(๑๕๓)
ศาลจังหวัดรอยเอ็ดไดมีคําพิพากษาวาผูฟองคดีกระทําผิดจริง ศาลอุทธรณและศาลฎีกา
พิพากษายืนตามศาลช้ันตน แตเมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดีมีพฤติการณกระทําผิดถึงขนาดปลุกปล้ํา
ขมขืนกระทําชําเราผูรองเรียน ความรายแรงแหงกรณีจึงยังไมถึงขนาดตองถูกลงโทษไลออก
จากราชการ จึงมีมติลดโทษเปนปลดออกจากราชการ อันเปนกรณีที่ อ.ก.พ. วิสามัญเก่ียวกับ
การอุทธรณและการรองทุกข ทําการแทน ก.พ. ไดพิจารณาพฤติการณการกระทําของผูฟองคดี
ตามที่ปรากฏในสํานวนการสอบสวนทางวินัยประกอบดวยแลว หาไดอาศัยเพียงผลคําพิพากษา
คดีอาญาเพื่อลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดีแตอยางใดไม ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยอธิบดี
กรมท่ดี ินมคี าํ ส่ังลงวันท่ี ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ แกไขเพิ่มเตมิ โดยคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓
ใหลดโทษผูฟองคดีจากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ จึงเหมาะสมกับ
กรณีแหงความผิด ตามนัยมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และ
เปน การกระทําที่ชอบดวยกฎหมายแลว ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดวย
พพิ ากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๑๗๕/๒๕๖๓ (ประชุมใหญ)
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงนายชางรังวัด ๖ ทําหนาที่หัวหนา
ฝายรังวัด สํานักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ถูกผูถูกฟองคดีที่ ๒ (อธิบดีกรมที่ดิน)
มีคําสั่งลงวันท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ลงโทษไลออกจากราชการ ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
และฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยา งรายแรงโดยมีผลต้ังแตวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ ซึ่งเปนวันที่ผูฟองคดีเกษียณอายุราชการ
ตามมติของ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย สืบเนื่องจากการชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ซ่ึงผูฟองคดีเห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เลือกปฏิบตั ิโดยไมเ ปน ธรรมเกย่ี วกบั การกลา วหาและชีม้ ูลความผิด รวมทั้งกระทาํ การโดยไมชอบเก่ยี วกบั
การพิจารณาตรวจสอบเรื่องราว และคณะอนุกรรมการไตสวนของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดแจงขอกลาวหา
ในกรณีออกโฉนดทับท่ีสงวนหวงหาม “ที่เทขยะมูลฝอย” ใหผูฟองคดีทราบ ทําใหผูฟองคดีไมมีโอกาส
ชแ้ี จงขอ กลา วหาในเร่อื งนี้ อนั เปนกระบวนการสอบสวนท่ีไมชอบ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มิไดนํากฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมท้ังขอเท็จจริง พยานหลักฐาน และสํานวน
การสอบสวนของทางราชการ ตลอดจนการใหถอยคําของพยานบุคคลซึ่งเปนขาราชการระดับสูง
ทเ่ี ปนประโยชนห รอื มีนํ้าหนักหักลางขอกลาวหามาประกอบการพิจารณา ผูฟองคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ
คําสั่งลงโทษตอประธาน ก.พ. จากนั้นสํานักงาน ก.พ. ไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๒ แจงวา
รองนายกรัฐมนตรีส่ังและปฏิบัติราชการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (นายกรัฐมนตรี) พิจารณาแลวมีคําส่ัง
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดี เพิกถอนคําสั่งผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันที่
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๕๔)
๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ สั่งใหผูฟองคดี
กลับเขารับราชการตั้งแตวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ พรอมท้ังคืนเงินบํานาญตามสิทธิใหแกผูฟองคดีตั้งแต
วันท่ี ๑ กันยายน ๒๕๕๐ ในอัตราเดือนละ ๑๙,๕๘๕.๘๐ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗ ตอป
จนถึงวันฟองคดี เปนเงิน ๔๔๐,๐๙๒.๙๘ บาท เห็นวา เมื่อพิจารณามาตรา ๓๐๑ (๓) รัฐธรรมนูญ
แหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซ่ึงใชบังคับในขณะเกิดเหตุ ประกอบ พ.ร.ป. วาดวย
การปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑)
และมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง เห็นไดวา ขอกลาวหาท่ีอยูในอํานาจไตสวนและพิจารณาของ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาที่เก่ียวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่
กระทาํ ความผิดตอตําแหนง หนา ทรี่ าชการ หรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรมเทาน้ัน
ซ่ึงความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม นั้น
เปนมูลความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ ถือเปนมูลความผิดทางวินัย
นอกจากสามกรณีดังกลาวแลว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไมมีอํานาจในการไตสวนขอเท็จจริง
เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดไตสวนขอเท็จจริงและมีมติวาการกระทํา
ของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ และฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๘๒ วรรคสาม มาตรา ๘๕ วรรคสอง
จึงเปนกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ตามมาตรา ๑๙ (๓) แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
เม่ือประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดสงรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและเอกสารประกอบ
พรอมทั้งความเห็นไปยังผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี เพ่ือพิจารณา
โทษทางวินัยแกผูฟองคดีในความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ ตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว สวนความผิดฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง น้ัน เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ไมมีอํานาจหนาที่ในการไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานดังกลาว
การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐาน
ดังกลาว จึงเปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจตามกฎหมาย กรณีจึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่จะถือเอา
รายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาเปนสํานวนการสอบสวน
ทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือน
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการในความผิดทางวินัยฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง โดยมิไดมีการแตงตั้ง
คณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดีและมิไดแจงขอกลาวหาดังกลาวใหผูฟองคดีทราบ
เพื่อใหผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงชี้แจงแสดงพยานหลักฐานและนําสืบแกขอกลาวหา คําส่ังลงโทษ
ไลผ ฟู อ งคดีออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลา วซึง่ เปนคาํ สง่ั ทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ.
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๕๕)
วิธปี ฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงไมช อบดว ยกฎหมาย เนื่องจากมไิ ดดําเนินการตามข้ันตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญในการลงโทษทางวินัยอยางรายแรงแกขาราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๐๒ ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
ซ่งึ ใชบงั คับในขณะเกิดเหตุ เมือ่ คดนี ผี้ ูฟอ งคดถี กู กลาวหาวา กระทาํ ความผดิ วนิ ัยอยา งรา ยแรงฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ เนื่องจากเมื่อครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงนายชางรังวัด ๖ ทําหนาท่ีหัวหนาฝายรังวัด
สํานักงานท่ีดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี มีหนาที่ในการตรวจสอบพิจารณาเรื่องรังวัด
ทุกประเภทวาถูกตองตามหลักวิชาการแผนท่ีหรือไม ควบคุม กํากับดูแล ตรวจสอบกลั่นกรอง
งานดานการรังวัดและทําแผนท่ีไตสวนกรรมสิทธ์ิเพ่ือออกโฉนดท่ีดินพรอมเสนอความเห็นตอ
เจาพนักงานท่ีดินเพ่ือใหการออกโฉนดเปนไปตามระเบียบและกฎหมาย โดยท่ีกรณีพิพาท
เปนเร่ืองเก่ียวกับการออกโฉนดท่ีดินเฉพาะรายโดยมีหลักฐานการครอบครองตามมาตรา ๕๙
แหงประมวลกฎหมายท่ีดิน ซึ่งขอเท็จจริงรับฟงไดวา กรณีบริษัท ป. นําหลักฐาน ส.ค.๑ และ น.ส.๓
ตําบลคลองดาน อําเภอบางบอ จังหวัดสมุทรปราการ มาขอออกโฉนด ซ่ึงผูฟองคดีมีหนาท่ี
ตรวจสอบสิทธิครอบครองและการทําประโยชนในท่ีดิน รวมท้ังเปนที่ดินที่พึงออกโฉนดที่ดิน
ไดตามกฎหมายหรือไม ท้ังน้ี ตามขอ ๘ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๙๗) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ใหใชประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ อันเปนกฎหมายซ่ึงมีผลใชบังคับขณะนั้น
ผูฟองคดียอมตองมีความรูในระเบียบและกฎหมายเปนอยางดี หากผูฟองคดีไดตรวจสอบ
หรือพิจารณากล่ันกรองเอกสารหรือหลักฐานประกอบเร่ืองการรังวัดออกโฉนดที่ดิน ผูฟองคดี
ยอมจะทราบไดวาการท่ีระบุไวดานหลัง ส.ค.๑ วาเปนที่เทขยะ น้ัน หลักฐาน ส.ค.๑ ดังกลาว
เปนหลักฐานท่ีผูแจงการครอบครองไดแจงโดยมิชอบ เพราะแจงในท่ีสงวนและหวงหาม การแจง ส.ค.๑
จึงไมกอใหเกิดสิทธิแกผูแจง ทั้งนี้ ตามมาตรา ๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ใหใชประมวลกฎหมายท่ีดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ ผูแจงจึงไมใชผูมีสิทธิครอบครองท่ีดินตามมาตรา ๕๙ แหงประมวลกฎหมายท่ีดิน
นอกจากนี้ ไดมีการนําหลักฐานที่ดินแปลงอ่ืนมาขอออกโฉนดที่ดิน รวมทั้งมีการออกโฉนดท่ีดิน
ทับท่ีดินที่ไมมีหลักฐานเดิมรวมเขาไปดวย ซึ่งเปนหนาที่ของผูฟองคดีท่ีจะตองพิจารณาเก่ียวกับ
หลักฐานท่ีนํามาขอออกโฉนดท่ีดิน และตรวจสอบใหชัดเจนกอนเสนอเร่ืองตอเจาพนักงานท่ีดิน
อันเปนการตรวจพิจารณาตามปกติของผูดํารงตําแหนงเชนนั้นตองพึงกระทํา ซ่ึงหลักฐานดังกลาว
ปรากฏชัดเจนแกผูฟองคดีแลว โดยที่ผูฟองคดีไมจําเปนตองออกไปตรวจสอบสภาพท่ีดินอีก
ผูฟองคดียอมทราบวาหลักฐานท่ีนํามาขอออกโฉนดที่ดินดังกลาวขัดตอกฎหมาย และไมสามารถ
ออกโฉนดที่ดินได การท่ีผูฟองคดีไดเสนอเร่ืองตอเจาพนักงานท่ีดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี
ตอไป จนกระทั่งมีการออกโฉนดท่ีดินใหแกผูขอ พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดี
แสดงถึงความจงใจหรือประมาทเลินเลออยางรายแรง ถือเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ
นอกจากน้ี การออกโฉนดท่ีดินเฉพาะรายกรณีนี้ ยังเปนการออกโฉนดท่ีดินทับคลองสาธารณประโยชน
และท่ีดินซ่ึงเปนท่ีหวงหาม (ที่เทขยะ) ซ่ึงตองหามตามมาตรา ๕๙ แหงประมวลกฎหมายท่ีดิน
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๕๖)
และขอ ๘ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความใน พ.ร.บ. ใหใชประมวลกฎหมาย
ที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ อันเปนกฎหมายท่ีมีผลใชบังคับอยูในขณะน้ัน พฤติการณและการกระทํา
ของผูฟองคดีจึงเขาองคประกอบของความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเปนกฎหมายที่ใชบังคับอยูขณะ
กระทําความผิด อยางไรก็ตาม การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติวาการกระทําของผูฟองคดี
มีมูลความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ
เพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการ และฐานปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
อยางรายแรง และไดสงรายงานเอกสารพรอมท้ังความเห็นมายังผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เพื่อพิจารณา
โทษทางวินยั ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติโดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก
และในการพิจารณาโทษทางวินัยใหถือวารายงานเอกสารและความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ทั้งนี้ ตามมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป.
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดรับหนังสือ
จากผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไวพิจารณา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาที่มีอํานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา ๕๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงสงเรื่องให อ.ก.พ.
กระทรวงมหาดไทยพิจารณา โดย อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย มีมติเห็นชอบในการประชุมวันท่ี ๒๖
กรกฎาคม ๒๕๕๐ ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
จึงอาศัยอํานาจตามความใน ๙๒ และมาตรา ๙๓ แหงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาว
ประกอบมาตรา ๑๐๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีคําสั่งลงวันท่ี
๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แมคดีนี้
จะปรากฏขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดช้ีมูลความผิดทางวินัยของผูฟองคดีฐานปฏิบัติ
หนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกร าชการอยา งรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซ่ึงไดวินิจฉัยไวแลววา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมมีอํานาจหนาท่ีในการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิด
ทางวินัยผูฟองคดีในฐานดังกลาว แตเมื่อไดวินิจฉัยไวแลวเชนกันวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ วินิจฉัยวา
พฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดีถือวามีมูลความผิด โดยถือเปนการปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริต
ตอหนาที่ราชการ อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ชอบดวยกฎหมาย การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ชี้มูลความผิดฐานอ่ืนมาดวย
จึงไมมีผลเปลี่ยนแปลงมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ชี้มูลความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการอันเปน
ความผิดวินัยอยางรายแรงแตอยางใดไม ดังน้ัน คําส่ังของผูถูกฟองคดีลงวันท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐
จงึ ชอบดว ยกฎหมาย นอกจากน้ี กรณีของผูฟอ งคดี แมจะพนจากการเปนเจาหนาท่ีของรัฐไปแลวตั้งแต
วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ ก็ตาม แตการดําเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ป. ที่ไดรับไวพิจารณา
ยังไมแลวเสร็จก็ไดโอนมาเปนอํานาจหนาที่ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ กอนพนกําหนดหนึ่งปนับแตวันที่
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๕๗)
ผูฟองคดีพนจากการเปนเจาหนาท่ีของรัฐ กรณีจึงไมเขาเง่ือนไขเรื่องระยะเวลาตามมาตรา ๒๑ จัตวา
แหง พ.ร.บ. ปองกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. ๒๕๑๘
แกไ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐ แตอ ยา งใด เม่ือขอเท็จจริงรับฟงเปนท่ียุติแลววา กรณีของ
ผูฟองคดีแมจะเปนเพียงขอกลาวหาตามที่หนังสือพิมพผูจัดการลงขาวก็ตาม แตสํานักงาน ป.ป.ป.
ก็ไดรับเรื่องรองเรียนกลาวหาผูฟองคดีกับพวกไวเม่ือวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๒ กอนท่ีผูฟองคดี
จะพน จากราชการเน่ืองจากเกษยี ณอายุตั้งแตว นั ที่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๔๒ ดงั นัน้ เมอื่ ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีมติวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง และแจงใหผูบังคับบัญชาพิจารณาโทษตามมติดังกลาว
กรณีจึงเขาหลักเกณฑตามมาตรา ๑๐๖ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ แลว
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จงึ มีอํานาจไตสวนช้มี ลู ความผดิ และเสนอความเห็นใหผ ูถกู ฟอ งคดที ่ี ๒ พิจารณาลงโทษ
ผูฟองคดีได สวนในเร่ืองการแจงขอกลาวหาใหผูถูกกลาวหาทราบนั้น เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา
แมคณะอนุกรรมการไตสวนของผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะมิไดแจงใหผูฟองคดีทราบวาการออกโฉนดที่ดิน
เปนการออกทับพื้นท่ีหวงหามอันเปนที่เทขยะมูลฝอยก็ตาม แตการแจงขอกลาวหาดังกลาว
ถือไดวาเปนการแจงถึงพฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดีซึ่งเพียงพอที่ผูฟองคดีจะชี้แจง
แกขอกลาวหาไดวาการพิจารณาตรวจสอบเรื่องราวและรายงานการรังวัด ตลอดจนความเห็น
ของผูใตบังคับบัญชาตามสายงานเสนอเจาพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี
ในการออกโฉนดท่ีดินดังกลาว ผูฟองคดีไดดําเนินการไปโดยถูกตองตามข้ันตอนและวิธีการตามที่
กฎหมายกําหนดไวหรือไม อยางไร ดังน้ัน การแจงขอกลาวหาของคณะอนุกรรมการไตสวน
ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงชอบดวยกฎหมาย เมื่อไดวินิจฉัยแลววา การมีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการตามการช้ีมูลความผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมาย
ดังนั้น เม่ือคําส่ังลงโทษดังกลาวชอบดวยกฎหมายจึงไมเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดีแตอยางใด
ซ่ึงผูฟองคดีถูกลงโทษไลออกจากราชการยอนหลังไปถึงวันที่เกษียณอายุราชการ จึงไมมีสิทธิไดรับ
บําเหน็จบํานาญตามกฎหมาย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนในสวนที่เปน
ดอกเบี้ยของเงินบํานาญที่ไมมีสิทธิไดรับใหแกผูฟองคดี ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง
และใหคืนคาธรรมเนียมศาลในสวนทุนทรัพยท่ีเกินกวาสวนท่ีเปนดอกเบี้ยใหแกผูฟองคดี นั้น
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดว ย
พิพากษายนื
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๒๐๗/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟอ งวา เดิมผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาหนาท่ีบริหารงานที่ราชพัสดุ
ระดับ ๘ สวนจดั การท่รี าชการพัสดุ ๒ สํานักบริหารท่ีราชพัสดุ ๒ กรมธนารักษ กระทรวงการคลัง
ถกู ลงโทษไลออกจากราชการ ฐานทุจรติ ตอ หนาที่ราชการและประพฤติช่ัวอยางรายแรง ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ กรณีถูกกลาวหาวาเม่ือครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาท่ี
จัดผลประโยชน ๗ สํานักงานธนารักษพ้นื ที่ตราด ไดเรยี กรับเงนิ จากนางสาว ฐ. ผูเชาที่ดินราชพัสดุ
เพ่ือเปนคาใชจายลวงหนาตอบแทนในการทําสัญญาเชาท่ีราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียน
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๕๘)
ที่ ตร. ๒๕๘ ตร. ๒๕๙ และ ตร. ๒๖๐ ตําบลไมรูด อําเภอคลองใหญ จังหวัดตราด ผูฟองคดี
จึงอุทธรณคําสั่งตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการพลเรือน) โดยเห็นวา
การดําเนินการทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนไมแจงสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอกลาวหาที่ไดจากการสอบสวนเพิ่มเติมใหผูฟองคดีทราบ รายงานการสอบสวนไมปรากฏ
การวินิจฉัยเปรียบเทียบพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหากับพยานหลักฐานที่หักลาง
ขอกลาวหา และมีลักษณะปกปดขอเท็จจริงนําขอความอันเปนเท็จมาบิดเบือนแลวเสนอตอ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (อธิบดีกรมธนารักษ) จนเปนสาเหตุใหมีการลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
นอกจากน้ี ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒ ซึ่งมีหนาที่ตองใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการเรื่องน้ี
ใหถูกตองโดยเร็ว ตามขอ ๓๖ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ วาดวยการสอบสวนพิจารณา แตกลับไมดําเนินการ
คําสั่งลงโทษผูฟองคดีจึงไมชอบดวยกฎหมาย ตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (นายกรัฐมนตรี) ไดพิจารณา
แลวมีคําสั่งใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอน
คําส่ังลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูฟองคดี
กลับเขารบั ราชการมีผลยอ นหลงั ไปถงึ วันที่ถูกไลออกจากราชการ ภายใน ๓๐ วัน โดยไดรับเงินเดือน
เงินสวัสดิการตาง ๆ ที่พึงจะไดรับในขณะท่ีถูกไลออกจากราชการ ตลอดจนเงินสวนแบง
สวนลดเบ้ยี ประกนั ภัยอาคารราชพสั ดุ และเงินอ่นื ใดทจี่ ะพงึ ไดจ ากการปฏบิ ัตริ าชการมีผลยอนหลัง
ไปถึงวันที่ถูกไลออกจากราชการ เพิกถอนมติ อ.ก.พ. กระทรวงการคลัง ที่มีมติไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีมีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี เพิกถอนคําส่ัง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ท่ียกอุทธรณของผูฟองคดี และใหกรมธนารักษถอนฟองการดําเนินคดีอาญา
ผูฟองคดี เห็นวา คณะกรรมการสอบสวนไดแจงบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหา
(แบบ สว.๒) ลงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๗ และสรุปพยานหลักฐาน (แบบ สว.๓) ท่ีสนับสนุน
ขอกลาวหาแกผูฟองคดีลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗ โดยแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ท่ีสนับสนุนขอกลาวหาวา เมื่อคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาหนาที่จัดหาผลประโยชน ๗
สํานักงานธนารักษพ้ืนท่ีตราด ผูฟองคดีเรียกรับผลประโยชนจากนางสาว ฐ. ผูเชาที่ดินราชพัสดุ
เน้ือท่ี ๒๐ ไร ๒๙ ตารางวา ในการทําสัญญาเชาที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน
ท่ี ตร. ๒๕๘ ตร. ๒๕๙ และ ตร. ๒๖๐ ตําบลไมรูด อําเภอคลองใหญ จังหวัดตราด โดยมี
พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา คือ นางสาว ฐ. เปนพยานยืนยันการเรียกรับเงิน ๒ คร้ัง
คร้ังท่ี ๑ ผูฟองคดีเรียกรับเงินจํานวน ๕๐,๐๐๐ บาท แตนางสาว ฐ. จายเปนเงินสด
เพียง ๓๐,๐๐๐ บาท เพ่ือนําเงินไปซ้ือเหรียญที่กรมธนารักษจัดทําใหผูวาราชการจังหวัด ครั้งท่ี ๒
เม่ือวันท่ี ๑ ถึงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ผูฟองคดีติดตอใหนางสาว ฐ. นําเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท
มาใหในวันทําสัญญา เพราะบุคคลอ่ืนไดจายหมดแลว เหลือแตนางสาว ฐ. ถาไมจายก็ไมได
สัญญาเชา ในวันทําสัญญาเชาวันท่ี ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๖ นางสาว ฐ. ไดโอนเงินโดยใชใบนําฝาก
ที่นางสาว อ. เปนผูกรอกเลขที่บัญชีให โอนเงินจํานวน ๕๐,๐๐๐ บาท เขาบัญชีเงินฝากผูฟองคดี
จากนั้นคณะกรรมการสอบสวนไดสอบพยานบุคคลทั้งท่ีเปนผูเชาที่ราชพัสดุรายอื่นและเจาหนาที่
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๕๙)
ธนารักษพื้นท่ีตราด พรอมท้ังพยานเอกสารที่เกี่ยวของในการจัดทําสัญญาเชารายนางสาว ฐ.
ท้ังกอนและหลังทําสัญญาเชา รวมท้ังเอกสารการโอนเงินฝากเขาบัญชีผูฟองคดีและสมุดบัญชี
ของผูฟองคดีที่พบรายการโอนเงินฝากเขาจริง ตามที่นางสาว ฐ. กลาวอาง และฟงวาพฤติการณ
ดังกลาวของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ และ
การกระทําอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ และมาตรา ๙๘ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และผูฟองคดีรับทราบ สว.๓ ในวันเดียวกัน
และไดทําบนั ทึกคาํ ชี้แจงแกข อกลา วหาลงวนั ท่ี ๒๔ กมุ ภาพันธ ๒๕๔๘ ปฏิเสธการเรียกรับเงินจาก
นางสาว ฐ. จากการใหเชาที่ราชพัสดุ ซ่ึงตามกฎ กพ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ขอ ๑๕ วรรคหนึ่ง
กําหนดใหคณะกรรมการสอบสวนสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาเทาท่ีมีใหทราบวัน
เวลา สถานที่ และการกระทาํ ท่มี ีลักษณะเปนการสนับสนุนขอกลา วหา สําหรับพยานบุคคลจะระบุ
หรือไมระบุช่ือพยานก็ได เมื่อพิจารณารายละเอียดบันทึกการแจงสรุปขอกลาวหาและ
สรุปพยานหลักฐานตามแบบ สว.๓ ของคณะกรรมการสอบสวนแกผูฟองคดีแลว จะเห็นไดวา
เปนขอเท็จจริงท่ีเพียงพอจะทําใหผูฟองคดีเขาใจไดวาถูกกลาวหาวาไดกระทําความผิดอยางไร
ซง่ึ ผูฟองคดีไดชีแ้ จงตอ สตู ามหนังสือลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ โดยละเอียดไมหลงขอตอสูวา
ไมเคยเรียกรับเงินจากผูรองเรียน จึงเห็นไดวา ผูฟองคดีเขาใจขอกลาวหาและไมไดหลงขอตอสู
แมไมไดแจงช่ือวามีผูใดเปนพยานบาง แตการระบุช่ือนางสาว ฐ. ผูเสียหายและอางเอกสาร
การจัดทําสัญญาเชาและใบฝากเงิน รวมท้ังบัญชีเงินฝากผูฟองคดี เมื่อผูฟองคดีเขาใจขอกลาวหา
และไมไดหลงขอตอสู การแจงสรุปขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา
ตามแบบ สว. ๓ ของคณะกรรมการสอบสวนจึงเปนกรณีท่ีไดแจงใหผูฟองคดีทราบขอเท็จจริง
อยางเพียงพอในการที่จะใชสิทธิในการโตแยงปองกันสิทธิของตน และเปนการดําเนินการ
ท่ีชอบดวยกฎหมายแลว ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งในกรณีท่ีผูฟองคดีกระทําทุจริตในหนาที่ราชการเรียกรับเงินจาก
นางสาว ฐ. เพ่ือใหสิทธิการเชาที่ราชพัสดุ นั้น คณะกรรมการสอบสวนไดสอบปากคําพยานบุคคล
ประกอบดวยนางสาว ฐ. ผูขอเชาที่ราชพัสดุในคดีนี้ และเปนผูรองเรียนผูฟองคดีกรณีเรียกรับเงิน
ผลประโยชนเพ่ือใหสิทธิการเปนท่ีราชพัสดุ เนื้อที่ ๒๐ ไรเศษ พยานที่เปนเจาหนาที่ธนารักษ
พ้ืนท่ตี ราด ประกอบดว ยนาย ส. ชางรังวัดท่รี าชพสั ดุที่พพิ าทในคดีนี้ นางสาว อ. เจาหนาที่การเงิน
พยานท่ีเปนผูบุกรุกท่ีราชพัสดุและไดยินยอมขอเชา และผูฟองคดีซึ่งเปนผูถูกกลาวหา
โดยเมื่อพิจารณาจากคําพยานบุคคลประกอบพยานเอกสารในสํานวนที่คณะกรรมการสอบสวน
รายงานแลว ปรากฏวามีการฝากเงินเขาบัญชีธนาคาร ก. ของผูฟองคดีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๖
โดยนางสาว ฐ. เปนผูนําฝากจริง และผูฟองคดียอมรับวาเปนสมุดบัญชีเงินฝากของผูฟองคดี
โดยมีรายการเงินฝากเขา วันท่ี ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๖ มกี ารฝากเงินจํานวน ๕๐,๐๐๐ บาท จริง และ
ในวันอื่นๆ ไมมีเงินฝากเขาบัญชี แตมีการถอนเงินวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ไป ๑๕๐,๐๐๐ บาท
โดยมีขอพิรุธเพียงวา ผูฟองคดีไมตรวจสอบวาเปนเงินที่มีที่มาอยางไร เมื่อพิจารณากรณีที่ดิน
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๐)
ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ตร. ๒๕๘ ตร. ๒๕๙ และ ตร. ๒๖๐ เนื้อท่ีประมาณ ๑๕๐ ไร
กองบัญชาการทหารสูงสุดเคยขอใชประโยชน ตอมาไดมีหนังสือแจงคืนท่ีดินดังกลาว นาย ว.
ธนารักษจังหวัดตราดขณะน้ัน และผูฟองคดียอมรับรูรับทราบวาท่ีดินท่ีเหลือจากการที่
หนว ยราชการอน่ื เขาใชท ่ีดนิ แปลงดงั กลาวคงเหลอื ประมาณ ๘๐ ไร และเมื่อมีการรังวัดออก นสล.
ในป พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยกรมท่ีดินเปนหนวยงานดําเนินการยอมเปนที่ประจักษชัดวาในป พ.ศ. ๒๕๔๕
ไมมีผูบุกรุกหรือโตแยงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกลาว การที่มีผูกลาวอางวาเปนผูบุกรุกเพ่ือใหเกิดสิทธิ
ในการขอเชาท่ีราชพัสดุตามเน้ือท่ีที่อางวาบุกรุก ซ่ึงไมอาจอางไดหากเจาหนาท่ีของรัฐไมรูเห็นเปนใจ
ดวยมูลเหตุจูงใจในเรื่องการท่ีผูจะขอเชาไมอาจอางเหตุขอเชาไดอยางถูกตอง แตหากจะทําใหถูกตอง
จึงตองติดตอกับผูฟองคดีในฐานะเจาหนาท่ีฝายจัดหาผลประโยชน และพบขอพิรุธตางๆ ในการที่
ผูฟองคดีสอบสวนสิทธิของนางสาว ฐ. ในเร่ืองการไดมาของที่ดินท่ีขอเชาขัดแยงกับนาย ส. ท่ีอางวา
ไมไดขายท่ีแกนางสาว ฐ. ดังท่ีนางสาว ฐ. ใหถอยคํา แตนางสาว ฐ. ทั้งนาย ป. และนางสาว ร.
ก็ไมเ คยใหถอ ยคาํ ตอ ผฟู อ งคดี แตผฟู องคดีจัดใหม กี ารลงชื่อในบันทึกการสอบปากคําฉบับเดียวกับ
นางสาว ฐ. กรณีจึงนาเช่ือวาผูฟองคดีเปนผูกระทําการทุจริตในหนาท่ีราชการเรียกรับเงินจาก
นางสาว ฐ. เพ่ือใหสิทธิการเชาท่ีราชพัสดุในคดีพิพาท อันทําใหเกิดความเสียหายอยางรายแรง
ตอภาพลักษณและความนาเช่ือถือของทางราชการ ท้ังยังปรากฏวานอกจากการดําเนินคดีวินัย
กับผูฟองคดีแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ยังดําเนินการรองทุกขกลาวโทษทางอาญากับผูฟองคดี
ในฐานะเจาพนักงานเรียกรับผลประโยชนและดําเนินคดีอาญากับนางสาว ฐ. ในฐานะผูใหสินบน
เจาพนักงานอีกดวย สวนกรณีที่ผูฟองคดีจัดใหบุคคลเชาท่ีราชพัสดุท้ังที่มิใชผูบุกรุกท่ีแทจริง
หรือไมไดเขาทําประโยชนตามที่กลาวอางจริง ซ่ึงทําใหราชการเสียประโยชนในรูปตัวเงิน
และทรัพยส นิ ทจ่ี ะไดจ ากการจดั หาประโยชนใ นทีด่ ินแปลงดังกลาว น้ัน เมื่อพิเคราะหแบบรายงาน
ตรวจสอบที่ราชพัสดุของผูย่ืนคํารองรายนางสาว ฐ. กับผูมีช่ืออีกรวม ๙ คน ปรากฏขอเท็จจริงวา
ท่ีราชพัสดุซ่ึงอยูในความดูแลของกรมธนารักษที่ใหเชาดานตะวันออกติดทางสาธารณะ
ดานทิศตะวันตกติดทะเล ที่ดินดังกลาวยอมมีศักยภาพสูงในการหาผลประโยชน ผูฟองคดี
ซ่ึงเปนเจาหนาที่ของกรมธนารักษหนวยงานทางปกครองผูดูแลที่ราชพัสดุควรท่ีจะทําการ
ตรวจสอบใหไดความวา ผูท่ีขอเชาเปนผูที่อยูในหลักเกณฑท่ีทางราชการกําหนดมิใชเพียงให
ผูแอบอางวาเปนผูบุกรุกไดสิทธิการเชาและเรียกคาเชาตอป สําหรับนางสาว ฐ. เชา ๒๐ ไรเศษ
คาเชาเพียงไรละ ๑๔,๐๕๑ บาทเศษ ตอป จึงเห็นวา การเสนอใหนางสาว ฐ. กับผูมีชื่ออีก ๘ คน
เชาเพ่ือทําการเกษตรยอมไมคุมคากับการจัดหาประโยชนตามระเบียบกระทรวงการคลัง วาดวย
การจัดหาประโยชนในที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๒๗ อันทําใหราชการเสียประโยชน จากพฤติการณ
ดงั กลา วเห็นไดวา การกระทาํ ของผูฟองคดจี งึ เปน การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเอง
หรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และการกระทําดังกลาว
อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนการกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒
วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังน้ัน
การที่ผูถ ูกฟอ งคดที ่ี ๑ มคี ําส่ังลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๑)
ตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงการคลังในคราวประชุมเม่ือวันท่ี ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๙ และผูถูกฟองคดีท่ี ๓
พิจารณาส่ังการใหยกอุทธรณตามมติของผถู ูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเปน การใชดุลพนิ ิจในการรับฟงขอเท็จจริง
ขอกฎหมายโดยชอบ และเปนการวินิจฉัยและกําหนดโทษตามระดับโทษที่เหมาะสมและ
ชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๑๐๔ แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว ท่ีศาลปกครองช้ันตน
พิพากษายกฟอง นน้ั ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดว ยในผล
พิพากษายืน
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๔๖๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงนักวิชาการ
แรงงาน ๖ว สังกัดกองพัฒนาระบบบริการจัดหางาน ปฏิบัติราชการสํานักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ ๑
ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง มูลกรณีเกิดเม่ือคร้ังผูฟองคดีไดรับมอบหมายใหไป
ตรวจสอบการทํางานของคนตางดาว โดยไดเขาตรวจสอบสถานประกอบการของคนตางดาว
ช่ือนาย อ. กรรมการผูจัดการบริษัท ส. นักธุรกิจสัญชาติอินเดีย ซึ่งตามใบอนุญาตทํางานระบุวา
ประกอบกิจการผลิตส่ิงทอ ตั้งอยูเลขที่๔๕/๔๖ หมู ๙ ถนนประชารวมใจ แขวงทรายกองดินใต
เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเม่ือผูฟองคดีไดไปตรวจสอบแลวไมพบการทํางาน ณ สถานท่ี
ตามท่ีระบุในใบอนุญาตทํางาน และเมื่อตรวจสอบกับสํานักบริการจดทะเบียนธุรกิจ ๓ กระทรวง
พาณิชย แลวปรากฏวาบริษัท ส. เปลี่ยนแปลงสถานที่ต้ังไปยังเลขท่ี ๑๘/๒ ซอยสุขุมวิท ๒๓
แขวงคลองเตยเหนอื เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร และจากการตรวจสอบการทํางาน ณ สถานประกอบการใหม
พบวาบริษัท ส. ประกอบกิจการเปนรานอาหารอินเดียและใหบริการอินเตอรเน็ตซ่ึงไมตรงกับกิจการ
ที่กําหนดไวในใบอนุญาตทํางานและไมไดยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงสถานท่ีทํางานอันเปนการฝาฝน
พระราชบัญญัติการทํางานของคนตางดาว ในการนี้ผูฟองคดีไดเรียกรับเงินจากนาย อ. เพื่อใหตนเอง
ไดรับประโยชนที่มิควรได กรมการจัดหางานจึงแตงตั้งคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดี
ผลการสอบสวนไมไดค วามแนชัดทีจ่ ะลงโทษไลออกหรือปลดออกจากราชการ แตมีมลทินหรือมัวหมอง
ในกรณีทถี่ ูกสอบสวน เนื่องจากเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานท้ังหมดแลวมีเหตุอันควรสงสัยเปนอยางย่ิงวา
ผฟู อ งคดีมีสวนหรือรูเ หน็ กับการเรียกรับเงนิ ดังกลา ว ตอมา ผถู ูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมการจัดหางาน)
โดยมติ อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ใหผูฟองคดีออกจาก
ราชการเพราะเหตุมีมลทินหรือมัวหมอง ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย
จึงมีหนังสือลงวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ รองทุกขตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการ
พลเรือน) แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ มิไดดําเนินการพิจารณาเร่ืองรองทุกขของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายใน
ระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนด จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่ง
ลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ท่ีใหผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
ในตําแหนงเดิม และใหผถู กู ฟองคดีทั้งสองรวมกันหรือแทนกันจายเงินเดือนใหแกผูฟองคดีนับแตวันที่
๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เปนตนไป จนถึงวันที่ศาลมีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ เห็นวา
ในชั้นการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการสอบสวน โดยนาย อ. ไดรองเรียนกลาวหาวา
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๒)
ในวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผูฟองคดีกับพวกเขาตรวจสอบสถานประกอบการท่ีตั้งอยูเลขท่ี ๑๘/๒
ซอยสุขุมวิท ๒๓ นาย อ. ไดติดตอใหนาง ศ. ซึ่งเปนตัวแทนในการขอใบอนุญาตทํางาน มาชวยเจรจา
จากการเจรจา นาง ศ. แจงวาผูฟองคดีและเจาหนาท่ีไดเรียกเงินจากนาย อ. จํานวน ๙๐,๐๐๐ บาท
เปนขอ ตอ รองทีจ่ ะไมต อ งถกู ดาํ เนินคดีตามกฎหมาย เน่ืองจากบริษัทของนาย อ. ไมมีลูกจางเปนคนไทย
และบิดาและมารดาของนาย อ. ไมมีใบอนุญาตทํางานซึ่งเปนความผิดตามกฎหมายคนเขาเมือง นาย อ.
ตกลงจะจายเงินจํานวน ๔๕,๐๐๐ บาท ใหนาง ศ. นําไปจายใหเจาหนาท่ี ตอมา นาง ศ. โทรศัพท
แจงนาย อ. วาเจาหนาที่ไดขอใหนําเงินสวนที่เหลือจํานวน ๔๕,๐๐๐ บาท ไปมอบใหที่หางสรรพสินคา
นาย อ. ไดเบิกเงินสดจากตูเบิกเงินอัตโนมัติ (ATM) ณ หางสรรพสินคาดังกลาว จํานวน ๔๕,๐๐๐ บาท
และนําไปมอบใหแกผูฟองคดีที่บริเวณลานจอดรถของหางสรรพสินคา โดยปรากฏหลักฐานจากสมุด
บัญชีเงินฝากธนาคารธนาคารของนาย อ. วาในดังกลาวไดมีการฝากเงินและถอนเงินตามจํานวนท่ีนาย
อ. กลา วอา งจรงิ ตอมา นาย อ. ไดไปดําเนินการยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงสถานประกอบการ แตปรากฏวา
บริษัทของนาย อ. ถูกขึ้นบัญชีดํา นาย อ. จึงแจงเร่ืองทั้งหมดใหนาย ส. ทราบ และภายหลังจากที่ได
มีการรองเรียนเกิดขึ้น ผูฟองคดีกับบุคคลอ่ืนอีกหลายคนไดมาพบนาย อ. ที่บริษัท น. ซึ่งเปนบริษัท
ของนาย ก. เพื่อขอใหนาย อ. ยุติเร่ืองรองเรียนโดยยินยอมชดใชเงินคืนใหเต็มจํานวน แตนาย อ.
ไมกลารับเงินคืน และทั้งสองฝายไมสามารถตกลงกันไดจึงไมมีการคืนเงินกัน และนาย อ. ถูกขมขู
เพือ่ ใหยุตเิ ร่ืองมาโดยตลอด จนตองขอความชวยเหลือจากสถานทูตอินเดียประจําประเทศไทย นาง ศ.
ใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวนสรุปไดวา ขณะท่ีนาย อ. ไดดําเนินกิจการของบริษัท ส. ซ่ึงต้ังอยู
เลขท่ี ๑๘/๒ ซอยสุขุมวิท ๒๓ นาย อ. ไดโทรศัพทมาแจงวามีเจาหนาท่ีกรมการจัดหางาน
มาตรวจสอบบริษัท โดยขอใหตนมาเปนลามเน่ืองจากนาย อ. ไมสามารถพูดภาษาไทยได ตนจึงไป
ทบ่ี ริษัทของนาย อ. พบวามีเจาหนาที่กรมการจัดหางาน ๒ คน คือ ผูฟองคดีและนาย น. ตนไดแจงให
เจาหนาที่บันทึกถอยคําจากนาย อ. ตามความเปนจริง เมื่อนําบันทึกถอยคํามาตรวจสอบ ปรากฏวา
มีลักษณะที่เปนโทษตอคนตางดาว ตนจึงไดขอรองใหผูฟองคดีชวยเหลือนาย อ. โดยบอกผูฟองคดีวา
หากมีคาใชจายก็จําเปนตองจาย ผูฟองคดีจึงไดเสนอจํานวนเงินที่ตองจาย ตนไดตอรองราคาโดยตกลง
กันวาขอจายเพียงหนึง่ แสนบาท นาย ก. ใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวนสรุปไดวา เม่ือประมาณ
เดือนกันยายน ๒๕๔๗ นาย ก. ไดรับการประสานงานจากสถานทูตอินเดียประจําประเทศไทย วามี
คนอินเดียถูกขาราชการไทยขมขู นาย ก. จึงเดินทางไปยังสถานทูต และไดพบกับนาย อ. และไดทราบ
ขอเท็จจริงวานาย อ. ไดรับอนุญาตทํางานจากกรมการจัดหางานแลวแตถูกผูฟองคดีซ่ึงเปนเจาหนาที่
กรมการจัดหางานเรียกรับเงินจํานวน ๙๐,๐๐๐ บาท และนาย อ. ไดจายเงินจํานวนดังกลาวไปแลว
แตยังถูกขมขูเรื่อยมาทําใหไดรับความเดือดรอน และภายหลังจากที่ไดมีการรองเรียนแลว ผูฟองคดี
พรอมดวยตํารวจตรวจคนเขาเมืองไดเดินทางมาพบนาย ก. ที่บริษัทของนาย ก. เพ่ือขอไกลเกลี่ย
กับนาย อ. โดยผูฟองคดีไดเสนอขอชดใชเงินจํานวน ๙๐,๐๐๐ บาท คืนให เพ่ือขอใหนาย อ. ยุติเร่ือง
แตนาย อ. ไมรับเงินคืน และผูฟองคดีชี้แจงแกขอกลาวหาวา หลังจากที่ผูฟองคดีทราบวา
มีการรองเรยี น ผูฟ องคดีกับรอยตํารวจเอก ส. ตํารวจตรวจคนเขาเมือง ไดไปพบนาย อ. จริง แตไปพบ
เพอื่ จะพดู คยุ สอบถามขอเท็จจรงิ เทา นนั้ มิไดเปน การพูดคุย ขมขู หรือขอยุติเรื่องโดยการคืนเงินตามท่ี
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๓)
ถูกกลาวหา และรอยตํารวจเอก ส. ซ่ึงเปนพยานฝายผูฟองคดี ใหถอยคําวา ตนเองกับผูฟองคดี
ไดเดินทางไปพบนาย อ. ท่ีบริษัทของนาย ก. จริง ซึ่งเปนการไปพบเพ่ือสอบถามถึงเหตุผลที่นาย อ.
รองเรียนผูฟองคดีเทาน้ัน จากขอเท็จจริงท่ีไดจากการสอบสวนจะเห็นไดวา ผูฟองคดีเขาไป
มีสวนเกี่ยวของกับเร่ืองที่กลาวหาในทุกเหตุการณที่นาย อ. ผูรอง กลาวอางประกอบขอรองเรียน
การลําดับเหตุการณสอดคลองตอเน่ืองกันทั้งสถานท่ีและเวลา รวมท้ังพยานฝายผูกลาวหาก็ใหการ
สอดคลองตองกัน อีกทั้งก็ไมปรากฏวา นาย อ. นาง ศ. และนาย ก. มีสาเหตุโกรธเคืองกับผูฟองคดี
มากอ นจนถึงขนาดตองปนแตงเรื่องขึ้นมากลาวโทษผูฟองคดีใหไดรับความเสียหาย ดังนั้น แมจะไมมี
พยานหลักฐานที่ฟงไดอยางชัดเจนวา ผูฟองคดีไดเรียกรับเงินจากคนตางดาวอันเปนความผิดวินัย
อยางรายแรงก็ตาม แตเปนกรณีท่ีมีเหตุอันควรสงสัยอยางยิ่งวาผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงกรณีเรียกรับเงินจากคนตางดาวอันเปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการ
โดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ อันเปนเหตุ
ใหมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน ประกอบกับผูฟองคดีเปนผูดํารงตําแหนงนักวิชาการ
แรงงาน กองตรวจและคุมครองคนหางาน มีอํานาจหนาที่รับผิดชอบในการตรวจสอบการทํางานของ
คนตางดาว เพ่ือใหเปนไปตาม พ.ร.บ. การทํางานของคนตางดาว พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมท้ังรายงาน
ผลการตรวจสอบสถานประกอบการท่ีมีคนตางดาวทํางานพรอมทั้งเสนอความเห็นใหผูบังคับบัญชา
พิจารณาตอไป ซึ่งการปฏิบัติหนาท่ีราชการดังกลาวมีผลตอการพิจารณาดําเนินการตามกฎหมาย
กับคนตางดาวที่เขามาทํางานในประเทศไทย เจาหนาท่ีของรัฐที่ปฏิบัติหนาที่ราชการดังกลาวจึงตอง
มีความซ่ือสัตย สุจริต ในการปฏิบัติหนาที่เปนหลัก ซ่ึงการจะใหผูฟองคดีซึ่งมีมลทินหรือมัวหมอง
ในกรณีท่ีถูกสอบสวนเร่ืองเรียกรับเงินจากคนตางดาว รับราชการตอไปอาจจะทําใหเสียหาย
แกทางราชการได การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ใหผูฟองคดี
ออกจากราชการเพ่ือรับบําเหน็จบํานาญทดแทน เพราะมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน
ตามมาตรา ๑๑๖ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น จึงเปนการกระทําที่ชอบ
ดว ยกฎหมายแลว สวนที่ผูฟอ งคดีอางวา นางสาว ส. ซึ่งเปน อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน ในการพิจารณา
ดําเนินการทางวินัยตอผูฟองคดีเคยเปนประธานสอบสวนวินัยรายแรงผูฟองคดีมาแลว จึงเปน
ผูมีสวนไดเสียและถือเปนกรณีที่นางสาว ส. มีเหตุซึ่งมีสภาพรายแรงอันอาจทําใหการพิจารณา
ทางปกครองไมเปนกลางตามมาตรา ๑๖ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ น้ัน
แมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีของคณะกรรมการสอบสวนกับการพิจารณาของ อ.ก.พ.
กรมการจัดหางาน จะเปนการดําเนินขั้นตอนทางวินัยท่ีแยกสวนออกจากกัน และกฎหมาย
มีเจตนารมณให อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน ใชอํานาจในการตรวจสอบผลการสอบสวนทางวินัยของ
คณะกรรมการสอบสวนก็ตาม แตเหน็ ไดว า การสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีของคณะกรรมการ
สอบสวนกับการพิจารณาของ อ.ก.พ. กรมการจัดหางานดังกลาวยังเปนเพียงการดําเนินข้ันตอน
ทางวินัยหรือเปนการเตรียมการของเจาหนาท่ีกอนจัดใหมีคําส่ังทางปกครองลงโทษผูฟองคดีเทานั้น
ประกอบกับ อ.ก.พ. กรมการจัดหางานท่ีพิจารณาผลการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงกรณีผูฟองคดี
ถูกกลาวหาวากระทําผิดในคดีนี้มีอนุกรรมการท้ังสิ้น ๑๐ คน ประกอบดวยประธาน อ.ก.พ.
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๔)
รองประธาน อ.ก.พ. ผูทรงคุณวุฒิดานการบริหารงานบุคคล ผูทรงคุณวุฒิดานการบริหารและ
การจัดการ ผูทรงคุณวุฒิดานกฎหมาย และอนุกรรมการท่ีเปนขาราชการพลเรือนอีก ๕ คน
โดยนางสาว ส. ดํารงตําแหนงผูเชี่ยวชาญเฉพาะดานสงเสริมการมีงานทํา เปนอนุกรรมการท่ีเปน
ขาราชการพลเรือน ซึ่งการที่นางสาว ส. ไดรับการแตงตั้งใหเปนประธานกรรมการสอบสวนทางวินัย
ผูฟองคดี เปนการไดรับแตงตั้งใหปฏิบัติหนาท่ีนอกเหนือจากหนาที่ราชการตามปกติ ซ่ึงสงผลให
นางสาว ส. มีอํานาจอันเปนอิสระที่จะดําเนินการสอบสวนทางวินัยตามที่ กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ.
๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
กําหนดไว เพ่ือนําเสนอองคกรท่ีทําหนาท่ีบริหารงานบุคคลเพ่ือวินิจฉัยสั่งการตอไป การใชดุลพินิจ
ในฐานะประธานกรรมการสอบสวนทางวินัยเปนการใชดุลพินิจแยกตางหากจากการใชดุลพินิจในฐานะ
อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน และความเห็นของนางสาว ส. ก็เปนเพียงความเห็นเดียวใน อ.ก.พ.
กรมการจัดหางาน ซึ่งมีจํานวน ๑๐ คน และอนุกรรมการแตละคนยอมมีดุลพินิจอันเปนอิสระท่ีจะ
เห็นดวยกับความเห็นของนางสาว ส. หรือไม ดังนั้น การที่นางสาว ส. ไดรับแตงตั้งใหเปนประธาน
กรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี ในขณะที่เปน อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน จึงมิใชกรณีท่ีมีเหตุอ่ืนใด
ซึ่งมีสภาพรายแรงอันอาจทําใหการพิจารณาทางปกครองของ อ.ก.พ. กรมการจัดหางานไมเปนกลาง
ตามมาตรา ๑๖ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่ศาลปกครองชั้นตน
พพิ ากษายกฟอ งนั้น ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดวย
พิพากษายืน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๒๐๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๓๔
วนิ ยั ขา ราชการตาํ รวจ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๓๕๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีรับราชการตํารวจ ตําแหนงพนักงานสอบสวน
(สบ.๑) สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองจันทร จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันท่ี ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๓
สิบตํารวจตรี ฉ. ถูกนาย ว. กับพวก รวมกันทํารายรางกาย นาย ว. กับพวกจึงถูกจับกุมในขอหา
รวมกันทํารายรางกายเจาพนักงาน ผูฟองคดีในฐานะพนักงานสอบสวนในคดีอาญาดังกลาว
ไดทําการรวบรวมพยานหลักฐานแลวสรุปสํานวนคดีโดยเห็นควรสั่งไมฟองผูตองหาและทําบันทึก
การเปรียบเทียบปรับ ซ่ึงตอมาพนักงานอัยการไดมีคําสั่งเด็ดขาดไมฟองผูตองหา แตปรากฏวา
ภรรยาของสิบตํารวจตรี ฉ. มีหนังสือรองเรียนตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (ผูบังคับการตํารวจภูธร
จังหวัดศรีสะเกษ) วา ผูฟองคดีเรียกรับเงินจํานวน ๔๐,๐๐๐ บาท จากผูตองหาเพ่ือไกลเกล่ียคดี
แตไมนําเงินดังกลาวไปใหแกผูเสียหาย และปลอมลายมือช่ือผูเสียหายในบันทึกการเปรียบเทียบปรับ
พันตํารวจเอก ส. รองผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษรักษาราชการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๓
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๕)
ไดสั่งการทายหนังสือรองเรียนดังกลาวใหรองผูกํากับการสอบสวนตํารวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ
รว มกบั ตนทําการสบื สวนขอเทจ็ จรงิ และเมื่อดําเนินการสืบสวนขอเท็จจริงแลวไดมีหนังสือลงวันท่ี
๑ กนั ยายน ๒๕๔๓ แจง ผถู กู ฟองคดีที่ ๓ วา เร่ืองรองเรียนดังกลาวมีมูลและเห็นควรตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนพจิ ารณาทณั ฑท างวนิ ัยรายแรงและดําเนินคดอี าญา ผถู กู ฟองคดีท่ี ๓ จึงมีหนังสือรายงาน
ผลการสืบสวนขอเท็จจริงไปยังผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษ ตอมา ผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษ
มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทําการสอบสวนขอเท็จจริงตามขอรองเรียนดังกลาว
คณะกรรมการสอบสวนไดมีหนังสือแจงผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษวา ผูฟองคดีไมไดกระทําผิดวินัย
อยา งรายแรง และไมปรากฏวา ไดกระทําความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา จึงไมต อ งดําเนนิ คดอี าญา
กับผูฟองคดี แตผูฟองคดีเปนผูประพฤติตนบกพรองตอหนาที่ เห็นควรใหลงทัณฑกักขังผูฟองคดี
เปนเวลา ๗ วัน ผูวาราชการจังหวัดศรีสะเกษพิจารณาแลวเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการ
สอบสวน จึงมีหนังสือลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๔ แจงผูถูกฟองคดีที่ ๓ ใหยุติเรื่องและระงับโทษ
กรณีที่ถกู กลา วหาวา กระทําผดิ วนิ ยั อยา งรายแรง สวนกรณกี ารกระทําความผิดตาม พ.ร.บ. วาดวย
วินัยตํารวจ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ใหสั่งลงทัณฑตามท่ีคณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นตอไป
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๔๔ ลงทัณฑกักขังผูฟองคดี มีกําหนด ๗ วัน
หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) มีหนังสือแจงผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๓) วา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖ ในการประชุม
เม่ือวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ และวันท่ี ๖ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ พิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณ
ของผูฟองคดีเปนการทุจริตตอหนาที่ เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง จึงมีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๔
ดําเนินการเพิ่มโทษเปนส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการใหเปนการถูกตองเหมาะสมตอไป
ผูถูกฟองคดีที่ ๔ จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๖ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตั้งแต
วันท่ีมีคําส่ังเปนตนไป ผูฟองคดีจึงมีหนังสืออุทธรณคําสั่งดังกลาวตอประธานผูถูกฟองคดีที่ ๖
ตอมา ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๖ มีหนังสือลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ แจงผูฟองคดีวา ผูถูกฟองคดีที่ ๖
มีมติยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา ตนไมไดกระทําความผิดตามที่ถูกกลาวหา จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจเกี่ยวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒) ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖ ท่ีใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ดาํ เนนิ การเพิ่มโทษเปน สง่ั ลงโทษไลผูฟอ งคดีออกจากราชการตามหนังสือลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ ๒๕๔๖
คําส่ังลงวนั ท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๖ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๖
ที่วินิจฉัยยกอุทธรณของผูฟองคดีตามหนังสือลงวันท่ี ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เพิกถอนรายงาน
การสืบสวนขอเท็จจริงตามหนังสือลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๓ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ยุติเรื่องและ
ระงับโทษกรณีท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามหนังสือลงวันท่ี ๑๙ เมษายน ๒๕๔๔
และใหคําสั่งลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๔ ท่ีลงทัณฑกักขังผูฟองคดี มีกําหนด ๗ วัน เปนคําสั่ง
ที่ชอบดวยกฎหมาย ใหการปฏิบัติหนาท่ีของผูฟองคดีเปนการปฏิบัติที่สุจริตและถูกตอง
ตามกฎหมาย และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (สํานักงานาตํารวจแหงชาติ) รับผูฟองคดีกลับเขารับ
ราชการเชนเดิม เห็นวา การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๖)
พิจารณารายงานการดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีกรณีท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง
แลวเห็นวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดี เปนการปฏิบัติหนาที่โดยทุจริต นับไดวาเปน
ผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสาม แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ความรายแรงแหงกรณีควรไดรับโทษถึงไลออกจากราชการ
จึงมีมติใหเสนอผูถูกฟองคดีที่ ๖ ช่ัวเปนผูมีอํานาจหนาที่พิจารณาการดําเนินการทางวินัยกับ
ขาราชการตาํ รวจกรณที ี่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ท้ังน้ี ตามมาตรา ๑๐๙ วรรคหน่ึง
วรรคหก และวรรคเจ็ด แหงพระราชบัญญัติดังกลาว โดยเห็นควรใหผูถูกฟองคดีที่ ๔ ส่ังเพ่ิมโทษ
เปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการใหเปนการถูกตองเหมาะสมตอไป อันเปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ตามขอ ๒ ของประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจแตงต้ัง
อนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒ ลงวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔
แตเ มอื่ ขอเทจ็ จรงิ รบั ฟงตอ ไปไดวา กอนทผ่ี ูถ กู ฟองคดที ่ี ๑ จะเสนอรายงานการดําเนินการทางวินัย
กับผูฟองคดีกรณีที่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑
ในการประชมุ วันท่ี ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๖ พิจารณา ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ไดออกประกาศ
คณะกรรมการขาราชการตํารวจ เร่ือง แกไขอํานาจหนาที่ของอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับ
การดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ ยกเลิกความในขอ ๒ และขอ ๓
ของประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจ เร่ือง แตงต้ังอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดําเนินการ
ทางวินัย คณะท่ี ๒ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ และกําหนดใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีอํานาจหนาที่
ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖ อยางเด็ดขาดในเร่ืองการรายงานการดําเนินการทางวินัยกับขาราชการ
ตํารวจกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง โดยเมื่อไดพิจารณาและมีมติประการใดแลว
ใหเลขานุการผูถูกฟองคดีท่ี ๖ แจงหนวยงานท่ีเก่ียวของเพื่อดําเนินการตอไป และรายงานผล
การดําเนินการใหผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ทราบ โดยใหมีผลตั้งแตวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๔๖ เปนตนไป
กรณีจึงเห็นไดวานับตั้งแตวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๔๖ เปนตนมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมตองเสนอ
การรายงานการดําเนินการทางวินัยกับขาราชการตํารวจกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ใหผถู กู ฟองคดีที่ ๖ พจิ ารณา เน่ืองจากนับแตวันดังกลาวผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีอํานาจหนาท่ีทําการแทน
ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ อยางเด็ดขาด ดังนั้น เมื่อปรากฏวา เรื่องที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีมติในการประชุม
เมอื่ วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ ใหเ สนอผูถูกฟองคดีท่ี ๖ พิจารณาตามประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจ
เร่อื ง แตง ตั้งอนกุ รรมการ ก.ตร.เกยี่ วกับการดําเนินการทางวนิ ยั คณะที่ ๒ ลงวนั ท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔
ยงั มไิ ดมกี ารเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๖ พิจารณา แตต อมาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๖
ไดนําเรื่องน้ีเขาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งและมีมติในการประชุม เม่ือวันท่ี ๖ กุมภาพันธ ๒๕๔๖
ใหเ ลขานุการผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๖ แจง มตขิ องผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕
ใหผ ถู ูกฟองคดีที่ ๔ พิจารณาดําเนินการ กรณีจึงถือไดวาผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดกระทําตามอํานาจหนาที่
ตามที่ไดรับมอบหมายจากผูถูกฟองคดีที่ ๖ ตามขอ ๒ ของประกาศคณะกรรมการขาราชการตํารวจ
เร่ือง แกไขอํานาจหนาท่ีของอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๒ ลงวันที่
๑ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ การกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมาย
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๗)
เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูตองหาท้ังสามไดมอบเงินคาทดแทนความเสียหาย จํานวน ๓๐,๐๐๐ บาท
ใหแกนาย ห. เพื่อนําไปมอบใหแกผูฟองคดี และผูฟองคดีไดรับเงินดังกลาวแลว แตไมนําไปมอบ
ใหแกสิบตํารวจตรี ฉ. จนกระท่ังมีการรองเรียนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ แมตอมาผูเสียหายจะไดรับเงิน
คาทดแทนความเสียหายแลวก็ตาม ก็หาไดมีผลเปล่ียนแปลงความผิดของผูฟองคดีท่ีกระทําสําเร็จ
ไปแลวไดไ ม ดงั นั้น การกระทําของผูฟองคดีในสวนนี้จึงถือเปนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ
เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนที่มิควรได ซึ่งเปนการทุจริตตอหนาที่ราชการและเปนความผิด
ทางวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชบังคับในขณะนั้น ประกอบกับกรณีท่ีผูฟองคดี
ทําหนาท่ีเก่ียวกับการทําบันทึกการเปรียบเทียบปรับ นั้น ขอเท็จจริงจากการสอบสวนฟงเปนยุติวา
สิบตํารวจตรี ฉ. ไมไดอยูในขณะทําบันทึกการเปรียบเทียบปรับ และยังปฏิเสธวาไมเคยลงลายมือช่ือ
ในบันทึกการเปรยี บเทียบปรบั แตอ ยางใด กรณจี งึ ไมอาจรับฟง ไดวาผเู สียหายไดยินยอมตามคําเปรียบเทียบ
พฤติการณของผูฟองคดีท่ีทําการเปรียบเทียบปรับผูตองหาจนคดีอาญาเลิกกันโดยมิไดปฏิบัติ
ตามเงือ่ นไขใหค รบถวนตามมาตรา ๓๘ (๒) แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ยอมผิดวิสัย
ของเจา หนาท่ตี าํ รวจผปู ฏิบตั ิหนา ท่ีพนักงานสอบสวน การกระทําของผูฟองคดีในสวนนี้จึงถือไดวา
เปนการปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบดวยกฎหมาย ซึ่งการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเอง
หรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และเปนการกระทําอันไดชื่อวา
เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม และ
มาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเปนกฎหมาย
ท่ีใชบังคับในขณะน้ัน ท่ีศาลปกครองชั้นตนวินิจฉัยวาการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการประชุมเม่ือวันที่
๒๖ กันยายน ๒๕๔๕ และในการประชุมเม่ือวันท่ี ๖ กุมภาพันธ ๒๕๔๖ มีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๔
ดาํ เนนิ การเพิ่มโทษผฟู อ งคดเี ปนสง่ั ลงโทษไลออกจากราชการเปนการใชดุลพินิจโดยชอบดวยกฎหมาย
จึงชอบดว ยเหตุผลแลว ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๔ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๖ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๖ มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ตามหนังสือลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมายแลว ที่ศาลปกครองชั้นตน
พพิ ากษายกฟอ ง นั้น ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดวย
พิพากษายืน
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๓๕๙/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะท่ีผูฟองคดีดํารงตําแหนงรองผูกํากับการฝายสืบสวนสอบสวน
สถานีตํารวจภูธรลอง จังหวัดแพร ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแพร) มีคําสั่งลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๐ ลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนความผิดวินัย
อยางรายแรง กรณีเมื่อครั้งผูฟองคดีดํารงตําแหนงสารวัตรสอบสวน สถานีตํารวจภูธรสูงเมน
จังหวัดแพร ถูกกลาวหาวามีความสัมพันธฉันชูสาวกับนาง ก. จนเปนเหตุใหตองหยาขาดกับสามี
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๘)
ผูฟองคดีรับทราบคําสั่งเม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๐ และมีหนังสือลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐
อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) อนุกรรมการ ก.ตร.
เกี่ยวกับการอุทธรณ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ พิจารณาแลวมีมติยกอุทธรณ
ของผูฟองคดีตามหนังสือลงวันท่ี ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๐ ท่ีสั่งลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ และเพิกถอนผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาว เห็นวา โดยพฤติการณของนาง ก.
กับผูฟองคดีตามถอยคําของพยานบุคคลท่ีใหการตอคณะกรรมการสอบสวนขาราชการตํารวจ
ซึ่งไดแก สามี บุตร และมารดาของนาง ก. ผูกลาวหาประกอบกับผูบังคับบัญชาและเพื่อนรวม
ของนาง ก. ตางใหก ารในทาํ นองสอดคลอ งกนั วา ผูฟ องคดแี ละนาง ก. มีพฤติกรรมในเชิงชูสาวตอกัน
โดยเมื่อประมาณปลายป พ.ศ. ๒๕๓๘ นาง ก. มีโอกาสรูจักกับผูฟองคดีขณะน้ันดํารงตําแหนง
สารวัตรสอบสวน สถานีตํารวจภูธรสูงเมน จังหวัดแพร เน่ืองจากนาง ก. ขับรถยนตมาสงเพ่ือน
ทส่ี ถานทตี่ าํ รวจสงู เมนในคดีรถเฉี่ยวชน ตอมา นาง ก. นําเร่ืองปญหาเรื่องยาเสพติดท่ีมีการแพรระบาด
มาปรึกษากับผูฟองคดี และรวมกันจัดทําโครงการบําบัดยาเสพติดใหโทษ หลังจากโครงการเสร็จส้ิน
ผูฟองคดีมีพฤติกรรมในทางชูสาว เปนเหตุใหนาย ข. สามีของนาง ก. ใชอาวุธปนยิง พรอมกับทํารายรางกาย
จนกระทั่งวันหน่ึงนาย ข. จับไดวาผูฟองคดีมีเพศสัมพันธกับนาง ก. นาย ข. จึงทํารายรางกาย
และจะฟองหยา นาง ก. จึงหยากับนาย ข. ในวันท่ี ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๙ หลังจากน้ันผูฟองคดี
ไปหานาง ก. ท่ีบานแทบทุกคืน พฤติการณดังกลาวมารดาและบุตรของนาง ก. รูเห็นเหตุการณ
ซึง่ พยานหลักฐานดังกลาวแมไมมปี ระจกั ษพยานตลอดจนพยานวตั ถทุ ตี่ รวจพสิ จู นท างวิทยาศาสตร
แลวยืนยันไดวาผูฟองคดีกับนาง ก. มีเพศสัมพันธกันจริงก็ตาม แตวิญูชนผูมีสติสัมปชัญญะ
สมบรู ณยอ มเชอ่ื โดยปราศจากขอสงสัยวา ผฟู องคดกี บั นาง ก. นา จะมีความสัมพันธฉันชูสาวกันจริง
ดังนั้น การท่ีคณะกรรมการสอบสวนขาราชการตํารวจรับฟงพยานหลักฐานดังกลาวแลวมีความเห็น
เชื่อไดวาผูฟองคดีมีความสัมพันธในทางชูสาวกับนาง ก. ในขณะท่ีนาง ก. ยังเปนภรรยา
โดยชอบดว ยกฎหมายของผูอื่นจริง และพฤติการณดังกลาวถือไดวาผูฟองคดีไดกระทําการอันไดชื่อวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๒๓ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. ตาํ รวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงเปนการรับฟงและชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานโดยชอบ
ดว ยเหตุผลของเรอ่ื ง ตลอดจนปรับขอเทจ็ จริงเขา กับขอกฎหมายท่ีบัญญัติวาการกระทําของผูฟองคดี
ดังกลาวเปนความผิดวินัยอยางรายแรงโดยชอบดวยหลักนิติวิธีแลว เมื่อขณะเกิดเหตุผูฟองคดี
เปน ขา ราชการตํารวจ ตําแหนง สารวัตรสอบสวน สถานีตํารวจภูธรสูงเมน จังหวัดแพร มีหนาที่ปองกัน
และปราบปรามผูกระทําผิดกฎหมาย ซ่ึงเปนตําแหนงท่ีมีเกียรติท่ีไดรับความไววางใจจากประชาชน
ใหดูแลและรักษาความสงบเรียบรอยของสังคม ผูฟองคดีจึงตองรักษาช่ือเสียง และเกียรติศักดิ์
ของตําแหนงหนาท่ีราชการของตนมิใหเส่ือมเสีย การกระทําของผูฟองคดีที่เปนชูกับภรรยาของ
ผูอ่ืนน้ัน ยอมนํามาซ่ึงความเส่ือมเสียตอชื่อเสียง เกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนาที่ราชการของผูฟองคดี
ซ่ึงเปนขาราชการตํารวจ และกระทบความรูสึกของสังคมที่มีตอภาพพจนของขาราชการตํารวจ
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๖๙)
การท่ผี ถู ูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๙ เมษายน ๒๕๕๐ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
และอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเม่ือวันที่
๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยนํารายงานการสอบสวนและความเห็น
ของคณะกรรมการสอบสวนขาราชการตํารวจดังกลาวมาประกอบการใชดุลพินิจ จึงชอบดวยกฎหมาย
ที่ศาลปกครองชนั้ ตนพิพากษายกฟอง น้นั ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพองดวย
พิพากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๕๒๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เมื่อครั้งผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู
งานปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี กองกําลังสุรสีห
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ รายงานผูถูกฟองคดีที่ ๓ (ผูบังคับการตํารวจภูธร
จังหวัดกาญจนบุรี) วา กองกําลังพรรครัฐมอญใหม ประเทศสาธารณรัฐแหงสหภาพเมียนมาร
ไดรายงานความเคลื่อนไหวการจับกุมยาเสพติดวา ไดตรวจพบรถจักรยานยนตรับจางกําลังว่ิง
เขามาในเขตประเทศไทย ซึ่งมีชาวเมยี นมารเ ปนผูขบั ขส่ี วนคนซอนทายมีทีทาจะหลบหนี จึงเขาทํา
การควบคุมโดยควา จบั บรเิ วณคอเสื้อกันหนาวทีผ่ ตู องสงสัยสวมใส แตคนซอนทายรถจักรยานยนต
สะบัดจนเส้ือหนาวหลุดจากตัว แลวว่ิงหลบหนีเขามาในเขตประเทศไทย จึงตรวจคนเสื้อกันหนาว
พบยาบาจํานวน ๑,๒๐๐ เม็ด บัตรประจําตัวขาราชการมีชื่อผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงไดมี
คําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงในเร่ืองดังกลาว คณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริง
ไดรายงานผลการสืบสวน วา ผูฟองคดีมีพฤติการณเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษอันเปนความผิด
วินัยอยางรายแรง เห็นควรแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ไดม ีคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินยั อยางรายแรงผูฟ อ งคดี ตอ มา คณะกรรมการสอบสวน
ไดเ สนอรายงานการสอบสวนตอผูถกู ฟอ งคดที ่ี ๓ โดยเห็นวา การกระทําของผูฟองคดีมีพฤติการณ
เกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เห็นควรลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการ คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการสั่งลงโทษขาราชการตํารวจ
ผูกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ไดมีมติใหลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ยื่นอุทธรณ ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (อนุกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ) ในการประชุมเม่ือวันที่
๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓ ไดพจิ ารณาแลวมมี ตใิ หยกอุทธรณ ผฟู องคดเี หน็ วา คําส่ังของผูถูกฟองคดี
ท่ี ๓ และท่ี ๒ เปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผล
การพิจารณาอุทธรณตามหนังสือลงวันที่ ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๓ และใหผ ฟู อ งคดกี ลบั เขา รบั ราชการตามเดมิ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในการดําเนินการทางวินัยผูฟองคดี คณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดี ไดมีการแจงและรับทราบขอกลาวหา แบบ สว.๒ และ
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๐)
บันทกึ การแจง และรบั ทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา แบบ สว.๓
โดยระบุวาผูฟองคดีมีพฤติกรรมเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ อันเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง และผูฟองคดีไดลงลายมือชื่อรับทราบขอกลาวหาแลว จากน้ัน คณะกรรมการ
สอบสวนไดมีบันทึกถอยคําของผูถูกกลาวหา ตามแบบ สว.๔ ซ่ึงผูฟองคดีไดรับทราบวา
เปนผูถูกกลาวหากรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง และใหถอยคําปฏิเสธตลอดขอกลาวหา
ยืนยันตามคําใหการเดิมที่ใหไวกับคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงวาไมไดกระทําผิด
ตามขอกลาวหา และยังไมอางบุคคลใดเปนพยาน เนื่องจากผูฟองคดียังไมไดทําการประสาน
และติดตอพยานบุคคลใดเพ่ือใหถอยคํา ในเร่ืองที่ผูฟองคดีถูกกลาวหา อันเปนการเปดโอกาสให
ผูฟองคดีไดรับทราบขอเท็จจริงและมีโอกาสโตแยงและแสดงพยานหลักฐานของตนอยางเพียงพอแลว
ตอมา คณะกรรมการสอบสวนไดรายงานผลการสอบสวน ตามแบบ สว. ๖ ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ วา
ผูฟองคดีมีพฤติการณเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษอันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
เหน็ ควรลงโทษปลดผูฟอ งคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงไดมีคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการ
พิจารณากลัน่ กรองการพิจารณาสงั่ ลงโทษ และคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไดพิจารณาแลวมีมติวา
ผูฟองคดมี พี ฤติการณเขา ไปเกย่ี วของกบั ยาเสพติดใหโทษตามขอกลาวหาจริง จึงมีมติเปนเอกฉันท
ใหล งโทษไลผูฟองคดอี อกจากราชการ จึงเห็นไดวา การดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดีเปนไปโดยถูกตอง
ตามมาตรา ๘๗ ประกอบมาตรา ๙๐ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับ กฎ
ก.ตร. วาดวยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว เม่ือขอเท็จจริงรับฟงไดวา ทหารสหภาพ
เมียนมารไดออกลาดตระเวนตามแนวชายแดน ท่ีติดกับประเทศไทย ไดพบชาวพมา ขับข่ี
รถจักรยานยนตมีชายอีกคนหน่ึงนั่งซอนทายมาดวย จึงเรียกใหหยุดและขอตรวจคน ซ่ึงชาย
ท่ีน่ังซอนทายไดวิ่งหลบหนีออกไปในเขตประเทศไทยและโยนเสื้อกันหนาวทิ้งไป ตอมา ไดตรวจคน
เส้ือกันหนาวพบยาบา รวม ๑,๒๐๐ เม็ด บัตรประจําตัวประชาชน และบัตรประจําตัวขาราชการ
ระบุชื่อผูฟองคดี และไดรายงานใหเจาหนาที่ทหารฝายไทยทราบ และจากการสืบสวนของคณะสืบสวน
ขอเท็จจริง ทหารสหภาพเมียนมาร ใหการยืนยันโดยทันทีวา ผูฟองคดีเปนบุคคลคนเดียวกันกับ
ที่ไดนั่งซอนทายรถจักรยานยนตมุงหนาเขาประเทศไทย เม่ือเรียกตรวจไดโยนเสื้อที่ถือมาดวย
ทิ้งแลววิ่งหลบหนีเขาประเทศไทย สวนผูฟองคดีใหการปฏิเสธวา ในชวงวันเวลาที่ถูกกลาวหานั้น
ผฟู อ งคดเี ปน ขาราชการตาํ รวจ ประจําอยูที่สถานีตํารวจภูธรทาเรือ อําเภอทามะกา จังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อวันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ ไดเดินทางไปเย่ียมบุตรที่กําลังปวยหนักในพ้ืนท่ีตําบลไลโว
อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และพาไปรับการตรวจรักษาที่คลินิกในอําเภอสังขละบุรี
หลังจากน้ัน ไดเดินทางกลับสถานีตํารวจภูธรทาเรือ เม่ือเวลาประมาณ ๒๐.๓๐ นาฬิกา
ของวันเดียวกัน แตรถยนตท่ีผูฟองคดีขับมานั้นประสบอุบัติเหตุ ไมสามารถขับตอไปได เนื่องจาก
ยางลอรถยนตแตกท้ังสองลอ ผูฟองคดีจึงไปหารานปะยางและรานขายยางอะไหลแตไมมี
จึงจอดรถไวขางถนน วันตอมาจึงวาจางรถมาลากไปท่ีรานปะยางท่ีบานพระเจดียสามองค
หลังจากซอมยางลอรถยนตเสร็จ จึงเดินทางกลับสถานีตํารวจภูธรทาเรือ แตเม่ือมาถึงบานพัก
ไดตรวจดสู งิ่ ของภายในรถยนตพบวามีกระเปาเงินจํานวน ๑ ใบ ภายในมีบัตรประจําตัวประชาชน
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๑)
บัตรประจําตัวขาราชการ เสื้อกันหนาวแขนยาวสีดํา ๑ ตัว โทรศัพทมือถือจํานวน ๑ เคร่ือง ผูฟองคดี
เขาใจวา นาจะหายไปในชวงเวลาท่ีจอดรถไวขางทางหลังจากประสบอุบัติเหตุ เนื่องจาก
ประตูรถดานขวาไมสามารถปดล็อกได แตผูฟองคดีไมไดไปแจงความรองทุกข เน่ืองจากคาดวา
อาจจะมีคนนําบัตรประจําตัวประชาชนและบัตรประจําตัวขาราชการมาคืนใหในภายหลัง
เม่ือพิจารณาจากคําใหการของพยานจากทั้งฝายทหารไทยและทหารสหภาพเมียนมาร
มีรายละเอียดของเหตุการณท ่ีเกิดขน้ึ อยา งสอดคลอ งสมเหตสุ มผล ทั้งยังมีบัตรประจําตัวประชาชน
และบตั รประจาํ ตวั ขาราชการและเส้ือกันหนาวแขนยาวสีดําของผูฟองคดีเปนพยานหลักฐาน และ
ในชั้นคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงทหารสหภาพเมียนมาร ก็ใหการยืนยันไดทันทีวา ผูฟองคดี
คือบุคคลที่โยนเสื้อกันหนาวแขนยาวสีดําท้ิงและวิ่งหนีเขามาในประเทศไทย เน่ืองจากเคยเห็น
ผูฟองคดีเดินทางมาหาภรรยาในพื้นท่ีเปนประจํา คําใหการจึงมีนํ้าหนักนาเช่ือถือ สวนผูฟองคดี
ก็มิไดใหการปฏิเสธวา สิ่งของท่ีตรวจยึดไดนั้น มิใชของผูฟองคดี แตใหการเพียงวา ไดสูญหาย
ไปในชวงเวลาท่ีรถยนตเกิดอุบัติเหตุ เมื่อผูฟองคดีรูอยูแลววารถยนตของผูฟองคดีประตู
ทางดา นขวาไมสามารถปดล็อกไดและเมื่อรถยนตของผูฟองคดีประสบอุบัติเหตุไมสามารถขับตอไปได
และผูฟองคดีจําเปนจะตองจอดรถยนตไวขางถนน ผูฟองคดีก็ควรท่ีตองนําทรัพยสินที่มีคาติดตัวไปดวย
การท่ีผูฟองคดีใหการวา ผูฟองคดีเก็บกระเปาเงินไวในรถยนตท้ังๆ ท่ีเปนสิ่งสําคัญและนําติดตัว
ไปไดโดยงาย จึงฟงไมสมเหตุสมผล และเมื่อทราบวากระเปาเงินหายก็มิไดดําเนินการแจงความ
รองทุกขเพื่อเปนหลักฐาน ซ่ึงผิดปกติวิสัยจากวิญูชนท่ัวไปโดยเฉพาะอยางยิ่งผูฟองคดี
ซึ่งเปนขาราชการตํารวจ ดังนั้น ขออางของผูฟองคดีที่วา เมื่อทราบวา กระเปาเงินหายไมได
ดาํ เนินการแจงความรองทุกขเพราะคิดวาจะมีคนนํามาคืนน้ัน จึงไมมีเหตุผลเพียงพอท่ีจะรับฟงได
สวนท่ีผูฟองคดีใหการวา กระเปาเงินและเส้ือกันหนาวแขนยาวสีดําอาจจะหายท่ีรานซอม
ยางรถยนตบานดานเจดียก็เปนการคาดการณที่ขาดพยานหลักฐาน อีกทั้ง พยานก็ไมเคย
มีเรื่องโกรธเคืองกับผูฟองคดีที่จะใหการกลั่นแกลงใสรายผูฟองคดีแตอยางใด จากพยานหลักฐาน
ดังกลา ว จึงเช่อื ไดว า ผูฟองคดีเปนบุคคลคนเดียวกันกับบุคคลที่ทหารสหภาพเมียนมารเรียกตรวจ
และไดโยนเส้ือกันหนาวสีดําทิ้งแลววิ่งเขามาในเขตประเทศไทย และเม่ือมีการตรวจสอบพบวา
มียาบา อยู จงึ เช่ือวาผฟู องคดีมีพฤติการณเกยี่ วขอ งกับยาเสพติดใหโ ทษ เมอ่ื ผฟู อ งคดีเปนเจาหนาที่
ตํารวจมีหนาท่ีจับกุมและปราบปรามการกระทําผิดอาญา โดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด
แตกลับเปนผูมีพฤติการณเก่ียวของกับยาเสพติดเสียเอง เปนการกระทําที่ผิดแบบธรรมเนียม
ของขาราชการตํารวจท่ีดี ไมควรปฏิบัติตนทําใหเสื่อมเสียเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาที่ราชการ
และเสียภาพพจนตอสาํ นักงานตํารวจแหงชาติ และเมื่อพิจารณาถึงความรูสึกของวิญูชนทั่วไปแลว
ยอมถือวามีความรังเกียจตอการกระทําดังกลาว และเปนการกระทําท่ีมีความรายแรงกวาบุคคลท่ัวไป
เพราะผูฟองคดีเปนผูรักษากฎหมาย หามผูอื่นกระทํา แตกลับเปนผูฝาฝนกฎหมายดังกลาว
ซึ่งผูฟองคดีควรตองยึดถือและปฏิบัติตามกฎหมายโดยเครงครัด ทั้งยังจะตองรักษาเกียรติศักดิ์
ของขาราชการตํารวจไวดวย เม่ือผูฟองคดีมีพฤติการณเกี่ยวของกับยาเสพติดใหโทษ การกระทํา
ของผูฟองคดีจึงเปนการกระทําอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัย
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๒)
อยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงเปนอํานาจของ
ผูบังคับบัญชาท่ีจะใชดุลพินิจลงโทษตามความรายแรงแหงกรณี ตามมาตรา ๙๐ แหง
พระราชบัญญัติดังกลาว ดังน้ัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีคําสั่งลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีมติในการประชุมเมื่อวันที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดีน้ัน จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมายแลว
ทีศ่ าลปกครองชั้นตนพพิ ากษายกฟอง นัน้ ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวย
พิพากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๕๗๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะท่ีผูฟองคดีรับราชการตํารวจในตําแหนงผูบังคับหมู
สังกัดกองกํากับการตํารวจตระเวนชายแดนท่ี ๓๑ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูบังคับการ กองบังคับ
การตํารวจตระเวนชายแดนภาค ๓) มีคําส่ังลงวันท่ี ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ฐานประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณกี ระทําผดิ วินัยอยา งรา ยแรง เนือ่ งจากผฟู องคดีตองหาคดอี าญา ขอ หาพยายามฆาผูอื่น
ทําใหเสียทรัพยและพกพาอาวุธปน เคร่ืองกระสุนปนไปในเมือง หมูบาน หรือทางสาธารณะ
โดยไมมีเหตุจําเปนเรงดวน คําส่ังฉบับดังกลาวไดระบุพฤติการณของการกระทําผิดความวา
เมื่อวันท่ี ๖ ธันวาคม ๒๕๕๒ ผูฟองคดีเปนผูใชอาวุธปนยิงใสราน ร. กองกํากับการตํารวจตระเวน
ชายแดนที่ ๓๑ จึงรายงานขอเท็จจริงตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ จากนั้น ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่ง
ลงวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ผลการสอบสวนทางวินัยของ
คณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาส่ังลงโทษเห็นในทํานอง
เดียวกันวา ผูฟองคดีเปนผูกระทําความผิดจริง เนื่องจากผลการตรวจพิสูจนจากศูนยพิสูจนหลักฐาน
ในสํานวนคดีอาญาพบวาปลอกกระสุนปนขนาด .๔๕ (๑๑ มม.) ที่พบจํานวนหนึ่งปลอกบนถนน
บริเวณหนาราน ร. มีตําหนิรองรอยกระสุนตรงกันและเขากันไดกับปลอกกระสุนปนท่ีนํามายิง
เปรียบเทียบกับปนของผูฟองคดีกระบอกท่ีสงตรวจพิสูจน จึงออกคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงมีหนังสือลงวันท่ี ๔ มกราคม ๒๕๕๔ อุทธรณคําสั่ง
ดังกลาวแลว ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) มีหนังสือลงวันที่
๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ แจงผลการพิจารณาอุทธรณวา คําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ถูกตองเหมาะสมแลว อทุ ธรณฟ งไมข ึ้น ผฟู องคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
ขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และ
ผลการพิจารณายกอุทธรณตามหนังสือสํานักงานคณะกรรมการขาราชการตํารวจ ลงวันท่ี
๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๔ พรอมทงั้ ใหค นื สทิ ธิตา งๆ ตามกฎหมายทผ่ี ฟู อ งคดีพึงไดเสมอื นหนึ่งไมมีคําส่ัง
ไลอ อกจากราชการ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อพิจารณาจากคําใหการของพันตํารวจโท ส.
พนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรหนองไผ ซึ่งไดใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวนวินัย
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๓)
รายแรงวา เม่ือวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไดเดินทางไปตรวจยึดอาวุธปนของผูฟองคดีที่บาน
พันตาํ รวจโท ป. ซึ่งเปนบดิ าภริยาของผูฟองคดีและไดสอบถามผูฟองคดีวาเปนผูยิงอาวุธปนเขาไป
ในราน ร. จริงหรือไม ซึ่งผูฟองคดียอมรับวาเปนผูใชอาวุธปนยิงใสราน ร. จริง ซึ่งสอดคลองกับ
คําใหการของดาบตํารวจ จ. เจาหนาท่ีตํารวจชุดสืบสวน ที่ใหถอยคําวา ดาบตํารวจ ช. หัวหนา
ชดุ สบื สวน ไดถ ามวาผฟู อ งคดีไดใ ชอาวุธปนกอเหตุเมื่อคืนนีห้ รือไม ซง่ึ ผฟู อ งคดีบอกวาไดใชกระบอก
นี้กอ เหตุ ซึ่งการใหถอยคําของผูฟองคดีดังกลาวผูฟองคดียอมทราบดีวาจะมีผลผูกพันตอผูฟองคดี
ท้ังทางอาญาและทางวินัย และไมปรากฏวาพันตํารวจโท ส. และดาบตํารวจ จ. มีเหตุโกรธเคือง
กับผูฟองคดีมากอน จึงไมมีเหตุผลใดท่ีบุคคลท้ังสองจะใหการเพื่อใสรายหรือปรักปรําผูฟองคดี
จงึ ถือเปน คาํ ใหการทีร่ ับฟง ได และเมื่อพิจารณาจากคําใหการของนาย พ. ผูเสียหายซึ่งเปนเจาของราน
และนาย ท. พ่ีชายของนาย พ. ตางใหการสอดคลองกันวา เจาหนาท่ีตํารวจสถานีตํารวจภูธรหนองไผ
ไมทราบช่ือไดติดตอนาย พ. ทางโทรศัพทวา จะพาญาติของผูฟองคดีมาชดใชคาเสียหายท่ีผูฟองคดี
กอ เหตุ แตไ มสามารถตกลงกันได เน่ืองจากฝายผูฟองคดีไมสามารถนําผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี
มารบั รองกับนาย พ. วา จะไมเกดิ เร่ืองแบบน้ีขึ้นอีก ซึ่งสอดคลองกับคําใหการของพันตํารวจโทหญิง ม.
ผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีไดช้ีแจงตอคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณวา
ไดรับแจงจากพันตํารวจโท ส. ใหไปใหคํารับรองกับนาย พ. วา เร่ืองแบบนี้จะไมเกิดข้ึนอีก
แตพันตํารวจโทหญิง ม. เห็นวาผูฟองคดีไมไดกระทําผิดจึงปฏิเสธ กรณีจึงเห็นไดวา ไดมีการเจรจา
ตกลงคาเสียหายดังกลาวจริง อีกท้ังเม่ือไดพิจารณาผลการตรวจพิสูจนจากพันตํารวจโท ช.
ผูเชี่ยวชาญของศูนยพิสูจนหลักฐานท่ี ๖ จังหวัดพิษณุโลก ท่ียืนยันวาปลอกกระสุนปนท่ีเก็บได
ในท่ีเกิดเหตุเมื่อเปรียบเทียบจากปนของกลางมีรอยตําหนิรอยลายเสนที่จานทายปลอกกระสุนปน
ตรงกันและเขารอยกันได จึงเช่ือไดวาปลอกกระสุนปนของกลางใชยิงมาจากปนของกลางซึ่งเปนปน
ของผูฟองคดี แมผูฟองคดีจะใหถอยคําวากอนเกิดเหตุ ๓ วัน ไดขับขี่รถจักรยานยนตเพื่อไปพบ
ผูที่จะขอซื้อปนของผูฟองคดีและไดทดลองยิงปน โดยไดยิงไปจํานวน ๑๔ นัด และไดเก็บปลอก
กระสุนปนใสตะกราหนารถจักรยานยนตโดยไดขับขี่ผานบริเวณหนารานที่เกิดเหตุ เม่ือไปถึงบาน
ปลอกกระสุนตกหายไปประมาณ ๗ – ๘ ปลอก โดยไมทราบวาตกหายท่ีใดนั้น ก็ไมปรากฏวา
มีพยานหลักฐานใดใหรับฟงไดดังท่ีผูฟองคดีกลาวอางแตอยางใด พยานหลักฐานที่ปรากฏในสํานวนคดีนี้
ลวนแตบ ง ชแี้ สดงใหเ หน็ ไดวา ผูฟ อ งคดไี มพ อใจนาย พ. ที่ไมใหเชา เคร่ืองเลนเกมส จึงใชอาวุธปนยิงเขาไป
ในรา น ร. จริง ซงึ่ การกระทาํ ดงั กลาวถือเปนการกระทําที่ไมเหมาะสมและไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรงอันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีมีอํานาจที่จะลงโทษปลดออก หรือไลออกได ดังนั้น การท่ี
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
และอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี น้ัน จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมายแลว การที่ศาลปกครองช้ันตน
พิพากษายกฟอ ง น้นั ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวย
พพิ ากษายืน
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๔)
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๖๗๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีขณะยังเปนขาราชการตํารวจ ยศจาสิบตํารวจโท
ตําแหนงผูบังคับหมู กองกํากับการสืบสวน ตํารวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ไดรับความเดือดรอน
เสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ผูบัญชาการศูนยปฏิบัติการตํารวจจังหวัดชายแดนภาคใต)
มีคําสั่งลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๑ ท่ีลงโทษกักขัง
ผูฟอ งคดมี ีกําหนด ๑๕ วนั และใหลงโทษไลผฟู องคดอี อกจากราชการ ต้ังแตวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน
๒๕๕๓ กรณีผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เน่ืองจากครอบครองรถจักรยานยนตซึ่งถูก
โจรกรรมมาและติดแผนปายทะเบียนปลอม โดยในคดีอาญา พนักงานสอบสวนแจงขอหาวา
ลกั ทรพั ยห รือรับของโจร แตพนักงานอัยการจังหวดั ยะลามีคาํ สัง่ เด็ดขาดไมฟองผูฟองคดี ผูฟองคดี
จึงอุทธรณคําสั่งลงโทษดังกลาว ตอมา อนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับ
การอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ไดมีมติใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ แกไขคําสั่งลงโทษโดยปรับฐานความผิดใหถูกตอง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงมีคําสั่งท่ีลงวันท่ี ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ แกไขเพิ่มเติมคําส่ังลงโทษดังกลาว
ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการ ลงวันที่
๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ และมีคําสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
ตําแหนงหนาท่เี ดิม
ศาลปกครองสูงสดุ วนิ จิ ฉัยวา เม่ือพิจารณาตามบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหา
บันทึกการแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา บันทึกถอยคําของ
ผูถูกกลาวหา และบันทึกถอยคําพยานของฝายกลาวหาและฝายผูถูกกลาวหา ปรากฏวา
คณะกรรมการสอบสวน ผูฟองคดี รวมถึงบุคคลที่ไดใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบสวน
ไดลงลายมือช่ือในเอกสารดังกลาวครบถวนท้ังหมด การสอบสวนทางวินัยแกผูฟองคดีจึงเปนไป
ตามกฎ ก.ตร. วาดวยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว สวนการที่พลตํารวจตรี ย.
เปนท้ังผูส่ังการใหมีการตรวจสอบจับกุมดําเนินคดีผูฟองคดีและออกคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ัย ก็เปนการดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีตามมาตรา ๘๔ และมาตรา ๘๖ แหง พ.ร.บ.
ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยมิไดเปนผูมีสวนไดเสียในกรณีที่ผูฟองคดีถูกรองเรียนกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยแตอยางใด และเมื่อพฤติการณการกระทําของผูฟองคดีท่ีครอบครองและ
ใชรถจักรยานยนตซึ่งมิใชของตนเอง ทั้งที่รูอยูวาเปนรถจักรยานยนตของกลางท่ีถูกโจรกรรมมา
ซึ่งโดยสถานะของผูฟองคดีท่ีเปนขาราชการตํารวจ ยอมอยูในวิสัยที่จะตรวจสอบหมายเลข
ทะเบียนรถจักรยานยนตและชื่อเจาของหรือผูครอบครองที่ถูกตองตามกฎหมายได แตผูฟองคดี
กลับจงใจท่ีจะละเลยไมทําการตรวจสอบ อันเปนการกระทําท่ีสอใหเห็นถึงเจตนาท่ีจะครอบครอง
รถจักรยานยนตคันดังกลาวไวใชเพื่อประโยชนของตนเอง โดยไมคํานึงถึงสิทธิและหนาท่ีของตน
ตามกฎหมาย ท้ังท่ีตนเองเปนเจาหนาที่ตํารวจซึ่งมีหนาที่ตองเปนผูเคารพและรักษากฎหมาย
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๕)
ย่ิงกวาบุคคลท่ัวไป การกระทําของผูฟองคดีในฐานะที่เปนขาราชการตํารวจจึงทําใหเกิด
ความเสียหายอยางรายแรงตอภาพพจนและช่ือเสียงของสํานักงานตํารวจแหงชาติ รวมทั้ง
เกยี รตศิ ักดขิ์ องตาํ แหนง หนา ท่ีราชการของผูฟองคดี ท้ังยังทําใหประชาชนขาดความเช่ือถือศรัทธา
ตอการปฏิบัติงานของขาราชการตํารวจ พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงถือไดวา
เปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การท่ีผูฟองคดีที่ ๒ มีคําสั่งลงโทษ
ผูฟองคดีตามมาตรา ๗๙ (๑) (๕) และ (๖) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว แมจะเปนการปรับฐาน
ความผิดท่ียังไมสอดคลองกับขอเท็จจริง แตเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยอนุกรรมการคณะกรรมการ
ขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ มีมติเห็นวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีเปน
การกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๕) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงมีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ แกไขคําสั่งดังกลาว ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔
แกไ ขเพิม่ เติมคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการใหถูกตองตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แลว
จึงถือวา การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แกไขเพ่ิมเติมโดยคําสั่ง
ลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เปนการกระทาํ ท่ีชอบดวยกฎหมาย ท่ีศาลปกครองช้ันตนพพิ ากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพอ งดวย
พิพากษายืน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๗๐๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการเปนขาราชการตํารวจสังกัดกองบังคับ
การอํานวยการตํารวจภูธรภาค ๗ ตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๔ (ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗)
ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ไลผูฟองคดีออกจากราชการในขอหากระทําผิดวินัย
อยา งรายแรงฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตองหาคดีอาญาในขอหามียาเสพติดใหโทษประเภท ๑
(ยาบา) และประเภท ๕ (กัญชา) ไวในครอบครองโดยไมไดรับอนุญาต และเสพยาเสพติดใหโทษ
ประเภท ๑ (ยาบา) โดยผิดกฎหมาย ผูฟองคดีไดอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) เมื่อวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๕ ตอมาสํานักเลขาธิการ
นายกรฐั มนตรีมีหนงั สอื ลงวนั ท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ แจงวา รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการ
แทนผถู กู ฟองคดที ่ี ๓ (นายกรฐั มนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการขาราชการตํารวจ) พิจารณา
แลว มีคําสั่งใหยกอุทธรณตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ผูฟองคดีไดรับทราบผลการพิจารณา
อุทธรณด ังกลาว ตามหนงั สอื ลงวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๖ ผูฟองคดีเห็นวา ศาลจังหวัดราชบุรีไดมี
คําพิพากษาคดีหมายเลขแดง ที่ ๑๒๔๒/๒๕๔๕ ยกฟองผูฟองคดีในขอหาเสพเมทแอมเฟตามีน
(ยาบา) และลงโทษในขอหามีเมทแอมเฟตามีนและกัญชาไวในครอบครอง โดยขอหาแรกถึงท่ีสุด
และขอหาท่ีสอง อยูระหวางการพิจารณาของศาลยุติธรรม แตผูถูกฟองคดีท่ี ๔ กลับมีคําสั่ง
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๖)
ไลผูฟองคดีออกจากราชการโดยไมใหโอกาสผูฟองคดีไดพิสูจนความบริสุทธิ์ของตนเองทําให
ผูฟองคดีไดรับความเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอน
คําส่ังตํารวจภูธรภาค ๗ ลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ท่ีไลผูฟองคดีออกจากราชการและให
ผูถูกฟองคดีที่ ๔ รับผูฟองคดีเขารับราชการในตําแหนงเดิมไดรับเงินเดือนตามปกติ นับแตวันที่
ออกคาํ ส่ังใหไ ลอ อกเปน ตน มาถึงปจจบุ นั
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการเพราะคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการดําเนินการทางวินัย คณะที่ ๑
พิจารณาจากพยานหลักฐานของคณะกรรมการสอบสวนวินัยแลวเชื่อวาผูฟองคดีกระทําความผิด
ฐานมียาเสพติดใหโ ทษและเสพยาเสพตดิ ใหโทษจริง เปนความผิดวินัยอยางรายแรง สวนคําพิพากษา
แมวาศาลอุทธรณภาค ๗ และศาลฎีกาจะพิพากษายกฟองเพราะมีเหตุสงสัยตามสมควรวาจําเลย
ไดก ระทาํ ความผิดตามฟองหรือไม จึงยกประโยชนแหงความสงสัยใหจําเลยตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง แตโดยท่ีขอ ๒๘ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา หมายถึงเฉพาะกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาวาผูถูกกลาวหากระทําผิดเทาน้ัน
ที่คณะกรรมการสอบสวนจะถือเอาคําพิพากษาน้ันมาเปนหลักฐานสนับสนุนขอกลาวหา
และวินิจฉัยลงโทษผูกระทําผิดวินัยตามขอเท็จจริงที่ปรากฏในคําพิพากษา แตหากเปนกรณีที่ศาล
มีคําพิพากษายกฟอง คณะกรรมการสอบสวนหรือผูพิจารณาทางวินัย ไมจําตองออกคําส่ัง
ไปตามผลแหงคําพิพากษานั้น เน่ืองจากไมมีกฎหรือระเบียบใดกําหนดไว แตคณะกรรมการ
สอบสวนวินัย หรือผูมีอํานาจออกคําสั่งก็อาจนําคําพิพากษาน้ันๆ มาประกอบการวินิจฉัย
หากเห็นวาคําพิพากษานั้นมีการวินิจฉัยถึงขอเท็จจริงและพิพากษาโดยช้ีวาจําเลยมิไดมี
การกระทําตามท่ีถูกกลาวหาหรือการกระทําของจําเลยไมเปนความผิดตามท่ีถูกกลาวหา
ซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบขอเท็จจริงจากการสรุปของคณะกรรมการสอบสวนวินัยและคําพิพากษาฎีกา
แลวไดความวา เม่ือวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เจาหนาท่ีตํารวจสถานีตํารวจภูธรอําเภอบานโปง
จังหวัดราชบุรี ไดรับแจงวามีการมั่วสุมเสพยาเสพติด จึงรวมกันไปตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ
พบวาผูฟองคดีมีทาทางพิรุธ จึงเขาแสดงตนเปนเจาหนาที่ตํารวจเพื่อขอตรวจคน ผลการตรวจ
คนพบยาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) จํานวนเศษหนึ่งสวนส่ีเม็ด บรรจุอยูในหลอดอยูใน
มือขวาของผูฟองคดี และไดตรวจคนรถยนตซึ่งเปนของผูฟองคดีพบยาเสพติดใหโทษประเภท ๕
(กัญชา) จาํ นวน ๑ หอเล็ก พรอมดวยกระดาษซองบุหร่ีย่ีหอกรองทิพยมวนเปนท่ีใชเสพควันยาบา
จํานวน ๑ อัน วางอยูบริเวณพวงมาลัยรถ ผูฟองคดีใหการปฏิเสธวาของกลางไมใชของตน
เจา หนาทีต่ ํารวจจึงนําตัวผูฟอ งคดไี ปตรวจปส สาวะหาสารเสพติดท่ีโรงพยาบาลบานโปง ปรากฏวา
พบสารเสพติดเมทแอมเฟตามีนในปสสาวะของผูฟองคดี จึงไดจับกุมตัวและแจงขอกลาวหาวา
มียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) และประเภท ๕ (กัญชา) ไวในครอบครองโดยไมได
รับอนุญาต และเสพยาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) โดยผิดกฎหมาย ผูฟองคดีให
การปฏิเสธโดยอางวาไดไปท่ีบานเลขที่ ๒๖ หมูท่ี ๖ ตําบลเบิกไพร อําเภอบานโปงเพื่อพบนาย ส.
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๗)
และไดอางพยานที่เห็นเหตุการณ จํานวน ๑๐ ปาก ซึ่งพยานทั้ง ๑๐ คน เก่ียวของเปนญาติกัน
และอยูอาศัยในบริเวณท่ีเกิดเหตุและจากขอมูลการจับกุม ปรากฏวา พยานบางคนมีประวัติถูกจับกุม
ในความผิดเก่ียวกับยาเสพติดโดยบริเวณที่จับกุมผูกระทําผิดดังกลาวคือบริเวณหมูที่ ๖ ซึ่งเปนที่
ท่ีจับกุมผูฟองคดี นอกจากน้ี ยังมีการจับกุมผูเสพยาเสพติดอีกหลายรายในบริเวณดังกลาวดวย
สําหรับผลการตรวจหาสารเสพติดในปสสาวะของผูฟองคดีปรากฏวามีสารเสพติดเมทแอมเฟตามีน
โดยในการตรวจหาสารเสพติดดังกลาว นาย ว. ผูอํานวยการโรงพยาบาลบานโปงไดใหการตอ
คณะกรรมการสอบสวนถึงขั้นตอนในการเก็บปสสาวะของผูฟองคดีวา เจาหนาที่ตํารวจควบคุม
ผูตองสงสัยท้ังสองคนมาที่หองตรวจพรอมแฟมประวัติท่ีโรงพยาบาลบานโปงออกใหและ
ใบนําสงของสถานีตํารวจภูธรอําเภอบานโปง เจาหนาท่ีหองตรวจมอบภาชนะพรอมปดปายช่ือ
ของผูตองสงสัยมอบใหเจาหนาท่ีตํารวจควบคุมไปเก็บปสสาวะท่ีหองนํ้าของผูปวยท่ัวไป
หลังจากนั้นเจาหนาท่ีตํารวจไดนําภาชนะท่ีใสปสสาวะแลวมามอบใหเจาหนาท่ีทําการตรวจ
โดยใชวิธีการตรวจ ๒ วิธี ซึ่งไดผลตรงกันและใชเวลาประมาณ ๑๕ นาที แมผลการตรวจหา
สารเมทแอมเฟตามีนท่ีผูฟองคดีไดไปดําเนินการดวยตนเองที่โรงพยาบาลเมืองราชและ
โรงพยาบาลราชบุรีจะไมพบสารเสพติด แตนายแพทยผูออกใบรับรองแพทยทั้งสองโรงพยาบาล
ดังกลาวไดใหการโดยสรุปวา การตรวจไมพบสารเมทแอมเฟตามีน อาจข้ึนกับสาเหตุบางอยางได
เชน ระยะเวลาหลังการรับสาร ปริมาณของสาร การขับถายของรางกาย และมียาบางชนิดสามารถ
เรง การขบั ถายสารเสพติดได สวนกรณที ผี่ ูฟอ งคดีกลาวอางวา ถกู กลนั่ แกลงเพราะเจาหนาท่ีตํารวจ
ที่จับกุมผูฟองคดีท้ังสองคร้ังเปนเจาหนาท่ีชุดเดียวกัน ก็ไมมีเหตุผลเพียงพอจะรับฟงเพราะเจาหนาที่
ชุดดังกลาวเปนเจาหนาที่ในทองที่เกิดเหตุซึ่งมีหนาท่ีในการจับกุมผูกระทําความผิดเก่ียวกับ
ยาเสพติดอยูแลว จากขอเท็จจริงดังกลาว จึงมีเหตุผลเพียงพอท่ีจะรับฟงไดวาผูฟองคดี
มีพฤติการณเสพยาเสพติดและมียาเสพติดใหโทษไวในครอบครองตามที่ถูกกลาวหาจริง
ประกอบกับการสอบสวนทางวินัย มีกระบวนการวิธีพิจารณาท่ีแตกตางและแยกตางหากจากการ
ดําเนินคดีอาญา ดังน้ันในกรณีท่ีขาราชการผูใดถูกดําเนินการทางวินัย และถูกดําเนินคดีอาญาใน
กรณีเดียวกัน หากผลการสอบสวนทางวินัยฟงไดวาผูถูกกลาวหากระทําความผิดทางวินัยแลว
ผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจส่ังบรรจุแตงตั้งก็สามารถส่ังลงโทษทางวินัยขาราชการผูนั้นไดโดย
ไมจําตองนําผลการดําเนินคดีอาญามาประกอบการพิจารณาแตอยางใด ดังนั้น เม่ือผูฟองคดี
มีพฤติการณเสพยาเสพติดและมียาเสพติดใหโทษไวในครอบครองตามที่ถูกกลาวหาจริง
เม่ือพฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีรับฟงไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
และมาตรา ๕ (๗) และ (๑๒) แหง พ.ร.บ. วาดวยวินัยตํารวจ พุทธศักราช ๒๔๗๗ การท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีคําส่ังลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
จึงเปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําพิพากษาใหเพิกถอน
คําส่ังตํารวจภูธรภาค ๗ ลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๕ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๘)
และใหดําเนินการเก่ียวกับสิทธิของผูฟองคดีตอไปตามกฎหมาย ระเบียบและขอบังคับที่เกี่ยวของ
ทง้ั น้ี ภายในหกสิบวนั นบั แตว นั ทค่ี ดีถงึ ทส่ี ดุ ศาลปกครองสงู สุดไมเ ห็นพองดวย
พพิ ากษากลบั เปนยกฟอ ง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๐๐๙ – ๑๐๑๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๗๓
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อบ.๒๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะที่ผูฟองคดีรับราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู
กองกํากับการ ๓ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ไดถูกกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยอยางรายแรง โดยกลาวหาวาผูฟองคดีเรียกรับผลประโยชนในกลุมธุรกิจ
ท่ีเกี่ยวของกับแรงงานตางดาวผิดกฎหมายและธุรกิจที่เก่ียวของกับการนําเท่ียวของตางชาติ (เกาหลี)
ในพื้นท่ีจังหวัดภูเก็ต ตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูบัญชาการกองบัญชาการตํารวจสันติบาล) ไดมีคําสั่ง
ลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓
ผูฟองคดีเห็นวาการออกคําสั่งลงโทษดังกลาวเปนไปโดยมิชอบดวยกฎหมาย จึงมีหนังสือลงวันท่ี ๓
ตุลาคม ๒๕๕๔ อุทธรณตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) เลขานุการ
คณะกรรมการขาราชการตํารวจไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ แจงวา ผูถูกฟองคดี
ที่ ๒ พิจารณาแลวเห็นวา ผูฟองคดีควรไดรับโทษถึงไลออกจากราชการ จึงมีมติใหยกอุทธรณ
และใหก องบญั ชาการตํารวจสันติบาลมีคําส่ังเพิ่มโทษ เปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จากนั้น
ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ไดม ีคําสง่ั ลงวนั ท่ี ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๕๕ เปล่ียนแปลงคําสั่งตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒
จากปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลออกจากราชการ ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ และคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ รวมทั้ง
เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ท่ียกอุทธรณของผูฟองคดี เห็นวา
เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานในช้ันสืบสวนขอเท็จจริงเบื้องตนและในช้ันคณะกรรมการสอบสวน
ทางวินัย กรณีผูฟองคดีเรียกรับเงินจากบริษัท อ. แลวเห็นวา นาย ธ. กรรมการผูจัดการบริษัท อ.
ไดใหถอยคําตอคณะกรรมการฯ วา เม่ือประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีเขามาในโครงการ
กอสรางเพ่ือเรียกรองเงินเปนรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท โดยบริษัทไดจายเงินใหผูฟองคดี
ไปท้ังหมด ๔ เดือน ต้ังแตเดือนกันยายน ๒๕๕๑ ถึงธันวาคม ๒๕๕๒ โดยโอนเงินเขาบัญชีธนาคาร
ชื่อบัญชีนาย อ. ซึ่งนาย ธ. ไดยืนยันภาพถายของผูฟองคดีวาเปนผูมาเรียกเก็บเงินดังกลาว
และเมื่อคณะกรรมการฯ ไดตรวจสอบรายการฝากและถอนเงินของบัญชีดังกลาวระหวางวันท่ี
๑ มกราคม ๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ แลว พบวามีรายการโอนเงินเขาบัญชีจํานวนครั้งละ
๘,๐๐๐ บาท ในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ วันท่ี ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ และวันท่ี ๒๓ ธันวาคม
๒๕๕๑ ตรงตามท่ีนาย ธ. ใหการ นอกจากนี้ คําใหการของนาย ธ. ยังสอดคลองกับคําใหการของ
นาย ส. และนาย ช. ผูควบคุมงานกอสรางของบริษัท อ. ที่ไดใหถอยคําตอตํารวจในช้ันการสืบสวน
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๗๙)
ขอเทจ็ จริงเบอื้ งตน จากคําใหการของนาย ธ. นาย ส. และนาย ช. ประกอบกับหลักฐานรายการโอนเงิน
บัญชีดังกลาว จึงเช่ือวาผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกรับเงินจากบริษัท อ. จริง แมจะอางวาผูฟองคดี
ไมไดเรียกรับเงินจากบริษัท อ. เพียงแตเขาไปทําการตรวจสอบแรงงานตางดาว และปรากฏวาไมพบ
แรงงานตางดาวผิดกฎหมาย ซ่ึงแมวาผูฟองคดีไดสงเอกสารการตรวจสอบใหคณะกรรมการสอบสวน
ตัง้ แตวนั ที่ ๑๘ กนั ยายน ๒๕๕๑ แลว แตใ นชัน้ การสอบสวนทางวินัยและในช้ันอุทธรณ ผูฟองคดีไมเคย
กลาวอางเอกสารดังกลาวเพื่อแกขอกลาวหา ซ่ึงหากผูฟองคดีมิไดกระทําผิดตามขอกลาวหาวา
ไดเรียกรับเงินจากบริษัท อ. จริง ผูฟองคดีนาจะอางเอกสารดังกลาวเปนหลักฐานสําคัญเพ่ือใช
ในการหักลางและแกขอกลาวหาดังกลาวตั้งแตในช้ันการสอบสวนวินัย ประกอบกับนาย ธ. ซ่ึงผูฟองคดี
อางวาเปนผูนําการตรวจสอบ ก็ไมเคยใหถอยคําวาผูฟองคดีไดเขาไปตรวจสอบแรงงานตางดาว
ในบรษิ ทั และไดม ีการจัดทาํ บนั ทกึ การตรวจสอบแรงงานตางดาวไวเปนหลักฐานแตอยางใด นอกจากนี้
หากบริษัทดังกลาวมิไดกระทําผิดกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานตางดาวจริง ก็ไมมีความจําเปนที่นาย ธ.
กรรมการผูจัดการบริษัท อ. จะตองจายเงินรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท ใหแกผูฟองคดี
ซึ่งการจายเงินดังกลาวนาจะเปนการจายเงินเพ่ือแลกกับการไมถูกดําเนินคดีในความผิดเก่ียวกับ
แรงงานตางดาว สวนกรณีเรียกรับเงินจากบริษัท ซ. นั้น เมื่อพิจารณาจากถอยคําในชั้นสอบสวนของ
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแลวเห็นวา นาย ม. กรรมการผูจัดการบริษัท ซ. ไดใหถอยคําตอ
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยวา เม่ือประมาณกลางป ๒๕๔๗ ผูฟองคดีไดเขามาติดตอเพื่อเรียกรับ
ผลประโยชนเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ซ่ึงบริษัทไดจายเงินใหผูฟองคดีเปนเวลา ๓ – ๔ ป โดยผูฟองคดี
จะมารับดวยตนเอง แตตอมาเมื่อเศรษฐกิจไมดีประกอบกับไดรับแจงจากพันตํารวจตรี อ. ที่มา
รับตําแหนงสารวัตรสันติบาลจังหวัดภูเก็ตวามีผูแอบอางช่ือไปเรียกรับผลประโยชนจึงใหงดจาย
โดยนาย ม. ไดยืนยันภาพถายของผูฟองคดีวาเปนผูมาติดตอและรับเงิน ซึ่งคําใหการของนาย ม.
มีนํ้าหนักพอที่จะรับฟงไดวาผูฟองคดีกระทําผิดตามขอกลาวหา เนื่องจากเรื่องดังกลาวนาย ม.
ไมไดเปนผูรองเรียนผูฟองคดี แตเปนกรณีที่ผูบังคับบัญชาไดตรวจสอบขอเท็จจริงและสอบสวน
การกระทําผิดของผูฟองคดีเอง แมภายหลังนาย ม. จะกลับคําใหการวาบริษัทของตนไมเคยจายเงิน
ใหแกผฟู องคดี แตการกลับคาํ ใหก ารดงั กลา วก็มิไดทําใหความนาเช่ือถือของคําใหการในครั้งแรกลดลง
เนื่องจากการที่นาย ม. กรรมการผูจัดการบริษัท ซ. ไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ถึงประธานกรรมการสอบสวน โดยขอกลับคําใหการเชนเดียวกับนาย ธ. กรรมการผูจัดการบริษัท อ.
ซึ่งมีหนังสือขอกลับคําใหการในวันเดียวกันกับนาย ม. และในหนังสือทั้งสองฉบับของนาย ม.
และนาย ธ. ยังมีถอยคําในหนังสือเหมือนกันวา บริษัทของตนไมเคยจายเงินใหแกผูฟองคดี จึงเปน
ขอพิรุธวาบุคคลท้ังสองมีหนังสือขอกลับคําใหการในวันเดียวกันและมีถอยคําในหนังสือเหมือนกัน
ซ่ึงอาจจะมีผูหน่ึงผูใดไปขอใหชวยเหลือหรือบังคับขูเข็ญพยานใหมากลับคําใหการ การกลับคําใหการ
ในภายหลังจึงไมอาจรับฟงได เมื่อไดวินิจฉัยแลววาผูฟองคดีมีพฤติการณเรียกรับเงินจากบริษัท อ.
และบริษัท ซ. จึงเปนการกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบเพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได และฐานกระทําการอันไดชื่อวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๑) และ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๐)
ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ วางระดับโทษฐานทุจริตตอหนาที่ราชการมีโทษ
ไลออกจากราชการ ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ มีมติยกอุทธรณของผูฟองคดีและใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําส่งั เพ่ิมโทษเปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งเปล่ียนแปลงโทษ
คําสั่งลงโทษจากปลดออกจากราชการเปนไลออกจากราชการ จึงชอบดวยกฎหมายแลว และผลจาก
คําส่ังเพิ่มโทษดังกลาวยอมมีผลทําใหคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔
ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการเปนอันพับไปตามขอ ๓ ของกฎ ก.ตร. วาดวยหลักเกณฑและ
วิธีการดําเนินการใหผูถูกลงโทษตามคําส่ังเดิมรับโทษท่ีเพ่ิมข้ึนหรือกลับคืนสูฐานะเดิม พ.ศ. ๒๕๔๗
การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ
ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีมติยกอุทธรณของผูฟองคดีและใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังเพ่ิมโทษ
เปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม
๒๕๕๔ เปลี่ยนแปลงคําส่ังลงโทษผูฟองคดีจากปลดออกจากราชการเปนไลออกจากราชการ
ตามมติอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณดังกลาว นั้น จึงชอบดวย
กฎหมายแลว ทศ่ี าลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง นัน้ ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พอ งดวย
พพิ ากษายืน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๓๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ยศจาสิบตํารวจ ตําแหนง
ผูบังคับหมู ฝายอํานวยการ ๑ กองบังคับการอํานวยการ กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน
ไดร ับความเดือดรอ นหรือเสยี หายจากการทผ่ี ถู ูกฟอ งคดที ี่ ๑ (ผูบงั คบั การกองบังคบั การอํานวยการ
กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน) มีคําสั่งลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ลงโทษภาคทัณฑ
ผูฟ อ งคดี เนอื่ งจากเม่อื ประมาณป พ.ศ. ๒๕๕๑ ถงึ ป พ.ศ. ๒๕๕๒ ผูฟองคดีไดไปท่ีฝายอํานวยการ
๔ (เดิม) กองบังคับการอาํ นวยการกองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน เพือ่ ใชเครื่องถายเอกสาร
และไดเก็บเอกสารจํานวนหน่ึงท่ีถูกท้ิงไวในถังขยะบริเวณเคร่ืองถายเอกสารมาอานแลวเห็นวา
เก่ียวของกับตน จึงนําเอกสารดังกลาวไปยื่นตอศาลปกครอง เพ่ือประกอบคําคัดคานคําใหการ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ เห็นวา การกระทําของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง จึงมีคําสั่ง
ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ อุทธรณคําสั่งดังกลาว
ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ผูบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน) วินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓
ที่ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี และเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
เห็นวา เอกสารท่ีผูฟองคดีนําไปยื่นเพ่ือประกอบคําคัดคานคําใหการตอศาลปกครองช้ันตน
ในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๒/๒๕๕๕ จํานวน ๑๐ แผนน้ัน ในสวนท่ีเปนสําเนาบันทึกวากลาว
ตักเตือนพันตํารวจโท จ. กรณีกระทําความผิดวินัยอยางไมรายแรง ลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑
จํานวน ๒ แผน สําเนารายการความผิดของพันตํารวจโท จ. กรณีกระทําความผิดวินัยอยางไมรายแรง
ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ จํานวน ๑ แผน และสําเนาหนังสือฝายอํานวยการ ๔ (เดิม)
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๑)
เรื่อง การดําเนินการทางวินัยพันตํารวจโท จ. ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ จํานวน ๑ แผน
สําเนาเอกสารดังกลาวลวนเปนสําเนาเอกสารเก่ียวกับการลงโทษวากลาวตักเตือนพันตํารวจโท จ.
กรณีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง สําเนาเอกสารดังกลาวจึงมิไดเกี่ยวของโดยตรงกับคําส่ัง
ท่ีผูฟองคดีถูกลงโทษทางวินัยท่ีผูฟองคดีนําคดีไปฟองตอศาลปกครอง ในคดีหมายเลขแดง
ท่ี ๓๑๒/๒๕๕๕ สวนสําเนาเอกสารอีก ๖ แผน คือสําเนาเอกสารบันทึกเสนองานของงานวินัย
ฝายอํานวยการ ๔ (เดิม) เร่ือง การดําเนินการทางวินัยผูฟองคดี ฉบับลงวันท่ี ๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
ฉบับลงวันท่ี ๑๙ มถิ ุนายน ๒๕๕๑ และฉบับลงวันที่ ๒๕ มิถนุ ายน ๒๕๕๑ นั้น แมเอกสารดังกลาว
จะเปนเอกสารท่ีเกี่ยวของกับการดําเนินการทางวินัยของผูฟองคดี ซึ่งผูฟองคดีมีสิทธิขอตรวจดู
เพ่ือการโตแยงหรือช้ีแจงหรือปองกันสิทธิของตนได แตผูฟองคดีก็มีหนาท่ีตองย่ืนคําขอตรวจดู
เอกสารตอหนวยงานของรัฐที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลเอกสารดังกลาวดวยตามมาตรา ๑๑
วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.ขอมูลขาวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และมาตรา ๓๑ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดีไดย่ืนคําขอ
ตรวจดูเอกสารดังกลาว แตปรากฏวาผูฟองคดีเคยย่ืนขอคัดถายสําเนาเอกสารจํานวน ๑๐ แผน
ดังกลาว แลวถูกปฏิเสธเน่ืองจากฝายอํานวยการ ๔ (เดิม) อางวาเปนคูกรณีกันและใหผูฟองคดี
ไปหาเอกสารดวยตนเอง จึงรับฟงไดวาผูฟองคดีไมไดรับอนุญาตใหคัดถายสําเนาเอกสารทั้ง
๑๐ แผนดังกลาวจากหนวยงานของรัฐที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลเอกสารน้ัน สวนท่ีผูฟองคดี
อางวาผูฟองคดีเก็บเอกสารดังกลาวไดจากถังขยะ ภายหลังจากที่คําขอคัดถายเอกสารดังกลาว
ของผูฟองคดีไดรับการปฏิเสธ น้ัน เมื่อพิจารณาคํากลาวอางของผูฟองคดี ประกอบความเห็นของ
คณะกรรมการสอบสวนที่เห็นวาเอกสารจํานวน ๑๐ แผนดังกลาว มีสภาพเปนเอกสารท่ีสมบูรณ
เรียบรอ ย และขอ ความในเอกสารไมเ บี้ยวไมเ อยี ง จงึ ไมนา เชอ่ื วาผูฟ องคดเี ก็บเอกสาร จาํ นวน ๑๐ แผน
ดังกลาวได หลังจากที่ถูกปฏิเสธการขอคัดถายสําเนาเอกสารทั้ง ๑๐ แผนดังกลาว โดยเก็บไดจาก
ถังขยะท่ีต้ังอยูขางเคร่ืองถายเอกสาร ซ่ึงต้ังอยูในสํานักงานของฝายอํานวยการ ๔ (เดิม) โดยเอกสาร
ดังกลาวมีสภาพสมบูรณท้ังตัวเอกสารและขอความในเอกสาร แตพฤติการณนาเชื่อวาผูฟองคดี
ไดกระทําการใด ๆ หรือมีสวนในการกระทําเพ่ือใหไดมาซ่ึงสําเนาเอกสารจํานวน ๑๐ แผนดังกลาว
โดยมิชอบหลังจากถูกปฏิเสธมิใหคัดถายสําเนาเอกสารดังกลาว การกระทําของผูฟองคดีจึงเปน
การประพฤติตนในลักษณะท่ีไมสมควรอันเปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานตองไมประพฤติตน
ในลักษณะที่ไมส มควรตามมาตรา ๗๘ (๑๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงมอี ํานาจลงโทษภาคทัณฑผฟู องคดีไดตามมาตรา ๘๒ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๑๓
ธันวาคม ๒๕๕๓ ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี จึงชอบดวยกฎหมายแลว และเมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๒
ไดวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดีโดยอาศัยขอเท็จจริงและขอกฎหมายเดียวกันกับคําสั่ง
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนคําวินิจฉัยอุทธรณที่ชอบดวยกฎหมายเชนกัน ที่ศาลปกครองชั้นตน
พิพากษาเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ที่ลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี และเพิกถอน
คําวินจิ ฉยั อุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันท่ี ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๒)
โดยใหมผี ลยอนหลังนับแตว ันทีค่ าํ สั่งของผูถ ูกฟองคดที ่ี ๑ และคาํ วินจิ ฉยั อุทธรณของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๒
มผี ลใชบ ังคบั น้ัน ศาลปกครองสงู สดุ ไมเห็นพอ งดว ย
พิพากษากลบั เปนยกฟอ ง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๕๑-๕๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เงื่อนไขการฟองคดี
หนา ๗๕
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ.๕๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ สังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผูบ งั คบั การตํารวจภธู รจงั หวดั อํานาจเจรญิ ) ไดร บั ความเดอื ดรอ นเสียหายอนั เน่อื งจากผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําส่ังลงวันท่ี ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ต้ังแตวันท่ี
๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ เปนตนไป โดยอางวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการ
อันไดช่ือวาประพฤติช่ัวอยางรายแรง จากการที่ผูฟองคดีถูกจับกุมตัวพรอม นาย ย. และนาย ค.
โดยถูกกลาวหาวา รวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (ยาบา) ไวในครอบครองเพ่ือจําหนาย
โดยผิดกฎหมาย พนักงานอัยการไดส่ังฟองผูตองหาท้ังสาม และคดีอาญาถึงท่ีสุดแลว โดยศาล
จังหวัดอุบลราชธานีมีคําพิพากษาจําคุกนาย ค. และนาย ย. สวนผูฟองคดีศาลพิพากษายกฟอง
ผฟู องคดีจงึ มีหนังสืออุทธรณคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตอประธานผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ซ่ึงคณะอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา ในช้ันการดําเนินการสอบสวน
ทางวินัยนั้น คณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนไมถูกตองตามข้ันตอนที่เปนสาระสําคัญ
ตามกฎหมาย สงผลใหค าํ ส่งั ของผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ และมติของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๒ ทลี่ งโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ไมชอบดวยกฎหมาย อีกท้ัง คดีอาญาพิพากษายกฟอง ผูฟองคดีจึงถือไมไดวา
ผูฟองคดีกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอให
เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติ
คณะอนุกรรมการ ก.ตร.เกี่ยวกับการอุทธรณ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗
เฉพาะสวนท่ีเก่ียวของกับผูฟองคดี และใหผูฟองคดีเปนผูบริสุทธ์ิ ไมมีความผิดและมีคําสั่งให
ผูถูกฟองคดีท้ังสองคืนสิทธิอันพึงมีพึงไดใหแกผูฟองคดี เห็นวา ขอเท็จจริงปรากฏวา
ในชั้นพิจารณาของศาลจังหวัดอุบลราชธานี และในชั้นสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนวา
ผูฟองคดีกับนาย ค. รูจักกันมากอนที่จะถูกจับดําเนินคดีอาญาความผิดตอ พ.ร.บ. ยาเสพติด
ใหโทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยมีพฤติกรรมเท่ียวด่ืมกินที่รานอาหาร เลนการพนันบั้งไฟและการพนันมวยตู
ดวยกันเปนประจํา และเดินทางไปไหนมาไหนดวยกันตลอด แมในวันเกิดเหตุจะไมปรากฏ
ขอเท็จจริงวาผูฟองคดีไดรูถึงเจตนาของนาย ค. และนาย ย. ที่จะไปรับยาเสพติดก็ตาม
แตหากนาย ค. ไมรูจักกับผูฟองคดีจนสนิทสนมจนเปนที่ไววางใจกันได ยอมไมพาผูฟองคดี
ซง่ึ เปนเจา หนาท่ีตํารวจไปยังสถานท่ีนัดรับมอบยาเสพติด และแมผูฟองคดีและนาย ค. จะรูจักกัน
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๓)
มาเปนเวลาประมาณ ๖ เดือน ก็เพียงพอท่ีจะเช่ือไดวาผูฟองคดีและนายครองศักด์ิคบคาสมาคม
กันเปน อาจณิ เม่อื ในวนั เกิดเหตุเจาพนักงานตํารวจไดตรวจพบสารเสพติดในปสสาวะของนาย ค.
และนาย ย. ขอเท็จจริงดังกลาวเห็นไดวานาย ค. และนายยุทธนาเสพยาเสพติดมากอนถูกจับกุม
การท่ีผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจมีหนาที่หลักในการรักษาความสงบเรียบรอยในบานเมือง
ท้ังปอ งกันและปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดใหโทษ ยอมมีทักษะในการสังเกตอัตลักษณ
และบุคลิกภาพหรือพฤติกรรมหรือพฤติการณของบุคคล ประกอบกับผูที่เสพยาเสพติดใหโทษ
ยอมมีบุคลิกท่ีแตกตางจากบุคคลทั่วไป ผูฟองคดียอมรูหรือควรรูวานาย ค. และนาย ย.
ซึ่งเปนบุคคลตนเท่ียวด่ืมกินและเลนการพนันดวยกันเปนผูท่ีมีพฤติการณเกี่ยวของกับเสพยาเสพติด
พฤติกรรมของผูฟองคดีจึงเช่ือไดวาเปนผูคบคาสมาคมเปนอาจิณกับผูที่เก่ียวของกับยาเสพติด
โดยรูหรือควรจะรูวาผูนั้นเกี่ยวของกับยาเสพติดตามขอ ๑๒ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
วาดวยการปองกันเจาหนาท่ีของรัฐมิใหเกี่ยวของกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับผูฟองคดี
มีพฤติการณเลนการพนัน เท่ียวสถานบันเทิงที่มีหญิงตางชาติคอยใหบริการ เมื่อพิจารณา
ถึงเกียรติยศของขาราชการตํารวจ และความรูสึกของสังคมที่มีตอการกระทําของผูฟองคดีซึ่งเปน
ผูพิทักษสันติราษฎรอันเปนที่พึ่งของประชาชนในการชวยรักษาความสงบสุขใหเกิดข้ึนแกสังคม
ยอมไมเปนท่ีไววางใจของสังคม และทําใหเกิดความเสียหายตอภาพพจนและช่ือเสียงของ
สํานักงานตรวจแหงชาติ จึงถือผูฟองคดีกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ตั้งแตวันท่ี ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ (วันท่ีมีคําส่ังใหออกจากราชการไวกอน)
เปนตน ไป จงึ เปนคาํ สง่ั ทีช่ อบดวยกฎหมายแลว และการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติใหยกอุทธรณของ
ผูฟ องคดี จึงชอบดวยกฎหมายเชน กัน ท้ังน้ี แมวาศาลจังหวดั อุบลราชธานีมีคําพิพากษาวินิจฉัยวา
จากพยานหลักฐานท่โี จทกนาํ สบื มาจึงยังมีความสงสัยตามสมควรวาจําเลยที่ ๑ (ผูฟองคดี) กระทํา
ความผิดตามฟองหรือไม เห็นควรยกประโยชนแหงความสงสัยน้ันใหแกจําเลยที่ ๑ (ผูฟองคดี)
พิพากษายกฟองจาํ เลยที่ ๑ (ผฟู อ งคดี) ก็ตาม แตเมื่อการดําเนินคดีอาญาและการดําเนินการทางวินัย
มีวัตถปุ ระสงคท่ีแตกตา งกัน ซ่ึงหากมีขอ เทจ็ จริงพอเชอ่ื ไดว า มีการกระทาํ ผดิ วนิ ัยจริงผูบังคับบัญชา
ยอ มมีอาํ นาจลงโทษได โดยไมจําตองผูกมัดกับผลของคดีอาญาแตอยางใด และเม่ือคณะกรรมการ
พิจารณากล่ันกรองการพิจารณาส่ังลงโทษ ไดมีมติใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวน
เพ่ิมเติม โดยสอบสวนปากคาํ ชุดปฏิบัติการปองกันและปราบปรามยาเสพติด สถานีตํารวจภูธรลืออํานาจ
เจาหนาท่ีตํารวจกองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติดและลืออํานาจเจาหนาท่ีปองกัน
และปราบปรามยาเสพติดท่ีรับผิดชอบเขตพื้นที่อําเภอลืออํานาจวามีขอมูลของผูฟองคดี นาย ค.
และนาย ย. เกี่ยวของกับยาเสพติดหรือไม อยางไร และรับฟงขอเท็จจริงจากสํานวนการสอบสวน
และคําพิพากษาศาลจังหวัดอุบลราชธานีแลวมติวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดี
ที่ไดคบคาสมาคมเปนอาจิณกับผูท่ีเก่ียวของกับยาเสพติด โดยรูหรือควรจะไดรูวาผูน้ันเกี่ยวของ
กับยาเสพติดและไดรวมกับนาย ค. และนาย ย. ครอบครองยาเสพติด (ยาบา) เพื่อจําหนาย
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๔)
แลวถูกเจาหนาที่ตํารวจจับกุมไดน้ัน พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีนับไดวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงตามขอ ๑๒ (๔) ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวย
การปองกนั เจาหนา ท่ขี องรฐั มใิ หเ กย่ี วของกับยาเสพติด (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔ และตามมาตรา ๗๙ (๕)
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เห็นควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และไดมี
หนังสือเสนอใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณา น้ัน ถือวาคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการ
พิจารณาสั่งลงโทษรับฟงขอเท็จจริงครบถวนแลว ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดวย
พิพากษายืน
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ.๗๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงรองผูกํากับ
การปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรหนองฮี จังหวัดรอยเอ็ด ไดรับความเดือดรอนหรือ
เสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ) มีคําสั่งใหผูฟองคดีออกจาก
ราชการไวกอน เพ่ือรอฟงผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย เนื่องจากผูฟองคดีถูกกลาวหาวา
กระทําผิดวินัยอยางรายแรงจนถูกต้ังคณะกรรมการสอบสวนและตองหาคดีอาญา ขอหา
ปลอมและใชเ อกสารปลอม ผูฟอ งคดจี งึ มหี นงั สืออุทธรณคาํ สั่งดังกลาว ตอมา อนุกรรมการ ก.ตร.
เกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ไดมีมติ
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
คําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอนและมติท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และมีคําสั่งให
ผูถูกฟองคดีทั้งสาม (สํานักงานตํารวจแหงชาติ ที่ ๑) รับผูฟองคดีกลับเขารับราชการตํารวจ
ในตําแหนงหนาท่ีตอไปจนกวาคดีอาญาจะถึงท่ีสุด เห็นวา เมื่อคดีนี้ปรากฏขอเท็จจริง
ในการตรวจคนบานพักผูฟองคดีของเจาหนาที่ตํารวจ มีการพบเอกสารเปนขอตกลงระบุวา
ผูฟองคดีรับจางประสานการขอใบอนุญาตใหมีอาวุธปนติดตัว ในราคาฉบับละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งพยานหลักฐานดังกลาวเปนพยานหลักฐานที่ทําใหนาเชื่อวา ผูฟองคดีมีสวนรวมหรือ
มีสวนเก่ียวของในการปลอมใบอนุญาตใหมีอาวุธปนติดตัว หรือมีสวนเก่ียวของกับการจัดหาหรือ
ไดมาซึ่งใบอนุญาตใหมีอาวุธปนติดตัวโดยการมีคาใชจายในการดําเนินการ ซึ่งการกระทําของ
ผูฟองคดีดังกลาวเปนการทําใหผูอื่นเช่ือวาผูฟองคดีสามารถดําเนินการใหไดมาซึ่งใบอนุญาต
ใหมีอาวุธปนติดตัวได ทั้งท่ีไมเปนความจริง อันแสดงใหเห็นวา ผูฟองคดีมีความประพฤติ
หรือพฤติการณท่ีไมนาไววางใจ เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจตาม
มาตรา ๗๒ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ไดพิจารณาแลวเห็นวา ถาใหผูฟองคดี
คงอยูในหนาท่ีราชการตอไปอาจเกิดการเสียหายแกราชการ หรือจะเปนอุปสรรคตอการสอบสวน
พิจารณา ประกอบกับในการสอบสวนพิจารณาทางวินัยผูฟองคดีจะไมแลวเสร็จโดยเร็ว
เมื่อพิจารณาพฤติการณตามขอกลาวหาตลอดจนเหตุผลท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ใชเปนฐาน
ในการออกคําส่ังใหออกจากราชการไวกอนแลว เปนกรณีท่ีตองดวยมาตรา ๙๕ แหง
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๕)
พระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบขอ ๓ (๑) (๒) และขอ ๘ ของกฎ ก.ตร. วาดวย
การส่ังพักราชการและการส่ังใหออกจากราชการไวกอน พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มีคําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอน จึงเปนการใชดุลพินิจในการออกคําส่ังที่ชอบดวย
กฎหมายแลว นอกจากนี้ วัตถุประสงคของการดําเนินคดีอาญาตามกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญามีวัตถุประสงคเปนการนําตัวผูกระทําความผิดทางอาญามาลงโทษหรือการพิสูจน
ขอเท็จจริงเพื่อใหทราบวาผูตองหาหรือจําเลยเปนผูกระทําความผิดหรือไม และผูน้ันจะไดรับโทษ
ในทางอาญาเพื่อรักษาความสงบเรียบรอยของประชาชนและความสงบสุขของสังคมโดยรวม
ซึ่งการดําเนินคดีอาญาจะตองมีพยานหลักฐานท่ีปรากฏชัดแจงวาผูฟองคดีกระทําผิดจริง
จึงจะลงโทษทางอาญาได สวนการดําเนินการทางวินัยน้ันเปนไปเพื่อควบคุมความประพฤติ
ใหขาราชการปฏิบัติตนใหอยูในระเบียบวินัยขาราชการ หากขาราชการผูใดฝาฝนไมปฏิบัติอยูใน
ระเบียบวินัยขาราชการ ยอมจะตองถกู ลงโทษสถานหนักหรือเบาตามความรายแรงของพฤติการณ
โดยจะตองปรากฏขอเท็จจริงเพียงพอใหเชื่อไดวา มีการกระทําผิดวินัยเกิดข้ึนจริง จึงจะลงโทษได
กระบวนการพิจารณาเพ่ือลงโทษทางอาญากับทางวินัยจึงมีกระบวนการพิจารณาที่แตกตางกัน
โ ด ย ผู มี อํ า น า จ ดํ า เ นิ น ก า ร ท า ง วิ นั ย ไ ม จํ า ต อ ง ผู ก มั ด กั บ ผ ล ข อ ง ค ดี อ า ญ า แ ต อ ย า ง ใ ด
หากพยานหลักฐานและพฤติการณของผูฟองคดีรับฟงไดวา ผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงตามขอกลาวหาจริง ก็สามารถลงโทษทางวินัยรายแรงแกผูฟองคดีไดตามกฎหมาย
และเมื่อไดวินิจฉัยแลววาคําสั่งใหผูฟองคดีออกจากราชการไวกอนเปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมายแลว
มติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ซ่ึงไดพิจารณาโดยอาศัยขอเท็จจริงและพยานหลักฐานเดียวกัน
จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง น้ัน
ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดวย
พิพากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๙๗ - ๙๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงพนักงานสอบสวน (สบ. ๓)
สถานีตํารวจภูธรปาย ผูฟองคดีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงไมดําเนินคดีผูตองหา
ตามคํารองทุกขคดีอาญาท่ี ๓๗๕/๒๕๔๙ และไมขอขยายระยะเวลาการสอบสวนทําสํานวน
คดีอาญาลาชา ตอมา คณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๒
(ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน) วา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ทําสํานวน
คดีอาญาลาชา คาง และเกิดความเสียหายอยางรายแรง เห็นควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาการลงโทษเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการ
สอบสวน และมีมติใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ และผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี
๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงอุทธรณคําส่ังดังกลาว
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) ตอมา ผูฟองคดีไดรับหนังสือลงวันที่
๑๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๕ แจงผลการพิจารณาอุทธรณวาคณะอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับ
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๖)
การอุทธรณทําการแทนผูถูกฟองคดีท้ัง ๓ มีมติใหมีคําส่ังยกโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
แลวสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการและลงโทษผูฟองคดีกรณีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง
ไปตามอํานาจหนาท่ีใหถูกตองเหมาะสมตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๕
ยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ สวนการสั่งใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการและลงโทษ
กรณีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงนั้น ใหรอไวกอน เน่ืองจากผูฟองคดีถูกไลออกจากราชการ
อีกกรณีหน่ึงตามคําสั่งตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติใหนําเรื่องการอุทธรณคําสั่งลงโทษของผูฟองคดีกลับไปสรุปพยานหลักฐาน
ทเี่ กี่ยวของโดยละเอียดพรอมตรวจสอบขอมูลเพิ่มเติม ซ่ึงในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาแลวเห็นวา คําส่ังที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการนั้น ถูกตอง
เหมาะสมแลว อทุ ธรณข องผฟู อ งคดีฟง ไมข ึ้นมีมติใหย กอทุ ธรณ ผูฟองคดีจึงนาํ คดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เมื่อวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ท่ีใหยกอุทธรณลงวันท่ี
๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) รับผิดใชเงินใหแก
ผูฟองคดี จํานวน ๑๕,๑๒๗,๙๐๗.๑๒ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแต
วันฟองเปนตนไป เห็นวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสอบสวนผูรับผิดชอบสํานวนคดีอาญาท่ี ๓๗๕/
๒๕๔๙ ขอหาพยายามฆาผูอื่น มีอาวุธปนและเครื่องกระสุนปนไวในครอบครองโดยไมไดรับ
อนุญาต ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนผูฟองคดี กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ไมดําเนินคดีอาญาผูตองหา
ตามคํารองทุกขคดีอาญาดังกลาว ไมขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ไมนําตัวผูตองหาผัดฟอง
ฝากขัง เกียจคราน ไมนําสํานวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการจังหวัดแมฮองสอน ไมมีการปรับ
นายประกันท่ีผิดสัญญาประกันตัวผูตองหา ทําสํานวนคดีอาญาลาชา เม่ือการกระทําความผิด
ของผูตองหาในคดีอาญาที่ ๓๗๕/๒๕๔๙ เปนขอหาในคดีความผิดอาญาแผนดิน มิใชคดีความผิด
อันยอมความกันได แมผูเสียหายจะไมติดใจเอาความผูตองหาตามท่ีผูฟองคดีกลาวอางก็ตาม
ผูฟองคดีซึ่งเปนพนักงานสอบสวนก็ยังคงมีหนาท่ีตองดําเนินคดีกับผูตองหาตอไป โดยมีหนาท่ี
รวบรวมพยานหลักฐานและดําเนินการอ่ืนตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา เพื่อใหทราบขอเท็จจริงหรือพิสูจนความผิดและเพ่ือนําตัวผูกระทําผิดมาฟองลงโทษ
เมื่อนับแตผูฟองคดีอนุมัติใหปลอยตัวผูตองหาชั่วคราวเมื่อวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ จนกระท่ัง
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
แกผูฟองคดีในเร่ืองดังกลาว ซึ่งเปนเวลาเกือบ ๔ ป ปรากฏวาผูฟองคดียังมิไดมีการสงสํานวนคดี
ดังกลาวพรอมดวยความเห็นไปยังพนักงานอัยการจังหวัดแมฮองสอนเพื่อดําเนินการตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นอกจากน้ี เมื่อครบกําหนดระยะเวลาการปลอยตัวช่ัวคราว
ระหวางการสอบสวนแลว ผูฟ องคดีก็มิไดด ําเนนิ การสงผูตอ งหาไปศาลเพ่ือดําเนินการตามประมวล
กฎหมายดังกลา ว พฤติการณข องผฟู องคดถี ือไดวา เปนการปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการ
โดยมิชอบเพ่ือใหผูตองหาไดรับประโยชนโดยไมตองถูกควบคุมตัวหรือถูกดําเนินคดีอาญาตามกฎหมาย
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๗)
อันเปนประโยชนที่มิควรได กรณีจึงเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๑)
แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหง ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การทผี่ ูฟ องคดมี กี ารทาํ สาํ นวนคดีอาญาลาชานานเกือบ ๔ ป
โดยไมมีการขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ไมนําตัวผูตองหาผัดฟอง ฝากขัง และไมไดนําสํานวน
การสอบสวนเสนอพนักงานอัยการจังหวัดแมฮองสอน เปนการทําสํานวนคดีอาญาลาชาและ
เกิดความเสียหายรายแรงตอกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ทําใหผูเสียหายไมไดรับความเปนธรรม
และผูกระทาํ ผิดไมถกู ลงโทษ ซงึ่ แมภ ายหลงั จากผฟู องคดีไดรับทราบคําส่ังลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔
ท่ีลงโทษไลออกจากราชการแลว ผูฟองคดีไดมอบสํานวนคดีอาญาดังกลาวใหมีการดําเนินการตอก็ตาม
แตก็ถือไดวาความเสียหายอยางรายแรงและการแกไขเยียวยาความเสียหายที่ไดเกิดขึ้นแลวน้ัน
เกิดจากกรณีท่ีมีการรองเรียนผูฟองคดีและไดมีการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนจนนําไปสู
การออกคําส่ังลงโทษผูฟองคดี การที่รอยตํารวจเอก ก. ไดรับสํานวนคดีตอจากผูฟองคดี
จึงไมท าํ ใหข อ เทจ็ จรงิ ท่วี า ผูฟ องคดมี ไิ ดด ําเนนิ คดีกับผูตองหาในคดีตามข้ันตอนท่ีกฎหมายกําหนด
หรือดําเนินการอยางลาชานับต้ังแตวันที่เกิดเหตุเมื่อวันท่ี ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ จนถึงวันที่
ผูฟองคดีไดรับทราบคําสั่งลงโทษไลออกจากราชการเปลี่ยนแปลงไป ท้ังนี้ แมวาผูถูกฟองคดีที่ ๓
มีอํานาจที่จะกําหนดกรอบแนวทางการใชดุลพินิจลงโทษทางวินัยอยางรายแรงสําหรับการกระทํา
ผิดวินัยอยางรายแรงไดตามมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง (๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ก็ตาม
แตโดยที่การกระทําหรือไมกระทําการตามที่กําหนดในกฎ ก.ตร. ที่จะเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๗) แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน น้ัน ตองเปนกรณีท่ีมีกฎ ก.ตร.
กําหนดใหการกระทําการหรือไมกระทําการนั้นเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เมื่อไมปรากฏวา
กฎ ก.ตร. ไดกําหนดใหการทําสํานวนคดีอาญาลาชาและเกิดความเสียหายอยางรายแรงเปน
ความผิดวินัยอยางรายแรง กรณีจึงไมอาจถือไดวาการกระทําของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัย
อยา งรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๗) แหงพระราชบัญญตั ิดังกลาว การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงวันท่ี
๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ โดยระบุวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๗) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว จึงเปนการระบุขอกฎหมาย
ท่ีคลาดเคลื่อน แตอยางไรก็ดี เมื่อไดวินิจฉัยไวขางตนแลววา การกระทําของผูฟองคดีเปน
การกระทําผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๑) แหงพระราชบัญญัติขางตน ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒
มอี ํานาจสงั่ ลงโทษผฟู องคดีโดยปลดออกหรือไลอ อกไดตามมาตรา ๙๐ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว การระบุขอกฎหมายท่ีคลาดเคล่ือนดังกลาวจึงไมมีผลทําใหโทษทางวินัยท่ีผูฟองคดีไดรับ
เปล่ยี นแปลงไป ดังนนั้ การทผ่ี ถู ูกฟอ งคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ อันเปนโทษ
สําหรับความผิดวินัยอยางรายแรง จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว และเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๓
มมี ติในการประชมุ เมอ่ื วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ วาคาํ ส่ังดงั กลาวถูกตอ งเหมาะสมแลว ใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี จึงเปนมติที่ชอบดวยกฎหมายเชนเดียวกัน ท่ีศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหเพิกถอน
คําสั่งตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอนลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ โดยใหมีผลนับแตวันท่ีคําสั่งดังกลาวมีผลใชบังคับ
และใหผูถูกฟองคดีทั้งสามดําเนินการคืนสิทธิประโยชนตางๆ ท่ีผูฟองคดีมีสิทธิไดรับตามกฎหมาย
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๘)
แกผูฟองคดี ท้ังนี้ ภายในหกสิบวันนับแตคดีถึงท่ีสุด นอกจากนี้ ใหยก น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
ไมเ ห็นพอ งดว ย
พิพากษากลับ เปนใหยกฟอง
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อบ.๑๑๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงพนักงานสอบสวน
(สบ ๓) สถานีตํารวจภธู รปาย จงั หวัดแมฮองสอน ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากคําสั่งของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูอํานวยการตํารวจภูธรจังหวัดแมฮองสอน) ตามคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ มกราคม
๒๕๕๕ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จากกรณีที่นาย จ. มีหนังสือรองเรียนไปยังสถานี
ตาํ รวจภูธรปายและตาํ รวจภูธรภาค ๕ ขอทราบความคืบหนาผลคดีอาญาของบุตรชายท่ีถูกทําราย
รางกายจนไดรับบาดเจ็บ โดยมีผูฟองคดีเปนพนักงานสอบสวน ซ่ึงผลการสืบสวนขอเท็จจริง
ตามคําส่ังสถานีตํารวจภูธรปาย พบวา ผูฟองคดีเปนพนักงานสอบสวนเวรในวันดังกลาวแตไมอยู
ปฏิบัติหนาที่ และเม่ือมีการรองเรียนจึงไดรับคํารองทุกขไวหลังเกิดเหตุประมาณ ๕๐ วัน
ทั้งยังสรุปสํานวนการสอบสวนสงอัยการลาชาเปนเวลาประมาณ ๑ ป ๔ เดือน โดยไมผาน
ความเห็นของผูบังคับบัญชาตามลําดับชั้นอันมีมูลกระทําความผิด และผลการสอบสวนทางวินัย
รับฟงไดวา ผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง ผูฟองคดีไดมีหนังสืออุทธรณคําส่ังตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจ) ผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณายกอุทธรณดังกลาว ผูฟองคดีเห็นวา คําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ที่สั่งลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการและมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากคณะกรรมการสอบสวนไมไดแจงนัดหมายใหผูฟองคดีมารับทราบ
ขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาและเปดโอกาสใหผูฟองคดี
แกขอกลาวหาตามขอทกั ทวงของผถู กู ฟองคดีที่ ๒ ไปยงั ทอ่ี ยูใ หมข องผฟู องคดตี ามที่ไดใ หไวในสมุด
ลงชื่อการแถลงการณดวยวาจาในช้ันพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๓
(สํานักงานตํารวจแหงชาติ) รวมกันรับผิดชดใชเงินแกผูฟองคดีเปนจํานวน ๒๑,๙๒๓,๗๓๐.๐๖ บาท
พรอมดอกเบ้ยี ในอตั รารอ ยละ ๗.๕ ตอ ป นับแตว ันฟอ งเปน ตน ไป
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยตามอุทธรณของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ วา มติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีเปนการกระทําโดยชอบ
ดว ยกฎหมายหรือไม โดยมีประเด็นที่ตองวินิจฉัยในเบ้ืองตนกอนวา กระบวนการในการออกคําส่ัง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการชอบดวยกฎหมายหรือไม ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณกระทําผิดวินัยของผูฟองคดี ผลการสอบสวน
พบวา การกระทาํ ของผูฟองคดเี ปน ความผิดวนิ ัยฐานปฏิบตั ิหนาท่ีไมเครงครัดตอระเบียบแบบแผน
และคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตามมาตรา ๗๘ (๒) (๕) และ (๙) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๘๙)
พ.ศ. ๒๕๔๗ เห็นควรลงโทษกักยาม ๖ วัน แตตอมาไดจัดทํารายงานการประชุม ลงวันท่ี
๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามขอทักทวงของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ วา การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิด
วินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕) และ (๖) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เห็นควรลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ จากนั้น คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาลงโทษ
ขาราชการตํารวจพิจารณาแลว มีมติใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่ง
ลงวนั ท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ลงโทษไลผ ฟู องคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีย่ืนอุทธรณคําส่ังดังกลาว
ตอ มา อ.ก.ตร. อทุ ธรณ ทาํ การแทนผถู กู ฟอ งคดีที่ ๒ พิจารณาแลวพบวา พฤติการณที่นํามาออกคําสั่ง
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ รวมท้ัง การกระทําผิดตามมาตรา ๗๘ อันเปนเหตุใหเสียหาย
แกราชการอยางรายแรง ไมใชขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาท่ีเคย
แจงใหผูฟองคดีทราบ จึงมีมติใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ สอบสวนเพ่ิมเติม พรอมทั้งจัดทําบันทึกการแจง
ขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาใหผูฟองคดีทราบเพ่ิมเติมโดยมี
รายละเอียดของฐานและบทมาตราความผิดวินัยอยางรายแรง ตอมา คณะกรรมการสอบสวน
มีหนังสือแจงกําหนดนัดใหผูฟองคดีมารับแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอกลาวหา โดยหนังสือทั้งสองฉบับไดจัดสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปยังท่ีอยูของผูฟองคดี
ตามที่ปรากฏในเอกสารของทางราชการ แตไมสามารถสงหนังสือได และเม่ือพนกําหนด ๑๕ วัน
นับแตวันท่ีสงบันทึกดังกลาวไปใหผูฟองคดี คณะกรรมการจึงสรุปรายงานการสอบสวนเสนอ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยยืนยันความเห็นเดิม และตอมา อ.ก.ตร. อุทธรณ ไดพิจารณามีมติให
ยกอุทธรณของผูฟองคดี จึงเห็นไดวา การที่คณะกรรมการสอบสวนจัดสงบันทึกการแจง
และรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาฐานกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง โดยไดจัดสงไปยังที่อยูซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการเชนเดิม ซ่ึงมิใชที่อยู
ปจจุบันของผูฟองคดีตามท่ีไดแจงไวในสมุดลงชื่อแถลงการณดวยวาจาในชั้นพิจารณาคําอุทธรณ
อนั ถอื วา เปนสถานทีต่ ดิ ตอที่ผูถูกกลาวหาแจงใหทราบ กรณีจึงไมอาจถือไดวาผูฟองคดีไดรับทราบ
ขอ กลา วหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาในฐานกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและ
ไมประสงคจะแกขอกลาวหา การดําเนินการดังกลาวของคณะกรรมการสอบสวน จึงเปนการ
ไมเปดโอกาสใหผูฟองคดีไดช้ีแจงแกขอกลาวหาหรือนําพยานหลักฐานมาสืบแกขอกลาวหา
อันเปนการไมปฏิบัติใหเปนไปตามมาตรา ๘๖ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกอบขอ ๑๘ ขอ ๓๖ และขอ ๔๑ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. ๒๕๔๗
ยอมสงผลใหคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ รวมท้ังมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีไมชอบดวยกฎหมายดวยเชนเดียวกัน สวนกรณี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ อุทธรณวา เมื่อคณะกรรมการสอบสวนสงเอกสารไปยังท่ีอยูของผูฟองคดี
ซ่ึงปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ยอมถือวาเปนการสงโดยชอบดวยกฎหมายแลว น้ัน
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ในช้ันการพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี อ.ก.ตร. รองทุกขไดแจงให
ผูฟองคดีไปใหถอยคํา ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งผูฟองคดีไดไปใหถอยคําในวันดังกลาวและ
ไดแจงเปล่ียนแปลงท่ีอยูพรอมหมายเลขโทรศัพทใหไวกับกองอุทธรณซึ่งเปนหนวยงานในสังกัด
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๐)
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ เพอ่ื ใชในการติดตอผูฟองคดีในระหวางอุทธรณคําสั่ง กรณีจึงตองถือวา ที่อยูใหม
ตามท่ีผฟู อ งคดีไดแจงไวกับกองอทุ ธรณเ ปนสถานท่ตี ิดตอท่ีผถู ูกกลา วหาแจงใหทราบ และเปนเรื่อง
การประสานงานภายในหนวยงานที่กองอุทธรณชอบที่จะแจงการเปล่ียนแปลงท่ีอยูใหมของ
ผูฟองคดีใหแกคณะกรรมการสอบสวนทราบดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมอาจกลาวอางเหตุความ
บกพรองดังกลาวเพ่ือใหเปนผลรายแกผูฟองคดีได ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษาใหเพิกถอนมติ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยใหมีผลนับแตวันที่ศาลมีคําพิพากษาถึงท่ีสุด
และมีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษา โดยให
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหมใหถูกตอง แลวสั่งการใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
ดําเนินการทางวินัยใหมใหเปนไปตามกฎหมาย สวนคําขออ่ืนใหยก น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดว ย
พิพากษายืน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ. ๑๒๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดฟี องวา เดิมผฟู อ งคดีเปน ขา ราชการตํารวจ ไดรับความเดือดรอนเสียหาย
จากกรณีเมื่อคร้ังที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูบังคับหมู ไดถูกกลาวหาวา มีพฤติการณทุจริตในการ
สอบคัดเลือกขาราชการตํารวจช้ันประทวนเพื่อแตงตั้งเปนขาราชการตํารวจช้ันสัญญาบัตร
ประจําป พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยถูกตรวจพบโทรศัพทมือถือในขณะทําการสอบ ตอมา ผูบัญชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๔ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสืบสวน
ขอเท็จจริงกรณีดังกลาว ซ่ึงผลการตรวจสอบโทรศัพทท่ีตรวจพบในตัวผูฟองคดี ปรากฏวา
โทรศพั ทมือถอื ทีผ่ ูฟอ งคดีนาํ เขาหองสอบไมส ามารถรับสญั ญาณจากกลุมผทู าํ การทุจริตในการสอบ
สว นสาเหตุที่ตรวจพบวาผูฟองคดีทําขอสอบเพียง ๓ ขอ ทั้งที่เหลือเวลาทําขอสอบเพียง ๑๕ นาที น้ัน
เนื่องจากผูฟ องคดีไดอ า นคําถามและเลือกคําตอบทุกขอแลว โดยจะทําการฝนหรือกาเครื่องหมาย
ในกระดาษคําตอบในภายหลังตามวิธีการทําขอสอบท่ีผูฟองคดีมีความถนัด ตอมา ผูบัญชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๔ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนผูฟองคดี
ซึง่ ผลการสอบสวนฟงไดวา ผูฟองคดี มีความผิดวนิ ยั อยางไมร า ยแรง ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๔
จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ลงโทษกักขังผูฟองคดี มีกําหนด ๓๐ วัน และใหยุติ
เร่ืองวินัยรายแรง โดยการลงโทษไดส้ินสุดแลว จากนั้น ตํารวจภูธรภาค ๔ ไดรายงานผลการ
ดําเนินการทางวินัยดังกลาวไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๓ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๓
พิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง จึงนําเร่ืองเขาที่ประชุมคณะกรรมการ
พิจารณากล่ันกรองการพิจารณาส่ังลงโทษ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ โดยที่ประชุมมีมติ
ใหปลดผฟู อ งคดอี อกจากราชการ ผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ (ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ) จึงมีคําส่ังลงวันที่
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และใหยกเลิกคําสั่งลงวันท่ี
๓ ธนั วาคม ๒๕๕๕ เฉพาะสวนที่ลงโทษกกั ขงั ผฟู อ งคดมี กี ําหนด ๓๐ วนั ตอมา ผูฟองคดีมีหนังสือ
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๑)
ลงวันท่ี ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ อุทธรณค าํ สั่งดังกลาวตอ ผถู ูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจ) ซึ่งคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจ (อ.ก.ตร.) เก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวมีมติใหยกอุทธรณ และมีหนังสือลงวันท่ี ๓
เมษายน ๒๕๕๘ แจงผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาวใหผูฟองคดีทราบ ผูฟองคดีเห็นวา
คําส่ังลงโทษทางวินัยดังกลาวไมถูกตองเหมาะสมและรายแรงเกินกวากรณีความผิด จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ท่ีลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติของคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองการพิจารณาส่ัง
ลงโทษในการประชมุ เม่อื วนั ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ เพิกถอนหนังสือของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่
๓ เมษายน ๒๕๕๘ ที่แจงผลการพิจารณาอุทธรณ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เห็นชอบตามคําสั่งลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ท่ีสั่งลงโทษกักขังผูฟองคดีมีกําหนด ๓๐ วัน
และใหยุติเร่ืองทางวินัยอยางรายแรง และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ คืนสิทธิอันพึงมีพึงไดทุกประการ
แกผูฟองคดีต้ังแตวันท่ีผูฟองคดีถูกต้ังกรรมการสอบสวนวินัยและใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
ตามเดมิ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในการสอบคัดเลือกขาราชการตํารวจช้ันประทวน
เขา รบั การฝกอบรมเพอ่ื แตงตัง้ เปนขาราชการตาํ รวจชน้ั สญั ญาบัตรประจําป พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันท่ี
๑๙ กันยายน ๒๕๕๓ ผูฟองคดีไดเขาหองสอบและเริ่มทําขอสอบจนถึงเวลาประมาณ
๑๕.๔๕ นาฬกิ า เจาหนา ทีค่ ุมสอบไดมคี ําส่งั ใหตรวจคนตัวผูเขาสอบ พบโทรศัพทมือถือซุกซอนอยู
ในกางเกงในของผูฟองคดี ซ่ึงผูฟองคดีไดยอมรับวาไดนําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบจริง
โดยกลาวอางวา ไดพบเห็นโทรศัพทมือถือวางอยูท่ีโตะหินออนสอบถามหาเจาของแลว ไมมีผูใด
แสดงตนเปนเจาของโทรศัพท ผูฟองคดีจึงไดนําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบดวยความรีบเรง
พลงั้ เผลอ แตไมไดกระทําการทุจริตในการสอบ ประกอบกับผลการตรวจสอบปรากฏวา โทรศัพท
ดังกลาวมีสภาพเปนโทรศัพทสามารถใชงานได แมวาไมสามารถใชติดตอกันไดก็ตาม แตการท่ี
ผูฟองคดีซึ่งเปนขาราชการตํารวจที่มีความประสงคไดรับการแตงต้ังเปนขาราชการตํารวจ
ชน้ั สัญญาบตั รและไดสมัครเขารบั การคดั เลือกตามประกาศรับสมคั รและคดั เลอื กขาราชการตํารวจ
ช้ันประทวน ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ผูฟองคดีจึงยอมที่จะทราบรายละเอียดของประกาศ
ดังกลา ว โดยเฉพาะอยา งยงิ่ ขอ กาํ หนดในสวนที่เกี่ยวกับคําเตือน พฤติการณที่ถือวาเปนการทุจริต
ในการสอบและผลที่จะไดรับหากประพฤติตนฝาฝนขอกําหนดดังกลาว แตผูฟองคดีก็ยังคง
นําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบโดยหาไดตระหนักถึงคําเตือนดังกลาวไม เม่ือขอ ๘.๓
ของประกาศดงั กลาว กําหนดวา ขา ราชการตํารวจที่ทุจริตในการสอบ ถือวาเปนการกระทําผิดวินัยฐาน
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง รวมท้ังในสวนของผนวก ง. ทายประกาศดังกลาว ขอ ๑.๒ ขอ ๓
และขอ ๓.๗ ไดมีระเบียบเก่ียวกับการสอบขอเขียนระบุไวอยางชัดแจงวาหามผูเขาสอบ
นําโทรศัพทมือถือหรือเคร่ืองมือส่ือสารเขาไปในหองสอบ หากเริ่มลงมือทําขอสอบแลวมีการ
ตรวจคนพบใหถือวาทุจริตในการสอบและตองถือวามีพฤติการณทุจริตในการสอบ และผูฟองคดี
ก็ไดยอมรับตอพนักงานสอบสวน วา กอนเขาหองสอบไดมีประกาศจากฝายอํานวยการคุมสอบ
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๒)
ไมใหนําเคร่ืองมือสื่อสารเขาหองสอบและผูฟองคดีก็รูดี แตเหตุที่นําเขาเพราะตองการ
โทรศัพทมือถือดังกลาว ประกอบกับเม่ือไดพิจารณารายงานเหตุการณคุมสอบขอเขียนของ
อนุกรรมการคุมหองสอบซ่ึงบันทึกวา พบโทรศัพทมือถือซุกซอนในกางเกงชั้นในของผูฟองคดี
โดยเปดเครื่องไวและผูฟองคดีทําขอสอบไดเพียง ๓ ขอ ทั้งท่ีเหลือเวลาทําขอสอบเพียง ๑๕ นาที
อีกทั้งผูฟองคดีมิไดแสดงความบริสุทธ์ิใจดวยการแจงใหกรรมการคุมหองสอบทราบถึงการ
พบโทรศัพทดังกลาว แตกลับนําโทรศัพทมือถือเขามาในหองสอบ กรณีจึงมีน้ําหนักเพียงพอ
ท่ีจะเชื่อไดวา พฤติการณของผูฟองคดีท่ีนําโทรศัพทมือถือเขาไปในหองสอบมีเจตนาเพ่ือใชหรือ
จะใชทําการทุจริตในการสอบ ประกอบกับผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจถือเปนเจาหนาท่ีของรัฐ
ที่มีลักษณะงานพิเศษ มีอํานาจหนาท่ีและความรับผิดชอบในฐานะเปนผูรักษากฎหมาย
รักษาความสงบเรียบรอยของสังคม มีหนาท่ีปองกันและปราบปรามอาชญากรรม และนําตัว
ผูกระทําผิดมาลงโทษ ซ่ึงเปนหนาท่ีที่มีความสําคัญ จึงควรเปนผูที่ไดรับความเช่ือถือไววางใจจาก
ทั้งผูบังคับบัญชา เพื่อนรวมงาน ผูใตบังคับบัญชา และโดยเฉพาะอยางย่ิงจากประชาชนโดยทั่วไป
จึงตองถือและปฏิบัติตามกฎหมาย และตองรักษาวินัยตามที่บัญญัติไวโดยเครงครัดดังที่บัญญัติไว
ในมาตรา ๗๗ แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การที่ผูฟองคดีกระทําการทุจริตในการ
สอบเพ่ือใหตนเองไดรับการแตงต้ังในตําแหนงที่สูงข้ึน ยอมนํามาซึ่งความเสื่อมเสียตําแหนงหนาท่ี
ราชการท่ีตนดํารงอยู เมื่อพิจารณาพฤติการณและการกระทําของผูฟองคดีประกอบกับกฎ
ระเบียบ ขอบังคับ เกีย่ วกบั การสอบแลว กรณีจึงตองฟงวา ผูฟอ งคดีไดก ระทําการทุจริตในการสอบ
อันถือไดวาเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๕)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ใหยกเลิกคําส่ังลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ เฉพาะสวนที่ลงโทษกักขังผูฟองคดีมีกําหนด ๓๐ วัน
แลวใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจ (อ.ก.ตร.)
เกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีมติในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ใหย กอทุ ธรณของผูฟอ งคดี น้นั จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมาย แมวาผูถูกฟองคดีไดลงโทษ
ผูฟองคดีดวยการปรับตกทุกวิชาที่สอบไปแลว แตการลงโทษดังกลาวเปนเรื่องเก่ียวกับการสอบ
ตามประกาศรับสมัครสอบ สวนในดานการดําเนินการทางวินัย การที่ผูบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๔
มีคําส่ังลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ลงโทษกักขังผูฟองคดีมีกําหนด ๓๐ วัน น้ัน ยังไมมีผลทําให
การดําเนนิ การทางวนิ ัยผูฟ องคดีเสรจ็ สิน้ ไป กฎหมายกําหนดใหตองรายงานผลการดําเนินการทางวินัย
พรอมสํานวนการสอบสวนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ และผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดนําเร่ืองของผูฟองคดี
เขาพิจารณาในคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษในการประชุมเมื่อวันที่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ มีมติใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ซึ่งตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ใหยกเลิกคําส่ังลงโทษกักขังผูฟองคดีและลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนการดําเนินการตามขั้นตอนท่ีกฎหมายดังกลาวบัญญัติใหอํานาจ
กระทําได มิไดเ ปนการลงโทษซํ้าซอนตามท่ีผูฟองคดีกลาวอางแตประการใด ท่ีศาลปกครองชั้นตน
พพิ ากษายกฟอ ง นัน้ ศาลปกครองสงู สุดเห็นพอ งดว ย
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๓)
พพิ ากษายนื
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ. ๑๔๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ในขณะท่ีผูฟองคดีรับราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู
ทําหนาท่ีปฏิบัติการปองกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรพาน จังหวัดเชียงราย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีกับพวก รวม ๓ คน กรณีผูฟองคดี
กับพวกตองหาคดีอาญา ฐานรวมกันมียาเสพติดใหโทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบา)
จํานวน ๒,๐๐๐ เม็ด ไวในความครอบครองเพ่ือจําหนายโดยผิดกฎหมาย และเปนเจาพนักงานปฏิบัติ
หรือละเวน การปฏิบตั หิ นาที่โดยมิชอบ ตอมา คณะกรรมการสอบสวนฯ ไดมีหนังสือเสนอความเห็นตอ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดเชียงราย) วา ผูฟองคดีไดปฏิบัติหนาที่ตามคําส่ัง
ของผูบังคับบัญชาท่ีส่ังการในหนาที่ และการปฏิบัติตามคําสั่งเปนไปตามระเบียบของทางราชการ
โดยชอบแลว เห็นควรยุติเรื่องทางวินัยแกผูฟองคดี แตเม่ือคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรอง
การพิจารณาส่ังลงโทษของตํารวจภูธรจังหวัดเชียงรายพิจารณาแลว เห็นควรใหปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๕ ลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการ โดยใหมีผลนับตั้งแตวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ ผูฟองคดีจึงอุทธรณ
คําสั่งลงโทษดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ) แจงผลการพิจารณา
อทุ ธรณว า อนกุ รรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ (อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ)
มีมติใหยกอุทธรณ พรอมทั้งใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดําเนินการเพิ่มโทษผูฟองคดีจากลงโทษปลดออก
จากราชการ เปนไลออกจากราชการ ผฟู องคดเี หน็ วา คาํ สง่ั และการกระทําของผูถูกฟองคดีท้ังสอง
ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี
๔ กันยายน ๒๕๕๕ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนมติของอนุกรรมการ
คณะกรรมการขา ราชการตาํ รวจเกยี่ วกับการอุทธรณ ทาํ การแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่มีมติใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี และใหดําเนินการเพิ่มโทษผูฟองคดีจากปลดออกเปนไลออกจากราชการ และให
ผูถกู ฟองคดีทั้งสองดําเนนิ การใหผ ฟู อ งคดีกลับเขารับราชการในตําแหนงเดิม และคืนสิทธิประโยชน
ในตาํ แหนงหนา ท่รี าชการใหแกผูฟ องคดี นับแตวันที่ ๑๕ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อพิจารณาจากถอยคําของผูฟองคดีท่ีไดใหไว
ตอคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรง และคําบรรยายในคําฟอง ที่วา หลังจากที่มี
การรวมกันจับกุมผูตองหาคดีครอบครองยาเสพติดแลว ผูฟองคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตํารวจ ก.
ไดเดินทางไปสงพันตํารวจโท ส. ที่สถานีตํารวจภูธรพาน หลังจากนั้น ไดเดินทางกลับไป
ทหี่ นว ยบริการประชาชนตําบลแมเยน็ ผฟู องคดีไดเดนิ ไปเขาหองนํ้าและพบหอกระดาษ จํานวน ๑ มัด
ซ่ึงมีลักษณะคลายกับหอยาบาที่ตรวจพบไดจากผูตองหาคดียาเสพติด ตกอยูท่ีพื้นดินบริเวณ
รองนํ้าชายคาโรงรถ ผูฟองคดีจึงนําหอกระดาษดังกลาวสงมอบใหแกดาบตํารวจ อ. แตเมื่อพิจารณา
บันทึกคําใหการของพยาน ซ่ึงรวมทําการจับกุมผูตองหากับพวกพรอมดวยยาบาของกลาง
ทกุ คนตา งใหก ารยนื ยันตรงกันวา ในระหวางข้ันตอนการตรวจนับยาบา ไมมียาบาตกหลนจากโตะ
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๔)
ลงสพู ื้นดินดา นลาง และเมือ่ ขอเท็จจริงปรากฏวา หอยาบาของกลางในคดีน้ี มีลักษณะเปนหอกระดาษ
สีนํ้าตาล และบรรจุยาบาจํานวนถึง ๒,๐๐๐ เม็ด จึงมีลักษณะเปนหอกระดาษขนาดใหญ จึงเปน
การยากท่ีถาหอกระดาษดังกลาวตกหลนลงพื้นดินแลว จะไมมีผูใดทราบและพบเห็น จึงเช่ือไดวา
ระหวางท่ีมีการตรวจนับยาบา ไมมียาบาที่ตรวจนับตกหลนจากโตะสูพ้ืนดินดานลาง นอกจากนี้
ในบันทึกคําใหการของผูรวมทําการจับกุมผูตองหา ซึ่งไดใหการไวตอคณะกรรมการสอบสวนฯ
ตางใหการสอดคลองกันวา เห็นผูฟองคดีกับพวกเดินทางออกจากหนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็น
ไปพรอมกับพันตํารวจโท แตไมพบผูฟองคดีกับพวกกลับมาท่ีหนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็นอีก
และการทผี่ ฟู อ งคดอี า งในคําอทุ ธรณวา ผูฟองคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตํารวจ ก. เดินทางไปถึง
หนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็นเมื่อเวลาประมาณ ๑๓ นาฬิกา และออกจากบริเวณดังกลาว
ไปกอนเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ นาฬกิ า ขดั แยง กับถอยคําท่ีผูฟองคดีไดใหการในชั้นสืบสวนขอเท็จจริงวา
ผฟู องคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตาํ รวจ ก. รวมทัง้ เจาหนา ทต่ี ํารวจประจําหนวยบริการประชาชน
ตําบลแมเย็น ไดอยูรอลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมถึงเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ นาฬิกา โดยระหวางน้ัน
ผูฟองคดีไดเดินไปเขาหองนํ้าและเก็บยาบาของกลางไดจึงนํามามอบใหแกดาบตํารวจ อ. ซ่ึงขณะนั้น
เปนเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา อันแสดงใหเห็นวา ขอกลาวอางของผูฟองคดีมีเจตนาหลีกเล่ียง
เพ่ือไมใหถอยคําของผูฟองคดีขัดแยงกับคําใหการของพยาน จึงไมนาเชื่อไดวา ผูฟองคดีกับพวก
เก็บหอยาบา จํานวน ๑ มัด ไดที่บริเวณรองน้ําชายคาโรงรถ ณ หนวยบริการประชาชนตําบลแมเย็น
เมื่อพิจารณายาบาที่อยูในความครอบครองของผูฟองคดีกับพวกมีลักษณะและสีของกระดาษหอ
ตลอดจนจํานวนยาบาในหอ เปนเชนเดียวกันกับยาบาของกลางท่ีตรวจยึดได และตามบันทึก
คําใหการของรอยตํารวจโท ก. ท่ีใหการตอคณะกรรมการสอบสวนฯ วา เมื่อเปดลําโพงตัวแรกไดแลว
พบวา ภายในมีหอกระดาษจํานวนหลายมัด จึงไดสั่งการใหผูฟองคดียืนเฝาลําโพงตัวแรกไวกอน
เพ่อื รอผูบังคบั บัญชา โดยขณะท่รี อ ยตาํ รวจโท ก. และดาบตํารวจ น. กําลังตรวจคนลําโพงตัวที่สอง ได
ยนื หันหลังใหผฟู องคดี จึงเช่อื ไดวา ขณะทมี่ กี ารไขกญุ แจเพอ่ื เปด ลําโพงตัวที่สอง ทุกคนที่อยูในบริเวณ
ดงั กลา ว ตา งใหความสนใจกบั การไขกญุ แจเปดลําโพงตัวท่ีสอง ผูฟองคดีจึงอาศัยชวงเวลาดังกลาว
รวมกันหยิบยาบา จํานวน ๑ มัด จากลําโพงตัวแรก และภายหลังจากท่ีพันตํารวจโท อ. สงสัยวา
อาจมียาบาของกลางหายไป จํานวน ๑ มัด และไดเรียกผูฟองคดี ดาบตํารวจ อ. และดาบตํารวจ ก.
ไปพบท่ีหองทํางานเพื่อสอบถามผูฟองคดีกับพวกอางวา ผูฟองคดีเก็บยาบาของกลางไดท่ีบริเวณ
รองนํ้าชายคาโรงรถ โดยผูฟองคดีไดรายงานการพบยาบาของกลางดังกลาวตอดาบตํารวจ อ.
ซงึ่ เปน ผูบังคบั บญั ชาช้ันตน และดาบตํารวจ อ. ไดส่ังใหดาบตํารวจ ก. นํายาบาของกลางไปเก็บไว
เพือ่ รอสงมอบและรายงานใหผูบังคับบัญชาทราบ จึงเห็นไดวา พฤติการณของผูฟองคดี มีลักษณะ
เปนการเบียดบังยาบาของกลาง จํานวน ๑ มัด ไปเปนของตน ประกอบกับผูฟองคดีรับราชการ
เปนตํารวจมานานหลายป จึงยอมทราบวาการกระทําดังกลาวเปนการกระทําท่ีผิดกฎหมาย
และไมควรประพฤติปฏิบัติ เน่ืองจากทําใหเสื่อมเสียเกียรติศักด์ิของขาราชการตํารวจ ตลอดจน
ทําใหประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธาตออาชีพตํารวจ ดังน้ัน การกระทําดังกลาวของผูฟองคดี
จึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอื่น
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๕)
ไดรับประโยชนท่ีมิควรได และกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรงตามมาตรา ๗๙ (๑)
และ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันที่
๔ กันยายน ๒๕๕๕ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ จึงชอบดวยกฎหมาย และการท่ีอนุกรรมการ
คณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ (อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ) ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีมติเม่ือวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหดําเนินการ
เพิ่มโทษผูฟองคดีจากลงโทษปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลออกจากราชการ โดยตอมา
ผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ มคี ําสัง่ ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ซึ่งออกตามมติ
ของ อ.ก.ตร. เก่ียวกบั การอุทธรณ ดังกลาว จึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน ท้ังนี้ แมวาคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีเห็นควรใหยุติเร่ือง แตคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรอง
การพิจารณาส่ังลงโทษของตํารวจภูธรจังหวัดเชียงราย กลับมีความเห็นเสนอใหลงโทษผูฟองคดี น้ัน
เมอื่ การแตงตงั้ คณะกรรมการเพอื่ พจิ ารณากลั่นกรองเสนอความเห็นตอผูมีอํานาจส่ังลงโทษทางวินัย
มวี ตั ถุประสงคเ พอ่ื เปนหลกั ประกันความเปน ธรรมแกขา ราชการตํารวจ โดยคณะกรรมการดังกลาว
จะทําหนาที่พิจารณากลั่นกรองความถูกตองของความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ท่ีเสนอความเห็นเก่ยี วกับการกระทําผิดวินัยและโทษท่ีสมควรจะลงแกผูถูกสอบสวน เพื่อผูมีอํานาจ
สง่ั ลงโทษทางวินยั จะไดพ จิ ารณากอ นที่จะมคี าํ สง่ั ลงโทษทางวินัยผูถูกสอบสวนตามมาตรา ๙๐ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังน้ัน เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณารายงานการสอบสวนของ
คณะกรรมการสอบสวนฯ แลวจึงมอบหมายใหคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองฯ พิจารณากลั่นกรอง
ความถูกตองของการสอบสวนทางวินัยและการเสนอโทษทางวินัยแกผูฟองคดีกับพวก คณะกรรมการ
พิจารณากลั่นกรองฯ จึงมีอํานาจพิจารณาและเสนอความเห็นใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ส่ังลงโทษปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการได อีกท้ัง เม่ือคณะกรรมการพิจารณากล่ันกรองฯ มีความเห็นเสนอตอ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว การพิจารณาวาจะสั่งลงโทษผูฟองคดีหรือไม เพียงใด นั้น เห็นวา เปนดุลพินิจ
และอาํ นาจของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ตามมาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ที่ศาลปกครองชั้นตน
พิพากษายกฟอ ง นน้ั ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พองดวย
พิพากษายนื
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๑๕๔/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟอ งวา เม่อื คร้ังท่ผี ฟู อ งคดีเปน ขา ราชการตํารวจ ยศสิบตํารวจเอก ดํารงตําแหนง
ผูบังคับหมู กองกํากับการ ๔ สังกัดกองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล
สาํ นกั งานตํารวจแหงชาติ ปฏิบตั หิ นาที่รกั ษาความปลอดภยั ประจําบา นพษิ ณุโลก ไดรับความเดอื ดรอ น
หรือเสยี หายจากการทีผ่ ถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ (ผูบังคับการ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓) มีคําส่ังลงวันที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ฐานละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกัน
เปนเวลาเกนิ สิบหาวนั โดยไมมเี หตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติ
ตามระเบยี บของทางราชการ ผูฟองคดีจึงไดอุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการ
ขาราชการตํารวจ (ก.ตร.)) ซึ่งคณะอนุกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ (อนุกรรมการ
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๖)
ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ) ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดพิจารณาในการประชุมเมื่อวันท่ี
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ มีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเม่ือ
วันท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ มีมติเห็นชอบตามมติของอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณดังกลาว
ผูฟอ งคดเี หน็ วา การท่ผี ฟู องคดีตองขาดหนาท่ีราชการเน่ืองจากผูฟองคดีมีโรคประจําตัว และผูฟองคดี
ไดยน่ื ใบลาปว ยตอ ผบู ังคบั บญั ชา โดยมีใบรบั รองแพทยร บั รองวา ผฟู องคดีปวยจริง จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔
ท่ีเห็นชอบมติของอนกุ รรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอทุ ธรณที่ยกอุทธรณของผูฟองคดี และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
บรรจุผูฟอ งคดีกลบั เขารับราชการยศสิบตํารวจเอก พรอมท้ังคืนสิทธิตางๆ ที่ผูฟองคดีเคยไดรับใหแก
ผูฟอ งคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินจิ ฉัยวา เม่ือคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงไดสืบสวนขอเท็จจริง
โดยทําการสอบพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุ รวมท้ังไดตรวจสอบความถูกตองแทจริง
ของใบรับรองแพทยของโรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
ตามท่ีผูฟองคดีใชอางเปนพยานหลักฐานวาผูฟองคดีปวยและแพทยมีความเห็นวาควรใหลาปวย นั้น
ปรากฏวา ผูอํานวยการโรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานครแจงวาใบรับรองแพทยของโรงพยาบาล
ลาดกระบงั กรุงเทพมหานคร ลงวันท่ี ๕ เมษายน ๒๕๕๓ เปน แบบฟอรม ของโรงพยาบาลที่สูญหาย
และนายแพทย ส. ท่ีระบุในใบรับรองแพทยฉบับนั้น ไมไดเปนผูออกใบรับรองแพทยดังกลาว
สวนใบรับรองแพทยของโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นั้น ผลปรากฏวา
ไมมีชอื่ ผฟู องคดเี ปน ผูป ว ยอยูในระบบฐานขอมลู ของโรงพยาบาล อีกทัง้ นายแพทย ป. ก็มิไดเปนแพทย
ผูใหบรกิ ารของโรงพยาบาล ผอู าํ นวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ยืนยันวาใบรับรองแพทยดังกลาว
มไิ ดเ ปน ใบรับรองแพทยข องทางโรงพยาบาล จึงฟงไดวาผูฟองคดีมีพฤติการณขาดราชการ ซ่ึงเปน
ความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานละท้ิงหนาท่ีราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินสิบหาวัน
โดยไมม เี หตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
คือ ในชวงระหวางวันท่ี ๑๓ เมษายน ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ รวม ๙๒ วัน การที่
คณะกรรมการกลั่นกรองการพิจารณาส่ังลงโทษฯ ไดพิจารณาสํานวนการสืบสวนขอเท็จจริง
และพยานหลักฐานโดยฟงขอเท็จจริงเปนเชนเดียวกันกับคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงแลวมีมติ
เห็นควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และแจงใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณา เพ่ือมีคําส่ัง
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงชอบดวยกฎหมายแลว เม่ือขอเท็จจริงรับฟงเปนที่ยุติวา ผูฟองคดี
ขาดราชการ รวม ๙๒ วัน อันเปนการขาดราชการตอเนื่องกันเกินกวาสิบหาวัน ถือเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานละทิ้งหนาที่ราชการในคราวเดียวกันเกินกวาสิบหาวัน โดยไมมีเหตุอันสมควร
ตามมาตรา ๗๙ (๒) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และเปนความผิดที่ปรากฏชัดแจง
ตามขอ ๓ (๒) ของกฎ ก.ตร. วาดวยกรณีที่เปนความผิดท่ีปรากฏชัดแจง พ.ศ. ๒๕๔๗
และผบู งั คบั บญั ชาไดดําเนินการสืบสวนแลวเหน็ วา ไมมีเหตอุ นั สมควร หรือมีพฤติการณอันแสดงถึง
ความจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ถือวาเปนความผิดท่ีปรากฏชัดแจง ซ่ึงผูบังคับบัญชา
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๗)
จะดาํ เนนิ การทางวินยั ตามมาตรา ๙๐ สงั่ ลงโทษปลดออก หรือไลออก ตามความรายแรงแหงกรณี
โดยไมตองสอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมายแลว
ดังน้ัน มติผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบตามมติของ
อนุกรรมการ ก.ตร. เก่ยี วกบั การอุทธรณ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ที่ใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี โดยไดพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี รวมทั้งพยานหลักฐานตามสํานวนการสืบสวน
ขอเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนขอเทจ็ จรงิ ประกอบดว ยแลว จงึ เปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมาย
เชนกัน ที่ศาลปกครองชัน้ ตนพพิ ากษายกฟอง นั้น ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดวย
พิพากษายนื
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อบ.๑๕๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ในขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูกํากับการสถานีตํารวจภูธร
อําเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ผูฟองคดีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง กรณีเปน
ผูเก็บรักษารถยนตและรถจักรยานยนตของกลาง จํานวน ๑๐ คัน ซ่ึงตอมาปรากฏวา รถยนต
และรถจักรยานยนตของกลางดังกลาวไดสูญหายไปบางสวน ทําใหเกิดความเสียหายแกราชการ
จึงไดมีการสงเร่ืองดังกลาวไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการปองกันและปราบปราม
การทุจริตแหงชาติ) ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓
และหนังสือลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ แจงใหผูฟองคดีไปรับทราบและชี้แจงแกขอกลาวหา
โดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปยังบานเลขที่ ๒๙/๒๒๗ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเปนที่อยูตามหลักฐานทะเบียนราษฎร และเปนท่ีอยูในขณะท่ีผูฟองคดี
รับราชการอยูที่กองกํากับการ ๕ กองบังคับการอํานวยการ ตํารวจภูธรภาค ๑ แตในชวงเวลาท่ีมี
การสงหนังสือดังกลาว ผูฟองคดีไดยายมาดํารงตําแหนงผูกํากับการฝายอํานวยการตํารวจภูธร
จังหวัดยโสธรแลว จึงเปนกรณีที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาเร่ืองของผูฟองคดีโดยรวบรัดและ
ไมใหโอกาสผูฟองคดีไดแกขอกลาวหา หลังจากนั้น ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีมติวา การกระทําของผูฟองคดีมีมูลเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติ
หรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได
ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง และฐานกระทําการหรือละเวน
การกระทําใดๆ รวมท้ังการกระทําผิดตามมาตรา ๗๘ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๗๙ (๑) (๕) และ (๖) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(ผูบังคับการตํารวจภูธรจังหวัดยโสธร) ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ ตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดไตสวนและช้ีมูลความผิด ผูฟองคดีจึงอุทธรณคําสั่ง
ดงั กลา ว หลงั จากน้นั ในการประชุมเมอ่ื วันที่ ๑๕ มนี าคม ๒๕๕๕ อนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการ
ตํารวจเก่ียวกับการอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ)
พิจารณาแลวมมี ตใิ หย กอุทธรณข องผูฟ อ งคดี โดยไดแจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๘)
ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งผูฟองคดีไดรับทราบผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาว
เม่ือวันท่ี ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําสั่งลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
เพิกถอนมติของอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และ
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไตสวนความผิดของผูฟองคดีใหม โดยใหผูฟองคดีมีโอกาสเขาช้ีแจงตอ
ผถู ูกฟองคดีที่ ๓
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในการแจงใหผูฟองคดีมาพบคณะอนุกรรมการไตสวน
เพื่อรับทราบขอกลาวหา ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ รวมทั้งการแจงขอกลาวหา
ใหผูฟองคดีทราบและใหผูฟองคดีช้ีแจงแกขอกลาวหา ตามหนังสือลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ น้ัน
ประธานอนุกรรมการไตสวนไดมีหนังสือดังกลาวถึงผูฟองคดี โดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับ
ไปยังบานเลขท่ี ๒๙/๒๒๗ หมูที่ ๒ ถนนกําแพงเพชร ๖ แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร
ซึ่งตามใบตอบรับ ไมปรากฏวาผูฟองคดีไดรับหนังสือดังกลาว หรือมีบุคคลอื่นที่บรรลุนิติภาวะ
รับหนังสือดังกลาวไวแทนแลว แตไดระบุเหตุขัดของในการนําจายวาไมมีผูมารับภายในกําหนด
จึงเปนกรณีท่ีผูฟองคดียังไมไดรับบันทึกแจงขอกลาวหาโดยชอบ และไมอาจถือวาผูฟองคดี
ไดรับทราบขอกลาวหาและไมประสงคจะแกขอกลาวหาตามขอ ๑๕ วรรคสาม ของระเบียบ
คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ วาดวยการปฏิบัติหนาท่ีของ
คณะอนุกรรมการไตสวน พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับไมปรากฏในรายงานการไตสวนของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ วา ไดมีการนําบันทึกการแจงและรับทราบขอกลาวหาของผูฟองคดี ลงวันที่
๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๙ ลงวนั ที่ ๒๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๐ และลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ คําช้ีแจง
ขอเท็จจริงของผูฟองคดี ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๐ และบันทึกถอยคําของผูฟองคดี ลงวันที่
๒๖ เมษายน ๒๕๕๐ และลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ ซึ่งดําเนินการโดยคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๗ กันยายน ๒๕๔๙ มารวมไวในสํานวนการไตสวนขอเท็จจริงของ
คณะอนุกรรมการไตสวน อันจะถือไดวา เปนการไตสวนขอเท็จจริงเบื้องตน และเปนสวนหนึ่ง
ของการไตสวนขอเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไตสวนตามขอ ๑๐ วรรคสอง ของระเบียบ
ฉบับดังกลาว การที่คณะอนุกรรมการไตสวนไดดําเนินการไตสวนตอไปจนแลวเสร็จ และ
จัดทํารายงานการไตสวนขอเท็จจริงเสนอตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ เพ่ือพิจารณาตอไป นั้น จึงเปน
กรณีท่ีคณะอนุกรรมการไตสวน ไมไดใหผูฟองคดีมีโอกาสทราบขอเท็จจริงเก่ียวกับเรื่องท่ีถูกกลาวหา
เพื่อใหผูฟองคดีไดโตแยงช้ีแจงและแสดงพยานหลักฐานของตนเพื่อแกขอกลาวหา การไตสวน
ขอเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไตสวน จึงเปนการดําเนินการโดยไมถูกตองตามข้ันตอน
หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญตามที่กําหนดไวในขอ ๑๕ วรรคหน่ึง และวรรคสาม ของ
ระเบียบเดียวกัน ฉะนั้น มติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓
ซ่ึงเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไตสวน จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน และ
เนื่องจากผูถูกฟอ งคดีที่ ๑ ตอ งพิจารณาโทษทางวินัยผูฟองคดี ตามฐานความผิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๑๙๙)
ไดมีมติ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย รวมทั้งใหถือเอารายงาน
เอกสารและความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓ เปนสํานวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน
วินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมชอบดวยกฎหมาย จึงยอมสงผลใหการดําเนินการ
ทางวินัยผูฟองคดี ซึ่งไดดําเนินการตอเน่ืองมาโดยอาศัยมติชี้มูลความผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๓
เปนการดําเนินการโดยไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ดังน้ัน คําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามคําส่ัง
ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงไมชอบดวยกฎหมาย
และมติของอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเกี่ยวกับการอุทธรณ ทําการแทน
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง นั้น ศาลปกครองสูงสุด
ไมเห็นพอ งดว ย
พิพากษากลับ เปนใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ และมติของอนุกรรมการคณะกรรมการขาราชการตํารวจเก่ียวกับ
การอุทธรณ ทําการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ท่ีให
ยกอทุ ธรณของผูฟองคดี ทงั้ น้ี ใหมีผลนบั ตง้ั แตว นั ท่ีศาลปกครองสูงสดุ มคี ําพพิ ากษาเปนตน ไป
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อบ.๑๖๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีทั้งสามฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ เปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู
กองกํากับการ ๓ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ผูฟองคดีที่ ๒
เปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู ฝายจัดการฝกอบรม ศูนยพัฒนาดานการขาว
กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ผูฟองคดีที่ ๓ เปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู
กองกํากับการ ๕ กองบังคับการตํารวจสันติบาล ๓ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล ผูถูกฟองคดีที่ ๑
(ผูบัญชาการ กองบัญชาการตํารวจสันติบาล) ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒
แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีท้ังสาม ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ลงโทษปลดผูฟองคดีท้ังสามออกจากราชการ ผูฟองคดีท้ังสาม
จึงยื่นอุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการขาราชการตํารวจ (ก.ตร.))
มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณและใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังเพ่ิมโทษเปนลงโทษไลผูฟองคดีท้ังสาม
ออกจากราชการ พรอมทั้งแจงใหผูฟองคดีท้ังสามทราบตามหนังสือลงวันท่ี ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕
ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมคี ําสงั่ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เปล่ียนแปลงคําส่ังลงโทษขาราชการตํารวจ
โดยเพ่มิ โทษเปนไลผูฟอ งคดีทง้ั สามออกจากราชการ โดยอางวา เม่ือประมาณกลางป พ.ศ. ๒๕๕๑
ผูฟองคดีท้ังสามกับพวกรวม ๕ คน ไดเขาไปในบริเวณสถานที่กอสรางอพารตเมนตของบริษัท ซ.
และแจงวาเปนเจาหนาที่ตํารวจสันติบาลมาจับกุมแรงงานตางดาวผิดกฎหมาย โดยผูฟองคดีท่ี ๑
เปนผูเจรจาเรียกรองเงินเพ่ือแลกกับการไมจับกุมแรงงานตางดาว บริษัท ซ. ยินยอมจายเงินให
จาํ นวน ๘,๐๐๐ บาท หลังจากไดรับเงินแลวยังไดกําหนดใหบริษัท ซ. จายเปนรายเดือน เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๐๐)
โดยมีผูฟองคดีที่ ๒ และที่ ๓ เปนผูมาเก็บเงินรายเดือน และไดจายเงินติดตอกันจนกระทั่งเสร็จงาน
เปนเวลาประมาณ ๙ เดือน ผูฟองคดีทั้งสามเห็นวาไมมีประจักษพยานและพยานแวดลอม
หรือพยานเอกสารใดๆมายืนยันการกระทําความผิด ผูฟองคดีไมไดกระทําผิดตามขอกลาวหา
และการลงโทษไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากในการสืบสวนขอเท็จจริงของพลตํารวจตรี ส.
ไมไดแจงเร่ืองที่กลาวหาหรือถูกรองเรียนใหผูฟองคดีท้ังสามทราบ และไมเคยใหผูฟองคดีทั้งสามช้ีแจง
ขอเท็จจรงิ แตป ระการใดจึงเปนการละเวนการปฏิบัติหนาที่ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และขอ ๑๘ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง พ.ศ. ๒๕๔๗
ผูฟองคดีท้ังสามจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีท้ังสามออกจากราชการ และคําสั่งลงวันที่
๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ท่ีลงโทษไลผูฟอ งคดีท้งั สามออกจากราชการ รวมทงั้ เพิกถอนมติของผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๓
ที่ยกอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสาม และมีคําสั่งใหผูถูกฟองคดีรับผูฟองคดีท้ังสามเขารับราชการตํารวจ
ในตําแหนงและชั้นยศในอตั ราเงนิ เดอื นเดิม
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือไดพิจารณาพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ขอ กลา วหาของผฟู องคดีทั้งสามเห็นวา นาย ศ. เปนพยานบุคคลไดใหถอยคํายืนยันวา ผูฟองคดีท้ังสาม
กับพวกรวม ๕ คน ไดเขาไปในสถานที่กอสรางอพารตเมนตท่ีบริษัท ซ. ไดรับเหมากอสรางและนาย ศ.
เปน ผูควบคุมงานกอสรางดังกลาวโดยอางวาเปนตํารวจสันติบาลและไดเรียกรองเงินจํานวน ๘,๐๐๐ บาท
เพื่อแลกกับการปลอ ยตัวคนงานตา งดาวผดิ กฎหมายและเรยี กเงินจากนาย ศ. เปนรายเดือน เดือนละ
๓,๐๐๐ บาท เพ่ือแลกกับการไมจับกุมแรงงานตางดาวดังกลาว เนื่องจากบริษัท ซ. มีความจําเปน
ท่ีจะตองใชแรงงานตางดาวดังกลาวจึงไดจายเงินตามที่ผูฟองคดีท้ังสามกับพวกเรียกรอง
และไดจายเงินเปนรายเดือนอีกจนกระทั่งทําการกอสรางแลวเสร็จเปนเวลาประมาณ ๙ เดือน
และนาย ศ. ยังไดชี้ภาพถายของผูฟองคดีท้ังสามไดถูกตองและยืนยันวาเปนบุคคลท่ีอยูในชุดของ
เจาหนาท่ีตํารวจสันติบาลท่ีเขามาจับกุมคร้ังแรก โดยผูฟองคดีท่ี ๑ เปนผูเจรจาเรียกรับเงิน
และผฟู องคดีที่ ๒ และที่ ๓ เปนผูมาเก็บเงินเปนรายเดือน ซ่ึงการพิจารณาวาผูฟองคดีท้ังสามไดมี
พฤติการณกระทําผิดตามที่ถูกกลาวหาหรือไมนั้น ไมจําตองมีพยานหลายปากใหการยืนยันวาผูฟองคดี
ทัง้ สามกระทําผดิ ตามท่ีถกู กลาวหา เพียงแตมีประจักษพยานเพียงปากเดียวใหการยืนยันวาผูฟองคดี
ทง้ั สามไดก ระทําผิดตามท่ีถูกกลาวหาก็เพียงพอท่ีจะรับฟงขอเท็จจริงไดตามถอยคําของพยานปาก
นัน้ แลว เมื่อคดีนีป้ รากฏวานาย ศ. เปน ผูควบคมุ งานกอสรา งในสถานท่ีกอสรางดังกลาว และไดอยู
ในเหตุการณที่ผูฟองคดีทั้งสามกับพวกไดเขามาในสถานที่กอสรางดังกลาวแลวเรียกรองเงินเพ่ือ
แลกกับการปลอยแรงงานตางดาวที่ผิดกฎหมายและเพ่ือไมจับกุมแรงงานตางดาวดังกลาว นาย ศ. ซึ่ง
อยูในสถานที่เกิดเหตุจึงเปนประจักษพยานที่รูเห็นเหตุการณที่เกิดข้ึน เมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวา
นาย ศ. เคยมีสาเหตุโกรธเคืองหรือเคยมีกรณีพิพาทกับผูฟองคดีทั้งสามมากอนอันจะมีมูลเหตุจูงใจ
ท่ีจะทําใหนาย ศ. ใหถอยคําปรักปรํากล่ันแกลงผูฟองคดีท้ังสาม อีกท้ัง นาย ศ. ยังเปนลูกจาง
ผูควบคุมงานของบริษัท ซ. ยอมไมกลาที่จะใหถอยคําปรักปรํากลั่นแกลงผูฟองคดีทั้งสามโดย
ปราศจากความเปนจริง เพราะอาจสงผลกระทบตอการดําเนินกิจการของบริษัทและความปลอดภัย
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๐๑)
ของตนเอง กรณีจึงเชื่อวานาย ศ. ใหถอยคําไปตามความเปนจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้น แมจะมีเพียง
นาย ศ. เพียงคนเดียวเปนพยานใหถอยคํายืนยัน ศาลก็สามารถรับฟงขอเท็จจริงตามที่นาย ศ.
ใหถอยคําได นอกจากนี้ ถอยคําของนาย ศ. ดังกลาวยังสอดคลองกับบันทึกขอความฉบับลงวันท่ี
๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ของดาบตํารวจ ธ. ที่ไดชี้แจงตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ วา ผูฟองคดีท้ังสาม
มีพฤติการณเรียกเก็บเงินจากแรงงานตางดาวในพื้นท่ีจังหวัดภูเก็ตจริงพรอมท้ังมีบัญชีรายช่ือ
บุคคลและบริษัทที่ถูกเรียกเก็บเงินแนบมาในบันทึกดังกลาวดวย โดยในบัญชีแนบทายน้ีมีรายชื่อ
นาย ศ. อยูในลําดับท่ี ๔๐ อีกทั้ง ยังปรากฏตามสําเนารายงานทางอีเมลจากนาย ว. เม่ือวันท่ี ๙
มิถุนายน ๒๕๕๒ ท่ีไดใหขอมูลแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ วา ผูฟองคดีท่ี ๑ กับพวกมีพฤติการณเรียกรับเงิน
จากผูประกอบการในพ้ืนท่ีจังหวัดภาคใตจริง กรณีจึงนาเชื่อวาผูฟองคดีท้ังสามมีพฤติการณ
เรียกรับเงินจากผูประกอบการตามท่ีถูกกลาวหาจริง สวนที่นาย พ. ปลัดอําเภอฝายความมั่นคง
อําเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ใหถอยคําวา ในระหวางท่ีปฏิบัติงานปราบปรามแรงงานตางดาว
ผิดกฎหมายรวมกับผูฟองคดีทั้งสามไมเคยทราบวาผูฟองคดีท้ังสามมีพฤติกรรมตามท่ีถูกกลาวหา
ซ่ึงคําใหการดังกลาว นาย พ. ไมไดใหการยืนยันวาผูฟองคดีทั้งสามไมไดมีพฤติการณเรียกรับเงิน
จากผปู ระกอบการทม่ี แี รงงานตางดาวผดิ กฎหมาย เพียงแตใ หก ารวาตนไมทราบเทานั้น กรณีจึงยัง
ไมแนว าผูฟอ งคดที ัง้ สามกระทําการเรียกรับเงินจากผูประกอบการท่ีมีแรงงานตางดาวผิดกฎหมาย
หรือไม เพราะหากผูฟองคดีท้ังสามกระทําการเรียกรับเงินก็คงไมกระทําในขณะท่ีมีบุคคลอื่นอยูรวมดวย
สวนนางสาว ว. เจาหนาท่ีการเงินของบริษัท ซ. และนาย อ. กรรมการผูจัดการ บริษัท ซ.
ท่ีใหถ อยคาํ และมหี นงั สอื ชแี้ จงตอคณะกรรมการสอบสวนทาํ นองเดยี วกนั วา ไมมีการจายเงินใหกับ
ตํารวจสันตบิ าล นั้น เห็นวา พยานทงั้ สองเปนผมู ีอํานาจกระทําการของบริษัทที่ตองใชแรงงานตางดาว
จึงเกรงกลวั และไมอ ยากมกี รณพี ิพาทกบั ผฟู อ งคดที ั้งสามซง่ึ เปน เจา หนาท่ีรฐั เพราะอาจทําใหสงผลกระทบ
ตอการดําเนนิ กจิ การของบริษัทจึงไมกลาใหการเปนปฏิปกษตอผูฟองคดีทั้งสาม สวนนาย ค. และนาย ว.
มอี าชีพรบั เหมากอสราง ซึง่ ไดใหถอยคาํ ตอคณะกรรมการสอบสวนสอดคลองกันวา ไมทราบวานาย ศ.
ไดจ ายเงนิ ใหผ ฟู องคดที ัง้ สามเพื่อแลกกับการไมจับกุมแรงงานตางดาว และไมเคยเห็นผูฟองคดีท้ังสาม
มายังสถานท่ีกอสรางดังกลาว เรียกรับเงินเพื่อแลกเปล่ียนกับการไมจับกุมแรงงานตางดาวนั้น
โดยท่ีพยานท้ังสองดังกลาวใหถอยคําในทํานองเดียวกันสอดคลองกันซึ่งอาจมีการซักซอมกันมากอน
เพ่ือชวยเหลือผูฟองคดีท้ังสาม อีกท้ัง พยานท้ังสองยังมีอาชีพรับเหมากอสรางที่มีแรงงานตางดาว
อยูในความควบคุมจึงไมกลาท่ีจะใหการเปนปฏิปกษตอผูฟองคดีทั้งสามซึ่งเปนเจาหนาที่รัฐ
เพราะอาจสงผลกระทบตอการประกอบอาชีพรับเหมากอสรางของตนเอง ดังนั้น เม่ือพิจารณา
พยานหลักฐานของคูกรณีท้ังสองฝายแลว เห็นวา พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนแกขอกลาวหา
ของฝายผูฟองคดีทั้งสามไมเพียงพอที่จะหักลางขอกลาวหาท่ีกลาวหาวา ผูฟองคดีทั้งสามเรียกรับเงิน
จากผปู ระกอบการทีม่ ีแรงงานตา งดาวผิดกฎหมาย เพ่อื แลกกับการปลอยตัวแรงงานตางดาวผิดกฎหมาย
และเพื่อแลกกับการไมจ บั กมุ แรงงานตางดา วผิดกฎหมายได พฤติการณจึงรับฟงไดวา ผูฟองคดีทั้งสาม
กระทาํ การเรยี กรบั ผลประโยชนจากผูป ระกอบการทม่ี แี รงงานตา งดาวในเขตพ้ืนท่ีจังหวัดภูเก็ตจริง
การกระทําของผฟู องคดที ้งั สามจงึ เปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติ
แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
(๒๐๒)
หนาที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนที่มิควรได และเปนการกระทํา
อันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๑) และ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ซง่ึ คณะรฐั มนตรมี มี ตเิ มอ่ื วนั ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๘ วางระดับโทษฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ
ใหมีโทษไลออกจากราชการ ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ โดย อ.ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ
ในการประชุมเมอื่ วนั ท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๕๕ ท่ีมีมติยกอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสามพรอมทั้งใหเพ่ิมโทษ
จากลงโทษปลดออกจากราชการเปน ลงโทษไลอ อกจากราชการ และการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่ง
ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จากลงโทษปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลผูฟองคดีทั้งสาม
ออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณดังกลาว จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว
และผลจากคําสั่งเพิ่มโทษผูฟองคดีทั้งสามดังกลาวยอมมีผลทําใหคําสั่งผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีทั้งสามออกจากราชการเปนอันพับไปตามขอ ๓
ของกฎ ก.ตร. วา ดวยหลกั เกณฑแ ละวธิ กี ารดาํ เนินการใหผถู กู ลงโทษตามคําสั่งเดิมรบั โทษท่ีเพิ่มขึ้น
หรอื กลบั คนื สฐู านเดิม พ.ศ. ๒๕๔๗ และโดยท่ีพฤติการณของผูฟองคดีทั้งสามกับพวกตามรายงาน
การตรวจสอบขอเท็จจริงเปนกรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงมีอํานาจแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีทั้งสามกับพวกไดโดยไมจําตอง
สืบสวนขอเท็จจริง ตามมาตรา ๘๔ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับ
ขอ ๒ ของกฎ ก.ตร. วาดวยการสืบสวนขอเท็จจริง พ.ศ. ๒๕๔๗ สวนการดําเนินการตรวจสอบขอเท็จจริง
ของพลตํารวจตรี ส. เปน เพียงข้นั ตอนเพื่อใหไดมาซ่ึงขอมูลเพื่อประกอบการพิจารณาเบื้องตนของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และไมมีกฎหมายกําหนดใหการดําเนินการดังกลาวตองแจงเรื่องที่ถูกกลาวหา
ใหผูฟองคดีท้ังสามทราบและตองใหผูฟองคดีทั้งสามช้ีแจงแตประการใด ดวยเหตุผลท่ีวินิจฉัย
มาแลวขางตน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ โดย อ.ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณในการประชุมเม่ือวันที่
๑๙ มกราคม ๒๕๕๕ มีมตยิ กอทุ ธรณของผฟู องคดที ง้ั สามพรอ มทงั้ ใหเ พิ่มโทษจากลงโทษปลดออก
จากราชการเปนลงโทษไลออกจากราชการ และการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
จากลงโทษปลดออกจากราชการเปนลงโทษไลผูฟองคดีท้ังสามออกจากราชการตามมติ อ.ก.ตร.
เก่ียวกับการอุทธรณดังกลาว จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษา
ยกฟอง นั้น ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพอ งดวย
พิพากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๑๙๕/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการตํารวจ ตําแหนงผูบังคับหมู
(หนวยปฏิบัติการพิเศษ) กองกํากับการสืบสวนตํารวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ปฏิบัติหนาที่ประจํา
หมวดปฏบิ ตั กิ ารพเิ ศษเฉพาะกจิ ตาํ รวจภธู รจงั หวัดนราธิวาส ที่ ๒๑ (รือเสาะ) ผูฟองคดีไดรับความ
เดือดรอนเสียหายกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง ตามมาตรา ๗๙ (๕) แหง พ.ร.บ. ตํารวจแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
กลา วคอื มกี ารเรียกตัวผฟู อ งคดมี าสอบถามและทําการตรวจปสสาวะในเบ้อื งตน เพ่ือหาสารเสพติด
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓