เอกสารประกอบการสอน
161311 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 3(2-2-5)
Learning Measurement and Evaluation
ดร.วรรณากร พรประเสริฐ
สาขาวิชาการศึกษา วทิ ยาลยั การศึกษา
มหาวิทยาลยั พะเยา
2563
คำนำ
เอกสารประกอบการสอน 161311 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (Learning
Measurement and Evaluation) ผู้เขียนได้เรียบเรียงขึ้นและใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนใน
รายวิชาชีพครูบังคับ สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 3 ภาคการศึกษาต้น เพื่อ ให้นิสิตมีความรู้
ความสามารถทางด้านการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ซึง่ เนือ้ หาในเอกสารประกอบการสอน
ประกอบด้วย ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา รูปแบบของ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การวัดด้านพทุ ธพิ สิ ัย การสร้างแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์
ข้อสอบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และการปรับปรุงข้อสอบ การสร้างเครื่องมือวัดผลด้าน
จิตพิสัย การสร้างเครื่องมือวัดผลด้านทักษะพิสัย คะแนนและการตัดสินผลการเรียนรู้ และ
การสร้างเครื่องมือวัดผลออนไลน์ (e-Testing)
เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ผู้เขียนได้เรียบเรียงความรู้จากการศึกษาหนังสือ
ตำรา บทความวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดจาก
คณาจารย์ ทั้งนี้เนื้อหาของเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ นอกจากจะตรงตามหลักสูตร
การศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 255 7 แล้ว ยังมุ่งให้เกิด
ประโยชน์สำหรับการศึกษาค้นคว้า อ้างอิง สำหรับนิสิตและบุคลากรทางการศึกษา และ
ผู้เกีย่ วข้องกับการวัดและประเมินผลทางการศึกษาอีกด้วย
ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ นพรัก คณบดีวิทยาลัย
การศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา ที่ให้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานวิชาการ รวมท้ัง
นักวิชาการต่าง ๆ ที่ผู้เขียนได้นำผลงานมาใช้อ้างอิง ตลอดจนอาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์
ประสาทวิชาความรู้ ทำให้ผู้เขียนมีความรู้และสามารถถ่ายทอดความรู้ทางด้านการวัดและ
ประเมินผลให้กับผู้อื่นได้ ดังเช่นทุกวันนี้ และท้ายที่สุด คุณประโยชน์ที่ได้จากเอกสารประกอบ
การสอนเล่มนี้ ผู้เขยี นขอมอบให้บิดามารดา ครูอาจารย์ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาและสนับสนุน
ให้ผู้เขียนได้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และขอบคณุ กำลังใจจากครอบครัวอนั
เป็นที่รกั และหากเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับ
และยินดีรับข้อเสนอแนะไปพิจารณาปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป
ดร.วรรณากร พรประเสริฐ
มถิ ุนายน 2563
สารบัญ
เรือ่ ง หน้า
แผนการสอนประจำบทที่ 1.............................................................................................. 1
บทที่ 1 ความร้พู ืน้ ฐานเก่ยี วกับการวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา.................. 3
คำศัพท์ทีเ่ กี่ยวข้องกับการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา.......................... 3
ธรรมชาติของการวัดผลทางการศึกษา......................................................... 10
ลกั ษณะของการวดั ผลทางการศกึ ษา………………………………………………………….… 13
มาตราการวดั ผล……………………………………………………………………………………….….. 14
ขอ้ ควรคำนึงเกีย่ วกบั การวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา…………………...…. 16
คุณธรรมของนกั วดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา………………………..……….…. 18
หลักการวดั ผลทางการศกึ ษา……………………………………………………………………..….. 19
ประโยชน์ของการวัดผลและประเมินผลทางการศกึ ษา.................................... 21
บทสรุป.......................................................................................................... 23
แบบฝึกหดั ท้ายบท......................................................................................... 23
เอกสารอ้างองิ ................................................................................................ 25
แผนการสอนประจำบทที่ 2............................................................................................. 27
บทที่ 2 รูปแบบของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21....................... 29
การประเมินผลการเรียนรู้ทเ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญ…………………………………………… 29
บทบาทของการประเมินผลการเรียนรู้............................................................ 34
ประเภทของการวดั และประเมินผล.................................................................. 35
รูปแบบของการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21.......................... 42
บทสรปุ ....................................................................................................... 49
แบบฝึกหดั ท้ายบท....................................................................................... 50
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................. 52
สารบัญ (ต่อ)
เรือ่ ง หนา้
แผนการสอนประจำบทที่ 3............................................................................................. 53
บทที่ 3 การวัดดา้ นพทุ ธิพิสัย (Cognitive Domain)……………………………………………….……. 55
การจำแนกพฤติกรรมทางการศึกษา............................................................ 55
ความหมายและการวัดด้านพุทธิพิสยั แบบเดิมและแบบใหม่........................... 56
จดุ ม่งุ หมายทางการศกึ ษา........................................................................... 70
ความหมายและลกั ษณะของจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม………………………………… 71
การเขยี นจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมด้านพุทธพิ สิ ัย………………………………………… 75
บทสรปุ ........................................................................................................ 82
แบบฝึกหดั ท้ายบท........................................................................................ 82
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................. 85
แผนการสอนประจำบทที่ 4............................................................................................. 86
บทที่ 4 การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน......................................... 88
ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน……………………………….. 88
ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน...................................... 89
หลักในการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน................................ 94
การวเิ คราะห์หลกั สตู รเพ่อื เขยี นข้อสอบ........................................................ 111
บทสรุป........................................................................................................ 119
แบบฝึกหดั ท้ายบท...........................................................................................120
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................. 120
แผนการสอนประจำบทที่ 5.............................................................................................. 121
บทที่ 5 การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน.............. 123
ลักษณะของเครื่องมือวดั ผลที่ดี.................................................................... 123
หลกั การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
แบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์....................................................................... 125
สารบญั (ต่อ)
เรื่อง หน้า
บทที่ 5 การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน............ 123
ความตรง (Validity) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
แบบอิงกลุม่ และอิงเกณฑ.์ ..................................................................... 126
ความยาก (Difficulty) และอำนาจจำแนก (Discrimination) ของ
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน แบบอิงกล่มุ และอิงเกณฑ.์ ....... 136
ความเทีย่ ง (Reliability) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
แบบอิงกลมุ่ และอิงเกณฑ.์ .................................................................... 144
ความเปน็ ปรนัย (Objectivity) ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน.... 154
บทสรุป....................................................................................................... 155
แบบฝึกหดั ท้ายบท......................................................................................... 156
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................... 158
แผนการสอนประจำบทที่ 6.............................................................................................. 159
บทที่ 6 การวิเคราะห์ขอ้ สอบดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์และการปรบั ปรงุ
ข้อสอบ............................................................................................................. 161
การวเิ คราะห์คุณภาพของขอ้ สอบด้วย Microsoft Excel………………………………… 161
การวเิ คราะห์คุณภาพของขอ้ สอบด้วย Tap Test Analysis Program...................164
บทสรุป........................................................................................................ 178
แบบฝึกหดั ท้ายบท....................................................................................... 179
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................. 180
แผนการสอนประจำบทที่ 7.............................................................................................. 181
บทที่ 7 การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดผลด้านจิตพิสยั (Affective Domain)…………………………….183
ความหมายของจิตพสิ ยั ............................................................................... 183
ระดบั ของพฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ัย.................................................................... 184
การจดั จำแนกพฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ยั ............................................................. 188
สารบัญ (ต่อ)
เรือ่ ง หนา้
บทที่ 7 การสร้างเคร่ืองมือวดั ผลด้านจิตพิสยั (Affective Domain)………………………….. 183
ธรรมชาติของพฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ัย……………………………………………………………. 189
จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ัย........................................................... 190
เครือ่ งมือวัดพฤตกิ รรมด้านจติ พิสัย.............................................................. 191
บทสรปุ ....................................................................................................... 218
แบบฝึกหดั ท้ายบท......................................................................................... 219
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................... 220
แผนการสอนประจำบทที่ 8............................................................................................. 222
บทที่ 8 การสรา้ งเครอ่ื งมือวดั ผลดา้ นทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain)............. 224
ความหมายของทกั ษะพสิ ยั …………………………………………………………………………….. 225
ระดับของพฤตกิ รรมด้านทกั ษะพสิ ยั .............................................................. 226
ธรรมชาติของพฤตกิ รรมด้านทกั ษะพสิ ัย....................................................... 228
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมด้านทกั ษะพสิ ยั ..................................................... 229
การประเมินภาคปฏิบัติ (Performance Assessment)...................................... 230
การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment)................................ 235
การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment)............................................. 243
เกณฑ์การประเมินหรือแนวทางในการให้คะแนน (Rubrics)............................. 247
บทสรปุ ........................................................................................................ 249
แบบฝึกหดั ท้ายบท....................................................................................... 250
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................. 252
แผนการสอนประจำบทที่ 9............................................................................................. 253
บทที่ 9 คะแนนและการตดั สนิ ผลการเรียนรู้.............................................................. 255
ความเขา้ ใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกบั คะแนน.............................................................. 255
คะแนนมาตรฐานซี (Z-score) และคะแนนมาตรฐานที (T-score)…………………. 257
สารบญั (ตอ่ )
เรือ่ ง หน้า
บทที่ 9 คะแนนและการตัดสนิ ผลการเรียนรู้…………………………………………………………………..255
ความเขา้ ใจเบื้องต้นเกี่ยวกบั เกรด………………………………………………………………….. 260
การตดั เกรดหรือการให้ระดับผลการเรียน.......................................................262
วธิ ีการตดั เกรด............................................................................................ 262
บทสรุป....................................................................................................... 272
แบบฝึกหดั ท้ายบท......................................................................................... 273
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................... 274
แผนการสอนประจำบทที่ 10............................................................................................ 275
บทที่ 10 การสร้างเครอ่ื งมือวดั ผลออนไลน์ (e-Testing)……………………………………………. 277
คณุ สมบัติของ Google Forms……………………………………………………………………….. 277
ประโยชน์ของการใช้เครือ่ งมือวดั ผลออนไลน์.................................................. 278
แนะนำการใช้งาน Google Forms.................................................................. 278
ขนั้ ตอนการสร้างเครือ่ งมือวัดผลออนไลน์ ด้วย Google Forms...................... 280
วธิ ีการสร้างเครือ่ งมือวัดผลออนไลน์............................................................ 280
บทสรุป........................................................................................................ 292
แบบฝึกหดั ท้ายบท....................................................................................... 292
เอกสารอ้างองิ ............................................................................................. 292
บรรณานกุ รม..................................................................................................................... 293
สารบัญตาราง
ตาราง หนา้
1 ตวั อยา่ งองค์ประกอบของการวัดผล………………………………………………………………….. 5
2 ตวั อยา่ งองคป์ ระกอบของการประเมินผล………………………………………………………….. 8
3 ขน้ั ตอนสำคญั ตามแนวคดิ พ้ืนฐานและขนั้ ตอนสำคัญของการวดั ผล
และประเมินผล…………………………………………………………………………………………….. 29
4 วธิ ีการและตวั อยา่ งเครื่องมือทีน่ ิยมใช้……………………………………………………………….. 33
5 ความแตกต่างระหว่างการวัดและประเมินผลแบบอิงกลมุ่ และอิงเกณฑ์……………. 40
6 ขอ้ ดีและขอ้ จำกดั ของการวดั และประเมนิ ผลแบบองิ กลมุ่ และอิงเกณฑ์............... 42
7 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้แบบเดิมกบั การวดั และประเมินผล
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21…………………………………………………………………………… 42
8 การเปรียบเทียบรปู แบบการประเมนิ ผลการเรียนรู้ดงั้ เดมิ และการประเมินผล
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21…………………………………………………………..………………… 48
9 ความสมั พนั ธข์ องมิติด้านความรู้ และมิติกระบวนการทางปญั ญา……………………… 59
10 คำกริยาที่บง่ ชกี้ ารกระทำของพทุ ธพิ สิ ัย ด้านจำ (Remember)………………………….. 76
11 คำกริยาที่บ่งชกี้ ารกระทำของพุทธิพิสยั ด้านเขา้ ใจ (Understand)………………………. 77
12 คำกริยาทีบ่ ง่ ชกี้ ารกระทำของพุทธพิ สิ ยั ด้านประยุกต์ใช้ (Apply)……………………… 78
13 คำกริยาทีบ่ ง่ ชกี้ ารกระทำของพุทธพิ สิ ัย ด้านวเิ คราะห์ (Analyze)........................... 79
14 คำกริยาทีบ่ ่งชกี้ ารกระทำของพทุ ธิพสิ ัย ด้านประเมินคา่ (Evaluate)…………………. 80
15 คำกริยาทีบ่ ง่ ชกี้ ารกระทำของพทุ ธพิ สิ ยั ด้านสร้างสรรค์ (Create)……………………… 81
16 คำบง่ การกระทำ จำแนกตามระดับพฤตกิ รรมการเรียนรู้ของบลูมทงั้ 6 ด้าน…… 113
17 ความแตกตา่ งระหวา่ งการประเมินผลแบบอิงกลุ่มกับอิงเกณฑ์………………………… 125
18 ผลการวเิ คราะหต์ วั อยา่ งชุดขอ้ มลู ของความตรงเชิงเนือ้ หา……………………………….. 164
19 ตวั อย่างผลการคดั เลือกขอ้ สอบรายข้อ............................................................. 174
สารบัญภาพ
ภาพ หน้า
1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการทดสอบ การวดั ผล การประเมิน และ
การประเมินผล…………………………………………………………………………………….…………. 25
2 ตวั อย่างขอ้ มูลมาตราการวดั เรียงลำดับ (Ordinal Scale)………………………….………….. 15
3 การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning: AoL)………………………………. 45
4 การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment for Learning: AfL)…………………….…………. 46
5 การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning: AaL)………………………………….. 47
6 ปิรามิดของรูปแบบการประเมินผลการเรียนรู้...................................................... 48
7 การเปรียบเทียบระดบั ของพฤตกิ รรมทางการศึกษาด้านพทุ ธพิ สิ ยั
แบบเดิมและแบบใหม่…………………………………………………………………………………….. 57
8 ระดับพฤติกรรมทางการศกึ ษาด้านพทุ ธิพิสัยแบบใหม่………………………………………. 69
9 องคป์ ระกอบของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม...................................................... 73
10 แสดงขนั้ ตอนการวเิ คราะหห์ ลกั สูตรเพ่อื เขยี นข้อสอบ………………………………………… 119
11 ชุดตัวอย่างขอ้ มลู สำหรบั วเิ คราะหค์ วามตรงเชิงเนอื้ หา……………………………………….. 161
12 ไฟล์ Excel ที่ Download เรียบร้อยแล้ว………………………………………………………………. 162
13 ขนั้ ตอนการวเิ คราะห์ IOC ของขอ้ คำถามขอ้ ที่ 1................................................. 162
14 ขน้ั ตอนการวเิ คราะห์ IOC ของขอ้ คำถามท้ังหมด................................................ 163
15 ขน้ั ตอนการตดิ ตั้งโปรแกรม TAP 19.1.4……………………………………………………………… 165
16 โปรแกรม TAP 19.1.4………………………………………………………………………………………….. 166
17 ขน้ั ตอนการป้อนขอ้ มลู โปรแกรม TAP 19.1.4……………………………………...……………… 167
18 การบันทกึ การป้อนขอ้ มลู ใน TAP 19.1.4…………………………………………………………….. 168
19 การตรวจสอบข้อมลู เบื้องต้นของโปรแกรม TAP………………………………………………… 169
20 การกำหนดเทคนิคการวเิ คราะห์ข้อสอบ............................................................ 170
21 การตรวจสอบข้อมลู ทว่ั ไป……………………………………………………………………………………. 171
22 การคัดเลือกขอ้ สอบรายข้อจากโปรแกรม TAP................................................... 173
23 การพจิ าณาคา่ คณุ ภาพขอ้ สอบรายข้อจากโปรแกรม TAP…………………………………… 175
24 การวเิ คราะหค์ า่ ความเทีย่ ง (Reliability) หลังจากคดั เลือกขอ้ สอบ........................ 178
25 ระดับพฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั (Affective Domain)............................................... 184
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพ หนา้
26 การจำแนกพฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ัย……………………………………………………………………… 188
27 พฤตกิ รรมการเรียนรทู้ ีส่ มบรู ณ์ทีส่ ดุ ของผู้เรียน…………………………………………………. 224
28 ระดับของพฤตกิ รรมด้านทกั ษะพสิ ัย……………………………………………………………………….226
29 หน้าจอการสร้างรูปแบบข้อคำถามแบบ Short Answer………………………………………… 281
30 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Short Answer.................................................... 281
31 หน้าจอการสร้างรปู แบบข้อคำถามแบบ Paragraph…………………………………………… 282
32 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Paragraph…………………………………………………………. 282
33 หน้าจอการสร้างรูปแบบข้อคำถามแบบ Multiple Choice…………………………………….. 283
34 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Multiple Choice…………………………………………………. 283
35 หน้าจอการสร้างรูปแบบข้อคำถามแบบ Checkboxes…………………………………………. 284
36 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Checkboxes………………………………………………………. 284
37 หน้าจอการสร้างรปู แบบข้อคำถามแบบ Dropdown............................................. 285
38 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Dropdown......................................................... 285
39 หน้าจอการสร้างรปู แบบข้อคำถามแบบ File Upload………………………………………….. 286
40 หน้าจอแสดงผลข้อคำถามแบบ File Upload………………………………………………………. 286
41 หน้าจอการสร้างรปู แบบข้อคำถามแบบ Linear Scale………………………………………… 287
42 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Linear Scale……………………………………………………… 287
43 หน้าจอการสร้างรูปแบบข้อคำถามแบบ Multiple Choice Grid…………………………….. 288
44 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Multiple Choice Grid...........................................288
45 หน้าจอการสร้างรูปแบบข้อคำถามแบบ Checkboxes Grid…………………………………… 289
46 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Checkboxes Grid.............................................. 289
47 หน้าจอการสร้างรปู แบบข้อคำถามแบบ Date...................................................... 290
48 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Date.................................................................. 290
49 หน้าจอการสร้างรูปแบบข้อคำถามแบบ Time..................................................... 291
50 หน้าจอแสดงผลขอ้ คำถามแบบ Time.................................................................. 291
รายละเอยี ดของรายวิชา (มคอ.3)
ชือ่ สถาบนั อดุ มศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา
คณะ/วิทยาลยั วทิ ยาลัยการศึกษา
หมวดที่ 1 ข้อมลู ทั่วไป
1. รหสั และชื่อรายวิชา
161311 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
Learning Measurement and Evaluation
2. จำนวนหน่วยกติ
3 (2-2-5)
3. หลักสตู รและประเภทของรายวิชา
หลกั สตู รการศึกษาบณั ฑิต
หมวดวชิ าชีพครูบังคบั
4. อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ผสู้ อน กลมุ่ ที่ 14, 16, 17, 18 และ 19
ดร.วรรณากร พรประเสริฐ (ผู้รับผิดชอบรายวชิ า) กล่มุ ที่ 1, 2, 3 และ 7
ดร.อาภาพรรณ ประทุมไทย
ดร.นริศรา เสือคล้าย กลุ่มที่ 4, 5, 6 และ 10
นายสวุ ชิ า ดวงฟู กลมุ่ ที่ 8
นายตระกลู พนั ธ์ ยชุ มภู
ผศ.ดร.น้ำฝน กนั มา กลมุ่ ที่ 9
ดร.ดรุณี อภัยกาวี กลมุ่ ที่ 11, 12, และ 13
5. ภาคการศกึ ษา / ช้ันปีที่เรียน กลมุ่ ที่ 15
ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ชั้นปีที่ 3
6. รายวิชาที่ตอ้ งเรียนมากอ่ น (Pre-requisite) (ถา้ มี)
ไมม่ ี
7. รายวิชาทีต่ ้องเรียนพรอ้ มกนั (Co-requisites) (ถา้ มี)
ไมม่ ี
8. สถานทีเ่ รียน
อาคารเรียนรวม CE มหาวิทยาลยั พะเยา
9. วนั ทีจ่ ดั ทำหรือปรับปรงุ รายละเอียดของรายวิชาครั้งลา่ สุด
1 มิถุนายน 2563
หมวดที่ 2 จดุ มุ่งหมายและวัตถปุ ระสงค์
1. จุดมงุ่ หมายของรายวิชา
หลังจากการเรียนรายวชิ านีแ้ ล้วนิสิตควรมีสมรรถภาพ ดังนี้
1. มีความรู้ความเข้าใจในหลักการ แนวคิด และแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ของผู้เรียน
2. สามารถสร้างและพฒั นาเครื่องมือวดั และประเมินผลการเรียนรู้ได้
3. สามารถวเิ คราะห์หาคุณภาพของเครือ่ งมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ได้
4. สามารถตรวจให้คะแนนและตดั สินผลการเรียนรู้ได้
5. สามารถประยุกต์ใช้หลักการวัดและประเมินผล และเลือกใช้เครื่องมือวัดและ
ประเมินผลในการจดั การเรียนการสอนเพ่อื พฒั นาผู้เรียนได้
2. วัตถุประสงค์ในการพฒั นา/ปรบั ปรุงรายวิชา
1. เพอ่ื ให้เนือ้ หาสาระและกิจกรรมการเรียนการสอนมีความทนั สมัย
2. เพอ่ื ให้นิสติ มีความรู้ความสามารถในการสร้างเครื่องมือวดั ผลออนไลน์ (e-Testing)
3. เพอื่ ให้มีเอกสารประกอบการสอนและแหลง่ สืบคน้ ขอ้ มลู เพ่มิ เติมที่หลากหลาย
หมวดที่ 3 ลกั ษณะและการดำเนินการ
1. คำอธิบายรายวิชา
หลักการ แนวคิด และแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
การสร้างและการใช้เครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รูปแบบการประเมิน การปฏิบัติ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การนำผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน
2. จำนวนชว่ั โมงทีใ่ ช้ต่อภาคการศึกษา
บรรยาย สอนเสริม การฝึกปฏิบัตงิ าน การศึกษา
ภาคสนาม/การฝึกงาน ดว้ ยตนเอง
2 x 15 = 30 ชว่ั โมง ตามความต้องการ 2 x 15 = 30 ช่วั โมง 5 x 15 = 75 ช่วั โมง
ของผู้เรียนรายบคุ คล
3. จำนวนช่ัวโมงต่อสัปดาห์ที่อาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นิสิตเปน็
รายบุคคล
มีชว่ั โมงให้คำปรึกษา สัปดาห์ละ 1 ชวั่ โมงต่อกลมุ่ เรียน โดยแจ้งให้ทราบในวันแรกของ
การเปิดภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2563
หมวดที่ 4 การพฒั นาผลการเรียนรูข้ องนิสิต
1. คุณธรรม จริยธรรม
1.1 คณุ ธรรม จริยธรรมทีต่ อ้ งพฒั นา
ความรับผิดชอบรอง
(1) มีคุณธรรมจริยธรรมสำหรับครู เช่น คุณธรรมของครูในการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ให้กบั ผู้เรียน, การเขา้ ชั้นเรียนและการส่งงานอย่างมีระเบียบวนิ ัยและตรงตอ่ เวลา
1.2 วิธกี ารสอน
(1) ฝึกให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเองในการเข้าชั้นเรียนและการส่งงานอยา่ งมี
ระเบียบวินัยและตรงต่อเวลา และเคารพกฎระเบียบของนิสิต โดยอาจารย์ผู้สอนคอยกระตุ้น
และประพฤติตนเป็นแบบอยา่ ง
(2) อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ระหว่างผู้เรียนกับ
อาจารย์ผู้สอน ในประเด็นเกี่ยวกับคุณธรรมของครูในการวัดและประเมินผลการเรียนร้ใู ห้กบั
ผู้เรียน
(3) มอบหมายแบบฝึกหดั ท้ายบท (งานเดี่ยว) ซึง่ เป็นโจทยเ์ ชิงสถานการณ์จริงเกี่ยวกับ
คณุ ธรรมของครใู นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพ่อื ให้ผู้เรียนได้ฝึกวเิ คราะห์ รวมท้ังสร้าง
ความตระหนกั ถึงคุณธรรมของครใู นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
(4) มอบหมายการทำรายงาน (งานกลุ่ม) ที่หลีกเลี่ยงการโจรกรรมทางวรรณกรรม
วรรณกรรม (Plagiarism) ในการทำรายงาน และให้นิสิตฝึกทกั ษะการทำงานกลมุ่ รว่ มกบั ผู้อืน่
1.3 วิธกี ารประเมินผล ประเมินจาก
(1) การทดสอบความรู้ความเข้าใจในห้องเรียนเกี่ยวกับคุณธรรมของครูใน
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน โดยการซักถาม และ/หรือ ให้อภิปรายกลุ่ม
ตอ่ กรณีตวั อยา่ งที่อาจารย์ผู้สอนได้นำมายกตัวอย่างให้นิสิต
(2) การวเิ คราะห์และอธิบายแบบฝึกหดั ท้ายบทในขอ้ ที่เกีย่ วขอ้ งกบั คุณธรรมของครูใน
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
(3) พฤติกรรมความรับผิดชอบต่อตนเอ ในการเขา้ ชั้นเรียน การสง่ งานอย่างมีระเบียบ
วินัยและตรงต่อเวลา การเคารพกฎระเบียบของนิสิตตลอดทั้งภาคการศึกษา รวมทั้งความ
รบั ผิดชอบตอ่ ส่วนรวมในการมีส่วนร่วมทำงานกับผู้อืน่
(4) รายงานกลุ่ม ทีป่ ราศจากการโจรกรรมทางวรรณกรรม (Plagiarism)
2. ความรู้
2.1 ความรู้ที่ตอ้ งได้รบั
ความรับผิดชอบหลกั
(1) มีความรู้เกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และสามารถประยุกต์ใช้
หลกั การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนการสอนทางการศึกษา
(2) มีความสามารถเชิงบูรณาการในการประยุกต์ใช้หลักการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ เพื่อการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสาขาวิชาเอกนั้น ๆ รวมทั้งการออกแบบ
เครื่องมือวัดผลออนไลน์ (e-Testing) เพอ่ื ให้เกิดเปน็ นวัตกรรมทางการศึกษา
2.2 วิธกี ารสอน
(1) จัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ โดยเน้นให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจ
ในความรู้พนื้ ฐานของหลกั การในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้อย่างถ่องแท้
(2) บรรยายเนื้อหา พร้อมสอดแทรกบทความวชิ าการ รวมท้ังขา่ วสารอนั เป็นประโยชน์
เกี่ยวกบั เหตุการณ์ในปัจจุบนั ทางด้านการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
(3) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้นิสิตมีทักษะความสามารถใน
การออกแบบและสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งการนำเครื่องมือไป
ประยกุ ตใ์ ช้ และการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ เพอ่ื ให้ได้เครื่องมือทีม่ ีคุณภาพ
(4) จัดกิจกรรมและการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน เพื่อให้นิสิตได้ร่วมอภิปราย
แลกเปลีย่ นเรียนรู้ และแสดงความคดิ เห็นระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ระหว่างผู้เรียนกับอาจารย์
ผู้สอน
2.3 วิธกี ารประเมินผล
ประเมินผลตามสภาพจริงด้วยวธิ ีการที่หลากหลาย ประกอบด้วย การประเมินจาก
(1) การทดสอบและการเกบ็ คะแนนในระหวา่ งการเรียนการสอน
(2) การทำแบบฝึกหัดทบทวนความรู้ท้ายบท และการตรวจเล่มรายงานการสร้าง
เครือ่ งมือวดั ผล
(3) การลงมือปฏิบตั ิในการสร้างเครื่องมือวัดผล และตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือ
วดั ผล รวมทั้งการออกแบบเครือ่ งมือวดั ออนไลน์ (e-Testing)
(4) การนำเสนองานหน้าชั้นเรียน และการร่วมแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ระหว่างผู้เรียนกบั ผู้เรียน ระหวา่ งผู้เรียนกับอาจารย์ผู้สอน
3. ทกั ษะทางปัญญา
3.1 ทกั ษะทางปญั ญาทีต่ อ้ งพัฒนา
ความรับผิดชอบหลัก
(1) มีความสามารถสืบค้นหาข้อเท็จจริง การทำความเข้าใจข้อมูล และการประเมิน
ขอ้ มูลสารสนเทศและแนวคิดจากแหลง่ ขอ้ มูลที่หลากหลาย เพ่อื นำมาใช้ในการปฏิบัติการสอน
รวมถึงการวนิ ิจฉัยผู้เรียนและวจิ ัยเพอื่ พัฒนาผู้เรียน
3.2 วิธกี ารสอน
(1) จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์จากนำเสนอ
งานหน้าชั้นเรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีสว่ นรว่ มในการอภิปรายงานของเพอ่ื นรว่ มชั้นเรียน
(2) จัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้เรียนใช้ทักษะการคิดเชิงระบบในการลงมือปฏิบัติจริงใน
การสร้างเครือ่ งมือการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งการสร้างสถานการณ์จำลองใน
การบริหารการสอบในห้องเรียน และการออกแบบเครื่องมือวัดผลออนไลน์ (e-Testing)
3.3 วิธกี ารประเมินผล
(1) ทำการประเมินตามสภาพจริงโดยการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในการนำเสนอ
งานหน้าชั้นเรียน การอภิปรายกลุ่ม การตอบข้อซักถาม และการร่วมอภิปรายงานของเพื่อน
ร่วมช้ันเรียน
(2) ประเมินจากผลงาน/ รายงาน ที่ผู้เรียนแสดงไว้อย่างมีเหตผุ ล มีความถูกต้องและ
ผลงานเปน็ ประโยชน์ตอ่ วงวิชาชีพ
4. ทกั ษะความสัมพันธ์ระหว่างบคุ คลและความรับผิดชอบ
4.1 ทกั ษะความสัมพันธร์ ะหว่างบคุ คลและความรับผิดชอบทีต่ อ้ งพฒั นา
ความรับผิดชอบรอง
(1) มีความรบั ผิดชอบการพัฒนาการเรียนรู้ทั้งตนเองและวชิ าชีพอย่างตอ่ เนื่อง
4.2 วิธกี ารสอน
(1) ประเมินจากผลการประเมินของผู้เรียนทีป่ ระเมินเพ่อื นร่วมชั้นเรียน
(2) ประเมินจากการเรียนการสอนโดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งผู้เรียนกับผู้เรียน
ระหวา่ งผู้เรียนกบั ผู้สอน โดยการให้ผู้เรียนแตล่ ะกลุม่ ทำการสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดและ
ประเมินผลในประเด็นที่สนใจ รวมถึงการตรวจสอบหาคุณภาพของเครื่องมือที่สร้างขึ้น และ
การมีส่วนร่วมอภิปรายงานของผู้อื่น
(3) ประเมินจากการมอบหมายงานเดี่ยวและงานกลุ่มเพ่อื ให้ผู้เรียนฝึกความรับผิดชอบ
ในการดำเนินงานส่วนของตนเองและการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น ฝึกทักษะภาวะผู้นำ ทักษะ
การสือ่ สาร รวมท้ังบุคลิกภาพ และการจดั การปญั หาข้อโต้แย้งตา่ ง ๆ ที่เกิดขนึ้ โดยกำหนดกฎ
และกติกาให้ถือปฏิบตั ิตามรว่ มกัน
4.3 วิธกี ารประเมินผล
(1) ประเมินความรับผิดชอบ พฤติกรรมการแสดงออก การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
ระหวา่ งการเรียนและการทำงาน ท้ังรายบคุ คลและรายกลุ่ม โดยผู้สอนและเพอ่ื นสมาชิกในกลุ่ม
(2) กำหนดบทลงโทษกรณีที่ผู้เรียนทำผิดกฎกติกา เช่น ขาดเรียน เข้าเรียนสาย
สง่ เสียงรบกวนผู้อื่นในขณะทำการเรียนการสอน สง่ งานเลยระยะเวลาที่กำหนด เปน็ ต้น
5. ทกั ษะการวิเคราะหเ์ ชิงตัวเลข การสอ่ื สาร และการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ
5.1. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตวั เลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่
ตอ้ งพฒั นา
ความรบั ผิดชอบหลัก
(1) มีความไวในการวิเคราะห์และเข้าใจข้อมูลสารสนเทศที่ได้รับจากผู้เรียนอย่าง
รวดเร็ว ทั้งที่เปน็ ตัวเลขเชิงสถิติหรือคณิตศาสตร์ ภาษาพูดหรือภาษาเขยี น
5.2 วิธกี ารสอน
(1) เน้นการลงมือปฏิบตั ิจริงในขณะทำการเรยี นการสอน โดยการวเิ คราะห์เชิงตวั เลขใน
การวเิ คราะหแ์ ละแปลผลคณุ ภาพของเครื่องมือวัดผล จากสูตรทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ
(2) ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบท โดยการคำนวณสูตรทางคณิตศาสตร์ และการใช้
โปรแกรมคอมพวิ เตอร์เพ่อื วเิ คราะหค์ ุณภาพของขอ้ สอบ
(3) การมอบหมายงานกล่มุ โดยให้ออกแบบเครื่องมือวดั ผลออนไลน์ (e-Testing) ผ่าน
Google Forms และการติดตั้งโปรแกรมวิเคราะห์ข้อสอบ รวมทั้งลงมือปฏิบัติวิเคราะห์ข้อสอบ
ด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เพ่อื ส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ
5.3 วิธกี ารประเมินผล
(1) จากการมีสว่ นรว่ มในชั้นเรียน โดยการให้สาธิตและอธิบายวิธีการคำนวณสูตรทาง
คณิตศาสตรเ์ พ่อื วเิ คราะห์คุณภาพของเครื่องมือวัดผล ให้กบั เพ่อื นรว่ มชั้นเรียน
(2) จากแบบฝึกหดั ท้ายบท และรายงานกลุ่มการสร้างเครื่องมือวัดผล
6. สนุ ทรียศิลป์
6.1 สนุ ทรียศิลป์ที่ต้องพฒั นา
ไมม่ ี
6.2 วิธกี ารสอน
ไมม่ ี
6.3 วิธกี ารประเมินผล
ไมม่ ี
7. ทักษะการสง่ เสรมิ สขุ ภาพและพัฒนาบคุ ลิกภาพ
7.1 ทกั ษะการสง่ เสรมิ สขุ ภาพและพัฒนาบคุ ลิกภาพทีต่ ้องพัฒนา
ไม่มี
7.2 วิธกี ารสอน
ไมม่ ี
7.3 วิธกี ารประเมินผล
ไม่มี
7.4 ตวั ชี้วดั ความสำเรจ็ ของผลการเรียนรู้
ไมม่ ี
8. ทักษะการจัดการเรียนรู้
8.1 ทักษะการจัดการเรียนรู้ทีต่ อ้ งพฒั นา
ความรับผิดชอบรอง
(1) มีความเชีย่ วชาญในการจดั การเรียนรู้ในวิชาเอกทีจ่ ะสอนอย่างบรู ณาการ
8.2 วิธกี ารสอน
(1) การจัดกิจกรรมในชั้นเรียน โดยการบูรณาการหลักการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ผสมผสานกบั เนอื้ หาวิชาในแตล่ ะสาขาวชิ าเอกน้ัน ๆ
(2) มอบหมายให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติการสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ เพ่อื ให้ผู้เรียนสามารถบรู ณาการและเชื่อมโยงองคค์ วามรู้สกู่ ารปฏิบตั ิจริง
(3) มุ่งเน้นให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดและ
ประเมินผลให้มีคุณภาพ เพอ่ื เป็นแนวทางในนำไปใช้พัฒนาผู้เรียน
8.3 วิธกี ารประเมนิ ผล
(1) ประเมินทกั ษะการฝึกปฏิบตั ิการจริง
(2) ประเมินผลการจัดทำรายงานและการนำเสนอในช้ันเรียน
หมวดที่ 5 แผนการสอนและการประเมินผล
1. แผนการสอน
แผนการสอนชวั่ โมงทฤษฎีและปฏิบตั ิ
สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จำนวน กิจกรรม สื่อที่ใช้ ผ้สู อน
ที่ ชัว่ โมง การเรียนการสอน
1 ปฐมนิเทศ 4 ปฐมนิเทศ เอกสาร ดร.วรรณากร
ประกอบการสอน พรประเสริฐ
บทที่ 1 ความรู้ ชีแ้ จงจดุ ประสงค์ PowerPoint และคณะ
พื้นฐานเกีย่ วกบั การ การเรียน Visualizer
วัดผลและประเมินผล
ทางการศึกษา บรรยาย/ อภิปราย/ ตอบประเด็น
แลกเปลีย่ นเรียนรู้/ ฝึก ซกั ถาม
วิเคราะห์
สรุปองค์ความรู้
ท้ายบท
สปั ดาห์ หัวข้อ/รายละเอียด จำนวน กิจกรรม สือ่ ทีใ่ ช้ ผูส้ อน
ที่ ช่ัวโมง การเรียนการสอน
2 บทที่ 2 รปู แบบของ 4 ชีแ้ จงจุดประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
การเรียน ประกอบการสอน พรประเสริฐ
การวดั และประเมินผล PowerPoint และคณะ
การเรียนรู้ในศตวรรษ บรรยาย/ อภิปราย/
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ Visualizer
ที่ 21
บทที่ 3 การวัดด้าน กิจกรรมกลุ่ม/ นำเสนอ
พุทธิพิสัย
หน้าชั้นเรียน
สรปุ องค์ความรู้
แบบฝึกหดั ท้ายบท
3 บทที่ 4 การสร้าง 4 ชีแ้ จงจดุ ประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
แบบทดสอบวดั การเรียน ประกอบการสอน พรประเสริฐ
ผลสัมฤทธิ์ทาง
บรรยาย/ อภิปราย PowerPoint และคณะ
การเรียน
กิจกรรมกลุ่มปฏิบัติการ Visualizer
สร้างข้อสอบ ข้ันตอนที่ 1-2
สรปุ องคค์ วามรู้
แบบฝึกหัดท้ายบท
4 บทที่ 5 การสร้าง 4 ชีแ้ จงจดุ ประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
แบบทดสอบวดั การเรียน ประกอบการสอน พรประเสริฐ
ผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรียน บรรยาย/ อภิปราย PowerPoint และคณะ
กิจกรรมกลุ่มปฏิบัติการ Visualizer
สร้างข้อสอบ ข้ันตอนที่ 3
5 บทที่ 5 การสร้าง 4 กิจกรรมกลมุ่ ปฏิบัติการ เอกสาร ดร.วรรณากร
แบบทดสอบวัด สร้างข้อสอบ ขั้นตอนที่ 4 ประกอบการสอน พรประเสริฐ
PowerPoint และคณะ
ผลสัมฤทธิ์ทางการ บรรยาย/ อภิปราย
เรียน (ต่อ) Visualizer
สรุปองค์ความรู้
แบบฝึกหัดท้ายบท
6 บทที่ 6 การ 4 ชีแ้ จงจดุ ประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
วิเคราะห์ข้อสอบด้วย ประกอบการสอน พรประเสริฐ
การเรียน PowerPoint และคณะ
โปรแกรมคอมพิวเตอร์
สาธิตการวิเคราะห์ Visualizer
คุณภาพของข้อสอบ
สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จำนวน กิจกรรม สื่อทีใ่ ช้ ผ้สู อน
ที่ ชัว่ โมง การเรียนการสอน
และการปรบั ปรงุ สรุปองคค์ วามรู้ โปรแกรม Excel
ข้อสอบ แบบฝึกหดั ท้ายบท โปรแกรม TAP
7 ฝึกปฏิบตั ิการ : 4 กิจกรรมกลมุ่ ปฏิบตั ิการ เอกสาร ดร.วรรณากร
การจำลอง สร้างข้อสอบ ขั้นตอนที่ 5 ประกอบการสอน พรประเสริฐ
สถานการณ์สอบ PowerPoint และคณะ
สถานการณ์จำลอง
8 ฝึกปฏิบตั ิการ :
4 กิจกรรมกลุ่มปฏิบัติการ เอกสาร ดร.วรรณากร
วิเคราะห์ข้อสอบ
สร้างข้อสอบ ข้ันตอนที่ 6 ประกอบการสอน พรประเสริฐ
9 สอบกลางภาค PowerPoint และคณะ
ฝึกปฏิบัติการ :
10 บทที่ 7 การสร้าง โปรแกรม TAP
วิเคราะห์ข้อสอบ
เครือ่ งมือวดั ผลด้าน
จิตพิสยั 3 สอบกลางภาค สอบกลางภาค ดร.วรรณากร
พรประเสริฐ
11 บทที่ 7 การสร้าง
และคณะ
เครื่องมือวดั ผลด้าน
จิตพิสัย (ตอ่ ) 4 ชีแ้ จงจุดประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
การเรียน
12 บทที่ 8 การสร้าง ประกอบการสอน พรประเสริฐ
บรรยาย/ อภิปราย PowerPoint และคณะ
เครื่องมือวดั ผลด้าน Visualizer
ทกั ษะพิสยั สรปุ องค์ความรู้
13 บทที่ 8 การสร้าง แบบฝึกหดั ท้ายบท
เครื่องมือวดั ผลด้าน 4 กิจกรรมกลมุ่ สร้าง เอกสาร ดร.วรรณากร
ทกั ษะพิสยั (ตอ่ ) เครื่องมือในการวัด
พฤติกรรมด้านจติ พิสยั ประกอบการสอน พรประเสริฐ
PowerPoint และคณะ
ตอบประเดน็ ซักถาม Visualizer
4 ชีแ้ จงจุดประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
การเรียน ประกอบการสอน พรประเสริฐ
บรรยาย/ อภิปราย PowerPoint และคณะ
Visualizer
สรุปองค์ความรู้
แบบฝึกหัดท้ายบท
4 กิจกรรมกลุ่มสร้าง เอกสาร ดร.วรรณากร
เครือ่ งมือในการวดั ประกอบการสอน พรประเสริฐ
พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย PowerPoint และคณะ
สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จำนวน กิจกรรม สือ่ ที่ใช้ ผสู้ อน
ที่ ชั่วโมง การเรียนการสอน
ตอบประเดน็ ซกั ถาม Visualizer
14 บทที่ 9 คะแนนและ 4 ชีแ้ จงจุดประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
การตัดสินผล การเรียน
ประกอบการสอน พรประเสริฐ
การเรียนรู้ บรรยาย/ อภิปราย/ PowerPoint และคณะ
Visualizer
แลกเปลี่ยนเรียนรู้/ ฝึก
วิเคราะห์
สรุปองคค์ วามรู้
แบบฝึกหดั ท้ายบท
15 บทที่ 10 การสร้าง 4 ชีแ้ จงจดุ ประสงค์ เอกสาร ดร.วรรณากร
เครื่องมือวดั ผล การเรียน ประกอบการสอน พรประเสริฐ
ออนไลน์ (e-Testing)
บรรยาย/ ฝึกปฏิบตั ิ PowerPoint และคณะ
สาธิตการสร้างเครือ่ งมือ Visualizer
วดั ผลออนไลน์ (e-Testing) Google Forms
สรปุ องคค์ วามรู้
แบบฝึกหดั ท้ายบท
16 ฝึกปฏิบัติการ : 4 กิจกรรมกลุ่มการสร้าง เอกสาร ดร.วรรณากร
การสร้างเครือ่ งมือ เครือ่ งมือวดั ผลออนไลน์ ประกอบการสอน พรประเสริฐ
วัดผล (e-Testing) (e-Testing) Google Forms และคณะ
นำเสนอเครือ่ งมือใน นำเสนอเครือ่ งมือในการ
การวดั พฤติกรรมด้าน วัดพฤติกรรมด้านจติ พิสัย
จิตพิสยั และทักษะพิสัย และทกั ษะพิสัย
17 สอบปลายภาค 3 สอบปลายภาค สอบปลายภาค ดร.วรรณากร
พรประเสริฐ
และคณะ
2. แผนการประเมินผลการเรียนรู้
ที่ ผลการเรียนรู้ วิธกี ารประเมิน สัปดาห์ สัดส่วนของ
ที่ประเมิน การประเมนิ ผล
1 2.1 (1), 3.1 - สอบกลางภาค และปลายภาค 8 และ 17 40%
2 1.1 (1) - การประเมนิ การทำงานเดีย่ ว ตลอด 40%
4.1 (1), (2), (3) - การประเมนิ การทำงานกลุ่ม ภาคการศึกษา
4.1 (1), (2), 8.1 - การนำเสนองานหน้าชั้นเรยี น
4.1 (2) - การใช้โปรแกรมวเิ คราะห์ข้อสอบ
2.1 (2) - การสร้างเครือ่ งมือวดั ผลออนไลน์
3 1.1 (1) - การเช็คชือ่ เขา้ ชั้นเรียน ตลอด 20%
1.1 (1) - การสง่ งานตามระยะเวลาที่กำหนด ภาคการศกึ ษา
4.1 (1), (2) - การมีส่วนรว่ มในและนอกช้ันเรียน
4.1 (2), (3) - การอภิปรายและเสนอความคดิ เหน็
หมวดที่ 6 ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน
1. ตำราและเอกสารหลัก
ชวาล แพรัตกลุ . (2552). เทคนิคการวดั ผล (พมิ พ์ครั้งที่ 7). กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวโิ รฒ.
โชติกา ภาษีผล. (2559). การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Measurement and
Evaluation) (พมิ พค์ รั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
บญุ ชม ศรีสะอาด. (2543). การวจิ ยั ทางการวัดผลและประเมินผล. กรุงเทพฯ : สวุ รี ิยาสาสน.์
พชิ ิต ฤทธจิ์ รญู . (2552). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา (พมิ พ์คร้ังที่ 5). กรุงเทพฯ :
เฮ้าส์ ออฟ เคอรม์ ีสท.์
เยาวดี รางชยั กุล วบิ ลู ย์ศรี. (2554). การวดั ผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ (พมิ พค์ รั้งที่
10). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ราตรี นันทสุคนธ.์ (2555). หลกั การวดั และประเมินผลทางการศกึ ษา (พมิ พ์ครั้งที่ 3).
กรุงเทพฯ: บริษทั จดุ ทอง จำกดั .
วรรณากร พรประเสริฐ. (2563). เอกสารประกอบการสอน 161311 การวดั และประเมินผล
การเรียนรู้. ลำปาง: คำนำสำนกั พมิ พ.์
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. (2551). เทคนิคการวดั ผลการเรียนรู้ (พมิ พค์ รั้งที่ 2).
กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยาสาส์น.
ศิริชัย กาญจนวาสี. (2548). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดิม (พมิ พค์ ร้ังที่ 5). กรงุ เทพฯ: โรง
พมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
อนวุ ัตร คณู แก้ว. (2562). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษาแนวใหม่ (พมิ พค์ รง้ั ที่ 3).
กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
2. เอกสารและขอ้ มูลแนะนำ
จตุภูมิ เขตจตุรสั . (2562). วธิ ีการและเครือ่ งมือประเมินผลการเรยี นรู้ของผู้เรียน. คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .
บญุ ชม ศรีสะอาด. (2543). การวจิ ยั ทางการวดั ผลและประเมินผล. กรงุ เทพฯ : สุวรี ิยาสาสน.์
บญุ เชิด ภิญโญอนันตพงษ์. (2544). การประเมินการเรียนรู้ทเ่ี นน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั : แนวคดิ
และวธิ ีการ. กรุงเทพฯ: บริษทั อมรนิ ทร์พรนิ้ ดงิ้ แอนด์ พบั ลิชชิง่ จำกดั .
พศิ ิษฐ ตณั ฑวณิช. (2558). แนวคิดการจำแนกพฤตกิ รรมการเรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารจดั
การศกึ ษา ด้านพทุ ธพิ สิ ยั ตามแนวคดิ ของบลูมและคณะ ฉบับปรบั ปรุง. วารสาร
มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง, 3(2), 13-25.
เยาวดี รางชัยกุล วบิ ลู ยศ์ รี. (2554). การวดั ผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ (พมิ พ์คร้ังที่
10). กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ศศิธร บัวทอง. (2562). การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. Veridian E-Journal,
Silpakorn University, 10(2), 1856-1867.
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2558). แนวปฏิบตั ิการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2558. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์
ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั .
Anderson, L.W., Krathwohl, D. R., Airasian, P. W., Cruikshank, K. A., Mayer, R. E., Pintrich,
P. R., Raths, J., and Wittrock, M. C. (2001). A Taxonomy for Learning Teaching,
and Assessing (Abridged Edition). New York: Longman.
Kubiszyn, Tom and Borich, and Gary. (1990). Educational Testing and Measurement:
Classroom Application and Practice (6th ed). New York: John wiley & Sons, Inc.
Wiersman, W. (1990). Educational Measurement and Testing (2nd ed). Boston: Allen and
Bacon. International Journal of Computer Games Technology, 18, 1-9.
หมวดที่ 7 การประเมินและปรับปรุงการดำเนินการของรายวิชา
1. กลยุทธก์ ารประเมินประสทิ ธิผลของรายวิชาโดยนิสติ
(1) การประเมินอาจารย์ผู้สอนโดยนิสติ ผ่านเว็บไซตข์ องมหาวิทยาลัย
(2) การสนทนากลมุ่ ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
2. กลยทุ ธก์ ารประเมินการสอน
ในการเกบ็ ข้อมูลเพ่อื ประเมินการสอน ใช้วิธกี ารประเมินดงั นี้
(1) การสงั เกตการสอนของผู้สอน
(2) ผลการเรียนของนิสติ
(3) การทวนสอบผลประเมินการเรียนรู้
3. การปรบั ปรงุ การสอน
อาจารย์ผู้สอนนำผลการประเมินการสอนในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อนำไปปรับปรุง
การสอนในภาคการศึกษาถดั ไป วธิ ีการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธภิ าพมากย่งิ ข้นึ
4. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนิสิตในรายวิชา
ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ในรายหัวข้อตามที่
คาดหวังจากการเรียนรู้ในรายวิชา ได้จากการสอบถามนิสิตหรือสุ่มตรวจผลงานของนิสิต
รวมถึงพจิ ารณาจากผลการทดสอบย่อย ผลการสอบกลางภาค และหลังการตดั เกรดการเรียน
ในรายวชิ า มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์โดยรวม ดงั นี้
(1) การทวนสอบการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนิสิตโดยอาจารย์อื่น หรือ
ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่ใชอ่ าจารยป์ ระจำหลักสูตรและอาจารยผ์ ู้สอน
(2) มีการตั้งคณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลประเมินการเรียนรู้ของนิสิตโดย
ตรวจสอบข้อสอบ รายงาน และวธิ ีการให้คะแนนสอบ
5. การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรงุ ประสทิ ธิผลของรายวิชา
คณาจารย์ผู้สอนและคณาจารย์ในสาขาวิชาจัดการประชุมระดับสาขา เพื่อนำข้อในการ
ปรบั ปรงุ การสอนจากที่นสิ ิตไดร้ ่วมประเมิน โดยพจิ ารณาจากความคดิ เห็นทนี่ ิสิตเสนอแนะเพ่มิ เตมิ
รวมท้ังขอ้ ที่ควรปรบั ปรงุ ประกอบกบั คณาจารยร์ ่วมกนั หาแนวทางการปรบั ปรุง และหาแนวทางใน
การพัฒนาวธิ ีการสอนให้สามารถเพ่มิ ประสิทธผิ ลของการจดั การเรียนการสอนให้ดียิง่ ข้นึ
แผนการสอนประจำบทท่ี 1
ความรู้พืน้ ฐานเกี่ยวกบั การวดั ผลและประเมินผลทางการศกึ ษา
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
เมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แล้ว นิสิตมีความสามารถ ดังนี้
1. อธิบายความสัมพันธ์และความแตกตา่ งของการทดสอบ การวัดผล การประเมิน
และการประเมินผลได้
2. จำแนกลกั ษณะของการวดั ผลทางการศึกษาและมาตราการวดั ผลได้
3. อธิบายขอ้ ควรคำนึงเกีย่ วกบั การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษาได้
4. วเิ คราะหห์ ลักคุณธรรมของนกั วดั ผลและประเมินผลทางการศึกษาได้
เนือ้ หาสาระ
1. คำศัพทท์ ี่เกีย่ วข้องกับการวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา
2. ธรรมชาติของการวดั ผลทางการศึกษา
3. ลกั ษณะของการวัดผลทางการศึกษา
4. มาตราการวดั ผล
5. ขอ้ ควรคำนึงเกีย่ วกับการวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา
6. คุณธรรมของนกั วัดผลและประเมินผลทางการศึกษา
7. หลกั การวดั ผลทางการศึกษา
8. ประโยชน์ของการวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา
วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน
1. ผู้สอนปฐมนิเทศการเรียนการสอนในรายวชิ าการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
2. ผู้สอนชีแ้ จงจุดประสงคก์ ารเรียนเนอื้ หาบทที่ 1
3. ผู้สอนบรรยายเนือ้ หาบทที่ 1 และยกตวั อยา่ งประกอบตามเวลาที่กำหนด
4. ผู้สอนและนิสิตร่วมกนั อภิปรายและตอบข้อซกั ถาม
5. สุ่มตัวแทนนิสิตประมาณ 5 คน เพื่อสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานใน
การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา และผู้สอนทำการสรุปในประเด็นเพม่ิ เติม
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 11
6. นิสิตทำแบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 1 และส่งตามระยะเวลาทีก่ ำหนด
7. ครูผู้สอนมอบหมายให้นิสิตทุกคน ศึกษาเนื้อหาบทที่ 2 ล่วงหน้า พร้อมทั้งสรุป
ความรู้ลงในแผนผังความคดิ (Mind Mapping)
สอ่ื การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน 161311 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
2. สื่อการสอนในรูปแบบโปรแกรม PowerPoint ปฐมนิเทศ
3. สือ่ การสอนในรปู แบบโปรแกรม PowerPoint ประจำบทที่ 1
4. แบบฝึกหัดท้ายบท
การวัดผลและประเมินผล
1. การร่วมอภิปรายและตอบคำถามในช้ันเรียน
2. การตอบคำถามจากแบบฝึกหัดท้ายบท
3. การมีส่วนรว่ มในชั้นเรียน
4. ความสนใจและความรับผิดชอบต่อการเรียน
2 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 2
บทท่ี 1
ความรู้พื้นฐานเกีย่ วกบั การวัดผลและประเมินผลทางการศกึ ษา
การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษาเป็นหน้าที่หลักของครูผู้สอนในการที่จะวัด
พฤติกรรมด้านตา่ ง ๆ ของผู้เรียนโดยการทดสอบ ว่าผู้เรียนเป็นอย่างไร มีความรู้ความสามารถ
เพยี งใด และที่สำคญั ยง่ิ คอื การนำผลการประเมินไปสูก่ ารปฏิบตั ิ โดยนำไปสูก่ ารออกแบบการ
เรียนการสอนเพ่ือนำไปปรับปรุงและหรือพัฒนาผู้เรียนต่อไป ประกอบกับครูผู้สอนต้องมีการ
วางแผนในการวดั และประเมินผล การเลือกวธิ ีการ และสามารถใช้เครื่องที่เหมาะสมกับผู้เรียน
ได้อยา่ งหลากหลาย ทำการวดั และประเมินอย่างตอ่ เนื่อง และสมำ่ เสมอ รวมทั้งมีคุณธรรมใน
การวดั และประเมินผลผู้เรียน
คำศพั ทท์ ี่เกย่ี วข้องกบั การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา
ในส่วนนจี้ ะกลา่ วถึงความหมายของการทดสอบ (Testing) การวดั ผล (Measurement)
การประเมิน (Assessment) และการประเมินผล (Evaluation) ซึง่ ได้มีนกั วชิ าการได้ให้นิยามหรือ
ความหมายไว้ ดังนี้
การทดสอบ (Testing)
ศิริชัย กาญจนวาสี (2548, น. 9) กล่าวว่า การทดสอบ หมายถึง กระบวนการใน
การใช้แบบสอบสำหรับกำหนดหรือบรรยายคุณลักษณะหรือคุณภาพเฉพาะอย่างของบุคคล
หรือกลมุ่ บคุ คล เพอ่ื ใช้เปน็ สารสนเทศสำหรบั การตัดสินใจ
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2551, น. 14) กล่าวว่า การทดสอบ หมายถึง
การนำแบบทดสอบซึ่งสร้างขึ้นอย่างเป็นกระบวนการและมีระบบไปตรวจสอบตัวอย่างของ
คุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการวัด การทดสอบจึงใช้กฎเกณฑ์หนึ่งของการวัดด้วย ดังนั้น
การทดสอบจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศยั ข้อสอบหรือแบบทดสอบเป็นเครือ่ งมือเพื่อใช้วัดตัวอย่าง
พฤติกรรมของแต่ละบคุ คล
ชวาล แพรัตกุล (2552, น. 73) ซึ่งเป็นบิดาแห่งการวัดผลไทย ได้กล่าวว่า
การทดสอบ หมายถึง การใช้ชุดของข้อคำถาม หรือกลุ่มงานใด ๆ ที่สร้างหรือพัฒนาขึ้นมา
เพอ่ื ที่จะชักนำให้ผู้ถกู สอบแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึง่ ออกมา ให้ผู้สอบสามารถสังเกต
ได้และวดั ได้
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 33
เยาวดี รางชัยกุล วบิ ูลย์ศรี (2554, น. 5) กล่าวว่า การทดสอบ หมายถึง การเสนอสิง่
เร้าชุดใดชุดหนึ่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องตอบสนองตามวิธีมาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อนำผล
การตอบสนองมากำหนดเป็นคะแนน ซึ่งโดยทวั่ ไปจะเปน็ ตัวเลขแสดงปริมาณบอกลักษณะของ
พฤติกรรม
สมนึก ภัททิยธนี (2562, น. 3) กล่าวว่า การทดสอบ หมายถึง กระบวนการวัดผล
ทางการศึกษาอย่างหนึง่ ที่กระทำอย่างมีระบบ เพื่อวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยโดยใช้ข้อสอบ
หรือคำถามไปกระตุ้นให้สมองแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างใดอยา่ งหนึ่ง
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การทดสอบ หมายถึง กระบวนการในการใช้แบบทดสอบที่
ประกอบด้วยชุดข้อคำถาม เพื่อนำไปกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงคุณลักษณะที่ต้องการวัดออกมา
ผา่ นการเขยี น การพดู การกระทำ หรืออืน่ ๆ
การวัดผล (Measurement)
ศิริชัย กาญจนวาสี (2548, น. 9) กล่าวว่า การวดั ผล หมายถึง กระบวนการกำหนด
ตวั เลขให้กับสิ่งต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2554, น. 5) กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง การกำหนด
ตัวเลขให้กบั สิง่ ใดสิ่งหนึง่ ตามกฎเกณฑท์ ี่ตั้งไว้
พิสณุ ฟองศรี (2556, น. 3) กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง การกำหนดคา่ เป็นตวั เลข
หรือสัญลักษณ์ให้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามวิธีการหรือเครื่องมือที่กำหนดขึ้นทั้งในเชิงปริมาณ
โดยตรง เช่น การนบั จำนวนและความถี่ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือการใช้เครื่องมือทางวทิ ยาศาสตร์
เช่น ตลับเมตร เครื่องชั่งน้ำหนัก เทอร์โมมิเตอร์ ฯลฯ หรือใช้เครื่องมือทางสังคมศาสตร์ เช่น
แบบสงั เกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบทดสอบ เพ่อื ไปนำเกบ็ ข้อมูลจากกลุม่ เป้าหมาย
ให้ออกมาเปน็ ตวั เลข ถ้าจะกลา่ วโดยสรปุ การวดั ก็คอื การให้ตวั เลขกับสิง่ ทีจ่ ะวดั นัน่ เอง
โชติกา ภาษีผล (2559, น. 2) กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการกำหนด
ตวั เลข (Assignment of Numerals) ให้แก่คณุ ลกั ษณะหรือสิ่งตา่ ง ๆ ทีต่ ้องการวัดตามกฎเกณฑ์
สมนึก ภทั ทิยธนี (2562, น. 3) กลา่ ววา่ การวัดผล หมายถึง กระบวนการหาปริมาณ
ความสามารถเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ต้องการ ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนการสอนโดยใช้
เครื่องมือทางการศึกษาอย่างใดอยา่ งหนึง่ มาวัด ผลจากการวัดจะออกมาเป็นคะแนนหรอื ขอ้ มูล
หรือสญั ลักษณ์
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการในการกำหนดตัวเลขหรือ
สัญลกั ษณ์ให้กับคณุ ลักษณะทีต่ อ้ งการศึกษา โดยใช้เครือ่ งมือต่าง ๆ มาวัดคุณลกั ษณะเหล่านน้ั
4 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 4
ทั้งนีส้ ามารถยกตัวอย่างของการวดั ผล เชน่
นางสาวจูเลียส สอบได้ 80 คะแนน (เครื่องมือทีใ่ ช้วดั ได้แก่ แบบทดสอบ)
วันนี้จังหวัดพะเยา มีอุณหภูมิ 9 องศาเซลเซียส (เครื่องมือที่ใช้วัด ได้แก่
เทอรโ์ มมิเตอร์)
เดก็ ชายอเลก็ ซ์ หนัก 65 กิโลกรมั (เครื่องมือที่ใช้วดั ได้แก่ เครื่องชั่งน้ำหนกั )
เบอร์โทรศัพท์ของคุณครูมาริโอ้ คือ 089-1234567 (เครื่องมือที่ใช้วัด ได้แก่
การสอบถาม)
นางสาวคิมมี่ มสี ีผิวขาวอมเหลือง (เครื่องมือที่ใช้วัด ได้แก่ การสังเกต)
จากตัวอยา่ งที่กล่าวไวข้ า้ งต้น ชใี้ ห้เห็นประเดน็ สำคัญของการวัดผล ทั้งนกี้ ารวดั ผลจะ
เกิดขึน้ ได้ต้องอาศัยองค์ประกอบของการวัดผล 3 ประการ (ศิริชยั กาญจนวาสี, 2548, น. 9;
พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 3-4; โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 2; สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 3)
ประกอบด้วย 1) คุณลกั ษณะที่จะวดั 2) เครือ่ งมือที่ใช้วดั และ 3) ผลทีไ่ ด้จากการวดั
ตัวอยา่ ง องคป์ ระกอบของการวัด แสดงดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ตวั อยา่ งองคป์ ระกอบของการวัดผล
คณุ ลกั ษณะทจี่ ะวัด เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้วัด ผลที่ไดจ้ ากการวดั
1. นางสาวจเู ลยี ส สอบได้กี่คะแนน แบบทดสอบ 80 คะแนน
2. จังหวัดพะเยามีอณุ หภมู ิกอี่ งศาเซลเซียส เทอรโ์ มมิเตอร์
3. เด็กชายอเล็กซ์ มีนำ้ หนกั กีก่ โิ ลกรมั 9 องศาเซลเซียส
4. เบอร์โทรศพั ทข์ องคณุ ครมู าริโอ้หมายเลขอะไร เครื่องชั่งน้ำหนกั 65 กโิ ลกรมั
5. สีผิวของนางสาวคมิ มี่ เป็นอย่างไร การสอบถาม 089-1234567
การสังเกต ขาวอมเหลอื ง
จากตัวอยา่ งในตารางที่ 1 จะเห็นว่า ปญั หาที่ 1-3 เปน็ การวดั ขอ้ มูลเชิงปริมาณ ขอ้ มลู
ที่ได้เป็นตวั เลขที่มีหน่วยวัด ซึ่งตัวเลขจะแทนขนาดของสิ่งทีว่ ัด ส่วนปัญหาที่ 4-5 เป็นการวัด
ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ ผลการวดั ทีไ่ ด้เป็นรายละเอียดของสิ่งทีว่ ดั ไม่มีหน่วยหรืออาจเป็นตวั เลขที่ไม่
มีหน่วย ดังตัวอย่างปญั หาในข้อ 4 ซึ่งตัวเลขที่วดั ออกมาได้นี้ไม่มีความหมายเชิงปริมาณ เป็น
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 55
เพยี งจดั ประเภทหรือจดั กลมุ่ เทา่ น้ัน ดังน้ันการวดั ไม่วา่ จะเป็นขอ้ มูลเชิงปรมิ าณหรือเชิงคณุ ภาพ
ก็ใช้เครือ่ งมือวัดในการวดั เหมอื นกัน ทั้งนเี้ ครื่องมือทีใ่ ช้วดั ผลมีทง้ั เครอ่ื งมือทางวิทยาศาสตร์
เชน่ ไม้เมตร ตาชง่ั เทอรโ์ มมิเตอร์ สว่ นเครอ่ื งมือทางจิตวิทยา เช่น แบบสังเกต แบบสอบถาม
แบบสมั ภาษณ์ เปน็ ต้น
การประเมิน (Assessment)
Anderson, Ball & Murphy (1975, pp. 26-27; เยาวดี รางชัยกลุ วบิ ูลยศ์ รี, 2553, น.
3-4) ได้กล่าววา่ รากศพั ท์เดิมของ “Assessment” มาจากคำวา่ “Assess” ซึ่งมคี วามหมายตาม
ตัวอกั ษรว่า “To Sit Beside” หรือ “To Assist The Judge” และจากความหมายท่ีมีอยู่เดิมนี้เอง
นักประเมินจึงได้ให้ความหมายของคำว่า “Assessment” เสียใหม่ โดยกล่าวว่า “Assessment”
หมายถึง กระบวนการรวบรวมข้อมูลให้อยู่ในรูปที่สามารถตีความได้ เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับ
นำไปสู่การตัดสินใจในขั้นประเมินผล (Evaluation) ตามความหมายข้างต้นจึงเห็นได้ว่า
“Assessment” เป็นเพยี งกระบวนการส่วนหนึง่ ของ “Evaluation” เท่านั้น
บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ (2544, น. 17) กล่าวว่า การประเมิน หมายถึง
กระบวนการรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลสารสนเทศอย่างเป็นระบบทั้งปริมาณและคุณภาพ
โดยกำหนดเกณฑ์เชิงคุณลักษณะสำหรับใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับผู้เรียน แล้วให้ข้อมูล
ย้อนกลับไปยังผู้เรียนเกี่ยวกับความก้าวหน้า จุดเด่น และจุดด้อย เพื่อตัดสินประสิทธิภาพใน
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้และความพอเพยี งของหลกั สตู ร และเพอ่ื ชแี้ นะนโยบาย
ศิริชัย กาญจนวาสี (2548, น. 10) กลา่ ววา่ การประเมิน หมายถึง กระบวนการจัดหา
สารสนเทศสำหรับใช้ตัดสินใจเกีย่ วกบั ผู้เรียนหลักสตู ร โครงการ และนโยบายทางการศึกษา
ชวลิต ชูกำแพง (2550, น. 18) กลา่ ววา่ การประเมิน หมายถึง กระบวนการรวบรวม
และเรียบเรียงขอ้ มูลสารสนเทศอยา่ งเป็นระบบ สำหรับใช้ในการตดั สินใจเกีย่ วกับผู้เรียน
สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (2553, น. 81) กลา่ ววา่ การประเมิน หมายถึง
กระบวนการเก็บข้อมลู ตีความ บนั ทึก และใช้ข้อมูลเกี่ยวกบั คำตอบของผู้เรียนที่ทำในภาระงาน
ชิน้ งาน ว่าผู้เรียนรู้อะไร สามารถทำอะไรได้ และจะทำต่อไปอย่างไรด้วยวธิ ีการและเครื่องมือที่
หลากหลาย
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการรวบรวมสารสนเทศอย่างเป็น
ระบบ ว่าผู้เรียนสามารถทำอะไรได้บ้าง ควรได้รับการพัฒนาหรือปรับปรุงในด้านใด ทั้งนี้
สารสนเทศที่ถกู เก็บรวบรวมเหลา่ นจี้ ะถกู นำไปใช้เพือ่ นำไปส่กู ารตัดสินใจเกี่ยวกบั ผู้เรียน
6 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 6
การประเมนิ ผล (Evaluation)
ศิริชยั กาญจนวาสี (2548, น. 9) กล่าววา่ การประเมินผล หมายถึง การตัดสินคุณคา่
ของสิ่งตา่ ง ๆ ตามเกณฑม์ าตรฐาน
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2552, น. 5) กล่าวว่า การประเมินผล หมายถึง การตัดสินคุณคา่
หรือคุณภาพของผลทีไ่ ด้จากการวดั โดยเปรียบเทียบกบั ผลการวัดอืน่ ๆ หรือเกณฑ์ที่ตั้งไว้
สมนึก ภัททิยธนี (2562, น. 3) กล่าวว่า การประเมินผล หมายถึง การตัดสินหรือ
วนิ ิจฉยั สิง่ ต่าง ๆ ทีไ่ ด้จากการวัดผลโดยอาศัยเกณฑก์ ารพจิ ารณาอย่างใดอยา่ งหนึ่ง
อนวุ ัตร คูณแก้ว (2562, น. 10) กลา่ วว่า การประเมินผล หมายถึง การตดั สินหรือลง
สรุปผลขอ้ มลู จากการวัดผลที่เป็นทั้งปริมาณหรือคุณภาพ วา่ สิง่ น้ันดีมากน้อยเพียงใด มีคุณค่า
อยใู่ นระดับใด เมื่อเทียบกบั มาตรฐานหรือเกณฑท์ ี่ตั้งไว้
กลา่ วโดยสรุปได้วา่ การประเมินผล หมายถึง การตดั สินคณุ คา่ หรือการตดั สนิ ใจ โดย
อาศยั ผลที่ได้จากการวดั และนำมาเปรียบเทียบกบั ผลการวดั อื่น ๆ หรือเกณฑท์ ีก่ ำหนดไว้
ยกตัวอย่างของการประเมินผล เชน่
นายคริสโตเฟอร์ ได้เกรด A
นางสาวดวงเด่น มีความคดิ สร้างสรรคใ์ นระดบั ปานกลาง
คุณครรู าศรี มคี วามดนั โลหิตตำ่
เด็กชายเบสเรียนวชิ าภาษาไทยในเทอม 2 ดีกวา่ เทอม 1
นางสาวเบลล่า เป็นคนสูงมาก
จากตัวอยา่ งขา้ งต้น ชใี้ ห้เหน็ ประเดน็ สำคญั ของการประเมินผล ท้ังนี้การประเมินผล
จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบของการประเมินผล 3 ประการ (ศิริชัย กาญจนวาสี,
2548, น. 9; พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 6; โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 2; สมนึก ภัททิยธนี,
2562, น. 3) ประกอบด้วย 1) ผลที่ได้จากการวัด 2) เกณฑ์ที่กำหนดไว้ และ 3) การตัดสิน
คุณคา่
ตัวอยา่ ง องค์ประกอบของการวัด แสดงดงั ตารางที่ 2
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 77
ตารางที่ 2 ตัวอยา่ งองคป์ ระกอบของการประเมินผล
ผลที่ได้จากการวดั เกณฑ์ที่กำหนดไว้ การตดั สินคุณค่า
1. นายคริสโตเฟอร์ สอบได้ 80 คะแนน คะแนน ≥ 80 ขนึ้ ไป ได้ นายคริสโตเฟอร์ ได้เกรด A
เกรด A
2. นางสาวดวงเดน่ มีคะแนนความคิด คะแนนระหว่าง 60-75 นางสาวดวงเด่น มีความคิด
สร้างสรรค์ 62 คะแนน อย่ใู นระดบั ปานกลาง สร้างสรรคใ์ นระดบั ปาน
กลาง
3. คณุ ครูราศรี มีความดันโลหิต เท่ากับ ความดนั โลหิตต่ำกว่า คณุ ครรู าศรี มีความดนั โลหิต
80/59 มิลลิเมตรปรอท 90/60 มิลลิเมตรปรอท ตำ่
4. เดก็ ชายเบส ได้คะแนนการสอบวชิ า คะแนนเทอม 1 เด็กชายเบสเรียนวชิ าในเทอม
ภาษาไทยในเทอม 1 เทา่ กับ 53 คะแนน เปรียบเทียบกับคะแนน 2 ดีกว่าเทอม 1
และได้คะแนนในเทอม 2 เท่ากับ 80 คะแนน เทอม 2
5. นางสาวเบลลา่ มีส่วนสูงเท่ากับ 193 สว่ นสงู มากกวา่ 180 นางสาวเบลลา่ เปน็ คนสงู
เซนติเมตร เซนติเมตร ถอื วา่ สูงมาก มาก
ความแตกต่างระหว่างการประเมิน (Assessment) และการประเมินผล
(Evaluation)
จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่าการประเมิน (Assessment) หมายถึง กระบวนการ
รวบรวมสารสนเทศอยา่ งเป็นระบบว่าผู้เรียนสามารถทำอะไรได้บา้ ง ควรได้รับการพัฒนาหรือ
ปรบั ปรุงในด้านใด ซึ่งสารสนเทศที่ถูกเกบ็ รวบรวมเหลา่ นจี้ ะใช้เพือ่ นำไปสกู่ ารตดั สินใจเกีย่ วกับ
ผู้เรียน ก็คอื การประเมินผล (Evaluation) นัน่ เอง ซึง่ การประเมินผลก็หมายถึง การตัดสินคุณค่า
หรือการตดั สินใจ โดยอาศัยผลทีไ่ ด้จากการวดั และนำมาเปรียบเทียบกับผลการวดั อื่น ๆ หรือ
เกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้ ดงั นั้น การประเมินและการประเมินผล มีความแตกต่างกันที่จุดมุ่งหมายใน
การใช้ โดยทก่ี ารประเมินผล (Evaluation) น้ัน มุ่งไปที่การสรุปผลเพ่อื ตัดสินคุณคา่ หรือตัดสินใจ
ส่วนการประเมิน (Assessment) มุ่งที่การค้นหาสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน นั่นคือ
ความสามารถในการเรียนรู้จดุ เด่นทีต่ ้องสง่ เสริม หรือจุดด้อยที่ต้องได้รบั การพัฒนา จึงถือได้
วา่ การประเมิน (Assessment) เปน็ สว่ นหนึ่งของการประเมินผล (Evaluation) น่นั เอง
8 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 8
ดังจะเห็นได้จากในชั้นเรียนหรือในโรงเรียน มักจะเจอคำที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน
(Assessment) เชน่ การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment), การประเมินภาคปฏิบตั ิ
(Performance Assessment), การประเมินผลจากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment),
การประเมินเชิงวินิจฉัย (Diagnostic Assessment), การเขียนรายงานการประเมินตนเองของ
สถานศึกษา (Self - Assessment Report: SAR) เปน็ ต้น จะเหน็ ได้ว่าการประเมินตา่ ง ๆ เหล่านี้
ต่างก็เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากผู้เรียนโดยวิธีการที่หลากหลาย เพื่อนำไปสู่
การพัฒนาหรือปรับปรงุ ผู้เรียน ก่อนจะตัดสินผู้เรียนโดยการประเมินผล (Evaluation) ว่าผ่าน
หรือไม่ผา่ นต่อไป
ความสัมพนั ธร์ ะหว่างการทดสอบ การวดั ผล การประเมิน และการประเมินผล
จากความหมายที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จะเห็นได้ว่าการทดสอบ (Testing) การวัดผล
(Measurement) การประเมิน (Assessment) และการประเมินผล (Evaluation) มีความสัมพันธ์
ซึ่งกนั เและกนั เปน็ วัฏจกั ร แสดงดังภาพ 1
ภาพ 1 ความสมั พันธ์ระหว่างการทดสอบ การวดั ผล การประเมนิ และการประเมินผล
จากภาพ 1 สามารถแสดงตัวอยา่ งได้ ดงั นี้
หากครผู ู้สอนต้องการวดั ทักษะการแก้โจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ของนกั เรียนคนหนึ่ง
คณุ ลักษณะที่จะวัด : ทักษะการแกโ้ จทย์ปญั หาคณิตศาสตร์
เครือ่ งมือทีใ่ ช้วัด : แบบทดสอบ
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 99
ผลทีไ่ ด้จากการวดั : 70 เต็ม 100 คะแนน
การประเมินผล : จากสารสนเทศที่เก็บรวบรวมได้จากขั้นตอนข้างต้น หาก
เกณฑท์ ี่กำหนดไว้ ครูผู้สอนพบว่านักเรียนคนดังกล่าว ยังแก้โจทย์ปัญหาทาง
การตดั สนิ คุณค่า คณิตศาสตร์ได้ไมด่ ีเท่าทีด่ ี กค็ วรพฒั นาหรือส่งเสริมนักเรียน
ให้มีทักษะการแก้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตรท์ ีด่ ียิ่งข้นึ กว่าเดิม
: 70 คะแนนข้นึ ไป ถือวา่ ผา่ น
: นกั เรียนผ่านเกณฑ์
ธรรมชาติของการวดั ผลทางการศึกษา
การวัดผลทางการศึกษานั้น ส่วนใหญ่เป็นการวัดคุณลักษณะแฝงที่อยู่ภายในตัว
บุคคล หรือการวัดที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งต่างกันกับการ
วดั ผลทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่มีลักษณะคอ่ นขา้ งเป็นรปู ธรรม ดงั น้ันจึงควรทำความเข้าใจธรรมชาติ
ของการวดั ผลทางการศึกษา ได้กล่าวถึงธรรมชาติของการวดั ผลทางการศกึ ษา (ศิริชัย กาญจน
วาสี, 2548, น. 5; พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 7-10; สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 11-13;
อนุวัตร คณู แก้ว, 2562, น. 4-5) สามารถแสดงรายละเอียดดังนี้
1. การวัดผลทางการศึกษาเปน็ การวัดทีไ่ มส่ มบูรณ์ (Incomplete)
การวัดทางวิทยาศาสตร์สามารถวดั ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น ต้องการวัดน้ำหนัก
ของวตั ถุกน็ ำมาชง่ั และทราบน้ำหนักท้ังหมดของวตั ถชุ นิ้ นั้น หรือนับจำนวนนักเรียนในห้องหนึ่ง
ก็นับได้ว่ามีทั้งหมดกี่คน ส่วนการวัดทางการศึกษาไม่สามารถวัดได้ละเอียดครบถ้วนตามที่
ต้องการ เช่น ในรายวชิ าทีส่ อนนั้นมรี ายละเอียดมากมายจนเกินความสามารถทีจ่ ะวดั ไดท้ ้ังหมด
หากต้องการทดสอบ ก็คงต้องสร้างข้อสอบขึ้นมาจำนวนเป็นร้อยเป็นพันข้อ ซึ่งเปรียบได้กับ
ประชากร (Population) และไม่สามารถนำมาทดสอบกับนักเรียนได้ครบทุกข้อ จึงจำเป็นต้อง
เลือกเนื้อหาสาระเพียงบางสว่ นของปัญหาทีถ่ ือว่าสำคัญ และเป็นตัวแทนในรายวิชานั้น ๆ มา
ทำการวัด ซึ่งเปรียบได้กับกลุ่มตัวอยา่ ง (Sample) และถ้าเลือกข้อสอบมาวัดน้อยเกินไป หรือ
เลือกในจดุ ทีไ่ ม่เป็นตวั แทนของเนือ้ หาที่สำคญั มาวัด ผลทีไ่ ด้กจ็ ะคลาดเคลือ่ นจากความเปน็ จรงิ
ได้งา่ ย
2. การวดั ผลทางการศึกษาเป็นการวดั ทางอ้อม (Indirect)
การวัดทางวิทยาศาสตร์ สามารถวัดได้โดยตรง เช่น ต้องการทราบน้ำหนักของ
วัตถุก็ใช้เครื่องชั่ง หรือต้องการทราบความยาวของโต๊ะก็นำไม้บรรทัดไปวัด ส่วนการวัดทาง
การศึกษาไมส่ ามารถวัดได้โดยตรง เพราะไมม่ ีเครื่องมือใดที่จะทำได้เช่นนั้น ดังเชน่ พฤติกรรม
10 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 10
ของนักเรียนที่เปลี่ยนแปลงไปภายหลงั จากการไดร้ ับการศึกษา เป็นสิง่ ทีม่ องไม่เหน็ จบั ต้องไม่ได้
จึงไมส่ ามารถวัดได้โดยตรง ต้องหาวิธกี ารต่าง ๆ มาวดั แล้วแปลความหมายของพฤติกรรมนั้น
ออกมาอีกทอดหนึ่ง หรือตัวอยา่ งการวดั ด้านพุทธพิ สิ ัย เมื่อทำการสอบนกั เรียนผลออกมาเป็น
คะแนน ครตู ้องนำคะแนนมาแปลความหมายอีกทอดหนึง่ ว่าเขานา่ จะเก่งหรือออ่ น หรือน่าจะมี
ความรู้มากน้อยเพียงใด ซึง่ ไม่แนใ่ จว่าเปน็ การแปลความหมายทถ่ี ูกต้องแนน่ อน
3. การวัดผลทางการศึกษายอ่ มมีความคลาดเคลือ่ น (Error)
เครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์มีความคลาดเคลื่อนน้อย หรือสามารถปรับปรุง
แก้ไขไม่ให้มีความคลาดเคลือ่ นได้ เช่น เครื่องช่งั ไม้บรรทัด นาฬกิ า เปน็ ต้น ส่วนการวดั ผลทาง
การศึกษามีความคลาดเคลื่อนมาก เพราะพฤติกรรมที่ทำการวัดส่วนใหญม่ ีลักษณะซับซ้อน
สังเกต หรือจับต้องไม่ได้ เช่น ความรู้ ความคิดเห็น ดังนั้นองค์ประกอบที่ทำให้เกิด
ความคลาดเคลือ่ นมีมากมาย ซึ่งในที่นี้จะแยกกลา่ วเป็น 2 ประเด็น คอื
3.1 ความคลาดเคลื่อนอยา่ งสมุ่ (Random Error) หรือความคลาดเคลื่อนทีเ่ กิด
จากผู้ถกู วัด ได้แก่ สุขภาพไม่ดี มคี วามกังวล อารมณ์แปรปรวน ทุจริตในการสอบ ฯลฯ
3.2 ความคลาดเคลื่อนอย่างเป็นระบบ (Systematic Error) หรือความคลาด
เคลือ่ นทีเ่ กิดจากสิง่ ภายนอก ได้แก่ สภาพห้องสอบไมด่ ี มเี สียงรบกวน ขอ้ สอบบกพรอ่ ง (โจทย์
ผิดหรือพิมพ์ไม่ชัด) กรรมการกำกับการสอบบกพร่องต่อหน้าที่ หรือการตรวจให้คะแนน
บกพร่อง ฯลฯ เพ่อื เป็นการแก้ไขและป้องกันความคลาดเคลื่อนต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
การวัดผลจะต้องตระหนักและให้ความสำคัญ โดยพยายามป้องกันในสิ่งเหล่านี้เท่าทีจ่ ะทำได้
เช่น แจ้งวันสอบให้นักเรียนทราบล่วงหน้า จัดพิมพ์ข้อสอบให้ถูกต้อง จัดสภาพห้องสอบให้
เรียบร้อย กำกับการสอบอยา่ งเครง่ ครดั พัฒนารปู แบบของขอ้ สอบเพ่อื การตรวจให้คะแนนจะ
ได้ถูกต้องยง่ิ ข้นึ เป็นต้น
ทั้งนี้ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการสอบ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปสมการทาง
คณิตศาสตรไ์ ด้ดังนี้
X=T+E
เมือ่ X แทน คะแนนที่วัดได้ (Observed Score)
T แทน คะแนนทีแ่ ท้จริง (True Score)
E แทน คะแนนที่เกิดจากความคลาดเคลื่อน (Error Score)
ตัวอยา่ งเชน่ นายแดง สอบวชิ าภาษาไทยได้ 30 คะแนน ปรากฏว่าคะแนนจริงควร
จะได้เพียง 27 คะแนน ที่เกินมา 3 คะแนน เพราะเดาคำตอบหรือทุจริต สามารถเขียนเป็น
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 1111
สมการได้ว่า 30 = 27 + 3 ส่วนนายดำ สอบวิชาเดียวกันได้ 30 คะแนนเท่ากัน ปรากฏว่า
คะแนนจริงควรจะได้ถึง 32 คะแนน ที่ขาดไป 2 คะแนน เพราะมีสิ่งรบกวนข้อสอบผิดหรือ
คำถามไมช่ ดั เจน สามารถเขยี นเป็นสมการได้ว่า 30 = 32 + (-2)
ดงั นั้น การทีน่ ายแดงและนายดำได้คะแนนเทา่ กนั คอื 30 คะแนน (คะแนนจริงควร
จะได้ 27 และ 32 คะแนน) ครูผู้สอนจึงไม่สมควรรีบด่วนสรุปว่า 2 คนนี้เก่งเท่ากัน หรือมี
ความสามารถเท่ากนั โดยต้องคดิ เผื่อความคลาดเคลื่อนไวด้ ้วย
ในเรือ่ งของคะแนนจริงน้ันไม่มีใครจะสามารถทราบได้ แม้นักวดั ผลได้พยายามคิด
คำนวณหาคะแนนจริงของผู้สอบ โดยเลี่ยงไปหาค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการวัด
(Standard Error of Measurement) หรือค่าความเชื่อมั่นของการวัด (Reliability) ก็เป็นค่า
โดยประมาณเท่าน้ัน
ด้วยเหตุนี้ ในการวัดผลการศึกษา ผู้ทำการวัดผลหรือครูผู้สอนจะต้องพยายาม
ควบคุมความคลาดเคลื่อนต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลของการวัดที่ใกล้เคียงกับ
ความสามารถที่แท้จริงของผู้ถกู วัดหรือผู้เรียนมากที่สุด
4. ผลจากการวดั ทางการศึกษาแสดงในรูปของความสมั พันธ์ (Relation)
ขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการวดั ทางวทิ ยาศาสตร์เปน็ เพยี งหนว่ ยเดยี ว (หน่วยการวดั พ้ืนฐาน)
กม็ ีความหมายหรือให้ความรู้หรือเขา้ ใจได้ เช่น นายแดงสงู 140 ซม. แสดงว่านายแดงเตี้ยมาก
หรือฝรงั่ ผลนี้ หนัก 1 กก. กใ็ ห้ความรู้สึกได้ทันทีวา่ เป็นผลฝรัง่ ที่มีขนาดโตมาก ส่วนข้อมูลหรือ
คะแนนที่ได้จากการวัดทางการศึกษาเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่มีความหมายใด ๆ เช่น ในการ
ทดสอบวิชาหนึ่ง นายดำได้คะแนน 20 คะแนน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ได้คะแนนมาก–น้อย
หรือเก่ง–อ่อน หากจะให้คะแนนตัวนี้มีความหมายหรือเกิดความเข้าใจได้ก็ต้องนำไป
เปรียบเทียบกบั ข้อมลู อย่างอื่น โดยท่ัวไปนิยมใช้ 3 แบบ ได้แก่
4.1 นำคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทยี บกับคะแนนเตม็ เรียกว่าระบบเปอร์เซน็ ต์
เช่น นายดำสอบได้ 20 คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน หรือได้ 40%
แสดงวา่ ทำคะแนนได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคะแนนเตม็ (ส่วนจะประเมินผลว่าเกง่ หรือไมเ่ ก่งเป็นอีก
เรือ่ งหนึ่ง)
4.2 นำคะแนนทีไ่ ด้เปรียบเทยี บกบั คะแนนเฉลีย่ ของกลุ่ม เรียกวา่ ระบบอิงกลมุ่
เชน่ นายดำสอบได้ 20 คะแนน สว่ นคะแนนเฉลีย่ ของกลมุ่ เท่ากับ 13 คะแนน
แสดงวา่ ทำคะแนนได้สงู กวา่ คะแนนเฉลีย่ ของกลุม่
12 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 12
4.3 นำคะแนนที่ได้เปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ทีก่ ำหนดข้นึ เรียกว่าระบบอิงเกณฑ์
เช่น ต้ังเกณฑก์ ารผา่ น คอื 18 คะแนน ดงั น้ันนายดำสอบได้ 20 คะแนน แสดง
ว่าทำคะแนนได้ผ่านเกณฑ์
5. การวัดผลทางการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่มีศูนย์แท้หรือศูนย์สมบูรณ์
(Absolute Zero)
การวัดทางวิทยาศาสตร์มีศูนย์แท้ เช่น ความยาว 0 เซนติเมตร แสดงว่าไม่มี
ความยาว หรือไม้ทอ่ นแรกยาว 6 เมตร ส่วนทอ่ นทีส่ องยาว 3 เมตร แสดงว่าทอ่ นแรกยาวเป็น
2 เทา่ ของท่อนที่สอง ส่วนการวัดผลทางการศึกษาน้ัน ไม่มีศูนยแ์ ท้หรือศนู ยส์ มบรู ณ์ ต้องสมมติ
เป็นศูนย์ขึ้นมาจึงเรียกว่าศูนย์สมมติ (Arbitrary Zero) กล่าวคือ ผู้ที่สอบได้ 0 คะแนน ไม่ได้
หมายความว่าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นเลย เพยี งเขาอาจมีความรู้แตข่ อ้ สอบไม่ได้ถามในสิ่งที่เขารู้
หรือนาย ก. สอบได้ 20 คะแนน ส่วนนาย ข. สอบได้ 10 คะแนน แสดงว่า นาย ก. ได้คะแนน
เป็น 2 เท่าของ นาย ข. แตไ่ ม่ได้หมายความวา่ เกง่ เปน็ 2 เทา่ เพราะการวัดผลทางการศึกษาไม่
มีศนู ย์แท้ (คอื ไม่สามารถระบไุ ด้วา่ ตำแหนง่ ของความรู้ที่เปน็ ศูนยอ์ ยู่ ณ ที่ใด)
ในการวัดทางวิทยาศาสตร์สามารถใช้ทั้งศูนย์แท้และศูนย์สมมติ การเลือกใช้จึง
ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสิ่งที่วัด หรือเพื่อให้เข้าใจในการสื่อความหมาย เช่น เรื่องของ
อุณหภูมิ จะนิยมใช้ศูนย์สมมติ ได้แก่ 0°C (ศูนย์ องศาเซลเซียส) แทนการใช้ศูนย์แท้ คือ 0°A
หรือ 0°K (ศูนย์องศาเคลวิน) กล่าวคือ 0°C หมายถึง จุดที่อุณหภูมิของน้ำกำลังกลายเป็น
น้ำแข็ง หรือจุดที่น้ำแข็งกำลังหลอมเหลวกลายเป็นน้ำ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ณ จุด 0°C ยังมี
อณุ หภมู ิเท่ากับอณุ หภูมิ 32° F (องศาฟาเรนไฮต์) หรือเท่ากบั อณุ หภูมิ 273°K หรือไมไ่ ด้แปลว่า
เป็นจุดที่มีอุณหภมู ิตำ่ สุด (จุดที่มีอุณหภูมิต่ำสุด คือ -273°C หรือ 0°K) การบอกความสูงของ
ภูมิประเทศ ก็นิยมใช้ศูนย์สมมติ เช่น กล่าวว่ากรุงเทพมหานคร มีความสูงโดยเฉลี่ย 2 เมตร
จากระดับน้ำทะเล (หมายความว่า ณ ผิวน้ำทะเลสมมติให้มีความสูงเป็น 0 เมตร) หรือเรื่องของ
เวลา กใ็ ช้ศนู ยส์ มมติ เช่น เริ่มจับเวลา ณ เวลานั้น จะเป็นเวลาของศนู ยส์ มมติ
ทั้งนใี้ นเรือ่ งของศนู ย์แท้และศนู ย์สมมติทีไ่ ด้กล่าวไวข้ า้ งต้น จะขยายความเพ่ิมเติม
ในเรือ่ งมาตราการวดั ดังหวั ขอ้ ตอ่ ไป
ลักษณะของการวดั ผลทางการศึกษา
การวดั ผลการศึกษาแบง่ ออกได้เป็น 2 ลักษณะ ประกอบด้วย
1. การวัดทางกายภาพ (Physical Measurement) เป็นการกำหนดจำนวนหรือ
ตัวเลขแทนคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมหรือสัมผัสได้ จัดในศาสตร์ที่เรียกว่า
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 1133
กายภาพศาสตร์ (Physical Sciences) ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ 1) การวัดด้าน
น้ำหนกั หรือมวล 2) การวัดด้านระยะทาง และ 3) การวดั ด้านเวลา ตวั อยา่ งของสิง่ ทีว่ ดั ได้ เช่น
ขนาดความยาว น้ำหนกั พ้ืนที่ ความเร็ว เป็นต้น การวัดจะมีเครื่องมือทีม่ ีความตรงและเชื่อถือ
ได้มีหนว่ ยการวัดที่แนน่ อน ถือว่าเป็นการวดั ทางตรง (สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 2)
ส่วนหน่วยที่เกิดจากการวัดในลักษณะใดลกั ษณะหนึ่ง เรียกว่าหนว่ ยพื้นฐาน เชน่
กรัม กิโลเมตร เซนติเมตร ชั่วโมง เป็นต้น ถ้านำการวัดพื้นฐานเหล่านี้มาสัมพันธ์กัน เรียกว่า
การวดั ความสัมพนั ธ์ และหนว่ ยการวดั ทีไ่ ด้ เรียกว่า หนว่ ยความสัมพันธ์หรือหนว่ ยรว่ ม เชน่
- การวดั ความเร็ว = ระยะทาง ÷ เวลา
- การวัดพ้ืนที่ = ระยะทาง x ระยะทาง
- การวดั ปริมาตร = ระยะทาง x ระยะทาง x ระยะทาง
- การวดั ความหนาแนน่ = มวล ÷ ปริมาตร
- การวัดงาน = แรง x ระยะทางไปตามแนวแรง
จากตัวอย่างที่ยกมา จะเหน็ ได้ว่าไม่วา่ จะวดั อะไรก็เอาหน่วยการวัดพ้ืนฐานตั้งแต่
1-3 ด้าน มาสัมพนั ธก์ ัน
2. การวัดทางจิตภาพ (Psychological Measurement) เปน็ การพยายามกำหนด
จำนวนหรือตัวเลขให้กับคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นนามธรรม ส่วนใหญ่จะหมายถึงพฤติกรรม
ของมนุษย์และผลงานทางความคดิ ของมนุษย์ จัดเป็นการวดั ในศาสตรท์ ี่เรียกว่าสังคมศาสตร์
(Social Sciences) ตัวอย่างของสิ่งทีจ่ ะวัด เช่น ความรู้ความคิดเชิงวิชาการ สติปัญญา หรือ
ความถนัด ความสนใจ ความรับผิดชอบ ทศั นคติ และคุณค่าของผลงานต่าง ๆ เป็นต้น การวัด
ลกั ษณะเหล่านมี้ ีปัญหาทวี่ ่าไม่สามารถจะระบุสิ่งที่ควรวดั ได้อยา่ งแนน่ อนเฉพาะอย่าง และไม่มี
เครื่องมือวัดลักษณะแต่ละอย่างได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์จริง ๆ โดยต้องใช้เครื่องมือหลาย ๆ
อยา่ งวัดประกอบกัน การวัดลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ อาจจะเรียกว่าเปน็ การวดั ทางออ้ ม
มาตราการวดั ผล
การวัดผล แบ่งออกเป็น 4 ประเภท (Wiersman, 1990, pp.9-13; บุญชม ศรีสะอาด
2543, ,น. 21-22; ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, 2551, น. 26-29; รัตนะ บัวสนธ์, 2551,
น. 166-167; ปกรณ์ ประจันบาน, 2552, น. 183-185; ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีวัฒน์ ปิตยา
นนท์, และดิเรก ศรีสุโข, 2555, น. 15-17; สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 13-15; อนุวัตร คูณ
แก้ว, 2562, น. 229-230) สามารถแสดงรายละเอียดดังนี้
14 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 14
1. มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) เป็นมาตราการวัดที่ใช้กับข้อมูลที่มี
ลกั ษณะผิวเผิน ค่อนขา้ งหยาบ เพราะเป็นเพยี งการเรียกชือ่ (Naming) หรือจำแนกชนิด หรือให้
สัญลักษณ์กับสิ่งต่าง ๆ โดยที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ นอกจากแสดงให้เห็นเพียง
ความแตกตา่ งของสิง่ ต่าง ๆ เท่าน้ัน เช่น การจำแนกคนออกตามเพศ อาชีพ การนบั ถือศาสนา
นอกจากนี้ยังมีการจำแนกโดยสมมติขึ้นเองในหมู่คณะของตน แต่ไม่ใช่ลักษณะประจำตัว เชน่
หมายเลขนักฟตุ บอล หรือหมายเลขโทรศัพท์ หรือทะเบียนรถ ฯลฯ ซึ่งตวั เลขเหลา่ นี้ ไม่สามารถ
นำมาเปรียบเทียบกันได้ หรือบอกปริมาณมากน้อย หรือมีค่าสูง-ตำ่ แตอ่ ย่างใด หรือกล่าวได้
วา่ ตวั เลขเหล่านไี้ มม่ ีความหมายเชิงปริมาณ ดงั นั้นจึงไมส่ ามารถนำตวั เลขมาบวกลบกันได้
2. มาตราเรียงลำดบั (Ordinal Scale) การวัดตามมาตราชนิดนี้ดีกว่ามาตราการ
วัดชนิดแรก กล่าวคือสามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้ หรือจัดอันดับข้อมูลได้ว่า มาก-
น้อย, สูง-ต่ำ,ดี-ช่ัว หรือเรียงลำดบั ตามคุณภาพ แต่ยังถือว่าเป็นการวัดที่ค่อนข้างหยาบ เชน่
ผลการสอบ พบว่า นายแดงเก่งกวา่ นายดำ แตก่ ็ยังไมท่ ราบวา่ เกง่ กว่ากันเท่าไร มาตราการวัด
ในระดบั นี้ นอกจากจะเปน็ การจำแนกขอ้ มูลว่าต่างกันแล้ว ยังบอกได้อีกว่าที่ต่างกันน้ันต่างไป
ในทิศทางไหน ดีหรือเลว สูงหรือต่ำกว่า มากหรือน้อยกว่า แต่ไม่สามารถนำมาบวกลบกันได้
เช่นเดียวกับมาตรานามบัญญัติ เพราะแต่ละหน่วยที่เกิดจากการเรียงลำดับมีระยะห่างไม่
เท่ากัน หรือไมส่ ามารถบอกระยะหา่ งระหว่างของสองสงิ่ หรอื หลาย ๆ สิ่งได้ เชน่ ความแตกต่าง
ระหว่างคนทีเ่ ก่งที่สุดอันดับที่ 1 กบั คนที่เกง่ อันดบั ที่ 2 จะไมเ่ ท่ากบั ความแตกต่างระหว่างคนที่
เก่งอนั ดับที่ 3 กับอันดับที่ 4 หรือคนทีส่ อบได้อนั ดบั ที่ 10 ไมไ่ ด้เก่งเป็นสองเทา่ ของคนที่สอบได้
อันดบั ที่ 20
การกำหนดตวั เลขในมาตรานี้ ส่วนมากเริม่ จาก 1 2 3... ตอ่ ไปเรื่อย ๆ จนถึงต่ำสดุ
จะเห็นไดจากอนั ดบั การสอบได้ของนักเรียน เช่น ได้ท่ี 1 ที่ 2 ที่ 3 ... ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดท้าย
จะเห็นได้วา่ หน่วยของ 1 2 และ 3 ไมเ่ ทา่ กนั การเปรียบเทียบจึงทำได้ไม่สมบูรณ์ ดงั ภาพ 2
ภาพ 2 ตวั อย่างขอ้ มูลมาตราการวัดเรียงลำดบั (Ordinal Scale)
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 1155
จากภาพ 2 จะเห็นได้ว่า การนำอันดับที่เพื่อมาบวกลบกันนั้นไม่สามารถทำได้ เพียง
สามารถบอกได้วา่ ในเรือ่ งใด พฤติกรรมใด หรือคณุ ลกั ษณะใด เหนือกว่าหรือด้อยกว่ากัน แต่
ไม่สามารถบอกปริมาณความมากน้อยได้ จึงกล่าวได้ว่ามาตราเรียงอันดับนี้บอกได้แต่ทิศทาง
เท่าน้ัน
3. มาตราอันตรภาค (Interval Scale หรือ Equal Interval Scale) เป็นมาตราที่
มีคุณสมบตั ิของมาตรานามบัญญตั ิ และมาตราเรียงอันดับ แล้วเพม่ิ ความมีช่วงเท่า ๆ กัน เข้า
ไปอีกคุณสมบัติหนึง่ นั่นคือคะแนนในมาตรานี้ค่ามากแปลว่ามาก ค่าน้อยแปลว่าน้อย แล้วยงั
สามารถนำมาบวกมาลบกนั ได้ดว้ ย แต่มีข้อเสียอย่างหนึ่งคอื ไมม่ ีศูนย์แท้ ดังนั้นการเปรียบเทียบ
ทำได้เพียงแค่การบวกและลบกันเท่านั้น แต่การคูณและการหารจะไม่สามารถทำได้เลย เช่น
การสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปรากฏว่า พชิ ัยได้ 50 คะแนน สว่ นพิภพได้ 25 คะแนน และพศิ าลได้
0 คะแนน แสดงวา่ พชิ ัยสอบได้คะแนนมากกวา่ พภิ พ 25 คะแนน แต่ไม่ได้หมายความวา่ พชิ ยั เก่ง
กว่าพิภพ 2 เท่า นอกจากนี้ พิศาลได้ 0 คะแนน ก็ไม่ได้หมายความว่าพิศาลไม่มีความรู้ แต่
หมายความว่าพิศาลตอบไม่ถูกเลย คะแนนศูนย์ (Zero Point) เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อ
การนำไปใช้ แต่ไม่ได้หมายความวา่ ไมม่ ีค่า แต่เป็นคา่ ที่ไมแ่ ท้จริง
4. มาตราอตั ราสว่ น (Ratio Scale) เป็นมาตราการวดั ทีม่ ีลักษณะสมบรู ณท์ ุกอยา่ ง
และดีกว่ามาตราอนั ตรภาค เพราะมีศนู ย์แท้ (Absolute Zero) ซึง่ แปลวา่ ไม่มี หรือเริม่ ต้นจาก 0
เช่น ความสงู 0 นวิ้ กแ็ ปลวา่ ไม่มีความสงู หรือน้ำหนกั 0 กิโลกรมั กเ็ ท่ากบั ไม่มีน้ำหนัก เปน็ ต้น
เครื่องมือการวัดหรือวิธีการทางสถิติหรือทางคณิตศาสตร์ใช้ได้ท้ังหมด ทั้งการบวก ลบ คูณ
และหาร รวมทั้งการหาค่าของกรณฑ์หรือเลขยกกำลังต่าง ๆ เช่น ระยะทาง 100 เมตร ย่อม
ยาวเป็น 2 เท่าของระยะทาง 50 เมตร หน่วยการวัดระดับนี้ เรียกว่าหน่วยการวัดทาง
วทิ ยาศาสตร์ และจะไมม่ ีใช้ในการวัดทางการศึกษา (เพราะการวดั ทางการศึกษาไม่มีศูนยแ์ ท้)
เมือ่ ทำความเขา้ ใจถึงมาตราการวัดท้ัง 4 ระดบั แล้ว กจ็ ะเกิดความเขา้ ใจว่าตัวเลขที่ได้
จากการวัดผลการศึกษาส่วนใหญ่จัดอยู่ในระดับที่ 3 เท่านั้น จึงมีความหมายไม่สมบรู ณ์ แต่
สามารถจะนำมาวิเคราะห์ค่าในเชิงสถิติได้ เช่น การหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย มัยธฐาน
ฐานนิยม พสิ ยั และส่วนเบี่ยงมาตรฐาน เป็นต้น
ข้อควรคำนึงเก่ยี วกบั การวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษา
สมนึก ภัททิยธนี (2562, น. 17-18) ได้กล่าวถึงข้อควรคำนึงเกี่ยวกับการวัดผลและ
ประเมินผลทางการศึกษาไวว้ า่ หากยดึ หลักการวดั ผลที่ว่า วดั ผลเพ่อื คน้ และพัฒนาสมรรถภาพ
ของนักเรียน ย่อมหมายถึง ต้องศึกษาวิเคราะห์หาข้อบกพร่องต่าง ๆ ของนักเรียน จากนั้นจึง
16 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 16
พัฒนาส่งเสริมให้นกั เรียนได้เจริญงอกงามตามที่ต้องการ ดังน้ันอยา่ พยายามแยกการสอนกับ
การสอบออกจากกัน การสอบที่ดีจะส่งผลสะท้อน (Feedback) ไปถึงนักเรียนให้มีความรู้
ความสำเร็จเพิ่มขึ้น คำถามในข้อสอบต้องถามให้คิดไม่ใช่ถามความจำจากเอกสาร ตำรา
นักเรียนจะไม่มีไหวพริบ คิดวิเคราะห์ไม่เป็น ฉะนั้นครูที่ดีจะต้องสามารถวิเคราะห์หลักสูตร
เขยี นข้อสอบ วเิ คราะห์ข้อสอบ และแปลความหมายของคะแนนที่วดั ได้ ครูอยา่ ใช้การสอบเพ่ือ
ตัดสิน หรือเพื่อคัดเลือกออก แต่ควรจะเป็นการสอบเพื่อพัฒนานักเรียนหรือพัฒนาการเรยี น
การสอน โดยครูต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. การสอบ การวัดผลและประเมินผล ไม่ควรทำเฉพาะปลายภาคหรือสิ้นปี
เพื่อตัดสินผู้เรียนว่าสอบได้หรือสอบตก หรือเพียงเพื่อการเลื่อนชั้น และถ้าไม่นำผลนั้นมา
ปรับปรุงแก้ไขการเรียนการสอนหรือการบริหารการศึกษาให้ดีขึ้น นับว่าเป็นการลงทุนที่ไม่
คมุ้ คา่
2. ไม่ควรใช้การสอบเพื่อการไล่หรือคัดออก แตค่ วรเป็นไปเพอ่ื คน้ หาสมรรถภาพ
ของผู้เรียน และหาทางแนะแนวส่งเสริมให้นักเรียนมีความสามารถ มีความเจริญงอกงาม
ประสบความสำเรจ็ ในการเรียนและการทำงานเพ่มิ ข้นึ
3. ครูอย่าสอนเพื่อสอบหรือสอนให้ตรงกับข้อสอบ เพราะเป็นการใช้การสอบ
หรือวัดผลนำการเรียนการสอน นำหลักสูตร จึงไม่ควรสอนแบบกวดวิชา ติว เก็งข้อสอบ ซึ่ง
การกระทำอย่างนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการศึกษา เป็นการทำลายคนและอนาคตของชาติ
เป็นคนเห็นแก่ตวั เอาแตไ่ ด้ ขาดสติปัญญา ขาดความคดิ ริเริ่มทางวชิ าการ
4. ครูควรใช้การวัดผล เพ่อื กระตุ้นให้นกั เรียนใช้ความคดิ หรือสติปัญญาค้นคว้าหา
คำตอบ และนำไปสูก่ ารปฏิบตั ิ พยายามอยา่ ให้การสอบไปทำลายการสอน เพราะการสอบเป็น
เพียงการวัดสมรรถภาพของผู้เรียนโดยทางอ้อม ผลผลิตของการศึกษาขั้นสุดท้าย คือ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคดิ และสามารถปฏิบตั ิได้
5. การเขียนขอ้ สอบ ต้องเขยี นตามความสำคัญของผลการวเิ คราะห์หลักสูตร หรือ
ตามตารางความสัมพันธ์ระหวา่ งเนอื้ หาสาระ ความคดิ รวบยอด และจุดประสงค์การเรียนรู้ ไม่
ควรเขียนข้อสอบโดยวิธีลอกข้อความจากเอกสาร ตำรา เนื่องจากเป็นการไม่คำนึงถึงสภาพ
ความเป็นจริงสภาพของผู้เรียน และสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปแต่ละชุมชน ซึ่งจะทำให้ไม่
สามารถเขยี นข้อสอบได้ครอบคลมุ เนื้อหาท้ังหมด และถือวา่ เปน็ การไม่ยุติธรรมตอ่ ผู้เรียน ผลที่
วดั ได้จะข้นึ อยู่กับความชอบและความพอใจของผู้สอน
6. ครแู ละผูบ้ ริหารการศกึ ษาต้องระวงั อยา่ ใช้ผลการสอบของนกั เรียนแต่ละช้ันไป
ประเมินผลงานในการพิจารณาความดีความชอบของครูแต่ละคน เพราะจะมีผลต่อการเรียน
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 1177
การสอน ทำให้การสอบผิดเป้าหมาย ครูก็จะหาทางสอนแบบกวดวชิ าช่วยเหลือนกั เรียนในการ
ทำขอ้ สอบ เพราะผู้บริหารเอาการวดั ผลการเรียนของนักเรียนไปเกี่ยวขอ้ งกับผลประโยชน์ของ
ครู จึงทำให้เกิดปญั หาทีเ่ ป็นอันตรายอยา่ งย่งิ ต่อการศึกษา
7. การสอบการวัดผล จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอน
อย่างแยกกันไม่ออก จะต้องทดสอบบอ่ ย ๆ อย่างสม่ำเสมอ ใช้เครื่องมือในการวัดผลหลาย
ชนิดอย่างเหมาะสมกับจุดมุ่งหมาย ลักษณะเนื้อหาวิชา สภาพของนักเรียน และสิ่งแวดล้อม
อย่าออกข้อสอบแบบสุกเอาเผากิน อย่าทำอย่างสบาย พอใกล้เวลาจะสอบปลายภาคหรือ
ปลายปีจึงค่อยคิดจัดทำอย่างเร่งรีบ จะส่งผลให้คุณภาพทางการศึกษาไม่ได้รับการพัฒนาไป
เทา่ ทีค่ วร
คณุ ธรรมของนกั วัดผลและประเมินผลทางการศึกษา
ถ้าจะเปรียบความสำคัญของนักวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา ก็คงมี
ความสำคญั ไม่น้อยกว่าอาชีพแพทย์ ท้ังนแี้ พทยต์ ้องวนิ ิจฉยั อาการทางร่างกายของคน ส่วนนัก
วัดผลการศึกษาต้องวนิ ิจฉยั ระดับสติปัญญาของคนว่าเก่ง อ่อน หรือควรพฒั นาไปทางด้านใด
ดังนั้นความสามารถและคุณธรรมของนักวัดผลและประเมินผลทางการศึกษาจึงถือเป็นเรื่อง
สำคญั ไมน่ ้อย บอ่ ยคร้ังที่มกั จะทราบขา่ วจากปัญหาต่าง ๆ เชน่ กรรมการบอกขอ้ สอบแก่ผู้เข้า
สอบ โดยเฉพาะการสอบคัดเลือก การโกง การตรวจคะแนน การนำแบบทดสอบไปขาย หรือ
การเปลี่ยนรายชื่อคนสอบตกเป็นสอบได้ การให้ระดับผลการเรียน (เกรด) สูง ๆ เพื่อแลกกับ
ผลประโยชน์บางอย่าง เป็นต้น พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ทำการวัดผลและประเมินผล
ทางการศึกษาขาดคณุ ธรรม ด้วยเหตุนี้ ผู้ท่จี ะทำการวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษาควรมี
คุณลักษณะ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 24-25; สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 10; อนุวัตร
คณู แก้ว, 2562, น. 24) ดงั นี้
1. มีความซื่อสัตย์สุจริต กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ต่องานวัดผล ไม่คดโกง
ไม่เห็นแก่สินจ้างรางวลั ไมเ่ หน็ แก่ทรัพยส์ ินเงินทอง เชน่ ไม่นำแบบทดสอบไปขายหรือคัดลอก
ขอ้ สอบออกไปจากห้องสอบ หรือแก้คะแนนในระเบียนบนั ทึกคะแนน
2. มีความยุติธรรม กล่าวคือ ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับการวัดผลทุกคน เช่น
การตรวจให้คะแนนต้องไม่มีความลำเอียงสำหรับนักเรียนบางคน หรือไม่ใช้อารมณ์ใน
การตรวจให้คะแนน ดงั นั้นในการทำงานด้านวัดผลนี้ ต้องใช้เทคนิคการวัดผลอย่างถูกวิธีและมี
ความเปน็ ธรรมแกน่ ักเรียนทกุ คน
18 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 18
3. มีความขยันและอดทน กล่าวคือ งานด้านการวัดผลมักจะกระทำในช่วงสั้น ๆ
หรือต้องทำการวัดผลอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา ดังนั้นต้องทำการวัดและประเมินผลด้วย
ความขยนั อดทน มีความมุมานะ ไมเ่ ฉือ่ ยชา
4. มีความละเอียดถีถ่ ้วนและรอบคอบ กล่าวคือ งานด้านอื่น ๆ หากทำผิดพลาด
แล้วแก้ไขได้ แต่งานด้านการวัดผลต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดจะ
เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น การเตรียมแบบทดสอบ การบรรจุซอง การกรอกคะแนน
การตัดสินผล การประกาศผลการสอบ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังและ
เรียบร้อย และไม่ให้เกิดความผิดพลาด
5. ตรงต่อเวลา กลา่ วคือ ทำงานด้านวัดผลให้เสรจ็ เรียบร้อยตามเวลาทีก่ ำหนด เช่น
การนัดหมายสง่ ต้นฉบบั ข้อสอบ การสง่ คะแนน การนัดวนั เวลาสอบนักเรียนอย่างมีหลักเกณฑ์
มีการวางแผนล่วงหน้า และทำงานเกี่ยวกบั การสอบอยา่ งมีระบบ
6. สนใจเทคนิคการวัดผลอย่างสม่ำเสมอ กล่าวคือ เมื่อมีงานเกี่ยวกับทางด้าน
การวัดผลทางการศึกษา ก็พยายามใช้เทคนิคการวัดผลอย่างเหมาะสมในเชิงวิชาการ และ
สอดคล้องกบั ระเบียบของการวดั และประเมินผลที่กำหนดไว้ มิใช่พยายามทำเพือ่ ให้งานเสรจ็
ตามกำหนดเพยี งอย่างเดียว หรือทำแบบ “สุกเอาเผากิน”
7. ต้องรักษาความลบั อย่างเครง่ ครัด กลา่ วคอื ไมส่ ร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่
ผู้ให้ข้อมูลในการประเมิน มีความรอบคอบระมดั ระวงั ในเรื่องที่ละเอียดออ่ น
หลักการวัดผลทางการศึกษา
การวดั ผลทางการศึกษาจะมีประสิทธิภาพเพยี งใด สว่ นหนึง่ ข้นึ อย่กู ับหลักการวัดผล
หรือวธิ ีการวัด หากไม่มีหลกั ในการวัดแล้วก็จะไมส่ ามารถวัดพฤติกรรมตามที่ต้องการได้ หรือ
ต้องการวดั สิง่ หนึง่ แตไ่ ด้ผลออกมาเปน็ อีกสิง่ หนึ่ง ดงั นั้นในการวัดผลที่ดีต้องยดึ หลักการวัดผล
เบื้องต้น (พชิ ิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 11-13; สมนึก ภทั ทิยธนี, 2562, น. 16-17) ดงั นี้
1. ต้องวดั ใหต้ รงกับจุดมงุ่ หมายของการเรียนการสอน
กล่าวคือ การวัดผลจะเป็นสิ่งตรวจสอบผลจากการสอนของครู ว่านักเรียนเกิด
พฤติกรรมตามทีร่ ะบไุ วใ้ นจดุ มุ่งหมายการสอนมากน้อยเพียงใด ถ้าวดั ผลโดยไมย่ ดึ จดุ มุ่งหมาย
ของการเรียนการสอนเป็นหลัก ก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้น จะไม่ทราบพัฒนาการของ
นักเรียนว่าได้บรรลเุ ป้าหมายตามทีร่ ะบไุ วใ้ นหลักสตู รหรือไม่ หรือกลา่ วได้วา่ เปน็ ความสูญเปล่า
ทางการศึกษาอยา่ งหนึง่ ท้ังนคี้ วามผิดพลาดทีท่ ำให้การวดั ไม่ตรงกับจดุ มุ่งหมาย ได้แก่
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 1199
1.1 ไม่ศึกษาหรือนิยามคณุ ลักษณะที่ต้องการจะวัดให้ชัดเจน คือบางครั้งผู้วัดไม่
เข้าใจสิ่งที่จะวัดอยา่ งแจม่ แจ้ง ชัดเจนเพียงพอ หรือเข้าใจในสิ่งที่วดั ผิด ทำให้วัดได้ไม่ตรงกับ
จุดมงุ่ หมายท่ตี ้องการจะวดั ไม่สามารถแปลความหมายได้อยา่ งมัน่ ใจ ดงั น้ันเพอ่ื ให้การวัดตรง
กับจุดม่งุ หมายและเปน็ รปู ธรรม ผู้วดั ควรนิยามคณุ ลกั ษณะที่จะวัดให้ชัดเจนกอ่ น
1.2 ไม่มีความคิดรวบยอดในสิ่งที่ต้องการจะวัด คือไม่ทราบว่าสิ่งที่จะวัดนี้มี
หลักการหรือสาระสำคัญว่าอย่างไร แสดงพฤติกรรมอย่างไร เช่น ต้องการวัดความเข้าใจใน
การจับใจความ แตค่ รูไม่ทราบวา่ ความหมายของความเข้าใจในการจับใจความคืออะไร และมี
พฤติกรรมเป็นอย่างไร
1.3 ใช้เครื่องมือวดั ไม่ถูกต้อง คอื ไม่ทราบว่าจะหาวธิ ีการหรือเครื่องมือชนิดใดมา
ใช้บ้าง จึงจะวัดพฤติกรรมที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง เที่ยงตรง เชื่อถือได้มากที่สุด เช่น สอน
เรื่องการขยายพันธุ์พืช ครูควรสอนให้นักเรียนลงมือปฏิบตั ิจริง แล้วทำการวัดผลงานเหลา่ นั้น
ดีกว่าทีจ่ ะวดั โดยการใช้แบบทดสอบ เรื่องการใช้เครือ่ งมือวดั นมี้ ีครเู ปน็ จำนวนมากยังเข้าใจผิด
คอื มักจะใช้เฉพาะแบบทดสอบท้ัง ๆ ทีบ่ างเรื่องเป็นพฤติกรรมด้านจิตพสิ ัยหรือเป็นพฤติกรรม
ด้านทักษะพสิ ัย ซึ่งต้องการให้นกั เรียนได้แสดงออกจนเป็นนิสัยหรือลงมือปฏิบัติจริง
1.4 วัดไม่ครบถ้วน คือตั้งจุดมุ่งหมายที่จะวัดไว้หลายอย่าง แต่ไม่สามารถวัดได้
ครบถ้วนทกุ อยา่ ง เช่น ตั้งจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนวา่ “นักเรียนสามารถอ่านและเขยี น
คำที่สะกดด้วยแม่กกได้” แต่ครูวัดเฉพาะการอ่านเพียงอย่างเดียว หรือฝึกเขียนเฉพาะ
การสะกดตรงมาตราเทา่ นั้น
1.5 เลือกกลุ่มตัวอยา่ งที่จะวดั ไม่เหมาะสม หมายถึง กลมุ่ ตัวอยา่ งของเนือ้ หาและ
พฤติกรรมที่ต้องการจะวัด หากเลือกไม่เหมาะสม เช่น เลือกเอารายละเอียดปลีกย่อยมาก
เกินไป แทนที่จะใช้สาระหลักขององค์ประกอบนั้น ๆ ผลการวัดที่ได้ย่อมไม่ถูกต้องตาม
จุดมุง่ หมายท่จี ะวัด และการแปลความหมายของผลการประเมินย่อมขาดความเชื่อถือ
2. ใช้เครอ่ื งมือทีม่ ีคณุ ภาพ
แม้ว่าเราจะมีจุดประสงค์ในการวัดที่ชัดเจน เลือกเครื่องมือวัดได้สอดคล้องกับ
จุดประสงค์แล้วก็ตาม แต่หากเครือ่ งมือขาดคณุ ภาพ ผลการวดั กข็ าดคณุ ภาพไปด้วย และเมื่อ
นำผลการวัดไปประเมินผล ผลการประเมินย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้ ดังนั้นเพื่อให้ผลของ
การวดั มีความเชื่อถือได้จึงควรเลือกใช้เครือ่ งมือทีม่ ีคณุ ภาพ
3. คำนึงถึงความยุติธรรม
ครูจะต้องคำนึงถึงทุกครั้งที่ทำการวัดและประเมินผลการศึกษา กล่าวคือจะต้อง
วัดและประเมินผลด้วยใจเปน็ กลาง ไม่ลำเอียง และตัดสินตามหลกั วชิ า เช่น การตรวจข้อสอบ
20 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 20
โดยใช้หลกั เกณฑเ์ ดียวกนั จัดกระทำให้ผู้ถูกวัดอยู่ภายใต้สถานการณเ์ ดียวกนั ตดั สินผลการวัด
โดยใช้เกณฑ์เดียวกัน เป็นต้น หากการดำเนินการขั้นใดวันหนึ่งขาดความยุติธรรมแล้ว ก็ย่อม
สง่ ผลให้การวดั ผลและการประเมินผลขาดความเชือ่ ถือตามไปด้วย
4. ระวังความคลาดเคลือ่ นหรือความผิดพลาดของการวดั
กล่าวคือ เมื่อจะใช้เครื่องมือชนิดใด ก็ต้องระวงั ความบกพร่องของเครื่องมือท่ใี ช้
วัด ต้องแมน่ ยำในหลักการ และฝึกทกั ษะในการวดั อยูเ่ สมอ จึงจะปอ้ งกันขอ้ บกพร่องเหลา่ นไี้ ด้
5. แปลผล ผลการวดั ให้ถกู ตอ้ ง
กล่าวคือ เมือ่ ได้ผลจากการวัดออกมาแล้ว เช่น คะแนนที่เกิดจากการทดสอบ ครู
ต้องนำไปประเมินผลจึงจะช่วยให้การวัดและประเมินผลมีความหมาย และเกณฑ์ที่ใช้ใน
การประเมินผลต้องเหมาะสม ประเมินผลได้ถกู ต้อง สมเหตสุ มผล และมีความยุติธรรม
6. ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า
การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษาทุกคร้ัง เปน็ สิง่ ที่ต้องลงทุนท้ังในด้านพลัง
ความคิด กำลังกาย เวลา และงบประมาณ เพื่อให้สามารถวัดผลตามวัตถุประสงค์ที่ ทั้งนี้
การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษาที่ดีไม่ได้มุ่งวัดเพียงประเด็นที่ว่านักเรียนจำเนื้อหา
ได้มากน้อยเพียงใด หรือผ่าน-ไม่ผ่าน จุดประสงค์สำคัญของการวัดก็คือ เพื่อค้นและพัฒนา
สมรรถภาพของนักเรียน ต้องพยายามค้นหาผู้เรียนแต่ละคนว่า เด่น-ด้อย ในเรื่องใด และ
หาทางปรับปรงุ แก้ไขแต่ละคนให้ดีข้นึ พร้อมทั้งหาวธิ ีปรบั ปรุงการสอนของครใู ห้มีประสิทธภิ าพ
ย่งิ ข้นึ
ประโยชนข์ องการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา
ขอ้ คน้ พบตา่ ง ๆ ที่ได้จากการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา จะเป็นสารสนเทศ
ที่มีประโยชน์ต่อบุคลากรที่เกี่ยวข้องทางการศึกษาหลายฝ่าย ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 6
ฝ่าย (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2551, น. 26-29; ราตรี นันทสคุ นธ์, 2555, น. 30-
32; สมนึก ภทั ทิยธนี, 2562, น. 9-10) ดงั นี้
1. ประโยชน์ต่อนกั เรียน
1.1 ช่วยให้นักเรียนทราบว่าตนเองมีความรู้ความสามารถ เด่น-ด้อยเพียงใด มี
ความสามารถอยใู่ นระดับใด และหากมีข้อบกพร่องจะได้ปรบั ปรุงแก้ไข
1.2 ชว่ ยให้นักเรียนเห็นความสามารถและความถนดั ของตนเอง เขา้ ใจตนเองย่งิ ข้นึ
1.3 ช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนและเขา้ ใจในบทเรียนเพม่ิ ข้นึ
1.4 ช่วยให้นักเรียนมีนิสัยการเรียนที่ดีข้ึน
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 2211
2. ประโยชน์ต่อครผู ูส้ อน
2.1 ช่วยให้ครไู ด้รู้จักนักเรียนในด้านต่าง ๆ อย่างละเอียดมากข้นึ
2.2 ช่วยให้ครูเลือกกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและมี
ประสิทธภิ าพ
2.3 ช่วยให้ครสู ามารถรายงานผลการศึกษาให้กบั ผูเ้ รียน ผู้ปกครอง ฝา่ ยแนะแนว
และสถาบันการศึกษาทีน่ กั เรียนจะไปเรียนต่อได้ทราบ
3. ประโยชนต์ อ่ ฝา่ ยแนะแนว
3.1 ฝ่ายแนะแนวจะนำผลการเรียนไปประกอบการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดกับ
นกั เรียน
3.2 ช่วยให้ฝ่ายแนะแนวแนะนำการเรียนหรือแนะแนวอาชีพได้ถูกต้อง เพราะ
การวดั และประเมินผลจะช่วยให้ทราบวา่ ใครถนัดด้านใด อย่างไร
3.3 ช่วยให้ฝ่ายแนะแนวเสนอแนวทางปรบั ปรงุ แก้ไขการเรียนการสอนตอ่ ผู้บริหาร
4. ประโยชน์ตอ่ ฝา่ ยบริหาร
4.1 ชว่ ยในการวางแผนการเรียนการสอนและการบริหารโรงเรียนได้ถูกต้องย่ิงข้ึน
เช่น การจัดครูเข้าชั้นเรียน การส่งเสริมการสอนเดก็ เรียนช้า การจดั การสอนซ่อมเสริม เปน็ ต้น
4.2 ช่วยในการตัดสินเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียน ได้แก่ การเลื่อนชั้น
การรบั นักเรียนเขา้ ใหม่ การจดั ชั้นเรียน และแนวทางการใช้หลักสูตร
4.3 เปน็ ขอ้ มลู ในการประเมินผลการปฏิบตั ิงานของครแู ละบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
5. ประโยชนต์ อ่ ผูป้ กครอง
5.1 ชว่ ยให้ทราบวา่ บตุ รหลานของตนมีความสามารถเดน่ ด้อยทางใด มีปัญหาใดที่
ควรให้ความชว่ ยเหลือรว่ มกบั ทางโรงเรียน
5.2 เป็นข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจเพื่อการส่งเสริมการศึกษาต่อ หรือการเลือก
อาชีพของบุตรหลาน
6. ประโยชน์ตอ่ การวิจยั
6.1 เครื่องมือการวดั และประเมินผลสามารถนำไปใช้เป็นเครือ่ งมือในการทำวจิ ยั
6.2 ขอ้ มลู จากการวดั และประเมินผลการศึกษาสามารถนำไปใช้เปน็ ขอ้ มลู พ้ืนฐาน
ในการวจิ ัยต่อไป
22 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 22
บทสรปุ
คำว่า การทดสอบ การวัดผล การประเมิน และการประเมินผล ต่างก็มีนิยามที่
แตกตา่ งกนั แตเ่ ป็นกระบวนการทมี่ ีความเกี่ยวขอ้ งสัมพันธ์กนั ทั้งนกี้ ารทดสอบที่อาศัยเครื่อง
ต่าง ๆ เพอ่ื เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ซึง่ เปน็ ส่วนหนึ่งของการวดั ผลเพอ่ื ให้ได้ตัวเลขหรือข้อมูลที่ผู้ถูก
วัดตอบสนองออกมา เพื่อนำสารสนเทศดังกล่าวมาสู่การประเมิน จะได้ทราบผู้ถูกวัดมี
ความสามารถอยา่ งไร ควรได้รับการพัฒนาหรือปรับปรุงในด้านใด ก่อนทีจ่ ะนำไปสู่การตัดสิน
คุณค่าของผู้เรียนว่า ผ่าน-ไม่ผ่านต่อไป แต่อย่างไรก็ตามธรรมชาติของการวัดผลทาง
การศึกษานั้นเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ หรือเป็นการวดั ทางอ้อม โดยที่เป็นการวัดคุณลักษณะ
แฝงที่อยู่ในตัวผู้เรียน ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง ดังนั้นผู้ที่ทำการวัดผลจำเป็นต้องควบคุม
ความคลาดเคลือ่ นไมใ่ ห้เกิดขนึ้ เลยหรือให้เกิดขนึ้ น้อยทส่ี ุดเท่าทีจ่ ะเป็นไปได้ เพ่อื ให้ผลการวัดมี
ความถกู ต้องนา่ เชื่อถือมากทีส่ ุด นอกจากนผี้ ลทีไ่ ด้จากการวัดจะอย่ใู นมาตราการวดั อนั ตรภาค
เช่น นักเรียนคนหนึง่ ได้คะแนน 0 เตม็ 20 คะแนน ไม่ได้หมายความวา่ นักเรียนคนดังกล่าวไม่มี
ความรู้อะไรเลย แตข่ อ้ สอบนั้นอาจจะวัดได้ไมต่ รงกับความรู้ในสว่ นอ่นื ๆ ทีน่ กั เรียนคนดังกล่าว
มีอยู่ ด้วยเหตุนกี้ ารวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษาจะต้องวดั ใหต้ รงกบั จดุ ประสงค์ มีความ
ยุติธรรม ใช้เครื่องมือการวัดที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งแปลความหมายของผลการวัดได้อย่าง
ถูกต้อง และนำผลการวัดที่ได้ไปใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อนำไปสู่การพัฒนา และเสริมสร้างผู้เรียน
ทั้งนี้หากทำการวัดผลและประเมินผลการศึกษาได้อยา่ งถูกต้อง เที่ยงตรง ประโยชน์ก็จะเกิด
ข้นึ กบั ตวั ผู้เรียน ครผู ู้สอน ครูแนะแนว ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง และวงการวจิ ยั ต่อไป
แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
1. จงวเิ คราะห์ความแตกตา่ งและความสัมพันธ์ของการทดสอบ (Testing) การวัดผล
(Measurement) การประเมิน (Assessment) และการประเมินผล (Evaluation) ตามทีน่ ิสิตเขา้ ใจ
2. จากข้อความที่กำหนดให้ต่อไปนี้ จงพิจารณาว่าข้อความดังกล่าวคือ “การวัด
(Measurement)” หรือ “การประเมินผล (Evaluation)”
2.1 รถยนตเ์ บอร์ 6 วิ่งเร็วทส่ี ดุ
2.2 คริสโตเฟอร์ ขบั รถด้วยความเรว็ 70 กม. / ชัว่ โมง
2.3 ญาญ่า สอบผา่ นวชิ าการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
2.4 คมิ มี่ มีคะแนนเชาว์ปัญญาเท่ากับแปดสิบคะแนน
2.5 วโี อเล็ต มีความคดิ เชิงนวัตกรอยู่ในระดับปานกลาง
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 2233