเปน การใชอาํ นาจโดยตรงตามรฐั ธรรมนูญแลว ยังตอ งเปน การใชอํานาจในการวินิจฉัยชี้ขาด
ปญหาตามรัฐธรรมนูญโดยตรงอีกดวย เมื่อขอเท็จจริงในสวนนี้ฟงยุติวา ผูรองสอดเปนคณะบุคคล
ที่รัฐธรรมนญู แหงราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ซึง่ ใชบังคับในขณะน้ัน กําหนดแตเพียงเปน
องคกรตามรัฐธรรมนูญประเภทองคกรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และในขณะเดียวกันผูรองสอด
ก็เปนคณะบุคคลท่ีมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติใหอํานาจในการออกกฎ คําส่ังหรือมติใดๆ
ท่ีมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของบุคคล จึงมีฐานะเปนเจาหนาท่ีของรัฐดวย
เมื่อฐานอํานาจท่ีนําไปสูการปฏิบัติหนาท่ีของผูรองสอดมาจากรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็บัญญัติใหอํานาจผูรองสอดในการไตสวน
และวินิจฉัยช้ีมูลความผิดของผูถูกกลาวหาและใหผูบังคับบัญชาของผูถูกกลาวหามีอํานาจดุลพินิจ
ในการส่ังลงโทษตามฐานความผิดท่ีผูรองสอดมีมติ อีกท้ัง สิทธิของผูถูกกลาวหาในการอุทธรณ
คํ า สั่ ง ล ง โ ท ษ ท า ง วิ นั ย ก็ ถู ก จํ า กั ด เ พี ย ง ว า จ ะ อุ ท ธ ร ณ ไ ด เ ฉ พ า ะ ดุ ล พิ นิ จ ใ น ก า ร ส่ั ง ล ง โ ท ษ
ของผูบังคับบัญชาเทานั้น โดยมิไดมีบทบัญญัติมาตราใดท่ีมีลักษณะเปนการจํากัดสิทธิของบุคคล
ท่ีไดรับการรับรองไวตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอยางย่ิงสิทธิของบุคคลผูถูกลงโทษทางวินัย
ในการฟองคดีตอศาลปกครอง หากจะถือวากระบวนการต้ังแตการไตสวนและวินิจฉัยมูลความผิด
ผูถูกกลาวหาของผูรองสอด จนกระทั่งมีการออกคําสั่งลงโทษทางวินัยโดยผูบังคับบัญชาของ
ผูถกู กลา วหา เปนกระบวนการท่ีไมอยูภายใตการตรวจสอบความชอบดวยกฎหมายจากองคกรใดๆ แลว
ยอมแตกตางกับกรณที กี่ ารดําเนินการทางวินัยที่เร่ิมตนและสิ้นสุดโดยผูบังคับบัญชา กรณีดังกลาว
ผูถูกลงโทษทางวินัยมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง ดังน้ัน การที่ผูรองสอดมีมติช้ีมูลความผิดของ
ผฟู องคดวี าเปนความผดิ วินยั จงึ มิไดเปน การวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดขององคกรตามรฐั ธรรมนูญซ่ึงเปนการใชอํานาจ
โดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๘๙)
แหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน สวนที่ผูฟองคดีอางวา
กรณีของผูฟองคดีไมอยูในอํานาจหนาท่ีของผูรองสอด น้ัน เมื่อปรากฏวา ผูรองสอดรับเร่ืองของ
ผูฟองคดไี วไ ตส วนเนอ่ื งจากมผี ูรองเรียนกลาวหาผฟู องคดีตอผูร อ งสอดเม่ือวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓
วาผูฟองคดีกับพวกมีพฤติการณกระทําความผิดเก่ียวกับการทุจริตตอหนาท่ีหรือกระทําความผิด
ตอ ตําแหนง หนา ที่ราชการ เม่ือผูฟองคดีมีสถานะเปนขาราชการซ่ึงมีตําแหนงหรือเงินเดือนประจํา
จึงเปนเจาหนาที่ของรัฐ ขอรองเรียนกลาวหาผูฟองคดีจึงเปนเร่ืองท่ีอยูในอํานาจหนาที่ของผูรองสอด
ตามมาตรา ๑๙ (๓) แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
โดยผูรองสอดมีคําส่ังแตงต้ังคณะอนุกรรมการไตสวนและแจงคําส่ังดังกลาวใหผูฟองคดีทราบแลว
เม่ือวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๐ ซึ่งผูฟองคดีมิไดคัดคานแตอยางใด คณะอนุกรรมการไตสวน
แจงขอกลาวหาใหผูฟองคดีรับทราบเม่ือวันท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑ และผูฟองคดีมีหนังสือลงวันท่ี
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ชี้แจงแกขอกลาวหาตอคณะอนุกรรมการไตสวนแลว การดําเนินการไตสวน
ขอ เทจ็ จรงิ จงึ เปนไปโดยชอบดวยกฎหมายและระเบียบท่ีเกย่ี วของแลว

เมื่อไดวินิจฉัยไวขางตนแลววา การกระทําของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ เพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่
ราชการ และเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาแลวมีคําส่ังกรมเจาทา ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เฉพาะสวนท่ีมีความผิดวินัยอยางรายแรงฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ จึงชอบดวยกฎหมาย แมผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จะมีคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มตคิ ณะรฐั มนตรี หรอื นโยบายของรัฐบาล อันเปน เหตุใหเ สียหายแกท างราชการอยางรายแรง และ
ฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕
วรรคสอง และมาตรา ๙๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซ่ึงใชบังคับในขณะน้ัน โดยมิไดใหผูฟองคดีรับทราบขอกลาวหาและมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบ
แกขอ กลา วหาตามขั้นตอนและวิธีการท่ีกําหนดไวในมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง แหง พระราชบัญญัติ
ดังกลาว ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ซึ่งไมชอบดวยกฎหมายก็ตาม
แตไมทําใหผลของคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิด
ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ ซ่ึงเปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมายเปล่ียนแปลงไป อีกท้ัง โทษไลออก
จากราชการเปนโทษสูงสุดของโทษทางวินัย ศาลจึงไมจําตองพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังในสวนอ่ืน
ท่ีไมชอบดวยกฎหมายของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ อีก สวนที่ผูฟองคดีอางวา อ.ก.พ. กรมเจาทา
ชุดที่พิจารณาโทษทางวินัยผูฟองคดีมีนาย อ. เปน อ.ก.พ. รวมพิจารณาดวย ทั้งที่นาย อ.
จะทําการพิจารณาทางปกครองไมได น้ัน การท่ีนาย อ. ตําแหนงหัวหนาสํานักงานเจาทาภูมิภาคที่ ๓
และเปนผมู อบอาํ นาจใหผูฟองคดีไประวังช้ีและรับรองแนวเขตที่ดิน ผูฟองคดีก็มีหนาที่ตองปฏิบัติ

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๐)
ตามระเบียบและคําส่ังที่เกี่ยวของ การกระทําที่ทําไปนอกเหนือขอบอํานาจหรือมิไดเปนไปตามท่ี
ผบู งั คับบญั ชามอบอํานาจให ถือเปน เรือ่ งเฉพาะตวั ของผรู บั มอบอาํ นาจ ตอ มา เมื่อนาย อ. ไดรับแตงตั้ง
เปน อ.ก.พ. กรมเจาทา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแกผูฟองคดี โดยในการประชุมเม่ือวันที่
๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ท่ี อ.ก.พ. กรมเจาทา มีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในฐานความผิดตามที่ผูรองสอดมีมติ แมจะมีนาย อ. เขารวมประชุมดวย แตก็เปนการพิจารณา
เพียงระดับโทษทางวินัย โดยไมมีหนาที่ที่จะตองพิจารณาวาการกระทําของผูฟองคดีเปนความผิด
ทางวินัยอยางรายแรงหรือไม อีกท้ัง ในการประชุมมี อ.ก.พ. ท่ีรวมพิจารณา ๑๐ คน การที่
นาย อ. ไดรับแตงตั้งเปน อ.ก.พ. กรมเจาทา จึงไมถึงขนาดท่ีมีสภาพรายแรงอันอาจทําให
การพิจารณาทางปกครองไมเปนกลางตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเม่ือวินิจฉัยไวขางตนแลววา คําสั่งลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๓
ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเฉพาะสวนท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิด
ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการชอบดวยกฎหมาย และแมคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในความผิดฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง
และฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงจะไมชอบ
ดวยกฎหมายก็ตาม แตก็ไมทําใหผลของคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ที่ชอบดวยกฎหมาย
เปลีย่ นแปลงไป ดังน้ัน คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ใหยกอุทธรณ
ผูฟองคดีเฉพาะสวนท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ
จึงชอบดวยกฎหมาย และศาลไมจําตองเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในสวนอ่ืน
ที่ไมชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน สวนที่ผูฟองคดีมีคําขอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังใหผูฟองคดี
กลับเขารับราชการเชนเดิม โดยมีสิทธิไดรับเงินเดือนและเงินบําเหน็จ บํานาญขาราชการ
ตามกฎหมาย นั้น การสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการเปนหนาที่ของผูมีอํานาจสั่งบรรจุ
และแตงต้ังที่จะตองดําเนินการตามท่ีกฎหมายกําหนด ศาลไมอาจกําหนดคําบังคับในสวนนี้
ใหผูฟองคดีไดตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ศาลปกครองสูงสุด
จึงไมจ ําตอ งวินจิ ฉัยคําขอน้ี

พิพากษายกฟอ ง
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๔๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล

หนา ๓๙
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๑๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๔๔

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๑)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๐๙/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๔๐
ระยะเวลาการฟองคดี
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๘๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๑
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล

หนา ๙
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๓๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายกรณีถูกกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยอยางรายแรง ในขณะดํารงตําแหนงคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร โดยไดอนุมัติ
ใหมีการเบิกจายเงินในการจัดโครงการพัฒนาบุคลากรสายสนับสนุน ณ จังหวัดขอนแกน จังหวัด
อุดรธานี และจังหวัดหนองคาย เกินกวาจํานวนที่ตองจาย และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิการบดี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารงาน
บุคคลประจํามหาวิทยาลัย พิจารณาแลวเห็นวา พฤติกรรมดังกลาวของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติ
หนาที่ราชการโดยประมาทเลินเลอ ขาดการเอาใจใสระมัดระวังรักษาประโยชนของทางราชการ
อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกราชการอยางรายแรง เปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๓๙ วรรคหา แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา
พ.ศ. ๒๕๔๗ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๑ ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผฟู อ งคดีเหน็ วาคาํ ส่ังลงโทษดงั กลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงไดมีหนังสือลงวันท่ี
๔ ตลุ าคม ๒๕๖๑ อทุ ธรณคําสง่ั ดังกลาวตอประธานของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิจารณา
วินิจฉัยอุทธรณและรองทุกข) ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาไดรับหนังสือดังกลาวไว
ในวันเดียวกัน ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติเม่ือวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ใหยกอุทธรณของ
ผฟู อ งคดตี ามคําวนิ จิ ฉัยลงวนั ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ และเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ไดมหี นงั สือแจงคาํ วินิจฉัยของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๒ ใหผูฟองคดีทราบตามหนังสือลงวันท่ี ๒๓ มกราคม
๒๕๖๒ ผูฟองคดีไดรับหนังสือดังกลาวเม่ือวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังรวมสองขอหา ดังนี้ ขอหาที่หน่ึง ขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่
๔ กันยายน ๒๕๖๑ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และขอหาที่สอง ขอใหเพิกถอน
คําวินิจฉัยอุทธรณลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองขอหาท่ีหน่ึง
ไวพิจารณา ผูฟองคดีอุทธรณ เห็นวา คดีนี้ในขอหาที่หน่ึงผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๑ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีมีหนังสือ

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๒)
ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอประธานของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซ่ึงสํานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษาไดรับหนังสือดังกลาวไวในวันเดียวกัน ระยะเวลาการพิจารณา
อุทธรณจึงเริ่มนับแตตั้งวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามขอ ๑๔ ของขอบังคับ ก.อ.ร. วาดวย
การอุทธรณและการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณคําสั่งใหออกจากราชการและคําส่ังลงโทษทางวินัย
อยางรา ยแรง พ.ศ. ๒๕๖๐ และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตองพิจารณาคําอุทธรณและแจงผลการพิจารณา
อุทธรณใหผูฟองคดีทราบภายในเกาสิบวัน คือ ภายในวันท่ี ๒ มกราคม ๒๕๖๒ ตามท่ีกําหนดไว
ในมาตรา ๖๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
เมอื่ ขอ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมอาจพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายใน
วนั ท่ี ๒ มกราคม ๒๕๖๒ ผูฟอ งคดจี ึงมสี ทิ ธิฟอ งคดตี อศาลปกครองเพ่ือขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี
๔ กันยายน ๒๕๖๑ ไดตามหลักเกณฑที่กําหนดในกฎหมายวาดวยการจัดต้ังศาลปกครองและ
วิธีพจิ ารณาคดีปกครองตามทบ่ี ัญญัติไวในมาตรา ๖๒ วรรคสาม แหงพระราชบัญญัติฉบับดังกลาว
และใหถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดดังกลาว คือ วันท่ี ๓ มกราคม ๒๕๖๒ เปนวันท่ีผูฟองคดีรู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และนับเปนวันแรกที่เริ่มใชสิทธิฟองในขอหาน้ี โดยตองยื่นฟอง
ภายในระยะเวลาเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๒ ตามมาตรา ๔๙
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยไมจําตองรอผลคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒
การที่ผูฟองคดีนําคดีตามคําฟองในขอหาน้ีมาฟองตอศาลเม่ือวันที่ ๒๓ เมษายน ๕๖๒ จึงเปน
การฟองคดีเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟองในขอหาท่ีหน่ึงนี้ไวพิจารณาได ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่ง
ไมร ับคาํ ฟอ งขอ หาทห่ี นง่ึ ไวพ ิจารณา ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวย

จึงมีคําสัง่ ยืนตามคําสัง่ ของศาลปกครองชน้ั ตน

คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คบ.๔๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจถูกจับกุมและถูกดําเนินคดีอาญา

ในขอหารวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาไอซ) ไวในครอบครองโดยผิดกฎหมาย คณะกรรมการ
พิจารณากล่ันกรองพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัย ตํารวจภูธรจังหวัดนนทบุรี พิจารณาแลวเห็นวา
ผูฟองคดีเปนผูกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
มีมติใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดนนทบุรี)
จึงมีคําส่ังลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งดังกลาว
แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) มีหนังสือลงวันท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑
แจงผลการพิจารณาอุทธรณตอผูฟองคดีวา อนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผถู กู ฟองคดีที่ ๒ มมี ติยกอทุ ธรณ ผฟู องคดีไดรับหนังสือดังกลาวเมื่อวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ผูฟองคดี เห็นวา การกระทําของผูถูกฟองคดีท้ังสองทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย
เนือ่ งจากกรณขี องผูฟ องคดียงั ไมผานกระบวนการทางศาลยตุ ธิ รรม และยังไมมีคําพิพากษาวาผูฟองคดี
มีความผิดตามท่ีถูกกลาวหา การที่ผูถูกฟองคดีท้ังสองมีคําส่ังลงโทษผูฟองคดีเปนการลงโทษโดยกาวลวง

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๓)
อาํ นาจศาลยตุ ิธรรม ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และเพิกถอน
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตามมติในการประชุม เม่ือวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๑ เห็นวา
ในการดาํ เนนิ การแจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จะสงทางไปรษณีย
ลงทะเบียนตอบรับไปใหผูฟองคดี ณ ภูมิลําเนาของผูฟองคดี หรือตามที่อยูที่ผูฟองคดีไดใหไวกับ
ผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ก็ได เม่ือขอเทจ็ จริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดสงหนังสือลงวนั ท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑
แจงผลการพิจารณาอุทธรณทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับ โดยระบุช่ือผูฟองคดีเปนผูรับและสงไป
ตามทอ่ี ยทู ่ผี ฟู อ งคดีไดใหไ วกับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในหนังสืออุทธรณคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ประกอบกับขอเท็จจริงปรากฏตามหลักฐานใบตอบรับทางไปรษณียลงทะเบียนวามีผูลงลายมือช่ือ
รบั ไวแทนผูฟอ งคดีเมื่อวันท่ี ๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ กรณีจึงถอื ไดว า ผูฟอ งคดีไดรับแจงผลการพิจารณา
อุทธรณโดยชอบดวยกฎหมายแลว เม่ือวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ท้ังน้ี ตามขอ ๑๐ วรรคสอง (๒)
ขอ ๒๓ และขอ ๒๔ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการอุทธรณและการพิจารณาอุทธรณ พ.ศ. ๒๕๔๗
ซ่งึ แมผ ฟู องคดจี ะกลา วอา งวา ผฟู อ งคดีรบั ทราบผลการพิจารณาอุทธรณในวนั ท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
กไ็ มอ าจทําใหระยะเวลาท่ีผฟู อ งคดีรับทราบผลการพิจารณาอทุ ธรณข ยายออกไปแตอยางใด ดังน้ัน
ผูฟองคดจี งึ รหู รือควรรูเหตแุ หง การฟองคดีขอใหเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ของผูถ ูกฟองคดีที่ ๑ และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เมื่อวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
และตอ งนาํ คดมี าฟอ งตอ ศาลภายในเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒
การท่ีผูฟองคดีนําคดีมายื่นฟองตอศาลปกครองชั้นตนเม่ือวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ จึงเปน
การยื่นฟองเมื่อพนกําหนดเกาสิบวันนับแตวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๔๙
แหง พ.ร.บ. จดั ตั้งศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองชนั้ ตนมคี ําส่ังไมรับคําฟองไวพิจารณา และใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ นัน้ ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพองดว ย

จึงมคี าํ สั่งยนื ตามคาํ สั่งของศาลปกครองช้นั ตน

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๔๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี
หนา ๘๑

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๙

คําสั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ คบ.๖๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมูธุรการ

ทําหนาท่ีการเงิน สถานีตํารวจนครบาลบางชัน ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผบู ังคบั การตาํ รวจนครบาล ๔) มีคําสง่ั ลงโทษไลผ ูฟอ งคดีออกจากราชการ รวม ๒ คําสั่ง คือ ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๒ กรณีผูฟองคดีไดรับมอบหมายใหปฏิบัติราชการเจาหนาท่ีธุรการ

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๔)
(ประจําวัน) ตั้งแตวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๑ ตามคําส่ังลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๑ ตอมา
ระหวางวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีไมมาปฏิบัติราชการ
โดยมิไดแจงสาเหตุใหผูบังคับบัญชาทราบ รวมเปนระยะเวลาจํานวน ๓๒ วัน การกระทําของผูฟองคดี
ถือเปนกรณีละทิ้งหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกิน ๑๕ วัน โดยไมมีเหตุอันควร
ซ่ึงเปนกรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ เปนตนไป
และตามคําส่ังลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ กรณีผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่การเงินมีหนาท่ีนําสงเงิน
คาบํารุงและคาซอมแซมอาคารบานพักสวนกลางของกองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ ระหวาง
เดือนตุลาคม ๒๕๔๙ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๑ รวมเปนเงินทั้งส้ิน ๔๗๘,๕๙๙.๓๐ บาท ใหกับ
กองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ โดยมีการนําเอาเช็คไปเรียกเก็บเงินสด แตไมไดนําสงเงินจํานวน
ดังกลาวตามที่ตนมีหนาท่ีแตอยางใด กลับยักยอกเอาเงินไปเปนประโยชนสวนตน พฤติการณและ
การกระทําของผูฟองคดี ถือไดวาเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการ
ปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อใหตนหรือผูอ่ืนไดรับประโยชนท่ีมิควรได และจงใจไมปฏิบัติ
ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๑) (๖) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ต้ังแตวันวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผูฟองคดีไดย่ืนอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ซึ่งผถู กู ฟองคดที ่ี ๒ ไดพิจารณาแลวมมี ตใิ หยกอุทธรณ ผูฟองคดี
เห็นวา คําสั่งท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเปนคําส่ังที่ไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากผูฟองคดี
ไดมาปฏิบตั หิ นาทแ่ี ลวแตผ ูถูกฟองคดที ่ี ๑ ไมย อมใหผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่และลงลายมือในสมุดบัญชี
ลงเวลาปฏบิ ตั ิหนาท่ีของสถานตี ํารวจนครบาลบางชนั จนผูฟองคดีเกิดความเครียดมีอาการปวยทางจิต
ตอ งไปรกั ษาตวั ที่โรงพยาบาลศรธี ญั ญาตง้ั แตว ันท่ี ๒๖ ตลุ าคม ๒๕๕๔ และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
อาการปวยทางจิตเปนสาเหตุที่ทําใหผูฟองคดีไมไดไปปฏิบัติหนาที่ราชการ จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมคี ําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังกองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒
และคําสั่งกองบังคับการตํารวจนครบาล ๔ ลงวันท่ี ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ ท่ีสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนคาํ วนิ จิ ฉัยอทุ ธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เม่ือวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘
และตามมตเิ ม่อื วันที่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๘ ท่ใี หยกอุทธรณของผูฟองคดี ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒
มีคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ และคืนสิทธิอันพึงมีพึงไดแกผูฟองคดีตอไป และให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) เยียวยาความเสียหายใหแกผูฟองคดีเปนเงินจํานวน
๕๐๐,๐๐๐ บาท ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาเนื่องจากเปนการฟองคดี
เมื่อพนกําหนดระยะเวลา ผูฟองคดีอุทธรณคําสั่งดังกลาว โดยมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยเพียงวาศาล
จะใชดุลพินิจรับคําฟองของผูฟองคดีท่ียื่นเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีไดหรือไม เห็นวา
แมจะฟงไดวาผูฟองคดีปวยเปนโรคซึมเศรา โดยไดเขารับการบําบัดรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา
ครั้งแรกเขารับการบําบัดรักษาแบบผูปวยนอกเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ หลังจากนั้นไดเขารับ
การบําบัดรักษาแบบผูปวยในระหวางวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๖๒

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๕)
ก็ตาม แตปรากฏวาในระหวางท่ีผูฟองคดีปวยเปนโรคดังกลาว ผูฟองคดีก็ยังสามารถยื่นหนังสือ
ลงวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และหนังสือลงวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ อุทธรณคําสั่งลงโทษ
ไลออกจากราชการตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ได ประกอบกับตามมาตรา ๔๕ แหง พ.ร.บ. จัดต้ัง
ศาลปกครองฯ ประกอบขอ ๒๐ แหงระเบียบของทป่ี ระชุมใหญฯ วาดวยองคคณะ การจายสํานวน
การโอนคดี การปฏิบัติหนาท่ีของตุลาการในคดีปกครอง การคัดคานตุลาการศาลปกครอง
การปฏิบัติหนาที่ของพนักงานคดีปกครองและการมอบอํานาจใหดําเนินคดีปกครองแทน
พ.ศ. ๒๕๔๔ นัน้ ผทู ่ีไดรบั ความเดอื ดรอนหรอื เสยี หายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจ
หลีกเลี่ยงได อันเน่ืองจากการกระทําหรือการงดเวนการกระทําของหนวยงานทางปกครองหรือ
เจาหนาท่ีของรัฐ ซึ่งมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองไมจําตองฟองคดี หรือดําเนินคดีปกครอง
ดวยตนเองแตอยางใด บุคคลดังกลาวอาจมอบอํานาจใหทนายความหรือบุคคลอ่ืน ซ่ึงบรรลุนิติภาวะ
แลวและมีความรูความสามารถท่ีอาจดําเนินการแทนผูมอบอํานาจใหฟองคดีหรือดําเนินคดีแทนตนได
ดังน้ัน อาการปวยเปนโรคซึมเศราของผูฟองคดี จึงไมนาเชื่อวารุนแรงถึงขนาดขาดสติสัมปชัญญะ
โดยสิ้นเชิง เขาขายเปนคนวิกลจริต ไมอยูในวิสัยท่ีจะมอบอํานาจใหบุคคลอ่ืนที่มีคุณสมบัติตามท่ี
กฎหมายและระเบียบของท่ีประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุดดังกลาวกําหนด กรณีจึงยัง
ไมอาจถือไดวาเปนเหตุที่เปนอุปสรรคขัดขวางมิใหผูฟองคดีสามารถย่ืนฟองคดีน้ีภายในระยะเวลา
ที่กฎหมายกําหนดได เมื่อการรับฟองคดีน้ีไวพิจารณาไมเปนประโยชนแกสวนรวม ทั้งอาการปวย
เปนโรคซึมเศราของผูฟองคดีก็มิใชเหตุที่เปนอุปสรรคขัดขวางไมใหผูฟองคดีสามารถย่ืนฟองคดีน้ี
ภายในระยะเวลาการฟองคดีที่กฎหมายกําหนดได ศาลจึงไมอาจใชดุลพินิจรับคําฟองคดีนี้
ไวพิจารณาพิพากษาได ตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบ
ขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดว ย

จึงมคี ําสงั่ ยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองชัน้ ตน

คาํ สั่งศาลปกครองสงู สุดที่ คบ.๖๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานธุรการและพนักงานพัสดุ สถาบันพัฒนา

เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ (สวทช.)
ผถู ูกฟองคดีมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ แตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง กรณีกลาวอางวา
ผูฟองคดีนํารถยนตกระบะสวนตัวมาใหสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตยเชาใชงาน
โดยผานบริษัท อ. โดยมีพฤติการณรับเงินหรือผลประโยชนจากบุคคลภายนอกเพ่ือใหสถาบัน
พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตยจัดซ้ือจัดจางจากบริษัท ฮ. ผูถูกฟองคดีจึงมีคําส่ังลงวันที่
๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ แตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดีและตอมามีคําส่ังลงวันที่
๑๖ กนั ยายน ๒๕๕๓ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ อุทธรณคําส่ังดังกลาว ซ่ึงคณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคลในการประชุม

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๖)
เม่ือวันท่ี ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา คําส่ังดังกลาวมิชอบ
ดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี
๑๖ กันยายน ๒๕๕๓ ที่ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากการเปนพนักงาน ศาลปกครองชั้นตน
มีคําส่ังไมรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ เน่ืองจาก
ผูฟองคดีไดยื่นคําฟองเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ.
จดั ตง้ั ศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงย่ืนคํารองอุทธรณคําส่ังดังกลาว โดยอางวาคดีน้ีเปนคดีท่ีเก่ียวกับ
ประโยชนสวนรวมและมีเหตุจําเปนอื่นที่ศาลสามารถใชดุลพินิจรับคําฟองไวพิจารณาได เห็นวา
การที่จะวินิจฉัยวาการรับคดีท่ีย่ืนฟองเมื่อลวงพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีแลวไวพิจารณา
จะเปนประโยชนแกสวนรวมหรือไม ตองพิจารณาจากผลท่ีจะเกิดข้ึนจากคําพิพากษาคดีน้ัน
วาจะกอใหเกิดประโยชนแกประชาชนโดยสวนรวมโดยตรงและอยางแทจริงหรือไมเปนสําคัญ
สวนเหตุจําเปนอื่นน้ันแมจะไมใชเหตุสุดวิสัยตามนัยมาตรา ๘ ประกอบมาตรา ๑๙๓/๑๙ แหง
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย แตก็ยอมหมายถึงเหตุที่เปนอุปสรรคขัดขวางมิใหผูฟองคดี
ยื่นคําฟองภายในระยะเวลาการฟองคดีที่กฎหมายกําหนดไดเปนสําคัญ เมื่อพิจารณาผลท่ีจะเกิดจาก
คาํ พพิ ากษาคดีนี้หากจะกอ ใหเกิดประโยชน ก็คงเปนประโยชนแกผูฟอ งคดีท่ีจะไมตองถกู สง่ั ลงโทษ
ปลดออกจากการเปนพนักงานสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติเทานั้น
การรับคําฟองคดีนี้ไวพิจารณาจึงไมเปนประโยชนแกสวนรวมแตอยางใด และที่ผูฟองคดีอางวา
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไมไดมีการสอบถามขอเท็จจริงจากผูฟองคดี และไมมีการแจงผูฟองคดี
ใหทราบและคัดคานรายชื่อคณะกรรมการแตอยางใด ผูฟองคดีเพิ่งไดทราบเรื่องท่ีนาย ท.
เปนประธานกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง และเปนประธานอนุกรรมการการบริหารงานบุคคลซ่ึงมีหนาที่
ลงมติเก่ียวกับการอุทธรณของผูฟองคดี ซึ่งยอมคาดหมายไดวาจะแสดงความเห็นสอดคลองกับ
ความเห็นเดมิ ที่ตนไดใหไ วใ นฐานะประธานสอบสวนขอ เทจ็ จริงถอื ไดว ามีสภาพรา ยแรง อันเปนเหตุสงสัย
ในความเปนกลางตามมาตรา ๑๖ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และ
ผูฟองคดีไมทราบถึงการออกระเบียบสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ
วาดวยหลักเกณฑและวิธีการดําเนินการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๒ นั้น ก็ไมอาจถือไดวาเปนเหตุ
ท่ีเปนอุปสรรคขัดขวางมิใหผูฟองคดีสามารถยื่นฟองคดีน้ีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดได
ศาลปกครองจึงไมอาจใชดุลพินิจรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ประกอบขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบท่ีประชุมใหญฯ
วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟองนี้ไวพิจารณา
และใหจ าํ หนายคดอี อกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พองดวย

จงึ มคี ําสั่งยืนตามคาํ สั่งของศาลปกครองช้ันตน
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๔๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๘๑

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๗)
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๙๓
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๖๕/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๙๕
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๔๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๘๑
วธิ ีพิจารณาคดีปกครอง
ผดู ําเนินคดีปกครอง
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๙๓
อํานาจในการตรวจสอบและแสวงหาขอ เท็จจริงของศาล
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ป.) อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๕
การรบั ฟงพยานหลกั ฐานท่ไี ดมานอกเหนอื จากที่คูก รณีเสนอตอศาล
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๖๔/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงอัยการพิเศษประจํากรม สํานักงาน
อัยการเขต ๓ รักษาการในตําแหนงอัยการจังหวัดสุรินทร ไดรับความเดือดรอนเสียหายเน่ืองจาก
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.)) มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒ ไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี ๒๒ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ กรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ ประพฤติช่ัวอยางรายแรง ไมปฏิบัติหนาที่ดวยความซ่ือสัตยสุจริต กระทําการ
อันทําใหเสียเกียรติศักด์ิแหงตําแหนงหนาที่ราชการ ตามมาตรา ๔๔ มาตรา ๔๗ มาตรา ๖๐ (๑) (๘)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการฝายอัยการ พ.ศ. ๒๕๒๑ เนื่องดวยนาย อ. ผูตองหาตามสํานวน ส.๑
เลขรับท่ี ๑๑๐๒/๒๕๕๐ ของสํานักงานอัยการจังหวัดสุรินทร ไดมีหนังสือถึงอธิบดีอัยการเขต ๓
และสํานักงานอัยการสูงสุด รองเรียนวา ผูฟองคดีขมขู เรียกเงินประมาณ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ในการที่จะชวยเหลือสั่งไมฟองนาย อ. ขอหานํายาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน)

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๘)
เขามาในราชอาณาจักรเพื่อจําหนาย และหากไมยอมรับตามขอเสนอจะดําเนินการทุกวิถีทางให
นาย อ. ไดรับโทษประหารชีวิต ตอมา เม่ือวันท่ี ๒๒ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ประธาน
คณะกรรมการอัยการ) ไดมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแกผูฟองคดี หลังจาก
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไดสอบสวนเสร็จสิ้นแลว ผูถูกฟองคดีไดมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูฟองคดีเห็นวา การท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่งไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยอาศัย
พยานหลักฐานของผูกลาวหา (นาย อ.) แพทยหญิง ภ. และนาย ก. เพียงฝายเดียวซึ่งไดมา
โดยไมชอบดวยกฎหมายมารับฟงเพื่อลงโทษผูฟองคดีนั้น เปนการไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหรับผูฟองคดีกลับเขาปฏิบัติหนาท่ีในตําแหนงเดิม
พรอมท้ังคืนสิทธแิ ละหนาท่ีใหก ับผูฟองคดีตามทีเ่ คยไดร บั เดิมทกุ ประการ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ขอกลาวอางของผูฟองคดีเกี่ยวกับความไมชอบ
ดวยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาลงโทษทางวินัยผูฟองคดี เปนขอกลาวอางท่ีผูฟองคดี
เพ่งิ ยกขึน้ กลาวอา งในชนั้ อทุ ธรณ มไิ ดเปนขอท่ยี กข้ึนวากลาวกันมาแลวโดยชอบในศาลปกครองช้ันตน
อีกท้ัง ไมไดเปนปญหาอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชนหรือปญหาอันเกี่ยวกับ
ประโยชนสาธารณะ จึงไมชอบดวยขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวย
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พงศ. ๒๕๔๓ สวนที่ผูฟองคดีอางวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไมลดหยอนโทษ
ใหแกผูฟองคดีโดยอางวา ผูฟองคดีไมลุแกโทษตอเจาพนักงานเปนการใชดุลพินิตโดยไมชอบนั้น
มิไดเปนประเด็นที่มีการยกข้ึนกลาวอางและโตแยงกันแตอยางใด จึงถือเปนกรณีของขอเท็จจริง
หรอื ขอกฎหมายทไี่ มไ ดย กขนึ้ วา กลาวกันมาแลว โดยชอบในศาลปกครองช้นั ตน มิใชปญหาอันเก่ียว
ดวยความสงบเรยี บรอยของประชาชนหรือปญหาเกี่ยวกับประโยชนสาธารณะท่ีผูฟองคดีจะยกขึ้น
วากลาวในชั้นอุทธรณไดตามขอ ๑๐๑ วรรคสอง แหงระเบียบดังกลาว สําหรับกรณีที่ผูฟองคดี
โตแยงการรับฟงขอเท็จจริงของศาลปกครองช้ันตนนั้น เม่ือพิจารณารายงานผลการสอบสวนทางวินัย
ที่มีการสอบปากคําพยานฝายผูกลาวหา จะเห็นไดวา พยานดังกลาวไดอยูรวมดวยในเหตุการณ
สนทนาระหวางผูฟองคดีกับญาติของนาย อ. ที่บานของแพทยหญิง ภ. จึงมีความนาเชื่อถือ
อีกท้ังเมื่อการรวบรวมพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาในคดีน้ี เปนการรวบรวม
พยานหลักฐานจากวัตถุพยานและพยานเอกสารเปนหลัก และมีเหตุผลอันสมควรเพื่อประโยชน
แหงความยุตธิ รรม กรณีจึงรับฟงพยานบุคคลดังกลา วเพื่อใชป ระกอบการรับฟงพยานหลักฐานอื่นดวยได
ตามขอ ๖๘ แหงระเบียบเดียวกัน สวนกรณีที่อางวา การรับฟงเทปบันทึกขอมูลภาพและเสียง
การสนทนาระหวางผูฟองคดีกับครอบครัวของนาย อ. เปนไปโดยไมถูกตอง เน่ืองจากพยานหลักฐาน
ดังกลาวไดมาจากการดักฟง และไมมีคํารับรองของบุคคลที่เก่ียวของหรือดําเนินการอันเปนการ
ตองหามศาลรับฟงเปนพยานหลักฐานในคดีตามขอ ๑ ของประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุข ฉบับท่ี ๒๑ เร่ือง หามการดักฟง
ทางโทรศัพทหรือเครื่องมือสื่อสารใด นั้น เห็นวา ประกาศดังกลาวเปนการกําหนดโทษทางอาญา
แกผูดักฟง ใชประโยชน หรือเปด เผย ซึ่งขอความท่ีมีการติดตอทางโทรศัพทหรือเคร่ืองมือส่ือสารอ่ืนใด

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๙๙)
โดยไมมีอํานาจโดยชอบดวยกฎหมาย โดยที่ในตัวประกาศเองมิไดมีบทบัญญัติหามเด็ดขาด
ท่ีจะนําขอมูลที่ไดมาดังกลาวมาใชเปนพยานหลักฐานในการดําเนินคดี การพิจารณาวาจะรับฟง
เปนพยานหลักฐานในคดีไดหรือไม จึงตองพิจารณาจากกฎหมายวาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
ซ่ึงเม่ือพิจารณาถอยคําของผูฟองคดีและพยานบุคคลที่ปรากฏในเทปบันทึกภาพและเสียง
การสนทนาในคดี เห็นไดวา การพูดและตอบคําถามนั้นเปนการพูดโดยอิสระ โดยเฉพาะเรื่อง
เก่ียวกับการเรียกรับเงินของผูฟองคดีซ่ึงผูฟองคดีไดพูดเองท้ังส้ิน ซ่ึงถึงแมจะเปนพยานหลักฐาน
ท่ีไดมาโดยไมชอบเพราะไดมาจากการแอบบันทึก โดยที่ผูฟองคดีไมรูตัวซ่ึงโดยหลักตองหามมิให
รับฟง เวนแตการรับฟงพยานหลักฐานน้ันจะเปนประโยชนตอการอํานวยความยุติธรรมมากกวา
ผลเสียอันเกิดจากผลกระทบตอมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพ
พื้นฐานของประชาชนตามมาตรา ๒๒๖/๑ แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมท้ัง
ไมมีคํารับรองของบุคคลที่เกี่ยวของหรือดําเนินการตามขอ ๖๗ วรรคหน่ึง แหงระเบียบของ
ที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ แตเมื่อกฎหมายวาดวยวิธีพิจารณา
คดีปกครองมิไดบัญญัติหามมิใหรับฟงพยานหลักฐานประเภทดังกลาว และผูฟองคดีไดมีโอกาส
ตรวจดู และแสดงพยานหลักฐานเพื่อยืนยันหรือหักลางแลว กับทั้งเม่ือไดคํานึงถึงคุณคาในการ
พิสูจน ความสาํ คญั และความนา เชือ่ ถือของบันทกึ ขอมลู ดังกลาว เพ่ือประโยชนแหงความยุติธรรม
ศาลปกครองชั้นตนจึงมีดุลพินิจที่จะรับฟงพยานดังกลาวไดตามขอ ๖๕ แหงระเบียบดังกลาว
สวนท่ีผูฟองคดีอางวา ศาลปกครองช้ันตนไมอาจรับฟงหนังสือสอบสวนเพิ่มเติมในคดีอาญา ส.๑
เลขรับท่ี ๑๑๐๒/๒๕๕๐ ได เพราะเอกสารดังกลาวเปนเพียงสําเนาเอกสาร นั้น เม่ือในช้ันการ
สอบสวนทางวินัยแกผูฟองคดี คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไดใหผูฟองคดีดูเอกสารดังกลาวแลว
และผูฟองคดีใหการวาสําเนาหนังสือดังกลาวเปนสําเนาหนังสือใหสอบสวนเพิ่มเติมท่ีผูฟองคดี
สั่งใหพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรปราสาททําการสอบสวนเพ่ิมเติมในคดีที่นาย อ.
เปนผูตองหาในคดียาเสพติด จึงเห็นไดวา ผูฟองคดีไดจัดทําหนังสือแจงใหพนักงานสอบสวน
ทําการสอบสวนเพ่ิมเติมในประเด็นดังกลาวจริง นอกจากน้ี เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา นางสาว ว.
ซึ่งเปนเจาหนาท่ีบันทึกขอมูลของสํานักงานอัยการจังหวัดสุรินทร และมีหนาท่ีพิมพคําฟอง
และพิมพหนังสือท่ีพนักงานอัยการมีคําส่ังใหพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเพิ่มเติมไดใหการ
ยืนยันตอคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยวา เม่ือวันท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผูฟองคดีไดใหตนเอง
พิมพหนังสือใหพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเพ่ิมเติมในสํานวนคดีอาญา ส.๑ เลขรับ
ที่ ๑๑๐๒/๒๕๕๐ ระหวาง พันตํารวจโท ส. ผูกลาวหา นาย อ. ผูตองหาขอหานําเขายาเสพติด
ใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) โดยไมไดรับอนุญาต ซ่ึงมีขอความเชนเดียวกับสําเนาหนังสือ
ใหสอบสวนเพ่ิมเติมจริง ศาลจึงมีดุลพินิจท่ีจะรับฟงหนังสือสอบสวนเพิ่มเติมในคดีอาญา ส.๑
เลขรับท่ี ๑๑๐๒/๒๕๕๐ เปนพยานหลักฐานในคดีน้ีได ตามขอ ๖๖ แหงระเบียบเดียวกัน
ที่ศาลปกครองชั้นตน มคี ําพิพากษาใหยกฟอ งน้ันชอบแลว ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พอ งดวย

พิพากษายนื

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๐)
การรบั ฟง สําเนาเอกสารเปน พยานหลักฐาน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง วิธีพิจารณาคดีปกครอง

หนา ๙๗
การรับฟง ขอมูลทบ่ี ันทกึ สําหรับเคร่อื งคอมพิวเตอรห รอื ประมวลผลโดยเคร่ืองคอมพิวเตอรเปน
พยานหลกั ฐาน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง วิธีพิจารณาคดีปกครอง

หนา ๙๗
การรับฟงพยานบอกเลาเปนพยานหลกั ฐานประกอบพยานหลกั ฐานอ่ืน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง วิธีพิจารณาคดีปกครอง

หนา ๙๗
กรณคี ดเี ปน อันถงึ ท่สี ุดเน่ืองจากคูก รณมี ิไดยื่นอุทธรณ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ.๕๘/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบล
(นักบริหารงานองคการบริหารสวนตําบล) ระดับ ๗ สังกัดองคการบริหารสวนตําบลดานชาง
อําเภอดานชาง จังหวัดสุพรรณบุรี ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
(นายกองคการบริหารสวนตําบลดานชาง) มีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษลดข้ันเงินเดือน
ผฟู อ งคดีจาํ นวน ๑ ขน้ั เน่ืองจากกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไป
ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการกรณเี ปน ปลดั องคก ารบรหิ ารสวนตําบลดานชางแตมีความขัดแยง
กับผูบริหาร ไมใหความชวยเหลือ แนะนํา ใหคําปรึกษา และรวมมือกับผูบริหารในการทํางาน
ตามหนาที่ท่ีตองปฏิบัติเพ่ือใหการปฏิบัติงานสําเร็จลุลวง มีประสิทธิภาพ เปนไปตามนโยบาย
และแผนงาน ท่ีกําหนดไว ทําใหมีโครงการท่ีไมไดดําเนินการจนมีงบประมาณตกเปนเงินสะสม
โดยมยี อดเงนิ สะสมเปน เงนิ ๔๑,๑๐๖,๖๖๓.๘๕ บาท ทําใหประชาชนในพ้ืนที่เสียโอกาสท่ีจะไดรับ
การพัฒนา ในฐานะปลัดองคการบริหารสวนตําบลดานชาง เปนการไมปฏิบัติหนาที่ใหเปนไป
ตามกฎหมาย ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งดังกลาวออกโดยคูกรณีซ่ึงตองหามตามมาตรา ๑๓ แหง พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ผูฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๕๔ อุทธรณคําส่ังตอประธานกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดสุพรรณบุรี
แตผ ถู กู ฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพนักงานสวนตําบลจังหวัดสุพรรณบุรี) ยังมิไดดําเนินการพิจารณา

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๑)
อุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จโดยไมมีเหตุผลอันสมควร จึงนําคดีมาฟองขอใหมีศาลมีคําพิพากษา
หรอื คําสัง่ เพกิ ถอนคาํ ส่ังลงวันท่ี ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง
เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษลดขั้นเงินเดือนผูฟองคดีจํานวน ๑ ขั้น
และใหผูถกู ฟองคดีที่ ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในกําหนด ๓๐ วัน นับแตวันที่
ศาลมีคําพิพากษา เห็นวา คดีน้ีศาลปกครองชั้นตนวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มิไดเปนคูกรณีกับ
ผูฟองคดีตามมาตรา ๑๓ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และไมปรากฏเหตุ
ท่ีมีสภาพรายแรงถึงขนาดท่ีอาจะทําใหการพิจารณาออกคําส่ังแตงตั้งคระกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงกับผูฟองคดีไมเปนกลาง ตามมาตรา ๑๖ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว การที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ เร่ือง แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงกับผูฟองคดี จึงชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงผูฟองคดีมิไดอุทธรณในประเด็นน้ี คําวินิจฉัย
ของศาลปกครองชั้นตนในประเด็นนี้จึงเปนท่ีสุด ตามมาตรา ๗๓ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ โดยทีผ่ ูฟอ งคดีไดอุทธรณคําวินิจฉัยของศาลปกครองช้ันตนในประเด็นวา ผูฟองคดี
มิไดกระทําผิดตามที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษ คดีจึงมีประเด็นที่จะตองวินิจฉัยตามอุทธรณ
ตามอุทธรณของผูฟองคดีวา ผูฟองคดีกระทําผิดตามขอกลาวหาหรือไม เม่ือปรากฏขอเท็จจริงวา
ในชน้ั การสอบสวนทางวนิ ยั มพี ยานบคุ คลหลายคนใหถอยคํา สรุปไดตรงกันวา ผูฟองคดีมีความขัดแยง
กับผูบริหารองคการบริหารสวนตําบลดานชาง โดยมีการทําบันทึกโตตอบระหวางกันดวยเอกสารตลอด
ไมคอยพูดจาหรือปรึกษาหารือกัน และผูฟองคดีไมคอยใหคําแนะนําหรือเสนอวิธีการแกไขปญหา
ในการทํางาน การเบิกจายเงินขององคการบริหารสวนตําบลดานชางจึงเกิดความลาชา อีกท้ัง
ไมเขารวมประชุมสภาองคการบริหารสวนตําบลดานชางเพื่อชี้แจงขอราชการตางๆ ซึ่งสอดคลอง
กับพยานเอกสาร ไดแก รายงานการประชุมสภาองคการบริหารสวนตําบลดานชาง ที่พบวาผูฟองคดี
ไมเขารวมประชุม ทั้งท่ีผูบังคับบัญชาแจงใหเขารวมประชุม โดยมีการลาปวยหลายคร้ังในวันที่มี
การประชุม พฤติการณลักษณะนี้เช่ือไดวา ผูฟองคดีมีความขัดแยงกับผูบริหารองคการบริหาร
สวนตาํ บลดา นชา ง ไมใหความรวมมือกับผูบริหารในการบริหารงานขององคการบริหารสวนตําบล
ดานชางจริง เมอ่ื พิจารณาจากสถานะของผฟู องคดีในฐานะปลัดองคการบริหารสวนตําบลดานชาง
ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของพนักงานสวนตําบลและลูกจางในองคการบริหารสวนตําบลดานชางรอง
จากผถู กู ฟอ งคดที ี่ ๑ มีอํานาจหนา ท่คี วบคุมดูแลราชการประจําขององคการบริหารสวนตําบลดานชาง
ใหเ ปนไปตามนโยบายและยังมอี าํ นาจหนาท่ีอน่ื ตามที่มกี ฎหมายกาํ หนดหรอื ตามท่ผี ถู ูกฟองคดีที่ ๑
มอบหมาย ตามมาตรา ๖๐/๑ แหง พ.ร.บ. สภาตําบลและองคการบริหารสวนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๗
และในฐานะเจาหนาที่งบประมาณ ซึ่งมีอํานาจหนาที่จัดทํางบประมาณและท่ีเกี่ยวกับการงบประมาณ
กับปฏิบัติการอื่นตามท่ีกําหนดไวในระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยวิธีการงบประมาณขององคกร
ปกครองสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ พฤติการณของผูฟองคดีดังกลาวยอมสงผลกระทบใหการดําเนินการ
ตามโครงการตางๆ ขององคการบริหารสวนตําบลดานชางเกิดความลาชา เห็นไดจากการท่ีเงินงบประมาณ
ขององคการบริหารสวนตําบลดานชางตกเปนเงินสะสม ณ วันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ มากถึง
๔๑,๑๐๖,๖๖๓.๘๕ บาท จึงเปนการไมปฏิบัติหนาท่ีใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๒)
ตามมาตรา ๖๐/๑ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบกับมาตรฐานกําหนดตําแหนงนักบริหารงาน
องคการบรหิ ารสวนตาํ บล และในฐานะเจาหนาที่งบประมาณ เปนการไมปฏิบัติตามขอ ๘ และขอ ๓๓
ของระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยวธิ กี ารงบประมาณขององคกรปกครองสวนทองถน่ิ พ.ศ. ๒๕๔๑
อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย
ระเบยี บของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาล ตามขอ ๖ วรรคหนึ่ง ของประกาศ
คณะกรรมการพนักงานสวนตําบล จังหวดั สุพรรณบุรี เร่ือง หลักเกณฑและเงื่อนไขในการสอบสวน
การลงโทษทางวินัย การใหออกจากราชการ การอุทธรณ และการรองทุกข ลงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๕
การทผ่ี ูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสัง่ ลงวนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษลดข้ันเงินเดือนผูฟองคดีจํานวน ๑ ข้ัน
จึงเปนคําสั่งท่ีชอบดวยกฎหมาย ท่ีศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดวย

พพิ ากษายนื
คาํ พพิ ากษาหรือคําส่ังของศาลปกครองสงู สดุ ใหเ ปนทส่ี ดุ
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๑๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๔๔
กรณีเปนปญหาขอ กฎหมายอนั เกย่ี วกับความสงบเรียบรอยของประชาชน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๕๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๘๕
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๑๗/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการ ตําแหนงเจาพนักงานที่ดินจังหวัด
(เจาหนาที่บริหารงานที่ดิน ๙) สํานักงานที่ดินจังหวัดระยอง ไดรับความเดือดรอนจากการที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ ฐานปฏิบตั หิ รอื ละเวน การปฏิบัติหนา ท่ีราชการโดยมิชอบ เพื่อใหตนเอง
หรอื ผอู ื่นไดประโยชนทมี่ ิควรได เปนการทจุ รติ ตอหนาท่ีราชการ และฐานปฏบิ ตั หิ นาทีร่ าชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
จากกรณีการออกหนังสือรับรองการทําประโยชน (น.ส.๓ ก.) เลขท่ี ๒๑๗๑ ตําบลเนินพระ

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version