The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-02-23 02:06:39

วินัย

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

(๑๕๓)
ศาลจังหวัดรอยเอ็ดไดมีคําพิพากษาวาผูฟองคดีกระทําผิดจริง ศาลอุทธรณและศาลฎีกา
พิพากษายืนตามศาลช้ันตน แตเมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดีมีพฤติการณกระทําผิดถึงขนาดปลุกปล้ํา
ขมขืนกระทําชําเราผูรองเรียน ความรายแรงแหงกรณีจึงยังไมถึงขนาดตองถูกลงโทษไลออก
จากราชการ จึงมีมติลดโทษเปนปลดออกจากราชการ อันเปนกรณีที่ อ.ก.พ. วิสามัญเก่ียวกับ
การอุทธรณและการรองทุกข ทําการแทน ก.พ. ไดพิจารณาพฤติการณการกระทําของผูฟองคดี
ตามที่ปรากฏในสํานวนการสอบสวนทางวินัยประกอบดวยแลว หาไดอาศัยเพียงผลคําพิพากษา
คดีอาญาเพื่อลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดีแตอยางใดไม ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยอธิบดี
กรมท่ดี ินมคี าํ ส่ังลงวันท่ี ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ แกไขเพิ่มเตมิ โดยคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓
ใหลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ จึงเหมาะสมกับ
กรณีแหงความผิด ตามนัยมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และ
เปน การกระทําที่ชอบดวยกฎหมายแลว ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดวย

พพิ ากษายนื

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๑๗๕/๒๕๖๓ (ประชุมใหญ)
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงนายชางรังวัด ๖ ทําหนาที่หัวหนา

ฝายรังวัด สํานักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ถูกผูถูกฟองคดีที่ ๒ (อธิบดีกรมที่ดิน)
มีคําสั่งลงวันท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ลงโทษไลออกจากราชการ ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
และฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยา งรายแรงโดยมีผลต้ังแตวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ ซึ่งเปนวันที่ผูฟองคดีเกษียณอายุราชการ
ตามมติของ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย สืบเนื่องจากการชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ซ่ึงผูฟองคดีเห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เลือกปฏิบตั ิโดยไมเ ปน ธรรมเกย่ี วกบั การกลา วหาและชีม้ ูลความผิด รวมทั้งกระทาํ การโดยไมชอบเก่ยี วกบั
การพิจารณาตรวจสอบเรื่องราว และคณะอนุกรรมการไตสวนของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดแจงขอกลาวหา
ในกรณีออกโฉนดทับท่ีสงวนหวงหาม “ที่เทขยะมูลฝอย” ใหผูฟองคดีทราบ ทําใหผูฟองคดีไมมีโอกาส
ชแ้ี จงขอ กลา วหาในเร่อื งนี้ อนั เปนกระบวนการสอบสวนท่ีไมชอบ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มิไดนํากฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมท้ังขอเท็จจริง พยานหลักฐาน และสํานวน
การสอบสวนของทางราชการ ตลอดจนการใหถอยคําของพยานบุคคลซึ่งเปนขาราชการระดับสูง
ทเ่ี ปนประโยชนห รอื มีนํ้าหนักหักลางขอกลาวหามาประกอบการพิจารณา ผูฟองคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ
คําสั่งลงโทษตอประธาน ก.พ. จากนั้นสํานักงาน ก.พ. ไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๒ แจงวา
รองนายกรัฐมนตรีส่ังและปฏิบัติราชการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (นายกรัฐมนตรี) พิจารณาแลวมีคําส่ัง
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดี เพิกถอนคําสั่งผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันที่

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๔)
๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ สั่งใหผูฟองคดี
กลับเขารับราชการตั้งแตวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ พรอมท้ังคืนเงินบํานาญตามสิทธิใหแกผูฟองคดีตั้งแต
วันท่ี ๑ กันยายน ๒๕๕๐ ในอัตราเดือนละ ๑๙,๕๘๕.๘๐ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗ ตอป
จนถึงวันฟองคดี เปนเงิน ๔๔๐,๐๙๒.๙๘ บาท เห็นวา เมื่อพิจารณามาตรา ๓๐๑ (๓) รัฐธรรมนูญ
แหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะเกิดเหตุ ประกอบ พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑)
และมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง เห็นไดวา ขอกลาวหาท่ีอยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาที่เก่ียวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
กระทาํ ความผิดตอตําแหนง หนา ทรี่ าชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรมเทาน้ัน
ซ่ึงความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม นั้น
เปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ ถือเปนมูลความผิดทางวินัย
นอกจากสามกรณีดังกลาวแลว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไมมีอํานาจในการไตสวนขอเท็จจริง
เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดไตสวนขอเท็จจริงและมีมติวาการกระทํา
ของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ และฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๘๒ วรรคสาม มาตรา ๘๕ วรรคสอง
จึงเปนกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ตามมาตรา ๑๙ (๓) แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
เม่ือประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและเอกสารประกอบ
พรอมทั้งความเห็นไปยังผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี เพ่ือพิจารณา
โทษทางวินัยแกผูฟองคดีในความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว สวนความผิดฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง น้ัน เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ไมมีอํานาจหนาที่ในการไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานดังกลาว
การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐาน
ดังกลาว จึงเปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจตามกฎหมาย กรณีจึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะถือเอา
รายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาเปนสํานวนการสอบสวน
ทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือน
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการในความผิดทางวินัยฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง โดยมิไดมีการแตงตั้ง
คณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดีและมิไดแจงขอกลาวหาดังกลาวใหผูฟองคดีทราบ
เพื่อใหผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงชี้แจงแสดงพยานหลักฐานและนําสืบแกขอกลาวหา คําส่ังลงโทษ
ไลผ ฟู อ งคดีออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลา วซึง่ เปนคาํ สง่ั ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ.

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๕)
วิธปี ฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงไมช อบดว ยกฎหมาย เนื่องจากมไิ ดดําเนินการตามข้ันตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญในการลงโทษทางวินัยอยางรายแรงแกขาราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๐๒ ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
ซ่งึ ใชบงั คับในขณะเกิดเหตุ เมือ่ คดนี ผี้ ูฟอ งคดถี กู กลาวหาวา กระทาํ ความผดิ วนิ ัยอยา งรา ยแรงฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ เนื่องจากเมื่อครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงนายชางรังวัด ๖ ทําหนาท่ีหัวหนาฝายรังวัด
สํานักงานท่ีดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี มีหนาที่ในการตรวจสอบพิจารณาเรื่องรังวัด
ทุกประเภทวาถูกตองตามหลักวิชาการแผนท่ีหรือไม ควบคุม กํากับดูแล ตรวจสอบกลั่นกรอง
งานดานการรังวัดและทําแผนท่ีไตสวนกรรมสิทธ์ิเพ่ือออกโฉนดท่ีดินพรอมเสนอความเห็นตอ
เจาพนักงานท่ีดินเพ่ือใหการออกโฉนดเปนไปตามระเบียบและกฎหมาย โดยท่ีกรณีพิพาท
เปนเร่ืองเก่ียวกับการออกโฉนดท่ีดินเฉพาะรายโดยมีหลักฐานการครอบครองตามมาตรา ๕๙
แหงประมวลกฎหมายท่ีดิน ซึ่งขอเท็จจริงรับฟงไดวา กรณีบริษัท ป. นําหลักฐาน ส.ค.๑ และ น.ส.๓
ตําบลคลองดาน อําเภอบางบอ จังหวัดสมุทรปราการ มาขอออกโฉนด ซ่ึงผูฟองคดีมีหนาท่ี
ตรวจสอบสิทธิครอบครองและการทําประโยชนในท่ีดิน รวมท้ังเปนที่ดินที่พึงออกโฉนดที่ดิน
ไดตามกฎหมายหรือไม ท้ังน้ี ตามขอ ๘ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๙๗) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ใหใชประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ อันเปนกฎหมายซ่ึงมีผลใชบังคับขณะนั้น
ผูฟองคดียอมตองมีความรูในระเบียบและกฎหมายเปนอยางดี หากผูฟองคดีไดตรวจสอบ
หรือพิจารณากล่ันกรองเอกสารหรือหลักฐานประกอบเร่ืองการรังวัดออกโฉนดที่ดิน ผูฟองคดี
ยอมจะทราบไดวาการท่ีระบุไวดานหลัง ส.ค.๑ วาเปนที่เทขยะ น้ัน หลักฐาน ส.ค.๑ ดังกลาว
เปนหลักฐานท่ีผูแจงการครอบครองไดแจงโดยมิชอบ เพราะแจงในท่ีสงวนและหวงหาม การแจง ส.ค.๑
จึงไมกอใหเกิดสิทธิแกผูแจง ทั้งนี้ ตามมาตรา ๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ใหใชประมวลกฎหมายท่ีดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ ผูแจงจึงไมใชผูมีสิทธิครอบครองท่ีดินตามมาตรา ๕๙ แหงประมวลกฎหมายท่ีดิน
นอกจากนี้ ไดมีการนําหลักฐานที่ดินแปลงอ่ืนมาขอออกโฉนดที่ดิน รวมทั้งมีการออกโฉนดท่ีดิน
ทับท่ีดินที่ไมมีหลักฐานเดิมรวมเขาไปดวย ซึ่งเปนหนาที่ของผูฟองคดีท่ีจะตองพิจารณาเก่ียวกับ
หลักฐานท่ีนํามาขอออกโฉนดท่ีดิน และตรวจสอบใหชัดเจนกอนเสนอเร่ืองตอเจาพนักงานท่ีดิน
อันเปนการตรวจพิจารณาตามปกติของผูดํารงตําแหนงเชนนั้นตองพึงกระทํา ซ่ึงหลักฐานดังกลาว
ปรากฏชัดเจนแกผูฟองคดีแลว โดยที่ผูฟองคดีไมจําเปนตองออกไปตรวจสอบสภาพท่ีดินอีก
ผูฟองคดียอมทราบวาหลักฐานท่ีนํามาขอออกโฉนดที่ดินดังกลาวขัดตอกฎหมาย และไมสามารถ
ออกโฉนดที่ดินได การท่ีผูฟองคดีไดเสนอเร่ืองตอเจาพนักงานท่ีดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี
ตอไป จนกระทั่งมีการออกโฉนดท่ีดินใหแกผูขอ พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดี
แสดงถึงความจงใจหรือประมาทเลินเลออยางรายแรง ถือเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
นอกจากน้ี การออกโฉนดท่ีดินเฉพาะรายกรณีนี้ ยังเปนการออกโฉนดท่ีดินทับคลองสาธารณประโยชน
และท่ีดินซ่ึงเปนท่ีหวงหาม (ที่เทขยะ) ซ่ึงตองหามตามมาตรา ๕๙ แหงประมวลกฎหมายท่ีดิน

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๖)
และขอ ๘ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความใน พ.ร.บ. ใหใชประมวลกฎหมาย
ที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ อันเปนกฎหมายท่ีมีผลใชบังคับอยูในขณะน้ัน พฤติการณและการกระทํา
ของผูฟองคดีจึงเขาองคประกอบของความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเปนกฎหมายที่ใชบังคับอยูขณะ
กระทําความผิด อยางไรก็ตาม การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติวาการกระทําของผูฟองคดี
มีมูลความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ
เพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ และฐานปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
อยางรายแรง และไดสงรายงานเอกสารพรอมท้ังความเห็นมายังผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เพื่อพิจารณา
โทษทางวินยั ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติโดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก
และในการพิจารณาโทษทางวินัยใหถือวารายงานเอกสารและความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ทั้งนี้ ตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป.
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดรับหนังสือ
จากผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไวพิจารณา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาที่มีอํานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา ๕๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงสงเรื่องให อ.ก.พ.
กระทรวงมหาดไทยพิจารณา โดย อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย มีมติเห็นชอบในการประชุมวันท่ี ๒๖
กรกฎาคม ๒๕๕๐ ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
จึงอาศัยอํานาจตามความใน ๙๒ และมาตรา ๙๓ แหงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาว
ประกอบมาตรา ๑๐๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีคําสั่งลงวันท่ี
๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แมคดีนี้
จะปรากฏขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดช้ีมูลความผิดทางวินัยของผูฟองคดีฐานปฏิบัติ
หนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกร าชการอยา งรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซ่ึงไดวินิจฉัยไวแลววา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมมีอํานาจหนาท่ีในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิด
ทางวินัยผูฟองคดีในฐานดังกลาว แตเมื่อไดวินิจฉัยไวแลวเชนกันวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ วินิจฉัยวา
พฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดีถือวามีมูลความผิด โดยถือเปนการปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริต
ตอหนาที่ราชการ อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ชอบดวยกฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ชี้มูลความผิดฐานอ่ืนมาดวย
จึงไมมีผลเปลี่ยนแปลงมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ชี้มูลความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการอันเปน
ความผิดวินัยอยางรายแรงแตอยางใดไม ดังน้ัน คําส่ังของผูถูกฟองคดีลงวันท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐
จงึ ชอบดว ยกฎหมาย นอกจากน้ี กรณีของผูฟอ งคดี แมจะพนจากการเปนเจาหนาท่ีของรัฐไปแลวตั้งแต
วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ ก็ตาม แตการดําเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ป. ที่ไดรับไวพิจารณา
ยังไมแลวเสร็จก็ไดโอนมาเปนอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ กอนพนกําหนดหนึ่งปนับแตวันที่

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๗)
ผูฟองคดีพนจากการเปนเจาหนาท่ีของรัฐ กรณีจึงไมเขาเง่ือนไขเรื่องระยะเวลาตามมาตรา ๒๑ จัตวา
แหง พ.ร.บ. ปองกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. ๒๕๑๘
แกไ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐ แตอ ยา งใด เม่ือขอเท็จจริงรับฟงเปนท่ียุติแลววา กรณีของ
ผูฟองคดีแมจะเปนเพียงขอกลาวหาตามที่หนังสือพิมพผูจัดการลงขาวก็ตาม แตสํานักงาน ป.ป.ป.
ก็ไดรับเรื่องรองเรียนกลาวหาผูฟองคดีกับพวกไวเม่ือวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๒ กอนท่ีผูฟองคดี
จะพน จากราชการเน่ืองจากเกษยี ณอายุตั้งแตว นั ที่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๔๒ ดงั นัน้ เมอื่ ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีมติวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง และแจงใหผูบังคับบัญชาพิจารณาโทษตามมติดังกลาว
กรณีจึงเขาหลักเกณฑตามมาตรา ๑๐๖ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ แลว
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จงึ มีอํานาจไตสวนช้มี ลู ความผดิ และเสนอความเห็นใหผ ูถกู ฟอ งคดที ่ี ๒ พิจารณาลงโทษ
ผูฟองคดีได สวนในเร่ืองการแจงขอกลาวหาใหผูถูกกลาวหาทราบนั้น เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา
แมคณะอนุกรรมการไตสวนของผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะมิไดแจงใหผูฟองคดีทราบวาการออกโฉนดที่ดิน
เปนการออกทับพื้นท่ีหวงหามอันเปนที่เทขยะมูลฝอยก็ตาม แตการแจงขอกลาวหาดังกลาว
ถือไดวาเปนการแจงถึงพฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดีซึ่งเพียงพอที่ผูฟองคดีจะชี้แจง
แกขอกลาวหาไดวาการพิจารณาตรวจสอบเรื่องราวและรายงานการรังวัด ตลอดจนความเห็น
ของผูใตบังคับบัญชาตามสายงานเสนอเจาพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี
ในการออกโฉนดท่ีดินดังกลาว ผูฟองคดีไดดําเนินการไปโดยถูกตองตามข้ันตอนและวิธีการตามที่
กฎหมายกําหนดไวหรือไม อยางไร ดังน้ัน การแจงขอกลาวหาของคณะอนุกรรมการไตสวน
ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงชอบดวยกฎหมาย เมื่อไดวินิจฉัยแลววา การมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการตามการช้ีมูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมาย
ดังนั้น เม่ือคําส่ังลงโทษดังกลาวชอบดวยกฎหมายจึงไมเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดีแตอยางใด
ซ่ึงผูฟองคดีถูกลงโทษไลออกจากราชการยอนหลังไปถึงวันที่เกษียณอายุราชการ จึงไมมีสิทธิไดรับ
บําเหน็จบํานาญตามกฎหมาย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนในสวนที่เปน
ดอกเบี้ยของเงินบํานาญที่ไมมีสิทธิไดรับใหแกผูฟองคดี ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง
และใหคืนคาธรรมเนียมศาลในสวนทุนทรัพยท่ีเกินกวาสวนท่ีเปนดอกเบี้ยใหแกผูฟองคดี นั้น
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดว ย

พิพากษายนื

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๒๐๗/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟอ งวา เดิมผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาหนาท่ีบริหารงานที่ราชพัสดุ

ระดับ ๘ สวนจดั การท่รี าชการพัสดุ ๒ สํานักบริหารท่ีราชพัสดุ ๒ กรมธนารักษ กระทรวงการคลัง
ถกู ลงโทษไลออกจากราชการ ฐานทุจรติ ตอ หนาที่ราชการและประพฤติช่ัวอยางรายแรง ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ กรณีถูกกลาวหาวาเม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาท่ี
จัดผลประโยชน ๗ สํานักงานธนารักษพ้นื ที่ตราด ไดเรยี กรับเงนิ จากนางสาว ฐ. ผูเชาที่ดินราชพัสดุ
เพ่ือเปนคาใชจายลวงหนาตอบแทนในการทําสัญญาเชาท่ีราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียน

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๘)
ที่ ตร. ๒๕๘ ตร. ๒๕๙ และ ตร. ๒๖๐ ตําบลไมรูด อําเภอคลองใหญ จังหวัดตราด ผูฟองคดี
จึงอุทธรณคําสั่งตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการพลเรือน) โดยเห็นวา
การดําเนินการทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนไมแจงสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอกลาวหาที่ไดจากการสอบสวนเพิ่มเติมใหผูฟองคดีทราบ รายงานการสอบสวนไมปรากฏ
การวินิจฉัยเปรียบเทียบพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหากับพยานหลักฐานที่หักลาง
ขอกลาวหา และมีลักษณะปกปดขอเท็จจริงนําขอความอันเปนเท็จมาบิดเบือนแลวเสนอตอ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมธนารักษ) จนเปนสาเหตุใหมีการลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
นอกจากน้ี ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒ ซึ่งมีหนาที่ตองใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการเรื่องน้ี
ใหถูกตองโดยเร็ว ตามขอ ๓๖ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ วาดวยการสอบสวนพิจารณา แตกลับไมดําเนินการ
คําสั่งลงโทษผูฟองคดีจึงไมชอบดวยกฎหมาย ตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (นายกรัฐมนตรี) ไดพิจารณา
แลวมีคําสั่งใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอน
คําส่ังลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูฟองคดี
กลับเขารบั ราชการมีผลยอ นหลงั ไปถงึ วันที่ถูกไลออกจากราชการ ภายใน ๓๐ วัน โดยไดรับเงินเดือน
เงินสวัสดิการตาง ๆ ที่พึงจะไดรับในขณะท่ีถูกไลออกจากราชการ ตลอดจนเงินสวนแบง
สวนลดเบ้ยี ประกนั ภัยอาคารราชพสั ดุ และเงินอ่นื ใดทจี่ ะพงึ ไดจ ากการปฏบิ ัตริ าชการมีผลยอนหลัง
ไปถึงวันที่ถูกไลออกจากราชการ เพิกถอนมติ อ.ก.พ. กระทรวงการคลัง ที่มีมติไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีมีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี เพิกถอนคําส่ัง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ท่ียกอุทธรณของผูฟองคดี และใหกรมธนารักษถอนฟองการดําเนินคดีอาญา
ผูฟองคดี เห็นวา คณะกรรมการสอบสวนไดแจงบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหา
(แบบ สว.๒) ลงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๗ และสรุปพยานหลักฐาน (แบบ สว.๓) ท่ีสนับสนุน
ขอกลาวหาแกผูฟองคดีลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗ โดยแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ท่ีสนับสนุนขอกลาวหาวา เมื่อคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาที่จัดหาผลประโยชน ๗
สํานักงานธนารักษพ้ืนท่ีตราด ผูฟองคดีเรียกรับผลประโยชนจากนางสาว ฐ. ผูเชาที่ดินราชพัสดุ
เน้ือท่ี ๒๐ ไร ๒๙ ตารางวา ในการทําสัญญาเชาที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน
ท่ี ตร. ๒๕๘ ตร. ๒๕๙ และ ตร. ๒๖๐ ตําบลไมรูด อําเภอคลองใหญ จังหวัดตราด โดยมี
พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา คือ นางสาว ฐ. เปนพยานยืนยันการเรียกรับเงิน ๒ คร้ัง
คร้ังท่ี ๑ ผูฟองคดีเรียกรับเงินจํานวน ๕๐,๐๐๐ บาท แตนางสาว ฐ. จายเปนเงินสด
เพียง ๓๐,๐๐๐ บาท เพ่ือนําเงินไปซ้ือเหรียญที่กรมธนารักษจัดทําใหผูวาราชการจังหวัด ครั้งท่ี ๒
เม่ือวันท่ี ๑ ถึงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ผูฟองคดีติดตอใหนางสาว ฐ. นําเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท
มาใหในวันทําสัญญา เพราะบุคคลอ่ืนไดจายหมดแลว เหลือแตนางสาว ฐ. ถาไมจายก็ไมได
สัญญาเชา ในวันทําสัญญาเชาวันท่ี ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๖ นางสาว ฐ. ไดโอนเงินโดยใชใบนําฝาก
ที่นางสาว อ. เปนผูกรอกเลขที่บัญชีให โอนเงินจํานวน ๕๐,๐๐๐ บาท เขาบัญชีเงินฝากผูฟองคดี
จากนั้นคณะกรรมการสอบสวนไดสอบพยานบุคคลทั้งท่ีเปนผูเชาที่ราชพัสดุรายอื่นและเจาหนาที่

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๙)
ธนารักษพื้นท่ีตราด พรอมท้ังพยานเอกสารที่เกี่ยวของในการจัดทําสัญญาเชารายนางสาว ฐ.
ท้ังกอนและหลังทําสัญญาเชา รวมท้ังเอกสารการโอนเงินฝากเขาบัญชีผูฟองคดีและสมุดบัญชี
ของผูฟองคดีที่พบรายการโอนเงินฝากเขาจริง ตามที่นางสาว ฐ. กลาวอาง และฟงวาพฤติการณ
ดังกลาวของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ และ
การกระทําอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ และมาตรา ๙๘ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และผูฟองคดีรับทราบ สว.๓ ในวันเดียวกัน
และไดทําบนั ทึกคาํ ชี้แจงแกข อกลา วหาลงวนั ท่ี ๒๔ กมุ ภาพันธ ๒๕๔๘ ปฏิเสธการเรียกรับเงินจาก
นางสาว ฐ. จากการใหเชาที่ราชพัสดุ ซ่ึงตามกฎ กพ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ขอ ๑๕ วรรคหนึ่ง
กําหนดใหคณะกรรมการสอบสวนสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาเทาท่ีมีใหทราบวัน
เวลา สถานที่ และการกระทาํ ท่มี ีลักษณะเปนการสนับสนุนขอกลา วหา สําหรับพยานบุคคลจะระบุ
หรือไมระบุช่ือพยานก็ได เมื่อพิจารณารายละเอียดบันทึกการแจงสรุปขอกลาวหาและ
สรุปพยานหลักฐานตามแบบ สว.๓ ของคณะกรรมการสอบสวนแกผูฟองคดีแลว จะเห็นไดวา
เปนขอเท็จจริงท่ีเพียงพอจะทําใหผูฟองคดีเขาใจไดวาถูกกลาวหาวาไดกระทําความผิดอยางไร
ซง่ึ ผูฟองคดีไดชีแ้ จงตอ สตู ามหนังสือลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ โดยละเอียดไมหลงขอตอสูวา
ไมเคยเรียกรับเงินจากผูรองเรียน จึงเห็นไดวา ผูฟองคดีเขาใจขอกลาวหาและไมไดหลงขอตอสู
แมไมไดแจงช่ือวามีผูใดเปนพยานบาง แตการระบุช่ือนางสาว ฐ. ผูเสียหายและอางเอกสาร
การจัดทําสัญญาเชาและใบฝากเงิน รวมท้ังบัญชีเงินฝากผูฟองคดี เมื่อผูฟองคดีเขาใจขอกลาวหา
และไมไดหลงขอตอสู การแจงสรุปขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา
ตามแบบ สว. ๓ ของคณะกรรมการสอบสวนจึงเปนกรณีท่ีไดแจงใหผูฟองคดีทราบขอเท็จจริง
อยางเพียงพอในการที่จะใชสิทธิในการโตแยงปองกันสิทธิของตน และเปนการดําเนินการ
ท่ีชอบดวยกฎหมายแลว ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งในกรณีท่ีผูฟองคดีกระทําทุจริตในหนาที่ราชการเรียกรับเงินจาก
นางสาว ฐ. เพ่ือใหสิทธิการเชาที่ราชพัสดุ นั้น คณะกรรมการสอบสวนไดสอบปากคําพยานบุคคล
ประกอบดวยนางสาว ฐ. ผูขอเชาที่ราชพัสดุในคดีนี้ และเปนผูรองเรียนผูฟองคดีกรณีเรียกรับเงิน
ผลประโยชนเพ่ือใหสิทธิการเปนท่ีราชพัสดุ เนื้อที่ ๒๐ ไรเศษ พยานที่เปนเจาหนาที่ธนารักษ
พ้ืนท่ตี ราด ประกอบดว ยนาย ส. ชางรังวัดท่รี าชพสั ดุที่พพิ าทในคดีนี้ นางสาว อ. เจาหนาที่การเงิน
พยานท่ีเปนผูบุกรุกท่ีราชพัสดุและไดยินยอมขอเชา และผูฟองคดีซึ่งเปนผูถูกกลาวหา
โดยเมื่อพิจารณาจากคําพยานบุคคลประกอบพยานเอกสารในสํานวนที่คณะกรรมการสอบสวน
รายงานแลว ปรากฏวามีการฝากเงินเขาบัญชีธนาคาร ก. ของผูฟองคดีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๖
โดยนางสาว ฐ. เปนผูนําฝากจริง และผูฟองคดียอมรับวาเปนสมุดบัญชีเงินฝากของผูฟองคดี
โดยมีรายการเงินฝากเขา วันท่ี ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๖ มกี ารฝากเงินจํานวน ๕๐,๐๐๐ บาท จริง และ
ในวันอื่นๆ ไมมีเงินฝากเขาบัญชี แตมีการถอนเงินวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ไป ๑๕๐,๐๐๐ บาท
โดยมีขอพิรุธเพียงวา ผูฟองคดีไมตรวจสอบวาเปนเงินที่มีที่มาอยางไร เมื่อพิจารณากรณีที่ดิน

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๐)
ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ตร. ๒๕๘ ตร. ๒๕๙ และ ตร. ๒๖๐ เนื้อท่ีประมาณ ๑๕๐ ไร
กองบัญชาการทหารสูงสุดเคยขอใชประโยชน ตอมาไดมีหนังสือแจงคืนท่ีดินดังกลาว นาย ว.
ธนารักษจังหวัดตราดขณะน้ัน และผูฟองคดียอมรับรูรับทราบวาท่ีดินท่ีเหลือจากการที่
หนว ยราชการอน่ื เขาใชท ่ีดนิ แปลงดงั กลาวคงเหลอื ประมาณ ๘๐ ไร และเมื่อมีการรังวัดออก นสล.
ในป พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยกรมท่ีดินเปนหนวยงานดําเนินการยอมเปนที่ประจักษชัดวาในป พ.ศ. ๒๕๔๕
ไมมีผูบุกรุกหรือโตแยงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกลาว การที่มีผูกลาวอางวาเปนผูบุกรุกเพ่ือใหเกิดสิทธิ
ในการขอเชาท่ีราชพัสดุตามเน้ือท่ีที่อางวาบุกรุก ซ่ึงไมอาจอางไดหากเจาหนาท่ีของรัฐไมรูเห็นเปนใจ
ดวยมูลเหตุจูงใจในเรื่องการท่ีผูจะขอเชาไมอาจอางเหตุขอเชาไดอยางถูกตอง แตหากจะทําใหถูกตอง
จึงตองติดตอกับผูฟองคดีในฐานะเจาหนาท่ีฝายจัดหาผลประโยชน และพบขอพิรุธตางๆ ในการที่
ผูฟองคดีสอบสวนสิทธิของนางสาว ฐ. ในเร่ืองการไดมาของที่ดินท่ีขอเชาขัดแยงกับนาย ส. ท่ีอางวา
ไมไดขายท่ีแกนางสาว ฐ. ดังท่ีนางสาว ฐ. ใหถอยคํา แตนางสาว ฐ. ทั้งนาย ป. และนางสาว ร.
ก็ไมเ คยใหถอ ยคาํ ตอ ผฟู อ งคดี แตผฟู องคดีจัดใหม กี ารลงชื่อในบันทึกการสอบปากคําฉบับเดียวกับ
นางสาว ฐ. กรณีจึงนาเช่ือวาผูฟองคดีเปนผูกระทําการทุจริตในหนาท่ีราชการเรียกรับเงินจาก
นางสาว ฐ. เพ่ือใหสิทธิการเชาท่ีราชพัสดุในคดีพิพาท อันทําใหเกิดความเสียหายอยางรายแรง
ตอภาพลักษณและความนาเช่ือถือของทางราชการ ท้ังยังปรากฏวานอกจากการดําเนินคดีวินัย
กับผูฟองคดีแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ยังดําเนินการรองทุกขกลาวโทษทางอาญากับผูฟองคดี
ในฐานะเจาพนักงานเรียกรับผลประโยชนและดําเนินคดีอาญากับนางสาว ฐ. ในฐานะผูใหสินบน
เจาพนักงานอีกดวย สวนกรณีที่ผูฟองคดีจัดใหบุคคลเชาท่ีราชพัสดุท้ังที่มิใชผูบุกรุกท่ีแทจริง
หรือไมไดเขาทําประโยชนตามที่กลาวอางจริง ซ่ึงทําใหราชการเสียประโยชนในรูปตัวเงิน
และทรัพยส นิ ทจ่ี ะไดจ ากการจดั หาประโยชนใ นทีด่ ินแปลงดังกลาว น้ัน เมื่อพิเคราะหแบบรายงาน
ตรวจสอบที่ราชพัสดุของผูย่ืนคํารองรายนางสาว ฐ. กับผูมีช่ืออีกรวม ๙ คน ปรากฏขอเท็จจริงวา
ท่ีราชพัสดุซ่ึงอยูในความดูแลของกรมธนารักษที่ใหเชาดานตะวันออกติดทางสาธารณะ
ดานทิศตะวันตกติดทะเล ที่ดินดังกลาวยอมมีศักยภาพสูงในการหาผลประโยชน ผูฟองคดี
ซ่ึงเปนเจาหนาที่ของกรมธนารักษหนวยงานทางปกครองผูดูแลที่ราชพัสดุควรท่ีจะทําการ
ตรวจสอบใหไดความวา ผูท่ีขอเชาเปนผูที่อยูในหลักเกณฑท่ีทางราชการกําหนดมิใชเพียงให
ผูแอบอางวาเปนผูบุกรุกไดสิทธิการเชาและเรียกคาเชาตอป สําหรับนางสาว ฐ. เชา ๒๐ ไรเศษ
คาเชาเพียงไรละ ๑๔,๐๕๑ บาทเศษ ตอป จึงเห็นวา การเสนอใหนางสาว ฐ. กับผูมีชื่ออีก ๘ คน
เชาเพ่ือทําการเกษตรยอมไมคุมคากับการจัดหาประโยชนตามระเบียบกระทรวงการคลัง วาดวย
การจัดหาประโยชนในที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๒๗ อันทําใหราชการเสียประโยชน จากพฤติการณ
ดงั กลา วเห็นไดวา การกระทาํ ของผูฟองคดจี งึ เปน การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเอง
หรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และการกระทําดังกลาว
อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนการกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒
วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังน้ัน
การที่ผูถ ูกฟอ งคดที ่ี ๑ มคี ําส่ังลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๑)
ตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงการคลังในคราวประชุมเม่ือวันท่ี ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๙ และผูถูกฟองคดีท่ี ๓
พิจารณาส่ังการใหยกอุทธรณตามมติของผถู ูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเปน การใชดุลพนิ ิจในการรับฟงขอเท็จจริง
ขอกฎหมายโดยชอบ และเปนการวินิจฉัยและกําหนดโทษตามระดับโทษที่เหมาะสมและ
ชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๑๐๔ แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว ท่ีศาลปกครองช้ันตน
พิพากษายกฟอง นน้ั ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดว ยในผล

พิพากษายืน

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๔๖๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงนักวิชาการ

แรงงาน ๖ว สังกัดกองพัฒนาระบบบริการจัดหางาน ปฏิบัติราชการสํานักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ ๑
ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง มูลกรณีเกิดเม่ือคร้ังผูฟองคดีไดรับมอบหมายใหไป
ตรวจสอบการทํางานของคนตางดาว โดยไดเขาตรวจสอบสถานประกอบการของคนตางดาว
ช่ือนาย อ. กรรมการผูจัดการบริษัท ส. นักธุรกิจสัญชาติอินเดีย ซึ่งตามใบอนุญาตทํางานระบุวา
ประกอบกิจการผลิตส่ิงทอ ตั้งอยูเลขที่๔๕/๔๖ หมู ๙ ถนนประชารวมใจ แขวงทรายกองดินใต
เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเม่ือผูฟองคดีไดไปตรวจสอบแลวไมพบการทํางาน ณ สถานท่ี
ตามท่ีระบุในใบอนุญาตทํางาน และเมื่อตรวจสอบกับสํานักบริการจดทะเบียนธุรกิจ ๓ กระทรวง
พาณิชย แลวปรากฏวาบริษัท ส. เปลี่ยนแปลงสถานที่ต้ังไปยังเลขท่ี ๑๘/๒ ซอยสุขุมวิท ๒๓
แขวงคลองเตยเหนอื เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร และจากการตรวจสอบการทํางาน ณ สถานประกอบการใหม
พบวาบริษัท ส. ประกอบกิจการเปนรานอาหารอินเดียและใหบริการอินเตอรเน็ตซ่ึงไมตรงกับกิจการ
ที่กําหนดไวในใบอนุญาตทํางานและไมไดยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงสถานท่ีทํางานอันเปนการฝาฝน
พระราชบัญญัติการทํางานของคนตางดาว ในการนี้ผูฟองคดีไดเรียกรับเงินจากนาย อ. เพื่อใหตนเอง
ไดรับประโยชนที่มิควรได กรมการจัดหางานจึงแตงตั้งคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดี
ผลการสอบสวนไมไดค วามแนชัดทีจ่ ะลงโทษไลออกหรือปลดออกจากราชการ แตมีมลทินหรือมัวหมอง
ในกรณีทถี่ ูกสอบสวน เนื่องจากเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานท้ังหมดแลวมีเหตุอันควรสงสัยเปนอยางย่ิงวา
ผฟู อ งคดีมีสวนหรือรูเ หน็ กับการเรียกรับเงนิ ดังกลา ว ตอมา ผถู ูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมการจัดหางาน)
โดยมติ อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ใหผูฟองคดีออกจาก
ราชการเพราะเหตุมีมลทินหรือมัวหมอง ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย
จึงมีหนังสือลงวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ รองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการ
พลเรือน) แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ มิไดดําเนินการพิจารณาเร่ืองรองทุกขของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายใน
ระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนด จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่ง
ลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ท่ีใหผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
ในตําแหนงเดิม และใหผถู กู ฟองคดีทั้งสองรวมกันหรือแทนกันจายเงินเดือนใหแกผูฟองคดีนับแตวันที่
๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เปนตนไป จนถึงวันที่ศาลมีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ เห็นวา
ในชั้นการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการสอบสวน โดยนาย อ. ไดรองเรียนกลาวหาวา

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๒)
ในวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผูฟองคดีกับพวกเขาตรวจสอบสถานประกอบการท่ีตั้งอยูเลขท่ี ๑๘/๒
ซอยสุขุมวิท ๒๓ นาย อ. ไดติดตอใหนาง ศ. ซึ่งเปนตัวแทนในการขอใบอนุญาตทํางาน มาชวยเจรจา
จากการเจรจา นาง ศ. แจงวาผูฟองคดีและเจาหนาท่ีไดเรียกเงินจากนาย อ. จํานวน ๙๐,๐๐๐ บาท
เปนขอ ตอ รองทีจ่ ะไมต อ งถกู ดาํ เนินคดีตามกฎหมาย เน่ืองจากบริษัทของนาย อ. ไมมีลูกจางเปนคนไทย
และบิดาและมารดาของนาย อ. ไมมีใบอนุญาตทํางานซึ่งเปนความผิดตามกฎหมายคนเขาเมือง นาย อ.
ตกลงจะจายเงินจํานวน ๔๕,๐๐๐ บาท ใหนาง ศ. นําไปจายใหเจาหนาท่ี ตอมา นาง ศ. โทรศัพท
แจงนาย อ. วาเจาหนาที่ไดขอใหนําเงินสวนที่เหลือจํานวน ๔๕,๐๐๐ บาท ไปมอบใหที่หางสรรพสินคา
นาย อ. ไดเบิกเงินสดจากตูเบิกเงินอัตโนมัติ (ATM) ณ หางสรรพสินคาดังกลาว จํานวน ๔๕,๐๐๐ บาท
และนําไปมอบใหแกผูฟองคดีที่บริเวณลานจอดรถของหางสรรพสินคา โดยปรากฏหลักฐานจากสมุด
บัญชีเงินฝากธนาคารธนาคารของนาย อ. วาในดังกลาวไดมีการฝากเงินและถอนเงินตามจํานวนท่ีนาย
อ. กลา วอา งจรงิ ตอมา นาย อ. ไดไปดําเนินการยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงสถานประกอบการ แตปรากฏวา
บริษัทของนาย อ. ถูกขึ้นบัญชีดํา นาย อ. จึงแจงเร่ืองทั้งหมดใหนาย ส. ทราบ และภายหลังจากที่ได
มีการรองเรียนเกิดขึ้น ผูฟองคดีกับบุคคลอ่ืนอีกหลายคนไดมาพบนาย อ. ที่บริษัท น. ซึ่งเปนบริษัท
ของนาย ก. เพื่อขอใหนาย อ. ยุติเร่ืองรองเรียนโดยยินยอมชดใชเงินคืนใหเต็มจํานวน แตนาย อ.
ไมกลารับเงินคืน และทั้งสองฝายไมสามารถตกลงกันไดจึงไมมีการคืนเงินกัน และนาย อ. ถูกขมขู
เพือ่ ใหยุตเิ ร่ืองมาโดยตลอด จนตองขอความชวยเหลือจากสถานทูตอินเดียประจําประเทศไทย นาง ศ.
ใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวนสรุปไดวา ขณะท่ีนาย อ. ไดดําเนินกิจการของบริษัท ส. ซ่ึงต้ังอยู
เลขท่ี ๑๘/๒ ซอยสุขุมวิท ๒๓ นาย อ. ไดโทรศัพทมาแจงวามีเจาหนาท่ีกรมการจัดหางาน
มาตรวจสอบบริษัท โดยขอใหตนมาเปนลามเน่ืองจากนาย อ. ไมสามารถพูดภาษาไทยได ตนจึงไป
ทบ่ี ริษัทของนาย อ. พบวามีเจาหนาที่กรมการจัดหางาน ๒ คน คือ ผูฟองคดีและนาย น. ตนไดแจงให
เจาหนาที่บันทึกถอยคําจากนาย อ. ตามความเปนจริง เมื่อนําบันทึกถอยคํามาตรวจสอบ ปรากฏวา
มีลักษณะที่เปนโทษตอคนตางดาว ตนจึงไดขอรองใหผูฟองคดีชวยเหลือนาย อ. โดยบอกผูฟองคดีวา
หากมีคาใชจายก็จําเปนตองจาย ผูฟองคดีจึงไดเสนอจํานวนเงินที่ตองจาย ตนไดตอรองราคาโดยตกลง
กันวาขอจายเพียงหนึง่ แสนบาท นาย ก. ใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวนสรุปไดวา เม่ือประมาณ
เดือนกันยายน ๒๕๔๗ นาย ก. ไดรับการประสานงานจากสถานทูตอินเดียประจําประเทศไทย วามี
คนอินเดียถูกขาราชการไทยขมขู นาย ก. จึงเดินทางไปยังสถานทูต และไดพบกับนาย อ. และไดทราบ
ขอเท็จจริงวานาย อ. ไดรับอนุญาตทํางานจากกรมการจัดหางานแลวแตถูกผูฟองคดีซ่ึงเปนเจาหนาที่
กรมการจัดหางานเรียกรับเงินจํานวน ๙๐,๐๐๐ บาท และนาย อ. ไดจายเงินจํานวนดังกลาวไปแลว
แตยังถูกขมขูเรื่อยมาทําใหไดรับความเดือดรอน และภายหลังจากที่ไดมีการรองเรียนแลว ผูฟองคดี
พรอมดวยตํารวจตรวจคนเขาเมืองไดเดินทางมาพบนาย ก. ที่บริษัทของนาย ก. เพ่ือขอไกลเกลี่ย
กับนาย อ. โดยผูฟองคดีไดเสนอขอชดใชเงินจํานวน ๙๐,๐๐๐ บาท คืนให เพ่ือขอใหนาย อ. ยุติเร่ือง
แตนาย อ. ไมรับเงินคืน และผูฟองคดีชี้แจงแกขอกลาวหาวา หลังจากที่ผูฟองคดีทราบวา
มีการรองเรยี น ผูฟ องคดีกับรอยตํารวจเอก ส. ตํารวจตรวจคนเขาเมือง ไดไปพบนาย อ. จริง แตไปพบ
เพอื่ จะพดู คยุ สอบถามขอเท็จจรงิ เทา นนั้ มิไดเปน การพูดคุย ขมขู หรือขอยุติเรื่องโดยการคืนเงินตามท่ี

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๓)
ถูกกลาวหา และรอยตํารวจเอก ส. ซ่ึงเปนพยานฝายผูฟองคดี ใหถอยคําวา ตนเองกับผูฟองคดี
ไดเดินทางไปพบนาย อ. ท่ีบริษัทของนาย ก. จริง ซึ่งเปนการไปพบเพ่ือสอบถามถึงเหตุผลที่นาย อ.
รองเรียนผูฟองคดีเทาน้ัน จากขอเท็จจริงท่ีไดจากการสอบสวนจะเห็นไดวา ผูฟองคดีเขาไป
มีสวนเกี่ยวของกับเร่ืองที่กลาวหาในทุกเหตุการณที่นาย อ. ผูรอง กลาวอางประกอบขอรองเรียน
การลําดับเหตุการณสอดคลองตอเน่ืองกันทั้งสถานท่ีและเวลา รวมท้ังพยานฝายผูกลาวหาก็ใหการ
สอดคลองตองกัน อีกทั้งก็ไมปรากฏวา นาย อ. นาง ศ. และนาย ก. มีสาเหตุโกรธเคืองกับผูฟองคดี
มากอ นจนถึงขนาดตองปนแตงเรื่องขึ้นมากลาวโทษผูฟองคดีใหไดรับความเสียหาย ดังนั้น แมจะไมมี
พยานหลักฐานที่ฟงไดอยางชัดเจนวา ผูฟองคดีไดเรียกรับเงินจากคนตางดาวอันเปนความผิดวินัย
อยางรายแรงก็ตาม แตเปนกรณีท่ีมีเหตุอันควรสงสัยอยางยิ่งวาผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงกรณีเรียกรับเงินจากคนตางดาวอันเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการ
โดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ อันเปนเหตุ
ใหมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน ประกอบกับผูฟองคดีเปนผูดํารงตําแหนงนักวิชาการ
แรงงาน กองตรวจและคุมครองคนหางาน มีอํานาจหนาที่รับผิดชอบในการตรวจสอบการทํางานของ
คนตางดาว เพ่ือใหเปนไปตาม พ.ร.บ. การทํางานของคนตางดาว พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมท้ังรายงาน
ผลการตรวจสอบสถานประกอบการท่ีมีคนตางดาวทํางานพรอมทั้งเสนอความเห็นใหผูบังคับบัญชา
พิจารณาตอไป ซึ่งการปฏิบัติหนาท่ีราชการดังกลาวมีผลตอการพิจารณาดําเนินการตามกฎหมาย
กับคนตางดาวที่เขามาทํางานในประเทศไทย เจาหนาท่ีของรัฐที่ปฏิบัติหนาที่ราชการดังกลาวจึงตอง
มีความซ่ือสัตย สุจริต ในการปฏิบัติหนาที่เปนหลัก ซ่ึงการจะใหผูฟองคดีซึ่งมีมลทินหรือมัวหมอง
ในกรณีท่ีถูกสอบสวนเร่ืองเรียกรับเงินจากคนตางดาว รับราชการตอไปอาจจะทําใหเสียหาย
แกทางราชการได การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ใหผูฟองคดี
ออกจากราชการเพ่ือรับบําเหน็จบํานาญทดแทน เพราะมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน
ตามมาตรา ๑๑๖ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น จึงเปนการกระทําที่ชอบ
ดว ยกฎหมายแลว สวนที่ผูฟอ งคดีอางวา นางสาว ส. ซึ่งเปน อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน ในการพิจารณา
ดําเนินการทางวินัยตอผูฟองคดีเคยเปนประธานสอบสวนวินัยรายแรงผูฟองคดีมาแลว จึงเปน
ผูมีสวนไดเสียและถือเปนกรณีที่นางสาว ส. มีเหตุซึ่งมีสภาพรายแรงอันอาจทําใหการพิจารณา
ทางปกครองไมเปนกลางตามมาตรา ๑๖ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ น้ัน
แมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีของคณะกรรมการสอบสวนกับการพิจารณาของ อ.ก.พ.
กรมการจัดหางาน จะเปนการดําเนินขั้นตอนทางวินัยท่ีแยกสวนออกจากกัน และกฎหมาย
มีเจตนารมณให อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน ใชอํานาจในการตรวจสอบผลการสอบสวนทางวินัยของ
คณะกรรมการสอบสวนก็ตาม แตเหน็ ไดว า การสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีของคณะกรรมการ
สอบสวนกับการพิจารณาของ อ.ก.พ. กรมการจัดหางานดังกลาวยังเปนเพียงการดําเนินข้ันตอน
ทางวินัยหรือเปนการเตรียมการของเจาหนาท่ีกอนจัดใหมีคําส่ังทางปกครองลงโทษผูฟองคดีเทานั้น
ประกอบกับ อ.ก.พ. กรมการจัดหางานท่ีพิจารณาผลการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงกรณีผูฟองคดี
ถูกกลาวหาวากระทําผิดในคดีนี้มีอนุกรรมการท้ังสิ้น ๑๐ คน ประกอบดวยประธาน อ.ก.พ.

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๔)
รองประธาน อ.ก.พ. ผูทรงคุณวุฒิดานการบริหารงานบุคคล ผูทรงคุณวุฒิดานการบริหารและ
การจัดการ ผูทรงคุณวุฒิดานกฎหมาย และอนุกรรมการท่ีเปนขาราชการพลเรือนอีก ๕ คน
โดยนางสาว ส. ดํารงตําแหนงผูเชี่ยวชาญเฉพาะดานสงเสริมการมีงานทํา เปนอนุกรรมการท่ีเปน
ขาราชการพลเรือน ซึ่งการที่นางสาว ส. ไดรับการแตงตั้งใหเปนประธานกรรมการสอบสวนทางวินัย
ผูฟองคดี เปนการไดรับแตงตั้งใหปฏิบัติหนาท่ีนอกเหนือจากหนาที่ราชการตามปกติ ซ่ึงสงผลให
นางสาว ส. มีอํานาจอันเปนอิสระที่จะดําเนินการสอบสวนทางวินัยตามที่ กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ.
๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
กําหนดไว เพ่ือนําเสนอองคกรท่ีทําหนาท่ีบริหารงานบุคคลเพ่ือวินิจฉัยสั่งการตอไป การใชดุลพินิจ
ในฐานะประธานกรรมการสอบสวนทางวินัยเปนการใชดุลพินิจแยกตางหากจากการใชดุลพินิจในฐานะ
อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน และความเห็นของนางสาว ส. ก็เปนเพียงความเห็นเดียวใน อ.ก.พ.
กรมการจัดหางาน ซึ่งมีจํานวน ๑๐ คน และอนุกรรมการแตละคนยอมมีดุลพินิจอันเปนอิสระท่ีจะ
เห็นดวยกับความเห็นของนางสาว ส. หรือไม ดังนั้น การที่นางสาว ส. ไดรับแตงตั้งใหเปนประธาน
กรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี ในขณะที่เปน อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน จึงมิใชกรณีท่ีมีเหตุอ่ืนใด
ซึ่งมีสภาพรายแรงอันอาจทําใหการพิจารณาทางปกครองของ อ.ก.พ. กรมการจัดหางานไมเปนกลาง
ตามมาตรา ๑๖ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่ศาลปกครองชั้นตน
พพิ ากษายกฟอ งนั้น ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดวย

พิพากษายืน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๒๐๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๓๔

วนิ ยั ขา ราชการตาํ รวจ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๓๕๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีรับราชการตํารวจ ตําแหนงพนักงานสอบสวน
(สบ.๑) สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองจันทร จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันท่ี ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๓
สิบตํารวจตรี ฉ. ถูกนาย ว. กับพวก รวมกันทํารายรางกาย นาย ว. กับพวกจึงถูกจับกุมในขอหา
รวมกันทํารายรางกายเจาพนักงาน ผูฟองคดีในฐานะพนักงานสอบสวนในคดีอาญาดังกลาว
ไดทําการรวบรวมพยานหลักฐานแลวสรุปสํานวนคดีโดยเห็นควรสั่งไมฟองผูตองหาและทําบันทึก
การเปรียบเทียบปรับ ซ่ึงตอมาพนักงานอัยการไดมีคําสั่งเด็ดขาดไมฟองผูตองหา แตปรากฏวา
ภรรยาของสิบตํารวจตรี ฉ. มีหนังสือรองเรียนตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (ผูบังคับการตํารวจภูธร
จังหวัดศรีสะเกษ) วา ผูฟองคดีเรียกรับเงินจํานวน ๔๐,๐๐๐ บาท จากผูตองหาเพ่ือไกลเกล่ียคดี
แตไมนําเงินดังกลาวไปใหแกผูเสียหาย และปลอมลายมือช่ือผูเสียหายในบันทึกการเปรียบเทียบปรับ
พันตํารวจเอก ส. รองผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษรักษาราชการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๓

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๕)
ไดสั่งการทายหนังสือรองเรียนดังกลาวใหรองผูกํากับการสอบสวนตํารวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ
รว มกบั ตนทําการสบื สวนขอเทจ็ จรงิ และเมื่อดําเนินการสืบสวนขอเท็จจริงแลวไดมีหนังสือลงวันท่ี
๑ กนั ยายน ๒๕๔๓ แจง ผถู กู ฟองคดีที่ ๓ วา เร่ืองรองเรียนดังกลาวมีมูลและเห็นควรตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนพจิ ารณาทณั ฑท างวนิ ัยรายแรงและดําเนินคดอี าญา ผถู กู ฟองคดีท่ี ๓ จึงมีหนังสือรายงาน
ผลการสืบสวนขอเท็จจริงไปยังผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษ ตอมา ผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษ
มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทําการสอบสวนขอเท็จจริงตามขอรองเรียนดังกลาว
คณะกรรมการสอบสวนไดมีหนังสือแจงผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษวา ผูฟองคดีไมไดกระทําผิดวินัย
อยา งรายแรง และไมปรากฏวา ไดกระทําความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา จึงไมต อ งดําเนนิ คดอี าญา
กับผูฟองคดี แตผูฟองคดีเปนผูประพฤติตนบกพรองตอหนาที่ เห็นควรใหลงทัณฑกักขังผูฟองคดี
เปนเวลา ๗ วัน ผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษพิจารณาแลวเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการ
สอบสวน จึงมีหนังสือลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๔ แจงผูถูกฟองคดีที่ ๓ ใหยุติเรื่องและระงับโทษ
กรณีที่ถกู กลา วหาวา กระทําผดิ วนิ ยั อยา งรายแรง สวนกรณกี ารกระทําความผิดตาม พ.ร.บ. วาดวย
วินัยตํารวจ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ใหสั่งลงทัณฑตามท่ีคณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นตอไป
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๔๔ ลงทัณฑกักขังผูฟองคดี มีกําหนด ๗ วัน
หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) มีหนังสือแจงผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๓) วา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖ ในการประชุม
เม่ือวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ และวันท่ี ๖ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ พิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณ
ของผูฟองคดีเปนการทุจริตตอหนาที่ เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง จึงมีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๔
ดําเนินการเพิ่มโทษเปนส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการใหเปนการถูกตองเหมาะสมตอไป
ผูถูกฟองคดีที่ ๔ จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๖ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตั้งแต
วันท่ีมีคําส่ังเปนตนไป ผูฟองคดีจึงมีหนังสืออุทธรณคําสั่งดังกลาวตอประธานผูถูกฟองคดีที่ ๖
ตอมา ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๖ มีหนังสือลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ แจงผูฟองคดีวา ผูถูกฟองคดีที่ ๖
มีมติยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา ตนไมไดกระทําความผิดตามที่ถูกกลาวหา จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจเกี่ยวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒) ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖ ท่ีใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ดาํ เนนิ การเพิ่มโทษเปน สง่ั ลงโทษไลผูฟอ งคดีออกจากราชการตามหนังสือลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๔๖
คําส่ังลงวนั ท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๖ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๖
ที่วินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดีตามหนังสือลงวันท่ี ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เพิกถอนรายงาน
การสืบสวนขอเท็จจริงตามหนังสือลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๓ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ยุติเรื่องและ
ระงับโทษกรณีท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามหนังสือลงวันท่ี ๑๙ เมษายน ๒๕๔๔
และใหคําสั่งลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๔ ท่ีลงทัณฑกักขังผูฟองคดี มีกําหนด ๗ วัน เปนคําสั่ง
ที่ชอบดวยกฎหมาย ใหการปฏิบัติหนาท่ีของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติที่สุจริตและถูกตอง
ตามกฎหมาย และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (สํานักงานาตํารวจแหงชาติ) รับผูฟองคดีกลับเขารับ
ราชการเชนเดิม เห็นวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๖)
พิจารณารายงานการดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีกรณีท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง
แลวเห็นวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดี เปนการปฏิบัติหนาที่โดยทุจริต นับไดวาเปน
ผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสาม แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ความรายแรงแหงกรณีควรไดรับโทษถึงไลออกจากราชการ
จึงมีมติใหเสนอผูถูกฟองคดีที่ ๖ ช่ัวเปนผูมีอํานาจหนาที่พิจารณาการดําเนินการทางวินัยกับ
ขาราชการตาํ รวจกรณที ี่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ท้ังน้ี ตามมาตรา ๑๐๙ วรรคหน่ึง
วรรคหก และวรรคเจ็ด แหงพระราชบัญญัติดังกลาว โดยเห็นควรใหผูถูกฟองคดีที่ ๔ ส่ังเพ่ิมโทษ
เปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการใหเปนการถูกตองเหมาะสมตอไป อันเปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ตามขอ ๒ ของประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจแตงต้ัง
อนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒ ลงวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔
แตเ มอื่ ขอเทจ็ จรงิ รบั ฟงตอ ไปไดวา กอนทผ่ี ูถ กู ฟองคดที ่ี ๑ จะเสนอรายงานการดําเนินการทางวินัย
กับผูฟองคดีกรณีที่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑
ในการประชมุ วันท่ี ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๖ พิจารณา ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ไดออกประกาศ
คณะกรรมการขาราชการตํารวจ เร่ือง แกไขอํานาจหนาที่ของอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับ
การดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ ยกเลิกความในขอ ๒ และขอ ๓
ของประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจ เร่ือง แตงต้ังอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดําเนินการ
ทางวินัย คณะท่ี ๒ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ และกําหนดใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีอํานาจหนาที่
ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖ อยางเด็ดขาดในเร่ืองการรายงานการดําเนินการทางวินัยกับขาราชการ
ตํารวจกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง โดยเมื่อไดพิจารณาและมีมติประการใดแลว
ใหเลขานุการผูถูกฟองคดีท่ี ๖ แจงหนวยงานท่ีเก่ียวของเพื่อดําเนินการตอไป และรายงานผล
การดําเนินการใหผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ทราบ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๔๖ เปนตนไป
กรณีจึงเห็นไดวานับตั้งแตวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๔๖ เปนตนมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมตองเสนอ
การรายงานการดําเนินการทางวินัยกับขาราชการตํารวจกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ใหผถู กู ฟองคดีที่ ๖ พจิ ารณา เน่ืองจากนับแตวันดังกลาวผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีอํานาจหนาท่ีทําการแทน
ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ อยางเด็ดขาด ดังนั้น เมื่อปรากฏวา เรื่องที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติในการประชุม
เมอื่ วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ ใหเ สนอผูถูกฟองคดีท่ี ๖ พิจารณาตามประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจ
เร่อื ง แตง ตั้งอนกุ รรมการ ก.ตร.เกยี่ วกับการดําเนินการทางวนิ ยั คณะที่ ๒ ลงวนั ท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔
ยงั มไิ ดมกี ารเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๖ พิจารณา แตต อมาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖
ไดนําเรื่องน้ีเขาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งและมีมติในการประชุม เม่ือวันท่ี ๖ กุมภาพันธ ๒๕๔๖
ใหเ ลขานุการผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๖ แจง มตขิ องผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕
ใหผ ถู ูกฟองคดีที่ ๔ พิจารณาดําเนินการ กรณีจึงถือไดวาผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดกระทําตามอํานาจหนาที่
ตามที่ไดรับมอบหมายจากผูถูกฟองคดีที่ ๖ ตามขอ ๒ ของประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจ
เร่ือง แกไขอํานาจหนาท่ีของอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒ ลงวันที่
๑ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ การกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมาย

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๗)
เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูตองหาท้ังสามไดมอบเงินคาทดแทนความเสียหาย จํานวน ๓๐,๐๐๐ บาท
ใหแกนาย ห. เพื่อนําไปมอบใหแกผูฟองคดี และผูฟองคดีไดรับเงินดังกลาวแลว แตไมนําไปมอบ
ใหแกสิบตํารวจตรี ฉ. จนกระท่ังมีการรองเรียนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ แมตอมาผูเสียหายจะไดรับเงิน
คาทดแทนความเสียหายแลวก็ตาม ก็หาไดมีผลเปล่ียนแปลงความผิดของผูฟองคดีท่ีกระทําสําเร็จ
ไปแลวไดไ ม ดงั นั้น การกระทําของผูฟองคดีในสวนนี้จึงถือเปนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ
เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได ซึ่งเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการและเปนความผิด
ทางวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชบังคับในขณะนั้น ประกอบกับกรณีท่ีผูฟองคดี
ทําหนาท่ีเก่ียวกับการทําบันทึกการเปรียบเทียบปรับ นั้น ขอเท็จจริงจากการสอบสวนฟงเปนยุติวา
สิบตํารวจตรี ฉ. ไมไดอยูในขณะทําบันทึกการเปรียบเทียบปรับ และยังปฏิเสธวาไมเคยลงลายมือช่ือ
ในบันทึกการเปรยี บเทียบปรบั แตอ ยางใด กรณจี งึ ไมอาจรับฟง ไดวาผเู สียหายไดยินยอมตามคําเปรียบเทียบ
พฤติการณของผูฟองคดีท่ีทําการเปรียบเทียบปรับผูตองหาจนคดีอาญาเลิกกันโดยมิไดปฏิบัติ
ตามเงือ่ นไขใหค รบถวนตามมาตรา ๓๘ (๒) แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ยอมผิดวิสัย
ของเจา หนาท่ตี าํ รวจผปู ฏิบตั ิหนา ท่ีพนักงานสอบสวน การกระทําของผูฟองคดีในสวนนี้จึงถือไดวา
เปนการปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบดวยกฎหมาย ซึ่งการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเอง
หรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และเปนการกระทําอันไดชื่อวา
เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม และ
มาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเปนกฎหมาย
ท่ีใชบังคับในขณะน้ัน ท่ีศาลปกครองชั้นตนวินิจฉัยวาการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการประชุมเม่ือวันที่
๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ และในการประชุมเม่ือวันท่ี ๖ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ มีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๔
ดาํ เนนิ การเพิ่มโทษผฟู อ งคดเี ปนสง่ั ลงโทษไลออกจากราชการเปนการใชดุลพินิจโดยชอบดวยกฎหมาย
จึงชอบดว ยเหตุผลแลว ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๔ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๖ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๖ มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ตามหนังสือลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมายแลว ที่ศาลปกครองชั้นตน
พพิ ากษายกฟอ ง นั้น ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดวย

พิพากษายืน

คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๓๕๙/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะท่ีผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองผูกํากับการฝายสืบสวนสอบสวน

สถานีตํารวจภูธรลอง จังหวัดแพร ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแพร) มีคําสั่งลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๐ ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนความผิดวินัย
อยางรายแรง กรณีเมื่อครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงสารวัตรสอบสวน สถานีตํารวจภูธรสูงเมน
จังหวัดแพร ถูกกลาวหาวามีความสัมพันธฉันชูสาวกับนาง ก. จนเปนเหตุใหตองหยาขาดกับสามี

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๘)
ผูฟองคดีรับทราบคําสั่งเม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๐ และมีหนังสือลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐
อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) อนุกรรมการ ก.ตร.
เกี่ยวกับการอุทธรณ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ พิจารณาแลวมีมติยกอุทธรณ
ของผูฟองคดีตามหนังสือลงวันท่ี ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๐ ท่ีสั่งลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ และเพิกถอนผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาว เห็นวา โดยพฤติการณของนาง ก.
กับผูฟองคดีตามถอยคําของพยานบุคคลท่ีใหการตอคณะกรรมการสอบสวนขาราชการตํารวจ
ซึ่งไดแก สามี บุตร และมารดาของนาง ก. ผูกลาวหาประกอบกับผูบังคับบัญชาและเพื่อนรวม
ของนาง ก. ตางใหก ารในทาํ นองสอดคลอ งกนั วา ผูฟ องคดแี ละนาง ก. มีพฤติกรรมในเชิงชูสาวตอกัน
โดยเมื่อประมาณปลายป พ.ศ. ๒๕๓๘ นาง ก. มีโอกาสรูจักกับผูฟองคดีขณะน้ันดํารงตําแหนง
สารวัตรสอบสวน สถานีตํารวจภูธรสูงเมน จังหวัดแพร เน่ืองจากนาง ก. ขับรถยนตมาสงเพ่ือน
ทส่ี ถานทตี่ าํ รวจสงู เมนในคดีรถเฉี่ยวชน ตอมา นาง ก. นําเร่ืองปญหาเรื่องยาเสพติดท่ีมีการแพรระบาด
มาปรึกษากับผูฟองคดี และรวมกันจัดทําโครงการบําบัดยาเสพติดใหโทษ หลังจากโครงการเสร็จส้ิน
ผูฟองคดีมีพฤติกรรมในทางชูสาว เปนเหตุใหนาย ข. สามีของนาง ก. ใชอาวุธปนยิง พรอมกับทํารายรางกาย
จนกระทั่งวันหน่ึงนาย ข. จับไดวาผูฟองคดีมีเพศสัมพันธกับนาง ก. นาย ข. จึงทํารายรางกาย
และจะฟองหยา นาง ก. จึงหยากับนาย ข. ในวันท่ี ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๙ หลังจากน้ันผูฟองคดี
ไปหานาง ก. ท่ีบานแทบทุกคืน พฤติการณดังกลาวมารดาและบุตรของนาง ก. รูเห็นเหตุการณ
ซึง่ พยานหลักฐานดังกลาวแมไมมปี ระจกั ษพยานตลอดจนพยานวตั ถทุ ตี่ รวจพสิ จู นท างวิทยาศาสตร
แลวยืนยันไดวาผูฟองคดีกับนาง ก. มีเพศสัมพันธกันจริงก็ตาม แตวิญูชนผูมีสติสัมปชัญญะ
สมบรู ณยอ มเชอ่ื โดยปราศจากขอสงสัยวา ผฟู องคดกี บั นาง ก. นา จะมีความสัมพันธฉันชูสาวกันจริง
ดังนั้น การท่ีคณะกรรมการสอบสวนขาราชการตํารวจรับฟงพยานหลักฐานดังกลาวแลวมีความเห็น
เชื่อไดวาผูฟองคดีมีความสัมพันธในทางชูสาวกับนาง ก. ในขณะท่ีนาง ก. ยังเปนภรรยา
โดยชอบดว ยกฎหมายของผูอื่นจริง และพฤติการณดังกลาวถือไดวาผูฟองคดีไดกระทําการอันไดชื่อวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๒๓ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. ตาํ รวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงเปนการรับฟงและชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานโดยชอบ
ดว ยเหตุผลของเรอ่ื ง ตลอดจนปรับขอเทจ็ จริงเขา กับขอกฎหมายท่ีบัญญัติวาการกระทําของผูฟองคดี
ดังกลาวเปนความผิดวินัยอยางรายแรงโดยชอบดวยหลักนิติวิธีแลว เมื่อขณะเกิดเหตุผูฟองคดี
เปน ขา ราชการตํารวจ ตําแหนง สารวัตรสอบสวน สถานีตํารวจภูธรสูงเมน จังหวัดแพร มีหนาที่ปองกัน
และปราบปรามผูกระทําผิดกฎหมาย ซ่ึงเปนตําแหนงท่ีมีเกียรติท่ีไดรับความไววางใจจากประชาชน
ใหดูแลและรักษาความสงบเรียบรอยของสังคม ผูฟองคดีจึงตองรักษาช่ือเสียง และเกียรติศักดิ์
ของตําแหนงหนาท่ีราชการของตนมิใหเส่ือมเสีย การกระทําของผูฟองคดีที่เปนชูกับภรรยาของ
ผูอ่ืนน้ัน ยอมนํามาซ่ึงความเส่ือมเสียตอชื่อเสียง เกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนาที่ราชการของผูฟองคดี
ซ่ึงเปนขาราชการตํารวจ และกระทบความรูสึกของสังคมที่มีตอภาพพจนของขาราชการตํารวจ

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๖๙)
การท่ผี ถู ูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๙ เมษายน ๒๕๕๐ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
และอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเม่ือวันที่
๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยนํารายงานการสอบสวนและความเห็น
ของคณะกรรมการสอบสวนขาราชการตํารวจดังกลาวมาประกอบการใชดุลพินิจ จึงชอบดวยกฎหมาย
ที่ศาลปกครองชนั้ ตนพิพากษายกฟอง น้นั ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพองดวย

พิพากษายนื

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๕๒๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เมื่อครั้งผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู

งานปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี กองกําลังสุรสีห
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ รายงานผูถูกฟองคดีที่ ๓ (ผูบังคับการตํารวจภูธร
จังหวัดกาญจนบุรี) วา กองกําลังพรรครัฐมอญใหม ประเทศสาธารณรัฐแหงสหภาพเมียนมาร
ไดรายงานความเคลื่อนไหวการจับกุมยาเสพติดวา ไดตรวจพบรถจักรยานยนตรับจางกําลังว่ิง
เขามาในเขตประเทศไทย ซึ่งมีชาวเมยี นมารเ ปนผูขบั ขส่ี วนคนซอนทายมีทีทาจะหลบหนี จึงเขาทํา
การควบคุมโดยควา จบั บรเิ วณคอเสื้อกันหนาวทีผ่ ตู องสงสัยสวมใส แตคนซอนทายรถจักรยานยนต
สะบัดจนเส้ือหนาวหลุดจากตัว แลวว่ิงหลบหนีเขามาในเขตประเทศไทย จึงตรวจคนเสื้อกันหนาว
พบยาบาจํานวน ๑,๒๐๐ เม็ด บัตรประจําตัวขาราชการมีชื่อผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงไดมี
คําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงในเร่ืองดังกลาว คณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริง
ไดรายงานผลการสืบสวน วา ผูฟองคดีมีพฤติการณเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษอันเปนความผิด
วินัยอยางรายแรง เห็นควรแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ไดม ีคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินยั อยางรายแรงผูฟ อ งคดี ตอ มา คณะกรรมการสอบสวน
ไดเ สนอรายงานการสอบสวนตอผูถกู ฟอ งคดที ่ี ๓ โดยเห็นวา การกระทําของผูฟองคดีมีพฤติการณ
เกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เห็นควรลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการ คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการสั่งลงโทษขาราชการตํารวจ
ผูกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ไดมีมติใหลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ยื่นอุทธรณ ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (อนุกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ) ในการประชุมเม่ือวันที่
๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓ ไดพจิ ารณาแลวมมี ตใิ หยกอุทธรณ ผฟู องคดเี หน็ วา คําส่ังของผูถูกฟองคดี
ท่ี ๓ และท่ี ๒ เปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผล
การพิจารณาอุทธรณตามหนังสือลงวันที่ ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๓ และใหผ ฟู อ งคดกี ลบั เขา รบั ราชการตามเดมิ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในการดําเนินการทางวินัยผูฟองคดี คณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี ไดมีการแจงและรับทราบขอกลาวหา แบบ สว.๒ และ

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๐)
บันทกึ การแจง และรบั ทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา แบบ สว.๓
โดยระบุวาผูฟองคดีมีพฤติกรรมเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ อันเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง และผูฟองคดีไดลงลายมือชื่อรับทราบขอกลาวหาแลว จากน้ัน คณะกรรมการ
สอบสวนไดมีบันทึกถอยคําของผูถูกกลาวหา ตามแบบ สว.๔ ซ่ึงผูฟองคดีไดรับทราบวา
เปนผูถูกกลาวหากรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง และใหถอยคําปฏิเสธตลอดขอกลาวหา
ยืนยันตามคําใหการเดิมที่ใหไวกับคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงวาไมไดกระทําผิด
ตามขอกลาวหา และยังไมอางบุคคลใดเปนพยาน เนื่องจากผูฟองคดียังไมไดทําการประสาน
และติดตอพยานบุคคลใดเพ่ือใหถอยคํา ในเร่ืองที่ผูฟองคดีถูกกลาวหา อันเปนการเปดโอกาสให
ผูฟองคดีไดรับทราบขอเท็จจริงและมีโอกาสโตแยงและแสดงพยานหลักฐานของตนอยางเพียงพอแลว
ตอมา คณะกรรมการสอบสวนไดรายงานผลการสอบสวน ตามแบบ สว. ๖ ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ วา
ผูฟองคดีมีพฤติการณเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษอันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
เหน็ ควรลงโทษปลดผูฟอ งคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงไดมีคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการ
พิจารณากลัน่ กรองการพิจารณาสงั่ ลงโทษ และคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไดพิจารณาแลวมีมติวา
ผูฟองคดมี พี ฤติการณเขา ไปเกย่ี วของกบั ยาเสพติดใหโทษตามขอกลาวหาจริง จึงมีมติเปนเอกฉันท
ใหล งโทษไลผูฟองคดอี อกจากราชการ จึงเห็นไดวา การดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดีเปนไปโดยถูกตอง
ตามมาตรา ๘๗ ประกอบมาตรา ๙๐ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับ กฎ
ก.ตร. วาดวยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว เม่ือขอเท็จจริงรับฟงไดวา ทหารสหภาพ
เมียนมารไดออกลาดตระเวนตามแนวชายแดน ท่ีติดกับประเทศไทย ไดพบชาวพมา ขับข่ี
รถจักรยานยนตมีชายอีกคนหน่ึงนั่งซอนทายมาดวย จึงเรียกใหหยุดและขอตรวจคน ซ่ึงชาย
ท่ีน่ังซอนทายไดวิ่งหลบหนีออกไปในเขตประเทศไทยและโยนเสื้อกันหนาวทิ้งไป ตอมา ไดตรวจคน
เส้ือกันหนาวพบยาบา รวม ๑,๒๐๐ เม็ด บัตรประจําตัวประชาชน และบัตรประจําตัวขาราชการ
ระบุชื่อผูฟองคดี และไดรายงานใหเจาหนาที่ทหารฝายไทยทราบ และจากการสืบสวนของคณะสืบสวน
ขอเท็จจริง ทหารสหภาพเมียนมาร ใหการยืนยันโดยทันทีวา ผูฟองคดีเปนบุคคลคนเดียวกันกับ
ที่ไดนั่งซอนทายรถจักรยานยนตมุงหนาเขาประเทศไทย เม่ือเรียกตรวจไดโยนเสื้อที่ถือมาดวย
ทิ้งแลววิ่งหลบหนีเขาประเทศไทย สวนผูฟองคดีใหการปฏิเสธวา ในชวงวันเวลาที่ถูกกลาวหานั้น
ผฟู อ งคดเี ปน ขาราชการตาํ รวจ ประจําอยูที่สถานีตํารวจภูธรทาเรือ อําเภอทามะกา จังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อวันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ ไดเดินทางไปเย่ียมบุตรที่กําลังปวยหนักในพ้ืนท่ีตําบลไลโว
อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และพาไปรับการตรวจรักษาที่คลินิกในอําเภอสังขละบุรี
หลังจากน้ัน ไดเดินทางกลับสถานีตํารวจภูธรทาเรือ เม่ือเวลาประมาณ ๒๐.๓๐ นาฬิกา
ของวันเดียวกัน แตรถยนตท่ีผูฟองคดีขับมานั้นประสบอุบัติเหตุ ไมสามารถขับตอไปได เนื่องจาก
ยางลอรถยนตแตกท้ังสองลอ ผูฟองคดีจึงไปหารานปะยางและรานขายยางอะไหลแตไมมี
จึงจอดรถไวขางถนน วันตอมาจึงวาจางรถมาลากไปท่ีรานปะยางท่ีบานพระเจดียสามองค
หลังจากซอมยางลอรถยนตเสร็จ จึงเดินทางกลับสถานีตํารวจภูธรทาเรือ แตเม่ือมาถึงบานพัก
ไดตรวจดสู งิ่ ของภายในรถยนตพบวามีกระเปาเงินจํานวน ๑ ใบ ภายในมีบัตรประจําตัวประชาชน

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๑)
บัตรประจําตัวขาราชการ เสื้อกันหนาวแขนยาวสีดํา ๑ ตัว โทรศัพทมือถือจํานวน ๑ เคร่ือง ผูฟองคดี
เขาใจวา นาจะหายไปในชวงเวลาท่ีจอดรถไวขางทางหลังจากประสบอุบัติเหตุ เนื่องจาก
ประตูรถดานขวาไมสามารถปดล็อกได แตผูฟองคดีไมไดไปแจงความรองทุกข เน่ืองจากคาดวา
อาจจะมีคนนําบัตรประจําตัวประชาชนและบัตรประจําตัวขาราชการมาคืนใหในภายหลัง
เม่ือพิจารณาจากคําใหการของพยานจากทั้งฝายทหารไทยและทหารสหภาพเมียนมาร
มีรายละเอียดของเหตุการณท ่ีเกิดขน้ึ อยา งสอดคลอ งสมเหตสุ มผล ทั้งยังมีบัตรประจําตัวประชาชน
และบตั รประจาํ ตวั ขาราชการและเส้ือกันหนาวแขนยาวสีดําของผูฟองคดีเปนพยานหลักฐาน และ
ในชั้นคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงทหารสหภาพเมียนมาร ก็ใหการยืนยันไดทันทีวา ผูฟองคดี
คือบุคคลที่โยนเสื้อกันหนาวแขนยาวสีดําท้ิงและวิ่งหนีเขามาในประเทศไทย เน่ืองจากเคยเห็น
ผูฟองคดีเดินทางมาหาภรรยาในพื้นท่ีเปนประจํา คําใหการจึงมีนํ้าหนักนาเช่ือถือ สวนผูฟองคดี
ก็มิไดใหการปฏิเสธวา สิ่งของท่ีตรวจยึดไดนั้น มิใชของผูฟองคดี แตใหการเพียงวา ไดสูญหาย
ไปในชวงเวลาท่ีรถยนตเกิดอุบัติเหตุ เมื่อผูฟองคดีรูอยูแลววารถยนตของผูฟองคดีประตู
ทางดา นขวาไมสามารถปดล็อกไดและเมื่อรถยนตของผูฟองคดีประสบอุบัติเหตุไมสามารถขับตอไปได
และผูฟองคดีจําเปนจะตองจอดรถยนตไวขางถนน ผูฟองคดีก็ควรท่ีตองนําทรัพยสินที่มีคาติดตัวไปดวย
การท่ีผูฟองคดีใหการวา ผูฟองคดีเก็บกระเปาเงินไวในรถยนตท้ังๆ ท่ีเปนสิ่งสําคัญและนําติดตัว
ไปไดโดยงาย จึงฟงไมสมเหตุสมผล และเมื่อทราบวากระเปาเงินหายก็มิไดดําเนินการแจงความ
รองทุกขเพื่อเปนหลักฐาน ซ่ึงผิดปกติวิสัยจากวิญูชนท่ัวไปโดยเฉพาะอยางยิ่งผูฟองคดี
ซึ่งเปนขาราชการตํารวจ ดังนั้น ขออางของผูฟองคดีที่วา เมื่อทราบวา กระเปาเงินหายไมได
ดาํ เนินการแจงความรองทุกขเพราะคิดวาจะมีคนนํามาคืนน้ัน จึงไมมีเหตุผลเพียงพอท่ีจะรับฟงได
สวนท่ีผูฟองคดีใหการวา กระเปาเงินและเส้ือกันหนาวแขนยาวสีดําอาจจะหายท่ีรานซอม
ยางรถยนตบานดานเจดียก็เปนการคาดการณที่ขาดพยานหลักฐาน อีกทั้ง พยานก็ไมเคย
มีเรื่องโกรธเคืองกับผูฟองคดีที่จะใหการกลั่นแกลงใสรายผูฟองคดีแตอยางใด จากพยานหลักฐาน
ดังกลา ว จึงเช่อื ไดว า ผูฟองคดีเปนบุคคลคนเดียวกันกับบุคคลที่ทหารสหภาพเมียนมารเรียกตรวจ
และไดโยนเส้ือกันหนาวสีดําทิ้งแลววิ่งเขามาในเขตประเทศไทย และเม่ือมีการตรวจสอบพบวา
มียาบา อยู จงึ เช่ือวาผฟู องคดีมีพฤติการณเกยี่ วขอ งกับยาเสพติดใหโ ทษ เมอ่ื ผฟู อ งคดีเปนเจาหนาที่
ตํารวจมีหนาท่ีจับกุมและปราบปรามการกระทําผิดอาญา โดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด
แตกลับเปนผูมีพฤติการณเก่ียวของกับยาเสพติดเสียเอง เปนการกระทําที่ผิดแบบธรรมเนียม
ของขาราชการตํารวจท่ีดี ไมควรปฏิบัติตนทําใหเสื่อมเสียเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาที่ราชการ
และเสียภาพพจนตอสาํ นักงานตํารวจแหงชาติ และเมื่อพิจารณาถึงความรูสึกของวิญูชนทั่วไปแลว
ยอมถือวามีความรังเกียจตอการกระทําดังกลาว และเปนการกระทําท่ีมีความรายแรงกวาบุคคลท่ัวไป
เพราะผูฟองคดีเปนผูรักษากฎหมาย หามผูอื่นกระทํา แตกลับเปนผูฝาฝนกฎหมายดังกลาว
ซึ่งผูฟองคดีควรตองยึดถือและปฏิบัติตามกฎหมายโดยเครงครัด ทั้งยังจะตองรักษาเกียรติศักดิ์
ของขาราชการตํารวจไวดวย เม่ือผูฟองคดีมีพฤติการณเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ การกระทํา
ของผูฟองคดีจึงเปนการกระทําอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัย

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๒)
อยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงเปนอํานาจของ
ผูบังคับบัญชาท่ีจะใชดุลพินิจลงโทษตามความรายแรงแหงกรณี ตามมาตรา ๙๐ แหง
พระราชบัญญัติดังกลาว ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีคําสั่งลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีมติในการประชุมเมื่อวันที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดีน้ัน จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมายแลว
ทีศ่ าลปกครองชั้นตนพพิ ากษายกฟอง นัน้ ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวย

พิพากษายนื

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๕๗๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะท่ีผูฟองคดีรับราชการตํารวจในตําแหนงผูบังคับหมู

สังกัดกองกํากับการตํารวจตระเวนชายแดนท่ี ๓๑ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูบังคับการ กองบังคับ
การตํารวจตระเวนชายแดนภาค ๓) มีคําส่ังลงวันท่ี ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ฐานประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณกี ระทําผดิ วินัยอยา งรา ยแรง เนือ่ งจากผฟู องคดีตองหาคดอี าญา ขอ หาพยายามฆาผูอื่น
ทําใหเสียทรัพยและพกพาอาวุธปน เคร่ืองกระสุนปนไปในเมือง หมูบาน หรือทางสาธารณะ
โดยไมมีเหตุจําเปนเรงดวน คําส่ังฉบับดังกลาวไดระบุพฤติการณของการกระทําผิดความวา
เมื่อวันท่ี ๖ ธันวาคม ๒๕๕๒ ผูฟองคดีเปนผูใชอาวุธปนยิงใสราน ร. กองกํากับการตํารวจตระเวน
ชายแดนที่ ๓๑ จึงรายงานขอเท็จจริงตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ จากนั้น ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่ง
ลงวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ผลการสอบสวนทางวินัยของ
คณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาส่ังลงโทษเห็นในทํานอง
เดียวกันวา ผูฟองคดีเปนผูกระทําความผิดจริง เนื่องจากผลการตรวจพิสูจนจากศูนยพิสูจนหลักฐาน
ในสํานวนคดีอาญาพบวาปลอกกระสุนปนขนาด .๔๕ (๑๑ มม.) ที่พบจํานวนหนึ่งปลอกบนถนน
บริเวณหนาราน ร. มีตําหนิรองรอยกระสุนตรงกันและเขากันไดกับปลอกกระสุนปนท่ีนํามายิง
เปรียบเทียบกับปนของผูฟองคดีกระบอกท่ีสงตรวจพิสูจน จึงออกคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงมีหนังสือลงวันท่ี ๔ มกราคม ๒๕๕๔ อุทธรณคําสั่ง
ดังกลาวแลว ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) มีหนังสือลงวันที่
๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ แจงผลการพิจารณาอุทธรณวา คําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ถูกตองเหมาะสมแลว อทุ ธรณฟ งไมข ึ้น ผฟู องคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
ขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และ
ผลการพิจารณายกอุทธรณตามหนังสือสํานักงานคณะกรรมการขาราชการตํารวจ ลงวันท่ี
๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๔ พรอมทงั้ ใหค นื สทิ ธิตา งๆ ตามกฎหมายทผ่ี ฟู อ งคดีพึงไดเสมอื นหนึ่งไมมีคําส่ัง
ไลอ อกจากราชการ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อพิจารณาจากคําใหการของพันตํารวจโท ส.
พนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรหนองไผ ซึ่งไดใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวนวินัย

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๓)
รายแรงวา เม่ือวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไดเดินทางไปตรวจยึดอาวุธปนของผูฟองคดีที่บาน
พันตาํ รวจโท ป. ซึ่งเปนบดิ าภริยาของผูฟองคดีและไดสอบถามผูฟองคดีวาเปนผูยิงอาวุธปนเขาไป
ในราน ร. จริงหรือไม ซึ่งผูฟองคดียอมรับวาเปนผูใชอาวุธปนยิงใสราน ร. จริง ซึ่งสอดคลองกับ
คําใหการของดาบตํารวจ จ. เจาหนาท่ีตํารวจชุดสืบสวน ที่ใหถอยคําวา ดาบตํารวจ ช. หัวหนา
ชดุ สบื สวน ไดถ ามวาผฟู อ งคดีไดใ ชอาวุธปนกอเหตุเมื่อคืนนีห้ รือไม ซง่ึ ผฟู อ งคดีบอกวาไดใชกระบอก
นี้กอ เหตุ ซึ่งการใหถอยคําของผูฟองคดีดังกลาวผูฟองคดียอมทราบดีวาจะมีผลผูกพันตอผูฟองคดี
ท้ังทางอาญาและทางวินัย และไมปรากฏวาพันตํารวจโท ส. และดาบตํารวจ จ. มีเหตุโกรธเคือง
กับผูฟองคดีมากอน จึงไมมีเหตุผลใดท่ีบุคคลท้ังสองจะใหการเพื่อใสรายหรือปรักปรําผูฟองคดี
จงึ ถือเปน คาํ ใหการทีร่ ับฟง ได และเมื่อพิจารณาจากคําใหการของนาย พ. ผูเสียหายซึ่งเปนเจาของราน
และนาย ท. พ่ีชายของนาย พ. ตางใหการสอดคลองกันวา เจาหนาท่ีตํารวจสถานีตํารวจภูธรหนองไผ
ไมทราบช่ือไดติดตอนาย พ. ทางโทรศัพทวา จะพาญาติของผูฟองคดีมาชดใชคาเสียหายท่ีผูฟองคดี
กอ เหตุ แตไ มสามารถตกลงกันได เน่ืองจากฝายผูฟองคดีไมสามารถนําผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี
มารบั รองกับนาย พ. วา จะไมเกดิ เร่ืองแบบน้ีขึ้นอีก ซึ่งสอดคลองกับคําใหการของพันตํารวจโทหญิง ม.
ผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีไดช้ีแจงตอคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณวา
ไดรับแจงจากพันตํารวจโท ส. ใหไปใหคํารับรองกับนาย พ. วา เร่ืองแบบนี้จะไมเกิดข้ึนอีก
แตพันตํารวจโทหญิง ม. เห็นวาผูฟองคดีไมไดกระทําผิดจึงปฏิเสธ กรณีจึงเห็นไดวา ไดมีการเจรจา
ตกลงคาเสียหายดังกลาวจริง อีกท้ังเม่ือไดพิจารณาผลการตรวจพิสูจนจากพันตํารวจโท ช.
ผูเชี่ยวชาญของศูนยพิสูจนหลักฐานท่ี ๖ จังหวัดพิษณุโลก ท่ียืนยันวาปลอกกระสุนปนท่ีเก็บได
ในท่ีเกิดเหตุเมื่อเปรียบเทียบจากปนของกลางมีรอยตําหนิรอยลายเสนที่จานทายปลอกกระสุนปน
ตรงกันและเขารอยกันได จึงเช่ือไดวาปลอกกระสุนปนของกลางใชยิงมาจากปนของกลางซึ่งเปนปน
ของผูฟองคดี แมผูฟองคดีจะใหถอยคําวากอนเกิดเหตุ ๓ วัน ไดขับขี่รถจักรยานยนตเพื่อไปพบ
ผูที่จะขอซื้อปนของผูฟองคดีและไดทดลองยิงปน โดยไดยิงไปจํานวน ๑๔ นัด และไดเก็บปลอก
กระสุนปนใสตะกราหนารถจักรยานยนตโดยไดขับขี่ผานบริเวณหนารานที่เกิดเหตุ เม่ือไปถึงบาน
ปลอกกระสุนตกหายไปประมาณ ๗ – ๘ ปลอก โดยไมทราบวาตกหายท่ีใดนั้น ก็ไมปรากฏวา
มีพยานหลักฐานใดใหรับฟงไดดังท่ีผูฟองคดีกลาวอางแตอยางใด พยานหลักฐานที่ปรากฏในสํานวนคดีนี้
ลวนแตบ ง ชแี้ สดงใหเ หน็ ไดวา ผูฟ อ งคดไี มพ อใจนาย พ. ที่ไมใหเชา เคร่ืองเลนเกมส จึงใชอาวุธปนยิงเขาไป
ในรา น ร. จริง ซงึ่ การกระทาํ ดงั กลาวถือเปนการกระทําที่ไมเหมาะสมและไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรงอันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีมีอํานาจที่จะลงโทษปลดออก หรือไลออกได ดังนั้น การท่ี
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี น้ัน จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมายแลว การที่ศาลปกครองช้ันตน
พิพากษายกฟอ ง น้นั ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวย

พพิ ากษายืน

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๔)

คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๖๗๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีขณะยังเปนขาราชการตํารวจ ยศจาสิบตํารวจโท

ตําแหนงผูบังคับหมู กองกํากับการสืบสวน ตํารวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ไดรับความเดือดรอน
เสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ผูบัญชาการศูนยปฏิบัติการตํารวจจังหวัดชายแดนภาคใต)
มีคําสั่งลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๑ ท่ีลงโทษกักขัง
ผูฟอ งคดมี ีกําหนด ๑๕ วนั และใหลงโทษไลผฟู องคดอี อกจากราชการ ต้ังแตวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน
๒๕๕๓ กรณีผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เน่ืองจากครอบครองรถจักรยานยนตซึ่งถูก
โจรกรรมมาและติดแผนปายทะเบียนปลอม โดยในคดีอาญา พนักงานสอบสวนแจงขอหาวา
ลกั ทรพั ยห รือรับของโจร แตพนักงานอัยการจังหวดั ยะลามีคาํ สัง่ เด็ดขาดไมฟองผูฟองคดี ผูฟองคดี
จึงอุทธรณคําสั่งลงโทษดังกลาว ตอมา อนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับ
การอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ไดมีมติใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ แกไขคําสั่งลงโทษโดยปรับฐานความผิดใหถูกตอง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงมีคําสั่งท่ีลงวันท่ี ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ แกไขเพิ่มเติมคําส่ังลงโทษดังกลาว
ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการ ลงวันที่
๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ และมีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
ตําแหนงหนาท่เี ดิม

ศาลปกครองสูงสดุ วนิ จิ ฉัยวา เม่ือพิจารณาตามบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหา
บันทึกการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา บันทึกถอยคําของ
ผูถูกกลาวหา และบันทึกถอยคําพยานของฝายกลาวหาและฝายผูถูกกลาวหา ปรากฏวา
คณะกรรมการสอบสวน ผูฟองคดี รวมถึงบุคคลที่ไดใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวน
ไดลงลายมือช่ือในเอกสารดังกลาวครบถวนท้ังหมด การสอบสวนทางวินัยแกผูฟองคดีจึงเปนไป
ตามกฎ ก.ตร. วาดวยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว สวนการที่พลตํารวจตรี ย.
เปนท้ังผูส่ังการใหมีการตรวจสอบจับกุมดําเนินคดีผูฟองคดีและออกคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ัย ก็เปนการดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีตามมาตรา ๘๔ และมาตรา ๘๖ แหง พ.ร.บ.
ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยมิไดเปนผูมีสวนไดเสียในกรณีที่ผูฟองคดีถูกรองเรียนกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยแตอยางใด และเมื่อพฤติการณการกระทําของผูฟองคดีท่ีครอบครองและ
ใชรถจักรยานยนตซึ่งมิใชของตนเอง ทั้งที่รูอยูวาเปนรถจักรยานยนตของกลางท่ีถูกโจรกรรมมา
ซึ่งโดยสถานะของผูฟองคดีท่ีเปนขาราชการตํารวจ ยอมอยูในวิสัยที่จะตรวจสอบหมายเลข
ทะเบียนรถจักรยานยนตและชื่อเจาของหรือผูครอบครองที่ถูกตองตามกฎหมายได แตผูฟองคดี
กลับจงใจท่ีจะละเลยไมทําการตรวจสอบ อันเปนการกระทําท่ีสอใหเห็นถึงเจตนาท่ีจะครอบครอง
รถจักรยานยนตคันดังกลาวไวใชเพื่อประโยชนของตนเอง โดยไมคํานึงถึงสิทธิและหนาท่ีของตน
ตามกฎหมาย ท้ังท่ีตนเองเปนเจาหนาที่ตํารวจซึ่งมีหนาที่ตองเปนผูเคารพและรักษากฎหมาย

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๕)
ย่ิงกวาบุคคลท่ัวไป การกระทําของผูฟองคดีในฐานะที่เปนขาราชการตํารวจจึงทําใหเกิด
ความเสียหายอยางรายแรงตอภาพพจนและช่ือเสียงของสํานักงานตํารวจแหงชาติ รวมทั้ง
เกยี รตศิ ักดขิ์ องตาํ แหนง หนา ท่ีราชการของผูฟองคดี ท้ังยังทําใหประชาชนขาดความเช่ือถือศรัทธา
ตอการปฏิบัติงานของขาราชการตํารวจ พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงถือไดวา
เปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การท่ีผูฟองคดีที่ ๒ มีคําสั่งลงโทษ
ผูฟองคดีตามมาตรา ๗๙ (๑) (๕) และ (๖) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว แมจะเปนการปรับฐาน
ความผิดท่ียังไมสอดคลองกับขอเท็จจริง แตเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยอนุกรรมการคณะกรรมการ
ขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ มีมติเห็นวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีเปน
การกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๕) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงมีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ แกไขคําสั่งดังกลาว ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔
แกไ ขเพิม่ เติมคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการใหถูกตองตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แลว
จึงถือวา การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แกไขเพ่ิมเติมโดยคําสั่ง
ลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เปนการกระทาํ ท่ีชอบดวยกฎหมาย ท่ีศาลปกครองช้ันตนพพิ ากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพอ งดวย

พิพากษายืน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๗๐๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการเปนขาราชการตํารวจสังกัดกองบังคับ

การอํานวยการตํารวจภูธรภาค ๗ ตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๔ (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗)
ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ไลผูฟองคดีออกจากราชการในขอหากระทําผิดวินัย
อยา งรายแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตองหาคดีอาญาในขอหามียาเสพติดใหโทษประเภท ๑
(ยาบา) และประเภท ๕ (กัญชา) ไวในครอบครองโดยไมไดรับอนุญาต และเสพยาเสพติดใหโทษ
ประเภท ๑ (ยาบา) โดยผิดกฎหมาย ผูฟองคดีไดอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) เมื่อวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๕ ตอมาสํานักเลขาธิการ
นายกรฐั มนตรีมีหนงั สอื ลงวนั ท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ แจงวา รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการ
แทนผถู กู ฟองคดที ่ี ๓ (นายกรฐั มนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการขาราชการตํารวจ) พิจารณา
แลว มีคําสั่งใหยกอุทธรณตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ผูฟองคดีไดรับทราบผลการพิจารณา
อุทธรณด ังกลาว ตามหนงั สอื ลงวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๖ ผูฟองคดีเห็นวา ศาลจังหวัดราชบุรีไดมี
คําพิพากษาคดีหมายเลขแดง ที่ ๑๒๔๒/๒๕๔๕ ยกฟองผูฟองคดีในขอหาเสพเมทแอมเฟตามีน
(ยาบา) และลงโทษในขอหามีเมทแอมเฟตามีนและกัญชาไวในครอบครอง โดยขอหาแรกถึงท่ีสุด
และขอหาท่ีสอง อยูระหวางการพิจารณาของศาลยุติธรรม แตผูถูกฟองคดีท่ี ๔ กลับมีคําสั่ง

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๖)
ไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยไมใหโอกาสผูฟองคดีไดพิสูจนความบริสุทธิ์ของตนเองทําให
ผูฟองคดีไดรับความเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอน
คําส่ังตํารวจภูธรภาค ๗ ลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ท่ีไลผูฟองคดีออกจากราชการและให
ผูถูกฟองคดีที่ ๔ รับผูฟองคดีเขารับราชการในตําแหนงเดิมไดรับเงินเดือนตามปกติ นับแตวันที่
ออกคาํ ส่ังใหไ ลอ อกเปน ตน มาถึงปจจบุ นั

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการเพราะคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๑
พิจารณาจากพยานหลักฐานของคณะกรรมการสอบสวนวินัยแลวเชื่อวาผูฟองคดีกระทําความผิด
ฐานมียาเสพติดใหโ ทษและเสพยาเสพตดิ ใหโทษจริง เปนความผิดวินัยอยางรายแรง สวนคําพิพากษา
แมวาศาลอุทธรณภาค ๗ และศาลฎีกาจะพิพากษายกฟองเพราะมีเหตุสงสัยตามสมควรวาจําเลย
ไดก ระทาํ ความผิดตามฟองหรือไม จึงยกประโยชนแหงความสงสัยใหจําเลยตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง แตโดยท่ีขอ ๒๘ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา หมายถึงเฉพาะกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาวาผูถูกกลาวหากระทําผิดเทาน้ัน
ที่คณะกรรมการสอบสวนจะถือเอาคําพิพากษาน้ันมาเปนหลักฐานสนับสนุนขอกลาวหา
และวินิจฉัยลงโทษผูกระทําผิดวินัยตามขอเท็จจริงที่ปรากฏในคําพิพากษา แตหากเปนกรณีที่ศาล
มีคําพิพากษายกฟอง คณะกรรมการสอบสวนหรือผูพิจารณาทางวินัย ไมจําตองออกคําส่ัง
ไปตามผลแหงคําพิพากษานั้น เน่ืองจากไมมีกฎหรือระเบียบใดกําหนดไว แตคณะกรรมการ
สอบสวนวินัย หรือผูมีอํานาจออกคําสั่งก็อาจนําคําพิพากษาน้ันๆ มาประกอบการวินิจฉัย
หากเห็นวาคําพิพากษานั้นมีการวินิจฉัยถึงขอเท็จจริงและพิพากษาโดยช้ีวาจําเลยมิไดมี
การกระทําตามท่ีถูกกลาวหาหรือการกระทําของจําเลยไมเปนความผิดตามท่ีถูกกลาวหา
ซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบขอเท็จจริงจากการสรุปของคณะกรรมการสอบสวนวินัยและคําพิพากษาฎีกา
แลวไดความวา เม่ือวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เจาหนาท่ีตํารวจสถานีตํารวจภูธรอําเภอบานโปง
จังหวัดราชบุรี ไดรับแจงวามีการมั่วสุมเสพยาเสพติด จึงรวมกันไปตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ
พบวาผูฟองคดีมีทาทางพิรุธ จึงเขาแสดงตนเปนเจาหนาที่ตํารวจเพื่อขอตรวจคน ผลการตรวจ
คนพบยาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) จํานวนเศษหนึ่งสวนส่ีเม็ด บรรจุอยูในหลอดอยูใน
มือขวาของผูฟองคดี และไดตรวจคนรถยนตซึ่งเปนของผูฟองคดีพบยาเสพติดใหโทษประเภท ๕
(กัญชา) จาํ นวน ๑ หอเล็ก พรอมดวยกระดาษซองบุหร่ีย่ีหอกรองทิพยมวนเปนท่ีใชเสพควันยาบา
จํานวน ๑ อัน วางอยูบริเวณพวงมาลัยรถ ผูฟองคดีใหการปฏิเสธวาของกลางไมใชของตน
เจา หนาทีต่ ํารวจจึงนําตัวผูฟอ งคดไี ปตรวจปส สาวะหาสารเสพติดท่ีโรงพยาบาลบานโปง ปรากฏวา
พบสารเสพติดเมทแอมเฟตามีนในปสสาวะของผูฟองคดี จึงไดจับกุมตัวและแจงขอกลาวหาวา
มียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) และประเภท ๕ (กัญชา) ไวในครอบครองโดยไมได
รับอนุญาต และเสพยาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) โดยผิดกฎหมาย ผูฟองคดีให
การปฏิเสธโดยอางวาไดไปท่ีบานเลขที่ ๒๖ หมูท่ี ๖ ตําบลเบิกไพร อําเภอบานโปงเพื่อพบนาย ส.

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๗)
และไดอางพยานที่เห็นเหตุการณ จํานวน ๑๐ ปาก ซึ่งพยานทั้ง ๑๐ คน เก่ียวของเปนญาติกัน
และอยูอาศัยในบริเวณท่ีเกิดเหตุและจากขอมูลการจับกุม ปรากฏวา พยานบางคนมีประวัติถูกจับกุม
ในความผิดเก่ียวกับยาเสพติดโดยบริเวณที่จับกุมผูกระทําผิดดังกลาวคือบริเวณหมูที่ ๖ ซึ่งเปนที่
ท่ีจับกุมผูฟองคดี นอกจากน้ี ยังมีการจับกุมผูเสพยาเสพติดอีกหลายรายในบริเวณดังกลาวดวย
สําหรับผลการตรวจหาสารเสพติดในปสสาวะของผูฟองคดีปรากฏวามีสารเสพติดเมทแอมเฟตามีน
โดยในการตรวจหาสารเสพติดดังกลาว นาย ว. ผูอํานวยการโรงพยาบาลบานโปงไดใหการตอ
คณะกรรมการสอบสวนถึงขั้นตอนในการเก็บปสสาวะของผูฟองคดีวา เจาหนาที่ตํารวจควบคุม
ผูตองสงสัยท้ังสองคนมาที่หองตรวจพรอมแฟมประวัติท่ีโรงพยาบาลบานโปงออกใหและ
ใบนําสงของสถานีตํารวจภูธรอําเภอบานโปง เจาหนาท่ีหองตรวจมอบภาชนะพรอมปดปายช่ือ
ของผูตองสงสัยมอบใหเจาหนาท่ีตํารวจควบคุมไปเก็บปสสาวะท่ีหองนํ้าของผูปวยท่ัวไป
หลังจากนั้นเจาหนาท่ีตํารวจไดนําภาชนะท่ีใสปสสาวะแลวมามอบใหเจาหนาท่ีทําการตรวจ
โดยใชวิธีการตรวจ ๒ วิธี ซึ่งไดผลตรงกันและใชเวลาประมาณ ๑๕ นาที แมผลการตรวจหา
สารเมทแอมเฟตามีนท่ีผูฟองคดีไดไปดําเนินการดวยตนเองที่โรงพยาบาลเมืองราชและ
โรงพยาบาลราชบุรีจะไมพบสารเสพติด แตนายแพทยผูออกใบรับรองแพทยทั้งสองโรงพยาบาล
ดังกลาวไดใหการโดยสรุปวา การตรวจไมพบสารเมทแอมเฟตามีน อาจข้ึนกับสาเหตุบางอยางได
เชน ระยะเวลาหลังการรับสาร ปริมาณของสาร การขับถายของรางกาย และมียาบางชนิดสามารถ
เรง การขบั ถายสารเสพติดได สวนกรณที ผี่ ูฟอ งคดีกลาวอางวา ถกู กลนั่ แกลงเพราะเจาหนาท่ีตํารวจ
ที่จับกุมผูฟองคดีท้ังสองคร้ังเปนเจาหนาท่ีชุดเดียวกัน ก็ไมมีเหตุผลเพียงพอจะรับฟงเพราะเจาหนาที่
ชุดดังกลาวเปนเจาหนาที่ในทองที่เกิดเหตุซึ่งมีหนาท่ีในการจับกุมผูกระทําความผิดเก่ียวกับ
ยาเสพติดอยูแลว จากขอเท็จจริงดังกลาว จึงมีเหตุผลเพียงพอท่ีจะรับฟงไดวาผูฟองคดี
มีพฤติการณเสพยาเสพติดและมียาเสพติดใหโทษไวในครอบครองตามที่ถูกกลาวหาจริง
ประกอบกับการสอบสวนทางวินัย มีกระบวนการวิธีพิจารณาท่ีแตกตางและแยกตางหากจากการ
ดําเนินคดีอาญา ดังน้ันในกรณีท่ีขาราชการผูใดถูกดําเนินการทางวินัย และถูกดําเนินคดีอาญาใน
กรณีเดียวกัน หากผลการสอบสวนทางวินัยฟงไดวาผูถูกกลาวหากระทําความผิดทางวินัยแลว
ผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจส่ังบรรจุแตงตั้งก็สามารถส่ังลงโทษทางวินัยขาราชการผูนั้นไดโดย
ไมจําตองนําผลการดําเนินคดีอาญามาประกอบการพิจารณาแตอยางใด ดังนั้น เม่ือผูฟองคดี
มีพฤติการณเสพยาเสพติดและมียาเสพติดใหโทษไวในครอบครองตามที่ถูกกลาวหาจริง
เม่ือพฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีรับฟงไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
และมาตรา ๕ (๗) และ (๑๒) แหง พ.ร.บ. วาดวยวินัยตํารวจ พุทธศักราช ๒๔๗๗ การท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําส่ังลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
จึงเปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําพิพากษาใหเพิกถอน
คําส่ังตํารวจภูธรภาค ๗ ลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๘)
และใหดําเนินการเก่ียวกับสิทธิของผูฟองคดีตอไปตามกฎหมาย ระเบียบและขอบังคับที่เกี่ยวของ
ทง้ั น้ี ภายในหกสิบวนั นบั แตว นั ทค่ี ดีถงึ ทส่ี ดุ ศาลปกครองสงู สุดไมเ ห็นพองดวย

พพิ ากษากลบั เปนยกฟอ ง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๐๐๙ – ๑๐๑๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๗๓

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อบ.๒๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะที่ผูฟองคดีรับราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู

กองกํากับการ ๓ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ไดถูกกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยอยางรายแรง โดยกลาวหาวาผูฟองคดีเรียกรับผลประโยชนในกลุมธุรกิจ
ท่ีเกี่ยวของกับแรงงานตางดาวผิดกฎหมายและธุรกิจที่เก่ียวของกับการนําเท่ียวของตางชาติ (เกาหลี)
ในพื้นท่ีจังหวัดภูเก็ต ตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูบัญชาการกองบัญชาการตํารวจสันติบาล) ไดมีคําสั่ง
ลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓
ผูฟองคดีเห็นวาการออกคําสั่งลงโทษดังกลาวเปนไปโดยมิชอบดวยกฎหมาย จึงมีหนังสือลงวันท่ี ๓
ตุลาคม ๒๕๕๔ อุทธรณตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) เลขานุการ
คณะกรรมการขาราชการตํารวจไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ แจงวา ผูถูกฟองคดี
ที่ ๒ พิจารณาแลวเห็นวา ผูฟองคดีควรไดรับโทษถึงไลออกจากราชการ จึงมีมติใหยกอุทธรณ
และใหก องบญั ชาการตํารวจสันติบาลมีคําส่ังเพิ่มโทษ เปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จากนั้น
ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ไดม ีคําสง่ั ลงวนั ท่ี ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๕๕ เปล่ียนแปลงคําสั่งตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒
จากปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลออกจากราชการ ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ และคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ รวมทั้ง
เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ท่ียกอุทธรณของผูฟองคดี เห็นวา
เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานในช้ันสืบสวนขอเท็จจริงเบื้องตนและในช้ันคณะกรรมการสอบสวน
ทางวินัย กรณีผูฟองคดีเรียกรับเงินจากบริษัท อ. แลวเห็นวา นาย ธ. กรรมการผูจัดการบริษัท อ.
ไดใหถอยคําตอคณะกรรมการฯ วา เม่ือประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีเขามาในโครงการ
กอสรางเพ่ือเรียกรองเงินเปนรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท โดยบริษัทไดจายเงินใหผูฟองคดี
ไปท้ังหมด ๔ เดือน ต้ังแตเดือนกันยายน ๒๕๕๑ ถึงธันวาคม ๒๕๕๒ โดยโอนเงินเขาบัญชีธนาคาร
ชื่อบัญชีนาย อ. ซึ่งนาย ธ. ไดยืนยันภาพถายของผูฟองคดีวาเปนผูมาเรียกเก็บเงินดังกลาว
และเมื่อคณะกรรมการฯ ไดตรวจสอบรายการฝากและถอนเงินของบัญชีดังกลาวระหวางวันท่ี
๑ มกราคม ๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ แลว พบวามีรายการโอนเงินเขาบัญชีจํานวนครั้งละ
๘,๐๐๐ บาท ในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ วันท่ี ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ และวันท่ี ๒๓ ธันวาคม
๒๕๕๑ ตรงตามท่ีนาย ธ. ใหการ นอกจากนี้ คําใหการของนาย ธ. ยังสอดคลองกับคําใหการของ
นาย ส. และนาย ช. ผูควบคุมงานกอสรางของบริษัท อ. ที่ไดใหถอยคําตอตํารวจในช้ันการสืบสวน

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๗๙)
ขอเทจ็ จริงเบอื้ งตน จากคําใหการของนาย ธ. นาย ส. และนาย ช. ประกอบกับหลักฐานรายการโอนเงิน
บัญชีดังกลาว จึงเช่ือวาผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกรับเงินจากบริษัท อ. จริง แมจะอางวาผูฟองคดี
ไมไดเรียกรับเงินจากบริษัท อ. เพียงแตเขาไปทําการตรวจสอบแรงงานตางดาว และปรากฏวาไมพบ
แรงงานตางดาวผิดกฎหมาย ซ่ึงแมวาผูฟองคดีไดสงเอกสารการตรวจสอบใหคณะกรรมการสอบสวน
ตัง้ แตวนั ที่ ๑๘ กนั ยายน ๒๕๕๑ แลว แตใ นชัน้ การสอบสวนทางวินัยและในช้ันอุทธรณ ผูฟองคดีไมเคย
กลาวอางเอกสารดังกลาวเพื่อแกขอกลาวหา ซ่ึงหากผูฟองคดีมิไดกระทําผิดตามขอกลาวหาวา
ไดเรียกรับเงินจากบริษัท อ. จริง ผูฟองคดีนาจะอางเอกสารดังกลาวเปนหลักฐานสําคัญเพ่ือใช
ในการหักลางและแกขอกลาวหาดังกลาวตั้งแตในช้ันการสอบสวนวินัย ประกอบกับนาย ธ. ซ่ึงผูฟองคดี
อางวาเปนผูนําการตรวจสอบ ก็ไมเคยใหถอยคําวาผูฟองคดีไดเขาไปตรวจสอบแรงงานตางดาว
ในบรษิ ทั และไดม ีการจัดทาํ บนั ทกึ การตรวจสอบแรงงานตางดาวไวเปนหลักฐานแตอยางใด นอกจากนี้
หากบริษัทดังกลาวมิไดกระทําผิดกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานตางดาวจริง ก็ไมมีความจําเปนที่นาย ธ.
กรรมการผูจัดการบริษัท อ. จะตองจายเงินรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท ใหแกผูฟองคดี
ซึ่งการจายเงินดังกลาวนาจะเปนการจายเงินเพ่ือแลกกับการไมถูกดําเนินคดีในความผิดเก่ียวกับ
แรงงานตางดาว สวนกรณีเรียกรับเงินจากบริษัท ซ. นั้น เมื่อพิจารณาจากถอยคําในชั้นสอบสวนของ
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแลวเห็นวา นาย ม. กรรมการผูจัดการบริษัท ซ. ไดใหถอยคําตอ
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยวา เม่ือประมาณกลางป ๒๕๔๗ ผูฟองคดีไดเขามาติดตอเพื่อเรียกรับ
ผลประโยชนเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ซ่ึงบริษัทไดจายเงินใหผูฟองคดีเปนเวลา ๓ – ๔ ป โดยผูฟองคดี
จะมารับดวยตนเอง แตตอมาเมื่อเศรษฐกิจไมดีประกอบกับไดรับแจงจากพันตํารวจตรี อ. ที่มา
รับตําแหนงสารวัตรสันติบาลจังหวัดภูเก็ตวามีผูแอบอางช่ือไปเรียกรับผลประโยชนจึงใหงดจาย
โดยนาย ม. ไดยืนยันภาพถายของผูฟองคดีวาเปนผูมาติดตอและรับเงิน ซึ่งคําใหการของนาย ม.
มีนํ้าหนักพอที่จะรับฟงไดวาผูฟองคดีกระทําผิดตามขอกลาวหา เนื่องจากเรื่องดังกลาวนาย ม.
ไมไดเปนผูรองเรียนผูฟองคดี แตเปนกรณีที่ผูบังคับบัญชาไดตรวจสอบขอเท็จจริงและสอบสวน
การกระทําผิดของผูฟองคดีเอง แมภายหลังนาย ม. จะกลับคําใหการวาบริษัทของตนไมเคยจายเงิน
ใหแกผฟู องคดี แตการกลับคาํ ใหก ารดงั กลา วก็มิไดทําใหความนาเช่ือถือของคําใหการในครั้งแรกลดลง
เนื่องจากการที่นาย ม. กรรมการผูจัดการบริษัท ซ. ไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ถึงประธานกรรมการสอบสวน โดยขอกลับคําใหการเชนเดียวกับนาย ธ. กรรมการผูจัดการบริษัท อ.
ซึ่งมีหนังสือขอกลับคําใหการในวันเดียวกันกับนาย ม. และในหนังสือทั้งสองฉบับของนาย ม.
และนาย ธ. ยังมีถอยคําในหนังสือเหมือนกันวา บริษัทของตนไมเคยจายเงินใหแกผูฟองคดี จึงเปน
ขอพิรุธวาบุคคลท้ังสองมีหนังสือขอกลับคําใหการในวันเดียวกันและมีถอยคําในหนังสือเหมือนกัน
ซ่ึงอาจจะมีผูหน่ึงผูใดไปขอใหชวยเหลือหรือบังคับขูเข็ญพยานใหมากลับคําใหการ การกลับคําใหการ
ในภายหลังจึงไมอาจรับฟงได เมื่อไดวินิจฉัยแลววาผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกรับเงินจากบริษัท อ.
และบริษัท ซ. จึงเปนการกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได และฐานกระทําการอันไดชื่อวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๑) และ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๐)
ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ วางระดับโทษฐานทุจริตตอหนาที่ราชการมีโทษ
ไลออกจากราชการ ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ มีมติยกอุทธรณของผูฟองคดีและใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําส่งั เพ่ิมโทษเปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งเปล่ียนแปลงโทษ
คําสั่งลงโทษจากปลดออกจากราชการเปนไลออกจากราชการ จึงชอบดวยกฎหมายแลว และผลจาก
คําส่ังเพิ่มโทษดังกลาวยอมมีผลทําใหคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔
ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการเปนอันพับไปตามขอ ๓ ของกฎ ก.ตร. วาดวยหลักเกณฑและ
วิธีการดําเนินการใหผูถูกลงโทษตามคําส่ังเดิมรับโทษท่ีเพ่ิมข้ึนหรือกลับคืนสูฐานะเดิม พ.ศ. ๒๕๔๗
การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ
ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีมติยกอุทธรณของผูฟองคดีและใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังเพ่ิมโทษ
เปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม
๒๕๕๔ เปลี่ยนแปลงคําส่ังลงโทษผูฟองคดีจากปลดออกจากราชการเปนไลออกจากราชการ
ตามมติอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณดังกลาว นั้น จึงชอบดวย
กฎหมายแลว ทศ่ี าลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง นัน้ ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พอ งดวย

พพิ ากษายืน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๓๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ยศจาสิบตํารวจ ตําแหนง

ผูบังคับหมู ฝายอํานวยการ ๑ กองบังคับการอํานวยการ กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน
ไดร ับความเดือดรอ นหรือเสยี หายจากการทผ่ี ถู ูกฟอ งคดที ี่ ๑ (ผูบงั คบั การกองบังคบั การอํานวยการ
กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน) มีคําสั่งลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ลงโทษภาคทัณฑ
ผูฟ อ งคดี เนอื่ งจากเม่อื ประมาณป พ.ศ. ๒๕๕๑ ถงึ ป พ.ศ. ๒๕๕๒ ผูฟองคดีไดไปท่ีฝายอํานวยการ
๔ (เดิม) กองบังคับการอาํ นวยการกองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน เพือ่ ใชเครื่องถายเอกสาร
และไดเก็บเอกสารจํานวนหน่ึงท่ีถูกท้ิงไวในถังขยะบริเวณเคร่ืองถายเอกสารมาอานแลวเห็นวา
เก่ียวของกับตน จึงนําเอกสารดังกลาวไปยื่นตอศาลปกครอง เพ่ือประกอบคําคัดคานคําใหการ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ เห็นวา การกระทําของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง จึงมีคําสั่ง
ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ อุทธรณคําสั่งดังกลาว
ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ผูบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน) วินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓
ที่ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี และเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
เห็นวา เอกสารท่ีผูฟองคดีนําไปยื่นเพ่ือประกอบคําคัดคานคําใหการตอศาลปกครองช้ันตน
ในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๒/๒๕๕๕ จํานวน ๑๐ แผนน้ัน ในสวนท่ีเปนสําเนาบันทึกวากลาว
ตักเตือนพันตํารวจโท จ. กรณีกระทําความผิดวินัยอยางไมรายแรง ลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑
จํานวน ๒ แผน สําเนารายการความผิดของพันตํารวจโท จ. กรณีกระทําความผิดวินัยอยางไมรายแรง
ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ จํานวน ๑ แผน และสําเนาหนังสือฝายอํานวยการ ๔ (เดิม)

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๑)
เรื่อง การดําเนินการทางวินัยพันตํารวจโท จ. ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ จํานวน ๑ แผน
สําเนาเอกสารดังกลาวลวนเปนสําเนาเอกสารเก่ียวกับการลงโทษวากลาวตักเตือนพันตํารวจโท จ.
กรณีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง สําเนาเอกสารดังกลาวจึงมิไดเกี่ยวของโดยตรงกับคําส่ัง
ท่ีผูฟองคดีถูกลงโทษทางวินัยท่ีผูฟองคดีนําคดีไปฟองตอศาลปกครอง ในคดีหมายเลขแดง
ท่ี ๓๑๒/๒๕๕๕ สวนสําเนาเอกสารอีก ๖ แผน คือสําเนาเอกสารบันทึกเสนองานของงานวินัย
ฝายอํานวยการ ๔ (เดิม) เร่ือง การดําเนินการทางวินัยผูฟองคดี ฉบับลงวันท่ี ๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
ฉบับลงวันท่ี ๑๙ มถิ ุนายน ๒๕๕๑ และฉบับลงวันที่ ๒๕ มิถนุ ายน ๒๕๕๑ นั้น แมเอกสารดังกลาว
จะเปนเอกสารท่ีเกี่ยวของกับการดําเนินการทางวินัยของผูฟองคดี ซึ่งผูฟองคดีมีสิทธิขอตรวจดู
เพ่ือการโตแยงหรือช้ีแจงหรือปองกันสิทธิของตนได แตผูฟองคดีก็มีหนาท่ีตองย่ืนคําขอตรวจดู
เอกสารตอหนวยงานของรัฐที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลเอกสารดังกลาวดวยตามมาตรา ๑๑
วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.ขอมูลขาวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และมาตรา ๓๑ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดีไดย่ืนคําขอ
ตรวจดูเอกสารดังกลาว แตปรากฏวาผูฟองคดีเคยย่ืนขอคัดถายสําเนาเอกสารจํานวน ๑๐ แผน
ดังกลาว แลวถูกปฏิเสธเน่ืองจากฝายอํานวยการ ๔ (เดิม) อางวาเปนคูกรณีกันและใหผูฟองคดี
ไปหาเอกสารดวยตนเอง จึงรับฟงไดวาผูฟองคดีไมไดรับอนุญาตใหคัดถายสําเนาเอกสารทั้ง
๑๐ แผนดังกลาวจากหนวยงานของรัฐที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลเอกสารน้ัน สวนท่ีผูฟองคดี
อางวาผูฟองคดีเก็บเอกสารดังกลาวไดจากถังขยะ ภายหลังจากที่คําขอคัดถายเอกสารดังกลาว
ของผูฟองคดีไดรับการปฏิเสธ น้ัน เมื่อพิจารณาคํากลาวอางของผูฟองคดี ประกอบความเห็นของ
คณะกรรมการสอบสวนที่เห็นวาเอกสารจํานวน ๑๐ แผนดังกลาว มีสภาพเปนเอกสารท่ีสมบูรณ
เรียบรอ ย และขอ ความในเอกสารไมเ บี้ยวไมเ อยี ง จงึ ไมนา เชอ่ื วาผูฟ องคดเี ก็บเอกสาร จาํ นวน ๑๐ แผน
ดังกลาวได หลังจากที่ถูกปฏิเสธการขอคัดถายสําเนาเอกสารทั้ง ๑๐ แผนดังกลาว โดยเก็บไดจาก
ถังขยะท่ีต้ังอยูขางเคร่ืองถายเอกสาร ซ่ึงต้ังอยูในสํานักงานของฝายอํานวยการ ๔ (เดิม) โดยเอกสาร
ดังกลาวมีสภาพสมบูรณท้ังตัวเอกสารและขอความในเอกสาร แตพฤติการณนาเชื่อวาผูฟองคดี
ไดกระทําการใด ๆ หรือมีสวนในการกระทําเพ่ือใหไดมาซ่ึงสําเนาเอกสารจํานวน ๑๐ แผนดังกลาว
โดยมิชอบหลังจากถูกปฏิเสธมิใหคัดถายสําเนาเอกสารดังกลาว การกระทําของผูฟองคดีจึงเปน
การประพฤติตนในลักษณะท่ีไมสมควรอันเปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานตองไมประพฤติตน
ในลักษณะที่ไมส มควรตามมาตรา ๗๘ (๑๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงมอี ํานาจลงโทษภาคทัณฑผฟู องคดีไดตามมาตรา ๘๒ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๓
ธันวาคม ๒๕๕๓ ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี จึงชอบดวยกฎหมายแลว และเมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๒
ไดวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดีโดยอาศัยขอเท็จจริงและขอกฎหมายเดียวกันกับคําสั่ง
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนคําวินิจฉัยอุทธรณที่ชอบดวยกฎหมายเชนกัน ที่ศาลปกครองชั้นตน
พิพากษาเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ที่ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี และเพิกถอน
คําวินจิ ฉยั อุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันท่ี ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๒)
โดยใหมผี ลยอนหลังนับแตว ันทีค่ าํ สั่งของผูถ ูกฟองคดที ่ี ๑ และคาํ วินจิ ฉยั อุทธรณของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๒
มผี ลใชบ ังคบั น้ัน ศาลปกครองสงู สดุ ไมเห็นพอ งดว ย

พิพากษากลบั เปนยกฟอ ง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๕๑-๕๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๗๕

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ.๕๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ สังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๑

(ผูบ งั คบั การตํารวจภธู รจงั หวดั อํานาจเจรญิ ) ไดร บั ความเดอื ดรอ นเสียหายอนั เน่อื งจากผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี
๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ เปนตนไป โดยอางวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการ
อันไดช่ือวาประพฤติช่ัวอยางรายแรง จากการที่ผูฟองคดีถูกจับกุมตัวพรอม นาย ย. และนาย ค.
โดยถูกกลาวหาวา รวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) ไวในครอบครองเพ่ือจําหนาย
โดยผิดกฎหมาย พนักงานอัยการไดส่ังฟองผูตองหาท้ังสาม และคดีอาญาถึงท่ีสุดแลว โดยศาล
จังหวัดอุบลราชธานีมีคําพิพากษาจําคุกนาย ค. และนาย ย. สวนผูฟองคดีศาลพิพากษายกฟอง
ผฟู องคดีจงึ มีหนังสืออุทธรณคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตอประธานผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ซ่ึงคณะอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา ในช้ันการดําเนินการสอบสวน
ทางวินัยนั้น คณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนไมถูกตองตามข้ันตอนที่เปนสาระสําคัญ
ตามกฎหมาย สงผลใหค าํ ส่งั ของผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ และมติของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๒ ทลี่ งโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ไมชอบดวยกฎหมาย อีกท้ัง คดีอาญาพิพากษายกฟอง ผูฟองคดีจึงถือไมไดวา
ผูฟองคดีกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอให
เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติ
คณะอนุกรรมการ ก.ตร.เกี่ยวกับการอุทธรณ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗
เฉพาะสวนท่ีเก่ียวของกับผูฟองคดี และใหผูฟองคดีเปนผูบริสุทธ์ิ ไมมีความผิดและมีคําสั่งให
ผูถูกฟองคดีท้ังสองคืนสิทธิอันพึงมีพึงไดใหแกผูฟองคดี เห็นวา ขอเท็จจริงปรากฏวา
ในชั้นพิจารณาของศาลจังหวัดอุบลราชธานี และในชั้นสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนวา
ผูฟองคดีกับนาย ค. รูจักกันมากอนที่จะถูกจับดําเนินคดีอาญาความผิดตอ พ.ร.บ. ยาเสพติด
ใหโทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยมีพฤติกรรมเท่ียวด่ืมกินที่รานอาหาร เลนการพนันบั้งไฟและการพนันมวยตู
ดวยกันเปนประจํา และเดินทางไปไหนมาไหนดวยกันตลอด แมในวันเกิดเหตุจะไมปรากฏ
ขอเท็จจริงวาผูฟองคดีไดรูถึงเจตนาของนาย ค. และนาย ย. ที่จะไปรับยาเสพติดก็ตาม
แตหากนาย ค. ไมรูจักกับผูฟองคดีจนสนิทสนมจนเปนที่ไววางใจกันได ยอมไมพาผูฟองคดี
ซง่ึ เปนเจา หนาท่ีตํารวจไปยังสถานท่ีนัดรับมอบยาเสพติด และแมผูฟองคดีและนาย ค. จะรูจักกัน

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๓)
มาเปนเวลาประมาณ ๖ เดือน ก็เพียงพอท่ีจะเช่ือไดวาผูฟองคดีและนายครองศักด์ิคบคาสมาคม
กันเปน อาจณิ เม่อื ในวนั เกิดเหตุเจาพนักงานตํารวจไดตรวจพบสารเสพติดในปสสาวะของนาย ค.
และนาย ย. ขอเท็จจริงดังกลาวเห็นไดวานาย ค. และนายยุทธนาเสพยาเสพติดมากอนถูกจับกุม
การท่ีผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจมีหนาที่หลักในการรักษาความสงบเรียบรอยในบานเมือง
ท้ังปอ งกันและปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดใหโทษ ยอมมีทักษะในการสังเกตอัตลักษณ
และบุคลิกภาพหรือพฤติกรรมหรือพฤติการณของบุคคล ประกอบกับผูที่เสพยาเสพติดใหโทษ
ยอมมีบุคลิกท่ีแตกตางจากบุคคลทั่วไป ผูฟองคดียอมรูหรือควรรูวานาย ค. และนาย ย.
ซึ่งเปนบุคคลตนเท่ียวด่ืมกินและเลนการพนันดวยกันเปนผูท่ีมีพฤติการณเกี่ยวของกับเสพยาเสพติด
พฤติกรรมของผูฟองคดีจึงเช่ือไดวาเปนผูคบคาสมาคมเปนอาจิณกับผูที่เก่ียวของกับยาเสพติด
โดยรูหรือควรจะรูวาผูนั้นเกี่ยวของกับยาเสพติดตามขอ ๑๒ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
วาดวยการปองกันเจาหนาท่ีของรัฐมิใหเกี่ยวของกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับผูฟองคดี
มีพฤติการณเลนการพนัน เท่ียวสถานบันเทิงที่มีหญิงตางชาติคอยใหบริการ เมื่อพิจารณา
ถึงเกียรติยศของขาราชการตํารวจ และความรูสึกของสังคมที่มีตอการกระทําของผูฟองคดีซึ่งเปน
ผูพิทักษสันติราษฎรอันเปนที่พึ่งของประชาชนในการชวยรักษาความสงบสุขใหเกิดข้ึนแกสังคม
ยอมไมเปนท่ีไววางใจของสังคม และทําใหเกิดความเสียหายตอภาพพจนและช่ือเสียงของ
สํานักงานตรวจแหงชาติ จึงถือผูฟองคดีกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ตั้งแตวันท่ี ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ (วันท่ีมีคําส่ังใหออกจากราชการไวกอน)
เปนตน ไป จงึ เปนคาํ สง่ั ทีช่ อบดวยกฎหมายแลว และการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติใหยกอุทธรณของ
ผูฟ องคดี จึงชอบดวยกฎหมายเชน กัน ท้ังน้ี แมวาศาลจังหวดั อุบลราชธานีมีคําพิพากษาวินิจฉัยวา
จากพยานหลักฐานท่โี จทกนาํ สบื มาจึงยังมีความสงสัยตามสมควรวาจําเลยที่ ๑ (ผูฟองคดี) กระทํา
ความผิดตามฟองหรือไม เห็นควรยกประโยชนแหงความสงสัยน้ันใหแกจําเลยที่ ๑ (ผูฟองคดี)
พิพากษายกฟองจาํ เลยที่ ๑ (ผฟู อ งคดี) ก็ตาม แตเมื่อการดําเนินคดีอาญาและการดําเนินการทางวินัย
มีวัตถปุ ระสงคท่ีแตกตา งกัน ซ่ึงหากมีขอ เทจ็ จริงพอเชอ่ื ไดว า มีการกระทาํ ผดิ วนิ ัยจริงผูบังคับบัญชา
ยอ มมีอาํ นาจลงโทษได โดยไมจําตองผูกมัดกับผลของคดีอาญาแตอยางใด และเม่ือคณะกรรมการ
พิจารณากล่ันกรองการพิจารณาส่ังลงโทษ ไดมีมติใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวน
เพ่ิมเติม โดยสอบสวนปากคาํ ชุดปฏิบัติการปองกันและปราบปรามยาเสพติด สถานีตํารวจภูธรลืออํานาจ
เจาหนาท่ีตํารวจกองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติดและลืออํานาจเจาหนาท่ีปองกัน
และปราบปรามยาเสพติดท่ีรับผิดชอบเขตพื้นที่อําเภอลืออํานาจวามีขอมูลของผูฟองคดี นาย ค.
และนาย ย. เกี่ยวของกับยาเสพติดหรือไม อยางไร และรับฟงขอเท็จจริงจากสํานวนการสอบสวน
และคําพิพากษาศาลจังหวัดอุบลราชธานีแลวมติวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดี
ที่ไดคบคาสมาคมเปนอาจิณกับผูท่ีเก่ียวของกับยาเสพติด โดยรูหรือควรจะไดรูวาผูน้ันเกี่ยวของ
กับยาเสพติดและไดรวมกับนาย ค. และนาย ย. ครอบครองยาเสพติด (ยาบา) เพื่อจําหนาย

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๔)
แลวถูกเจาหนาที่ตํารวจจับกุมไดน้ัน พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีนับไดวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๑๒ (๔) ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวย
การปองกนั เจาหนา ท่ขี องรฐั มใิ หเ กย่ี วของกับยาเสพติด (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔ และตามมาตรา ๗๙ (๕)
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เห็นควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และไดมี
หนังสือเสนอใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณา น้ัน ถือวาคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการ
พิจารณาสั่งลงโทษรับฟงขอเท็จจริงครบถวนแลว ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดวย

พิพากษายืน

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ.๗๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงรองผูกํากับ

การปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรหนองฮี จังหวัดรอยเอ็ด ไดรับความเดือดรอนหรือ
เสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ) มีคําสั่งใหผูฟองคดีออกจาก
ราชการไวกอน เพ่ือรอฟงผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย เนื่องจากผูฟองคดีถูกกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยอยางรายแรงจนถูกต้ังคณะกรรมการสอบสวนและตองหาคดีอาญา ขอหา
ปลอมและใชเ อกสารปลอม ผูฟอ งคดจี งึ มหี นงั สืออุทธรณคาํ สั่งดังกลาว ตอมา อนุกรรมการ ก.ตร.
เกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ไดมีมติ
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
คําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอนและมติท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และมีคําสั่งให
ผูถูกฟองคดีทั้งสาม (สํานักงานตํารวจแหงชาติ ที่ ๑) รับผูฟองคดีกลับเขารับราชการตํารวจ
ในตําแหนงหนาท่ีตอไปจนกวาคดีอาญาจะถึงท่ีสุด เห็นวา เมื่อคดีนี้ปรากฏขอเท็จจริง
ในการตรวจคนบานพักผูฟองคดีของเจาหนาที่ตํารวจ มีการพบเอกสารเปนขอตกลงระบุวา
ผูฟองคดีรับจางประสานการขอใบอนุญาตใหมีอาวุธปนติดตัว ในราคาฉบับละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งพยานหลักฐานดังกลาวเปนพยานหลักฐานที่ทําใหนาเชื่อวา ผูฟองคดีมีสวนรวมหรือ
มีสวนเก่ียวของในการปลอมใบอนุญาตใหมีอาวุธปนติดตัว หรือมีสวนเก่ียวของกับการจัดหาหรือ
ไดมาซึ่งใบอนุญาตใหมีอาวุธปนติดตัวโดยการมีคาใชจายในการดําเนินการ ซึ่งการกระทําของ
ผูฟองคดีดังกลาวเปนการทําใหผูอื่นเช่ือวาผูฟองคดีสามารถดําเนินการใหไดมาซึ่งใบอนุญาต
ใหมีอาวุธปนติดตัวได ทั้งท่ีไมเปนความจริง อันแสดงใหเห็นวา ผูฟองคดีมีความประพฤติ
หรือพฤติการณท่ีไมนาไววางใจ เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจตาม
มาตรา ๗๒ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ไดพิจารณาแลวเห็นวา ถาใหผูฟองคดี
คงอยูในหนาท่ีราชการตอไปอาจเกิดการเสียหายแกราชการ หรือจะเปนอุปสรรคตอการสอบสวน
พิจารณา ประกอบกับในการสอบสวนพิจารณาทางวินัยผูฟองคดีจะไมแลวเสร็จโดยเร็ว
เมื่อพิจารณาพฤติการณตามขอกลาวหาตลอดจนเหตุผลท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ใชเปนฐาน
ในการออกคําส่ังใหออกจากราชการไวกอนแลว เปนกรณีท่ีตองดวยมาตรา ๙๕ แหง

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๕)
พระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบขอ ๓ (๑) (๒) และขอ ๘ ของกฎ ก.ตร. วาดวย
การส่ังพักราชการและการส่ังใหออกจากราชการไวกอน พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มีคําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน จึงเปนการใชดุลพินิจในการออกคําส่ังที่ชอบดวย
กฎหมายแลว นอกจากนี้ วัตถุประสงคของการดําเนินคดีอาญาตามกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญามีวัตถุประสงคเปนการนําตัวผูกระทําความผิดทางอาญามาลงโทษหรือการพิสูจน
ขอเท็จจริงเพื่อใหทราบวาผูตองหาหรือจําเลยเปนผูกระทําความผิดหรือไม และผูน้ันจะไดรับโทษ
ในทางอาญาเพื่อรักษาความสงบเรียบรอยของประชาชนและความสงบสุขของสังคมโดยรวม
ซึ่งการดําเนินคดีอาญาจะตองมีพยานหลักฐานท่ีปรากฏชัดแจงวาผูฟองคดีกระทําผิดจริง
จึงจะลงโทษทางอาญาได สวนการดําเนินการทางวินัยน้ันเปนไปเพื่อควบคุมความประพฤติ
ใหขาราชการปฏิบัติตนใหอยูในระเบียบวินัยขาราชการ หากขาราชการผูใดฝาฝนไมปฏิบัติอยูใน
ระเบียบวินัยขาราชการ ยอมจะตองถกู ลงโทษสถานหนักหรือเบาตามความรายแรงของพฤติการณ
โดยจะตองปรากฏขอเท็จจริงเพียงพอใหเชื่อไดวา มีการกระทําผิดวินัยเกิดข้ึนจริง จึงจะลงโทษได
กระบวนการพิจารณาเพ่ือลงโทษทางอาญากับทางวินัยจึงมีกระบวนการพิจารณาที่แตกตางกัน
โ ด ย ผู มี อํ า น า จ ดํ า เ นิ น ก า ร ท า ง วิ นั ย ไ ม จํ า ต อ ง ผู ก มั ด กั บ ผ ล ข อ ง ค ดี อ า ญ า แ ต อ ย า ง ใ ด
หากพยานหลักฐานและพฤติการณของผูฟองคดีรับฟงไดวา ผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงตามขอกลาวหาจริง ก็สามารถลงโทษทางวินัยรายแรงแกผูฟองคดีไดตามกฎหมาย
และเมื่อไดวินิจฉัยแลววาคําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอนเปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมายแลว
มติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ซ่ึงไดพิจารณาโดยอาศัยขอเท็จจริงและพยานหลักฐานเดียวกัน
จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง น้ัน
ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดวย

พิพากษายนื

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๙๗ - ๙๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงพนักงานสอบสวน (สบ. ๓)

สถานีตํารวจภูธรปาย ผูฟองคดีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงไมดําเนินคดีผูตองหา
ตามคํารองทุกขคดีอาญาท่ี ๓๗๕/๒๕๔๙ และไมขอขยายระยะเวลาการสอบสวนทําสํานวน
คดีอาญาลาชา ตอมา คณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๒
(ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน) วา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ทําสํานวน
คดีอาญาลาชา คาง และเกิดความเสียหายอยางรายแรง เห็นควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาการลงโทษเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการ
สอบสวน และมีมติใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี
๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงอุทธรณคําส่ังดังกลาว
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ตอมา ผูฟองคดีไดรับหนังสือลงวันที่
๑๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๕ แจงผลการพิจารณาอุทธรณวาคณะอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๖)
การอุทธรณทําการแทนผูถูกฟองคดีท้ัง ๓ มีมติใหมีคําส่ังยกโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
แลวสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการและลงโทษผูฟองคดีกรณีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง
ไปตามอํานาจหนาท่ีใหถูกตองเหมาะสมตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๕
ยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ สวนการสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการและลงโทษ
กรณีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงนั้น ใหรอไวกอน เน่ืองจากผูฟองคดีถูกไลออกจากราชการ
อีกกรณีหน่ึงตามคําสั่งตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติใหนําเรื่องการอุทธรณคําสั่งลงโทษของผูฟองคดีกลับไปสรุปพยานหลักฐาน
ทเี่ กี่ยวของโดยละเอียดพรอมตรวจสอบขอมูลเพิ่มเติม ซ่ึงในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาแลวเห็นวา คําส่ังที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการนั้น ถูกตอง
เหมาะสมแลว อทุ ธรณข องผฟู อ งคดีฟง ไมข ึ้นมีมติใหย กอทุ ธรณ ผูฟองคดีจึงนาํ คดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เมื่อวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ท่ีใหยกอุทธรณลงวันท่ี
๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) รับผิดใชเงินใหแก
ผูฟองคดี จํานวน ๑๕,๑๒๗,๙๐๗.๑๒ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแต
วันฟองเปนตนไป เห็นวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสอบสวนผูรับผิดชอบสํานวนคดีอาญาท่ี ๓๗๕/
๒๕๔๙ ขอหาพยายามฆาผูอื่น มีอาวุธปนและเครื่องกระสุนปนไวในครอบครองโดยไมไดรับ
อนุญาต ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนผูฟองคดี กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ไมดําเนินคดีอาญาผูตองหา
ตามคํารองทุกขคดีอาญาดังกลาว ไมขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ไมนําตัวผูตองหาผัดฟอง
ฝากขัง เกียจคราน ไมนําสํานวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการจังหวัดแมฮองสอน ไมมีการปรับ
นายประกันท่ีผิดสัญญาประกันตัวผูตองหา ทําสํานวนคดีอาญาลาชา เม่ือการกระทําความผิด
ของผูตองหาในคดีอาญาที่ ๓๗๕/๒๕๔๙ เปนขอหาในคดีความผิดอาญาแผนดิน มิใชคดีความผิด
อันยอมความกันได แมผูเสียหายจะไมติดใจเอาความผูตองหาตามท่ีผูฟองคดีกลาวอางก็ตาม
ผูฟองคดีซึ่งเปนพนักงานสอบสวนก็ยังคงมีหนาท่ีตองดําเนินคดีกับผูตองหาตอไป โดยมีหนาท่ี
รวบรวมพยานหลักฐานและดําเนินการอ่ืนตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา เพื่อใหทราบขอเท็จจริงหรือพิสูจนความผิดและเพ่ือนําตัวผูกระทําผิดมาฟองลงโทษ
เมื่อนับแตผูฟองคดีอนุมัติใหปลอยตัวผูตองหาชั่วคราวเมื่อวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ จนกระท่ัง
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
แกผูฟองคดีในเร่ืองดังกลาว ซึ่งเปนเวลาเกือบ ๔ ป ปรากฏวาผูฟองคดียังมิไดมีการสงสํานวนคดี
ดังกลาวพรอมดวยความเห็นไปยังพนักงานอัยการจังหวัดแมฮองสอนเพื่อดําเนินการตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นอกจากน้ี เมื่อครบกําหนดระยะเวลาการปลอยตัวช่ัวคราว
ระหวางการสอบสวนแลว ผูฟ องคดีก็มิไดด ําเนนิ การสงผูตอ งหาไปศาลเพ่ือดําเนินการตามประมวล
กฎหมายดังกลา ว พฤติการณข องผฟู องคดถี ือไดวา เปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการ
โดยมิชอบเพ่ือใหผูตองหาไดรับประโยชนโดยไมตองถูกควบคุมตัวหรือถูกดําเนินคดีอาญาตามกฎหมาย

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๗)
อันเปนประโยชนที่มิควรได กรณีจึงเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๑)
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหง ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การทผี่ ูฟ องคดมี กี ารทาํ สาํ นวนคดีอาญาลาชานานเกือบ ๔ ป
โดยไมมีการขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ไมนําตัวผูตองหาผัดฟอง ฝากขัง และไมไดนําสํานวน
การสอบสวนเสนอพนักงานอัยการจังหวัดแมฮองสอน เปนการทําสํานวนคดีอาญาลาชาและ
เกิดความเสียหายรายแรงตอกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ทําใหผูเสียหายไมไดรับความเปนธรรม
และผูกระทาํ ผิดไมถกู ลงโทษ ซงึ่ แมภ ายหลงั จากผฟู องคดีไดรับทราบคําส่ังลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔
ท่ีลงโทษไลออกจากราชการแลว ผูฟองคดีไดมอบสํานวนคดีอาญาดังกลาวใหมีการดําเนินการตอก็ตาม
แตก็ถือไดวาความเสียหายอยางรายแรงและการแกไขเยียวยาความเสียหายที่ไดเกิดขึ้นแลวน้ัน
เกิดจากกรณีท่ีมีการรองเรียนผูฟองคดีและไดมีการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนจนนําไปสู
การออกคําส่ังลงโทษผูฟองคดี การที่รอยตํารวจเอก ก. ไดรับสํานวนคดีตอจากผูฟองคดี
จึงไมท าํ ใหข อ เทจ็ จรงิ ท่วี า ผูฟ องคดมี ไิ ดด ําเนนิ คดีกับผูตองหาในคดีตามข้ันตอนท่ีกฎหมายกําหนด
หรือดําเนินการอยางลาชานับต้ังแตวันที่เกิดเหตุเมื่อวันท่ี ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ จนถึงวันที่
ผูฟองคดีไดรับทราบคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการเปลี่ยนแปลงไป ท้ังนี้ แมวาผูถูกฟองคดีที่ ๓
มีอํานาจที่จะกําหนดกรอบแนวทางการใชดุลพินิจลงโทษทางวินัยอยางรายแรงสําหรับการกระทํา
ผิดวินัยอยางรายแรงไดตามมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง (๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ก็ตาม
แตโดยที่การกระทําหรือไมกระทําการตามที่กําหนดในกฎ ก.ตร. ที่จะเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๗) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน น้ัน ตองเปนกรณีท่ีมีกฎ ก.ตร.
กําหนดใหการกระทําการหรือไมกระทําการนั้นเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เมื่อไมปรากฏวา
กฎ ก.ตร. ไดกําหนดใหการทําสํานวนคดีอาญาลาชาและเกิดความเสียหายอยางรายแรงเปน
ความผิดวินัยอยางรายแรง กรณีจึงไมอาจถือไดวาการกระทําของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัย
อยา งรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๗) แหงพระราชบัญญตั ิดังกลาว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงวันท่ี
๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยระบุวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๗) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว จึงเปนการระบุขอกฎหมาย
ท่ีคลาดเคลื่อน แตอยางไรก็ดี เมื่อไดวินิจฉัยไวขางตนแลววา การกระทําของผูฟองคดีเปน
การกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๑) แหงพระราชบัญญัติขางตน ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มอี ํานาจสงั่ ลงโทษผฟู องคดีโดยปลดออกหรือไลอ อกไดตามมาตรา ๙๐ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว การระบุขอกฎหมายท่ีคลาดเคล่ือนดังกลาวจึงไมมีผลทําใหโทษทางวินัยท่ีผูฟองคดีไดรับ
เปล่ยี นแปลงไป ดังนนั้ การทผ่ี ถู ูกฟอ งคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ อันเปนโทษ
สําหรับความผิดวินัยอยางรายแรง จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว และเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๓
มมี ติในการประชมุ เมอ่ื วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ วาคาํ ส่ังดงั กลาวถูกตอ งเหมาะสมแลว ใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี จึงเปนมติที่ชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน ท่ีศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหเพิกถอน
คําสั่งตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอนลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ โดยใหมีผลนับแตวันท่ีคําสั่งดังกลาวมีผลใชบังคับ
และใหผูถูกฟองคดีทั้งสามดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตางๆ ท่ีผูฟองคดีมีสิทธิไดรับตามกฎหมาย

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๘)
แกผูฟองคดี ท้ังนี้ ภายในหกสิบวันนับแตคดีถึงท่ีสุด นอกจากนี้ ใหยก น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
ไมเ ห็นพอ งดว ย

พิพากษากลับ เปนใหยกฟอง

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อบ.๑๑๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงพนักงานสอบสวน

(สบ ๓) สถานีตํารวจภธู รปาย จงั หวัดแมฮองสอน ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากคําสั่งของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูอํานวยการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน) ตามคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ มกราคม
๒๕๕๕ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จากกรณีที่นาย จ. มีหนังสือรองเรียนไปยังสถานี
ตาํ รวจภูธรปายและตาํ รวจภูธรภาค ๕ ขอทราบความคืบหนาผลคดีอาญาของบุตรชายท่ีถูกทําราย
รางกายจนไดรับบาดเจ็บ โดยมีผูฟองคดีเปนพนักงานสอบสวน ซ่ึงผลการสืบสวนขอเท็จจริง
ตามคําส่ังสถานีตํารวจภูธรปาย พบวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสอบสวนเวรในวันดังกลาวแตไมอยู
ปฏิบัติหนาที่ และเม่ือมีการรองเรียนจึงไดรับคํารองทุกขไวหลังเกิดเหตุประมาณ ๕๐ วัน
ทั้งยังสรุปสํานวนการสอบสวนสงอัยการลาชาเปนเวลาประมาณ ๑ ป ๔ เดือน โดยไมผาน
ความเห็นของผูบังคับบัญชาตามลําดับชั้นอันมีมูลกระทําความผิด และผลการสอบสวนทางวินัย
รับฟงไดวา ผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง ผูฟองคดีไดมีหนังสืออุทธรณคําส่ังตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจ) ผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณายกอุทธรณดังกลาว ผูฟองคดีเห็นวา คําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ที่สั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการและมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากคณะกรรมการสอบสวนไมไดแจงนัดหมายใหผูฟองคดีมารับทราบ
ขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาและเปดโอกาสใหผูฟองคดี
แกขอกลาวหาตามขอทกั ทวงของผถู กู ฟองคดีที่ ๒ ไปยงั ทอ่ี ยูใ หมข องผฟู องคดตี ามที่ไดใ หไวในสมุด
ลงชื่อการแถลงการณดวยวาจาในช้ันพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๓
(สํานักงานตํารวจแหงชาติ) รวมกันรับผิดชดใชเงินแกผูฟองคดีเปนจํานวน ๒๑,๙๒๓,๗๓๐.๐๖ บาท
พรอมดอกเบ้ยี ในอตั รารอ ยละ ๗.๕ ตอ ป นับแตว ันฟอ งเปน ตน ไป

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยตามอุทธรณของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ วา มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีเปนการกระทําโดยชอบ
ดว ยกฎหมายหรือไม โดยมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยในเบ้ืองตนกอนวา กระบวนการในการออกคําส่ัง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการชอบดวยกฎหมายหรือไม ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณกระทําผิดวินัยของผูฟองคดี ผลการสอบสวน
พบวา การกระทาํ ของผูฟองคดเี ปน ความผิดวนิ ัยฐานปฏิบตั ิหนาท่ีไมเครงครัดตอระเบียบแบบแผน
และคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตามมาตรา ๗๘ (๒) (๕) และ (๙) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๘๙)
พ.ศ. ๒๕๔๗ เห็นควรลงโทษกักยาม ๖ วัน แตตอมาไดจัดทํารายงานการประชุม ลงวันท่ี
๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามขอทักทวงของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ วา การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิด
วินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) และ (๖) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เห็นควรลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ จากนั้น คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาลงโทษ
ขาราชการตํารวจพิจารณาแลว มีมติใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่ง
ลงวนั ท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผ ฟู องคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีย่ืนอุทธรณคําส่ังดังกลาว
ตอ มา อ.ก.ตร. อทุ ธรณ ทาํ การแทนผถู กู ฟอ งคดีที่ ๒ พิจารณาแลวพบวา พฤติการณที่นํามาออกคําสั่ง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ รวมท้ัง การกระทําผิดตามมาตรา ๗๘ อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยางรายแรง ไมใชขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาท่ีเคย
แจงใหผูฟองคดีทราบ จึงมีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ สอบสวนเพ่ิมเติม พรอมทั้งจัดทําบันทึกการแจง
ขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาใหผูฟองคดีทราบเพ่ิมเติมโดยมี
รายละเอียดของฐานและบทมาตราความผิดวินัยอยางรายแรง ตอมา คณะกรรมการสอบสวน
มีหนังสือแจงกําหนดนัดใหผูฟองคดีมารับแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอกลาวหา โดยหนังสือทั้งสองฉบับไดจัดสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปยังท่ีอยูของผูฟองคดี
ตามที่ปรากฏในเอกสารของทางราชการ แตไมสามารถสงหนังสือได และเม่ือพนกําหนด ๑๕ วัน
นับแตวันท่ีสงบันทึกดังกลาวไปใหผูฟองคดี คณะกรรมการจึงสรุปรายงานการสอบสวนเสนอ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยยืนยันความเห็นเดิม และตอมา อ.ก.ตร. อุทธรณ ไดพิจารณามีมติให
ยกอุทธรณของผูฟองคดี จึงเห็นไดวา การที่คณะกรรมการสอบสวนจัดสงบันทึกการแจง
และรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาฐานกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง โดยไดจัดสงไปยังที่อยูซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการเชนเดิม ซ่ึงมิใชที่อยู
ปจจุบันของผูฟองคดีตามท่ีไดแจงไวในสมุดลงชื่อแถลงการณดวยวาจาในชั้นพิจารณาคําอุทธรณ
อนั ถอื วา เปนสถานทีต่ ดิ ตอที่ผูถูกกลาวหาแจงใหทราบ กรณีจึงไมอาจถือไดวาผูฟองคดีไดรับทราบ
ขอ กลา วหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาในฐานกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและ
ไมประสงคจะแกขอกลาวหา การดําเนินการดังกลาวของคณะกรรมการสอบสวน จึงเปนการ
ไมเปดโอกาสใหผูฟองคดีไดช้ีแจงแกขอกลาวหาหรือนําพยานหลักฐานมาสืบแกขอกลาวหา
อันเปนการไมปฏิบัติใหเปนไปตามมาตรา ๘๖ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกอบขอ ๑๘ ขอ ๓๖ และขอ ๔๑ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๔๗
ยอมสงผลใหคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ รวมท้ังมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีไมชอบดวยกฎหมายดวยเชนเดียวกัน สวนกรณี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ อุทธรณวา เมื่อคณะกรรมการสอบสวนสงเอกสารไปยังท่ีอยูของผูฟองคดี
ซ่ึงปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ยอมถือวาเปนการสงโดยชอบดวยกฎหมายแลว น้ัน
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ในช้ันการพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี อ.ก.ตร. รองทุกขไดแจงให
ผูฟองคดีไปใหถอยคํา ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งผูฟองคดีไดไปใหถอยคําในวันดังกลาวและ
ไดแจงเปล่ียนแปลงท่ีอยูพรอมหมายเลขโทรศัพทใหไวกับกองอุทธรณซึ่งเปนหนวยงานในสังกัด

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๐)
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ เพอ่ื ใชในการติดตอผูฟองคดีในระหวางอุทธรณคําสั่ง กรณีจึงตองถือวา ที่อยูใหม
ตามท่ีผฟู อ งคดีไดแจงไวกับกองอทุ ธรณเ ปนสถานท่ตี ิดตอท่ีผถู ูกกลา วหาแจงใหทราบ และเปนเรื่อง
การประสานงานภายในหนวยงานที่กองอุทธรณชอบที่จะแจงการเปล่ียนแปลงท่ีอยูใหมของ
ผูฟองคดีใหแกคณะกรรมการสอบสวนทราบดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมอาจกลาวอางเหตุความ
บกพรองดังกลาวเพ่ือใหเปนผลรายแกผูฟองคดีได ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษาใหเพิกถอนมติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยใหมีผลนับแตวันที่ศาลมีคําพิพากษาถึงท่ีสุด
และมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษา โดยให
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหมใหถูกตอง แลวสั่งการใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
ดําเนินการทางวินัยใหมใหเปนไปตามกฎหมาย สวนคําขออ่ืนใหยก น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดว ย

พิพากษายืน

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ. ๑๒๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดฟี องวา เดิมผฟู อ งคดีเปน ขา ราชการตํารวจ ไดรับความเดือดรอนเสียหาย

จากกรณีเมื่อคร้ังที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูบังคับหมู ไดถูกกลาวหาวา มีพฤติการณทุจริตในการ
สอบคัดเลือกขาราชการตํารวจช้ันประทวนเพื่อแตงตั้งเปนขาราชการตํารวจช้ันสัญญาบัตร
ประจําป พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยถูกตรวจพบโทรศัพทมือถือในขณะทําการสอบ ตอมา ผูบัญชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๔ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสืบสวน
ขอเท็จจริงกรณีดังกลาว ซ่ึงผลการตรวจสอบโทรศัพทท่ีตรวจพบในตัวผูฟองคดี ปรากฏวา
โทรศพั ทมือถอื ทีผ่ ูฟอ งคดีนาํ เขาหองสอบไมส ามารถรับสญั ญาณจากกลุมผทู าํ การทุจริตในการสอบ
สว นสาเหตุที่ตรวจพบวาผูฟองคดีทําขอสอบเพียง ๓ ขอ ทั้งที่เหลือเวลาทําขอสอบเพียง ๑๕ นาที น้ัน
เนื่องจากผูฟ องคดีไดอ า นคําถามและเลือกคําตอบทุกขอแลว โดยจะทําการฝนหรือกาเครื่องหมาย
ในกระดาษคําตอบในภายหลังตามวิธีการทําขอสอบท่ีผูฟองคดีมีความถนัด ตอมา ผูบัญชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๔ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี
ซึง่ ผลการสอบสวนฟงไดวา ผูฟองคดี มีความผิดวนิ ยั อยางไมร า ยแรง ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๔
จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ลงโทษกักขังผูฟองคดี มีกําหนด ๓๐ วัน และใหยุติ
เร่ืองวินัยรายแรง โดยการลงโทษไดส้ินสุดแลว จากนั้น ตํารวจภูธรภาค ๔ ไดรายงานผลการ
ดําเนินการทางวินัยดังกลาวไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๓ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๓
พิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง จึงนําเร่ืองเขาที่ประชุมคณะกรรมการ
พิจารณากล่ันกรองการพิจารณาส่ังลงโทษ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ โดยที่ประชุมมีมติ
ใหปลดผฟู อ งคดอี อกจากราชการ ผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ (ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ) จึงมีคําส่ังลงวันที่
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และใหยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี
๓ ธนั วาคม ๒๕๕๕ เฉพาะสวนที่ลงโทษกกั ขงั ผฟู อ งคดมี กี ําหนด ๓๐ วนั ตอมา ผูฟองคดีมีหนังสือ

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๑)
ลงวันท่ี ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ อุทธรณค าํ สั่งดังกลาวตอ ผถู ูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจ) ซึ่งคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจ (อ.ก.ตร.) เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวมีมติใหยกอุทธรณ และมีหนังสือลงวันท่ี ๓
เมษายน ๒๕๕๘ แจงผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาวใหผูฟองคดีทราบ ผูฟองคดีเห็นวา
คําส่ังลงโทษทางวินัยดังกลาวไมถูกตองเหมาะสมและรายแรงเกินกวากรณีความผิด จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ท่ีลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติของคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการพิจารณาส่ัง
ลงโทษในการประชมุ เม่อื วนั ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ เพิกถอนหนังสือของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่
๓ เมษายน ๒๕๕๘ ที่แจงผลการพิจารณาอุทธรณ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เห็นชอบตามคําสั่งลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ท่ีสั่งลงโทษกักขังผูฟองคดีมีกําหนด ๓๐ วัน
และใหยุติเร่ืองทางวินัยอยางรายแรง และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ คืนสิทธิอันพึงมีพึงไดทุกประการ
แกผูฟองคดีต้ังแตวันท่ีผูฟองคดีถูกต้ังกรรมการสอบสวนวินัยและใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
ตามเดมิ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในการสอบคัดเลือกขาราชการตํารวจช้ันประทวน
เขา รบั การฝกอบรมเพอ่ื แตงตัง้ เปนขาราชการตาํ รวจชน้ั สญั ญาบัตรประจําป พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันท่ี
๑๙ กันยายน ๒๕๕๓ ผูฟองคดีไดเขาหองสอบและเริ่มทําขอสอบจนถึงเวลาประมาณ
๑๕.๔๕ นาฬกิ า เจาหนา ทีค่ ุมสอบไดมคี ําส่งั ใหตรวจคนตัวผูเขาสอบ พบโทรศัพทมือถือซุกซอนอยู
ในกางเกงในของผูฟองคดี ซ่ึงผูฟองคดีไดยอมรับวาไดนําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบจริง
โดยกลาวอางวา ไดพบเห็นโทรศัพทมือถือวางอยูท่ีโตะหินออนสอบถามหาเจาของแลว ไมมีผูใด
แสดงตนเปนเจาของโทรศัพท ผูฟองคดีจึงไดนําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบดวยความรีบเรง
พลงั้ เผลอ แตไมไดกระทําการทุจริตในการสอบ ประกอบกับผลการตรวจสอบปรากฏวา โทรศัพท
ดังกลาวมีสภาพเปนโทรศัพทสามารถใชงานได แมวาไมสามารถใชติดตอกันไดก็ตาม แตการท่ี
ผูฟองคดีซึ่งเปนขาราชการตํารวจที่มีความประสงคไดรับการแตงต้ังเปนขาราชการตํารวจ
ชน้ั สัญญาบตั รและไดสมัครเขารบั การคดั เลือกตามประกาศรับสมคั รและคดั เลอื กขาราชการตํารวจ
ช้ันประทวน ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ผูฟองคดีจึงยอมที่จะทราบรายละเอียดของประกาศ
ดังกลา ว โดยเฉพาะอยา งยงิ่ ขอ กาํ หนดในสวนที่เกี่ยวกับคําเตือน พฤติการณที่ถือวาเปนการทุจริต
ในการสอบและผลที่จะไดรับหากประพฤติตนฝาฝนขอกําหนดดังกลาว แตผูฟองคดีก็ยังคง
นําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบโดยหาไดตระหนักถึงคําเตือนดังกลาวไม เม่ือขอ ๘.๓
ของประกาศดงั กลาว กําหนดวา ขา ราชการตํารวจที่ทุจริตในการสอบ ถือวาเปนการกระทําผิดวินัยฐาน
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง รวมท้ังในสวนของผนวก ง. ทายประกาศดังกลาว ขอ ๑.๒ ขอ ๓
และขอ ๓.๗ ไดมีระเบียบเก่ียวกับการสอบขอเขียนระบุไวอยางชัดแจงวาหามผูเขาสอบ
นําโทรศัพทมือถือหรือเคร่ืองมือส่ือสารเขาไปในหองสอบ หากเริ่มลงมือทําขอสอบแลวมีการ
ตรวจคนพบใหถือวาทุจริตในการสอบและตองถือวามีพฤติการณทุจริตในการสอบ และผูฟองคดี
ก็ไดยอมรับตอพนักงานสอบสวน วา กอนเขาหองสอบไดมีประกาศจากฝายอํานวยการคุมสอบ

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๒)
ไมใหนําเคร่ืองมือสื่อสารเขาหองสอบและผูฟองคดีก็รูดี แตเหตุที่นําเขาเพราะตองการ
โทรศัพทมือถือดังกลาว ประกอบกับเม่ือไดพิจารณารายงานเหตุการณคุมสอบขอเขียนของ
อนุกรรมการคุมหองสอบซ่ึงบันทึกวา พบโทรศัพทมือถือซุกซอนในกางเกงชั้นในของผูฟองคดี
โดยเปดเครื่องไวและผูฟองคดีทําขอสอบไดเพียง ๓ ขอ ทั้งท่ีเหลือเวลาทําขอสอบเพียง ๑๕ นาที
อีกทั้งผูฟองคดีมิไดแสดงความบริสุทธ์ิใจดวยการแจงใหกรรมการคุมหองสอบทราบถึงการ
พบโทรศัพทดังกลาว แตกลับนําโทรศัพทมือถือเขามาในหองสอบ กรณีจึงมีน้ําหนักเพียงพอ
ท่ีจะเชื่อไดวา พฤติการณของผูฟองคดีท่ีนําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบมีเจตนาเพ่ือใชหรือ
จะใชทําการทุจริตในการสอบ ประกอบกับผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจถือเปนเจาหนาท่ีของรัฐ
ที่มีลักษณะงานพิเศษ มีอํานาจหนาท่ีและความรับผิดชอบในฐานะเปนผูรักษากฎหมาย
รักษาความสงบเรียบรอยของสังคม มีหนาท่ีปองกันและปราบปรามอาชญากรรม และนําตัว
ผูกระทําผิดมาลงโทษ ซ่ึงเปนหนาท่ีที่มีความสําคัญ จึงควรเปนผูที่ไดรับความเช่ือถือไววางใจจาก
ทั้งผูบังคับบัญชา เพื่อนรวมงาน ผูใตบังคับบัญชา และโดยเฉพาะอยางย่ิงจากประชาชนโดยทั่วไป
จึงตองถือและปฏิบัติตามกฎหมาย และตองรักษาวินัยตามที่บัญญัติไวโดยเครงครัดดังที่บัญญัติไว
ในมาตรา ๗๗ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การที่ผูฟองคดีกระทําการทุจริตในการ
สอบเพ่ือใหตนเองไดรับการแตงต้ังในตําแหนงที่สูงข้ึน ยอมนํามาซึ่งความเสื่อมเสียตําแหนงหนาท่ี
ราชการท่ีตนดํารงอยู เมื่อพิจารณาพฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีประกอบกับกฎ
ระเบียบ ขอบังคับ เกีย่ วกบั การสอบแลว กรณีจึงตองฟงวา ผูฟอ งคดีไดก ระทําการทุจริตในการสอบ
อันถือไดวาเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ใหยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ เฉพาะสวนที่ลงโทษกักขังผูฟองคดีมีกําหนด ๓๐ วัน
แลวใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจ (อ.ก.ตร.)
เกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีมติในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ใหย กอทุ ธรณของผูฟอ งคดี น้นั จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมาย แมวาผูถูกฟองคดีไดลงโทษ
ผูฟองคดีดวยการปรับตกทุกวิชาที่สอบไปแลว แตการลงโทษดังกลาวเปนเรื่องเก่ียวกับการสอบ
ตามประกาศรับสมัครสอบ สวนในดานการดําเนินการทางวินัย การที่ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๔
มีคําส่ังลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ลงโทษกักขังผูฟองคดีมีกําหนด ๓๐ วัน น้ัน ยังไมมีผลทําให
การดําเนนิ การทางวนิ ัยผูฟ องคดีเสรจ็ สิน้ ไป กฎหมายกําหนดใหตองรายงานผลการดําเนินการทางวินัย
พรอมสํานวนการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ และผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดนําเร่ืองของผูฟองคดี
เขาพิจารณาในคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษในการประชุมเมื่อวันที่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ มีมติใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ซึ่งตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ใหยกเลิกคําส่ังลงโทษกักขังผูฟองคดีและลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนการดําเนินการตามขั้นตอนท่ีกฎหมายดังกลาวบัญญัติใหอํานาจ
กระทําได มิไดเ ปนการลงโทษซํ้าซอนตามท่ีผูฟองคดีกลาวอางแตประการใด ท่ีศาลปกครองชั้นตน
พพิ ากษายกฟอ ง นัน้ ศาลปกครองสงู สุดเห็นพอ งดว ย

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๓)

พพิ ากษายนื

คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ. ๑๔๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ในขณะท่ีผูฟองคดีรับราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู

ทําหนาท่ีปฏิบัติการปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรพาน จังหวัดเชียงราย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีกับพวก รวม ๓ คน กรณีผูฟองคดี
กับพวกตองหาคดีอาญา ฐานรวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบา)
จํานวน ๒,๐๐๐ เม็ด ไวในความครอบครองเพ่ือจําหนายโดยผิดกฎหมาย และเปนเจาพนักงานปฏิบัติ
หรือละเวน การปฏิบตั หิ นาที่โดยมิชอบ ตอมา คณะกรรมการสอบสวนฯ ไดมีหนังสือเสนอความเห็นตอ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดเชียงราย) วา ผูฟองคดีไดปฏิบัติหนาที่ตามคําส่ัง
ของผูบังคับบัญชาท่ีส่ังการในหนาที่ และการปฏิบัติตามคําสั่งเปนไปตามระเบียบของทางราชการ
โดยชอบแลว เห็นควรยุติเรื่องทางวินัยแกผูฟองคดี แตเม่ือคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรอง
การพิจารณาส่ังลงโทษของตํารวจภูธรจังหวัดเชียงรายพิจารณาแลว เห็นควรใหปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๕ ลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลนับตั้งแตวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ ผูฟองคดีจึงอุทธรณ
คําสั่งลงโทษดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) แจงผลการพิจารณา
อทุ ธรณว า อนกุ รรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ (อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ)
มีมติใหยกอุทธรณ พรอมทั้งใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดําเนินการเพิ่มโทษผูฟองคดีจากลงโทษปลดออก
จากราชการ เปนไลออกจากราชการ ผฟู องคดเี หน็ วา คาํ สง่ั และการกระทําของผูถูกฟองคดีท้ังสอง
ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี
๔ กันยายน ๒๕๕๕ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติของอนุกรรมการ
คณะกรรมการขา ราชการตาํ รวจเกยี่ วกับการอุทธรณ ทาํ การแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่มีมติใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี และใหดําเนินการเพิ่มโทษผูฟองคดีจากปลดออกเปนไลออกจากราชการ และให
ผูถกู ฟองคดีทั้งสองดําเนนิ การใหผ ฟู อ งคดีกลับเขารับราชการในตําแหนงเดิม และคืนสิทธิประโยชน
ในตาํ แหนงหนา ท่รี าชการใหแกผูฟ องคดี นับแตวันที่ ๑๕ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อพิจารณาจากถอยคําของผูฟองคดีท่ีไดใหไว
ตอคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง และคําบรรยายในคําฟอง ที่วา หลังจากที่มี
การรวมกันจับกุมผูตองหาคดีครอบครองยาเสพติดแลว ผูฟองคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตํารวจ ก.
ไดเดินทางไปสงพันตํารวจโท ส. ที่สถานีตํารวจภูธรพาน หลังจากนั้น ไดเดินทางกลับไป
ทหี่ นว ยบริการประชาชนตําบลแมเยน็ ผฟู องคดีไดเดนิ ไปเขาหองนํ้าและพบหอกระดาษ จํานวน ๑ มัด
ซ่ึงมีลักษณะคลายกับหอยาบาที่ตรวจพบไดจากผูตองหาคดียาเสพติด ตกอยูท่ีพื้นดินบริเวณ
รองนํ้าชายคาโรงรถ ผูฟองคดีจึงนําหอกระดาษดังกลาวสงมอบใหแกดาบตํารวจ อ. แตเมื่อพิจารณา
บันทึกคําใหการของพยาน ซ่ึงรวมทําการจับกุมผูตองหากับพวกพรอมดวยยาบาของกลาง
ทกุ คนตา งใหก ารยนื ยันตรงกันวา ในระหวางข้ันตอนการตรวจนับยาบา ไมมียาบาตกหลนจากโตะ

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๔)
ลงสพู ื้นดินดา นลาง และเมือ่ ขอเท็จจริงปรากฏวา หอยาบาของกลางในคดีน้ี มีลักษณะเปนหอกระดาษ
สีนํ้าตาล และบรรจุยาบาจํานวนถึง ๒,๐๐๐ เม็ด จึงมีลักษณะเปนหอกระดาษขนาดใหญ จึงเปน
การยากท่ีถาหอกระดาษดังกลาวตกหลนลงพื้นดินแลว จะไมมีผูใดทราบและพบเห็น จึงเช่ือไดวา
ระหวางท่ีมีการตรวจนับยาบา ไมมียาบาที่ตรวจนับตกหลนจากโตะสูพ้ืนดินดานลาง นอกจากนี้
ในบันทึกคําใหการของผูรวมทําการจับกุมผูตองหา ซึ่งไดใหการไวตอคณะกรรมการสอบสวนฯ
ตางใหการสอดคลองกันวา เห็นผูฟองคดีกับพวกเดินทางออกจากหนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็น
ไปพรอมกับพันตํารวจโท แตไมพบผูฟองคดีกับพวกกลับมาท่ีหนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็นอีก
และการทผี่ ฟู อ งคดอี า งในคําอทุ ธรณวา ผูฟองคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตํารวจ ก. เดินทางไปถึง
หนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็นเมื่อเวลาประมาณ ๑๓ นาฬิกา และออกจากบริเวณดังกลาว
ไปกอนเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ นาฬกิ า ขดั แยง กับถอยคําท่ีผูฟองคดีไดใหการในชั้นสืบสวนขอเท็จจริงวา
ผฟู องคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตาํ รวจ ก. รวมทัง้ เจาหนา ทต่ี ํารวจประจําหนวยบริการประชาชน
ตําบลแมเย็น ไดอยูรอลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมถึงเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ นาฬิกา โดยระหวางน้ัน
ผูฟองคดีไดเดินไปเขาหองนํ้าและเก็บยาบาของกลางไดจึงนํามามอบใหแกดาบตํารวจ อ. ซ่ึงขณะนั้น
เปนเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา อันแสดงใหเห็นวา ขอกลาวอางของผูฟองคดีมีเจตนาหลีกเล่ียง
เพ่ือไมใหถอยคําของผูฟองคดีขัดแยงกับคําใหการของพยาน จึงไมนาเชื่อไดวา ผูฟองคดีกับพวก
เก็บหอยาบา จํานวน ๑ มัด ไดที่บริเวณรองน้ําชายคาโรงรถ ณ หนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็น
เมื่อพิจารณายาบาที่อยูในความครอบครองของผูฟองคดีกับพวกมีลักษณะและสีของกระดาษหอ
ตลอดจนจํานวนยาบาในหอ เปนเชนเดียวกันกับยาบาของกลางท่ีตรวจยึดได และตามบันทึก
คําใหการของรอยตํารวจโท ก. ท่ีใหการตอคณะกรรมการสอบสวนฯ วา เมื่อเปดลําโพงตัวแรกไดแลว
พบวา ภายในมีหอกระดาษจํานวนหลายมัด จึงไดสั่งการใหผูฟองคดียืนเฝาลําโพงตัวแรกไวกอน
เพ่อื รอผูบังคบั บัญชา โดยขณะท่รี อ ยตาํ รวจโท ก. และดาบตํารวจ น. กําลังตรวจคนลําโพงตัวที่สอง ได
ยนื หันหลังใหผฟู องคดี จึงเช่อื ไดวา ขณะทมี่ กี ารไขกญุ แจเพอ่ื เปด ลําโพงตัวที่สอง ทุกคนที่อยูในบริเวณ
ดงั กลา ว ตา งใหความสนใจกบั การไขกญุ แจเปดลําโพงตัวท่ีสอง ผูฟองคดีจึงอาศัยชวงเวลาดังกลาว
รวมกันหยิบยาบา จํานวน ๑ มัด จากลําโพงตัวแรก และภายหลังจากท่ีพันตํารวจโท อ. สงสัยวา
อาจมียาบาของกลางหายไป จํานวน ๑ มัด และไดเรียกผูฟองคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตํารวจ ก.
ไปพบท่ีหองทํางานเพื่อสอบถามผูฟองคดีกับพวกอางวา ผูฟองคดีเก็บยาบาของกลางไดท่ีบริเวณ
รองนํ้าชายคาโรงรถ โดยผูฟองคดีไดรายงานการพบยาบาของกลางดังกลาวตอดาบตํารวจ อ.
ซงึ่ เปน ผูบังคบั บญั ชาช้ันตน และดาบตํารวจ อ. ไดส่ังใหดาบตํารวจ ก. นํายาบาของกลางไปเก็บไว
เพือ่ รอสงมอบและรายงานใหผูบังคับบัญชาทราบ จึงเห็นไดวา พฤติการณของผูฟองคดี มีลักษณะ
เปนการเบียดบังยาบาของกลาง จํานวน ๑ มัด ไปเปนของตน ประกอบกับผูฟองคดีรับราชการ
เปนตํารวจมานานหลายป จึงยอมทราบวาการกระทําดังกลาวเปนการกระทําท่ีผิดกฎหมาย
และไมควรประพฤติปฏิบัติ เน่ืองจากทําใหเสื่อมเสียเกียรติศักด์ิของขาราชการตํารวจ ตลอดจน
ทําใหประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธาตออาชีพตํารวจ ดังน้ัน การกระทําดังกลาวของผูฟองคดี
จึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอื่น

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๕)
ไดรับประโยชนท่ีมิควรได และกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๑)
และ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่
๔ กันยายน ๒๕๕๕ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ จึงชอบดวยกฎหมาย และการท่ีอนุกรรมการ
คณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ (อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ) ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีมติเม่ือวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหดําเนินการ
เพิ่มโทษผูฟองคดีจากลงโทษปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลออกจากราชการ โดยตอมา
ผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ มคี ําสัง่ ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ซึ่งออกตามมติ
ของ อ.ก.ตร. เก่ียวกบั การอุทธรณ ดังกลาว จึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน ท้ังนี้ แมวาคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีเห็นควรใหยุติเร่ือง แตคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรอง
การพิจารณาส่ังลงโทษของตํารวจภูธรจังหวัดเชียงราย กลับมีความเห็นเสนอใหลงโทษผูฟองคดี น้ัน
เมอื่ การแตงตงั้ คณะกรรมการเพอื่ พจิ ารณากลั่นกรองเสนอความเห็นตอผูมีอํานาจส่ังลงโทษทางวินัย
มวี ตั ถุประสงคเ พอ่ื เปนหลกั ประกันความเปน ธรรมแกขา ราชการตํารวจ โดยคณะกรรมการดังกลาว
จะทําหนาที่พิจารณากลั่นกรองความถูกตองของความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ท่ีเสนอความเห็นเก่ยี วกับการกระทําผิดวินัยและโทษท่ีสมควรจะลงแกผูถูกสอบสวน เพื่อผูมีอํานาจ
สง่ั ลงโทษทางวินยั จะไดพ จิ ารณากอ นที่จะมคี าํ สง่ั ลงโทษทางวินัยผูถูกสอบสวนตามมาตรา ๙๐ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังน้ัน เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณารายงานการสอบสวนของ
คณะกรรมการสอบสวนฯ แลวจึงมอบหมายใหคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองฯ พิจารณากลั่นกรอง
ความถูกตองของการสอบสวนทางวินัยและการเสนอโทษทางวินัยแกผูฟองคดีกับพวก คณะกรรมการ
พิจารณากลั่นกรองฯ จึงมีอํานาจพิจารณาและเสนอความเห็นใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ส่ังลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการได อีกท้ัง เม่ือคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองฯ มีความเห็นเสนอตอ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว การพิจารณาวาจะสั่งลงโทษผูฟองคดีหรือไม เพียงใด นั้น เห็นวา เปนดุลพินิจ
และอาํ นาจของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ตามมาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ที่ศาลปกครองชั้นตน
พิพากษายกฟอ ง นน้ั ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พองดวย

พิพากษายนื

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๑๕๔/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟอ งวา เม่อื คร้ังท่ผี ฟู อ งคดีเปน ขา ราชการตํารวจ ยศสิบตํารวจเอก ดํารงตําแหนง

ผูบังคับหมู กองกํากับการ ๔ สังกัดกองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล
สาํ นกั งานตํารวจแหงชาติ ปฏิบตั หิ นาที่รกั ษาความปลอดภยั ประจําบา นพษิ ณุโลก ไดรับความเดอื ดรอ น
หรือเสยี หายจากการทีผ่ ถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ (ผูบังคับการ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓) มีคําส่ังลงวันที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ฐานละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกัน
เปนเวลาเกนิ สิบหาวนั โดยไมมเี หตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติ
ตามระเบยี บของทางราชการ ผูฟองคดีจึงไดอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการ
ขาราชการตํารวจ (ก.ตร.)) ซึ่งคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ (อนุกรรมการ

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๖)
ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ) ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดพิจารณาในการประชุมเมื่อวันท่ี
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเม่ือ
วันท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ มีมติเห็นชอบตามมติของอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณดังกลาว
ผูฟอ งคดเี หน็ วา การท่ผี ฟู องคดีตองขาดหนาท่ีราชการเน่ืองจากผูฟองคดีมีโรคประจําตัว และผูฟองคดี
ไดยน่ื ใบลาปว ยตอ ผบู ังคบั บญั ชา โดยมีใบรบั รองแพทยร บั รองวา ผฟู องคดีปวยจริง จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔
ท่ีเห็นชอบมติของอนกุ รรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอทุ ธรณที่ยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
บรรจุผูฟอ งคดีกลบั เขารับราชการยศสิบตํารวจเอก พรอมท้ังคืนสิทธิตางๆ ที่ผูฟองคดีเคยไดรับใหแก
ผูฟอ งคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินจิ ฉัยวา เม่ือคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงไดสืบสวนขอเท็จจริง
โดยทําการสอบพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุ รวมท้ังไดตรวจสอบความถูกตองแทจริง
ของใบรับรองแพทยของโรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
ตามท่ีผูฟองคดีใชอางเปนพยานหลักฐานวาผูฟองคดีปวยและแพทยมีความเห็นวาควรใหลาปวย นั้น
ปรากฏวา ผูอํานวยการโรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานครแจงวาใบรับรองแพทยของโรงพยาบาล
ลาดกระบงั กรุงเทพมหานคร ลงวันท่ี ๕ เมษายน ๒๕๕๓ เปน แบบฟอรม ของโรงพยาบาลที่สูญหาย
และนายแพทย ส. ท่ีระบุในใบรับรองแพทยฉบับนั้น ไมไดเปนผูออกใบรับรองแพทยดังกลาว
สวนใบรับรองแพทยของโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นั้น ผลปรากฏวา
ไมมีชอื่ ผฟู องคดเี ปน ผูป ว ยอยูในระบบฐานขอมลู ของโรงพยาบาล อีกทัง้ นายแพทย ป. ก็มิไดเปนแพทย
ผูใหบรกิ ารของโรงพยาบาล ผอู าํ นวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ยืนยันวาใบรับรองแพทยดังกลาว
มไิ ดเ ปน ใบรับรองแพทยข องทางโรงพยาบาล จึงฟงไดวาผูฟองคดีมีพฤติการณขาดราชการ ซ่ึงเปน
ความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินสิบหาวัน
โดยไมม เี หตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
คือ ในชวงระหวางวันท่ี ๑๓ เมษายน ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ รวม ๙๒ วัน การที่
คณะกรรมการกลั่นกรองการพิจารณาส่ังลงโทษฯ ไดพิจารณาสํานวนการสืบสวนขอเท็จจริง
และพยานหลักฐานโดยฟงขอเท็จจริงเปนเชนเดียวกันกับคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงแลวมีมติ
เห็นควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และแจงใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณา เพ่ือมีคําส่ัง
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงชอบดวยกฎหมายแลว เม่ือขอเท็จจริงรับฟงเปนที่ยุติวา ผูฟองคดี
ขาดราชการ รวม ๙๒ วัน อันเปนการขาดราชการตอเนื่องกันเกินกวาสิบหาวัน ถือเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานละทิ้งหนาที่ราชการในคราวเดียวกันเกินกวาสิบหาวัน โดยไมมีเหตุอันสมควร
ตามมาตรา ๗๙ (๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และเปนความผิดที่ปรากฏชัดแจง
ตามขอ ๓ (๒) ของกฎ ก.ตร. วาดวยกรณีที่เปนความผิดท่ีปรากฏชัดแจง พ.ศ. ๒๕๔๗
และผบู งั คบั บญั ชาไดดําเนินการสืบสวนแลวเหน็ วา ไมมีเหตอุ นั สมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึง
ความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ถือวาเปนความผิดท่ีปรากฏชัดแจง ซ่ึงผูบังคับบัญชา

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๗)
จะดาํ เนนิ การทางวินยั ตามมาตรา ๙๐ สงั่ ลงโทษปลดออก หรือไลออก ตามความรายแรงแหงกรณี
โดยไมตองสอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมายแลว
ดังน้ัน มติผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบตามมติของ
อนุกรรมการ ก.ตร. เก่ยี วกบั การอุทธรณ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ที่ใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี โดยไดพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี รวมทั้งพยานหลักฐานตามสํานวนการสืบสวน
ขอเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนขอเทจ็ จรงิ ประกอบดว ยแลว จงึ เปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมาย
เชนกัน ที่ศาลปกครองชัน้ ตนพพิ ากษายกฟอง นั้น ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดวย

พิพากษายนื

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อบ.๑๕๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ในขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูกํากับการสถานีตํารวจภูธร

อําเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ผูฟองคดีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง กรณีเปน
ผูเก็บรักษารถยนตและรถจักรยานยนตของกลาง จํานวน ๑๐ คัน ซ่ึงตอมาปรากฏวา รถยนต
และรถจักรยานยนตของกลางดังกลาวไดสูญหายไปบางสวน ทําใหเกิดความเสียหายแกราชการ
จึงไดมีการสงเร่ืองดังกลาวไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกันและปราบปราม
การทุจริตแหงชาติ) ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓
และหนังสือลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ แจงใหผูฟองคดีไปรับทราบและชี้แจงแกขอกลาวหา
โดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปยังบานเลขที่ ๒๙/๒๒๗ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเปนที่อยูตามหลักฐานทะเบียนราษฎร และเปนท่ีอยูในขณะท่ีผูฟองคดี
รับราชการอยูที่กองกํากับการ ๕ กองบังคับการอํานวยการ ตํารวจภูธรภาค ๑ แตในชวงเวลาท่ีมี
การสงหนังสือดังกลาว ผูฟองคดีไดยายมาดํารงตําแหนงผูกํากับการฝายอํานวยการตํารวจภูธร
จังหวัดยโสธรแลว จึงเปนกรณีที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาเร่ืองของผูฟองคดีโดยรวบรัดและ
ไมใหโอกาสผูฟองคดีไดแกขอกลาวหา หลังจากนั้น ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติวา การกระทําของผูฟองคดีมีมูลเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติ
หรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได
ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง และฐานกระทําการหรือละเวน
การกระทําใดๆ รวมท้ังการกระทําผิดตามมาตรา ๗๘ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๑) (๕) และ (๖) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดยโสธร) ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดไตสวนและช้ีมูลความผิด ผูฟองคดีจึงอุทธรณคําสั่ง
ดงั กลา ว หลงั จากน้นั ในการประชุมเมอ่ื วันที่ ๑๕ มนี าคม ๒๕๕๕ อนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ)
พิจารณาแลวมมี ตใิ หย กอุทธรณข องผูฟ อ งคดี โดยไดแจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๘)
ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งผูฟองคดีไดรับทราบผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาว
เม่ือวันท่ี ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําสั่งลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนมติของอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และ
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไตสวนความผิดของผูฟองคดีใหม โดยใหผูฟองคดีมีโอกาสเขาช้ีแจงตอ
ผถู ูกฟองคดีที่ ๓

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในการแจงใหผูฟองคดีมาพบคณะอนุกรรมการไตสวน
เพื่อรับทราบขอกลาวหา ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ รวมทั้งการแจงขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบและใหผูฟองคดีช้ีแจงแกขอกลาวหา ตามหนังสือลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ น้ัน
ประธานอนุกรรมการไตสวนไดมีหนังสือดังกลาวถึงผูฟองคดี โดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับ
ไปยังบานเลขท่ี ๒๙/๒๒๗ หมูที่ ๒ ถนนกําแพงเพชร ๖ แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร
ซึ่งตามใบตอบรับ ไมปรากฏวาผูฟองคดีไดรับหนังสือดังกลาว หรือมีบุคคลอื่นที่บรรลุนิติภาวะ
รับหนังสือดังกลาวไวแทนแลว แตไดระบุเหตุขัดของในการนําจายวาไมมีผูมารับภายในกําหนด
จึงเปนกรณีท่ีผูฟองคดียังไมไดรับบันทึกแจงขอกลาวหาโดยชอบ และไมอาจถือวาผูฟองคดี
ไดรับทราบขอกลาวหาและไมประสงคจะแกขอกลาวหาตามขอ ๑๕ วรรคสาม ของระเบียบ
คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ วาดวยการปฏิบัติหนาท่ีของ
คณะอนุกรรมการไตสวน พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับไมปรากฏในรายงานการไตสวนของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ วา ไดมีการนําบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหาของผูฟองคดี ลงวันที่
๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๙ ลงวนั ที่ ๒๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ และลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ คําช้ีแจง
ขอเท็จจริงของผูฟองคดี ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๐ และบันทึกถอยคําของผูฟองคดี ลงวันที่
๒๖ เมษายน ๒๕๕๐ และลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ ซึ่งดําเนินการโดยคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๗ กันยายน ๒๕๔๙ มารวมไวในสํานวนการไตสวนขอเท็จจริงของ
คณะอนุกรรมการไตสวน อันจะถือไดวา เปนการไตสวนขอเท็จจริงเบื้องตน และเปนสวนหนึ่ง
ของการไตสวนขอเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไตสวนตามขอ ๑๐ วรรคสอง ของระเบียบ
ฉบับดังกลาว การที่คณะอนุกรรมการไตสวนไดดําเนินการไตสวนตอไปจนแลวเสร็จ และ
จัดทํารายงานการไตสวนขอเท็จจริงเสนอตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ เพ่ือพิจารณาตอไป นั้น จึงเปน
กรณีท่ีคณะอนุกรรมการไตสวน ไมไดใหผูฟองคดีมีโอกาสทราบขอเท็จจริงเก่ียวกับเรื่องท่ีถูกกลาวหา
เพื่อใหผูฟองคดีไดโตแยงช้ีแจงและแสดงพยานหลักฐานของตนเพื่อแกขอกลาวหา การไตสวน
ขอเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไตสวน จึงเปนการดําเนินการโดยไมถูกตองตามข้ันตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญตามที่กําหนดไวในขอ ๑๕ วรรคหน่ึง และวรรคสาม ของ
ระเบียบเดียวกัน ฉะนั้น มติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓
ซ่ึงเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวน จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน และ
เนื่องจากผูถูกฟอ งคดีที่ ๑ ตอ งพิจารณาโทษทางวินัยผูฟองคดี ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๙๙)
ไดมีมติ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย รวมทั้งใหถือเอารายงาน
เอกสารและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓ เปนสํานวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน
วินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมชอบดวยกฎหมาย จึงยอมสงผลใหการดําเนินการ
ทางวินัยผูฟองคดี ซึ่งไดดําเนินการตอเน่ืองมาโดยอาศัยมติชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๓
เปนการดําเนินการโดยไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ดังน้ัน คําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําส่ัง
ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงไมชอบดวยกฎหมาย
และมติของอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง นั้น ศาลปกครองสูงสุด
ไมเห็นพอ งดว ย

พิพากษากลับ เปนใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับ
การอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ท่ีให
ยกอทุ ธรณของผูฟองคดี ทงั้ น้ี ใหมีผลนบั ตง้ั แตว นั ท่ีศาลปกครองสูงสดุ มคี ําพพิ ากษาเปนตน ไป

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อบ.๑๖๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีทั้งสามฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ เปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู

กองกํากับการ ๓ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ผูฟองคดีที่ ๒
เปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู ฝายจัดการฝกอบรม ศูนยพัฒนาดานการขาว
กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ผูฟองคดีที่ ๓ เปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู
กองกํากับการ ๕ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผูบัญชาการ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล) ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒
แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีท้ังสาม ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ลงโทษปลดผูฟองคดีท้ังสามออกจากราชการ ผูฟองคดีท้ังสาม
จึงยื่นอุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ (ก.ตร.))
มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณและใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังเพ่ิมโทษเปนลงโทษไลผูฟองคดีท้ังสาม
ออกจากราชการ พรอมทั้งแจงใหผูฟองคดีท้ังสามทราบตามหนังสือลงวันท่ี ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕
ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมคี ําสงั่ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เปล่ียนแปลงคําส่ังลงโทษขาราชการตํารวจ
โดยเพ่มิ โทษเปนไลผูฟอ งคดีทง้ั สามออกจากราชการ โดยอางวา เม่ือประมาณกลางป พ.ศ. ๒๕๕๑
ผูฟองคดีท้ังสามกับพวกรวม ๕ คน ไดเขาไปในบริเวณสถานที่กอสรางอพารตเมนตของบริษัท ซ.
และแจงวาเปนเจาหนาที่ตํารวจสันติบาลมาจับกุมแรงงานตางดาวผิดกฎหมาย โดยผูฟองคดีท่ี ๑
เปนผูเจรจาเรียกรองเงินเพ่ือแลกกับการไมจับกุมแรงงานตางดาว บริษัท ซ. ยินยอมจายเงินให
จาํ นวน ๘,๐๐๐ บาท หลังจากไดรับเงินแลวยังไดกําหนดใหบริษัท ซ. จายเปนรายเดือน เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๐๐)
โดยมีผูฟองคดีที่ ๒ และที่ ๓ เปนผูมาเก็บเงินรายเดือน และไดจายเงินติดตอกันจนกระทั่งเสร็จงาน
เปนเวลาประมาณ ๙ เดือน ผูฟองคดีทั้งสามเห็นวาไมมีประจักษพยานและพยานแวดลอม
หรือพยานเอกสารใดๆมายืนยันการกระทําความผิด ผูฟองคดีไมไดกระทําผิดตามขอกลาวหา
และการลงโทษไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากในการสืบสวนขอเท็จจริงของพลตํารวจตรี ส.
ไมไดแจงเร่ืองที่กลาวหาหรือถูกรองเรียนใหผูฟองคดีท้ังสามทราบ และไมเคยใหผูฟองคดีทั้งสามช้ีแจง
ขอเท็จจรงิ แตป ระการใดจึงเปนการละเวนการปฏิบัติหนาที่ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และขอ ๑๘ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง พ.ศ. ๒๕๔๗
ผูฟองคดีท้ังสามจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีท้ังสามออกจากราชการ และคําสั่งลงวันที่
๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ท่ีลงโทษไลผูฟอ งคดีท้งั สามออกจากราชการ รวมทงั้ เพิกถอนมติของผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๓
ที่ยกอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสาม และมีคําสั่งใหผูถูกฟองคดีรับผูฟองคดีท้ังสามเขารับราชการตํารวจ
ในตําแหนงและชั้นยศในอตั ราเงนิ เดอื นเดิม

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือไดพิจารณาพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอ กลา วหาของผฟู องคดีทั้งสามเห็นวา นาย ศ. เปนพยานบุคคลไดใหถอยคํายืนยันวา ผูฟองคดีท้ังสาม
กับพวกรวม ๕ คน ไดเขาไปในสถานที่กอสรางอพารตเมนตท่ีบริษัท ซ. ไดรับเหมากอสรางและนาย ศ.
เปน ผูควบคุมงานกอสรางดังกลาวโดยอางวาเปนตํารวจสันติบาลและไดเรียกรองเงินจํานวน ๘,๐๐๐ บาท
เพื่อแลกกับการปลอ ยตัวคนงานตา งดาวผดิ กฎหมายและเรยี กเงินจากนาย ศ. เปนรายเดือน เดือนละ
๓,๐๐๐ บาท เพ่ือแลกกับการไมจับกุมแรงงานตางดาวดังกลาว เนื่องจากบริษัท ซ. มีความจําเปน
ท่ีจะตองใชแรงงานตางดาวดังกลาวจึงไดจายเงินตามที่ผูฟองคดีท้ังสามกับพวกเรียกรอง
และไดจายเงินเปนรายเดือนอีกจนกระทั่งทําการกอสรางแลวเสร็จเปนเวลาประมาณ ๙ เดือน
และนาย ศ. ยังไดชี้ภาพถายของผูฟองคดีท้ังสามไดถูกตองและยืนยันวาเปนบุคคลท่ีอยูในชุดของ
เจาหนาท่ีตํารวจสันติบาลท่ีเขามาจับกุมคร้ังแรก โดยผูฟองคดีท่ี ๑ เปนผูเจรจาเรียกรับเงิน
และผฟู องคดีที่ ๒ และที่ ๓ เปนผูมาเก็บเงินเปนรายเดือน ซ่ึงการพิจารณาวาผูฟองคดีท้ังสามไดมี
พฤติการณกระทําผิดตามที่ถูกกลาวหาหรือไมนั้น ไมจําตองมีพยานหลายปากใหการยืนยันวาผูฟองคดี
ทัง้ สามกระทําผดิ ตามท่ีถกู กลาวหา เพียงแตมีประจักษพยานเพียงปากเดียวใหการยืนยันวาผูฟองคดี
ทง้ั สามไดก ระทําผิดตามท่ีถูกกลาวหาก็เพียงพอท่ีจะรับฟงขอเท็จจริงไดตามถอยคําของพยานปาก
นัน้ แลว เมื่อคดีนีป้ รากฏวานาย ศ. เปน ผูควบคมุ งานกอสรา งในสถานท่ีกอสรางดังกลาว และไดอยู
ในเหตุการณที่ผูฟองคดีทั้งสามกับพวกไดเขามาในสถานที่กอสรางดังกลาวแลวเรียกรองเงินเพ่ือ
แลกกับการปลอยแรงงานตางดาวที่ผิดกฎหมายและเพ่ือไมจับกุมแรงงานตางดาวดังกลาว นาย ศ. ซึ่ง
อยูในสถานที่เกิดเหตุจึงเปนประจักษพยานที่รูเห็นเหตุการณที่เกิดข้ึน เมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวา
นาย ศ. เคยมีสาเหตุโกรธเคืองหรือเคยมีกรณีพิพาทกับผูฟองคดีทั้งสามมากอนอันจะมีมูลเหตุจูงใจ
ท่ีจะทําใหนาย ศ. ใหถอยคําปรักปรํากล่ันแกลงผูฟองคดีท้ังสาม อีกท้ัง นาย ศ. ยังเปนลูกจาง
ผูควบคุมงานของบริษัท ซ. ยอมไมกลาที่จะใหถอยคําปรักปรํากลั่นแกลงผูฟองคดีทั้งสามโดย
ปราศจากความเปนจริง เพราะอาจสงผลกระทบตอการดําเนินกิจการของบริษัทและความปลอดภัย

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๐๑)
ของตนเอง กรณีจึงเชื่อวานาย ศ. ใหถอยคําไปตามความเปนจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้น แมจะมีเพียง
นาย ศ. เพียงคนเดียวเปนพยานใหถอยคํายืนยัน ศาลก็สามารถรับฟงขอเท็จจริงตามที่นาย ศ.
ใหถอยคําได นอกจากนี้ ถอยคําของนาย ศ. ดังกลาวยังสอดคลองกับบันทึกขอความฉบับลงวันท่ี
๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ของดาบตํารวจ ธ. ที่ไดชี้แจงตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ วา ผูฟองคดีท้ังสาม
มีพฤติการณเรียกเก็บเงินจากแรงงานตางดาวในพื้นท่ีจังหวัดภูเก็ตจริงพรอมท้ังมีบัญชีรายช่ือ
บุคคลและบริษัทที่ถูกเรียกเก็บเงินแนบมาในบันทึกดังกลาวดวย โดยในบัญชีแนบทายน้ีมีรายชื่อ
นาย ศ. อยูในลําดับท่ี ๔๐ อีกทั้ง ยังปรากฏตามสําเนารายงานทางอีเมลจากนาย ว. เม่ือวันท่ี ๙
มิถุนายน ๒๕๕๒ ท่ีไดใหขอมูลแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ วา ผูฟองคดีท่ี ๑ กับพวกมีพฤติการณเรียกรับเงิน
จากผูประกอบการในพ้ืนท่ีจังหวัดภาคใตจริง กรณีจึงนาเชื่อวาผูฟองคดีท้ังสามมีพฤติการณ
เรียกรับเงินจากผูประกอบการตามท่ีถูกกลาวหาจริง สวนที่นาย พ. ปลัดอําเภอฝายความมั่นคง
อําเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ใหถอยคําวา ในระหวางท่ีปฏิบัติงานปราบปรามแรงงานตางดาว
ผิดกฎหมายรวมกับผูฟองคดีทั้งสามไมเคยทราบวาผูฟองคดีท้ังสามมีพฤติกรรมตามท่ีถูกกลาวหา
ซ่ึงคําใหการดังกลาว นาย พ. ไมไดใหการยืนยันวาผูฟองคดีทั้งสามไมไดมีพฤติการณเรียกรับเงิน
จากผปู ระกอบการทม่ี แี รงงานตางดาวผดิ กฎหมาย เพียงแตใ หก ารวาตนไมทราบเทานั้น กรณีจึงยัง
ไมแนว าผูฟอ งคดที ัง้ สามกระทําการเรียกรับเงินจากผูประกอบการท่ีมีแรงงานตางดาวผิดกฎหมาย
หรือไม เพราะหากผูฟองคดีท้ังสามกระทําการเรียกรับเงินก็คงไมกระทําในขณะท่ีมีบุคคลอื่นอยูรวมดวย
สวนนางสาว ว. เจาหนาท่ีการเงินของบริษัท ซ. และนาย อ. กรรมการผูจัดการ บริษัท ซ.
ท่ีใหถ อยคาํ และมหี นงั สอื ชแี้ จงตอคณะกรรมการสอบสวนทาํ นองเดยี วกนั วา ไมมีการจายเงินใหกับ
ตํารวจสันตบิ าล นั้น เห็นวา พยานทงั้ สองเปนผมู ีอํานาจกระทําการของบริษัทที่ตองใชแรงงานตางดาว
จึงเกรงกลวั และไมอ ยากมกี รณพี ิพาทกบั ผฟู อ งคดที ั้งสามซง่ึ เปน เจา หนาท่ีรฐั เพราะอาจทําใหสงผลกระทบ
ตอการดําเนนิ กจิ การของบริษัทจึงไมกลาใหการเปนปฏิปกษตอผูฟองคดีทั้งสาม สวนนาย ค. และนาย ว.
มอี าชีพรบั เหมากอสราง ซึง่ ไดใหถอยคาํ ตอคณะกรรมการสอบสวนสอดคลองกันวา ไมทราบวานาย ศ.
ไดจ ายเงนิ ใหผ ฟู องคดที ัง้ สามเพื่อแลกกับการไมจับกุมแรงงานตางดาว และไมเคยเห็นผูฟองคดีท้ังสาม
มายังสถานท่ีกอสรางดังกลาว เรียกรับเงินเพื่อแลกเปล่ียนกับการไมจับกุมแรงงานตางดาวนั้น
โดยท่ีพยานท้ังสองดังกลาวใหถอยคําในทํานองเดียวกันสอดคลองกันซึ่งอาจมีการซักซอมกันมากอน
เพ่ือชวยเหลือผูฟองคดีท้ังสาม อีกท้ัง พยานท้ังสองยังมีอาชีพรับเหมากอสรางที่มีแรงงานตางดาว
อยูในความควบคุมจึงไมกลาท่ีจะใหการเปนปฏิปกษตอผูฟองคดีทั้งสามซึ่งเปนเจาหนาที่รัฐ
เพราะอาจสงผลกระทบตอการประกอบอาชีพรับเหมากอสรางของตนเอง ดังนั้น เม่ือพิจารณา
พยานหลักฐานของคูกรณีท้ังสองฝายแลว เห็นวา พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนแกขอกลาวหา
ของฝายผูฟองคดีทั้งสามไมเพียงพอที่จะหักลางขอกลาวหาท่ีกลาวหาวา ผูฟองคดีทั้งสามเรียกรับเงิน
จากผปู ระกอบการทีม่ ีแรงงานตา งดาวผิดกฎหมาย เพ่อื แลกกับการปลอยตัวแรงงานตางดาวผิดกฎหมาย
และเพื่อแลกกับการไมจ บั กมุ แรงงานตางดา วผิดกฎหมายได พฤติการณจึงรับฟงไดวา ผูฟองคดีทั้งสาม
กระทาํ การเรยี กรบั ผลประโยชนจากผูป ระกอบการทม่ี แี รงงานตา งดาวในเขตพ้ืนท่ีจังหวัดภูเก็ตจริง
การกระทําของผฟู องคดที ้งั สามจงึ เปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติ

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๒๐๒)
หนาที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได และเปนการกระทํา
อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๑) และ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ซง่ึ คณะรฐั มนตรมี มี ตเิ มอ่ื วนั ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๘ วางระดับโทษฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ
ใหมีโทษไลออกจากราชการ ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ โดย อ.ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ
ในการประชุมเมอื่ วนั ท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๕๕ ท่ีมีมติยกอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสามพรอมทั้งใหเพ่ิมโทษ
จากลงโทษปลดออกจากราชการเปน ลงโทษไลอ อกจากราชการ และการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่ง
ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จากลงโทษปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลผูฟองคดีทั้งสาม
ออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณดังกลาว จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว
และผลจากคําสั่งเพิ่มโทษผูฟองคดีทั้งสามดังกลาวยอมมีผลทําใหคําสั่งผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีทั้งสามออกจากราชการเปนอันพับไปตามขอ ๓
ของกฎ ก.ตร. วา ดวยหลกั เกณฑแ ละวธิ กี ารดาํ เนินการใหผถู กู ลงโทษตามคําสั่งเดิมรบั โทษท่ีเพิ่มขึ้น
หรอื กลบั คนื สฐู านเดิม พ.ศ. ๒๕๔๗ และโดยท่ีพฤติการณของผูฟองคดีทั้งสามกับพวกตามรายงาน
การตรวจสอบขอเท็จจริงเปนกรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงมีอํานาจแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีทั้งสามกับพวกไดโดยไมจําตอง
สืบสวนขอเท็จจริง ตามมาตรา ๘๔ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับ
ขอ ๒ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง พ.ศ. ๒๕๔๗ สวนการดําเนินการตรวจสอบขอเท็จจริง
ของพลตํารวจตรี ส. เปน เพียงข้นั ตอนเพื่อใหไดมาซ่ึงขอมูลเพื่อประกอบการพิจารณาเบื้องตนของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และไมมีกฎหมายกําหนดใหการดําเนินการดังกลาวตองแจงเรื่องที่ถูกกลาวหา
ใหผูฟองคดีท้ังสามทราบและตองใหผูฟองคดีทั้งสามช้ีแจงแตประการใด ดวยเหตุผลท่ีวินิจฉัย
มาแลวขางตน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ โดย อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณในการประชุมเม่ือวันที่
๑๙ มกราคม ๒๕๕๕ มีมตยิ กอทุ ธรณของผฟู องคดที ง้ั สามพรอ มทงั้ ใหเ พิ่มโทษจากลงโทษปลดออก
จากราชการเปนลงโทษไลออกจากราชการ และการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
จากลงโทษปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลผูฟองคดีท้ังสามออกจากราชการตามมติ อ.ก.ตร.
เก่ียวกับการอุทธรณดังกลาว จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษา
ยกฟอง นั้น ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพอ งดวย

พิพากษายนื

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๑๙๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู

(หนวยปฏิบัติการพิเศษ) กองกํากับการสืบสวนตํารวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ปฏิบัติหนาที่ประจํา
หมวดปฏบิ ตั กิ ารพเิ ศษเฉพาะกจิ ตาํ รวจภธู รจงั หวัดนราธิวาส ที่ ๒๑ (รือเสาะ) ผูฟองคดีไดรับความ
เดือดรอนเสียหายกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
กลา วคอื มกี ารเรียกตัวผฟู อ งคดมี าสอบถามและทําการตรวจปสสาวะในเบ้อื งตน เพ่ือหาสารเสพติด

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version