The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลไกชีวิตกับจักรวาล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Samart Sukhuprakarn, 2023-03-05 10:07:06

กลไกชีวิตกับจักรวาล

กลไกชีวิตกับจักรวาล

88 เอาไว้อีก วัตถุที่ว่านี้คือวัตถุมืด (Dark Matter) และพลังงานมืด (Dark Energy) ที่มีจำนวนมากที่สุดในจักรวาลซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ทุกขตาจึงเป็นสภาวะของทุกขัง (ทุกข์) ของจักรวาลจึงเกิดจากแรง โน้มถ่วง เรียกตามหลักธรรมว่าเป็นทุกข์ในลักษณะ “อภิณฺหสมฺปติปีฬนโต” แปลว่า “เป็นเพราะมีความบีบคั้นอยู่ตลอดเวลาด้วยความเกิดขึ้น ความเสื่อม ความแตกสลาย และบีบคั้นกับสิ่งที่ประกอบอยู่ด้วยกัน หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ด้วย ต่างก็เกิดขึ้น ต่างก็โทรมไป ต่างก็สลายไป...” นอกจากนี้จักรวาลยังมีปรากฏการที่เกิดทุกขตา เมื่อเอาปัจจัยที่มา กระทำเป็นตัวชี้มีในอีก 2 ลักษณะคือ 1. เมื ่อพิจารณาปัจจัยภายนอกเป็นทุกข์ในความหมายของ “สงฺขตฏฺฐ” แปลว่า เป็นเพราะถูกปัจจัยต่างๆ ปรุงมาแต่งเอา มีสภาพที่ขึ้น ต่อปัจจัย ไม่เป็นของคงที่ หมายถึง เกิดมาจากปัจจัยภายนอกกระทำตัวเอง จักรวาลถูกบีบคั้นจากแรงโน้มถ่วงที่เป็นปัจจัยภายนอก 2. เมื ่อพิจารณาปัจจัยภายในเป็นทุกข์ในความหมายของ “สนฺ- ตาปฏฺฐ” แปลว่า เป็นเพราะในตัวของมันเองมีสภาพแผดเผาให้กร่อนโทรม ย่อยยับสลายไป หมายถึง เกิดมาจากปัจจัยภายในตัวเอง เช่น ดวงอาทิตย์ที่ เผาไหม้ตัวเองจนหมดพลังงาน แล้วถูกแรงโน้มถ่วงบีบให้หดตัวจนกลายเป็น หลุมดำ 4.2.3. ในความหมายของอนัตตตา ก. ในความหมายของความว่างจากการเป็นเจ้าของทำให้เป็นปัจจัย ที่เอื้อต่อกระบวนการเกิดขึ้นของจักรวาล


89 อวกาศพื้นฐานเกิดมาจากความว่างจากเจ้าของ เมื่อมีปรากฏการณ์ บิ๊กแบงระเบิดเกิดขึ้น อวกาศพองตัวขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว จากซิงกูลาริตี้ (Singularity) เล็กในระดับอะตอม ได้ระเบิดกระจายสู ่ความว่างเปล่าของ อวกาศ ถ้าอวกาศไม่มีความว่าง สรรพสิ่งที่เกิดจากระเบิดนั้นจะไม่มีพื้นที่ให้ อยู่ สภาวะสุญญากาศเป็นสภาวะที ่ว่างจากเจ้าของ ความจริงแล้วภายใน อะตอมที่ว่าเล็กที่สุด ยังจะมีความว่างซึ่งอยู่ระหว่างนิวเคลียสและอิเล็กตรอน รัทเทอร์ฟอร์ด เป็นผู้ค้นพบ จากการยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปในอะตอม มี อนุภาคบางตัวก็ทะลุออกมาและบางตัวก็เยี่ยงเบนไป เพราะไปกระทบกับ นิวเคลียสของอะตอม ส ่วนใหญ่จะทะลุออกไป นักวิทยาศาสตร์พบว่าภายใน อะตอมมีช่องว่างถึง 99.99% อนุภาคต่าง ๆ มีแค่ 0.01 %30 ดังนั้นเมื่อเรา มองดูวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่เห็นจึงเหมือนกับมองความว่างเปล ่า เพราะสิ่งที่อยู่ รอบตัวเรารวมทั้งตัวเราเองด้วยที่เกิดมาจากอะตอม ในเมื่ออะตอมมีความว่าง เป็นส่วนใหญ่จักรวาลของเราที่สัมผัสได้ก็มีความว่างเป็นส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน เท่ากับเราสัมผัสความว่าง ในทัศนะของผู้เขียน มีความเห็นว่า อนัตตตา ในความหมายของ “สุญฺญโต” เป็นสภาพว่างเปล่า ปราศจากตัวตนที่เป็นแก่นเป็นแกน เป็นเพียง องค์ประกอบที่เกิดจากกระบวนธรรม อันมาจากเหตุปัจจัยเท่านั้นไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้ดลบันดาล นั่นคือสรรพสิ่งในจักรวาลมีความว่างจึงเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อ การให้เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ รวมถึงปรากฏการณ์บิ๊กแบงนี้ด้วย เป็นความ ว่างที่เอื้อต่อการเกิดเพราะไม่มีใครเข้ามาครอบครอง ไม่เป็นไปตามอำนาจ ใด ๆ ของใคร มีแต่เพียงการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไข 30 มาร์กาเร็ต เจ. วีตเลย์.ผุ้นำกับวิทยาศาสตร์ใหม่, แปลโดย เพชรรัตน์ พงษ์เจริญ สุข, รัชดา อิสระเสนารักษ์และ วิชิต เปานิล, พิมพ์ครั้งที่2, (กรุงเทพฯ : แปลนพริ้นติ้ง, มิถุนายน 2550), หน้า 88


90 หนึ่งที่เหมาะสมนั้น ๆ เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มาประกอบกันโดยที่ไม่มีใคร เป็นผู้สั่งบังคับ ซึ่งปรากฏการณ์บิ๊กแบงก็เกิดมาจากกระบวนการทางธรรมชาติ เช่นกัน เมื่อระเบิดออกมาแล้วแรงหรือพลังงาน เมื่อกระทบกับอวกาศที่เย็น จึงเกิดการเปลี่ยนจากแรงไปเป็นอนุภาคเมื่อมีอนุภาคแรงโน้มถ่วงที่แฝงเร้น อยู่ก็จะบีบอัด ทำให้เกิดปรากฏการณ์ของแรงโน้มถ่วงทันที ข. ในความหมาย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จักรวาลเกิดขึ้นมาจากปรากฏการณ์ของหลักการทางวิทยาศาสตร์ มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์รองรับ ไม่ว่าจะเป็น กฎของนิวตัน ไอน์สไตน์ ตลอดจนเคมีฟิสิกส์เป็นทฤษฎีที่ได้ผ่านการพิสูจน์ด้วยการทดสอบมาแล้วว่า ให้ผลตามการคำนวณนั้น จักรวาลในความหมายในความหมายนี้คือ อสฺสามิกโต เพราะเป็น สภาพไร้เจ้าของ ไม่มีตัวตนของใครและไม่เป็นของตัวตนใด ๆ เป็นเพียงกระบวน ธรรมล้วน ๆ ที่ปรุงแต่งมาจากเหตุปัจจัยเท่านั้น และเช่นเดียวกันยังมีความหมาย อวสวตฺตนโต เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่ขึ้นต่อผู้ใดไม่มี ใครอำนาจบังคับมัน จะเรียกร้องหรือปรารถนาให้มันเป็นอย่างใด ๆ ไม่ได้ การที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแบบ “อเทวนิยม” เชื่อว่าสรรพสิ่ง ที่มีอยู่และที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใครสั่งการ ไม่มีต้นกำเนิดเฉพาะ (First Cause) เป็น การเกิดมาจากการเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่งที่ต่อเนื่องกันเป็นพลวัฒน์ไม่มีใครมี อำนาจที่จะบังคับให้มันเป็นไปตามอำนาจตามความพอใจได้มันเกิดขึ้นจาก กระบวนการทางธรรมชาติของมันเอง เรามีอวิชชาจึงไม่รู้สาเหตุแท้จริงของ การเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ นั้นว่ามาอย่างไร จึงคิดไปเองว่าต้องมีผู้ดลบันดาล ให้มันเป็นไปตามผู้สั่งการให้เกิด


91 จากการพิสูจน์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ทั้งจากการคำนวณและ ทดลอง ในการทดลองของโครงการ”CERN”31 ที่ประเทศยุโรปเป็นการจำลอง ต้นกำเนิดของจักรวาล เป็นการเลียนแบบ ปรากฏการณ์บิ๊กแบง คือการศึกษา หาที่มาของอนุภาคที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน มีการเกิดขึ้น ตรงกันกับสมมุติฐานที่นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งขึ้นมาหรือไม่ ทุกวันนี้สิ่งที่เรารู้ เรื่องกำเนิดจักรวาลมาจากการคำนวณทางตัวเลขเท่านั้น แต่ผลเชิงประจักษ์ ยังไม่เป็นรูปธรรม นักวิทยาศาสตร์จึงได้จัดทำโครงการนี้เพื ่อจำลองแบบ ปรากฏการณ์บิ๊กแบง ในการทดลองนี้เมื ่อสำเร็จจะเป็นการยืนยันพิสูจน์ หลักธรรมของสรรพสิ่งว่าเป็น “อนัตตตา” เพราะเป็นการประกอบเข้าด้วยกัน ของปัจจัยหลายอย่าง ไม่มีใครสั่งการให้เป็นไปตามใจผู้นั้นได้มันเป็นไปตาม เงื่อนไขของธรรมชาติหรือเรียกว่าไม่อยู่ในอำนาจของใครมาสั่งการของผู้ใด ค. ในความหมาย เป็นไปตามเหตุและปัจจัย จักรวาลเปลี ่ยนไปตามกระบวนการเปลี ่ยนผ่านโดยใช้เวลาและ สภาวะที่เหมาะสม จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงจากพลังงานเป็นอนุภาค ต่อมา เปลี่ยนไปเป็นสสารแล้วสสารกลับกลายเป็นพลังงานตามทฤษฎีของไอน์สไตน์ อย่างเดิม คือกฎของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสสารกับพลังงาน ถึงแม้ว่าสสาร ที่จับต้องได้ประกอบไปด้วยโมเลกุล ในโมเลกุลก็ประกอบไปด้วยอะตอม ใน อะตอมก็ประกอบไปด้วยอิเล็กตรอนกับนิวเคลียสในนิวเคลียสประกอบไป ด้วยโปรตอนกับนิวตรอน และภายในโปรตรอน อีเล็กตรอน นิวตรอน ต่าง ประกอบไปด้วยอนุภาคควาร์ก และในที่สุดอนุภาคควาร์ก มันเกิดมาจากการ 31 CERN (European Organization for Nuclear Research) เป็นองค์กรความ ร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื ่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ก ่อตั้งเมื ่อวันที ่29 กันยายน พ.ศ. 2495 โดยมีประเทศสมาชิกก่อตั้ง12 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที ่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อศึกษากำเนิดจักรวาล


92 สั่นสะเทือนของเส้นสตริงในทฤษฎีสตริง (String Theory) ที่สั่นไหวตลอดเวลา ของพลังงานเป็นกระบวนทางควอนตั้มฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นจากสภาวะที่เหมาะสม ดังนั้นจักรวาลความหมายของ ยถาปจฺจยปวตฺติโต เพราะเป็นไป ตามเหตุปัจจัยคือองค์ประกอบทั้งหลายที่ประชุมกันเข้านั้น ต่างสัมพันธ์เป็น ปัจจัยแก่กันเรียกว่าเป็นกระบวนธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย สรรพสิ่ง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเองล้วน แต่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี ฟิสิกส์ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน การรู้เรื่อง ที่มาขององค์ประกอบทำให้ย้อนรอยไปหาต้นเหตุได้ คือ กระบวนการเกิด ปรากฏการณ์บิ๊กแบงเป็นไปตามหลักธรรมกฎไตรลักษณ์ในแง่ของ“อนัตตตา” 4.3 จำนวนของจักรวาล คัมภีร์ในพุทธศาสนากล่าวไว้ชัดเจนว่าจักรวาลมีมากมายนับไม่ถ้วน เป็น”อนันตจักรวาล” ยากที่จะหยั่งรู้ได้ยกเว้นพระพุทธญาณเท่านั้นที่จะหยั่ง รู้ได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องโลกธาตุขนาดต่างๆ ตั้งแต่สหัสสีจูฬนิ กาโลกธาตุ(โลกธาตุอย่างเล็กมี1,000 จักรวาล), ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ (โลกธาตุขนาดกลางมีล้านจักรวาล) และติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ(โลกธาตุ อย่างใหญ่มีแสนโกฏิจักรวาล) ซึ่งพระองค์จะเปล่งพระสุระเสียงได้ไกลถึงติส หัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ หรือมากกว่านั้นก็ได้ จักรวาลในพุทธศาสนาตามคัมภีร์กล่าวไม ่ได้มีเพียงจักรวาลเรา เท่านั้น ยังมีจักรวาลอื่นอีกเป็นแสนโกฏิจักรวาล เรียกว่า อนันตจักรวาล จัด กลุ่มของจักรวาลตามทัศนะของพุทธศาสนาออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มจักรวาลขนาดเล็ก มีพันจักรวาล กลุ่มจักรวาลขนาดกลาง มีล้านจักรวาล


93 กลุ่มจักรวาลขนาดใหญ่ มีแสนโกฎิจักรวาล ( ล้านล้านจักรวาล) ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์มีความสามารถนับดาวที่อยู่บนท้องฟ้าได้ ทั้งหมดประมาณ 300,000,000,000,000,000,000,000 ดวง32 หรือจำนวน เท่ากับ 3 ตามด้วยศูนย์23 ตัว ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร ออนไลน์เรื่องวิทยาศาสตร์“ธรรมชาติ”ของสหรัฐฯ (Nature Journal) เขียน โดยนักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ศึกษาอ้างอิงตามหลักความ เป็นจริงจากการค้นพบของกล้องโทรทัศน์อวกาศ ทำให้ทราบในตอนนี้เท่าที่ ศึกษาตามความสามารถของเครื่องมือพบว่า จักรวาลประกอบด้วยหมู่ดวงดาว มากระหว่าง 100 พันล้านถึง 1 ล้านล้านดวง และแต่ละหมู่ดวงดาวก็มีดาว มากระหว่าง 100 พันล้าน ถึง 1 ล้านล้านดวงเช่นกัน จากการพบนี้นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว ่าน ่าจะมีดวงดาวที ่มี ลักษณะเหมือนกับโลกของเรา ดังนั้นเราไม่ต้องสงสัยเลยว่าในจักรวาลจะมี มนุษย์ต่างดาวหรือไม่ ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก เช่น เทวดา พระพรหม ที่มีการเดินทางไปมาระหว่างถิ่นฐานของท่านเหล่านั้น กับโลกของเรา การเดินทางมาของพระพรหมเพื่อขออาราธนาให้พรพพุทธเจ้า ทรงพิจารณาสอนบุคคลที่พอจะบรรลุธรรม และการเข้าเฝ้าของมวลหมู่เทวดา ในครั้งก่อนปรินิพพานในมหาปรินิพพานสูตร จักรวาลเป็นไปตามหลักธรรมปฏิจจสมุปบาททางกายภาพหรือทาง รูป ผู้เขียนได้วาดภาพวงจรของจักรวาลที่เป็นไปตามหลักธรรมข้อนี้ 32 https://www.npr.org/sections/thetwo-way/2010/12/01/131730552/- trillions-of-earths-could-be-orbiting-300-sextillion-stars?sc=emaf


94 รูปภาพที่ 32 ปฏิจจสมุปบาทของจักรวาล หลักของปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักธรรมที่ว่าด้วยการเกิดขึ้นของทั้ง วงจรตั้งแต่เกิดจนกระทั้งกลับมาเกิดใหม่การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน ๆ จึงเกิดมี ทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักของอิทัปปัจจยตา (ความที่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นปัจจัย ของสิ่งนี้) ดังตัวอย่าง เพราะชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะจึงมีฯลฯ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี... เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี... เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี... เพราะเวทนาเป็นปัจจัยตัณหาจึงมี... เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี... เพราะนามรูปเป็น ปัจจัย สฬายตนะจึงมี... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี... เพราะ สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมีตถาคต เกิดขึ้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดาความ เป็นไปตามธรรมดา ความที่มีสิ่งนี้


95 บทที่ 5 วันสิ้นโลกในพระไตรปิฎก 5.1 บทนำ วันสิ้นโลกนั้นความหมายโลกนี้ไม่ได้มีอยู่ในจักรวาลนี้แล้ว โลกได้ สูญสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงไปอย่างถาวรซึ่งแตกต่างจากวันสิ้นโลกตามความรู้สึก ของคนทั่วไปหมายถึงมนุษย์และสัตว์ได้สูญสิ้นไปจากโลก ดั่งเช่นไดโนเสาร์ที่ หายจากโลกนี้ไปเมื่อ65 ล้านปีก่อน ด้วยการชนของอุกกาบาตขนาดใหญ่ บริเวณประเทศแมกซิโกในปัจจุบัน33จนเป็นเหตุเกิดสัตว์พันธุ์ใหม่ที่มีสมอง เป็นอาวุธแทนเขี้ยวและงาคือ มนุษย์ที่มีอำนาจทางปัญญาสูงมากและเป็น พันธุ์เดียวที่ชี้แนะโลกแห่งอนาคตได้ ตามที่กล่าวมาแล้วมนุษย์ใช้ปัญญาเป็นเครื่องที่สุดยอดในการ แสวงหาความรู้ในการเก็งธรรมชาติเพื่อความผาสุกของมนุษย์เองด้วยเหตุนี้การ อุบัติของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาได้สะท้อนปัญญาของมนุษย์นอกจาก การแสวงความสุขจากสภาพของความไร้ทุกข์แล้วยังสามารถเก็งอนาคตของ 33 เมื่อ พ.ศ. 2523 หลุยส์อัลวาเรซ (Louis Alvarez) และ วอลเตอร์อัลวาเรซ (Walter Alvarez) ตีพิมพ์ผลงานวิจัยกล่าวว่า การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อนหรือ ที่เรียกว่าการสูญพันธุ์ยุคครีตาเชียส-เทอร์ทิอารี(Cretaceous-Tertiary: KT) มีเหตุมาจากการ พุ่งชนของอุกกาบาต อุกกาบาตที่มีขนาดประมาณ 15 กิโลเมตร.


96 โลกที่จะเกิดขึ้นอีกนานแสนนานต่อจากนี้ไป ปัญญาของมนุษย์อันสูงยิ่งนั้นเป็น พุทธสัพพัญญูหรือพุทธวิสัย34 ในทางพระพุทธศาสนาได้ทำนายถึงวันสิ้นโลกเช่นกัน ซึ่งวันสิ้นโลก นั้นมีดวงอาทิตย์เป็นสาเหตุของวันนั้น โดยกล่าวว่าเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏให้เห็น ครบถึง7 ดวง โลกจะถึงกับอวสาน ได้กล ่าวไว้ในสัตตสุริยสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสเพื่อมีพระประสงค์ที่จะสอนให้เห็นว่าโลกนั้นไม่เที่ยง ดวงอาทิตย์ก็ไม่เที่ยงควรที่จะเร่งรีบทำความพ้นทุกข์ให้ประจักษ์โดยเร็ว น้อมใจ ให้เห็นภัยในการเกิดและตายในวัฏฏะสงสารนี้เป็นการสอนที่ได้2 ทาง ทั้ง ทางโลกและทางธรรม และชี้ให้เห็นเนื้อหาของความจริงที่เกิดขึ้นในอนาคต กาลว่าโลกมีชะตากรรมอย่างไร เผื่อมนุษย์จะหาทางแก้ไขได้และผู้เขียนเชื่อ ว่าในพระไตรปิฎกน่าจะเป็นประโยชน์ในการปรับไปใช้ได้โดยเฉพาะเรื่อง ความสามารถทางจิต 5.2 สัตตสุริยสูตรคือประกาศวันสิ้นโลก พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต สัตตสุริยสูตร35 เมื่อครั้งที่พระพุทธทรงองค์ประทับอยู่ที่วัดอัมพปาลีวัน เขต กรุงเวสาลีแคว้นมคธ ได้ตรัสเทศนาสอนพระภิกษุ ให้เห็นภัยในความไม่เที่ยง ว่า “ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นสภาวะไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้ เป็นข้อกำหนดควรเบื่อหน่ายควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง” 34 พุทธวิสัย หมายถึง ความเป็นไปและอานุภาพแห่งพระพุทธคุณทั้งหลาย มีพระ สัพพัญญุตญาณ คือ พระปรีชาญาณหยั ่งรู้สิ่งทั้งปวงทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคต, พระ ธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546), หน้า 275. 35 องฺ. สตฺตก. (ไทย) 23/66/132.


97 สังขาร หมายถึง การปรุงแต่งเพื่อที่อยู่ในโลกนี้ต่อไป ซึ่งมันจะไม่น่าพิสมัยอีก แล้วเพราะโลกพบกับความเสื่อมตลอดเวลาในอนาคต ภัยธรรมชาติมีมากขึ้น มีทั้งน้ำท่วมและขาดน้ำ ฝนที ่ตกลงมาก็จะเป็นฝนกรด ประสบกับภัยแล้ง ยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ โลกร้อนดั่งไฟจนมนุษย์แทบจะขุดรูอยู่ ในพระสูตรนั้นพระ พุทธองค์ทรงกล่าวนำว่า “ภิกษุทั้งหลาย ขุนเขาสิเนรุยาว 84,000 โยชน์กว้าง 84,000 โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร 84,000 โยชน์สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป 84,000 โยชน์มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว ฝนไม่ตกหลายปีหลาย ร้อยปีหลายพันปีหลายแสนปีเมื่อฝนไม่ตก พีชคาม ภูตคาม และติณชาติที่ ใช้เข้ายา ป่าไม้ใหญ่ย่อมเฉา เหี่ยวแห้งเป็นอยู่ไม่ได้สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นข้อกำหนดควรเบื่อหน่าย ควร คลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง” จากพระสูตรผู้เขียนแบ่งขั้นตอนการดับของดวงอาทิตย์ไว้เป็น 3 ช่วงตามลักษณะของโลกที่ได้รับผลกระทบ 5.2.1 ช่วงที่1 แหล่งน้ำแห้งขอด ต่อจากที่กล่าวมาแล้วนั้นทรงกล่าวอีกว่าโลกจะร้อนแรงขึ้นอีก ทำให้ น้ำในแหล่งน้ำขนาดเล็กแห้งขอด สาเหตุเพราะมีดวงอาทิตย์อีกหนึ ่งดวง ปรากฏขึ้นมาใหม่ดังพระพุทธพจน์ว่า “... มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ ดวงที่ 2 ปรากฏ เพราะดวงอาทิตย์ดวงที่2 ปรากฏ แม่น้ำน้อย หนองน้ำทุก แห่ง ระเหยเหือดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่ เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง”


98 ในสารัตถทีปนีกล่าวว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นดวงที่สองเกิดขึ้น “โลกจะ พินาศด้วยน้ำ”36 ในความหมายว่า โลกนี้ถูกน้ำกรดกัดเซาะ ทำให้แผ ่นดิน และภูเขาจะถูกกัดเซาะจนหมดสิ้นและสิ่งมีชีวิตยากที่จะอยู่รอดได้เมฆเกิด จากไอน้ำที่เป็นกรดนั่นเอง ในช่วงนี้โลกจะเกิดการปั่นป่วนแปรปรวนอย่าง มหาศาล ลมพายุขนาดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในรายละเอียดในเรื่อง พินาศกัปด้วยไฟ ด้วยน้ำ และด้วยลม ต่อจากนั้นน้ำในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ จะแห้งตามมาเพราะสาเหตุมา จากดวงอาทิตย์ดวงที่3 ปรากฏมาอีกหนึ่งดวง ดังพุทธพจน์กล่าวว่า “... มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ ดวงที่ 3 ปรากฏ เพราะดวงอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏ แม่น้ำสายใหญ่ ๆ คือ คง คา ยมนา อจิรวดีสรภูมหีทุกแห่ง ระเหยเหือดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด สังขาร ทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง” อนุมานได้ว่าจะเป็นแม่น้ำสายหลัก ๆ บนโลก ในประเทศไทยก็ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแยงซีแม่น้ำโขง ฯลฯ ในกาลต่อมาพระพุทธองค์ทรงกล่าวอีกว่า น้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ๆ เช่น ทะเลสาบ ขนาดใหญ่ๆ บนโลกใบนี้กลับแห้งขอดเพราะดวงอาทิตย์ ดวงที่4 ปรากฏขึ้นมา “... มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ ดวงที่ 4 ปรากฏ เพราะดวงอาทิตย์ดวงที่ 4 ปรากฏ แหล่งน้ำใหญ่ๆ ที่เป็น 36 พระสารีบุตรมหาเถระ, สารัตถทีปนีฎีกาพระวินัย ภาค1, แปลโดย สิริเพ็ชรไชย , ฉบับพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา6 รอบ 5 ธันวาคม 2542, หน้า 422.


99 แดนไหลมารวมกันของแม่น้ำใหญ่ ๆ เหล่านี้คือ สระอโนดาด สระสีหปปาตะ สระรถการะสระกัณณมุณฑะสระกุณาลา สระฉัททันต์สระมันทากินีทุกแห่ง ระเหย เหือดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ตามข้อความนี้พอจะอนุมานได้ว่า แหล่งน้ำใหญ่บนโลกทะเลสาบน้ำ จืดและทะเลสาบน้ำเค็ม ที่เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่บนโลก เช่น บึงบอระเพ็ด (ไทย), ทะเลสาบเจนีวา (สวิสเซอร์แลนด์), ทะเลสาบล็อกเนสส์(อังกฤษ), ทะเลสาบสุพีเรีย (อเมริกา), ทะเลสาบมิชิแกน(อเมริกา) และทะเลสาบไบคาล (ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศรัสเซียเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลก จุดที่ลึกที่สุดมีความลึกกว่า 1,640 เมตร ทะเลสาบไบคาลเกิดจากการที่น้ำเอ่อ ล้นเข้ามาจนเต็มรอยเปลือกโลกที่แตกเมื่อ25 ล้านปีที่แล้ว ทะเลสาบมีความ ยาวประมาณ 650 กิโลเมตรกว้างโดยเฉลี่ย 50 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 23, 000 ตารางกิโลเมตร) แหล่งน้ำเหล่านี้ไม่มีน้ำ แห้งขอดไม่มีน้ำสักหยด พระพุทธองค์ได้กล่าวต่อไปอีกว่า น้ำในทะเลจะแห้งขอดเพราะมี ดวงอาทิตย์ดวงที่5 โผล่ขึ้นมาอีก ดังพุทธพจน์ว่า “... มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ ดวงที่ 5 ปรากฏเพราะดวงอาทิตย์ดวงที่5 ปรากฏ น้ำในมหาสมุทรลึก 100 โยชน์ก็ดี200 โยชน์ก็ดี300 โยชน์ก็ดี400 โยชน์ก็ดี500 โยชน์ก็ดี600 โยชน์ก็ดี700 โยชน์ก็ดีงวดลงเหลืออยู่เพียง7 ชั่วต้นตาลก็มี6 ชั่วต้นตาลก็มี5 ชั่วต้นตาลก็มี4 ชั่วต้นตาลก็มี3 ชั่วต้นตาลก็มี2 ชั่วต้นตาลก็มีชั่วต้นตาล เดียวก็มีเหลืออยู่เพียง7 ชั่วคน 6 ชั่วคน 5 ชั่วคน 4 ชั่วคน 3 ชั่วคน 2 ชั่วคน ชั่วคนเดียว ชั่วครึ่งคน เพียงเอว เพียงเข่า เพียงแค่ข้อเท้า ภิกษุทั้งหลาย น้ำใน มหาสมุทรยังเหลืออยู่เพียงในรอยเท้าโคในที่นั้น ๆ เปรียบเหมือนในฤดูแล้ง เมื่อฝนเม็ดใหญ่ๆ ตกลงมา น้ำเหลืออยู่ในรอยเท้าโคในที่นั้น ๆ ฉะนั้นเพราะ


100 ดวงอาทิตย์ดวงที่5 ปรากฏ น้ำในมหาสมุทรแม้เพียงข้อนิ้วก็ไม่มีฉันใด สังขาร ทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ณ เวลานี้โลกทั้งใบปราศจากน้ำ น้ำที่ระเหยออกไปจากทะเลไม่มี การกลับมาเป็นฝนในมหาสมุทรอีกเลย โลกจึงแห้งผากตลอดเวลา 5.2.2 ช่วงที่2 ความร้อนจากดวงอาทิตย์เผาดิน หลังจากที่ดวงอาทิตย์ดวงที่ 5 โผล ่ขึ้นมาน้ำในแหล ่งน้ำบนโลกก็ มลายหายสิ้นไป เหลือแต่เพียงผืนแผ ่นดินที่แห้งผากปราศจากน้ำ แต่ความ ร้อนมิได้ลดลงกลับทวีความรุนแรงเข้ามากขึ้นไปอีกเพราะดวงอาทิตย์ดวงที่ 6 ปรากฏขึ้นมาอีก ดังพุทธพจน์กล่าวว่า “... มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ ดวงที่ 6 ปรากฏเพราะดวงอาทิตย์ดวงที่ 6 ปรากฏ แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขา สิเนรุย่อมมีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลาย นายช่างหม้อเผาหม้อที่เขาปั้น ดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้น ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เพราะดวงอาทิตย์ดวง ที่6 ปรากฏ แผ ่นดินใหญ่นี้สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาวะไม่เที่ยงฯลฯ ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง” แผ่นดินในช่วงนี้ถูกเผาเหมือนอยู่ในเตาเผาหม้อดิน ควันที่เผาดินจะ ลอยออกมาดูเหมือนว่าแผ่นกำลังจะถูกเผาให้หลอมละลายในคัมภีร์สารัตถ ทีปนีกล่าวว่าควันที่ระเหยออกมาเป็นเพราะน้ำที่แทรกซึมเพื่อยึดให้ดินเกาะ กันแน่น ได้ถูกความร้อนเผาได้ระเหยออกมาทำให้ดินเสียการยึดเหนี่ยวเข้าหา กัน ซึ่งกล่าวไว้ว่า “พระอาทิตย์ดวงที่6 ก็ย่อมปรากฏ . . . ทำให้จักรวาลทั้งสิ้น มีควันเป็นอันเดียวกัน มีน้ำเหือดแห้งไปด้วยกัน ก็ปฐวีธาตุในที ่นั้น ๆ เป็น ธรรมชาติที่คุ้มกันตั้งอยู่ได้เพราะอาโปธาตุใดได้ประสานไว้อาโปธาตุนั้นย่อม


101 ถึงความสิ้นไป เพราะพระอาทิตย์ดวงที่6 ปรากฏ แม้แสนโกฏจักรวาลก็ เหมือนกับจักรวาลนี้” 5.2.3 ช่วงที่3 โลกสูญสิ้นแล้ว จากนั้นโลกจะเพิ่มดีกรีความร้อนขึ้นมาอีกเพราะดวงอาทิตย์ดวงที่7 ปรากฏให้เห็นจากพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวงอาทิตย์ดวงที่7 ปรากฏ เพราะดวงอาทิตย์ดวงที่7 ปรากฏ แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุเกิด ไฟลุกโชนมีแสงเพลิงเป็นอันเดียวกัน เมื่อแผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุถูกไฟ เผาผลาญอยู่เปลวไฟถูกลมพัดขึ้นไปจนถึงพรหมโลกเมื่อขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผา ไหม้กำลังพินาศถูกกองเพลิงใหญ่เผาทั่วตลอดแล้ว ยอดเขาแม้ขนาด 100 โยชน์200 โยชน์300 โยชน์400 โยชน์500 โยชน์ย่อมพังทลาย เมื่อ แผ ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผาผลาญอยู่ขี้เถ้าและเขม่าย่อมไม่ ปรากฏ “ภิกษุทั้งหลายเมื่อเนยใสหรือน้ำมันถูกไฟเผาผลาญอยู่ขี้เถ้าและ เขม่าย่อมไม่ปรากฏ ฉันใด เมื่อแผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผาผลาญ อยู่ ขี้เถ้าและเขม่า ก็ย่อมไม่ปรากฏ ฉันนั้น สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็น สภาวะไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นข้อกำหนดควรเบื่อหน่าย ควร คลายกำหนัด ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง” จากพระพุทธพจน์ตอนนี้เป็นการบอกชัดเจนว่าโลกสิ้นแล้ว ถูกเผา เหมือนเนยที่โดนไฟเผาละลายไปทันทีไม่ปรากฏแม้แต่เป็นเขม่าควัน โลก สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้การเผาไหม้เริ่มจากภูเขาที่สูงน้อย ไปหามาก จนถึงเขา สิเนรุในคัมภีร์สารัตถทีปนีฎีกา กล่าวว่า ไม่เพียงแต่โลกเท่านั้นที่ถูกเผาพินาศ จักรวาลก็เช่นเดียวกันถูกเผาให้เป็นความว่างเปล่า มืดมิดตลอดกาลนาน กล่าว


102 โดยสรุปว่าโลกพินาศด้วยน้ำ ด้วยลม และด้วยไฟ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่โลก จะพินาศสิ้นไป พร้อมกับจักรวาล 5.2.4 ภัยบรรลัยกัลป์ของลม-น้ำ-ไฟที่เกิดในช่วงนั้น ในช่วงของการเกิดขึ้นของดวงอาทิตย์สามารถเปรียบเทียบวงจรของ จักรวาลได้และในแต่ละช่วงละตอนนั้นก่อให้เกิดปรากฏการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ทางธรรมชาติและได้กล่าวถึงพฤติกรรมของคนในช่วงนั้น ๆว่ามีพฤติกรรม เช่นใด คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาชั้นหลังกล่าวว่าสาเหตุที่โลกและจักรวาลสิ้น ไปนั้นมีอยู่ 3 สาเหตุซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่า ”ไฟบรรลัยกัลป์” เป็นตัวสูญสิ้น อย่างแท้จริง แต่ผลจากความร้อนทำให้เกิดเหตุอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุนี้แต่ก็ ยังให้เกิดความเสียหายต่อสัตว์และสิ่งที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้น สิ่งที่คัมภีร์ชั้นหลัง ได้กล่าวไว้ถึงความหายนะของโลก มี3 อย่าง ได้แก่ ไฟบรรลัยกัลป์- ทำให้โลกสูญสิ้น น้ำบรรลัยกัลป์- เกิดขึ้นในระหว่างที่โลกถูกเผา ลมบรรลัยกัลป์- เกิดขึ้นในระหว่างโลกถูกเผาเช่นกัน เป็นยุคที่จักรวาลอยู่ในช่วงสังวัฏฏกัป แปลว่า “กัปแห่งการพินาศ” ในทางพระพุทธศาสนาแบ่งกัป ออกเป็น 4 ช่วง เรียกว่า อสงไขยกัป ได้แก่ 1) สังวัฏฏกัป เป็นกัปที่กำลังเข้าสู่ความพินาศ หรืออาจจะเรียกว่าเข้าสู่ระยะ ถดถอย 2) สังวัฏฏัฏฐายีกัป คือ กัปที ่กำลังพินาศลง 3) วิวัฏฏกัป และ 4) วิวัฏฏัฏฐายีกัป ส่วนกัป ใน 3) และ 4) เป็นกัปที่อยู่ในช่วงที่เจริญ ไฟบรรลัยกัลป์ โลกและจักรวาลพินาศด้วยไฟนั้น มีสาเหตุมาจากดวงอาทิตย์ขึ้นถึง 7 ดวง คือขึ้นใหม่ อีก 6 ดวง บวกกับของเดิมอีก 1 ดวง รวมเป็น7 ดวง ความ พินาศกินอาณาบริเวณถึงพรหมชั้นอาภัสระ, ชั้นสุภกิณหะ และชั้นเวหัปผละ


103 ส่วนสัตว์ชั้นอบายภูมิท่านกล่าวว่าไปรับโทษทัณฑ์ในจักรวาลอื่น ๆ ส่วนพวกที่ มีมิจฉาทิฐิจะถูกไฟไหม้ในที่อื่นในอากาศ น้ำบรรลัยกัลป์ ความพินาศในชั้นนี้กินอาณาบริเวณในพรหมชั้นสุภกิณหะและชั้น เวหัปผละ ลงไปเป็นการกล่าวเสริมว่าเมื่อ ขณะที่ดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏ ขึ้นมานั้น ในช่วงนี้โลกจะถูกความร้อนทำให้น้ำระเหยแล้วกลายเป็นไอน้ำกลับ ตกมาบนโลกอีกครั้ง แต่การกลับมาเป็นฝนตกบนโลกนั้นฝนจะเป็นฝนกรดกัด เซาะโลกและสิ่งต่างๆ ความว่า “. . . ก็มีมหาเมฆน้ำกรดนั้น ทีแรกก็ตกเป็น ฝอย ๆ แล้วตกเป็นสายธารใหญ่จนเต็มแสนโกฏิจักรวาลโดยลำดับ แผ ่นดิน และภูเขาเป็นต้น อันน้ำกรดถูกต้องแล้ว ก็ละลายไป . . . เหมือนก้อนเกลือใส่ ลงไปในน้ำ” ลมบรรลัยกัลป์ ขอบเขตของความพินาศในเขตแดนกัลป์นี้จะมีอำนาจการทำลาย ล้างถึงอาณาเขตพรหมชั้นเวหัปผละ พรหมจะจุติไปในชั้นสุภกิณหะ กล่าวว่า มีดวงอาทิตย์ดวงที่สองตั้งขึ้นฉันใด. . . ลมก็ตั้งขึ้นเพื่อยังกัปให้พินาศ เหมือนฉันนั้น ลมทีแรกทำธุลีละเอียดให้ตั้งขึ้น ต่อจากนั้นทำธุลีหยาบให้ตั้งขึ้น ทำก้อนกรวดก้อนหินให้ตั้งขึ้น ... จนกระทั่งทำแผ่นดินเท่าเรือนยอดและต้นไม้ ต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ในที่ขรุขระ ให้ตั้งขึ้น ... สิ่งเหล่านี้ขึ้นจากดินสู่ฟ้า ไม่กลับมาอีก แหลกละเอียดไป... ต่อมาม้วนแผ่นดินกลับบนเป็นล่างซัดไปในอากาศส่วน แห ่งแผ ่นดินขนาดร้อยโยชน์และแม้ขนาดสองร้อยโยชน์... ห้าร้อยโยชน์แตก ถูกลมซัดขึ้นแหลกละเอียดถึงความไม่มีในอากาศ แม้ภูเขาจักรวาล ภูเขาสิเนรุ ก็ถูกลมซัดเหวี่ยงไปในอากาศ สิ่งเหล่านี้กระทบกันแหลกละเอียด


104 เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่2 ปรากฏจะทำให้เกิดลมพายุขนาดใหญ่พัด ทำลายล้างแม้กระทั่งแผ่นถูกซัดด้วยลม แล้วหอบกระจัดกระจายหายไปใน อากาศซึ่งความจริงก็คือ แหลกละเอียดเป็นผุยผงนั่นเอง และได้กล่าวว่าสัตว์ต่าง ๆ ทั้งมนุษย์อบายอื่น ยกเว้นพวกนิตย มิจฉาทิฏฐิและเทวดาจะพากันบำเพ็ญเพียรเข้าฌานไปพรหมโลกที่ไม่ถูกผล ของโลกพินาศนั้น ส่วนพวกที่อยู่ในอบายที่มีอายุยืนมาก ๆ จะไปอยู่อบายอื่น นอกจักรวาลนี้ยังคงจะได้รับหนักต่อไป โลกสิ้นสุดเพราะกิเลส ตามที่เข้าใจกันว่าพระพุทธองค์ทรงเน้นเรื่องโลกภายในเป็นที่ตั้ง การเทศนาธรรมของพระองค์เพียงเพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรม การแก้ไขโลก ภายในอันมีกิเลสเข้าครอบงำ เป็นแนวทางหลักที่พระพุทธองค์ทรงมีพระ ประสงค์เป็นอันดับแรก การยกเรื่องโลกและจักรวาลเพื่อเป็นเพียงอุปกรณ์ ประกอบการสอนเรื่องการยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น แต่เรื่องของกิเลสของมนุษย์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับลักษณะการดับสิ้น ของโลก สารัตถทีปนีฎีกาได้กล่าวถึงมูลเหตุแห่งโลกวินาศ ได้กล ่าวว่าอกุศล มูลเป็นเหตุให้โลกวินาศ โดยให้สังเกตท่าทีจิตใจของมนุษย์ในกัปนั้น ตามปกติ ส ่วนใหญ่มีสภาพจิตใจข้องไปทางใดในบรรดาอกุศลมูลของกิเลสทั้ง 3 ได้แก่ ราคะ โทสะ และโลภะ กิเลสตัวไหนแสดงออกมากกว่ากัน ซึ ่งมีผลทำให้ ลักษณะการพินาศของโลกต่างกันโดยให้ทัศนะไว้ว่า กล่าวโดยสรุปว่าโลกพินาศด้วยไฟคือราคะ ที่เกิดขึ้นกับคนหมู่มาก ซึ่งท่านได้กล่าวว่า “ . . . ย่อมฉิบหายด้วยไฟ 7 ครั้ง ติดต่อกันกันทีเดียวครั้งที่ 8 ฉิบหายด้วยน้ำต่อไปฉิบหายด้วยไฟอีก7 ครั้ง ครั้งที่8 จึงฉิบหายด้วยน้ำ เมื่อพินาศไปทุกครั้งที่ 8 ดังกล่าวมานี้พินาศด้ายน้ำเสีย7 ต่อไปพินาศด้วยไฟ


105 อีก7 ครั้ง . . . เป็นอันล ่วงไป 63 กัป ในระหว่างนี้ลมได้โอกาส . . . ก็ทำลาย ชั้นสุภกิณหซึ่งมีอายุครบ 64 กัป ทำให้โลกพินาศก็ในข้อนี้ราคะย่อมเป็นไป มากแก่สัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นพึงทราบโลกาวินาศโดยมากด้วยอำนาจไฟ” และกล่าวว่าคำที่กล่าวแล้วหมายถึงพระพุทธเจ้าว่า“โลกวิทู” นั้น มีความหมายว่า พระองค์ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก โดยประการทั้งปวง ได้ให้ ความหมายโดยประการทั้งปวงว่า พระองค์ทรงรู้เรื่องลักษณะที่เป็นต้นแห่ง สังขารโลก (ต้นกำเนิดโลก), การมีอาสยะเป็นต้นแห่งสัตว์โลก(สัตว์มีกิเลสเป็น แดนเกิด) และทรงรู้ปริมาณสันฐานเป็นต้นแห่งโอกาสโลก (หมายถึงรู้ขนาด และจำนวนของโลก [จักรวาลในเชิงรูปธรรม] 5.2.5 ความเห็นผิดอย่างแรง(นิตยมิจฉาทิฏฐิ) นิตยมิจฉาทิฏฐิหมายถึงพวกที่มีทิฏฐิที่ร้ายแรงมากเป็นพวกที่ไม่มี โอกาสที่จะหลุดออกมาจากจักรวาลได้เหมือนกับว่าไม่มีโอกาสเรียนรู้ทางพ้น ทุกข์ได้ก็จะอยู่คู่กับจักรวาลนี้ตลอดไป นั่นคือจะเกิด-แก่-เจ็บ-ตายตลอดไป อย่างเหนียวแน่น นิตยมิจฉาทิฐิมี3 อย่าง ได้แก่ 1. อเหตุกทิฏฐิคือมีความเห็นว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชา แล้วไม่มีผล บุญบาปไม่มีจะดีหรือชั่ว ก็เป็นไปเอง ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เมื่อ เห็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่ทำเหตุให้ดีเช่น ไม่ทำบุญกุศล, ไม่ขวนขวายให้ตนหลุด ออกจากวัฏฏะทุกข์นี้ 2. อกิริยทิฏฐิคือ มีความเห็นว่า กรรมไม่มีจริง ไม่มีผลของกรรม บาปที่มีการทำเช่นนั้นเช่นนี้ย่อมไม่มีแก่เขา หรือมาถึงเขา บุญที่มีการทำ เช่นนั้นเช่นนี้ย่อมไม่มีแก่เขา หรือมาถึงเขา เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติที่นำเรา มาเกิดและเมื่อมีชีวิตอยู่ก็ดิ้นรนหากินกันไป ทำอะไรก็ได้ให้ตนสบายโดยไม่ ต้องสนใจใครทั้งสิ้น เมื่อแก่ชราก็ตายไปตามธรรมชาติผู้มีความเห็นผิดนี้จึงไม่


106 กลัวบาป ไม่มีหิริโอตตัปปะ กล้าทำความชั่วได้ทุกอย่าง ผู้มีความเห็นผิดเช่นนี้ เพราะเข้าใจผิดว่า ตัวตนมีอยู่ และถือมั ่นในรูปนั้นและยึดมั ่นรูปนั้นจึงมี ความเห็นผิดเช่นนั้น 3. นัตถิกทิฏฐิคือมีความเห็นว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี ทำดีไม่ได้ดีทำชั่วไม่ได้ชั่ว โลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มีมารดาไม่มีบิดาไม่มีสมณ พราหมณ์ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบกระทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งด้วย ปัญญาอันยิ่งแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ไม่มีในโลก คนเรานี้เป็นแต่ประชุมมหาภูต รูปทั้ง 4 เมื่อใด ทำกาลกิริยา เมื่อนั้น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อินทรีย์ ทั้งหลายย่อมเลื่อนลอยไปในอากาศ เพราะกายสลายทั้งพวกคนพาล ทั้ง บัณฑิตย่อมขาดสูญ พินาศสิ้น หลังจากตายไปย่อมไม่มี สาเหตุสัตว์ที่มีนิตยมิจฉาทิฏฐิได้รับวิบากเช่นนั้นอย่างเดิมต ่อไป เพราะว่าโทษของสัตว์นั้นให้ยังไม่หมดในกัปนั้น จึงต้องไปรับผลกรรมต่อไปใน จักรวาลอื่น ในข้อความนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่าจักรวาลอื่น ๆ นั้นย ่อมมี โครงสร้างเหมือน ๆ กันกับจักรวาลของเรา อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียด ปลีกย่อย ไม่เช่นนั้นจะมีการโอนรับโทษได้หรือและพระพุทธองค์ทรงแผ่พระสุ ระเสียงไกลได้หลายจักรวาล 5.2.6 ดวงอาทิตย์เสมือนทั้ง 7 เกิดพร้อมกันหรือละดวง ตามที่ได้กล่าวไปแล้วในพระสูตรว่าโลกดับเพราะดวงอาทิตย์ปรากฏ ให้เห็นถึง 7 ดวง มีประเด็นว่าดวงอาทิตย์นั้นเกิดขึ้นมาใหม่แล้วคงสภาพอยู่นับ รวมกันขึ้นบนท้องฟ้าให้เห็นทั้ง 7 ดวง หรือว่าขึ้นมาทีละดวงแล้วหายไป จากนั้นดวงใหม่ก็ปรากฏให้เห็นอีก ในคัมภีร์กล ่าวว ่าการปรากฏของดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 โลกไม ่มี กลางวันและกลางคืนมีแต่วันที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงไม่ขาดสาย และจากคัมภีร์


107 กล่าวว่า “พระอาทิตย์ดวงหนึ่งหายไปแล้วเกิดดวงอื่นขึ้นมาแทน” และจาก พระพุทธพจน์กล่าวว่า “มีสมัยที่เวลาผ่านไปยาวนาน บางครั้งบางคราว มีดวง อาทิตย์ดวงที่ 2...3...7 ปรากฏ” ตามทัศนะของผู้เขียนมีความเห็น เรื่องนี้มี ความเป็นไปได้มากที่ดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับลงไป ให้อีกดวงเกิด ขึ้นมาใหม่แทน ถ้าไม่เช่นนั้นจะต้องกล่าวว่า มีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมาอีกดวง รวมเป็น 2 ถึง 7 ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าระยะเวลาระหว่างดวงอาทิตย์ที่รอ การเกิดขึ้นมาใหม่นั้นใช้เวลานานมาก ดูเหมือนดวงอาทิตย์ดวงที่จะเกิดขึ้นมา ใหม่ในแต่ละครั้ง ต้องรอจังหวะเวลาอะไรสักอย่างเพื่อที่จะเป็นดวงอาทิตย์ดวง ใหม่อยู่ เหมือนกับว่ากำลังเตรียมตัวที่จะเป็นดวงอาทิตย์ 5.3 ระบบสุริยะจักรวาล 5.3.1 ความเป็นมาของดวงอาทิตย์ หลังจากจักรวาลเกิดมาแล้วประมาณ 13,700 ล้านปีจาก ปรากฏการณ์บิ๊กแบง เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งพลังงานเปลี่ยนไปเป็นอนุภาค จากอนุภาคก็รวมตัวกันเป็นดวงดาว จากดวงดาวก็เป็นกาแลกซี่ จากหนึ่ง เป็น สอง จากสอง เป็นหลายแสนล้าน รูปภาพที่ 33 ส่วนบันทึก DNA


108 กาแลกซี่ในจักรวาล และดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนร่องรอยต้นแบบ ของจักรวาล คือ ยังคงมีการบีบอัดจนเกิดการระเบิดอยู่ เพราะดวงอาทิตย์เป็น ดาวฤกษ์ที่เกิดมาจากกลุ่มก๊าซร้อนที่รวมอัดกันแน่น จนทำให้เกิดจากปฏิกิริยา นิวเคลียร์แบบฟิชชั่น (Fission Reactive Nuclear) ที่แกนกลาง ดวงอาทิตย์ ของเราจัดว่าเป็นดาวฤกษ์ขนาดกลาง ถือกำเนิดมาแล้วประมาณ 4.6 พันล้านปี ตั้งอยู่ชายขอบกาแลกซี่ทางช้างเผือก มีดาวเคราะห์บริวารเก้าดวงอุณหภูมิที่ใจ กลางของดวงอาทิตย์ประมาณ 100 ล้านองศา เคลวิน การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เผาไหม้ภายในแกนกลางดวงอาทิตย์ ทำให้มวลของมันที่แกนกลางน้อยลงไปเรื่อย ๆ จึงเป็นเหตุให้เปลือกนอกของ ดวงอาทิตย์ที่เป็นกลุ่มก๊าซร้อนขยายตัวออกไป ดวงอาทิตย์จะบวมพองขึ้น มากกว่าเดิม และขยายตัวออกไปกินพื้นที่ว่างในอวกาศมากขึ้น เมื่อผิวนอก ขยายตัวมากขึ้น จะยิ่งห่างไกลจากแกนกลางมากขึ้น ผิวนอกย่อมสัมผัสกับ อวกาศที่เย็นจัด อุณหภูมิของมันเริ่มลดลง จึงเห็นเป็นสีแดงสดมากขึ้น ยิ่ง ขยายตัวมากเท่าไหร ่มันก็จะยิ่งแดงมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังคงมีความร้อนมาก พอสมควร ดวงอาทิตย์ช่วงนี้เราจึงเรียกว่า ดาวแดงยักษ์(Red Giant) ใน แกนกลางของดวงอาทิตย์ซึ่งอัดแน่นเข้าเรื่อยๆ จนระเบิดออกมาเป็นหมอกเรียกว่า “เนบิวล่า” อีกหลายล้านปีต่อมามันจะหดตัวเล็กลง จนกลายเป็นดาวแคระ ขาวที่มีความหนาแน่นมากคาดว่าเนื้อมวลสารของดวงอาทิตย์ตอนนั้น หนึ่ง ช้อนหนักถึงสองตัน หรือเท่ากับน้ำหนักรถปิกอัพหนึ่งคัน ดวงอาทิตย์ตั้งแต่เกิดถึงปัจจุบัน ซึ่งคำนวณทางวิทยาศาสตร์ในวันนี้ ดวงอาทิตย์มีอายุประมาณ 4.5 พันล้านปี อีกประมาณ 8 พันล้านปีข้างหน้า มันจะบวมขึ้นขยายตัวเต็มที่จนเป็น ”ดาวแดงยักษ์” ที่สมบูรณ์แบบ ต่อจากนั้นแกนกลางของดวงอาทิตย์จะระเบิดออกเป็นฝุ่น “เนบิวล่า” แล้ว หดตัวลงเป็น”ดาวแคระขาว” ในอีก 14 พันล้านปีจากนี้ไป


109 5.3.2 วิวัฒนาการของดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ของเราเป็นดาวฤกษ์รุ่นที่ 3 ที่เกิดจากรวมตัวของกลุ่ม แก๊สที่เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลาในบริเวณใกล้เคียงนั้น เพราะมีการค้นพบ ธาตุหนัก เช่น ทองคำและยูเรเนียมในปริมาณมาก ซึ่งธาตุเหล่านี้อาจเกิดจาก ปฏิกิริยานิวเคลียร์ชนิดดูดความร้อนขณะที่เกิดซุปเปอร์โนวา หรือการดูดซับ นิวตรอนในดาวฤกษ์รุ่นที่สองซึ่งมีมวลมาก ซึ่งการยุบตัวของเนบิลา มันเกิด จากแรงโน้มถ่วงของตัวเนบิวลาเอง เมื่อแก๊สยุบตัวลง ความดันของแก๊สจะ สูงขึ้น ผลที่ตามมาคือ อุณหภูมิของแก๊สจะสูงขึ้นที่บริเวณแกนกลางเป็นหลาย แสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ดาวฤกษ์ก่อนเกิด” เมื่อแรงโน้มถ่วงถึงให้ แก๊สยุบตัวลงไปอีก อุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 15 ล้าน. เคลวิน ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูง มากพอที ่จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ (Thermonuclear reaction) หลอมนิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม เมื่อเกิดความสมดุลระหว่าง แรงโน้มถ่วงกับแรงดันของแก๊สร้อนจะทำให้ดวงอาทิตย์มีความสมบูรณ์ขึ้น ดวงอาทิตย์ถือกำเนิดเมื่อประมาณ 4-5 พันล้านปีล่วงมาแล้วดวง อาทิตย์มีโครงสร้างประกอบด้วยดวงอาทิตย์ประกอบด้วยไฮโดรเจนอยู่74% โดยมวล ฮีเลียม 25 % โดยมวลและธาตุอื่น ๆ ในปริมาณเล็กน้อยดวงอาทิตย์ จัดอยู่ในสเปกตรัม G2V ซึ่ง G2 หมายความว่าดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิพื้นผิว ประมาณ 5,515 องศาเซลเซียสผลิตพลังงานโดยการหลอมไฮโดรเจนให้เป็น ฮีเลียม และอยู่ในสภาพสมดุล ไม่ยุบตัวหรือขยายตัว ระบบสุริยะอยู่ในกาแลกซี่ทางช้างเผือก โดยตั้งห ่างจากจุด ศูนย์กลางของกาแลกซี่26, 000 ปีแสง จัดว่าอยู่เกือบชายขอบของกาแลกซี่ ซึ่งกาแลกซี่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 แสนปีแสง หมายถึง แสงเดินทาง ต้องใช้เวลาถึง 1 แสนปีถึงจะหลุดพ้นกาแลกซี่ทางช้างเผือกได้เนื่องจากกา


110 แลกซี่ทางช้างเผือกเป็นกาแลกซี่แบบวงแหวนก้นหอยการหมุนวนของระบบ สุริยะจะหมุนโดยรอบศูนย์กลางของกาแลกซี่ซึ ่งระบบของเราจะหมุนวน ครบรอบประมาณ 225-250 ล้านปีมีอัตราเร็วในวงโคจร 215 กิโลเมตรต่อ วินาที เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 1.392 x 109 เมตร มีขนาดใหญ่กว่าโลก ประมาณ 109 ดวงระยะทางเฉลี่ย (จากการที่โลกหมุนรอบเป็นวงรี) 1.496 × 1011 เมตร และแสงใช้เวลาเดินทางส่องมายังโลกประมาณ 8.31 นาที อุณหภูมิที่ผิวประมาณ 5,778 เคลวิน, ที่ชั้นบรรยากาศ (โคโรนา) 5 ล้านเคลวิน, และมีอุณหภูมิที่แกนแกลาง 15.71 ล้านเคลวิน 5.3.2 พลังงานความร้อนกับการแผ่รังสี พลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์คือ พลังงานที ่เกิดขึ้นจาก ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชั่น (Fusion Reaction) เป็นกระบวนการรวมตัว ของอะตอมของไฮโดรเจนแล้วได้ธาตุใหม่คือ ฮีเลี่ยม นิวตรอนอิสระ พร้อมทั้ง จำนวนพลังงานมหาศาล การรวมตัวของนิวเคลียสของไฮโดรเจนเป็นธาตุฮี เลี่ยมและได้พลังงานจำนวนหนึ่งในทุกๆ วินาทีจะมีนิวเคลียสของไฮโดรเจน 3.4x1038 ตัว ถูกแปรรูปเป็นฮีเลียม ผลิตพลังงานได้383x1024 จูล หรือเทียบ ได้กับระเบิดไตรไนโตรโทลูอีน (TNT) ถึง 9.15x1019 กิโลกรัม พลังงานจาก แกนของดวงอาทิตย์ใช้เวลานานในการเดินทางตั้งแต่ 17,000 ปีถึง 50 ล้านปี เพราะโฟตอนพลังงานสูง (รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา) ถูกดูดกลืนไปในพลาสมา แล้วเปล่งพลังงานออกมาสลับกันเรื่อย ๆ ทุกระยะไม่กี่มิลลิเมตร เป็น กระบวนการนิวเคลียร์ แกนในของดวงอาทิตย์เผาไหม้ตลอดเวลา เชื้อเพลิงของมันคือ ไฮโดรเจนถูกใช้ไปจนถึงระยะเวลาหนึ่งมวลของมันเริ่มหมดไป ดังนั้นแรงโน้ม


111 ถ่วงที่ยึดเปลือกนอกชั้นโคโรล่าก็จะน้อยลงไป มีผลทำให้เปลือกนอกของชั้น บรรยากาศได้ขยายตัวออก ๆไปเรื่อยตามมวลที่เหลือน้อยลงไปทุกขณะ การแผ่พลังงานความร้อน โครงสร้างของดวงอาทิตย์จะมีชั้นต่าง ๆ ซึ่งมีระบบการทำงานดังนี้ ที่แกนกลางของดวงอาทิตย์(Core) เป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ลูกโซ่ ทำ ให้มีความร้อนประมาณ 35 ล้าน ํFโซนนี้เป็นโซนแผ่รังสีออกมาอย่างเดียว หมายถึงเป็นเหมือนตัวมันเองเป็นเนื้อเดียวกันกับแกนกลางอุณหภูมิเสมอกับ แกน ในโซนนี้จะมีขนาดบริเวณ 0.2-0.7 เท่าของรัศมีของดวงอาทิตย์จึงเป็น เขตที่พลังงานความร้อนเสมอกันหมด จากนั้นจึงเกิดการพาความร้อนในโซนของ Convection พลังงาน ในโซนนี้จะถูกถ่ายทอดออกมาในชั้นเปลือกนอกผ่านเป็นแท่งเป็นลำของมวล สารและพลังงาน มีหน้าที่หลักคือนำพาความร้อนถ่ายออกสู่ภายนอกแล้วหมุน วนกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง แท่งความร้อนจะมองเห็นได้จากภาพถ่ายที่เห็นเป็น เกล็ดอยู่บนผิวของดวงอาทิตย์ดังภาพข้างบน มันจะถ่ายเทพลังงานความร้อน และมวลสารออกมาที่ผิวแล้ววกกลับเข้าข้างในตลอดเวลา ชั้นถัดมาจะเป็นโฟ โตสเฟียร์(Photosphere) เป็นชั้นที่ให้แสงสว่างเพราะอิเล็กตรอนอิสระจะชน เข้ากับอะตอมของไฮโดรเจนเกิดเป็นไฮโดรเจนที่เป็นอะตอมลบของ H- ซึ่งทำ ให้แสงถูกปลดปล่อยออกมาเหนือชั้นนี้ซึ่งแสงนี้จะถูกปลดปล่อยออกมาในชั้น บรรยากาศต่อไป ซึ่งในชั้นบรรยากาศมีทั้งหมด 5 ชั้น คือ ชั้นอุณหภูมิต่ำสุด (Temperature minimum) มีอ ุณหภูมิ ประมาณ 4,000 ํK. มีระยะความสูง 500 กิโลเมตร โครโมสเฟียร์ (Chromospheres) ชั้นนี้มีอุณหูภูมิสูงประมาณ 100,000 ํK. มีระยะความสูงถึง 2 พันกิโลเมตร จะสังเกตได้ว ่าอุณหภูมิที่


112 ชั้นนอกกลับสูงกว ่าบริเวณชั้นในที่ใกล้กับแหล ่งกำเนิดพลังงานซึ ่งน่าจะมี อุณหภูมิที่มากกว่า เขตเปลี่ยนผ่าน (Transition region) เป็นเขตที่เชื่อมต่อกับชั้นโคโร นามีอุณหภูมิประมาณ 1 ล้าน K ํ โคโรนา (Corona) คือ ก๊าซที่ส่องแสงสว่างหุ้มอยู่รอบ ๆดวงอาทิตย์ มีลักษณะปรากฏเป็นแสงเรือง มีรัศมีสีนวลสุกสกาวในขณะที่เกิดสุริยุปราครา เต็มดวง คุณสมบัติที่น่าอัศจรรย์ของโคโรนาคือ การที่มีอุณหภูมิสูงมากตั้งแต่ 1,000,000 ํK ถึง 2,500,000 ºK การที่โคโรนา มีอุณหภูมิสูงมากเช่นนี้จะ เกิดการระเหยของก๊าซออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีอุณหภูมิประจุไฟฟ้าที่ เรียกว่า ลมสุริยะ (Solar wind) แพร่กระจายออกมาข้างนอก แล้วแพร ่เข้า มายังบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งโลกเราด้วยความเร็ว 300 – 1,000 กิโลเมตรต่อ นาที ดังนั้นในอวกาศระหว่างดาวเคราะห์จึงเต็มไปด้วยพลาสมาที่มีความ ร้อนสูงและมีสภาพที่แตกตัวเป็นอิออน เป็นข้อสังเกตว ่าทำไมชั้นนี้จึงมี อุณหภูมิสูงกว่าชั้นล ่าง ๆ ซึ ่งอยู่ใกล้กับแรงกำเนิดพลังงานความร้อน ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดกำลังค้นหาสาเหตุที่แท้จริงอยู่ขั้นแรกสันนิ ฐานว่าอาจเกิดจากการต่อเชื่อมทางแม่เหล็ก (Magnetic Connection) เฮลิโอสเฟียร์(Heliosphere) เป็นโซนที่เรียกว่าสุริยมณฑล คือเป็น ส่วนที่ก่อให้เกิดพลังลมสุริยะที่พุ่งไปในอวกาศได้ไกลถึง 20 เท่าของระยะทาง ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์(เรียกว่า 20 หน่วยดาราศาสตร์, AU) 5.3.3 สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ สนามแม่เหล็ก เป็นสนามที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของประจุไฟฟ้า ซึ่งในธาตุทั้งหลายต่างก็มีประจุไฟฟ้าด้วยกันทั้งหมด สภาพที่ประจุไฟฟ้าที่ดวง


113 อาทิตย์เกิดจากประจุลบของพลาสมาและก้อนแก๊สวิ ่งหมุนวนภายในดวง อาทิตย์จึงทำให้ดวงอาทิตย์มีขั้วแม ่เหล็กเหมือนกับโลกต ่างกันเพียงแต่ ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์หมุนได้ตลอดเวลาเพราะมันเป็นแก๊ส ส่วนโลกเป็น ของแข็งที ่เกิดจากแกนของโลกหมุนตรงกันข้ามกับเปลือกนอกจึงเกิด สนามแม่เหล็ก สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปมาเรื่อย ๆ เพราะ พลาสมาไหลวน ความแปรปรวนมีโดยตลอด และดวงอาทิตย์จะสลับขั้วกันทุก 11 ปี โลกสมัยใหม่นิยมศึกษาเรื่องพลังลมสุริยะอันเกิดจากความ แปรปรวนของสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์เพราะมันมีผลต่อประดิษฐ์กรรมที่ เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า ทั้งหมดบนโลกมนุษย์สามารถก่อให้เกิดไฟฟ้าดับทั้ง เมืองได้เช่น เมื่อปีค.ศ. 1989 เป็นพายุสุริยะในระดับธรรมดา เกิดขึ้นที่เมือง มอนทรีออล ประเทศแคนาดา ทำให้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดของเมืองดับนานกว่า 9 ชั่วโมง และยังส ่งผลกระทบไปถึงทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา และสวีเดน จากเหตุการณ์นี้นักวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งถ้า เกิดความรุนแรงถึงขั้นว่าระบบฐานข้อมูลที่สำคัญ ๆ หายไป เช่น การเงินและ ธนาคารคนจะเบิกจะถอนไม่ได้อาจเป็นเหตุให้ทุกคนเท ่าเทียมกันอย่าง สมบูรณ์ จากปรากฏการณ์ที่น่ากลัวนี้นักวิทยาศาสตร์ขององค์การอวกาศ ของสหรัฐอเมริกาได้จัดยานเฝ้าติดตามพลังสุริยะตลอดเวลา เพราะคลื่นนี้ นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถคาดเดาได้ตรง ๆ ได้แต่วิเคราะห์ตามสถิติที่เคยเกิด ขึ้นมาเท่านั้น ดาวเทียมที่โครงการร่วมระหว่างองค์การบริหารการบินและ อวกาศแห ่งชาติของสหรัฐ (นาซ่า) และองค์การอวกาศยุโรป (ESA) ถูกส ่งขึ้น ไป เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1995 ชื่อ Solar and Heliospheric Observatory (SOHO) เป็น ทำหน้าที่เฝ้ามองดวงอาทิตย์ตลอด24 ชั่วโมง และที่ผ่านมาได้ ฝากผลงานไว้มากมายทั้งข้อมูลและภาพถ่าย ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำ


114 ความเข้าใจกระบวนการทำงาน พฤติกรรม โครงสร้างภายใน ชั้นบรรยากาศ และการเร่งลมสุริยะของดวงอาทิตย์ได้ดียิ่งขึ้น จากความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกบวกกับหลักฐานที่อาจจะตีความหมาย ของหลักฐานที่เก็บได้ของปฏิทินของชาวมายานั้นผิดจึงเข้าใจว่าวันสิ้นโลกเป็น วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 โดยชี้นำให้พลังงานที่เกิดขึ้นจากพายุสุริยะเป็น ตัวชักนำให้แกนโลกเกิดระเบิดขึ้น ลาวาไหลเยิ้มออกมา มีอุกกาบาตจากนอก โลกพุ่งชน ณ วันนี้วันที่ผู้เขียนพิมพ์เอกสารวันสิ้นโลกตามพระพุทธศาสนานี้อยู่ โลกยังคงอยู่แบบสบาย ๆ ซึ่งด้วยความเป็นจริงแล้วยังอีกนานมาก ๆ และทาง พระพุทธศาสนาก็กล่าวไว้เช่นนั้นในพระไตรปิฎกเล่ม 23 สัตตะสุริยะสูตร 5.4 ระบบสุริยะจักรวาลอื่น การศึกษาเรื่องต่าง ๆ ที่ดีที่สุด คือ ศึกษาจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วใน ประวัติศาสตร์หรือได้มาจากประสบการณ์ทางตรงซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “การทดลอง”แต่การทดลองเรื่องดวงอาทิตย์นั้นไม่สามารถทำได้แน่นอนใน ห้องทดลอง ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงได้หาวิธีใหม่ โดยศึกษาหาความรู้จาก ระบบสุริยะอื่น ๆ ที่อยู่ในกาแลกซี่ของเราจากการสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์ บนโลกและกล้องโทรทรรศน์ในอวกาศที่ส่งขึ้นไป จึงค้นพบระบบสุริยะอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ตามที่ได้กล่าวมานั้นระบบสุริยะจักรวาลของเราจึงไม่ได้มีอยู่ระบบ เดียวในจักรวาลนี้เท่านั้น เฉพาะแต่ในกาแลกซี่ทางช้างเผือกนี้ยังมีประมาณ 1- 2 แสนล้านดวงยังไม่รวมกับหลายล้านกาแลกซี่ในเอกภพเรา นักวิทยาศาสตร์ ตั้งทฤษฎีคำนวณหาอายุของดวงอาทิตย์ เพื่อจะทำนายพฤติกรรมของดวง อาทิตย์นี้ด้วย ทำให้นักวิทยาศาสตร์จึงต้องค้นหาหลักฐานมารองรับทฤษฎีที่ได้ คำนวณไว้นั้น


115 ในปีค.ศ. 1992 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ อเล็กซ์โวลซาน (Alex Wolszczan) ได้ค้นพบระบบสุริยะอื ่น (Extra Solar System) ด้วยกล้อง โทรทรรศน์วิทยุที่หอดูดาวอเรคิโบ เป็นระบบสุริยะที่ยังคงมีดาวเคราะห์โคจร รอบพัลซ่าที่เป็นดาวนิวตรอน (Pulsar คือ หมอกฝุ่นที่เกิดจากแกนกลางของ ดวงอาทิตย์ระเบิดออกมาก่อนที ่จะยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระขาว) ระบบพัลซ่านี้ชื่อว่า “PSR B1257+12” อยู่ห่างจากโลกประมาณ 980 ปีแสง อยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาวมีดาวเคราะห์บริวารโคจรรอบดวงอาทิตย์3 ดวง และ สำรวจพบอีกว่าดาวเคราะห์บริวารเหล่านั้นได้ถูกเผาไหม้ด้วยแรงระเบิดจาก พลังงาน Supernova ที่ระเบิดจากแกนกลางของมัน ก ่อนที่ดวงอาทิตย์ดวง นั้นจะยุบตัว จึงไม่น่ามีสิ่งมีชีวิตใดๆ เหลืออยู่ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดาว เหล ่านี้น่าจะเคยมีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะเทียบขนาดและวงโคจรรอบ ๆ ดาวฤกษ์น่าจะใกล้เคียงกับระบบสุริยะเรา จากการค้นพบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดวงอาทิตย์ของเราก็ จะเป็นแบบเดียวกัน คือเมื่อถึงระยะหนึ่งหลังจากที่ขยายตัวเป็นดาวแดงยักษ์ (Red Giant) แล้ว จะระเบิดตัวออกมาเป็นดาวนิวตรอนเช่นเดียวกันกับระบบ สุริยะที่ค้นพบนี้ดังนั้น การศึกษาระบบสุริยะนั้นจึงเสมือนการเห็นตนเองใน อีกหลายพันล้านปีต่อมาของระบบเรา ทฤษฎีที ่ใช้ในการคำนวณหาค่า พฤติกรรมต่างๆ ของดวงอาทิตย์จึงสามารถนำมาใช้ได้จากการค้นพบระบบ สุริยะที่ตายแล้วนั้น การค้นคว้ายังคงมีต่อมาเรื่อย ๆ จนพบว่ามีระบบสุริยะอื่น ๆ อีก มากมาย ในกาแลกซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เช่น ระบบสุริยะ Gliese 876 ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 15 ปีแสง , 51Pegasi (42ปีแสงจากโลก), 55 Cancri (43ปีแสงจากโลก), Upsilon And (52 ปีแสงจากโลก),70 Virginis (78 ปีแสงจากโลก) ระบบสุริยะพิเศษ HD 188753 (149 ปีแสงจากโลก) ระบบสุริยะที่ค้นพบเหล่านี้ต่างมีดาวบริวารเป็นจำนวนมาก ดวงอาทิตย์บาง


116 ดวงอยู่ในช่วงที่เป็นดาวแดงยักษ์ บางดวงกำลังใกล้ดับ และจากการศึกษาดาว เคราะห์ที่เป็นบริวารของดาวแดงยักษ์เหล่านี้พบว่ามีสภาพไม่ต่างอะไรกับผิว ดินที่ถูกเผาอย่างรุนแรง และคาดว่ายังมีคงร้อนระอุอยู่ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ระบบของเราน่าจะเป็นแบบนั้น และเราอาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยวใน จักรวาลนี้ต่อไป 5.5 อาทิตย์ลดร้อนแต่โลกร้อนขึ้น ตามหลักพุทธพจน์“ยังกิญจิสะมุทะยะธัมมังสัพพันตัง นิโรธะธัม มันติ- สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา” ดวงอาทิตย์ก็หนีไม่พ้นกฎนี้ดวงอาทิตย์จึงมีการเกิดขึ้นและดับไปเป็นของ ธรรมดา แต่การดับไปของมันก่อให้เกิดสิ่งอื่นอีก ไม่ใช่ดับเฉย ๆ เพราะมันอยู่ ในสภาพอนัตตาเช่นกัน คือ เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่มีใครสั่งการได้ด้วยการ ดับนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลกด้วย ตามกฎอิทัปปัจจยตาธรรม เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ึจึงมีเพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ด้วยเหตุนี้เมื่อดวงอาทิตย์ดับยังผลให้โลก เกิดผลด้วยเช่นกัน แต่กระบวนการดับแตกต่างจากดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์ดับ คือกระบวนการความร้อนเริ่มลดลง แต่กลับกันโลกกลับร้อนขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ขยายตัวเต็มที่เป็นดาวแดงยักษ์สมบูรณ์แบบ คาดว่า มันขยายถึงวงโคจรของดาวพฤหัส ส่วนโลกจะถูกทำลายหรือไม ่นั้น มีสอง แนวคิด แนวคิดที่หนึ่งเชื่อว่ามันจะไม่ถูกทำทายเพราะเมื่อดวงอาทิตย์มีมวล น้อยแรงโน้มถ่วงก็น้อยตาม โลกจึงอาจขยับตัวเข้าใกล้ดาวเคราะห์น้อย (ดาว เคราะห์น้อยอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส ซึ ่งมีมวลโดยรวมแล้ว มากกว่าโลก) และแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์น้อย นี้จะเป็นแรงต้านแรง ดึงดูด (Tidal Force) จากดวงอาทิตย์ที่พยายามกลืนโลกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ของมัน ส่วนอีกแนวคิดกล่าวว่ามันจะถูกดวงอาทิตย์ดูดกลืนเข้าไปด้วยแรง Tidal (เหมือนกับแรงดึงดูดน้ำขึ้น-ลงของดวงจันทร์) ให้เป็นส ่วนหนึ่งของดวง


117 อาทิตย์ในอีก7.6 พันล้านปีแต่สิ่งมีชีวิตได้หายไปหมดสิ้นก่อนหน้านั้นแล้ว คาดว่าในอีก 1 พันล้านปีจากนี้ไปโลกจะร้อนเป็นไฟ การขยายตัวของดวง อาทิตย์จะเป็นแบบค่อยๆ เป็นค่อยไป ทำให้แหล่งน้ำบนโลกจะแห้งตามลำดับ ตั้งแต่แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร ระเหยเก็บไว้ในชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิด สภาวะเรือนกระจกอย่างยิ่งยวด ถึงแม้ฝนที่ตกลงมาจะเป็นฝนกรดทำลายพืช พันธุ์ธัญญาหารทั้งหมด ตลอดทั้งดินหินต่าง ๆ เมื่อดวงอาทิตย์ขยายตัวขึ้น เรื่อย ๆ น้ำที่ระเหยกลายซึ่งตามปกติจะกลายเป็นเมฆฝนเกาะตัวเป็นไอน้ำจะ กลายเป็นธาตุของเดิม คือ ไฮโดรเจน(H) และอ็อกซิเจน (O2) จะระเหิดหายไป ในอวกาศออกนอกโลก ไม่กลับมาเป็นฝนตกอีกต่อไป เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามการขยายตัว ของดวงอาทิตย์ต่อจากนั้นผิวดินก็จะแห้งผากเมื่อปราศจากน้ำ และถูกดวง อาทิตย์เผาไหม้ความร้อนในเวลานั้นมากกว่า 3,000 ํK สามารถเผาแร่ธาตุที่มี จุดหลอมละลายต่ำ ๆ ได้สภาพของโลกเปรียบเหมือนก้อนไฟที่มีแต่ลาวาไหล เยิ้มไปทั่ว มีแต่ควันพวยพุ่งขึ้นไปในอวกาศ ดวงอาทิตย์ในเวลานั้นขยายตัว ออกไปมากที่สุดในขณะเดียวกันโลกก็ขยับตัวหนีตามเพราะแรงโน้มถ่วงของ ดวงอาทิตย์จะน้อยลงเนื่องจากมวลของมันถูกเผาไหม้หายไป ในช่วงนี้จะเป็น การต่อสู้กันระหว่างแรงโน้มถ่วงที่น้อยลงไปจากเดิมกับแรงดึงดูดที่เรียกว่า Tidal Force เป็นแรงดึงดูดแบบที่น้ำขึ้นน้ำลงของดวงจันทร์ที่มีต่อโลก จาก การคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกสู้แรงนี้ไม่ได้ในท้ายที่สุดโลกจะถูก ดูดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่าดวงอาทิตย์เมื่อขยายตัวเต็มที่จนเป็น ดาวแดงยักษ์บวมออกไปกินพื้นที่ถึงวงโคจรของดาวพฤหัสแล้วมันจะระเบิด ออกเป็นดาวแคระขาวในเวลาต่อมาเมื่อดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวแคระขาว (White Dwarf) ยังคงล้อมรอบไปด้วยดาวเคราะห์ที่เหลือรอดจากการเผาไหม้ อาจมีถึงร้อย ๆ ดวง มีวงโคจรเหนือดาวอังคารขึ้นไป


118 ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้จำลองว่าโลกเมื ่อถูกแรงดึงดูดแบบ Tidal Force ตามรูปข้างล่างนี้พลาสมาของดวงอาทิตย์จะดูดโลกเข้าเป็นส่วน หนึ่งของมัน จากการนี้นักวิทยาศาสตร์คาดว่าอีกประมาณ7 พันล้านปีต่อจาก นี้ไป จากการคำนวณของ Dr. Klaus-Peter Schröder กล่าวว่าโลกจะถูกดวง อาทิตย์ดูดกลืนด้วยแรง Tidal Force (แบบเดียวกันกับดวงจันทร์มีอิทธิพลน้ำ ขึ้น-ลงบนโลก) เมื่อมันบวมออกมาที่ระยะห่างแค่0.25 เท่าหรือเหลือแค่ 1 ใน 4 ของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ส ่วนดาวพุธและดาวศุกร์ถูก ดูดกลืนไปแล้ว 5.6 โลก (Earth) โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 3 ต่อจากดาวศุกร์ในระบบสุริยะจักรวาล เป็นดาวเคราะห์ที่เป็นหินนับว่าใหญ่ที่สุด มีอายุประมาณ 4,570 ล้านปีมาแล้ว มีดวงจันทร์เป็นโคจรเป็นดาวบริวารหนึ่งดวงและเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มี สิ่งมีชีวิตอุบัติจากการศึกษาข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ระยะห ่างระหว่าง โลกกับดวงอาทิตย์ทางวิทยาถือว่าเป็น 1 AU (หนึ่งหน่วยดาราศาสตร์) ซึ่งมี ระยะทางประมาณ 149,597,887 กิโลเมตร ความเร็วเฉลี่ยในการโคจรรอบ ดวงอาทิตย์29.78 กิโลเมตร/วินาทีมีเส้นผ่าศูนย์กลางตามแนวศูนย์สูตร ประมาณ 12,756 กิโลเมตร และตามแนวแกนเหนือใต้12,713 กิโลเมตร โลก จึงมีความแป้นไม่กลม มีความเอียงของแกนประมาณ 31.4° ความเอียงนี้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเกิดจากการที่มีอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลกในช่วง โลกเพิ่งเกิดได้ไม่นาน จึงทำให้โลกเอียงแล้วจากการชนนี้โลกได้ดวงจันทร์มา หนึ่งดวงเป็นดาวบริวาร แต่หลักฐานใหม่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไม่ได้เป็นอย่าง นั้น เพราะลักษณะการเอียงของโลกมีองศาที่เหมือนกันกับ ดาวอังคาร ดาว เสาร์และดาวเนปจูน จึงสันนิษฐานว่าดาวทั้ง 4 ดวงน่าจะมาจากกแลกซี่อื่น เช่น กาแลกซี่แอนโดรมีดา และคากการณ์ว่าอีกประมาณ 4 ล้านปีมันจะกับมา


119 ชนกันใหม่อีกครั้ง การชนครั้งก่อนทำให้โลกและดวงดาวอีกทั้ง 3 ดวงติดมาใน ระบบสุริยะของดวงอาทิตย์ โลกนับได้ว่าเป็นถิ ่นที่เดียวในเอกภพที่ค้นพบสิ ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต ที่มากที่สุดได้แก่ แบคทีเรีย พืชเป็นกลุ่มประชากรที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต อื่น ๆ เป็นอย่างมาก มนุษย์เป็นผู้อยู่อาศัยที่สำคัญที่สุดเพราะสามารถ สร้างสรรค์และทำลายโลกได้สัตว์อื่น ๆ เป็นเพียงแค่อยู่อาศัยตามปกติในการ ดำรงชีพ จากสภาพแวดล้อมทุกวันนี้ดูเหมือนว่ามนุษย์จะทำลายโลกมากกว่า สร้างสรรค์จากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเพราะผลของการนำธรรมชาติมาใช้มากเกิน ควร ปัญหาโลกร้อน Green house effect 5.6.1 โครงสร้างของโลก โครงสร้างของโลกมี2 มิติมิติของแข็งและก๊าซหรือบรรยากาศ โลก เมื่อแรกเกิดก็เกิดมาจากธาตุต่างๆ มากมายมารวมกัน ในขณะที่เกิดใหม่ๆ นั้นโลกยังร้อนระอุอยู่เมื่อ4-5 พันล้านปีล่วงมาแล้ว อวกาศเปรียบเหมือนแผ่น ผืนผ้าขนาดใหญ่คอยคลึงหมุนให้โลกใบนี้กลม โลกจึงหมุนวนไป จากการหมุน คลึงไปนี้เองโลกจึงมีสัณฐานค่อนข้างกลม และธาตุต่างๆที่หนักจะตกลงสู่ใจ กลางของก้อนวัตถุคลึงนั้น เหล็ก และนิเกิล ที่เป็นธาตุหนักจึงถูกผลักให้ไปอยู่ ที่แกนใน สังเกตลาวาที่ไหลออกมาจะมีส่วนผสมของเหล็กที่มีอยู่ถึง 80% และ นิเกิลส ่วนธาตุหนักอื่นมีส่วนน้อยจะไปรวมกับธาตุเบาลอยขึ้นบนเปลือกโลก ชั้นจึงมีสภาพเป็นแกนโลกที ่เป็นของแข็งและที ่หลอมละลายเป็นของเหลว แบ ่งออกได้เป็นแก่นชั้นใน (Inner Core) ซึ่งเป็นของแข็งอุณหภูมิ4,000- 6,000 ํK มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 พันกิโลเมตร และแก่นชั้นนอก (Outer Core) เป็นของเหลวมีอุณหภูมิประมาณ 6,000 ํK ทั้งสองส่วนนี้ จากการที่แกนของโลกมีความร้อนและความหนาแน่นไม่เหมือนกัน และแบ่งเป็นสองชั้น โดยที่แกนในเป็นของแข็งรอบแกนเป็นของเหลวจึงทำให้


120 เกิดการถ่ายเทความร้อนเกิดขึ้น แก่นโลกชั้นใน (Inner core) มีความกดดันสูง จึงมีสถานะเป็นของแข็งส่วนแก่นชั้นนอก (Outer core) มีความกดดันน้อย กว่าจึงมีสถานะเป็นของเหลวหนืด แก่นชั้นในมีอุณหภูมิสูงกว่าแก่นชั้นนอก รูปภาพที่ 34 ขั้วแม่เหล็กโลก พลังงานความร้อนจากแก่นชั้นใน จึงถ่ายเทขึ้นสู่แก ่นชั้นนอกด้วย การพาความร้อน (Convection) เหล็กหลอมละลายเคลื่อนที่หมุนวนอย่างช้า ๆ ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า และเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก โลก (The Earth’s magnetic field) 5.6.2 การสนามแม่เหล็กโลก สนามแม่เหล็กโลกจึงเกิดขึ้น เพราะแกนของโลกหมุนวนและถ่ายเท ความร้อนออกมาข้างนอก จากปรากฏการณ์นี้โลกจึงอยู่รอดปลอดภัยจากพลัง ลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ในระดับหนึ่ง กล่าวสนามแม่เหล็กโลกมีความเข้มข้น ที่พื้นผิวประมาณ 3 –6 หมื่นนาโนเทสลา และความเข้มจะค่อยๆ ลดลงเมื่อ อยู่ห่างจากผิวโลกมากขึ้น ตำแหน่งของขั้วแม่เหล็กไม่ได้อยู่นิ่งกับที่แต่จะเคลื่อนไปประมาณ 15 กิโลเมตรต่อปีเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงขนาดและ ตำแหน่งอยู่ตลอด ขั้วแม่เหล็กทั้งสองมีการเคลื่อนตัวตลอดเวลา และไม่ขึ้นแก่


121 กัน ปัจจุบันขั้วแม่เหล็กใต้อยู่ห่างจากขั้วโลกมากกว่าที่ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่ห่าง จากขั้วโลก บริเวณที่ล้อมรอบวัตถุท้องฟ้า (astronomical objects) ที่เกิดจาก สนามแม่เหล็กของตัวมันเองเรียกว่า แมกนีโตสเฟียร์(magnetosphere) โลก ของเราก็มีแมกนีโตสเฟียร์และดาวเคราะห์ที่มีสนามแม่เหล็ก(magnetized planets) อื่น ๆ เช่น ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน นอกจากนี้เทหวัตถุท้องฟ้า (celestial objects) เช่นดาวแม่เหล็กก็มีแมกนี โตสเฟียร์เช่นกัน รูปร่างลักษณะของแมกนีโตสเฟียร์ของโลกนั้น จะเป็นผลมา จากสนามแม่เหล็กโลก ลมสุริยะ และ สนามแม่เหล็กระหว่างดาวเคราะห์ ภายในแมกนีโตสเฟียร์จะมีไอออนและอิเล็กตรอนจากทั้งลมสุริยะ และชั้น บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ของโลก ซึ่งถูกกักโดยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า แนวการแผ่รังสีของแวน อัลเลน (Van Allen's Radiation belts) เป็นแนวที่มีอนุภาคถูกกักอยู่จำนวนมากแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ แนว การแผ่รังสีชั้นใน (Inner radiation belts) และ แนวการแผ่รังสีชั้นนอก (Outer radiation belts) โดยที่ชั้นนอกนั้นจะเป็นบริเวณที่อยู ่ห่างจากโลก ประมาณ 1,5 เท่าของรัศมีโลก และอนุภาคที่มีมากในบริเวณนี้คือโปรตอนที่มี พลังงานประมาณ 10-100 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์ส่วนที่ชั้นนอกนั้นเป็นบริเวณ ที่อยู่ห่างจากโลกประมาณ 2,5-8 เท่าของรัศมีโลก และอนุภาคที่พบมาเป็น อิเล็กตรอนและโปรตอนที่มีพลังงานต่ำกว่า โดยจะมีพลังงานตั้งแต่65 กิโล อิเล็กตรอนโวลต์และไม่เกิน 1 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์ นอกจากชั้นที่เป็นแกนของโลกแล้วเป็นชั้นต ่อมาคือชั้นแมนเทิล (mantle หรือ Earth's mantle) คือชั้นที่อยู่ถัดจากเปลือกโลกลงไป มีความ หนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร บางส ่วนของหินอยู่ในสถานะหลอมเหลว เรียกว่าหินหนืด(Magma) ทำให้ชั้นแมนเทิลนี้มีความร้อนสูงมาก เนื่องจาก


122 หินหนืดมีอุณหภูมิประมาณ 800-4,300°C ซึ่งประกอบด้วยหินอัคนีเป็นส่วน ใหญ่ เช่นหินอัลตราเบสิก หินเพริโดไลต์ จากชั้นนี้ถัดไปจะเป็นชั้นเปลือกโลกเป็นที่มีความหนาประมาณ 6-35 กิโลเมตร ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่อยู่ก้นมหาสมุทรมีความหนาแน่น สูงรองรับเปลือกนอกชั้นบนอีกทีหนึ่ง เปลือกโลกที่รองรับเปลือกบนจะมีความ หนามากกว่า 5.6.3 โครงสร้างของชั้นบรรยากาศโลก มีคนกล่าวว่าโครงสร้างของชั้นบรรยากาศโลกมีความหนาแน่นและ ขอบเขตเหมือนกับหมอนที่วางซ้อน ๆ กันใบบนจะพองฟูใบล่างจะแฟบแบน ราบเป็นเพราะความกดดันของอากาศ ชั้นบรรยากาศโลกถูกกดทับด้วยก๊าซต่างๆ ในแต่ละชั้นชั้นล่างสุด จะถูกทับจนแบนราบเพราะรับน้ำหนักมาก แรงกดทับที่พื้นผิวโลกมีค่าเท่ากับ 1.03 กิโลกรัมต่อตารางเวนติเมตร มีความหมายว่าทุกพื้นที่บนผิวโลกทุก ๆ 1 ตารางเซนติเมตรจะถูกรับน้ำหนักของแรงอัดนี้ประมาณ 1 กิโลกรัมเท่า ๆ กัน หมด ชั้นบรรยากาศโลกจะเป็นเหมือนกับหมอนที่คอยซึมซับสิ่งที่จะมา จากนอกโลกเช่น วัตถุแปลกปลอมต้องเสียดสีกับก๊าซในแต่ละชั้นบรรยากาศ จากที่เราเคยเห็นเมื่ออุกกาบาตหรือยานอวกาศกับมาสู่โลกจะเห็นประกายไฟ ที ่เกิดจากการเสียดสีนั้น จนนักวิทยาศาสตร์ต้องออกแบบผืนผิวของยาน อวกาศเคลือบด้วยเซรามิคกันความร้อนที่จะถึงโลหะของยาน อย่างที่สองเป็น เหมือนฟองน้ำที่คอยซึมซับไอน้ำจากพื้นดินไม่ให้หนีหายไปในอวกาศจึงเห็น เป็นก้อนเมฆแสดงให้เห็นได้เหมือนฟองน้ำ เมื่อก๊าซในบริเวณนั้นลดต่ำลง


123 เตรียมกลั่นตัวเป็นหยดน้ำฝนตกลงมาเป็นวัฏฏะจักรของน้ำบนโลกหมุนเวียน ไป สภาพอากาศของโลก คือ การถูกห่อหุ้มด้วยชั้นบรรยากาศ ซึ่งมี ทั้งหมด 5 ชั้น ได้แก่ 1. โทรโพสเฟียร์เริ่มตั้งแต่ 0-10 กิโลเมตรจากผิวโลก บรรยากาศมี ไอน้ำ เมฆ หมอกซึ่งมีความหนาแน่นมาก และมีการแปรปรวนของอากาศอยู่ ตลอดเวลา 2. สตราโตสเฟียร์เริ่มตั้งแต่10-35 กิโลเมตรจากผิวโลก บรรยากาศ ชั้นนี้แถบจะไม่เปลี่ยนแปลงจากโทรโพสเฟียร์ยกเว้นมีผงฝุ่นเพิ่มมาเล็กน้อย 3. เมโสสเฟียร์เริ่มตั้งแต่35-80 กิโลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศมี ก๊าซโอโซนอยู่มากซึ่งจะช่วยสกัดแสงอัลตร้า ไวโอเรต(UV) จาก ดวงอาทิตย์ ไม่ให้มาถึงพื้นโลกมากเกินไป 4. ไอโอโนสเฟียร์ เริ ่มตั้งแต่ 80-600 กิโลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศมีออกซิเจน จางมากไม่เหมาะกับมนุษย์ 5. เอกโซสเฟียร์ เริ ่มตั้งแต่ 600 กิโลเมตรขึ้นไปจากผิวโลก บรรยากาศมีออกซิเจนจางมาก ๆ และมีก๊าซฮีเลียมและไฮโดรเจนอยู่เป็น ส่วนมาก โดยมีชั้นติดต่อกับอวกาศ บรรยากาศที่ห่อหุ้มเหล่านี้เปรียบเสมือนเกราะกำแพงที่ช่วยป้องกัน ภัยจากนอกโลกรวมทั้งพลังสุริยะ แต่น่าเสียดายในเวลานี้ถูกมนุษย์ทำลายจน เกิดเป็นรูโหว่จากการใช้สารเคมีอันได้แก่เชื้อเพลิงน้ำมัน และสารอื่น ๆ เช่น CFC เป็นต้น สารเหล่านี้ไปทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ ทำให้แสงอาทิตย์ที่ มีรังสีเข้มข้นลงมาโดยตรงปราศจากการกรองของบรรยากาศ นอกจากนี้ชั้น


124 บรรยากาศยั้งเป็นชั้นที่ส่งผ่านความร้อนออกไปนอกอวกาศได้อีกด้วยเพื่อลด ความร้อนจากโลก ในเวลานี้ไม่สามารถทำได้ความร้อนจึงถูกสะท้อนกลับไปยัง โลก เพราะบรรยากาศศูนย์เสียความสมดุลของก๊าซบางตัวไปที่มีคุณสมบัตินี้ โลกจึงเหมือนเตาอบ สิ่งไม่เคยเกิดก็จะเกิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมโลกเพราะ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย โรคใหม่ ๆ ที ่เชื้อโรคปรับตัวให้เข้ากับอากาศที่ เปลี่ยนแปลง จะเห็นว่าคุณของบรรยากาศมีมากต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกในช่วงเวลา สุดท้ายที่ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวแดงยักษ์แล้วขยายตัว ส่งผ่านความร้อน และรังสีจำนวนมากมายังโลก ชั้นบรรยากาศจะช ่วยซื้อเวลาวันสิ้นโลกได้ อาจจะทำให้มนุษย์มีเวลามากพอที่จะคิดหาทางแก้ในวิกฤตินั้น “วันสิ้นโลก” 5.7. ระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์มากกว่าหนึ่งดวง นอกเหนือจากระบบของเรา ในปัจจุบันได้มีการค้นพบว่าดาวฤกษ์มี ตั้งแต่2 ดวงถึงหลายๆ ดวง แต่ละดวงมีการแผ่รังสีเหมือนดวงอาทิตย์ส ่วน ดาวบริวารนั้นมีความแปรปรวนสูงมากยากที่จะทำนายได้ไม่เอื้อต่อการมีชีวิต ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีความสมนัยกับสัตตสุริยสูตร จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์พบว่าในระบบสุริยะอื ่น (Extra Solar System) พบว่ามีระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์มากกว่าหนึ่งดวง และใน ระบบนี้มีดวงดาวบริวารโคจรอยู่ ได้แก่ ระบบสุริยะของดาวคู่เคปเลอร์16 ประกอบด้วยดาวแคระส้มและดาวแคระแดง ดวงแรกมีมวล0.69 เท่าของดวง อาทิตย์(ของเรา) และอีกดวงนั้นมีมวลเพียง0.2 เท่าของดวงอาทิตย์ดาวทั้ง สองจะมีดาวเคราะห์ b เป็นดาวบริวารซึ่งจะโคจรครบรอบในระนาบเดียวกัน ทุก ๆ 229 วัน


125 นอกจากนี้มีดาวฤกษ์แฝดคู่ในกลุ่มดาว Gliese 229 ที่ประกอบด้วย Gliese 229A และ B ซึ่งดาว Gliese 229B เรียกว่า Brown Dwarfs ซึ ่งนัก ดาราศาสตร์มีความเห็นว่ามันน่าจะเป็นลักษณะของ Planet (ดาวเคราะห์) มากกว่า หรืออาจจะเรียกว่าดาวเคราะห์ มากกว่าที่มาจากดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับ ว่าการฟอร์มตัวของดวงดาวนั้นว่าเป็นการฟอร์มตัวแบบดาวฤกษ์หรือแบบดาว เคราะห์ซึงนักวิทยาศาสตร์ไม่ยืนยัน แต่มีลักษณะสีสันเหมือนดวงอาทิตย์ที่ ใกล้ดับแล้ว “ดาวแคระแดงและดาวแคระน้ำตาล” นอกจากนี้ยังค้นพบว่าระบบสุริยะหนึ่งที่ดูเหมือนว่ามีดาวฤกษ์ถึง 3 ได้ว่าดาว A (HD 18106) คือดวงอาทิตย์ที่เป็นดาวแดงยักษ์ส่วนดาว B และ C เป็นดาวแดงแคระ (เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดเล็กและมีอุณหภูมิที่ผิวประมาณ 3,500 ° K - Red Dwarf) ที ่หมุนรอบดาวฤกษ์A เป็นปรากฏการณ์ที่ดวง อาทิตย์ขึ้น 3 ตามรูปภาพด้านล่าง ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชื่อว่า KELT-9b ซึ่งศาสตราจารย์สก็อต เกาดี้ จากมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ ในสหรัฐฯ ระบุว่า ถูกค้นพบตั้งแต่ปี2014 โดย ดาวดวงนี้มีอุณหภูมิสูงมากกว่า4,300 องศาเซลเซียสใกล้เคียงกับอุณหภูมิบน ดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 5,500 องศาเซลเซียส ส่วนสาเหตุที่ดาว KELT-9b มีอุณหภูมิสูงเช่นนี้เพราะต้องโคจร รอบดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักวาลของเราเกือบ 2 เท่า และมีความร้อนมากกว่า2 เท่าครึ่ง ซึ่งแสงอัลตราไวโอเลตจากดาวฤกษ์ ดวงนี้อาจทำลายชั้นบรรยากาศทั้งหมดของ KELT-9b และมีความเป็นไปได้สูง ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้จะถูกความร้อนจากดาวฤกษ์ศูนย์กลางเผาผลาญจนหมด สิ้น


126 ตามความเห็นของผู้เขียนว่ามีความเป็นไปได้ที่ดวงอาทิตย์ในระบบ สุริยะอื่นมีตั้งแต่ 2 ดวงขึ้นไปนั้น ถึงแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ฟันธงลงไปว่า มันอาจจะไม่ใช่มาจากดาวฤกษ์ก็ตาม ซึ่งอาจจะเป็นดาวเคราะห์ก็ได้เพราะ การที่มันมีอุณหภูมิประมาณ 900 องศาเคลวิน ใกล้เคียงกับดาวพุธมีอุณหภูมิ สูงสุดประมาณ 700 องศาเคลวิน เนื่องจากมันอยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากที่สุด น่าจะ เป็นกรณีเดียวกัน ดูจากตำแหน่งดาวแคะน้ำตาลนั้นก็เป็นดาวที่อยู่ใกล้ดาว ฤกษ์ที่เป็นดาวแดงยักษ์(Red Giant) เหมือนกัน อาจจะถูกดวงอาทิตย์ที่ ขยายตัวเพราะกำลังดับเผาด้วยความร้อนอย่างยิ่งยวด มันจึงมีความร้อนลุก โพลนขึ้นมา ดูเหมือนว่าส่องแสงได้เองคล้ายดวงอาทิตย์ในทำนองนั้น ถึงแม้ว่า มันจะเป็นแสงสีน้ำตาลก็ตาม ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจว่านั่น คือ ดวงอาทิตย์อีก ดวงหนึ่ง แต่ที ่น่าคิดคือมันมีความร้อนที ่ประหนึ่งดวงอาทิตย์เลย อาจจะ เรียกว่าดวงอาทิตย์ในนิยามของความร้อนก็ได้ 5.8 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดภัยพิบัติ ในวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเมื่อโลกใกล้สิ้นขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ความ ร้อนที่ผิวโลกย่อมสูงขึ้นสิ่งที่ตามมา เราอาจจะได้เห็นน้ำที่ท่วมโลกจากน้ำแข็ง ตามขั้วโลกที่ละลายลงมาสู่ทะเลมหาสมุทร ทำให้แผนที่โลกจะเปลี่ยนไป คน จะได้รับความเดือดร้อนในขั้นต้นเป็น 500 ล้านคนจากน้ำท่วม จากนั้นโลกจะถูกเผาไปเรื่อย ๆ เพราะดวงอาทิตย์ยังไม่หยุดการ ขยายตัว น้ำจะระเหยกลายเป็นไอน้ำ สภาพที่เป็นพื้นดินบนบกที่แห้งเมื่อโดน แดดเผา แร่ธาตุที่ระเหยได้ง่ายจะระเหยละลายไปในอากาศ เช่น กำมะถัน เกลือ หรือสภาพความเค็ม ทุกอย่างจะไปรวมกันในก้อนเมฆ จากนั้นเมื่อได้ โอกาส เมฆก็จะกลั่นตัวเป็นฝนตกลงมายังพื้นดิน ฝนนี้เป็นฝนกรดซึ่งเกิดจาก ปฏิกิริยาของแร่ธาตุที่ระเหยปนปนไปอยู่รวมกันในก้อนเมฆ ซึ่งฝนกรด คือ


127 น้ำฝนที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.6 โดยส่วนมากมักเกิดจากการรวมตัวกับก๊าซ 2 ชนิด คือ 1. ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ทำให้เกิดกรดซัลฟุริก (H2SO4) “กรดกำมะถัน” 2. ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ทำให้เกิดกรดไนตริก (HNO 3) “กรดดินประสิว” กรดต่าง ๆ เหล ่านี้มีอำนาจการทำลายล้างสูง สามารถกัดกร่อน โลหะทุกชนิดได้สภาพต้นไม้ใบหญ้าจะไม่เหลือ จะโดนฝนกรดกัดจนตาย แม้ ผู้คนถ้าอยู่ในช่วงนั้นต้องวิ่งเข้าที่พักหรือไม่เช่นนั้นก็ต้องประดิษฐ์เสื้อกันฝน แบบพิเศษต้านทานกรดได้ สภาพเงื่อนไขแบบนี้สมนัยกับคัมภีร์ที่กล่าวว่าโลกจะสิ้นเพราะน้ำ ดังนี้“ขณะที่ดวงอาทิตย์ดวงที่2 ปรากฏขึ้นมานั้น ในช่วงนี้โลกจะถูกความ ร้อนทำให้น้ำระเหย แล้วกลายเป็นไอน้ำกลับตกมาบนโลกอีกครั้ง แต่การ กลับมาเป็นฝนตกบนโลกนั้นฝนจะเป็นฝนกรด กัดเซาะโลกและสิ่งต่าง ๆ กล่าวว่า “. . . ก็มีมหาเมฆน้ำกรดนั้น ทีแรกก็ตกเป็นฝอยๆ แล้วตกเป็นสาย ธารใหญ่จนเต็มแสนโกฏิจักรวาลโดยลำดับ แผ ่นดินและภูเขา เป็นต้น อัน น้ำกรดถูกต้องแล้ว ก็ละลายไป . . . เหมือนก้อนเกลือใส่ลงไปในน้ำ” เมื่อโลกก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากดวงอาทิตย์ที่ได้ขยายอย่างต่อเนื่อง ความร้อนที่โลกได้รับจะทวีตาม น้ำตามแหล่งน้ำจะค่อยๆ เหือดแห้งหายไป และจะไม่กลับมาตกอีกเพราะบรรยากาศของโลกถูกทำลายอันเนื่องมาจาก คลื่นความร้อนอันมหาศาลได้ทำลายชั้นบรรยากาศที่มีก๊าซต่าง ๆ ผู้เขียนมี ความเห็นว่าปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับพระสูตรที ่กล่าวถึงปฏิกิริยาของ แหล่งน้ำที่แห้งเหือดไป การเหือดแห้งไล่ลำดับไปตั้งแต่แหล่งน้ำเล็ก เช่น น้ำใน


128 ลำห้วย ลำคลองที่มีขนาดเล็กไปถึงแหล่งน้ำขนาดใหญ่ มหาสมุทร ตามตาราง เปรียบเทียบดังนี้ ดวงอาทิตย์ใหม่ สัตตสุริยสูตร แหล่งน้ำบนโลกปัจจุบัน ดวงที่ 2. น้ำในแหล่งน้ำ แห้ง แม่น้ำน้อย หนองน้ำทุกแห่ง ระเหยเหือดแห้ง ไม่มีน้ำ ห้วยหนอง คลอง บึง สระน้ำ ดวงที่ 3. น้ำในแม่น้ำแห้ง แม่น้ำสายใหญ่คงคา, ยมนา, อจิรวดี, สรภู, มหี แม่น้ำคงคา, แยงซี, โขง, ไนล์ เจ้าพระยา แม่น้ำอเมซอน ดวงที่ 4. น้ำในแหล่งน้ำ ขนาดใหญ่แห้ง แหล่งน้ำใหญ่ ๆ ที่เป็นแดน ไหลมารวมกันของแม ่น้ำ ใหญ่ ๆ เหล่านี้คือ สระ อโนดาดสระสีหปปาตะ สระรถ การะ สระกัณณมุณฑะ, สระ กุณาลา สระฉัททันต์สระ มันทากินี แหล่งน้ำขนาดใหญ่บนโลก :- บึง บอระเพ็ด(ไทย), ทะเลสาบเจนีวา (สวิสเซอร์แลนด์), ทะเลสาบล็อก เนสส์(อังกฤษ),ทะเลสาบสุพีเรีย (อเมริกา), ทะเลสาบมิชิแกน (อเมริกา) ดวงที่ 5. น้ำในมหาสมุทร แห้ง น้ำในมหาสมุทรลึก 100 โ ย ช น์, 200 โ ย ช น์, 300 โยชน์, 400 โยชน์, ...โยชน์ และ 700 โยชน์ได้งวดแห้ง ลงไป มหาสมุทรทั้ง 5 อ า ร ์ ก ติ, แอตแลนติก, อินเดีย, แปซิฟิก มหาสมุทรใต้ ตารางที่ 1 เปรียบเทียบแหล่งน้ำในปัจจุบัน


129 จากตารางข้างบนทำให้ดูว่าแหล่งน้ำในพระสูตรมีความเป็นไปที่สม นัยกัน ซึ่งครั้งพุทธกาลนั้นอาจจะมีชื่อต่างกัน แต่ที่คงไว้เช่นแม่น้ำ คงคา อจิร วดีซึ่งยังคงมีอยู่ ส่วนสระนั้นค่อนข้างจะเป็นไปในทางภพอื่น เช่น สระ อโนดาต อยู่ในระหว่างภูเขาทั้ง 5 คือ สุทัสนกูฏ จิตรกูฏ กาฬกูฏ คันธมาทน กูฏ และเกลาสกูฏ เป็นภูเขาที่ยังสรุปไม่ได้ในโลกนี้แต่ถ้าสรุปโดยความหมาย ว่าเป็นสระขนาดใหญ่ ซึ่งสระอโนดาตมีขนาดเท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลาง 150 โยชน์(240 กิโลเมตร) และลึก 50 โยชน์(80 กิโลเมตร) คงอาจเทียบได้กับ ทะเลสาบขนาดใหญ่ได้ เมื่อน้ำบนโลกแห้งหมดแล้วเหลือเพียงผืนดินที่แห้งผาก น้ำที่แทรก ตัวอยู่ในเนื้อดินหรือแร่ธาตุต่าง ๆ เมื่อโดนความร้อนเผาไหม้จะระเหยออกมา เป็นไอน้ำ แล้วเมื่อความร้อนระอุมากขึ้นเรื่อย ๆ แผ่นดินก็จะถูกเผากลายเป็น ลาวาหินเหลวร้อน จากนั้นโลกจะถูกดูดเผาเข้าไปในดวงอาทิตย์เมื่อเทียบใน สัตตสุริยสูตรจะเห็นได้ว่ามีความสมนัยกันดังนี้ ดวงอาทิตย์ใหม่ สัตตสุริยสูตร วิทยาศาสตร์ ดวงที่ 6 ดินโดนเผา แผ ่นดินใหญ ่นี้และขุนเขาสิเนรุ ย ่ อม มี ก ล ุ ่ ม ค วัน พ ว ย พ ุ ่ง ขึ้ น เหมือนกับนายช ่างหม้อเผาหม้อที่ เขาปั้นดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพวย พุ่งขึ้น น้ำที ่แทรกตัวอยู ่ในดิน และแร่ธาตุต่างระเหย ออกมาเมื่อถูกความร้อน เผาไหม้


130 ดวงที่ 7 โลกโดนเผาไหม้ หายไปในอวกาศ แผ ่นดินใหญ ่นี้และขุนเขาสิเนรุ เกิดไฟลุกโชน มีแสงเพลิงเป็นอัน เดียวกัน เมื ่อแผ ่นดินใหญ ่นี้และ ข ุนเขาสิเนร ุถูกไฟเผาผลาญอยู่ เปลวไฟถูกลมพัดขึ้นไปจนถึงพรหม โลก เมื ่อขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผาไหม้ กำลังพินาศถูกกองเพลิงใหญ่เผาทั่ว ตลอดแล้ว ยอดเขาแม้ขนาด 100 โยชน์200 โยชน์300โยชน์400 โยชน์500 โยชน์ย่อมพังทลาย เมื่อแผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุ ถูกไฟเผาผลาญอยู่ ขี้เถ้าและเขม่า ย่อมไม่ปรากฏ เมื ่อเนยใสหรือ น้ำมันถูกไฟเผาผลาญอยู่ ขี้เถ้าและ เขม่าย่อมไม่ปรากฏ ฉันใด เมื่อ แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุถูก ไฟเผาผลาญอยู่ ขี้เถ้าและเขม่า ก็ ย่อมไม่ปรากฏ ฉันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ขยายถึง วงโคจรของโลก โลกจะ ถูกดึงดูดให้เข้าไปในดวง อาทิตย์เมื่อนั้นโลกทั้งใบ จ ะ ถ ู ก เ ผ า ไ ห ม ้ ใ ห้ กลายเป็นจุล ไม ่เหลือ แม้แต่เศษแร่ธาตุ ที่ตรง นั้นจะเป็นอวกาศที่ว่าง เปล่า ปราศจากโลกอีก ต่อไป ตารางที่ 2 โลกโดนเผาไหม้ จากตารางเปรียบเทียบตามที่กล่าวมานั้นเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่6 จะ เป็นการเผาดินทำให้ไอน้ำที่แทรกตัวอยู่ในช่องว่างระหว่างดินระเหยออกมา ซึ่งตรงกับสารัตถทีปนีก็กล ่าวไว้เช่นกันว่า อาโปธาตุที่ยึดธาตุดินไว้ถูกความ ร้อนแล้วระเหยแห้งไป


131 5.9 สัตตสุริยสูตรคือดวงอาทิตย์เสมือน 5.9.1 ดวงอาทิตย์เผาดวงดาวทีละดวง จากการศึกษาและคำนวณทางวิทยาศาสตร์นักวิทยาศาสตร์ทำนาย ว่าโลกจะถูกดวงอาทิตย์ที่ขยายตัวช่วงเป็นดาวแดงยักษ์ในอีกประมาณ 12,000 ล้านปีดูดและเผาไหม้ซึ่งโลกในช่วงนั้นมีวงโคจรใกล้เคียงกับดาวอังคาร เพราะมันได้ค่อย ๆขยับหนีดวงอาทิตย์ที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยลง แต่ก็ยังหนีไม่พ้น อัตราการขยายตัวของดวงอาทิตย์ที่บวมขึ้น ในขั้นตอนของการขยายตัวของดวงอาทิตย์นี้ผู้เขียนมีความเห็นว่ามี ความสมนัยกับ สัตตสุริยะสูตรเหมือนกัน กล่าวคือ เหตุผลที่1. ดวงอาทิตย์ที่เห็นใหม่นั้นแท้จริงเป็นดาวเคราะห์ที่ถูก ดวงอาทิตย์เผาไหม้กำลังรอการถูกดูดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ เหตุผลที่ 2. มีดาวฤกษ์บางดวงในระบบสุริยะอื่น ๆ ที่ นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าเป็นดาวแคระสีน้ำตาล ซึ่งยังมีประเด็นว่าแท้จริงอาจจะ เป็นดาวเคราะห์ที่ถูกหลอมละลายก็ได้เช่น ในกลุ่มดาว Gliese 229 ที่เห็นว่า มีดวงอาทิตย์ถึง 3 ดวง ซึ่งอาจจะมีเพียงดวงเดียว ส ่วนดาวแคระที่เห็นเป็นสี น้ำตาลอาจจะเป็นดาวเคราะห์ที่ถูกเผาไหม้จากดาวแดงยักษ์Gliese 229A ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าดวงอาทิตย์ที่กล่าวไว้ ในสัตตสุริยสูตร จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ที่ดาวเคราะห์ถูกเผา แล้วดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่ใกล้ดับแล้ว ส่วนความร้อนที่เผาโลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ปริมาณความร้อนที่ดาวเคราะห์วงในได้รับต้องมีอย่างมหาศาล แม้กระทั่งเมื่อดวงอาทิตย์ของเรากลายเป็นดาวแดงยักษ์(ดวงอาทิตย์ของเรามี มวลไม่มากพอที่จะกลายเป็นหลุมดำ - Black Hoe) ยังมีอุณหภูมิที่ผิวเปลือก


132 นอกประมาณ 5,000 ํK จึงนับว่ายังมีความร้อนสูงอยู่ที่สามารถละลายของ สสารของแข็งบนโลกได้หมด รูปภาพที่ 35 ดาวเคราะห์ชั้นในและชั้นนอก ในทำนองเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังได้ทำการศึกษาพฤติกรรม ของดวงอาทิตย์จากระบบสุริยะอื ่น ๆ อีก โดยเฉพาะที่อยู่ในกาแลกซี่ทาง ช้างเผือกของเรา (Milky Way Galaxy) ขณะนี้มีการค้นพบระบบสุริยะอื่น ๆ ได้กว่า 200 ระบบ การค้นพบนั้นทำให้ว่าที่ผิวของดวงดาวบริวารของระบบ สุริยะเหล่านั้น ได้มีร ่องรอยของการถูกเผาไหม้เกรียมจากดวงอาทิตย์ที่กำลัง หมดแรงลง ในขณะนี้ได้กลายเป็นดาวแดงยักษ์ไปแล้ว


133 รูปภาพที่ 36 ระยะห่างของดาวเคราะห์จากดวงอาทิตย์ บางระบบสุริยะดวงอาทิตย์ก็หดเหลือขนาดที่เล็กลงกว่าเดิมหลาย ร้อยเท่า บางทีแห่งเล็กกว่าดาวเคราะห์ไปด้วยซ้ำ แต่ยังมีอิทธิพลดึงดูดดาว เคราะห์บริวารนั้นอยู ่เพราะว่ายังคงมีน้ำหนักมากกว่าดาวเคราะห์บริวาร เหล่านั้น ดาวเคราะห์จึงดูเหมือนลูกบอลก้อนแดง ๆ ลอยเคว้งในอวกาศ หมุนเวียนรอบ ดวงอาทิตย์ที่ดับลงไปแล้ว และจากการคำนวณทำให้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าดาวเคราะห์ชั้นในของระบบเราก็จะพบชะตากรรม เช่นเดียวกัน ว่าน่าจะถูกดวงอาทิตย์เผาไหม้เป็นลูกบอลแดงๆ ลอยไปมาบน ท้องฟ้า ในยามค่ำคืนจะเห็นได้ชัดเจนมาก ดาวพุธและดาวศุกร์ซึ่งตามปกติจะ เห็นเป็นแสงสกาวสดใสบอกทิศทางแก ่ผู้คนที่ใช้ดวงดาวเป็นร ่องนำทางก็จะ เปลี่ยนเป็นเห็นเสมือนดวงอาทิตย์แทน จึงอาจกล่าวว่าดวงอาทิตย์ที่ลุกโชนขึ้น ในความมืดมิด ทำให้กลางคืนของโลกในช่วงเวลานั้นแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ได้เลย เพราะมีแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นลงสลับกันไปมาทั้งกลางคืนและกลางวัน ทำไมจึงต้องเป็นดาวเคราะห์วงในที่ต้องถูกเผาแล้วติดไฟได้เพราะ ดาวเคราะห์ชั้นในนั้นจัดว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีพื้นผิวแข็ง ซึ่งส่วนดาวเคราะห์


134 ชั้นนอก ๆ จะมีพื้นผิวจะเป็นก๊าซดังนั้นเมื่อเป็นของแข็งจึงทำให้เผาไหม้คง สภาพอยู่ได้นาน จากการที่ดวงอาทิตย์ขยายตัวและไปเผาดาวเคราะห์ชั้นในนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่ามีความสอดคล้องกับดวงอาทิตย์ขึ้นถึง 7 ดวง กล ่าวคือ จำนวนดาวเคราะห์ที่เป็นสภาพของแข็ง จะเรียงได้ตามนี้คือ ดาวเคราะห์ชั้นในที่กลายเป็นดวงอาทิตย์เสมือนเพราะถูกเผาไหม้ ประกอบด้วย :- ดวงอาทิตย์ดวงที่2. ดาวพุธ ดวงอาทิตย์ดวงที่3. ดาวศุกร์ ดวงอาทิตย์ดวงที่4. ดาวอังคาร ดวงอาทิตย์ดวงที่5. ดวงจันทร์ของโลก ดวงอาทิตย์ดวงที่6. ดวงจันทร์โฟบัสของดาวอังคาร ดวงอาทิตย์ดวงที่7. ดวงจันทร์ดีมอสของดาวอังคาร เมื่อนับรวมกันได้เป็น 6 ดวง เมื่อรวมกับดวงอาทิตย์จะครบ 7 ดวง พอดีจากการวิเคราะห์นี้จะเห็นร่องรอยความหมายของดวงอาทิตย์ทั้ง 7 ดวง ในพระสูตร “สัตตสุริยสูตร” พระไตรปิฎกเล่มที่23 จากรูปข้างล่างเป็นความเห็นของผู้เขียน สื่อให้เห็นชัดด้วยภาพว่า ลักษณะการเกิดของดวงอาทิตย์ทั้ง 7 ในพระสูตรมีความสอดคล้องกับ พฤติกรรมของดวงอาทิตย์ที่จะดับในแต่ระยะๆ ไป ซึ่งเป็นขั้นตอนของการ ขยายตัวของมัน ยิ่งขยายตัวเท่าไหร ดาวที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะร้อนและถูกเผาพร้อม ทั้งดูดเอาดวงดาวเคราะห์ดวงนั้นแต่ละดวงไล่ลำดับไปเรื่อยๆ จนถึงโลก ซึ่ง โลกก็ขยับตัวหนีอออกมา เพราะเมื่อมวลของดวงอาทิตย์เบาลงแรงโน้มถ่วงก็ น้อยตาม และในเวลานั้นโลกปราศจากสิ่งมีชีวิตแล้ว ในระหว่างที่ดวงอาทิตย์ ขยายตัว วงโคจรอาจจะใกล้เคียงกับวงโคจรดาวของดาวอังคารดาวอังคารมี มวลขนาด 6.418 x 1023 กิโลกรัมหรือ 0.107 ของโลก ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าโลก


135 ถึงสิบเท่า ผลกระทบต่อแรงโน้มถ่วงที่น้อยลงไปของดวงอาทิตย์จึงมีผลไม่มาก เท่ากับโลกที่มีมวลมากกว่าสิบเท่า เนื่องจากดาวอังคารไม่มีบรรยากาศปกป้อง เหมือนโลก จึงไม่มีความต้านทานพลังเพลิงสุริยะ โอกาสในการถูกเผาไหม้มี มากกว่าโลก ดวงอาทิตย์ไม่หยุดขยายตัวนักวิทยาศาสตร์ทำนายว่ามันจะ ขยายตัวกินถึงวงโคจรของดาวพฤหัส ดังนั้นโลกจึงถูกเผาแล้วผนวกเข้าเป็น ส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ รูปภาพที่ 37 ดาวเคราะห์ที่ถูกดวงอาทิตย์เผาไหม้ ในช่วงท้ายที่สุดของโลกจากข้อความในพระสูตร “...เมื่อ แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขา สิเนรุถูกไฟเผาผลาญอยู่ ขี้เถ้าและเขม่าย ่อมไม่ ปรากฏ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเนยใสหรือ น้ำมันถูกไฟเผาผลาญอยู่ ขี้เถ้าและ เขม่าย่อมไม่ปรากฏ ฉันใด เมื่อแผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผาผลาญ อยู่ขี้เถ้าและเขม่า ก็ย่อมไม่ปรากฏ ฉันนั้น” ท่านเปรียบเสมือนกับผืนแผ่นดิน


136 ที่ถูกเผาเหมือนเนยใส เมื่อถูกเผาจะหายไปในอากาศทันทีไม่มีแม้กระทั่งควัน ไฟและผงเถ้า ระยะใกล้ขึ้น: นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่ามันจะขยายตัวเป็น 100 เท่าของในปัจจุบันในอีก 1 พันล้านปีจากรัศมีเดิมอยู่ที่ประมาณ 696,000 กิโลเมตร เมื่อมีการขยายตัวเป็น 100 เท่าจะมีรัศมีเป็น 69,600,000 กิโลเมตร ขยับใกล้เข้ามาดาวบริวารมากขึ้นอีกประมาณ 68,904,000 กิโลเมตร จะเห็น ได้ว่าดวงอาทิตย์ในเวลานั้นจะอยู่ห่างจากดาวศุกร์ เพียงประมาณ 40 ล้าน กิโลเมตร ส่วนดาวพุธถูกดูดอย่างแน่นอนเพราะรัศมีของดวงอาทิตย์เลยระยะ โคจรไปมาก รูปภาพที่ 38 ดวงอาทิตย์อีก 1 พันล้านปี ความร้อนมากขึ้น: นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคำนวณอีกว่า ความร้อนที่ผิวนอกของดวงอาทิตย์จะสว่างมากกว่าเดิมถึง 200 เท่ากว่าใน ปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อเอาเงื่อนไขของระยะทางที่ดวงอาทิตย์ขยายตัว บวกกับกับ เงื่อนไขของดวงอาทิตย์จะสว่างและร้อนมากขึ้นเป็น 200 เท่าของในปัจจุบัน ในเวลานั้น


137 จึงพออนุมานได้ว่าโลกและดาวเคราะห์วงในเหล่านั้นต้องมีอุณหภูมิ สูงขึ้นกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 200 เท่ากว่าในปัจจุบัน ผู้เขียนเปรียบเทียบอุณหภูมิที่ นับว่าเย็นที่สุดประมาณ – 40 °C ก็จะเพิ่มเป็น 6,000 °C ซึ่งสามารถทำให้ สสารในโลกนี้สลายได้ในทันทีเพราะจะถูกเผาไปด้วย เนื่องจากอุณหภูมิที่สูง มากถึง 5,000 °K หรือ 4,700 °C ย่อมเผาสสารที่เป็นของแข็งให้หลอมละลาย เป็นไอในทันทีจากข้อมูลจุดหลอมเหลวของของแข็งสูงสุดได้แก่คาร์บอนด์ใน รูปของ Graphite จะอยู่ที่ประมาณ 3,675 °C ส ่วนเหล็กจุดหลอมเหลว ประมาณ 1,600 °C จึงเป็นเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสสารในโลกนี้เมื่อดวงอาทิตย์ขยายตัวกินอาณา บริเวณครอบคลุมมาถึงเขตแดนของโลกแล้วและมันดึงดูดโลกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ มัน ซึ่งในขณะนั้นโลกจะถูกเผาเป็นจุนแน่นอน เพราะแม้แต่ขี้เถ้าของสสารทั้งหลายซึ่ง เป็นธาตุคาร์บอน (C) ก็ถูกเผาในอุณหภูมิที่มากกว่าจุดหลอมเหลวของคาร์บอน จากพระสูตรกล่าวว่าน้ำในมหาสมุทรนั้นแห้งขอดแล้วไม่มีฝนตกลงมาใน เวลานั้น จนกินระยะเวลานานมากเพราะน้ำซึ่งประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและธาตุ ออกซิเจนถูกความร้อนอันมหาศาลได้ทำลายโครงสร้างโมเลกุลของน้ำให้ออกจากกัน เป็นธาตุเดี่ยวตามเดิมคืนสู่ธรรมชาติและนอกจากนี้ธาตุทั้งสองตัวเมื่อแยกออกจากกัน เมื่อไหร่จะเป็นผลดีต่อพระเพลิงเพราะธาตุไฮโดรเจนจะกลายเป็นเชื้อเพลิงเสียเองส่วน ธาตุออกซิเจนกลายเป็นธาตุที่ช่วยในการเผาไหม้ไปให้ดียิ่งๆขึ้น นี้จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมไฟถึงทวีความรุนแรงและไม่มีไอน้ำเพียงพอที่จะกลายเป็นฝนกลับมาตกบนพื้นโลก อีกและการแยกออกของโมเลกุลของน้ำได้เป็นธาตุทั้งสองนี้จะเป็นก๊าซจึงสามารถลอย ขึ้นไปในอวกาศนอกโลกได้ซึ่งณเวลานั้นบรรยากาศโลกมีน้อยเต็มที 5.9. 2 ดวงอาทิตย์อยู่ครบเจ็ดหรือทีละดวง จากการศึกษาทางดาราศาสตร์ค้นพบว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขยายตัว ออกไปนอกจากจะทำให้ดาวเคราะห์ที ่อยู่ใกล้ๆ ถูกเผาแล้ว มันยังดึงดูด


Click to View FlipBook Version