288 นี้เป็นเรื่องของสัญญาเดิมที่กำลังตัดสินว่ารูปที่เห็นนั้นเคยเห็นมาก่อนหรือไม่ เมื่อรู้และตัดสินแล้วก็เป็นหน้าที่ของจิตดวงต่อมารับเสพอารมณ์ทันทีจึงเกิดมี ความพอใจ ไม่พอใจ หรือเฉยๆ ดวงจิตในชวนจิตจะเป็นสำคัญของเรื่องบุญ และบาป เพราะมันจะส่งไปให้จิตอีก2 ดวงรับช่วงประทับอารมณ์ต่อไป นั่น คือบันทึกข้อมูลของวิบากกรรม จากนั้นจิตก็จะกลับเข้าอยู่ในภวังค์ซึ่งรักษา สัญชาตญาณของภพชาติของสัตว์ไว้ ข้อสังเหตุดวงจิตที่เป็นตัวการบันทึกบาป-บุญไว้คือ“ชวนจิต” กำลัง ความเข้มข้นขิงเจตนาที่เกิดขึ้นในดวงจิตของแต่ละดวงในชวนจิตมีผลต่อการ รับผลของกรรมในครั้งต่อไป ความเข้มข้นของเจตนาที่เกิดในจังหวะเวลาของ แต่ละดวงจะมีความสัมพันธ์กับการให้ผลของกรรมตามลำดับดังนี้ ชวนจิตดวงที่ 1 ให้ผลในปัจจุบันชาติเรียกว่า “ทิฏฐธรรมเวทนีย กรรม” เป็นกรรมที่ส่งผลในชาติปัจจุบัน ชวนจิตดวงที่ 2 ให้ผลในชาติหน้าต่อไป ซึ ่งมีความสำคัญมาก เรียกว่า“อุปปัชชเวทนียกรรม” ชวนจิตดวงที่ 2 ถึง ดวงที่ 6 ( 5 ขณะ ) จะส่งผลในชาติต่อ ๆ ไป เรียกว่า “อปราปรเวทนียกรรม” * ข้อสังเกตุจิตที่เข้าวิถีไปรับรู้และเสพย์อารมณ์ในมโนทวารจะมีไม่ถึง 17 ขณะเหมือนในปัญจทวารวิถี
289 รูปภาพที่ 61 ผังการสืบภพชาติตามมุมมองวิทยาศาสตร์ จากรูปเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน หากต้องการตัดการเกิดหรือ ความสัมพันธ์กับจักรวาล ก็ให้จิตหยุดการกระเพื่อมเพื่อส่งสัญญาณในลักษณะ ของคลื่น ที่มันเชื่อมต่อกับข้อมูลวิบากกรรมที่เก็บไว้ในฐานข้อมูลตามที่กล่าว มาแล้ว จึงน่าจะเป็นการหยุดการกลับมาเกิดในจักรวาลนี้ได้จักรวาลใน 31 ภพภูมินั้นอาจจะเป็นจักรวาลคู่ขนาน (Multiverse) กับจักรวาลของเราซึ่งเป็น มิติที่ซ้อนทับกันอยู่ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกช่วงมหา ปรินิพพานสูตรตอนเทพเทวาจาก10 โลกธาตุเข้าเฝ้าเป็นครั้งสุดท้ายเรื่องของ การมีตัวตนของอวกาศเป็นสิ ่งที่เปลี ่ยนแปลงทฤษฎีหลายทฤษฎีทาง วิทยาศาสตร์และสร้างทฤษฎีขึ้นมาใหม่อีกมาก ทำให้ความรู้เรื่องจักรวาล ขยายตัวออกไปจนเกือบจะเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัดทางวัตถุ
290 8.9 ภพภูมิกับทฤษฎีกาลอวกาศ (Time-Space) ตามที่ไอน์สไตน์ได้กล่าวมาแล้วว่าอวกาศมีตัวตน ในแต่ละช่วงของ อวกาศมีเวลาเป็นของตนเองเหมือนกับการหั่นขนมปัง ในแต่ละชิ้น ๆ ของ ขนมปังก็คือเวลาของที่หั่น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าจักรวาลเราแรกนั้นเกิดมี หลายมิติกล่าวว่ามีทั้งหมด 11 มิติคือ 10 มิติของอวกาศบวกกับอีก 1 มิติ ของเวลา นั่นคือในแต่ละอวกาศจะมี1 ช่วงของเวลากำกับอยู่เสมอในปัจจุบัน เราจะเห็นอวกาศเพียงแค่3 มิติเท่านั้นบวกกับอีก1 มิติของเวลา มิติที่เหลือ ได้ม้วนซ่อนตัวอยู่จักรวาลนี้ จักรวาลแบบพระพุทธศาสนาได้จัดแบ่งเขตแดนของสัตว์อาศัยในแต่ ละภพ โดยใช้คุณสมบัติของจิตกับผลของกรรมเป็นการกำหนดถิ่นที่อยู่ แปลก ที่ภพภูมิอื่นเราไม่สามารถมองเห็นได้ยกเว้นสัตว์เดรัจฉานอยู่ที่เดียวกันกับเรา ส่วนเทวดาและพรหมบนสวรรค์เราก็ไม่อาจมองเห็นได้แม้จะใช้ยานอวกาศขึ้น ไปหรือกล้องโทรทัศน์ส่องก็ไม่เห็น การที่เราใช้คำว่า “อยู่บน” สวรรค์นั้นเป็น เพราะเราจัดตามความเชื่อว่าภพภูมิที่มีจิตใจสูงกว่าเราย่อมอยู่เหนือเราซึ่ง ความเป็นจริงอาจจะไม่เป็นเช่นก็ได้อาจจะเป็นมิติที่ซ้อนทับกันกับของเรา ใน พระไตรปิฎกดูเหมือนว่าจะเป็นเป็นการซ้อนทับกันมากกว่า ในมหาปรินิพ พพานสูตรกล่าวว่า เทวดาผุดออกมาเข้าเฝ้าจาก 10 โลกธาตุ เพื่อเข้าเฝ้า เป็นครั้งสุดท้าย ลักษณะเช ่นนี้เหมือนการเดินทางที ่ทะลุออกมาจากมิติ มากกว่าการเดินทางแบบปกติที่เราใช้กัน จะเห็นพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง ในการนี้อาจจะต้องใช้องค์ความรู้อีกชุดหนึ่งทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะเรื่อง ของจักรวาลคู่ขนานพิสูจน์ในอนาคตก็อาจจะพบความจริง ตามทัศนะของผู้เขียนมีความเห็นว่าภพภูมิทางพระพุทธศาสนามี ความสอดคล้องกับมิติทางวิทยาศาสตร์จริงอยู่ที่พุทธจักรวาลจัดเขตแดนตาม ผลของวิบากกรรม ซึ่งจิตจะนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลในการสร้างภพใหม่จิตหรือ
291 นาม(ประกอบด้วยจิตกับเจตสิก)นั้นจะสร้างสรรค์รูปด้วยเสมอในช่วงปฏิสนธิ ถึงจะเรียกว่าสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วย “รูปนาม” ดังนั้นการจัดภพภูมิของพุทธ จักรวาลจึงมีความเกี่ยวเนื่องกับมิติของจักรวาลด้วย เพราะรูปทางกายภาพ ต้องที่กินพื้นที่ของอวกาศหรือกินพื้นที่ว่าง สัตว์ในแต่ละภพภูมิมีมิติพื้นฐาน เป็น 3 มิติเท ่ากันหมด เมื ่อจัดกลุ่มใหม ่ตามเขตแดนที ่อยู ่สภาวะแวดล้อม ใกล้เคียงกันจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ และสามารถเดินทางไปหากันได้ สำหรับมิติที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ เขตแดนที่ 1. ภพของสัตว์ที่มีสิ่งแวดล้อมได้ความทุกข์ไม่มีความสุข ได้แก่ นรก, เปรตและอสูรกาย (แฝงในภพอื่นก็มี) นับได้3 มิติในคัมภีร์กล่าว ว่าสัตว์นรกที่ได้รับกรรมเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงเศษกรรมก็จะขยับมารับ ทุกขเวทนา ในภพที่มีโทษเบากว่าเช่นในเปรตภูมิ เขตแดนที่ 2. ภพของสัตว์ที่มีสิ่งแวดล้อมมีความทุกข์และสุขปนกัน ไป : มนุษย์, สัตว์มี3 มิติซึ่งอยู่ในสถานที่เดียวกันคือบนโลกใบนี้ เขตแดนที่ 3. ภพของสัตว์ที่มีสิ่งแวดล้อมได้รับแต่ความสุข : สวรรค์ 6 ชั้น และรูปพรหมมีมี3 มิติ, มีข้อมูลพบว่าสวรรค์และพรหมโลก ภพนี้ชั้นสูง กว ่าสามารถเดินทางไปหาชั้นที ่ต ่ำกว ่าได้ในคัมภีร์กล ่าวว ่าสวรรค์ในชั้น ดาวดึงส์มีศาลาฟังธรรมชื่อสุธัมมาเทวสภา ทุกวันพระจะอันเชิญพระพรหม มาแสดงธรรม … เมื่อสนังกุมารพรหมปรากฏแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์พระองค์ทรง เนรมิตอัตภาพให้หยาบปรากฏขึ้น เพราะรูปร่างปกติของพรหมไม่อาจ ปรากฏ ในคลองจักษุของพวกเทพชั้นดาวดึงส์ได้เมื่อสนังกุมารพรหมปรากฏแก่พวก เทพชั้นดาวดึงส์พระองค์ก็รุ่งเรืองเกินเทพเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศร่างกาย ที่เป็นทองคำ ย่อมงดงามเกินร่างกายมนุษย์ฉันใด เมื่อสนังกุมารพรหมปรากฏ
292 แก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์พระองค์ก็รุ่งเรืองเกินเทพเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศ ฉันนั้น … รูปภาพที่ 62 มนุษย์มีศักยภาพเดินทางไปได้ทุกที่ ในทำนองเดียวกันในระหว่างสวรรค์ด้วยกันเองเป็นมิติที่เข้ากันได้ ต่างกันที่อายุของแต่ละชั้นเท่านั้น ดังตัวอย่างที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จจำ พรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดาเทพบุตรที่อยู่ชั้นดุสิตเหนือ ขึ้นไปกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทพบุตรฯได้ลงมายังสวรรค์ภพนี้ซึ่งอยู่ห่างกันถึง 8 แสนโยชน์เพื่อมาฟังพระอภิธรรมจากพระพุทธเจ้าดังนั้นเทวดาในชั้นสูง กว่าสามารถข้ามลงมาได้ในสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่า แต่สวรรค์ชั้นต่ำกว่าไม่สามารถ ขึ้นไปสวรรค์ชั้นสูงกว่าตนได้ จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น ภพของมนุษย์สวรรค์พรหมสามารถ เดินทางเคลื่อนที่ไปมาซึ่งกันและกันได้เช่น ท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนาให้ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์พระพรหมท่านนี้มีแสงสว่าง
293 มาก, พระพุทธองค์ทรงเสด็จขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดาและพรหมเทศน์ให้ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทุกวันพระ ตลอดจนพระโมคคัลลาเห็นเปรตบนโลกและ พระเสด็จบนสวรรค์ปรากฏการณ์เหล่านี้แสดงว่ามีความเป็นไปได้ว่าในแต่ละ ภพภูมินั้น รูปกายได้ถูกสร้างขึ้นเป็น 3 มิติเช่นเดียวกันกับภพมนุษย์ที่เราเห็น อยู่ แต่อาจจะแตกต่างกันในแง ่ของความหยาบและความละเอียดของกาย เท่านั้น เนื่องจากภพภูมิสูงกว่าสามารถเดินทางมาในเขตของภพภูมิที่ต่ำกว่า ได้พระพรหมก็มายังโลกมนุษย์ได้เทพชั้นภุมมเทวดาก็อยู่ที่เดียวกับมนุษย์บน โลก และในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ทรงเปิด3 โลกให้เห็น ซึ่งกันและกัน การเห็นกันนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่าควรที่จะเห็นเป็นภาพ 3 มิติ เหมือนกันไม่มีความแปลกแยก ภพอื่นซ่อนตัวเล็กมาก อวกาศประกอบไปด้วย เส้นใย เส้นแต่ละเส้นมีขนาดเล็กมาก เล็กกว่าโปรตอนถึงล้านล้านล้านเท่า ทำ ให้มิติที่เหลือได้ซ่อนตัวอยู่ในจักรวาลตามที่กล่าวมาแล้ว มีข้อสังเกตจากพระ สูตรที่น่าสนใจ ในเล่มที่10 ข้อ 200 หน้า 149 ได้กล่าวว่า ในปัจฉิมกาลพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ท่านพระอุปวาณะถอยไป ด้วย พระดำรัสว่า ‘ภิกษุ เธอจงหลบไป อย่ายืนตรงหน้าเรา’ อะไรหนอแลเป็น เหตุอะไรเป็นปัจจัยให้พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ท่านอุปวาณะถอยไปด้วยพระ ดำรัสว่า ‘ภิกษุเธอจงหลบไป อย่ายืนตรงหน้าเรา ... พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์เทพโดยมากใน 10 โลกธาตุมาประชุมกันเพื่อจะเยี่ยมตถาคตสวนสาลวันของพวกเจ้ามัลละอัน เป็นทางเข้ากรุงกุสินารานี้มีเนื้อที่ 12 โยชน์โดยรอบที่ที่พวกเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ ไม่ได้เบียดเสียดกันอยู่แม้เท่าปลายขนเนื้อทรายจดลงได้ก็ไม่มีพวกเทพจะ โทษว่า พวกเรามาไกลก็เพื่อจะเห็นพระตถาคต มีเพียงครั้งคราวที่พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกในปัจฉิมยามแห ่งราตรีวันนี้
294 พระตถาคตจะปรินิพพาน ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ยืนบังอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค (ทำให้) พวกเราไม่ได้เฝ้าพระตถาคตในปัจฉิมกาล” จากข้อความที่ขีดเส้นใต้มีความหมายว่า “แม้ขนาดเท่าปลายขนเนื้อ ทราย ท่านเหล่านั้นอยู่กัน แบบไม่เบียดเสียดกันเลย” หมายถึงมีความ หนาแน่นมากแม้แต่แม้ขนของเนื้อทรายก็แทรกเข้าไม่ได้คือไม่มีช่องว่าง ใน เรื่องนี้ผู้เขียนตีความได้2 นัยยะ นัยยะแรกจักรวาลของเทวดานั้นซ้อนทับกัน กับโลกของเรา นัยยะที่สอง เทวดาเหล่านั้นน่าจะมีตัวตนที่ไม่ใหญ่ถึงได้กิน พื้นน้อยแม้จะมาจาก 10 โลกธาตุจึงอาจกล ่าวได้ว่าภพภูมิของสวรรค์เมื่อ เทียบกับทฤษฎีสตริง (String Theory) จึงมีความเป็นไปได้มาก ที่จะบอกถึง การมีอยู่จริงของภพภูมิที่เหลือซ่อนอยู่ในจักรวาลนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีจักรวาลคู่ขนานกันกับจักรวาลของเรานี้มี มาแล้ว 10 มิติในช่วงแรกของการเกิดจักรวาลบิ๊กแบง แล้วมิติที่เหลือจะม้วน ตัวซ ่อนในจักรวาลคงเหลือเป็นจักรวาลที่เราเห็นนี้คือ 3 มิติสันฐานของการ ม้วนตัวของจักรวาลจะเป็นในรูปแบบของเกลียวแผ่นผืนอวกาศที่ซ้อนไขว้กัน ไปมาตามรูปโมเดลของ the Calabi-Yau (Credit: A Hanson) นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทางการแพทย์หลายงานวิจัยกล่าวว่า สภาวะ ของคนที่เคยมีประสบการณ์เข้าใกล้ความตายซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Near Death Experience ทุกคนจะมีลักษณะเหมือนกับตนเองวิ่งไปตามท่อที่เล็ก มาก มีแสงสว่างอยู่ปลายท่อเล็ก ๆ นั้น พอมุดออกมาได้พบกับสิ่งแวดล้อมอีก แบบที่สามารถเก็บความรู้สึกอันนั้นได้ดีเมื่อฟื้นขึ้นมา และตอนเวลาที่จะฟื้น ขึ้นมาจะคนไข้มักจะมองเห็นว่าตนอยู่เหนือตนเองที่กำลังนอนอยู่ และเห็น หมอทำการรักษาตน ในเรื ่องนี้มีหมอผ่าตัดทางด้านประสาทวิทยาของ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด มีประสบการณ์แบบสภาวะใกล้ความตาย เขานอนป่วย เนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรียในสมองอยู่ในขั้นโคม่าเป็นเวลา 7 วัน พอฟื้นขึ้นมา
295 กลับเป็นปกติเร็วพลัน ซึ่งตามความเห็นทางการแพทย์กล่าวว่าสมองไม่ได้สั่ง การใด ๆ แล้ว แต่จากสิ่งที่หมอท่านนี้ได้พบน่าจะไม่ใช่การทำงานของสมอง เขาเข้าใจว่าได้ไปพบกับภพของสวรรค์เพราะรู้สึกสบายกายสบายใจจึงเขียน หนังสือ ”พิสูจน์สวรรค์” ในแต่ละภพภูมินั้นมีภพภูมิไม่เท่ากันตามตารางที่ ดังนั้นเราสามารถตีความจักรวาลแบบ 10 มิติกับ 31 ภพภูมิใน พุทธจักรวาลได้โดยกำหนดให้แต่ละภพที่มีลักษณะคล้ายกัน หมายถึงไปมาหา สู่กันได้เป็นมิติเดียวกัน จึงสรุปว่าพุทธจักรวาลเมื่อรวมมิติแล้วได้9 มิตินั่นคือ อบายภูมิ3 + มนุษย์และสัตว์3 + สวรรค์และพรหม 3 ตามเงื่อนไขที่มีสภาพแวดล้อมที่ คล้ายๆ กัน ถึงแม้ว่าในแต่ละภพภูมิมีเวลาของชีวิตไม่เท่ากัน จัดเป็นมิติของ กาลเวลาต่างหาก ดังนั้นจักรวาล 10 มิติของอวกาศ (เขตแดนหรือจับต้องได้) คือ จักรวาลมี9 มิติบวกกับอีก1 มิติที่เป็นมิติเชื่อมต่อระหว่างมิติทั้งหมดก็จะ สอดคล้องกับพระพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ถึงการผุดของเทวดาจากอีกมิติส่วน เวลาในแต่ละภพภูมิจะไม่เท่าเช่นเดียวกัน เหมือนกับกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ เวลาในแต่ละชุดที่อยู่ที่มีการเคลื่อนไหวจะไม่เท่ากัน เวลา, น้ำหนักและขนาด ย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้หดสั้น หรือยืดออกไป ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมาแล้วนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่าภพภูมิใน พุทธจักรวาลกับมิติทางวิทยาศาสตร์มีความสมนัยกัน ในกรณีที่คัมภีร์กล่าวว่า “ที่อยู่ของนรกโลกันต์อยู่ระหว่างช่องว่าง ของจักรวาล” ท่านเปรียบได้กับว่ามันอยู่ในระหว่างบาตรสามใบ และบรรยาย ว่าภพนั้นมืดมิดสนิทไม่มีดวงดาวดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ผู้เห็นว่าสถานที่ นั้นต้องเป็นส่วนที่อยู่ทีนอกเขตกาแลกซี่ และต้องอยู่ในระหว่างกาแลกซี่อื่น ๆ
296 ด้วยเช่นกัน ในบริเวณเหล่านั้นย่อมมีแต่มืดมิดเพราะไร้ดาวฤกษ์และดวงจันทร์ ใด ๆ ที่จะให้แสงสว่างทั้งหมดทั้งสิ้น ความหมายของจักรวาลในครั้งโบราณนั้น ก็คือดาราจักรหรือกาแลกซี่นั่นเอง กาแลกซี่ทางช้างเผือกเป็น กาแลกซี่แบบ กังหันหรือแบบกงจักรแบบด้วยเหตุนี้โลกันต์นรกจึงมีความสมนัยด้วยเหตุผลนี้ 8.10 ตัดการเชื่อมต่อจักรวาลคือ “ไม่กลับมาเกิด” การหยุดเชื่อมต่อ(Link) กับจักรวาลคือการเจริญสติให้แนบแน่นับ จิตตลอดเวลา เมื่อวิเคราะห์การเจริญสติในหลักของสติปัฏฐาน 4 เป็น กรรมฐานที่ทางพระพุทธศาสนานำเสนอวิธีการหลุดพ้นไม่หวนกลับมาเกิดใหม่ ในจักรวาลนี้ได้แก่ 1. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกาย ในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุม รวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์เรา เขา แต่มองแยก เป็น รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็น อนัตตา 2. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน ไม่ มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์เรา เขาคือไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรา กำลังสุข หรือเราเฉย ๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา 3. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการ นำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยก เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็น อนัตตา
297 4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็น ฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็น อนัตตา เป็นการฝึกสองอย่างได้อย่างเดียวคือฝึกเพื่อให้จิตมีสติตลอดเวลา คอยควบคุมไม่ให้จิตคิดและเป็นการฝึกให้เห็นชัดตามความเป็นจริงเพื่อให้จิต เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเวียนว่ายใน 31 ภพภูมิเช่น สติข้อที่ เห็นความไม่งามในสรีระ เห็นตามจริงมีแต่ของเน่าเหม็นซึ่งตามปกติ คนเราจะปกติส่วนนี้ไว้เพื่อให้เกิดความสวยงามไม่อุจาดสายตา ข้อที่ 2 ทำให้ เกิดความเห็นจริงว่าเรามีความทุกข์ซ่อนตลอดเวลา นั่งนาน นอนนาน ไม่ได้ก็ จะเมื่อยจะปวดไม่มีความสุขที่คงทน เพราะเดี๋ยวมันก็เกิดทุกข์สลับกันไปกับ ความสุขที ่เปลี่ยนอริยบท ข้อที่ 3 และ 4 เป็นการฝึกสติให้เห็นชัดในหลัก ธรรมชาติของจิตที่ดิ้นรนซัดซ่ายไปมา กับให้เห็นหรือทบทวนหลักธธรรมที่เกิด กับ 3 แรกเพื่อเป็นการสำทับความจริงที่เห็นนั้น จิตเมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็นไม่มีความยินดีความอยากได้ในสิ่งทั้งหลาย ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ปัญญา” มีสติรู้เท่าทันความเป็นจริงตลอดเวลาสืบเนื่อง ต่อกันไป จิตแบบนี้คือ “จิตอริยะ” มีโปรแกรมของวิราคะที่สติครองตัวจิต ตลอดเวลา สติเป็นเจตสิกที่ขับเคลื่อนจิตทำให้ไม่ส่งคลื่นเพื่อความสงสัยติดใจ ในจักรวาลก็จะไม่เกิดการเชื่อมต่อกับจักรวาลการเกิดในจักรวาลจึงไม่มีอีก ต่อไปเพราะ “หมดตัณหา”
298 บทที่ 9 มนุษย์ต่างดาวในพระไตรปิฎก 9.1 ความนำ ความสงสัยมนุษย์ต่างดาวที่เคยสงสัยกันอยู่ทุกวันนี้ว่ามีความเป็น จริงมากน้อยขนาดไหน ผู้เขียนมีความเห็นว่าต้องย้อนกลับไปดูในพระไตรปิฎก ก็จะพบร่องรอยของมนุษย์ต่างดาวพอสมควร ทำไมผู้เขียนจึงกล่าวว่าเช่นนั้น ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ตั้งแต่หน้า 592 เป็นต้นไปได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าที่อุบัติมาก่อนพระองค์ปัจจุบัน มีความ น่าสนใจ ที่อายุร่างกายซึ่งไม่น่าจะเป็นบุคคลในโลกของเรานี้ ประกอบกับเมื่อประมวลเรื่องราวของ 10 พระชาติสุดท้ายของ พระพุทธเจ้า มีประเด็นให้ฉุกคิดในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวยิ่งนักและผู้เขียน ได้ศึกษาอายุขัยของสัตว์ในแต ่ภพภูมิในบทก่อน กับศึกษาวิวัฒนาการของ มนุษย์และสัตว์โลกตามหลักฐานทางธรณีวิทยา ทำให้ทราบเงื่อนไขบาง ประการที่บ่งบอกว่า เราจะต้องหันกลับมาพิจารณาพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ว่า เป็นบุคคลในโลกเรานี้หรือไม่ ในบทนี้ผู้เขียนจะบูรณาการวิทยาการสมัยใหม่ กับข้อมูลจากพระไตรปิฎก เพื่อให้ได้ความเข้าใจชัดเจนร่วมสมัย ให้เกิด มุมมองใหม่ๆ ที่มีเหตุผลสอดคล้องกัน ผู้เขียนวิเคราะห์เป็น 3 ข้อ ข้อที่ 1) เนื้อหาที่เกี่ยวข้องของ พระพุทธเจ้าในองค์ก่อน ๆ ข้อที่ 2) ศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์ตามหลักฐาน ทางธรณีวิทยา ข้อที่ 3) ลักษณะวัฒนธรรมประเพณีของพระเจ้า 10 ชาติ
299 เปรียบเทียบระยะเวลาวิวัฒนาการของโลก ข้อที่ 4) มรรคมีองค์8 ที่ได้จาก พระเจ้า 10 ชาติซึ่งเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ทรงระลึกพระชาติได้ในในปุพเพ นิวาสานุสติญาณ53 และได้นำมาประยุกต์เพื่อสร้างองค์ของมรรค “เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อนเหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ เรา นั้นได้น้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติคือ 1 ชาติบ้าง 2 ชาติบ้าง 3 ชาติบ้าง 4 ชาติบ้าง 5 ชาติบ้าง 10 ชาติบ้าง 20 ชาติบ้าง 30 ชาติบ้าง 40 ชาติบ้าง 50 ชาติบ้าง 100 ชาติบ้าง 1,000 ชาติบ้าง 10,000 ชาติบ้างตลอดสังวัฏฏกัปบ้างตลอดวิวัฏฏกัปบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัป และวิวัฏฏกัปบ้าง หลายกัปว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มี วรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์และมีอายุอย่างนั้น ๆ จุติจากภพนั้นก็ไปเกิดใน ภพโน้น มีชื่อ มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์และมีอายุอย่างนั้น ๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้เราระลึกชาติก ่อนได้หลายชาติพร้อมทั้ง ลักษณะทั่วไป และชีวประวัติอย่างนี้” จากพระไตรปิฎกที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่าการระลึกชาติ ของพระพุทธเจ้า เห็นตั้งแต่จักรวาลเกิดและดับ แต่การได้มาเป็นกำลังให้เข้าสู่ กระแสของการเป็นพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงเน้น 10 พระชาติสุดท้าย ที่มี ความสำคัญและส่งผลต่อการสร้างกระบวนการให้มาเป็นพระพุทธเจ้าได้ซึ่ง ผู้เขียนจะได้กล่าวต่อไป อนึ่งอายุของสัตว์ในแต่ละภพภูมิมีอายุแตกต่างกันออกไปเป็นอย่าง มาก เมื่อเทียบกับอายุของมนุษย์เวลาในสวรรค์มีอายุมากกว่ามนุษย์เป็นอย่าง 53 วิ. ม. (ไทย) 1/12/6.
300 มากมาย เทวดาชั้นสูงมีอายุเป็นล้านปีเลยทีเดียว เมื่อพิจารณาในกรอบของ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ด้วยว่าเวลา ขนาดและน้ำหนัก เมื่ออยู่ต่างที่ กรอบกันย่อมเปลี่ยนไปได้หมดเวลามียืดยาวขึ้นได้ด้วย จึงไม่เป็นเรื่องที่แปลก เพราะมีความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ วิวัฒนาการของโลกมีประเด็นเรื่องวิวัฒนาการของสัตว์โลกเรามี อายุประมาณ 4,500 ล้านปีเท่านั้น ในแต่ละช่วงของเวลาสัตว์โลกมีวิวัฒนาการ ขึ้นมาเป็นลำดับ ตั้งแต่สัตว์เซลเดียวจนมาเป็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่เท่าตึกแล้ว ก็สูญพันธุ์ไป จนกระทั่งมีมนุษย์ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเกิดขึ้นมาครองโลก แทนจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้นักวิทนาศาสตร์ก็ตั้งข้อสังเกตุอยู่เหมือนกันเรื่อง ความฉลาดของมนุษย์ทำไมถึงมีปัญญาก้าวกระโดออกมาจากลิงอย่าง มากมายจัง ทั้ง ๆ ที่ลิงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไมากมาย การเทียบช่วง ระยะเวลาต่าง ๆ ของการเกิดของสัตว์ในแต่ละช่วงทำให้เราทราบว่ามนุษย์เริ่ม มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นมาอย่างไร มนุษย์มาจากลิงจริง ไหม มีเงื่อนไขการสูญหายประวัติศาสตร์บางช่วงของความเป็นมนุษย์ที่ต่อมา จากลิงอย่างไร ซึ่งวิทยาศาสตร์ได้ให้แง่คิดไว้มากเช่นกัน ทฤษฎีวิวัฒนาการ ของชาร์ลดาวิน มีความขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาในเรื ่องกำเนิดมนุษย์ไม่ เหมือนกัน มนุษย์ตามหลักของศาสนามาจากกลุ่มของพลังงานกลุ่มหนึ่งที่มี ชีวิตจากอีกภพภูมิจัดว่าเป็นพรหม ส่วนทฤษฎีวิวัฒนาการของชาล์ดาวิน บอก ว่ามันเป็นวิวัฒนาการของลิงไร้หางพันธุ์หนึ่งได้แตกยอดออกมาเป็นมนุษย์ จากหลักฐานการค้นพบมนุษย์ที ่เก ่าแก่ที่สุดน่าจะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 2,000,000 ปีซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำ มนุษย์ยุคแรก ๆ ยังไม่รวมกันเป็นสร้างบ้านเมืองมีผู้ปกครองของ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีระบบการปกครอง มีเรื ่องที ่น ่าคิดว่าเวลาของ วิวัฒนาการมนุษย์กับเวลาของพระเจ้า 10 ชาติและในชาติสุดท้ายที่เป็นพระ เวสสันดร เมื่อสิ้นชีพแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งอายุของเทพชั้นนี้มีอายุ
301 ประมาณ 576,000,000 ปีจริงแม้มีบางคัมภีร์กล่าวว่าพระโพธิ์สัตว์อาจอยู่ไม่ ครับอายุขัย ก็ต้องเสด็จลงมาอุบัติบนโลกมนุษย์ผู้เขียนขอคิดด้วยข้อมูลว่าพะ องค์อยู่บนสวรรค์ชั้นเพียง 10 % ของอายุขัยของเทพก็น่าใกล้เคียงกับยุคของ ไดโนเสาร์ยุคจูราสสิกเลยเรื่องนี้จึงขัดแย้งกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพราะ ในช่วงนั้นยังไม่มีมนุษย์มีแต่ไดโนเสาร์เท่านั้น ผู้เขียนจึงคิดว่าเรื่องราวที่กล ่าวไว้ในพระไตรปิฎกอาจจะเป็นเรื่อง ของโลกอีกใบที่ไม่ใช่โลกของเราในปัจจุบันก็เป็นไปได้ผู้เขียนต้องการนำเสนอ ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ เพื่อให้เกิดมุมมองที่บูรณราการของทั้งสองสายคือ วิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา 9.2 วิวัฒนาการของโลกและมนุษย์ ทางธรณีวิทยามีหลักฐานการค้นพบฟอสซิวซากดึกดำบรรพ์ของ สิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณ และไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่โลกเกิดขึ้นใหม่ 4600 ล้านปี-โลกได้ก่อกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวของฝุ่นละออง และโคจรรอบดวงอาทิตย์อุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนในขณะที่โลกมีขนาดประมาณ 80% ของปัจจุบัน ทำให้เศษวัตถุที่หลุดออกมารวมตัวกันเป็นดวงจันทร์ 4500 ล้านปี-วัสดุโลหะหนักรวมตัวกันในศูนย์กลางของโลกเกิดเป็น แกนโลก ต่อมาผิวโลกมีการเย็นตัวและแข็งตัวกลายเป็นเปลือกโลก ข้อมูล ในช่วงเวลานี้มีน้อยมาก 4400 ล้านปี-แร่อายุแก่ที่สุดในโลกคือผลึกแร่ซอร์คอน (zircon) ใน ประเทศออสเตรเลีย หลักฐานจากแร่นี้บ่งบอกว่ามีมหาสมุทรในช่วงเวลานี้แต่ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
302 3800 ล้านปี-หิน Akilia Gneiss (3850 ล้านปี) บ ่งบอกหลักฐาน คาร์บอนของสิ่งมีชีวิต แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ 3700 ล้านปี-หมวดหิน Banded Ironstone Formations (BIFs) สันนิษฐานว่าเกิดจากแบคทีเรีย โดยออกซิเจนที่แบคทีเรียสร้างขึ้นทำปฏิกิริยา ออกซิเดชันกับเหล็กไอออนในน้ำทะเลและตกตะกอนเป็นชั้นสีแดงของสนิม เหล็กบนพื้นมหาสมุทร เมื่อไม่มีการสร้างออกซิเจนทำให้เกิดการสะสมตัวของ หินเชิร์ตสีเทาแทน ซึ ่งชั้นหินทั้งสองนี้ก็คือลักษณะของหมวดหิน BIFs นอกจากนี้แล้วหมวดหินนี้ยังบ่งถึงการสังเคราะห์แสงในยุคแรกเมื่อประมาณ 3700 ล้านปีก่อน แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานของซากดึกดำบรรพ์ 3000 ล้านปี-สโตรมาโทไลต์(stromatolites) เกิดขึ้นจากสาหร่าย สีเขียวแกมน้ำเงิน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็ก และสังเคราะห์แสงได้ โดยการดึงแร ่แคลไซต์จากน้ำทะเลสร้างขึ้นเป็นโดม ปัจจุบันสาหร่ายสีเขียว แกมน้ำเงินยังคงมีการสร้างโดมสโตรมาโทไลต์ใน Shark Bay ประเทศ ออสเตรเลีย 2100 ล้านปี-ออกซิเจนซึ ่งเป็นผลผลิตของเสียจากแบคทีเรียได้ กลายเป็นสารพิษสำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ในยุคแรก ๆ เริ่มแรกออกซิเจนจะถูก กักเก็บไว้ในหิน เช่น BIFs และหินปูน แต่ต่อมาปริมาณออกซิเจนนั้นมีมากเกิน กว่าที่จะกักเก็บไว้ในหินเช่นเดิมจึงได้แพร่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ หินภาคพื้นทวีป สีแดง (Terrestrial Red Beds) จึงได้กำเนิดขึ้นเมื ่อ 2100 ล้านปีก่อน โดย กระบวนการออกซิเดชันของเหล็ก ต่อมาออกซิเจนที่หลงเหลืออยู่ก็สะสมตัว อยู่ในชั้นบรรยากาศ 1500 ล้านปี-ในบรรยากาศมีออกซิเจนน้อยยูคาริโอต(eukaryote) ซึ่งเป็นเซลล์พื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดบนโลกเช่น โปรโตซัว เห็ดรา พืช และสัตว์ทั้งหลายได้ถือกำเนิดขึ้น (เฉพาะแบคทีเรีย และสิ ่งมีชีวิตใน
303 อาณาจักร Monera เท ่านั้นที ่ประกอบด้วยเซลล์แบบโปรคาริโอต (prokaryote) ยูคาริโอตใช้ออกซิเจนในกระบวนการmetabolism นอกจากนี้ พบว่ากระบวนการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศยังถูกวิวัฒนาการขึ้น และซากโปรโต ซัวที่พบในหินอายุ1000 ล้านปีนั้นสามารถบ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวน และความหลากหลายของยูคาริโอตแรกเริ่มชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี 600 ล้านปี-พบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์หลายเซลล์ชนิดแรกอายุ 600 ล้านปีได้แก่ Charnia หรือ sea pen หนอนต่างๆ สัตว์คล้ายเม่นทะเล และแมงกะพรุน จำนวนเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบ fecal pellet ในหินที่ สก็อตแลนด์อันเป็นผลิตผลของสัตว์ที่มีลำไส้อีกด้วย 500 ล้านปี-สัตว์ที่มีโครงร่างแข็ง (เปลือกและโครงกระดูก) เช่น ไตรโลไบท์หรือสัตว์จำพวกหอยและปลาหมึกถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 545 ล้านปี ก่อน (เริ่มต้นยุคแคมเบรียน) หลังจากนั้นไม่นานสัตว์ที่มีโครงร่างแข็งทุกชนิด ได้แก่ ปะการัง ไครนอยด์แบรคิโอพอด นอติลอยด์แกรบโตไลท์และสิ่งมีชีวิต ขนาดเล็กเช่น ฟอแรมมินิเฟอรา ก็ได้มีวิวัฒนาการตามมา กระดูกสันหลังของ ปลาชนิดแรกที่เกิดในยุคแคมเบรียนตอนต้นประกอบด้วยแคลเซียมซึ่งต่อมามี วิวัฒนาการอีกเล็กน้อยและสามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับสัตว์ที่มีกระดูกสัน หลังชนิดอื่นรวมถึงมนุษย์เราด้วย 400 ล้านปี-ปริมาณโอโซนในบรรยากาศมีมากเพียงพอ พืชเกิด วิวัฒนาการจากสาหร่ายและครอบครองพื้นที่บนบก โดยเริ ่มจากพวก bryophyte พืชไม่มีท่อลำเลียงในยุคออโดวิเชียนตอนกลาง (ประมาณ 450 ล้านปีก่อน) และ Cooksonia พืชมีท่อลำเลียงชนิดแรกในยุคไซลูเรียนตอน ปลาย (420 ล้านปีก่อน) ต่อมาไม่นานสัตว์บกจึงค่อย ๆปรากฏขึ้น 300 ล้านปี-ยุคดีโวเนียนตอนปลาย (ประมาณ 350 ล้านปีก่อน) พบการดำรงชีวิตของสัตว์ในที่ลุ่มชื้นแฉะได้แก่ หนอน และหอยทากร่วมกับ
304 ซากดึกดำบรรพ์ของพืชยุคแรก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเริ่มใช้ชีวิตบนบกและใน เวลาอันสั้นเกิดวิวัฒนาการเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ใกล้ แหล่งน้ำเพื่อรักษาร่างกายให้เปียกชื้นอีกต่อไป เริ่มมีการเกิดและขยายตัวของ ป่าฝนเขตร้อนประมาณ 320 ล้านปีก่อน 200 ล้านปี-(Triassic-Jurassic): 225 ล้านปีก่อน สัตว์เลื้อยคลาน พวกจิ้งจก กิ้งก่า หรือจระเข้เกิดวิวัฒนาการเป็นไดโนเสาร์โครงสร้างของ กระดูกสะโพกที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนทำให้พวกมันสามารถยืนอยู่บนขา ที่เหยียดตรงได้ไดโนเสาร์บางชนิดเป็นสัตว์สองเท้าและได้วิวัฒนาการเป็นสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดแรกซึ่งเป็นสัตว์กินแมลงลักษณะคล้ายหนูเมื่อประมาณ 210 ล้านปีก่อน 100 ล้านปี-ประมาณ 140 ล้านปีก่อน นกชนิดแรกชื ่อ ว่ า Archaeopteryx เกิดวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดมีขน ตามมา ด้วยกำเนิดของพืชดอกชนิดแรกชื่อ Archaefructus (มีรังไข่แต่ไม่มีดอก) เมื่อ 130ล้านปีก่อน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีพืชสายพันธุ์เดียวกับ magnolia เกิดขึ้นซึ่งพบเป็นซากดึกดำบรรพ์ดอกไม้ที่เก่าแก่ที่สุด 65 ล้านปีCretaceous-Paleocene)- เกิดการสูญครั้งใหญ่ของ มวลสิ่งมีชีวิตประมาณ 65-70%ของทั้งหมดได้แก่ แอมโมไนต์เบลเลมไนท์ สัตว์เลื้อยคลานที่บินได้และไดโนเสาร์ (พวกนกซึ่งอยู่ปลายสุดของสาย วิวัฒนาการของไดโนเสาร์มีชีวิตรอดมาได้) 50-60 ล้านปี(Paleocene-Eocene- วิวัฒนาการและการแตกสาย พันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นไปอย่างรวดเร็วหลังจากการสูญพันธุ์ของ ไดโนเสาร์โดยเฉพาะในสมัยอีโอซีน (ประมาณ 40-55 ล้านปีก่อน) พวกมัน ครอบครองอาณาเขตทั้งบนบก ในน้ำและอากาศ
305 35 ล้านปีOligocene - ไพรเมตชนิดแรกที่มีสายพันธุ์เดียวกับตัวลี เมอร์เกิดขึ้นปลายยุคครีเตเชียสก่อนการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เล็กน้อย พวก ลิงมีกำเนิดเมื่อ 35ล้านปีก่อน แล้ววิวัฒนาการอย ่างรวดเร็วเป็น dryopithecine เมื่อ 25 ล้านปีก่อน ตามด้วยเอปหรือลิงไม่มีหางเมื่อ17 ล้าน ปีก่อน 15 ล้านปีMiocene -ทุ ่งหญ้าปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่าง ช่วงเวลาอันยาวนานที่อากาศค่อย ๆเย็นตัวลง พืชดอกชนิดนี้ถือว ่ามี ความสำคัญกับมนุษย์มากที่สุดเพราะเป็นแหล่งอาหารอันได้แก่ ข้าวสาลีข้าว บาร์เล ่ย์ ข้าวโพด และข้าว เป็นต้น สัตว์จำนวนมากอาศัยประโยชน์จากทุ่ง หญ้า โดยเฉพาะพวกที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน 5-6 ล้านปีPliocene - เกิด hominid (สิ่งมีชีวิตที่เหมือนแต่ไม่ใช่ มนุษย์) สกุล Australopithecusซึ่งเชื่อว่ามีหลากหลายสปีชีส์ ล ่าสุดค้นพบ กะโหลกศีรษะอายุ7 ล้านปีที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็นของ hominid ชนิดแรกแต่ บางคนเชื่อว่าน่าจะเป็นกระดูกของเอปมากกว่า Australopithecus afarensis (Lucy) วิวัฒนาการขึ้นเมื่อ 5 ล้านปีก่อน และ Australopithecus boisei (Nutcraker Man) สปีชีส์สุดท้ายมีชีวิตอยู่ในช่วง 2.3-1.4 ล้านปีก่อน 2-2.5 ล้านปีPliocene -เกิดวิวัฒนาการของมนุษย์ชนิดแรก Homo habilis ในแอฟริกา ซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งที่ห่อหุ้มสมองบ่งบอกว่า ส่วนกลางที่ควบคุมการพูดหรือออกเสียงเพิ่งจะเริ่มพัฒนาขึ้น 2-1.6 ล้านปีPliocene -Homo erectus วิวัฒนาการขึ้น ประมาณ 1.6 ล้านปีก่อนในแอฟริกา ประกอบด้วย 2 สปีชีส์คือ H. ergaster และ H. erectus ถือว่าเป็นมนุษย์สปีชีส์แรกที่มีการย้ายถิ่นไปยุโรปและเอเชีย
306 1.3 ล้านปีPleistocene -จุดเริ่มต้นของยุคน้ำแข็ง แต ่ก็เป็น ช่วงเวลาที่อากาศมีความแปรปรวนอย่างมาก บางครั้งเกาะอังกฤษถูกปกคลุม ด้วยพืดน้ำแข็งหนาร่วม 1 กิโลเมตร บางครั้งเกิดทุนดรา และบางครั้งมีอากาศ อบอุ่นยิ่งกว่าในปัจจุบัน ในช่วงเวลาที ่อากาศอบอุ่นจะพบสิงโต ฮิปโป และแร็ดอยู่บนเกาะอังกฤษ แต่เมื่อเป็นที่ราบทุนดราสิ่งมีชีวิตกลับเป็น ช้าง แมมมอธ หมาป่า และกวางเอ็ลคขนาดใหญ่ยุคน้ำแข็งบนเกาะนี้สิ้นสุดเมื่อ ประมาณ 10000 ปีก่อน 0.5 ล้านปีHolocene/Recent - เกิดHomo heidelbergensis หรือ ‘Heidelberg Man’ หรือในเกาะอังกฤษรู้จักในชื่อ ‘Swanscombe Man’ และ ‘Boxgrove Man’ ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดอายุ500,000 ปี 150,000 ปี- Homo neanderthalensis วิวัฒนาการขึ้น (คาดว่า มาจาก Homo heidelbergensis) และแพร ่กระจายทั ่วยุโรประหว ่างยุค น้ำแข็ง พบซากดึกดำบรรพ์ส่วนมากที่ประเทศแถบเมดิเตอเรเนียน และบาง พื้นที่ในเยอรมันและอังกฤษ 130,000 ปี- มนุษย์ปัจจุบัน (Homo sapiens) วิวัฒนาการขึ้นใน แอฟริกาคาดว่าจากสายพันธุ์ของRhodesia Man หรือ Homo rhodesiensis อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการของ Homo นั้นมีหลายทฤษฎีพยายามอธิบายและ ยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ และแนวคิดที่ว่าเรามีวิวัฒนาการมาจาก Homo neanderthalensis นั้นถือว่ามีข้อบกพร่องอยู่มาก 35,000 ปี-มนุษย์ละทิ้งแอฟริกาแล้วมาอาศัยอยู่ทั่วยุโรปและเอเชีย เมื่อ 35,000 ปีก่อน และมนุษย์Neanderthal สูญพันธุ์ไปใน 5,000 ปีต่อมา 110,00 ปี-มนุษย์เริ่มทำเกษตรกรรม
307 250 ปี- เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในช่วงเวลา 60 วินาทีสุดท้าย นี้เราทำให้เกิดมลภาวะขยะกัมมันตรังสีรูในชั้นโอโซน ฝนกรดการสูญพันธุ์ จำนวนมาก และอื่น ๆ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งนำโดยศาสตราจารย์Paul Crutzen(นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล) พยายามเสนอยุคใหม ่ที ่มีชื ่อว่า Anthropocene ซึ่งเป็นยุคที่เกิดจาการกระทำของมนุษย์แต่ก็ยังไม่ได้รับการ อนุมัติให้ใช้อย่างเป็นทางการในวงการธรณีวิทยา54 ต่อจากนี้ไปอีก 3,000 ล้านปี- โลกจะเป็นอย่างไรอาจเกิดการจะ ระบบใหม่ของแผ่นทวีปโลกในภาวะเรือนกระจกและยุคน้ำแข็งซึ่งท้ายที่สุด ดวงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นดาวยักษ์สีแดง ดูดกลืนโลกและดาวเคราะห์ชั้นใน และ อาจเกิดซุปเปอร์โนวาทำลายล้างดาวเคราะห์ทั้งหมดก็เป็นไปได้ มนุษย์เริ่มที่จะทำเกษตรเมื่อ110,000 ปีนั่นคือมนุษย์เริ่มมีสังคม เข้าสู่การจัดการแบบมีการปกครอง จากนั้นมนุษย์เริ่มพัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงยุคอุตสาหกรรม เมื่อ 250 ปีล่วงมา ต่อจากนั้นมนุษย์ก็จะเป็น ยุคของคอมพิวเตอร์เอาไปประยุกต์บริหาร โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นยุค ปัจจุบันนี้มีว่าต่อไปในอนาคต มนุษย์จากผสมผสานระหว่างAI เป็นยุค ปัญญาประดิษฐ์ที่มนุษย์กับ คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันอย่างแนบแน่น มนุษย์ อาศัยความ ฉลาดเฉลียวทางไอทีประสงค์ครับ วิธีคิดของมนุษย์เข้ามาร่วมกัน ความเจริญทางด้าน คอมพิวเตอร์ถึงจุดที่สูงสุดสมองกับคอมพิวเตอร์สามารถ สื่อสารกันได้ด้วยคำสั่งทางจิต 54 ที่มา; http://www.bgs.ac.uk/scripts/downloads /start.cfm?id=312
308 9.3 กำเนิดมนุษย์ในอัคคัญญสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 11 หน้า 89-91 กล ่าวถึงเรื่องการกำเนิด มนุษย์ไว้ดังนี้ “สมัยหนึ่ง ครั้นเวลาล่วงเลยมาช้านานโลกนี้เสื่อม เมื่อโลกกำลัง เสื่อม เหล ่าสัตว์ส่วนมากไปเกิดที่พรหมโลกชั้นอาภัสสระ นึกคิดอะไรก็สำเร็จ ได้ตามปรารถนา มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีซ่านออกจากร่างกายเที่ยวสัญจรไปใน อากาศ อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน สมัยหนึ่ง ครั้นเวลาล่วงเลยมาช้านาน โลกนี้เจริญขึ้น เมื่อโลกกำลัง เจริญขึ้น เหล่าสัตว์ส่วนมากจุติจากพรหมโลกชั้นอาภัสสระมาเป็นอย่างนี้นึก คิดอะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน “ความปรากฏแห่งง้วนดิน” วาเสฏฐะและภารทวาชะ สมัยนั้นทั ่วทั้งจักรวาลนี้แหละเป็นน้ำ ทั้งนั้น มืดมนอนธการ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายยังไม่ ปรากฏ กลางคืน กลางวันยังไม่ปรากฏ เดือนหนึ่ง ครึ่งเดือน ฤดูและปีก็ยังไม่ ปรากฏ หญิงชายก็ยังไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายปรากฏชื่อแต่เพียงว่า ‘สัตว์’ เท่านั้น ครั้นเวลาล่วงเลยมาช้านาน เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ปรากฏแก่ สัตว์เหล่านั้น ดุจน้ำนมที่บุคคลเคี่ยวให้แห้งแล้วทำให้เย็นสนิทจับเป็นฝาอยู่ ข้างบน ง้วนดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ด้วยรส มีสี เหมือนเนยใสหรือเนยข้นอย่างดีและมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้งมิ้มซึ่งปราศจาก โทษ ต่อมาสัตว์ผู้หนึ ่งมีนิสัยโลภกล่าวว่า ‘ท ่านผู้เจริญสิ ่งนี้จะเป็นเช่นไร’ แล้วใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดูเมื่อเขาใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดูอยู่ รส
309 ง้วนดินได้แผ่ซ่านไป เขาจึงเกิดความอยากในรสแม้สัตว์เหล ่าอื่นก็พากันถือ แบบอย่างสัตว์นั้น จึงใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดูเมื่อสัตว์เหล่านั้นใช้นิ้วช้อน ง้วนดินขึ้นมาลิ้มดูอยู่ รสง้วนดินก็แผ่ซ่านไป และสัตว์เหล่านั้นก็เกิดความอยาก ในรสขึ้นเช่นเดียวกัน ความปรากฏแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นต้น วาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมาสัตว์เหล่านั้นพากันใช้มือปั้นง้วนดิน ให้เป็นคำๆ เพื่อจะบริโภคเมื่อใดสัตว์เหล่านั้นพากันใช้มือปั้นง้วนดินให้เป็น คำ ๆ เพื่อบริโภคเมื่อนั้น รัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป เมื่อรัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายหายไป เมื่อดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรทั้งหลายปรากฏ กลางคืนกลางวันก็ปรากฏ ครึ่งเดือนก็ ปรากฏ ครึ่งเดือนปรากฏ ฤดูและปีก็ปรากฏ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้โลกนี้จึงได้ กลับฟื้นขึ้นอีกครั้ง วาเสฏฐะและภารทวาชะครั้นต่อมา สัตว์เหล ่านั้นเมื่อบริโภคง้วน ดิน มีง้วนดินนั้นเป็นภักษา มีง้วนดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน เมื่อบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินนั้นเป็นภักษา มีง้วนดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ นานแสนนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายหยาบขึ้น ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏ แตกต่างกัน สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกมีผิวพรรณทราม สัตว์เหล่า ใดมีผิวพรรณงาม สัตว์เหล ่านั้นก็ดูหมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า‘พวกเรามี ผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นมีผิวพรรณทรามกว่าพวกเรา’ เมื่อ สัตว์เหล่านั้นเกิดมีมานะถือตัว เพราะการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณเป็นปัจจัย เมื่อง้วนดินหายไป สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างก็พากัน โหยหาว่า ‘รสเอ๋ย รสเอ๋ย’ แม้ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน พวกมนุษย์ได้ของมีรสดี บางอย่าง มักกล่าวอย่างนี้ว่า ‘รสเอ๋ยรสเอ๋ย’ พวกพราหมณ์พากันนึกได้แต่คำ
310 โบราณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกเท่านั้น แต่ไม่รู้เนื้อความ แห่งคำนั้นเลย ความปรากฏแห่งสะเก็ดดิน วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อง้วนดินของสัตว์เหล่านั้นหายไป สะเก็ดดินก็ปรากฏสะเก็ดดินนั้นปรากฏลักษณะเหมือนดอกเห็ด สะเก็ดดินนั้น สมบูรณ์ด้วยสีสมบูรณ์ด้วยกลิ่นสมบูรณ์ด้วยรส มีสีเหมือนเนยใสหรือเนยข้น อย่างดีและมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้งมิ้มซึ่งปราศจากโทษ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นได้พากันบริโภคสะเก็ดดิน เมื่อบริโภคสะเก็ด ดินนั้น สะเก็ดดินนั้นเป็นภักษา ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน. . . สัตว์เหล่านั้นจึงมี ร่างกายหยาบขึ้น ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างกัน สัตว์บางพวกมีผิวพรรณ งาม บางพวกมีผิวพรรณทราม สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณงาม สัตว์เหล ่านั้นก็ดู หมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า ‘พวกเรามีผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์ เหล ่านั้นมีผิวพรรณทรามกว่าพวกเรา’ เมื่อสัตว์เหล ่านั้นเกิดมีมานะถือตัว เพราะการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณเป็นปัจจัย สะเก็ดดินจึงหายไป ข้อความจากพระไตรปิฎกบทนี้ผู้เขียนวิเคราะห์ได้ดังนี้ ตอนที่1 โลกนี้มีการสูญสิ้นสิ่งมีชีวิตไปครั้งหนึ่งมาแล้ว ตอนที่ 2 สิ่งมีชีวิตนั้นได้ย้ายไปอยู่ในอากาศเนื่องจากโลกนั้นร้อนไม่ สามารถจะอยู่ได้บนโลก ตอนที่3 สิ่งมีชีวิตนั้น กลับมากินอาหาร ที่มีลักษณะเหมือนเนยใส ลอยอยู่ในน้ำทะเล ตอนที่ 4 จากนั้นแต่เดิมนั้นมีร่างกายโปร่งใส เมื่อกินดอกเห็ด ทำให้ ร่างกายมีความอยากเกิดขึ้น จึงเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ในเวลาต่อมา จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์คนพบว่า ในระบบสุริยะของเรา มีดาว เคราะห์ที่แกนของมันที่เอียงตัวที่ไม่เหมือนกับดาวดวงอื่น 4 ดวง ได้แก่ โลก
311 ดาวอังคาร ดาวเสาร์และดาวเนปจูน ดาวทั้ง 4 ดวงนี้เอียงไปในทิศทาง เดียวกัน แตกต่างจากแนวแกนของดาวเคราะห์ดวงอื่น นักวิทยาศาสตร์ได้วินิจฉัยว่า ในอดีตที่ผ่านมาหลายล้านปีกาแล็กซี่ ทางช้างเผือกได้ชนกับจักรวาลแอนโดรมีน่า (ในอนาคตจะกลับมาชนกันอีก ครั้งประมาณ 4 พันล้านปีภายภาคหน้า) และตรงกับข้อความในคัมภีร์สารัตถ ทีปนีฎีกา กล่าวว่าจักรวาลเคยชนกันมาแล้ว กล่าวว่าในอดีตเขาสิเนรุชนกัน ตามที่กล่าวมาในบทก่อนว่ารูปด้านข้างของกาแลกซี่ทางช้างเผือก มอง ด้านข้างเห็นทิศทางของเทหะวัตถุที่หลุมดำปล่อยออกมาพุ่งขึ้นและลง การพุ่ง ของมันเหมือนกันกับภูเขาลูกใหญ่ๆ ด้วยเหตุนี้เมื่อกาแลกซี่ชนกันจึงเป็นเหตุให้ดาวเคราะห์ทั้ง 4 ดวงที่ เมื่อก่อนอยู่ในกาแลกซี่แอนโดรมีน่า ติดเข้ามาอยู่ในระบบกาแลกซี ่ทาง ช้างเผือก เราจะสังเกตเห็นว่าระบบสุริยะของเราอยู่ที่ชายขอบของทาง ช้างเผือก ในช่วงเวลานั้นโลกเราอาจจะมีความร้อนเกิดขึ้นจากการเสียดสี กระทบกันของกาแลกซี่ที่เกิดจากจากการชน การเสียดสีกันระหว่างดวงดาว ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกในขณะนั้น สูญสิ้นไปหมด พวกที่มีสติปัญญาดีก็ อาจจะหาทางเอาตัวรอดได้เมื่อโลกเย็นตัวลงจึงได้กำเนิดชีวิตตามที่ได้กล่าว มาแล้ว รูปภาพที่ 63 แกนของดาวเคราะห์เอียงไม่เหมือนกัน เครดิต: สมาคมดาราศาสตร์ไทยhttp://thaiastro.nectec.or.th/library/article/223/
312 ในช่วงที่โลกอยู่ในระบบกาแลกซี่อื่น สิ่งมีชีวิต บนโลกนั้น อาจจะมี ความรู้ทำด้านเทคโนโลยีขั้นสูง สามารถสร้างที่อยู่ขนาดใหญ่ให้ลอยอยู ่ใน อากาศได้เหมือนกับที่เราเรียกว่า สถานีอวกาศแต่ปัจจุบัน (Space Station) ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สิ่งที่พระองค์กล่าวเรื่องแบบนี้ในครั้งกระนั้น น่าจะ อธิบายได้ยาก เพราะความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังมีไม่พอ เหมือนกับในหลายเรื่องที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เป็นเรื่องที่ยากนักที่จะ อธิบายให้คนในครั้งกระนั้นเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ซึ่งต้องรอเทคโนโลยีอีกสอง พันห้าร้อยกว่าปีมาอธิบาย 9.4 พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่33 พระสุตตันตปิฎก ขุททก นิกาย พุทธวงศ์ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน มีสัณฐานสรีระและอายุ ดังนี้ รูปภาพที่ 64 พุทธวงศ์
313 พระพุทธเจ้านามทีปังกร ทรงมีพระวรกายสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร พระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ่ซ่านออก10 โยชน์โดยรอบ ทรงมีพระชนมายุ ประมาณ 100,000 ปี พระพุทธเจ้านามโกณฑัญญะ ทรงมีพระวรกายสูง 88 ศอก หรือ 44 เมตร ทรงมีพระชนมายุประมาณ 100,000 ปี พระพุทธเจ้านามมังคละทรงมีพระวรกายสูง88 ศอก หรือ 44 เมตร ระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ่ซ่านออกไปไกลหลายแสนจักรวาล ทรงมีพระชนมายุ ประมาณ 90,000 ปี พระพุทธเจ้านามสุมนทรงมีพระวรกายสูง 90 ศอก หรือ 45 เมตร พระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ่ซ่านออกไปไกลหมื่นจักรวาล ทรงมีพระชนมายุ ประมาณ 90,000 ปี พระพุทธเจ้านามเรวัตทรงมีพระวรกายสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร พระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ ่ออกไปดุจดวงอาทิตย์ทรงมีพระชนมายุประมาณ 60,000 ปี พระพุทธเจ้านามโสภิตะ ทรงมีพระวรกายสูง 58 ศอก หรือ 29 เมตร เปรียบเทียบเท่ากับตึกประมาณเกือบ 10 ชั้น พระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ่ ออกไปดุจดวงอาทิตย์ทรงมีพระชนมายุประมาณ 90,000 ปี พระพุทธเจ้านามอโนมทัสสีทรงมีพระวรกายสูง 58 ศอก หรือ 29 เมตร พระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ่ออกไปดุจดวงอาทิตย์ทรงมีพระชนมายุ ประมาณ 90,000 ปี
314 พระพุทธเจ้านามปทุมะ ทรงมีพระวรกายสูง58 ศอก หรือ 29 เมตร พระองค์ทรงมีพระรัศมีหาอะไรเสมอมิได้ทรงมีพระชนมายุประมาณ 100,000 ปี พระพุทธเจ้านามนารทะ ทรงมีพระวรกายสูง 88 ศอก หรือ 44 เมตร พระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ่ซ่านเป็นโยชนทั้งกลางวันและกลางคืน ทรงมี พระชนมายุประมาณ 90,000 ปีเป็นเบื้องต้น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงมีพระวรกายสูงประมาณ 2 เมตร อายุ กัปของมนุษย์ในพุทธกาลนี้ประมาณ 100 ปีโดยเฉลี่ย จากเรื ่องการค้นพบข้อมูลทางด้านธรณีวิทยากับข้อมูลทั้งด้าน พระไตรปิฎก ในพุทธวงศ์ทำให้เห็น สาระบางประการที่เกี่ยวข้องกับ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลทางด้านธรณีวิทยา พบว่าไม่มีมนุษย์ที่มี ความสูงและมีอายุยืนมากขนาดนี้มีแต่ไดโนเสาร์เท่านั้นที่พอจะมีความสูงได้ ขนาดนี้จากข้อมูลทางธรณีวิทยามนุษย์เริ่มต้นที่130,000 ปีมาเท่านั้นเอง นั่น คือเริ่มมีรูปแบบที่เป็นมนุษย์ยังไม่มีสังคม เมื ่อเปรียบเทียบกับอายุของ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่ผ่านมาเกือบแสนปีซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าจะ มีอยู่ในที่ตรงนั้น เพราะมนุษย์ยังพูดกันไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันพระองค์ทรงสะสมบารมี10 พระชาติก่อน หลังจากนั้นไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนที่จะอุบัติมาเป็นพระพุทธเจ้า เทวดา บนสวรรค์ชั้นดุสิต มีอายุประมาณ เกือบ 567 ล้านปีซึ่งมีอายุเกินสิ่งมีชีวิตบน โลกใบนี้ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าที่ โลกอื่นไม่ใช่โลกใบนี้ อนึ่งในระบบกาแลกซี่ของเรามีดาวเคราะห์ที่มีโอเกาสที่จะเป็นแบบ โลกเรานั้นมีอยู่ จากการส่องกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ได้พบดวงดาวที่
315 เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นที่คล้ายกับเรา มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง 4,034 ดวง ในกลุ่มนี้มีดาวเคราะห์ที่คล้ายโลกราว 50 ดวง ดาวเคราะห์นอก ระบบสุริยะออกได้เป็นสองประเภท ประเภทแรก คือ ดาวที่เป็นหินแข็งและมี ขนาดใหญ่กว่าโลกเล็กน้อยราว1.75 เท่า ส ่วนอีกประเภทคือดาวเคราะห์ที่มี ส ่วนประกอบของไฮโดรเจนและฮีเลียมมากกว่าประเภทแรก จึงมีขนาดใหญ่ จนเกือบเท่ากับดาวเนปจูน แต่ดาวกลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มี พื้นผิวน้อยหรือไม่มีเลย นายเบนจามิน ฟุลตัน นักดาราศาสตร์ผู้ดำเนินโครงการวิเคราะห์ จำแนกประเภทดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะกล่าวว่า "ดาวเคราะห์สอง ประเภทนี้มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกแต่น่าประหลาดใจว่าเรา กลับไม่พบดาวเคราะห์สองประเภทนี้เลยในระบบสุริยะของเรา" นายฟุลตันก ล่าว55 ตามที่กล่าวมาเราน่าจะมีเพื่อนร่วมจักรวาลที่เป็นมนุษย์อย่างเราซึ่ง อาจจะมีปัญญาสูงกว่าเรา เพราะเจริญมาก่อนหน้าเรานานแล้ว ทฤษฎีจักรวาล คู่ขนาน (Multiverse) เป็นทฤษฎีที่มีความสอดคล้องกับพระไตรปิฎกเช่นกัน เพราะมีการกล่าวถึงเข้าเฝ้าของเทวดาทั้ง10 โลกธาตุในวันก่อนที่พระพุทธเจ้า จะปรินิพพาน จากที ่กล ่าวมาแล้วข้างต้นพระพุทธเจ้าองค์ก ่อนควรจะเป็น พระพุทธเจ้าที่โลกอื่นไม่ใช่โลกเราและโลกดวงนั้นน่าจะใหญ่กว่าโลกของเรา ดูจากพระวรกายที่สูงมาก ซึ่งในโลกใบนั้นน ่าจะมีสัตว์ที่ตัวใหญ่มากกว ่านี้ ไดโนเสาร์มีขนาดใหญ่ยังไม่สามารถดำรงเผาพันธุ์ได้เเลย อาจจะมีเงื่อนไข 55 ที่มา: http://www.bbc.com/thai/international-40337728.
316 เกี่ยวข้องกับทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งต้องกินอาหารมากในแต่ละ วัน จึงมีลูกหลานเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ตัวเล็กลง 9.4 มรรค 8 กับการปุพเพนิวาสานุสสติณาณ ดูกรอาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ดูกรอาวุโส ท่านบวชอุทิศใคร? ใครเป็นศาสดาของท่าน? หรือท่าน ชอบธรรมของใคร? เมื่ออุปกาชีวกกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสพระคาถาตอบอุปกาชีวกว่าดังนี้ เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิไม่ ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวงละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะ ความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า อาจารย์ของเรา ไม่มีคนเช่นเราก็ไม่มีบุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มีในโลกกับทั้งเทวโลกเพราะ เราเป็นพระอรหันต์ในโลกเราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้เราผู้เดียว เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปเมืองใน แคว้นกาสีเพื่อประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศอมตธรรม ในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ. จากพระไตรปิฎกเล ่มที่4 หน้าที่ 17 ผู้เขียนเห็นว่าการได้มาของ มรรคมีองค์8 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง อดีตชาติของพระองค์ด้วย ดังมีข้อความกล่าวว่า ดูกรอาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ดูกรอาวุโส ท่านบวชอุทิศใคร? ใครเป็นศาสดาของท่าน? หรือท่าน ชอบธรรมของใคร?. เมื่ออุปกาชีวกกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสพระคาถาตอบอุปกาชีวกว่าดังนี้
317 เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิไม่ ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวงละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะ ความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า อาจารย์ของเรา ไม่มีคนเช่นเราก็ไม่มีบุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มีในโลกกับทั้งเทวโลกเพราะ เราเป็นพระอรหันต์ในโลกเราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้เราผู้เดียว เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปเมืองใน แคว้นกาสีเพื่อประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศอมตธรรม ในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ การระลึกชาติได้ของพระพุทธองค์โดยเฉพาะ 10 ชาติสุดท้าย ที่เป็น บารมีนำส่งให้มาเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมมีความสำคัญ เป็นแนวทางการปฏิบัติ ไปสู่เส้นทางพ้นทุกข์ได้ใน 10 พระชาติสุดท้ายนั้นมีการบำเพ็ญบารมีไม่ เหมือนกันล้วนเป็นปัจจัยประกอบให้เป็นบริบทของหลักการบรรลุธรรม ได้แก่ เตมิยชาดก ชาติที่ 1 เพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมี มหาชนกชาดก ชาติที่ 2 เพื่อบำเพ็ญวิริยบารมี สุวรรณสามชาดก ชาติที่ 3 เพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมีหนึ่งในพรมวิหาร 4 เนมิราชชาดก ชาติที่ 4 เพื ่ อบ ำเพ็ญอ ธิษฐ านบ า รมี “สัมมา สังกัปปะ” มโหสถชาดก ชาติที่ 5 เพื่อบำเพ็ญปัญญาบารมี“สัมมาสติ ภูริทัตชาดก ชาติที่ 6 เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี“สัมมาอาชีวะ, สัมมาวาจา,สัมมากัมมันตะ จันทชาดก ชาติที่ 7 เพื่อบำเพ็ญขันติบารมี “สัมมาวิริยะ” นารทชาดก ชาติที่ 8 เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี“พรหมวิหาร 4” วิทูรชาดก ชาติที่ 9 เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมีความจริงแล้วเกี่ยวข้อง กับการเห็นชอบว่าการคิดดีพูดดีทำดีนั้นไม่ต้องกลัวภยันตรายใด ๆ ซึ่งผู้เขียน เห็นว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ “สัมมาทิฐิ”
318 เวสสันดรชาดก ชาติที่ 10 เพื่อบำเพ็ญทานบารมีเพื่อสร้างแนวทางแรก ในทางสายกลางด้วยบุญกิริยาวัตถุ 10 ได้แก่ ทาน ศีล และภาวนา อันเป็น ลำดับของการบำเพ็ญบุญ จะเห็นได้ว่าพระเจ้า 10 ชาตินั้นเป็นเรื่องพระพุทธองค์ทรงประมวล เรื ่องราวในอดีตมาร้อยเรียงกัน เพื่อสร้างมรรค์มีมรรค 8 เป็นแนวทางให้ ศาสนิกชนปฏิบัติตาม เพราะพระชาติทั้งหลายเกื้อหนุนพระองค์ให้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าในภพชาติสุดท้าย รูปภาพที่ 65 การระลึกชาติเพื่อเรียบเรียงเผยแผ่ธรรม นักวิทยาศาสตร์มีความเชื ่อว่าเป็นไปได้ที ่จะค้นพบมีดวงดาวที ่มี โอกาสเหมือนโลกเราอยู่ประมาณ 3 พันล้านดวงในจักรวาลนี้เพราะมีการ ค้นพบดาวแดงยักษ์(คือดวงอาทิตย์ที่เริ่มหมดเชื้อเพลิงเผาไหม้) มีอายุมากกว่า หนึ่งหมื่นล้านปี "There are possibly trillions of Earths orbiting these stars," van Dokkum said. He added that the red dwarfs they discovered,
319 which are typically more than 10 billion years old, have been around long enough for complex life to evolve. "It's one reason why people are interested in this type of star."56 ดังนั้นที่ใดมีดวงอาทิตย์ที่นั ่นก็ย่อมที่จะมีดวงดาวบริวารแบบ เดียวกับโลกเรา แม้กระทั่งทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พบชายขอบของ จักรวาลเช่นกัน จึงไม่ต้องสงสัยเลยมากดวงดาวจะมีมากขนาดไหน ดวงดาวที่ ควรจะมีคุณสมบัติเอื้อต่อสิ่งมีชีวิตแบบโลกเราจึงมีความเป็นไปได้การค้นพบ ดาวแดงยักษ์ที่มีอายุมากทำให้เรารู้ได้ว่า ถ้าหากระบบสุริยะที่นั่นมีดาวบริวาร แบบโลกเราก็ย่อมเป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์แบบเรา และมนุษย์ที่นั่นซึ่งเกิดก่อน เรามากกว่าหนึ่งหมื่นล้านปีน่าจะมีความเจริญทั้งด้านสติปัญญาและวัตถุสูงสุด ตามวงจรวิวัฒนาการ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของมนุษย์ชาติบนโลกใบนี้เริ่มไม่ เกิน 250 ปีนับเอากาลิเลโอ (ค.ศ. 1564-1642) เป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ จากนั้นมาวงการวิทยาศาสตร์เติบโตแบบก้าวกระโดด การค้นพบ วิธีการบินของพี่น้องตระกูลไร้ต์ในการบินครั้งแรกในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 เป็นเวลาเพียง 95 ปีปัจจุบันมนุษย์ไปนอกโลกแล้ว 9.5 กลไกของสัตว์ที่กลับมาเกิดในจักรวาล จากเรื่องที ่กล่าวมาแล้วทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้เป็นการนำ พระพุทธศาสนาบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อสานความคิดระหว่างสิ่งที่ เคยอธิบายยาก เพราะยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรมแบบที่คนร่วมสมัยเข้าใจ อย่างง่าย ๆ ไม่ได้ผู้เขียนต้องชี้ให้เห็นว่าวิทยาการสมัยใหม่กับวิถีของ หลักธรรมไปด้วยกันได้ต่างอิงอาศัยกัน จิตมีปฏิกริยากับสสารในจักรวาลจึง 56ที่มา: https://www.npr.org/sections/thetwo-way/2010/12/0131730552/ -trillions-of-earths-could-be-orbiting-300-sextillion-stars?sc=emaf
320 สามารถนำมันมาสร้างรูปกายได้จิตจึงควรมีรูปแบบบางอย่างที่มีพฤติกรรม เแกเช่นเดียวกันกับพฤติกรรมของสสารในจักรวาล สิ่งนั้นคือรูปแบบขิงคลื่น เพราะสสารในจักรวาลทั้งหมดมีพื้นฐานของคลื่นแฝงอยู่ ผู้เขียนได้เขียนผังการกลไกของจิตที่ทำงานเกี่ยวข้องกับจักรวาล รูปภาพที่ 66 การเก็บข้อมูลของกรรม มนุษย์และสัตว์มีข้อมูลเป็นของเฉพาะตน การสื่อสารรับข้อมูลของ ตนจึงไม่พลาดจิตของแต่ละคนมีคุณสมบัตินั้น สัตว์ทั้งหลายจึงหนีไม่พ้นกฎ แห่งกรรมของตนเอง นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นในสหรัฐฯ สร้าง แบบจำลองคอมพิวเตอร์ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าสสารถึงเกือบครึ่งที่ประกอบกัน ขึ้นเป็นกาแล็กซีทางช้างเผือก โลก สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และร ่างกายของคนเรา ล้วนมาจากกาแล็กซีอื่นที่อยู่ใกล้เคียงและมีขนาดเล็กกว่า โดยการระเบิดของ ดาวฤกษ์หรือซูเปอร์โนวาครั้งใหญ่ พัดพาอะตอมหลายล้านล้านตันข้ามอวกาศ มายังกาแล็กซีของเรา
321 รายงานดังกล่าวเผยแพร ่ในวารสารรายเดือนของราชสมาคมดารา ศาสตร์(MNRAS) ที่กรุงลอนดอน โดยระบุว่าแบบจำลองคอมพิวเตอร์ดังกล่าว พิสูจน์ให้เห็นถึงกระบวนการก ่อตัวของกาแล็กซีทางช้างเผือกตลอดช่วงเวลา หลายพันล้านปีที่ผ่านมาว่าสามารถรับเอามวลสารจากกาแล็กซีใกล้เคียงที่มี ขนาดเล็กกว่าได้เช่นกัน หากเกิดซูเปอร์โนวาที่แรงระเบิดรุนแรงพอที่จะทำให้ มวลสารต่าง ๆ หลุดพ้นจากแรงดึงดูดของกาแล็กซีเดิม57 57ที่มา:http://www.bbc.com/thai/international-40762000
322 บรรณานุกรม มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรราช วิทยาลัย, 2539. พระคันธสาราภิวงศ์. อภิธรรมมัตถสังคหะ และปรมัตถทีปนี.พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : ประยูรสาส์นไทย, 2552. แกรี่สติกซ์และคนอื่น ๆ. ก้าวพ้นกรอบไอน์สไตน์. แปลโดย รอฮีม ปรามาส. พิมพ์ครั้งที่6. กรุงเทพฯ : มติชน, 2548. คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน. ไตรภูมิกถา. กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2528. เจเรมีเฮย์เวิร์ค. จดหมายถึงวาเนสสา (Letter to Vanessa), แปลโดย พิภพ อุดมอิทธิพงศ์. กรุงเทพฯ: สวนเงินมีมา. 2525. เจส สตีม ( Jess Steam). จิตใต้สำนึกกับการระลึกชาติ, แปลโดย ทศยุทธ์. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์เรืองบุญ โจ เฮสสแลท (Joe H. Slate). พลังออร่า (Aura Energy) . แปลโดยศีขริน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง, 2547. ซี. ดับบลิว. ลีดบีท (C. W. Leadbeate). กายทิพย์(Man Visible and Invisible). แปลโดย ศิริพุทธศุกร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วิญญาณ, 2539. ________. พลังแห่งความคิด (Thought-Forms). แปลโดย ศิริพุทธศุกร์. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วิญญาณ, 2539. ชัยวัฒน์ คุประตกุล. จากอะตอมถึงจักรวาล. พิมพ์ครั้งที่2.กรุงเทพฯ : สารคดี, 2546. ________. ปริศนาจักรวาลพิศวง. กรุงเทพฯ : เอ.ที.พริ้นติ้ง, 2550.
323 ธนิต อยู่โพธิ์. ทฤษฎีว่าด้วยการปฏิบัติเพื่อเดินทางไปพรหมโลก. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2540. ธนู แก้วโอภาส. ไอน์สไตน์ ในพุทธปรัชญา. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2547. บัญชา ธนบุญสมบัติ. แฟนพันธ์แท้ไอน์สไตน์. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2548. ________. สัมพัทธภาพสุดยอดทางความคิดของไอน์สไตน์. กรุงเทพฯ: สารคดี, 2552. บิลล์ ไบร์สัน. ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง ( A Short of Nearly Everything). แปลโดย โตมร ศุขปรีชา, วิลาวัลย์ฤดีศานต์. กรุงเทพฯ: ไทยยูเนี่ยนกราฟฟิก, 2551. บุญมีเมธางกูร. ความมหัศจรรย์ของชีวิต. พิพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: อภิธรรม มูลนิธิวัดพระเชตุพนฯ, 2531. บุษกร เมธางกูร. ใครให้คุณเกิด. กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, 2548. บุรินทร์อัศวภิภพ, นรพัทธ์ศรีมโนภาษ. เจาะเซิร์น ( CERN). กรุงเทพฯ: สารคดี, 2552. บุณย์นิลเกษ. ประจักษ์พยานตายแล้วเกิด, พิมพ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สหมิตรออฟเซท. แบร์ด สไตเกอร์(Brad Steiger). การเดินทางด้วยจิต. แปลโดยศิริพุทธศุกร์. พิมพ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วิญญาณ, 2538. ไบรอัน กรีนน์. ทอถักจักรวาล (The Fabric of the Cosmos). แปลโดย อรรถกฤต ฉัตรภูติ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2550. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546.
324 ________. พุทธธรรม. พิมพ์ครั้งที่11. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546. ________. กรรม น รกส วร รค์ส ำหรับคน ร ุ ่นใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสภา, 2542. พระญาณติโลก. THE WORD OF THE BUDDHA, งานอนุสรณ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ครบรอบปีที่30. พระพุทธโฆษาจารย์.(วงศ์ชาญบาลีชำระและตรวจสอบทาน), พระวิสุทธิ- มรรค, กรุงเทพฯ: เลี่ยงเซียงจงเจริญ, 2464. พระสิริมังคลาจารย์. จกฺรวาลฺทีปนี. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ศรีเมืองการ พิมพ์, 2548. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, 2536. พระสารีบุตรเถระ.แปลโดยสิริเพ็ชรไชย, สารัตถทีปนีฎีกาพระวินัย ภาค 1.ฉบับพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมามพรรษา6 รอบ 5 ธันาวาคม 2542. พระ ดร. ดับลิว ราหุลเถระ, แปล พระราชวรมุนี, พระมหาณรงค์จิตฺตโสภโณ , พระมหาเสถียร ถิรญาโณ, พระมหาโทน ธนปญฺโญ, เสฐียร พันธรังษี, บรรจบ คุณจารี“พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร”, แผนก วิชาการคณะกรรมการนิสิต ปี2521, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระพรหมโมลี(วิลาศ ญาณวโร). โลกทีปนี. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า, 2545. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส. พุทธจักรวาลวิทยา. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2549. ________. พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่. กรุงเทพฯ: สุขุมวิทการ พิมพ์, 2555.
325 พระอุปติสสเถร. วิมุตติมรรค. แปลโดย พระวรมุนี(ประยูร ธมฺมจิตฺโต)และ คณะ.พิมพ์ครั้งที่5. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศยาม, 2541. พร รัตนสุวรรณ. พลังทิพย์. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สุขภาพใจ , 2541. ________. ปาฏิหาริย์มีได้อย่างไร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วิญญาณ, 2513. ฟริตจ๊อฟ คาปร้า. โยงใยที่ซ่อนเร้น. แปลโดย วิศิษฐ์–ณัฐฬส วังวิญญู และ สว่าง พงศ์ศิริพัฒน์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา, 2548. ________. จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ เล่ม 2. แปลโดย พระประชา ปสนฺน - ธมฺโม, พระไพศาล วิสาโล, สันติสุข โสภณสิริ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2546. ________. จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ เล่ม 3. แปลโดย พระประชา ปสนฺน - ธมฺโม, พระไพศาล วิสาโล, สันติสุข โสภณสิริ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2546. มิชิโอะ กากุ. จักรวาลของไอน์สไตน์. แปลโดย สว่าง พงศ์ศิริพัฒน์. กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์คบไฟ, 2550. ________. จักรวาลคู่ขนาน. แปลโดย สว่าง พงศ์ศิริพัฒน์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2552. ระวีภาวิไล. โลกทัศน์ชีวทัศน์ เปรียบเทียบ วิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: สหธรรมิก, 2543.. รอฮิม ปรามาท. เอกภพ สรรพสิ่ง มนุษยชาติ. กรุงเทพ : มติชน, 2546. ริชาร์ด พี. ฟายน์แมน. ทฤษฎีมหัศจรรย์ของแสงและสสาร. แปลโดยอรรถกฤต ฉัตรภูมิ. กรุงเทพฯ: สำนกพิม์มติชน, 2553. ริชาร์ด วัตสัน. เจาะชีวิตมนุษย์อนาคต (Future Files). แปลโดย เอกชัย อัศวนฤนาท. กรุงเทพฯ: ทรูดิจิตอล คอนเทนท์แอนด์มีเดีย, 2555.
326 โรเบิร์ต แมททิวส์. 25 ความคิดพลิกโลก(25 Big ideas). แปลโดย ชัยวัฒน์คุประตกุล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วีวิชช์., 2551. ประสาน ต่างใจ. จิตภิวัฒน์สู่นิพพาน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง, 2547. วิภูรุโรปการ. เอกภพ. พิมพ์ครั้งที่ 3 . กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์, 2548. สตีเฟน ฮอว์คิง. จักรวาลในเปลือกนัท. แปลโดย รอฮีม ปรามาท. กรุงเทพมหานคร : บริสุทธิ์การพิมพ์, 2546. ________. ประวัติย่อของกาลเวลา. แปลโดย รอฮีม ปรามาท. กรุงเทพ : มติชน, 2548. สมภาร พรมทา. คือความว่างเปล่า. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พุทธชาด, 2549. ________. พุทธปรัชญา: มนุษย์สังคม และปัญหาจริยธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศยาม, 2548. เสถียรพงษ์วรรณปก. หลักกรรม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ธรรมสภา, 2548. แสง จันทร์งาม. พุทธศาสนวิทยา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์- บุ๊คส์, 2544. นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์, บายพาสอารมณ์, กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์ศยาม, 2547 Brenda J. Dunne and Robert G. Jahn, “CONSCIOUSNESS AND ANOMALOUS PHYSICAL PHENOMENA”, Princeton Engineering Anomalies Research, School of Engineering and Applied Science, Princeton University, Princeton, NJ 08544, 1995. Hoyt L. Edge, Robert L. Morris, Joseph H. Rush, John Palmer. Foundation of Parapsychology: Exploring the
327 Boundaries of Human Capability. London: Routledge & Kegan Pual Ltd, 1987. Lynne McTaggart. “The Field: The Quest for the Secret Force of the Universe”. USA: Harper paperback, 2008. ________. “The Intention Experiment: Using your thoughts to change your life and the world”. New York: Free Press, 2007. Michio Kaku. Hyperspace. New York: Oxford University Press, 1994 Arnold Mindell. The Quantum Mind and Healing, USA: Hampton Roads Plublising Company, 2004. Penrose, Roger. Road to Reality. London: Jonathan Cape, 2004 R. G. Jahn, B. J. Dunne, R. D. Nelson, Y. H. Dobyns, and G. J. Bradish, “Correlations of Random Binary Sequences with Pre-Stated Operator Intention: A Review of a 12- Year Program”, Princeton Engineering Anomalies Research (PEAR), School of Engineering and Applied Science, Princeton University, 1995. Robert G. Jahn, Brenda J. Dunne, Consciousness and the Source of Reality, New Jersey: Princeton, 2011. Richard E. Palmer. Hermeneutics. USA: Northwestern University Press, 1969. Silk, Joseph. The Infinite Cosmos. Oxford: Oxford University Press, 2006. Stephen E. Schneider and Thomas T. Army. Pathways to Astronomy, New York: McGraw Hill, 2007.
328 Weinberg, Steven. The First Three Minutes. London: Fontana, 1976. Zachary Jones, Brenda Dunne, Elissa Hoeger, and Robert Jahn. Filter and Relections Perspectives on Reality, New Jersey: Princeton, 2009. (II) Articles Brenda J. Dunne, Roger D. Nelson, and robert G. Jahn, “OperatorRelated Anomalies in a Random Mechanical Cascade”, Journal of Sciencific Exploration, Vol.2, No.2:155-179. Brenda J. Dunne and Robert G. Jahn, “Experiments in Remote Human / Machine Interaction”, Journal of Sciencific Exploration, Vol.6, No.4:311-332. Dean Radin, Leena Michel,Karla Galdamez, Paul Wendland, Robert Rickenbach,and Arnaud elorme, “Consciousness and the double-slit interference pattern: Six experiments”, Phys. Essays Vol. 25, 2 (2012).157-171. Michael Ibison and Stanley Jeffers, “A Double-Slit Diffraction Experiment to Investigate Claims of ConsciousnessRelated Anomalies”, Journal of Scientific Exploration, Vol. 12, and No.4:543-550. Robert G. Jahn and Brenda J. Dunne, “ On The Quantum Mechanics of Consciousness with Application to Anomalous Phenomena”, Foundation of Physics. Vol.16, No.8, (August, 1986), pp 721-772.
329 R.G. Jahn. B.j. Dunne. And R.D. Nelson, “Engineering Anomalies Resaerch”, Journal of Sciencific Exploration, Vol.1, No. 1:21-50. R.G. Jahn. B.J. Dunne. And R.D. Nelson, Y.H. Dobyns,and G.J. Bradish, “Field REG II: Consciousness Field Effects: Replications and Explorations”, Journal of Scientific Exploration, Vol. 12, No.3:425-454. R.G. Jahn. B.j. Dunne. And R.D. Nelson, Y.H. Dobyns, A. Lettieri, J. Mischo, E. Boller, H. Bosch, D. Vaitl, J. Houtkooper and B. Walter, “Mind/Machine Interaction Consortium: Port REG Replication Experiments”, Journal of Scientific Exploration, Vol. 14, No.4:499–555. Robert G. Jahn, “The Challenge of Consciousness”, Journal of Scientific Exploration, Vol. 15, No. 4:443–457. Robert G. Jahn, “M* : Vector Representation of the Subliminal Seed Regime of M5 ”, Journal of Scientific Exploration, Vol. 16, No.3:341–357. R.G. Jahn and B.J. Dunne, “Consciousness, Information, and Living Systems”, Cellular and Molecular Biology 51:703-714. R.G. Jahn and B.J. Dunne, “Sensors, Filters, and the Source of Reality”, Journal of Scientific Exploration, Vol. 18, and No.4:547–570.
ศาสนาที่ดีควรเคียงคู่กันไปด้วยกับวิทยาศาสตร์ เพราะต่างก็ใช้เหตุและ ผลเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความจริงของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หนังสือเล่มนี้ ได้ผสานทั้งสองศาสตร์นั้น เพื่อความยั่งยืนของสัจจะธรรม... เหมาะสำหรับนิสิตนักศึกษา ผู้วิจัย คนทั่วไปที่ต้องการศึกษา ศาสนาอย่างมีเหตุมีผล