238 7.7.1 พลังจิตมีผลต่อวัตถุ ในปัจจุบันนี้มีนักวิทยาศาสตร์ได้นำวิทยาการที่ได้จากการทดลองนี้ ไปใช้ในการทำงาน เพื ่อสาธารณะกุศลบ้างแล้ว และท ่านเหล ่านั้นก็ได้ ประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆและได้ประจักษ์จัดถึงเรื่องอิทธิพล ของจิตสำนึกที่ส่งผ่านไปได้เช่น ความปรารถนาดีต่อกัน ความเมตตาต่อผู้ป่วย คามต้องให้วิกฤตินั้นคลี่คลายไปในทางที่ดีผลในเชิงประจักที่นักวิทยาศาสตร์ นำมาใช้มีหลายท่าน ก. ดร.มาซารุอิโตโม ( Dr. Masaru Itomo) นักวิทยาศาสตร์ชาว ญี่ปุ่นอีกท่านหนึ่ง ที่สงสัยเรื่องอำนาจของพลังจิตสำนึกต่อวัตถุเป็นอย่างมาก เชื่อว่าพลังจิตสำนึก (Intension) สามารถส ่งพลังต่อวัตถุได้จึงได้ทดลองหา วัตถุที่สามารถวัดความเปลี่ยนแปลงได้ดร.มาซารุเลือกที่จะใช้น้ำเป็นตัวกลาง ในการรับรู้พลังจิตสำนึกโดยดูจากผลึกของน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นตัววัดผล ของพลังงานจิตสำนึก จากการทดลองพบว่าน้ำที่ผ่านกระบวนการเพ่งจิต ได้ค้นพบว่าจากน้ำในทะเลสาบฟูจิวาระก่อนการสวดมนต์เมื่อทำให้ เป็นผลึกแล้วจะได้ภาพเป็นเหมือนหน้าปีศาจแต่ผ ่านการสวดมนต์ก่อนจึงได้ ภาพออกมาเป็นรูปแบบที ่สวยงาม คงความจริงของผลึกน้ำที ่ลักษณะเป็น สัณฐานหกเหลี่ยมเอาไว้ดร.มาซารุกล่าวว่าในช่วงเวลาสวดดำเนินไปประมาณ 15 นาทีน้ำในแหล่งน้ำจากเดิมที่ขุ่นกลับใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและต่อมาตำรวจ ได้พบศพหญิงสาวในแหล่งน้ำนั้นซึ่งหลังการทดลองนี้ไม่นาน ในความเห็นของ เขาเชื่อว่าหญิงสาวนั้นได้รับอานิสงส์จากการสวดมนต์นั้นด้วย ในช่วงแรกน้ำมี ลักษณะบิดเบี้ยวเหมือนใบหน้าคนได้รับทุกข์ทรมาน ส ่งผ ่านมายังแหล ่งน้ำ หลังจากสวดมนต์แล้วน้ำได้แปรเปลี่ยนไปจากเดิมมีความบริสุทธิ์มากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทดลองวิธีอื่นอีกเช่นพูดให้น้ำฟัง ซึ่งการพูดเช่นนั้นก็ เป็นไปตามจิตสำนึกน้ำมีรูปผลึกที่สวยงามต่างจากภาพที่แสดงความอาฆาต
239 ตามความเห็นของดร.มาซารุ มีความเชื ่อว ่าสรรพสิ่งล้วนมีความเป็นคลื่น ความสั่นไหวของคลื่นสามารถสื่อสารให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า สนามรูปพรรณ สัณฐาน(Morphic Field) ที่ดร.รูเพิร์ตเชลเดรคได้ตั้งเป็นสมมุติฐานว่าโลก เรานี้มีแบบจำลองเหตุการณ์ต่างๆ สามารถสร้างสำเนาได้เองโดยอัตโนมัติซึ่ง เรียกว่า “การพ้องกันของรูปพรรณสัณฐาน” ( Morphic Resonance) เช่น มี เหตุการณ์เกิดขึ้นมาอีกที ่หนึ ่ง จะเป็นต้นแบบจำลองให้อีกที่หนึ่งได้โดยไม่ ทราบสาเหตุโดยการทดลองสถานีโทรทัศน์ในอังกฤษเอาภาพชายมีเครากับ หญิงสาวให้ผู้ชมทางบ้านดูอย่างรวดเร็วจนแทบจับใจความภาพไม่ได้แล้วเขา เฉลยว่าเป็นภาพชายมีเคราออกอากาศ และได้ทำในทำนองเดียวกันในอีก ประเทศอื่น แต่ไม่เฉลยผลปรากฏว่าตนส่วนใหญ่จะตอบว่าเป็นภาพชายมีเครา ซึ่งการที่สถานีโทรทัศน์เฉลยออกอากาศไปนั้นเป็นสร้างสนามรูปพรรณสัณฐาน นั่นเอง จึงมีอิทธิพลต่อคนต่อมา และตรงกับแนวคิดของ คาร์ล กุสตาฟ จุง ที่ เรียกว่าความประจวบเหมาะไม่ได้มาจากความบังเอิญ (Synchronicity) ซึ่ง ต่อมานำมาใช้เป็นจิตสำนึกร่วม เรื่องจิตสำนึกร่วมนี้ดร.มาซารุได้ทำการทดลองใช้คน 350 คนมาตั้ง จิตอธิษฐานให้โลกมีความสันติภาพที่ทะเลสาบบิวะ ซึ่งเป็นทะเลสาบตามปกติ จะมีน้ำใสสะอาดแห่งหนึ่งยกเว้นในหน้าร้อนจะมีสาหร ่ายทำให้น้ำเน่าเสียส่ง กลิ่นเหม็น แต่ในปีนั้นที่ร่วมกันตั้งจิตสาหร่ายกลับไม่มีให้เห็น ซึ่ง ดร.มาซารุให้ ความเห็นว่า “วิญญาณของภาษา” ที่เป็นพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง เหมือนกับ พลังงานที่เกิดจากสมการของไอน์สไตน์E = Mc2 โดยที่ E คือพลังงานที่เกิด จากจิตสำนึกร่วม, M คือจำนวนผู้คนที่แสดงจิตสำนึกร่วม, c คือ จิตสำนึกซึ่ง ต้องการนำออกมาจากจิตใต้สำนึกที่มีพลังงานอย่างมหาศาล สนามแห ่งรูปพรรณสัณฐานไม่ติดยึดกับเวลาและสถานที่ สามารถ ก้าวข้ามพ้นทั้งสองอย่างนี้ได้สามารถส่งอิทธิพลแผ่ขยายไปได้ไม่จำกัดในเสี้ยว วินาทีซึ ่งเป็นไปตามหลักควอนตัมฟิสิกส์ที่ว่าปรากฏการณ์ที ่เกิดขึ้นจาก
240 กระบวนไม่ติดยึดกับสถานที่และเวลา และยังได้ทดลองในความหมายอื่น ๆ อีก เช่น เขียนคำที่มีความหมายเชิงบวกและเชิงลบ โดยใช้หลากหลายภาษา แต่ความหมายเดียวกัน ทำให้ผลึกของน้ำมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่ง แสดงให้เห็นว่าจิตสำนึกของคนเขียนหรือเกี่ยวข้องได้ใส่พลังทางควอนตัมไปใน ตัวหนังสือนั้นแล้ว ดูเหมือนเป็นการถ่ายทอดพลังงานได้ ข. แมกแทกการ์ต ลินน์( Lynn Mc Taggart) เป็นผู้หนึ่งที่นำผล การทดลองของโครงการPEAR ไปต่อยอดเพื่อช่วยเหลือสังคม ซึ่งได้กล่าวไว้ ในหนังสือ The Intention Experience เพื่อพิสูจน์Mind over Matter โดย การช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์โดยการแผ่เมตตาจิตจากผู้คนหลากหลาย ๆ บน เครือข่ายสังคมออนไลน์อยู่ทั่วโลก บอกพิกัดและเวลาให้ตรงกัน แล้วให้ดูรูป ผู้ป่วยนั้น ผลปรากฏว่าคนไข้ที่เป็นเป้าหมาย ได้รับรู้ถึงความปรารถนาดีนั้น และคนไข้มีภูมิคุ้มกันมากขึ้นกว่าเดิม จำนวนเชื้อโรคเอดส์มีอัตราลดลง แม้กระนั้นก็ตามยังได้มีการทดลองโดยวิธีเดียวกันนี้ต่อเหตุการณ์ วิกฤติเรื ่องใดเรื่องหนึ ่ง อย่างแท่นเจาะน้ำมันรั ่วที ่อ่าวแม็กซิโก ซึ ่งในการ ทดลองทั้งหมดนั้นมีนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันที่มีชื่อต่าง ๆ เข้าร่วมสรุปวิจัย ด้วย หลังจากทำการทดลองหลาย ๆ กรณีทำให้นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเชื่อ ว่า จิตสำนึกสามารถส่งเป็นคลื่นได้โดยการผ่านเครือข่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ เชื่อมโยงกัน ใช้เป็นศูนย์กลางการรวมพลัง ในการนี้มีวัดผลของพลังจิตสำนึก อย่างเป็นรูปธรรม ทุกวันนี้ได้จัดตั้งสมาคมหนึ่งผ่านทางเว็บไซต์ชื่อว่า Intension Experiment Mind over Matter ที ่มีจุดประสงค์เพื ่อเยียวยาผู้ได้รับความ ทุกข์จากโรคร้าย เช่นมะเร็ง หรือ จาการป่วยอื่น ๆ ใช้วิธีตั้งจิตสำนึกผ่านทาง คอมพิวเตอร์นัดเวลาพร้อม ๆ กันทั่วโลก โดยเล่าอาการป่วยของผู้นั้นว่าเป็น อะไร และมีถิ่นที่อยู่ที่ไหน เมื่อเวลานัดมาถึงคนที่เป็นสมาชิกจะร ่วมการแผ่
241 เมตตาปรารถนาต่อผู้ป่วยผู้นั้น ผลที่ได้นอกจากผู้ป่วยมีความรู้สึกเหมือนมีพลัง อะไรมาทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ แล้วอาการป่วยได้ทุเลาลงไปซึ่งทางการ แพทย์แสดงผลยืนยันได้เป็นภาพผู้ที่ได้รับการเยียวยาจะถูกขึ้นว่าเป็นอะไรที่ ไหน และสถานที่อยู่ของผู้ป่วย เมื่อถึงเวลานัดคือวันที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 1.00 น. ของเวลามาตรฐาน EST ทุกคนที่เป็นอาสาสมัครจะเข้าไปที่เว็บแล้ว กำหนดจิตแผ่พลังจิตเมตตาไปที่ผู้ที่ต้องการเยียวยา จากการวัดด้วยเครื่องทางวิทยาศาสตร์ที่มีทีมนักวิทยาศาสตร์สร้าง เครื่องมือชี้วัด ได้กล่าวว่า “Global ConsciousnessProject director Roger Nelson was on hand to discuss the fact that 1) there is increasing evidence from his work on REG machines that a global mind exists, and 2) our peaces Intention Experiments show identical trends that show the power of this very untapped human potential.” กล่าวโดย สรุปว่ามีพลังแห่ง“จิตสำนึกร่วม” จริงและมีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถวัดค่า ได้ 7.7.2 คลื่นกับอนุภาคเป็นสิ่งเดียวกัน ควอนตัมฟิสิกส์เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องกลไกของพลังงาน หรืออาจ เรียกว่า ควอนตัมแมกคานิกส์ (Quantum Mechanics) ที่จากเกิดจากการ เคลื่อนที่ของก้อนพลังงาน โดยปราศจากทิศทาง ตามที่เราคุ้นเคยกันแบบ เส้นทางตรง ๆ หรืออาจกล่าวว่า ควอนตัมฟิสิกส์เป็น ศาสตร์ที่ว่าด้วยอนุภาค ขนาดเล็ก และศึกษาถึงพลังงานที่เกิดจากอนุภาคนั้น รวมถึงการศึกษาว่า พลังงานกับอนุภาคนั้นต่างก็เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เพราะบางสถานะอนุภาค แสดงตัวเป็นคลื่นได้บางสถานะคลื่นกลับแสดงตัวเป็นอนุภาคได้เป็นการ กลับไปมาระหว่างคลื่นและอนุภาค ยากที ่จะคาดเดาได้พลังงานในระดับ
242 อนุภาคที่เกิดขึ้น จะเป็นพลังงานที่ระดับต่ำ ซึ่งสมองสามารถสื่อสารได้จึง สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตได้ด้วยเช่นกัน ในทฤษฎีนี้การเคลื ่อนที ่นั้นไม่อาจจะคาดการณ์ได้เหมือนกับที่ นีลส์ บอร์ (Niels Bohr) ซึ ่งค้นพบโครงสร้างของอะตอม เขากล ่าวถึง พฤติกรรมของอิเล็กตรอนไว้ว่า “อิเล็กตรอนนั้นไม ่สามารถทำนายหรือวัด ตำแหน่งได้ถ้าเรายังไม ่ต้องการจะวัด แต่เมื ่อต้องการจะวัดตำแหน่งก็จะ ปรากฏทันที” ดูเหมือนว่าจิตเจตนามีปฏิกิริยาต่อสภาพนั้น ด้วยเหตุแห่งการ เคลื่อนที่ไร้การคาดเดา จึงเกิดแนวคิดใหม่ว่าด้วยการเคลื่อนที่ของก้อน พลังงานนั้น ความพัวพัน (Entanglement) หรืออาจเรียกว่า เป็นการผุดบังเกิด ที่ไร้ทิศทางแบบเส้นตรง ตามความเข้าใจเดิมสิ่งสองสิ่งที่จะสื่อสารกันได้ต้องมี ตัวกลางเชื ่อมและอธิบายกระบวนการนั้นได้ด้วยวิธีการแบบกลศาสตร์ แบบเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้เรียกมันว่าเป็นพฤติกรรมแบบ Local สามารถ สัมผัส ได้ด้วยผัสสะทั้ง 5 ช่องทาง ได้แก่รับรู้ทางตา หูจมูก ลิ้น และทางกาย แต่กลศาสตร์แบบควอนตัมไม่ได้เป็นเช่นนั้น การสารสื่อสาร และ การส่งผลกระทบต่อกันและกันระหว่างอนุภาค โดยไม่ผ่าตัวกลางใด ๆเลย เรา เรียกสื่อสัมผัสแบบนี้ว่า Nonlocal เพราะสิ่งสองสิ่งสามารถสื่อสารเข้าหากัน ได้แทบจะทันทีโดยไม่ขึ้นกับสถานที่และเวลา ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีเวลาเร็วกว่า แสงด้วยซ้ำไป จากหลักฐานการทดลอง EPR ที ่สวิสเซอร์แลนด์ในปีพ.ศ. 2478 Einstein กับ Nathan Rosen และBoies Podolsky ได้ตีพิมพ์งานวิจัย ชิ้นหนึ่งที่โลกรู้จักในนามว่า EPR Paradox ซึ่งแสดงให้เห็นความ"เหลวไหล" ของ กลศาสตร์ควอนตัม (ต้องการหักล้างทฤษฎีควอนตัม) ที่อนุญาตให้อนุภาคสองตัวที่อยู่ ห่างกันสามารถติดต่อกันได้โดยใช้สัญญาณที่มีความเร็วสูงกว่าแล้วตามปกติเราทุกคน ย่อมรู้ดีว่าเวลาอนุภาค2 ตัวอยู่ห่างกันมากมันจะเป็นอิสระจากกันเช่น สมมติเราและ
243 เพื่อนกำลังยืนคนละข้างของสนามฟุตบอลและต้องการส่งสัญญาณเสียงหรือแสงเพื่อส่ง ข่าว หากเราไม่ส่งสัญญาณถึงกันเราและเพื่อนก็จะอยู่ในสภาพต่างคนต่างอยู่คือไม่มี ใครมีอิทธิพลเหนือใคร โดยนำอนุภาคโพตอนที่มีความพัวพันต่อก่อน แยก ห้องทดลองซึ่งอยู่ห่างจากกัน 18 กิโลเมตรผลการทดลองพบว่าเมื่ออนุภาค หนึ่งถูกกระทำ อีกอนุภาคจะรับรู้ได้เช่นเดียวกัน และเมื่อจับเวลาแล้วจะมี ความเร็วกว่าแสงที่จะเดินทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งได้ สุทัศน์ยกซ่าน ก็ได้กล ่าวสรุปถึงการทดลอง EPRในบทความ “ความพัวพัน ควอนตัมที่ไอน์ไสตน์เมิน สั่นคลอนสัมพัทธภาพพิเศษ” ว่า . . . ถึงแม้เราและเพื่อนจะเดินแยกจากกันไกลคนละขอบฟ้า แต่เรากับเพื่อนก็มี ความพัวพันเชิงควอนตัม (quantum entanglement) ตลอดเวลา ทำให้สอง เรามีสภาพเป็นหนึ่งเรา ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเพื่อนเรา เราก็จะรู้สึกทันที และในทำนองตรงกันข้าม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เพื่อนเราก็จะรู้สึกทันที เช่นกัน จนเสมือนว่า สัญญาณที่ส่งถึงกันและกันนั้น มีความเร็วสูงกว่าแสง ซึ่ง เหตุการณ์เช่นนี้ณ วันนี้ได้รับการพิสูจน์โดยการทดลองแล้วว่า มีจริง แต่การ พิสูจน์ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตไปแล้ว 25 ปี การทดลอง EPR นี้เป็นการทดลองที่ไอน์สไตน์ต้องการล้มล้างว่า อนุภาคที ่สื ่อสารหากันเร็วกว่าแสงนั้น เป็นทฤษฎีที่เป็นไปไม่ได้เพราะ ไอน์สไตน์เคยตั้งข้อจำกัดของการเคลื่อนว่าจะไม่มีสรรพสิ่งใด ๆในจักรวาลนี้มี ความเร็วเกินแสงไปได้ในเมื่อพิสูจน์ว่าปรากฏการณ์นั้นมันไวมากกว่าแสง แสดงว่าทฤษฎีนั้นผิด เป็นไปได้ว ่าไอน์สไตน์ใช้ทฤษฎีของตนเป็นที ่ตั้งวัด มาตรฐานกับทฤษฎีอื่น ตามที่กล ่าวมาแล้วครั้นต่อมาไอน์สไตน์ก็ออกมา ยอมรับว่ามีโอกาสเป็นไปได้แต่ก็ยังหาทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ Double Slit Experiment พิสูจน์ความสัมพันธ์ของคลื ่น-อนุภาค และจิตในการทดลอง Double slit เป็นการทดลองที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์
244 ว่าอนุภาคมีสองสภาวะเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาค โดยการยิงอนุภาคผ่านสอง ช่องเปิด (Double slit experiment) แล้วสังเกตดูปรากฏการที่เกิดขึ้นบน ฉากหลังที่รับอนุภาคนั้น ได้ผลการทดลองของควอนตัมฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์ของ 3 เหตุปัจจัย ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง อนุภาค, คลื่น และจิตสำนึก จากการทดลองนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์หันกลับไปทบทวน ความคิดเกี ่ยวกับจิตใหม่ เพราะในการทดลองนี้บอกว่าจิตมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างคลื่น-อนุภาค การทดลองจะกำหนดให้ยิงอนุภาคซึ ่งมีขนาดเล็กกว่าอะตอม (Subatomic) ให้วิ่งผ่านสองช่องเปิด (Double slit experiment) แล้วดู ผลกระทบที่ฉากหลังสองช่องเปิดนั้น จึงได้ตั้งสมมุติฐานไว้3 การทดลองคือ ใช้กับวัตถุทั่วไป โดยใช้ลูกหินยิงผ่านสองช่องเปิดผลลูกหินนั้นผ่านไปกระทบ ฉากหลังตามปกติช่องใครช่องมันแล้ว ถ้าหากว่าให้คลื่นตามขวางผ่าน เคลื่อนที่ผ่านสองช่องเปิดคลื่นจะมี พฤติกรรมไม่เหมือนกับวัตถุ เมื่อลอดผ่าสองช่องคลื่นจะได้เป็นแหล่งเกิดคลื่น ใหม่อีกเป็นสองวงทำให้มีการเกิดซ้อนทับของยอดคลื่น มันจึงเป็นอีกรูปแบบ หนึ่ง ถึงแม้ว่าฉากกั้นจะเปิดเพียงสองช่องก็ตาม แต่ผลของการตกกระทบที่ ฉากหลัง จะมีลักษณะเหมือนบาร์โค้ด ซึ่งเป็นเพราะยอดคลื่นเสริมแรงกัน จึง เห็นเป็นเงาเข้ม และยอดคลื่นทำลายล้างกันจึงไม่มีเงาไปปรากฏบนฉากหลัง จึงมีลักษณะเหมือนบาร์โค้ด(Bar Code) จากภาพเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่านสอง ช่องเปิด คลื่นแต่ละคลื่นเมื่อที่ผ่านช่องเปิดในแต่ละช่องจะสร้างคลื่นใหม่ของ ตนเอง จึงทำให้เกิดการซ้อนทับกันของยอดคลื่น ในส ่วนที่คลื่นเสริมแรงกัน แถบหลังฉากจะมีสีขาวเข้ม และส่วนที่คลื่นทำลายหักล้างกันก็จะเป็นแถบว่าง ไป ตามรูป (พฤติกรรมของคลื่นเมื่อมา Inter phase กันตามภาษาวิชาการ จะ มีการเสริมความเข้มและทำลายหักล้างกัน) เราจึงได้ภาพออกมาเหมือน บาร์โค้ด (Bar Code)
245 ส ่วนในโลกของควอนตัมฟิสิกส์ศึกษาวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าอะตอม ลงไปมีพฤติกรรมประหลาดที่ไม ่เหมือนกับเทหะวัตถุตามที่เราทดลองและ คุ้นเคยกัน เมื่อเรายิงอนุภาคผ่านสองช่องเหมือนกันผลปรากฏว่า ฉากหลังของ มันมีลักษณะเช่นเดียวกับคลื่น ดังรูปภาพที่ 52 เมื่อยิงอนุภาคอิเล็กตรอนผ่าน สองช่อง อนุภาคอิเล็กตรอนซึ่งทางทฤษฎีแล้วมันคือวัตถุผลปรากฏว่าอนุภาค เหล่านั้นกลับแสดงตัวที่หลังฉากหลังเฉกเช่นเดียวกันกับคลื่น ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่าอนุภาคมีคุณสมบัติเป็นคลื่นด้วยตามสมมุติฐานของ ไอน์สไตน์ที่ค้นพบแสงไม่ใช ่เป็นแค่คลื ่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามที ่เข้าใจกันใน ขณะนั้น แต่แสงยังสามารถเป็นได้ทั้งอนุภาคแสง คือ โฟตอน (Photon) องค์ ความรู้นี้ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีพ.ศ. 2464 เรื่อง ปรากฏการณ์โฟโต้อิเล็กทริกซึ่งเรานำมาใช้ประโยชน์ในผลิตพลังงานไฟฟ้า จากเซลล์แสงอาทิตย์และสร้างพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ด้วยวิธีคิดนี้ จากการทดลองเรื ่องนี้ทำให้ทราบว ่าอนุภาคที ่มีขนาดเล็กกว่า อะตอมนั้น มีพฤติกรรมเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาค เรียกว่าแบบทวิภาวะ (Duality) แต่จะเป็นสถานะใดในทั้งสองเมื่อไหร่ยังไม่สามารถทำนายผลได้ทำ ให้นักวิทยาศาสตร์ต่อมาค้นพบมีเหตุการณ์บางอย่างในการทดลองสองช่อง เปิดนี้อนุภาคมีไม่แสดงออกถึงความเป็นคลื ่น เมื ่อมีผู้สังเกตเข้าไปวัด ตรวจสอบในระบบนั้นตรงสองช่องเปิด 7.8 จิตสำนึกทำลายความเป็นคลื่นในอนุภาค ในการทดลองต่อยอดจาก Double slit เมื่อมีผู้เข้าไปวัดตรวจสอบ หรือเพ่งความสนใจไปที่สองช่องเปิดผลที่ออกมาว่าอนุภาคที่ยิงออกไป เมื่อ ตกกระทบหลังฉากมีลักษณะเหมือนกับวัตถุที่เป็นก้อน ๆ ตกกระทบแบบช่อง ใครช่องมัน ไม่มีลักษณะของการตกกระทบแบบคลื่นเหมือนดังเดิม เมื่อมีผู้เฝ้า สังเกตการณ์เมื่ออนุภาคนั้นได้ถูกการตรวจวัดเฝ้าสังเกตอปรากฏว่าอนุภาค
246 กลับแสดงตัวเป็นอนุภาคธรรมดาที ่เป็นก้อน ๆ วิ่งกระทบฉากหลัง ทำให้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าที่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์จะมีอิทธิพลต่ออนุภาค โดยการเพ่ง ตรวจจับเป็นตัวแปรเดียวที่ทำให้พฤติกรรมของอนุภาคเปลี่ยนไปไม่เป็นเหมือน คลื่นตามปกติที่เคยเปลี่ยน แสดงว ่าคลื ่นมีปฏิสัมพันธ์กับจิตสำนึกของผู้เฝ้าสังเกตโดยตรง คุณสมบัติของอนุภาคหรือวัตถุจึงเหลือเพียงอย ่างเดียวที ่เป็นอนุภาคไม่มี คุณสมบัติคลื่น-อนุภาค(Wave-particle) อีกต่อไป จากการทดลองเมื่อมีผู้เข้า มาสังเกตตามที่กล่าวมาแล้วพอสรุปเป็นรูปภาพที่52 ดังนั้นจึงได้มีนักวิทยาศาสตร์ติดตามทดลองหาเหตุผลของ ปรากฏการณ์นี้จากหลากหลายการทดลองจึงพยายามหาเหตุผลของ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้ตั้งสมมุติฐานไว้หลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ สันนิฐานว่าจิตสำนึก (Consciousness Mind) ของมนุษย์หรืออาจจะเป็นสัตว์ มีความสามารถที่จะสร้างควาร์ก (Quark) ซึ่งจะพัฒนาเป็นอนุภาคได้เรียกว่า “อนุภาคจิตสำนึก (Consciousness particle)” และ “คลื ่นจิตสำนึก (Consciousness wave)” ได้ จากที่กล่าวมาแล้วข้างนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้เริ่มการทดลอง ที่มี ชื่อโครงการว่า “PEAR” มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายว่าจิตสำนึกมีผลต่อวัตถุจริง หรือไม่ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป สิ่งที่ได้จากการทดลองได้พิสูจน์ให้เห็นว่าจิตสำนึกมีอิทธิพลต่อวัตถุ จากการทดลอง Double Slit จริง ได้มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งสนใจและได้ ตั้งคำถามว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากว่า มีคนคนหนึ่งเพ่งจิตเจตนาไปที่วัตถุ “เพื่อสั่งบังคับให้วัตถุเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้นั้น” เพราะว่าในวัตถุมีอง ประกอบเป็นอะตอมและเล็กกว่าอะตอมก็เป็นอนุภาคอยู่ในตัววัตถุจิตสำนึก ยังมีอิทธิพลต่อวัตถุขนาดใหญ่นั้นได้ไหม
247 จากคำถามข้างต้นก่อให้เกิดโครงการ PEAR ตรงกับชื่อของผลไม้ ชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อเต็มว่า PRINCETON ENGINEERING ANOMALIES RESEARCH เป็นโครงการต้นแบบเพื ่อใช้ทดลองพิสูจน์หาความสัมพันธ์ ระหว่างจิตสำนึกที ่กระทำต่อวัตถุในการทดลองนี้ได้ประยุกต์เอาศาสตร์ สมัยใหม่ทุกสาขาวิชา ทั้งทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โมเมนต์ตั้ม เทอร์โม ไดนามิกส์ควอนตัมแมกแคนนิกส์ (Quantum Mechanics) ,ไฮเปอร์สเปซ (Hyperspace properties) เป็นทฤษฎีไปใช้ในการตรวจวัดทดสอบ เพื่อหา ความรู้ใหม่ที่จะพิสูจน์ว่าจิตสำนึกสามารถมีอิทธิผลต่อวัตถุได้ด้วยวิธีการใด ใน การทดลองนี้ถูกนักวิทยาศาสตร์คนอื่นปรามาสว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่มี ประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์แต่ผลของการทดลองนั้นเกินคาดมีผล ออกมาน่าทึ่งมาก เขย่าวงการวิทยาศาสตร์ให้ตื่นจากการหลับใหล ที่คิดว่าจิต ไม่มีจริง จากผลการทดลองโครงการPEAR ได้สรุปออกมาว่าจิตสำนึกมีอิทธิพล ต่อวัตถุจริง ในงานวิจัย CONSCIOUSNESS AND ANOMALOUS PHYSICAL PHENOMENA By Brenda J. Dunne and Robert G. Jahn. Several million experimental trials investigating the ability of human operators to affect the output of various random physical devices have demonstrated small but statistically significant shifts of the distribution means that correlate with operator intention, exhibit repeatable idiosyncratic individual variations, and display consistent patterns of gender dependence, series position development, and internal distribution structure. These effects also appear to be statistically independent of distance and time. In a complementary program of remote perception studies, experimental protocols and analytical scoring methods have been developed to demonstrate and quantify
248 information acquired by individuals about distant geographical locations without the use of normal sensory channels. A wavemechanical approach to modeling consciousness/environment interactions, based on a metaphorical application of quantum concepts and formalisms, has proven useful in predicting and interpreting the empirical findings and in guiding the development of more incisive experiments.” ในการทดลองมีองค์ประกอบ 4 ส่วน 1. วัตถุทดลอง 2. ผู้ทดลอง (ผู้ส่งจิตเจตนา) 3. สิ่งแวดล้อม 4. เครื่องมือวัดค่าต่าง ๆ ที่เบ่งเบน สมมุติฐานในการวิจัย: ใช้หลักการความเป็นไปได้หรือโอกาสในการ เกิดเหตุการณ์ทางคณิตศาสตร์กับวิธีการแบบธรรมดาที ่คนเราคุ้นเคยและ เข้าใจง่ายมาเป็นตัวอย่างการทดลอง ไม่มีเทคโนโลยี่ซ้บซ้อน เช่น ก. การปั่นเหรียญหัวก้อย วิธีการนี้ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น ได้โอกาสในการเกิดหัวกับก้อย เป็นตัวตรวจสอบความเบี่ยงเบนการ ที่ตามปกติจะมีโอกาสในการเกิด 50 ต่อ 50 เปอร์เซ็นต์ในการเกิดหัวหรือก้อย แต่ถ้าหากว่าการทดลองเพียงไม่กี่ครั้ง จะไม่เกิดผลอย่างชัดเจน แต่เมื่อใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวแทนของเหรียญ โดยให้ ผู้ทดลองเลือกที่จะกดคอมพิวเตอร์การทดลองนี้ถึงจะสามารถทำได้เป็นล้าน ๆ ครั้ง ในเวลาไม่นาน ผลปรากฏว่า ผลออกเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ เจตนาของผู้ทดลอง อีกทั้งารทดลองนี้ยังทดลองเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมให้
249 แตกต่างกัน และพบว่าสิ ่งแวดล้อมที ่ดีนั้น เช่น สงบ ผู้ที่ผ ่านการฝึกสมาธิ มาแล้วจะเอื้อต่อการเพ่งจิตให้เกิดผลเบี่ยงเบนไปตามเจตนาที่สูงมากขึ้น การทดลองนี้ทำทั้งหมด25 ล้านสมมุติฐาน ได้ข้อมูล 1.5 พันล้าน ตัวเลข ใช้เวลาในการทดลองถึง7 ปีจึงสรุปว่าจิตสำนึกที่มีอิทธิพลต่อวัตถุนั้น จริง โดยไม่ขึ้นกับระยะทางและเวลา อันเป็นไปตามทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics) จากผลการทดลองนี้จัดว่าเป็นฐานข้อมูลที่มีความ น่าเชื่อถือสามารถนำไปใช้อ้างอิงทางวิชาการได้ซึ่งนับว่ามีความคลาดเคลื่อน เท่ากับศูนย์ตามปกติ% การเปลี่ยนแปลงไปข้างใดข้างหนึ่งนั้นจะไม่ชัดเจน มากเมื่อมีการทดลองไม่กี่ครั้ง แต่การทดลองนี้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวแทนของ วัตถุ โดยให้ผู้ทดลองกำหนดเจตนาไปที่คอมพิวเตอร์ว่าอยากจะให้ออกข้าง ไหนมากกว่ากัน จำนวนการทดลองจึงสามารถทำได้เป็นล้าน ๆ ครั้ง ในเวลาไม่ นาน ข. การแกว่งของลูกตุ้ม นอกจากนี้ยังได้ทำการทดลองเรื่องชองการแกว่งของวัตถุแบบลูกตุ้ม นาฬิกาการบังคับการแกว่งลูกตุ้มอิสระให้เกิดการแกว่งที่ไม่เท่ากันทั้งสองข้าง โดยให้ข้างใดข้างหนึ่งแกว่งมากกว่าตามจิตที่เพ่งปรารถนาการไหลของลูกหิน หลาย ๆ ลูกในช่องกับดักผ่านลงมาด้านล่าง
250 รูปภาพที่ 55 บังคับการแกว่งลูกตุ้ม ค.การบังคับการปล่อยลูกกลมลงช่องอย่างอิสระ (Random Mechanical cascade) ปกติลูกหินที่ไหลจะลงมาทั้งฝั่งเท่าๆ กัน ถ้าให้มันเป็นไปตามกลไก ธรรมชาติโอกาสในการเกิดทั้งสองข้างจะเท่า ๆ กัน ทั้งซ้ายและขวา คือ อย่าง ละ 50% แต่เมื่อมีการเพ่งจิตต้องการให้มันเบี่ยงเบนไปข้างใดข้างหนึ่ง มันก็จะ เป็นไปตามนั้น รูปภาพที่ 56 การบังคับลูกหินที่ปล่อยให้ไหลลงเสรี
251 นอกจากนี้การทดลองพบว่าในการส่งกระแสจิตสำนึกในระยะ ทางไกลจากห้องทดลองหลายพันไมล์ผลปรากฏว่าวัตถุทดลองมีการเบี่ยงเบน ไปตามคาดหวังของผู้ทดลอง (Operator) จากการทดลอง 360, 000 ครั้ง จากการทดลองครั้งนี้ทำให้เชื่อว่า จิตสำนึกมีความน่าจะเป็นไปตาม ทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ดังนั้นจิตสำนึกจึงย่อมมีพฤติกรรมเป็นไปได้ทั้ง 2 แบบ คือ คลื่นอนุภาค (Wave-Particle) กล่าวคือ จิตสำนึกมีความสามารถเป็นไป ได้ทั้งสองสถานะ (Duality Status) ที ่เป็นได้เป็นทั้งคลื่นและอนุภาค ตาม หลักการของทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ เราจะได้อะตอมใหม่เรียกว่า “อะตอม จิตสำนึก (Consciousness Atom)” และถ้าอยู่ในสถานะที ่เป็นคลื่นจะได้ “คลื่นจิตสำนึก (Consciousness Wave)” ซึ่งอะตอมของจิตสำนึกสามารถ สร้างพันธะต่อกันกลายเป็นโมเลกุลได้เรียกว่า “Consciousness Molecules” ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าต่อไปสามารถสร้างเป็นอะไรก็ได้ขึ้นอยู่ กับจิตสำนึกสั่งการ ในเมื่อจิตสำนึกเป็นคลื่น-อนุภาคได้ดังนั้นจึงเป็นไปตามทฤษฎีของ ควอนตัมฟิสิกส์ซึ่งสามารถใช้สูตรคำนวณทำนายผลของอนุภาคและคลื่นไว้ได้ ด้วยเช่นกัน ในการคำนวณอิทธิพลของคลื่นอนุภาคใดๆ จะมีรัศมีมณฑลส่ง อิทธิพลทำการเป็นทรงกลม (Sphere) จากหลักการนี้ทำให้ได้ทฤษฎีทาง ฟิสิกส์ที่ประยุกต์ใช้กับจิตสำนึกได้และกฎเกณฑ์ทางควอนตัมฟิสิกส์ต่าง ๆ ก็ ย่อมนำมาใช้ในการคาดการณ์ผลของปรากฏการณ์จิตสำนึกได้ด้วยเช่นกัน ดัง รูปภาพ 7.9 ขอบเขตอิทธิพลของจิตสำนึก สมการของ ชโรดิงเจอร์ เป็นสมการที่รวมเอาพลังงานที่เกิดจาก ฟังชั่นคลื่นและอนุภาคไว้ด้วยกัน คล้าย ๆ กับสมการของไอน์สไตน์เหมือนกับ
252 ไอน์สไตน์ที่ประยุกต์พลังงานกับสสารสามารถเปลี่ยนไปมาซึ่งกันและกันได้(E = Mc2; E คือพลังงาน, M คือ มวลหรือสสาร) เขียนเป็นสมการว่า: H - Hamiltonian เป็นส่วนเกี่ยวกับพลังงานรวม ต้นกำเนิดของการ เคลื่อนที่ของอนุภาค หรือพลังงานแหล่งกำเนิดของสนามพลังงาน หรือ Energy Field (เช่น พลังงานจลน์+ พลังงานศักย์ของอิเล็กตรอนในอะตอม) A- Wave Function หรือ Eigenfunction, Wave Function หรือ ฟังก์ชันคลื่น เป็นส ่วนเกี่ยวกับตำแหน่งของอนุภาค (เช่นของอิเล็กตรอนใน อะตอม) E - Eigenvalue เป็นส่วนเกี่ยวกับพลังงานของอนุภาคที่มีฟังก์ชัน คลื่น A (เช่น พลังงานของอิเล็กตรอนที่ระดับของฟังก์ชันคลื่น A) หรือเราอาจจะเขียนเป็นสมการโดยละเอียดใหม่ว่าสมการของคลื่นอนุภาค ของชโรดิงเจอร์ได้ประยุกต์อนุภาคกับคลื่นไว้ในสมการเดียวกัน ในการทดลอง ครั้งนี้เป็นความท้าทายทำในสิ่งที่ในอดีตคิดว่ายากต่อการพิสูจน์เชิงรูปธรรม นำมาจับต้องได้สามารถทำนายผลได้เมื่อจิตสำนึก (Consciousness) เป็นไป ตามควอนตัมฟิสิกส์ทฤษฎีใหม่ ๆ ย่อมจะออกมาให้เห็นต่อไป ถึงแม้ว่า แนวทางใหม่นี้เพียงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็มีกลุ่มนักวิชาการชั้นนำ ได้ประยุกต์ใช้ เพื่อเยียวยาคนป่วยและเหตุการณ์วิกฤติต่าง ๆ นอกจากนี้โครงการ PEARได้ทำการสรุปและวิจารณ์ผลของการ ทดลองครั้งนี้ได้เอกสารทางวิชาการมากมาย ทำให้เกิดทฤษฎีต่อยอดเพื่อ ประยุกต์ปฏิบัติกันต่อยอดความรู้นี้แต่อย่างไรก็ตามทาง PEARได้ทำการสรุป โดยรวมไว้ว่า HA = EA
253 ในมุมมองนี้เราสามารถผลิตเครื่องมือที่สามารถขยายสัญญาณ เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อสัญญาณของจิตสำนึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดและปริมาณที่เล็ก อาจจะนำไปใช้ทางด้านการแพทย์ อาจจะใช้กับมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ทำงานร่วมกับเครื่องจักรกล ด้วยการสั่งการ จากจิตสำนึก
254 บทที่ 8 คลื่นสมองคือลายนิ้วมือของจิต 8.1 กลไกการทำงานของจิต ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจิตทำงานอยู่ในสามสถานที่ หนึ่งอยู่ใน ภวังค์ขจิตสองทำงานที่สมองสามทำงานที่ช่องทางอายตนะที่อยู่ตามร่างกาย ได้แก ่ตาหูจมูกลิ้นร่างกายเมื่อมีสิ่งเราเข้ามากระทบจิตจะยกตัวเข้าสู่วิถีจิตซึ่ง ทำงานอยู่ที่สมองซึ่งกระทบทั้ง5 ช่องทาง การตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระทบ นั้นจะเป็นในลักษณะใดก็ขึ้นอยู่กับจิตของผู้นั้นมีคุณสมบัติของจิตเช่นใด ยกตัวอย่างเช่นคนที่มีโทสะจริต ก็จะตอบสนองอารมณ์โกรธ หรือคนที่มีพุทธิ จริตก็อาจจะมีความยังคิดได้เพื่อยับยั้งอารมณ์ที่แสดงออกต่อสิ่งเร้านั้น เราจึง เห็นได้ว่าจิตที่ดีย่อมสั่งการที่ดีการกระทำกายแล้ววาจาล้วนแล้วแต่อาศัยใจ เป็นหลักที่เราเรียกว่าเจตนาหรือว่าเจตนานี้แหล่ะที่สั่งการให้สมองได้ทำงาน พูดและกระทำด้วยเหตุนี้เราจึงสังเกตว่ามีความสัมพันธ์กับสมองโดยตรง ความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับสมองเป็นไปตามรูปแบบของคลื่น ที่เราเรียกว่า คลื่นจิต ตามที่ได้กล่าวมาในบทที่แล้วด้วยเหตุนี้ครึ่งเจ็ดครึ่งเปรียบเสมือน ล ่องลอยอยู่ฝากไว้ในสมองเหมือนกับการที่เราตามหาร ่องรอยของคนร้ายคน หนึ่งอาจจะดูที่ลายนิ้วมือเช่นเดียวกัน. สั่งการไปที่สมองย่อมมีร ่องรอยของ คลื่นจิตที่กระทบกับสมองซึ่งสามารถวัดขึ้นสมองได้ทางการแพทย์เครื่องมือวัด ขึ้นสมองที่เรียกว่าอีอีจีแพทย์ใช้ทรงมณีสำหรับสำรวจการทำงานของสมองว่า มีความผิดปกติอย่างไรกับคนไข้เมื่อเรารู้ว่าจิตกระทำที่สมองแล้วสมองกระทำ
255 ต่อร่างกายเพื่อสื่อสารกับโลกภายนอก กลไกลนี้ทางศาสนามองว่านี่คือชีวิตที่ ประกอบไปด้วยกายกับจิตหรือรูปกับนามซึ่ง วิธีทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อย ยอมรับเรื่องการมีอยู่ของจิตเท่าไหร่เค้ายังไม่สามารถตรวจวัดได้เชื่อเพลงแต่ว่า กระบวนการทำงานของสมองเป็นระบบทำงานเคมีและคลื ่นในระดับ เส้นประสาทเท่านั้นไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลังการที่คนเรารู้คิดเป็นเรื่องของสมอง ทำงานเองก็จะการสะสมประสบการณ์จากการเรียนรู้ที่ผ่านมาแล้วสามารถ ปรับใช้ได้ในกระบวนการดำเนินชีวิตซึ่งถ้าเราจะวิเคราะห์การให้ดีเราจะเห็น ได้ว่าถึงแม้ว่าเราเอาสมองของสัตว์ออกไปมันก็ไม่สามารถที่จะคิดได้ยังคงเป็น แค่ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งเท่านั้นเองไม่มีแรงกระตุ้นเลยหลายอย่างซึ่งถึงแม้ว่าเรา จะให้กระแสไฟฟ้าเพื่อชาติให้สมองทำงานกระบวนการรู้คิดก็ไม่สามารถทำได้ ผู้เขียนจึงเห็นว่าจิตควรเป็นตัวคิดตัวรู้ที่ทำงานอยู ่เบื้องหลังของ สมองอันนั้นทำให้มนุษย์และสัตว์ซึ่งต่างกับพืชคิดได้โดยจิตสื่อสารด้วยวิธีใช้ เครื่องจิต เหตุที่คิดเช่นนี้เพราะว่าทั่วทั้งจักรวาลเป็นไปด้วยครึ่งต่าง ๆมากมาย ตั้งแต่แรกจักรวาลเกิดจากปรากฏการณ์บิ๊กแบงจักรวาลก็ไม่ได้ว่างเว้นไปจาก คลื่น ดวงดาวกับ Galaxy ต่าง ๆในจักรวาลต่างเต้นระบำกันไปมาในท้องแผ่น พื้นอวกาศกว้างใหญ่ด้วยความถี่ที่แตกต่างกันโลกก็มีความถี่อีกแบบหนึ่ง ดวง อาทิตย์ก็มีความจริงแบบหนึ ่งทุกดวงมีเอกลักษณ์ความถี ่ของตนเองไม่ เหมือนกันผู้เขียนมีความเห็นว่าแต่ละคนย่อมมีความถี่ของจิตที่ไม่เหมือนกัน เช่นกัน ทำไมถึงพูดเช่นนั้นเพราะเหตุว่าจากพุทธะพจน์ที่ว่าไว้มนุษย์มีกรรม เป็นของตนเองใคร ๆก็ไม่สามารถที่จะรับกรรมแทนกันได้กำมุนาวัตตตีโลโก ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่าเอกลักษณ์ของแต่ละคนย่อมมีความถี่การ สื่อสารกับสมองกับร่างกายแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันเพราะพื้นฐานของจิตที่ ไม่เหมือนกัน
256 8.2 คลื่นสมอง ในทางการแพทย์ได้มีการจัดรูปแบบของคลื่นสมองไว้เป็นมาตรฐาน อย่างชัดเจนมากซึ่ง สามารถทำนายความผิดปกติในสมองได้เช่นโรคลมชัก โรคอัลไซเมอร์คลื่นของคนที่เป็นโรคเหล่านี้จะไม่เหมือนกับ คนมาตรฐาน โดยทั่วไป คลื่นสมองเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งได้มาจากการส่ง สัญญาณเคมี ทางชีวภาพในร่างกายมนุษย์การวัดพลังงานไฟฟ้าบริเวณสมองด้วย เครื่องมือ Electroencephalogram (EEG) ทำให้นักวิจัยทาง ประสาทวิทยา และ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ความจริงว่า การเลือกตอบสนองต่อปัจจัยภายนอก มีผล โดยตรงต่อสภาวะภายใน ที่เป็น คลื่นสมอง เราสามารถอ่านค่าผลของ การวัด และแบ่งคลื่นสมองของมนุษย์ตามระดับความสั่นสะเทือน หรือความถี่ ได้เป็น 4 กลุ่ม 1. คลื่นเบต้า (Beta brainwave) มีความถี่ประมาณ 14-21 รอบ ต่อวินาที(Hz) เป็นช่วง คลื่นสมองที่เร็วที่สุด เกิดขึ้นใน ขณะที่สมองอยู่ใน ภาวะของการทำงาน และควบคุมจิตใต้สำนึก (Conscious Mind) ในขณะตื่น และรู้ตัว เช่น การนั่ง ยืน เดิน ทำงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ในกรณีที่จิตมี ความคิดมากมายหลายอย่างจาก ภารกิจประจำวัน วุ่นวายใจ สับสน หรือ ฟุ้งซ่าน และสั่งการสมองอย่างไม่เป็นระเบียบ ความถี่ของคลื่นช่วงนี้อาจสูงขึ้น ได้ถึง 40 Hz โดยเฉพาะคนในที่มีความเครียดมาก อยู่ในภาวะเร ่งรีบบีบคั้น ตื่นเต้นตกใจอารมณ์ไม่ดีโกรธหรือดีใจมากๆ สมองจะมีการทำงานใน ช่วง คลื่นเบต้ามากเกินไป ในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลย มนุษย์จะไม่ สามารถเรียนรู้หรือทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ในโลกภายนอก ปรกติสมองคนเรา จะมีเส้นทางอัตโนมัติในการรับรู้ความรู้สึก ที่ทำ ให้สั่งการได้โดยไม่ต้องใช้เวลาใน การใคร ่ครวญมากนักความเป็นอัตโนมัตินี้ ส่วนใหญ่จะมีประโยชน์อยู่ในระดับหนึ่ง และเป็นเรื่องกลาง ๆ สำหรับชีวิต
257 ช่วยย่นย่อ จดจำ เรื่องราวจำเจ ที่ต้องทำซ้ำ ๆ เป็นประจำให้ดำเนินไปได้ บางส่วนเป็นไป เพื่อประโยชน์ต่อการรอดพ้น จากอันตรายในสถานการณ์คับ ขัน เช่น การดึงมือออกทันทีเมื่อบังเอิญไปสัมผัสของร้อนจัด แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ “อารมณ์ของมนุษย์” ก็มีเส้นทางอัตโนมัติเช่นเดียวกัน แต่คนส ่วนใหญ่ มักจะไม่ได้ควบคุม และปล่อยให้ความเป็นอัตโนมัตินี้ทำงานมากเกินไป จาก ความเคยชินในการป้อนข้อมูลซ้ำ ๆ ของเราเอง โดยมากเป็นความอัตโนมัติ ในทางลบที่มีมากเกินไป ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งผ่านเข้าไปสู่การทำงานของ ส่วนรับความรู้สึกในสมอง ที่เรียกว่า ’อะมิกดาลา’ (Amygdala) ซึ่งเป็น สมอง ชั้นกลาง ใกล้กับ ก้านสมอง และ มีความสามารถใน การเก็บข้อมูล ด้าน อารมณ์จำนวนมาก ๆ ไว้ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่า เราใส่ข้อมูลด้าน ”บวก”หรือ” ลบ” มากน้อยแค่ไหน ก็จะทำให้สมองจดจำ และ ตอบสนองในทิศทางนั้น หากเราปล่อยให้ความอัตโนมัตินี้ทำงานตามลำพัง โดยไม่ฝึก กำหนดรู้ก็จะ ทำให้เราติดกับดักของอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่ตลอดเวลาสมองของเราจะทำงาน อยู่แต่ใน เฉพาะช่วงคลื่นเบต้า ซึ่งในโหมดนี้ถือว่า เป็นโหมดปกป้อง มีทั้งเบต้า อ่อน และแก่แก่หมายถึงความถี่สูง มีผลให้ความคิดถดถอยจากสภาวะปกติ และทำงานอยู่ในฐานความกลัว มีลักษณะต้านทาน ความเปลี่ยนแปลง บาง คนจะหยุดและปิดการเรียนรู้เพราะเกิดความเครียดสภาวะนี้สมองจะหลั่ง ฮอร์โมนด้านลบ ออกมามากเกินไป นำไปสู่ ปฏิกิริยาเคมีที่ทำร้ายส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเป็นลูกโซ่ต่อไปเรื่อย ๆ เช่น อะดรีนาลีน คอร์ติซอล เป็นต้น 2. คลื่นอัลฟ่า (Alpha brainwave) มีความถี่ประมาณ 7-14 รอบ ต่อวินาที(Hz) ความถี่ ของคลื่นที่ต่ำลงมานี้ก็คือ เป็นคลื่นสมองที่ปรากฎบ่อย ในเด็กที่มีความสุข และในผู้ใหญ่ที่มีการฝึกฝนตนเองให้สงบนิ่งมากขึ้น อาจ หมายถึง สภาวะที่จิตสมดุล อยู่ใน สภาวะสบาย ๆ มีการช้าลงด้วย การ ใคร่ครวญ ไม่ด่วนตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยอารมณ์อันรวดเร็ว เวลาที่ความถี่ น้อยลง หมายถึงว่า เราจะคิดช้าลง เป็นจังหวะ เป็นท่วงทำนองคมชัด ให้เวลา
258 แก ่จิตในการไตร่ตรองและมีความคิดเป็นระบบขึ้น สภาวะที่สมองทำงาน อยู่ ในคลื่นอัลฟ่ายังพบอยู่ใน หลาย ๆ รูปแบบ เช่น ขณะที่กล้ามเนื้อ หรือ ร่างกายผ่อนคลาย ช่วงเวลาที่ง่วงนอน ก่อนหลับหรือหลับใหม่ๆ เวลาทำอะไร เพลิน ๆ จนลืมสิ่งรอบ ๆตัว เวลาสบายใจ เวลาอ่านหนังสือ หรือ จดจ ่อกับ กิจกรรมใด ๆ อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง และการเข้าสมาธิในระดับ ภวังค์ที่ไม่ลึกมาก จากลักษณะดังกล่าว ช่วงคลื่นอัลฟ่า จะเป็นประตูไปสู่การทำสมาธิ ในระดับลึก และถือว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุด ในการป้อนข้อมูล ให้แก่ จิตใต้สำนึก สมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที ่ และ เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มี ความคิดสร้างสรรค์เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูง ในทางการแพทย์และ จิตศาสตร์เองก็ถือว่า สภาวะนี้เป็น หัวใจของการสะกดจิต เพื่อการบำบัดโรค โดยหากจะ ตั้ง โปรแกรมจิตใต้สำนึกก็ควรทำใน ช่วงที่คลื่นสมองเป็นอัลฟ่า ในคนทั่วไปเอง ก็ควรฝึกฝนตนเองให้สมองทำงานอยู่ใน ช่วงคลื่นอัลฟ่า เป็น ประจำเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยสร้าง ความผ่อนคลาย ร่างกายจะไม่ทำงาน อยู่บน ฐานแห่งความกลัว หรือ วิตกกังวล แต่จะมองชีวิต อย่างสนุกสนาน มี ความรู้สึกอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรืออยากสำรวจโลกแบบเด็กๆ แต่คนส่วน ใหญ่ มักจะขาดการฝึกฝนให้ตนเอง มีคลื่นสมองชนิดนี้และมักปล่อยให้ อารมณ์อัตโนมัติตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ อย่างรวดเร็วขาดการคิดใคร่ครวญ ด้วยระยะเวลาอันเหมาะสมก่อน หากเรามีการฝึกฝนจิตให้ตื่นรู้เช่นเดียวกัน กับแนวทางการปฏิบัติธรรม ในพุทธศาสนา คลื่นอัลฟ่านี้จะถูกบ่มเพาะให้ เข้มแข็งขึ้น สามารถรื้อโปรแกรมอัตโนมัติเก่าสร้างโปรแกรมอัตโนมัติใหม่ๆ ได้ 3. คลื่นเธต้า (Theta brainwaves) มีคลื่นความถี่ประมาณ 4 - 11 รอบต่อวินาที(Hz) เป็นช่วงคลื่นที่สมองทำงานช้าลงมาก พบเป็นปรกติ ในช่วงที่คนเราหลับ หรือมีความผ่อนคลายอย่างสูง แต่ใน ภาวะที่ไม่หลับคลื่น
259 ชนิดนี้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ขณะอยู่ในการภาวนาสมาธิที่ลึกในระดับหนึ่ง การเข้าสู่สภาวะนี้จะใกล้เคียงกับ คลื่นสมองในสภาวะอัลฟ่าคือ มีความสุข สบาย ลืมความทุกข์แต่จะมีความปิติสุขมากกว่า สภาวะนี้มีความเชื่อมโยงกับ การเห็นภาพต่าง ๆ สมองในช่วงคลื่นเธต้า จะเปรียบเสมือน แหล่งเก็บแรง บันดาลใจความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในความจิตใจส่วนลึกของเรา จึงเป็นคลื่น สมองที่สะท้อนการทำงานของจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) อันเป็น การทำงานของเนื้อสมองส่วนใหญ่ของมนุษย์ระดับพฤติกรรมภายใต้ความถี่ ของของคลื ่นเธต้า เป็นลักษณะที ่บุคคล คิดคำนึงเพื่อแก้ปัญหา พบได้ทั้ง ลักษณะที่รู้สำนึก และไร้สำนึก ปรากฏออกมาเป็น ความคิดสร้างสรรค์เกิด ความคิดหยั่งเห็น (Insight) มีความสงบทางจิต และมองโลกในแง่ดีเกิดสมาธิ แน่วแน่และเกิดปัญญาญาณ มีศักยภาพสำหรับ ความจำระยะยาวและ การ ระลึกรู้ 4. คลื่นเดลต้า (Delta brainwaves) มีความถี่ประมาณ 0 – 4 รอบต่อวินาที(Hz) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด สภาวะนี้จะทำให้ร ่างกายเกิด ความผ ่อนคลายในระดับที่สูงมาก เป็นคลื่นสมองที่ทำงานเชื่อมต่อกับส่วนที่ เป็น จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) เช่น ในขณะที่ร่างกายหลับลึกโดยไม่ มีการฝัน เกิดจากการเข้าสมาธิลึกๆ ในระดับฌาน ในช่วงนี้คลื่นสมองแสดงให้ เห็นว่า ร่างกายกำลังดื่มด่ำกับ การพักผ่อนลงลึกอย่างเต็มที่สำหรับผู้ที่ทำ สมาธิอยู่ในระดับฌานลึก ๆ เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็จะยังคงติดรสแห่งปิติสุข ทำให้เกิดความสุขใจ มีใบหน้าผ่องใสเต็มอิ่มไปด้วยความสุข39 นอกจากนี้ยังมีคลื่นแกมม่า (Gramma) อีกหนึ่งคลื่นความถี่ซึ่งบอก ถึงอารมณ์จิตที่สั่งงานตื่นเต้นยังมีความถี่ของคลื่นสูงคลื่นสมองระดับแกมม่านี้ 39 ที่มา: https://www.novabizz.com/NovaAce/Physical/Brainwave.htm
260 จะสั่นสะเทือนอยู่ในช่วงความถี่ประมาณ 40 รอบต่อวินาทีคลื่นสมองระดับ แกมม่านี้เป็นคลื่นสมองที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ชนิดหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นคลื่น สมองที่ยากต่อการใช้เครื่องมือตรวจวัดค่ามันออกมาให้ได้อย่างถูกต้องและ แม่นยำ คลื่นสมองระดับแกมม่านี้เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นสมอง ระดับเบต้า และมันก็ถูกเข้าใจว่ามันเป็น “ความถี่แห ่งการประสานกลมกลืน กัน” (harmonizing frequency) จะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสมอง ใน การสร้างภาพโฮโลแกรมขึ้นมา โดยการปะติดปะต่อเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกเก็บ เอาไว้ในส่วนต่าง ๆ ของสมองเข้าด้วยกัน เพื่อรวมพวกมันเข้าด้วยกัน เมื่อรวม กับคลื่นในชุดแรกจะเรียกว่าคลื่นสมองมี5 ประเภท ตารางที่5 ความถี่เสียง คลื่นสมอง กิจกรรมหรือสภาวะที่เกี่ยวข้อง > 40 Hz Gamma waves การใช้สมองคิดอย่างหนัก ความตื่นกลัว 13–40 Hz Beta waves การทำสมาธิการครุ่นคิดในสิ่งรอบตัว ความวิตกกังวล 7–13 Hz Alpha waves การผ่อนคลาย ภาวะก่อนการนอนหลับ 4–7 Hz Theta waves การหลับในช่วง REM Sleep ความฝัน การทำสมาธิขั้นสูง < 4 Hz Delta waves การหลับลึก สภาวะไม่รู้สึกตัว ตารางที่ 6 รูปแบบของคลื่นสมอง40 40 ที่มา:คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, http://www.med.cmu.ac.th /deptrehab/2010/index.php?option=com_content&view=article&id=111&Itemid= 82&lang=th
261 งานวิจัยต้นพบว่ามีการทดลองบำบัดอาการเครียดหรือคนไข้ได้โดย ใช้เสียงบำบัดจิตใจและสมอง มีกลุ่มดนตรีบำบัดสังเคราะห์ขึ้นประกอบด้วย เสียง 3 ประเภทได้แก่ 1. เสียงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ เสียงน้ำตก เสียงนก เสียง น้ำไหล เสียงลม เสียงพระเทศน์เป็นต้น 2. เสียงดนตรีซึ่งเป็นดนตรีประเภท trance music หรือrhythmic music ซึ่งมีลักษณะเสียงวนต่อเนื่อง 3. เสียงความถี่บีต ซึ่งในแต่ละเพลงจะใช้ความถี่ต่างกันตามผลที่ ต้องการ ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่สามารถรับรู้หรือได้ยิน เนื่องจากเสียงความถี่บีตมักมีความถี่ต่ำกว่าช่วงคลื่นที่หูมนุษย์ได้ยิน แต่จะถูกส่งผ่านกะโหลกศีรษะไปยังสมองโดยที่ผู้ฟังไม่รู้ตัว เสียงธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม จะทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ตามประสบการณ์ในอดีตที่สัมพันธ์กับ เสียงนั้น ๆ และช่วยหลอกล่อให้สมองและจิตใจไม่ให้จดจ่อกับเสียงความถี่บีต ที่แฝงไว้ส่วนเสียงดนตรีที่เป็น trance หรือ rhythmic music รูปภาพที่ 57 สเปกตั้มของคลื่นสมอง
262 ทำให้เกิดจินตภาพและกำหนดตำแหน่ง 3 มิติของเสียงที่ใช้กระตุ้น ในสมองส่วนต่าง เกิดเป็นรูปแบบวัดแบบสเปคตรัมของคลื่นได้และสรุปผลของ การทดลองได้ว่า เปรียบเทียบคลื่นสมองแบบสเปคตรัมที ่ได้จากการฟื้นฟูจาก ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟูคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มี รายละเอียดดังนี้ 1. ฟังแล้วง่วง ใช้Binaural beats เริ่มจาก 20 Hz ช่วงต้นเพลง เปลี่ยนเป็น 4 Hz ช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติเสียงระฆัง และ trance music 2. ง ่วงแล้วหลับ ใช้Binaural beats เริ่มจาก 8 Hz ช่วงต้นเพลง เปลี่ยนเป็น 2 Hz ช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติและ trance music 3. ง่วงแล้วตื่นใช้Binaural beats เริ่มจาก 4 Hz ช่วงต้นเพลง เปลี่ยนเป็น 15 Hz ช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติเสียงระฆัง และผสม trance music ต้นเพลงและ rhythmic music ท้ายเพลง 4. ตื่นแล้วสบายใช้Binaural beats เริ่มจาก20 Hz ช่วงต้นเพลง เปลี่ยนเป็น 10 Hz ช่วงท้ายเพลง ผสมกับเสียงธรรมชาติเสียงระฆัง trance music และ rhythmic music 5. สบายแล้วมีสมาธิใช้Binaural beats เริ่มจาก 10 Hz ช่วงต้น เพลงเปลี่ยนเป็น 30 Hz ช่วงท้ายเพลงผสมกับเสียงธรรมชาติเสียงระฆัง เสียง trance music และเสียงพระเทศน์ท้ายเพลง
263 6. สบายแล้วง่วง ใช้Binaural beats เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ในช่วง 4-34 Hz ผสมกับเสียงธรรมชาติเสียง sound effects ที่ pan ซ้ายขวา trance music และ rhythmic music จะเห็นว่าจิตกับสมองมีการรับรู้เมื่อมีการสัมผัสจากภายนอกร่วมกัน การที่คลื่นสมองแสดงออกมาในรูปแบบต่างกัน เนื่องจากจิตมีการเหนี่ยวนำ หรือสื่อสารกับสมอง ในแต่ละช่วงอารมณ์ที่จิตรู้สึกสัมผัสได้กับอายตนะทั้ง 5 ตลอดการรับรู้ของจิตกระทำการผ่านสมองทำให้ ปรากฏเหมือนลายนิ้วมือคือ คลื่นในสมองที่สามารถวัดได้และคลื่นที่วัดได้นั้นมีรูปแบบเฉพาะของอารมณ์ ความรู้สึกของเจ้าสมองไม่เหมือนกัน 8.3 จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมมีพลัง พุทธพจน์กล่าวไว้ว่า “ทนฺโต เสฎฺโฐ มนุสฺเสสุในหมู่มนุษย์ผู้ฝึกตน แล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด”41และใน ยมกวรรคของธรรมบทกล่าวอีกว่า “มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้ามีใจ เป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ”42 พุทธพจน์สองข้อนี้ให้ความหมายว่าใจนั้นเป็นใหญ่ และผู้ที่ฝึกตนดีแล้วคือการฝึกที่ใจ ย่อมเป็นผู้ที่ประเสริฐกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นจิตเมื่อผ่านการฝึกดีแล้วจึงมีความสามารถทั้งทางโลกและทาง ธรรม ความสามารถในทางโลกสามารถครอบงำหรือมีอิทธิพลต่อวัตถุได้นั้น ด้วยการที่จิตได้รับการฝึกแบบสมาธิ(ซึ่งทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงการฝึก จิตหรือเรียกว่า “กรรมฐาน” นั้นมีสองวิธีคือ สมถะกรรมฐาน เน้นการฝึก สมาธิผลที่ได้จะเกิด ฌาน และวิปัสสนา ผลที่ได้จะได้ญาณ คือการหยั่งรู้ตาม 41 ขุ.ธ. 25/33 42 องฺ. เอก. (ไทย) 20/50/9.
264 ความเป็นจริง หรือเรียกว่าได้ปัญญา) ส่วนในทางธรรม เป็นการฝึกจิตแบบ วิปัสสนาในสติปัฏฐาน 4 ผลที่ได้คือ ทำให้เกิดปัญญาหยั่งรู้ตามความเป็นจริง ของชีวิตว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ การฝึกสมาธินอกจากทำให้จิตที่นิ่งมั่นคง ตั้งมั่น เพื่อเป็นพื้นฐานในการเจริญวิปัสสนาแล้วยังสามารถก่อให้เกิดพลังที่ เรียกว่า “ฌาน” ถ้ามุ่งเน้นเพื่อการใดการหนึ่งโดยเฉพาะสามารถสร้างอิทธิวิธี ปาฏิหาริย์ได้ซึ่งการฝึกสมาธินั้นมีการฝึกอยู่ทั้งหมด40 วิธีด้วยกัน ตามจริต43 ของผู้นั้นที่แตกต่างกันไป วิธีการสร้างพลังจิตโดยสมาธิทบทวนจากบทก ่อนในการเกิดฤทธิ์ ของการฝึกกสิณสมาธิ10 อย่าง ผู้เขียนได้แบ ่งออกเป็น 3 ประเภท ตาม ลักษณะที่จิตมีอิทธิพลไปถึง มีทั้งวัตถุ (Matter) และพลังงาน (Energy) ได้แก่ 8.3.1 มีอิทธิพลต่อวัตถุ 1. กสิณดิน (ปฐวีกสิณ) คือการเพ่งดินที่นำมาปั้นเป็นแผ่นวงกลม โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ปฏิบัติโดย ทำความรู้สึกถึงความแข็งของดิน ไม่ใช่เพ่งที่สีของดินนั้น เพราะจะกลายเป็น กสิณสีต่าง ๆ แทน อานิสงส์: สามารถเดินบนน้ำได้เหมือนเดนไปบนแผ่นดิน, เหาะไป ในอากาศได้, แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ระลึกชาติได้, มีหูทิพย์,ได้โลกิยอภิญญา44 43 คำว่า จริยา ได้แก่จริยา6 คือ ราคจริยา โทสจริยา โมหจริยา สัทธาจริยา พุทธิ จริยา วิตกจริยา เนื่องด้วยจริยา 6 นั้น บุคคลก็มี6 เหมือนกัน คือ คนราคจริต คนโทสจริต คนโม หจริต คนสัทธาจริต คนพุทธิจริต, วิสุทธิมรรคแปล ภาค 1 ตอน 2 - หน้าที่ 41 44 พระอุปติสสเถระ, วิมุตติมรรค, พระราชวรมุนี(ประยูร ธมฺมจิตโต)และคณะ แปล, พิพ์ครั้งที่5(กรุงเทพฯ: 2541), หน้า 90.
265 2. กสิณน้ำ(อาโปกสิณ) คือการเพ่งน้ำที่บรรจุในภาชนะปากกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ปฏิบัติ อานิสงส์: สามารถมุดและโผล ่พ้นดินได้ง่ายเหมือนมุดอยู่ในน้ำ ทำ ให้ตึกและสิ่งปลูกสร้าง ภูเขา และแผ่นดินไหวได้อีกทั้งทำให้ฝนหยุดตกได้ สามารถทำให้น้ำพุ่งออกจากตนเองได้ 8.3.2 มีอิทธิพลต่อพลังงาน 3. กสิณไฟ (เตโชกสิณ) คือการเพ ่งเปลวไฟผ ่านช ่องที ่มี เส้นผ ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ปฏิบัติโดยทำ ความรู้สึกถึงความร้อนของไฟ อานิสงส์: มีความสามารถ 5 ประการ คือ ทำให้เกิดควันและไฟได้, ทำให้สิ่งต่างๆ บังเกิดเป็นแสงสว่างได้, ทำลายแสงที่มาจากที่อื่นได้, กำหนด เผาสิ่งต่าง ๆ ได้และทำให้เกิดแสงสว่างในที่ต้องการได้ 4. กสิณลม (วาโยกสิณ) คือการเพ่งอาการเคลื่อนไหวของใบไม้กิ่ง ไม้ที่ถูกลมพัด สร้างความคิดของลมให้เกิดขึ้นในสัญญา แล้วกำหนดกระทำไว้ ในใจ อานิสงส์: มีความสามารถเหาะไปในอากาศได้ตามใจปรารถนา, ทำ ให้เกิดความเย็นได้และเหมือนกับปฐวีกสิณ 8.3.3 มีอิทธิพลต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 5. กสิณสีเขียว(นีลกสิณ) คือการเพ่งวัตถุสีเขียว เช่น กระดาษสีเขียว ที่เป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ ปฏิบัติโดยทำความรู้สึกถึงสีเขียวที่ปรากฏ
266 อานิสงส์: ทำให้หลุดพ้นจากสิ่งสวยงาม, ได้รับความเป็นใหญ่ (อภิ ภายตนะ) เช่นดอกไม้สีเขียว [เป็นการทำให้ดอกไม้มีสีแตกต่างจากสีทั่วไปที่ ควรจะเป็น หรือทำให้เป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากสิ่งอื่น ๆ ได้], เปลี่ยนทุกอย่าง ให้เป็นสีเขียว, เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นสีเขียวได้และมองเห็นสีเขียวในทุก ๆ ที่ 6. กสิณสีเหลือง(ปีตกสิณ) คือการเพ่งวัตถุสีเหลือง เช่น กระดาษสี เหลือง ที่เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้า ของผู้ปฏิบัติ อานิสงส์: เหมือนกันกับกสิณสีเขียว 7. กสิณสีแดง(โลหิตกสิณ) คือการเพ่งวัตถุสีแดง เช่น กระดาษสีแดง ที่เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ ปฏิบัติ อานิสงส์: เหมือนกันกับกสิณสีเขียว 8. กสิณสีขาว(โอทาตกสิณ) คือการเพ่งวัตถุสีขาว เช่น กระดาษสี ขาว ที่เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของ ผู้ปฏิบัติ อานิสงส์: ทำให้หลุดพ้นจากสิ่งสวยงาม, ได้รับความเป็นใหญ่ (อภิ ภายตนะ) ในสีขาว, ขจัดความมืดทำให้เกิดความสว่าง, ทำให้เกิดตาทิพย์และมี ความสามารถเช่นเดียวกันกับปฐวีกสิณ 9. กสิณแสงสว่าง(อาโลกกสิณ) คือการเพ่งแสงสว่างที่ลอดช่อง หลังคาลงมากระทบพื้น หรือฝาผนังเป็นวงกลม หรืออาจจะประยุกต์ใช้แสง อย่างอื่นก็ได้โดยทำความรู้สึกถึงความสว่าง ไม่ใช่เพ่งที่สีของแสงนั้น อานิสงส์: เหมือนกันกับกสิณสีขาว
267 8.3.4 มีอิทธิพลต่ออวกาศ: ตามทฤษฎีกาล-อวกาศ ความว่างหรือช ่องว่างทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า “อวกาศ (Space) 10. อากาสกสิณ (ช่องว่าง, ปริจฉินนากากสิณ) คือการเพ่งช่องว่าง ต่าง ๆ เช่น ช่องว่างในกรอบหน้าต่าง ประตูกำหนดเอาช่องว่างระหว่างของ สองสิ่งเป็นนิมิตอารมณ์ อานิสงส์: สามารถทะลุกำแพงสิ่งกีดขวางได้ไม่มีอะไรสามารถขวาง ได้และจะไม่มีความกลัว 8.4 จริต 6 คุณสมบัติของจิต คนแต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน เนื่องมาจากคุณสมบัติในจิตของ แต่ละคน ไม่เหมือนกันด้วย และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของจิตนั่นคือเจตสิก ที่ทำให้ จิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางพระพุทธศาสนาได้แบ่งจริตของคนออกเป็น 6 ประเภท ตามลักษณะเด่นที่แสดงออกมาให้เห็น จริตตามปกตินั้นอาจจะ เปลี่ยนแปลงได้ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกจิต ปกติจริตทุกตัวจะทำงานร่วมกันทั้งหมด แต่จะมีจริตที่เด่นกว่าจริตอื่น ทำให้คน ๆ นั้นมีพื้นนิสัยไปทางจริตนั้นตามปกติ การฝึกจิตต้องใช้การฝึกสมาธิและเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดต้องฝึก สมาธิให้ตางตามจริตของตนถึงจะได้ผลดีดังนี้45 45 ดร. อนุสร จันทพันธ์ดร. บุญชัย โกศลธนากุล, จริต 6 ศาสตร์ในการอ ่านใจคน, พิมพ์ครั้งที่ 26, (กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนพลับลิชชิ่ง, 25537). และพระวิสุทธิมรรค
268 1. ราคะจริต คนที่มีจริตแบบนี้มักที่จะชอบและหลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสหรือชอบในกามคุณทั้ง 5 ข้อดีของจริตนี้จะเป็นคนที่ช่างสังเกตเก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตา เป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการ ประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ ข้อเสีย ไม่มีสมาธิทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มี ความเป็นผู้นำ ขี้เกรงใจคน ขาดหลักการ มุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง 5 ของ ตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสชอบพูดคำหวานแต่อาจไม่จริงอารมณ์ รุนแรงช่างอิจฉา ริษยา ชอบปรุงแต่ง 2. โทสะจริตเป็นคนที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย มีความหงุดหงิดทาง อารมณ์เป็นนิจ ข้อดีของคนจริตนี้เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง ทุ่มเทให้กับการงาน เป็นคนมีระเบียบวินัยตรงเวลา วิเคราะห์เก ่ง ทำอะไรตรงไปตรงมา มีความ จริงใจต่อตนเองและผู้อื่น เป็นที่พึ่งพาของคนอื่นได้พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อย โลภ ข้อเสีย มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะความโกรธง่ายทำให้ภูมิคุ้มกัน ต่ำ เป็นติดเชื้อโรคได้ง่าย ผู้เขียนเคยมีเพื่อนแบบนี้มักจะประสบความสำเร็จ ในการทำงาน แต่เพื่อน ๆ เหล่าเสียชีวิตในเวลาสั้น ๆ ด้วยโรคติดเชื้อ 3. โมหะจริต เป็นคนที่มีลักษณะง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็น อาจิณ ข้อดีของคนที่มีจริตนี้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยฟุ้งซ่าน มีความเข้าใจอะไร ได้ง ่ายและชัดเจน ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจและมักจะถูก ทำงานเก่งถ้าได้
269 ทำแบบซ้ำๆ เป็นคนที่มีไม่ค่อยทุกข์ร้อนวุ่นวายให้เครียดมากนัก มีเสน่ห์เป็นที่ น่าคบและไม่คิดร้ายและทำร้ายใคร ส่วนข้อเสีย เป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจตนเองมักจะมองว่าตนเอง นั้นมีความสามารถที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และชอบโทษตัวเองเสมอ ได้แต่ หมกมุ่นในเรื่องตัวเองไม่สนใจเรื่องของคนอื่น ไม่มีการจัดระบบความคิดของ ตนเองได้แม้จะเป็นคนที่มีความรู้แต่เสมือนไม่มีความรู้เช่นคนบางคนรู้เยอะ แต่ไม่สามารถเรียบเรียงองค์ความรู้นั้น เพื่อมาสอนตนเองและผู้อื่นได้ขาด สภาวะผู้นำ ไม่ชอบแสดงออกให้เป็นจุดเด่น เป็นคนสมาธิสั้นเบื่ออะไรได้ง่าย มีอารมณ์ค่อนข้างอ่อนไหวและเป็นคนขี้น้อยใจ 4. วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ ่านแทบ ทุกลมหายใจ เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ข้อดีเป็นคนที่ชอบคิดหรือเป็นนักคิดสามารถมองอะไรปรุโปร่งได้ หลายๆ ชั้น เก่งพูดที่สามารถโน้มน้าวคนได้ดีมีความเป็นผู้นำ มีความละเอียด รอบคอบเพราะชอบเจาะลึกในรายละเอียด มองเห็นความผิดปกติอย่างที่คน อื่นมองหรือคิดไม่ถึง ข้อเสียของคนจริตนี้จะเป็นคนที่มองเห็นแต่จุดเล็กๆ มากเกินไป จนลืมมองภาพรวมที่ใหญ่กว่า ดูเป็นหยุมหยิมมากเกินจริงเปลี ่ยนแปลง ความคิดตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มี ความรู้สึก ไม่มีวิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาวิวาท ทำ ร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์เพราะมองเห็นแต่ปัญหา ส่วน ทางแก้นั้นหาไม่ได้ 5. ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีหลักการของตัวเองและพยายาม ผลักดันให้ตัวเองและ พยายามที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าถึงจุดหมายที่ตนศรัทธา
270 ข้อดีสำหรับคนที่มีจริตนี้เด่น เป็นคนที่มีพลังทางจิตที่สูงมากและ เข้มข้น มีความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อให้ผู้อื่นได้รับจุดมุ่งหมายตามที่ตนเอง ศรัทธาในความเชื่อนั้น ๆ นอกจากนี้มีความต้องการที่จะยกตนเองและสังคมที่ ตนเองเกี่ยวข้องให้ไปสู่การเปลี่ยนแปลที่ดีกว่าเดิม นับว่าเป็นพลังขับเคลื่อนที่ สูงมาก ถึงขนาดว่ายอมพลีชีพได้เพื่อรักษาความเชื่อนั้น คนในจริตนี้จะมีความ เป็นผู้นำสูง ข้อเสีย เป็นคนที่หูเบาเชื่อคนง่าย ใช้ความเอมากกว่าเหตุผล ถูก หลอกได้ง่าย ศรัทธายิ่งมากปัญญายิ่งลดน้อยลงจึงมีผลทำให้มองโลกแคบ ไม่ ค่อยจะยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นที่มีความเชื่อแตกต่างจากตน เป็นคน ค่อนข้างจะไม่ประนีประนอมมองโลกเป็นขาวกับดำหรือบวกกับลบเท ่านั้น เน้นเป้าหมายมากกว่าวิธีการถึงแม้ว่ามันจะสร้างความรุนแรง มีตัวอย่างเช่น ความเชื่อทางศาสนาที่มีศรัทธานำหน้าปัญญาอย่างรุนแรงในสมัยก่อน มักจะ ทำให้สังคมเดือดร้อนจนคิดว่าไม่น่าจะมีศาสนาเลยจะดีกว่าถึงแม้ในปัจจุบัน ความเชื่อแบบนี้จึงมีให้เห็น 6. พุทธิจริตเป็นคนที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรองคิดหาเหตุ หาผลมาแก้ปัญหาต่าง ๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มี ความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ ชอบศึกษาหาความรู้ ตลอดชีวิต ข้อดีของคนจริตนี้เป็นที่มีความสามารถรู้จักใช้เหตุและผลในการ ดำเนินชีวิตหรือตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และมีวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่าง ถูกต้อง มีความเป็นตัวตนต่ำ หรือเป็นคนถ่อมตัว พร้อมที ่จะเปิดใจรับ ข้อเท็จจริงมากที่สุด มีสภาวะจิตมักจะอยู่ในปัจจุบันไม่หลงในอดีตและไม่ชอบ กังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จะเป็นคนที่พัฒนาและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอๆเป็น มิตรที่ดีต่อทุกคน
271 ข้อเสียกล่าวคือ มักจะเป็นคนเฉื่อยไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาจิต ของตนเองเพราะคิดว่าตนรู้มากแล้ว ใช้ชีวิตแบบราบรื่นมาตลอดแต่เมื่อเจอ กับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงอาจเอาตัวไม่รอด เพราะไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ ซึ่ง จิตยังไม่มีพลังพอที่จะชักจูงคนให้เชื่อตามตนได้เหมือนกับคำพูดที่ว่าความรู้ ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เมื่อทราบถึงจริตทั้ง 6 อย่างที่ประกอบในมนุษย์ทุกคนแล้ว เพื่อให้ การฝึกสมาธิมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จึงต้องเลือกการฝึกกรรมฐานให้ เหมาะสมกับจริตตนได้แก่46 ราคะจริต ด้วยเหตุที่มองโลกและชอบความสวยงาม จึงต้องหา กรรมฐานที่ให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในความสวยงามนั้น ๆ ใช้กรรมฐานอสุภ ทั้ง 10 อย่าง และ กายคตานุสสติเป็นกรรมฐานในการฝึก เพื่อปลดความ เพลิดเพลินที่ทำให้จิตหมกมุ่นกับความสวยงามออก จิตจึงจะเป็นอิสระและ จิตที่เป็นอิสระนี้สามารถสร้างพลังได้ โทสจริต เป็นที ่โกรธง ่าย เพราะมีเป้าหมายที่สูงต้องการแก้โลก ภายนอก ขาดความรักตนเองและผู้อื่น ชอบใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาเพราะคิด ว่าเป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ดังนั้นกรรมฐานที่ใช้แก้ต้องเป็นกรรมฐานให้ มีมุมมองโลกและสิ่งแวดล้อมในแง่ดีได้แก่ พรหมวิหาร4 และ วรรณกสิณ 4 (มีสีแดง สีเหลือง สีเขียวและสีขาว ตามความเห็นของผู้เขียนการเพ ่งสีนี้ เกี่ยวข้องกับการสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพราะคลื่นบางคลื่นทำให้สมองผลิต คลื่นบางชนิดที่ทำให้จิตสงบได้เช่น คลื่น เบต้า และอัลฟ้า) 46 พระพุทธโฆษาจารย์, (วงศ์ชาญบาลีชำระและตรวจสอบทาน), พระวิสุทธิมรรค (กรุงเทพฯ: เลี่ยงเซียงจงเจริญ), หน้า 200-201.
272 โมหะจริต เป็นพวกที่ชอบง่วงเหง้าหาวนอน ซึม ๆ ทั้งวันไม่ กระตือรือร้น หลงๆ ลืม ๆง่าย กรรมฐานเพื่อฝึกให้หายจากอาการเหล่านี้ต้อง เน้นที่สติคือ อานาปานสติกรรมฐาน วิตกจริต เป็นพวกที่ชอบมองโลกในแง่ร้ายระแวงสงสัย ฟุ้งซ่าน เอา เรื่องทั้งของอดีตและปัจจุบันมาคิดปรุงแต่งตลอดเวลากรรมฐานที่เหมาะสม ควรจะเป็นไปเพื่อให้คน ๆ นั้นอยู ่กับความเป็นจริงในปัจจุบันมากที ่สุด กรรมฐานนั้น คือ อานาปานสติกรรมฐาน เช่นเดียวกับคนที่มีโมหะจริตที่ชอบ จมปลักอยู่กับความคิดวนเวียนทั้งอดีตและอนาคต ศรัทธาจริต เป็นพวกที่ชอบเชื่ออะไรง่าย ๆ บางครั้งก็ขาดเหตุผล อนุสติ6 ประการคือพุทธานุสติ ธัมมานุสติสังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุ สติ เทวตานุสติทั้ง6 อนุสตินั้นทำให้ผู้ฝึกมีจุดยืนเป็นหลักในการเจริญ กรรมฐาน จึงทำให้การเจริญมีความก้าวหน้าและมีประสิทธิผลมากที่สุด พุทธิจริต เป็นพวกที่ชอบใช้ปัญญาหาเหตุผล หาหลักการมารองรับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นกรรมฐานที่เหมาะสมควรเป็นกรรมฐานที่เห็นขัด จับต้องได้มีเหตุมีผล ได้แก่ มรณานุสติ, อุปสมานุสติ, อาหารปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐาน 4 กรรมฐานทั้งหลายเหล่านี้เกื้อกูลเพราะง ่ายต่อการ ระลึกถึง 8.5 ประโยชน์ของจิตมีพลัง พลังจิตมีอยู่แต่เดิมแล้วบางส่วน จิตตามปกติจะมีพลังอยู่แล้ว ซึ่ง ตามธรรมชาติของจิตนั้นมีความใส สะอาด บริสุทธิ์กิเลสเป็นสิ่งที่จรมา ทำให้ จิตนั้นขุ่นมัว บดบังพลังอำนาจแห่งจิตไม่มีกำลังพอที่จะกระทำการใดๆ ได้ดัง พระพุทธพจน์กล่าวว่า“ปภสฺสรมิท ภิกฺขเว จิตฺตตฺจ โข อาคนฺตุเกหิอุปกฺ กิเลเสหิอุปกฺกิลิฏฺนฺติฯ” แปลว่า จิตนี้ผุดผ่องแต่จิตนั้นแลเศร้าหมองเพราะ
273 อุปกิเลสที่เกิดขึ้นภายหลัง47 จิตในที่นี้หมายถึง ภวังคจิต เป็นจิตที่อยู่ระหว่าง ปฏิสนธิจิตกับจุติหรืออยู่ในระหว่างการสร้างภพชาติอยู่ในช่วงที่ไม่ได้เสวย อารมณ์ทางทวาร 6 และคำว่า ผุดผ่อง หมายถึงผุดผ่องเพราะบริสุทธิ์ไม่มี อุปกิเลส48 และอุปกิเลส มี16 ประการ อุปกิเลส49 หรือ จิตตอุปกิเลส 16 คือ ธรรมเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ ทำให้จิตขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก ดุจผ้าเปรอะเปื้อนสกปรก ย้อมไม่ได้ดี 1. อภิชฌาวิสมโลภะ: คิดเพ่งเล็งอยากได้ 2. พยาบาท: คิดร้ายเขา โลภไม่สมควร, โลภกล้า จ้องจะเอา ไม่เลือกควรไม่ควร 3. โกธะ: ความโกรธ 4. อุปนาหะ: ความผูกโกรธ 5. มักขะ: ความลบหลู่คุณท่าน, 6. ปลาสะ: ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมท่าน ดีกว่าตนความหลู่ความดี ของผู้อื่นการลบล้างปิดซ่อน คุณค่าความดีของผู้อื่น 7. อิสสา: ความริษยา 8. มัจฉริยะ: ความตระหนี่ 9. มายา: มารยา 10. สาเถยยะ: ความโอ้อวดหลอกเขา, หลอกด้วยคำโอ้อวด 11. ถัมภะ : ความหัวดื้อ, กระด้าง 47 องฺ. เอก. (ไทย) 20/50/9. 48 องฺ. เอกก. อ. 1/49/53-54. 49 พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม , ครั้งที่ 16, (กรุงเทพฯ: บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์จำกัด), หน้าที่ 347.
274 12. สารัมภะ: ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกัน 13. มานะ: ความถือตัว, ทะนงตน 14. อติมานะ: ความถือตัวว่ายิ่งกว่า เขา, ดูหมิ่นเขา 15. มทะ: ความมัวเมา 16. ปมาทะ: ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าจิตมีอุปกิเลสมาเกาะกิน ทำให้พลังจิตจึงไม่ มีกำลังพอที่จะเป็นอิสระในการทำหน้าที่ของมันได้เต็มกำลัง อุปกิเลสทั้งหมด แท้จริง คือ นิวรณ์ทั้ง 5 ที่นอนเนื่องในจิตนั่นเอง พร้อมที่จะไหลเยิ้ม(อาสวะ) ออกมาเรียกว่าเป็น “อาสวะกิเลส” การเจริญกรรมฐานสมถะสมาธิเป็นการข่ม กิเลสนี้ไม่ให้ไหลออกมา เมื่ออุปกิเลสในจิตถูกระงับพลังงานทางจิตจึงเกิดขึ้น และผลจาการข่มจิตนี้เรียกว่า“ฌาน” หรือ “ฌานจิต” ดังในอุทเทสวิภังคสูตร เรื่องฌานจิต จิตที่มีลักษณะนี้มีความพร้อมที่จะทำงานได้เรียกว่า ‘ตั้งมั่นอยู่ ในภายใน‘คำว่าตั้งมั่นอยู่ภายในนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 ระดับ ปฐมฌาน-สงัดจากกามและอกุศลแล้วเกิดปิติสุขจากความวิเวก: ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้วบรรลุ ปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ ภิกษุนั้นมีวิญญาณซ่าน ไปตามปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียก จิตที่ถูกความ ยินดีในปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกตรึงไว้ที่ถูกความยินดีในปีติและสุขอันเกิด จาก วิเวกผูกมัดไว้ที่เกี่ยวข้องด้วยสังโยชน์คือความยินดีในปีติและสุขอันเกิด จากวิเวกว่า‘ตั้งมั่นอยู่ในภายใน’ ทุติยฌาน-ข่มวิตกกับวิจารณ์แล้วเกิดปิติสุข : “เพราะวิตกวิจารสงบ ระงับไป ภิกษุบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายในมีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุด ขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิอยู่ ภิกษุนั้นมี วิญญาณซ่านไปตามปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิพระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียก
275 จิตที่ถูกความยินดีในปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิตรึงไว้ที่ถูกความยินดีในปีติ และสุขอันเกิดจากสมาธิผูกมัดไว้ที่เกี่ยวข้องด้วยสังโยชน์คือความยินดีในปีติ และสุขอันเกิดจากสมาธิว่า ‘ตั้งมั่นอยู่ในภายใน’ ตติยฌาน-ข่มปิติเกิดสุขจากอุเบกขาแต่มีสติครองอยู่: “เพราะปีติ จางคลายไป ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติย ฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ‘ผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข’ ภิกษุนั้น มีวิญญาณซ่านไปตามอุเบกขา พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกจิตที่ถูกความยินดี ในสุขอันเกิดจากอุเบกขาตรึงไว้ที่ถูกความยินดีในสุขอันเกิดจากอุเบกขาผูกมัด ไว้ที่เกี่ยวข้องด้วยสังโยชน์คือความยินดีในสุขอันเกิดจากอุเบกขาว่า ‘ตั้งมั่น อยู่ในภายใน’ จตุตถฌาน-ข่มทุกข์และสุขมีอุเบกขาด้วยสติ: เพราะละสุขและทุกข์ ได้เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อน ภิกษุบรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มี สุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ ภิกษุนั้นมีวิญญาณซ่านไปในอทุกขมสุข พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกจิตที่ถูกความยินดีในอทุกขมสุขตรึงไว้ที่ถูกความ ยินดีในอทุกขมสุขผูกมัดไว้ที่เกี่ยวข้องด้วยสังโยชน์คือความยินดีในอทุกขมสุข ว่า ‘ตั้งมั่นอยู่ในภายใน’ จิตที่เรียกว่า ‘ตั้งมั่นอยู่ในภายใน’ เป็นอย่างนี้50 การเจริญสมาธิเป็นเพียงการข่มหรือกดทับอุปกิเลสเท่านั้น และ สมาธิในพระพุทธศาสนามีความแตกต่างจากสมาธิในครั้งอินเดียโบราณที่เน้น การอยู่กับอารมณ์เดียวแบบยิ่งๆ เฉย ๆ แบบลงลึกไปเลย ส ่วนสมาธิในพระ พุทธนั้น เรียกว่า “ตั้งมั่นอยู่ในภายใน” หรือ สัมมาสมาธิเป็นหนึ่งในอริยมรรค มีองค์8 ไม่ใช่เพียงแค่เพ่งเฉยๆ พอเข้าฌานที่3 และ 4 การตั้งมั่นของจิตจะมี 50 ม. อุ. (ไทย) 14/318/385.
276 สติกำกับอยู่ จึงเหมาะที่จะนำมาใช้การงานได้เพื่อให้จิตมีพลังงานพอ ถ้าน้อม ให้จิตนั้นทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง 8.5 วิชชา: จิตมีพลังเมื่อข่มกิเลสและปหานกิเลสได้ เมื่อจิตมีความตั้งมั่นดีแล้วจึงมีความพร้อมที่จะใช้งานทางจิต อัน ก่อให้เกิดพลังงานสามารถส่งมีผลต่อสิ่งแวดล้อมได้และนัยยะในการสื่อสารได้ ด้วย ในวิชชา 3 ซึ่งกล่าวไว้ใน กันทรกสูตร พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์เล่ม 13 หน้า 16-18 ข้อ 13-16 กล่าวว่า วิชชา3: เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่าง นี้ภิกษุนั้นน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ 1 ชาติบ้าง 2 ชาติบ้าง 3 ชาติบ้าง 4 ชาติบ้าง 5 ชาติบ้าง 10 ชาติบ้าง 20 ชาติบ้าง 30 ชาติบ้าง 40 ชาติบ้าง 50 ชาติบ้าง 100 ชาติบ้าง 1,000 ชาติบ้าง 1,00,000 ชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอัน มากบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป2เป็นอันมากบ้างว่า‘ในภพโน้นเรามี ชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์และมีอายุอย่างนั้น ๆ จุติจากภพนั้นก็ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มี วรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์และมีอายุอย่างนั้น ๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิด ในภพนี้’เธอระลึกชาติก่อนได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติ อย่างนี้ เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ภิกษุนั้น น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ เห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติกำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำและ ชั้นสูงงามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดีด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์รู้ ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า ‘หมู่สัตว์ที่ประกอบกายทุจริตวจีทุจริต
277 และมโนทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำ กรรมตามความเห็นผิดพวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่หมู่สัตว์ที่ประกอบกายสุจริตวจีสุจริตและมโนสุจริตไม่กล่าว ร้ายพระอริยะ มีความเห็นชอบและชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์เธอเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลัง จุติกำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำและชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดีด้วยตา ทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม อย่างนี้แล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ภิกษุนั้น น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกข์นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทานี้อาสวะนี้อาสวสมุทัยนี้อาสวนิโรธนี้ อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา’ เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้จิตย่อมหลุดพ้นจากกามา สวะภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ รู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้วอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อ ความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป กล ่าวโดยสรุปว่า วิชชา 3 คือ (1) ความรู้ที ่ระลึกชาติได้, (2) ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์(3) ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะเป็นวิชชาที่เกิดจาก สมาธิวิธีแบบสัมมาสมาธิ ขั้นต่อมาเมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้วในสมาธิจะเป็นฐานให้เจริญวิปัสสนาใน สติปัฏฐาน 4 ส่วนผลของวิปัสสนาจะเกิดญาณ คือ ปัญญาในการหยั่งรู้ตาม ความเป็นจริงในวิชชา 8 วิชชา 8 คือ (1) วิปัสสนาญาณ ญาณที่เป็นวิปัสสนา
278 (2) มโนมยิทธิมีฤทธิ์ทางใจ (3) อิทธิวิธิแสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ (4) ทิพพโสต หูทิพย์ (5) เจโตปริยญาณกำหนดรู้จิตผู้อื่นได้ (6) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้ที่ระลึกชาติได้ (7) ทิพพจักขุหรือเรียกจุตูปปาตญาณ (8) อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ51 ในพระอริยะบุคคลสามารถมีฤทธิ์ได้ข้อที่ 1-7 เป็นโลกียญาณ ส่วน ข้อที่ 8 เป็น โลกุตตระญาณ ข้อที่แสดงว่าจิตมีอิทธิพลต่อวัตถุคือข้อที่ 3. เป็นข้อที่แสดงให้เห็นขัดเจนว่าจิตมีความสามารถแสดงอิทธิวิธีแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ที่สำคัญมีอิทธิพลเหนือวัตถุ มีกำลังของฌานกำกับเป็นพื้นฐาน อิทธิวิธีมี หลากหลายวิธีการ ดังได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า หากภิกษุพึงหวังว่า ‘เราพึงบรรลุวิธีแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คน เดียวแสดงเป็นหลายคนก็ได้หลายคนแสดงเป็นคนเดียวก็ได้แสดงให้ปรากฏ หรือให้หายไปก็ได้ทะลุฝา กำแพง และภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่าง ก็ได้ผุดขึ้นหรือดำลงในแผ่นดิน เหมือนไปในน้ำก็ได้เดินบนน้ำโดยที่น้ำไม่แยก เหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้นั่งขัดสมาธิเหาะไปในอากาศเหมือนนกบินไปก็ได้ ใช้ฝ่ามือลูบคลำดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อันมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากก็ได้ใช้ อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้ภิกษุนั้นพึงทำศีลให้บริบูรณ์ มั่น ประกอบธรรมเครื่องสงบใจภายในตน ไม่เหินห่างจากฌาน ประกอบวิปัสสนา เพิ่มพูนเรือนว่าง52 51 สํ. ม. (ไทย) 19/479/288. 52 ม. มู. (ไทย) 12/68/59.
279 8.6 วิปัสสนา ในที่นี้หมายถึง อนุปัสสนา 7 ประการ คือ 1). อนิจจานุปัสสนา : พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง 2). ทุกขานุปัสสนา : พิจารณาเห็นความเป็นทุกข์ 3). อนัตตานุปัสสนา : พิจารณาเห็นความไม่มีตัวตน 4). นิพพิทานุปัสสนา : พิจารณาเห็นความน่าเบื่อหน่าย 5). วิราคานุปัสสนา : พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด 6). นิโรธานุปัสสนา : พิจารณาเห็นความดับกิเลส 7). ปฏินิสสัคคานุปัสสนา: พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งกิเลส “เพิ่มพูนเรือนว่าง” ในที่นี้หมายถึงการเรียนกัมมัฏฐาน คือ สมถะ และวิปัสสนา เข้าไปสู่เรือนว่างนั่ง พิจารณาอยู่ตลอดคืนและวัน แล้วบำเพ็ญ อธิจิตตสิกขาด้วยสมถกัมมัฏฐาน บำเพ็ญ อธิปัญญาสิกขาด้วยวิปัสสนา กัมมัฏฐาน จากพุทธพจน์บทนี้อาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่มีความประสงค์จะได้อิทธิฤทธิ์ อย่างนี้ต้องได้ทั้งฌานและญาณควบคู่กันไป และต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน หรือ เป็นการศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนาคือ ไตรสิกขา อันมีศีล สมาธิและ ปัญญา แต่ต้องพัฒนาไตรสิกขาแบบธรรมดาจนเป็น อธิศีล อธิสมาธิและอธิ ปัญญา จึงจะสามารถสร้างอิทธิฤทธิ์ได้ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ฤทธิ์ต่าง ๆเหล ่านี้สามารถเกิดแก่ผู้ใดก็ได้ถ้าเจริญตามนั้น เพราะ ท่านกล่าวว่า “ภิกษุทั้งหลาย” อิทธิฤทธิ์เหล่านี้ถ้ากล่าวโดยหลัก เป็นนัยยะที่ แสดงว่าจิตสำนึก หรือเจตนาของจิตสามารถมีอิทธิพลต่อวัตถุได้บังคับวัตถุ สิ่งของ เช่น แผ่นดิน ภูเขา น้ำ อากาศ ตลอดจนย่นระยะทางไปนอกโลกได้ และเดินทางข้ามมิติได้ด้วยกายหยาบ ไม่จำเป็นต้องไปด้วยจิตหรือกายทิพย์ เช่นพระโมคคัลลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และยังไปเที่ยวสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ในวิมานวัตถุ
280 การที่จิตจะสร้างอิทธิฤทธิ์ได้นั้นต้องเกิดจากเจตนาที่สั่งการลงไป เมื่อจิตมีความมั่นคงตั้งอยู่ภายในหรือเรียกว่า “จิตได้องค์แห่งสมาธิแล้ว” การ กำหนดจิตเจตนาเพื่อการใด ๆ ต่อสิ่งนอกตนถือว่าจิตเข้าน้อมสู่วิถีไปยังสิ่งที่ ตนต้องการให้เป็นไป สิ่งภายนอกก็คือวัตถุธาตุจิตย่อมไปปรับเปลี่ยนสิ่งนั้น ๆ ด้วยพลังงานที่เกิดจากกระแสจิตที ่ส่งออกไป ในทางศาสตร์สมัยใหม่เรียก เจตนานี้ว่า“จิตสำนึก” (Consciousness Mind) นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มี การทดลองทางกายภาพหลาย ๆ อย่างที่บ่งบอกว่าจิตมีพลังงานส่งออก ซึ่ง สมองไม่มีพลังงานมากพอหรือมีน้อยมาก สมองมีกระไฟฟ้าที่น้อยมาก (แต่ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับการมีอยู่ของจิตแบบพระพุทธศาสนาที่สร้างภพ สร้างชาติและการเวียนว่ายตายเกิด) 8.7 เครื่องมือวัดคลื่นสมอง ในปัจจุบันนักประดิษฐ์สามารถทำเครื่องมือทางแพทย์ที่ใช้วัดคลื่น สมองให้ย่อเล็กลงสามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ทำให้การตรวจวัดหาการ ทำงานของสมองได้เร็วขึ้น เราสามารถวัดความก้าวหน้าในการทำสมาธิหรือ วิปัสสนาได้ด้วยตนเองว่ามีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดีอุปกรณ์จะมี Application ให้ใช้เพื่อสดวกในการตรวจสอบได้ทันทีและเป็นแบบปัจจุบัน สามารถบันทึกผลได้ทันที จากการศึกษาของผู้เขียนพบว่านอกจากวัดความก้าวหน้าการเจริญ วิปัสสนาได้แล้ว ยังสามารถนำมาเป็นอุปกรณ์ฝึกการทำกสิณได้เป็นอย่างดี ทีเดียว โดยใช้โปรแกรมของ Application สื่อสารกับคอมพิวเตอร์กำหนดวัตถุ ในเครื่องให้ดึงภาพ ดันภาพ ไปซ้ายและขวาได้หมด ผู้เขียนได้ศึกษาวัดคลื่นของผู้ปฏิบัติธรรมในแต่ละสำนักที่มีรูปแบบ การปฏิบัติธรรมต่างกัน คลื่น สมอง ที่วัดได้มีความแตกต่างกันไปด้วย ถ้าหาก ว่ารูปแบบของการกำหนดโดยใช้ลมหายใจ ยุบพอง ก็แล้วแต่เส้นกราฟของ
281 สมอง จะเห็นรูปแบบการกำหนดอย่างชัดเจน โดยดูที่เส้นกราฟของFocus จะมีลักษณะขึ้นลงขึ้นลง สลับกันไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่กำหนดต่อเนื่อง แต่ผู้ที่ไม่กำหนดต่อเนื่อง มันจะไม่ปรากฏให้เห็น รูปภาพที่ 58 กราฟวัดผลของการเจริญสมาธิ-วิปัสสนา
282 จากการทดสอบด้วยเครื่องมีนี้พบว่า เมื่อเรากำหนดสติให้ได้ดีใน ระยะหนึ่ง กลับพบว่าเส้นกราฟความเครียดลดลง ในการนี้หลังจากที่ผู้ปฏิบัติ ธรรม กำหนดสติสมาธิได้นิ่งพอแล้ว เราจะเห็นมีเส้นกราฟหนึ่งสูงขึ้นแทรกตัว ออกมาเป็นเส้นกราฟความสนใจ “Intention” ทำให้ทราบว่าผู้ปฏิบัติเริ่มเห็น สภาวะธรรมบางอย่างแล้ว หรือบางท่านเริ่มเกิดวิปัสสนูปกิเลส หรือบางครั้งก็ อาจจะเห็นนิมิตบางอย่าง เช่น แสงสว่างจ้า บางท่านก็เห็นเป็นผู้หญิงเข้ามาขอ ส่วนบุญ เราจะสามารถสังเกตเห็น ได้ทันเอผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ในอาการนี้เครื่อง นี้จึงนับว่ามีประโยชน์มาก ช่วยเหลือในการอ่านวิเคราะห์สภาวะธรรม อาจจะ เป็นข้อมูลดิบที่จะให้พระวิปัสสนาอาจารย์ที่ดูแลการปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่าง ดีซึ่งท่านจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักการ ทางวิทยาศาสตร์อย ่างเป็น รูปธรรมมากขึ้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า พระพุทธศาสนาถ้าจะให้แข็งแรงต้องยืนอยู่ บนหลักการที่ถูกต้อง ตามหลักเหตุผลที่จับต้องได้และสามารถพิสูจน์ว่าใคร ๆ ก็สามารถรับรู้ผลนั้นได้ความน่าเชื่อถือถึงจะมีกับคนรุ่นใหม่ที่นิยมหลักฐาน เชิงประจักษ์จากอายตนะภายนอก มีเหตุการณ์หลายอย่าง ในคัมภีร์ที่ ปรากฏการณ์ไว้อย่างน่าสนใจซึ่งผู้เขียนคิดว่าสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการ ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ซึ่งมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก การนำหลักของ วิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับพระพุทธศาสนา จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับ พระพุทธศาสนาสำหรับโลกสมัยใหม่ที่ต้องการความเป็นเหตุเป็นผลอย่าง สำคัญยิ่ง จากการทดลองวัดค ่าของคลื่นสมองของบุคคลที ่ฝึกปฏิบัติเจริญ กรรมฐาน พบว่าการฝึกสติแบบเคลื่อนไหว จะมีผลสามารถลดความเครียดกับ เพิ่มการมีสติแนบแน่นได้เร็วกว่าแบบการนั่งกำหนดเฉย ๆ ผู้เขียนจึงมี ความเห็นว่า ถ้าหากเรานำไปใช้กับเด็กเพื ่อส ่งเสริมการมีสติในการเรียน ย่อมจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เด็กจะซึมซับกับการรับรู้ในการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
283 ช่วงก ่อนเวลาเรียนของแต่ละวิชา ให้นักเรียนเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ซึ่ง อาจจะเป็นของหลวงพ่อเทียน ที่เคลื่อนไหวมือ14 จังหวะ หรืออาจจะการเดิน จงกรมก็ได้สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กนักเรียนมีสติที่พร้อมจะเรียนหนังสือได้เป็น อย่างดี 8.8 ไม่เกิด: ตัดการเชื่อมข้อมูลกับจักรวาล จากบทที่ผ ่านมาทั้งหมด ทำให้เราทราบว่าจิตมีพฤติกรรมหรือ สามารถส่งสัญญาณแบบเดียวกับคลื่นได้ตามปกติคลื่นจิตสื่อสารกับสมอง เมื่อจิตอยู่กับร่างกายกระบวนการทำงานการดำรงชีวิตของร่างกายเป็นไป ตามปกติเพราะสมองทำงาน หากไม่มีจิตที่ควบคุมสมองได้ก็ถือว่าร่างกายนั้น ไม่ทำงานตามปกติอย่างเช่น คนสมองตาย หรือเส้นเลือดในสมองแตก ดังนั้น คลื่นสมองที่วัดได้มานั้น ย่อมได้รับอิทธิพลที่จิตส่งสัญญาณคลื่นออกไปกระทบ สมอง ทำให้สมองส่งคลื่นออกมาได้จึงสามารถตรวจสอบวัดด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์ได้จิตนั้นมีลักษณะส่งสัญญาณเป็นคลื่น เพราะว่าจิตมีการเกิดดับ สลับกันไปอย่างต่อเนื่อง ลักษณะแบบนี้ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า“ความถี่” Frequency ในการวัดคลื่นสมองเปรียบเสมือนกับการตามหาลอยนิ้วมือของ จิตที่กระทบกับสมองแล้วส ่งสัญญาณออกมา คลื่นจิตของแต่ละคนควรจะมี ความถี่ที่แตกต่างกัน ไม่เช่นนั้นการเชื่อมต่อรับผลของกรรมจะมีปัญหา กรรมสะสมไว้ที่ไหนถึงอยู่กับเราตลอดเวลา เพราะจิตมีคุณสมบัติ สะสมวิบากกรรมได้แต่การสะสมจะเป็นรูปแบบใดต้องมาพิจารณากัน ผู้เขียน มีมุมมองแบบวิทยาศาสตร์อีกมุมหนึ่ง เมื่อวิเคราะห์ว่าจิตมีสภาพธรรมเป็น อนัตตา “ไม่ใช่ตัวใช่ตน” ความหมายคือ ไม่มีตัวตนที่จะจับต้องได้ไม่คงที่ ไม่ สามารถบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งได้ดังนั้นการเก็บสะสสมแบบไว้ที่ตัวเองไม่ น่าจะใช่ เพราะจะกลายเป็นคุณสมบัติของ “อัตตา” ไปทันทีในแง่ วิทยาศาสตร์ถ้าหากว่าจิตต้องมีที่เก็บและที่เก็บสะสมนั้นใหญ่มากพอที่บันทึก
284 ข้อมูลของวิบากแต่ละคนมากมายมหาศาลกว ่าจะหมดสิ้นจากจักรวาลนี้ ผู้เขียนมีเงื่อนไข 2 ประเด็นที่มองว่าต้องการที่เก็บ จิตจะทำตัวเป็นเพียงผู้รู้ (สามารถสื่อสารได้) คือ ข้อ 1. จิตต้องมีพฤติกรรมหรือสามารถส่งสัญญาณความเป็นคลื่นได้ ข้อ 2. อวกาศในจักรวาลมีตัวตน คลื่นจิต: จิตมีพฤติกรรมที่สามารถส่งสัญญาณเป็นคลื่นได้เพราะว่า จิตมีการเกิดดับได้แบบต่อเนื ่องสืบต่อกัน การเกิดและดับทีวงรอบตามนี้ “แสนโกฏิดวงชั่วลัดนิ้วมือเดียว ชั่วลัดนิ้วมือเดียว” เท่ากับ 1/4 วินาทีหรือ 4 ครั้งต่อวินาทีนั่นคือความหมายว่า จิตมีความถี่ 4x1012 Hz. เมื่อ เปรียบเทียบ กับกระแสไฟฟ้าที่เปิดปิด50 Hz. หมายความว่าใน 1 วินาทีกระแสไฟฟ้ามี การสลับปิดเปิด 50 ครั้งเท่านั้น จิตจึงมีความถี่สูงมากกระแสไฟฟ้าสลับหลาย เท่านัก จึงเป็นเหตุให้จิตสามารถรับรู้อะไรได้ไวมาก เสมือนประหนึ่งว่าจิตมี หลายดวงอยู่ตามทุกส่วนของร ่างกาย เราสามารถรับรู้ทุกจุดได้พร้อมกัน เหมือนที่พระสารีบุตรท่านเคยสงสัยมาก ่อนที่ท่านจะบรรลุธรรม เมื่อได้ได้ฟัง ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่าจิตมีดวงเดียว แต่มันหมุนรับอารมณ์ได้รวดเร็ว มาก ตัวตนของอวกาศ: อวกาศมีตัวตนจากทฤษฎีกาลและอวกาศ (Time-Space) ของไอน์สไตน์ได้ค้นพบว่าแสงเดินทางตามผืนอวกาศเพราะ สังเกตุจากการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงยังมีแสงลอดออกมา ทำให้รู้ว่าเป็น เพราะอวกาศมันโค้งงอตามวัตถุขนาดใหญ่บังอยู่ เหมือนผืนผ้าใบที่เว้าลงไป เพราะมีลูกเหล็กวาง มันจึงยุบตัวลงผ้าใบจึงโค้งเว้าตามลูกเหล็กนั้น แสงจึงเดิน ทางอ้อมวัตถุที่ขวางหน้านั้นได้ตามรอยเว้าของผืนผ้าใบ ด้วยเหตุนี้อวกาศจึงมี ตัวตนเต็มไปด้วยคลื่นและพลังงาน ปัจจุบันยังคงมีคลื่นไมโครเวฟคงค้างอยู่ ทั่วไปในอวกาศประมาณ 2.73 ํK หรือ 270 ํC เมื ่ออวกาศมีตัวตนยอมที่
285 สามารถจัดเก็บข้อมูลบางได้ผู้เขียนคิดเห็นว่าตัวนี้อวกาศนี่แหละที่เป็นแหล่ง เก็บข้อมูลของกรรมด้วยเช่นกัน จิตได้ใช้เป็นที่รับฝากข้อมูลของวิบากกรรมไว้ ตลอดเวลา ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนการฝากข้อมูลไว้ในระบบคลาวด์ (Cloud) ที่เราจะดึงข้อมูลมาได้จากในอากาศที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่มีระหัส เข้าส ่วนตัว ทุกครั้งที่จิตกระทำกรรมอะไรไว้ด้วยเจตนาอย่างแรง จะเกิดหาร สื่อสารกับอวกาศในจักรวาลนี้และได้ฝากข้อมูลไว้โดยตลอดเวลา สามารถ เรียกใช้ได้เมื่อจำเป็นหรือมันก็เชื่อมต่ออัตโนมัติทำให้การรับผลของกรรมไม่ สามารถหลีกพ้นได้เนื่องจากจิตของแต่ละคนมีคุณสมบัติไม่เหมือนในเรื่องของ จริตและย่านของคลื่น จึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลไป ตรงตามพระพุทธ พจน์ว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตนเอง (กัมมุนา วัตตติโลโก) การเข้าไปดูต่อ ข้อมูลได้ด้วยตนเองนั้นเปรียบได้กับบุคคลที่มีความสามารถระลึกชาติได้เช่น การได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณของที่ได้วิชา 3 หรือวิชา 6 ซึ่งแต่ละท่านก็มี ความสามารถหยั่งลึกถึงข้อมูลไม่เหมือนกัน ดังนั้นกลไกการทำงานยของจิตกับ อวกาศในจักรวาลน่าจะเป็นการทำงานเก็บข้อมูลกันแบบนี้ จิตมีลักษณ์เด่นคือการรู้หรือเป็นตัวรู้รู้อะไร คือการรู้อารมณ์ซึ่ง จิตมีการรู้ใน 3 รูปแบบตามสภาพธรรมของจิต คือ 1) แบบวิญญาณรู้2) รู้ แบบสัญญารู้และ 3) รู้แบบปัญญารู้ 1) การรู้แบบวิญญาณรู้เป็นการรู้อารมณ์ตามทวารต่างๆ 6 ทวาร ได้แก่ ทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ(ความนึกคิด) ทำให้ เกิดอารม์ที่ได้มาจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทาง กายและการรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจ 2) การรู้แบบสัญญารู้เป็นการรู้อารมณ์โดยอาศัยการกำหนดจดจำ ไว้เช่น ลักษณะทรวดทรง สีสัณฐานต่าง ๆ ตลอดจนชื่อที่เรียกและสมมุติ บัญญัติต่าง ๆ
286 3) การรู้แบบปัญญารู้เป็นการรู้ตามความเป็นจริง เป็นความรู้ที่ เกิดขึ้นเพื่อทำลายความเห็นผิด มีสติครองอยู่ตลอด มีการพิจารณาสิ่งที่มา กระทบตามความเป็นจริงได้ชัด เช่น เห็นสภาพธรรมที่มีอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ว่า เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์(เห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์และอนัตตาไม่ใช่ ตัวใช่ตน เห็นเหตุปัจจัยของปรากฏการณ์นั้นเป็นไปตามเงื่อนไขของเหตุและ ผล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุ) ด้วยเหตุที่จิตมีคุณสมบัติแตกต่างกันในแต่ละภพภูมิจึงมีความ แตกต่างระหว่างการรู้อารมณ์ของมนุษย์และสัตว์ซึ่งมีภพภูมิต่างกัน กำหนดให้ สัตว์มีการรู้อารมณ์ได้เพียง 2 แบบเท่านั้น คือ รู้แบบวิญญาณรู้และรู้แบบ สัญญารู้ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ที่สามารถรู้อารมณ์เพิ่มได้เป็นทั้ง3 รูปแบบ คือ รู้แบบวิญญาณรู้รู้แบบสัญญารู้และรู้แบบปัญญารู้มนุษย์จึงมีความสามารถ บรรลุธรรมได้กระบวนการรู้ของจิตแบบวิญญาณรู้กับสัญญารู้จึงเกี่ยวข้องกับ ร ่างกายโดยตรงและเชื่อมต่อผ่านสมองทำให้เกิดคลื่นสมองที่ระบบประสาท ส ่งออกมาให้วัดได้ส ่วนการรู้แบบปัญญาเป็นรู้แบบจิตที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จึงอาจจะมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถสื่อสารกับแหล่งข้อมูลที่เก็บไว้ในจักรวาล ได้ด้วยคลื่นจิต แบบคนที่ระลึกชาติได้เนื่องจากตัวจิตเองไม่สามารถเก็บสะสม วิบากกรรมได้เพราะจิตมีสภาพเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตาที่เป็นตัวตนให้สะสม ถ้า หากว่าจิตสะสมได้จิตก็จะกลายเป็นมีตัวตนเป็น “อัตตา” ขึ้นมาทันทีด้วยเหตุ นี้ผู้เขียนจึงเห็นว่าจิตมีการส่งข้อมูลไปเก็บในแหล่งใดแหล่งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่ ตอบโจทย์เรื่อง “อนัตตา” ของจิตด้วย เมื่อเราศึกษากระบวนการสร้างวิบากหรือฐานข้อมูลที่เกิดจากการ กระทำของเราในแต่ละภพชาติโดยมีเจตนากำกับในการกระทำนั้น จะเป็น ช ่วงที ่จิตยกตัวเข้าสู ่วิถีจิต เพื ่อรับเสพอารมณ์ที่เกิดจากการสัมผัสสิ ่งเร้า ภายนอก ในช่วงนั้นแหละที่จิตจะสะสมวิบากกรรมได้ตามรูปจะมี2 รูป รูป แรกจิตเข้าสู่วิถีจิตจากการรับรู้ทางทวารทั้ง 5 ได้แก่ ทางตา ทางหูทางจมูก
287 ทางลิ้น ทางกาย ส่วนรูปที่2 เป็นการรับรู้ของจิตที่เข้ารับรู้อารมณ์ที่มากระทบ ที่ใจ คือความนึกคิด รูปภาพที่ 59 จิตทำงานในทวารทั้ง 5 รูปภาพที่ 60 จิตทำงานในมโนทวาร เมื่อรูปกระทบตาในปัญจทวาร กระบวนการทำงานของจิตเข้า่วิถีจึง จะเกิดขึ้น เพื่อรับรู้อารมณ์ที่ทางตาอวัยวะภายนอก เช่น เมื่อรูปภายนอก กระทบที่จักขุปสาท จิตจะรับรู้ติดต่อกันไป 17 ขณะ (ในวิถีเดียวกันตัวจิตเองก็ มีเกิดดับ 3 อนุขณะย่อยในแต่ละดวง) ช่วงแรกจิตอยู่ในภวังค์3 ขณะ เหลือ อีก 14 ขณะเป็นจิตที่เข้าสู่วิถีจิต ในวิถีจิตทั้ง 14 ดวงนั้นจิตจะเสพอารมณ์ ตั้งแต่ดวงที่9 ถึงดวงที่15 เรียกว่า “ชวนะจิต” มีอยู่ด้วยกัน 7 ดวง จิตดวง แรกที่เข้าวิถีเรียกว่าจักขุวัตถุ (ดวงที่ 4) จะเป็นวิถีของรูปที่กำลังปรากฏขึ้น นอกจากนั้นที่เหลืออีก 13 ดวง จะเป็นวิถีของรูปและนามอีก 4 ตามมา ในช่วง