138 ดวงดาวนั้นเข้าไปเป็นส่วยหนึ่งของมันด้วย เมื่อพิจารณาตามลำดับ ดาวพุธ เป็นดาวที่อยู่ชั้นในสุดจะถูกเผาก่อนดาวดวงอื่น ต่อมาดาวพุธก็จะถูกดวงอาทิตย์ ดูดและเผาไหม้หายไปในอวกาศ และในทำนองเดียวกันลำดับต่อไปก็จะเป็น ดาวศุกร์จะถูกเผา และจะถูกดูดเข้าไปเผาในดวงอาทิตย์เช่นกัน เรียง ตามลำดับทีละดวงๆ ยกเว้นโลกที่มีบรรยากาศช่วยปกป้อง จึงไหม้ที่หลังสุด ในบรรดาดาวเคราะห์วงในทั้งหมด ฎีกาพระวินัยได้กล่าวไว้ว่า “. . . มีพระอาจารย์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า พระ อาทิตย์ดวงหนึ ่งจะหายไปก่อน แล้วจึงจะเกิดดวงใหม่จะขึ้นมาแทนที่ดวง อาทิตย์ที่2” เมื่อเทียบเคียงกันกับวิทยาศาสตร์จะเห็นว่าใกล้เคียงกัน ดาวพุธ ถูกเผาไหม้ร้อนแดงดูเหมือนดวงอาทิตย์ลอยไปมาบนท้องฟ้าในระยะเวลานาน ๆ พอสมควรจนกว่าจะถูกดึงดูดเข้าไปในดวงอาทิตย์ ในเวลานั้นเราจะเห็นดวงอาทิตย์สองดวงสลับกันขึ้นลงกัน อาจจะ เห็นพร้อม ๆ กันถึงสองดวงเมื่ออยู่ในช่วงอีกดวงหนึ่งกำลังลงอีกดวงหนึ่งกำลัง ขึ้น ระหว่างดวงอาทิตย์จริงๆ กับดาวเคราะห์ที่ถูกเผาเหมือนดวงอาทิตย์จึง ไม่มีกลางคืนมีแต่กลางวัน ตรงตามที่คัมภีร์กล่าวว่า“. . . โดยเวลาผ่านไปช้า นาน เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สองนั้นปรากฏ จะไม่ปรากฏกำหนดกลางคืน ไม่ ปรากฏกำหนดกลางวัน พระอาทิตย์ดวงหนึ่งขึ้น พระอาทิตย์ดวงหนึ่งตกไป โลกก็มีแต่ความร้อนอันเกิดจากพระอาทิตย์ไม่ขาดสาย” ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้นเต็มท้องฟ้าพร้อม ๆ กัน แต่จะขึ้นมาทีละดวง ๆ สลับกับดวงอาทิตย์ตัวจริง โลกจึงไร้กลางคืนและ กลางวัน มีแต่วันที่สว่างทุกวัน ในระหว่างที่อีกดวงหนึ่งขึ้นอีกดวงหนึ่งกำลังจะ จากไปเราก็อาจเห็นได้ในช่วงที่คาบเกี่ยวกัน เหมือนเราเห็นดวงจันทร์หรือดาว ศุกร์ขึ้นในขณะที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า
139 การที่โลกทวีความรุนแรงจากการถูกเผาไหม้เป็นเพราะว่าความ ร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ขยายอาณาบริเวณเข้าใกล้โลกมากกว่าเป็นหลักส่วน ดวงดาวที่ถูกเผาก็อาจจะมีส่วนแต่ไม่มากเท่ากับดวงอาทิตย์ที่ให้ความร้อนด้วย ตนเอง ระยะทางระหว่างที่ดวงดาวกับอัตราการขยายตัวของดวงอาทิตย์ เมื่อ พิจารณาจากระยะห ่างระหว่างดาวเคราะห์วงในทั้งหมดจะเห็นได้ชัดเจนว่า ดวงอาทิตย์ใช้ระยะเวลาที่จะเผาดาวในแต่ละดวงไม่เท่ากันและกว่าจะดูดเข้า มาเป็นส่วนหนึ่งของมัน ซึ่งในคัมภีร์ได้กล่าวว่า “. . . สมัยที ่เวลาผ ่านไป ยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที่ . . .” ผู้เขียนมีความเห็นใน ประโยคนี้ว่าเป็น “เวลาที่นานมากๆก็ได้เกิดดวงอาทิตย์ขึ้นมาใหม่อีก”เพราะด้วย เหตุที่ระยะห่างและมวลของดาวดวงนั้นว่ามากน้อยต่างกัน ดังนั้นผู้เขียนจึงได้ นำตารางที่แสดงระยะห ่างระหว่างดวงดาวกับดวงอาทิตย์ตามตารางข้างบน นั้น 5.10 สรุป ตามที่กล ่าวมาแล้วทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า โลกในกาลต่อมาอีกหลาย พันล้านปีจะถึงกาลอวสานอย่างแน่นอนตามพระไตรปิฎกในสัตตสุริยสูตร ซึ่ง กล่าวว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นครบทั้ง 7 ดวง โลกจึงจะสูญสิ้นนั้นมีความเป็นไปได้ เมื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับทางวิทยาศาสตร์จึงมีทิศทางที่สอดคล้อง กันดังนี้ จาการศึกษาค้นคว้าผู้เขียนพบว่า ดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นใหม่ตามที่ กล่าวไว้ในสัตตสุริยสูตรนั้น มีความเป็นไปได้ว่าเป็นดวงอาทิตย์เสมือนที่เกิด จากดาวเคราะห์วงในของระบบสุริยะ สาเหตุเกิดดวงอาทิตย์ขยายตัวเป็นดาว แดงยักษ์แล้วเผาไหม้ดาวเคราะห์เหล่านั้น ทำให้ดูเหมือนกับเป็นดวงอาทิตย์ที่ เกิดขึ้นมาใหม่ทีละดวง ๆ ที่เป็นเช่นนี้
140 ดวงอาทิตย์อีกประมาณ 7.5 พันล้านปีจะขยายตัวครอบคลุมถึงวง โคจรของดาวพฤหัสเพราะมวลของมันลดน้อยลง ในระหว่างที่จะถึงจุดนั้นดาว เคราะห์ที่อยู่ติดกับดวงอาทิตย์จะถูกเผาและถูกกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ ดวงอาทิตย์ไล่ตามลำดับ ตั้งแต่ดาวพุธเป็นต้นไป หลังจากนั้นดวงอาทิตย์จะ กลายเป็นดาวแคระขาว ซึ่งจะไม่มีพลังงานความร้อนมากเหมือนเช่นเคย และ เป็นปกติระยะสุดท้ายของดาวฤกษ์ทั่วไป ในการนี้ทำให้เห็นดวงอาทิตย์เสมือนที่เกิดขึ้นแล้วดับไปนั้น จะเป็น การเห็นดาวเคราะห์วงในที่ถูกเผานับได้เป็น6 ดวง ได้แก่ 1). ดาวพุธ 2). ดาว ศุกร์3). ดาวอังคาร 4).ดวงจันทร์ของโลก5). ดวงจันทร์โฟบัสของดาวอังคาร ดวงที่ 1 และ6). ดวงจันทร์ดีมอสของดาวอังคารดวงที่2 เมื่อน้ำดวงอาทิตย์ตัว จริงมารวมจึงนับได้เป็น7 ดวง สอดคล้องกับสัตตสุริยสูตร นอกจากนี้ปรากฏการณ์การแห้งของแหล ่งน้ำบนโลกที่กล ่าวไว้ใน พระสูตรยังสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์โดยเริ่มตั้งแต่แหล่งน้ำที่ เล็ก ๆ เช่น เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏ น้ำในห้วยหนองคลองบึงเหือด แห้งไป และมีฝนกรดที่เกิดจากแร่ธาตุถูกเผาแล้วไปสะสมบนก้อนเมฆ ซึ่ง ความรู้ในครั้งนั้นเรื่องฝนกรดยังไม่มีใครรู้ได้เพียงมีปรากฏในคัมภีร์เมื่อพันปี มาแล้ว น้ำบนโลกนั้นแห้งหมดเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่5 ปรากฏ เมื่อน้ำบนโลกหมดไปดวงอาทิตย์ก็จะเริ่มเผาดินตั้งแต่ดวงอาทิตย์ ดวงที่ 6 และดวงอาทิตย์ดวงที่ 7 ซึ่งโลกจะถูกดวงอาทิตย์เผาจนสูญสิ้นไป ใน พระสูตรกล่าวถึงน้ำในสระอโนดาตที่แห้งไป ซึ่งสระน้ำนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า มีจริงบนโลกในปัจจุบันนี้แต่ถ้าเปรียบโดยเนื้อหาก็หมายถึง ทะเลสาบขนาด ใหญ่ก็เทียบเคียงได้ สัตตสุริยสูตรเป็นอีกพระสูตรหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงใช้เหตุการณ์ อย่างอื่นมาประกอบการแสดงธรรม ซึ่งในพระสูตรต้องการชี้ให้เห็นว่า แม้แต่
141 โลกและจักรวาลนั้นยังไม่เที่ยงซึ่งคนโดยทั่วไป เห็นว่ามันเที่ยงเพราะมันไม่เคย สูญหายหรือเปลี่ยนแปลงไปในขณะชั่วชีวิตคน ๆ หนึ่ง หลักธรรมที่ต้องการโยง หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงดวงอาทิตย์อันปรากฏขึ้นมาใหม่แล้วส่งผล กระทบต่อโลกอย่างไรจะปิดสรุปตอนท้ายทุกตอนว่า “. . . สังขารทั้งหลายก็ ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นข้อกำหนดควรเบื่อ หน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง” สรุปสัตตสุริยสูตรนี้เป็นการสอนให้เห็นความจริงแท้ของโลกและ จักรวาลที่คนทั่วไปเข้าใจเอาว่า มันเที่ยงไม่มีเปลี่ยนแปลงซึ่งมักจะมีคำถาม เชิงปรัชญามาให้วิเคราะห์เสมอๆ ว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยงคำตอบจึงได้จาก พระสูตรนี้ว่ามันเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ 5.11 ท่าทีต่อพระสูตร จากการศึกษาเรื่องนี้ทำให้เราทราบว่า โลกต่อไปนี้ในอนาคตต้อง ประสบกับภัยพิบัติด้วยความร้อนที่เกิดจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นมาตลอดเวลา โลกต้องคำนึงถึงแนวทางที่จะต้องป้องกันในเรื่องนี้นักอนาคตนิยม (Futurist) ย่อมต้องมีท่าทีต่อเรื่องนี้เพื่อชี้นำโลกในอนาคตควรมีลักษณะอย่างไรอะไร เป็นไปเพื่อป้องกันและสร้างโลกให้น่าอยู่อย่างไร ในปรากฏการณ์ที่กำลังจะ มาถึง ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นเพื่อเป็นข้อเสนอแนะในท่าทีของข้อที่ควรปฏิบัติ กับวิกฤติโลกร้อน และการยอมรับว่ามีวิกฤติจริงในอนาคตก็เท่ากับเป็นการ เห็นทุกข์ผู้เขียนมีความเห็นว่าถ้าจะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดต้องเป็นแนวทาง ที่จะแก้ปัญหาเพื่อให้ได้ประโยชน์แก ่ตนเองและแก่โลกที่เป็นมีอยู่2 แนวทาง คือ ท่าทีเชิงรับในโลกปัจจุบันและอนาคต กับท่าทีปฏิบัติในเชิงรุกเพื่อโลกหน้า
142 5.12 ท่าทีเชิงรับในโลกปัจจุบันและอนาคต เปลี่ยนวิธีคิดสุขนิยมสุดโต่ง: ผู้เขียนมีมุมมองว่าวิกฤติของโลกร้อนที่ เป็นอยู่ทุกวันนี้เป็น ”วิกฤติเทียม” ที่เกิดมาจากมนุษย์ที่ใช้ทฤษฎีสุขนิยม แบบผิด ๆ คือใช้ทฤษฎีบริโภคนิยมเป็นหลักการแล้วแพร่ขยายแบบ โลกาภิวัฒน์(Globalization) เป็นทฤษฎีที่ส่งเสริมให้มนุษย์นิยมบริโภคจน เกินความจำเป็น ซึ่งเป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างสุดโต่งเช่นกัน อีกทั้งยังทำลายสภาพแวดล้อมรวมทั้งโอโซนที่เหลืออยู่ มีการนำทรัพยากรทางธรรมชาติมาใช้เพื่อการนี้ปราศจากการดูแล เช่น การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากจนเกิดมลภาวะเรือนกระจกเป็นอย่างมาก การ ไม่ควบคุมกลุ่มควัน ที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกอย่างจริงจังจะทำให้โลกทวี ความร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งในกาลข้างหน้าดวงอาทิตย์ยิ่งจะเข้าใกล้โลกมากขึ้น ๆ ความร้อนย่อมไม่มีทางน้อยไปกว่านี้ ศาสนาพุทธสอนให้มนุษย์ปรับตัวอยู่ในทางสายกลาง เพื่อให้เข้ากับ ธรรมชาติไม่ใช่ปรับธรรมชาติอย่างสุดโต่งเพื่อมารับใช้เราเอง มีการสำรวม สังวรการใช้สอยอย่างมีคุณค่ามากที ่สุด นอกจากไม่ให้กิเลสกำเริบแล้วยัง ป้องกันปัญหาที่เกิดจากการส ่งเสริมลัทธิบริโภคนิยม ศาสนาไม ่ได้สอนให้ ปฏิเสธการบริโภค แต่สอนเน้นให้เห็นความสำคัญของปัญญาที่จะใช้กำกับการ บริโภคนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าต้องกระตุ้นปลูกจิตสำนึกให้เกิดสัมมาทิฏฐิทั้ง สองทาง คือ 1). เมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก (ปรโตโฆสะ) มีการให้ คำแนะนำที่ถูกต้องจากผู้ขาย และให้ความรู้ความเข้าใจต่อผู้ซื้อวัตถุที่บริโภค ชี้ให้เห็นว่าประโยชน์ที่แท้จริงที่ได้ใช้บริการนี้มีอะไรบ้างนอกจากตัวสิ้นค้าเอง เช่น ไม่ทำลายธรรมชาติควรจะชี้แจงด้วยว่าเป็นสิ่งที่สามารถทดแทนได้ทัน กาล ไม่เห็นแก่ตัวกับธรรมชาติมีความเอื้อเฟื้อคืนผลกำไรแก่สิ่งแวดล้อม เช่น
143 ให้ทุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเชิงสร้างสรรค์สิ่งที่เหลือจาก ผลิตภัณฑ์ไม่เป็นภาระแก ่โลกในการกำจัดในระบบปฏิบัติISO ระบบใหม่จะ ใส่ใจเรื่องการตอบแทนสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ ผู้เขียนเห็นว่ามาตรการเชิงรับยังไม่พอที่จะบรรเทาเรื่องโลกร้อนได้ เพราะดวงตะวันมีแต่ร้อนขึ้น ๆ ต้องสร้างความชุ่มชื้นจะเกิดขึ้นอีก ต้องอาศัย ป่าไม้เป็นตัวหลัก มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งบอกว่าป่าไม้เท่านั้นที่จะช่วยบรรเทา ซึมซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ควรมีการส่งเสริมให้ปลูกป่าและต้นไม้ให้ เป็นมาตรการระดับโลกไม่ใช่แค่ระดับชาติอย่างเดียว และยังต้องควบคุม ทรัพยากรป่าไม้ที่เหลืออยู่อย่างเข้มข้นมากกว่าปัจจุบัน จนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นวาระแห่งโลก คือ “ปลูกป่าเพื่อโลกและลูกหลาน” ในเมื ่อต้นไม้เป็นแหล่งซับคาร์บอนไดออกไซด์อย่างดีที่สุด ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์เคยคำนวณไว้ว่า ถ้าต้องการที ่จะให้ต้นไม้ดูดซับ คาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ให้ทันต่อการผลิตก๊าซนี้ของมนุษย์ต้องใช้พื้นผิวที่มี ขนาดเท่าโลกอีกหนึ่งใบ เถึงถึงจะพอช่วยซึมซับคาร์บอนไดออกไซด์ให้ เพียงพอที่มนุษย์สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยบนโลกใบนี้ดังนั้นการปลูกพืช เชิงเดี่ยวที่นิยมทำกันมาย่อมไม่เหมาะสมแน่ จึงควรต้องปลูกพืชแบบ หลากหลายซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ถึงจะชดเชยพื้นที่ผิวของโลกอีกใบหนึ่งได้ที่ผ่าน มามนุษย์ใช้ทฤษฎีบริโภคนิยมปลูกพืช เพื ่อทำการค้าและอาหารสัตว์ ตอบสนองผลกำไรมากกว่าความจำเป็นขั้นพื้นฐานจนเกินจริง ดูได้จากการค้า ของบริษัทอาหารใหญ่ๆ ทั่วโลกมักจะบอกว่าปีนี้เติบโตจากผลกำไรเท่าไหร่ใน การขายที่มากขึ้น การปลูกพืชเชิงเดี่ยวอ้อย ข้าวโพด ฯ ล ฯ จึงได้รับความ นิยมมาก และมีการตัดแต่งพันธุกรรมโดยไม่คำนึงถึงธรรมชาติเดิมของมัน เพื่อ ผลกำไรนั้น ตลอดจนการใช้สารเคมีเพื่อการนี้ทวีมากขึ้นและแรงขึ้นเช่นยาฆ่า แมลง มลพิษและภัยพิบัติธรรมชาติโดยเฉพาะทางน้ำและอากาศจึงมีการ ปนเปื้อนยาฆ่าแมลงและยาฆ่าหญ้า ในบางตำบล อำเภอที ่มีการปลูกพืช
144 ทำนองนี้ผู้คนแทบจะอยู่ไม่ได้อากาศเต็มไปด้วยสารเคมีทั้งยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ฮอร์โมน พ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ผู้เขียนมีความเห็นว่านักวิทยาศาสตร์ควรทำงานวิจัยพันธุ์พืช ที่ อาจจะเป็นพืชสายพันธุ์ใหม่ซึ่งสามารถดูดซับพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่น ความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้อีกทั้งควรวิจัยด้วยว่าพืชชนิดใดสามารถปลูกไว้ ในบ้านเพื่อประโยชน์เฉพาะอย่าง เช่น ต้นวาสนาต้นอธิษฐาน ต้นเบญจมาศ เป็นพืชที่สามารถดูดสารพิษ Formaldehyde ที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์พื้นไม้ได้, ต้นไอวี่ เดหลีเข็มสามสีเป็นพืชที่สามารถดูดสารพิษ Benzene ในน้ำมัน หมึก สีทาบ้าน) ได้ดี, ต้น ไอวี่ เดหลีวาสนาราชินีเป็นพืชที่สามารถดูดสารพิษ Trichloroethylene ในหมึก สีทาบ้าน แลคเกอร์ได้ดีที่สุด เป็นต้น สารต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมานี้เป็นสารก่อมะเร็ง จึงต้องกำจัดหรือทุเลาพิษ ส่วนพืชที่สามารถ ดูดสารพิษครอบจักรวาล คือ เดหลีเบญจมาศ และพืชที่ปล่อยออกซิเจนตอน กลางคืน เหมาะไว้ในห้องนอน คือ ลิ้นมังกร เป็นตัวอย่างของงานวิจัยจากพืชที่อยู่ตามธรรมชาติในปัจจุบันนี้ วิทยาการทางด้านวิศวพันธุกรรมก้าวหน้ามาก ผู้เขียนเชื่อว่าสามารถดัดแปลง และสร้างพืชตามความประสงค์ได้ยกตัวอย่างถ้าเราสร้างพืชที่มีคุณสมบัติ แบบลิ้นมังกรแต่ให้ประสิทธิภาพมากกว่าร้อยเท่าพันเท่าก็ย่อมที่จะช่วยสร้าง ความสดชื่นแก่มนุษย์ได้ เมื่ออากาศเป็นของส่วนรวมใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของ มีสิทธิขั้นพืนฐาน เต็มที ่ในฐานะของการเป็นมนุษย์ขณะนี้โครงการคาร์บอนเครดิต ซึ ่งเป็น นโยบายขององค์สหประชาชาติให้ผู้ที่ใช้คาร์บอนเข้าสู่บรรยากาศมากเป็นผู้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ที่มีต้นไม้รักษาสภาพ แต่ยังนับว่าเป็นในเชิงรับและ ยากที่จะปฏิบัติในเชิงกลยุทธ์ได้โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจที่ต้องจ ่าย ค่าการนี้โลกควรออกนโยบายในระดับโลกและประเทศควบคู่กันไป
145 1.กำหนดสัดส่วนพื้นที่สีเขียวในแต่ละโซนของโลกโซนไหนควรปลูก ป่าแบบไหน เพราะภูมิอากาศและประเทศไม่เหมือนกัน ใครปลูกไม่ได้ควรไป ส่งเสริมหรือเสียค่าใช้จ่ายให้แก่อีกประเทศหนึ่ง 2. ในแต่ละประเทศควรจัดเป็นวาระแห่งชาติเพื่อที่จะปลูกจิตสำนึก ประชาชนให้หันมาใส่ใจเรื่องนี้อย่างเข้มข้นมากกว่าในปัจจุบัน 3. กำหนดสัดส ่วนของโลกที่กันไว้เป็นเขตอนุรักษ์เพื่อฟอกอากาศ และรังสีจากแสงอาทิตย์โดยให้ทุกประเทศร่วมกันดูแลรักษาไว้ 4. เพิ่มงบงานวิจัยพืชที่เหมาะสำหรับต่อต้านรังสีจากดวงอาทิตย์ เพราะพืชเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่ชอบแสงแดด แต่อาจจะมีประสิทธิภาพ ยังไม่เพียงพอแก่ความต้องที่จำเป็นของมนุษย์ได้ 2). สร้างการรู้คิด (โยนิโสมนสิการ) เป็นการสอนให้แยกแยะคุณค่า แท้และคุณค่าเทียมให้เป็น คิดสืบสาวด้วยเหตุด้วยผลเห็นความจำเป็นในการ บริโภคเพื่ออะไร จำเป็นหรือไม่ เป็นไปเพราะตัณหา หรือ ความจำเป็นทาง ร่างกาย ถ้ามีตัณหาน้อย ทุกข์จะน้อย ตัณหามากทุกข์มาก ทฤษฎีบริโภคเน้น สร้างตัณหา และตัณหาแปรผันตรงกับทุกข์
146 รูปภาพที่ 39 ฌานกับภพภูมิ 5.13 หลบร้อนในชั้นพรหม จากข้อมูลที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เป็นที่แน่นอนว่าโลกในอนาคต ไม่ ต่างอะไรกับนรกบนดิน การมีชีวิตอยู่บนโลกในช่วงนั้น จึงไม่ต่างกับการตก นรก ถ้ามีวิธีหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยงดังนั้นในสัตตสุริยสูตรจึงมีพุทธพจน์ กล่าวทิ้งท้ายไว้เสมอเมื่อกล่าวถึงดวงอาทิตย์ดวงใหม่ปรากฏขึ้น กล่าวว่า “. . . สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที ่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็น ข้อกำหนดควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง” นอกจากเป็นการสอนให้ไม่ยึดติดกับโลกที่ไม่เที่ยงใบนี้แล้วยังทรง ชี้ให้เห็นสภาพธรรมที่ควรรู้ว่าไม่เที่ยง ซึ ่งต ่อไปอาจจะกลายเป็นนรกที่ไม่ น่ายินดีนัก พระพุทธศาสนามีธงที่ต้องการสอนไม่กลับมาเกิดใหม่สอนเห็น โทษในสังสารวัฎ นั่นเป็นเป้าหมายสูงสุดก็จริง แต่การปรับตัวให้ยอมรับความ ความเป็นจริงในบริบทของแต่ละความทุกข์นั้นสำคัญที่สุด หรืออาจจะเรียกได่ ว่า อยู่กับความทุกข์อย่างไม่มีปัญหา ถ้าเราไม่สามารถที่จะไปถึงขั้นนั้นได้ และยังมีวิธีอื่นอีกชั่วคราวที่จะพ้นจากวิกฤติโลกร้อนได้จากคัมภีร์ กล่าวว่า วิกฤติโลกร้อนคุกคามจนถึงสวรรค์และพรหมชั้นอาภัสรา พรหมชั้นนี้
147 เป็นพรหมที่เกิดจากการเจริญทุติยฌาน (ซึ่งมี3 ลำดับ อย่างหยาบเรียกว่า ปริตตาภะ อย่างปานกลางเรียกว่าอัปปมาณาภะ และอย่างละเอียดเรียกว่า อาภัสสระ) ดังนั้นการปฏิบัติตนในโลกปัจจุบัน เพื่อให้พ้นจากวิกฤติโลกร้อน อันเกิดจากดวงอาทิตย์ขยายตัว คือต้องเจริญสมาธิให้ได้ถึงขั้น “ตติยฌาน” หรือ ฌาน 3 (การได้ฌานคือผลของการฝึกเจริญสมาธิ) การได้ฌานมี องค์ประกอบร่วมตามชั้นของฌาน ระบบแบ่ง 4 คือ ดังนั้นการเจริญภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนาย่อมให้ผลในชาติหน้า ด้วย การศึกษาอย่างแยบยลในพระไตรปิฎกถึงจะได้แผนที่ใช้ในการเดินทาง ของชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า ผู้เขียนมีความเห็นว่าพระสูตรนี้มีจุดประสงค์อยู่3 ประเด็น คือ 1). เพื่อให้เห็นว่าโลกและจักรวาลที่เราเข้าใจเห็นกันว่ามันเที่ยงนั้น แท้จริงแล้วมันมีอายุขัยเหมือนกันเช่นเราสักวันหนึ่งมันก็จะต้องเสื่อมสลายสิ้น เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ 2). เพื่อให้คลายความยึดมั่นถือมั่นในโลกที่ไม่มีอนาคตน่าอยู่อาศัย ยกตัวอย่างมีบางคนขออฐิษฐานจิตเวลาทำบุญขอให้เกิดชาติหน้าฉันใดก็ขอให้ เกิดมาเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี“อาจจะต้องกล่าวต่อไปอีกว่าที่ไม่ใช่โลกใบนี้” 3). เพื่อที่จะบอกถึงความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธองค์ที่สามารถ จะหยั่งรู้เรื่องต่างๆ ในจักรวาลได้อย่างไม่จำกัดเพียงแต่พระองค์กำหนดจิต เท่านั้น วิธีการรู้แบบนี้ดูเหมือนว่าเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอย่างใดๆ อย่างใด อย่างหนึ่งที่ไม่ใช่การรู้แบบที่เคยรู้มาก่อนโดยอาศัยจากอยานตะทั้ง อาจจะ เปรียบได้กับการลิงค์(Link) ข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ต เชื่อมต่อกับระบบ คลาวด์(Cloud) ของจักรวาลก็เป็นไปได้เพราะจิตที่สั่นไหวคล้ายคุณสมบัติ ของคลื่น ซึ่งผู้เขียนจะได้กล่าวในบทต่อไป ทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันได้แบบ
148 โทรศัพท์ไร้สาย หรืออินเตอร์เน็ตที่เราสามารถสืบค้นข้อมูลได้แบบ “Big Data’s” เรื่องที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วนี้ต้องการให้เราตระหนักรู้ว่าวิกฤติโลก ร้อนตามที่เราเข้าใจกันนั้นมันเป็นเรื่องไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ วิกฤติแบบดวงอาทิตย์ขยายตัวเข้าใกล้โลก ถึงอย่างไรมันต้องร้อนตามนี้อยู่ แล้วอยู่แล้วถ้าเราไม่มีสติพอเราอาจจะถูกผลักให้มัวแต่วุ่นวายแก้ตรงที่นั้นที่ เดียวซึ่งทุกคนค่อนข้างละเลย เพราะกระแสของธุรกิจใหญ่มักไม่ตอบโจทย์ เรื่องสิ่งแวดล้อมสักเท่าไหร่ และอาจจะต้องจ่ายเงินโดยเกินความจำเป็นที่ผิด ทาง ซึ ่งแลกด้วยค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล แต ่ถ้าหากทุกคนเข้าใจเรื ่องนี้ดี อาจจะมีองค์กรสร้างโปรแกรมควบคุมมลภาวะ เช่น โปรแกรมคาร์บอนด์ เครดิตอย่างเป็นระบบต่อเนื่องเชื่อมโยงกันระหว่างประเทศ เพื ่อสร้าง ฐานข้อมูลการสร้างโลกสีเขียว พระไตรปิฎกเป็นสิ่งสำคัญสิ่งนำทางอย่างน้อยก็เป็นข้อสังเกตุที่ชาว พุทธเราควรสังวรไว้และศึกษาตีความอย ่างจริงจังกับศาสตร์ร่วมสมัย เพื่อ หาทางออกทั้งทางโลกและทางธรรม ผู้เขียนเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และทรงมีพระคุณต่อโลกมนุษยชาติด้วยความเมตตากรุณา ย่อมสร้างนวตกรรมใหม่ๆ ให้แก่โลกอนาคต นับว่าเป็นนักอนาคตที่แท้จริง ในพระไตรปิฎกยังคงมีหลายเรื่องที่ยังรอการพิสูจน์ความจริงจากคน ยุคใหม่ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ต้องลดความร้อนที่เป็นวิกฤติจากอวิชชา ในใจเราด้วยมรรค 8 เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ทุกวันนี้โลกมีปัญหา เพราะ ทฤษฎีบริโภคนิยมที่เป็นทฤษฎีเพิ่มตัณหา ตัณหามากทุกข์มาก วิธีทางสาย กลางเป็นวิธีลดตัณหากลยุทธ์ในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน คือ กลยุทธ์ในการลด ความทุกข์ไม่ใช่สร้างความสุข
149 ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงกล่าวว่าท่าทีของโลกว่าจะสูญสิ้นไปในกาล ข้างหน้า แต่พระองค์ก็ทรงให้หลักอิทัปปัจจัยยตา ที ่มีความหมายว ่าเหตุ เปลี่ยนผลก็เปลี่ยน ดังนั้นการกู้โลกด้วยวิธีการต่างๆ นานาอาจเป็นไปได้มี งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตมีอิทธิพลต่อวัตถุของมหาวิทยาลัยป ริ้นตั้น กล่าวโดยสรุปว่า การเพ่งจิตสำนึกสามารถสร้างการเบี่ยงเบนต่อวัตถุได้ และยังกล ่าวว่าจิตสำนึกที่เพ่งออกมาสามารถสร้างเป็นคลื่นและอนุภาคได้ (Consciousness Wave and Consciousness Particle) เมื่อเป็นเช่นนี้การ รวมพลังของมนุษย์จำนวนมาก ๆ น่าจะช่วยขยับเบี่ยงเบนหรือมีผลต่อรังสีได้ ถ้าหากว่าเราสามารถรวมคนได้เป็นพันล้านคนจากทั่วโลกเวลานี้ประมาณ 8 พันล้านคน ผู้เขียนมีความเห็นว่าด้วยจำนวนขนาดนี้น่าจะมีนัยยะทางฟิสิกส์ พอสมควร ซึ่งผู้เขียนให้ความเห็นว่าควรจะมีวาระในการช่วยโลกหลักเป็นสอง ประเด็นคือ 1). ใช้พพลังจิตสำนึกต้านรังสีของดวงอาทิตย์หรืออาจจะลดผลของ รังสีเพราะจิตสามารถสร้างสนามและคลื่นได้ซึ่งจากงานวิจัยนั้นบอกว่ามัน ส่งผลต่ออนุภาคในระดับควอนตัมที่เล็กกว่าอะตอมได้ 2). ใช้ขยับแนวโคจรของโลกให้รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากความ ดวงอาทิตย์ที่ขยายตัวเป็นระยะ ๆ ไปเรื่อย ๆ จากทฤษฎีของไอน์สไตน์ จักรวาลผืนผ้าใบ ที่แกว่งสั่นไหวไปมา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เรียกเส้นใยที่ ทอถักเส้นใยนี้ว่าเป็นเส้นใยอวกาศ (Fabric Space) การจัดการกับแผ่นผืน ผ้าใบอวกาศนี้ย่อมมีผลต่อโลกให้ขยับตัวได้เพราะผืนเส้นใยนี้เป็นขนาดเล็ก กว่าอิเล็กตรอนมากจิตสำนึกสามารถส่งอิทธิพลได้เพราะจิตจะให้ผลดีต่อสิ่งที่ เล็กกว่าอะตอม (Subatomic) การรวมพลังจิตสำนึกจากคนหมู่มากจึงเป็นเหตุ ให้โลกน่าจะขยับตัวได้
150 รูปภาพที่ 40 โลกบนผืนอวกาศ ภาพนี้เราสามารถจัดการกับผืนผ้าใบอวกาศได้เพื่อให้โลกขยับตัว เพราะโลกใหญ่เกินไปที่อาจจะต้องใช้พลังงานมาก แต่ถ้าเปลี่ยนไปที่เส้นใยไฟ เบอร์อวกาศจะได้ผลที่ดีกว่าเพราะจิตสามารถสื่อสารได้ดีที่สุด
151 บทที่ 6 นิยาม 5 กับจักรวาล พระพุทธศาสนาใช้นิยาม 5 อธิบายและทำนายปรากฏการณ์เกิดขึ้น ในจักรวาล สรรพสิ่งในจักรวาลมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วน คือ วัตถุและจิต สิ่งทั้งสอง ที่มีอยู่นี้วัตถุสามารถรู้และสัมผัสได้ด้วยตา หูจมูก ลิ้น และทางกาย ส่วนจิต รับรู้ได้ทางเดียวคือความรู้สึก การนึกคิด ทั้งสองสิ่งนี้ต่างดำเนินอยู่ในจักรวาล ด้วยกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามกฎอีกอย่างซึ่งควบคุมดูแลทั้งสองสิ่งนี้วัตถุกับจิตดู เหมือนว่าแยกประเภทกันแต่ทั้งสองต่างมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งผู้เขียนจะกล่าว ไว้ในตอนหลังถึงความสัมพันธ์นั้น 6.1 นิยาม 5 คืออะไร พระพุทธศาสนาสอนหลักความจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะ เป็นคนสัตว์หรือสิ่งของ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เป็นวัตถุหรือเป็นเรื่อง จิตใจ ไม่ว่าชีวิตหรือโลกที่แวดล้อมอยู่ก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามธรรมดา แห่งเหตุปัจจัย เป็นเรื่องของปัจจัยสัมพันธ์ธรรมดาที่ว่านี้มองด้วยสายตาของ มนุษย์เรียกว่า กฎธรรมชาติเรียกในภาษาบาลีว่า “นิยาม” แปลว่า กำหนด อันแน่นอน หรือเป็นแนวทางที่แน่นอน หรือความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอน เพราะปรากฏให้เห็นว่า เมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างนั้น ๆ แล้ว ก็จะมีความเป็นไป อย่างนั้น ๆ แน่นอน กล่าวไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 2 ภาค 1 – หน้าที่1 00 และส่วนหนึ่งจากอรรถกถา มหาปธานสูตร
152 กฎธรรมชาติหรือนิยามนั้น แม้จะมีลักษณะทั ่วไปอย ่างเดียวกัน ทั้งหมด คือความเป็นไปตามธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย แต่ก็อาจแยกประเภท ออกไปได้ตามลักษณะอาการจำเพาะที่เป็นแนวทางหรือเป็นแบบหนึ่ง ๆ ของ ความสัมพันธ์อันจะช่วยให้กำหนดศึกษาได้ง ่ายขึ้น เมื่อว่าตามสายความคิด ของพระพุทธศาสนา พระอรรถกถาจารย์แสดงกฎธรรมชาติหรือนิยาม ไว้5 อย่าง คือ 1.อุตุนิยาม (Utu-niyàma) กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิหรือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆโดยเฉพาะดิน น้ำอากาศ และฤดูกาล อันเป็น สิ่งแวดล้อมสำหรับมนุษย์(Physical inorganicorder; physical laws) 2.พีชนิยาม (Bãja-niyàma) กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์มี พันธุกรรมเป็นต้น (physical organic order; biological laws) 3.จิตตนิยาม (Citta-niyàma)กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของ จิต (Psychic law) 4.กรรมนิยาม (Kamma-niyàma)กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการกระทำ ของมนุษย์คือ กระบวนการให้ผลของการกระทำ (order of act and result; the law of Kamma; moral laws) 5.ธรรมนิยาม (Dhamma-niyàma) กฎธ ร รมช าติเกี ่ ย วกับ ความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กันแห่งสิ่งทั้งหลาย (order of
153 the norm; the general law of cause and effect; causality and conditionality)37 6.2 อุตุนิยาม การที่ต้นไม้นั้น ๆ ติดดอกผลและใบอ่อนพร้อมกันในสมัยนั้น ๆ ชื่อ ว่า อุตุนิยาม หน้าทุเรียน หน้ามะม่วงไม่สลับกัน นั่นคือ อุตุนิยาม หมายถึง ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขของธรรมชาติเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ฤดูกาลตามธรรมชาติอย่างนี้ถึงเรียกว่าเป็นนิยาม คือความแน่นอนของ ฤดูกาล กล ่าวอีกนัยหนึ่งหมายถึงมีความเชื่อมโยงกับดวงอาทิตย์ด้วย เพราะ ฤดูกาลขึ้นอยู่กับดวงอาทิตย์เป็นหลัก ในสมัยนี้มนุษย์สามารถหลอกต้นไม้ให้ ออกลูกตามที่เราสั่งได้แม้ไม่ใช่ฤดูกาลของมัน นั่นไม่ใช่นิยามผิดหรือไม่มีความ แน่นอน เพียงแต่เรารู้หลักการทำงานของพืชอย่าลึกซื้ง ว่าพืชต้องการอะไร และพืชยังคงรักษาคุณสมบัตินั้น มีความเที่ยงตรงต่อเหตุปัจจัยของแสงแดดกับ ปัจจัยแวดล้อมที่จะให้ผลผลิต มนุษย์รู้ว่าพืชแท้จริงต้องการแสงอินฟราเรด (Infrared Ray) ที่อยู่ในแสงแดด เพื่อใช้สังเคราะห์แสง จึงจัดแสงนี้ให้และรู้จัก จังหวะเงื่อนไขการให้ปุ๋ยการให้น้ำ จนสามารถทำให้พืชหลงทางได้เพราะ ความแน่นอนที่พืชมีปฏิกริยากับสิ่งนั้นคงเดิม เราจึงสามารถบังคับพืชได้ถ้า หากว่าพืชต้องการแสงแดดจริง ๆ เราก็ไม่มีทางสร้างดวงอาทิตย์ได้ เรื่องฤดูกาลเรื่องนี้มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้เพราะฤดูกาลต้องใช้ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ฤดูกาลเท่านั้น ฤดูกาลเกิดจากการวงโคจรของโลก รอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีทำให้ระยะห่างของโลกกับดวงอาทิตย์ไม่เท่ากันในแต่ 37 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ 34, พ.ศ. 2559, หน้า 223
154 ละตำแหน่ง ตรงจุดที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ก็จะเป็นฤดูหนาว จุดที่อยู่ใกล้กับ ดวงอาทิตย์จะเป็นฤดูร้อน ตามลักษณะของวงรีอุตุนิยามที่เกี่ยวข้องกับความ ร้อน ในพระอภิธรรมกล่าวถึงเรื ่องของอุตุนิยาม ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการเกิดของสัตว์อยู่ในขั้นตอนที่จิตสร้างรูป จะมีความร้อนเข้ามา เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีกระบวนการดังนี้ 1) ช่วงแรกของชีวิต จิตสร้างรูปจากฐานของกรรมเก่า เรียกว่า กรรมชลาป หมายถึง กลุ ่มของรูปที ่เกิดจากอำนาจของกรรมที ่สะสมไว้ใน “ปฏิสนธิจิต”ที่อนุขณะอุปาทะ (เกิดขึ้น) ทำให้รูปปรากฏ ทุกครั้งที่เกิดรูปจะ ทำให้เกิดความร้อน เพราะรูปอยู่ที่ไหนความร้อนย่อมอยู่ที่นั่น รูปในที่นี้เป็น รูปแบบที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นทางนามธรรม ยังจับต้องไม่ได้ผู้เขียนมีความเห็น ว่าน่าจะเปรียบเหมือนพิมพ์เขียวก่อสร้างแบบก่อสร้างให้รูปแบบของรูปหยาบ ที่จะสร้างขึ้น โดยการดึงเอาสสารและพลังงานจากสิ่งที่จะได้จากภพนั้นที่ตน ไปอยู่ในภพใหม่จากความร้อนก็จะทำให้รูปแปรผันต่อไป แล้วแปรให้เกิดรูป ใหม่เป็นวัฏจักรต่อไปไม่หยุด ความร้อนที่ทำให้รูปแปรผันเรียกว่า“กรรมปัจจย อุตุชกลาป” 2) ขั้นที่สองของอนุขณะจิตคือเป็นฐานของฐิติอนุขณะ (ตั้งอยู่) ของ ภวังคจิต(หลังจากนั้นปฏิสนธิจิตจะทำหน้าที่เป็นภวังคจิตในชาติภพใหม่) จิต จะแปรผันรูปต่ออีกจากรูปที่เกิดจากอุตุชกลาป รูปที ่เกิดจากจิตเรียกว่า “จิตตชกลาป” ในทำนองเดียวกัน เมื่อรูปเกิดขึ้นย่อมทำให้เกิดความร้อนแล้ว ความร้อนนี้ก็ไปสร้างรูปใหม่ รูปใหม่นี้เราเรียกว่า “จิตตปัจจยอุตุชกลาป” อยาในช่วงฐิติอนุขณะของภวังคจิตดวงแรกในภพใหม่ หลังจากนั้นความร้อน (อุตุ)
155 รูปภาพที่ 41 ความสัมพันธ์ระหว่างความร้อนกับจิต ของตัวรูปเองก็มีอำนาจผันแปรรูปได้ด้วยเช่นกันเรียกว่า“อุตุปัจจยอุตุกชลาป” วงจรจึงไม่มีที่สิ้นสุดของการเกิดรูป เมื่อมีชีวิตในภพใหม่แล้ว รูป ใหม่ใช้อาหารเป็นหลักในการสร้างรูปในภพใหม่ เรียกว่า “อาหารชกลาป” ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ พลังงานความร้อนกับการสร้างรูปโดยจิต: จากแผนภาพจะเห็น ความสัมพันธ์ระหว่างรูปกับจิต ที่เกิดขึ้นเป็นพลวัฒน์ของการแปรผันการแปร ผันคือมีความร้อนเกิดขึ้นเป็นปัจจัยร่วม, จิตเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดรูป และรูป เป็นปัจจัยกับความร้อนที่เกิดขึ้น รูปที่เกิดขึ้นในจิตจะอยู ่ได้ไม่นานจะ แปรเปลี่ยนรวดเร็วมาก ความร้อนที่เกิดกับรูปนั้นจะเป็นปัจจัยให้รูปแรกแปร ผันเป็นรูปใหม่ต่อทันทีจากภาพช่วงที่จิตตั้งอยู่ในอนุขณะฐิติทั้งดวงจิตที่1 (ปฏิสนธิจิต) และดวงจิตที่ 2 (ภวังคจิตดวงแรก) ต่างเป็นช่วงเวลาที่รูปกับ ความร้อนเป็นปัจจัยของกันและกัน กระบวนการเกิดความร้อนช่วงนี้เรา เรียกว่า “อุตุกลาป” กล่าวคือรูปทำให้เกิดความร้อน และความร้อนนั้นแปร ผันเป็นรูปตัวมันเองใหม่ต่อไป อุตุคือ ความร้อนซึ่งจัดเป็นเตโชธาตุ ดู เหมือนว่าเป็นการหมุนวนของพลังงานเป็นตามกฎอนุรักษ์พลังงาน ด้วย กระบวนการหมุนวนของพลังงานนี้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงถ่ายโอนพลังงานให้แก่กันและกัน ดังนั้นกระบวนการ
156 เกิดอุตุชกลาปกับกฎของพลังงานความร้อนของวิทยาศาสตร์มีความสมนัยกัน โดยที่รูปอันเกิดขึ้นจากอนุขณะจิตดวงแรกที่ปรากฏอยู่ในภวังคจิตเป็นผลที่ ได้รับผลมาจากเตโชธาตุแล้วผลักดันให้เกิดรูปใหม่จึงเห็นว่าพลังงานความ ร้อนเป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดรูปได้ ตามที่กล ่าวมาแล้วนั้นอาจกล ่าวได้ว่าจิตที่ไม่สงบจะมีการปรุงแต่ง ตลอดเวลา (จิตตสังขาร) ทำให้เกิดกระบวนการความร้อนขึ้น แต่ถ้าหากว่าจิต มีสงบ ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีการกระทำเพิ่มขึ้นด้วยเหตุปัจจัยอื่นใด จิตรู้จึง ความสงบด้วยการปล่อยวาง ผู้เขียนมีความเห็นว่ากระบวนการที่จะทำให้เกิด ความร้อนที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดพลวัฒน์ของรูปสืบเนื่องกันนั้นจะไม่เกิดขึ้น เหมือนดังพุทธพจน์กล่าวว่าถึงความสงบแห่งสังขาร (การปรุงแต่ง) ทั้งหลาย เป็นว่าสงบเป็นทางพ้นทุกข์ ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจัก เป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้ง จักเป็นสักว่ารู้แจ้ง . . . ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจัก เป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาล นั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มีในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ย่อมไม่ มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ ด้วยเหตุแห ่งการสงบจากการปรุงแต ่งเปรียบเสมือนว ่าเป็น กระบวนการทำให้เกิดการถ่ายเทความร้อนที่ต่อเนื่องกัน ดังนั้นการทำให้จิต สงบจึงเป็นโปรแกรมความร้อนลดลงทำให้สภาพธรรมของจิตที่มีกิเลสคือ นิวรณ์5 สงบระงับไม่สั่นไหวไม่ปรุงแต่งต่อ อาจเป็นเหตุของการทำให้อุตุชก ลาปลดลงนั่นเอง รูปแปรผันแบบต่อๆ กันจึงลดลงๆ ไปถึงไม่เกิดรูปใหม่สืบ ภพชาติได้เมื่อดูรอยต่อระหว่างจุติจิตกับปฏิสนธิจิตและภวังคจิต จาก พิจารณารูปปรมัตถ์ว่าเป็นนามธรรม: รูปที่เกิดขึ้นในจิตช่วงแรก ๆ นั้นจะเป็น
157 เฉกเช่นเดียวกับเวทนา พุทธพจน์กล่าวว่า “เวทนาที่เกิดขึ้นเหมือนฟองอากาศ รูปก็เฉกเช่นเดียวกันเหมือนฟองอากาศ เอวเมว โข ความว่า ฟองน้ำไม่มี สาระ (แก่น ) ฉันใดแม้รูปก็ไม่มีสาระฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเว้นจากสาระคือ เที่ยง สาระคือยั่งยืน และสาระคืออัตตา” จากนั้นการปรุงแต ่งจึงเกิดขึ้น ต่อเนื่องขยายไปอีก ได้กล่าวว่า “. . . รูปเปรียบได้กับฟองน้ำทีแรกมีขนาดเล็ก แล้วขยายตัวใหญ่ขึ้นเปรียบได้กับรูปแต่แรกเล็กขนาดเท่า กลละ ได้ดิน น้ำ ลม ไฟ ขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับและทั้งฟองอากาศละรูปที่เกิดขึ้นต่างต้องดับสลาย ไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ในทำนองเดียวกันกับการเกิดขึ้นของเวทนาที่ปรากฏขึ้น ให้จิตได้รับรู้อารมณ์นั้นก็เกิดขึ้นรวดเร็วมากกล่าวเกิดได้เร็วชั่วลัดนิ้วมือเดียว เกิดดับได้แสนโกฏิขณะ และฟองน้ำเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยเหตุ4 อย่าง คือ พื้น น้ำ หยดน้ำ ระลอกน้ำ และลมที่พัดมาให้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนฉันใด แม้ เวทนาก็ฉันนั้นเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยเหตุ4 อย่างคือ วัตถุอารมณ์ระลอก กิเลส และการกระทบกันด้วยอำนาจผัสสะเวทนาเป็นเหมือนต ่อมน้ำด้วย อาการอย่างนี้บ้าง จิตที่เข้าสู่วิถี17 ขณะนั่นคือการเกิดของรูปหรืออายุของรูป ที่ปรากฏในจิต รูปแบบนี้จึงเป็นเชิงนามธรรม นอกจากนี้อุตุนิยามยังมีความเกี่วข้องกับธาตุในมหาภูตรูป 4 คือ ธาตุไฟที่มีอยู่ในมหาภูตรูป 4 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ อภิธรรมอธิบายว่า รูปปรมัตถ์จะควบคุมวัตถุ ผ่านมหาภูติรูป 4 ซึ่งบอกถึง คุณสมบัติของวัตถุทั้งหลายในจักรวาล ว่ามีคุณสมบัติแตกต่างกัน ด้วยเหตุผล ของธาตุทั้ง 4 ที่มีอยู่ในวัตถุต่างกัน มหาภูตรูป 4 ที่หมายถึงคุณสมบัติของวัตถุ นั้นมีความหมายดังนี้ 1) ความแข็งและความอ่อนของธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) 2) ความลื่นไหล การให้ตัวได้ของธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) 3) ความร้อน เย็นในธาตุไฟ (เตโชธาตุ) 4) ความพรุน ความเบา ในธาตุลม (วาโยธาตุ)
158 6.3 พีชนิยาม พีชนิยามเป็นนิยามที ่ว่า ด้วยความเป็นไปของสิ่งมีชีวิต ถ้าจะ กล ่าวว่าสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาลแบ่งหลัก ใหญ่ได้2 อย่าง คือ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งที่ ไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตก็แยกย่อยได้อีก เป็นสองอย่าง คือ พืชและสัตว์ยังมี สิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถ จัดอยู่ในจำพวกพืชหรือสัตว์ได้คือ ไวรัส (Virus) ส่วนมากพวกนี้จะเป็นภัยต่อ สิ่งมีชีวิตอื่น ในทางพระพุทธศาสนาเรียก “พืช” ว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใจครอง (อนุปาทิ-นนกสังขาร) หมายถึงกรรมให้ผลไม่ได้(ยกเว้นนิพพานที่กรรมให้ผล ไม่ได้) ส่วนสัตว์เป็นสื่งมีชีวิตที่มีใจครอง (อุปาทินนกสังขาร) กรรมสามารถให้ ผลได้ 6.3.1 ชีวิตเกิดจากการทำสำเนา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกิดขึ้นจากการทำสำเนาต่อๆ กันมา จากข้อมูล ดั้งเดิม จากข้อมูลที่ปรับตามสิ่งแวดล้อม ตัวบรรจุข้อมูลที่สร้างสำเนาให้กับ สิ่งมีชีวิตใหม่เรียกว่า DNA เป็นกรดนิวคลีอิกที่มีคำสั่งพันธุกรรม ซึ่งถูกใช้ใน พัฒนาการแล้วและจะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โครงสร้างของยีน คือ หน่วยที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลานจะปรากฏอยู่ใน โครโมโซม (chromosome) โครโมโซม(chromosome) ประกอบด้วยกลุ่ม ของสารเคมีเรียกย่อๆว่าดีเอ็นเอ(DNA) ซึ่งในดีเอ็นเอ(DNA) มียีน (gene)อยู่ โดยทำหน้าที่กำหนดลักษณะ ทางพันธุกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต ในแต่ละชนิด ที่ยีนแตกต่างกัน ในแต่ละโครโมโซมมียีนอีกมากมายมาเรียงต่อๆ กัน ลักษณะ รูปภาพที่ 42 พันธุกรรมในสัตว์
159 ทางพันธุกรรม ที่ถูกถ่ายทอดไปจึงถูกควบคุมโดยยีนในโครโมโซม ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ยีนในออโตโซมในเซลเนื้อเยื้ออวัยวะต่าง ๆ และยีนใน โครโมโซมเพศที่สำหรับสืบทอดลูกหลาน จำนวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตชนิด หนึ่งๆ จะมีจำนวนเท่ากันเสมอสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันอาจมีจำนวนโครโมโซม เท่ากันได้ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช้จำนวนของโครโมโซมมาจำแนก ความแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด เช่น แม้ว่าจำนวนโครโมโซมจะมาก แต่กลับไม่มีผลต่อขนาดของสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์ใช้DNA เป็นตัวกำหนด เอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตโครโมโซมจะทำสำเนาแบ่งตัวเองตลอดเวลา ในการ เกิดของชีวิตใหม่เซลสืบพันธุ์ของสัตว์เมื่อมารวมกัน โครโมโซมจะทำสำเนากัน ไปมาในระหว่างที่เซลกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ยีนจะส่งต่อถ่ายทอด พันธุกรรมให้ลูกหลายต่อเนื่องไป ดูเหมือนว่าไม่ต่างอะไรที่เราสามารถถ่าย สำเนาจาก อุปกรณ์บันทึกใน Memory Card จากเครื่องหนึ่งไปสู่อีกเครื่อง หนึ่ง ทำให้ลูกหลานมีเอกลักษณ์ที่สามารถสืบค้นที่มาที่ไปได้กับพ่อแม่ 6.3.2 สิ่งที่เล็กที่สุดเหมือนกับสิ่งใหญ่ จากการศึกษาสิ่งที่ปรากฏการณ์ในสัณฐานของวัตถุนั้น ได้รูปแบบ มาจากสิ่งที่เล็กประกอบกัน หรือสิ่งที ่ใหญ่นั้นถูกจองมาจากสิ่งที่เล็กที่มา ประกอบเข้ากับสิ่งใหญ่นั้น รูปแบบการทำสำเนาของสิ่งต่างๆ ในจักรวาลทำ ให้เกิดสิ่งใหม่ เช่นโครงสร้างของอะตอมจะเหมือนระบบสุริยะ ซึ่งมีนิวเคลียส อยู่ตรงกลาง มีอีเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียส ลักษณะเช่นนี้เหมือนกับระบบ สุริยะ ที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์โคจรรอบ สิ่งที่เล็กที่สุดมา จากสิ่งที่ใหญ่ที่สุดถ้าหากจะบอกว่าอะไรมาก่อนกัน คงต้องบอกว่ารูปแบบ ของระบบสุริยะน่าจะมาจากโครงสร้างของอะตอม แสดงว่าทุกสิ่งไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ถูกแรงบางอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลกระทำ
160 ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาใหม่ โครงสร้างจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ในจักรวาลนี้รวมทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตดังนั้นการวิเคราะห์รูปแบบของ สิ่งอื่นใดในจักรวาลนี้สามารถแนวความคิดนี้ไปใช้วิเคราะห์ นักจักรวาลวิทยา กล่าวว่านี่เป็นผลของความถี่ที่มีอยู่ในผืนอวกาศ ความถี่ของจักรวาลทำให้ รูปแบบของสิ่งต่าง ๆ เป็นไปในทำนองนี้คือจะลักษณะเป็นวงกลมหมุนวน เช่น กาแลกซี่มีลักษณะเป็นทรงกลมแล้วหมุนวนเข้าสู่ศูนย์กลาง โครงสร้าง ของอะตอมเช่นเดียวกันองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด เก็บไว้ซึ่ง เอกลักษณ์ของตน เรียกว่าโครโมโซม ภายในโครโมโซมจะมีลักษณะของ พันธุกรรมบันทึกเก็บอยู่ภายใน มีลักษณะเป็นเกลียวการเหมือนกับการโคจร ของระบบสุริยะรอบกาแลกซี่ทางช้างเผือกระบบสุริยะเราเป็นส่วนหนึ่งของกา แลกซี่ทางช้างเผือก อยู่บริเวณหางของกาแลกซี่ทางช้างเผือก ซึ่งทางช้างเผือก มีเว้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 แสนปีแสง (หมายถึงแสงต้องใช้เวลาเดินทาง 1 แสนปีถึงจะข้ามพ้นกาแลกซี่ทางช้างเผือก 1 ปีแสงเท่ากับ 9.461 ล้านล้าน กิโลเมตร ดังนั้นเส้นผ ่าศูนย์กลางของกาแลกซี่ทางช้างเผือกจะยาวประมาณ 0.9461 ล้านล้านล้านกิโลเมตร) การโคจรของดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์โดยรอบกาแลกซี่ ทางช้างเผือกเหมือนกันกับเกลียวของ DNA การบิดเป็นเกลียวไขว้กันไปมา เมื่อเซลล์สืบพันธุ์ผสมกันมีการแลกเปลี่ยนจับคู่ ทำสำเนากันหลายครั้งเพื่อ สร้างสิ่งมีชีวิตตามแบบเดิม ข้อมูลจำเพาะที่บันทึกอยู่ในDNAจะประมวลผล ของสภาพความเป็นอยู่ของคนผู้นั้น ในบางครั้งสิ่งแวดล้อมเปลี ่ยนไป การ บันทึกข้อมูลก็จะประมวลผลทำให้เกิดการผ่าเหล่าเกิดขึ้น มีการกลายพันธุ์ เพื่อปรับตัวให้ได้กับสิ่งแวดเล้อมที่เปลี่ยนไป เจตน์จำนงค์ของสิ่งมีชีวิตก็เป็น ส ่วนสำคัญต่อการบันทึกข้อมูลในDNA รูปแบบของ DNA มนุษย์มีลักษณะที่ แตกต่างจากสัตว์อื่นทั่วไป มีนักวิทยาศาสตร์คาดว่ามนุษย์น่าจะไม่ใช่สัตว์ที่
161 พัฒนาการมาจากสัตว์สายพันธุ์อื่นที่มีอยู่ในโลกนี้เดิม ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ ของชาร์ล ดาร์วิน 6.4 จิตนิยาม พระพุทธศาสนามองจักรวาลเป็นสองมิติส ่วนหนึ ่งมองโลกทาง กายภาพที่จับจ้องได้ด้วยทวารทั้ง 5 จากตา หูจมูก ลิ้น กาย ยังมองลึกลงไปสู่ ที่จิตอีกมิติหนึ่งซึ่งได้ให้ความสำคัญมากที่สุดและเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับวัตถุ ภายนอกเป็นอย่างดี 6.4.1. ลักษณะของจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาท พระพุทธศาสนากล ่าวว่าสัตว์ประกอบด้วยรูปกับนาม รูปหมายถึง ร่างกายที่จับต้องได้นามหมาย ถึง จิต ความเป็นสัตว์จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ทั้งสองต่างเป็นปัจจัยแก ่กันและกัน “นามรูปํปจฺจโย โหตุ” ถึงแม้ว่าทั้งสอง ต่างเป็นปัจจัยแก่กันและกัน แต่พระพุทธศาสนาได้ให้ความสำคัญในการศึกษา ที่จิตโดยตรง ซึ่งเชื่อว่าจิตเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดการสร้างรูปในภพใหม่ตาม พุทธพจน์ที่กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตอันเป็นข้อมูลในภพต่อไปว่า “กมฺมุนา วัตฺ ตีโลโก” (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม), “กมฺมพนฺธุ” (สัตว์โลกย่อมมีกรรม เป็นเผ่าพันธุ์) จิตของปุถุชนตามปกติจะปรุงแต่งสร้างรูปในภพใหม่ โดยอาศัย ข้อมูลจากวิบากกรรมที่สะสมไว้ในในอดีตชาติจิตจึงเป็นต้นตอของ ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสัตว์นั้น การเดินทางของจิตในภพภูมิต่างๆ มักจะสร้างรูปไว้เสมอ อันเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจิต จิตนั้นมีสามารถ สร้างสรรค์งานได้อย่างวิจิตรส่งผลให้รูปที่ได้สร้างขึ้นในภพใหม่ได้อย่างพิสดาร ให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน กระบวนการในการสร้างรูปของจิตมีความเกี่ยวข้อง กับพลังงานความร้อน (อุตุ) โดยตรง และถึงแม้ว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิใหม่ แล้วก็ตาม วิบากกรรมที่สะสมอยู่ในจิตยังให้ผลตลอดเวลา เพราะจิตสามารถ สร้างรูปได้เองจากฐานวิบากกรรม ถ้าหากว่ามีเหตุปัจจัยเหมาะสม
162 กระบวนการนี้ก็เกิดดังนั้นจิตจึงมีคุณสมบัติหลากหลายและมีความเกี่ยงโยง กับพลังงานความร้อนที่เป็นพลังงานทางรูปธรรมหรือทางกายภาพ (Physical Energy) 6.4.2. ความหมายของจิต จิต (จิต ฺตํ) แปลว่า สภาวะดำริ(อารมณ์) หมายถึง การรับเอา อารมณ์เข้ามา หรือการรับอารมณ์มาจากคำบาลีว่า “จินเตตีติจิต ฺตํ” นอกจากนี้จิตฺต แปลว่า เครื่องดำริหมายถึงสภาวะที่รับรู้อารมณ์ถึงแม้ว่าเรา จะหมดสติไปจิตยังคงทำหน้าที่รับอารมณ์ของมันตลอดไม่ได้หยุดพัก จิต อาจจะเรียกได้หลายอย่างเช่น จิตฺต, มน, มานส และวิญฺญาณ ได้หลาย ความหมาย ซึ่งแต่ละความหมายมีที่มาที่ไป จิตในความหมายที่ปรุงแต่งแปรปรวนได้ไม่เที่ยง เนื่องจากมันจะ แปรปรวนไปตามเจตสิก89 ลักษณะ เมื่อเจตสิกใดปรากฏในจิตจิตนั้นก็จะคง สภาพลักษณะอารมณ์นั้น จิตในความหมายว่า วิญญาณ คือ การรู้แจ้ง เพราะว ่ามันรับรู้ สัญญาณตามอายตนะทั้ง 6 ได้แก่ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ จิตในความหมายว่า มน หรือ มโน เพราะมันเป็นกริยาน้อมไปรับ อารมณ์หรือเรียกว่า “เจตนา”ที่จะไปรับอารมณ์จากความหมายของพุทธ พจน์“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็น หัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ด้วยใจ” จิตในความหมายว่า ภวังค์เพราะว่า องค์แห ่งการเกิดภพ หรือตัว เกิด หมายเอากระบวนการของจิต ที่มีการเกิดหรือปฏิสนธิจิต ชวนะจิตต่าง ๆ ก็จะมาจบที่ภวังคจิตอันเป็นข้อมูลทั้งปวงของจิตหรือจิตใต้สำนึก ที่จะส่งต่อ
163 ข้อมูลไปยังจิตดวงใหม่ก่อนที่จิตดวงเก่าจะดับ จึงมักใช้ในความหมายของจิตใต้ สำนึกของจิต จิตเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติเป็นธาตุๆ หนึ่งในปรมัตถธรรม ทั้ง 4 ได้แก่จิต เจตสิก รูป และนิพพาน กล่าวโดยสรุปจิตมีหลากหลายชื่อ ขึ้นอยู่กับว่าจิตในทำหน้าที่ที่ไหน อย่างไร และเพื่ออะไร จากภาษาบาลีกล่าวไว้ดังนี้ยํจิตฺตํมโน หทยํมานสํ ปณฺฑรํมนายตนํมนินฺทุริยํวิญฺญาณํวิญฺญาณกฺขนฺโธ ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตุ อิทํจิตฺตํซึ่งอธิบายในอัฎสาลินีอรรถกถาว่า ลักษณะที่เกิด ชื่อที่เรียก ธรรมชาติใด ย่อมคิด ธรรมชาตินั้น จิต ธรรมชาติใดย่อมไปหาอารมณ์ธรรมชาตินั้น จิต จิตที่รวบรวมไว้ภายในนั่นแหละ หทัย ธรรมชาติฉันทะคือความพอใจที่มีอยู่ในใจ มานัส จิตเป็นธรรมชาติที่ผ่องใส ปัณฑระ มนะที่เป็นอายตนะ คือเครื่องต่อ มนายตนะ มนะที่เป็นอินทรีย์คือครองความเป็นใหญ่ มนินทรีย์ ธรรมชาติใดที่รู้อารมณ์ธรรมชาติ วิญญาณ วิญญาณที่เป็นขันธ์ วิญญาณขันธ์ มนะที่เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งรู้อารมณ์ มโนวิญญาณธาตุ จากอรรถกถาข้างต้นเป็นการแบ่งจิตตามหน้าที่จิตกำลังทำงานอยู่ และอยู่ในบริบทไหน จะเห็นถึงความเกี่ยวข้องของจิตที่จะเป็นอะไรและบอก ถึงการทำงานของมันว่าทำอย่างไร เช่น
164 จิต: ธรรมชาติของจิตที่คิด, จิตใช้สมองในการคิด ซึ ่งจิตใช้เป็น สำนักงานเพื่อบริหารร่างกายหรือรับรู้ความเป็นไปทุกส่วนของร่ายกาย จิต: ธรรมชาติของจิตย ่อมไปหาอารมณ์, จิตได้เสพอารมณ์เป็น อาหาร อารมณ์อยู่ที่ไหนจิตย่อมอยู่ที่นั่น การเจริญสติปัฏฐานในหมวดของ เวทนานุปัสสนา เพื่อให้เห็นชัดอารมณ์ที่เกิดขึ้น การเห็นอารมณ์นั่นคือการเห็น จิตไปในตัว เพราะการเจริญวิปัสสนาคือการให้เห็นอย่างแยบยลในอารมณ์ที่ เกิดขึ้นในจิต แล้วพิจารณาอย่างแยบคาย เพื่อให้เกิดวิราคะ เพราะการแก้ทุกข์ นั้นต้องแก้ที่จิตการตามหาจิตย่อมหาไม่เจอถ้าไม่รู้จักวิธีการนี้“อารมณ์อยู่ที่ ไหน จิตอยู่ที่นั่น” หทัย: จิตที่รวบรวมไว้ภายใน, จิตในความหมายนี้เป็นการบอกว่า จิตเป็นศูนย์กลางของพลังชีวิตที่ตั้งมั่นให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่ เป็นจุดศูนย์รวม พลังงานของจิต ซึ่งอรรถกถาจารย์ถึงกับให้คุณค่าของจิตในความหมายนี้ว่า เปรียบเสมือนกับหัวใจทางกายภาพที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายว่า “หทัย วัตถุ” หมายถึงสิ่งซึ่งเป็นศูนย์ของแหล่งพลังงานของจิต ที่ส่งพลังไปส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกายเช่นเดียวกันกับหัวใจที่ฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นการ กระทำที่คู่ขนานกันไปกับหทัยวัตถุที่ดูแลวิญญาณที่กำกับอายตนะทั้ง6 เหมือนกันกับเลือด ชีวิตจึงต้องมีรูปกับนาม หรือ มีสสารต้องมีพลังงานกับ คลื่นกำกับอยู่ภายใน รูปแบบของคู่ที่มีอยู่ในจักรวาล สิ่งมีชีวิตย่อมมีความ คล้ายคลึงกัน มนัส: ธรรมชาติฉันทะคือความพอใจที่มีอยู่ในใจ, มีความพอใจเป็น พื้นฐาน ด้วยอำนาจของกิเลสทำให้ความพอใจนั้นได้ถูกพัฒนาต่อยอดเป็น ความทะยานอยากที่จะแสวงหาตามความพอใจนั้น การค้นพบธรรมชาติที่มีอยู่ เดิมทำให้เราสามารถพบกับความสันโดษ และสงบตามกำลัง หรือเท่าทันความ เป็นจริงได้
165 ปัณฑระ: จิตเป็นธรรมชาติที่ผ่องใส, มีความหมายว่าจิตเดิมแท้นั้น ความจริงใสบริสุทธิ์เป็นปภัสสรแต่ขุ่นมัวเพราะกิเลสจรมา การเข้าถึงจิตเดิม แท้ที่ใสบริสุทธิ์นั่นคือการเข้าถึงธรรม กำจัดอวิชชาที่เป็นอกุศลมูลออกไปหมด จิตจึงใสเหมือนเดิม วิธีการที่จะกำจัดกิเลสได้นั้นต้องเข้าถึงจิตให้ได้ก ่อน จึง เป็นที ่มาของการนิยามจิตในชื ่ออื ่นที ่มีความหมายในการนี้วิญญาณ คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ มนายตนะ: มนะที่เป็นอายตนะ คือเครื่องต่อ, หมายถึงจิตทำหน้าที่ รับอารมณ์ต่อจากอายตนะ นั่นคืออายตนะส่งความรู้สึกไปยังจิต มนินทรีย์: มนะที่เป็นอินทรีย์คือครองความเป็นใหญ่, หมายถึงเป็น ใหญ่ที่หนึ่งในบรรดาอินทรีย์ทั้งหลาย ดังพุทธพจน์ว่า “มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฏฐา มโนมยา – ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่” ซึ่งอินทรีย์ในขันธ์ทั้ง 5 วิญญาณ: ธรรมชาติใดที ่รู้อารมณ์, หมายถึงเป็นธรรมชาติที่รับรู้ อารมณ์จากอายตนะทั้งหมด ซึ่งวิญญาณนี้จะแยกไปตามสิ่งเร้า (Stimuli) มีที่ ทำให้เกิดผัสสะทั้ง6 ช่องทาง เปรียบได้กับสัญญาณที่เชื่อมต ่อจากจุดรับรู้ ภายนอก สัญญาณเหล่านี้จะมีอยู่ทั่วไปตามอายตนะทั้ง 6 เช่นกัน ได้แก่ วิญญาณ ฐานที่ถูกกระตุ้น การปรากฏ จักขุวิญญาณ ทางตา ด้วยภาพ โสตวิญญาณ ทางหู ด้วยเสียง ฆานวิญญาณ ทางจมูก ด้วยกลิ่น ชิวหาวิญญาณ ทางลิ้น ด้วยรส กายวิญญาณ ทางผิวกาย ด้วยสัมผัส มโนวิญญาณ ทางใจ/ความคิด ด้วยจินตนาการ/ ความคิด ตารางที่ 3 ตารางกระบวนการเกิดของวิญญาณ 6 ฐาน
166 *** มโนวิญญาณ เกิดจากการกระตุ้นทางใจ ด้วยจินตนาการ เป็น สัญญาเก่าที่เราเคยสะสมไว้มาเป็นความคิด ความหมายของจิตในส ่วนนี้ เปรียบเสมือน สายสัญญาณของจิตที่ส่งเข้าสู่จิตหลักคอยรับรู้ความเคลื่อนไหว สิ่งที่มากระทบทั้ง 6 ช่องทาง เพื่อให้เห็นว่าจิตมีการแผ่พลังงานควบคุมกาย หยาบไว้ทั้งหมดสภาพของสัญญาณนั้นมีความเปลี่ยนไปตามภพภูมิของสัตว์ ในแต่ละภูมิสัตว์บางสายพันธ์ไม่มีอายตนะครบก็มีแต่ศักยภาพของจิตในสัตว์ นั้นมีสัญญาณอยู่แล้ว เหมือนกับคนบางคนพิการทางตา มองไม ่เห็นแต่ ศักยภาพในจิตของเขาผู้นั้นมีจักขุวิญญาณแฝงอยู ่แต ่ไม ่มีอายตนะเลยไม่ ทำงานทางช่องทางนี้วันใดมนุษย์มีเทคโนโลยี่ใหม่ ๆ ทำให้เขาสามารถ มองเห็นได้เขาก็จะมองเห็น นั่นคือจักขุวิญญาณทำงาน วิญญาณขันธ์: วิญญาณที่เป็นขันธ์, เป็นการจัดองค์ประกอบของ ชีวิตที่ประกอบด้วยขันธ์ทั้ง 5 โดยที่จิตเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์5 นั้น แต่เป็นใน รูปแบบของวิญญาณขันธ์ได้แก่ รูปขันธ์เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์หรืออาจเรียกว่าจิตในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของสิ่งมีชีวิต ซึ่งขันธ์ทั้ง 5 แต่เดิมนั้นมาจากรูปกับนาม นามนี้เป็นองค์ประกอบที่มีเหตุ ปัจจัยมาจากตัวรู้คือ วิญญาณขันธ์และการปรุงแต่งตัววิญญาณขันธ์(จิต) คือ เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขารขันธ์นี่คือนาม มโนวิญญาณธาตุ: มนะที่เป็นธาตุชนิดหนึ่ง, หมายถึงความมีอยู่ของ จิต ธาตุมีความหมายว่าการมีอยู่การมีตัวตน ซึ่งทำให้สัตว์มีตัวกูของกู นอกจากนี้แล้วตัวจิตเองยังมีนิยามเฉพาะตนเองไว้ด้วย ซึ่งนิยาม เหล ่านี้มีความหมายได้หลายอย่างในการตีความโดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์ ในวิขาควอนตัมฟิสิกส์มีพฤติกรรมใกล้เคียงมากที่สุด ดังนั้นจิตโดยทั่วไปมี ลักษณะที่มีนัยตรงกันข้ามกับรูปธรรม หรือ วัตถุธรรม ประมวลได้ดังนี้
167 1) ไม่มีรูปร่าง (อรูป) 2) ไม่กินเนื้อที่ (No extension) 3) หมุนไปเร็ว (ลหุปริวฎฏํจิตฺตํ) 4) ไปได้ไกล (ทูรงฺคมํจิตฺตํ) 5) บริสุทธิ์ผ่องใส (อาภสฺสรมิทํจิตฺตํอสงฺกิลิฏฐํ) 6) มีปกติรับรู้อารมณ์อยู่เสมอ (อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ) 7) เป็นผู้สั่งสมวิปาก (ผล) ของกรรม (วิปากจิต) 8) รักษาขันธสันดานให้เกิดขึ้นโดยติดต่อสืบเนื่องและไม่ขาดสาย (ภวังคจิต) ทำให้สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตวิจิตพิสดาร การที่จิตมีความวิจิตรโดย การกระทำ คือ การสร้างสิ่งวิจิตรนั้น จิตเป็นประธาน เช่นกายนี้มีรูปร่าง อย่างไร ผม ขน เล็บ ฟันหนัง หรือมองในด้านนอกกายการก่อสร้าง ศิลปะ จิต เป็นผู้สั่งการทั้งสิ้น แม้การทำอภิญญาแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆก็เกิดจากจิตการ ทำดีทำชั่ว ขึ้นกับพื้นฐานของจิตว่ามีความดีความชั่วมากน้อยเพียงใดซึ่งจะ เป็นเหตุให้สามารถทำความดีความชั่วได้มากหรือน้อย จากนิยามของจิตนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่าพฤติกรรมของจิตมีความสม นัยกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ดังนี้
168 รูปภาพที่ 43 จิตกับศาสตร์สมัยใหม่ 6.4.3. บูรณาการจิตกับศาสตร์สมัยใหม่ จิตในมุมมองนี้สามารถบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ได้ตามรูปภาพ ข้างบนจะเห็นความสมนัยกันระหว่างคุณสมบัติของจิตกับทฤษฎีทาง วิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับคลื่นและพลังงานตามทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์คือ จิตลักษณะพฤติกรรมคล้ายคลื่น มีเกิด-ดับ ๆ สลับกันไปด้วยความเร็วมาก และจิตก็เดินทางไปได้ไกล เหมือนกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เดินทางข้ามกาแลก ซี ่ได้ด้วย (มีความเร็วประมาณ 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาทีในสุญญากาศ) นอกจากนี้คลื่นสามารถใช้ประโยชน์ในสื่อสารได้จิตของผู้มีวิชชาสามารถ สื่อสารได้เช่น หูทิพย์ตาทิพย์ทฤษฎีควอนตัมกล่าวว่าคลื่นและพลังงานเป็น เหตุปัจจัยกัน ดังนั้นจิตจะมีพลังงานตลอดเวลาเพราะจิตมีการเกิด-ดับ ตลอดเวลา พลังงานจิตจึงเกิดขึ้นมาตลอดเช่นกัน ลักษณะสามัญของจิตเป็นสังขตะธรรมที่ถูกปรุงแต่งโดยอำนาจของ ปัจจัย มีทั้งอารัมปัจจัยและอนันตรปัจจัยเป็นต้น ความเป็นสังขตะธรรม จิตจึง เป็นไปตามกฎไตรลักษณะ คือมีลักษณะ 3 อย่างได้แก่
169 อนิจจลักษณะ คือ สภาพความไม่เที่ยง แปรปรวน ทุกขลักษณะ คือ คือสภาพความทนอยู่ไม่ได้เพราะถูกบีบคั้น เบียดเบียน อนันตตลักษณะ คือ สภาพความไม่ใช่ตัวตน ไม ่เป็นแก ่นสารที่ อำนาจเหนือการบังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างใด ๆ ได้ นอกจากลักษณะสามัญนี้แล้วจิตยังมีคุณสมบัติพิเศษอีก 4 อย่าง เรียกว่า ลีกขณาทิจตุกะของจิต ที่ทำให้จิตมีความพิเศษมากขึ้น ได้แก่ 1) วิชานนลกฺขณํ– มีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ หมายถึงเป็นสิ่งที่ รู้อารมณ์นั้น 2) ปุพฺพงฺคมรสํ– มีการเป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจหรือมี หน้าที่หลัก 3) สนฺธานปจฺจุปฏฺฐานํ– มีการเกิดสืบเนื่องไม่ขาดสาย เป็นอาการ ที่ปรากฏ หมายถึงพฤติกรรมของจิตที่เป็นไปจะมีสภาพเกิด-ดับสลับกันไป อย่างต่อเนื่อง 4) นามรูปปทฏฺฐานํ– มีนามรูปเป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายถึง จิต จะต้องสร้างนามรูปตลอดเวลาถ้ามีโอกาสและจิตจะไม่ทำอย่างอีก เช่น จิต ของสัตว์ที่ตายเรียกว่าจุติจิตแล้วไปเกิดใหม่ทันทีเป็นปฏิสนธิจิตเมื่อได้ภพ ใหม่จิตจะเปลี่ยนเป็นภวังคจิต แล้วสร้างรูปนามขึ้นมาตลอดทุก ๆ ภพชาติจิต ในลักษณะนี้ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นซอฟท์แวร์ที่มีชีวิต เป็นโปรแกรมที่พร้อมจะ ทำงานตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส เป็นไปตามกลไกของข้อมูลกรรมครั้งอดีตได้ สะสมไว้จึงเป็นการขับเคลื่อนตามธรรมชาติที่ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชามันได้ เป็นไปตามหลักอนัตตาที ่เป็นเพียงแค่กระบวนการทำงานของวิบากกรรม
170 เท่านั้น มีผลให้เกิดสัตว์ใน 31 ภพภูมิซึ่งพระพุทธองค์ทรงให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ว่ามันเป็นเพียง“สักแต่ว่า” ดังพระพุทธพจน์“พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอ พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อ รับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้ แจ้ง พาหิยะ เธอพึงรักษาอย่างนี้แล.” ทำให้ท่านพาหิยะได้บรรลุธรรมด้วย คาถาบทนี้ท่านให้เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพียงแค่กระบวนการทำงานของ จิตเท่านั้นสัตว์เป็นพลอยได้สัตว์มีผลกรรมบังคับบัญชามันเท่านั้นเองตัวตน เราท่านนั้นไม่มีการเห็นสภาพธรรมอย่างนี้ทำให้เกิดวิราคะได้เกิดบรรลุที่จะ ไม่ติดยึดในโลกและจักรวาล เพราะเห็นตามความเป็นจริงในกระบวนของจิตนี้ 6.4.4 ประเภทของจิต จิตเดิมนั้นเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ผ่องใสแต่เนื่องจากมีเจตสิกเป็น องค์ประกอบร่วมในจิตจึงทำให้คุณภาพของจิตเป็นไปตามส่วนประกอบของ เจตสิกนั้น ประดุจน้ำสะอาดที ่ถูกแต่งเติมสีผสมเข้าไป น้ำจึงมีสีสันต่าง ๆ ตามนั้น ถ้าจิตขณะนั้นถ้าหากประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายไม่ดี(อกุศล) จิตก็จะแปร สภาพเป็นอกุศลจิตไป หรือในทางตรงกันข้ามถ้าประกอบด้วยเจตสิกฝ ่ายดี (กุศล) จิตก็จะกลายเป็นกุศลจิตจิตแบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ อกุศลจิต คือ จิตที่มีโทษ และให้ผลตรงกันข้ามกับกุศลจิต หรือเป็นที่ประกอบกับอกุศล เจตสิก และที่เป็นกลาง ๆ ไม่ให้ผลในทางดีหรือชั่ว กุศลจิต หรือ มหากุศล คือ จิตที่ไม่มีโทษและให้ผลเป็นความสุข ฉะนั้น จึงชื่อว่า กุศล และสามารถให้ผลเกิดขึ้นได้มากเช่น จิตเกิดฌาน อภิญญา มรรค ผล ฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า มหา เมื่อรวมเข้าก็คือ มหากุศลจิต วิปากจิต คือ จิตที่เป็นผลของอกุศลจิต และกุศลจิตที่เป็นอเหตุกจิต (จิตอันไม่สัมปยุตตเหตุคือ ไม่ประกอบด้วยเหตุ6 ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโม-หะ จิตที่ไม่ประกอบทั้งกุศลและอกุศล) หรือจิตที่เป็นผล
171 ของมหากุศลจิตเพราะว่าเมื่อว่าโดยเวทนาสัมปโยคะสังขารแล้วก็เหมือนกัน กับอกุศล หรือ กุศล ที่เป็นอเหตุกจิต กิริยาจิต หรือ มหากิริยาจิต คือ จิตที่ชื่อว่า มหากุศลนั้นแหละ เกิดขึ้นในจิตของพระอรหันต์รวมทั้ง อเหตุกกิริยาจิต3 จึงได้ชื่อว่า มหากริยา จิต โดยความรวมว่าเป็นจิตของพระอรหันต์ว่าการกระทำใด ๆ ของท่านจะไม่ เป็นเพื่อเกิดวิบาก จากวัฏฏะ 3 ที่มีกิเลส – > กรรม – > วิบาก สำหรับคนทั่วไป ตามปกติจะเป็นอย่างนี้แต่สำหรับพระอรหันต์แล้วจะเปลี่ยนเป็น วิชชา – > กรรม – > กิริยา, กิริยาตรงนี้แหละที่เป็นกิริยาจิตหรือ มหากิริยาจิต เป็นการ กระทำที่พ้นจากเจตนา เมื่อไม่มีเจตนากรรมจึงไม่มีเพราะเจตนาคือ กรรม (เจตนาหํภิกฺขเว กมฺมํวทามิเรากล่าวเจตนาว่าคือกรรม) นอกจากนี้จิตยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ เมื่อพิจารณา ตามการประกอบของเจตสิกคือ 1). ประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายที่ดีงามมีโสภณ เจตสิกจะได้จิตมี59 ลักษณะ และ2). ประกอบด้วยอโสภณจิตที่ไม่มีโสภณ เจตสิกประกอบ จิตจะมี30 ลักษณะ รวมทั้งหมดเป็น 89 ดวง หรือ 121 ดวง โดยพิสดาร
172 รูปภาพที่ 44 ผังประเภทของจิต จิตสามารถแบ่งออกเป็นสองขั้วตามเจตสิกประกอบ มีบวกกับลบ เท่านั้น ไม่มีกึ่งกลาง ไม่ดีก็ชั่วเลยดังนั้นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ใน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนาไม่ใช่อยู่ระหว่างความชั่วและความดีแต่ต้อง เป็นจิตฝ่ายที่ดีอันมีจุดสูงสุดอยู่ในส่วนของโลกุตตรจิต มีมัคคจิตและผลจิตเป็น ที่ตั้ง คุณสมบัติของจิตต่าง ๆ ตามผังจะปรากฏออกมาได้ต้องทำให้ศักยภาพ ของเจตสิกนั้นถูกฝึกอยู่เป็นประจำ มันถึงจะเกิดขึ้นมาในจิต ถ้าหากว่า คุณสมบัตินั้นถูกกระตุ้นบ่อย ๆ อย่างถูกทาง เช่น การฝึกสมาธิวิปัสสนาให้สติ เจตสิกปรากฏชัดจิตจะมีความสามารถแสดงพลังงานได้จิตมีอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นการเจริญสติเพื่อให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง บังคับไม่ให้ เจตสิกดวงอื่นเข้ามาตามกิเลสที่นอนเนื่องในอนุสัยที่ทำให้จิตเศร้าหมอง จิต นั้นจะเกิดปัญญาเห็นตามความจริง และเป็นจิตถาวรไม่อนุญาตให้เจตสิกดวง อื่น ๆ มาทำงานแทนที่ดังนั้นทางสายกลางของจิตที่เข้าถึงจึงเป็นการกระทำที่ ไม่มีเจตนาเป็นกริยาจิต การกระทำใด ๆ จึงเป็นสักแต่ว่าทำอย่างไม่หวังผล
173 หรือยึดมั่นถือมั ่นเป็นวิบากนั้น ส ่วนจิตที ่เหลือนอกนั้นเป็นการกระทำที่มี เจตนากำกับ ที่ให้วิบากกรรมสะสมต่อไป 6.4.5. แดนที่จิตทำงาน จิตปกติจะดิ้นรนยากที่จะคาดเดาได้ว่าไปไหนและยากที่จะบังคับ มี การเปลี่ยนแปลงปรุงแต่งตลอดเวลาตามคุณสมบัติของมัน จิตจึงเปรียบ เหมือนกับลิงที่ไม่อยู่นิ่งกับที่ดิ้นรนไปมาแต่จิตยังมีที่ทำงานประจำๆ อยู่3 ห้องเท่านั้น จิตจะวนเวียนอยู่ในแดนหรือห้องทั้งสามนี้ได้แก่ ห้องทำงานที ่ 1 เป็นทำงานที่ออกมารับรู้จากทวารทั้ง 5 (ปัญจ ทวาร) เหมือนห้องปฏิบัติการที่จิตอาศัยอยู่ในอายตนะทวารทั้ง 5 ได้ตา, หู, จมูก, ลิ้นและกาย อันเป็นกระบวนการของจิตที่ออกมาจากภวังค์เข้าสู่วิถีเมื่อ ถูกสิ่งเร้าภายนอก จิตในช่วงนี้มีภาวะที่ตื่นตัวอย่างเต็มที่ เรียกสภาวะนี้จิตว่า เข้าสู่“วิถีจิต” พร้อมที่จะรับรู้การเปลี่ยนแปลงและปรุงแต่งเมื่อเกิดผัสสะจาก โลกภายนอกทั้งปวงตามแผนภาพ เมื่อมีการกระทบของผัสสะเกิดขึ้นจากทวาร ทั้ง 5 จะส่งสัญญาณมาที่มโนทวาร สัญญาณทั้ง 5 นี้เราเรียกว่าวิญญาณทั้ง 5 เกิดที่ตาเรียกว่า จักขุวิญญาณ เกิดที่หู->โสตวิญญาณ, เกิดที่จมูก-> ฆาน วิญญาณ, เกิดที่ลิ้น->ชิวหาวิญญาณ และเกิดกระทบที่กาย->โผฑัฏภ-วิญญาณ ห้องที่ทำงาน 2 ทำงานอยู่ในเขตแดนของมโนทวาร จิตแทนที่จะ ออกไปรับรู้จากทวารทั้ง 5 หลังจากตื่นตัวออกมาจากภวังค์แต่กลับมาอยู่แต่ ภายในจิตที่ เรียกว่า “ธรรมารมณ์” หรือห้องแห่งความคิด อันมีมโนภาพและ จินตภาพต่าง ๆ ตามที่จิตได้เก็บเอาไว้ในส่วนของมโนทวาร เช่น เรากำลัง คิดถึงเรื่องของอดีต หรือคิดอย่างลึกซึ้งเรื่องใดเรื่องหนึ่งในขณะทำสมาธิ ห้องทำงานที่3 ทำงานอยู่ในแดนภวังค์ห้องนี้จิตจะนอนนิ่งอยู่ใน ฐานเดิมของตน จิตจะไม่มีกำลังพอที่จะออกเข้าสู่วิถีรับรู้อารมณ์ภายนอกใด ๆ
174 ทั้งสิ้น แต่จะก็เกิด-ดับรับอารมณ์ภายในห้องของตนเองนี้โดยอาศัยข้อมูลใน วิบากที่ตนเคยสะสมไว้มาเป็นอารมณ์เพราะจิตมีกิจคือรู้อารมณ์อันวิบาก เหล่านี้ต่อไปจะกลายเป็นให้เกิดกรรมนิมิตและคตินิมิตให้แก่จุติจิตคือ จิตก่อน ตายนำไปใช้ในการเกิดภพใหม่ จิตจะไม่ได้รับรู้อารมณ์จากภายนอกใด ๆ เลย เหมือนกับว่าจิตกำลังเสวยกรรมหรือเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลวิบากที่ตนสะสมไว้ เช่น ในขณะที่คนนอนหลับสนิทโดยไม่ฝัน หรือในขณะสลบ จิตจะอยู่ในแดน ภวังค์นี้ รูปภาพที่ 45 แดนที่จิตเข้าไปทำงาน จิตมีกระบวนการทำงานแบบกลไกที่แน่นอน มีหน้าที่รู้อารมณ์มี เจตสิกเป็นส่วนประกอบ และเจตสิกจะบอกให้รู้ว่าจิตในขณะนั้นกำลังทำ หน้าที่อะไร นอกจากจะจิตมีพฤติกรรมเกิด-ดับ, เกิด-ดับสลับกันไปตลอดเวลา แล้ว จิตยังมีหน้าที่บันทึก เก็บสะสม และการถ่ายทอดข้อมูลจากดวงหนึ่งไปสู่ อีกดวงหนึ่งโดยอัตโนมัติจิตจึงมีกลไกการทำงานที่แน่นอนตามจังหวะจะโคน เป็นความถี่ที่เห็นได้ชัดเจน จิตมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์เพราะมันมี หน้าที่รับรู้อารมณ์พระพุทธองค์ทรงว่านั่นคือสภาวะอนัตตา ไม่ใช่“อัตตา” เราไม่สามารถควบคุมบังคับมันได้จิตมันเข้าไปรับอารมณ์ตามธรรมชาติของ
175 มันโดยอัตโนมัติอันเป็นกิจของมันเองจะไปห้ามไม่ได้มีหลายๆ คนไม่เข้าใจ คุณสมบัติของจิตในลักษณะนี้พยายามที ่จะบังคับไม ่ให้จิตคิดหรือไปรับ อารมณ์ทางใดทางหนึ่ง เมื่อทำไม่ได้ก็เกิดความเครียดสมาธิแตกกันไปตาม ๆ กัน เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติของจิตว่าต้องมีอารมณ์เป็นอาหาร การที่เรา บังคับจิตนั้นไม่ได้มันจึงเป็นสภาวะของ “อนัตตา” ตามพุทธพจน์ได้กล่าวไว้ ว่า “ภิกษุทั้งหลายวิญญาณเป็นอนัตตา ภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จัก เป็นอัตตาแล้วไซร้วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื ่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ใน วิญญาณว่าวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่าง นั้น” ภิกษุทั้งหลายก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้นวิญญาณจึงเป็นไป เพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้ วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้น สภาวะของอนัตตาในมุมมองนี้คือจิตมีการเปลี่ยนแปลงไปตามผัสสะ ที่มากระทบ จิตจึงเป็นตัวสื่อสารกับสิ่งภายนอกโดยเข้าสู่วิถีจิตรับอารมณ์จาก ภายนอก ดังนั้นวิธีการที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนาจึงสอนไม่ให้หยุดความคิด แต่สอนให้รู้เท่าทันความคิดที ่ถูกปรุงแต่ง (สังขาร) เพราะมีสัญญาเดิม (สัญญาวิปลาส) เป็นฐานข้อมูลพระพุทธศาสนาจึงสอนว่าให้ใช้วิธีการเจริญสติ (มหาสติปัฏฐาน 4) ในการดับและระงับทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตได้
176 ลักษณะการทำงานของจิตในแดนทั้ง 3 จิตจึงมีการทำงานอยู่ 2 ลักษณะคือ 1. จิตตัวของมันเองมีการเกิด-ดับตลอดเวลาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว 2. จิตมีการออกจากภวังค์เข้าไปรับอารมณ์จากทวารทั้ง6 ที่เรียกว่า จิตเข้าสู่วิถีตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเรื่องห้องทำงานของจิต 3 ห้อง จิตจะ ทำงานอยู่ในห้องที่1 กรณีที่อยู่ใน จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวารและเมื่อทำงานอยู่ในมโนทวาร คืออยู่ห้องที่ 2 แล้วกลับออกจากวิถี เข้าสู่ภวังค์ในห้องที่3 รูปภาพที่ 46 กลไกจิตทำงานในช่วงชีวิต ลักษณะการทำงานของจิตที่เข้าสู่วิถีรับอารมณ์จิตทำงาน เหมือนกับคลื่น คือ มีรอบการเกิดดับสลับกันไปคงที่ มีอนุขณะย่อย 3 ขณะต่อ การเกิดดับของจิตหนึ่งครั้งได้แก่อุปาทะ(เกิดขึ้น) >> ตั้งอยู่ (ฐีติ) >> ดับไป (ภังคะ) ตามปกติจิตจะอยู่ที่ภวังคะไม่รับรู้เรื่องราวใด เมื่อมีแรงกระตุ้นจาก ทวารทั้ง 5 จิตจะออกมารับรู้อารมณ์ที่เกิดผัสสะจากการกระตุ้นนั้น เรียกว่า จิตยกเข้าสู่วิถีจิต เป็นการเกิดดับของจิต 17 ขณะ เป็นการเสพอารมณ์ของจิต
177 เมื่อเขียนเป็นกราฟิกของดวงจิตที่เกิดดับต่อเนื่องกัน ตามความเห็นของผู้เขียน พิจารณาว่าในการเกิดของคลื่นจิตแต่ละลูกนั้น เมื่อดวงหนึ่งดับดูเหมือนจะมี พลังงานบางอย่างที่เป็นแรงเฉื่อยขับดันให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้น มันจึงเกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา แรงขับนี้เปรียบเรียกได้ว่า “สังขาร” คือมันมีความปรุงแต่งจิต ให้จิตเป็น “จิตตสังขาร” จิตมันจึงถูกปรุงแต่งสร้างสรรค์และแสวงหาภพไม่รู้ จบสิ้น สิ่งที่ซ้อนกับสังขารควรจะเป็นตัณหาที่ได้สร้างอุปาทานตามกระแส ของปฏิจจสมุปบาท จนทำให้เราหลง (โมหะ)เข้าใจความเป็นจริงผิด ๆ จน บันทึกแนบแน่นในการจำได้หมายรู้ในคือสัญญาที่เป็น “สัญญาวิปลาส” ในการนี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อจะหยุดการปรุงแต่ง จิตจึงจะสงบไปไม่ เกิดแรงขับให้เกิดจิตดวงใหม่ตามพุทธพจน์“สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มี ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดาเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความสงบ แห่งสังขารเหล่านั้นเป็นความสุข” สังขารคำแรก หมายถึงร่างกายที่เป็นสรีระ จับต้องได้ส่วนสังขารคำหลัง หมายถึง การปรุงแต่งจิตจากกิเลสจึงทำให้จิต เป็นจิตตสังขาร ดังนั้นแรงขับของจิตที่ทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่อยู่ตลอดเวลา คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ที่ทำงานอย่างเป็นระบบ ตราบใดที่เราไม่รู้ชัดตาม ความเป็นจริง มันจะยังคงขับดันอยู่ตลอดเวลาข้ามภพข้ามชาติการได้เห็นว่า สัญญาเรานั้นวิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงด้วยการเจริญสติเพื่อให้ เกิดความรู้ชัดจึงเป็นไปในลักษณะคลายการปรุงแต่ง เมื ่อเห็นชัดในความ วิปลาสของสัญญาความรู้ทางปัญญาอันใหม่จึงเกิดขึ้นเพื่อละความยึดมั่น นี่ แหละคืออุบายหยุดการปรุงแต่ง การทำงานของจิตแบ่งเป็นสองส่วนต่อวงจรทำงานครบ 1 วงจร คือ ออกจากภวังคจิตเข้าสู่วิถีจิตรับอารมณ์ใน 17 ขณะ แล้วกลับเข้าไปในภวังคจิต ใหม่ตัวจิตเองมีลักษณะการเกิดดับ ๆ เหมือนคลื่น มีจังหวะการเกิด-ดับคงที่ เป็นแสนโกฏิครั้งชั่วลัดนิ้วมือเดียว ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าจิตมีที่ ทำงานอยู่ใน 3 ห้องทำงาน ส่วนการเก็บข้อมูลจากการกระทำ (วิบาก) จะเกิด
178 จากการเสพย์อารมณ์ในชวนะจิตทั้ง 7 ขณะ จากนั้นจิตจึงนำวิบากนั้นมาเก็บ สะสมไว้ที่ภวังค์เรียกว่า “วิบาก” เมื่อจิตพ้นวิถีจิตแล้ว วิบากนี้จะเก็บสะสมไว้ เป็นฐานข้อมูลในสำหรับในการสร้างรูป เพื่อการเกิดภพชาติต่อไป ผู้เขียนมี ความเห็นว่าการเก็บข้อมูลนี้มีประเด็นที่ควรคิด ด้วยธรรมชาติของจิตที่สะสม วิบากเป็นข้อมูลและสัตว์ต่างๆ ที่เกิดมาหลายแสนชาติฐานเก็บข้อมูลต้อง ใหญ่มากๆ ตามความเห็นของผู้เขียน ลำพังจิตนั้นไม่น่าที่จะเก็บสะสมข้อมูล ได้ขนาดนั้น ควรที่จะมีแหล่งเก็บข้อมูลที่จิตสามารถติดต่อสื่อสารได้ไม่ขาดสาย อนึ่งคุณสมบัติที่จิตสามารถสื่อสารได้น่าจะใช้ช่องทางนี้ส่วนแหล่งที่เก็บข้อมูล นั้นอาจจะเป็นธรรมชาติของอวกาศอย่างหนึ่งที่สามารถสะสมได้(อวกาศมีเส้น ใยเล็ก ๆ เต็มไปหมดเป็นส่วนที่ก ่อให้เกิดจักรวาล) ดังนั้นเปรียบได้กับ ไฟล์ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในห้องๆ หนึ่งรอโอกาสที่เหตุปัจจัยเหมาะสม ไฟล์ของ วิบากนั้นก็ทำงาน แล้วจะมีผลต่อสัตว์ให้ผลของกรรม การที่จิตเข้าสู่วิถีเพื่อรับอารมณ์ภายนอกจากทวารทั้ง 5 ได้นั้น จิต ต้องอาศัยพลังที่สูงมากกว่าปกติที่นอนเนื่องในภวังค์เรียกว่า “จิตอยู่ในภวังค์” พลังนี้เราเรียกว่า “การตั้งเจตนา”เจตนานี้พระพุทธองค์ตรัสว่า มีความหมาย เช่นเดียวกับการกระทำ หรือแปลว่าเป็นการทำงานของจิตอย่างแท้จริง ถ้าจิต อยู่ในภวังค์เฉย ๆ ถือว่ายังไม่การทำงาน พุทธพจน์กล่าวว่า “เจตนา หํภิกฺขเว กมมํวทามิแปลว่าดูก ่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาคือกรรม” ดังนั้น ในการเจริญอิริยาบถวิปัสสนานั้น วิปัสสนาจารย์มักจะกล่าวว่าให้กำหนดนั่น คือตั้งเจตนา เพื่อให้จิตตื่นจากภวังค์เป็นการสื่อสารกันที่ต้นจิตโดยกล่าวว่า “อยากเดินหนอ... อยากยืนหนอ...อยากนั่งหนอ” ซึ่งหมายถึง การที่เรา พยายามที่จะสืบค้นหาต้นเจตนา โดยมีจิตเป็นผู้สั่งการ หรืออีกนัยหนึ่งคือ “สังกัปปะ” คือ การดำริ จิตสร้างเจตนาเพื่อที่จะเข้าสู่วิถีจิตรับอารมณ์จากผัสสะภายนอกนั้น เรียกว่า เป็นช่วงของจิตอยู่ในจิตสำนึก คือ รู้เนื้อรู้ตัว รู้ผัสสะ มีสติสัมปชัญญะ
179 แตกต่างจากจิตที่อยู่ในภวังค์ซึ่งไม่รับรู้เรื ่องราวใดเลย ตามที่กล่าวมาแล้ว จิตสำนึกมีพลังสูงมากซึ่งเราสามารถนำมาใช้งานได้และโดยเฉพาะผู้ที่ได้ สมบัติทางจิตเช่น สมาบัติ8 อภิญญา6 จึงสามารถสร้างอิทธิพลต ่อวัตถุ ภายนอกได้เพราะพลังงานที่จิตสร้างขึ้นมาจะได้พลังมากขึ้นกว่าคนปกติเป็น พลังบวกที่เกิดจากการรู้ตัวมีสติสัมปชัญญะครบ ซึ่งสอดคล้องกับมรรคองค์8 ที่กล่าวว่า สัมมาสติและสัมมาสมาธิเป็นการสร้างพลังทางจิตเพื่อให้จิตตื่นมา รับรู้ความเป็นจริงจนเกิดปัญญาได้ในที่สุด ส่วนมรรคองค์อื่น ๆ ต่างมาช่วย ประกอบให้สัมมาสติและสัมมาสมาธิทำงานได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด มรรคทั้ง 2 องค์นั้นเป็นพลังงานที่สร้างจิตให้เกิดพลังงานเพื่อไปใช้งานให้เกิดปัญญา จึง เห็นผลพลอยได้จากการเกิดปัญญาด้วยเช่นกัน คือ อภิญญาของพระอริยะ บุคคล 6.5 เจตสิก เจตสิก เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้มี ความเป็นไปต่างๆ อาการที่ประกอบกับจิตนั้น มีลักษณะ 4 ประการ คือ1. เกิดพร้อมกับจิต 2. ดับพร้อมกับจิต 3. มีอารมณ์เดียวกับจิต 4. อาศัยวัตถุ เดียวกับจิต เป็นส่วนหนึ่งที่ประกอบอยู่ในจิตเกิดและดับพร้อมกับจิตเป็น ปรมัตถธรรม เป็นส่วนหนึ่งที่ปรุงแต่งจิตให้มีความวิจิตรและเจตสิกที่ประกอบ จิตนั้น มีประเภทต่างๆ กัน ตามจิตที่มีความสัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อม โดยการ เข้าไปรับรู้สิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นอารมณ์แต่การรับรู้นั้นจิตต้องอาศัยเจตสิก เป็นตัวกระทบอารมณ์ในครั้งแรกที่เรียกว่าผัสสะเจตสิกเป็นต้น ส ่วนเจตสิก อื่น ๆ ก็จะร่วมปรุงแต่งจิตให้เป็นไปในอาการต่าง ๆ นานา ดังนั้นการปรุงแต่ง ของเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิตนั้นจึง ทำให้จิตมีความสามารถในการรู้อารมณ์ที่ แตกต่างกันออกไป ได้แก่ การ รู้เรื่องของกามคุณ เรื่องของรูปฌาน อรูปฌาน จนกระทั่งรู้นิพพานอารมณ์ซึ่งเป็นที่มาว่ารู้ได้ด้วยตนเอง เจตสิกอยู่ในอำนาจ ของจิต เป็นสภาพธรรมที่มีใจเป็นผู้นำ มีใจเป็นใหญ่สำเร็จได้ด้วยใจ เจตสิกมี
180 อยู่หลาย ๆ เจตสิกในจิต เปรียบเสมือนดอกไม้ที่อยู่ในช่อดอกที่มีก้านดอก เดียวกัน เจตสิกเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามปกติในจิต เปรียบเหมือนกับเป็น องค์ประกอบที่ทำให้จิตมีคุณลักษณะเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง แบบเดียวกับ บาร์โค้ด (Bar Code) ที่อยู่ตามกล ่องสินค้าซึ่งสามารถบอกคุณลักษณะของ สินค้านั้น เจตสิกกับบาร์โค้ด (Bar Code) คุณสมบัติของจิตเปรียบเสมือนกับสินค้าที่มี บาร์โค้ตบอกคุณสมบัติของสินค้าที ่มีเส้น แถบแสดงข้อมูลทั้งหมด52 เส้น คือเจตสิก มีคุณสมบัติ52 ลักษณะ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท 1. อัญญสมานาเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายกลางๆ ที่สามารถเข้า ประกอบกับจิตได้ทั้งกลุ่มกุศลจิตกลุ่มอกุศลจิตและอัพยากตะจิตคือ กลุ่ม จิตที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล อัญญสมานาเจตสิกนั้นมี13 ดวง 2. อกุศลเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายอกุศล เป็นกลุ ่มเจตสิกที่ ประกอบได้กับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น มีทั้งหมด 14 ดวง 3. โสภณเจตสิก หมายถึง กลุ่มเจตสิกฝ่ายดีงาม เป็นกลุ่มที่ประกอบ ได้กับโสภณจิต มี25 ดวง กล ่าวโดยสรุปเจตสิกถูกปรุงแต่งโดยจิตซึ่งขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา ของจิตปรุงแต่ง อยู่ในวิสัยที่จิตต้องฝึกฝน เพื่อให้เกิดเจตสิกที่ดีเกิดขึ้นในจิตใจ เช่นการเจริญสติปัฏฐานไป เพื่อให้สติเจตสิก ซึ่งเป็นโสนภณเจตสิกที่ดีทำงาน เจตสิกเปรียบเหมือนคุณสมบัติที่แฝงอยู่ในจิต เปรียบเสมือนตัวปรุง แต่งรสอาหาร เหมือนกับเครื่องปรุงรสอาหารให้จิตมีความวิจิตรมากขึ้น ใน
181 ขันธ์5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ส ่วนที่เป็นเจตสิกคือ ส่วนของ เวทนา สัญญา สังขาร ส่วนของจิตคือ วิญญาณ – ตัวรู้จิตที่ยังไม่ บรรลุธรรมส่วนมากจะปรุงแต่งเรียกว่าจิตสังขารสร้างเจตนาไปตามผัสสะที่ได้ รับมา บวกกับสัญญาเดิมเกิดเวทนาแกว่งไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเจตสิกนั้น มีอยู่แล้วด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ขึ้นในจิต แล้วจิตก็เกิดอุปาทานและยึดเอาสภาวะนั้นถ้าชอบ พยายามหลีกหนีถ้าไม่ชอบ เหมือนกันกับมีอาหารหลากหลายอย่างวางขายให้เลือก ตามปกติคนมักจะ เลือกตามความคุ้นเคย อยู ่เป็นประจำเพราะติดยึดในรสชาตินั้นจนเป็น อุปาทานไป ตามที ่ได้กล ่าวมาแล้วว ่าเจตสิกเสมือนตัวตนของจิต บอกถึง คุณสมบัติของจิตว่าพื้นจิตของสัตว์นั้นเป็นอะไร เช่น มนุษย์บางคนกายเป็น มนุษย์แต่จิตมีสมบัติเป็นเปรตแสดงว่าคุณสมบัติของเจตสิกที่ปรุงแต่งให้จิต ของผู้นั้นมีพื้นฐานเดียวกับเปรต ที่เรียกว่า “มนุษย์เปรต” เป็นพวกที่มีเจตสิก 6.6 วิญญาณ 6: สัญญาณเชื่อมจิตกับร่างกาย จิตหรือวิญญาณมีคุณสมบัติรับอารมณ์อารมณ์เกิดจากผัสสะจาก ช่องทางการรับรู้ทางประสาททั้ง 5 และจากสมองความคิดอีก 1 ช่องทาง เรียกว่าวิญญาณ6 โดยที่ช่องทางเหล่านั้นต่างมีวิญญาณการรับรู้ประจำในแต่ ละส่วนไป ซึ่งแยกได้เป็น6 ช่องทาง คือ ทางกายมีวิญญาณรับอารมณ์ช่องทางนี้ชื่อ “กายวิญญาณ” ทางตามีวิญญาณรับอารมณ์ช่องทางนี้ให้ชื่อ “จักขุวิญญาณ” ทางหูมีวิญญาณรับอารมณ์ช่องทางนี้ให้ชื่อ “โสตวิญญาณ” ทางลิ้นมีวิญญาณรับอารมณ์ช่องทางนี้ให้ชื่อ“ชิวหาวิญญาณ” ทางจมูกมีวิญญาณรับอารมณ์ช่องทางนี้ให้ชื่อ“ฆานวิญญาณ” ทางความคิดมีวิญญาณรับอารมณ์ช่องทางนี้ให้ชื่อ“มโนวิญญาณ”
182 ผู้เขียนมีความเห็นว่าการที่จิตรับรู้อารมณ์ในส ่วนต่างเกิดขึ้นอย่าง รวดเร็วมาก จนแทบคิดว่ารับรู้อยู่แค่อารมณ์ที่มีความเข้มข้นเพียงอารมณ์เดียว แต่แท้ที่จริงแล้ววิญญาณของทุกส่วนทำงานโดยตลอด การที่จิตมีดวงเดียวจึง รับรู้อารมณ์ได้ทีละครั้ง ในครั้งที่เด่นกว่า ไม่ใช่ว่าวิญญาณรับความรู้สึกกับ อารมณ์ในส่วนอื่น ๆ จะหายไปแต่มันยังคงอยู่ซึ่งไม่มีกำลังมากพอที่จะกระตุ้น ให้จิตการรับรู้ได้จิตย่อมต้องรับอารมณ์ที่แรงกว่าเพื่อน เช่น ในกรณีที่เรานั่ง สมาธินาน ๆ บางทีก็ปวดที่หลัง เอวก้นกบ ไหล่การรับรู้อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ทีละอย่าง ในขณะที่อย่างหนึ่งเกิดอีกอย่างหนึ่งก็ไม่ได้หายไปไหน แต่มันไม่มี กำลังกระตุ้นพอที่จะให้เกิดการรับรู้ที่จิตสำนึกได้ในบางครั้งเหตุการณ์เหล่านี้ จะนอนเนื่องอยู่ในภวังคจิตโดยอัตโนมัติไม่ผ่านการรับรู้ทางจิตสำนึก ต่อเมื่อ จิตเราสงบดีแล้วมันถึงรับรู้จากการบันทึกได้เพราะวิญญาณส ่งข้อมูลหาจิต หมด สังเกตเรื่องบางเรื่องที่เราไม่ทันสังเกตกลับเห็นหรือคิดได้เมื่อจิตสงบ เหมือนการถ่ายภาพทิ้งไว้ วิญญาณประจำอยู่ตามสาขาต่างๆ นั้น ดูเหมือนว่าแยกกันเฉพาะ ๆ ที่ไป ต่างมีคุณสมบัติที่แยกกันอย่างเด็ดขาด แต่ความเป็นจริงแล้วผู้เขียนมี ความเห็นว่าจิตหรือวิญญาณนั้น ไม่ได้มีศูนย์กลางการบังคับบัญชา วิญญาณ แต่ละสาขาย่อมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายและได้รายงานผลเหมือนกับ การส่งสัญญาณมาที่ส่วนกลาง ที่นักวิชาการบางท่านกล่าวว่าจิตเป็นกลุ่มของ พลังงานทางนามธรราม ดังนั้นการทำงานของวิญญาณจะเป็นในลักษณะที่ ครอบคลุมร ่างกายทั้งองค์รวมไปในทุกส่วนของร ่างกายไว้อารมณ์ที่เกิดจาก ผัสสะภายนอกเมื่อมากระทบที่ส่วนต่างๆ ของร ่างกายจะเข้าสู่จิตส่วนกลาง ให้รับรู้ได้ทันที จิตครอบคลุมทุกส ่วนของร ่างกายเปรียบเหมือนกับน้ำที่อยู่ในอ่าง มันจะการกระเพื่อมเมื่อมีของแปลกตกลงไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของอ่างน้ำ มัน อาจจะเกิดขึ้นหลายๆ จุดพร้อมกัน แต่ละจุดก็จะสร้างคลื่นน้ำจุดไหนมีการ
183 เพื่อมมากที่สุดก็จะเป็นจุดเด่น จุดเด่นนี้แหละที่จิตจะเอาเป็นอารมณ์แต่ กระนั้นก็ตามส่วนอื่น ๆ ยังคงกระเพื่อมอยู่ที่ไม่เด่นมากพอ จิตจึงไม่ได้เอามา เป็นอารมณ์จิตเวทนาในอารมณ์นั้นจึงไม่เกิดขึ้น เช่น เวลาเราปวดเขากับเจ็บ แขน ถ้าหากว่าที่แขนเกิดเจ็บมากกว่าที่ขา จิตก็จะกำหนดรับรู้ที่แขนเอามา เป็นอารมณ์เป็นทุกขเวทนาก่อน แต่ในขณะเดียวกันความเจ็บปวดที่ขาก็ยังคง มีอยู่ไม่ได้หายไปทีเดียว เพียงจิตไม่สามารถรับเอามาเป็นอารมณ์ได้เพราะเป็น สัญญาณที่อ่อนกว่า เมื่อจิตมีดวงเดียวการรับรู้จึงรับได้ทีละดวง ดังนั้นการ เจริญเวทนานุปัสสนากรรมฐาน ท่านจึงให้กำหนดสติรับรู้อารมณ์ที่เด่นที่สุด มาเป็นอารมณ์กรรมฐาน บางสำนักปฏิบัติธรรมถึงกับเอากรรมฐานข้อนี้เป็น หัวใจหลักในการเห็นธรรม เพราะเวทนานั้นเห็นง่ายและชัดเจน ไม่ต้องสร้าง มโนภาพขึ้นมาเอง ความเจ็บปวดมันอยู่คู่กับเราตลอดเวลา กลุ่มของพลังงานทางจิตจะ เปลี่ยนรูปร่างไปตามภพของสัตว์: เมื่อจิตรับวิบากกรรมซึ่งเป็นปัจจัย ไปสู่ภพภูมิใหม่ของสัตว์ซึ่งสภาพ ร่างกายของในแต่ละภพภูมินั้นจะ มีคุณสมบัติรูปร่างประจำภพของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสัตว์นั้นได้ตายลงไป ภวังคจิตสุดท้ายคือจุติจิตของสัตว์ในภพนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นปฏิสนธิจิตในภพ ใหม่ทันทีหรือถูกตั้งชื่อให้ใหม่ตามหน้าที่ และเป็นไปตามธรรมชาติของจิตนั้น อยู่แล้ว จิตจะต้องอาศัยรูปร่างเป็นที่อยู่อาศัยเสมอไม่ว่าจะเป็นกายหยาบหรือ ละเอียดในการเกิดดับตลอดสายของจิตดังนั้นจิตเมื่อมีการเคลื่อนที่จึงต้อง อาศัยรูป จึงได้ต้องอาศัยรูปที่ละเอียดซึ่งแฝงอยู่กายหยาบของสัตว์(มนุษย์และ สัตว์เดรัจฉาน) เมื่อพิจารณาในกรณีของสัตว์ที่เกิดบนโลกอันมีกายหยาบ ซึ่ง จะแตกต่างจากการเกิดแบบโอปปาติกะ ที่รูปร่างกายผุดบังเกิดขึ้นเองตามแต่ จิตสร้างขึ้นทันทีมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์ที่อาศัยวิวัฒนาการจากใน
184 เกิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เชื้อผสมกันจนเป็นตัว ตรงนี้ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า สัตว์นั้นมีชีวิตแล้ว พิจารณาว่าสัตว์นั้นมีชีวิตแล้วครบองค์ประกอบเพราะมี วิญญาณปฏิสนธิแล้ว วิญญาณในปฏิสนธิตามลักษณะนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า น่าจะ หมายถึงวิญญาณต้องเป็นรูปแบบของสัณฐานของสิ่งมีชีวิตในภพนั้น ๆ ที่มี รูปแบบอยู่แล้ว จิตสร้างตามรูปแบบตามนั้น ใช้ข้อมูลจากฐานของวิบากกรรม ซึ่งการปรุงแต่งรูปกายในเบื้องต้นนั้น มีลักษณะเหมือนกับกายละเอียด เปรียบ ได้กับพิมพ์เขียวของบ้านที่จะสร้างให้เป็นบ้านจริง ๆ ต่อไป ซึ่งจิตได้สร้างกาย ละเอียดนี้เป็นต้นแบบเพื่อให้ได้กายหยาบอีกทอดหนึ่ง กล ่าวคือรูปของสัตว์ หรือมนุษย์ที่ถูกสร้างจะมีแบบจำลองตามที ่จิตร่างไว้ในกายละเอียด กาย ละเอียดนี้อาจารย์พร รัตนสุวรรณ เรียกว่า “กายทิพย์” 6.7 วิญญาณในความหมายใหม่ อาจารย์พร รัตนสุวรรณได้กล่าวว่าสรรพสิ่งมีวิญญาณ ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตซึ่งวิญญาณในที่นี้มีความหมายนอกเหนือไปจากวิญญาณตามที่ เราเข้าใจกันว่าเป็นจิต แต่ในที่นี้วิญญาณมีความหมายถึง พลังงานแห่งรูปแบบ โครงสร้าง และคุณสมบัติของสิ่งนั้น ๆ ที่แตกต่างกันออกไปตามฐานข้อมูลที่มี อยู่แล้วในจักรวาล มีอยู่ในทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิตเป็นคุณสมบัติเฉพาะ ตน วัตถุหรือสสารก็มีคุณสมบัติที่ตายตัวแตกต่างกันออกไป นักวิทยาศาสตร์ สามารถคาดการณ์ได้ในธาตุต่าง ๆ มีคุณสมบัติโครงสร้างที่ไม่เหมือนกันทั้ง จำนวนของอนุภาคที่อยู่ภายใน ออกซิเจน (O2) มีโครงสร้างของนิวตรอน 2 โปรตอน 2 และอิเล็กตรอน 2 อนุภาค ไฮโดรเจน (H) มีโปรตอน 1 อิเล็กตรอน 1 ไม่มีนิวตรอน โครงเหล่านี้เป็นโครงสร้างตายตัวมีชื่อจำเพราะของมันเอง ตราบใดที่อนุภาคมีองค์ประกอบเป็นอย่างนี้ตราบนั้นก็จะมีคุณสมบัติเป็นธาตุ
185 นั้น ๆ ถ้าจะต้องสร้างธาตุให้เป็นอย่างนี้ต้องให้อนุภาคมีโครงสร้างแบบนี้นี่คือ ความหมายของวิญญาณตามทัศนะใหม่ เป็นพลังงานแห่งรูปแบบ วิญญาณของวัตถุตามทัศนะนี้บอกว่าวัตถุมีคุณสมบัติเฉพาะของตน มีโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะตน นักวิทยาศาสตร์เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งค้นพบคลื่น ใหม่ๆ ว่านี่คือคลื่นแห่งวัตถุ (Wave Matter) ซึ่งต่อมามีการค้นพบคุณสมบัติ พิเศษของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมว่ามันเป็นทวิภาวะ (Duality) ในบาง เงื่อนไขหรือเหตุปัจจัยก็อาจเป็นอนุภาค และอาจเป็นคลื่นได้ซึ่งเราเรียกว่า Wave Pattern Particle ซึ่งต้องศึกษาในทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ที่ว่าด้วย การศึกษาเรื่องของวัตถุที่เล็กกว่าอะตอม จริงอยู่สิ่งมีชีวิตเป็นสิ่งแตกต่างไปจากวัตถุที่ไม่มีชีวิต เพราะจิตหรือ วิญญาณ ซึ่งวิญญาณนี้เป็นวิญญาณอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนกับวิญญาณ ของวัตถุทีเดียวนักแต่คล้ายกันในมุมมองของการที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้าง และคุณสมบัติพื้นฐานของวัตถุคือร่างกายให้แตกต่างกัน โดยที่จิตหรือวิญญาณ จะรับข้อมูลจากวิบากกรรมที่มีอยู่เดิมจากการสะสมไว้ออกแบบตามรูปแบบ ของสัตว์ภายใน 31 ภพภูมิผู้เขียนจำแนกสรุปคุณสมบัติของวิญญาณหรือ พลังงานแห่งรูปแบบมีดังนี้ (1) วิญญาณกำหนดแดนเกิดในภพภูมิเมื ่อวิบากกรรมแสดงผล ออกมาทำให้สัตว์นั้นไปเกิดในที่ที่แตกต่างกันตามภพใน 31 ภพภูมิเช่น คนที่ สะสมโลภไว้มากก่อนตายจิตยังข้องอยู่ในอารมณ์นั้นย่อมไปเกิดเป็นเปรตคนที่ จิตอยู่ในกุศลกรรมบถ10 อย่างน้อยก็ไปเกิดเป็นมนุษย์จิตที่มีจาคะระลึกถึง บุญที่ได้ทำไว้จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดา หรือจิตที่ก่อนตายเข้าสมาธิจนได้ฌานเมื่อ ตายไปวิญญาณที่มีคุณสมบัติเป็นพรหมจึงไปเกิดเป็นพรหม (2) คุณสมบัติของวิญญาณจะเป็นตัวกำหนดจริตของคน ตามที่ได้ กล่าวมาแล้วว่าคนมีจริต 6 จริต คุณสมบัตินี้เกิดมาจากวิบากกรรมที่เขาได้เคย
186 สร้างไว้ในครั้งก่อน เช่น คนที่มีโทสจริตจะมีพื้นมาจากวิบากกรรมที่สะสม ความขุ่นเคืองไว้ภายใน เมื่อเกิดเป็นคนจึงมีจริตนี้นำ (3) วิญญาณกำหนดรูปร่างตลอดจนคุณสมบัติพื้นฐานของคนในภพใหม่ดัง พุทธพจน์กล่าวว่า ท่านพระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์ ปรากฏเป็นคนเลวและคนดีคือ มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏว่ามีอายุสั้น มีอายุ ยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณทราม มีผิวพรรณดีมีอำนาจน้อย มี อำนาจมาก มีโภคะน้อย มีโภคะมาก เกิดในตระกูลต่ำ เกิดในตระกูลสูงมี ปัญญาน้อย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “มาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ ่าพันธุ์มีกรรมเป็นที่พึ่ง อาศัยกรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวและดีต่างกัน” คนที่มีความโกรธชอบเบียดเบียนสัตว์ทำร้ายสัตว์เมื่อตายไปตกนรก หรือรับโทษอยู่ในอบายภูมิเมื่อมีบุญได้มาเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคนที่มีผิวพรรณ ทราม หรือเรียกว่าร่างกายผิวพรรณไม่งาม โครงสร้างเหล่านี้เกิดมาจาก คุณสมบัติของวิญญาณที่มีพื้นฐานข้อมูลตามวิบากที่ปรุงแต่งไว้แล้ว ก่อให้เกิด ร ่างกายหรือวัตถุจึงเป็นไปตามนั้น ดังนั้นวิญญาณที ่มีอยู ่ในสิ ่งมีชีวิตจึง เหมือนกันกับสิ่งไม่มีชีวิตในแง่ของโครงสร้างและคุณสมบัติของสิ่งนั้น ๆ หรือ เราอาจจะกล่าวได้ว่าความมีอยู่ของสิ่งนั้น ๆ สามารถจำแนกด้วยวิญญาณของ สิ่งนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน 6.8 กายทิพย์-นามกาย-จิตตสังขาร กายทิพย์ได้ถูกกล่าวไว้ในนานมาแล้วก่อนพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป เป็นลักษณะของกายที่ละเอียดสามารถเดินทางไปพบกับพระเจ้าได้ผู้เขียน เห็นว่ากายทิพย์ในทางพระพุทธศาสนามีอีกแง่หนึ่งนอกจากที่กล่าวกันมาแล้ว
187 อาจจะเป็นในทัศนะของวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง โดย ศึกษาจากสมมุติฐานว่าเป็นกลุ่มพลังงานของจิต ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากรูป ในกรณีที่มองว่าพฤติกรรมที่แสดงออกของจิตมีลักษณะของการเกิด-ดับ สลับกันไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับคลื่นตามศาสตร์สมัยใหม่ซึ ่งศาสตร์ สมัยใหม่มีทฤษฎีควอนตัมรองรับว่า “ที่ใดมีคลื่นที่นั่นย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด พลังงาน” ดังนั้นเราอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า กายทิพย์เกิดขึ้นจากกลุ่ม พลังงานของจิตโดยเหตุปัจจัยมาจากคลื่นจิตแล้วพลังงานกลุ่มนี้เป็นรูปอีก รูปแบบหนึ่งคล้ายกับคุณสมบัติพลังงานทางกายภาพเช่น พลังงานความร้อน พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานคลื่น พลังงานเสียง ซึ่งต่างจากกายทิพย์ใน ศาสนาอื่นที่เป็นตัวเป็นตนและเป็นอมตะซึ่งพลังงานที่เกิดขึ้นจากจิตนี้เรียกว่า “นามกาย” ผู้เขียนจะได้อธิบายกายทิพย์แบบพุทธตามนัยยะนั้นต่อไปดังนี้ จากพระพุทธพจน์กล่าวไว้ในสติปัฏฐานในการพิจารณาเห็นกายใน กาย, กายานุปัสสนา ดังนี้ ภิกษุสำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า” สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก” อย่างไร คำว่า กาย ใน คำว่ากาโย มี2 คือ 1) นามกาย คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนาม ด้วย เป็นนามกายด้วย และสิ่งที่เรียกว่า จิตตสังขาร นี้ชื่อว่า นามกาย 2) รูปกายคือ มหาภูตรูป 4 รูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 ลมหายใจเข้า หายใจออกนิมิต และท่านกล่าวว่ากายสังขารที่เนื่องกันนี่เป็นรูปกาย และ กล่าวต่อไปอีกว่าผลของการเจริญสมาธินั้นทำให้เกิดความสุขในนามกายก่อน แล้ว จะส ่งผลให้รูปกายสุขตามไปด้วย นั่นคือการมีอยู่ของนามกายดังนี้. . . ยังมีอีก มาณพ เพราะปีติจางคลายไป ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวย สุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้มีอุเบกขา