The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลไกชีวิตกับจักรวาล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Samart Sukhuprakarn, 2023-03-05 10:07:06

กลไกชีวิตกับจักรวาล

กลไกชีวิตกับจักรวาล

188 มีสติอยู่เป็นสุข เธอกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มด้วยสุขอันไม่มีปีติรู้สึกซาบซ่านอยู่ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่สุขอันไม่มีปีติจะไม่ถูกต้อง กายทิพย์เป็นกายอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นกายที่อยู่ในภพอื่นโลกอื่นใน 10 โลกธาตุต่างจากกายหยาบของมนุษย์และสัตว์เดัจฉาน ที่เกิดจากอำนาจ ของจิตโดยตรงเช่นกัน เป็นการเกิดแบบไม่ต้องมีวิวัฒนาการในครรภ์หรือในไข่ เป็นการเกิดแบบ “โอปปาติกะ” กล่าวในคัมภีร์ ...ข้าพระองค์พิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ 1 นี้แลว่า ‘เมื่อข้าพระองค์เกิดเป็นเทพดำรงอยู่ในที่นี้(ในถ้ำอินทสาละ) ข้าพระองค์กลับ ได้อายุเพิ่มขึ้นอีก ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ขอพระองค์ทรงทราบอย่างนี้เถิด’ จึงประกาศการได้ความยินดีการได้โสมนัสเช่นนี้ข้าพระองค์พิจารณาเห็น อำนาจประโยชน์ประการที่2 นี้แลว่า ‘เมื่อข้าพระองค์จุติจากกายทิพย์ละอายุ ของอมนุษย์เป็นผู้ไม่หลง จะเข้าสู่ครรภ์ในตระกูลที่ข้าพระองค์มีใจยินดี’ จึง ประกาศการได้ความยินดีการได้โสมนัสเช่นนี้... สรุปว่าสัตว์ทุกภพภูมิมีนามกายคงที่เหมือนกันหมด ไม่ว่าสวรรค์ หรือนรกต่างก็เป็นการเกิดแบบโอปปาติกะทั้งหมดสัตว์นรกบางตนเมื่อถูก ทรมานจนตายก็จะเกิดเดี๋ยวนั้นแล้วถูกทำโทษแบบนั้นหลายๆ ครั้ง ดังนั้นการ เกิดของสัตว์ในทุกภพเป็นเพราะจิตที่ยังมีกิเลสเพราะจิตชอบการปรุงแต่ง จึง เรียกจิตปรุงนี้ว่า“จิตสังขาร” จิตจึงมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลาที่จะสร้างรูป และเนื่องจากจิตมีหน้าที่ต้องรู้เสพย์อารมณ์เป็นอาหารการรู้อารมณ์ได้ต้อง อาศัยรูปกายที่ส่งผ่านมาจากอายตนะทั้ง 5 ซึ่งช่องทางของการรับรู้ทางกาย ดังนั้น จิตจึงต้องมีคุณสมบัติในการสร้างสรรรูปเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ภพใด ผู้เขียนมีความสนใจเรื่องการสร้างรูปแบบกายนี้เพราะจะมองได้ ง่ายถึงปัจจัยพื้นฐานได้ชัดขึ้น เพราะการเกิดแบบนี้อาศัยจิตสร้างชัดเจน ถ้าจะ กล ่าวอีกหนึ่งภพภูมิที่เป็นกายละเอียดนั้นมีมากกว่าภพที่เป็นกายหยาบ ที่มี


189 เฉพาะแต่ในโลกนี้เท่านั้นคือ มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน ว่าเป็นการสร้างรูปแบบ ที่เรียกว่า มหาภูตรูป 4 ที่จะเกาะเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดรูปได้เช่น อากาศธาตุตามที่กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นว่านามกายนั้นเปรียบได้กับกาย ทิพย์ผู้เขียนเห็นว่าเป็นกายที่เกิดขึ้นจากนามที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมานั้นเป็นกาย ทิพย์ตามนัยยะของพระพุทธศาสนา และจิตจะใช้กายทิพย์นี้บริหารจัดการกับ กายหยาบอีกทีการที่ในคัมภีร์ส่วนมากหมายถึงว่าเป็นรูปกายที่อยู่บนสวรรค์ ผู้เขียนมีความเห็นว ่าน่าจะเป็นกายที ่ไม่ใช ่กายหยาบแบบมนุษย์และสัตว์ เดรัจฉานที่จับต้องได้บนโลกมนุษย์นี้เป็นกายที่ละเอียดกว่ากายหยาบ ดังนั้นกายทิพย์จึงใช้เป็นชื่อเรียกขานทั่วไปว่า สภาพกายที่ไม่ใช่กาย หยาบแบบมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นกายที่โปรงเบากว่ากายหยาบ นักวิชาการทางพระพุทธศาสนาบางท่านได้ให้ความเห็นว่า กายทิพย์มีลักษณะ ที่ละเอียดมากกว่ากายหยาบ แบบมนุษย์และสัตว์ที่ปรากฏบนโลก ซึ่งด้วย ความที่เป็นกายละเอียดนี้ทำให้กายทิพย์ซ้อนทับอยู่ในกายหยาบอีกทีหนึ่ง เพราะกายหยาบนั้นจะมีช่องว่างมากกว่ากายทิพย์ที ่ละเอียดอ่อน ช่องว่าง เหล่านั้นเปิดโอกาสให้กายทิพย์สามารถแทรกอยู่ในที่ว่างของกายหยาบนั้นได้ เปรียบเหมือนน้ำตาลที่ละลายในน้ำ หรือทรายที่แทรกตัวในระหว่างช่องว่าง ของก้อนหินดังรูป ดังนั้นกายทิพย์จึงมีความสามารถแยกตัวออกมาได้จากกายหยาบ ในบางครั้งบางคราว เช่น การนอนหลับที่สนิท กายทิพย์จะเดินทางไปไหนมา ไหนจะเห็นและจดจำได้อย่างแม่นยำ ซึ่งต่างจากความฝันที่เกิดจากความจำใน สมองระบบประสาทที่ปรุงแต่งขึ้นมา แล้วก็ลืมเลือนไปเมื่อตื่นขึ้นมา กายทิพย์ ของคนทั่ว ๆ ไปสามารถทำให้เดินทางออกจากกายหยาบได้ถ้าผ่านฝึกปฏิบัติ มา ตามที่กล่าวไว้ว่าได้ถ้าได้ถึงสมาบัติและอภิญญา พระไตรปิฎกกล ่าวถึง ลักษณะของจิตว่า“ทูรงฺคมํเอกจรํ อสรีรํ คุหาสย . . . ที่เที่ยวไปไกลเที่ยว ไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่างอาศัยอยู่ในถ้ำ” นอกจากจะมีความหมายว่าเทียวไป


190 ไกลเพราะเกิดจากการนึกคิดได้ไกล ๆ แล้วผู้เขียนมีมุมมองในความหมายนี้ว่า การที่จิตเที่ยวไปได้ไกลมันเป็นธรรมชาติของจิต ต้องอาศัยรูปร่างกายเป็นที่อยู่ จิตต้องอาศัยกายทิพย์นั้นเดินทาง ซึ่งการเดินทางด้วยจิตนั้นจะก้าวข้ามพ้น กาลเวลาและสถานที่ เพียงแต่นึกคิดด้วยจิตก็ไปที่นั่นแล้วการที่กล่าวว่าไม่มี รูปร่างนั้น ผู้เขียนให้ความหมายว่าสามารถแปรเปลี่ยนไปตามสภาพภพภูมินั้น ๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าไม่ถาวรตายตัว เหมือนน้ำที่เปลี่ยนรูปร ่างไปตาม ภาชนะ นักวิชาการกล่าวว่ากายทิพย์ในภพภูมิอื่น มีความแตกต่างจากกาย ทิพย์ที่อยู่ในกายหยาบของมนุษย์กายทิพย์ของภพอื่นภูมิอื่น ๆ จะอาศัยจิต ปรุงแต่งได้โดยตรง สามารถเดินทางไปไหนมาไหนตามอำนาจของจิตได้ โดยตรงส ่วนกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ในกายหยาบของมนุษย์นั้นมีเหตุปัจจัยหลาย อย ่างประกอบกันยึดโยงไว้ด้วยกัน เช่น อาหาร สิ่งแวดล้อม จึงทำให้ไม่ สามารถที่จะทำอะไรได้อย่างใจนึกได้และกายทิพย์นั้นเป็นที่มาของกายเนื้อ กล ่าวคือในขณะที่วิญญาณปฏิสนธิวิญญาณจะสร้างกายทิพย์ขึ้นมาก ่อนกาย เนื้อ เป็นกายทิพย์ที่เกิดจากปฏิสนธิจิตที่จะได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมโดย ส ่วนหนึ่งซึ่งกายทิพย์ที่เกิดทีหลังมานี้จะผิดไปจากกายทิพย์ก่อนปฏิสนธิที่มี กายทิพย์ตามภพที่มาอย่างสมบูรณ์ส ่วนกายทิพย์ที่เกิดหลังปฏิสนธิจิตนั้น ได้รับผลมากจากวิบากกรรมเก่า ซึ่งจะเป็นต้นแบบสร้างกายเนื้อให้เหมือนกับ กายทิพย์ทุกประการ เหมือนกับการเขียนภาพของศิลปิน ภาพนั้นเกิดขึ้นที่จิต นาการก่อนแผ่นผืนผ้าใบอีก จินตนาการเปรียบเสมือนกายทิพย์ภาพวาดที่ผืน ผ้าใบเปรียบเหมือนกายหยาบ อีกประการหนึ่งกายทิพย์สามารถออกนอกกายเนื้อได้ในกรณีที่มี ความแรงของเจตนาพลังสูงมากเช่น คนที่อยู่ระยะสุดท้ายของชีวิตในอาการ โคม่า จะไปปรากฏให้เห็นร่างให้คนที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายเห็นก่อนที่เขาจะตาย ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าคนนั้นได้ตายไปแล้วถึงมาหา แต่ความเป็นจริงนั้น


191 ไม ่ใช่ และการมานั้นมักจะมาในบริบทที ่คนผู้นั้นอยู ่ในอาการใกล้ตายขั้น สุดท้าย จิตสำนึกจะมีพลังที่สูงมากมีอำนาจในการส่งพลังงานกายทิพย์ได้ซึ่ง ผู้เขียนจะกล ่าวไว้เรื ่องของจิตสำนึกที่สามารถสร้าง Conscious Wave และ Conscious Particleได้ลักษณะของการปรากฏจะหอบเอาอณูของบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมมาด้วย เช่น กลิ่น ซึ่งเป็นอนุภาคที่มาพร้อมกับอนุภาคของ จิตสำนึก จากประสบการณ์ของผู้เขียนโดยตรง มารดาของภรรยาผู้เขียนนอน ป่วยที่โรงพยาบาลห้องฉุกเฉิน ที่นครสวรรค์เมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ผู้เขียน และภรรยาได้กลิ่นของยาฆ่าเชื้อที่ใช้ทำความสะอาดตามโรงพยาบาล ในเวลา ใกล้เคียงน้องชายของภรรยาที่อยู่สระบุรีเวลาตีหนึ่งครึ่งทางโรงพยาบาลโทร มาที่บ้านว่า คุณแม่ท่านได้เสียชีวิตแล้ว เป็นปรากฏการณ์ที่ตรงกับหนังสือที่ได้ กล่าวไว้ที่สอดคล้องกับข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ว่าจิตสามารถสร้าง อนุภาคจิตสำนึก (Consciousness Particle) แ ล ะ ค ลื ่ น จิ ต ส ำนึ ก (Consciousness Wave) ได้ตามทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ซึ่งจะอธิบายต่อไป ก้าวข้าม เวลาและสถานที่ จิตใจหรือวิญญาณ พร รัตนสุวรรณ ได้ให้ ความหมายของวิญญาณ ว่าเป็นฐานะที่ทำให้เกิดรูปไว้ว่า “วิญญาณเป็นปัจจัย ให้เกิดรูป รูปในที่นี้หมายถึง แสง เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ” แม้แต่ สสาร มีข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ช้ากว่า โอปปาติกะ ซึ่งอาศัยอำนาจจิตสร้างขึ้นมาโดยตรงจากฐานของวิบากกรรม เพราะมนุษย์ต้องบังคับผ่านเป็นกายหยาบ สมองและหัวใจเป็นเพียงห้องทำงานของจิต ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าจิตมีสถานที่ทำงานทั้ง 3 แห่งคือ ที่ ภวังค์คะ ที่มโนทวาร(ส่วนของความคิด) และทวารทั้ง 5 (ตา หูจมูก ลิ้น และ กาย) ตามปกติคนทั่วไปเข้าใจว่าจิตอยู่ที่สมอง เพราะเป็นศูนย์รวมของ ระบบปฏิบัติการณ์ควบคุมร่างกายทุกอย่าง แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่พอนำมา อ้างอิงได้ว่า จิตไม่ได้อาศัยอยู่ที่สมองเพียงอย่างเดียวตามที่คนทั่วไปคิด มีเรื่อง


192 “ไมค์ไก่ไร้หัว” (Mike The Headless Chicken) เ ป็ น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ปีค.ศ. 1945 จากหนังสือไลฟ์แมกกาซีนบันทึกไว้ชาวนาคนหนึ่ง ตัดหัวไก่ด้วยขวานเพื ่อจะ ทำอาหาร จนหัวไก่นั้นขาด กระเด็นอย่างกะทันหัน ด้วย ความตกใจกลัวของไก่ มันจึงกระโดดหนีหายไปทั้ง ๆ ที่หัวไม่มีจนเจ้าของหา ตัวไม่พบ ต้องหาตัวใหม่มาทำแทน ในรุ่งเช้าวันต่อมาปรากฏกว่าเจ้าไก่ตัวนั้น ซึ่งต่อมาให้ชื่อไมค์ยังอยู่ในเล้ากับพรรคพวก และคุ้ยเขี่ยดินหากินตามปกติทั้ง ๆ ที่มันไม่มีหัว ซึ่งเป็นเรื่องน่าคิดว่าไก ่ไมค์มีความรู้คิดพื้นฐานที่ดำเนินชีวิต ตามปกติด้วยความประหลาดใจเจ้าของจึงเลี้ยงดูมันต่อ พยายามให้อาหาร และน้ำทางหลอดอาหารที่ยังเห็นได้ปรากฏว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก 18 เดือน และการตายของมันนั้นไม ่ได้หมดอายุไข แต ่ตายเนื ่องจากอุบัติเหตุ เพราะเจ้าของหยอดอาหารประมาท มันเลยติดที่คอหายใจไม่ออกเท่านั้นเอง เขากล่าวว่าถ้าไม่มีอุบัติเหตุเจ้า “ไมค์” อาจจะมีชีวิตเท ่ากับอายุของไก่ ตามปกติก็ได้ ไมค์ไก่ไร้หัว38ปจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เราทราบว่า สมองไม่ได้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ไก่ตัวนี้แม้จะไร้สมอง ซึ่งบางคนก็กล่าวว่า ไก่ตามปกตินั้นมีสมองน้อยอยู่แล้ว และไก่ชื่อไมค์นั้นอาจจะมีสมองส่วนหนึ่งที่ ยังติดอยู่กับส่วนร่างกายทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แต่ผู้เขียนมีความเห็น 38 Credit:http://time.com/3524433/life-with-mike-the-headless-chickenphotos-of-a-famously-tough-fow รูปภาพที่ 47 ไมค์ไก่ไร้หัว


193 แย้งว่า สมองน่าจะบกพร่องไปโดยส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าจิตอยู่ที่สมองจิตนั้นย่อมจะ ไม่สมบูรณ์ไปจากเดิม ซึ่งมันยังคงสามารถดำรงชีวิตได้จึงตอบโจทย์ได้ว่าจิต ไม่ได้อยู่ที่สมอง ในอีกทางหนึ่งพระพุทธศาสนากล่าวว่า จิตอาศัยอยู่ในหทัย วัตถุกล่าว่า “หทัยวัตถุ ที่ตั้งแห่งใจหัวใจ” และกล่าวอีกว่า “มโนวิญญาณ เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งหลายประชุมแห่งธรรม 3 ประการ คือ (1) หทัยวัตถุ (2) ธรรมารมณ์ (3) มโนวิญญาณ ผัสสะจึงเกิด หทัยวัตถุและธรรมารมณ์ที่มีรูปทั้งหลายอยู่ในส่วนรูป สัมปยุตธรรมทั้งหลาย เว้นมโนสัมผัสอยู่ในส่วนนาม ผัสสะเกิดขึ้นเพราะอาศัย นามและรูปด้วยประการอย่างนี้” พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายว่า วิญญาณนั้น อาศัยอยู่ในหทัยวัตถุ ซึ่งอยู่ที่หัวใจมีลักษณะเหมือนหัวใจ จิตที่ไม่ได้อาศัย ปสาทรูปทั้ง 5 ข้างต้น เป็นที่เกิดอยู่ภายในช่องเนื้อหัวใจ ซึ่งมีลักษณะเหมือน บ่อ มีโลหิตอันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจบรรจุอยู่ประมาณ 1 ซองมือ มีสัณฐานโต ประมาณเท่าเมล็ดในดอกบุนนาค เป็นรูปอันเป็นที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณ และอภิธัมมัตถ-วิภาวีนีฎีกา หน้าที่276 อธิบายว่า “ดวงหทัยนั่นแล เป็นที่อยู่ ด้วย เพราะเป็นที่อาศัยแห่งมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุ เพราะฉะนั้น จึงชื่อ ว่าหทัยวัตถุจริงอย่างนั้น หทัยวัตถุนั้น มีความเป็นที่อาศัยแห่งธาตุทั้ง 2 เป็น ลักษณะก็หทัยวัตถุนั้น อาศัยโลหิตในภายในกล่องดวงหทัยมีประมาณซองมือ เป็นไปฯ” ด้วยความเป็นจริงแล้วสมองกับหัวใจมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ใน สมองมีการทำงานโดยระบบชีวเคมีและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีการค้นพบคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้ามีผลต่อสมองในหลายแง่มุม และค้นพบว่าการทำงานของหัวใจ


194 มีผลต่อสมองในแง่ของอารมณ์และความรู้สึกผ ่านทางต่อมใต้สมองที่เรียกว่า อะมิกดะลา (Amygdala) ที่เป็นศูนย์กลางที่มีส่วนสำคัญต่อการกำกับเรื่องของ อารมณ์ต่อมนี้ทำงานตามที่หัวใจสั่ง จะทำการสื่อสารกำกับสมอง จังหวะการ เต้นของหัวใจจะเป็นตัวกำหนดสารเคมีต่างๆ ที่จะทำให้สมองมีการรับอารมณ์ หรือสั่งการอย่างไร ในการแสดงออกทางกายและวาจา และมีการค้นพบว่า ที่ หัวใจก็มีสมองเช่นเดียวกันสามารถบันทึก จดจำ ทำงานได้เหมือนสมอง นอกจากนี้ยังมีการทดลองพบว่า หัวใจสามารถสื่อสารสั่งการต่อ สมองได้ด้วยในระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีการค้นพบอีกว่าจังหวะการเต้นของ หัวใจ สามารถสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งเป็นคลื่นสื่อสารชนิดหนึ่ง แบบเดียว ที่เราใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้วัดความแรงของสนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้พบว่า มันเป็นสนามแม่เหล็กที่มากกว่าที่มีในสมองถึง 5 พันเท่า และยังสามารถแผ่ รัศมีออกไปไกลได้ถึง 8 – 10 ฟุต ได้อีกด้วยจากการทดลองของ Gary C. Schwartz แห่งมหาวิทยาลัยอริโซนาค้นพบว่า สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของหัว สมองกับหัวใจมีการปฏิสัมพันธ์กันในสภาวะที่มีการน้อมนำกันและกัน และ สนามหัวใจของคนหนึ่งอาจจะสื่อไปถึงคนอื่นได้ด้วย โดยที่ภาพสนามนั้นจะมี การแลกเปลี่ยนกันในสมองของแต่ละคน ดังนั้นการทำงานสมองเป็นตัวสั่งการให้ร่างกายทำอย่างไรนั้น มี หัวใจซึ่งมีรอบการเต้นเป็นตัวกำหนดบทบาทให้กับสมองด้วยเช่นกัน เป็นน่าที่ สังเกตว่าเมื่อหัวใจของคนที่เข้าสู่สภาวะที่สงบ จะมีการเต้นที่ราบเรียบ คลื่น สมองจะมีการเปลี ่ยนแปลงไป มีผลต่อจิตใต้สำนึกซึ่งก็คือ ภวังคจิต จาก งานวิจัยพบว่าคลื่นเหล่านั้น มีผลต่อการทำงานของสมองและร่างกายคนที่นั่ง สมาธิจะหายใจแผ่วเบามาก ถ้าสมาธิลึกหัวใจเกือบหยุดเต้นเลยที่เดียว สมอง จะได้รับการชดเชยอย่างเต็มรูปแบบ ดูเหมือนว่าสมองได้รับการพักผ่อน ดู เหมือนว่าอิทธิพลของหัวใจที่มีต่อสมองจะลดลงทำให้สมองและร่างกายได้รับ การชดเชยพักผ่อนมากขึ้น เช่นเดียวกันกับไก่ไมค์ที่สมองหายไปส่วนหนึ่งแล้ว


195 ยังดำรงชีวิตอยู่ได้นั้น เปรียบได้กับสมองเช่นกัน ถ้าคนไข้ที่ได้รับการเปลี่ยน หัวใจ จิตใจเขาย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วย วิบากกรรมที่อยู่กับคนนั้นจะได้รับ วิบากกรรมใหม่จากหัวใจใหม่ด้วยหรือไม ่ ด้วยเหตุนี้ถ้าวิเคราะห์จะเห็นว่า น่าจะเป็นประเด็นเดียวกันกับไก่ไมค์ที่หัวหาย หทัยวัตถุควรจะมีความหมาย เป็นกลุ่มของพลังงานทางจิตที่อยู่บริเวณนั้น ๆ การเปลี่ยนหัวใจก็ไม่เกี่ยวกัน กับกลุ ่มของพลังงานที่อยู่ ณ ตำแหน่งนั้น แต ่ความจำพื้นฐานที่หัวใจใหม่ อาจจะมีผลข้างเคียง มีงานวิจัยพบว่าคนที่เปลี่ยนหัวใจมีนิสัยบางอย่าง เปลี่ยนไป เช่น จากเดิมที่ไม่เคยสูบบุหรี่ กลับมีความอยากสูบบุหรี่ ซึ่งเป็น ความจำของกล้ามเนื้อหัวใจที ่ติดตัวมา ส ่วนกลุ ่มพลังงานทางจิตนั้นไม่ เกี่ยวข้องกันยังคงอยู่อย่างนั้นเป็นจิตเดิมของเจ้าของ เฉกเช่นเดียวกันรูปปรมัตถ์ในอภิธรรม มีความหมายเป็นเชิง นามธรรมมากกว่า ไม่ใช่รูปทางกายภาพที่จับต้องได้มหาภูติรูป 4 คือ รูปแบบ ทางนามธรรม หมายถึง สภาพที่เหมือน ของแข็ง (ธาตุดิน) ของเหลว (ธาตุน้ำ) การเคลื่อนที่ (ธาตุลม) และมีความร้อน (ธาตุไฟ) ดังนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่า หทัยวัตถุควรจะเป็นเสมือนนามธรรมที ่เป็นกลุ่มพลังงานของจิต ที ่อยู่ใน บริเวณของหัวใจเนื้อนั้น ดังนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่าต้องมีกลุ่มของพลังงานที่เกิดจากจิตที่ ซ้อนกายหยาบ นั่นคือกายทิพย์และหทัยวัตถุนี้ควรจะเป็นหัวใจของกายทิพย์ กายทิพย์นี้จะควบคุมสื่อสารกับกายหยาบอีกทีจึงสามารถอธิบายได้ว่าในกรณี คนเปลี่ยนหัวใจแล้ว ทำไมจิตของเจ้าของหัวใจที่อยู่ในหัวใจเนื้อ ที่เอาทิ้งนั้นจะ ทำให้ผู้นั้นมีแต่ร่างไม่มีจิต เมื่อได้หัวใจใหม่มา และเซลล์ของหัวใจใหม่เข้ากัน ได้กับเซลล์เนื้อเยื่อของเจ้าของ พลังงานทางจิตก็ทำงานสอดประสานกัน และ ในทางวิทยาศาสตร์ก็กล่าวว่าหัวใจนั้นมีกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งเหมือนสมอง คอย สื่อสารกับร่างกายและสมอง ซึ่งการเต้นของหัวใจนั้นสามารถสื่อสารออกนอก ตัวได้ไกลถึง 5 ไมล์


196 6.9 กรรมนิยาม เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื ่องจากจิต เป็นการรองรับการทำงานของจิต เปรียบเสมือนกับฐานข้อมูลของจิต ที่บันทึกกระบวนการทำงานของจิต และ จะให้ผลเมื่อจิตนำไปใช้เมื่อเหตุปัจจัยได้ลักษณะของกลไกกรรมมีหลักการ ทำงานแบ่งออกเป็น 3 หลักการ 1) ให้ผลตามระยะเวลา 1.1) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ระยะเวลาที่กรรมให้ผลในชาติปัจจุบัน 1.2) อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในภพถัดไป หรือภพหน้า 1.3) อปราปริเวทนียกรรม กรรมที่จะให้ผลในภพต่อ ๆ ไป 1.4) อโหสิกรรม กรรมที่ยังไม่ให้ผล เปรียบเสมือนว่ายังไม ่มีเหตุ ปัจจัยที่ทำให้กลไกนี้ทำงาน 2) ให้ผลตามความหนักเบาของกรรม 2.1) ครุกรรม เป็นที่หนัก มีความรุนแรง เป็นกรรมที ่ให้ผลก่อน กรรมอื่นเลย มีทั้งเป็นฝ่ายเป็นบวกและฝ่ายลบ หรือกรรมขาวและกรรมดำ กรรมฝ่ายบวกได้แก่ ผลของการได้ฌานสมาบัติ8 จัดว่ากุศลกรรม ในทางตรง ข้ามกรรมที่เป็นฝ่ายลบหรือกรรมดำ ได้แก่ อนันตริยกรรมทั้ง 5 ได้แก่ มาตุ ฆาต – ฆ่ามารดา, ปิตุฆาต – ฆ่าบิดา, อรหันตฆาต – ฆ่าพระอรหันต์, โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อขึ้นไป, สังฆเภท- ยุยงสงฆ์ให้ แตกกันและการทำลายสงฆ์ 2.2) พหุลกรรม (หรืออาจิณกรรม) เป็นกรรมที่ทำจนเคยชิน เป็น กรรมที่ให้ผลรองลงมาจากครุกรรม


197 2.3) อาสันนกรรม เป็นกรรมที่ให้ผลตอนใกล้ตาย จิตจะเอาผลนั้น เป็นอารมณ์เพื่อสร้างรูปแบบของภพที่จะไปเกิดใหม่ ในกรณีที่กรรมที่กล่าวมา ทั้งสองไม่มีหรือไม่ให้ผล 2.4) กตัตตากรรม เป็นกรรมที่ให้ผลในชาติที่ 3 เป็นต้นไป เป็น กรรมที่ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเจตนาจะให้เป็นอย่างนั้น หรืออาจเรียกว่าเป็น กรรมที่มีเจตนาอ่อน หรือเป็นเจตนาทางอ้อมที่เรียกว่าเป็น อจิตตกะคือ ทำ ไปก็สักแต่ว่าทำ แม้มีโทษก็ไม่รุนแรงถือว่าเป็นกรรมที่มีโทษเบาที่สุดในบรรดา กรรมทั้งหลาย 3) กรรมที่ให้ผลมาจากหน้าที่ หมายถึง กรรมที่มีภาระหน้าที่คนละ อย่างกัน ซึ่งให้ผลที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ 3.1) ชนกกรรม คือ กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด ในแต่ละภพภูมิ 3.2) อุปัตถัมภกกรรม คือ กรรมที่คอยให้การสนับสนุนหรือซ้ำเติม ที่สืบต่อจากชนกกรรมที่เกิดขึ้นมาแล้ว 3.3) อุปปีฬิกกรรม คือ กรรมที่คอยบีบคั้นกรรมที่มาให้ผลมาแล้ว ของชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม ทำให้แปรกรรมทั้งสองเปลี่ยนทุเลาลงไป หรือด้อยน้ำหนักลงไป 3.4) อุปฆาตกกรรม คือ กรรมมาตัดรอน เป็นกรรมที่ตรงข้ามกับ ชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม มีเป้าหมายที่เข้าไปตัดรอนการผลของกรรม ทั้งสองอย่างนั้น ให้หยุดการทำงาน การทำงานของกรรมนี้มาจากการกระทำที่แสดงออกมาจาก 3 ทาง คือทางกาย วาจา และใจ แล้วการกระทำนั้นก็ถูกบันทึกไว้เป็นกรรม ที่จะ ให้ผลตามี่กล่าวมาแล้ว กลไกของกรรมทั้ง 3 ช่องทางที่เกิดมาจากอายตนะทั้6


198 ได้แก่ ทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางกายและทางใจนี้เพราะมีปัจจัย ภายนอกมากระทบทำให้เกิดผัสสะ จากผัสสะทำให้กรรม สำหรับผู้ที่ยังข้องใน กิเลส เมื่อรวมความแล้วเรียกว่าเกิดช่องทางของการเกิดกรรมและวิบาก ที่มา จากการกระทบของอายตนะภายนอกและภายใน จึงทำให้เกิดความทุกข์ได้ เมื่อนับแล้วสรุปได้ว่าช่องทางของการเกิดทุกข์ได้108 ช่องทาง ตามผังนี้ รูปภาพที่ 48 ความหมายของทุกข์108 กลไกช่องทางของการเกิดทุกข์108 ช่องทาง 6.10 ธรรมนิยาม กำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ, ความจริงที่มีอยู่หรือ ดำรงอยู่ตามธรรมดาของมัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาแสดงชี้แจง อธิบาย มี3 อย่าง 1) สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง 2) สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวงคงทนอยู่มิได้ 3) สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวง ไม่เป็นตัวตน


199 หลักธรรมทั้ง 3 นี้เ รียกว ่ากฎไตรลักษณ์เป็นหลักธรรมที่ พระพุทธศาสนายึดเป็นต้นแบบการศึกษาเรื่องของโลกและจักรวาล โดยเชื่อว่า เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎนี้สิ่งใดที่เกิดขึ้นจากการปรุง(สังขตธรรม)จะเป็นไป ตามกฎนี้หลักธรรมอื่นจะเป็นองค์ธรรมที่เนื่องมาจากองค์ธรรมอันนี้หรือ เป็นไปเพื่อเสริมให้เห็นหลักธรรมนี้รวมทั้งการบรรลุธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้เห็นชัดในไตรลักษณ์เห็นชัดถึงความไม่เที่ยง ถ้ายึดมั่นไว้ในสิ่งที่ไม่เที่ยง ทำให้เกิดทุกข์การหาองค์ธรรมที่ทำให้เกิดกระบวนการเห็นชัดในไตรลักษณ์นี้ แหละจะทำให้จิตเกิดวิราคะ คลายความไม่ยึดมั่นถือมั่น ธรรมที ่เป็น กระบวนการนี้คือ สติปัฏฐาน 4 เป็นกระบวนการปฏิบัติเพื่อให้เห็นชัดในความ ทุกข์ที่เกิดจาการเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง เป็นปัจจัยที่มันเกี่ยวเนื่องกัน มัน ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเอง สภาพที่เกี่ยวเนื่องกันมัน คือ สภาพของอนัตตาตามที่ พระพุทธศาสนาสอนให้เห็นสามัญลักษณะที่มีอยู่ในทุกๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาใน โลกและจักรวาลมีความไม่เที่ยง ไม่ควรยึดถือ การที่จะให้เข้าใจได้ต้องฝึก ต้อง หากลอุบายเป็นกระบวนการในการเห็นและเข้าใจ รายละเอียดของสติปัฏฐาน เป็นไปเพื ่อเห็นชัดในสิ ่งที ่ปกติคนเราจะเห็นว่าเที ่ยง ว่าสวยงาม ไม ่มีการ เปลี่ยนแปลง “ภิกษุทั้งหลาย ทาง 2 นี้เป็นทางเดียว 3 เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า สัตว์เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุญายธรรม4 เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือสติปัฏฐาน5 4 ประการสติปัฏฐาน 4 ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ 1) พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ 2) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียรมี สัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้


200 3) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ 4) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มี สัมปชัญญะ มีสติกำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้” 6.11 องค์ประกอบกลไกของจักรวาลตามนิยาม 5 ตามที ่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าจักรวาลวิทยาบอกถึงกระบวนการ เกิดขึ้นและคาดว่าจักรวาลในอนาคตจะมีทิศทางไปอย่างไร ทุกอย่างมีเหตุมีผล ที่มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์รองรับ ถึงแม้ว่าบางปรากฏการณ์ยังไม่สามารถหา ทฤษฎีใหม่มารับรอง แต่ก็มีแนวทางไป ซึ่งอาจจะต้องรอเครื่องมือและอุปกรณ์ ที่มีความก้าวหน้ามากกว่าปัจจุบัน เหมือนที่ไอน์สไตน์เคยกล่าวมาเป็นร้อยปี แล้วว่า อวกาศนั้นมีตัวตนในทฤษฎีกาล-อวกาศ (Time & Space) และ ไอน์สไตน์เชื่อมันว่ามันเป็นจริง เพราะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการคำนวณ ยัง ขาดแต่เพียงการทดลองเท่านั้น ณ เวลานั้นไม่มีเครื่องมือพอที่จะพิสูจน์ได้ใน เรื่องนี้พึงจะค้นพบวิธีพิสูจน์ด้วยเครื่องมือเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาว่ามันเป็นจริง และแสงก็วิ่งตามผืนอวกาศนั้น ในทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าจักรวาลมีกระบวนการ กระบวนการนี้ เราเรียกว่ากลไกการทำงานของกลไกเป็นการทำงานอย่างมีเหตุที่อธิบายได้ ด้วยทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง เช่น การถ่ายเทความร้อนจากวัตถุที่ร้อนกว่าไปวัตถุที่ เย็นกว่า ก็อธิบายได้ด้วยทฤษฎีเทอร์โมไดนามิกส์ (Thermodynamics) การ เคลื่อนที่ของวัตถุก็อธิบายได้ด้วยหลักของกลศาสตร์ (Mechanics) ทฤษฎี เหล่านี้เป็นตัวสร้างกลไก สามารถเอาไปอธิบายว่ามันจะเป็นอย่างไร มันมี กระบวนการอย่างไร


201 จักรวาลมีองค์ประกอบไม่ใช่มีเพียงแค่วัตถุเท่านั้น ถ้าหากว่าเราจะ กล ่าวถึงภาพรวมทั้งของจักรวาลในจักรวาลมีทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต เป็นสัจธรรมเสมอว่าสิ่งมีชีวิตไม่ได้เกิดมาจากสิ่งไม่มีชีวิตในสมัยก ่อนที่ความ เชื่อทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มีคนสมัยนั้นเชื่อว่าหนูเกิดจากผ้าขี้ริ้ว เพราะสังเกต ว่าที่ไหนมีผ้าขี้ริ้วที่นั่นย่อมมีหนูซึ่งเป็นตรรกะที่ผิด อาศัยประการณ์เชิง ประจักษ์แต่ไม่สืบสาวหาความจริง ว่าสิ่งไม่มีชีวิตย่อมไม่ให้สิ่งมีชีวิตได้เพราะ ขาดองค์ประกอบของความมีชีวิตคือจิตวิญญาณ ความตระหนักรู้การรู้คิดมีได้ ในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ดังนั้นจักรวาลเมื่อมองให้ครบองค์ประกอบต้องทั้งสองมิติ คือ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ในงานวิจัยนี้ผู้เขียนมีความเห็นเป็น 3 มุมมอง โดยใช้หลักของนิยาม 5 วิเคราะห์แยกแยะและเชื่อมโยงหาความสัมพันธ์กัน ของจักรวาลและสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาลของนิยามทั้ง 5 มี3 ประเด็นได้แก่ 6.11.1 อุตุนิยามอธิบายสสารและพลังงาน สิ่งที่ไม่มีชีวิตที่มีอยู่ในจักรวาลจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนได้แก่ สสาร และพลังงาน ในทางวิทยาศาสตร์ย่อมรับว่าทั้งสองส่วนนี้เป็นสิ่งเดียวกัน หรือ เปลี่ยนไปมาซึ่งกันและกันได้หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าต่างเป็นเหตุปัจจัยของ กันและกัน สามารถพิสูจน์ได้ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สมการที่บอกว่าทั้ง สองสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันนั้นคือสมการ E = Mc2 , E – พลังงาน(Energy), M – มวล(Mass), c – ค่าคงที่คือความเร็วของแสง (Constant-ค่าคงที่, ไอน์สไตน์ ถือว่าความเร็วของแสงคงที่ไม่ว่าจะอยู่ในมิติใด ๆ ก็ตาม) กระบวนการเกิด จักรวาลก็เป็นไปตามสมการตามที่กล่าวมาแล้วนั้น เมื่อพลังงานความร้อน กระทบเข้ากับความหนาวเย็นของอวกาศพื้นฐานที่0 องศาเคลวินของเอกภพ จึงเกิดการเปลี่ยนจากรูปแบบของพลังงานไปเป็นมวล และก ่อกำเนิดเป็น จักรวาลต่อมา


202 จากการวิเคราะห์พบว่าพลังงานที่ก่อกำเนิดสสารนั้น มี ความสัมพันธ์กับคลื่น ตามทฤษฎีของ Max Planck; E= nhƒ, E – พลังงาน (Energy), n-ค่าคงที่ของพลางค์, ƒ – ความถี่ของคลื่น (Frequency) จึงสรุป ได้ว่าเมื่อแรกเกิดระเบิดทำให้อวกาศสั่นไหวไปทั่ว การสั่นไหวทำให้เกิดคลื่นไป ทั่วทั้งผืนอวกาศ หลังจากนั้นคลื่นก็จะเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน เช่น เดียวกับ คลื่นน้ำในมหาสมุทรและมีพลังงานมากพอที่จะผลักให้เกิดพลังแห่งการทำลาย ล้างแบบคลื่นซึนามิซึ่งต่อไปผู้เขียนคาดหวังว่านักวิทยาศาสตร์จะนำพลังงาน คลื่นโน้มถ่วงนี้มาใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้าได้ จึงสรุปได้ถึงความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องคือ อวกาศเกิดการระเบิด -> มี การสั่นไหว-> คลื่น -> ความแตกต่างของอุณหภูมิของอวกาศ -> พลังงาน –> สสาร ด้วยกระบวนการนี้จึงทำให้เกิดจักรวาล ดังนั้นทุกขั้นตอนของสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลมีความร้อนเป็นพื้นฐาน ตามรายละเอียดดังนี้ ในช่วงของการเริ ่มแรกเกิดอนุภาคที ่รวมกันจนเป็นอะตอมของ ไฮโดรเจน อันเป็นธาตุแรกที่เป็นต้นกำเนิดในจักรวาลและยังคงมีอยู่เป็นส่วน ใหญ่ในจักรวาล และมีพัฒนาการการวมตัวของอนุภาคกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จน เป็นธาตุต่าง ๆ มากมาย ด้วยเงื่อนไขนี้เราเรียกว่าเป็นไปตามหลักของ “อุตุ นิยาม” เพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลต่างมีความร้อนแฝงอยู่ เพราะจักรวาล เกิดมาจากการสั่นไหวด้วยความร้อน นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของ อะตอมที ่ประกอบด้วย นิวเคลียสที่ประกอบด้วยนิวตรอน (Neutron) กับ โปรตอน (Proton) อยู่ตรงกลาง มีอิเล็กตรอน (Electron) เคลื ่อนที ่หมุน วนรอบแกนนิวเคลียส การเคลื่อนไหวนี้แหละทำให้เกิดปริมาณความร้อนที่ แฝงอยู่ในวัตถุตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์เรียกความร้อนที่มีอยู่ในวัตถุทุกชนิด ว่า ความร้อนแฝง (Latent Heat) คือปริมาณความร้อนที ่สารใช้ใน การ เปลี่ยนแปลงสถานะ โดยอุณหภูมิในขณะที่สารกำลังเปลี่ยนสถานะนั้นคงที่ไม่ เปลี่ยนแปลง เช่นในการที่จะทำให้น้ำแข็งกลายเป็นน้ำธรรมดาได้ต้องใส่ความ


203 ร้อนจำนวนหนึ่งเพิ่มเข้าไปมันถึงจะเปลี่ยนสถานะได้หรือในทางกลับกัน ถ้าจะ ให้น้ำธรรมดากลายเป็นน้ำแข็งได้ก็ต้องดึงเอาพลังงานความร้อนออกจากน้ำ น้ำเมื่อไม่มีพลังงานที่เป็นของเหลวก็จะเปลี่ยนไปเป็นของแข็งตามจำนวน พลังงานความร้อนที ่มีอยู ่ในตนซึ ่งพลังงานจำนวนเท่านี้น้ำจะเป็นสถานะ ของแข็ง ในหลักการเดียวกัน น้ำที่เป็นของเหลวเมื่ออยากจะเปลี่ยนสถานะ เป็นไอ คุณสมบัติของน้ำที่เป็นไอก็มีเงื่อนไขของความร้อนอีกระดับหนึ่งที่ เพิ่มขึ้น เราจึงต้องต้มน้ำนั่นคือการเพิ่มปริมาณพลังงานความร้อนให้แก่น้ำ ใน จุดที่อุณหภูมิ100 องศาเซนติเกรด เมื่อน้ำได้นับพลังงานความร้อนเพิ่มขึ้น ก็ จะเปลี่ยนสถานะตนเองเป็นไอน้ำ ดังนั้นค่าความร้อนคือผลของกลไกของอุตุนิยามทำงาน การ ขับเคลื่อนของกลไกนี้ทำให้เกิดวัตถุธาตุต่าง ๆ ในจักรวาล เป็นพลังงานความ ร้อน พลังงานแสง พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า พืชสังเคราะห์แสงอาศัยแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานความร้อนในกระบวนการสร้างระบบชีวิตของมัน ซึ่งมันก็มีระบบ ชีวิตอีกแบบที่อาศัยพลังงานความร้อน อันที ่จริงแล้วพืชใช้ส ่วนหนึ ่งของ แสงแดดเท่านั้นคือใช้เฉพาะแสงอินฟราเรด (Infrared Rays) ซึ่งในแสงแดดมี คลื่นรังสีนี้อยู่ คลื่นนี้ถือว่าเป็นคลื่นความร้อน นักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือ ตรวจจับความร้อนด้วยเครื่องมือตรวจจับรังสีอินฟราเรด ที่ใดมีรังสีนี้ที่นั่นมี ความร้อนเกิดขึ้น หลักการเดียวกับงูใช้แลบลิ้นตรวจจับพลังงานความร้อนใน การออกหาเหยื่อ เพราะสิ่งมีชีวิตนั้นมีพลังงานความร้อนทั้งหมด ในห้วงจักรวาลมีการค้นพบพลังงานที่เบื้องหลังหรือฉากหลังของ จักรวาลที่เป็นพลังงานความเต็มไปหมด เพราะนักวิทยาศาสตร์คำนวณแล้วว่า อายุของจักรวาลซึ่งวัดเอาค่าความร้อนที่เก็บได้ฉากหลังของจักรวาล คำนวณ ย้อนกลับไปสู่อายุแรกเกิดได้ที่ ประมาณ 13,700 ล้านปีการถ่ายภาพฉากหลัง ของจักรวาลได้ทำให้นักวิทาศาสตร์ทั้งสองท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์


204 นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำนายธาตุต่าง ๆ ได้โดยอาศัย จำนวนอนุภาคที่มีอยู่ในอะตอมและพลังงานที่เกิดขึ้นในอะตอมที่ทำให้เกิด ความร้อนแฝง ในตารางธาตุได้จัดรูปแบบที่มีพลังงานความร้อนแฝงเกี่ยวข้อง ด้วยในสามสถานะ คือ ของเหลว ของแข็ง และก๊าซ เมื่อมาวิเคราะห์บูรณากับ พระพุทธศาสนาดูเหมือนว่าจะคล้ายกับคุณสมบัติของวัตถุในมหาภูตรูป 4 ใน ส่วนของเตโชธาตุ มหาภูตรูป 4 เป็นรูปแบบที ่แฝงอยู่ในวัตถุ: มหาภูตรูป 4 มี ลักษณะเหมือนกับรูปแบบบางอย่างที่แฝงอยู่ในวัตถุคอยกำกับให้วัตถุนั้นมี คุณสมบัติเฉพาะตัว ผู้เขียนมีความเห็นว่ารูปปรมัตถ์ซึ่งในที่นี้หมายถึงมหาภูต รูปนั้น เหมือนกับพลังงานที่เป็นรูปแบบบางอย่างที่สามารถออกแบบให้วัตถุมี คุณสมบัติเป็นไปตามนั้น หรือเป็นตัวกำหนดรูปแบบของวัตถุนั้น มหาภูตรูป 4 เป็นรูปแบบหนึ ่งที่มีอยู่ในวัตถุทุกชนิด ซึ ่งเป็นตัว กำหนดให้วัตถุต่าง ๆ มีคุณสมบัติทางกายภาพให้แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะวัตถุจะมีลักษณะที่เด่นเป็นของตนเอง เช่น เด่นมีความเป็นของแข็ง (เพราะมีปฐวีธาตุคือธาตุดินแสดงตัวเด่น), ความเหนียว ความยืดหยุ่น (เพราะ มีอาโปธาตุแสดงตัวเด่น), ความร้อน (เพราะมีเตโชธาตุแสดงตัวเด่น) และ ความเบา ความพรุน ช่องว่าง (เพราะมีวาโยธาตุแสดงตัวเด่น) จึงเป็นเหตุให้ วัตถุธาตุต่าง ๆ มีคุณสมบัติจำเพาะไม่เท่ากัน พลังแห ่งรูปแบบนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่าน่าจะเป็นรูปแบบพลังทาง นามธรรม ที่แฝงอยู่ในวัตถุทุกชนิด สามารถควบคุมให้วัตถุมีลักษณะเฉพาะตัว ของมัน เช่น ธาตุโลหะทั้งหลาย ได้แก่ เหล็ก ทองแดง ทองคำ เงิน ปรอท แร่ ธาตุในกลุ่มโลหะนี้จะมีรูปแบบของธาตุดินมากกว่าธาตุอื ่น จึงทำให้มันมี ลักษณะเด่นของกลุ่ม คือ มีความแข็ง ในกลุ่มของโลหะนี้เองก็จะมีความเหนี่ยว ไม่เท่ากัน เพราะโลหะในแต่ละอย่างจะมีลักษณะของธาตุน้ำไม่เท่ากัน จึงทำ


205 ให้มันมีความเหนียวไม่เท่ากันตามไปด้วย ส่วนความเปราะของโลหะแต่ละ ชนิดก็ถูกกำหนดด้วยธาตุลม เพราะธาตุต่าง ๆ นั้นมันมีความพรุนไม่เท่ากัน แต่ถ้าหากว่ามันมีช่องว่างมาก มีความพรุนมากจะทำให้มันมีความเปราะมาก ขึ้นไปอีกดังนั้นจึงเห็นว่ามหาภูตรูป 4 จึงเป็นพลังงานเชิงนามธรรมที่แฝงตัว ในวัตถุ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำกับโครงสร้างของวัตถุธาตุนั้นด้วย ซึ่งอาจจะ เป็นต้นแบบให้แก่กลุ่มของพลังงานทางกายภาพทำงานสร้างวัตถุต่อไป อนึ่งเมื่อวิเคราะห์โครงสร้างภายในวัตถุ ซึ่งประกอบด้วยอะตอม ภายในอะตอมด้วยอนุภาคนิวตรอนกับโปรตอนอยู่ที่แกนกลางรวมกันเป็น นิวเคลียส ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มของอนุภาคอิเล็กตรอน ส ่วนจำนวนของ อนุภาคในแต่ธาตุก็จะไม่เท่ากันมาธาตุนั้น ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีรูปแบบที่ได้มี การออกแบบเอาไว้แล้วตามธรรมชาติกระบวนการที่จัดรูปแบบนี้ทำให้เห็นว่า เป็นการเกิดลักษณะว่า เป็นการมีอยู่จริง ซึ่งการมีอยู่จริงของกระบวนการเกิด รูปนี้เรียกว่า รูปปรมัตถ์อันเป็นมหาภูตรูป 4 ของธาตุสามารถอธิบายได้ด้วย โครงสร้างของอะตอมดังนี้:- ก. ธาตุลม(วาโยธาตุ) หมายถึง ช่องว่าง ในวัตถุทุกชนิดมีช่องว่าง แม้แต่ในอะตอมที่ถือว่าเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดที่มีความหมายของว่าสัญลักษณ์ของ วัตถุยังมีช่องว่างมากกว่า 90 % โดยปริมาตร รูปภาพที่ 49 ช่องว่างของอะตอม Credit: http://www.if.ufrgs.br/tex/fis142/fismod/mod06/m_s06.htm


206 อธิบายภาพ: Ernest Rutherford ทดลองยิงอนุภาคอัลฟาใส่แผ่น ทอง (Alpha Scattering Experiment) ผลสรุปว่าอะตอมมีอนุภาคประจุบวก (โปรตอน) รวมกันอยู่ตรงกลางเรียกว่านิวเคลียสและมีประจุe- วิ่งโดยรอบ โดยที่จำนวนของประจุe- มีประจุรวมเท่ากับประจุบวกจึงทำให้อะตอมนั้นมี สภาพเป็นกลางทางประจุไฟฟ้า และปริมาตรส่วนใหญ่ของอะตอมเป็นที่ว่าง ข. ธาตุไฟ(เตโชธาตุ) คือ ความร้อน ไออุ่น ในวัตถุทุกชนิดมีพลังงาน เสมอเรียกว่าพลังงานความร้อนแฝง พลังงานนี้เกิดจากพลังงานของเหล่า บรรดาอนุภาคที่อยู่ภายใน หมุนวนกันไปมาในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อรักษา สมดุลของอะตอม ธาตุบางชนิดมีคุณสมบัติที่แผ่พลังงานนี้ออกมาให้เห็นอย่าง ชัดเจน เช่น พวกที่เป็นธาตุกลุ่มแผ่รังสีเช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม ค. ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) คือ ความลื่นไหล เชื่อมประสาน โครงสร้าง ภายในของมันมีลักษณะที ่เหนี่ยวแน่นแต่ไม่แข็ง เช่น ปรอท ซึ ่งจัดเป็น ของเหลว (Liquid State) แต่อยู่ในกลุ่มโลหะ ซึ่งแตกต่างจากเหล็กที่จัดเป็น โลหะกลุ่มของแข็ง (Solid State) ถึงแม้จะมีน้ำหนักมากกว่าเหล็กก็ตาม แสดง ว่าลักษณะของธาตุน้ำในปรอทมีมากกว่า ง. ธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) คือ ความแข็งของวัตถุเทียบได้ว่าโครงสร้าง ตัวเนื้อมวลสารที่มีความหนาแน่นของอนุภาคภายใน ดังนั้นจึงกล ่าวได้ว ่ารูปแบบของพลังงานแฝงอยู ่ในวัตถุในระดับ อนุภาคนั้น เป็นส ่วนหนึ่งจะทำการสร้างรูปแบบโครงสร้างภายในอะตอมเข้า ด้วยกัน ทำให้ธาตุแต่ละธาตุได้คุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน พลังงานแฝงนี้จึงมี ความสมนัยกับรูปแบบของมหาภูตรูป 4 ในรูปปรมัตถ์หรือรูปปรมัตถ์คือ กลุ่มของพลังงานที่แฝงอยู่ในวัตถุซึ่งพลังงานแฝงนี้มีความหมายตรงกันกับ ความเห็นของอาจารย์อาจารย์พร รัตนสุวรรณ ที่ได้ให้ความหมายว่าว่าเป็น “วิญญาณ” ที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง


207 “. . . วิญญาณเป็นพลังงานอย่างหนึ ่งซึ่งเป็นนามธรรม . . . เป็น พลังงานอีกชนิดหนึ่งนอกจากพลังงานในทางวัตถุ . . . อย่าเข้าใจว่าพลังงานมี เท่าที่รู้กันเท่านั้น . . . และกล่าวว่าวิญญาณคือตัวพลังงานอย่างแท้จริงเป็นบ่อ เกิดพลังงานในทางวัตถุและเป็นที่มาของสสารทุกอย่าง ดังนั้นกฎเกณฑ์ทาง วัตถุขึ้นกับวิญญาณ.” รูปภาพที่ 50 พลังงานกับมหาภูตรูป 4 6.11.2 พลังงานกับมหาภูติรูป 4 ในวัตถุ มหาภูติรูป 4 มีความสัมพันธ์กับพลังงานความร้อนแฝงในตัววัตถุใน กระบวนการทำงานของจิตที่เป็นเหตุปัจจัยไปสู่การสร้างรูปปรมัตถ์นั้น จะเกิด มีความร้อนเข้าร่วมด้วยเสมอเมื่อพลังงานแฝงนี้ได้สร้างรูปขึ้นมาแล้ว รูปที่เกิด ที่มีเกิดขึ้นมานั้นทำให้เกิดเป็นพลังงานความร้อนอยู่ตลอดเวลาที่เราเรียกว่า “อุตุชกลาป” ซึ่งจะควบคุมให้วัตถุนั้นทรงตัวอยู่ได้ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้วัตถุทุก ชนิดมีพลังงานความร้อนอยู่ในตัวเสมอเรียกว่า “ความร้อนแฝง” มหาภูตรูป 4 คือ พลังงานแห่งรูปแบบ ตามที่กล่าวว่าเป็นพลังงานแห่งรูปแบบนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า มหาภูติรูปที่เป็นรูปปรมัตถ์นั้นจะมีอยู่แต่เดิมก่อนจักรวาลนี้จะเกิดขึ้นอีก และ


208 เป็นพลังงานทางนามธรรม ซึ ่งผู้เขียนเรียกว่า “พลังงานแห่งรูปแบบ” เหมือนกันกับปรมัตถธรรมอันอื่น ได้แก่ จิต เจตสิก นิพพาน วิเคราะห์จากพระ พุทธพจน์ที่ในอุปปาทสูตรซึ่งไว้กล่าวว่า . . . ดูกรภิกษุทั้งหลายเพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่ อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้บรรลุธาตุนั้น ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาครั้นแล้ว จึงบอกแสดง บัญญัติแต่งตั้ง เปิดเผยจำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ธาตุนั้น หมายถึงธรรมชาติคือ สภาพที่แท้จริง ได้แก่ ปรมัตถธรรม ที่มีอยู่เดิมแล้วตามธรรมชาติจักรวาลเป็นสังขตะธรรมเกิดมาทีหลัง อาศัย ปัจจัยการปรุงแต่งด้วยเหตุปัจจัยแห ่งแรงบีบอัดจนระเบิดออกมาด้วยเหตุนี้ พลังงานทางนามธรรม จึงอยู่เหนือกาลเวลา (อกาลิโก) ก ่อนปรากฏการณ์บิ๊ กแบง (Big Bang Phenomena, กำเนิดจักรวาล) ครั้นเมื่อมีเหตุการณ์ระเบิด นั้นแล้ว พลังงานแห่งรูปแบบจึงให้เกิดธรรมชาติที่ได้สร้างรูปธรรมให้มีพลังงาน ทางกายภาพ คือ พลังงานความร้อน พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานแสง พลังงานเสียง และสร้างวัตถุต่อมาทำให้เกิดเอกภพ และการที่กล่าวว่า “ธรรม ทั้งปวงนั้นเป็นอนัตตา”นั้นมีความหมายว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นต่างเกิดมาจาก เหตุปัจจัยหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงเรียกมหาภูตรูปว่าเป็นพลังงาน แห่งรูปแบบที่มีความหมายเชิงนามธรรม ความมีอยู่ของพลังงานแห่งรูปแบบนี้จะคอยควบคุมปรุงแต่งให้ธาตุ ต่าง ๆ มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป เช่น ธาตุที ่มีการค้นพบในโลกตาม ตารางธาตุ (Periodic Table) ซึ่งได้จัดเรียงธาตุต่าง ๆ ไว้ตามจำนวนอนุภาคที่ อยู่ในอะตอม และเรียงตามสถานะว่าเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ตาราง ธาตุมีวิวัฒนาการเรื่อยมาตามการค้นพบธาตุใหม่ ตารางธาตุจะเว้นช่องว่างไว้


209 สำหรับธาตุบางตัวที่ยังค้นไม่พบ แต่เชื่อว่าในอนาคต ธาตุนั้นจะถูกค้นพบและ เชื่อว่ามีอยู่จริงในจักรวาล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ ่งที ่สนับสนุนว่า มหาภูตรูปเป็น พลังงานแห่งรูปแบบ เมื่อพิจารณาหลักธรรม “อิทัปปัจจัยยตาธรรม - ความที่ มีสิ่งนั้นเป็นปัจจัยของสิ่งนี้” และสรรพสิ่งที่ปรากฏให้เห็นย่อมไม่เป็นไปตาม “อเหตุกะ” คือ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุเกิดดังนั้นจึงพลังแห่งรูปแบบ ของมหาภูตรูป 4 จึงเป็นพลังงานที่อยู่เบื้องหลังของวัตถุทั้งหมด การที่ โปรตอนกับอิเล็กตรอนจับคู่กันเป็นไฮโดรเจนด้วยจำนวนที่เท่ากัน โดยไม่ต้อง มีนิวตรอนเหมือนธาตุอื่น จะไม่มีความบังเอิญที่เกิดขึ้น และเป็นไปไม่ได้เลยที่ ในธาตุลิเทียม (Li) จะมีโปรตอนเท่ากับอิเล็กตรอน 4 คู่ ถ้าหากว่าไม่มีพลังงาน แห่งรูปแบบรองรับ รูปแบบเหล่านี้ได้ถูกออกแบบมาโดยพลังงานแห่งรูปแบบ นั่นคือ มหาภูตรูป 4 สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นรูปปรมัตถ์ที่มีอยู่ทั้งในวัตถุที่ไม่มีชีวิต และที่มีชีวิต รูปปรมัตถ์(มหาภูตรูป 4) ย่อมอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่เป็นรูปหยาบ ทั้งหมด ที่คอยโอกาสเมื่อเหตุปัจจัยเหมาะสม จึงปรุงแต่งให้รูปที่มีสัณฐานจับ ต้องได้ปรากฏออกมา เหมือนกับที่นักควอนตัมฟิสิกส์กล่าวว่า “วัตถุทุกชนิด เกิดขึ้นจากแรงพื้นฐาน ได้แก่แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์ อย่างอ่อนและอย่างเข้ม แต่แรงเหล ่านี้ถูกจิตสำนึกและจิตที่อัจฉริยะควบคุม อยู่และจิตก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ของวัตถุนั้นด้วย” ซึ่งในการเกิดรูป ปรมัตถ์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าจิตเป็นตัวเหตุปัจจัยในการเกิดรูปปรมัตถ์ ด้วยเช่นกัน พลังแห่งรูปแบบนี้มีหลักการที่สำคัญ คือ มันอนุญาตให้สามารถ แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามเงื่อนไขของหลักอนัตตาที่เกิดจาก หลายเหตุปัจจัยโดยการปรุงแต่ง(สังขาร) ให้เกิดมีสิ่งใหม่ ทั้งที่พัฒนาจากธาตุ


210 เดิมและสร้างธาตุใหม่ ถ้าไม ่มีหลักการนี้ธาตุต ่างจะมีไม ่กี ่ธาตุปรากฏใน จักรวาล และด้วยเหตุนี้มันจึงเกิดกฎต่อเป็นกฎ “อนิจจตา” คือ ลักษณะของ ความไม่เที่ยง และทุกขตตา คือ ลักษณะสภาวะของการทนไม่ได้เนื่องจากถูก บีบคั้นให้เกิดขึ้นแล้วสลายไป จึงเป็นกระบวนการทำงานของกฎไตรลักษณ์ที่ ควบคุมการทำงานของสรรพสิ่งที่เป็นรูปปรมัตถ์ 6.11.3 รูปปรมัตถ์กับพลังงาน รูปปรมัตถ์ในที่นี้หมายถึงมหาภูตรูป 4 ส ่วนพลังงานทางกายภาพ หมายถึงพลังงานที่สามารถสัมผัสได้เช่น พลังงานความร้อน พลังงานแสง พลังงานเสียง พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า มีความแตกต่างกันใน รูปปรมัตถ์เป็น พลังงานทางนามธรรมไม่สามารถวัดและประเมินหาค่าคุณสมบัติในทางฟิสิกส์ ใด ๆ ได้เลย ส่วนพลังงานทางฟิสิกส์นั้นเป็นพลังงานทางกายภาพที่สามารถวัด ค่าและตรวจสอบได้ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นรูปปรมัตถ์(มหาภูตรูป 4) เป็นตัวกำหนดรูปแบบให้เกิดพลังงาน และพลังงานนี้ก็จะรวบรวมกันให้เกิด เป็นวัตถุอีกขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้นถ้าหากว่าจะเปรียบเทียบรูปปรมัตถ์โดยเอาหลักการทาง ควอนตัมฟิสิกส์มาจับ รูปปรมัตถ์จะเป็นรูปที่เกิดจากพลังงานทางจิต (ซึ่งจิตมี พฤติกรรมคล้ายคลื่นหรือมีความสามารถส่งคลื่นได้) ซึ่งมีคุณสมบัติจำเพาะอีก แบบหนึ่ง จิตจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกระบวนการเกิดรูปปรมัตถ์ตามมาได้รูป ปรมัตถ์มันจึงเป็นพลังงานที่ซ่อนอยู่ในวัตถุทุก ๆ อย่างที่มีความร้อนแฝงอยู่ใน วัตถุทุกชนิด รูปปรมัตถ์นี้คอยกำกับควบคุมเพื่อวัตถุนั้นทรงตัวอยู ่ได้ตาม คุณสมบัติของรูปปรมัตถ์นั้น(คงค่าของ ปฐวีธาตุอาโปธาตุ เตโชธาตุและวาโย ธาตุ, เปรียบเสมือนกับคงค่าความแข็ง อ่อน เหลว ความร้อน) จึงเป็น เหมือนกับพลังงานแห่งรูปแบบที่มีอยู่ในจักรวาล


211 6.11.4 พีชนิยามอธิบายสิ่งที่มีชีวิตในจักรวาล สิ่งมีชีวิตมี2 แบบ แบบที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิดกับแบบที่มีความรู้สึก นึกคิดได้เอง หรือกล ่าวอย่างง ่ายๆ ว่า แย่งออกเป็นพืชกับสัตว์พีชนิยามใน ความหมายว่าสิ่งนั้นสามารถดำรงชีวิตและสามารถสืบเผ่าพันธุ์เพื่อความอยู่ รอดของวงศ์ตระกูลได้สัตว์ต่างจากพืชนอกจากจะมีความสามารถดำรงระบบ ชีวิตเองได้แล้ว สัตว์ยังมีการรู้คิดเป็นของตนเอง มีจินตนาการ มีความรู้สึกนึก คิด มีการคิด ความรู้สึกนี้ไม่มีในพืช ซึ ่งสัตว์ต้องมีอะไรแฝงอยู่ถึงได้เป็น สิ่งมีชีวิตที่ต่างจากพืช สิ่งนั้นทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “จิต” ซึ่งจะกล่าวใน นิยามข้อต่อไป ผู้เขียนมีความเห็นว่าในพีชนิยามได้กล่าวเป็นสองส่วน ส่วนแรก เกี่ยวข้องกับการมีระบบดำรงชีวิต ส่วนที่สองกล่าวถึงระบบการสืบพันธุ์ ระบบการดำรงชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ต่างมีการดำรงชีวิตเพื่อการอยู่ รอด อาจปรับเปลี่ยนปรับปรุงไปตามความเหมาะกับภูมิอากาศและภูมิ ประเทศเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป ตามหลักของวิวัฒนาการของชาร์ลดาร์วิน เป็นไปเพื่อการดำรงเผ ่าพันธุ์ของตน แต ่ยังคงมีเค้าลางของต้นกำเนิดอยู่ เหมือนกับข้าวก็มีหลายพันธุ์มะม่วงหลากหลายพันธุ์มนุษย์ก็มีหลายเผ่าพันธุ์ เช่นกัน แต่คุณสมบัติหลักยังมีอยู่ พระพุทธศาสนามองเรื่องนี้ว่าเป็นไปตาม หลักธรรม “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น, เต พีชํผลํปจฺจนุโภสฺ สสีติ” การสืบพันธุ์ของพืชมีได้2 ลักษณะ 1) วิธีการเพาะเมล็ด: เป็นวิธีการเป็นไปตามธรรมชาติผลของมัน เป็นการประมวลผลแล้วถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านเมล็ดพันธุ์ทำให้เกิดความ หลากหลายทางชีวภาพ


212 2) วิธีบังคับการเปลี่ยนแปลง: การติดตา ทาบกิ่งการตอน การปัก ชำ เป็นการจำกัดการกลายพันธุ์เพราะเหตุผลการค้าหรือตามความประสงค์ ของมนุษย์ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ วิธีปลูกด้วยเมล็ดมีข้อดีว่ามันจะเป็นตัวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทาง ธรรมชาติโดยที่เราไม่อาจรู้ได้แต่มนุษย์ไม ่ทราบจึงกำหนดเงื ่อนไขการ ขยายพันธุ์เอง เหมือนกับมนุษย์เองถ้าไม่มีกฎหมายห้ามไว้ความเจริญทาง พันธุวิศวกรรมเจริญก้าวหน้ามากสามารถที่จะตัดแต่งให้ได้มนุษย์ที่คัดสรรได้ ตามความประสงค์ซึ่งการจะผิดธรรมชาติที่ธรรมชาติอาจต้องการให้เกิดการ ปรับสภาพด้วยตนเอง จะเป็นความยั่งยืนทางสายพันธุ์สร้างภูมิให้เหมาะสม กับธรรมชาติที่การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พระพุทธศาสนานอกจากจะมองเห็นสิ่งมีชีวิตในโลกนี้แล้ว ยัง คำนึงถึงระบบชีวิตอีกชุดหนึ่งที่อยู่นอกเขตการรับรู้ของชาวโลก โลกที่คู่ขนาน เราในทั้ง 31 ภพภูมิซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอีกระบบหนึ่ง มีร่างกายที่ละเอียดมากกว่า โลกของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน ในการศึกษาว่าระบบชีวิตเหล่านั้นเป็นเช่นใด มีการดำรงชีวิตกันอย่างไร ในส่วนนี้จักรวาลวิทยาไปไม่ถึง บางทีความเข้าใจว่า ไม ่มีจริงเพราะออกสำรวจนอกโลกทั้งด้วยยายอวกาศและมองด้วย กล้อง โทรทรรศน์ยังงมองไม่เห็นเทวดา หรือระบบชีวิตอื่นใดในที่ว่างของจักรวาล ตามคัมภีร์ระบบชีวิตของภพภูมิที ่เหลือนั้นพระพุทธศาสนามองว่าเป็น ดำรงชีวิตด้วยอำนาจของจิตเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นผู้เสวยผลวิบากกรรมที่เคย กระทำไว้ในอดีต ระบบชีวิตของสัตว์ในภพภูมินี้เป็นระบบชีวิตที่เกิดแล้วคง สภาพเลยไม่ผ่านกระบวนการเจริญเติบโตแบบสัตว์บนโลกใช้อำนาจของจิต เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตดูเหมือนว่าจะมีชีวิตคล้ายกับพืชที่ถูกตอน หรือปักชำ ไม่ผ่านกระบวนของการเจริญเติบโตแบบเมล็ด


213 3. จิตนิยาม: เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงใช้อธิบายความแตกต่างระหว่างพืช กับสัตว์ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่มีชีวิตกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ในส ่วนนี้ พระพุทธศาสนา เจาะลึกลงไปว่าสัตว์ต้องมีอะไรพิเศษมากกว่าพืช เพราะสัตว์ สามารถรู้คิดเองได้การรู้คิดเองคือสิ่งที่สัตว์มีแต่พืชไม่มีพระพุทธศาสนาให้ ความสำคัญกับส ่วนนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่าสามารถอธิบายระบบชีวิตของ สัตว์ทั้งโลกนี้และโลกที่มองไม่เห็น ดังนั้นเพื ่อให้ครอบคลุมกลไกที ่เป็น องค์ประกอบของจักรวาลทั้งหมดจิตนิยามจึงเป็นนิยามที่เติมเต็มในส่วนนี้ของ จักรวาล จิต เป็นธรรมชาติอย่างหนึ ่งที ่รู้อารมณ์จากการค้นคว้าพบว่ามี ความสามารถสื่อสารกับวัตถุได้ในการทดลอง Double slit experiment ชีวิต ตามพระพุทธศาสนาประกอบด้วย รูป (วัตถุ) และนาม (จิต) ผู้เขียนมีความเห็นว ่าจิตมีคุณสมบัติ ประการหนึ่งที่สามารถสื่อสารกับวัตถุได้เพราะรูปแบบพฤติกรรมแบบเกิด-ดับ เหมือนสัญญาณคลื่นจากเงื่อนไขนี้เราสามารถอธิบายได้ดังภาพ รูปภาพที่ 51 ความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์


214 6.12 กรรมนิยามอธิบายเหตุ-ผลของจิต เป็นกลไกทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตโดยตรง หลัก ของกรรมเป็นกลไกที่ต้องคู่กับจิตนิยามกับหลักธรรมนิยามซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ผู้เขียนมีความเห็นว่าหลักกรรมอธิบายได้ทั้งกลไกทางวัตถุ และทางจิต กรรมเป็นเหตุวิบากเป็นผล 6.12.1. กลไกกรรมกับจักรวาล: เป็นการอธิบายที ่สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุในการเกิด ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง ทฤษฎีทาง วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นมาจากการการเฝ้าสังเกตเหตุการณ์ตั้งสมมุติฐาน ทดลอง แล้วทำซ้ำ ๆ กัน จากนั้นจึงตั้งเป็นทฤษฎีเพื่อทำนายผลอย่างเที่ยงตรง นัก จักรวาลวิทยาเฝ้าสังเกตดวงดาวในท้องฟ้า เพื่อสังเกตหาทฤษฎีจะได้เป็นหลัก ในการใช้ทำนายผลของดวงดาวหรือปรากฏการณ์ที ่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าใน ลักษณะเดียวกันได้ไอน์สไตน์สังเกตเห็นแสงลอดออกมาจากปรากฏการณ์ สุริยุปราคาได้ทั้ง ๆ ที่มันควรจะมืดมิดมากกว่า การเฝ้าสังเกตการณ์และตั้ง สมมุติฐานว่าแสงเดินน่าจะทางเป็นเส้นโค้งได้จึงเกิดทฤษฎีกาล-อวกาศ (Time & Space) และทฤษฎีสัมพัทธภาพตามมา ประเด็นที่เปลี่ยนกระแส ความคิดของโลกในยุคนั้น คือ “อวกาศมีตัวตน” สรรพสิ่งในจักรวาลนั้นเวียน ว่ายอยู่ในมหาสมุทรของอวกาศนี้เป็นระบบการคิดแบบสาวจากผลไปหาเหตุ เมื่อมีผลย่อมต้องมีเหตุเป็นไปตามหลักธรรมอิทัปปัจจยตา (ความที่สิ่งนี้อาศัย สิ่งนี้เกิดขึ้น) ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไร้เหตุในการเกิดวิธีคิดเรื่องกรรมกับวิบาก เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยหลักการนี้เมื่อนักจักรวาลวิทยาค้นพบรังสีความที่ปรากฏในทุก ๆ ส ่วนของจักรวาลตามถ่ายภาพที่จับรังสีความร้อนได้จึงได้คำนวณย้อย กลับไป จนได้ระยะเวลาแรกเกิดจักรวาลที่ 13,700 ล้านปีรังสีความร้อนที่


215 หลงเหลืออยู่ คือ วิบาก ต้นต่อคือการระเบิดของปรากฏการณ์บิ๊กแบง คือ กรรม ที่เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเชื่อว่ากรรมอัน นั้นน่ามีเหตุของกรรมอีกทอดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการระบิด ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ สัก วันหนึ่งคงได้บทสรุปที่แน่นอนในอนาคต 6.12.2 กลไกกรรมกับจิต: กรรมเป็นของที่อยู่คู่กับจิต จิตสะสมผลของกรรมไว้เพื่อเป็นปัจจัย ในการต่อภพชาติในกรณีที่ยังมีกิเลสอยู่กรรมที่เกิดย่อมถูกเก็บสะสมไว้ให้จิต นำไปใช้ได้หรือเรียกว่าเป็นฐานข้อมูลผู้เขียนมีความเห็นว่าเรื่องนี้สามารถ อธิบายว่าเป็นฐานข้อมูลในการสืบภพชาติได้อย่างไร จิตก่อนจากภพเดิมจะใช้ ข้อมูลกรรมจากฐานการภพตามรูปที่ผู้เขียนสรุปกระบวนการเกิด รูปภาพที่ 52 กลไกการเกิดของชีวิตจากฐานกรรม จากภาพเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่ากรรมมีส่วนร่วมในกระบวนการ เกิดของสัตว์ในช่วงแรกของปฏิสนธิจิต จิตจะสร้างพลังงานแห่งรูปแบบขึ้นมา เหมือนกับการเขียนพิมพ์เขียวของบ้าน ก่อนที่จะสร้างบ้าน จิตมีคุณสมบัติเป็น ความถี่คลื่น และคลื่นก็สามารถสร้างพลังงานได้ดังนั้นรูปแบบของพลังงานที่ เกิดจากจิตที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุจึงร่างขึ้นมาเพื่อเป็นแบบให้กายหยาบ


216 แบบร่างนี้เปรียบได้กับกายทิพย์ที่เบาบาง กายทิพย์นี้จิตสร้างโดยอาศัยข้อมูล กรรม ที่ว่าเป็นเหมือนกายทิพย์ซึ่งอันที่จริงแล้วกลุ่มพลังงานที่จิตสร้างนั้นมีมา ตั้งแต่ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ลักษณะของกายทิพย์ที่แฝงอยู่ดูได้จากการฝึกมโนมยิ ทธิญาณ เป็นการถอดกายทิพย์ออกจากตน จะรู้ได้ก็ด้วยการฝึกฝนจนเกิด ญาณ “เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ภิกษุนั้น น้อมจิตไปเพื่อเนรมิตกายที่เกิดแต่ใจ คือ เนรมิตกายอื่นจากกายนี้มีรูปที่เกิด แต่ใจ มีอวัยวะครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง เปรียบเหมือนคนชักไส้ออกจาก หญ้าปล้อง เขาเห็นว่า ‘นี้คือหญ้าปล้อง นี้คือไส้หญ้าปล้องเป็นอย่างหนึ่ง ไส้ก็ เป็นอีกอย่างหนึ่ง” ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงเชื่อว่ากายทิพย์แฝงอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว ใน ขณะเดียวกันรูปแบบนี้จิตสร้างขึ้นมาจากฐานของกรรมที่ประพฤติตนในชาติ ปัจจุบัน เมื่อตายไปรูปโครงร่างแบบกายทิพย์ก็จะเป็นแม่แบบจำลองภพใหม่ ทันทีเราจึงเรียกว่าตายแล้วเกิดเลยในทันที 6.12.3 ธรรมนิยามกับกลไกและองค์ประกอบของจักรวาล จักรวาลเป็นไปตามหลักธรรมที ่มีอยู ่แล้วตามธร รมชาติ พระพุทธศาสนามองว่าหลักธรรมต่างๆ เป็นสัจจะที่ควบคุมหรือผลักดันให้ จักรวาลเป็นไป เป็นกลไกของจักรวาล หลักธรรมหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ ควบคุมได้แก่ 1. กฎไตรลักษณ์หลักธรรมข้อนี้เป็นข้อหลักที่พระพุทธศาสนาถือ เป็นหัวใจหลักของการศึกษา เป็นกลไกทางธรรมที่ขับเคลื่อนจักรวาลผู้เขียนมี ความเห็นดังนี้


217 รูปภาพที่ 53 กลไกของไตรลักษณ์ หลักไตรลักษณ์ก็เหมือนกลไกทางธรรมกลไกหนึ่งที่ใช้ได้กับสังขตธรรม (สภาพธรรมที่ปรุงแต่งได้) ทั้งหมด จักรวาลทั้งหมดเกิดจากการปรุงแต่ง เพราะมีความไม่เที่ยงแปรผันไปเรื่อย เช่นจากคลื่นไปเป็นพลังงาน จาก พลังงานเป็นสสาร จากสสารเป็นดวงดาว เป็นกาแลกซี่ หลักไตรลักษณ์มีเฟือง ตัวแรก คือ ความไม่เที่ยง-อนิจจัง ในความหมายว่า ด้วยความไม่เที่ยง จึงเกิด การเปลี่ยนแปลงแปรปรวน บีบคั้นให้เกิดสภาพทุกข์ด้วยเหตุที่ไม่มีใครเป็น เจ้าของของระบบ เพราะมันมีสภาพธรรมของอนัตตาอยู่ในจักรวาลก็เช่นกัน ผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นไปตามเงื่อนไขของไตรลักษณ์ 6.12.3 ไตรลักษณ์กับจักรวาล กระบวนการเกิดของปรากฏการณ์บิ๊กแบงกำเนิดจักรวาล มีความ สอดคล้องกับกฎไตรลักษณ์ในพระพุทธศาสนาเป็นด้วยเหตุและผลดังต่อไปนี้ ก. ในแง่ของอนิจจัง จักรวาลที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ปรากฏการณ์บิ๊กแบง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะ ซิงกูลาริตี้(Singularity) ที่มีความร้อนสูงระเบิดออก เมื่อกระทบกับความเย็น


218 ของอวกาศ ทำให้เกิดเป็นเงื่อนไขที่เนื่องจากอุณหภูมิที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดการ ถ่ายเทพลังงานของสิ่งที่สัมผัสกัน ตามหลักของเทอร์โมไดนามิกส์การถ่ายเท พลังงานนี้เป็นเหตุปัจจัยให้พลังงานจากการระเบิดเปลี่ยนไปเป็นอนุภาค จาก อนุภาคทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงขึ้นมาอีก และแรงโน้มถ่วงซึ่งกันและกันเกิดการ รวมตัวเปลี่ยนเป็นธาตุจากธาตุรวมกันเปลี่ยนไปเป็นดวงดาวและกาแลกซี่ เมื่อการเผาไหม้ของดวงอาทิตย์หมดไปมันก็จะเปลี่ยนเป็นหลุมดำที่มีแรงโน้ม ถ่วงมหาศาล แล้วแรงโน้มถ่วงในหลุมดำนี้จะดึงดูดเอากาแลกซี่ เข้าไปรวมกัน เป็นซิงกูลาริตี้(Singularity) แล้วเกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบงใหม ่ขึ้นอีก นักวิทยาศาสตร์บางท่านเชื่อว่าเกิดหลุมขาว (White Hole)เป็นจักรวาลในอีก มิติหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับจักรวาลเราจะเห็นได้ว่าสิ่งจากต่างที่อยู่ในจักรวาล นั้นไม่อยู่นิ่งเกิดการเปลี่ยนตลอดเวลาเกิดแล้วก็ดับเป็นวงจรเช่นนี้ตลอดไป แต่ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมีเหตุและปัจจัยที่ชัดเจนมีเงื่อนไขรองรับ แม้ใน ปัจจุบันนี้จักรวาลก็ยังคงเปลี่ยนแปลงทุกขณะตลอดเวลา เหตุปัจจัยที่สำคัญ ทำให้เกิดอนิจจัง คือ อุณหภูมิที่ไม่เท่ากันหรือเรียกว่ามีความต่างกันของเอ็น โทรปีในระบบกับนอกระบบ ความร้อนที่อยู่ในซิงกูลาริตี้(Singularity) ทำให้เกิดการระเบิด “บิ๊ กแบง” พลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นจากการระเบิดจึงเกิดถ่ายเทเอ็นโทรปีออก นอกระบบคือ “อวกาศ” ผลของการถ่ายเทความร้อนทำให้เกิดเป็นอนุภาค แล้วแรงโน้มถ่วง จึงเกิดตามมา เพราะมีมวลเกิดขึ้นปรากฏการณ์โน้มถ่วงเกิดจากมวลการ เปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ข. ในแง่ของทุกขัง ปรากฏการณ์บิ๊กแบงเป็นปรากฏการณ์ที่ เกิดขึ้นจากแรงบีบอัดของแรงโน้มถ่วงให้อยู่ในสภาวะซิงกูลาริตี้(Singularity) สภาวะแบบนี้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่ามันเป็นสภาวะทุกข์คือ ทนได้ยาก


219 การระเบิดออกมา เพื่อปรับสมดุลจึงเกิดเป็นเงื่อนไขของอนิจจังตามมาอีกต่อ หนึ่ง เป็นปรากฏการณ์ที่ต่อเนื่องเสมือนเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กันจึงเรียกว่าเป็น สัจธรรมอันเดียวกัน แต่แสดงออกต่างวาระกันเท่านั้นขึ้นอยู่กับเราไปมองดูใน ขั้นตอนไหน แรงโน้มถ่วงเป็นทุกข์ที่แฝงเร้นในจักรวาลจะแสดงออกชัดเจนก็ ต่อเมื่อมีวัตถุเกิดขึ้นมาสรรพสิ่งที่เป็นอยู่ในจักรวาลรวมทั้งตัวมันเองด้วยอยู่ ภายใต้เงื่อนไขของความทุกข์สรรพสิ่งที่อยู่ในเอกภพจะมีอวกาศเป็นตัวบีบรัด เหมือน วัตถุที่หนักจมลงในผืนผ้าใบ ก็จะถูกผ้าใบห่อเอาไว้แรงบีบจะมากหรือ น้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าวัตถุนั้นมีมวลมากหรือน้อยกว่ากัน ค. ในแง่ของอนัตตา หลักธรรมอนัตตาเป็นหลักธรรมที่เด่นมาก ของพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาแบบอเทวนิยม หมายถึง ไม่เชื่อเรื่องการมี ผู้สร้าง ผู้ดลบันดาลสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากผู้ใดผู้หนึ่งบงการให้เป็นไป ตามอำนาจของผู้นั้น จากการศึกษาเรื่องปรากฏการณ์บิ๊กแบงทำให้เราทราบ ว่าจักรวาลนี้ไม่มีผู้สร้าง เป็นกระบวนการทางธรรมชาติทั้งหมดไม่มีปฐมเหตุ (First Cause) สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุและปัจจัย หลายปัจจัย ประกอบกันตามกระบวนการทางเคมีฟิสิกส์ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สสารและ พลังงาน อนัตตานั้นเป็นแม่งานหลักขององค์ธรรมทั้งปวงที่เป็นปัจจัยให้เกิด หรือเอื้อต่อการเกิดองค์ธรรมอื่น ๆ อาจเรียกว่าเป็นกลาง คือ ความสมดุล สรรพสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาลพยายามที่จะปรับสมดุลด้วยหลักของอนัตตา ที่ว่า ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างปราศจากเจ้าของและมีความว่างจากเจ้าเป็นพื้นฐานจึงมี ความเป็นเสรีที ่พร้อมจะให้เกิดปรากฏการณ์ต่างแสดงออกมา เพราะ ปรากฏการณ์นั้นเป็นผลของกฎใดกฎหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์รู้ผลแล้วจึงสืบค้น ไปหาต้นเหตุแล้วประยุกต์หาสมการวางรากฐานของการทำนายสิ ่งต่าง ๆ จักรวาลที่เกิดจากปรากฏการณ์บิ๊กแบงได้นั้นเป็นเพราะอวกาศมีความว่าง


220 หมายถึงปราศจากเจ้าของอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วดังนั้นความว่างของอวกาศจึง เป็นอนัตตาเอื้อต่อการเกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบง ก. กระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยเป็นเงื่อนไข ของอนัตตาการเกิดปรากฏการบิ๊กแบง เป็นการเกิดขึ้นของแรง โน้มถ่วงและความร้อนที่สูงมาก ข. กระบวนทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยการเปลี่ยนจาก พลังงานเป็นอนุภาค เกิดขึ้นเพราะเอ็นโทรปี(อุณหภูมิ)ไม่เท่ากัน หลังระเบิดบิ๊กแบง ค. เป็นอวกาศ เป็นความว ่างจากเจ้าของที ่เอื้อต ่อการเกิด กระบวนการทางธรรมชาติ ต่าง ๆ รวมทั้ง กระบวนการทาง ธรรม อนิจจังและทุกขัง


221 บทที่ 7 คลื่นจิต 7.1 ทฤษฎีคลื่น นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบงที่ระเบิดออกมาความแปรปรวน ของอวกาศยังไม่หยุดนิ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จักรวาลเต็มไปด้วยคลื่น ที่สั่นตลอดเวลาซึ่งเราเรียกว่า พลังงาน (Energy) จากผลของการระเบิดครั้ง นั้น มีทั้งการชนกันและรวมกันของคลื่นต่าง ๆ จากการศึกษาพบว ่าคลื่น ทั้งหมดในจักรวาล คลื่น หมายถึง ลักษณะของสิ่งต่าง ๆ นั้น ถูกรบกวน มีการแผ่ กระจาย เคลื่อนที่ออกไป ในลักษณะของการกวัดแกว่ง หรือกระเพื่อม และ ส่วนมากจะมีการส่งถ่ายพลังงานไปพร้อม ๆ กัน ผ ่านตัวกลางเป็นส ่วนใหญ่ ยกเว้นการแผ่รังสีเคลื่อนแม่เหล็กไฟฟ้า และแรงดึงดูดไม่ต้องใช้ตัวกลาง คลื่น แบ่งออกเป็นสองอย่าง เรียกตามผลที่มีอิทธิพลต่อตัวกลาง ถ้าหากว่าทีการทำ ให้อนุภาคของตัวกลางไม่เคลื่อนที่เรียกว่าคลื่นเชิงกล(Mechanical Wave) เช่น คลื่นน้ำอนุภาคของน้ำจะอยู่นิ่งๆ ส ่วนที่เคลื่อนที่เป็นแค่เฉพาะตัวคลื่น และสิ่งที่คลื่นพาไปเช่นของที่ลอยบนผิวน้ำ และในส่วนที่ทำให้อนุภาคของ ตัวกลางเคลื่อนที่ เรียกว่า การเคลื่อนที่แกว่งกวัด(Oscillation) คลื่นแบบนี้ อนุภาคภายในวัตถุ หรือสิ่งที่เป็นตัวกลางจะเคลื่อนที่ เช่น การคลื่นที่ของ อนุภาคภายในอะตอม ซึ่งคลื่นในลักษณะนี้เป็นคุณสมบัติของอนุภาคอย่าง หนึ่งเรียกว่าทวิภาวะ(Duality) ของอนุภาค บางครั้งก็แสดงตัวเป็นคลื่น บางครั้งก็แสดงตัวเป็นอนุภาค ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม


222 7.1.1 การจำแนกคลื่น ก. แบ่งตามลักษณะของตัวกลาง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) คลื่นกล (mechanical wave) คือ คลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางใน การเคลื ่อนที ่สามารถถ ่ายทอดและโมเมนตั้มโดยอาศัยความยืดหยุ ่นของ ตัวกลาง เช่น คลื่นเสียง คลื่นน้ำ คลื่นในเส้นเชือก 2) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic wave) คือ คลื่นที่ไม่ ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เช่น แสง คลื่นวิทยุคลื่นโทรทัศน์ ข.การจำแนกคลื่นตามลักษณะการกำเนิดคลื่น แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) คลื่นดล (pulse wave) คือ คลื ่นที ่เกิดจากแหล ่งกำเนิดสั่น เพียงครั้งเดียว ทำให้เกิดคลื่นเพียงหนึ่งลูก อาจมีลักษณะกระจายออกจาก แหล่งกำเนิดที่ทำให้เกิดคลื่น เช่น การโยนหินลงไปในน้ำ 2) คลื่นต่อเนื่อง (continuous wave) คือ คลื่นที่เกิดจากการสั่น ของแหล ่งกำเนิดหลายครั้งติดต่อกัน ทำให้เกิด คลื่นหลายลูกติดต่อกัน โดย ความถี่ของคลื่นที่เกิดขึ้นเท่ากับความถี่ของการรบกวนของแหล่งกำเนิดคลื่น เช่น คลื่นน้ำที่ เกิดจากการใช้มอเตอร์ ค. การจำแนกคลื ่นตามลักษณะการเคลื ่อนที ่แบ ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) คลื่นตามขวาง (Transverse waves) เป็นคลื่นที่ส่งผ่านไปใน ตัวกลางแล้วทำให้อนุภาค ในตัวกลางเคลื่อนที่ตั้งฉากกับทิศทาง การเคลื่อนที่ ของคลื่น เช่น คลื่นตามขวางในเส้นเชือก คลื่นแสง ตามภาพแบบที่1 และ 2


223 2) คลื่นตามยาว (Longitudinal wave) เป็นคลื่นที่ส่งผ ่านไปใน ตัวกลางแล้วทำให้อนุภาคในตัวกลางเคลื่อนที่ตามแนวขนานกับ ทิศการ เคลื่อนที่ของคลื่น เช่น คลื่นเสียง คลื่นสปริง ตามภาพ แบบที่3 7.1.2 พฤติกรรมและส่วนประกอบของคลื่น คลื่นทุกประเภทจะมีพฤติกรรมร่วมที่เหมือนกันภายใต้สภาวะปกติ โดยมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ การสะท้อน (Reflection) คลื่นเปลี่ยนทิศทางโดยการสะท้อนเมื่อ ตกกระทบพื้นผิว การหักเห (Refraction) คลื่นสามารถเปลี่ยนทิศทางหักเหได้เมื่อ เคลื่อนที่จากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง ซึ่งมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน การเลี้ยวเบน (Diffraction) คลื ่นเคลื ่อนที ่มักจะขยายวงออก ตลอดเวลาถ้ามีโอกาส เช่น เมื่อผ่านช่องที่แคบ ๆ แล้วโผล ่ออกมาที่โลกกว่า คลื่นนั้นจะขยายตัวเป็นวงกว้างทันที การแทรกสอด (Inference) จะมีการซ้อนทับกันของคลื่น เมื่อวิ่งมา ตัดกัน บ้างครั้งก็เสริมแรงกัน และมีส่วนหนึ่งที่หักล้างแรงกัน การกระจาย (Dispersion) มีความถี่ที่แตกต่างกันเป็นองค์ประกอบ และกระจายแยกออกห่างจากกันตลอดเวลา การแผ่เชิงเส้นตรง (Rectilinear propagation) มีการเคลื ่อนที่ ของคลื่นเป็นเส้นตรง ส่วนประกอบของคลื่น คลื่นมีองค์ประกอบหลัก ๆ ได้ส่วนประกอบ ของคลื่น


224 1. สันคลื่น (Crest) เป็นจุดที่มีตำแหน่งสูงสุดในรอบของการแกว่ง หนึ่งรอบ มีค่าเป็นบวก (+) 2. ท้องคลื่น (Crest) เป็นจุดที่มีตำแหน่งสูงสุดในรอบของการแกว่ง หนึ่งรอบ มีค่าเป็นลบ (-) 3. แอมพลิจูด(Amplitude) ระยะห่างระหว่างสันคลื่นกับท้องคลื่น 4. ความยาวคลื่น (Wavelength) เป็นความยาวของคลื่นหนึ่งลูก ที่ วัดจากระยะระหว่างสันคลื่นกับท้องคลื่นที่อยู่ถัดกัน 5. ความถี่ (Frequency) คือ จำนวนลูกคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านตำแหน่ง ใด ๆ ในหนึ่งหน่วยเวลา แทนด้วยสัญลักษณ์มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาที(s-1 ) หรือเฮิรตซ์(Hz) 6. คาบ (Period) เป็นช่วงเวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านจุดใดจุดหนึ่งได้ ครบ 1 ลูกคลื่น แทนด้วยสัญลักษณ์ มีหน่วยเป็นวินาทีต่อรอบ (s) 7, อัตราเร็วของคลื่น (Wave speed) หาได้จากผลคูณระหว่าง ความยาวคลื่นและความถี่ 7.3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า พื้นฐานของวัตถุในจักรวาลนี้เกิดมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ แรงแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Force, Electromagnetic Wave) เป็นคลื่นที่เกิดจากแรงแม่เหล็ก และแรงทางไฟฟ้ารบกวนกัน เรียกว่า การ รบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) กล่าวคือ การ ทำให้สนามไฟฟ้าถูกทำให้เปลี่ยนแปลง เมื่อสนามไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลง จะ เหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก หรือถ้าสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะ เหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้าเป็นปัจจัยของกันและกัน หรืออาจกล่าวว่าคลื่นทั้ง สองสอดแทรกกันไปมาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง ประกอบด้วย สนามไฟฟ้าและสนามแม ่เหล็ก มีการสั่นไปมาในแนวตั้งฉากซึ ่งกันและกัน ตั้งอยู่บนระนาบตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นโดยรวม คลื่น


225 แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ โดยไม่อาศัยตัวกลางดังนั้นมันจึงสามารถ เคลื่อนที่ได้แม้ในสุญญากาศ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงมีคุณสมบัติทางกายภาพ: ไม่ต้องใช้ตัวกลางใน การเคลื่อนที่อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศเท่ากับ 299,792,458 เมตรต่อวินาทีซึ่งเท่ากับอัตราเร็วของแสง /เป็นคลื่นตามขวาง /ถ่ายเทพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง /ถูกปล ่อยออกมาและถูกดูดกลืนได้ โดยสสาร /ไม ่มีประจุไฟฟ้า /คลื่นสามารถแทรกสอด สะท้อน หักเห และ เลี้ยวเบนได้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน เรียกว่า สเปคตรัม (Spectrums) ของคลื่น ครอบคลุมตั้งแต่คลื ่นแม ่เหล็กไฟฟ้าที่ สามารถมองเห็นได้กับที่มองไม่เห็น เช่น อัลตราไวโอเลต อินฟราเรด คลื ่นวิทยุ โทรทัศน์ ไมโครเวฟ รังสีเอ็กซ์รังสีแกมมา เป็นต้น คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ทั้งในการสื่อสารและโทรคมนาคม และทางการแพทย์ตลอดจนอุปกรณ์การดำรงชีวิตประจำวัน ถ้าเราใช้การรับรู้ด้วยตาเป็นเกณฑ์การแบ่งสเปคตรัม ความยาวของ คลื่นก็จะมี3 ช่วง ช่วงที่1. ช่วงที่ตามองเห็น ช่วงที่2. ช่วงที่สายตามมองไม่ เห็นแต่มีความยาวคลื่นมาขึ้น ได้แก่ช่วงที่ความยาวคลื่นนั้นมากกว่าความยาว คลื่นสีแดง ซึ่งเราเรียกว่าอินฟราเรด(Infrared) และ ช่วงที่3. ช่วงที่คลื่นมี ความยาวคลื ่นสั้นกว่าความยาวคลื ่นสีม่วง เรียกว่าอุลตร้าไวโอเรต (Ultraviolet Rays) ตามรูปเมื่อแยกจำแนกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ละเอียดออก อีกได้ดังนี้


226 ตารางที่ 4 คุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วงคลื่นที่สายตามนุษย์สัมผัสได้มีทั้งหมด7 เฉดสีหรือที่เราเรียกมัน ว่า “สีรุ้งกินน้ำ” (Rainbow) ปรากฏการณ์จะย้อนกลับเมื่อแสงที่ผ่านปริซึม กลับหัวสองอัน แสงจะหักเหกลับเหมือนเกิด ตามที่กล ่าวมานั้นว่า สสารที่เกิดขึ้นในจักรวาลล้วนมีพื้นฐานมาก จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงใช้วิธีอ่านค่าของแร ่ธาตุ ต่าง ๆ จากคุณสมบัติที่แร่ธาตุถ่ายเทพลังงานความร้อนออกมาไม่เหมือนกัน หลังจากที่เพิ่มพลังงานให้กับแร่ธาตุนั้น เมื่อหยุดให้พลังงาน ธาตุนั้นจะคืนตัว กลับมาสู่ความเสถียรเหมือนเกิด คลื่นความร้อนจึงถูกถ่ายเทออกมา (Emission) ที่สามารถวัดได้เป็นสเปคตรัม ในบรรดาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามที่กล่าวมาแล้วนั้น มีความเกี่ยวข้อง กับสิ่งมีชีวิต หรือให้คุณให้โทษกับสิ่งมีชีวิตได้ผู้เขียนแบ่งประเภทลักษณะของ คลื่นออกเป็นสองลักษณะ


227 1). คลื่นที่มีคุณสมบัติในการทำลายล้างสิ่งมีชีวิตเช่น รังสีแกมมา (Gamma Ray) ใช้ประโยชน์ในการถนอมอาหาร โดยการกำจัดเชื้อโรคที่เปื้อน ปนมากับอาหารได้รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Ray) ตามห้องปลอด เชื้อโรคตามโรงพยาบาลจะติดตั้งเพื่อกำจัดเชื้อโรค การฉายแสง X –Ray ใช้ดู อวัยวะภายใน แพทย์มักจะกำหนดระยะห ่างของผู้ฉายแสง และความถี่ของ คนไข้ว่าควรจะมีการเว้นระยะในการฉายนานเท่าไหร่ถึงจะไม่ทำลายสุขภาพ หรือนานพอที่ร่างกายสามารถฟื้นตัวเองได้ 2). คลื่นที่ส่งเสริมเกื้อกูลต่อสิ ่งมีชีวิต เป็นคลื่นที่อยู่ใต้แดงลงไป ตั้งแต่รังสีอินฟราเรด(Infrared Ray) ลงไปซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตกลับ ช่วยส่งเสริมการดำรงชีวิต เช่น พืชใช้รังสีอินฟราเรดสังเคราะห์แสง มนุษย์ใช้ รักษาโรคผิวหนัง สื่อสาร ใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหาร ใช้คลื่นวิทยุสื่อสาร คลื่นช่วง นี้เป็นช่วงคลื่นที่มีคุณสมบัติเกี่ยวข้องกับความร้อน 3). แสงที ่ตามองเห็น เป็นรุ้ง7 เฉดสีที่สายตามคนทั ่วไปสามารถ มองเห็นได้มนุษย์ใช้มองเห็นสิ่งภายนอกตัว ด้วยสเปคตรัมของวัตถุที่ถูกปล่อย ออกมา 7.4 อินฟราเรดรังสี: รังสีแห่งความร้อน 7.4.1 ประเภทคลื่นอินฟราเรด รังสีอินฟราเรด(Infrared Rays – IR) เป็นรังสีใต้แดง หรือรังสีความ ร้อน เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่างคลื่นวิทยุและคลื่น แสงที่มองเห็น มีความถี่ในช่วงเดียวกันกับไมโครเวฟ มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง - 200 ถึง 4,000 ํc จะไม่เบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็กไฟฟ้า


228 อินฟราเรดใกล้ 0.7 - 1.3 um 230 - 430 THz อินฟราเรดคลื่นสั้น (Near Infrared) 1.3 - 3 um 100 - 230 THz อินฟราเรดคลื่นกลาง (Middle Infrared) 3 - 8 um 38 - 100 THz อินฟราเรดความร้อน (Thermal Infrared) 8 - 14 um 22 - 38 THz อินฟราเรดไกล (Far Infrared) 14 um - 1 mm 0.3 - 22 THz ตารางที่ 5 คลื่นอินฟราเรด วัตถุที่ร้อนจะแผ่รังสีอินฟราเรดโดยมีความยาวคลื่นสั้นกว่า 10-4 เมตรออกมา ประสาทผิวหนังของมนุษย์สามารถรับรังสีอินฟราเรดบางช่วง ความยาวคลื่นได้และฟิล์มถ่ายรูปบางชนิดสามารถถ่ายรูปได้โดยอาศัยรังสี อินฟราเรด ตามปกติแล้วสิ่งมีชีวิตจะแผ ่รังสีอินฟราเรดออกมาตลอดเวลา เพราะมีกระบวนการสร้างพลังงานความร้อน ในการดำเนินกิจกรรมรักษาชีวิต นอกจากนี้รังสีอินฟราเรดยังมีความสามารถในการทะลุทะลวงผ่าน เมฆและหมอกที่หนาเกินกว่าแสงธรรมดาจะผ่านได้นักวิทยาศาสตร์จึงอาศัย คุณสมบัตินี้ในการถ่ายภาพพื้นโลกจากดาวเทียม โดยไม่มีเมฆหมอกมาบัง ทัศนะวิสัยในการศึกษาสภาพของป่าไม้ที่เปลี่ยนไป หรือการเคลื่อนย้ายของ ฝูงสัตว์ตลอดจนยังสามารถใช้ในระบบควบคุมทางไกล ที่เรียกว่า รีโมท คอนโทรล (Remote Control) ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ คนสมัยใหม่ ทุกอย่างสั่งการจากการกดปุ่ม ซึ่งเป็นระบบควบคุมการทำงาน ของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จากระยะไกลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ รังสีอินฟราเรดนี้จะเป็นตัวนำคำสั่งจากเครื่องควบคุมไปยังเครื่องรับ


229 ในทางทหารได้มีการนำรังสีอินฟราเรดมาใช้เกี่ยวกับการควบคุมให้ อาวุธนำวิถีเคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง ในสงครามอิรักใช้มากและ ได้ผลแม่นยำระดับเซนติเมตร และในปัจจุบันได้มีส่งสัญญาณด้วย เส้นใยนำแสง (Optical Fiber) โดยใช้รังสีอินฟราเรดเป็นพาหะนำสัญญาณ แทนแสงธรรมดา เพราะแสงธรรมดาอาจจะถูกรบกวนจากแสงภายนอกได้ง่าย ด้วยเหตุที่รังสีอินฟราเรดเป็นรังสีที่ให้ความร้อน ดังนั้นนักดารา ศาสตร์จึงจัดสร้างกล้องโทรทรรศน์อวกาศเพื่อสำรวจเอกภพ เพราะดวงดาว ต่าง ๆ และเทหะวัตถุบนฟากฟ้าล้วนมีความร้อน ดังที ่ได้สร้างมาแล้วเช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศ สปิตเซอร์(pitzer Space Telescope) ของนาซา และกล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์สเชล (Herschel Space Observatory) ขององค์การอวกาศยุโรป (อีซา) และเพื่อให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นนาซ่า จึงได้ มีโครงการทำแผนที ่อวกาศอย่างเป็นจริงเป็นจังภายใต้โครงการกล้อง โทรทรรศน์อวกาศสำหรับแผนที ่ห้วงอวกาศ “ไวส์” (WISE: Wide-Field Infrared Survey Explorer) ซึ่งเป็นกล้องสำรวจในย่านรังสีอินฟราเรดของ องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ซึ่งออกเดินทางสู่อวกาศในวันที่ 11 ธันวาคม 2552 ที ่ผ ่านมา จ าก ฐ านทัพอ าก าศแ วนเดนเบิ ร์ก (Vandenberg)ของสหรัฐ ชายฝั่งตอนกลางของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ถูกนำ ด้วยจรวดเดลต้า2 (Delta2) หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน กล้องโทรทรรศน์ อวกาศไวส์จะโคจรรอบโลกที่ระดับความสูง 520 กิโลเมตร และทำแผนที่ จักรวาลที่ละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีโดยกล้องไวส์ได้ถูกออกแบบให้ตรวจหาวัตถุ ที่ให้แสงอินฟราเรดหรือความร้อนออกมาและแสงอินฟราเรดนี้มีความสำคัญ สำหรับการค้นพบวัตถุที่เป็นแม้แต่ฝุ่นผงที่เย็นจัดและอยู่ห ่างไกลมาก ๆ ซึ่ง มักจะค้นไม่พบโดยกล้องโทรทรรศน์ที่บันทึกด้วยแสงในย่านที่ตามองเห็น ในทางการแพทย์ใช้รังสีอินฟราเรดระยะไกล (Far infrared Rays ) เพื่อวัตถุประสงค์ให้ความอุ่นซึ่งสร้างขึ้น โดยรังสีอินฟราเรดระยะไกลที่


230 สามารถเข้าลึกถึงในร่างกายได้โดยที่ไม่มีความเสี่ยงที่จะทำความเสียหาย ให้แก่เนื้อเยื่อของร่างกายของมนุษย์ที่ประกอบด้วยสารอินทรีย์และอนินทรีย์ อย่างหลากหลายและซับซ้อนมากซึ่งประกอบไปด้วยอะตอม และอนุภาคย่อย ในอะตอมนั้นได้แก ่ อิเล็กตรอน โปรตอน และ นิวตรอน และอื่น ๆ ที่ สั่นสะเทือนไปตามจังหวะและความถี่ของมันเองตลอดเวลา เมื่อให้ความร้อน จากการผ่านแสงอินฟาร์เรดระยะไกลให้สอดคล้องกับจังหวะการสั่นสะเทือนที่ เป็นไปตามจังหวะของอะตอมบางอะตอมสามารถดูดซึมได้จึงทำให้เกิด พลังงานมหาศาลขึ้นภายในโมเลกุลซึ่งมีอะตอมเป็นส่วนประกอบ ความร้อนที่ เกิดจากรังสีอินฟาร์เรดระยะไกลจะแผ ่รังสีและสร้างความสมดุลอย่างเกี่ยว เนื่องกัน ทำให้คนรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลายราวกับได้อาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อน ที่อุดมไปด้วยเกลือแร่ที่อบอุ่น ซึ่งอาจจะดูคล้ายกับกับการอุ่นอาหารแบบเตา ไมโครเวฟที่เราใช้กัน คือกระตุ้นที่โมเลกุลของวัตถุ 7.4.2 อินฟาร์เรด: รังสีแห่งการสื่อสาร สาเหตุที่กล่าวเช่นนี้เพราะว่ามันสามารถถูกสร้างให้ใช้เป็นอุปกรณ์ เพื่อการสื่อสารได้ระหว่างสิ่งสองสิ่งและเมื่อแบ่งตามลักษณะของสิ่งที่สื่อกับ สิ่งที่ถูกสื่อ ผู้เขียนแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ใหญ่ๆ ได้แก่ 1. ระหว่างเครื่องจักรกลกับเครื่องจักรกล: เครื่องมือทางไฟฟ้าใน ปัจจุบันนี้ส่วนมากเราใช้รีโมต (Remote Control) ในการสั ่งการให้เครื่อง ทำงานตามที่เราสั่ง เช่น โทรทัศน์เครื่องปรับอากาศ เครื่องพิมพ์คอมพิวเตอร์ ระบบสั่งการด้วยรีโมตนี้เป็นการทำงานโดยใช้คลื่นอินฟราเรดเป็นตัวสื่อสาร ระหว่างกัน ดังที่เราคุ้นเคยกันอยู่ หรือที่เราเรียกว่า IR ตามสัญญาลักษณ์ที่ ระบุไว้ในเครื่องมือชนิดนั้น ๆ และนอกจากนี้ที่สำคัญระบบ WIFI นี้ก็คืออาใช้ IR อีกรูปแบบหนึ ่งเหมือนกันเพียงแต ่แตกต ่างกันในรายละเอียดของช่วง ความถี่คลื่นมากน้อยต่างกันเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในช่วงของความถี่ที่เป็นช่วงของ


231 รังสีอินฟราเรดเป็นการสร้างรหัสตามกระบวนผลิตจากการบันทึกของสิ่งที่รับ ข้อมูลกับอุปกรณ์ส่งสัญญาณให้มีกลไกที่ตรงกันเมื่อกดปุ่มที่ได้บันทึกไว้แล้ว 2. ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตสัตว์บางชนิดเช่น งูสามารถมองเห็น ในเวลากลางคืนได้เพราะอาศัยมีอวัยวะที่รับคลื่นความร้อนอินฟราเรดจาก เหยื่อได้เช่น งูหลาม ตามธรรมชาติสิ่งมีชีวิตมีคลื่นความร้อนอยู่ในระดับของ รังสีอินฟราเรดอยู่แล้วดังนั้นจึงทำให้งูสามารถออกหากินได้ในเวลากลางคืน โดยอาศัยอวัยวะพิเศษนี้ 3. ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับเครื่องจักรกลเครื่องจักรสามารถสร้างเครื่อง ตรวจสอบคลื่นอินฟราเรดได้คลื่นความร้อนยังคงทนอยู่ในสถานที่นั้น สามารถ ใช้กล้องอินฟราเรดจับคลื่นความร้อนได้ภาพของสิ่งมีชีวิตนั้นแม้ว่าในตอนถ่าย จะไม่ได้อยู่ในที่แห่งนั้น นั่นคือการสื่อสารของเครื่องจักรสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตแต่ การที ่สิ่งมีชีวิตจะสื ่อสารกับเครื่องจักรเกิดขึ้นจากการทดลองในโครงการ PEAR ที ่ทดสอบว่าจิตที่เพ่งไปยังเครื ่องจักรมีนัยยะ สามารถสร้างการ เปลี่ยนแปลงหรือมีอิทธิพลต่อเครื่องจักรได้ด้วยซึ่ง ตามที่ได้กล ่าวมาแล้วทั้งหมดจะเห็นได้ว่าพลังงานกับสสารเป็นสิ่ง เดียวกันและพลังงานเหล่านั้นได้สร้างสรรค์สรรพสิ่งขึ้นมาจากเส้นใยอวกาศที่ เล็กมากๆซึ่งสั่นไหวไปมาจากการทดลองในระดับอนุภาคตามทฤษฎีควอนตัม ฟิสิกส์อนุภาคกับคลื่นเป็นสิ่งเดียวกันขึ้นอยู่กับว่าเหตุปัจจัยในการเกิดเป็น ภาวะของคลื่นหรืออนุภาคเอื้ออำนวย นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถทราบได้แต่ ที่ชัดที่สุดจากการทดลองเรื่อง Double slit จิตสำนึกของคนมีส ่วนสำคัญใน การเข้าแทรกแซงกระบวนการทำให้เกิดคลื่นหรืออนุภาคได้ ในทำนองเดียวกันรักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่าคลื่นที่เป็นมิตรกับ สิ่งมีชีวิตจะอยู่ในช่วงคลื่นของรังสีอินฟราเรด ซึ่งรังสีอินฟราเรดนี้สามารถ สื่อสารได้เป็นรังสีที่สิ่งมีชีวิตสามารถรับรู้ได้โดยเฉพาะสัตว์บางจำพวก


232 ตามที่ได้กล ่าวมาแล้วทั้งหมดพอสรุปได้ว่าสสารหรือวัตถุที่เราเห็น กันอยู่นั้นแท้จริงมีคลื่นเป็นพื้นฐานคลื่นนั้นเรียกว่า Wave Matter สรรพสิ่งใน จักรวาลมีคลื่นแม่เหล็กเป็นพื้นฐาน จักรวาลมีความร้อนแฝงอยู่รวมถึงในสสาร ทุกอย่าง การเปลี่ยนแปลงความร้อนทำให้สสารเปลี่ยนสถานะได้อนุภาคมี สองสถานะคือเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ประกอบใน ขณะนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลทำให้เกิดเป็นแต่อนุภาคอย่างเดียวไม่มีคลื่นไม่ แสดงตัวคือจิตของมนุษย์ดังนั้นจิตของมนุษย์จึงเป็นเหตุให้เกิดการเบี่ยงเบน ของวัตถุได้ซึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์สามารถสร้างพลังจิตได้เช่นเดียวกัน ซึ่ง ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่าจิตสำนึกของมนุษย์สามารถสร้าง อิทธิพลต่อวัตถุได้เช่นกัน 7.5 พลังออร่า (Aura Energy) คลื่นอารมณ์ ตามที ่กล ่าวมาแล้วว ่าจิตมีความสัมพันธ์กับคลื่นแม ่เหล็กไฟฟ้า ปรากฏการที่จิตสร้างขึ้นหรือส่งพลังคลื่นออกไปย่อมมีปฏิสัมพันธ์กับอากาศ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าข้างนอก จากความรู้นี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าร่างกาย ของมนุษย์ต้องมีพลังงานนี้แฝงอยู่ซึ่งเรียกว่าเป็นพลังงานแห่งจิตวิญญาณที่ หล ่อเลี้ยงกายหยาบให้ดำรงอยู่ พลังงานออร่าเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีอยู่ใน ทุก ๆสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตแต่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป สิ่งที่ไม่มีชีวิต รังสีออร่าจะคงที่ ส่วนสิ่งที่มีชีวิตและวิญญาณหรือจิตรังสีออร่าจะแปรเปลี่ยน ไปตามอารมณ์ความนึกคิดตลอดเวลา หรือกล่าวว่ามีความสัมพันธ์กับจิต โดยตรง ระบบออร่าในตัวมนุษย์เกิดจากพลังไดนามิคที่อยู่ในส่วนลึกของตัวตน เรา เชื่อว่าอยู่ที่ประสาทส่วนกลางของสมอง พลังนี้จะส่งออกมานอกร่างกาย มีจะรัศมีแผ่ออกมาไม่มากนักคือไม่กี่นิ้วในระยะที่สามารถตรวจสอบและวัดได้ เนื่องจากพลังออร่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับจิต ดังนั้นความรู้สึกที่ เกิดขึ้นในจิตหรือจิตมีเวทนาอย่างไร พลังออร่าก็จะแปรเปลี่ยนไปตามนั้น การ


233 เปลี่ยนแปลงพลังงานในแต่ละช่วงอารมณ์ของจิตให้ดูไปตามสีที่เปลี่ยนไป หรือ บริบทของรังสีที่กระจายออกว่าลักษณะสม่ำเสมอ หรือกระจายเป็นส่วน ๆ ไม่ เรียบร้อย การวัดรังสีออร่าที่ปรากฏออกมาจะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มี คุณสมบัติที่เปล่งประกายเฉดสีไม่เหมือนกัน เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เรา มองเห็นได้มี7 เฉดสี(Rainbow) การฉายรังสีออร ่าออกมาจากกายของคนแต่ ละคนจึงไม่เหมือนกันไปตามคุณลักษณะของของแต่ละคนไป จากการเก็บ ข้อมูลพบว่าเฉดสีบ่งบอกคุณสมบัติของคนดังนี้คือ สีฟ้า: รักสงบ มีความสมดุล มีความยืดหยุ่น มองโลกในแง่ดีและถ้า เป็นสีฟ้าเข้มจะเป็นคนที ่มีความตื ่นตัวสูงทางด้านความคิด และเป็นคนที่ ควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี สีเหลือง: เป็นที่มีสติปัญญาและมีความสามารถดีมีความสัมพันธ์ที่ดี ต่อคนรอบข้างสามารถพึ่งพาอาศัยได้ สีเขียว: เป็นคนที่รู้จักตนเองดีคือมีการเข้าตนเองได้ดีย ่อมรับ ตนเอง สีชมพู: เป็นคนที่รื่นเริง เป็นนักอุดมคติฉลาดหลักแหลม สีน้ำตาล: เป็นคนชอบลงมือทำด้วยตนเอง ชอบทำงานกลางแจ้ง สีม่วง: เป็นคนที่ชอบงานวิชาการเป็นนักคิด สนใจเรื ่องที ่เป็น นามธรรมเชิงความคิด สีส้ม: เป็นคนที่สนใจสภาพแวดล้อม มีทักษะในการแข่งขันสูง สีเทา: เป็นค่อนข้างจะโชคร้ายอยู่เสมอ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการใช้เทคโนโลยี่โปรแกรมการถ่ายภาพ เราจึงได้ เห็นรังสีออร่าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อาจใช้ในการวินิจฉัยสภาพอารมณ์ที่


234 อาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้สามารถนำมาเป็นข้อมูลแพทย์ทางเลือกอีก รูปแบบหนึ่งแบบผสมผสาน 7.6 ควอนตัมไมด์(Quantum Mind) เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาของจิตสำนึกในความสัมพันธ์ระหว่าง ควอนตัมฟิสิกส์กับจิตวิทยาโดยศึกษาผ ่านการคำนวณทางคณิตศาสตร์อย่าง เป็นระบบและมีแนวโน้มที่จะเชื่อมโยงทั้งควอนตัมฟิสิกส์จิตวิทยาและสมาธิ วิปัสสนา จิตสำนึกมีความเชื่อมโยงกับพลังงานในจักรวาลตั้งแรกเกิดจักรวาล การศึกษาเพื่อใช้ในการเยียวยาผู้ป่วยแบบองค์รวม ความฝันที่เกิดขึ้นในแต่ละ คนเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ทีเกิดจากกระบวนการตอบสนองของร่างกายที่ ปรากฏให้เห็น เป็นการรายงานสุขภาพของคน ๆ นั้น เพราะเชื่อว่าจิตทำงาน แบบควอนตัม ซึ ่งนักฟิสิกส์รางวัลโนเบล Eugene Wigner เคยกล ่าวไว้ว่า “จิตสำนึกสามารถสร้างสรรค์ความเป็นจริง”ด้วยเหตุนี้การสื่อสารของระบบ ควอนตัมในร่างกายย่อมแสดงออกมาในโลกของความฝันได้เมื ่อจิตสงบก็ สามารถรับรู้ข่าวสารข้อมูลที ่เรียกว่า “Dreamwork” และนอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์แนวหน้าอย่างRoger Penrose เชื่อว่าจิตสำนึกนั้นเป็นส่วน หนึ่งของจักรวาล ไม่มีทฤษฎีฟิสิกส์ใด ๆ ที่สามารถคำนวณสถานที่ของจิตนี้ได้ ถูกต้อง ดังนั้นตามที่ได้กล ่าวมาแล้วนั้นว่าจิตสำนึกสามารถสร้างการ เบี่ยงเบนวัตถุระดับอนุภาคได้ในการทดลอง Double Slit จึงทำให้เขียนเป็น สมการทางคณิตศาสตร์ได้เช่นเดียวกัน จิตสำนึกในแต ่ละวันสามารถรับรู้ เรื่องราวแล้วสะสมทำให้เกิดปรากฏการณ์ออกมาในรูปแบบของความฝันได้ ซึ่งความฝันนี้สามารถใช้ทำนายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากทางร ่างกาย ตลอดจนมีผลต่อจิตวิทยา เป็นรูปแบบการรายงานผลของร่างกายแบบต่อจิต ในรูปแบบของควอนตัมฟิกส์


235 นักจิตวิทยาระดับโลกอย ่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์และ คาน จุง ก็ใช้ “Dream work” นี้เป็นสมมุติฐานอาการที่ปรากฏเพื่อการรักษาซึ่งเชื่อด้วย เช่นกันว่ามันเป็นการรายงานที่เกี่ยวข้องกับควอนตัมฟิสิกส์ระหว่างร่างกายกับ จิตใจ ดังนั้นการศึกษาควอนตัมไมด์เพื่อให้เกิดเข้าถึงการรักษาดูแลผู้ป่วยใน จุดประสงค์ใหญ่ๆ 5 มิติคือ 1). ความฝันนั้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นจริงของร่างกายและจิตใจในมิติ ของควอนตัม 2). จุดกำเนิดของชีวิตและการตระหนักรู้เป็นองค์ประกอบของการ ต่อสู้กับวัย 3). ศึกษาตัวชี้วัดทฤษฎีควอนตัมที่สามารถเยียวยาด้วยเสียงเพลงได้ อย่างไร 4). ทำไมระบบสังคมหมู่คณะจึงมีผลต่อร่างกาย 5). วิธีการใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นพิษภัย เป็นวิธีการที่ควบคุมจิตสำนึกให้เชื่อมโยงกับพลังงานของจักรวาลที่ ส่งผลต่อร่างกาของมนุษย์อีกทีตลอดจนกระทั่งเป็นการสื่อสารระหว่างจิตกับ ร ่างกายตนเอง ทำให้สามารถใช้รักษาโรคและเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้ ด้วยเช่นกัน จาการศึกษานี้พบว่ามี3 หลักวิชาการได้แก่ควอนตัม จิตวิทยา และการเจริญสมาธิวิปัสสนา ที่นำมาใช้อธิบายในทฤษฎีQuantum Mind โดยเชื่อว่าจักรวาลมีหลายมิติซึ่งเรียกว่าจักรวาลคู่ขนาน อีกเหตุผลหนึ่งที่บอก ว่าจักรวาลคู่ขนานนั้นมีจริงเนื่องจากมีการทดลองพบว่าอนุภาคที่เกิดจาก แหล่งกำเนิดเดียวกันย่อมส่งสารหากันโดยทันทีไม่จำกัดระยะทางว่าจะไกลสัก เพียงไหนซึ ่งเมื ่อวัดเทียบดูจะรับรู้ถึงกันเร็วกว ่าความเร็วของแสงเสียอีก นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งสมมุติฐานว่าการเดินทางของสารนั้นต้องไปในมิติอื่น ไม่ใช่ตามปกติที่แสงเดินทาง


236 เจตนาของเราได้สร้างรูปแบบของปรากฏการณ์ไว้ข้างหน้าแล้ว รูปแบบของคลื่นที่ผสมกับปัจจัยอื ่น ๆ การส ่งผ ่านไปที ่มิติคู ่ขนานอยู่ ตลอดเวลาแต่เราไม่อาจจะรู้ได้เพราะจิตที่ไม่สงบ ถ้าจิตสงบลงรับรู้ความรู้สึก ลึก ๆ จากภายใน มนุษย์เราก็สามารถที่จะเชื่อมโยงกับจักรวาลคู่ขนาน เหล่านั้นได้โดยใช้จิตใต้สำนึกซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าภวังคจิตเป็นที่ เก็บสะสมวิบากทั้งหมดรวมทั้งสภาพของร ่างกายก็จะถูกรายงานในรูปของ การสื่อสารที่เรียกว่า “Dreamland” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สาขานี้เชื่อว่ามนุษย์ และสรรพสิ่งมีคลื่นต้นกำเนิดเรียกว่า Origin Wave คลื่นนี้จะเป็นคลื่นหลักที่ เคลื่อนที่ไป และเชื่อว่าสรรพสิ่งต่างส่งสัญญาณต่อกันและกันอย่างที่เราเข้าใจ ว่าเราเป็นผู้เห็นสรรพสิ่งก่อน ตามที่กล่าวมาแล้วว่าทฤษฎีของ Wave Function เป็นการปรากฏ ของวัตถุ เมื่อมีจิตไปสังเกตแล้วจิตสำนึกนั้นทำลายคุณสมบัติความเป็นคลื่น เหลือเพียงตาคุณสมบัติความเป็นอนุภาคอย่างเดียว เหมือนกับที่ Erwin Schrodinger เรียกมันว่าเป็น Wave Matter หรือเป็นคลื ่นที ่เป็นฐานของ สสาร ซึ่งเป็นการค้นพบตามรูป รูปภาพที่ 54 รูปแบบกลไกของควอนตัมไมด์


237 7.7 ความสัมพันธ์ของจิต-คลื่น-อนุภาค การตกกระทบฉากหลังที่มีการจับวัดเป็นการปรากฏตัวของอนุภาค อิเล็กตรอนซึ่งมีลักษณะเป็นสสารหรือวัตถุซึ่งสภาพของจิตเป็นผู้ทำให้เกิด ความเป็นอนุภาค(วัตถุ) ด้วยการทดลองนี้ทำให้ทราบว่าจิตสำนึกสามารถสร้าง อนุภาคและคลื่นได้ความคาดหวังหรือเรียกว่าเจตนา(Intention) จะส่ง กระแสคลื่นออกไปสร้างรูปแบบของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้โดยที่ คลื่นนั้นจะเดินทางนำหน้าเราอยู่เสมอซึ่งเรียกว่า Original wave ที่จะเป็น รูปแบบของอนาคตที่เราได้ออกแบบ (Design) เอาไว้ล ่วงหน้าแล้วซึ่งในการ สร้างรูปแบบนั้นยังมีเหตุปัจจัยหลาย ๆอย่างร ่วมกันสร้างไว้รอยู่แล้วจึงเป็น รูปแบบอนาคตที่มาจากเหตุปัจจัยร่วมกัน และเราสามารถรับรู้ได้จากในพื้นที่ ของการฝัน (Dream Land) ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าคลื่นจิตมีผลต่อวัตถุดังนั้นวิธีการรักษาคือ ใช้วิธีเจริญสมาธิวิปัสสนาให้เชื่อมต่อกับพลังงานที่แฝงนั้นตั้งจิตเจตนารูปแบบ ที่ตนต้องการเริ่มต้นที่กำหนดความรู้สึกไว้ที่ลมหายใจเมื่อจิตเริ่มมีสมาธิก็ให้ ตั้งเจตนาที่เราต้องการให้เป็นอย่างไรเป็นการสื่อสารกับพลังงานที่อยู่เบื้องหลัง ร่างกายของเราโดยที่จิตสำนึกจะเป็นผู้ประสานเชื่อมต่อได้สามารถรับรู้อาการ สัญญาณที่ส่งออกมาจากสนามของพลังงานนี้ได้Dreamland เมื่อจิตตั้งมั่น สงบดีแล้วรับรู้อาการ แสดงเจตจำนงต้องการให้ร่างกายเราหายหรือเป็น อย่างไรในสมาธิที่ตั้งมั่นไว้เหมือนเป็นการส่งสัญญาณการสร้างรูปแบบใน อนาคตแบบเดียวที่เรารับสภาพโดยที่เราไม่รู้รูปแบบนั้นได้ถูกสร้างขึ้นจาก อนาคตมาก่อน ในมิติของจักรวาลคู่ขนาน ซึ่งต่อมามันก็จะส ่งให้แก ่เราเมื่อ เวลานั้นมาถึง


Click to View FlipBook Version