The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-02-23 02:06:39

วินัย

หนังสือแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องวินัย

(๑๐๓)
อําเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ตอมา ผูฟองคดีไดอุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(คณะกรรมการพิทกั ษร ะบบคุณธรรม) แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ผูฟองคดีไมเห็นดวยกับคําวินิจฉัยดังกลาว จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหยกเลิก
หรือเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง ลงโทษไลออกจากราชการ และใหผูฟองคดี
กลับเขาเปนขาราชการเกษียณอายุราชการเดิม หรือใหลดโทษผูฟองคดีเปนโทษสถานเบาเพื่อให
ผูฟองคดีมีสิทธิไดรับเงินบํานาญ และเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีส่ังใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี เห็นวา ขอ เท็จจริงรับฟงไดวา ท่ีดินตามหลักฐานแบบแจงการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑)
เลขที่ ๒๕ หมูที่ ๒ ตําบลเนินพระ อําเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ที่นาย ส. นํามาขอออก น.ส.๓ ก.
เลขท่ี ๒๑๗๑ นั้น เปนที่ดินที่ยังไมมีการครอบครองและทําประโยชนตามท่ีย่ืนคําขอของนาย ส.
แตอยางใด การที่ผูฟองคดีเสนอความเห็นตอนายอําเภอเมืองระยองเพ่ืออนุมัติและลงนามในการออก
น.ส.๓ ก. เลขท่ี ๒๑๗๑ เน้ือท่ี ๔๒ ไร ๗๖ ตารางวา เปนจํานวนเน้ือท่ีเพ่ิมขึ้นจากที่ปรากฏตาม ส.ค. ๑
เลขท่ี ๒๕ เปนจํานวน ๓๕ ไร ๓ งาน ๗๖ ตารางวา และปรากฏตอมาวาอธิบดีกรมที่ดินไดมีคําสั่ง
ใหเพิกถอน น.ส.๓ ก. ฉบับดังกลาว เนื่องจากมีหลักฐานที่ดินเดิมเปน ส.ค. ๑ ที่ไมชอบดวยกฎหมาย
อันเกิดจากการแจงการครอบครองในที่ดินที่ยังไมมีการครอบครองและทําประโยชน กรณีจึงเห็นไดวา
ผฟู องคดซี ง่ึ เปนเจา พนกั งานที่ดินจังหวัด (เจาหนาท่ีบริหารงานที่ดิน ๙) มีหนาที่ตรวจสอบการครอบครอง
และทําประโยชนทีด่ ินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๕ ที่นาํ มาใชเปน หลักฐานเพอ่ื ขอออก น.ส.๓ ก. อันเปน
การดําเนินการตามอํานาจหนาที่เพ่ือเสนอความเห็นตอนายอําเภอเมืองระยอง แตผูฟองคดีกลับเสนอ
ความเห็นท่ีไมตรงกับความเปนจริงดังกลาว จึงเปนกรณีท่ีผูฟองคดีกระทําการโดยมิชอบดวยกฎหมาย
และเม่ือขอเท็จจริงปรากฏตามรายงานการรังวัด ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๑ วา ระยะและเนื้อที่
ทรี่ ังวัดพิสูจนรบั รองการทําประโยชนไดเนื้อที่ ๔๒ ไร ๗๖ ตารางวา อันมีจํานวนเนื้อที่มากกวาท่ีปรากฏ
ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๕ ซึ่งมีเนื้อที่เพียง ๖ ไร ๑ งาน โดยมีเน้ือท่ีเพ่ิมข้ึนจํานวน ๓๕ ไร ๓ งาน ๗๖ ตารางวา
เหน็ ไดว าเนื้อท่ีท่ีรังวัดพิสูจนรับรองการทําประโยชนนั้นมีเนื้อที่เพ่ิมมากขึ้นอยางชัดเจน เชนน้ีผูฟองคดี
ขณะนั้นดํารงตําแหนงเจาพนักงานที่ดินจังหวัด (เจาหนาที่บริหารงานท่ีดิน ๙) มีอํานาจหนาที่
ในเรื่องการออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน ยอมมีความรูความเขาใจขอกฎหมายในเร่ืองดังกลาว
เปนอยางดี เมื่อเห็นถึงความแตกตางของเนื้อที่ท่ีเพ่ิมขึ้นแลวควรท่ีจะตรวจสอบเพ่ือใหไดขอมูล
ที่ถูกตองแทจริงเสียกอนท่ีจะเสนอความเห็นตอนายอําเภอเมืองระยองในการพิจารณาอนุมัติ
และลงนามออก น.ส.๓ ก. การที่ผูฟองคดีซึ่งมีหนาที่ตรวจสอบขอเท็จและพิจารณาขอมูลท่ีเก่ียวของ
ในทด่ี นิ แปลงพพิ าทเพื่อดําเนินการออก น.ส.๓ ก. ไมไดตรวจสอบขอมูลที่เก่ียวของดวยความรอบคอบ
ท้ังที่ที่ดินท่ีทําการรังวัดมีเน้ือที่เพิ่มมากขึ้นจนเปนท่ีนาสังเกต ซ่ึงผูฟองคดีสมควรท่ีจะตรวจสอบ
และนําขอ มลู ที่แทจริงพจิ ารณาประกอบรายงานการรังวัด โดยใหขอสังเกตเก่ียวกับเนื้อท่ีที่เพ่ิมข้ึนดังกลาว
ตอนายอําเภอเมืองระยอง แตผูฟองคดีกลับใชเพียงขอมูลตามรายงานการรังวัดและยังคงเสนอความเห็น

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๔)
ตอนายอําเภอเมืองระยองใหอนุมัติออก น.ส.๓ ก. ตามเน้ือที่ที่รังวัดได คือ เนื้อท่ี ๔๒ ไร ๗๖ ตารางวา
ดังนั้น การท่ีนายอําเภอเมืองระยองอนุมัติออก น.ส.๓ ก. เลขท่ี ๒๑๗๑ มีจํานวนเนื้อท่ีมากถึง ๔๒ ไร
๗๖ ตารางวา จึงเปนผลโดยตรงจากขอมูลและความเห็นของผูฟองคดีที่ไดเสนอไว นอกจากนี้
ปรากฏขอเท็จจริงตามรายงานการไตสวนขอเท็จจริง ของสํานักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. วา พระภิกษุ ส.
ใหถอยคํายืนยันวา พระภิกษุ ส. และพ่ีนองไดรวมกันขายที่ดินแปลงพิพาทใหกับผูฟองคดี
ไมเคยขายท่ีดินใหกับนาย ส. ประกอบกับนาย ส. ซึ่งเปนนองภรรยาของผูฟองคดีใหถอยคําวา
ที่ดินตาม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๒๑๗๑ เปนของผูฟองคดี แตมาขอใชชื่อนาย ส. ในการออก น.ส.๓ ก. พิพาท
และในการรงั วดั พสิ ูจนส อบสวนการทําประโยชนผูฟองคดีไดนําเอกสารการดําเนินการออก น.ส.๓ ก.
ไปใหนาย ส. ลงชื่อหลายฉบับ ประกอบกับนาย ก. ผูรับโอนที่ดินแปลงพิพาทไดนําที่ดินแปลงนี้
ไปจํานองไวกับสถาบันการเงิน เพ่ือเปนประกันหนี้ของผูฟองคดีท่ีจะมีขึ้นในภายหนา กรณีจึงเช่ือได
โดยปราศจากขอ สงสัยวาผูฟอ งคดเี ปนผคู รอบครองที่ดินตาม น.ส.๓ ก. เลขท่ี ๒๑๗๑ ดังนั้น การที่
ผูฟองคดีเสนอความเห็นใหนายอําเภอเมืองระยอง ออก น.ส.๓ ก. เลขท่ี ๒๑๗๑ เน้ือท่ี ๔๒ ไร ๗๖ ตารางวา
ตาม ส.ค. ๑ เลขท่ี ๒๕ เนื้อที่ ๖ ไร ๑ งาน ทั้งท่ีท่ีดินตาม ส.ค. ๑ ดังกลาว ไมไดมีการครอบครอง
และทําประโยชน อันมีผลใหนายอําเภอเมืองระยองมีคําส่ังใหออก น.ส.๓ ก. ตามเนื้อท่ีที่รังวัดได
โดยผฟู องคดมี ีเจตนาเพ่ือใหต นเองไดมาซึง่ ท่ีดินจาํ นวนเพ่ิมมากขึน้ ถึง ๓๕ ไร ๓ งาน ๗๖ ตารางวา
จงึ เปนกรณีทีผ่ ูฟอ งคดปี ฏิบัตหิ รอื ละเวนการปฏบิ ัตหิ นาทรี่ าชการโดยมิชอบ เพื่อใหตนเองไดประโยชน
ทม่ี คิ วรได เปน การทจุ รติ ตอ หนา ท่ีราชการ อนั เปนความผดิ วินยั อยางรา ยแรงตามมาตรา ๖๗ วรรคสาม
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ไดไตสวนขอเท็จจริงและมีมติชี้มูลวาผูฟองคดีกระทําผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ อันเปน
การดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา ๑๙ (๓) แหง พ.ร.ป.
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงตองผูกพันตามมติ
ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการพิจารณาโทษทางวินัยฐานทุจริตตอหนาที่ราชการแกผูฟองคดี
ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดมีมติโดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก และตอง
ถอื เอารายงานเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัย
ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือน ท้ังน้ี ตามมาตรา ๙๒
วรรคหน่ึง แหง พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญเดยี วกัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนผูมีอํานาจแตงตั้ง
ถอดถอนผูฟองคดีจึงตองพิจารณาสั่งลงโทษผูฟองคดีตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
มีมติโดยไมตองแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีกตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาว แตเมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๕๐ วรรคหน่ึง (๓) ของรัฐธรรมนูญ
แหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒
วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แลว เห็นไดวา

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๕)
อํานาจหนาท่ีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัย
จงึ มเี ฉพาะความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการเทานั้น ไมอาจไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิด
ทางวินัยฐานอ่ืนได การท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลทางวินัยผูฟองคดี
ในความผิดฐานอื่นจึงเปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจตามกฎหมาย มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ท่ชี ้มี ูลความผดิ วนิ ยั ผูฟอ งคดใี นความผิดฐานอื่น จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชา
และผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะถือเอารายงานการไตสวนขอเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายวาดวยระเบียบ
ขาราชการพลเรือนตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วา ดว ยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ ไมได ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี
ในความผิดฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อใหผูฟองคดีซ่ึงเปนผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหา
และไดมีโอกาสช้ีแจงและนําสืบแกขอกลาวหาตามขั้นตอนและวิธีการที่กําหนดไวในมาตรา ๙๓
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา
ซึ่งใชบังคับในขณะเกิดเหตุ โดยที่ขั้นตอนและวิธีการดังกลาวถือเปนข้ันตอนและวิธีการที่เปนสาระสําคัญ
ตามที่กฎหมายกําหนด เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ในความผิดวินัย ฐานปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติ
ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
โดยมิไดม ีการแตง ตัง้ คณะกรรมการข้นึ ทําการสอบสวนผฟู อ งคดีและมิไดแ จงขอกลาวหาดงั กลาวให
ผูฟองคดี เพ่ือใหผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงชี้แจงแสดงพยานหลักฐานและนําสืบแกขอกลาวหา
คําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมาย
และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณผูฟองคดีตามฐานความผิดดังกลาว
จึงไมชอบดวยกฎหมายเชนกัน ทั้งนี้ กรณีอํานาจหนาที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แมผูฟองคดี
จะมิไดยกข้ึนกลาวอาง แตโดยที่การตรวจสอบความชอบดวยกฎหมายของคําส่ังลงโทษทางวินัย
ซึ่งเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
นอกจากจะตองพิจารณารูปแบบ ข้ันตอน และวิธีการอันเปนสาระสําคัญตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในการออกคาํ ส่ังทางปกครอง ตลอดจนเนอ้ื หาของคาํ ส่งั ทางปกครองวาเจาหนาท่ีใชดุลพินิจภายใน
ขอบเขตแหงเจตนารมณของกฎหมายที่ใหอํานาจออกคําส่ังทางปกครองหรือไม แลวยังตองพิจารณา
ถงึ อาํ นาจหนา ท่ีของเจา หนา ท่ผี ูออกคาํ สัง่ รวมถึงอาํ นาจหนาที่ของเจาหนา ทท่ี เ่ี ก่ยี วของในทุกกระบวนการ
กอนออกคําสั่งดวย เม่ือกรณีนี้กฎหมายไดกําหนดใหคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจหนาที่ในการไตสวน

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๖)
ขอเท็จจริงและวินิจฉัยขอกลาวหาเจาหนาที่ของรัฐกระทําความผิดทางวินัยฐานทุจริตตอหนาท่ี
คาํ วินจิ ฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. วา การกระทําของเจาหนาท่ีของรัฐดังกลาวมีมูลความผิดทางวินัย
จึงมีผลผูกพันผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจแตงต้ังถอดถอนเจาหนาท่ีของรัฐผูถูกกลาวหา ไมอาจ
เปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยได และตองถือเอารายงานเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามกฎหมายวาดวย
ระเบียบขาราชการพลเรือน โดยไมตองแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย ดังนั้น อํานาจหนาท่ี
ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัย จึงเปนขอกฎหมาย
อนั เก่ียวดว ยความสงบเรยี บรอ ยของประชาชน ท่ีศาลสามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองไดแมคูกรณีจะมิได
กลาวอาง ทั้งน้ี ตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังน้ัน เมื่อไดวินิจฉัยแลววาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริต
ตอ หนา ทรี่ าชการตามมาตรา ๖๗ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘
ผูฟองคดีจะตองไดรับโทษใหออก ปลดออก หรือไลออก ตามความรายแรงแหงกรณีตามมาตรา ๘๖
วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติดังกลาว ซึ่งเปนกฎหมายที่ใชบังคับในขณะน้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะ
ผูบังคับบัญชายอมมีดุลพินิจที่จะเลือกลงโทษผูฟองคดีใหออก ปลดออก หรือไลออกตามความรายแรง
แหงกรณี เม่ือผูถ ูกฟองคดที ่ี ๑ พจิ ารณาพฤติการณและการกระทําผิดของผูฟองคดีแลวใชดุลพินิจ
เลอื กที่จะกําหนดโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ อันเปนการใชดุลพินิจท่ีอยูภายในกรอบท่ีกฎหมาย
กําหนด การใชดุลพินิจในการลงโทษผูฟองคดีจึงชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๘๖ วรรคหนึ่ง
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ ลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ เฉพาะสวนท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ จึงเปนการใชดุลพินิจโดยชอบแลว คําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ในสวนน้จี ึงชอบดวยกฎหมาย และคําวนิ จิ ฉยั อทุ ธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓
ที่ใหยกอุทธรณผูฟองคดีเฉพาะสวนที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการในความผิดฐานทุจริต
ตอหนาท่ีราชการ จึงชอบดวยกฎหมายเชนกัน ดังน้ัน แมผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะมีคําสั่งลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ในฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบ
ของทางราชการ อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรงตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติขางตน โดยมิไดใหผูฟองคดีไดรับทราบขอกลาวหาและไดมีโอกาสช้ีแจง
และนําสืบแกขอกลาวหาตามข้ันตอนและวิธีการท่ีกําหนดไวในมาตรา ๙๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ วา ดวยการสอบสวนพจิ ารณา ซ่ึงไมชอบดวยกฎหมายก็ตาม
แตไมทําใหผลของคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ส่ังลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัย

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๗)
อุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณผูฟองคดี ในความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ
ซึ่งเปนคําส่ังท่ีชอบดวยกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับผูฟองคดีมิไดโตแยงในประเด็นดังกลาว
อีกทัง้ โทษไลอ อกจากราชการเปนโทษสูงสุดของโทษทางวนิ ัย ศาลจึงไมจําตองพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่ง
ในสวนอื่นท่ีไมชอบดวยกฎหมายของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒ อีก สําหรับกรณีที่ผูฟองคดีอางวา
การทก่ี รมท่ีดนิ ไดมีหนังสือแจงคําสงั่ ลงโทษไลออกจากราชการใหผูฟองคดีทราบนาจะไมชอบดวยกฎหมาย
เนื่องจากผูฟองคดีไดเกษียณอายุราชการมาเปนเวลา ๒ ปแลว นั้น เม่ือคดีนี้ขอเท็จจริงปรากฏวา
สํานักงานคณะกรรมการ ป.ป.ป. ไดรับเร่ืองกลาวหาผูฟองคดีในขณะดํารงตําแหนงเจาพนักงานที่ดิน
จังหวัดระยอง กรณีดําเนินการออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๗๑ โดยมิชอบดวยกฎหมาย อันเปน
การกลา วหาวา ผฟู องคดกี ระทาํ การทุจรติ ตอ หนา ทใ่ี นขณะที่ผูฟองคดีเปนเจาหนา ทขี่ องรัฐ ตอสํานักงาน
คณะกรรมการ ป.ป.ป. และตอมา เมอื่ วนั ท่ี ๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๒ เรื่องรองเรียนดังกลาวไดโอนไปยัง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา ๑๒๘ แหง พ.ร.ป. วา ดวยการปองกนั และปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงฟงไดวาในขณะที่ผูฟองคดีถูกกลาวหาตอคณะกรรมการ ป.ป.ป. น้ัน ผูฟองคดี
ยังคงเปนเจาหนาท่ีของรัฐ มิใชเปนกรณีท่ีผูฟองคดีถูกกลาวหาเมื่อผูฟองคดีเกษียณอายุราชการ
มาเกินสองปแลวตามที่ผูฟองคดีกลาวอาง ดังน้ัน เร่ืองกลาวหาผูฟองคดีดังกลาวจึงอยูในอํานาจหนาท่ี
ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณาดําเนินการไดมาตรา ๘๔ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญขางตน อันเปนการดําเนินการตอจากคณะกรรมการ ป.ป.ป. ในการพิจารณา
สอบสวนตอไป เชนนี้แลวตราบใดที่ผูฟองคดียังคงเปนเจาหนาที่ของรัฐและมีการตรวจสอบพบวา
ผูฟองคดีมีการกระทําอันมีมูลความผิดทางวินัย คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจท่ีจะสงความเห็น
ไปยังผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจแตงต้ังถอดถอนผูฟองคดีเพ่ือพิจารณาลงโทษตามฐานความผิด
ทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดมีมติ ท้ังนี้ ตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๙๓ แหงพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญดงั กลา ว

พิพากษายกฟอ ง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ป.) อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล

หนา ๑๕
กรณกี ารฟองซาํ้
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๑๑๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๔๔

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๘)
ขอ อทุ ธรณทม่ี ิไดว า กลา วมาแลวโดยชอบในศาลปกครองชน้ั ตน
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๖๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๕๒
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๕๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง วิธีพิจารณาคดีปกครอง

หนา ๙๗
การมอบอํานาจใหบุคลอนื่ ดาํ เนินคดีปกครองแทน
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๖๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๙๓
เนื้อหาแหงคดี
วินยั ขาราชการพลเรือน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๕๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๓/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๘๕
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี ฟ.๖/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงนักวิชาการ
เงินและบัญชีชํานาญการ (เจาหนาท่ีบริหารงานการเงินและบัญชี ๖ เดิม) สํานักงานจังหวัดนาน
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่หัวหนาผูตรวจสอบภายในจังหวัดนานรายงานผลการ
ตรวจสอบการเงินและบญั ชีของสํานักงานจงั หวัดนา นใหผ ูถูกฟอ งคดที ี่ ๒ (ผวู า ราชการจังหวัดนาน)
ทราบวา หัวหนาผูตรวจสอบภายในจังหวัดนานตรวจสอบเงินรายไดแผนดิน และเงินรายได
แผน ดินนาํ สง คลงั จังหวัดนาน ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ – ๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๐
ของสํานักงานจังหวัดนานแลวพบวา สํานักงานจังหวัดนานมีคาปรับเปนรายไดแผนดินท่ียังไมได
นําสงคลังจังหวัดนาน โดยไดมีการเขียนเปนเช็คสั่งจายผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาแลว
เห็นวา กรณีมีมูลความผิดวินัยอยางรายแรงจึงมีคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผูฟองคดี คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนผูฟองคดีแลวเห็นวา ผูฟองคดี

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๐๙)
เปนเจาหนาที่และมีหนาที่ความรับผิดชอบเก่ียวกับการเงินและบัญชีของสํานักงานจังหวัดนาน
มิไดนําเงินคาปรับท่ีไดรับในระหวางปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ – ๒๕๕๐ เปนเงินจํานวน
๑,๘๖๒,๓๔๐.๘๘ บาท สงคลังจังหวัดนานเพ่ือเปนรายไดแผนดิน แตไดมีการนําเงินคาปรับฝาก
เขาบัญชเี งนิ ฝากท่ีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขานาน บัญชสี าํ นักงานจังหวัดนาน เปนเงิน
จาํ นวน ๑,๒๐๗,๘๘๘.๓๑ บาท สว นเงนิ คาปรับทเี่ หลือจํานวน ๖๕๔,๔๕๒.๙๙ บาท เขียนเปนเช็ค
สั่งจายผูฟองคดีอันเปนการไมปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนําเงินสงคลังของสวน
ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๐ เม่ือหัวหนาหนวยตรวจสอบภายในจังหวัดนานไดทําการตรวจสอบการเงิน
และบัญชีของสํานักงานจังหวัดนานพบวา มีคาปรับซ่ึงเปนรายไดแผนดินที่ยังไมนําสงคลังจังหวัด
นาน ผูฟองคดีจึงดําเนินการขออนุมัติถอนเงินคาปรับจํานวน ๑,๒๑๑,๒๖๒.๒๒ บาท สงคืนเปน
รายไดแผนดินเม่ือวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ สวนเงินคาปรับท่ีเหลือจํานวน ๖๕๔,๔๕๒.๙๙ บาท
ไมปรากฏหลักฐานในการนําฝากธนาคารหรือสงคืนคลัง แตพบวา ผูฟองคดีไดนําเงินจํานวน
ดังกลาวสงเปนรายไดแผนดิน เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๑ ทําใหเช่ือไดวา ผูฟองคดีนําคาปรับ
เปนเงินจํานวน ๖๕๔,๔๕๒.๙๙ บาท ไปใชเปนประโยชนสวนตัว การกระทําของผูฟองคดี
เปนความผิดวินัยอยางรายแรง กรณีปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือให
ตนเองหรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ และเปนการกระทําให
เส่ือมเสียเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาท่ีราชการ เปนความผิดวินัยกรณีกระทําการอันไดช่ือวา
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง จึงมีมติลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ หลังจากน้ัน
คณะกรรมการสอบสวนไดรายงานผลการสอบสวนใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
จึงเสนอเร่ืองดังกลาวให อ.ก.พ. จังหวัดนานพิจารณา อ.ก.พ. จังหวัดนาน ในการประชุมเม่ือวันท่ี
๒๘ เมษายน ๒๕๕๓ และเมื่อวันท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๓ พิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณของ
ผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัย แตยังไมเปนเหตุใหเสียหายแกทางราชการจึงมีมติใหลงโทษลด
เงินเดอื นผูฟอ งคดี ๖% หลังจากนนั้ ผถู กู ฟอ งคดีที่ ๒ ไดม ีคาํ ส่งั ลงวันท่ี ๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ลงโทษ
ลดเงินเดือนผูฟองคดี ๖% ตามมติ อ.ก.พ. จังหวัดนาน และรายงานการลงโทษผูฟองคดีไปยัง
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย) เพื่อพิจารณาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในการประชุม
เมื่อวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ พิจารณาแลวเห็นวา การที่ อ.ก.พ. จังหวัดนานมีมติใหลงโทษ
ลดเงนิ เดอื นผฟู องคดี ๖% ไมถ ูกตองเหมาะสมกบั กรณคี วามผิด จึงมีมติใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ยกเลิก
คําสงั่ ลงวันท่ี ๔ สงิ หาคม ๒๕๕๓ และใหลงโทษไลผ ฟู อ งคดอี อกจากราชการใหเปนการถูกตองและ
เหมาะสมกับความผดิ ผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ จึงมคี าํ สงั่ ลงวนั ท่ี ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ลงโทษลดเงินเดือน
ผฟู อ งคดแี ละลงโทษไลผ ูฟองคดอี อกจากราชการ ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๔
อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.))
ผูถ กู ฟองคดีที่ ๓ พิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี แลวมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา
คําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ
ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองตอศาลปกครองสูงสุดขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของ

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๐)
ผูถกู ฟองคดีท่ี ๓ ทใี่ หยกคาํ อุทธรณของผูฟองคดี โดยใหผูฟองคดีไดกลับเขารับราชการเหมือนเดิม
และไดรับสิทธิประโยชนตางๆ ที่พึงมีพึงไดคืนใหแกผูฟองคดี เห็นวา การที่หัวหนาผูตรวจสอบ
ภายในจังหวัดนาน รายงานผลการตรวจสอบการเงินและบัญชีของสํานักงานจังหวัดนานให
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีผูมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ (๑๑)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ทราบวา ในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ –
๒๕๕๐ สํานักงานจังหวัดนาน มีเงินคาปรับที่เกิดจากการปฏิบัติผิดสัญญาตามสัญญาโครงการ
ตางๆ ซึ่งเปนรายไดแผนดินจํานวน ๑,๘๖๒,๓๔๐.๘๘ บาท ตองนําสงคลังจังหวัดนาน ผูฟองคดี
เปนขาราชการพลเรอื นสามัญ ตาํ แหนงนกั บรหิ ารงานการเงนิ และบัญชี ๖ (ปจจุบันคือ นักวิชาการ
เงินและบัญชีชํานาญการ) สํานักงานจังหวัดนาน มีหนาท่ีตองนําเงินคาปรับซ่ึงเปนรายไดแผนดิน
นําสงคลังจังหวัดนานตามขอ ๔ และขอ ๖๕ (๒) ของระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนําเงิน
สงคลังของสวนราชการ พ.ศ. ๒๕๒๐ แตผูฟองคดีไดนําเงินคาปรับซ่ึงเปนรายไดแผนดินจํานวน
๖๕๔,๔๕๒.๙๙ บาท สั่งจายเงินใหแกตนเอง เปนกรณีที่หัวหนาผูตรวจสอบภายในจังหวัดนาน
รายงานกลาวหาผูฟองคดีและความปรากฏตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาผูฟองคดี
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดพิจารณาจากรายงานและพยานหลักฐานในเบื้องตนแลวเห็นวา กรณีมีมูล
ที่ควรกลาวหาผูฟองคดี กระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ยอมมีอํานาจแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีได โดยไมจําตองมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบขอเท็จจรงิ กอนตามมาตรา ๕๗ วรรคหนงึ่ (๑๑) มาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๑ วรรคหนึ่ง
มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๑ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน
วินัยอยางรายแรงผูฟองคดี ตอมาผูฟองคดีมีหนังสือคัดคานคณะกรรมการสอบสวนชุดดังกลาว
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสอบสวน
วินัยอยางรายแรงผูฟองคดีใหม ตามขอ ๘ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตาม
ความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา จึงเปน
การกระทาํ ทช่ี อบดว ยกฎหมาย และเมื่อคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีไดแจง
ขอ กลา วหาและอธบิ ายขอ กลาวหาใหผ ูฟอ งคดที ราบตามแบบ สว.๒ เมือ่ วนั ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑
และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาใหผูฟองคดีทราบตามแบบ สว.๓ เม่ือวันท่ี
๒ กันยายน ๒๕๕๑ และใหโอกาสผูฟองคดีไดช้ีแจงแกขอกลาวหาตามแบบ สว.๔ ลงวันท่ี
๓๑ ตลุ าคม ๒๕๕๑ ตอมาคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงดําเนินการสอบสวนแลวเสร็จ
รายงานผลการสอบสวนและความเห็นตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ วา ผูฟองคดีมีเจตนานําเงินคาปรับ
เปนจํานวนเงิน ๖๕๔,๔๕๒.๙๙ บาท ไปเปนประโยชนสวนตัว การกระทําดังกลาวเปนความผิด
วินยั อยา งรา ยแรงกรณปี ฏิบัติหรือละเวนการปฏบิ ตั หิ นา ท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือใหตนเองหรือผูอ่ืน
ไดประโยชนท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการและเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และเปนการ
กระทําที่ทําใหเสื่อมเสียเกียรติศักด์ิของตําแหนงหนาที่ราชการ โดยกระทําการอ่ืนใดอันไดชื่อวา

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๑)
เปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามมาตรา ๑๐๔
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว การที่ผูฟองคดีนําเงินท่ีทุจริตไปมาคืนไมเปนเหตุลดหยอนผอนโทษ
เปนปลดออกจากราชการแตอยางใด ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเสนอรายงานผลการสอบสวนวินัย
อยางรายแรงผูฟองคดีและความเห็นให อ.ก.พ. จังหวัดนานเพ่ือพิจารณา อ.ก.พ. จังหวัดนาน
ในการประชุมเม่ือวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๓ และเมื่อวันท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๓ พิจารณาแลว
เห็นวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงฐานไมนําเงินคาปรับซึ่งเปนรายไดแผนดินสงคลัง
จงั หวัดนาน แตย งั ไมเ สียหายแกราชการ จึงมีมติใหลงโทษลดเงินเดือนผูฟองคดี ๖% ผูถูกฟองคดี
ที่ ๒ จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ ลงโทษลดเงินเดือนผูฟองคดี ๖% ตามมติ อ.ก.พ.
จงั หวดั นาน ตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง และมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดําเนินการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีเปนไป
ตามหลักเกณฑและวิธีการตามท่ีกฎหมายกําหนด สวนประเด็นวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัย
อยางรายแรงหรือไม และควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเปนการใชดุลพินิจโดยชอบ
ดว ยกฎหมายหรอื ไม นั้น เมื่อผูฟองคดีดํารงตําแหนงเปนเจาหนาที่บริหารงานการเงินและบัญชี ๖
สํานักงานจงั หวดั นาน มหี นา ท่ตี องนาํ เงินคาปรบั ซง่ึ เปนรายไดแผน ดนิ จาํ นวน ๖๕๔,๔๕๒.๙๙ บาท
สง คืนคลังจงั หวัดนา น ตามขอ ๔ และขอ ๖๕ (๒) ของระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนําเงินสง
คลังของสวนราชการ พ.ศ. ๒๕๒๐ แตกลับนําเงินคาปรับดังกลาวนําฝากเขาบัญชีเงินฝากของ
ผูฟองคดี และเม่ือมีการทวงถามถึงเงินคาปรับซึ่งเปนรายไดแผนดินจํานวนดังกลาวผูฟองคดีกลับใช
ระยะเวลานานกวา ๒ เดือนครึ่ง จึงนําเงินคาปรับซ่ึงเปนรายไดแผนดินดังกลาวมาสงคืนคลังจังหวัด
นาน พฤติการณของผูฟองคดียอมรับฟงไดวา ผูฟองคดีไดนําเงินคาปรับซ่ึงเปนรายไดแผนดิน
จํานวนดังกลาวไปหมุนใชเพื่อประโยชนสวนตัว อันเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการและ
เปนความผิดวินัยอยางรายแรง และฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีโทษปลดออก หรือไลออก ตามความรายแรงแหงกรณี การที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่งลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ลงโทษลดเงินเดือนผูฟองคดี ๖% ตามมติ
อ.ก.พ. จังหวดั นาน ตามมารา ๕๗ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และ
ไดรายงานการลงโทษผูฟองคดีไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๑ เพ่ือพิจารณา ตามมาตรา ๑๐๓ วรรคหน่ึง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม
๒๕๕๔ ไดพิจารณาแลวเห็นวา การที่ อ.ก.พ. จังหวัดนานมีมติใหลงโทษลดเงินเดือนผูฟองคดี ๖%
ซึ่งขณะนั้นมิไดเปนสถานโทษและอัตราโทษท่ีกฎหมายกําหนดใหลงโทษลดเงินเดือนผูฟองคดีได
มติ อ.ก.พ. จังหวัดนานดังกลาว จึงไมถูกตองตามกฎหมาย เม่ือพฤติการณของผูฟองคดี
เปนความผิดตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม มาตรา ๙๘ วรรคสอง และมาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงมีมติใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ยกเลิกคําสั่งจังหวัดนาน ลงวันที่

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๒)
๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ที่ส่ังลงโทษลดเงินเดือนผูฟองคดี ๖% และใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจาก
ราชการใหเปนการถูกตองและเหมาะสมกับความผิด ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงมีคําส่ังลงวันที่
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ยกเลิกคําสั่งลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ที่สั่งลงโทษลดเงินเดือนผูฟองคดี ๖%
และลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ เปนการปฏิบัติใหเปนไปตามท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติ
ตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําสั่ง
ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ยกเลิกคําส่ังลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ท่ีสั่งลงโทษลดเงินเดือน
ผูฟองคดี ๖% เปนลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนการกระทําที่ชอบดวยกฎหมาย
การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําวินิจฉัยลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
จึงเปน คําสงั่ ทีช่ อบดว ยกฎหมายเชน กัน

พพิ ากษายกฟอ ง

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาหนาท่ีบริหารงานท่ีดิน ๗

กลุมปฏิบัติการรังวัดและออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ
(กองหนงั สอื สาํ คัญ) ไดรับความเดอื ดรอ นหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (อธิบดีกรมที่ดิน)
ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ สืบเน่ืองจากขณะ
ที่ผูฟองคดีปฏิบัติงานตามโครงการเดินสํารวจออกโฉนดท่ีดินและสอบเขตท่ีดินท้ังตําบล ในตําแหนง
ผูอํานวยการศนู ยอํานวยการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดิน จังหวัดชุมพร ๒ นาง อ. ไดมีหนังสือลงวันที่
๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ และนาย อ. ผูใหญบานหมูที่ ๑๐ ตําบลนาขา อําเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
มีหนังสือลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ กลาวหาตอผูรองสอด (คณะกรรมการปองกันและปราบปราม
การทจุ รติ แหงชาติ) วา มีการเดนิ สาํ รวจออกโฉนดท่ดี นิ ใหก ับนาย ช. และนาย ม. ทับเขตประทานบัตรเหมืองแร
ท่ยี งั ไมหมดอายุ ผรู อ งจึงมีคําสงั่ แตงตั้งคณะอนุกรรมการเพ่อื ไตส วนขอเท็จจริง ซึ่งคณะอนุกรรมการไตสวน
ขอเท็จจริงเห็นวาการกระทําของผูฟองคดีมีมูลความผิด โดยกลาวหาวา ผูฟองคดีออกโฉนดท่ีดิน
โดยไมม หี ลกั ฐานทางทด่ี ินมากอนออกโฉนดทดี่ นิ และเปน การออกโฉนดที่ดินทับเขตประทานบัตรเหมืองแร
ทย่ี ังไมหมดอายุเต็มท้งั แปลงหรอื บางสว น และเปนท่ีดินไมมีการครอบครองทําประโยชนโดยชอบดวยกฎหมาย
แลวแตกรณี รวมทั้งสิ้น๒๒ฉบับอันเปนการออกโฉนดที่ดินมิชอบดว ยกฎหมายจึงเปน ความผิดวินัยอยางรายแรง
ซ่ึงตอมาผูรองสอดไดพิจารณาในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ แลวเห็นดวยกับความเห็น
ของคณะอนุกรรมการไตสวนขอเท็จจริง และมีมติวาผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริต
ตอหนาทีร่ าชการ ฐานปฏิบตั หิ นาท่รี าชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกราชการอยางรายแรง และฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรงตามนัยมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ประกอบมาตรา ๘๒ วรรคสาม มาตรา ๘๕ วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเปนกฎหมายที่ใชบังคับในขณะกระทําความผิด
และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเปนเจาพนักงานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๓)
เพื่อใหเกิดความเสียหายแกผ ูหนงึ่ ผใู ดหรือปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่โดยทุจริต ตามมาตรา ๑๕๗
ประกอบกับมาตรา ๘๓ แหงประมวลกฎหมายอาญา ผูรองสอดไดสงเรื่องดังกลาวใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(กรมท่ดี นิ ) ดาํ เนินการพจิ ารณาโทษทางวนิ ยั ผูฟอ งคดี ตอ มา คณะอนุกรรมการขาราชการพลเรือน
(อ.ก.พ.) กรมทีด่ ินไดพิจารณาแลว มีมตลิ งโทษไลผ ฟู อ งคดีออกจากราชการ ตั้งแตวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๐
ซึ่งเปนวันส้ินปงบประมาณที่ผูฟองคดีมีอายุครบหกสิบปบริบูรณ ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงมีคําสั่งลงวันที่
๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีไดจึงอุทธรณคําส่ังดังกลาว
ตอ มา ผูถกู ฟองคดที ่ี ๒ (คณะกรรมการพทิ ักษระบบคุณธรรม) มีคําวินิจฉัย เมื่อวันท่ี ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๖
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ผูฟองคดีไมเห็นดวยกับคําวินิจฉัยอุทธรณ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๖
ที่วินิจฉัยวา คําส่ังลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการเหมาะสมกับ
กรณีความผิดแลว และเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ พรอมใหคืนสิทธิอันชอบธรรม
อันพึงมีพงึ ได รวมถึงเงินบํานาญและเงินอื่นใดใหแกผูฟองคดีนับแตวันท่ี ๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เปนตนไป
ในอัตราเดือนละ ๒๓,๒๖๐ บาท เห็นวา คดีน้ีขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดีเกษียณอายุราชการ
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๐ ซง่ึ ตอ มาไดมีการกลาวหาผูฟองคดีตอผูรองสอดตามหนังสือลงวันท่ี
๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ และลงวันท่ี ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ ตามลําดับ อันเปนการกระทําความผิดฐาน
เปนเจาพนักงานปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ โดยผูรองสอดรับเร่ืองไวเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๖
และวันที่ ๑๘ มถิ นุ ายน ๒๕๔๖ จึงเปนกรณีท่ีมีผูกลาวหาผูฟองคดีในฐานะเจาหนาที่ของรัฐซึ่งมิใช
ผดู าํ รงตําแหนง ทางการเมอื ง ตามมาตรา ๖๖ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ วากระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ กระทําความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ
ซ่งึ การกลา วหาดังกลาวจักตองอยูในหลักเกณฑของบทบัญญัติมาตรา ๘๔ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๖
และมาตรา ๘๗ แหงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาว ท่ีไดกําหนดเง่ือนไขและหลักเกณฑ
ในการท่ีผรู อ งสอดจะพจิ ารณารับ ไมรับ หรือยกคํากลาวหาข้ึนพิจารณา การท่ีนาง อ. และนาย อ.
มีหนังสือลงวันท่ี ๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ และลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ กลาวหาผูฟองคดีซ่ึงเปน
ระยะเวลาภายหลงั ท่ผี ูฟองคดเี กษยี ณอายุราชการแลวเปนเวลากวาหาป จึงเปนการยื่นคํากลาวหา
ผูฟองคดีเมื่อผูฟองคดีพนจากการเปนเจาหนาที่ของรัฐเกินสองปตามมาตรา ๘๔ แหงพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนญู เดียวกันแลว ผูรองสอดจึงไมอาจดําเนินการใดๆ อันเปนการขัดตอบทบัญญัติ
ของกฎหมายดังกลาวได ดังนั้น การที่ผูรองสอดรับคํากลาวหาและดําเนินการไตสวนขอเท็จจริง
จนมีมติวา การกระทําของผูฟองคดีมีมูลความผิดทางวินัยอยางรายแรง ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการ
ฐานปฏิบัตหิ นา ทีร่ าชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ เปนเหตุให
เกิดความเสยี หายแกร าชการอยางรายแรง และฐานกระทาํ การอนั ไดชื่อวา เปนผูประพฤติช่ัวอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม มาตรา ๘๕ วรรคสอง และมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงเปนการกระทําทางปกครองท่ีขัดตอมาตรา ๘๔ แหง พ.ร.ป.
วาดวยการปอ งกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ถือเปน การกระทาํ ที่ไมม อี าํ นาจตามกฎหมาย
มติของผูรองสอดท่ีช้ีมูลความผิดวินัยผูฟองคดีจึงไมชอบดวยกฎหมาย โดยที่ผูรองสอดไมอาจ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๔)
นําความในบทบญั ญัตมิ าตรา ๔๘ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับท่ี ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ใหยกเลิกความในมาตรา ๘๔ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ และใหใชความในมาตรา ๘๔ ใหมแทน ซ่งึ ยังไมม ีผลบังคับใชในขณะที่ผูรองสอดริเริ่ม
ดําเนินการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัย มาใชบังคับกับกรณีการกลาวหาของผูฟองคดีได
ผรู อ งสอดจงึ ยงั คงผูกพนั ใหต องดําเนินการตามหลกั เกณฑการกลาวหาเจาหนาที่ของรัฐตามที่บัญญัติไวใน
มาตรา ๘๔ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ สวนการที่
ผูถูกกลาวหาคนอ่ืนยังคงเปนเจาหนาที่ของรัฐในขณะท่ีถูกกลาวหา ก็เปนเร่ืองเฉพาะตัวของ
ผูถูกกลาวหาแตละคน ผูรองสอดมิอาจนําสถานภาพของผูถูกกลาวหาคนอื่นมากอใหเกิดผลกระทบ
ตอสถานภาพแหงสิทธิของผูฟองคดีได อีกทั้ง การท่ีผูรองสอดมีมติช้ีมูลความผิดของผูฟองคดีวา
เปนความผิดวินัย ก็มิไดเปนการวินิจฉัยชี้ขาดขององคกรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเปนการใชอํานาจโดยตรง
ตามรัฐธรรมนูญขององคกรตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
แหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ แตเปนการใชอํานาจตาม พ.ร.ป. วาดวยการปองกัน
และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มติช้ีมูลความผิดของผูรองสอดจึงยังไมเปนที่สุด และ
เมื่อกรณีนี้มาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
ไดกําหนดใหถือวารายงานเอกสารและความเห็นของผูรองสอดเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัย
ของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามกฎหมายหรือระเบียบหรือขอบังคับวาดวยการบริหารงานบุคคล
ของผฟู องคดีในฐานะผูถูกกลาวหา โดยไมตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก การดําเนินการ
ไตสวนขอเท็จจริงและมีมติของผูรองสอดจึงมีผลผูกพันผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจแตงต้ังถอดถอน
ผูฟองคดี โดยไมอาจเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยได และถือไดวาการไตสวนของผูรองสอด
มีผลอยางเดียวกับการสอบสวนของผูบังคับบัญชา เมื่อการที่ผูรองสอดรับคํากลาวหาและดําเนินการ
ไตสวนขอเทจ็ จรงิ ไมช อบดว ยกฎหมายดงั ทไี่ ดวินิจฉยั ไวขา งตนแลว ดงั นัน้ การดําเนินการสอบสวน
ทางวินยั กับผูฟองคดจี งึ เปน การกระทําทไ่ี มช อบดวยกฎหมายไปดวย คําส่ังลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
ใหลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการตามที่ผูรองสอดมีมติช้ีมูลความผิด จึงไมชอบดวยกฎหมาย
และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
จึงไมช อบดว ยกฎหมายเชน กัน เม่ือไดวินิจฉัยแลววา คําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒
ไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากผูรองสอดรับคํากลาวหาและดําเนินการไตสวนขอเท็จจริง
ไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๘๔ แหงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกลาว ซึ่งเปน
การกระทําทไี่ มชอบดว ยกฎหมายที่บญั ญตั ิไวส ําหรับการออกคาํ สง่ั ลงโทษทางวินัยกับผูฟองคดีแลว
จงึ ไมจาํ ตอ งวนิ ิจฉัยวา ผูฟ องคดีไดก ระทําความผิดวินัยตามที่ถูกกลาวหาหรือไม เพราะไมทําใหผล
ของคดเี ปลี่ยนแปลงไปแตอ ยางใด

พิพากษาเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ท่ีใหยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี คาํ ขออื่นนอกจากน้ีใหย ก

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๕)
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๑๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เงื่อนไขการฟองคดี

หนา ๕๘

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ ฟ.๑๑/๒๕๖๓
ผฟู องคดีฟองวา ผูฟองคดีรับราชการตําแหนงปศุสัตวจังหวัด ผูอํานวยการเฉพาะดาน

(นายสัตวแพทยระดับตน) สํานักงานปศุสัตวจังหวัดภูเก็ต ขณะดํารงตําแหนงนายสัตวแพทย ๘ วช.
หวั หนา กลุมพัฒนาคณุ ภาพสนิ คาปศุสตั ว สํานักงานปศสุ ตั วจ งั หวัดนครปฐม รักษาราชการแทนปศุสัตว
จังหวัดนครปฐม ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง เนื่องจากผูฟองคดีไดรับมอบหมาย
ใหปฏิบัติหนาที่ดูแลการเคล่ือนยายโค – กระบือ ที่กรมปศุสัตวดําเนินการสงมอบใหแกเกษตรกร
ตามโครงการธนาคารโค – กระบือ เพ่ือเกษตรกรตามพระราชดําริ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐
โดยผูฟองคดีไมไดตรวจสอบหลักฐานบัตรประจําตัวสัตวใหรอบคอบกอนอนุญาตใหเคลื่อนยาย
สัตวไปยังทองที่ปลายทาง ไมกํากับดูแลการจัดการคอกพักใหถูกตองตามหลักวิชาการ ทําใหเกิด
ความผิดพลาดในการจัดทําเอกสารประจําตัวสัตว และไมกํากับดูแลใหมีการเปล่ียนวัสดุส่ิงปูรองพ้ืน
รถบรรทุกที่จะสงสัตวไปทองที่ปลายทางและอนุญาตใหนําสัตวที่กักไวเพื่อดูอาการไมครบระยะเวลา
ตามที่กฎหมายกําหนดไปยังทองท่ีปลายทาง ซึ่งตอมาสัตวดังกลาวมีอาการปวยเปนโรคปากและ
เทาเปอย จํานวน ๖ ตัว คณะกรรมการสอบสวนโดยผูถูกฟองคดีที่ ๓ ถึงท่ี ๕ มีความเห็นวา
พฤติการณดังกลา วของผฟู องคดถี อื เปนการกระทําผิดวินัย ฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเกิดผลดี
หรือความกาวหนาแกทางราชการ ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการดวยความอุตสาหะ เอาใจใส ระมัดระวัง
รักษาประโยชนของทางราชการ และฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมายและระเบียบ
ของทางราชการ สมควรลงโทษตัดเงินเดือน ๕ % เปนเวลา ๑ เดือน ตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(อธิบดีกรมปศุสัตว) มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒ ลงโทษตัดเงินเดือนตามความเห็นของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ถึงที่ ๕ ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๖ ถึงท่ี ๑๒ วินิจฉัย
ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี แจงตามหนังสือลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ผูฟองคดีเห็นวา
คําส่ังลงโทษของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๖ ถึงท่ี ๑๒ ไมชอบดวยกฎหมาย
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี
๑๔ กนั ยายน ๒๕๕๒ ทล่ี งโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดี และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ถึงท่ี ๑๒
ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ท่ีวินิจฉัยใหยกอุทธรณผูฟองคดี ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่ง
เลื่อนขั้นเงินเดือน ๑ ข้ัน ใหแกผูฟองคดีตามท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังใหพักการขึ้นเงินเดือนไวกอน
จนกวาเรื่องท่ีถูกลงโทษทางวินัยถึงที่สุดวาไมมีความผิดดําเนินการใหมีการแกไขทะเบียนประวัติ
(ก.พ. ๗) ที่มีการบันทึกการลงโทษทางวินัยของผูฟองคดีไว เปนไมมีความผิดอีกตอไป และบันทึกให
ผูฟองคดีมีสิทธิขอยายไปรับราชการและเลื่อนระดับไดตามระเบียบ เห็นวา กรณีอันเปนมูลเหตุให
มีการสอบสวนทางวินัยเกดิ ขึน้ กอ นท่ี พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใชบังคับ
เม่ือวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๑ และกอนวันท่ีบทบัญญัติในลักษณะ ๔ ขาราชการพลเรือนสามัญ
และลักษณะ ๕ ขาราชการพลเรือนในพระองค แหงพระราชบัญญัติดังกลาวใชบังคับ จึงเปนกรณี

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๖)
ท่ีตองดําเนินการตามมาตรา ๑๓๓ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน กลาวคือ ผูบังคับบัญชา
ตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีอํานาจส่ังลงโทษผูนั้นหรือสั่งใหผูนั้น
ออกจากราชการตามกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือนที่ใชอยูในขณะนั้น สวนการสอบสวน
การพิจารณา และการดําเนินการเพื่อลงโทษหรือใหออกจากราชการ ใหดําเนินการตาม พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือนพ.ศ. ๒๕๕๑ และโดยท่ีในขณะที่ดําเนินการทางวินัยผูฟองคดียังมิได
มีกฎ ก.พ. เพ่ือปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติดังกลาวใชบังคับ กรณีจึงตองดําเนินการสอบสวน
ตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาที่มีอํานาจสั่งบรรจุ
ผูฟองคดี จึงมีอํานาจดําเนินการตามมาตรา ๙๑ มาตรา ๙๒ ประกอบมาตรา ๙๕ แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยพิจารณาวาเปนการกระทําผิดวินัยไมรายแรงและ
แตงตั้งคณะกรรมการดําเนินการสอบสวนเรื่องดังกลาว ซ่ึงตามบันทึกการแจงและรับทราบ
ขอกลาวหา (สว. ๒) ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีไดลงลายมือชื่อรับทราบขอกลาวหาและ
รับสําเนาบันทึกดังกลา วไว ตอ มา คณะกรรมการสอบสวนแจง ขอ กลาวหาและสรุปพยานหลักฐาน
ที่สนับสนุนขอกลาวหาใหผูฟองคดีในฐานะผูถูกกลาวหาทราบ โดยมีเนื้อหาทั้งในสวนขอกลาวหา
และในสวนสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา ปรากฏตามบันทึกการแจงและรับทราบ
ขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา (สว. ๓) ลงวันท่ี ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑
ซึ่งผูฟองคดีลงลายมือช่ือรับทราบขอกลาวหาและรับสําเนาบันทึกดังกลาวไวเชนเดียวกัน เม่ือผูฟองคดี
ใหถอ ยคําแกขอ กลา วหาในประเดน็ ขอ กลา วหาเร่อื งอนุญาตใหนําสัตวที่กักตัวเพื่อดูอาการไมครบ ๒๑ วัน
ไปยังจังหวัดเชียงใหมจํานวน ๖ ตัว แลว แมคณะกรรมการสอบสวนจะไมไดแจงสรุปพยานหลักฐานที่
สนับสนุนขอกลาวหา (สว. ๓) ไวอยางชัดแจง แตผูฟองคดีก็ไมไดหลงประเด็นขอตอสูแตประการใด
และพฤติการณเห็นไดวา ผูฟองคดีทราบอยูแลววาขอกลาวหาของผูฟองคดีรวมถึงการที่ผูฟองคดี
ไมไดปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในการตรวจสอบโรคโค – กระบือ ซึ่งระเบียบของทางราชการ
กร็ วมถงึ การตอ งกกั ตัวสตั วไ วดอู าการไมน อ ยกวา ๒๑ วัน ตามขอ ๑.๘ ของบันทึกขอความสํานักควบคุม
ปองกันและบําบัดโรคสัตว ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ เร่ือง แนวทางการแกไขปญหาการเกิด
โรคระบาดสัตวของธนาคารโค – กระบือ ดวย ยิ่งไปกวาน้ัน เมื่อพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดี
เห็นไดอยางชัดแจงวา ผูฟองคดีรูและเขาใจถึงขอกลาวหาเปนอยางดีวาเปนขอกลาวหาหลักท่ีคณะกรรมการ
สอบสวนใชในการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี และคณะกรรมการสอบสวนแจงสรุปพยานหลักฐาน
ท่ีสนับสนุนขอกลาวหา (สว. ๓) ในประเด็นเรื่องอนุญาตใหนําสัตวท่ีกักตัวเพื่อดูอาการไมครบ ๒๑ วัน
ไปยังจังหวัดเชียงใหม จํานวน ๖ ตัว แกผูฟองคดีไวแลว จึงเปนกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนปฏิบัติ
ตามขอ ๑๔ วรรคหน่ึงและวรรคสอง และขอ ๑๕ วรรคหน่ึงและวรรคสอง ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพิจารณา อันเปนหลักเกณฑและวิธีการที่กฎหมายกําหนดเก่ียวกับการดําเนินการสอบสวน
ทางวินัยแลว เม่ือขอเท็จจริงรับฟงไดวา โค – กระบือตามโครงการไถชีวิตโค – กระบือ เพ่ือถวาย
พระราชกุศลแดพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวภูมิพลอดุลยเดชเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๗)
พระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา มีวัตถุประสงคใหกรมปศุสัตวนําโค – กระบือ ที่ไดรับการไถชีวิตในวันที่
๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ ไปดําเนินการตามโครงการธนาคารโค – กระบือ เพ่ือเกษตรกรตามพระราชดําริตอไป
การเคล่ือนยายโค – กระบือ ตามโครงการนี้จึงตองปฏิบัติตามระเบียบ แนวปฏิบัติและขอส่ังการ
ตามโครงการธนาคารโค – กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริดวย ซ่ึงสํานักควบคุม ปองกัน
และบําบัดโรคสัตว มีบันทึกขอความ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ เรื่อง แนวทางแกไขปญหา
การเกิดโรคระบาดสัตวของธนาคารโค – กระบือ ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ เห็นชอบและใหหนวยงาน
ที่เกี่ยวของถือปฏิบัติไวดวย เม่ือผูฟองคดีเปนผูรักษาราชการแทนปศุสัตวจังหวัดนครปฐมมีหนาที่
ดูแลการเคลื่อนยายโค – กระบือ มีคําสั่งมอบหมายเจาหนาที่ของสํานักงานปศุสัตวจังหวัดนครปฐม
ใหปฏิบัติหนาที่ในเร่ืองดังกลาว อันแสดงวาผูฟองคดีเขาใจแนวทางการทํางานและนโยบาย
ในการจัดงานพิธีไถชีวิตโค – กระบือ และบทบาทหนาท่ีของสํานักงานปศุสัตวจังหวัดนครปฐม
ในการจัดงานพิธีดังกลาวเปนอยางดี ท้ังทราบดวยวาคณะทํางาน มีมติใหสํานักงานปศุสัตวจังหวัดนครปฐม
เขมงวดเร่ืองการกักโรคและเขมงวดในการเคลื่อนยายสัตวท่ีเขารวมพิธีดังกลาวดวย ดังนั้น
การเคลือ่ นยายโค – กระบือ ที่ไดรับการไถชีวิตตามโครงการนี้จึงตองปฏิบัติตาม ขอ ๑.๗ ถึง ๑.๙
ของบันทึกขอความขางตนดวย ไมอาจพิจารณาแตเพียงระเบียบกรมปศุสัตว วาดวยการอนุญาต
การตรวจโรค และการทําลายเช้ือโรคในการเคลื่อนยายสัตวหรือซากสัตวภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๔๖ แตเพียงอยางเดียวได เม่ือขอเท็จจริงปรากฏตามใบอนุญาตใหนําหรือเคล่ือนยายสัตว
หรือซากสตั วภายในราชอาณาจักร ทั้ง ๓ ฉบับ ของกระบือทั้ง ๖ ตัว วา กระบือทั้ง ๖ ตัว เขามากัก
โรคยังคอกกักสัตวของบริษัท พ. อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อยางเร็วท่ีสุดในวันท่ี
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ และวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ตามลําดับ และผูฟองคดีลงนาม
ในใบอนุญาตใหนําหรือเคล่ือนยายสัตวหรือซากสัตวภายในราชอาณาจักรของกระบือท้ัง ๖ ตัว
ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ กระบือทั้ง ๖ ตัว จึงกักโรคไวไมครบ ๒๑ วัน ตามขอ ๑.๘ ของแนวทาง
แกไขปญหาการเกิดโรคระบาดสัตวของธนาคารโค – กระบือ ดังนั้น พฤติการณของผูฟองคดีจึงเปน
การอนุญาตใหนําสัตวท่ีกักตัวเพ่ือดูอาการไมครบ ๒๑ วัน ไปยังจังหวัดเชียงใหมจํานวน ๖ ตัว
โ ด ย ท่ี ไ ม ไ ด ต ร ว จ ใ บ อ นุ ญ า ต ใ ห นํ า ห รื อ เ ค ล่ื อ น ย า ย สั ต ว หรื อซาก สั ตว ภายในราชอาณาจั ก ร
ท่ีมีการเคล่ือนยายกอนหนา อันเปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการ
ใหเกิดผลดีหรือความกาวหนาแกทางราชการ ฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการดวยความอุตสาหะ
เอาใจใส ระมัดระวังรักษาผลประโยชนของทางราชการ และฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไป
ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาลโดยไมใหเสียหาย
แกราชการ ตามมาตรา ๘๓ มาตรา ๘๔ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๘๕ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อผูฟองคดีในฐานะรักษาราชการแทนปศุสัตวจังหวัด
นครปฐม รวู าผูถูกฟอ งคดีที่ ๑ เขมงวดเร่ืองการกักโรคและเขมงวดในการเคลื่อนยายสัตวตามโครงการ
ไถชีวิตโค – กระบือ ซึ่งสัตวท้ัง ๖ ตัวดังกลาวติดเชื้อโรคปากและเทาเปอย การกระทําของผูฟองคดี
จงึ ไมใ ชการกระทาํ ผดิ วินยั เลก็ นอ ย ประกอบกบั ไมป รากฏขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ สั่งลงโทษ
ผูฟองคดีโดยพยาบาท โดยอคติ หรือโดยโทสะจริต การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังลงโทษตัดเงินเดือน

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๘)
ผูฟองคดี ๕% เปนเวลา ๑ เดือน จึงเหมาะสมและชอบดวยกฎหมายแลว ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มคี าํ ส่ังดังกลาวจึงชอบดวยกฎหมาย จึงไมมีกรณีท่ีผูบังคับบัญชาจะตองดําเนินการแกไขทะเบียนประวัติ
(ก.พ. ๗) ที่มีการบันทึกการลงโทษทางวินัยของผูฟองคดีไวแตอยางใด เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวเห็นวา ผูฟองคดีไมมีสวนเก่ียวของโดยตรง
กับการฉีดวัคซีน การไมกํากับดูแลจัดการคอกกักสัตวของบริษัท พ. ใหถูกตองตามหลักวิชาการทําให
เกิดความผิดพลาดในการจัดทาํ เอกสารบัตรประจําตวั สตั ว และการไมเปล่ียนวัสดุสิ่งปูรองพ้ืนรถบรรทุก
ที่สงสัตวไปยังทองท่ีปลายทาง แตผูฟองคดีในฐานะผูบังคับบัญชาและเปนผูไดรับมอบหมาย
ใหปฏิบัตหิ นา ท่ีในงานพิธีไถชีวิตโค – กระบือ ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ ยอมตองมีหนาท่ีกํากับดูแล
ผูใตบังคับบัญชาใหปฏิบัติหนาที่ดวยความเรียบรอย มีประสิทธิภาพและสนองตอนโยบายของ
สวนราชการ อีกท้ังเมื่อไดพิจารณาถึงคุณวุฒิ คุณสมบัติเฉพาะตัวและพฤติกรรมของผูฟองคดี
ประกอบกับบทบาทหนาท่ีในทางการบริหารงานของผูฟองคดีโดยรอบคอบแลว ผูฟองคดีสามารถ
ตรวจสอบเอกสารหลักฐานตางๆ ไดกอนลงช่ือในใบอนุญาตนําหรือเคลื่อนยายสัตวหรือซากสัตว
ภายในราชอาณาจักร (แบบ ร. ๔) พฤติการณของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง
จึงวินิจฉัยใหยกอุทธรณ การพิจารณาของผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ จึงเปนการพิจารณาในกรอบ
แหงบทบัญญัติกฎหมายที่เก่ียวของแลว และเมื่อไมปรากฏวาผูฟองคดีโตแยงกระบวนการในการ
วินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑๓ ประกอบกับไดวินิจฉัยไวแลววา ผูฟองคดีกระทําความผิดวินัย
อยางไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเกิดผลดีหรือความกาวหนาแกทางราชการ
ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการดวยความอุตสาหะ เอาใจใส ระมัดระวังรักษาผลประโยชนของทางราชการ
และฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ตามมาตรา ๘๓
มาตรา ๘๔ วรรคหน่ึง และมาตรา ๘๕ วรรคหนึง่ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑๓
มีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณของผูฟองคดีจึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว กรณีจึงไมมีเหตุ
ท่ีจะตองเพิกถอนคําส่งั ของผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๑๓ ตามคําขอทายฟอง
ของผูฟ อ งคดี

พพิ ากษายกฟอ ง

คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟ.๑๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีท้ังสามฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ เปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนง

เจาพนักงานปาไมชํานาญงาน สังกัดสํานักปองกันรักษาปาและควบคุมไฟปา ผูฟองคดีที่ ๒
เปนอดีตขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงเจาพนักงานปาไมอาวุโส และผูฟองคดีที่ ๓
รับราชการเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงเจาพนักงานปาไมปฏิบัติงาน สังกัดสํานักงาน
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมจังหวัดสระบุรี ผูฟองคดีทั้งสามไดรับความเดือดรอนเสียหาย
จากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๓ (อธิบดีกรมปาไม) มีคําส่ังลงโทษไลผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๑๙)
และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม) ไดมีคําส่ังลงโทษ
ไลผูฟองคดีที่ ๒ และท่ี ๓ ออกจากราชการ ฐานจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของ
ทางราชการ เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกทางราชการอยางรายแรง ตามมติ อ.ก.พ. กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม เนื่องจากกรณีเปนเจาหนาท่ีตรวจสอบอายัดไมสักทอน
ของบริษัท ส. โดยไดรับมอบหมายใหทําการตรวจสอบและจัดทําบัญชีไมสัก ไมกระยาเลย
ไมแ ดงพมาและไมแดง แตป รากฏวา มีการดําเนินการปลอยไมแดงพมาและไมแดงที่ไดตรวจยึดมา
โดยไมชอบดวยกฎหมาย และผูฟองคดีทั้งสามดําเนินการอายัดไมโดยไมตีตรากัก (ก.) ใหปรากฏ
เปนหลักฐาน ทั้งจัดทําบันทึกมอบไมท่ีอางวาไดตรวจสอบอายัดไวแลวใหผูดูแลโดยไมปรากฏวา
มีเอกสารบันทึกการอายัดไมมอบใหดวยแตอยางใด เปนเหตุใหไมสักทอนท่ีเจาหนาท่ีตรวจยึดไว
ขาดหายไปจากบัญชี ผูฟองคดีทั้งสามไดย่ืนอุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑
(คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําวินิจฉัยวา คําส่ังลงโทษผูฟองคดี
ท้ังสามชอบดวยกฎหมาย และอัตราโทษมีความเหมาะสมแกกรณีความผิดแลว ใหยกอุทธรณของ
ผูฟองคดีท้ังสาม ผูฟองคดีท้ังสามเห็นวา คําสั่งลงโทษและคําวินิจฉัยดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงโทษไลผูฟองคดีท้ังสาม
ออกจากราชการ เพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณ และใหผูถูกฟองคดีท้ังสามชดใชคาเสียหายเปนเงิน
๓,๒๓๐,๖๐๗ บาท เห็นวา กรณีนี้มูลความผิดวินัยอยางรายแรงของผูฟองคดีท้ังสาม เกิดข้ึนกอน
พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใชบังคับ การดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดี
ท้ังสามจึงตองนําบทบัญญัติแหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใชบังคับ
ตามมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงไดดําเนินการสอบสวนโดยแจงขอกลาวหาใหผูฟองคดี
ท้ังสามรับทราบตามแบบ สว. ๒ และผูฟองคดีทั้งสามไดรับทราบขอกลาวหาและไดรับบันทึกการแจง
และรับทราบขอกลาวหาไวแลว จึงเห็นวา คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไดแจงใหผูฟองคดีท้ังสาม
รบั ทราบขอกลาวหาตามแบบ สว. ๒ โดยชอบดวยขอ ๑๔ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณาแลว
สวนขอกลาวหาเรื่องการอายัดไมซ่ึงไมไดทําเคร่ืองหมายหรือประทับตราใดๆ และมีการออก
ใบเบิกทางนําไมเคลื่อนท่ีจากหมอนไมเขาโรงงานน้ัน เม่ือผูฟองคดีทั้งสามไดช้ีแจงวา ไมดังกลาว
เปนไมของกลางไดขายใหกับเอกชน เจาหนาที่ผูตรวจสอบไมมีอํานาจไปหนวงเหน่ียวไมไวได
จึงเห็นไดวา คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงไดแจงขอเท็จจริงในสวนดังกลาว
ใหผูฟองคดีท้ังสามทราบเพื่อนําไปสูขอกลาวหาท่ีวา การปฏิบัติหนาท่ีของผูฟองคดีท้ังสาม
เปนเหตุใหมีการออกใบเบิกทางนําไมท่ีมีการลักลอบตัดบางสวนเคล่ือนท่ีไป ทําใหทางราชการ
ไดรับความเสียหายอยางรายแรงแลว และผูฟองคดีทั้งสามมีโอกาสในการช้ีแจงประเด็นดังกลาว
อยางเต็มที่ตามเจตนารมณที่กําหนดไวในพระราชบัญญัติดังกลาวและกฎฉบับดังกลาวท้ังกรณีน้ี
มิใชเร่ืองการแจงขอกลาวหาเพิ่มเติมที่จะตองมีการแจงใหผูฟองคดีทั้งสามทราบแตอยางใด
สาํ หรบั ปญ หาในเรอ่ื งการคดั คา นกรรมการสอบสวนนน้ั เมื่อพจิ ารณาหนงั สอื ขอเปลีย่ นคณะกรรมการ

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๐)
สอบสวนซึ่งผูฟองคดีทั้งสามไดกลาวอางขอเท็จจริงที่เปนเหตุแหงการคัดคานวา คณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยนําระเบียบซึ่งไดถูกยกเลิกไปแลวมากลาวหาผูฟองคดีทั้งสามเพื่อใหตองรับโทษ
ทางวินัยอยางรายแรง ขอกลาวอางดังกลาวเปนเร่ืองท่ีจะตองวินิจฉัยในปญหาขอกฎหมาย
หาใชปญหาขอเท็จจริงอันเปนเหตุซึ่งจะนํามายกขึ้นกลาวอางคัดคานผูไดรับแตงต้ังเปนกรรมการ
สอบสวนตามขอ ๘ วรรคหนึ่ง ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวนพิจารณา สวนกรณีที่ผูฟองคดีที่ ๒
กลาวอางวามีสาเหตุโกรธเคืองกับนาย ส. คณะกรรมการสอบสวนมากอนน้ัน เมื่อพิจารณา
ขอเท็จจริงที่ปรากฏในสํานวนตามหนังสือขอเปลี่ยนคณะกรรมการสอบสวนประกอบคําอุทธรณ
ของผูฟองคดีทั้งสามตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ก็ไมปรากฏขอกลาวอางดังกลาว ซึ่งหากขอกลาวอางน้ี
มีอยูจริง ก็ถือเปนเหตุสําคัญที่ผูฟองคดีที่ ๒ สมควรที่จะตองหยิบยกเปนขอตอสูมาตั้งแตตน
ขอกลา วอางน้ีจึงไมมีน้ําหนักเพียงพอท่ีจะรับฟงได สําหรับกระบวนการสอบขอเท็จจริงตามคําส่ัง
ของนายกรฐั มนตรนี ั้น เมื่อขอ เทจ็ จริงปรากฏวา มีการลกั ลอบตดั ไมใ นเขตอทุ ยานแหงชาติสาละวิน
และเขตรักษาพันธุสัตวปาสาละวิน ซ่ึงสวนหน่ึงไดสวมรอยเปนไมนําเขาจากประเทศพมา
โดยไมชอบดวยกฎหมายอยางตอเน่ือง และเชื่อไดวามีเจาหนาที่ของรัฐบางคนไดรวมมือ
กระทําการดังกลาวกับนายทุนและผูมีอิทธิพลในพ้ืนท่ี นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหนารัฐบาล
ยอมมีอํานาจหนาที่โดยตรงและอํานาจของผูบังคับบัญชาตามมาตรา ๑๑ แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
บริหารราชการแผนดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่จะแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงเพื่อใหได
ขอเท็จจริง ซึ่งการดําเนินการดังกลาวเปนเพียงกระบวนการสอบขอเท็จจริงเบื้องตนเพ่ือนําไปสู
การเตรียมการและการดําเนินการของเจาหนาที่ที่เกี่ยวของเพื่อจัดใหมีคําสั่งทางปกครองวา
ผูฟองคดีท้ังสามกระทําผิดวินัยหรือไม จึงเปนเพียงการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๕
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อการดําเนินการของคณะกรรมการ
สอบสวนขอ เท็จจรงิ ดังกลา วเปน เพยี งการสอบสวนขอเท็จจรงิ ในเบ้อื งตนเทา นน้ั จงึ ไมจ าํ ตองมีการเรียก
หรือเปดโอกาสใหผูฟองคดีทั้งสามเขาไปชี้แจง และกรณีดังกลาวถือไดวามีพยานหลักฐาน
ในเบ้ืองตนอันมีมูลท่ีควรกลาวหาวาผูฟองคดีท้ังสามกระทําผิดวินัยแลว ซึ่งผูถูกฟองคดีที่ ๓
ผูบังคับบัญชาตนสังกัดจะตองแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเพ่ือใหไดความจริงและ
ความยุติธรรมโดยไมชักชา ตามมาตรา ๑๐๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยขาราชการ
ในสังกัด โดยผูฟองคดีท้ังสามอยูในรายช่ือผูถูกสอบสวนทางวินัยอยางรายแรงตามคําสั่งดังกลาว
จึงยังมิใชการดําเนินการท่ีไมชอบดวยกฎหมายหรือเปนการดําเนินการที่ไมไดปฏิบัติตามรูปแบบ
ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการกระทํานั้น นอกจากนี้ การที่
ผูบังคับบัญชาจะดําเนินการแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงข้ึนมากอนที่จะมีคําสั่งแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยหรือไมน้ัน ลวนแลวแตเปนดุลพินิจของผูบังคับบัญชา
ท่ีจะดําเนินการ เม่ือรัฐมนตรีวาการกระทรวงเกษตรและสหกรณเห็นชอบตามความเห็นของ
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณวา กรณีลักลอบตัดไมทําลายปามีมูลสมควรกลาวหาวา

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๑)
ขาราชการสังกัดกรมปาไม กระทําผิดวินัยทั้งอยางรายแรงและไมรายแรง การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓
มีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางรายแรง โดยมิไดดําเนินการแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงข้ึนมาใหม จึงยังไมอาจถือไดวาเปนการใชดุลพินิจโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายแตอยา งใด ท้ังนี้ ตามมาตรา ๙๙ วรรคหา แหง พระราชบัญญัติดังกลาว สวนปญหาวา
ผฟู อ งคดีท้งั สามกระทาํ ผดิ ตามทีถ่ ูกลงโทษทางวนิ ัยหรอื ไม เห็นวา กรณดี ําเนินการปลอยไมแดงพมา
และไมแดงท่ีไดมาโดยไมชอบดวยกฎหมาย นั้น ขอเท็จจริงรับฟงไดวา คณะเจาหนาท่ีสวนปองกัน
และปราบปรามที่ ๑ (ภาคกลาง) นําโดยผูฟองคดีที่ ๒ ไดเขาตรวจสอบไมสักทอนท่ีหมอนไม
บริษัท ส. ตรวจพบไมสักทอนมีความนาสงสัย จึงไดอายัดไมไวทั้งหมด โดยมีนาย ก. ผูจัดการ
ผูรับมอบอํานาจจากบริษัท ส. เปนผูรับอายัดดูแลไมท้ังหมดมิใหสูญหายหรือเสียหาย แตขณะที่
เจาหนาทไี่ ดรว มกนั ตรวจสอบไมที่หมอนไม นาย ก. ไดน าํ ไมแดงทอนท่ีออกใบเบิกทางของอําเภอบานตาก
ใหนําเคล่ือนท่ีจากหมอนไม บริษัท ส. ท่ีอายัดไว ไปยังโรงงานของบริษัทฯ จํานวน ๙ ครั้ง
รวมไมแดง ๕๑๔ ทอน ซึ่งจากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานกรณีตรวจปลอยไมแดงดังกลาว
ของคณะเจาหนาท่ีสวนปองกันและปราบปรามที่ ๑ (ภาคกลาง) ซึ่งมีนาย พ. ผูฟองคดีท่ี ๑ ที่ ๓
และนาย ช. พบวา เปน ไมแ ดงดงั กลาวมีใบเบิกทางของอําเภอบานตากมาแสดง เม่ือคณะเจาหนาท่ีปา
ไมประกอบดวย นาย พ. ผูฟองคดีที่ ๑ ที่ ๓ และนาย ช. ซ่ึงเปนเจาหนาที่ปาไมจากสวนปองกันและ
ปราบปรามท่ี ๑ (ภาคกลาง) และนาย ธ. และนาย ป. ซ่ึงเปนเจาหนาที่ปาไมจากสวนปองกันและ
ปราบปรามที่ ๓ (ภาคเหนือ) ไดรวมกันทําการตรวจสอบไมตามรายละเอียดในใบเบิกทางที่นาย ก.
นํามาแสดง เมื่อเห็นวาถูกตองจึงรวมกันทําบันทึกตรวจสอบและยินยอมใหนาย ก. นําไมแดง
เคลื่อนท่ีออกไปจากหมอนไมได พฤติการณในการปฏิบัติหนาที่ของผูฟองคดีท้ังสามดังกลาว
ยังไมอาจเห็นไดวาเปนการกระทําโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ สวนกรณีผูฟองคดี
ท้ังสามดําเนินการอายัดไมโดยไมตีตรากัก (ก.) ใหปรากฏเปนหลักฐาน และจัดทําบันทึกมอบไม
ที่อางวาไดตรวจสอบอายัดไวแลวใหนาย ว. เปนผูดูแล โดยไมปรากฏวามีเอกสารบันทึกการอายัดไม
มอบใหดวยนั้น เห็นวา แมขอ ๓ วรรคสอง ของระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ วาดวย
การปฏิบัติเก่ียวกับของกลางในคดีความผิดเก่ียวกับการปาไม พ.ศ. ๒๕๓๓ กําหนดให
บรรดาระเบียบ ขอบังคับและคําส่ังอ่ืนใด ซ่ึงขัดหรือแยงกับระเบียบนี้ ใหใชระเบียบนี้แทนก็ตาม
แตโดยท่ีขอ ๑๓ วรรคสอง ของระเบียบเดียวกัน ไดมีการกลาวถึงตรากัก “ก” ไว อันแสดงใหเห็นวา
ระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ วาดวยการปฏิบัติเกี่ยวกับของกลางในคดีความผิดเกี่ยวกับ
การปาไม พ.ศ. ๒๕๓๓ ไมไดกําหนดใหยกเลิกการใชรูปรอยตรา “ก” ตามประกาศกระทรวง
เกษตรและสหกรณ เรื่อง กําหนดลักษณะและความหมายการใชตราประทับไมของรัฐบาล
ตาม พ.ร.บ. ปาไม พุทธศักราช ๒๔๘๔ (ฉบับท่ี ๑ ) พ.ศ. ๒๕๒๓ แตอยางใด และหากพนักงาน
เจาหนาที่พบวาเปนไมท่ีผิดกฎหมายก็สามารถตีตรา “ย” (ตรายึด) ไวเปนของกลางได
นอกจากน้ัน การที่พนักงานเจาหนาที่มีอํานาจใชตรากัก “ก” ในการปฏิบัติหนาท่ี เพ่ือแสดงวา

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๒)
เปนไมที่พนักงานเจาหนาที่ไดกักไวไมอนุญาตใหนําเคลื่อนที่ตอไป เพ่ือไตสวนหรือสอบสวน
เกี่ยวกับไมน้ัน หาใชขัดหรือแยงกับระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ วาดวยการปฏิบัติ
เก่ียวกับของกลางในคดีความผิดเกี่ยวกับการปาไม พ.ศ. ๒๕๓๓ แตในทางตรงกันขาม กลับมีผล
เปนการสงเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจาหนาที่ในการดําเนินการเพื่อหยุดย้ัง
การลักลอบตัดไมทําลายปาซ่ึงเปนหนาที่โดยตรงของผูฟองคดีท้ังสาม ดังน้ัน เมื่อผูฟองคดีที่ ๒
ขณะน้ันดํารงตําแหนงเจาหนาท่ีบริหารงานปาไม ๗ และผานงานดานการปองกันและปราบปราม
มาเปนเวลานาน จึงยอมจะตองรูระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องดังกลาวเปนอยางดี แตกลับมิได
ดําเนินการหรือสั่งการใหเจาหนาท่ีในบังคับบัญชาประทับรูปรอยตรา “ก” (ตรากัก) ไวที่ไมท่ีอายัดไว
ทัง้ ทีไ่ มท่หี มอนไมม ลี กั ษณะผดิ ปกติหลายประการ ซึ่งยอมเปนขอสงสัย และผูฟองคดีท้ังสามควรท่ี
จะตองใชอํานาจในการตรวจกักไม โดยใชตรา ก. ประทับไวที่ไม แตปรากฏวาตามรายงานปาไม
จังหวัดตากเกี่ยวกับการมอบและรับมอบไมสักทอนและไมกระยาเลยทอนวา ผูฟองคดีที่ ๒
ซึ่งเปนผูมอบไมไดมอบบันทึกการอายัดไมสักและไมกระยาเลยทอนบริเวณหมอนไม บริษัท ส.
รวมท้ังไมไดมอบบัญชีสรุปผลการตรวจสอบไมตามบันทึกการตรวจไมใหแกผูรับมอบแตอยางใด
เปนเหตุใหในเวลาตอมามีการออกใบเบิกทางนําไมสักทอนท่ียังอยูระหวางการตรวจสอบเคล่ือนที่
จากหมอนไมไปยังโรงเล่ือยของบริษัท ส. ทําใหไมสักทอนที่เจาหนาที่ทําการตรวจยึดไมของกลาง
คงเหลอื ไมค รบตามจํานวนเดิม จงึ เหน็ ไดวา การปฏิบตั ิหนา ทร่ี าชการของผูฟองคดีท่ี ๒ จึงไมเปนไป
ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ เร่ือง กําหนดลักษณะและความหมายการใชตราประทับไม
ของรฐั บาลตาม พ.ร.บ. ปา ไม พุทธศักราช ๒๔๘๔ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๒๓ และหนาที่ความรับผิดชอบ
ตามท่ีไดรับมอบหมาย ทําใหทางราชการไดรับความเสียหายอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานจงใจไมปฏิบัติหนาที่ใหเปนไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกราชการอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และโดยท่ีผูฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๓ ไดรับมอบหมายใหไป
ตรวจสอบขอเท็จจริงเกี่ยวกับขบวนการลักลอบตัดไมทําลายปาสาละวิน ซึ่งมีผูฟองคดีที่ ๒
เปนหัวหนาชุด และรวมกับเจาหนาที่อ่ืนตรวจสอบไมท่ีกองอยูรวม ณ หมอนไมของบริษัท ส.
และมีอํานาจหนาที่ในฐานะพนักงานเจาหนาที่ตาม พ.ร.บ. ปาไม พุทธศักราช ๒๔๘๔ ไตสวน
หรือสอบสวนเก่ียวกับไมน้ัน เพื่อใหไดขอเท็จจริงวาผูครอบครองไมไดมาโดยชอบดวยกฎหมาย
หรือไม ซึ่งในขณะน้ันผูฟองคดีที่ ๑ ดํารงตําแหนงเจาพนักงานปาไม ๔ และผูฟองคดีท่ี ๓
ดํารงตําแหนงเจาพนักงานปาไม ๕ สวนปองกันและปราบปราม ยอมจะตองรูระเบียบปฏิบัติ
เกี่ยวกับเรื่องดังกลาวเปนอยางดี การไมดําเนินการประทับรูปรอยตรา ก. ไวท่ีไมที่อายัด จึงเปน
เหตุหน่ึงที่ทําใหราชการไดรับความเสียหายอยางรายแรง การปฏิบัติหนาที่ราชการของผูฟองคดีท่ี ๑
และที่ ๓ ดังกลาว จึงไมเปนไปตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ เร่ือง กําหนดลักษณะ
และความหมายการใชต ราประทับไมของรัฐบาลตาม พ.ร.บ. ปา ไม พุทธศักราช ๒๔๘๔ (ฉบับท่ี ๑)
พ.ศ. ๒๕๒๓ และหนาที่ความรับผิดชอบตามท่ีไดรับมอบหมาย ทําใหทางราชการไดรับความ
เสียหายอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานจงใจไมปฏิบัติหนาที่ใหเปนไป

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๓)
ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ เชนเดียวกับ
ผูฟองคดีที่ ๒ ดังน้ัน การท่ี อ.ก.พ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมใชดุลพินิจ
ในการมีมติลงโทษทางวินัยไลผูฟองคดีท้ังสามออกจากราชการ จึงเปนอัตราโทษที่เหมาะสม
แกกรณีการกระทําความผดิ แลว ตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหน่ึง และวรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ คําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีที่ ๒ และที่ ๓
ออกจากราชการ และคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีท่ี ๑ ออกจากราชการ
จึงชอบดวยกฎหมาย สวนการท่ีผูฟองคดีที่ ๒ คัดคานนาย ช. และนาย ย. วาเปนผูมีสวนไดเสีย
ในการเขารวมประชุมพิจารณาการดําเนินการทางวินัยของ อ.ก.พ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอมน้ัน เม่ือปรากฏวา นาย ช. ไดขอถอนตัวในการพิจารณา และ อ.ก.พ. กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมพิจารณาแลวมีมติใหนาย ย. เขารวมประชุมไดในฐานะ
ผูใหขอมูลท่ีปรากฏในสํานวนการสอบสวนทางวินัยและในเรื่องอ่ืนๆ ที่เกี่ยวของ และในการ
พิจารณาของ อ.ก.พ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมไดมีการอภิปรายแสดง
ความเห็นกันอยางกวางขวาง และขอเท็จจริงที่ปรากฏยังไมอาจรับฟงหรือเห็นไดวาประธาน
อ.ก.พ.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม มีการชี้นําผูเขาประชุม อันเปนสาระสําคัญ
ถึงขนาดทําใหผูฟองคดีท้ังสามไดรับโทษหนักขึ้นกวาที่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเสนอ
สวนกรณีที่ไมไดมีการนํารายงานการตรวจสอบขอเท็จจริง กรณีไมของกลางท่ีถูกลักลอบตัดใน
พ้ืนที่ปาสาละวิน จังหวัดแมฮองสอน มาพิจารณาประกอบดวยน้ัน กรณีดังกลาวถือเปนการใช
ดุลพนิ จิ ของ อ.ก.พ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม ในการพิจารณาขอเท็จจริงและ
พยานหลักฐานประกอบการพิจารณา ท้ังรายงานการตรวจสอบขอเท็จจริงดังกลาวมีข้ึนเพ่ือให
ทราบถงึ ขอเท็จจริงท่ีเกิดขึ้นในเบื้องตน เพ่ือนําเรียนตอนายกรัฐมนตรีเพ่ือทราบและวินิจฉัยส่ังการ
ตอไปเทาน้ัน หาใชเปนรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญที่กําหนดไวสําหรับการ
ดําเนินการสอบสวนทางวินัยเพ่ือท่ี อ.ก.พ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม จะตอง
นํามาประกอบการพจิ ารณาวา ผฟู องคดที ้งั สามกระทําผิดวินัยหรือไม นอกจากน้ี ในกรณีท่ีนาย ภ.
เปนกรรมการวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดีทั้งสาม ทั้งที่เคยเปนกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง
ตามคําส่ังของนายกรัฐมนตรี และเคยดํารงตําแหนง อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและสหกรณดวยนั้น
เมื่อการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงตามคําสั่งของนายกรัฐมนตรี เปนการแตงตั้ง
คณะกรรมการเพื่อแสวงหาขอเทจ็ จรงิ ในเบอ้ื งตน กอนทจี่ ะมกี ารดําเนนิ การทางวินัยกับผูฟองคดีท้ังสาม
และ อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ เพียงรับทราบผลการดําเนินการทางวินัยของกรมปาไม
ท่ผี ูฟองคดที ั้งสามอุทธรณคําส่ังใหลงโทษทางวินัยไปยัง ก.พ. เทานั้น อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและ
สหกรณมิไดพิจารณาการกระทาํ ผดิ ฐานความผิดและอตั ราโทษที่ผฟู อ งคดีท้ังสามไดรับแตประการ
ใด ขอเท็จจริงที่ปรากฏจึงไมม เี หตุท่ีจะรบั ฟง ไดวา นาย ภ. เปนคูกรณีกับผูฟองคดีท้ังสาม หรือเปน
ผเู คยพจิ ารณาการกระทาํ ผิด ฐานความผดิ และอัตราโทษทผี่ ูฟองคดที ง้ั สามไดร ับมากอน อันจะเปน
เหตุใหการทําคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมชอบดวยกฎหมาย ตามมาตรา ๑๒๑ วรรคหน่ึง

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๔)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เม่ือไดวินิจฉัยไวแลววา การปฏิบัติหนาที่
ราชการของผูฟองคดีทั้งสาม กรณีที่มีการอายัดไม ณ หมอนไมของบริษัท ส. แตไมไดประทับรูป
รอยตรา ก. ที่ไมดังกลาวเปนหลักฐาน และกรณีผูฟองคดีท้ังสามไดสงมอบไมท่ีอายัดไวใหแกนาย ว.
ซ่ึงไดรับมอบหมายจากปาไมจังหวัดตากใหมาเปนผูรับมอบไมดังกลาวไปดูแลรักษาตามระเบียบ
แตม ไิ ดม อบบนั ทกึ การอายัดไมด ว ย เปน การปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบตามประกาศกระทรวง
เกษตรและสหกรณ เร่ือง กําหนดลักษณะและความหมายการใชตราประทับไมของรัฐบาล
ตามพระราชบัญญัติปาไม พุทธศักราช ๒๔๘๔ (ฉบับท่ี ๑) พ.ศ. ๒๕๒๓ และหนาที่
ความรับผิดชอบตามท่ีไดรับมอบหมาย ทําใหทางราชการไดรับความเสียหายอยางรายแรง
อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
ทั้งสาม จึงชอบดว ยกฎหมายแลว

พพิ ากษายกฟอ ง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๑๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (ผูวาราชการจังหวัดราชบุรี) มีคําส่ังลงวันที่

๔ ธันวาคม ๒๕๕๑ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน กรณีผูฟองคดีเมื่อคร้ังดํารงตําแหนงปลัดอําเภอ
เจา พนกั งานปกครอง ๖ว อาํ เภอบานคา จังหวัดราชบุรี ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง
กรณีเรียกรับเงินหรือผลประโยชนอื่นใดเปนคาดําเนินการโครงการจัดทําทะเบียนประวัติและ
เอกสารแสดงตนสําหรับบุคคลท่ีไมมีชื่ออยูในระบบทะเบียนราษฎร ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(คณะกรรมการสอบสวน ตามคําส่ังลงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๑) ไดรายงานพรอมมีความเห็นวา
ควรลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงรายงานการสอบสวนใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓
(อ.ก.พ. จังหวัดราชบุรี) พิจารณาโทษทางวินัย ซึ่งตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาแลวเห็นวา
การกระทําของผูฟองคดีเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
โดยทุจริต มีมติใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๔ กุมภาพันธ
๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการพรอมกับไดรายงานการลงโทษผูฟองคดีไปยัง
อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยเพ่ือพิจารณาตามมาตรา ๑๐๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ โดนระหวางนี้ ผูฟองคดีไดอุทธรณตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบ
คุณธรรม) ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาแลวมีคําวินิจฉัยลงวันท่ี ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ใหยกอุทธรณ
ผูฟองคดีเห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๔ มีหนาที่สําคัญในการรวบรวมขอเท็จจริง แสวงหา
พยานหลักฐานท่ีเกี่ยวของอยางครบถวนจนปราศจากขอสงสัยและมีน้ําหนักเพียงพอที่จะวินิจฉัยวา
มีพฤติการณตามที่กลาวหา แตปรากฏวาผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงโทษผูฟองคดีโดยมิได
ใหโอกาสผูฟอ งคดที ่จี ะไดร ับทราบขอเท็จจรงิ อยางเพยี งพอ หรือโตแยงแสดงพยานฐานตามมาตรา ๓๐
วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จนทําใหผูฟองคดี
ไมไดรับความเปนธรรม จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันที่

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๕)
๔ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ เร่ือง ลงโทษไลออกจากราชการ เพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๒
ลงวนั ที่ ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๕๔ และใหศาลมคี ําสงั่ ใหผ ูฟองคดกี ลับเขา รบั ราชการตามเดมิ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดรับรายงานการสอบสวนขอเท็จจริงจากนายอําเภอบานคา กรณีนาย จ. ผูใหญบานหมูที่ ๑๐
ตําบลบานคา อําเภอบานคา จังหวัดราชบุรี รองเรียนวาผูฟองคดีมีพฤติการณในการทุจริต
ตอหนาที่เรียกรับเงินคาดําเนินการในโครงการสํารวจจัดทําทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตน
สําหรับบุคคลท่ีไมมีชื่ออยูในระบบทะเบียนราษฎร ตามหนังสือลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
ซ่ึงอําเภอบานคาเห็นวาผูฟองคดีมีพฤติการณตามขอกลาวหา โดยอาศัยอํานาจหนาที่ราชการ
ของตนหาประโยชนใหแกตนเอง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรง จึงเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
พิจารณาดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดีตอไป ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๕๑ แตงต้ังผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ประกอบดวยนาย พ. จาจังหวัดราชบุรี เปนประธานกรรมการ
นาง อ. เจาพนักงานปกครอง ๕ และนาง ด. เจา พนักงานปกครอง ๕ เปน กรรมการ นาย น. นิติกร
๗ว เปนกรรมการและเลขานกุ าร และนางสาว ย. พนักงานราชการ เปนผูชวยเลขานุการ ซ่ึงแมวา
ประธานกรรมการและกรรมการของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ จะมีอํานาจหนาที่ความรับผิดชอบโดยตรง
ระดับจังหวัดในการดําเนินการจัดทําทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตนสําหรับบุคคลที่ไมมีชื่อ
อยูในระบบทะเบียนราษฎร แตขอเท็จจริงดังกลาวไมใชลักษณะตองหามตามกฎหมายที่ไมให
กรรมการทําการสอบสวนวินัยรายแรงกับผูฟองคดี ซ่ึงผูฟองคดีมีสิทธิท่ีจะคัดคานผูไดรับแตงตั้ง
เปนประธานกรรมการหรือกรรมการของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ไดตามขอ ๘ ของ กฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวย
การสอบสวนพจิ ารณา แตผ ูฟองคดกี ลบั มิไดใชสิทธิคัดคานแตอยางใด อีกท้ัง ไมปรากฏขอเท็จจริง
ท่จี ะรบั ฟง ไดวาผูถ กู ฟอ งคดที ี่ ๔ มเี หตบุ าดหมางกบั ผูฟองคดีที่มีสภาพรายแรงถึงขนาดท่ีอาจทําให
การพิจารณาออกคําสั่งลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดีไมเปนกลาง จึงไมอาจรับฟงไดวาผูถูกฟองคดีที่ ๔
มีเหตุอื่นซึ่งมีสภาพรายแรงอันอาจทําใหการพิจารณาทางปกครองไมเปนกลางตามมาตรา ๑๖
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และนับต้ังแตวันท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๒
ซ่ึงเปนวันท่ีผูฟองคดีรับทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาตามขอ ๑๕
(แบบ สว.๓) จนถึงวันท่ี ๒๔ กันยายน ๒๕๕๒ ซึ่งเปนวันท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ทําการสอบสวนพยาน
บุคคลท่ีผูฟองคดีกลาวอางคนสุดทาย เปนเวลารวมกวา ๖ เดือน ท่ีผูฟองคดีมีโอกาสช้ีแจง
แกข อกลาวหา รวมถึงการนาํ สบื แกขอกลาวหา โดยผฟู อ งคดีไดอ า งพยานบคุ คลใหผูถูกฟองคดีที่ ๔
สอบสวนเพ่ิมเติม จํานวน ๑๒ ราย ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ทําการสอบสวนไดจํานวน ๑๐ ราย
สวนพยานบุคคลอีกจํานวน ๒ ราย ไดแก นาย ก. และนาย จ. ผูฟองคดีใหตัดพยานดังกลาว
สําหรับพยานบุคคลที่ไมมีสถานะทางทะเบียนที่ผูฟองคดีระบุวาจะแจงชื่อใหทราบในภายหลัง
เพื่อใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ทําการสอบสวนเพิ่มเติมน้ัน ก็ไมปรากฏขอเท็จจริงวา ผูฟองคดีไดแจงช่ือ
ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ทราบ หรือนําพยานบุคคลดังกลาวมาใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ทําการสอบสวน
แตอยางใด ดังนั้น จึงรับฟงไดวาการดําเนินการของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ในการสอบสวนวินัยรายแรง

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๖)
กบั ผฟู อ งคดี ผูถกู ฟองคดีที่ ๔ ไดใหโอกาสผูฟองคดีไดทราบขอเท็จจริงอยางเพียงพอ และมีโอกาส
โตแยงหรือแสดงพยานหลักฐานของตนอยางเต็มที่แลว ตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ สงรายงานการ
สอบสวนของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ พิจารณา ซ่ึงตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณา
ในการประชมุ เม่อื วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๓ แลวเห็นวา พฤติการณของผฟู อ งคดีเปนความผิดวินัย
อยางรายแรง และมีมติไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๔
กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ลงโทษไลผ ฟู องคดีออกจากราชการตามมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตามนัยมาตรา ๙๗
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีจึงเห็นไดวา การดําเนินการ
ทางวินัยกับผูฟองคดีไดดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกําหนดไวแลว และโดยท่ี
ผูฟองคดีมีหนาที่ตั้งแตการสํารวจบุคคลท่ีไมมีสถานะทางทะเบียน กรอกรายการในแบบสํารวจ
สอบถามและบันทึกถอยคําของผูถูกสํารวจ เขารวมประชุมประชาคมหมูบานเพื่อตรวจสอบและ
รบั รองบคุ คลทถี่ กู สํารวจแตละราย รวมทัง้ จัดทํารายงานการประชมุ และลงนามรับรองรายงานการ
ประชุมดังกลาว ตลอดจนทําหนาที่ตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคลท่ีถูกสํารวจ จัดทําทะเบียน
ประวัติสําหรับบุคคลท่ีไมมีช่ืออยูในระบบทะเบียนราษฎร ซึ่งผานการตรวจสอบและรับรอง
จากประชาคมหมูบาน วาเปนไปตามหลักเกณฑท่ีกําหนดหรือไม ผูฟองคดีจึงมีอํานาจในการ
ใชดุลพินจิ ในการรับหรอื ไมรบั คํารองหรือใหคุณใหโทษแกผูใดผูหนึ่ง ซึ่งเม่ือพิจารณาบันทึกถอยคํา
ของผูกลาวหาและพยานบุคคลแลว เห็นวา นาย จ. ผูใหญบานหมูท่ี ๑๐ ผูกลาวหา นาย บ.
ผูใหญบานหมูที่ ๑๔ และนาย ล. ผูใหญบานหมูท่ี ๑๓ ซ่ึงมีช่ือในหนังสือรองเรียน ตางใหถอยคํา
สอดคลอ งตองกันกบั นาย ส. ผใู หญบ านหมทู ่ี ๙ และนาย ร. ผูช วยผูใหญบา นหมูที่ ๖ ซ่ึงเปนพยาน
คนกลางที่มิไดมีเร่ืองโกรธเคืองหรือมีเหตุบาดหมางกับผูฟองคดีที่จะใหถอยคําปรักปรําหรือใสราย
ผูฟองคดี เกี่ยวกับพฤติกรรมของผูฟองคดีวา ผูฟองคดีไดแจงแกบรรดาผูใหญบานหรือ
ผูชวยผูใหญบานเพื่อใหไปแจงราษฎรในหมูบานของตนทราบวา ผูย่ืนคํารองเขารับการสํารวจ
เพ่ือจัดทําทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตนสําหรับบุคคลท่ีไมมีช่ืออยูในระบบทะเบียนราษฎร
ตองจายคาดําเนินการใหแกผูฟองคดี คนละประมาณ ๒,๐๐๐ บาท ถึง ๕,๐๐๐ บาท พฤติการณ
จึงนา เชอ่ื วา ผฟู อ งคดเี รยี กรอ งเงนิ ในการปฏิบัติหนาท่ีสํารวจเพื่อจัดทําทะเบียนประวัติและเอกสาร
แสดงตนสําหรับบุคคลท่ีไมมีชื่ออยูในระบบทะเบียนราษฎร และเม่ือพยานหลักฐานมีเพียงพอ
ที่จะรับฟงไดวา ผูฟองคดีซึ่งมีหนาที่รับผิดชอบดําเนินการตามโครงการจัดทําทะเบียนประวัติและ
เอกสารแสดงตนสําหรับบุคคลท่ีไมมีชื่ออยูในระบบทะเบียนราษฎร มีพฤติการณเรียกรองเงินจาก
ผูย่ืนคํารองเปนคาดําเนินการตามโครงการดังกลาว โดยแจงผานทางบรรดาผูใหญบานหรือ
ผูชวยผูใหญบาน รวมท้ังมีพฤติการณรับเงินจากนาย จ. ผูใหญบานหมูที่ ๑๐ และนาย ส.
ผูใหญบานหมูท่ี ๙ ท่ีไดรวบรวมมาจากราษฎรในหมูบานของตนท่ีประสงคย่ืนคํารองขอเขารับ
การสํารวจในโครงการดังกลาวตามท่ีถูกกลาวหาจริง การกระทําของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปน
ความผดิ วนิ ยั อยางรา ยแรง ฐานปฏบิ ตั ิหรอื ละเวน การปฏิบตั หิ นา ที่ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเอง
หรือผูอ่ืนไดประโยชนที่มิควรได อันเปนการทุจริตตอหนาท่ีราชการตามมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ.

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๗)
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึง่ กรณขี า ราชการพลเรือนสามญั ผูใดกระทาํ ผิดวินัยอยางรายแรง
มาตรา ๑๐๔ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว บัญญัติใหผูบังคับบัญชาส่ังลงโทษปลดออก
หรือไลออก ตามความรายแรงแหงกรณี ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันท่ี
๔ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ในการ
ประชุมเมื่อวันท่ี ๑๓ มกราคม ๒๕๕๓ จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายแลว สวนกรณี
พยานหลักฐานหรือขอเท็จจริงที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ นํามาพิจารณาเพื่อวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดี
นั้น แมผ ถู ูกฟองคดีท่ี ๒ รับฟงถอยคําของนาย ส. ซ่ึงไมเก่ียวของกับเร่ืองท่ีมีการกลาวหาผูฟองคดี
มาเปนพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดีเปนการกระทําท่ีไมชอบ
ดวยกฎหมาย แตเมื่อพยานหลักฐานตามทางสอบสวนท่ีเกี่ยวของกับเรื่องกลาวหาผูฟองคดีรับฟง
ไดแลว วา ผูฟอ งคดีมพี ฤตกิ ารณเรยี กรอ งเงินและรบั เงินเปน คา ดําเนนิ โครงการสํารวจจดั ทําทะเบียน
ประวัติและเอกสารแสดงตนสําหรับบุคคลท่ีไมมีช่ืออยูในระบบทะเบียนราษฎร ตามที่ถูกกลาวหา
จริง ยอมไมทําใหคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ท่ียกอุทธรณของ
ผูฟองคดี เน่ืองจากคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการซ่ึงเปนคําส่ัง
ที่ชอบดวยกฎหมายมีผลเปลี่ยนแปลงไป สวนกรณีที่ผูฟองคดีอางวาผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ใชเวลา
ในการพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีจํานวน ๕๒๕ วัน คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงเปน
คําวินิจฉัยท่ีลวงเวลาตามท่ีมาตรา ๑๑๘ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
กําหนด คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมชอบดวยกฎหมาย น้ัน เม่ือพิจารณาบทบัญญัติ
มาตรา ๑๑๘ แหงพระราชบญั ญัตดิ งั กลา วแลว กรณีเห็นไดวา ระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เปนเพียงระยะเวลาเรงรัดเพ่ือมิใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดําเนินการลาชาเกินสมควร
มิไดมีผลทําใหคําวินิจฉัยท่ีลวงเวลาตามที่กฎหมายกําหนดเปนคําวินิจฉัยท่ีไมชอบดวยกฎหมาย
แตป ระการใด

พพิ ากษายกฟอง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๑๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง วิธีพิจารณาคดีปกครอง
หนา ๑๐๒

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๒๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการเปนขาราชการพลเรือนสามัญ

ตําแหนงนักวิชาการเงินและบัญชี ระดับชํานาญการ สังกัดสํานักงานสงเสริมการปกครองทองถิ่น
จังหวัดกาฬสินธุ กรมสงเสริมการปกครองทองถ่ิน กระทรวงมหาดไทย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ) ไดมีคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการไตสวน
เพื่อดําเนินการไตสวนขอเท็จจริง กรณีนายกองคการบริหารสวนตําบลทุงคลองกับพวก รวมท้ัง
ผูฟองคดี เม่ือครั้งดํารงตําแหนงนักวิชาการเงินและบัญชี ๕ รักษาการทองถ่ินอําเภอกุดบาท

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๘)
จังหวัดสกลนคร ไดกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาที่เรียกรับเงินจากผูเขาสอบบรรจุเปน
พนักงานสวนตําบล องคการบริหารสวนตําบลทุงคลอง ประจําป พ.ศ. ๒๕๔๘ ผลการไตสวน
ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดีมีสวนรวมกระทําความผิด จึงมีมติใหดําเนินการไตสวนผูฟองคดี
คณะอนุกรรมการไตสวนพิจารณาแลวมีมติในสวนของผูฟองคดีวา ผูฟองคดีกับพวกไดดําเนินการ
แกไขกระดาษคําตอบของผูเขาสอบพนักงานสวนตําบล เพ่ือใหไดคะแนนสูงกวาความเปนจริง
มีการเรียกรับเงินจากผูเขาสอบและผูเก่ียวของ อยางไรก็ตาม เนื่องจากผูฟองคดีเปนเจาพนักงาน
ซึ่งไมมีหนาท่ี แตมีสวนรวมกระทําความผิด ดังน้ัน การกระทําของผูฟองคดีจึงมีมูลความผิด
ทางอาญา ฐานเปนผูสนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ มาตรา ๑๕๗ ประกอบ
มาตรา ๘๖ และมีมูลเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานกระทําการอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติช่ัว
อยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ หลังจากน้ัน
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ สงเร่ืองใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (อธิบดีกรมสงเสริมการปกครองทองถ่ิน) ในฐานะ
ผูบังคับบัญชา เพ่ือพิจารณาโทษทางวินัยผูฟองคดี อ.ก.พ. กรมสงเสริมการปกครองทองถ่ิน
ไดพิจารณามีมติใหลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงไดมีคําส่ังลงวันที่
๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการตามมติของ อ.ก.พ. กรมสงเสริม
การปกครองทอ งถ่ิน ผูฟองคดีจึงมีหนังสืออุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (คณะกรรมการ
พิทักษระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ในระหวางการพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๓ น้ัน อ.ก.พ.
กระทรวงมหาดไทยไดพิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณในการกระทําความผิดของผูฟองคดีไมมีเหตุ
อันควรลดหยอนโทษและระดับโทษยังไมเหมาะสม จึงมีมติใหเพิ่มโทษผูฟองคดีจากปลดออกเปน
ไลออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังตั้งแตวันท่ี ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และผูถูกฟองคดีที่ ๒
ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงไดมีหนังสือ
อุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาแลวมีคําวินิจฉัยลงวันที่
๕ สงิ หาคม ๒๕๕๔ ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีไมเห็นพองดวย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งวาคําสั่งลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
และคําสั่งลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ ที่เพ่ิมโทษผูฟองคดีจากปลดออกเปนไลออกจากราชการ
เปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย และเพิกถอนคําส่ังลงโทษทางวินัยผูฟองคดีท้ังสองฉบับดังกลาว
ใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ คืนสิทธิประโยชนอันพึงมีพึงไดของผูฟองคดีท่ีมีอยูกอนการออกคําส่ัง
โดยไมชอบดวยกฎหมาย และเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔
ทใี่ หย กอุทธรณข องผูฟองคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับคํากลาวหาหรือมีเหตุ
อันควรสงสัยวาเจาหนาที่ของรัฐกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีหรือกระทําความผิด
ตอตําแหนงหนาท่ีราชการ หรือความผิดตอตําแหนงหนาที่ในการยุติธรรม ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
มีอํานาจหนาที่ในการไตสวนขอเท็จจริงและวินิจฉัยขอกลาวหานั้นวามีมูลความผิดหรือไม
หากขอกลาวหาดังกลาวน้ันมีมูลความผิดทางวินัยหรือมีมูลความผิดทางอาญา แลวแตกรณี
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะตองดําเนินการตามที่กฎหมายกําหนดไวตอไป และโดยท่ีประมวลกฎหมาย

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๒๙)
อาญาไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเก่ียวกับความผิดตอตําแหนงหนาท่ีราชการไวใน ภาค ๒
ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ และไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษ
เกีย่ วกบั ความผิดตอตาํ แหนงหนา ทีใ่ นการยตุ ิธรรมไวใน ภาค ๒ ลักษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐
ถึงมาตรา ๒๐๕ ดังน้ัน ความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ี
ในการยุตธิ รรม จึงเปนมลู ความผดิ ทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี ถือเปนมูลความผิด
ทางวินัย อํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการไตสวนและช้ีมูลความผิดทางวินัยจึงมีเฉพาะ
ความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการเทานั้น โดยไมอาจไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัย
ผูฟองคดีในฐานความผิดอ่ืนได เมื่อคดีนี้ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดไตสวน
ขอเท็จจริงและมีมติชี้มูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีวา ผูฟองคดีกระทําความผิดทางวินัย
อยางรายแรง ฐานประพฤติชั่วอยางรายแรงตามมาตรา ๙๘ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเปนการไตสวนขอเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานอื่น
นอกจากท่ีบัญญัติไวในรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๑
ประกอบ พ.ร.บ. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓)
มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๓ และมาตรา ๙๖ และ พ.ร.ป.
วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๖๘ จึงเปนกรณี
ท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ กระทําโดยไมมีอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจหนาท่ีหรือไมถูกตอง
ตามกฎหมาย มติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีชี้มูลความผิดวินัยผูฟองคดีในความผิดฐานดังกลาว
จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี รวมทั้งผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ไมอาจถือรายงานเอกสารและความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานความผิดดังกลาว
มาเปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ได ผูถูกฟองคดีที่ ๒
ในฐานะผูบังคับบัญชาของผูฟองคดี ตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยข้ึนเพื่อทํา
การสอบสวนผูฟองคดีในกรณีที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติวาผูฟองคดีกระทําความผิดวินัยในขอหา
ดังกลาวตามมาตรา ๑๐๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อใหผูฟองคดี
ซึ่งเปนผูถูกกลาวหาไดรับทราบขอกลาวหาและไดมีโอกาสช้ีแจงหรือนําสืบแกขอกลาวหา
ตามขั้นตอนและวิธีการท่ีกําหนดไวตามกฎหมายหรือระเบียบหรือขอบังคับวาดวยการบริหารงาน
บุคคลของผูฟองคดี อันเปนข้ันตอนหรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญในการลงโทษทางวินัย
อยางรายแรงแกขาราชการพลเรือน โดยไมอาจถือรายงานเอกสารและความเห็นของ
ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๑ เปนสํานวนการสอบสวนทางวินัยได การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดนํารายงานเอกสาร
และความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงไดมีมติดังกลาวมาพิจารณาและมีคําสั่งลงวันท่ี
๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และตอมาไดมีคําสั่งลงวันท่ี
๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ เพ่ิมโทษผูฟองคดีจากปลดออกเปนไลออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.พ.
กระทรวงมหาดไทย อันเปนคําสั่งลงโทษทางวินัยตามที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติช้ีมูลความผิดน้ัน
จึงเปนการกระทําโดยไมชอบดวยกฎหมาย ทั้งนี้ เม่ือไดวินิจฉัยแลววาคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๒

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๐)
ที่ลงโทษผูฟองคดีดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําวินิจฉัยอุทธรณ
ลงวันท่ี ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี โดยเห็นวาคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ท่ีเพ่ิมโทษผูฟองคดีจากปลดออกเปนไลออกจากราชการ เปนระดับโทษท่ีเหมาะสมกับความผิด
ของผฟู อ งคดีแลว นน้ั จึงไมช อบดวยกฎหมายเชนกัน

พพิ ากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ลงวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔
ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี และเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ ท่ีเพ่ิมโทษผูฟองคดี
จากปลดออกเปนไลออกจากราชการ โดยใหมีผลยอนหลังไปต้ังแตวันที่คําสั่งมีผลบังคับ คําขออื่น
นอกจากนใี้ หย ก ทั้งนี้ มขี อสงั เกตเก่ยี วกบั แนวทางหรอื วิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษา
ของศาล กลาวคือ ผูมีอํานาจตามกฎหมายควรที่จะดําเนินการเพื่อใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ
ภายในสามสิบวนั นบั แตว ันทีค่ ดีถงึ ท่ีสุด โดยคนื สิทธใิ หผูฟองคดตี ามทีก่ ฎหมายและระเบียบกาํ หนด
และถือปฏิบัติตอสิทธิที่ผูฟองคดีพึงมีพึงไดตามกฎหมายในระหวางท่ีออกจากราชการ ทั้งน้ี
ภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีผูฟองคดีกลับเขารับราชการ อยางไรก็ดี แตไมเปนการตัดสิทธิ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในฐานะผูบังคับบัญชา ท่ีจะดําเนินการทางวินัยผูฟองคดีและมีอํานาจออกคําสั่ง
ลงโทษผฟู องคดใี หมใหถกู ตอ งโดยชอบดว ยกฎหมาย

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๒๖/๒๕๖๓ (ป.) อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๕

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ. ๒๙/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟอ งวา เดมิ ผฟู องคดรี บั ราชการเปนตําแหนง นกั สงเสริมการปกครองชํานาญการ

สํานักงานสงเสริมการปกครองทองถิ่น เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําส่ังให
ลงโทษภาคทณั ฑผ ฟู องคดีตามมตขิ อง อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย ฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไป
ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ เปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง เนื่องจากเมื่อคร้ังผูฟองคดี
รับราชการในตําแหนงปลัดอําเภอ อําเภอสองพี่นอง จังหวัดสุพรรณบุรี เปนพนักงานเจาหนาท่ี
ปฏิบัติหนาท่ีในงานบัตรประจําตัวประชาชน มีผูรองเรียนกลาวหาวา มีกํานัน ผูใหญบาน และ
เจาหนาที่อําเภอสองพี่นอง รวมกันนําบุคคลตางดาวมาสวมช่ือในทะเบียนบานของผูอื่น มีการทุจริต
ทางทะเบียนโดยใชรายการบุคคลซํ้าซอนท่ีจะตองจําหนาย จํานวน ๔ ราย โดยมีนาย ป. อดีตผูใหญ
เปนผูใหการรับรองบุคคล และนาย ท. เจาหนาที่ปกครอง ๓ เปนเจาหนาท่ีผูรับคําขอมีบัตร (บ.ป. ๑)
โดยเปนผูร วบรวมและตรวจสอบเอกสารทเี่ กยี่ วขอ งเสนอผฟู องคดี ผูฟองคดีเปนผูตรวจสอบสําเนา
ทะเบียนบาน (ท.ร. ๑๔) และเปนผูอนุมัติจัดใหทําบัตรประจําตัวประชาชน โดยไมมีหลักฐาน
การสอบปากคําผยู ่นื คาํ ขอมีบัตรและเจาบานหรือบุคคลท่ีนาเช่ือถือ สํานักงานสงเสริมการปกครองทองถิ่น
จังหวัดสุพรรณบุรีพิจารณาแลวเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดีมีลักษณะเปนการไมปฏิบัติหนาท่ี
ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ เปนความผิดวินัยอยางไมรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เห็นควรลงโทษภาคทัณฑ

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๑)
แตเ นอ่ื งจากเปน ความผดิ ครั้งแรกและผูฟอ งคดรี ับราชการมานาน ๑๖ ป จึงใหงดโทษทางวินัยและ
ใหวากลาวตักเตือน ตอมา กรมสงเสริมการปกครองทองถิ่นมีหนังสือแจงจังหวัดสุพรรณบุรีวา
อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยมีมติในการประชุมเม่ือวันท่ี ๒๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ ใหลงโทษภาคทัณฑ
ผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําส่ังลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ ใหลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดี
ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซึ่งผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาแลวมีคําวินิจฉัย
ลงวันท่ี ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือ
คําสั่งเพิกถอนคําวนิ ิจฉยั ลงวนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๕๔

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา การกระทําผิดวินัยกรณีนี้เกิดขึ้นในขณะท่ี พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ใชบังคับ และมีการตรวจสอบขอเท็จจริงเมื่อป พ.ศ. ๒๕๔๘
ตามทสี่ าํ นกั งานคณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจรติ แหง ชาติแจง รวมถึงมีการรายงาน
ผลการสอบสวนตอกรมการปกครอง ซึ่งเห็นวาควรใหกรมสงเสริมการปกครองทองถิ่นซึ่งเปนตน
สังกัดของผูฟองคดีดําเนินการทางวินัยผูฟองคดี และการดําเนินการคางอยูจนกระทั่ง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ใชบังคับแทน จึงมีการดําเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๒
ประกอบมาตรา ๑๓๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ การดําเนินการทางวินัย
ผูฟองคดีจึงเปนไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว เมื่อผลการตรวจสอบขอเท็จจริงตามท่ีมีการรองเรียน
พบวา มีการออกบัตรประจําตัวประชาชนใหบุคคล ๔ ราย โดยบุคคลท้ัง ๔ ราย ย่ืนคําขอ
มีบตั รประจําตวั ประชาชน (บ.ป. ๑) กรณบี ตั รหาย และผฟู อ งคดเี ปนผูอนุมัติใหออกบัตรประจําตัว
ประชาชนใหกับบุคคลทั้ง ๔ ราย ซึ่งตามขอ ๑๐ (๗) ของระเบียบกรมการปกครอง วาดวย
การจัดทําบัตรประจําตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๓๘ ประกอบกับขอ ๑ (๑.๗) ของหนังสือ
กระทรวงมหาดไทย ลงวันท่ี ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ เร่ือง การปฏิบัติในการจัดทําบัตรประจําตัว
ประชาชน กําหนดแนวทางปฏิบัติกรณีท่ีมีผูย่ืนคําขอมีบัตรประจําตัวประชาชนเน่ืองจากบัตรหาย
หรือถูกทําลาย ใหพนักงานเจาหนาท่ีผูรับคําขอเรียกสําเนาทะเบียนบานฉบับเจาบาน และ
หลักฐานอ่ืนประกอบการพิจารณา ไดแก หลักฐานการแจงความบัตรหายหรือบัตรถูกทําลาย และ
หลักฐานเปนเอกสารท่ีทางราชการออกใหอยางใดอยางหน่ึง ซึ่งมีรูปถายของผูขอมีบัตร เชน
ใบอนุญาตขับรถ บัตรประกันสังคม หนังสือเดินทางไปตางประเทศ เปนตน ในกรณีที่ไมมีหรือไม
สามารถแสดงหลักฐานดังกลาวไดใหสอบสวนเจาบานหรือบุคคลผูนาเชื่อถือแทน และหากสํานัก
ทะเบียนนั้นเปนผูออกบัตรหมายเลขดังกลาว ใหเรียกหลักฐานการแจงความและสอบสวนผูยื่นคําขอ
แตเมื่อพิจารณาแบบคําขอมีบัตร (บ.ป. ๑) ในกรณีนี้ ปรากฏวา ในแบบคําขอดังกลาวมีการ
จดบันทึกขอมูลทั่วไปของผูย่ืนคําขอมีบัตร โดยแนบหลักฐานสําเนาทะเบียนบานฉบับเจาบาน
หลักฐานการแจงความบัตรหายหรือบัตรถูกทําลาย และบันทึกคําใหการรับรองของนาย ป.
ท่ีรับรองวาผูย่ืนคําขอมีบัตรตามรายการในคําขอ บ.ป. ๑ เปนบุคคลตามหลักฐานสําเนาทะเบียนบาน
แตมิไดมีการแนบเอกสารหลักฐานที่ทางราชการออกใหอยางใดอยางหน่ึงซ่ึงมีรูปถายของผูขอมีบัตร
หรอื มบี ันทึกการสอบสวนและบนั ทึกถอยคําผูย่นื คาํ ขอมบี ตั รแตอ ยา งใด เพยี งแตเรียกผูย่ืนคําขอมีบัตร
มาพูดคยุ เพือ่ ดูลกั ษณะทาทาง และสอบปากคํานาย ป. ซึ่งเปนบุคคลท่ีนาเชื่อถือและเปนผูใหการรับรอง

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๒)
แลว เช่ือวา บุคคลท้ัง ๔ ราย มีช่ือตามท่ีแจงจริง และอนุมัติใหบุคคลดังกลาวมีบัตรประจําตัวประชาชน
ตามเลขประจําตัวประชาชนท่ีกลาวขางตนได การกระทําของผูฟองคดีซึ่งปฏิบัติหนาที่เปนพนักงาน
เจาหนาที่ในงานบัตรประจําตัวประชาชนและเปนผูที่ตองอนุมัติใหออกบัตรประจําตัวประชาชน
แกบุคคลดังกลาว สมควรที่จะตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบคําขอมีบัตรใหครบถวนถูกตอง
และใชความระมัดระวังในการดําเนินการตามระเบียบอยางเครงครัดเพื่อมิใหเกิดความผิดพลาด
แตผ ูฟอ งคดกี ลับละเลยไมดําเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานใหแนชัดวาเปนบุคคลดังกลาวจริง
แมวาในหวงระยะเวลาท่ีเกิดกรณีดังกลาว สํานักทะเบียนอําเภอสองพี่นองยังไมสามารถเช่ือมโยง
ขอมูลจากสํานักทะเบียนกลางหรือขอมูลจากศูนยบริหารการทะเบียนภาค ๗ เพ่ือตรวจสอบ
ใบหนา บคุ คลทเ่ี คยขอมีบตั รเดิมเปรียบเทียบใบหนา ของผูย นื่ คําขอมบี ัตรทั้ง ๔ ราย ไดก็ตาม การท่ี
มีผูย่ืนคําขอมีบัตรประจําตัวประชาชนโดยอางวาบัตรหาย แตไมอาจแสดงเอกสารหลักฐาน
ท่ีทางราชการออกใหอยางหนึ่งอยางใดท่ีมีรูปถายของผูยื่นคําขอเพ่ือท่ีพนักงานเจาหนาที่จะได
ตรวจสอบวาเปนบุคคลดังกลาวจริง ย่ิงเปนเร่ืองที่ผิดปกติ ที่ผูฟองคดีจะตองใชความระมัดระวัง
เปนอยางย่ิง เพ่ือมิใหเกิดกรณีการสวมตัวทําบัตรขึ้น เนื่องจากการจัดทําบัตรประจําตัวประชาชน
ถือเปนเรอื่ งสําคญั ที่มผี ลตอ ความมนั่ คงของประเทศ พฤติการณของผูฟองคดีจึงเปนการปฏิบัติหนาท่ี
โดยขาดความระมัดระวังและขาดความรอบคอบ ซ่ึงถือวาเปนการไมปฏิบัติตามขอ ๑๐ (๗)
ของระเบยี บกรมการปกครอง วาดว ยการจัดทําบตั รประจาํ ตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๓๘ ประกอบกับ
ขอ ๑ (๑.๗) ของหนังสือกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ เรื่อง การปฏิบัติในการ
จัดทาํ บัตรประจําตัวประชาชน อนั เปนการไมป ฏิบัติหนา ที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาลซึ่งเปนความผิดวินัยตามมาตรา ๘๕
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งใชบังคับในขณะน้ัน และเมื่อ
มีการออกบัตรประจําตัวประชาชนใหตามท่ีมีคําขอไปแลว จึงกอใหเกิดความเสียหายแกทางราชการ
และอาจจะเปนกรณีทุจริตตอหนาท่ีราชการ แมจะมีการยกเลิกคําขอดังกลาวในภายหลังซ่ึงอาจ
ถือเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ได
อยา งไรก็ตาม การท่ี อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย พิจารณาแลวเห็นวา จังหวัดสุพรรณบุรีมีหนังสือ
วากลาวตักเตือนผูฟองคดียังไมถูกตองเหมาะสมกับกรณีความผิด พฤติการณของผูฟองคดี
เปนกรณีที่ไมปฏิบัติตามระเบียบดังกลาวขางตน เปนเหตุใหเกิดการทําบัตรประจําตัวประชาชน
โดยมชิ อบถอื เปน ความผดิ วินยั อยางไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมาย
ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาลตามมาตรา ๘๕ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งใชบังคับในขณะน้ัน ประกอบกับมาตรา ๑๓๓
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีมติในการประชุมเมื่อวันที่
๒๓ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ ใหล งโทษภาคทัณฑผฟู องคดี ดงั นั้น การทีผ่ ูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๑ มีคําส่ังลงวันที่
๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ ใหลงโทษภาคทัณฑผูฟองคดีตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย ถือวา
เหมาะสมกบั ความผดิ ของผฟู อ งคดี จึงเปนคําส่ังที่ชอบดวยกฎหมาย และเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีแลวเห็นวา ผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่โดยขาดความระมัดระวัง

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๓)
รอบคอบ ประมาทเลินเลอ ไมป ฏบิ ตั ิตามระเบียบและหนังสือสั่งการราชการที่เกี่ยวของเปนเหตุให
มีการทุจริต สวมตวั และรายการบุคคลซา้ํ ซอ นทจี่ ะตองจาํ หนาย พรอมท้ังการขอมีบัตรประจําตัวประชาชน
กอใหเกิดความเสียหายแกราชการ กรณีอาจจะเปนเร่ืองทุจริตตอหนาท่ีราชการ และกรมการปกครอง
มีความเห็นตามหนังสือกรมการปกครอง ลงวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๑ วา ผูฟองคดีนาจะไดรับ
ประโยชนจากการปฏิบัติหนาท่ี แตเนื่องจากผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมสามารถเพ่ิมโทษได เวนแตกรณี
ไดรบั แจง จาก ก.พ. ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๑๒๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับขอ ๘๖ วรรคสาม ของกฎ ก.พ.ค. วาดวยการอุทธรณและการพิจารณา
วินิจฉัยอุทธรณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงมีมติใหยกอุทธรณ การพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒
เปนการพิจารณาในกรอบแหงบทบัญญัติกฎหมายท่ีเก่ียวของ และไมปรากฏวามีเหตุอ่ืนใดท่ีทําให
คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมชอบดวยกฎหมาย ดังน้ัน การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําวินิจฉัย
ลงวันท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๕๔ ใหยกอทุ ธรณข องผูฟองคดี จึงชอบดว ยกฎหมายแลว

พพิ ากษายกฟอง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๓๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล
หนา ๖

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๓๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีรับราชการตําแหนงเจาหนาที่กระจายเสียง ๕

สังกัดสถานีวิทยุโทรทัศนแหงประเทศไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช สํานักประชาสัมพันธ เขต ๕
กรมประชาสัมพนั ธ ไดรับความเดอื ดรอ นเสียหายจากการที่ผูถ ูกฟองคดที ี่ ๑ (อธิบดกี รมประชาสมั พันธ)
มีคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ กรณีเปนกรรมการตรวจรับพัสดุและลงลายมือชื่อ
ในเอกสารใบตรวจรับพัสดุท่ีจัดทําขึ้นเพื่อขอเบิกคาใชจายดังกลาว ท้ังๆ ท่ีไมมีการจางทําจริง
แตกลับนําเอาหลักฐานใบสงของและใบตรวจรับพัสดุมาประกอบการขอเบิกจาย ผูฟองคดี
จงึ อุทธรณค าํ ส่ังดงั กลา วตอ ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทกั ษร ะบบคณุ ธรรม) โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒
วินิจฉัยใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งและคําวินิจฉัยดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่งลงโทษปลดออกจากราชการ คําวินิจฉัย
อุทธรณ และใหผูถูกฟองคดีท้ังสองมีคําสั่งรับผูฟองคดีเขารับราชการในตําแหนงหนาที่ราชการ
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตอไป พรอมท้ังคืนสิทธิประโยชนท่ีผูฟองคดีจะพึงมีพึงไดนับจากวันท่ี
ผูฟองคดีถูกคําสั่งใหปลดออกจากราชการจนถึงวันที่ผูฟองคดีไดกลับเขารับตําแหนงในหนาท่ี
ราชการใหมตอ ไป

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อการดําเนินการทางวินัยผูฟองคดีเปนกรณีท่ี
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนผูมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ พิจารณาขอเท็จจริงตามท่ีไดรับรายงานการตรวจสอบสืบสวนของสํานักงาน
การตรวจเงินแผนดินภูมิภาคที่ ๑๔ แลวเห็นวา กรณีดังกลาวมีมูลที่จะกลาวหาวาผูฟองคดีกระทํา

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๔)
ผิดวินัย จึงดําเนินการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยกับผูฟองคดี อันเปนการดําเนินการ
ตามมาตรา ๙๑ และมาตรา ๙๓ แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว และเนื่องจากเปนกรณีที่
การกระทําผิดเกิดข้ึนในขณะที่ พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ยังมีผลใชบังคับ
ในการดําเนินการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี คณะกรรมการสอบสวนไดดําเนินการสอบสวน
ตามหลักเกณฑ วิธีการและระยะเวลาที่กําหนดในขอ ๑๔ ขอ ๑๕ และขอ ๒๑ ของกฎ ก.พ.
ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
วาดวยการสอบสวนพจิ ารณา ซ่ึงอนโุ ลมนาํ มาใชตามมาตรา ๑๓๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยตอมาคณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวนทางวินัยเสนอ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และมีการเสนอเรื่องให อ.ก.พ. กรมประชาสัมพันธ พิจารณา อันเปนการดําเนินการ
ตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน กรณีจึงเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดีเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการที่กฎหมายกําหนดไวแลว
และเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดีในฐานะกรรมการตรวจรับพัสดุลงลายมือชื่อในใบตรวจ
รับพัสดุ โดยไมไดตรวจสอบพัสดุใหถูกตองครบถวน จึงเปนเหตุใหนาย ณ. นําใบตรวจรับพัสดุ
ไปเปนหลักฐานขอเบิกเงินคาใชจายดังกลาวจากทางราชการไปเปนประโยชนสวนตัว แตโดยท่ี
ไมปรากฏหลักฐานแสดงวา ผูฟองคดีมีสวนเกี่ยวของกับการดําเนินการจัดจางทําปายคัทเอาท
หรือมีสวนเกี่ยวของกับการดําเนินการในการขอเบิกเงินคาใชจายตอผูวาราชการจังหวัด
นครศรีธรรมราช หรือมีสวนเก่ียวของในการดําเนินการของนาย ณ. ในเรื่องเงินที่ขอเบิกจาย
สนับสนุนกิจการโครงการดังกลาวไป จึงเชื่อไดวา ผูฟองคดีมิไดมีเจตนาหรือกระทําการอันเปน
การชวยเหลือหรือสนับสนุนเพื่อใหนาย ณ. ไดประโยชนอันมิควรไดจากการนําใบตรวจรับพัสดุ
ดังกลาวไปขอเบิกเงินไปเปนประโยชนสวนตัว กรณีจึงถือไมไดวา ผูฟองคดีปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดรับประโยชนท่ีมิควรได อันเปน
การทุจริตตอหนาท่ีราชการ และเปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๒ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงใชบังคับในขณะนั้น อยางไรก็ตาม
การท่ผี ฟู อ งคดีลงลายมอื ช่อื ในใบตรวจพสั ดโุ ดยไมไ ดต รวจสอบพสั ดใุ หถ กู ตอ งครบถวน อันเปนการ
การกระทําทไี่ มถูกตอ งตามขอ ๗๑ ของระเบียบสํานกั นายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕
และเปนเหตุใหนาย ณ นําใบตรวจรับพัสดุดังกลาวมาใชเปนหลักฐานในการขอเบิกเงินไปเปน
ประโยชนสวนตัว ทาํ ใหทางราชการเสียหายอยางรายแรง พฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดี
ดังกลาวจึงเปนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
เปนความผดิ วนิ ัยอยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งใชบังคับในขณะนั้น การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยเห็นวาผูฟองคดีกระทําความผิดฐานละเวนไมปฏิบัติตามระเบียบ
สํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ขอ ๗๑ และขอ ๑๐ (๑) รวมทั้งกระทํา
ความผิดฐานเปนเจาพนักงานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบ เพ่ือใหเกิดความ

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๕)
เสียหายแกผูหนึ่งผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยทุจริต และเปนเจาพนักงาน
มีหนา ท่ที าํ เอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกขอความลงในเอกสาร กระทําการรับรองเปนหลักฐานวา
ตนไดก ระทําการอยางใดข้ึน หรือวาการอยางใดไดกระทําตอหนาตน อันเปนความเท็จหรือรับรอง
เปนหลักฐานซ่ึงขอเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุงพิสูจนความจริงอันเปนความเท็จในการปฏิบัติหนาที่
ตามมาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๖๒ แหงประมวลกฎหมายอาญา อันเปนความผิดวินัย
ตามมาตรา ๘๕ (๑) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฐานปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยมิชอบ เพื่อใหเกิดความเสียหายแกผูหนึ่งผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
ราชการโดยทุจริต เปนความผิดวินัยอยางรายแรงตามมาตรา ๙๗ แหง พ.ร.บ.ระเบียบขาราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สมควรลงโทษไลออก แตมีเหตุอันควรลดหยอนโทษ จึงสมควรลดโทษ
เปนปลดออกตามมติ อ.ก.พ. กรมประชาสัมพันธ น้ัน เปนการนําบทบัญญัติวาดวยความผิดวินัย
ฐานทุจริตตอหนาท่ีราชการตามมาตรา ๘๕ (๑) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ มาใชบ งั คับกับการกระทําผิดวนิ ัยของผฟู อ งคดี โดยรวมเอาความผิดตามมาตรา ๑๕๗
และมาตรา ๑๖๒ แหงประมวลกฎหมายอาญา มาเปนเหตุในการลงโทษผูฟองคดีในความผิดวินัย
ฐานทุจริตตอหนาที่ราชการดวย ซึ่งเปนการปรับบทกฎหมายท่ีไมถูกตองกับการกระทําของผูฟองคดี
แตความไมถูกตองดังกลาวก็มิไดมีผลเปล่ียนแปลงโทษที่จะลงแกผูฟองคดี แตถือวาคําส่ังดังกลาว
เปนคําสั่งทางปกครองท่ีมีขอผิดพลาดหรือผิดหลงที่เจาหนาที่อาจแกไขเพิ่มเติมไดตามมาตรา ๔๓
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีความผิดพลาดดังกลาว
ไมมีผลกระทบตอความชอบดวยกฎหมายของคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
ประกอบกบั ในระหวา งการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งแกไขคําส่ัง
ลงโทษทางวินัยขาราชการ โดยแกไขเปลี่ยนแปลงขอความท่ีไมถูกตองในคําสั่งลงโทษทางวินัย
ผฟู อ งคดใี หถ กู ตอ งตามคาํ วินจิ ฉัยอทุ ธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ แลว การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่ง
ลงโทษปลดผฟู องคดีออกจากราชการ จงึ เหมาะสมแกพฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดีแลว
ดังน้ัน คําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ จึงชอบดวยกฎหมายแลว และคําวินิจฉัย
ยกอทุ ธรณของผูถ ูกฟองคดที ่ี ๒ ยอมชอบดว ยกฎหมายดวยเชนกัน

พพิ ากษายกฟอ ง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๑๙

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญ ตําแหนงเจาพนักงานที่ดิน

ระดับชํานาญงาน สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ กรมท่ีดิน ตอมา มีผูรองเรียนตอผูถูกฟองคดีที่ ๓
(คณะกรรมการปองกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ (คณะกรรมการ ป.ป.ท.) วา มีการออก
โฉนดท่ีดินในเขตปาสงวนแหงชาติปาแมริม และอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ - ปุย ตําบลโปงแยง

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๖)
อําเภอแมริม จังหวัดเชียงใหม โดยไมชอบดวยกฎหมาย ผูถูกฟองคดีที่ ๔ (คณะอนุกรรมการไตสวน
ขอเท็จจริงของ ป.ป.ท.) ไดไตสวนขอเท็จจริงกรณีดังกลาวแลวเห็นวา เมื่อคร้ังท่ีผูฟองคดีดํารง
ตําแหนงเจาหนาท่ีที่ดิน ๕ กลุมปฏิบัติการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดิน สวนปฏิบัติการรังวัดและออกหนังสือ
แสดงสิทธิในท่ีดิน สํานักมาตรฐานการออกหนังสือสําคัญ กรมที่ดิน และไดรับแตงต้ังใหเปนเจาหนาท่ี
ปฏบิ ัติงานตามโครงการเรงรัดการออกโฉนดที่ดินท่ัวประเทศ ปฏิบัติหนาท่ีเจาหนาท่ีสอบสวนสิทธิ
ประจาํ ศูนยอํานวยการเดินสํารวจออกโฉนดท่ีดิน จังหวัดเชียงใหม ต้ังแตวันท่ี ๑ ธันวาคม ๒๕๔๘
ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีไดรับรองในใบไตสวน (น.ส. ๕) เพื่อประกอบการขอออก
โฉนดทีด่ นิ จาํ นวน ๒๖ แปลง อันเปน ความเทจ็ โดยไมไ ดออกตรวจสภาพที่ดินดังกลาวกอน อีกทั้ง
ผูฟองคดีไดพบเห็นรองรอยการขูดลบแนวเขตปาสงวนแหงชาติปาแมริมในระวางแผนที่ แตกลับปกปด
และรายงานขอเท็จจริงอันเปนเท็จตอผูบังคับบัญชา จึงแสดงใหเห็นวา ผูฟองคดีมีพฤติการณรวมกับ
นาย พ. นายชางรังวัดชํานาญงานและผูถูกกลาวหารายอ่ืน ในการลบแนวเขตปาสงวนแหงชาติปาแมริม
และใชระวางแผนที่ที่ถูกลบดังกลาวในการเปลี่ยนแปลงแนวเขตปาสงวนแหงชาติปาแมริม
เพื่อประกอบการออกโฉนดท่ีดินในเขตปาสงวนแหงชาติปาแมริม และอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ - ปุย
โดยไมชอบดวยกฎหมาย พฤติการณของผูฟองคดีดังกลาวจึงเปนความผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชนท่ีมิควรได
เปนการทุจรติ ตอ หนาทร่ี าชการ ฐานปฏิบตั ิหนาท่ีราชการโดยจงใจไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ของทางราชการ เปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง ฐานรายงานเท็จตอผูบังคับบัญชา
อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง และฐานกระทําการอ่ืนใดอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่ว
อยางรายแรง และตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดมีมติเปนเอกฉันทวินิจฉัยชี้มูลความผิดทางวินัย
แกผูฟองคดีตามความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ จากนั้น ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมที่ดิน)
จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๗ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามฐานความผิด
ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีมติชี้มูลความผิด ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ อุทธรณ
คําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) และตอมา ประธาน
กรรมการพิทักษระบบคุณธรรมไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ แจงใหผูฟองคดีทราบวา
ผถู กู ฟองคดีท่ี ๒ ไดพจิ ารณาแลว มีคําวนิ จิ ฉยั ลงวนั ที่ ๑๘ มนี าคม ๒๕๕๘ ใหยกอุทธรณของผูฟอง
คดี ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําวินิจฉัยและมติของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ เฉพาะในสวนท่ีเก่ียวกับคําส่ังและมติใหลงโทษ
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และใหก รมท่ีดินคืนสิทธิและประโยชนทดแทนอันพึงมีพึงไดแกผูฟองคดี เห็นวา
เมอื่ ขอ เท็จจรงิ รับฟง ไดวา ท่ีดนิ ทีข่ อออกโฉนดท่ีดินท้ัง ๒๖ แปลง อยูในเขตอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ – ปุย
และปา สงวนแหงชาติปาแมริม ซึ่งผูฟ อ งคดอี างแตเพียงวาไมเ คยทราบหรือรูเห็นเก่ียวกับการขูดลบ
แนวเขตปาสงวนแหงชาติปาแมริม โดยมิไดโตแยงวาไมมีรองรอยการขูดลบแนวเขตปาสงวนแหงชาติ
ปาแมริม ในระวางแผนที่ จึงรับฟงไดวา ผูฟองคดียอมรับวามีการขูดลบแนวเขตปาสงวนแหงชาติ
ในระวางแผนที่ดังกลาวจริง ประกอบกับผูฟองคดียอมรับต้ังแตในช้ันการไตสวนขอเท็จจริงของ

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๗)
ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ วา ผูฟองคดีไดบันทึกขอความในใบไตสวน (น.ส. ๕) เพ่ือประกอบการขอออก
โฉนดที่ดินทั้ง ๒๖ แปลง วา ที่ดินดังกลาวไมเปนท่ีหลวงหวงหาม ท่ีเขา ภูเขา หรือท่ีสาธารณประโยชน
โดยเปนการบันทึกตามที่เจาของที่ดินและผูปกครองทองท่ี และเจาหนาที่เดินสํารวจไดใหถอยคํา
โดยที่ไมไดไปตรวจพื้นท่ีจริง กรณีจึงรับฟงไดวา ผูฟองคดีมิไดปฏิบัติหนาท่ีตามระเบียบกรมที่ดิน
วาดวยการเดินสํารวจออกโฉนดท่ีดินและสอบเขตท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ และคําส่ังใหปฏิบัติหนาที่
ซงึ่ มีวัตถปุ ระสงคใหเ จาหนา ทส่ี อบสวนสิทธอิ อกไปตรวจพ้ืนท่ีจริงรวมกับเจาหนาที่เดินสํารวจรังวัด
และใหความเห็นตามความเปนจริงในใบไตสวน แลวรายงานสภาพที่ดินตามที่พบเห็นใหผูบังคับบัญชา
ทราบเพ่ือพิจารณาสั่งการ อีกทั้ง ผูฟองคดียังไดรับรองในใบไตสวน (น.ส. ๕) โดยมีขอเท็จจริงเปนเท็จ
ทั้ง ๆ ที่สามารถพบเห็นรองรอยการขูดลบแนวเขตปาสงวนแหงชาติปาแมริมในระวางแผนท่ีไดชัดเจน
และสามารถตรวจสอบไดงายวาการใหถอยคํารับรองของเจาของท่ีดิน เจาหนาที่เดินสํารวจ และ
ผปู กครองทอ งที่ ถกู ตอ งเปนจริงหรือไม หากผูฟองคดอี อกไปตรวจพืน้ ทีจ่ รงิ หรือสัญจรผานบริเวณ
ดังกลาวก็ยอมสังเกตเห็นไดวาพื้นที่ท่ีขอออกโฉนดท่ีดินทั้ง ๒๖ แปลง ดังกลาว เปนท่ีเขา ภูเขา
และมีไมยืนตนซ่ึงขึ้นเองตามธรรมชาติอยูเต็มพื้นที่ ทําใหผูขอออกโฉนดที่ดินท้ัง ๒๖ แปลง
ดังกลาว ไดรับท่ีดินอันเปนสาธารณสมบัติของแผนดินซ่ึงเปนประโยชนท่ีมิควรไดและเปนเหตุให
เสียหายแกราชการอยางรายแรง พฤติการณดังกลาวจึงเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง
ฐานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อใหตนเองหรือผูอื่นไดประโยชน
ท่ีมิควรได เปนการทุจริตตอหนาที่ราชการ ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขา ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ สวนกรณีที่ผูฟองคดีอางวา กรมที่ดินไดกําหนดหนาท่ีและความ
รับผิดชอบของเจาหนาท่ีท่ีปฏิบัติงานโครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินและสอบเขตท่ีดินทั้งตําบลไว
ในระเบียบกรมท่ีดิน วาดวยการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินและสอบเขตที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๓
อยางชัดเจน อันเปนการแบงแยกและมอบหมายอํานาจหนาที่ความรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน
และกําหนดใหเจาหนาท่ีสอบสวนสิทธิจะตองมีวุฒิการศึกษาดานพาณิชยการหรือดานอื่น ๆ
ที่ไมเก่ียวของกับสายงานชาง ดังนั้น เจาหนาท่ีสอบสวนสิทธิจึงไมอาจทราบไดวาท่ีดินที่ราษฎร
นําเดินสํารวจรังวัดออกโฉนดที่ดินน้ันตั้งอยูในเขตหวงหามของทางราชการหรือไม นั้น
แมเจาหนาท่ีสอบสวนสิทธิจะไมมีวุฒิการศึกษาที่เกี่ยวของกับสายงานชาง แตเจาหนาที่สอบสวน
สิทธิก็ตองเปนผูท่ีมีความรู ความสามารถ ประสบการณ และความชํานาญงานดานที่ดิน ขออาง
ของผูฟองคดีดังกลาวไมมีน้ําหนักเพียงพอท่ีจะหักลางขอกลาวหาขางตนได ดังน้ัน คําส่ังลงวันท่ี
๑๐ มกราคม ๒๕๕๗ ท่ีลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ จึงเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมาย และ
คาํ วนิ ิจฉยั ของผูถูกฟองคดที ่ี ๒ ลงวนั ท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี ซึ่งอาศัย
ขอเท็จจริงและขอกฎหมายเชน เดียวกนั กบั คาํ สัง่ ดงั กลา ว จงึ เปนคําสงั่ ท่ีชอบดวยกฎหมายเชน กนั

พพิ ากษายกฟอง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๖/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เง่ือนไขการฟองคดี

หนา ๖๔

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๘)

คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟบ.๑๑/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะท่ีผูฟองคดีรับราชการเปนขาราชการพลเรือนสามัญ

ตําแหนงผูอํานวยการโรงพยาบาล ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ สังกัดสํานักงานสาธารณสุข
จังหวดั ชลบรุ ี ไดรบั ความเดือดรอ นเสยี หายจากการกระทําของผูถูกฟองคดีทั้งส่ี (คณะกรรมการพิทักษ
ระบบคุณธรรม ท่ี ๑ คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ ท่ี ๒ คณะอนุกรรมการไตสวน
คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ ท่ี ๓ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ท่ี ๔)
กลาวคอื ผูถูกฟอ งคดีท่ี ๔ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ส่ังลงโทษทางวินัย ใหปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ สืบเน่ืองจากผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดไตสวนขอเท็จจริงและ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอยางรายแรงและสงเรื่องใหผูบังคับบัญชาพิจารณาโทษ
ในฐานความผิดตามที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ชี้มูล โดยมีกรณีกระทําผิดวินัยสรุปไดวา ผูฟองคดี
เปนผูอํานวยการโรงพยาบาลพานทอง ใชอํานาจในตําแหนงหนาท่ีโดยมิชอบนําสิ่งสงตรวจจากคลินิก
ของตนเอง มาใหโรงพยาบาลพานทองตรวจวิเคราะหใหโดยไมเสียคาใชจาย เปนเหตุใหทางราชการ
ไดรับความเสียหาย รวมเปนเงิน ๓๔๔,๒๗๐ บาท ตอมา อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุขในการประชุม
เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ ไดพิจารณาแลวมีความเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดี
เปนความผิดวินัยอยางรายแรง ฐานจงใจไมปฏิบัติหนาที่ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการ
อยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
และฐานไมปฏิบัติหนาท่ีราชการใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ คณะรัฐมนตรี
หรือนโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๒ (๒)
ประกอบมาตรา ๘๕ (๗) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงมีมติใหลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ จึงออกคําสั่งลงโทษดังกลาวขางตน ซ่ึงผูฟองคดี
ไดอ ุทธรณคําสั่งตอ ผถู กู ฟองคดีท่ี ๑ และไดคืนเงินจํานวน ๓๔๔,๒๗๐ บาท ใหแกทางราชการแลว
จงึ ขอใหผ ถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ มีคําวินิจฉัยเพิกถอนคําสั่งและมติ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุขท่ีใหปลด
ผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีมติลงวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดี
เห็นวา การกระทําของผูถูกฟองคดีทั้งสี่ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลปกครองสูงสุด
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘
ยอนหลังไปตงั้ แตวนั ทม่ี คี ําวินจิ ฉยั ใหยกอุทธรณ เพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และท่ี ๓ ที่มีมติวา
การกระทําของผูฟองคดีมีมูลเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ในฐานความผิดตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๘๒ (๒) ประกอบมาตรา ๘๕ (๗)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ลงวันท่ี
๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ที่ส่ังลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ใชเงินจํานวน
๓๔๔,๒๗๐ บาท ภายใน ๑๕ วัน พรอมอัตราดอกเบ้ียรอยละ ๗.๕ นับต้ังแตวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๓
ศาลมีคําสั่งไมรับคําฟองของผูฟองคดีในขอหาท่ีขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๓

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๓๙)
ที่มีมติวาการกระทําของผูฟองคดีมีมูลเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ในฐานความผิดตามมาตรา ๘๕
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และฐานความผิดตามมาตรา ๘๒ (๒)
ประกอบมาตรา ๘๕ (๗) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ใชเงินจํานวน ๓๔๔,๒๗๐ บาท ภายใน ๑๕ วัน พรอมอัตราดอกเบ้ียรอยละ ๗.๕ นับต้ังแตวันที่
๑๕ มีนาคม ๒๕๕๓ และไมรับคําฟองในสวนที่ผูฟองคดีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไวพิจารณา เห็นวา
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๕๐
วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง และวรรคสอง และ พ.ร.ป. การปองกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑) และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง
แลวจะเห็นไดวา ในกรณีที่รัฐธรรมนูญประสงคจะใหการวินิจฉัยช้ีขาดขององคกรอิสระใด
เปน การใชอาํ นาจโดยตรงตามรัฐธรรมนญู น้นั รัฐธรรมนญู ตอ งกําหนดบทบัญญัติใหอํานาจดังกลาว
ไวอยา งชดั เจน และเมื่อมาตราอ่ืนๆ ในรัฐธรรมนูญฉบับดังกลาว ก็ไมปรากฏวา มีมาตราใดท่ีใหอํานาจ
ผถู ูกฟองคดีท่ี ๒ ในการชี้มูลความผิดทางวินัยไว แตอํานาจหนาท่ีของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในการช้ีมูล
ความผิดทางวนิ ัยเปนกรณีท่ีกาํ หนดไวในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการปองกันและปราบปราม
การทุจริต ดังน้ัน ศาลปกครองจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีน้ีไดตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง
ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และเม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติของ
พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ “ทุจิตตอหนาท่ี”
มาตรา ๑๙ (๓) มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๑ (๑) และมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง แลว จะเห็นไดวา ขอกลาวหา
ท่ีอยูในอํานาจไตสวนและวินิจฉัยชี้มูลความผิดทางวินัยหรือทางอาญาของผูถูกฟองคดีท่ี ๒
หมายถึงเฉพาะขอกลาวหาท่ีเกี่ยวกับการกระทําความผิดฐานทุจริตตอหนาท่ี กระทําความผิดตอ
ตําแหนงหนาท่ีราชการหรือกระทําความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรมเทาน้ัน และโดยที่
ประมวลกฎหมายอาญา ไดบัญญัติถึงองคประกอบและโทษเกี่ยวกับความผิดตอตําแหนงหนาที่ราชการ
ไวในภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๒ มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ และไดบัญญัติถึงองคประกอบ
และโทษเก่ียวกบั ความผดิ ตอ ตําแหนง หนา ท่ีในการยตุ ิธรรมไวในลักษณะ ๓ หมวด ๒ มาตรา ๒๐๐
ถึงมาตรา ๒๐๕ ดงั นั้น ความผดิ ตอตาํ แหนง หนาท่รี าชการและความผิดตอตําแหนงหนาท่ีในการยุติธรรม
จึงเปน มลู ความผิดทางอาญา สวนความผิดฐานทุจริตตอหนาที่ถือเปนมูลความผิดทางวินัย แมขอเท็จจริง
ในคดีน้ี มีมูลกรณีเกิดข้ึนสืบเน่ืองมาจากการท่ีผูฟองคดีไดนําส่ิงสงตรวจจากคลินิกของผูฟองคดี
สงใหโรงพยาบาลพานทองท่ีผูฟองคดีเปนผูอํานวยการโรงพยาบาลตรวจโดยมิไดเสียคาใชจายเปนเงิน
๓๔๔,๒๗๐ บาท อันเปนการแสวงหาประโยชนท่ีมิควรไดโดยชอบสําหรับตนเองหรือผูอ่ืน แตในคดีน้ี
ท่ีผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๒ ชมี้ ูลวา ผูฟองคดีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาที่ราชการโดยจงใจ
ไมปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล
อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง ตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ และฐานไมปฏิบัติหนาที่ใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของ
ทางราชการ มตคิ ณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล อันเปนเหตุใหเสียหายแกราชการอยางรายแรง
ตามมาตรา ๘๒ (๒) ประกอบมาตรา ๘๕ (๗) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๐)
กรณีดังกลา ว จงึ ไมตองดวยบทบญั ญัติมาตรา ๙๒ แหง พ.ร.ป. วาดวยการปองกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ การชี้มูลของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมผูกพันผูถูกฟองคดีที่ ๔ ท่ีตองถือวา
รายงานเอกสารและความเหน็ ของผูถูกฟอ งคดที ี่ ๒ เปนสํานวนการสอบสวนทางวนิ ัยของคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยตามกฎหมายหรือระเบียบหรือขอบังคับวาดวยการบริหารงานบุคคลของผูถูกกลาวหาน้ันๆ
แลวแตกรณี การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไตสวนขอเท็จจริงและช้ีมูลความผิดทางวินัยผูฟองคดีในความผิด
ฐานอ่ืนนอกเหนือจากฐานทุจริตตอหนาที่ราชการ เปนการกระทําท่ีไมมีอํานาจตามกฎหมาย
มติของผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ ทีช่ ้ีมูลความผิดทางวนิ ยั ผูฟองคดีในความผดิ ฐานอืน่ จงึ ไมผ ูกพันผูถูกฟองคดีท่ี ๔
ซึ่งผูถูกฟองคดีท่ี ๔ จะตองแตงต้ังคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวนผูฟองคดี ตามท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒
มีมติดังกลาว ดังน้ัน เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ไดมีคําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการในความผดิ ทางวินยั ฐานอนื่ โดยมิไดมีการแตงต้ังคณะกรรมการข้ึนทําการสอบสวน
ผูฟองคดีและมิไดแจงขอกลาวหาดังกลาวตามท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีมติใหผูฟองคดีทราบ เพื่อให
ผูฟองคดีไดมีโอกาสโตแยงแสดงพยานหลักฐานและนําสืบแกขอกลาวหา คําส่ังลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการตามฐานความผิดดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากมิไดดําเนินการ
ตามมาตรา ๑๐๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๙๑
ประกอบมาตรา ๙๓ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังน้ัน คําสั่งของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดีออกจากราชการ
จึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมาย และคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘
ที่ใหยกอทุ ธรณ จงึ เปน คําสงั่ ทไ่ี มช อบดวยกฎหมายเชน กัน แตอ ยา งไรก็ตาม เมอ่ื พเิ คราะหถึงพฤติการณ
ของผูฟ อ งคดที น่ี าํ สงิ่ สง ตรวจจากคลินิกสว นตัวของผฟู อ งคดไี ปใหห อ งปฏิบัติทางเคมีโรงพยาบาลพานทอง
ตรวจวิเคราะหใหโดยไมเสียคาใชจายและไดยินยอมชดใชคาเสียหายท่ีเกิดจากการกระทําของตน
อันเปน การยอมรับวา การกระทาํ ของตนไมชอบดวยกฎหมาย ดังน้ัน แมคําสั่งลงโทษปลดผูฟองคดี
จะไมชอบดวยกฎหมายดังกลาวแลว แตเกิดจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไมดําเนินการตามรูปแบบ
ขนั้ ตอนหรอื วธิ กี ารอนั เปน สาระสําคญั ในการออกคาํ ส่งั ดงั กลา วเทาน้ัน จงึ ไมจ ําตอ งเพกิ ถอนคาํ ส่ังลงโทษ
ดงั กลา วยอ นหลังไปถงึ วนั ทอี่ อกคาํ สง่ั

พิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘
และคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ท่ีลงโทษปลดผูฟองคดี
ออกจากราชการ โดยใหก ารเพิกถอนมีผลนับแตว ันทมี่ ีคาํ พพิ ากษาน้ี

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ ฟบ.๑๒/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟอ งวา ผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือนสามัญตําแหนงนายแพทยชํานาญการพิเศษ

สงั กดั โรงพยาบาลสันกําแพง สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย
จากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ผูวาราชการจังหวัดเชียงใหม) มีคําส่ังลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ลงโทษตัดเงินเดือนผูฟองคดี ๕ % เปนเวลาสามเดือน กรณีถูกรองเรียนกลาวหาวามีพฤติกรรม
ไมเหมาะสม ใชวาจาที่ไมสุภาพ กดขี่ขมเหงไมตอนรับผูมารับบริการที่โรงพยาบาลสารภี

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๑)
รายรอยตํารวจตรี ส. รายนาง ป. และรายนางสาว ก. รวมถึงมาปฏิบัติราชการสาย ไมปฏิบัติ
ตามระเบียบในเรื่องการลา การสแกนลายนิ้วมือลงเวลาปฏิบัติงาน คณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยางไมรายแรงดําเนินการสอบสวนแลวเห็นวา เปนการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงฐานปฏิบัติหนาท่ี
ไมเปนไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบของทางราชการ ไมตอนรับใหความสะดวก ใหความเปนธรรม
และใหการสงเคราะหแ กป ระชาชนผตู ิดตอราชการเกี่ยวกับหนาที่ของตน และฐานดูหมิ่น เหยียดหยาม
กดขี่ขมเหงประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๒ (๒) และ (๘) และมาตรา ๘๓ (๙) ประกอบ
มาตรา ๘๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ผูฟองคดีเห็นวา ผูฟองคดีไมได
กระทาํ ผิดวนิ ยั ตามท่ีถกู ลงโทษและกระบวนการสอบสวนไมชอบดวยกฎหมาย จึงมีหนังสือลงวันที่
๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม)
ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๓ พิจารณาแลวเห็นวา ผูฟองคดีไดกระทําผิดวินัยตามท่ีถูกกลาวหาจริงและระดับโทษ
เหมาะสมกับความผิด อีกท้ังกระบวนการดําเนินการทางวินัยเปนไปโดยชอบดวยกฎหมายแลว
จึงมีคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณ ตามคําวินิจฉัย ลงวันท่ี ๑๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๘ และมีหนังสือลงวันท่ี
๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๕๘ แจงคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาวใหผูฟองคดีทราบเมื่อวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๘
ผูฟอ งคดเี ห็นวา ผฟู อ งคดีไมไ ดกระทาํ ผิดวินยั ตามท่ีถกู กลา วหา จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งจังหวัดเชียงใหม ลงวันท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และคําวินิจฉัยของ
ผูถกู ฟองคดีที่ ๓ ลงวนั ที่ ๑๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๘ เห็นวา กรณีขอกลาวหาวา ผูฟองคดีไมปฏิบัติหนาท่ี
ใหเปนไปตามระเบียบวาดวยการลา การมาปฏิบัติราชการและการลงเวลาปฏิบัติราชการ น้ัน
เม่ือขอเท็จจริงปรากฏตามสํานวนการสอบสวนวา โรงพยาบาลสารภีมีขอตกลงในการปฏิบัติงาน
ของเจาหนาท่ี (วัฒนธรรมองคกร) วา เวลาทํางานของเจาหนาท่ีโรงพยาบาลสารภี คือ ตั้งแตเวลา
๘.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. สอดคลองกับคําส่ังโรงพยาบาลสารภี ลงวันท่ี ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
ที่มอบหมายใหผูฟองคดีปฏิบัติหนาที่ออกตรวจผูปวยนอกตามเวลาดังกลาว ซึ่งเปนกรณีท่ีมี
ระเบียบพเิ ศษกาํ หนดเวลาทาํ งานนอกเหนือ ไปจากเวลาทํางานปกติตามขอ ๓ ของประกาศสํานัก
นายกรัฐมนตรี เรื่อง กําหนดเวลาทํางานและวันหยุดราชการ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๐๒ ลงวันที่
๒๑ กุมภาพนั ธ ๒๕๐๒ ผูฟ องคดีจงึ ตองมาปฏิบัติราชการตามเวลาดังกลาว เม่ือพิจารณาจากบัญชี
การลงเวลาปฏิบัติราชการของผูฟองคดีจะเห็นไดวา ตั้งแตเดือนมกราคม ถึง เมษายน ๒๕๕๕
ผูฟองคดีลงเวลาปฏิบัติราชการกอนเวลา ๘.๐๐ น. เพียงวันเดียว คือวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๕
(ลงเวลาเขา ๗.๑๘ น.) แมผูฟองคดีจะอางวาขอตกลงในการปฏิบัติงานของเจาหนาที่ (วัฒนธรรมองคกร)
ดงั กลา ว ไมมมี าตรฐานและไมเปนที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แตหากพิจารณาบัญชีการลงเวลาปฏิบัติราชการ
ของผูฟองคดีกับการกําหนดเวลาทํางานปกติตามขอ ๑ ของประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีดังกลาว
คือ ตั้งแตเวลา ๘.๓๐ น. ถึง ๑๖.๓๐ น. แลว จะเห็นไดวา ตั้งแตเดือนมกราคม ถึง เมษายน ๒๕๕๕
ผูฟองคดีลงเวลาปฏิบัติราชการกอนเวลา ๘.๓๐ น. เพียงสองวัน คือ วันท่ี ๒๓ มกราคม ๒๕๕๕
(ลงเวลาเขา ๗.๑๘ น.) และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (ลงเวลาเขา ๘.๒๔ น.) แสดงใหเห็นวา
ผฟู อ งคดีมพี ฤตกิ รรมการมาทาํ งานสายเปนอาจิณ โดยไมใสใจระเบียบแบบแผนเก่ียวกับการลงเวลามา
ปฏิบัติราชการที่ทางราชการกําหนด สําหรับกรณีการไมปฏิบัติตามระเบียบวาดวยการลาน้ัน

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๒)
แมก ารลาพักผอนจะถือเปนสิทธิของขาราชการท่ีจะลาพักผอนได แตมิไดหมายความวาผูลามีสิทธิ
ท่ีจะลาพักผอนเม่ือใดก็ได หรือลาจํานวนกี่วันตามที่มีสิทธิเหลืออยูไดตามใจชอบ โดยไมตอง
คํานึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแกทางราชการ และผูบังคับบัญชาไมสามารถยับยั้งได ระเบียบ
จึงกําหนดใหผูลาตองเสนอใบลาตอผูบังคับบัญชา และจะตองอยูรอใหผูมีอํานาจไดพิจารณากอน
จะหยุดราชการไปทันทีไมได เม่ือผูมีอํานาจไดพิจารณาและส่ังอนุญาตแลวจึงจะหยุดราชการได
ท้ังน้ีผูมีอํานาจอนุญาตใหลาครั้งเดียวหรือหลายคร้ังก็ได โดยมิใหเสียหายแกราชการ ถามีราชการ
จําเปนถึงจะอยูในระหวางการลาพักผอนผูบังคับบัญชาก็สามารถเรียกตัวกลับมาปฏิบัติราชการได
แสดงใหเห็นวา การลาพักผอนถึงแมจะเปนสิทธิของขาราชการ แตไดกําหนดใหเปนดุลพินิจของ
ผูมีอํานาจท่ีจะพิจารณาวาการลาในชวงเวลาดังกลาวมีผลกระทบตองานราชการหรือไม หากเห็นวา
มีความจําเปน หรอื เรงดวนท่ีจะตองใหผูลาอยูปฏิบัติราชการ หรือถาอนุญาตใหลาอาจเกิดความเสียหาย
ตอทางราชการ จะพิจารณาส่ังไมอนุญาตใหลาก็ได เมื่อขอเท็จจริงปรากฏตามสํานวนการสอบสวนวา
ผูฟองคดีประสงคจะลาพักผอนตั้งแตวันท่ี ๒๓ – ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ แตผูฟองคดีเสนอใบลาพักผอน
ฉบบั ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ทางโทรสารตอผูอํานวยการโรงพยาบาลสารภี โดยมีการลงรับไว
เม่ือวันท่ี ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซ่ึงเปนวันเดียวกันกับวันลา และมิไดเดินทางมาท่ีโรงพยาบาลสารภี
เพ่ือรอฟงคําสั่งวาผูบังคับบัญชาจะอนุญาตใหลาพักผอนหรือไม โดยไมคํานึงถึงผูปวยท่ีมารอรับ
การตรวจรักษาซ่ึงมีจํานวนมากในแตละวัน ทั้งยังไมปรากฏเหตุผลความจําเปนที่ผูฟองคดีจะหยุดราชการ
ไปกอ นทีจ่ ะไดรับอนุญาตได แมจะปรากฏวาผูบังคับบัญชาอนุญาตใหผูฟองคดีลาพักผอนไดก็ตาม
แตยอมสงผลกระทบตอการใหบริการตรวจรักษาผูปวยนอกที่มารับบริการในชวงวันท่ีผูฟองคดี
ลาพักผอนดังกลาว เน่ืองจากโรงพยาบาลสารภีตองจัดใหมีแพทยไปปฏิบัติหนาที่แทนผูฟองคดี
อยางกะทันหัน เพ่ือใหการบริการสาธารณะดําเนินไปไดอยางตอเน่ือง การเสนอใบลาพักผอนของ
ผูฟองคดีจึงไมเปนไปตามขอ ๒๖ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการลาของขาราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๕ กรณีจึงเห็นไดวา พฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดีเกี่ยวกับการมาปฏิบัติราชการ
และการลาพักผอนดังกลาวขางตน ถือเปนการกระทําผิดวินัยฐานไมปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน
ของทางราชการตามมาตรา ๘๒ (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบยี บขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเปน
ความผิดวนิ ยั อยางไมรายแรง สวนกรณีขอกลาวหาวา ผูฟองคดีมีพฤติกรรมท่ีไมเหมาะสม กดขี่ขมเหง
และใชวาจาไมสุภาพกับประชาชนผูมารับบริการท่ีโรงพยาบาลสารภี นั้น เม่ือขอเท็จจริงปรากฏ
ตามสํานวนการสอบสวนเก่ียวกับพฤติกรรมของผูฟองคดีจะเห็นไดวา การใหถอยคําของ
รอยตาํ รวจตรี ส. สอดคลองกับการใหถ อยคาํ ของนาง ช. ตําแหนง พยาบาลวชิ าชีพ ซ่ึงปฏิบัติหนาที่
พยาบาลคัดกรองผูปวยหนาหองตรวจอยูในขณะท่ีรอยตํารวจตรี ส. เขาตรวจรักษากับผูฟองคดี
และไมปรากฏวารอยตํารวจตรี ส. และนาง ช. เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผูฟองคดีมากอน
โดยเฉพาะถอยคําของรอยตํารวจตรี ส. นั้น แมผูฟองคดีจะแสดงพฤติกรรมไมตอนรับ ดูหมิ่น
เหยียดหยามตน ซึ่งเปนผูสูงอายุผูมารับการตรวจรักษา แตกลับปฏิเสธที่จะรองเรียนเกี่ยวกับ
พฤติกรรมของผูฟองคดี ถอยคําของรอยตํารวจตรี ส. จึงนาเชื่อถือ สวนท่ีผูฟองคดีแกขอกลาวหาวา
รอ ยตํารวจตรี ส. บุกรุกเขามาในหองตรวจโดยที่ผูฟองคดียังไมไดเรียก และไมมีการแสดงตน เชน

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๓)
บัตรผปู วย บตั รหมายเลขลาํ ดับการตรวจ หรอื แฟม ประวัตผิ ูปวย ผูฟองคดีจึงเชิญรอยตํารวจตรี ส.
ออกจากหองตรวจ น้ัน แมรอยตํารวจตรี ส. จะเปนผูสูงอายุก็ตาม แตก็เคยรับราชการตํารวจมากอน
และมิใชเปนการไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลสารภีเปนคร้ังแรก รอยตํารวจตรี ส. ยอมทราบดีวา
การเขารับการตรวจตองรอตามลําดับ ไมนาเชื่อวารอยตํารวจตรี ส. จะถือวิสาสะเขาไปในหองตรวจ
โดยทยี่ งั ไมถึงลาํ ดับการตรวจของตนตามท่ีผูฟองคดีกลาวอาง และแมวารอยตํารวจตรี ส. จะไมได
ถือแฟมประวัติผูปวยเขาไปในหองตรวจดวยก็ตาม แตผูฟองคดีควรที่จะอํานวยความสะดวก
แกรอยตํารวจตรี ส. โดยการเรียกเจาหนาท่ีหนาหองตรวจมาสอบถามหาแฟมประวัติผูปวย
มิใชข บั ไลรอยตํารวจตรี ส. ใหออกจากหองตรวจไป อีกท้ังกรณีของนาง ป. น้ัน ผูฟองคดีแกขอกลาวหา
แตเพียงวานาง ป. บุกรุกเขาไปในหองตรวจโดยที่ผูฟองคดียังไมพรอมในการตรวจรักษา ซ่ึงไมนาเชื่อ
เชนเดียวกันวาหากยังไมถึงลําดับการตรวจของตน นาง ป. กลาที่จะถือวิสาสะเขาไปในหองตรวจ
เน่ืองจากหนาหองตรวจจะมีพยาบาลหรือเจาหนาท่ีคอยดูแลเกี่ยวกับลําดับการตรวจอยูแลว
และหากผูฟองคดียังไมพรอมในการตรวจรักษาตามท่ีกลาวอาง ผูฟองคดีควรท่ีจะบอกใหนาง ป.
น่ังรอดวยถอยคําที่สุภาพ มิใชพูดวา “ออกไปๆ ยังไมไดเรียก” ซึ่งเปนการใชถอยคําในลักษณะท่ีเปน
การขับไล นาง ป. ไมเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผูฟองคดีมากอน เชื่อวานาง ป. ไมนาจะใหถอยคํา
ใสรา ยผูฟอ งคดี ประกอบกบั นาง บ. ตําแหนงลูกจางช่วั คราว ซง่ึ ปฏิบตั ิหนาทบี่ ริเวณหนาหองตรวจ
ยังใหถอยคําสอดคลองวาเคยเห็นผูฟองคดีขวางบัตรบันทึกการตรวจผูปวยนอก (OPD Card)
ของผูปวย ๑ ครั้ง ตนจึงเขาไปสอบถามผูฟองคดีโดยตรง ซ่ึงผูฟองคดียอมรับวาขวางบัตรบันทึก
การตรวจผูปวยนอก เนื่องจากโมโหเพราะยังไมไดเรียกตรวจ จึงเช่ือไดวาผูฟองคดีมีพฤติกรรม
ตามท่ีถูกกลาวหาจริง พฤติการณแหงการกระทําของผูฟองคดีดังกลาวขางตน มีลักษณะเปนการ
กระทําผิดวินัยฐานไมตอนรับและใหความสะดวกแกประชาชนผูติดตอราชการเก่ียวกับหนาที่ของตน
และดูหม่ิน เหยียดหยาม ประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๒ (๘) และมาตรา ๘๓ (๙) แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเปนการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ดังน้ัน การที่
ผูถูกฟองคดีมีคําส่ังจังหวัดเชียงใหม ลงวันท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ลงโทษทางวินัยผูฟองคดี
ฐานไมปฏิบัติหนาที่ใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบแบบแผนของทางราชการ และฐาน
ไมตอนรับและใหความสะดวกแกประชาชนผูติดตอราชการเก่ียวกับหนาท่ีของตน และดูหมิ่น
เหยียดหยาม ประชาชนผูติดตอราชการตามมาตรา ๘๒ (๒) และ (๘) และมาตรา ๘๓ (๙)
ประกอบมาตรา ๘๔ แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยลงโทษตัดเงินเดือน
ผูฟองคดี ๕% เปนเวลาสามเดือน จึงชอบดวยกฎหมาย และเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดวินิจฉัยอุทธรณ
โดยอาศัยขอเท็จจริงและเหตุผลเดียวกันกับผูถูกฟองคดีที่ ๑ และมีมติใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
คาํ วนิ ิจฉัยอทุ ธรณของผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๓ จึงชอบดวยกฎหมายเชน กัน

พิพากษายกฟอง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๑๕/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เรื่อง เขตอํานาจศาล

หนา ๒๒

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๔)

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟบ.๑๖/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๒๕

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็น เร่ือง เขตอํานาจศาล
หนา ๒๘

คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟบ.๑๙/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดอําเภอ อําเภอโชคชัย

จังหวัดนครราชสีมา ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง กรณีเมื่อครั้งดํารง
ตําแหนงปลัดอําเภออาวุโส อําเภอหวยแถลง จังหวัดนครราชสีมา ไดรับมอบหมายใหเปนหัวหนา
ผูรับผิดชอบเกี่ยวกับโครงการพัฒนาศักยภาพของหมูบานและชุมชน (SML) เรียกและรับเงิน
จากหา งหนุ สวนจํากัด ว. เพื่อแลกกับการลงลายมือชื่อตรวจสอบผานโครงการในเอกสารหลักฐาน
การไปขอเบิกเงินในการดําเนินโครงการดังกลาวของบานซาเลือด หมูที่ ๓ ตําบลกงรถ อําเภอหวยแถลง
จังหวัดนครราชสีมา เปนเงินจํานวนรอยละหาของโครงการ โดยหางหุนสวนจํากัด ว. ไดเปน
ผูรับจางโครงการเปนเงินจํานวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท จึงตองจายเงินใหผูฟองคดีเปนเงินจํานวน
๒๐,๐๐๐ บาท และผูฟองคดีถูกเจาพนักงานตํารวจจับกุมในขอหาเปนเจาพนักงานปฏิบัติหรือ
ละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยมิชอบเพ่ือใหเกิดความเสียหายแกผูหน่ึงผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่โดยทุจริตตามมาตรา ๑๕๗ แหงประมวลกฎหมายอาญา และขอหา
เปนเจาพนักงานเรียก รับ ทรัพยสินสําหรับตนเองโดยมิชอบเพ่ือกระทําการหรือไมกระทําการ
อยางใดในตําแหนงไมวาการน้ันจะชอบหรือมิชอบดวยหนาที่ตามมาตรา ๑๔๙ แหงประมวล
กฎหมายเดียวกัน และพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรหวยแถลงไดสงสํานวนการสอบสวน
ไปใหผ ถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ (คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (คณะกรรมการ
ป.ป.ท.)) ซึ่งอยใู นกํากบั ดแู ลของผูถกู ฟองคดีท่ี ๒ (สํานักงานคณะกรรมการปองกันและปราบปราม
การทจุ รติ ในภาครฐั เขต ๓) ผูถกู ฟองคดีที่ ๑ ไดไตสวนขอเท็จจริงและมีมติเปนเอกฉันทวินิจฉัยช้ีมูลวา
ผูฟองคดีมีความผิดอาญาและมีความผิดวินัยอยางรายแรง ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดสงเร่ืองให
ผูถูกฟอ งคดที ่ี ๓ (กรมการปกครอง) พจิ ารณาโทษทางวินยั อ.ก.พ. กรมการปกครอง พิจารณาแลว
เห็นวา พฤติการณของผูฟองคดีเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาที่หรือละเวน
การปฏิบัติหนาที่ราชการโดยทุจริตตามมาตรา ๘๕ (๑) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (อธิบดีกรมการปกครอง) จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๖ กันยายน ๒๕๕๙
ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตั้งแตวันท่ีมีคําส่ัง ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังดังกลาว ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําวินิจฉัยลงวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐
มีมติใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา คําสั่งลงวันท่ี ๖ กันยายน ๒๕๕๙ ที่ลงโทษไลผูฟองคดี
ออกจากราชการ และคําวินิจฉัยอุทธรณที่ยกอุทธรณของผูฟองคดีไมชอบดวยกฎหมาย

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๕)
เน่ืองจากการกระทําท่ีจะเปนความผิดตาม พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๘๕ (๑) ตองไดค วามวา เปนการปฏิบัติหนาที่ราชการโดยตรง แตการที่ผูฟองคดีลงลายมือ
ช่ือรับรองเอกสารในโครงการพัฒนาศักยภาพของหมูบานและชุมชนเมือง (SML) พ.ศ. ๒๕๕๕
ไมใชการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยตรงตามกฎหมายหรือหนาท่ีตามระเบียบหรือหนาที่ที่ไดรับ
มอบหมายใหกระทําโดยตรง และ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และ
ตามระเบียบคณะกรรมการกองทนุ หมบู า นและชุมชนเมอื งแหงชาติ วา ดวยแนวทางการดําเนินงาน
ตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมูบานและชุมชน (SML) พ.ศ. ๒๕๕๕ ก็ไมไดกําหนดให
การเบิกถอนเงินของโครงการดังกลาวจะตองใหอําเภอลงลายมือช่ือตรวจสอบกอนจึงจะทําการ
เบิกถอนเงนิ ได อกี ทั้ง การลงลายมือช่ือรบั รองเอกสารของผูฟองคดีก็ไมใชหนาท่ีที่ไดรับมอบหมาย
โดยตรงจากผูบังคับบัญชา จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่ง
ความเห็น และมติตามรายงานการไตสวนขอเท็จจริงและวินิจฉัยชี้มูลของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และ
ท่ี ๒ เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ ใหผูฟองคดีกลับเขารับราชการ และเพิกถอน
คําวินิจฉัยอุทธรณ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ของผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ซ่ึงศาลมีคําสั่งไมรับ
คําฟองในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และที่ ๓ และที่ขอใหศาลเพิกถอนรายงานการไตสวน
ขอเท็จจริงและวินิจฉัยชี้มูลและมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไวพิจารณา เห็นวา พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๘๕ มิไดบัญญัติโดยใชคําวา “หนาท่ีราชการโดยตรง”
แตใชคําวา “หนาที่ราชการ” ดังน้ัน การปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการ หากเปน
การกระทําโดยมิชอบเพ่ือใหเกิดความเสียหายอยางรายแรงแกผูหนึ่งผูใดก็เปนความผิดวินัย
อยางรายแรงตามมาตรา ๘๕ (๑) แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว เม่ือปรากฏวาผูฟองคดี
ในขณะดํารงตําแหนง ปลัดอําเภออาวุโส อําเภอหวยแถลง จังหวัดนครราชสีมา ไดรับแตงต้ัง
จากนายอําเภอหวยแถลงใหเปนผูรักษาราชการแทนนายอําเภอหวยแถลงในลําดับที่ ๑ และ
เปนหัวหนามีหนาท่ีความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานในหนาที่ของสํานักงานอําเภอ ประกอบกับ
ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณการเกษตร สาขาหวยแถลง ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน
๒๕๕๕ ถึงนายอําเภอหวยแถลง ขอความอนุเคราะหคณะทํางานตรวจสอบ ติดตาม
และประเมินผลไดตรวจสอบรับรองเพ่ือใหโครงการบรรลุวัตถุประสงคตอไป และตามสําเนา
แบบขอเบิกถอนเงินโครงการพัฒนาศักยภาพของหมูบานและชุมชน (SML) ของอําเภอหวยแถลง
ในป พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยปรากฏวา ผูฟองคดีในฐานะปลัดอําเภอไดเปนผูลงลายมือชื่อรับรองวา
ตรวจสอบแลวในแบบขอเบิกถอนเงินโครงการพัฒนาศักยภาพของหมูบานและชุมชน (SML)
ซ่ึงการตรวจสอบเพื่อใชเปนหลักฐานในการเบิกถอนเงินโครงการดังกลาว เปนหนาท่ีราชการ
ของนายอําเภอ และอยูในอํานาจหนาที่ของผูฟองคดีที่จะตองปฏิบัติในฐานะรักษาราชการแทน
นายอําเภอหวยแถลง และงานท่ีไดรับมอบหมายโดยไมจําตองระบุเฉพาะเจาะจงในคําสั่งวา
ใหผูฟองคดีมีหนาท่ีในการลงลายมือช่ือรับรองเอกสารโครงการดังกลาว ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดี
ไดตรวจสอบและลงลายมือช่ือรับรองเปนหลักฐานวาผูรับจางไดดําเนินการตามโครงการพัฒนา
ศักยภาพของหมูบานและชุมชน (SML) ของอําเภอหวยแถลง ในป พ.ศ. ๒๕๕๕ แลวเสร็จ

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๖)
เพื่อใหธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณการเกษตรใชเปนหลักฐานประกอบการพิจารณา
ใหเบิกถอนเงินจายใหแกผูรับจางจึงเปนการกระทําในหนาท่ีราชการของผูฟองคดี ประกอบกับ
ผูฟองคดถี กู เจาพนักงานตํารวจจับกุมในขอหาเปนเจาพนักงานปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาที่
โดยมิชอบเพ่อื ใหเกดิ ความเสียหายแกผูหน่ึงผูใด หรือปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีโดยทุจริต
ตามมาตรา ๑๕๗ แหงประมวลกฎหมายอาญา และขอหาเปนเจาพนักงาน เรียก รับทรัพยสิน
สําหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทําการหรือไม กระทําการอยางใดในตําแหนงไมวาการน้ันจะชอบ
หรือมิชอบดวยหนาท่ีตามมาตรา ๑๔๙ แหงประมวลกฎหมายดังกลาว และมีการดําเนินคดีอาญา
กับผูฟองคดี โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๓ ไดมีคําพิพากษาวา ผูฟองคดี
มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ลงโทษจําคุก ๕ ป และศาลอุทธรณไดมี
คําพิพากษายืนตามคําพิพากษาศาลช้ันตน จึงมีเหตุใหเชื่อไดวา ผูฟองคดีไดอาศัยอํานาจ
ในตําแหนงที่ตนไดรับมอบหมาย เรียก รับเงินจากหางหุนสวนจํากัด ว. เพื่อแลกกับการลงลายมือช่ือ
ตรวจสอบผานโครงการในเอกสารหลักฐานการไปขอเบิกเงินในการดําเนินโครงการพัฒนาศักยภาพ
ของหมูบานและชุมชน (SML) ของบานซาเลือด หมูท่ี ๓ ตําบลกงรถ อําเภอหวยแถลง
จังหวัดนครราชสีมา เปนเงินจํานวน ๒๐,๐๐๐ บาท โดยมีเจตนาเพ่ือแสวงหาประโยชนท่ีมิควรได
โดยชอบดวยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผูอ่ืน พฤติการณของผูฟองคดีจึงเปนการกระทําผิดวินัย
อยางรายแรง ฐานปฏิบัติหนาท่ีหรือละเวนการปฏิบัติหนาท่ีราชการโดยทุจริตตามมาตรา ๘๕ (๑)
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๔ มีคําส่ังลงวันท่ี
๖ กันยายน ๒๕๕๙ ลงโทษไลผูฟองคดีออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.พ. กรมการปกครอง
ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙ จึงชอบดวยกฎหมาย และเมื่อคําสั่งดังกลาว
ชอบดวยกฎหมาย คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๕ ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดีดวยเหตุเดียวกัน
จงึ เปน คําสงั่ ทช่ี อบดว ยกฎหมายเชน กนั

พพิ ากษายกฟอ ง

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี ฟบ. ๓๑/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟอ งวา ขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงนายอําเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี น้ัน

ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมการปกครอง) ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษตัดเงินเดือน
ผูฟองคดีในอัตรารอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน ในความผิดวินัยไมรายแรง ฐานไมปฏิบัติหนาท่ี
ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการฯ และฐานไมปฏิบัติหนาที่ราชการ
ใหเกิดผลดีหรือความกาวหนาแกราชการดวยความอุตสาหะ เอาใจใส และรักษาประโยชน
ของทางราชการ ตามมาตรา ๘๒ (๒) และ (๓) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยอางวา เม่ือคร้ังผูฟองคดีดํารงตําแหนงนายอําเภอแกงกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
และเปนหัวหนาพนักงานสอบสวน มีหนาท่ีควบคุมการสอบสวนคดีอาญาท่ีเกี่ยวกับความผิด
ฐานลาและมีสัตวปาคุมครองไวในความครอบครองและความผิดท่ีเกี่ยวของ แตผูฟองคดี
ไดทําความเห็นควรส่ังฟองเฉพาะผูตองหารายอื่นรวมแปดคน และเห็นควรสั่งไมฟองพันตํารวจโท ธ.

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๗)
โดยไมไดพ ิจารณาพยานหลักฐานใหร อบคอบ ทั้ง ๆ ทเ่ี ปนคดีทไี่ มมีขอยุงยาก จงึ เปนการใชดุลพินิจ
ในทางคดีต่ํากวามาตรฐานของการเปนหัวหนาพนักงานสอบสวน ทําใหไมสามารถนําคนผิด
มาฟองลงโทษ กอใหเกิดผลเสียหายและกระทบตอภาพลักษณของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (กรมการปกครอง)
และกระทรวงมหาดไทย โดยผูวาราชการจังหวัดกาญจนบุรีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๖ เมษายน ๒๕๕๘
แจงคําสั่งใหผูฟองคดีทราบ ผูฟองคดี ไดรับหนังสือดังกลาวเม่ือวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๘
อุทธรณคําสั่งดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการพิทักษระบบคุณธรรม) ไดมีคําวินิจฉัย
ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังลงวันที่
๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง ลงโทษตัดเงินเดือน และคําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ
ของผฟู อ งคดี และใหคนื สิทธปิ ระโยชนทีผ่ ฟู อ งคดีพงึ ไดร บั หากไมมีคาํ สั่งลงโทษผูฟ องคดดี งั กลาว

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีนี้ผูฟองคดีไดอาศัยอํานาจตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา และขอบังคับกระทรวงมหาดไทย วาดวยระเบียบการดําเนินคดีอาญา
พ.ศ. ๒๕๒๓ มีหนังสือลงวันท่ี ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ แจงผูกํากับการสถานีตํารวจภูธร
แกงกระจาน ขอเขาควบคุมการสอบสวนในกรณีที่เจาหนาที่อุทยานแหงชาติแกงกระจานได
รองทุกขใหดําเนินคดีแกผูตองหาที่เขาไปลาสัตวในเขตอุทยานแหงชาติแกงกระจานเมื่อวันท่ี
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ อันเปนความผิดตามกฎหมายวาดวยปาไมและทรัพยากรของชาติ
ผูฟองคดีจึงมีหนาท่ีตองกํากับ ดูแล ตรวจสอบ หรือควบคุมการสอบสวนของพนักงานสอบสวน
ฝายปกครองและพนักงานสอบสวนที่เปนเจาพนักงานตํารวจ ในการรวบรวมพยานหลักฐาน
และการดําเนินการทั้งหลาย เทาท่ีสามารถจะทําได เพื่อท่ีจะทราบขอเท็จจริงหรือพิสูจนความผิด
และเพ่ือจะเอาตัวผูกระทําผิดมาฟองลงโทษ โดยขอเท็จจริงปรากฏวา เจาหนาที่อุทยานแหงชาติ
แกงกระจานไดรองทุกขตอพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแกงกระจานวา เมื่อวันท่ี ๑๐
พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เวลาประมาณ ๒๓.๕๐ นาฬิกา เจาหนาที่อุทยานแหงชาติแกงกระจาน
ไดพบพันตํารวจโท ธ. เดินเทามาคนเดียวในปาซึ่งอยูในเขตอุทยานแหงชาติแกงกระจาน
ตรวจคนพบมีดพก จํานวน ๑ เลม ไมพบสัตวปาหรือสิ่งของท่ีผิดกฎหมาย และในชวงเวลา
ใกลเคียงกัน ไดจับกุมผูตองหาอีกจํานวนแปดคน ท่ีเขามาลาสัตวปาในเขตอุทยานแหงชาติ
แกงกระจาน ขอใหดําเนินคดีอาญาในความผิดตามกฎหมายวาดวยปาไมและทรัพยากรของชาติ
แกผ ตู องหา ซง่ึ เมอ่ื พิจารณาพยานหลกั ฐานในเบ้ืองตนทง้ั หมด แมพันตํารวจโท ธ. จะไมไดโดยสาร
มาในเรือรวมกับผูตองหาคนอื่น แตจากพฤติการณที่พบพันตํารวจโท ธ. ที่เดินอยูในปาลึกในเวลา
กลางดึกเพียงลําพังพรอมมีดพก จํานวน ๑ เลม โดยไมปรากฏเหตุผลในการเดินทางเขามาในเขต
อุทยานแหงชาติท่ีชัดเจน และยังเปนเวลาและสถานที่ท่ีใกลเคียงกับที่ผูตองหาอ่ืนถูกจับกุม
ประกอบกับในเวลาตอมา นาย ช. เจาหนาท่ีอุทยานแหงชาติแกงกระจานและเปนหัวหนาชุด
จับกุมกรณีดังกลาว ไดสงภาพนิ่งและแผนซีดีภาพเคลื่อนไหวใหพนักงานสอบสวน พรอมกับ
ใหถอยคําวาสถานที่ในภาพอยูในเขตอุทยานแหงชาติแกงกระจาน และพันตํารวจโท ธ.
อยูในเหตุการณรวมกับผูตองหารายอื่น ผูฟองคดีไดมีคําสั่งใหพนักงานสอบสวนดําเนินการ
สอบปากคํานาย ช.ใหไดขอเท็จจริงวา นาย ช.ไดภาพดังกลาวมาอยางไร จากผูใด ท่ีไหน

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๘)
เมอ่ื ใด และนาย ช. ไดยืนยนั สถานท่ที ีป่ รากฏในภาพหรือไมวาเปนบริเวณใดของอุทยานแหงชาติฯ
ตอมา พนักงานสอบสวนไดรายงานผลการดําเนินการวา นาย ช. ไดรับภาพน่ิงและแผนซีดี
ภาพเคล่ือนไหวจากบุคคลท่ีไมทราบชื่อและไมรูจักมากอน และยืนยันวาสถานที่ในภาพถายอยูใน
เขตอุทยานแหงชาติแกงกระจาน โดยผูฟองคดีไมไดมีคําสั่งใหแสวงหาพยานหลักฐานอื่น
ท่ีเกี่ยวของเพิ่มเติม ตอมา ผูฟองคดีไดมีคําส่ังตามความเห็นของพนักงานสอบสวน โดยเสนอ
ความเห็นควรส่ังฟองผูตองหาอ่ืนในความผิดตาม พ.ร.บ. อุทยานแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ พ.ร.บ.
ปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ พ.ร.บ. สงวนและคุมครองสัตวปา พ.ศ. ๒๕๓๕ และประมวล
กฎหมายอาญา แตเห็นควรส่ังไมฟองพันตํารวจโท ธ. ทุกขอหา ยกเวนขอหาที่ส่ังเปรียบเทียบ
ปรับไปแลว โดยใหเหตุผลในการสั่งไมฟองวา พบพันตํารวจโท ธ. เดินอยูในปาลําพังผูเดียว
ไมไดรวมกระทําผิดกับผูตองหาอื่น ดังนั้น เมื่อผูฟองคดีมีหนาที่ควบคุมการสอบสวนคดีเก่ียวกับ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมตามขอบังคับกระทรวงมหาดไทย วาดวยระเบียบการดําเนิน
คดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๓ ประกอบกับหนังสือกระทรวงมหาดไทย ดวนมาก ที่ มท ๐๒๐๗/ ว ๙๘๑
ลงวันท่ี ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๒ ผูฟอ งคดีจึงตอ งกํากับ ดูแล ตรวจสอบ หรือควบคุมการดําเนินการ
สอบสวนของพนกั งานสอบสวนฝา ยปกครองและพนักงานสอบสวนทีเ่ ปนพนักงานตํารวจ ในการรวบรวม
พยานหลักฐานและการดําเนินการทั้งหลาย เพ่ือที่จะทราบขอเท็จจริงหรือพิสูจนความผิดและ
เพ่ือนําตัวผูกระทําผิดมาฟองลงโทษ เม่ือปรากฏขอเท็จจริงตามพยานหลักฐานตามคํารองทุกข
ของเจาหนาท่ีอุทยานแหงชาติแกงกระจานวา ไดพบพันตํารวจโท ธ. เดินเทามาคนเดียวในปา
ซง่ึ อยูในเขตอทุ ยานแหง ชาติแกงกระจาน และในชวงเวลาใกลเคียงกันไดจับกุมผูตองหาอีกจํานวน
แปดคน ใชเรือเปนพาหนะเขามาลาสัตวปาในเขตอุทยานแหงชาติแกงกระจาน ตรวจคนพบอาวุธ
และของกลางจํานวนหนึ่ง ประกอบกับพฤติการณในการจับกุมผูตองหาท้ังแปดคน ไดพบภาพน่ิง
และภาพเคลอื่ นไหว แสดงใหเห็นถึงความเช่ือมโยงวาผูตองหาท้ังเกาคนดังกลาวอาจมีการวางแผน
รว มกนั ในการลกั ลอบลาสัตวป าในเขตอุทยานแหงชาติ แตผูฟองคดีมีคําสั่งเพียงใหสอบปากคํานาย ช.
เจาหนาท่ีอุทยานแหงชาติแกงกระจาน เกี่ยวกับท่ีมาของภาพนิ่งและภาพเคล่ือนไหวดังกลาว
ซ่ึงผูฟองคดีในฐานะผูกํากับหรือควบคุมการสอบสวน มีหนาท่ีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา ๑๓๑ ทีต่ องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหลายเทาที่สามารถจะทําได เพื่อพิสูจน
ถึงความเชื่อมโยงดังกลาววาพันตํารวจโท ธ. มีสวนรวมในการวางแผนลักลอบลาสัตวปาในเขต
อทุ ยานแหงชาติหรือไม อันอาจดาํ เนินการไดโดยไมมีขอยุงยาก แตผูฟองคดีหาดําเนินการดังกลาวไม
การมีความเห็นควรส่ังไมฟองพันตํารวจโท ธ. ของผูฟองคดีดังกลาวโดยยังไมไดรวบรวม
และพิจารณาความเช่ือมโยงของพยานหลักฐานดังกลาว จึงเปนการสั่งคดีที่ไมเปนไปตามมาตรา ๑๓๑
แหงประมวลกฎหมายดังกลาว แมการมีความเห็นดังกลาวจะไมมีพยานหลักฐานที่แสดงวา
ผูฟองคดีไดกระทําโดยมีเจตนาทุจริต เรียก รับประโยชน หรือกระทําการในตําแหนงหนาท่ี
โดยไมชอบ เพื่อชวยเหลือผูอื่นไมใหรับโทษหรือรับโทษนอยลงก็ตาม แตก็เปนการไมปฏิบัติหนาท่ี
ราชการใหเปนไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล
และระเบียบแบบแผนของทางราชการ ตามมาตรา ๘๒ (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๔๙)
พ.ศ. ๒๕๕๑ และอาจทําใหประชาชนขาดความเชื่อม่ันตอกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
เกิดความเสียหายแกช่ือเสียงของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ผูฟองคดีจึงกระทําผิดวินัยฐานไมปฏิบัติหนาท่ี
ราชการใหเ กดิ ผลดหี รอื ความกาวหนาแกร าชการดวยความอุตสาหะ เอาใจใส และรักษาประโยชน
ของทางราชการ ตามมาตรา ๘๒ (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาวดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเปน
ผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจส่ังบรรจุผูฟองคดีจึงมีดุลพินิจตามมาตรา ๘๘ ประกอบกับมาตรา ๘๙
และมาตรา ๙๖ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และขอ ๖๗
วรรคหน่ึง และขอ ๙๗ วรรคสอง ของ กฎ ก.พ. วาดวยการดําเนินการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๕๖
ที่จะส่ังลงโทษวินัยไมรายแรง โดยจะลงโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือนตามควร
แกกรณีใหเหมาะสมกับความผิด ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจ
สั่งบรรจุผูฟองคดีไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ลงโทษวินัยอยางไมรายแรงผูฟองคดี
โดยตัดเงินเดอื นผูฟอ งคดใี นอัตรารอยละ ๔ เปนเวลาสองเดือน อันเปนระดับโทษตามควรแกกรณี
เหมาะสมกับความผิด จึงชอบดวยกฎหมาย และเม่ือคําสั่งลงโทษวินัยผูฟองคดีเปนคําส่ัง
ท่ีชอบดวยกฎหมายแลว การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดวินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดีโดยเห็นวา
ผูฟ อ งคดกี ระทําผิดตามท่ีถูกกลาวหาและระดับโทษเหมาะสมแลว ใหยกอุทธรณ โดยอาศัยเหตุผล
ทาํ นองเดยี วกนั จงึ ชอบดว ยกฎหมายเชน กนั

พพิ ากษายกฟอง

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๗๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๔ นาง ส. เจาหนาที่ท่ีดิน ๒

ฝายทะเบียน สํานักงานท่ีดินจังหวัดรอยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ ไดมีหนังสือรองเรียนผูฟองคดี
ตออธิบดีกรมที่ดิน กลาวหาวา ผูฟองคดีดื่มสุรามึนเมาในเวลาราชการแลวทําอนาจารลวนลาม
ทางเพศ โดยจับมือถือแขนและโอบกอดนาง ส. จํานวน ๓ ครั้ง เปนเหตุใหนาง ส. เขาแจงความท่ี
สถานีตํารวจภูธรสุวรรณภูมิใหดําเนินคดีอาญาผูฟองคดีในขอหาอนาจาร นอกจากน้ี ผูฟองคดี
ยงั เคยทําอนาจารลวนลามทางเพศกับนางสาว จ. ลูกจา งช่ัวคราว นาง น. ลูกจางชั่วคราวฝายรังวัด
และนางสาว จ. เจาหนาที่การเงินและการบัญชี ๔ ฝายอํานวยการ สํานักงานท่ีดินจังหวัดรอยเอ็ด
สาขาสุวรรณภูมิ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (กรมท่ีดิน) โดยอธิบดีกรมท่ีดินจึงมีคําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี แลวออกคําสั่งใหผูฟองคดีไปดํารงตําแหนงเจาหนาที่
บริหารงานที่ดินอําเภอสหัสขันธ จังหวัดกาฬสินธุ จากน้ัน คณะกรรมการสอบสวนเห็นวา
ผูฟองคดีกระทําผิดตามขอกลาวหา จึงเสนอใหไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
เห็นวา เปนการกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ฐานกระทําการอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติช่ัว
สมควรใหลดข้ันเงินเดือน แต อ.ก.พ. กรมท่ีดิน ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
มมี ติใหลงโทษไลผฟู องคดอี อกจากราชการ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
ไลผูฟองคดีออกจากราชการ ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๕๑ อุทธรณ
คําส่ังลงโทษตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกรัฐมนตรี) จากนั้น ก.พ. พิจารณาแลวใหมีการลดโทษ

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๐)
จากการไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ เห็นชอบดวยและ
ใหดําเนินการตามมติ ก.พ. ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงมีคําสั่งลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ ลดโทษ
ผูฟองคดีจากการไลออกเปนปลดออกจากราชการ และมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓
แกไขชื่อตัวและชื่อสกุลของผูฟองคดีใหตรงกับท่ีผูฟองคดีไดขอแกไข ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําส่ังไลผูฟองคดีออกจากราชการตามคําส่ัง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และคําสั่งใหลดโทษผูฟองคดีเปนปลดออกจาก
ราชการตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ และคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ เห็นวา
การที่ผูบังคับบัญชาจะมีดุลพินิจดําเนินการทางวินัยอยางใดๆ ตอผูใตบังคับบัญชาซ่ึงเปน
ผูถูกกลาวหาไดในทันทีน้ัน ยอมจะตองปรากฏขอมูลหรือขอเท็จจริงประกอบการใชดุลพินิจ
ดังกลา วอยางเพยี งพอตามเงอื่ นไขของกฎหมาย ซึ่งการสืบสวนขอเท็จจริงตามมาตรา ๙๙ วรรคหา
แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น ถือเปนเพียงการแสวงหาขอเท็จจริง
และพยานหลักฐานในเบื้องตนเมื่อปรากฏวามีการกลาวหาหรือกรณีเปนท่ีสงสัยวาขาราชการ
ผูใดกระทําผิดวินัย ท้ังนี้เพ่ือใหทราบรายละเอียดของพฤติการณและการกระทําของผูถูกกลาวหา
วามีมูลท่ีควรกลาวหาวาผูน้ันกระทําผิดวินัยหรือไม อันเปนกรณีที่การกลาวหาหรือการสงสัย
ดังกลาวยังไมมีพยานหลักฐานสนับสนุนอยางเพียงพอที่จะกลาวหาวากระทําผิดวินัยได
จึงกําหนดใหผูบังคับบัญชาดําเนินการสืบสวนขอเท็จจริง อยางไรก็ตาม หากการกลาวหาน้ัน
ปรากฏขอมูล ขอเท็จจริง หรือมีพยานหลักฐานสนับสนุนเพียงพอท่ีจะกลาวหาวาผูถูกกลาวหา
มีพฤติการณที่นาจะเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรงอยางไร หรือในฐานความผิดใดตามที่
กฎหมายบัญญัติไวแลว บทบัญญัติมาตรา ๙๙ วรรคหา ดังกลาวก็ไดกําหนดใหผูบังคับบัญชา
สามารถใชดุลพินิจพิจารณาในเบ้ืองตนวากรณีตามท่ีถูกกลาวหามีมูลท่ีควรกลาวหาวาผูน้ันกระทํา
ผิดวินัยหรือไม ซ่ึงการดําเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องตนดังกลาว ก็เพื่อใหมี
การดําเนินการทางวินัยตอไป ดังน้ัน ผูบังคับบัญชาจึงไมจําตองแตงตั้งคณะกรรมการข้ึนทําการ
สอบสวนขอเท็จจริงในเร่ืองดังกลาวกอนที่จะมีการแตงตั้งคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนเสมอ
ไปแตอ ยา งใด ประกอบกับคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยท่ีไดรับการแตงต้ังข้ึนตามมาตรา ๑๐๒
วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว น้ัน ยอมมีหนาที่แสวงหาความจริงหรือขอเท็จจริง
ในเร่ืองท่ีกลาวหาและรวบรวมพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา ตลอดจนตองใหโอกาสแก
ผูถูกกลาวหาไดชี้แจงโตแยงและนําสืบแกขอกลาวหาอยางเพียงพอและเปนธรรม โดยการ
ดําเนินการใหเปนไปตามท่ีกําหนดไวในขอ ๑๔ และขอ ๑๕ ของกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ.
๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ วาดวยการสอบสวน
พิจารณา คดีน้ีขอเท็จจริงรับฟงไดวา การเริ่มดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดี น้ัน สืบเน่ืองมาจาก
การท่ีนาง ส. เจาหนาท่ีที่ดิน ๒ ฝายทะเบียน สํานักงานที่ดินจังหวัดรอยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ
ไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๔ รองเรียนกลาวหาผูฟองคดีตออธิบดีกรมท่ีดิน วา
ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงเจาพนักงานท่ีดินจังหวัดรอยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ ไดดื่มสุรามึนเมา
ในเวลาราชการแลวกระทําอนาจารลวนลามทางเพศ โดยจับมือถือแขนและโอบกอดนาง ส.

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๑)
รวม ๓ ครั้ง เปนเหตุทําใหนาง ส. ไดรับความอับอายเสียหาย จึงเขารองทุกขตอพนักงานสอบสวน
ใหดําเนินคดีอาญาแกผูฟองคดี ขอหากระทําอนาจาร อีกทั้งยังปรากฏดวยวา ผูฟองคดี
ไดเคยกระทําอนาจารลวนลามทางเพศกับนางสาว จ. ลูกจางช่ัวคราว นาง น. ลูกจางชั่วคราว
ฝายรังวัด และนางสาว ร. เจาหนาที่การเงินและบัญชีระดับ ๔ ฝายอํานวยการ สํานักงานที่ดิน
จังหวัดรอยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ อธิบดีกรมที่ดินซึ่งเปนผูบังคับบัญชาของผูฟองคดีจึงมีคําสั่ง
ลงวันท่ี ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๔ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี
โดยมิไดแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงในกรณีดังกลาวกอน เห็นวา เมื่อพิจารณาจาก
หนังสือรองเรียนของนาง ส. ดังกลาว ปรากฏชื่อผูรองเรียนอยางชัดเจน และเปนกรณี
ที่ผูใตบังคับบัญชารองเรียนเก่ียวกับความประพฤติของผูฟองคดีซึ่งเปนผูบังคับบัญชา โดยปรากฏ
ขอมูล หรือขอเท็จจริงอันเปนรายละเอียดของพฤติการณการกระทําของผูฟองคดีหลายคร้ัง
หลายคราว ซ่ึงเปนการกระทําตอขาราชการและลูกจางหญิงของสํานักงานที่ดินจังหวัดรอยเอ็ด
สาขาสุวรรณภูมิ จํานวน ๓ คน จึงเปนกรณีท่ีพฤติการณการกระทําของผูฟองคดีตามหนังสือ
รอ งเรียนดังกลาว ปรากฏพยานหลักฐานเพียงพอท่ีผูบังคับบัญชาจะพิจารณาในเบ้ืองตนไดแลววา
ผูฟองคดีมีพฤติการณท่ีนาจะเขาขายเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง อันเปนกรณีมีมูลที่
ควรกลาวหาวาผูฟองคดีกระทําผิดวินัยซ่ึงอธิบดีกรมท่ีดินมีอํานาจที่จะดําเนินการทางวินัยแก
ผูฟองคดีไดทันที ดังน้ัน ในการดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดีในกรณีท่ีพิพาทน้ี ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
โดยอธิบดกี รมทด่ี ิน จึงไมตองแตงต้ังคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนขอเท็จจริงกอนที่จะมีคําสั่ง
แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงแกผูฟองคดี สวนกรณีการพิจารณาคําคัดคาน
คณะกรรมการสอบสวนของผูฟองคดี นั้น ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๔
คัดคานกรรมการสอบสวนท้ังคณะตออธิบดีกรมท่ีดิน ซึ่งหนังสือดังกลาวมีลักษณะของการแสดง
ขอเท็จจริงที่เปนเหตุแหงการคัดคานไวในหนังสือคัดคานของผูฟองคดีวาจะทําใหการสอบสวน
ไมไดความจริงและความยุติธรรมอยางไร และถือเปนการย่ืนภายในเจ็ดวันนับแตวันทราบเหตุ
แหงการคัดคาน ตามขอ ๘ วรรคสอง ของกฎ ก.พ. ดังกลาว และเม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดลงรับ
หนังสือดังกลาวในวันท่ี ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๔ จึงตองพิจารณาใหแลวเสร็จภายในวันท่ี
๑๑ สงิ หาคม ๒๕๔๔ แลวแจง ใหผูฟอ งคดีทราบ แตปรากฏวาผูถูกฟองคดีท่ี ๒ โดยอธิบดีกรมที่ดิน
ในฐานะผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนท่ีมีอํานาจพิจารณาคําคัดคานดังกลาวไดพิจารณาแลว
เห็นวากรรมการสอบสวนท่ีผูฟองคดีคัดคานในประเด็นตางๆ ไมเขาขายที่จะทําใหการสอบสวน
เสียความเปนธรรมตามขอ ๘ วรรคหน่ึง ของกฎ ก.พ. เดียวกัน จึงสั่งยกคําคัดคานของผูฟองคดี
เมื่อวนั ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๔ อันเปนการส่ังการเมื่อพนกําหนดสิบหาวันนับแตวันที่ไดรับหนังสือ
คัดคานของผูฟองคดี ทั้งยังไมไดมีการแจงผลการพิจารณาใหผูฟองคดีทราบ ตามขอ ๘ วรรคสาม
ของกฎ ก.พ. ขางตน กรรมการสอบสวนวินัยอยางรายแรงผูฟองคดีตามคําส่ังกรมท่ีดิน ลงวันท่ี
๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๔ ซึ่งถูกคัดคานท้ังคณะ จึงตองพนจากการเปนกรรมการสอบสวน ตามขอ ๘
วรรคสี่ ของกฎ ก.พ. ดังกลาว และไมมีอํานาจหนาที่ในการสอบสวนผูฟองคดีอีกตอไป โดยไมพัก
ตองพิจารณาวาคําคัดคานของผูฟองคดีขางตนมีเหตุตามท่ีกฎ ก.พ. ฉบับเดียวกัน กําหนดไว

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

(๑๕๒)
ตามท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยอธิบดีกรมที่ดินวินิจฉัยหรือไม แตอยางไรก็ตาม การพนจาก
การเปนกรรมการสอบสวนในกรณีเชนน้ี ยอมไมกระทบถึงการสอบสวนที่ไดดําเนินการไปแลว
ท้ังนี้ ตามขอ ๘ วรรคหา ของกฎ ก.พ. ขา งตน และเมอื่ ไมป รากฏวา คณะกรรมการสอบสวนชุดเดิม
ไดดําเนินการใดๆ ภายหลังจากถูกคัดคาน จึงไมมีกรณีใหสํานวนการสอบสวนทางวินัยผูฟองคดี
โดยคณะกรรมการสอบสวนชุดเดิมตองเสียไป อันเนื่องมาจากกรณีการพิจารณาคําคัดคาน
คณะกรรมการสอบสวนของผูฟองคดีดังกลาวแตอยางใด ดังนั้น การท่ีตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๒
โดยอธิบดีกรมท่ีดินไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๔ แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนชุดใหม
คณะกรรมการสอบสวนชุดใหมจึงสามารถใชสํานวนการสอบสวนทางวินัยท่ีดําเนินการไวแลว
โดยคณะกรรมการสอบสวนชุดเดิม ในการจัดทํารายงานการสอบสวนเสนอตออธิบดีกรมท่ีดินได
และเมื่อพิจารณาจากสํานวนการสอบสวนทางวินัยแกผูฟองคดีประกอบพยานหลักฐานอื่นๆ แลว
รับฟงไดวา ขณะผูฟองคดีมีอาการมึนเมาไดกระทําอนาจารผูใตบังคับบัญชาตามท่ีถูกกลาวหาจริง
อีกท้ังยังเปนการกระทําอนาจารผูใตบังคับบัญชาหลายคร้ังหลายคราว บางคร้ังเปนการกระทํา
ในเวลาราชการและอยูในสถานที่ราชการตอหนาประชาชนท่ีมาติดตอราชการอีกดวย สวนกรณี
ที่ศาลฎีกาไดมีคําพิพากษายืนตามศาลชั้นตนวาผูฟองคดีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๗๘ ใหลงโทษจําคุก โทษจําคุกใหรอการลงโทษไวมีกําหนด ๑ ป ทําใหผูฟองคดีไมไดถูก
จําคุกจริง น้ัน ก็มีผลทางกฎหมายเปนเพียงการหามมิใหลงโทษทางวินัยแกผูฟองคดีในความผิด
ฐานกระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุก หรือโทษที่หนักกวาจําคุกโดยคําพิพากษาถึงท่ีสุด
ใหจําคุก หรือใหรับโทษที่หนักกวาจําคุก เทาน้ัน หาไดมีขอหามไมใหนําพฤติกรรมการกระทํา
ความผิดอาญาของผูฟองคดีดังกลาว มาพิจารณาวาเขาองคประกอบความผิดทางวินัยฐานอื่นๆ
หรือไม แตอยางใด และโดยท่ีการจะพิจารณาวาการกระทําของผูฟองคดีดังกลาว เปนการกระทํา
การอันไดช่ือวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรงหรือไม
จะตองพิจารณาถึงเกียรติของผูฟองคดีและความรูสึกของสังคมที่มีตอการกระทําของผูฟองคดี
วารูสึกรังเกียจตอการกระทํานั้นวาเปนการประพฤติชั่วอยางรายแรง ประกอบกับเจตนา
ในการกระทําโดยคํานึงถึงพฤติการณของผูฟองคดีวาไดกระทําการอันทําใหราชการไดรับ
ความเสื่อมเสียตอภาพพจนชื่อเสียงหรือไม เมื่อผูฟองคดีไดกระทําอนาจารผูใตบังคับบัญชา
ยอมทําใหสังคมหรือบุคคลท่ัวไปรูสึกวาการกระทําของผูฟองคดีเปนการประพฤติไมเหมาะสม
และรูสึกรังเกียจตอการกระทําน้ัน ทําใหมีผลกระทบตอชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของตําแหนง
หนาที่ราชการของผูฟองคดีซ่ึงเปนผูบังคับบัญชาที่พึงตองประพฤติตนใหเปนแบบอยางที่ดี
เปนที่เล่ือมใสศรัทธาหรือเปนที่เช่ือถือของผูใตบังคับบัญชา ประชาชนและสังคมท่ัวไป
พฤติการณของผูฟองคดีดังกลาวจึงมีความรายแรงแหงกรณีถึงขนาดเปนการประพฤติช่ัว
อยางรายแรง อันเปนความผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ แลว และโดยที่ในช้ันการพิจารณาอุทธรณของ
อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณและการรองทุกข ทําการแทน ก.พ. ก็ไดพิจารณาอุทธรณของ
ผูฟองคดีแลวเห็นวา ขณะผูฟองคดีมีอาการมึนเมาไดกระทําอนาจารผูใตบังคับบัญชา และ

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version