บทท่ี 8
การสร้างเครื่องมือวดั ผลดา้ นทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain)
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในยุคศตวรรษที่ 21 จะเน้นการวัดที่
ตรงตามสภาพจริงของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงให้ได้มากที่สุด เพราะการที่
ผู้เรียนสามารถลงมือปฏิบัติได้สำคัญกว่าการที่จะรู้ว่าผู้เรียนรู้อะไร ดังนั้นการวัดด้านทักษะ
พิสัยจึงเป็นการวดั ว่าผู้เรียนทำอะไรได้บ้าง และทำได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้นครผู ู้สอนจะต้อง
ทำความเขา้ ใจเกี่ยวพฤติกรรม ลักษณะ และเครื่องมือในการวัดและประเมินผลด้านทักษะพิสัย
รวมทั้งต้องสร้างเกณฑ์ในการประเมินให้ชัดเจน และแจ้งเกณฑก์ ารประเมินให้ผู้เรียนได้ทราบ
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการทำงานแต่ละงานได้เต็มศักยภาพ ถือเป็นการส่งเสริมให้
ผู้เรียนพัฒนาตนเองให้ดียิ่งข้นึ
จากในบทที่ 3 การวดั ด้านพุทธพิ สิ ัย บทที่ 7 การวดั ด้านจิตพสิ ยั รวมท้ังในบทที่ 8 นี้
เปน็ เรือ่ งของการวดั ด้านทกั ษะพสิ ยั จะเหน็ ได้วา่ พฤติกรรมทั้ง 3 ด้านนั้น มีความสำคญั และเป็น
พฤติกรรมทีส่ มบูรณ์ที่สุดที่ควรจะเกิดขนึ้ กบั ผู้เรียน ซึ่งแสดงการสรุปได้ดงั ภาพ 27
พุทธิพิสยั
พฤติกรรมการเรียนรทู้ ี่สมบรู ณ์ทีส่ ุดของผู้เรียน จิตพิสยั
ทกั ษะพิสยั
ภาพ 27 พฤติกรรมการเรียนรู้ทีส่ มบูรณท์ ี่สุดของผูเ้ รียน
224 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 224
ความหมายของทักษะพิสัย
เบนจามิน บลมู และคณะ (Bloom & et al, 1956) กลา่ วว่า ทกั ษะพสิ ัยเปน็ พฤติกรรม
ที่บง่ ถึงความสามารถในการปฏิบตั ิงานได้อย่างคลอ่ งแคล่ว และชำนาญ ซึง่ แสดงออกมาโดยมี
เวลาและคุณภาพของงานเป็นตวั ชีว้ ดั ระดบั ของทกั ษะ
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2552, น. 40) กล่าวว่า ทักษะพิสัยเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับ
ความสามารถเชิงปฏิบัติการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบการใช้งานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายท่ี
ต้องอาศัยการประสานสัมพนั ธ์ของกล้ามเนื้อกับการทำงานของระบบประสาทต่าง ๆ ซึ่งเป็น
หน่วยสั่งการ เชน่ การเคลื่อนไหวอวัยวะตา่ ง ๆ ในการทำกิจวัตรประจำวัน เลน่ กีฬา เล่นดนตรี
หรือกิจกรรมอื่น ๆ หากนักเรียนได้ฝึกฝนการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้มี
การประสานสัมพนั ธก์ ัน ยอ่ มก่อให้เกิดความชำนาญหรือทกั ษะในการปฏิบัติงาน
โชติกา ภาษีผล (2559, น. 14) กล่าวว่า ทักษะพิสัยเป็นการเรียนรู้ด้านทักษะการ
ปฏิบตั ิ ซึง่ เกีย่ วกบั การเคลือ่ นไหวกล้ามเนอื้ ของรา่ งกาย การประสานงานของการใช้อวัยวะต่าง
ๆ เช่น การเขียน การพูด การวาดภาพ การเล่นฟุตบอล เป็นต้น ทักษะพิสัยเป็นทักษะทาง
รา่ งกายเกี่ยวกับการประสานงานของประสาท (สมอง) และกล้ามเนอื้ ซึง่ เน้นความคลอ่ งแคล่ว
รวดเร็ว ถกู ต้อง และชำนาญ
สมนึก ภัททิยธนี (2562, น. 24) กล่าวว่า ทักษะพิสัยพฤติกรรมที่เกี่ยวกับทักษะ
การเคลื่อนไหว และการใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าบุคคลใดสามารถบังคับระบบ
กล้ามเนือ้ และระบบประสาทให้สัมพันธก์ ันได้แล้ว ยอ่ มจะเกิดทักษะในการปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ซึ่ง
ต้องอาศยั การฝึกฝนจากการปฏิบัติจริงบ่อย ๆ จนเกิดความคลอ่ งแคล่ว ว่องไว และถูกต้อง
อนุวตั ร คณู แก้ว (2562, น. 43) กลา่ ววา่ ทกั ษะพสิ ัยพฤติกรรมของที่ปรากฏออกมา
ให้เห็นจากการลงมือกระทำหรือลงมือปฏิบตั ิกิจกรรม การปฏิบตั ิดังกล่าวอาศัยกล้ามเนื้อส่วน
ใดส่วนหนึ่งหรือหลายสว่ นของร่างกาย
จากทีก่ ลา่ วมาขา้ งต้น ทกั ษะพสิ ัยเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ทบ่ี ง่ บอกถงึ ความสามารถ
ในการปฏิบัติงานได้อยา่ งคล่องแคล่วและชำนาญ ซึง่ เป็นพฤติกรรมที่ค่อนขา้ งจะสังเกตและวัด
ได้คอ่ นขา้ งงา่ ย เปน็ รูปธรรม ผา่ นการเคลือ่ นไหวหรือการทำงานของกล้ามเนือ้ สว่ นต่าง ๆ ของ
ร่างกาย
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 222255
ระดับของพฤติกรรมด้านทักษะพิสยั
พฤติกรรมด้านทักษะพสิ ยั จะมีการพฒั นาการตามลำดับกอ่ น-หลงั โดยแบ่งเป็นหลาย
ขน้ั ซึง่ ซิมปส์ นั (Elizabeth J. Simpson, อ้างอิงใน สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 24-26) ได้เสนอ
ผลการจำแนกพฤติกรรมด้านนี้ ออกเปน็ 7 ขน้ั แสดงดงั ภาพ 28
ภาพ 28 ระดับของพฤติกรรมดา้ นทักษะพิสยั
จากภาพ 28 อธิบายพฤติกรรมด้านทักษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) ตามลำดบั ข้ัน
ดังนี้
ระดบั ที่ 1 การรบั รู้ (Perception) เปน็ ขนั้ แรกของการกระทำของกลา้ มเนอื้ ทีจ่ ะรับรู้
เกี่ยวกับคุณภาพหรือความสัมพันธ์ของวัตถุสิ่งของที่ผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ จำแนกเป็น 3
ขน้ั คอื
1.1 การกระทบของสิ่งเร้าต่อประสาทสัมผัสด้านต่าง ๆ ( Sensory
Stimulation Impingement of a Stimulus Upon One or More of the Sense Organs)
ได้แก่
1) การฟงั (Auditory Hearing) เปน็ การรับรู้ด้วยประสาทรบั เสียง
2) การเหน็ (Visual) เปน็ การรบั รู้ผา่ นทางสายตา
3) การสมั ผสั ด้วยกาย (Tactile) เปน็ การรับรู้โดยอาศัยการสัมผสั ทางกาย
4) การลิม้ รส (Taste) เป็นการรับรู้รสทางปาก
5) การดมกลิน่ (Smell) เปน็ การรบั รู้ผ่านทางจมกู
6) กล้ามเนื้อสัมผัส (Kinesthetic) เกี่ยวเนื่องกบั การรู้สึกจากการทำงานของ
อวยั วะสมั ผัสในกล้ามเนือ้
226 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 226
1.2 การเลอื กทีจ่ ะรบั รู้ (Cue Selected) เปน็ การเลือกที่จะรบั รู้บางสิ่งบางอย่าง
จากสิ่งเร้ามากมายที่รับผ่านประสาทสัมผัสในแต่ละส่วน เช่น เลือกที่จะฟังเสียงหนึ่งเสียงใด
ท่ามกลางเสียงอึกทึกของผู้คนรอบข้าง
1.3 การแปลความหมาย (Translation) จะเกี่ยวข้องกับการใช้ความรู้หรือ
ประสบการณเ์ ดิมมาแปลความหมายของสิ่งที่ได้รับรู้ เชน่ เมือ่ ได้ยินเสียง สามารถจำได้ว่าเป็น
เสียงของบุคคลใด, เมื่อเห็นภาพ สามารถจำได้วา่ เปน็ ภาพอะไร
ระดับที่ 2 การตระเตรียม (Set) เป็นการเตรียมพร้อมและปรบั ตัวที่จะกระทำหรือ
เตรียมพบกบั ประสบการณ์ใหม่ ๆ จำแนกเปน็ 3 ขนั้ คอื
2.1 การตระเตรียมทางสมอง (Mental Set) เปน็ ความพร้อมทางด้านความรู้ใน
สิ่งที่จะกระทำ เป็นความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบ วิธีการและข้อเท็จจริงต่าง ๆ เช่น ความรู้
เกี่ยวกับขั้นตอนในการจัดตั้งโตะ๊ หมู่บูชา, ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือที่เหมาะสมในการเย็บผ้า
เป็นต้น
2.2 การตระเตรียมทางร่างกาย (Physical Set) เป็นความพร้อมในการปรบั ตัว
ทางร่างกายเพือ่ ใช้ปฏิบัติ ซึง่ เกี่ยวข้องกบั การเตรียมอวัยวะสัมผสั ได้แก่ การเพ่งความสนใจไป
ยงั ประสาทสมั ผัสและทา่ ทาง หรือการจดั วางตำแหนง่ ของอวยั วะในร่างกาย เช่น การจีบมือใน
ทา่ เตรียมพร้อมทีจ่ ะฟอ้ นรำ, การวางทา่ ทางเตรียมสีไวโอลิน เปน็ ต้น
2.3 การตระเตรียมทางอารมณ์ (Emotional Set) เป็นความพร้อมทางอารมณ์
หรือความรู้สึก เช่น การมีเจตคติในทางบวกต่อสิ่งที่จะปฏิบัติ, มีความเต็มใจที่จะปฏิบัติ,
ปรารถนาที่จะทำงานชนิ้ นีใ้ ห้สำเรจ็ ด้วยดี
ระดบั ที่ 3 การตอบสนองตามการชี้แนะ (Guided Response) อาจถือเปน็ ขนั้ แรก
ในการพัฒนาโดยตรง ท้ังนีเ้ พราะเน้นหนักที่ความสามารถในการแสดงออกทางทักษะทีซ่ ับซ้อน
ขึ้น มักเป็นพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นภายใต้การชี้แนะของบุคคลอื่น เช่น ครูผู้สอน หรืออาจ
เป็นการตัดสินใจของตัวเองตามหลกั เกณฑ์ หรือแบบแผนอยา่ งใดอย่างหนึ่ง ความพร้อมที่จะ
ตอบสนองจึงเป็นสิง่ แรกทีจ่ ำเปน็ ต้องมีกอ่ นลงมือปฏิบตั ิ จำแนกเปน็ 2 ขน้ั คอื
3.1 การเลยี นแบบ (Imitation) เป็นการตอบสนองสิ่งอ่นื สิง่ ใด โดยอาศัยต้นแบบ
ที่ได้จากการสังเกต การปฏิบัติการของผู้อื่น เช่น การเต้นตามจังหวะที่มีผู้สาธิตให้ดู, การทุม่
น้ำหนักด้วยท่าทางตามที่ครูกระทำเปน็ แบบอยา่ ง เปน็ ต้น
3.2 การลองผิดลองถูก (Trial and Error) เป็นการตอบสนอง โดยทดลอง
ปฏิบัติหลาย ๆ วธิ ี ตามแตเ่ หตุผลที่ตนเห็นสมควร จนกระทงั่ ประสบผลสำเรจ็ ในการปฏิบตั ิ เชน่
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 222277
การค้นพบวิธีรีดเสื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายหลังจากที่ได้ทดลองรีดมาหลายวิธี, การหา
จังหวะกระโดดได้อยา่ งเหมาะสมภายหลังจากทีไ่ ด้ทดลองกระโดดหลาย ๆ คร้ัง เปน็ ต้น
ระดับที่ 4 การสร้างกลไก (Mechanism) พฤติกรรมระดับนี้ คือการที่บุคคล
สามารถปฏิบัติอย่างเชื่อมั่นและมีประสิทธิภาพสูง จนเกิดเป็นกิจนิสัย การตอบสนองจึงมักมี
ความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วย และมีรูปแบบในการปฏิบัติที่เดน่ ชัดขึ้นในทกุ ๆ สถานการณ์ เช่น
ความสามารถในการจดั สว่ นผสมของการทำขา้ วเหนียวมูน, ความสามารถในการผสมเกสรของ
ดอกทุเรียนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ระดับที่ 5 การตอบสนองที่ซับซ้อนขึน้ (Complex Overt Response) พฤติกรรม
ระดับนี้ คือการปฏิบัติสิ่งที่ยุ่งยากและซับซ้อนขึ้น โดยแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีทักษะใน
การกระทำสามารถกระทำได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพและราบรื่น โดยใช้พลงั งานและเวลาน้อยมาก
จำแนกเป็น 2 ขน้ั คอื
5.1 การทำอย่างไม่ลังเล (Resolution of Uncertainly) คือทำได้อย่าง
คล่องแคลว่ ตามลำดับขั้น และกระทำด้วยความมั่นใจ
5.2 การปฏิบตั ิได้อยา่ งอตั โนมัติ (Automatic Performance) คอื ความสามารถ
ทำงานผสมผสานทกั ษะในด้านต่าง ๆ ได้อย่างงา่ ยดาย และบงั คบั กล้ามเนือ้ ได้อยา่ งสมบูรณ์
ระดับที่ 6 การดัดแปลงให้เหมาะสม (Adaptation) เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการ
ปฏิบัติ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาใหม่ บคุ คลที่มีการปฏิบัติจนชำนาญแล้ว จะ
สามารถหาวิธีลัดหรือวิธีการแบบอื่นมาลองทำเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นได้ เช่น
พัฒนาการเต้นรำให้ดูสวยงามและเร้าใจยิ่งขึ้น โดยอาศัยทักษะความสามารถในการเต้นรำที่
เคยเรียนรู้มาแล้ว
ระดบั ที่ 7 การริเริ่มใหม่ (Origination) เปน็ การนำทกั ษะทางร่างกายทม่ี ีอยไู่ ปใช้ให้
เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เช่น การสร้างสรรค์ท่าเต้นรำขึ้นใหม่ พฤติกรรม
ระดับนีจ้ ึงอาศัยการทำงานร่วมกนั ของสมรรถภาพทางสมองกบั ทกั ษะทางร่างกาย
ธรรมชาติของพฤติกรรมดา้ นทักษะพิสยั
1. เปน็ การวัดโดยใช้สถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลอง เพ่อื ทดสอบการปฏิบัติ
ของผู้เรียน
2. ลกั ษณะงานที่ให้ทำแตกต่างกนั วธิ ีการในการวัดย่อมแตกตา่ งกัน
3. เป็นการวดั ด้านกระบวนการในการปฏิบัติ (Process) และผลผลิต (Product)
228 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 228
4. การบริหารการสอบ ครูผู้สอนต้องมีโอกาสสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนอย่าง
ใกล้ชิด
5. สามารถประเมินได้ทง้ั รายบคุ คลและรายกล่มุ
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมด้านทกั ษะพิสัย
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม นอกจากจะต้องกำหนดในด้านพทุ ธพิ สิ ัยแล้ว (กล่าวในบท
ที่ 3) และด้านจิตพิสัย (กล่าวในบทที่ 7) เพื่อที่จะได้ทราบว่าหลังเรียนจบเนื้อหานั้น ๆ ไปแล้ว
ผู้เรียนสามารถแสดงพฤติกรรมที่วัดได้ หรือสังเกตได้ออกมาอย่างไรบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากพฤติกรรมด้านทกั ษะพิสยั นี้ เป็นพฤติกรรมของผู้เรียนที่ปรากฎออกมาให้เห็น จาก
การลงมือกระทำหรือลงมือปฏิบัติกิจกรรม โดยอาศัยการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ จึงทำให้
สังเกตเห็นได้ชัดเจน ในที่นี้จะเสนอคำกริยารวม ๆ ที่ใช้ในการระบุคำในจุดประสงค์ในด้านนี้
ดงั นี้
สร้าง, ประดิษฐ,์ ผสม, ผนึก, เยบ็ , ปะ, แต่ง, ซอ่ มแซม, ใช้เครื่องมือ, แสดงท่าทาง, รำ, รอ้ ง
, เลยี นแบบ, ออกเสียง, วาดภาพ, เขียน, ปฎิบัตติ ามระเบียบ, ฝกึ ปฏิบตั ิงาน, แสดงละคร,
ตรวจสอบ, ตรวจและแก้ไข, สาธิต ฯลฯ
สามารถเขยี นตัวอย่างของจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมด้านจิตพสิ ัย ได้ดังนี้
1) นกั เรียนประดิษฐก์ ระถางต้นไมจ้ ากวสั ดุเหลือใช้ได้
2) นักเรียนเลียนแบบทา่ เต้นใน YouTube ได้
3) นักเรียนร้องเพลง และปรบมือเขา้ จังหวะได้
4) นักเรียนอา่ นทำนองเสนาะของบทร้อยกรองที่กำหนดให้ได้
5) นกั เรียนสาธิตการแปรงฟันได้อย่างถกู ต้อง
6) นักเรียนผสมสีจากแมส่ ีได้หลากหลาย
จากลักษณะของทักษะพิสัยที่ได้กล่าวมาข้างต้น ว่าเป็นการวัดผู้เรียน จากการที่
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ โดยอาศยั กล้ามเนือ้ ส่วนตา่ ง ๆ ซึง่ จะเหน็ ได้ว่าเปน็ การวัดที่เน้นกล้ามเนอื้
แต่ในปัจจุบัน การวัดและประเมินแนวใหม่นั้น จะเน้นการประเมินตามสภาพจริง
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงชีวิตจริงกับการเรียนได้อย่างกลมกลืน ดังนั้นจึงมีการวัดและ
ประเมินผลทางด้านทักษะพิสัยรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้เน้นเฉพาะการใช้กล้ามเนื้อทักษะ
การเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่จะรวมทั้งการได้ปฏิบัติที่ต้องใช้ทั้งความรู้ความเข้าใจ ความคิด
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 222299
สร้างสรรค์ และความสามารถอื่น ๆ อีกด้วย เพื่อที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนได้สมบูรณ์ทั้งร่างกาย
สติปัญญาและจิตใจ ดังในมาตรา 26 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้
กำหนดการประเมินผลการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ
สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ควบค่กู ันไปในกระบวนการเรียน
การสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ (โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 149)
ดงั นั้นในส่วนนี้ จึงขอนำเสนอการวัดและประเมินแนวใหม่ ประกอบด้วย การประเมิน
ภาคปฏิบัติ (Performance Assessment), การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน ( Portfolio
Assessment), การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) และเกณฑ์การประเมินหรือ
แนวทางในการให้คะแนน (Rubrics) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การประเมนิ ภาคปฏิบัติ (Performance Assessment)
การทดสอบภาคปฏิบัติ เป็นการวัดผลจากการลงมือปฏิบัติจริงของผู้เรียน เพื่อมุ่ง
ตรวจสอบความสามารถของผู้เรียน เช่น การเลือกใช้เครื่องมือการทำงานเป็นขั้นตอน,
ความคลอ่ งแคล่วในการทำงาน, ความประหยดั คา่ วสั ดุ เวลา และแรงงาน และความสำเรจ็ ของ
ผลงาน เปน็ ต้น
ประเภทของการทดสอบภาคปฏิบัติ แบ่งออกได้หลายประเภทขึ้ นอยู่กบั เกณฑท์ ีใ่ ช้
แบ่ง (พชิ ิต ฤทธิจ์ รูญ, 2552, น. 77-79; โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 149-150) ดังนี้
1) แบ่งตามปัจจัยที่จะประเมิน แบ่งเปน็ 3 ประเภท คอื
1.1) การวัดกระบวนการ (Process) เป็นการวัดที่พิจารณาเฉพาะวิธีทำ วิธี
ปฏิบตั ิในการทำงานหรือกิจกรรม เช่น การขับรถยนต์, การใช้คอมพวิ เตอร์, การว่ายน้ำทา่ ผีเสื้อ
เปน็ ต้น
1.2) การวัดผลงานหรือผลผลิต (Product) เป็นการวัดที่พิจารณาผลผลิตที่
เกิดขึน้ จากการทำงานของผู้เรียน เชน่ ภาพวาด, เสอื้ ทีต่ ัดสำเรจ็ แล้ว, เอกสารที่พิมพ์ เปน็ ต้น
1.3) การวัดกระบวนการ (Process) และการวัดผลงานหรือผลผลิต (Product)
เป็นการประเมินการปฏิบัติทีส่ ามารถแยกประเมินกระบวนการและผลผลิตได้อยา่ งชดั เจน เช่น
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ (ประกอบด้วย ขั้นตอนการปฏิบัติการทดลอง และผลการ
ทดลอง), การพิมพ์ดีด (ประกอบด้วย ท่าทางการสัมผัสแป้นพิมพ์ ความเร็วในการพิมพ์ และ
ผลงานการพมิ พ์)
230 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 230
2) แบ่งตามลกั ษณะสถานการณ์ แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื
2.1) สถานการณ์จำลอง (Simulated Setting) ใช้สำหรับวัดผลการปฏิบัติงานที่
เสี่ยงอันตรายต่อบุคคลที่ปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัตินั้นไม่มีความชำนาญหรือทักษะเพียงพอ หรือใน
สภาพจริงไม่สามารถปฏิบตั ิได้ เชน่ การขบั เครื่องบิน, การขับรถยนต์, การยงิ ปืน เป็นต้น
2.2) สถานการณ์จริง (Real setting) ใช้สำหรับวัดผลการปฏิบัติงานทีไ่ ม่เสี่ยง
อนั ตรายต่อผู้ท่ปี ฏิบตั ิ หรือใช้ในกรณีทีผ่ ู้ปฏิบัติมีความชำนาญ เช่น การขบั รถยนตจ์ ริงบนถนน,
การยงิ ปืนจริงในป่า เปน็ ต้น แต่การประเมินผลบางกิจกรรม อาจใช้ทงั้ สถานการณ์จำลองและ
สถานการณ์จริงก็ได้ เช่น การทดสอบการขับรถยนต์ อาจให้ทดลองขบั ในสถานการณ์จำลอง
หรือไปฝึกปฏิบตั ิการก่อน แล้วจึงออกไปทดสอบบนถนนจริง เป็นต้น
3) แบง่ ตามการเกดิ สง่ิ เร้า แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื
3.1) ใช้สิ่งเร้าที่เป็นธรรมชาติ (Natural Stimulus) เป็นการวัดผลที่เป็นไปตาม
ธรรมชาติ ผู้วดั ไม่ต้องไปจัดกระทำ หรือสร้างสถานการณ์ใด ๆ เช่น นิสัยการทำงานของผู้เรียน,
บคุ ลิกภาพของผู้เรียน เปน็ ต้น
3.2) ใช้สิ่งเร้าที่จัดขึ้น (Structure Stimulus) เป็นการวดั ผลที่ผู้วัดต้องจัดสิ่งเร้า
หรือสถานการณ์ขึ้น เพื่อประกันว่าพฤติกรรมที่กำลังประเมินจะต้องปรากฏ เช่น การกล่าว
สุนทรพจน์, การเล่นดนตรี, การใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น โดยวิธีนี้จะช่วยลดระยะเวลาใน
การสังเกตลง เพราะไม่ต้องรอให้เกิดขนึ้ ตามธรรมชาติ
ข้อดีของการทดสอบภาคปฏิบัติ (พชิ ิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 79) มีดังนี้
1) สามารถใช้สอบวัดความสามารถในการปฏิบัติได้จริง หรือวัดได้สอดคล้องกับ
สภาพจริงของผู้เรียน
2) สามารถสอบวัดทักษะและความสามารถในทางปฏิบัติบางอยา่ งที่ไม่อาจสอบวัดได้
ด้วยเครื่องมืออย่างอื่น เชน่ แบบทดสอบเขียนตอบ, แบบทดสอบเลือกตอบ เป็นต้น
3) สามารถใช้สอบวดั ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ได้เป็นอยา่ งดี
4) ชว่ ยให้นกั เรียนเกิดการเรียนรู้จากการทดสอบการปฏิบตั ิ
ขอ้ จำกัดของการทดสอบภาคปฏิบตั ิ (พชิ ิต ฤทธิจ์ รูญ, 2552, น. 79) มีดังนี้
1) ใช้เวลาในการดำเนินการสอบมาก เนื่องจากไม่สามารถให้ผู้เรียนสอบได้พร้อม ๆ
กันทั้งชั้นเรียน โดยปกติการสอบภาคปฏิบตั ิจะทดสอบได้ทลี ะคน หรือเปน็ กลุม่ เลก็ ๆ 2-3 คน
จึงต้องใช้เวลามาก กวา่ จะทำการสอบครบทุกคน
2) สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก เนื่องจากการปฏิบัติจริงนั้น ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ใน
การทดสอบเป็นรายคน
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 223311
3) การตรวจให้คะแนนการทดสอบภาคปฏิบัติจะมีลักษณะเช่นเดียวกับแบบทดสอบ
อัตนัย ดังนั้นหากเกณฑ์ไม่ชัดเจน หรือผู้ตรวจ หรือผู้ประเมินมีความลำเอียง ก็จะทำให้ผล
การประเมินจะขาดความนา่ เชือ่ ถือ
หลักและวิธกี ารทดสอบภาคปฏิบตั ิ มีแนวปฏิบัติดังนี้
1) การสร้างเครื่องมือ ควรกำหนดทักษะที่สอบวัดจากจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
กำหนดขั้นตอนของการปฏิบัติงานที่จะสอบวัด กำหนดกิจกรรมในแต่ละขั้นตอน กำหนด
รายการปฏิบัติในแต่ละขน้ั ตอน เขยี นรายการ สาระของงาน และกำหนดเกณฑ์การตดั สิน
2) ผู้สอบควรใช้การสังเกตควบคู่ไปกับการประเมินผลการปฏิบตั ิงาน โดยบันทึกผล
การสงั เกต หรือผลการประเมินลงในแบบประเมินที่สร้างข้นึ
3) เนือ้ หาของงานทีจ่ ะให้ผู้เรียนสอบปฏิบตั ิควรสอดคล้องกับสภาพความเปน็ จริง
4) จำนวนและพฤติกรรมที่จะสอบวัด ต้องมีเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนทักษะตามที่
กำหนดในจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
5) สิ่งทีจ่ ะสอบวัดต้องสามารถสงั เกตได้โดยตรง และกำหนดเงือ่ นไขในการสอบวัดให้
ชัดเจน
6) การสอบวดั โดยใช้สิ่งเร้าที่จัดข้นึ ควรมีคำชแี้ จงทีช่ ัดเจนและสมบรู ณ์
วิธกี ารสร้างเครอ่ื งมือวัดภาคปฏิบตั ิ
การสร้างเครือ่ งมือวดั ภาคปฏิบัติ มีขั้นตอนในการสร้างดงั นี้
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ และจุดประสงค์
การเรียนรู้/ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ในหลักสตู รการศึกษาขั้นพื้นฐานการศึกษา พุทธศักราช 2551 มีทั้งหมด 8 กลุ่ม
วชิ า ผู้สอนต้องวเิ คราะห์สาระ และมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตร เพอ่ื กำหนดจุดประสงค์
การเรียนรู้ (กระทวงศึกษาธิการ, 2551, น. 210)
ตัวอยา่ งเช่น
สาระกลมุ่ ศิลปะ สาระที่ 1 ทศั นศิลป์
มาตรฐาน ศ 1.1 : สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจิตนาการ และความคิด
สร้างสรรค์ วเิ คราะห์ วพิ ากษ์ วจิ ารณค์ ณุ คา่ งานทศั นศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึกความคดิ ตอ่ งาน
ศิลปะอยา่ งอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวนั
สามารถเขยี นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ได้ดังนี้
1) เพื่อให้นักเรียนสามารถสร้างงานทัศนศิลป์ตามจิตนาการ และความคิด
สร้างสรรค์ เชน่ การวาดภาพลายเส้น ภาพสีน้ำ การปั้น การจดั สวนถาดขนาดเล็ก ฯลฯ
232 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 232
การ ัจดเตรียม ุอปกร ์ณ2). เพื่อให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ คุณค่างานทัศนศิลป์และ
ขั้นตอนการทำงานถ่ายทอดความรู้สึกความคดิ ตอ่ งานศิลปะอย่างอิสระได้
ความหมาะสมการ ัจดผัง
ชิ้นงานเป็นไปตามผัง3) เพอ่ื ให้นักเรียนสามารถนำศิลปะไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจำวันได้
เน้ือหาของผลงานข้ันที่ 2 คัดเลือกจดุ ประสงคท์ ่สี ามารถสร้างเครือ่ งมือวดั ภาคปฏิบตั ิ
ความสำเร็จของงานในการคัดเลือกจุดประสงค์ที่เปน็ ภาคปฏิบัติ ได้พิจารณาว่าจุดประสงค์ใดบ้างที่
การเก็บรักษาสามารถสร้างเครื่องมือวัดภาคปฏิบตั ิได้ สำหรบั ตวั อย่างที่ได้ยกมาขา้ งต้น กลมุ่ สาระการเรียนรู้
รวมศิลปะ จุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 1 เป็นจดุ ประสงค์ท่สี ามารถสร้างได้
ข้ันที่ 3 กำหนดรูปแบบของเครือ่ งมือวดั ภาคปฏิบัติ
เครื่องมือที่ใช้มีหลายประเภท ได้แก่ การตรวจสอบรายการ (Checklist), แบบ
มาตราวัดประมาณค่า, (Rating Scale), แบบสังเกต (Observations) การจัดอันดับ (Ranking),
การรายงานตนเอง (Self-report) ฯลฯ ดังนั้น ควรพิจารณาเครื่องมือให้เหมาะสมกับงานที่ให้
ปฏิบัติ เช่น งานบ้านนักเรียนต้องไปปฏิบัติที่บ้าน เครื่องมือที่เหมาะสมควรเป็นแบบรายงาน
ตนเอง, งานปลูกผักสวนครัว ปลอดสารพิษ อาจใช้แบบสังเกต หรือแบบตรวจสอบรายการ,
งานจดั สวนถาดขนาดเลก็ อาจใช้แบบตรวจสอบรายการหรือมาตราวดั ประมาณคา่ เป็นต้น
ขนั้ ที่ 4 สร้างเครือ่ งมือและเกณฑ์การประเมิน
ในการสร้างเครือ่ งมือวดั ภาคปฏิบัติ ต้องสร้างแบบประเมินตามที่ไดเ้ ลือกไวใ้ นขน้ั ที่
3 พร้อมทั้งวิธีการประเมิน ตลอดจนเกณฑ์การประเมินด้วย อาจจะใช้การประเมินแบบ
ภาพรวม (Holistic Scoring Rubrics) หรือการประเมินแบบแยกเป็นด้าน (Analytic Scoring
Rubrics) กไ็ ด้ ในทีน่ ี้จะขอเสนอการประเมินแบบแยกเป็นด้าน ดงั ตวั อยา่ ง
เครือ่ งมือในการประเมิน: แบบสงั เกตทีม่ ีลักษณะเปน็ มาตรประมาณคา่ แบบรูบริค
หวั ข้อประเมิน
ชือ่ -สกลุ
1. ด.ช.มหา สมทุ ร
2. ด.ญ.ดวงจนั ทร์ วันเพ็ญ
...
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 223333
โดยมีเกณฑ์ในการให้คะแนนแต่ละด้าน 3, 2, 1 คะแนน ทั้งนี้แต่ละคะแนนมี
ความหมาย ดังนี้
ด้านการจัดเตรียมอปุ กรณ์
3 คะแนน หมายถึง จดั เตรียม วสั ดอุ ุปกรณค์ รบตามเกณฑ์
2 คะแนน หมายถึง จดั เตรียม วัสดุอปุ กรณ์ครบตามเกณฑ์ 1 อย่าง
1 คะแนน หมายถึง จดั เตรียม วสั ดุอุปกรณค์ รบตามเกณฑ์ตั้งแต่ 2 อย่างขึน้ ไป
ด้านขั้นตอนการทำงาน
3 คะแนน หมายถึง ร่างแบบที่สมบูรณ์ก่อนผลิตชิ้นงาน และใช้วัสดุที่เตรียมอย่าง
ประหยดั ครบถ้วน
2 คะแนน หมายถึง รา่ งแบบค่อนข้างสมบรู ณ์ และใช้วสั ดทุ ีเ่ ตรียมอยา่ งประหยัดเกือบ
ครบถ้วน
1 คะแนน หมายถึง ร่างแบบไม่สมบูรณ์ และใช้วัสดุที่เตรียมอย่างฟุ่มเฟืยม ไม่
ครบถ้วน
..... ..... ......................................
ด้านการเกบ็ รกั ษา
3 คะแนน หมายถึง เก็บรักษาความสะอาดของเครื่องมือ และสถานที่สะอาด
เรียบร้อย
2 คะแนน หมายถึง เก็บรักษาความสะอาดของเครื่องมือ แต่ไม่ทำความสะอาด
สถานที่
1 คะแนน หมายถึง ไมเ่ กบ็ รักษา และทำความสะอาดเครือ่ งมือไม่เรียบร้อย และไม่ทำ
ความสะอาดสถานที่
สรปุ เกณฑก์ ารประเมิน ได้คะแนนระหวา่ ง 15 ถึง 18
ได้คะแนนระหว่าง 11 ถึง 14
ระดับคุณภาพ 3 (ดี) ได้คะแนนระหว่าง 6 ถึง 10
ระดับคณุ ภาพ 2 (พอใช้)
ระดับคณุ ภาพ 1 (ปรบั ปรงุ )
ขัน้ ที่ 5 หาคณุ ภาพของเครือ่ งมือวดั ภาคปฏิบัติ ดังนี้
1) ความตรง (Validity) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาด้านวัดและ
ประเมินผลการศึกษาและเนื้อหาวิชานั้น ๆ ทำการพิจารณาความเหมาะสมของเครื่องมือและ
เกณฑ์ในการประเมิน แล้วนำมาปรบั ปรงุ แก้ไขให้เหมาะสม (รายละเอียดเพ่มิ เติม ดังบทที่ 7 ใน
หัวขอ้ แบบสังเกต)
234 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 234
2) ความเที่ยง (Reliability) หลังจากที่ได้ปรับปรุงเครื่องมือตามคำแนะนำของ
ผู้เชี่ยวชาญแล้ว นำเครื่องมือไปทดลองใช้กับนักเรียนหลาย ๆ ครั้ง โดยให้ครูผู้สอนและ
ผู้เชี่ยวชาญเปน็ ผู้สงั เกต ให้คะแนนตามเกณฑท์ ีก่ ำหนดแล้วนำมาหาคา่ ความสอดคล้องของของ
ผู้สงั เกต (รายละเอียดเพ่มิ เติม ดงั บทที่ 7 ในหวั ขอ้ แบบสังเกต)
3) ปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสม บางครั้งจะต้องทำตามข้อ 1 และ 2 อีกหลายครั้ง
เพ่อื ให้เครือ่ งมือมีคุณภาพมากย่งิ ข้นึ
การประเมนิ ดว้ ยแฟม้ สะสมงาน (Portfolio Assessment)
แฟม้ สะสมผลงาน เป็นเครือ่ งมือในการประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง โดยเป็นผลงาน
ที่ผู้เรียนเก็บรวบรวม และแสดงให้เห็นถึงความพยายาม ความก้าวหน้า และสะท้อนถึง
เอกลกั ษณข์ องผู้เรียน นอกจากนยี้ งั แสดงให้เห็นถึงจุดเด่น จุดด้อย และพัฒนาการของผู้เรียน
ว่าอยูใ่ นทิศทางใด ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยตนเองเปน็ อยา่ งดี
จุดประสงค์ของการจัดทำแฟ้มสะสมงาน (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 88-90;
ราตรี นนั ทสคุ นธ์, 2555, น. 61-62)
1) เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลผุ ลการเรียนตามจุดประสงค์ และมาตรฐานการเรียนรู้
ตามหลกั สูตร
2) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง
(Learning by Doing) ทำให้เกิดนิสัยรกั การทำงาน
3) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตามสภาพจริง และประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
(Authentic Assessment) ของผู้เรียนเป็นรายบคุ คล แทนการใช้ข้อสอบตดั สินผลเพยี งอยา่ งเดียว
4) เพ่อื สง่ เสริมกระบวนการเรียนรู้ท่ผี ู้เรียนเป็นคนสร้างองคค์ วามรู้ด้วยตนเอง
5) เพ่อื สง่ เสริมบรรยากาศการเรียนรู้แบบรว่ มมือ (Cooperative Learning) ของผู้สอน
ผู้เรียนและผู้ปกครอง
6) เพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนมีทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมลู วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์
ขอ้ มูล คดั เลือกขอ้ มูลจดั ระบบข้อมูล และนำเสนอขอ้ มลู ความรู้ได้อยา่ งเปน็ ระบบ
7) เพ่อื กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความภาคภูมิใจในความสำเรจ็ ของตนเอง และมีแรงจูงใจ
ใฝส่ มั ฤทธิ์ในการเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งในระบบ นอกระบบ และอัธยาศัย
8) เพื่อประเมินทั้ง Formative และ Summative ที่คำนึงถึงกระบวนการทำงาน และ
ผลงาน
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 223355
ขอ้ ดีของแฟ้มสะสมงาน (พชิ ิต ฤทธิ์จรญู , 2552, น. 89) ดังนี้
1) สามารถนำไปใช้สอนเปน็ รายบคุ คลได้เป็นอย่างดี เพราะในแฟม้ สะสมงานจะทำให้
ครทู ราบจุดเด่นและจุดด้อยของผู้เรียนแต่ละคน
2) ทำให้ผู้เรียนได้รู้วธิ ีการคัดสรรผลงานและประเมินผลงาน
3) ทำให้ผู้เรียนเกิดความภูมิใจในผลงานของตนเอง เห็นการพัฒนาตนเอง มีความ
เชือ่ มน่ั ในตนเอง และมีกำลังใจที่จะแขง่ ขนั กับตนเอง
4) ผู้เรียนมีส่วนรว่ มในการพัฒนาการเรียนการสอนกับครู และมีโอกาสได้ปรับปรงุ
กระบวนการเรียนรู้และผลการเรียนของตนเองอย่างตอ่ เนือ่ ง
5) กอ่ ให้เกิดความสัมพันธอ์ ันดีระหว่างครู ผู้เรียน และผู้ปกครอง
ข้อจำกัดของแฟ้มสะสมงาน (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 89; โชติกา ภาษีผล,
2559, น. 153-154) ดังนี้
1) การใช้แฟ้มสะสมงานประเมินผลผู้เรียนนั้น ยังมีปัญหาในเรื่องความเชื่อมั่นหรือ
ความเห็นที่สอดคล้องกันในการประเมิน ทั้งนอี้ าจเนือ่ งมาจากการกำหนดเกณฑ์ในการประเมิน
ยงั ไมค่ ่อยชัดเจนหรือไม่ตรงกนั ผลการประเมินจึงไม่สอดคล้องกัน
2) ใช้เวลามาก เนือ่ งจากผู้เรียนต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมผลงาน รวมทั้งครูและ
ผู้เรียนยังต้องใช้เวลาในการพจิ ารณาตรวจทาน ซึง่ โดยท่ัวไปครจู ะตรวจทานคนเดียวกับผู้เรียน
ท้ังช้ันเรียน ทำให้ต้องใช้เวลามาก
3) เป็นการวดั ทางอ้อม และไม่มีความสมบูรณจ์ ากการวัดด้วยเครื่องมือเดียว ดังน้ัน
การนำแฟม้ สะสมงานมาประเมินจึงเปน็ ส่วนเสริมเติมแตง่ ส่วนที่ขาดหาย แตข่ อ้ สอบยังคงต้อง
ใช้ เพราะถ้าเราจะวัดความสามารถในการคิด วัดความเข้าใจ หลักฐานที่ปรากฏในแฟ้มสะสม
งานน้ัน จึงยงั ไม่เพยี งพอ
4) มีความคลาดเคลื่อนในการวัดที่เป็นผลของสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เนื่องจากแฟ้มสะสม
งานอาจจะมีคนช่วยทำได้ แต่สิ่งที่คนอื่นช่วยจะยอมรับได้ในจุดที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ แต่ไม่
ควรเปน็ ชิน้ สดุ ท้ายทจ่ี ะนำมาสง่
ขั้นตอนของการประเมินแฟ้มสะสมผลงาน ประกอบด้วย 11 ขั้นตอน (พิชิต ฤทธิ์
จรูญ, 2552, น. 89-91; ราตรี นนั ทสคุ นธ์, 2555, น. 64-67) ดงั นี้
ข้นั ที่ 1 การวางแผนจัดทำแฟ้มสะสมงาน ประกอบด้วย
1) การเตรียมตัวของครู กล่าวคือ ครูต้องดำเนินการศึกษาวิเคราะห์หลักสูตร
วิเคราะห์สภาพแวดล้อมของโรงเรียน สอบถามความต้องการเกี่ยวกับลักษณะวิธีการเรียน
236 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 236
การสอน และการประเมินผลจากผู้ทเ่ี กี่ยวข้อง และกำหนดคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงคข์ องผู้เรียน
ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน และจดั ทำแผนการสอนที่เน้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ
2) การเตรียมตัวนกั เรียน กล่าวคือ กอ่ นทำการสอน ครูต้องแจ้งให้นักเรียนทราบ
ว่า เมื่อนักเรียนจบรายวิชานี้แล้ว ครูคาดหวังให้นักเรียนมีคุณลักษณะและความสามารถทำ
อะไรได้บา้ ง ระดบั ใด จึงจะผา่ นเกณฑ์ มีจุดประสงคก์ ารเรียนรู้อะไรบ้าง ครจู ะดำเนินการสอน
อย่างไร นักเรียนจะต้องปฏิบัติกิจกรรมอะไร วิธีการวัดและประเมินผลอย่างไร และมี
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใดที่จะใช้ประเมินจากแฟม้ สะสมงาน ซึง่ ผลงานหนึ่งชนิ้ อาจใช้ประเมินได้
หลายจดุ ประสงค์
3) การเตรียมผู้ปกครอง กล่าวคือ โรงเรียนควรมีโครงการพัฒนาผู้ปกครองให้
ทราบความเคลือ่ นไหวทางการศึกษา วธิ ีการจัดกระบวนการเรียนการสอน และการประเมินผล
แนวใหม่ที่เน้นการประเมินผลตามสภาพท่แี ท้จริงโดยใช้แฟม้ สะสมงาน โดยการจัดกิจกรรมให้
ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการสง่ เสริมพฒั นาความก้าวหน้า
ขัน้ ที่ 2 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ในขนั้ นี้ ครูดำเนินการสอนตามแผน
การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคญั ที่ได้จัดทำไว้ แล้วกระตุ้นให้ผู้เรียนกำหนดภาระงานและสร้าง
ความรู้ตามภาระงาน กระตุ้นให้ผู้เรียนปฏบิ ัติกิจกรรมอยา่ งครบถ้วน ครรู ว่ มกับผู้เรียนกำหนด
หลักเกณฑ์การประเมิน และร่วมกันประเมินผลจากการจัดการเรียนการสอน ในขั้นนี้จะทำให้
ผู้เรียนได้ผลงานจากการเรียนการสอน
ข้ันที่ 3 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ประกอบด้วย
1) กำหนดชิน้ งานและจำนวนชนิ้ งานทีจ่ ะรวบรวม เชน่ บนั ทึกยอ่ ย รายงานการแก้
โจทย์ปญั หา รายงานผลการทดลอง เทปบันทึกเสียง ภาพถา่ ย แผ่นดิสก์ เปน็ ต้น
2) ภาชนะที่ใช้เกบ็ รวบรวมผลงานในแฟม้ กลอ่ ง อัลบั้ม หรืออื่น ๆ
3) จัดระบบการเก็บ เช่น แยกตามจุดประสงค์การเรียนรู้ แยกตามประเภทของ
รายงาน แยกตามลำดบั ความซบั ซ้อนของผลงาน และแยกตามเนอื้ หา เป็นต้น
4) แผนหรือระยะเวลาในการจดั เก็บคดั เลือก
ขั้นที่ 4 การคัดเลือกผลงาน กล่าวคือ ควรดำเนินการหลงั จากมีผลงานไม่น้อย
กว่า 4 ชิ้น หรือหลังจากเรียนไปแล้ว 1 เดือนในหนึ่งภาคเรียน อาจคัดเลือกผลงานประมาณ
2-4 ครั้ง โดยการคดั เลือกผลงาน นกั เรียนควรเปน็ ผู้คัดเลือกผลงานด้วยตนเอง หรืออาจให้ครู
เพ่อื น และผู้ปกครองมสี ว่ นรว่ มในการคดั เลือก โดยการพจิ ารณางานที่ปรับปรงุ แล้ว คัดเลือก
งานทีด่ ีที่สดุ งานทีช่ ืน่ ชอบ งานที่แสดงความก้าวหน้าหรือความสามารถมากที่สุด
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 223377
ขน้ั ที่ 5 การจดั ระบบแฟ้มสะสมงาน การจดั สว่ นประกอบทีส่ ำคัญในแฟม้ สะสม
ผลงานให้เป็นระเบียบและมีความสมั พนั ธต์ ่อเนือ่ งเปน็ ระบบ ประกอบด้วย 3 สว่ น คอื
ส่วนที่ 1 ส่วนนำ ประกอบด้วย
- ปก
- คำนำ
- สารบญั
- ประวัตินักเรียน
สว่ นที่ 2 เนอื้ หา ประกอบด้วย
- รายงานสรปุ ผลงานในแฟม้ สะสมงาน
- ตวั อย่างผลงานที่คัดเลือกแล้ว
- แบบสรปุ ความคดิ เหน็ ของครู
สว่ นที่ 3 ขอ้ มลู เพม่ิ เติม ประกอบด้วย
- รายชือ่ หนังสือหรือแหล่งศึกษาคน้ คว้า
- ความคดิ เห็นหรือความรู้สึกต่อการเรียนการสอน
- แบบบนั ทึกตา่ ง ๆ เช่น แบบบันทึกการปฏิบตั ิงาน
- เกณฑ์การประเมินผลงาน หรือประเมินแฟม้ สะสมงาน
- ขอ้ มลู การประเมินของครู เพอ่ื นนักเรียน หรือผู้ปกครอง
-แบบประเมินตนเองของนักเรียน
ในการจดั ระบบแฟ้มสะสมงาน ควรเปิดโอกาสให้นกั เรียนได้ออกแบบตกแต่งปก
จัดวางรูปแบบ การนำเสนอ และส่วนประกอบต่าง ๆ ของแฟม้ สะสมงานอยา่ งอิสระ เพ่อื แสดง
ความคดิ สร้างสรรค์และลักษณะนิสัยของนักเรียน
ขั้นที่ 6 การแสดงความคิดเหน็ หรือแสดงความรูส้ ึกต่อผลงาน กล่าวคือ เป็น
การส่งเสริมให้นักเรียนคดิ ยอ้ นกลับเกี่ยวกับกระบวนการปฏิบตั ิงานหรือการเรียนรู้ของตนเอง
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญและมีคุณค่ามาก ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการเรียนของตนเอง
ติดตามประเมินผล ติดตามประเมินผล ความคดิ ความรู้สึกของตนเองจากผลงาน เพอ่ื วางแผน
พัฒนางาน ปรับเปลีย่ นความคดิ หรือวธิ ีการทำงานให้ดียิง่ ข้ึน เปน็ การพฒั นาความคิคระดับสูง
ในการให้นักเรียนแสดงความคิดเหน็ ครูอาจเริ่มต้นด้วยการต้ังคำถามนำแล้วให้นกั เรียนตอบ
เช่น
- เหตผุ ลทีน่ ักเรียนเลือกงานชนิ้ นเี้ พราะอะไร
- นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากงานชนิ้ นี้
238 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 238
- ถ้านกั เรียนมีโอกาสสร้างงานชนิ้ นใี้ หม่ นักเรียนจะทำอย่างไร
- สิ่งที่ประทบั ใจทีส่ ุดของงานชนิ้ นคี้ อื อะไร ฯลฯ
ผลงานที่เลือกทุกชิ้นที่คัดเลือกเก็บไว้ จะต้องมีการแสดงความคิดเห็นหรือ
ความรู้สึกต่อผลงาน
ข้ันที่ 7 การตรวจสอบความสามารถของตนเอง กล่าวคือ เพื่อให้นักเรียน
ประเมินตนเองจากแฟ้มสะสมงานที่คัดเลือกไว้ โดยประเมินทั้งในด้านความรู้สึกในการเรียนรู้
ของนักเรียน เช่น จุดเดน่ จุดด้อยของผลงาน, ความสามารถในการสื่อสาร, ความสามารถใน
การแก้ปัญหา, การทำงานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น การประเมินตนเองสามารถทำได้ตลอดเวลา
โดยในภาคเรียนหนึง่ ควรทำอย่างนอ้ ย 2 ครั้ง คอื ระหว่างภาคกบั ปลายภาค และการตรวจสอบ
อาจทำด้วยตนเอง หรือ ให้ครู หรือให้เพื่อน หรือให้คนใกล้ชิดช่วยก็ได้ โดยใช้เครือ่ งมือต่าง ๆ
ได้แก่ แบบสำรวจรายการ, แบบบนั ทึกความคดิ เหน็ หรือความรู้สึก, แบบประเมินตนเอง
ขั้นที่ 8 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับผลงาน กล่าวคือ เพื่อให้
นักเรียนได้รับฟังความคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะจากผู้เกีย่ วข้อง ได้แก่ เพ่อื นนกั เรียน ผู้ปกครอง
และครูคนอื่น ๆ ทั้งนี้มีวิธีการหลายรูปแบบ เช่น การสนทนาตัวต่อตัวระหว่างนักเรียนกับ
ผู้เกี่ยวข้อง, การส่งแฟ้มสะสมงานให้ผู้เกีย่ วข้องแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ, และ
การจัดประชุมพิจารณาแฟ้มสะสมงาน เป็นต้น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับผลงาน
นักเรียน จะต้องเตรียมคำถามไว้ถามผู้เกี่ยวข้อง และถ้าเปน็ การประชมุ ต้องกำหนดผู้เข้าร่วม
ประชมุ กำหนดวาระการประชมุ วธิ ีดำเนินการประชุม และประเมินผลการประชุม
ขั้นที่ 9 การปรบั เปลย่ี นผลงาน กลา่ วคือ เพอ่ื ให้แฟม้ สะสมงานน้ัน มีผลงานที่ดี
ทันสมัย และน่าสนใจ ดังนั้นหลังจากการเลือกผลงานผ่านไประยะหนึ่ง และเมื่อสร้างผลงาน
เพิ่มเติม จึงควรให้โอกาสนักเรียนได้ปรับเปลี่ยนผลงาน โดยการเพิ่มเติมหรือเลือกชิ้นงานทีด่ ี
กวา่ เดิมมาเก็บในแฟม้ สะสมงานผลงาน และควรมีการบันทึกการปรบั เปลี่ยนผลงาน
ข้ันที่ 10 การประเมินผลงานแฟ้มสะสมงาน กล่าวคือ การประเมินแฟ้มสะสม
งาน เป็นเครื่องมือการประเมินตามสภาพจริงที่เน้นนักเรียน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีส่วน
ร่วมในการประเมินแฟ้มสะสมงาน ทั้งนี้สามารถทำได้หลายรูปแบบ ได้แก่ การให้นักเรียน
ประเมินตนเอง การให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องประเมิน หรือร่วมกันประเมิน นอกจากนี้ใน
การประเมิน จะพิจารณาเกี่ยวกบั เกณฑ์การให้คะแนนที่เรียกว่า Rubrics Score เพื่อดูพัฒนา
ความก้าวหน้า คน้ หาข้อบกพร่อง หรือจัดอนั ดบั คณุ ภาพ ฯลฯ
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 223399
ในการประเมินผลงานนี้ ครูและนักเรียนควรปรึกษาหารือ และกำหนดกันตั้งแต่
ต้นภาคเรียน ว่าจะประเมินอะไรบ้างจากแฟ้มสะสมงาน เช่น การประเมินจากลักษณะของ
แฟ้มสะสมงานที่เก็บไว้ในแฟ้มหลักฐาน มีเกณฑ์การประเมินและการเก็บคะแนนอย่างไร แล้ว
สรปุ ผลการประเมินเปน็ ภาพรวมตามสมรรถภาพหรือจดุ ประสงค์การเรียนรู้
ขั้นที่ 11 จัดนิทรรศการผลงานนักเรียน กล่าวคือ เป็นการประชาสัมพนั ธผ์ ลงาน
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนมีความภาคภูมิใจ ชื่นชมในผลงาน และความสามารถของ
ตนเอง ทั้งนี้การจัดนิทรรศการผลงานของนักเรียน อาจทำโดยให้นักเรียนเป็นผู้ดำเนินการ
วางแผนเอง ตั้งแตก่ ารจัดสถานที่ การจัดนิทรรศการ การเชิญผู้เกี่ยวข้อง การประชาสัมพันธ์
และการประเมินผล
ตัวอย่าง การประเมินแฟ้มสะสมผลงาน
แฟ้มสะสมผลงาน : การเรียงความ ประกอบด้วย
ชิ้นงานที่ 1 ..............................
ชิ้นงานที่ 2 ..............................
ชิ้นงานที่ 3 .............................. ฯลฯ
ใหน้ กั เรียนเขียนขอ้ ความตอ่ ไปนี้
1. วันที่รวบรวม ..............................
2. สรปุ เนือ้ หาของเรียงความฉบับนี้ ..............................
3. สิ่งที่นกั เรียนชอบมากที่สดุ ในการเขียนเรียงความฉบบั นี้ ..............................
4. นักเรียนต้องการพฒั นาอะไรในผลงานชิ้นต่อไป ..............................
5. ถ้าผลงานนเี้ ป็นผลงานชิ้นสุดท้าย นักเรียนจะนำมารวบรวมหรือไม่ เพราะเหตใุ ด ......
เครื่องมือที่ครูใช้ในการประเมิน ตัวอย่างเช่น แบบประเมินที่มีลักษณะเป็นมาตร
ประมาณคา่ แบบรบู ริค
240 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 240
แบบประเมิน แฟม้ สะสมผลงานการเรียงความ
ชื่อนกั เรียน ............................................ วิชา .................... ช้ัน ..............
ประจำภาคเรียน ............ ชิ้นงานที่ .................... เรื่อง ....................
ประเดน็ ระดับ เกณฑ์การประเมิน
1. ผลสะท้อนถึงคุณภาพ 5 เขียนได้ชัดเจนมาก ในประเดน็ ที่ชอบมากและชอบน้อย มีรายละเอียดมาก
(Quality of reflection) เกีย่ วกับวิธีปรบั ปรงุ งาน
4 เขียนได้ชดั เจนในประเดน็ ทีช่ อบมากและไมช่ อบ มีรายละเอียดเกี่ยวกบั วิธี
2. องค์ประกอบของ ปรบั ปรงุ งาน
เรียงความ (Organization) 3 เขียนแตส่ ิ่งที่ชอบและไม่ชอบ แต่ไม่ค่อยชัดเจน มีรายละเอียดบ้างเกีย่ วกับ
วิธีปรบั ปรงุ งาน
3. การวางแผน (Planning)
2 เขียนในสิ่งทีช่ อบและไม่ชอบไมช่ ดั เจน
1 ไมม่ ีหลักฐานที่แสดงถึงผลสะท้อนของงาน
5 ให้ความรู้สึกทีด่ ีมากเลย
4 ให้ความรู้สึกทีด่ ี
3 ให้ความรู้สึกปานกลาง
2 ให้ความรู้สึกเพียงเลก็ น้อย
1 ไมใ่ ห้ความรู้สึก
5 มีแนวคิดที่ชัดเจนจดุ มุ่งหมายการเขียนชดั เจนมากและแจม่ ชัดมีหลกั ฐาน
การวางแผนการเขียนที่ดี
4 มีแนวคิดจุดม่งุ หมายชัดเจนและแจ่มชัดมีหลักฐานการวางแผนการเขียน
3 มีแนวคิดไม่ค่อยชัดเจนจุดมงุ่ หมายคลุมเครือหลกั ฐานการวางแผน
การเขียนชัดเจนบางสว่ น
2 การวางแผนการเขียนคลุมเครือจุดมงุ่ หมายไม่ชัดเจนหลกั ฐานการวาง
แผนการเขียนไม่ชดั เจนเลย
1 ไม่มีหลักฐานการวางแผนการเขียน
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 224411
ประเด็น (ตอ่ )
4. แบบแผนการเขียน แบบประเมิน แฟ้มสะสมผลงานการเรียงความ
(Writing Conventions)
ระดบั เกณฑก์ ารประเมิน
5. การปรับปรงุ คณุ ภาพ 5 มีแบบแผนการเขียนทีด่ ีมาก ไมม่ ีหลักฐานทีค่ ลาดเคลื่อนเลย เน้ือหา
การเขียน (Quality of ฑ น่าสนใจมากและลึกซึง้ มีความถูกต้องท้ังการสะกด วรรคตอน ไวยากรณ์
Revision) และโครงสร้างของประโยค
*หมายเหตุ ประเมิน 4 มีแบบแผนการเขียนที่ดี มีหลักฐานอ้างอิงคลาดเคลื่อนเลก็ น้อย รูปแบบ
เฉพาะผลงานชิน้ ที่ 2 เป็น การเขียนถูกต้องเกือบท้ังหมด ไม่วา่ จะเปน็ การสะกด วรรคตอน ไวยากรณ์
ต้นไป และโครงสร้างของประโยค
3 มีแบบแผนการเขียนพอใช้ได้ ภาษาที่ใช้มีความหมายคลาดเคลื่อน รปู แบบ
การเขียนเกือบจะถกู ต้องท้ังหมด ไมว่ า่ จะเป็นการสะกด วรรคตอน
ไวยากรณ์ และโครงสร้างของประโยค
2 มีแบบแผนการเขียนไม่ดี ภาษาที่ใช้มีความหมายคลาดเคลื่อน รูปแบบการ
เขียนไม่ดี การสะกดวรรคตอน ไวยากรณ์ และโครงสร้างของประโยคไม่
ค่อยถกู ต้อง
1 แบบแผนการเขียนสว่ นมากผิด รูปแบบการเขียนไมถ่ กู ต้องเลย การสะกด
วรรคตอน ไวยากรณ์ และโครงสร้างของประโยคไมถ่ ูกต้องเลย
5 มีการปรบั ปรงุ ตามข้อแนะนำทั้งหมด และตามประเด็นที่ได้ระบุไว้อยา่ ง
ชดั เจน
4 มีการปรับปรงุ ตามข้อแนะนำเปน็ สว่ นใหญ่ และการปรบั ปรุงได้พฒั นาจาก
ผลงานชิน้ กอ่ นหน้า
3 การปรบั ปรงุ ตามข้อแนะนำเป็นบางส่วน และมีการปรบั ปรุงเลก็ น้อยจาก
ผลงานชิน้ ก่อนหน้า
2 ไม่ได้ปรับปรงุ ตามข้อแนะนำและไม่มีการปรับปรุงจากผลงานชิน้ กอ่ นหน้า
1 ไม่มีการปรับปรงุ เลย
ครูผปู้ ระเมิน .....................................
วันที่..................เดือน.........ปี.............
242 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 242
การสรปุ ผลการประเมิน ตวั อย่างเช่น
ชือ่ นักเรียน .................................................
สิง่ ทีป่ ระเมิน ผลงาน คะแนน ชิ้นที่ 1 คะแนน ชิน้ ที่ 2 คะแนน ชิน้ ที่ 3
1. ผลสะท้อน 2 3 3
4 4
2. แบบแผน 3 4 5
5 3
3. องค์ประกอบ 4 4.00 3.75
4. การวางแผน 4
คะแนนเฉลี่ย 3.25
ข้อคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการพฒั นาผลงานชิน้ สดุ ท้าย ...................................................
ข้อคิดเหน็ ของนกั เรียนเกี่ยวกบั ผลงานชิน้ สุดท้าย ...........................................................
ข้อคิดเห็นของผู้ปกครองเกี่ยวกับผลงานชิน้ สุดท้าย ........................................................
ทีม่ า: (Kubiszyn and Borich, 1990, pp. 187-193)
เกณฑใ์ นการแปลผลการประเมิน ตวั อยา่ งเช่น
ค่าเฉลี่ยต้ังแต่ 4.51-5.00 หมายถึง คณุ ภาพของชิ้นงาน ยอดเยี่ยม
คา่ เฉลี่ยต้ังแต่ 3.51-4.50 หมายถึง คณุ ภาพของชิ้นงาน ดีมาก
คา่ เฉลีย่ ต้ังแต่ 2.51-3.50 หมายถึง คณุ ภาพของชิ้นงาน ดี
ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 1.51-2.50 หมายถึง คุณภาพของชิ้นงาน พอใช้
คา่ เฉลีย่ ตั้งแต่ 1.00-1.50 หมายถึง คณุ ภาพของชิ้นงาน ควรปรบั ปรุง
การประเมนิ สภาพจริง (Authentic Assessment)
การประเมินสภาพจริง เป็นกระบวนการสังเกต บันทึก และรวบรวมข้อมูลจาก
การวดั ผลงานของผู้เรียนในสภาพท่เี ปน็ จริงหรือเปน็ ธรรมชาติ (คอื ไมม่ ีการเสแสร้งทำ เพ่ือให้
ได้คะแนนมาก หรือเพ่อื ให้ทช่ี ืน่ ชอบของครูผู้สอน) ดังน้ันผลงานที่จะประเมินผู้เรียนตามสภาพ
จริง ควรเป็นงานที่ซับซ้อน (Complexity) และเน้นการบูรณาการทั้งความรู้และทักษะเข้าไว้
ด้วยกัน
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 224433
ลกั ษณะของผลงานในการประเมินสภาพจริง (Wiggins, 1998, pp. 22-24)
งานทีใ่ ห้ผู้เรียนได้ปฏิบัตินั้น ต้องมีลกั ษณะดงั ต่อไปนี้
1) เปน็ งานทีเ่ กิดขึน้ ในชีวิตจรงิ (Realistic) ทีผ่ ู้เรียนต้องใช้ความรู้ และความสามารถใน
การปฏิบตั ิงานน้ัน
2) เป็นงานที่ต้องใช้การตัดสินและสร้างนวตั กรรม (Judge and Innovation) โดยผู้เรียน
ต้องใช้ความรู้และทักษะข้ันสูงที่จะสร้างหรือแก้ปญั หางานน้ัน ๆ ต้องมีการวางแผนและหาวิธี
แก้ปัญหามากกวา่ งานปกติ
3) ผู้เรียนต้องปฏิบัติจริง (Do the Subject) มากกว่าการท่องจำ หรือการอธิบาย
ลกั ษณะของงาน
4) ถ้าเป็นสถานการณจ์ ำลองทีใ่ ห้ปฏิบตั ิ ต้องกระทำในสถานปฏิบตั ิงาน (Workplace)
ในสถานทีเ่ หมือนจริง
5) เป็นงานที่ซับซ้อน (Complex task) ที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะในการ
ปฏิบัติงานเป็นอยา่ งมาก
ดงั นั้นผลงานในการประเมินสภาพจริงนั้น ต้องมีโอกาสเกิดขนึ้ ในชีวิตจริงทผี่ ู้เรียนต้อง
ใช้ความรู้และทักษะขน้ั สงู ในการปฏิบัติงาน และยังได้รบั คำแนะนำเพ่อื ปรบั ปรุงผลงานด้วย
หลักการในการประเมินสภาพจริง (สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 58) ดงั นี้
1) ครผู ู้สอนต้องแจ้งกฎระเบียบ ขอ้ ปฏิบตั ิตา่ ง ๆ ให้นกั เรียนทราบ แล้วใช้การสังเกต
ว่านักเรียนปฏิบัติในสภาพจริงได้มากน้อยเพียงใด โดยที่นักเรียนต้องไม่รู้ตัว เพราะหากรู้ตัว
นักเรียนจะเสแสร้งปฏิบตั ิ กถ็ ือได้ว่าไมไ่ ด้วัดจากสภาพจริง
2) ต้องใช้เวลาวัดนาน ๆ เปน็ ระยะ ๆ (ถ้าครูผู้สอนวดั บ่อยเกินไป จะเกิดความเหนื่อย
และเบอ่ื หน่าย) และต้องมีความเป็นธรรมกบั นกั เรียนทกุ คนหรือทกุ กลุ่ม
3) การวัดลักษณะนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการวัดด้านคุณลักษณะของนักเรียนด้วย
หากจะให้เป็นคะแนนต้องระวังความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการวัด วิธีวัดที่ดีจึงควรวัดในเชิง
บรรยายคณุ ลักษณะเชน่ เดียวกับการที่ครูประจำช้ันเขยี นแสดงความคดิ เหน็ ลงในสมุดรายงาน
ประจำตวั นักเรียนในแต่ละภาคเรียนหรือแต่ละช้ันปีหรืออาจจะตดั สิน 3 ระดับ คอื ดีเยีย่ ม ผ่าน
ไม่ผา่ น (กลมุ่ ที่ไม่ผา่ น ต้องคดิ แก้ปญั หาหรือเชิญผู้ปกครองมาปรึกษาเพอ่ื ชว่ ยเหลือนกั เรียน)
หมายเหตุ ต้องไม่ลืมว่าการวัดสภาพจริงของนกั เรียน ต้องใช้ร่วมกับการสังเกต
ของครู หรือกรรมการทีต่ ้องการเก็บข้อมลู จึงควรระบุว่าทำการสังเกตวัดสภาพจริง
244 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 244
ประโยชน์ของการประเมินตามสภาพจริง (โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 152)
1) การประเมินตามสภาพจริง เอื้อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล
โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้สอนเปลีย่ นบทบาทจากผู้บอกเลา่ ความรู้เป็นผู้อำนวยความสะดวก
ในการเรียนรู้ทง้ั แหลง่ การเรียนรู้ สือ่ กิจกรรม ฯลฯ และที่สำคัญต้องมีการประเมิน และการให้
ข้อมูลย้อนกลับที่สามารถนำผลการประเมินไปพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียน และ
การจัดการเรียนการสอนของผู้สอน
2) การประเมินตามสภาพจริง ทำให้ผู้เรียนได้สร้างงานที่ทำให้เห็นถึงความสามารถใน
การพัฒนาการเรียนรู้ และทำให้เกิดการบูรณาการสาระการเรียนรู้ตา่ ง ๆ เขา้ ด้วยกันได้
3) การประเมินตามสภาพจริง ทำให้การวดั และการประเมินผลกลมกลืนกับหลักสูตร
และการเรียนการสอน คอื ผสมผสานกิจกรรมการเรียนรู้กบั การวดั และประเมินผลให้สามารถ
ดำเนินไปพร้อม ๆ กันได้อย่างลงตัว
4) การประเมินตามสภาพจริง ทำให้ผู้ปกครองได้รับรู้ถึงความสามารถของผู้เรียน
และเห็นพัฒนาการในการเรียนรู้ สนับสนุนให้ผู้ปกครองได้มีบทบาทในการช่วยปรับปรุงและ
พฒั นาการเรียนรู้ของผู้เรียน
ตัวอยา่ งการประเมินงานตามสภาพจริง
เช่น กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ : ปริมาตร (Volume)
จากที่ผ่านมา การประเมินความรู้เกี่ยวกับปริมาตร ในวิชาคณิตศาสตร์ ลักษณะ
ของโจทย์ทถ่ี ามจะมีลกั ษณะ ดังนี้
การประเมินผลแบบเดิม ส่วนใหญ่ในการประเมินแบบเดิมนิยมใช้การกำหนด
โจทย์ แล้วให้นกั เรียนหาคำตอบโดยการคดิ ไม่ค่อยมีการปฏิบัติ โจทยค์ ำถาม เช่น
1) จงหาพนื้ ที่ผิวของทรงกระบอกทีม่ ีรศั มียาว 7 ซม. และสูง 15 ซม.
2) จงหาปริมาตรของทรงกระบอกที่มีเส้นผ่านศนู ย์กลางยาว 5 นวิ้ และสงู 14 นวิ้
3) จงหาปริมาตรของกรวยที่มีเส้นผา่ นศนู ยก์ ลางยาว 18 ซม. และสงู 24 ซม.
การประเมินตามสภาพจริง
การประเมินตามสภาพจริง ควรให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริง โดยการกำหนด
สถานการณต์ ัวอย่างสถานการณ์ “ในเทศกาลวนั ปีใหม่ของทกุ ๆ ปี จะมีการซอื้ ของขวัญให้กับ
พ่อแม่ คนรัก เพื่อน พี่น้อง ญาติสนิท ฯลฯ ดังนั้น เราจะพบว่าห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าใน
หมู่บา้ นเราต้องมีการหอ่ ของขวญั เชน่ เสือ้ ผ้า ของชำรวย ไดอารี่ ปากกา ผ้าเช็ดตวั ฯลฯ โดยใส่
ของเหล่านั้นในกล่องขนาดตา่ ง ๆ ซึ่งพบวา่ ต้องสญู เสียกระดาษห่อของขวัญเป็นจำนวนมากใน
แตล่ ะปี เพราะไมไ่ ด้มีการวางแผนที่ดี บางคร้ังต้องทงิ้ กระดาษห่อของขวญั ไปโดยไมจ่ ำเป็น”
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 224455
ดังนั้น ขอให้นกั เรียนหาวิธีการที่จะหอ่ ของขวญั ตอ่ ไปนี้
- เสือ้ เชิต้ แขนส้ัน - เสือ้ เชติ้ แขนยาว
- กางเกงขายาว - ผ้าเช็ดตวั ขนาดใหญ่
- ชุดวอรม์ - ไดอารี่
- ปากกา
ให้นกั เรียนแบ่งกลุ่มการหอ่ ของขวญั ที่จะทำให้ประหยัดกระดาษหอ่ ของขวัญมาก
ที่สุด โดยกระดาษห่อของขวัญ 1 แผ่น มีความกว้าง 90 ซม. ยาว 300 ซม. ราคาแผ่นละ 30
บาท นกั เรียนจะห่อโดยใสก่ ล่องเป็นขอ้ ขวัญ หรือจะม้วนของขวญั เหล่านั้นก็ได้ แต่ต้องไม่ทำให้
ยบั และเสียรูปทรง
ให้นกั เรียนเขยี นรายละเอียดต่อไป
ขอ้ 1 ขนาดของกลอ่ งทีจ่ ะห่อของขวญั ดังกล่าว
ขอ้ 2 จำนวนกระดาษห่อของขวญั
ขอ้ 3 ราคากระดาษทีใ่ ช้หอ่ ของขวัญทั้งหมด
จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นว่าการประเมินแบบเดิมนั้น ผู้เรียนจะหาคำตอบโดยการ
แทนค่าจากสตู ร ผู้เรียนก็จะได้แต่คำตอบว่ารูปทรงนั้น ๆ มีพืน้ ที่ผิวและปริมาตรเท่าใด ไม่รู้ว่า
จะนำมาใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวันได้อย่างไร และกิจกรรมไม่น่าสนใจ สว่ นการประเมินตาม
สภาพจริงจะพบว่าผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะขั้นสูงในการหาคำตอบ เป็นสิ่งที่ท้าทาย
น่าสนใจ ผู้เรียนได้ปฏิบตั ิจริง และมีการวางแผน บางคร้ังต้องลองผิดลองถกู ก่อน
ขน้ั ตอนในการประเมินตามสภาพจริง (ส วาสนา ประวาลพฤกษ์, 2544, น. 1; อนุ
วัตร คณู แก้ว, 2562, น. 159-160) ดงั นี้
ขั้นที่ 1 กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการประเมิน ต้องสอดคล้องกับสาระ
มาตรฐาน จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และสะท้อนพฒั นาการด้วย
ขั้นที่ 2 กำหนดขอบเขตในการประเมิน ต้องพิจารณาเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดกบั
ผู้เรียน เช่น ความรู้ ทักษะ และกระบวนการ ความรู้สึก คณุ ลักษณะ เป็นต้น
ขั้นที่ 3 กำหนดผู้ประเมิน โดยพิจารณาผู้ประเมินว่าจะมีใครบ้าง เช่น นักเรียน
ประเมินตนเอง เพอ่ื นนกั เรียน ครปู ระจำชั้น ผู้ปกครอง หรือผู้เกีย่ วข้อง เป็นต้น
ขั้นที่ 4 เลือกใช้เทคนิคและเครื่องมือในการประเมินที่มีความหลากหลายและ
เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ วิธีการประเมิน เช่น การทดสอบภาคปฏิบัติ การสังเกต การ
สัมภาษณ์แบบสำรวจ แฟม้ สะสมงาน ฯลฯ (แสดงรายละเอียดขนั้ ตอนการสร้างไว้ ในบทที่ 7)
246 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 246
ขั้นที่ 5 กำหนดเกณฑ์ในการประเมิน และการแปลผลคะแนนที่ได้จากการประเมิน
เป็นการกำหนดรายละเอียดในการให้คะแนนผลงานว่าผู้เรียนทำอะไรได้สำเร็จ หรือว่ามีระดับ
ความสำเรจ็ ในระดบั ใด คอื มีผลงานเป็นอย่างไร การให้คะแนนอาจจะให้เป็นภาพรวม หรือแยก
เปน็ รายด้านให้สอดคล้องกับงานและจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึง่ แสดงดังหัวขอ้ ถัดไป
เกณฑ์การประเมินหรือแนวทางในการใหค้ ะแนน (Rubrics)
ในการประเมินรปู แบบใหม่ ผู้ประเมินควรจะกำหนดเกณฑ์ในการประเมิน และแจ้งให้
นักเรียนควรจะได้ทราบก่อนลงมือทำตามเกณฑ์ การประเมินนี้จะระบุคุณภาพที่ต้องการให้
นักเรียนกระทำ ทั้งนีค้ ะแนนบน Rubrics ควรสอดคล้องกับตัวอย่างการตอบสนองน้ัน ๆ ดังนั้น
การกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนน้ัน จะทำให้นักเรียนได้รู้วา่ ครตู ้องการอะไร และเขาจะต้องทำ
อย่างไรเพอ่ื ที่จะให้ผลงานของเขาได้คะแนนในระดับทีต่ ้องการ
Rubrics เปน็ แนวทางการให้คะแนน (Scoring Guideline) ทีเ่ กิดจากการรวมกนั ระหวา่ ง
เกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Criteria) กับมาตรประมาณค่าหรือระดับคะแนน (Rating Scale)
โดย Rubrics เป็นแนวทางการให้คะแนนที่ระบุถึงความแตกต่างของผลงานหรือประสิทธิภาพ
(Proficiency) ของงาน (McMillan, 2001) ดังตวั อย่างการให้คะแนน ดังนี้
1. การกำหนดเกณฑ์โดยภาพรวม (Holistic Rubrics) เป็นเกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือกระบวนการทีไ่ ม่ได้แยกสว่ นหรือแยกองค์ประกอบ การให้คะแนนคอื จะประเมินใน
ภาพรวมของผลงานหรือกระบวนการนั้น การให้คะแนนแบบ Holistic Rubrics ใช้ได้ง่าย และใช้
เพียงไม่กี่ครั้งต่อผู้เรียน 1 คน จะเป็นการประเมินในภาพรวมของทุกคุณลักษณะในการ
ปฏิบตั ิงาน (โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 26; อนวุ ัตร คูณแก้ว, 2562, น. 165) ตัวอยา่ งเชน่
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 224477
ตวั อยา่ ง Holistic Rubrics
ตัวอยา่ งที่ 1 เกณฑ์การประเมินรายงานสภาพความเปน็ อยู่ของคนไทยในปจั จุบัน
1 คะแนน คือ ข้อมูลไม่เกี่ยวข้องไมต่ รงประเด็น
2 คะแนน คือ ข้อมลู ยังคลุมเครือขาดเหตผุ ลสนับสนนุ และไม่มีการอ้างอิง
3 คะแนน คือ มีข้อมลู ค่อนข้างสมบรู ณม์ ีเหตผุ ลสนับสนุนบ้างแตไ่ มม่ ีการอ้างอิง
4 คะแนน คือ มีข้อมลู ทีส่ มบรู ณ์มีเหตุผลสนับสนนุ และมีการอ้างอิง
5 คะแนน คือ มีข้อมูลที่สมบรู ณแ์ ละชดั เจนมีเหตผุ ลสนับสนนุ มีการอ้างอิงและมีความเป็นไปได้
ตวั อยา่ งที่ 2 เกณฑ์การประเมินทักษะการเขียน
ระดบั คะแนน ลกั ษณะของงาน
1 (ปรบั ปรุง) เขียนไมต่ รงประเด็นตามที่กำหนดไว้คำนำเน้ือหาและบทสรปุ ไม่เปน็ ระบบตวั สะกด
และไวยากรณผ์ ิดมากเหตผุ ลไมส่ อดคล้องกนั เลย
2 (พอใช้) เขียนไม่ค่อยตรงประเด็นตามทีก่ ำหนดไว้คำนำเน้ือหาและบทสรุปไมเ่ ป็นระบบ
ตัวสะกดและไวยากรณ์ยงั มีส่วนผิดอยู่บ้างเหตุผลยงั ไม่ค่อยสอดคล้องกัน
3 (ปานกลาง) เขียนได้ตรงประเด็นตามทีก่ ำหนดไว้มีคำนำเน้ือหาและบทสรปุ ภาษาทีใ่ ช้ตัวสะกดและ
ไวยากรณ์ผิดเล็กน้อยเหตผุ ลยังสอดคล้องกนั อยูบ่ ้าง
4 (ดี) เขียนได้ตรงประเดน็ มีคำนำเนื้อหาและบทสรุปตัวสะกดและไวยากรณ์มีความถกู ต้อง
มีแนวคิดที่น่าสนใจ
5 (ดีมาก) เขียนได้ตรงประเด็นและชดั เจนมีคำนำเนื้อหาและบทสรปุ อย่างชัดเจนตวั สะกดและ
ไวยากรณ์มีความถกู ต้องสมบรู ณ์มีแนวคิดทีน่ ่าสนใจมีเหตผุ ลทีด่ ีใช้ภาษาสละสลวย
2. การกำหนดเกณฑ์แบบแยกเปน็ ด้าน ๆ (Analytic Rubrics) เป็นเกณฑ์การให้
คะแนนที่แยกสว่ นหรือองค์ประกอบคณุ ลกั ษณะของผลงานหรือกระบวนการ แล้วนำแตล่ ะส่วน
หรือองค์ประกอบของคุณลักษณะมารวมกันเป็นคะแนนรวม การให้คะแนนแบบ Analytic
Rubrics นีจ้ ะใช้บอ่ ยครั้ง โดยจะประเมินแยกในแตล่ ะคณุ ลกั ษณะของงาน ซึง่ การประเมินแบบนี้
จะมีประโยชน์เมื่อสนใจจะวินิจฉัย หรือช่วยเหลือผู้เรียน ว่ามีความรู้ความเข้าใจในแต่ละสว่ น
หรือแต่ละคณุ ลกั ษณะของการปฏิบตั ิงานน้ัน ๆ หรือไม่ ซึง่ จะมีส่วนให้ผู้สอนได้ช่วยเสริมสร้าง
หรือพฒั นาการเรียนรู้ในแต่ละคณุ ลักษณะของผู้เรียนให้ดียิ่งข้นึ (โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 27)
ตัวอย่างเชน่
248 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 248
ตัวอย่าง Analytic Rubrics
การประเมินงานเขียน
ประเด็นการประเมิน ระดบั เกณฑก์ ารประเมิน
เนื้อหา 1 เนื้อหาสอดคล้องกบั เนื้อเรื่อง
การใช้ภาษา 2 เนื้อหาสอดคล้องกบั เนื้อเรื่อง เรียงลำดับเนื้อเรื่องชัดเจน
3 เนื้อหาสอดคล้องกบั เน้ือเรื่อง เรียงลำดับเนื้อเรือ่ งชดั เจน มีรายละเอียด
รปู แบบ
นา่ สนใจ
4 เนื้อหาสอดคล้องกบั เน้ือเรื่อง เรียงมีลำดับเนือ้ เรือ่ งชดั เจน มี
รายละเอียดน่าสนใจ แสดงออกถึงการมีจินตนาการ
1 ผิดพลาดมาก แต่ยงั สามารถสือ่ ความหมายได้
2 ใช้ภาษาถกู ต้องบ้าง และสามารถสื่อความหมายได้
3 ใช้ภาษาถกู ต้องเปน็ สว่ นใหญ่ สื่อความหมายได้ และสามารถเช่ือมโยง
ภาษาได้ดี
4 ใช้ภาษาถูกต้องเกือบท้ังหมด สือ่ ความหมายได้ชัดเจน มีการเช่ือมโยง
ภาษาได้อย่างความสละสลวยงดงาม
1 มีปกคำนำสารบญั การอ้างอิงและบรรณานกุ รมมีรปู แบบถกู ต้อง
ครบถ้วน
2 ขาดองคป์ ระกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง
3 ขาด 2 องคป์ ระกอบ
4 ขาด 3 องค์ประกอบ
บทสรุป
การวัดและประเมินผลด้านทกั ษะพิสัย ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการประเมินแบบเดิมหรือ
แนวคิดการประเมินผลแนวใหม่ ตา่ งกเ็ น้นการปฏิบัติหรือการลงมือทำของผู้เรียน แต่อย่างไรก็
ตามแนวคิดการประเมินแบบเดิมจะเน้นการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ส่วนแนวคิดการ
ประเมินผลแนวใหม่จะไม่ได้เน้นเฉพาะการใช้กล้ามเนื้อ แต่การได้ปฏิบัติที่ต้องใช้ทั้งความรู้
ความเขา้ ใจ ความคดิ สร้างสรรค์ และความสามารถอื่น ๆ ที่สามารถลงมือปฏิบัติและเชื่อมโยง
กบั ชีวิตจริงได้ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนนำความรู้ทไ่ี ด้ไปใช้ในชีวิตจริงอยา่ งมีจุดมุ่งหมาย
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 224499
การประเมินแนวใหม่ก็ประกอบด้วย การประเมินภาคปฏิบัติ (Performance
Assessment), การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment), และการประเมินสภาพ
จริง (Authentic Assessment) โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการลงมือ
ปฏิบัติจริง แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าการประเมินภาคปฏิบัติ (Performance Assessment) กับ
การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) มีลักษณะทีใ่ กล้เคียงกัน โดยครจู ะใชก้ าร
สังเกตเป็นเครื่องมือในการวัดพร้อมกันไป เพราะนักเรียนต้องแสดงออกทั้งคู่ แต่มีความ
แตกต่างกันอย่างเด่นชดั คอื 1) การวัดภาคปฏิบตั ิ นักเรียนจะทราบและสามารถฝึกปฏิบัติเป็น
การลว่ งหน้า (ไมไ่ ด้ถือวา่ การสอบรว่ั ไหล) ในช่วงถูกวดั ภาคปฏิบตั ินักเรียนจึงแสดงได้อย่างเต็ม
ความสามารถ โดยมีครูคอยควบคุมและสังเกตการ เช่น การแจ้งล่วงหน้าว่าจะตรวจความ
สะอาดเรียบร้อยของการแตง่ กาย ส่วนการวัดสภาพจริงนักเรียนจะไม่ทราบเป็นการล่วงหนา้
เพราะเปน็ การปฏิบตั ิในชีวิตประจำวัน เชน่ การตรวจความสะอาดเรียบร้อยของการแต่งกายใน
วันใดวันหนึง่ โดยครไู มไ่ ด้แจ้งล่วงหน้า 2) การวัดภาคปฏิบตั ิจะกระทำในช่วงส้ัน ๆ กำหนดเวลา
แน่นอน แต่การวัดสภาพจริงไม่ได้กำหนดเวลาแนน่ อน โดยจะสอดแทรกอยู่ในสภาพการเรียน
การสอนประจำวัน และมักจะใช้เวลานาน ๆ จึงจะวดั ได้ และ 3) การวดั ภาคปฏิบตั ิในเรือ่ งใด ๆ
จะมุ่งวดั ด้านทักษะพสิ ัยโดยตรง ว่าปฏิบัติได้ดีเพยี งใด แต่การวดั สภาพจริงจะมุ่งวดั ด้านจิตพสิ ยั
มากกว่าการวัดด้านทกั ษะพสิ ยั คอื วดั เกีย่ วกบั คุณลกั ษณะตา่ ง ๆ ทีแ่ สดงออกมาเปน็ พฤติกรรม
และที่สำคัญต้องระวังไม่ให้นกั เรียนเสแสร้งปฏิบัติเพ่อื หวังคะแนนจากครผู ู้สอน
ทั้งนี้ก่อนที่จะทำการประเมินด้านนี้ทักษะพิสัยนั้น ควรเขียนเกณฑ์การให้คะแนน
(Rubrics) เสียก่อน แล้วแจ้งให้ผู้เรียนได้รับทราบ เพื่อทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจในงานที่ทำและเปน็
การกระตุ้นผู้เรียนทำงานได้อย่างเต็มศกั ยภาพของตนเองอีกด้วย
แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
1. ให้นิสิตระบุจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมดา้ นทักษะพสิ ัย มาอยา่ งน้อย 5 ขอ้ พร้อมทั้ง
เลือกเครือ่ งมือให้เหมาะสมกบั การวัดจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมน้ัน ๆ
2. จากขอ้ ความทีก่ ำหนด ให้นิสิตพิจารณาว่าขอ้ ความดังกล่าวเปน็ การวัดที่เน้นด้าน
ใด โดยให้ทำเครือ่ งหมาย ลงในชอ่ งนั้น ๆ
ข้อความ กระบวนการ ผลผลิต กระบวนการและผลผลิต
1) ความคลอ่ งแคลว่ ในการอา่ น
2) เขียนตอบสั้น ๆ
3) สรปุ ความจากการฟัง
250 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 250
ขอ้ ความ กระบวนการ ผลผลิต กระบวนการและผลผลิต
4) ความสามารถในการพิมพ์
5) การวาดภาพ
6) การแสดงบทบาทสมมติ
7) การทำอาหาร
8) การเตะฟตุ บอล
9) การผสมสารเคมี
10) การร้องเพลง
3. การประเมินภาคปฏิบัติ (Performance Assessment), การประเมินด้วยแฟ้มสะสม
งาน (Portfolio Assessment), และการประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) เหมือนหรือ
ต่างกนั อย่างไร จงอธิบาย
4. เพราะเหตุใดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จึงต้องมี “การประเมิน
ภาคปฏิบัติ”
5. ให้นิสิตแบ่งกลมุ่ ๆ 4-5 คน และนำแผนการจัดการเรียนรู้ในวิชาเอกของตนเองมา
คัดเลือกแผนฯ ที่กลุ่มตนเองสนใจที่สุด เพื่อทำการประเมินด้านทักษะพิสัย โดยมีรายละเอียด
ดงั นี้
5.1 ให้กลุ่มนิสิต เลือกวิธีการประเมินมา 1 วิธี ได้แก่ การประเมินภาคปฏิบัติ
(Performance Assessment)/ การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment)/ และการ
ประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) พร้อมระบุเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกวิธีการ
ประเมินดงั กล่าว
5.2 ทำการสร้างเครื่องมือ 1 เครื่องมือ และสร้างเกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค
(Rubric Scoring) เพื่อวัดทักษะพิสัยด้านนั้น ๆ ที่กลุ่มตนเองคัดเลือกมา พร้อมระบุเหตุผลว่า
เพราะเหตุใดจึงเลือกสร้างเครือ่ งมือดังกลา่ ว
5.3 นำรายละเอียดในข้อ 5.1 และ 5.2 ออกแบบลงโปรแกรม PowerPoint ให้
สวยงามและนา่ สนใจ พร้อมนำเสนอหน้าชั้นเรียน รวมระยะเวลาไมเ่ กิน 15 นาที
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 225511
เอกสารอา้ งอิง
โชติกา ภาษีผล. (2559). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Measurement and
Evaluation) (พมิ พค์ รั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
พชิ ิต ฤทธจิ์ รูญ. (2552). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา (พมิ พ์คร้ังที่ 5). กรุงเทพฯ :
เฮ้าส์ ออฟ เคอรม์ ีสท์.
ราตรี นนั ทสคุ นธ.์ (2555). หลกั การวดั และประเมินผลทางการศกึ ษา (พมิ พ์ครั้งที่ 3).
กรุงเทพฯ: บริษทั จดุ ทอง จำกดั .
ส วาสนา ประวาลพฤกษ์. (2544). คมู่ ือการอบรมเชิงปฏิบัติการ เพ่อื พัฒนาบคุ ลากรทาง
การศกึ ษา เรือ่ งหลกั การและเทคนิคการประเมินทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ: บริษทั
เดอะมาสเตอรก์ รปุู๊ แมเเนจเมน้ จำกัด.
สมนึก ภัททิยธนี. (2562). การวดั ผลการศึกษา (พมิ พ์คร้ังที่ 12). กาฬสินธ:ุ์ ประสานการพมิ พ์.
อนวุ ตั ร คณู แก้ว. (2562). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษาแนวใหม่ (พมิ พค์ รงั้ ที่ 3).
กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
Kubiszyn, Tom and Borich, and Gary. (1990). Educational Testing and Measurement:
Classroom Application and Practice (6th ed). New York: John wiley & Sons, Inc.
McMillan, J. H. (2001). Classroom Assessment Principles and Practice for Effective
Instruction (2rd ed). Needham Heights: Allyn & Bacon.
Wiggins, G. (1998). Educative Assessment: Designing Assessment to Inform and Improve
Student Performance. San Francisco: Josset-Bass Publishers.
252 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 252
แผนการสอนประจำบทท่ี 9
คะแนนและการตดั สินผลการเรียนรู้
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
เมือ่ เรียนจบบทเรียนนี้แล้ว นิสิตมีความสามารถ ดังนี้
1. อธิบายความแตกต่างระหวา่ งคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐานได้
2. อธิบายเหตุผลของการแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนนมาตรฐานได้
3. คำนวณการตัดเกรดในแตล่ ะวธิ ี
4. ตัดสินผลการเรียนรู้ได้
เนื้อหาสาระ
1. ความเขา้ ใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกบั คะแนน
2. คะแนนมาตรฐานซี (Z-score) และคะแนนมาตรฐานที (T-score)
3. ความเขา้ ใจเบ้ืองต้นเกีย่ วกบั เกรด
4. การตดั เกรดหรือการให้ระดบั ผลการเรียน
5. วธิ ีการตดั เกรด
วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน
1. ผู้สอนชีแ้ จงจดุ ประสงคก์ ารเรียนเนอื้ หาบทที่ 9
2. ผู้สอนบรรยายเนอื้ หาบทที่ 9 และยกตัวอย่างประกอบตามเวลาทีก่ ำหนด
3. ผู้สอนและนิสิตร่วมกนั อภิปรายและตอบข้อซกั ถาม
4. สุ่มตัวแทนนิสิตประมาณ 5 คน เพื่อสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับคะแนนและการ
ตดั สินผลการเรียนรู้ และผู้สอนทำการสรปุ ในประเดน็ เพ่มิ เติม
5. นิสิตทำแบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 9 และส่งตามระยะเวลาที่กำหนด
6. มอบหมายให้นิสิตทกุ คน ศึกษาเนื้อหาบทที่ 10 ล่วงหน้า พร้อมทั้งสรปุ ความร้ลู ง
ในแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping)
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 225533
สอ่ื การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน 161311 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
2. สื่อการสอนในรูปแบบโปรแกรม PowerPoint ประจำบทที่ 9
3. แบบฝึกหัดท้ายบท
การวดั ผลและประเมินผล
1. การรว่ มอภิปรายและตอบคำถามในช้ันเรียน
2. การตอบคำถามจากแบบฝึกหดั ท้ายบท
3. การมีส่วนรว่ มในช้ันเรียน
4. ความสนใจและความรับผิดชอบตอ่ การเรียน
254 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 254
บทท่ี 9
คะแนนและการตดั สินผลการเรียนรู้
เมื่อครผู ู้สอนทำการวดั และประเมินผลผู้เรียนทั้งดา้ นพุทธพิ สิ ัย จิตพสิ ัย และทกั ษะพสิ ัย
โดยเครื่องมือการวัดผลที่ได้กลา่ วไว้ในบทกอ่ นหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนีส้ ิ่งที่ได้จากการวัดก็จะ
ปรากฎออกมาในรูปของคะแนน ที่มีลักษณะเป็นตัวเลข ซึ่งจะบอกถึงประมาณความมากหรือ
น้อย ของสิ่งที่ได้จากการวดั ท้ังนีค้ ะแนนทีไ่ ด้นับเปน็ สิ่งที่บ่งบอกวา่ ผู้เรียนความสามารถระดับ
ใด และยังแสดงถึงประสิทธภิ าพในการจดั การเรียนการสอนของครูผู้สอนอีกด้วย แตอ่ ย่างไรก็
ตาม คะแนนทีไ่ ด้จากการวดั ในแตล่ ะครั้งยังมีความไม่สมบูรณเ์ พยี งพอทีจ่ ะให้ความหมายหรือ
สะท้อนคุณลักษณะของผู้เรียน ด้วยเหตุนี้ผู้ทำหน้าที่วัดและประเมินผลจำเป็นจะต้องมีความรู้
เกี่ยวกับคะแนน ทั้งนี้เพือ่ นำไปสู่ให้เกรด (Grading) กล่าวคือเป็นการตัดสินผลการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนนนั่ เอง
ความเขา้ ใจเบือ้ งตน้ เก่ยี วกบั คะแนน
คะแนนที่ได้จากการวัดด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ในขั้นแรกเรียกว่า “คะแนนดิบ” ซึ่ง
คะแนนดิบนั้น อาจจะแปลงรปู โดยใช้วิธกี ารทางสถิติได้ ทั้งนเี้ พ่อื จะทำให้คะแนนมีความหมาย
ถกู ต้องยง่ิ ข้นึ ดงั น้ันคะแนนที่นำมาใช้ในการประเมินผลการเรียน แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื
1. คะแนนดิบ (Raw Score) คือ คะแนนที่เกิดจากการทดสอบโดยตรง ไม่สามารถ
ตีความหมายให้แน่ชัดว่ามีสภาพการเรียนรู้มากน้อยเท่าไร จึงจัดว่าเป็นตัวเลขลอย ๆ ไม่มี
ความหมาย (สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 261) ท้ังนีค้ ะแนนดิบมีลกั ษณะจำกดั ที่ควรทราบ ดังนี้
1) คะแนนดิบไม่ได้เป็นหน่วยที่สมบูรณ์ในการวัดความรู้และความสามารถของ
นักเรียน เนื่องจากการทดสอบแต่ละครั้ง จะสุ่มวัดเฉพาะพฤติกรรมสำคัญที่เป็นตวั แทนของ
พฤติกรรมส่วนรวมเทา่ นั้น จึงต่างจากตัวเลขที่ได้จากการชัง่ ตวงวัด ดังนั้นถ้านักเรียนสอบได้
คะแนน 0 ก็ไม่ได้หมายความว่านักเรียนคนนั้นไม่มีความรู้เลย หรือถ้านักเรียนคนใดสอบได้
คะแนนเตม็ ก็ไม่ได้หมายความว่านกั เรียนนั้นมีความรู้ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือถ้านกั เรียนคนแรก
สอบได้คะแนนเปน็ 2 เท่าของคนที่สอง กไ็ ม่ได้หมายความว่าคนแรกจะมีความรู้ความสามารถ
เปน็ 2 เท่าของคนทีส่ อง
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 225555
2) คะแนนดิบยังไม่มีความหมายที่แน่นอนในตัวเอง เช่น ถ้าทราบว่านักเรียนคน
หนึง่ สอบคณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนน ก็บอกไม่ได้วา่ เขาเกง่ หรืออ่อนในวชิ านี้ และแม้จะทราบว่า
คะแนนเตม็ เป็น 50 คะแนน กย็ งั บอกอะไรไม่ได้ เพราะจำนวนคะแนนและคา่ ของคะแนนจะแปร
ผันไปตามความยากง่ายของข้อสอบ ถ้าข้อสอบยากมากทุกคนก็อาจจะได้คะแนนค่อนข้างต่ำ
ถ้าข้อสอบง่ายมาก ทุกคนก็จะได้คะแนนค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้าทราบความยากง่ายของ
แบบทดสอบทั้งฉบบั ได้แน่นอน กพ็ อจะสรปุ ความหมายของคะแนนดิบได้
3) ตัวเลขคะแนนเป็นผลการวัดที่ไม่คงที่ เหมือนกับตัวเลขที่ได้จากการช่งั ตวงวดั
เช่น ถ้าใช้แบบทดสอบฉบบั เดิมทำการสอบวัดกับนักเรียนกลุ่มเดิมซ้ำ 2 ครั้งในเวลาไลเ่ ล่ยี กัน
จะพบวา่ คะแนนผลการวัดต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้างไมม่ ากก็น้อย
4) คะแนนดิบของแต่ละวชิ าจะนำมาเปรียบเทียบกนั ไม่ได้ หรือนำมารวมกันก็ยงั ไม่
สมควร แม้จะกำหนดจำนวนข้อเท่ากันหรือกำหนดคะแนนเตม็ เท่ากันก็ตาม ทั้งนี้เพราะแต่ละ
วชิ ามีธรรมชาติของเนอื้ หาต่างกนั การทำแบบทดสอบแต่ละวชิ าต้องใช้ความรู้ความสามารถที่
แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กคนหนึ่งสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนน ผลการสอบ
วชิ าภาษาไทยได้ 50 คะแนน สรปุ วา่ เด็กคนนเี้ กง่ ภาษาไทยมากกวา่ คณิตศาสตร์ยังไมไ่ ด้ และถ้า
จะรวมคะแนนของทั้งสองวิชาเป็น 40 + 50 = 90 ก็เป็นเพียงการนำตัวเลขมารวมกันเท่านั้น
ไม่ได้มีความหมายในเชิงการรวมความสามารถอย่างแท้จริง
5) การแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนเปอร์เซ็นต์ ก็มิได้ทำให้คะแนนมีหน่วยเป็น
มาตรฐานหรือเป็นหน่วยกลาง เป็นเพียงการเทียบสัดส่วนของคะแนนให้มีส่วนเป็น 100 หรือ
เทียบให้มีคะแนนเต็มเป็น 100 ซึ่งเป็นการทำให้คะแนนมีความหมายคลาดเคลื่อนยิ่งขึ้น เช่น
สมมติวา่ นักเรียนคนหนึง่ สอบคณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนนจาก 50 คะแนน (ทำถูก 40 ขอ้ ) ก็จะ
เทียบได้เป็นร้อยละ 80 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีความหมายเสมือนว่าเด็กคนนี้ทำขอ้ สอบถกู
80 ขอ้ จากขอ้ สอบ 100 ข้อ ซึง่ ในความเป็นจริง ถึงจะเพม่ิ ขอ้ สอบเปน็ 100 ขอ้ เด็กคนนี้คงทำ
ข้อสอบไม่ได้ 80 ข้อพอดี ดังนั้นการนำคะแนนที่ผ่านการแปลงมาเป็นเปอร์เซ็นต์ไปเทียบกบั
เกณฑ์การตดั สินผลการเรียนก็จะได้ผลการสรปุ ทีไ่ ม่ถูกต้อง
2. คะแนนแปลงรูป (Derived Score) เป็นคะแนนที่ได้จากการนำคะแนนดิบ ไป
เปลี่ยนให้เป็นคะแนนที่มีความหมายดีขึ้นกว่าเดิม คือทำให้สามารถบอกสภาพการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนได้แนช่ ัดข้นึ วา่ เขาเกง่ หรืออ่อนในวชิ าใด เพยี งใด ท้ังนี้คะแนนแปลงรปู นอี้ าจจำแนกเป็น
ประเภทย่อย ๆ ได้หลายแบบ ซึ่งต่างก็ตีความได้ชัดเจนแตกต่างกัน (สมนึก ภัททิยธนี, 2562,
น. 261) แยกกลา่ วได้ ดังนี้
256 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 256
1) คะแนนร้อยละ (เปอร์เซ็นต์) ได้แก่ การนำคะแนนที่สอบได้ไปเทียบกับคะแนน
เต็มในรูปของร้อยละ เชน่ สอบได้ 32 จากคะแนนเตม็ 40 แสดงวา่ ถ้าเต็ม 100 คะแนน จะสอบ
ได้ 80 คะแนน เรียกวา่ ได้คะแนนร้อยละ 80 หรือ 80% หากจะใช้สูตรแสดงดงั นี้
f
P = N x 100
เมื่อ
P แทน ร้อยละ
f แทน จำนวนหรือคะแนนดิบทีต่ อ้ งการแปลงเป็นร้อยละ
N แทน จำนวนทั้งหมด หรอื คะแนนเต็ม
2) คะแนนอันดับที่ (Rank) เป็นคะแนนแปลงรูปที่ง่ายที่สุด เป็นเพียงการจัด
เรียงลำดับคะแนนดิบของนักเรียนแต่ละคน (เรียงจากคะแนนเปอร์เซ็นต์ ก็จะได้อันดับที่
เหมือนกัน) คะแนนที่จัดอันดับที่จะมีความหมายดีขึ้นกว่าคะแนนดิบ ในแง่การเปรียบเทียบ
ความสามารถในกลมุ่ เพราะจะรู้ได้วา่ ในแต่ละวชิ า ใครมคี วามสามารถเหนือใครบ้าง หรือใครมี
ความสามารถเหนือกว่าใคร แต่ไม่ได้บอกความหมายวา่ ใครมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนระดับใด
หรือมีความสามารถมากน้อยเท่าไร
3) คะแนนมาตรฐาน (Standard Score) เป็นการนำคะแนนดิบที่ได้ไปเทียบกับ
คะแนนเฉลี่ย (ˉx ) ของกลุม่ โดยพิจารณาว่ามากกว่าหรือน้อยกว่าคะแนนเฉลี่ยของกลุม่ เท่าไร
คะแนนมาตรฐานที่นิยมใช้ ได้แก่ คะแนนมาตรฐานซี (Z-score) และคะแนนมาตรฐานที
(T-score) ซึ่งจะกลา่ วในหวั ข้อถดั ไป
คะแนนมาตรฐานซี (Z-score) และคะแนนมาตรฐานที (T-score)
คะแนนมาตรฐาน (Standard Scores) ที่ใช้ในทางการศึกษามีหลายชนิด แต่ชนิดทีใ่ ช้ได้
สะดวกและเหมาะที่จะนำไปใช้ในการประเมินผล ได้แก่ คะแนนมาตรฐาน Z และ T ซึ่ง
การแปลงคะแนนดิบให้อยู่ในรูปคะแนนมาตรฐาน มีประโยชนด์ ังนี้
ประโยชนข์ องคะแนนมาตรฐาน (ราตรี นนั ทสคุ นธ์, 2555, น. 277)
1. ทำให้คะแนนของแต่ละวิชามีน้ำหนักเท่ากัน เพราะได้ทำให้มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากนั
และค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากัน
2. จากคะแนนมาตรฐานทำให้บอกได้วา่ คนที่ได้คะแนนในวิชานั้นจะเหนือกว่าผ้อู ื่น
หรือต่ำกว่าผู้อื่นเป็นสัดส่วนหรือเปอร์เซ็นต์ไทล์เทา่ ใดของจำนวนคนที่เข้าสอบ และสามารถ
คำนวณเปน็ จำนวนคนได้
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 225577
3. ทำให้คะแนนวชิ าต่าง ๆ รวมกนั ได้ (เพราะมีหน่วยเท่ากนั ) เมื่อต้องการเปรียบเทียบ
ว่าใครจะสามารถมากกว่ากัน ทำให้การคัดเลือกคนเพื่อศึกษาหรือการเข้าทำงานได้เป็นไป
อย่างยุติธรรม
โดย คะแนนมาตรฐาน Z และ T สามารถแสดงรายละเอียด ดงั นี้
คะแนนมาตรฐานซี (Z-score) หมายถึง ผลตา่ งระหว่างคะแนนดิบกบั คะแนนเฉลี่ย
ในหนึ่งส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือเป็นกี่เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (สมนึก ภัททิยธนี,
2562, น. 263) เขยี นเป็นสตู รได้ดังนี้
Z= x−x̅
S
เมื่อ
Z แทน คะแนนมาตรฐานของแตล่ ะคน
X แทน คะแนนดิบของแต่ละคน
ˉx แทน คะแนนเฉลี่ยของกลุม่
SD. แทน ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของกลุ่ม
ตัวอย่างที่ 1 นายแดงสอบได้ 20 คะแนน เปลี่ยนให้เป็นคะแนนมาตรฐาน Z ได้เท่าไร
ถ้าพบวา่ X = 17 และ S = 2 x−x̅
S
จากสูตร Z =
Z = 20−17 = 1.5
2
ดงั นั้น นายแดง สอบได้ 20 คะแนน จะแปลงเป็นคะแนนมาตรฐาน Z ได้เท่ากับ 1.5
ตัวอย่างที่ 2 อริศ สอบวิชาคณิตศาสตร์และภาษาไทยได้คะแนนเท่ากับ คือ 40
คะแนน อยากทราบว่าอริศ เก่งท้ัง 2 วชิ านเี้ ทา่ กันหรือไม่ โดยมีข้อมูลในการสอบดังนี้
วิชา คะแนนเต็ม คะแนนที่ได้ ˉx S
35
คณิตศาสตร์ 60 40 48 3
ภาษาไทย 60 40 4
การเปรียบเทียบทีถ่ กู หลักวชิ า ต้องอาศัยคะแนนมาตรฐาน Z ดงั นี้
258 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 258
จากสูตร Z = x−x̅
S
วชิ าคณิตศาสตร์
Z = 40−35 = 1.67
3 = -2.00
วชิ าภาษาไทย
Z = 40−48
4
ดงั นั้นสรปุ ได้วา่ อริศ เก่งวชิ าคณิตศาสตรม์ ากกวา่ วชิ าภาษาไทย
นอกจากคะแนนมาตรฐาน Z จะใช้เปรียบเทยี บคะแนนหลายวิชาของนักเรียนหนึ่งคน
แล้ว ยังใช้เปรียบเทยี บคะแนนระหวา่ งนักเรียนแตล่ ะคนในกลมุ่ เดียวกันได้อีก ดังตวั อยา่ งที่ 3
ตวั อยา่ งที่ 3 ในการสอบคัดเลือกบรรจพุ นกั งานครั้งหนึง่ แดงและดำทำคะแนนได้ดัง
ตารางขา้ งล่างนี้ อยากทราบวา่ ผู้มีอำนาจในการตัดสิน ควรตัดสินให้ใครเป็นผู้สอบได้
วิชา ความรู้ทว่ั ไป ระเบยี บพนกั งาน ภาษาไทย สถิติเบือ้ งต้น รวม (คะแนน
ดิบ)
คะแนนเต็ม 150 150 100 100 500
คะแนนนาย A 105 115 60 35 315
คะแนนนาย B 125 100 50 50
100 80 60 40 325
ˉx 20 10 6 8
S
จากสูตร Z = x−x̅ สามารถแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนนมาตรฐาน
S
ดงั นี้
วิชา ความรู้ ระเบียบ ภาษาไทย สถิติ รวม
ทัว่ ไป พนกั งาน เบือ้ งต้น (คะแนน Z)
คะแนน Z นาย A 0.00
คะแนน Z นาย B 0.25 3.50 -1.67 -0.63 3.12
1.25 2.00 1.25 2.83
จากคะแนนรวมของคะแนนมาตรฐาน Z สามารถสรุปได้ว่า นาย A ได้คะแนน
มากกว่า นาย B (3.12 > 2.83) ดงั น้ัน ผู้มีอำนาจควรตัดสินให้ นาย A เปน็ ผู้สอบได้
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 225599
คะแนนมาตรฐานที (T-score) (สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 265)
1) การเปลีย่ นคะแนนดิบเปน็ คะแนนมาตรฐาน Z มีกรรมวธิ ีหลายข้ันตอน และมีหน่วย
ใหญเ่ กินไป คอื คา่ Z จะเพิ่ม/ ลดทีละ 1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และโดยธรรมชาติของคะแนน
มาตรฐาน Z จะมีคา่ อย่ใู นชว่ ง -4 ถึง +4 (สว่ นมากจะมีคา่ อยรู่ ะหวา่ ง -3 ถึง 3) เมือ่ คำนวณหา
ค่า Z มกั จะได้คา่ เป็นทศนิยมด้วย จึงทำให้เกิดความยุ่งยากไม่สะดวกในการนำไปใช้
2) คา่ ของคะแนนมาตรฐาน Z จะมีทงั้ บวกและลบ โดยมีคา่ เฉลี่ยอยูท่ ่ี 0 ทำให้ยุ่งยาก
ในการตีความหมาย โดยเฉพาะเมื่อคะแนนมาตรฐาน Z มีค่าเป็นลบ หรือ 0 กล่าวคือ ถ้า
นักเรียนคนหนึง่ ได้คะแนนดิบเท่ากับคะแนนเฉลี่ยพอดี คะแนนมาตรฐาน Z จะเท่ากับ 0 ทั้งครู
และนักเรียนอาจเข้าใจผิด โดยคิดวา่ นักเรียนคนนเี้ รียนอ่อนมากสอบได้ 0 คะแนน (Z = 0) แต่
ในความเปน็ จริง นกั เรียนคนนที้ ำคะแนนได้เท่ากบั คะแนนเฉลีย่ ของกลุ่ม จึงทำให้ X-xˉ = 0
ดังนั้น จากเหตุผล 2 ประการนี้ จึงมีผู้เสนอให้ใช้คะแนนมาตรฐาน T แทน คะแนน
มาตรฐาน Z โดยใช้สูตรดงั นี้
T = 10Z + 50
เมือ่
T แทน คะแนนมาตรฐาน T (T-score)
Z แทน คะแนนมาตรฐาน Z (Z-score)
ตัวอย่างที่ 1 ศรัล สอบวิชาภาษาอังกฤษได้คะแนนมาตรฐาน Z = -0.50 อยากทราบ
วา่ ถ้าเปลี่ยนเป็นคะแนนมาตรฐาน T จะได้เทา่ ไหร่
จากสูตร T = 10Z + 50
T = 10(-0.50) + 50 = 45
ดงั น้ัน ศรัล สอบวชิ าภาษาอังกฤษได้คะแนนมาตรฐาน Z = -0.50 สามารถแปลง
เปน็ คะแนนมาตรฐาน T ได้เท่ากบั 45
ความเขา้ ใจเบือ้ งตน้ เกย่ี วกับเกรด
เกรด (Grade) เป็นตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงผลการประเมินอย่างเป็นทางการของผู้สอน
เพื่อบอกระดับผลการเรียนรู้หรือตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานที่กำหนดใน
รายวิชา (โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 167-170) ทั้งนี้การตดั เกรดจะมีแนวคิดในการตัดเกรด
ดังนี้
260 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 260
1) แนวคิดในการตดั เกรดแบบอิงกลมุ่ มีแนวคิดต้ังอย่บู นทฤษฎีของความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล ที่เชื่อว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ได้แตกต่างกัน คะแนนที่ได้จากแบบสอบใช้แทน
ความรู้ความสามารถของผู้เรียน ซึง่ ควรมกี ารกระจายเขา้ ใกล้การแจกแจงแบบโคง้ ปกติ โดยมี
ผู้มีความรู้ความสามารถปานกลางจำนวนมาก ส่วนผู้ทม่ี ีความสามารถสงู หรือต่ำย่อมมีจำนวน
น้อยกว่า การจัดระดับความรู้ความสามารถของผู้เรียนเช่นนี้ ทำให้ทราบว่าผู้เรียนแต่ละคนมี
ความรู้ความสามารถสูงหรือต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้เรียนทั้งหมด แต่ไม่สามารถทราบสภาพ
ความรู้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง ดงั นั้นแบบสอบที่ใช้ต้องเปน็ แบบสอบชุดเดียวกันหรือ
คู่ขนาน และการวิเคราะห์ข้อสอบเพื่อหาความตรง ความเที่ยง ความยาก และอำนาจจำแนก
จึงมีความสำคัญอย่างย่งิ โดยเฉพาะแบบสอบทีด่ ีต้องจำแนกผู้เรียน เก่ง-อ่อน ได้
2) แนวคิดในการตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์ มีแนวคิดตั้งอยู่บนทฤษฎีการเรียนเพื่อ
รอบรู้ที่ว่าด้วยการให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถอะไร ทำอะไรได้บ้าง คะแนนทีไ่ ด้จากแบบ
สอบใช้แทนความรู้ความสามารถของผู้เรียนในขอบเขตของเนื้อหาที่สำคัญของวิชา การวัด
ความรู้ความสามารถของผู้เรียนจึงเป็นการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่พึงมี โดยไม่ได้
เปรียบเทียบกับผู้อื่นในกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นแบบสอบที่ใช้เป็นแบบสอบเพื่อการประเมินความ
รอบรู้ในเนอื้ หาหรือคณุ ลกั ษณะที่ต้องการวดั ตามจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม อาจไม่จำเป็นต้อง
ใช้แบบสอบเดียวกันตลอดเวลา การวเิ คราะห์แบบสอบเน้นในเรือ่ งความตรงมากที่สุด
3) แนวคิดในการตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม เป็นการตัดเกรดแบบผสม
โดยมีแนวคิดตั้งอยู่บนทฤษฎีที่ว่า การเปรียบเทียบคะแนนของผู้เรียนกันเองภายในกลุ่มจะมี
ความหมายสมบูรณข์ นึ้ ถ้าผู้เรียนได้มีความรู้ความสามารถตามคณุ สมบตั ิข้ันต่ำแล้ว กล่าวคือ
เมื่อผู้เรียนผ่านการตรวจสอบความรู้ความสามารถขนั้ ตำ่ ระหว่างการเรียนการสอนแล้ว น่าจะ
ทำให้การเปรียบเทียบคะแนนรวมภายในกลุ่มผู้เรียนหลังเสร็จสิ้นการสอนมีความเหมาะสม
และสามารถใช้ตดั สินระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ดียิง่ ข้นึ
ทั้งนีก้ ารตดั เกรด จะมีระบบการให้คะแนน ดงั นี้
ระบบการให้คะแนน (พชิ ิต ฤทธิจ์ รญู , 2552, น. 201-202)
1) แบง่ ตามประเภทของการประเมินผล แบง่ เป็น 2 ระบบ คอื
1.1) ระบบสมบูรณ์ (Absolute System) เปน็ การให้คะแนนทีเ่ ปรียบเทียบกับเกณฑ์
สมบูรณ์ที่เปน็ มาตรฐาน (Absolute Standard) การให้คะแนนระบบสมบูรณ์ ได้แก่ คะแนนร้อย
ละ การให้ระดบั คะแนนโดยตรง และการให้ระดบั คะแนนโดยเทยี บจากคะแนนร้อยละ
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 226611
1.2) ระบบสัมพัทธ์ (Relative System) เป็นการให้คะแนนที่เปรียบเทียบกันเองกับ
บุคคลภายในกลุ่มที่สอบด้วยแบบทดสอบฉบับเดียวกัน การให้คะแนนระบบสัมพัทธ์ ได้แก่
คะแนนมาตรฐานเชิงเส้นตรง (Linear Standard Score) การให้คะแนนเป็นตำแหนง่ หรืออันดับที่
การให้คะแนนเปน็ ระดับคะแนนโดยใช้โค้งปกติและคะแนนมาตรฐานในรูปแบบต่าง ๆ
2) แบ่งตามสัญลักษณข์ องการให้คะแนน แบ่งได้ 2 ระบบ คอื
2.1) ระบบตัวเลข ระบบการให้คะแนนที่เป็นตัวเลข ได้แก่ คะแนนดิบ เปอร์เซ็นต์
เปอร์เซน็ ไทล์ และคะแนนมาตรฐาน
2.2) ระบบตวั อกั ษร ระบบการให้คะแนนที่เปน็ ตัวอกั ษร ได้แก่ แบบ 2 ชว่ ง (ผ่าน-
ไม่ผ่าน), แบบ 3 ช่วง (ดี-ผา่ น-ไมผ่ า่ น), แบบ 5 ชว่ ง (ก ข ค ง จ หรือ A B C D E), แบบ 7 ช่วง
(ก ข+ ข ค+ ค ง และ จ หรือ A B+ B C+ C D และ F) เปน็ ต้น
การตัดเกรดหรือการให้ระดบั ผลการเรียน
การตัดเกรดเป็นการสรุปผลการเรียนขั้นสุดท้าย โดยกำหนดระดับความสามารถใน
การเรียนของนักเรียนว่าผ่าน-ไม่ผ่าน, หรือเก่ง-อ่อน ระดับใด การตัดเกรดจึงเป็นการ
ประเมินผลจากการสอบและการวัดด้วยเครื่องมือชนิดอน่ื ๆ ในวชิ านั้น ๆ เพ่ือสรุปออกมาเป็น
ระดับผลการเรียน (เกรด) ซึ่งครูผู้สอนจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถูกต้อง และเหมาะสม
ของการให้เกรด ท้ังนีต้ ้องคำนึงถึงองคป์ ระกอบ 3 ประการ ประกอบด้วย
1) ผลการวัด (Measurement) การวัดที่ดีจะต้องให้ผลการวัดที่ถูกต้องแม่นยำ
เที่ยงตรง ครอบคลมุ และเชือ่ ถือได้
2) เกณฑ์การพิจารณา (Criteria) ต้องมีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นหลักเปรียบเทียบ
หรือเป็นคุณลักษณะที่ตั้งไว้เป็นเป้าหมาย หรือมุ่งหวังที่จะให้เกิดแก่ผู้เรียน และใช้เป็นเกณฑ์
ตดั สินชีข้ าดเกีย่ วกบั ระดับความสามารถของผู้เรียน
3) วจิ ารณญาณและคุณธรรม (Value Judgement) เนื่องจากผลการวัดที่ได้เป็นเพียง
ข้อมูลส่วนหนึ่งเกี่ยวกับตวั นักเรียน การประเมินผลที่เที่ยงตรงจำเป็นต้องอาศัยดุลยพินิจของ
ครูผู้สอนอย่างถีถ่ ้วน รอบคอบ โดยพยายามให้ความเป็นธรรม ไมล่ ำเอียง หรือมีอคติสว่ นตัว
วิธกี ารตดั เกรด
ในที่นี้ขอนำเสนอวธิ ีการตัดเกรด จำแนกตามแนวคิดในการตดั เกรด คอื การตดั เกรด
แบบอิงกลุ่ม, การตดั เกรดแบบอิงเกณฑ์, และการตดั เกรดแบบอิงกลุม่ และอิงเกณฑ์ สามารถ
แสดงรายละเอียด ดงั นี้
262 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 262
การตัดเกรดแบบอิงกลมุ่
การตัดเกรดแบบอิงกลุ่มมีหลายวิธี ดังนั้นจะต้องคิดให้รอบคอบในการเลือกวิธีที่
เหมาะสมและยุติธรรมที่สุด และให้ผู้เรียนมีกำลังใจในการเรียน ทั้งนี้วิธีการตัดเกรดแบบ
อิงกลมุ่ มีดังนี้
วิธที ี่ 1 การตัดเกรดโดยตรง (พชิ ิต ฤทธิจ์ รญู , 2552, น. 202-203)
การตัดเกรดโดยตรง เป็นการให้เกรดโดยไม่ใช้คะแนนดิบ แต่ตัดเกรดโดยตรงวิธีนี้
จำเปน็ ต้องใช้ผู้ตดั สินทีม่ ีประสบการณ์และคุณภาพในการตดั สินเปน็ พเิ ศษ โดยการแบง่ คำตอบ
หรือผลงานออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามคุณภาพของงานเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว
การตรวจผลงานต้องกระทำด้วยความละเอียดรอบคอบ ให้เกิดความคลาดเคลื่อนน้อยที่สดุ
แล้วจึงตดั เกรดโดยตรงในแตล่ ะกลุ่ม การตดั เกรดโดยตรงนี้เหมาะกับรายวิชาที่มีลักษณะเปน็
การฝึกปฏิบตั ิงาน เช่น การประดิษฐ์, การขบั ร้อง, การวาดภาพ, งานศิลปะ เปน็ ต้น
ในการตดั เกรดโดยตรงนั้น ควรกำหนดเกณฑไ์ วใ้ ห้แนน่ อนก่อน ซึง่ อาจจะกำหนดโดย
คำนึงถึงผลการเรียนรู้ทไ่ี ด้ตามจุดประสงค์ของรายวชิ าทีก่ ำหนด ดังตวั อย่าง
เกรด ผลการเรียนรู้
A นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ครบทั้งวัตถุประสงค์สำคัญ และวัตถุประสงค์รองทั้งหมด คือเรียนรู้ได้
อย่างละเอียดลึกซึง้ แบบรู้จริง เข้าใจจริง จนอาจารยย์ อมรับวา่ เกง่ จริงหรือเกง่ มาก
B นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ครบวัตถุประสงค์สำคัญรู้ และเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยอีกบาง
ประการ อาจารยย์ อมรับวา่ เก่งหรือค่อนข้างเกง่
C นกั ศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ครบวัตถปุ ระสงค์สำคญั ๆ ของวิชา จนเป็นทีพ่ อใจของอาจารย์
D นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้เกือบทุกวัตถุประสงค์สำคัญ ๆ ของวิชา อาจารย์เห็นว่ายังมีทางช่วย
ตัวเองแก้ไขและปรับปรุงตนเองได้ในอนาคต น่าจะพอให้ผา่ นได้
F นักศึกษาไมส่ ามารถเรียนรู้ได้ตามวัตถปุ ระสงค์สำคญั ของวิชาที่กำหนดไว้ ยากที่จะชว่ ยตัวเองได้ ยัง
ต้องอาศัยอาจารย์อยู่อีก ควรให้เรียนซ้ำหรือหาทางปรับปรุงแก้ไขอย่างอื่นภายใต้การควบคุมของ
อาจารย์อยา่ งใกล้ชดิ อีกระยะเวลาหนึง่ ไม่ควรให้ผ่าน อาจยังสร้างความเสียหายให้กับสงั คม เพราะ
ยังเรียนรู้ไมถ่ ึงมาตรฐานขนึ้ ต่ำ
วิธีที่ 2 การตัดเกรดโดยใช้ค่ากลางและการวัดการกระจาย (พิชิต ฤทธิ์จรูญ,
2552, น. 206-208; โชติกา ภาษีผล, 2559, น. 171-174) ซึง่ ในวธิ ีนี้ จะแบ่งย่อย ๆ ออกเปน็ 3
วธิ ียอ่ ย แสดงรายละเอียด ดังนี้
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 226633
1. วิธกี ารตัดเกรดโดยใชค้ า่ พสิ ัย (Range)
การตัดเกรดโดยใช้พิสยั ทำได้โดยจัดเรียงคะแนนดบิ จากมากไปหาน้อย แล้วนำ
คะแนนสูงสุดลบด้วยคะแนนต่ำสุดแล้วหารพิสัยด้วยจำนวนระดับคะแนนที่ต้องการ จะได้ช่วง
หา่ งของระดบั คะแนน แล้วเอาผลลพั ธ์ทไ่ี ด้ลบออกจากคะแนนสูงสุด ดงั ตวั อย่าง
ตัวอย่าง คะแนนผลการสอบวิชาภาษาไทย มีผู้เรียน 50 คน แต่ละคนได้
คะแนนดิบซึ่งจดั เรียงคะแนนตามความถี่ ได้ดงั นี้ (กำหนดการตัดเกรด คอื A B C D F)
คะแนนดิบ ความถี่ คะแนนดิบ ความถี่
20 2 15 4
19 3 14 2
18 4 13 8
17 7 12 5
16 10 11 3
วิธที ำ
1. หาพิสัย = 20 - 10 = 10
2. กำหนดชว่ งของการตัดเกรด 5 ระดบั คอื A B C D F
3. หาชว่ งหา่ งของระดับคะแนน = พสิ ยั
จำนวนช่วงเกรด
10
= 5 =2
4. กำหนดระดับคะแนน นับจากคะแนนสูงสุดลงมาเท่ากับช่วงห่างของระดบั
คะแนนไปตามลำดับ พร้อมกับการกำหนดระดับคะแนน ดงั นี้
ระดับเกรด คะแนนดิบ จำนวนคน
A 19-20 5
B 17-18 11
C 15-16 14
D 13-14 10
F 10-12 10
264 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 264
2. วิธกี ารตดั เกรดโดยใชค้ ่าเฉล่ยี (Mean)
หลักการสำคัญคืออาศัยค่าเฉลี่ยกับค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมาเป็น
ตัวกำหนดช่วงหา่ งของแต่ละเกรด โดยยดึ ถือวา่ คะแนนมีการแจกแจงเปน็ โคง้ ปกติ มีวิธกี ารดงั นี้
1) ตรวจให้คะแนนแล้วหาค่าเฉลีย่ เลขคณิต
2) คำนวณคา่ ความเบีย่ งเบนมาตรฐาน
3) หาขอบเขตของแตล่ ะเกรด ดังนี้
จากกราฟ สามารถคำนวณคะแนนในแต่ละชว่ งของเกรด ดงั นี้
เกรด A ตั้งแต่ xˉ + 1.5S ขนึ้ ไป
เกรด B ระหวา่ ง ˉx + 0.5S ถึง xˉ + 1.5S
เกรด C ระหว่าง ˉx - 0.5S ถึง xˉ + 0.5S
เกรด D ระหว่าง ˉx - 1.5S ถึง xˉ - 0.5S
เกรด F ต้ังแต่ ˉx - 1.5S ลงมา
ตวั อย่าง คะแนนวิชาภาษาองั กฤษของนิสิต จำนวน 150 คน แสดงดงั นี้
คะแนน ความถี่ คะแนน ความถี่ คะแนน ความถี่
33 1 25 11 17 5
32 3 24 10 16 4
31 2 23 9 15 0
30 7 22 13 14 3
29 8 21 8 13 1
28 12 20 10 12 1
27 10 19 10
26 13 18 9
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 226655
วิธที ำ
1. ค่าเฉลีย่ (Mean) ของคะแนนชุดนี้ = 23.47
2. คำนวณสว่ นเบี่ยงมาตรฐาน = 4.53
3. กำหนดช่วงห่าง 1 SD.
คำนวณ ค่า 0.5S = 0.5(4.53) = 2.26 , และค่า 1.5S = 1.5(4.53) = 6.79
ดังนั้น
เกรด A = xˉ + 1.5S = 23.47 + 6.79 = 30.26 ต้ังแต่ 30 คะแนนข้นึ ไป
เกรด B = ˉx + 0.5S = 23.47 + 2.26 = 25.73 ระหวา่ ง 26 ถึง 29 คะแนน
เกรด C = xˉ - 0.5S = 23.47 – 2.26 = 21.21 ระหว่าง 21 ถึง 25 คะแนน
เกรด D = ˉx - 1.5S = 23.47 – 6.79 = 16.68 ระหวา่ ง 17 ถึง 20 คะแนน
เกรด F = ต้ังแต่ 16 คะแนนลงมา
จากข้อมูลคะแนนของนิสิต ทั้ง 150 คน จะได้เกรด A จำนวน 13 คน, เกรด B
จำนวน 43 คน, เกรด C จำนวน 51 คน, เกรด D จำนวน 34 คน, และเกรด F จำนวน 9 คน
3. วิธกี ารตดั เกรดโดยใช้ฐานนิยม (Mode) กบั พิสยั (Range)
ฐานนิยม คือ คะแนนที่ผู้เรียนได้ซ้ำกันมากที่สุด ส่วนพิสัยกค็ ือ คะแนนสูงสุด
ลบด้วยคะแนนต่ำสุด การตัดเกรดด้วยวิธีนี้ทำได้โดยกำหนดจำนวนระดับของเกรดที่ต้องการ
ก่อน แล้วนำไปหารพิสยั ผลลัพธ์ที่ได้นำไปบวกลบ (±) กับค่าฐานนิยม จะได้ช่วงของคะแนน
ตามระดับของเกรดทีต่ ้องการ ดงั ตวั อย่าง
ตัวอย่าง คะแนนผลการสอบวิชาวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน จำนวน 30 คน จง
ทำการตดั เกรดผู้เรียน โดยแบ่งออกเปน็ 5 ระดับ (A, B+, B, C, C+) โดยคะแนนเรียงลำดับดงั นี้
20 19 19 18 18 17 17 17 16 16
16 15 15 15 15 15 14 14 14 13
13 13 12 12 12 11 11 10 10 10
266 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 266
วิธที ำ
1. หาฐานนิยม = 23.47
2. หาพิสัย = 20 - 10 = 10
3. หาช่วงห่างของระดับคะแนน = พสิ ยั
จำนวนชว่ งเกรด
= 10 =2
5
4. หาระดับคะแนน โดยนำ 2 ไปบวกลบกับ 15 จะได้ชว่ งคะแนนในการตดั เกรด
ดงั นี้
ดังน้ัน คะแนนดิบ จำนวนคน
19-20 3
ระดับเกรด 17-18 5
13-16 14
A 11-12 5
B+ 10 3
B
C+
C
วิธที ี่ 3 การตัดเกรดโดยกำหนดเปอร์เซ็นตต์ ามการแจกแจงโค้งปกติ
หลักการสำคัญของวิธีนี้ คือ การกำหนดเปอร์เซ็นต์ในแต่ละระดบั คะแนน ขึ้นอยู่กับ
ดุลยพินิจของครูผู้สอน ทั้งนี้คะแนนมักจะกระจายอยู่ในรูปโค้งปกติ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น
อตั ราสว่ นในรูปของร้อยละโดยประมาณ ดังนี้
คะแนน Z 2% 14% 34% 34% 14% 2%
-3 -2 -1 0 +1 +2 +3
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 226677
ครูผู้สอนต้องทำการกำหนดจำนวนเกรดก่อน แล้วเรียงอันดับ (Rank) ของการ
สอบตามคะแนนจากมากไปหาน้อย ดังตัวอย่าง
ตัวอย่าง 1 มีนักเรียนเข้าสอบ 80 คน ต้องการแบ่งเกรด 3 เกรด แบ่งได้ ดงั นี้
เกรด A ต้องการ 16% ดงั นั้น มีนักเรียนได้เกรด A จำนวน 13 คน โดยคำนวณจาก
10
( 5 X 80 = 12.8 ≈ 13 คน)
เกรด B ต้องการ 68% ดังน้ัน จะมีนักเรียนได้เกรด B จำนวน 54 คน
เกรด C ต้องการ 16% ดังนั้น จะมีนักเรียนได้เกรด C จำนวน 13 คน
ตัวอยา่ ง 2 มีนักเรียนเข้าสอบ 80 คน ต้องการแบง่ เกรด 4 เกรด แบง่ ได้ ดังนี้
เกรด A ต้องการ 16% ดงั นั้น จะมีนกั เรียนได้เกรด A จำนวน 13 คน
เกรด B ต้องการ 34% ดังนั้น จะมีนกั เรียนได้เกรด B จำนวน 27 คน
เกรด C ต้องการ 34% ดังนั้น จะมีนักเรียนได้เกรด C จำนวน 27 คน
เกรด D ต้องการ 16% ดังน้ัน จะมีนกั เรียนได้เกรด D จำนวน 13 คน
ตวั อยา่ ง 3 มีนกั เรียนเข้าสอบ 80 คน ต้องการแบง่ เกรด 5 เกรด แบง่ ได้ ดงั นี้
เกรด A ต้องการ 16% ดังนั้น จะมีนกั เรียนได้เกรด A จำนวน 8 คน
เกรด B ต้องการ 20% ดงั นั้น จะมีนักเรียนได้เกรด B จำนวน 16 คน
เกรด C ต้องการ 40% ดังน้ัน จะมีนกั เรียนได้เกรด C จำนวน 32 คน
เกรด D ต้องการ 20% ดังนั้น จะมีนักเรียนได้เกรด D จำนวน 16 คน
เกรด F ต้องการ 16% ดังน้ัน จะมีนักเรียนได้เกรด F จำนวน 8 คน
ข้อดีและข้อจำกดั ของการตัดเกรดแบบอิงกลุ่ม ดงั นี้
ข้อดี
1) ช่วยกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการแข่งขัน เป็นแรงใจให้ผู้เรียนพยายามเรียนรู้ให้ดี
ทีส่ ุดไมใ่ ช่หวังผลเพยี งเรียนเพอ่ื ผ่านเท่านั้น
2) สะดวกนำไปใช้ปฏิบตั ิ
ข้อจำกดั
1) มาตรฐานของการกำหนดเกณฑข์ ้นึ อยูก่ ับผลการเรียนรู้ของกล่มุ
2) มีปัญหาการเปรียบเทียบระหว่างรนุ่ ของผู้เรียน ซึ่งแตล่ ะรุน่ อาจมคี วามสามารถ
แตกต่างกนั ถึงแม้จะได้เกรดเดียวกนั
268 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 268
การตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์
วิธีนี้จะนำคะแนนที่เกิดจากผลการเรียนของนักเรียนแต่ละคนไปเปรียบเทียบกับ
เกณฑ์หรือจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ทก่ี ำหนดไว้ การประเมินลกั ษณะนี้ ส่วนมากจะออกมาในรูป
ผ่านหรือไม่ผ่าน, รู้หรือไม่รู้, หรือออกมาในรูปของเกรด A, B, C, D หรือ F แต่เกรดที่ได้จาก
การประเมินแบบนี้ จะแปลความหมายว่า คนที่ได้เกรด A สามารถทำอะไรได้บา้ ง เช่น สามารถ
ผ่านจุดประสงค์หลักจุดประสงค์รองทุกข้อ หรือสามารถทำคะแนนได้ถึงร้อยละ 80 ขึ้นไป,
เกรด B สามารถทำคะแนนได้ต้ังแตร่ ้อยละ 70 – 79 เป็นต้น
การตดั เกรดในทีน่ ี้ ที่นิยมใช้ แบง่ เปน็ 2 แบบ ประกอบด้วย
แบบที่ 1 ตดั สนิ ผลให้ผา่ น-ไม่ผา่ น
หลักการสำคัญคือ ต้องกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ (Minimum Requirement) ขึ้นมา ว่า
นักเรียนต้องมีความสามารถอย่างไร อาจจะเขียนในรูปจุดประสงค์การเรียนรู้ จากนั้นจึงทำ
การประเมินผลว่าใครผ่านหรือไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้การตัดสินให้เกรดเป็น
ดี-ผา่ น-ไม่ผ่าน, ดีเยี่ยม-ดี-ผา่ น-ไม่ผา่ น กน็ ับวา่ เป็นการตัดเกรดแบบอิงเกณฑเ์ ชน่ กัน
แบบที่ 2 ใช้เกณฑ์ทีค่ าดหวงั หรือตง้ั เกณฑไ์ ว้คงที่
หลักการสำคัญคือ กำหนดเกณฑ์ในรูปของคะแนนดิบหรือเปอร์เซ็นต์ขึ้นมาก่อน
เชน่ ได้ 90% ข้นึ ไปได้เกรด A, ได้ 70-89% ได้เกรด B เป็นต้น ระบบนมี้ ีจุดอ่อนคอื เปอร์เซ็นต์
หรือคะแนนของผู้เรียน ข้นึ อยู่กับความยากง่ายของข้อสอบ โดยครูผู้สอนไม่ได้ใช้วิจารณญาณ
ของตนเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ถ้าข้อสอบยากเกินไป ผู้เรียนกลุ่มนี้ก็อาจจะได้เกรด F
หลายคน หรือครผู ู้สอนสงั เกตได้ว่านักเรียนกลมุ่ นคี้ อ่ นขา้ งเก่งและมีผลการเรียนอยู่ในระดับที่
นา่ พอใจมาก แตข่ อ้ สอบยากเกินไป นักเรียนกลุ่มนี้อาจจะไมไ่ ด้เกรด A ซึ่งไมส่ อดคล้องกับการ
ประเมินที่มีประสบการณร์ ่วมกันของครูผู้สอน ดงั น้ัน การกำหนดเกณฑม์ าตรฐานจะต้องอาศัย
ประสบการณข์ องผู้สอนหรือการพจิ ารณาร่วมกนั ของผู้สอน ซึง่ เกณฑ์แตล่ ะเรือ่ งไม่จำเป็นต้อง
เทา่ กนั ข้นึ อยูก่ ับความจำเปน็ และความยากงา่ ยของแต่ละเรือ่ งเป็นสำคัญ
ข้อดแี ละขอ้ จำกัดของการตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์ ดงั นี้
ขอ้ ดี
1) ช่วยสร้างแรงจูงใจและความร่วมมือในการเรียนร่วมกนั
2) ทำให้มีเกณฑม์ าตรฐานสำหรับการตัดสินคุณภาพในแต่ละวชิ าชีพ
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 226699
ข้อจำกัด
1) ผู้สอนมีเกณฑใ์ นการตดั สินคุณภาพท่ตี า่ งกัน
2) มีปัญหาความเชื่อถือได้ของเกณฑท์ ีใ่ ช้
การตัดเกรดแบบอิงกลมุ่ และอิงเกณฑ์
จากที่กลา่ วมาข้างต้น จะเห็นได้วา่ การตัดเกรดแบบอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ต่างกม็ ีทั้ง
ขอ้ ดีและขอ้ จำกัด จึงได้มีผู้คิดวิธีให้ระดบั คะแนนโดยวธิ ีอิงเกณฑแ์ ละอิงกลุ่มผสมกัน ซึ่งดิวอี้ บี
สตูท (Dewey B. Stuit) ได้พัฒนาขึ้น โดยยึดหลักการที่สำคัญคือ ระดับคะแนนแต่ละระดับมี
ช่วงห่างเท่ากัน การตัดสินความสามารถของผู้เรียนต้องพิจารณาความสามารถรวมของกลมุ่
ก่อน วา่ มีความสามารถระดบั ใดเมื่อเทียบกบั เกณฑท์ ี่กำหนด เพอ่ื หาคา่ ขดี จำกดั ลา่ งของระดับ
คะแนน A สำหรบั ใช้เปน็ จดุ เริม่ ต้นของการให้ระดบั คะแนนในระดบั ต่อ ๆ ไป
ท้ังนี้ การตัดเกรดแบบอิงกล่มุ และอิงเกณฑ์ แสดงดังตัวอยา่ ง
ตัวอย่าง จงตัดเกรดของนักเรียน โดยแบ่งเกรดออกเป็น 5 ระดับ (A B C D และ F)
ในรายวชิ าสังคมศึกษา ซึ่งมนี กั เรียนเขา้ สอบ จำนวน 31 คน แสดงคะแนนเรียงลำดับ ดงั นี้
85 82 78 76 76 75 74 74 73 72
69 69 69 68 68 68 67 65 64 64
64 63 63 63 62 61 60 60 59 58
55
และกำหนดความสามารถของนักเรียนกลุ่มอยู่ในระดับดี คะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม
เทา่ กบั 2.8 และขดี จำกดั ล่าง เทา่ กับ 1.1
วิธที ำ
1. จากโจทย์กำหนดคา่ ขดี จำกัดล่าง = 1.1
31
2. หาค่ามธั ยฐาน ก็คอื คะแนนของคนที่ 2 = 15.5 ซึ่งกค็ อื คะแนนของคนที่
16 ทำให้ได้ค่ามัธยฐาน เทา่ กบั 68
3. หาค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยวิธลี ดั (1 ใน 6 ของนกั เรียนจำนวน 31 คน
คอื 5.16 เทา่ กบั 5 คน) มีวิธกี ารคอื
270 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 270
ΣXH = 85 + 82 + 78 + 76 + 76 = 397
ΣXL = 55 + 58 + 59 + 60 + 60 = 292
2(397 − 292)
ค่า SD. = 31 = 6.77
4. หาขีดจำกดั ลา่ งของระดบั เกรด A = มัธยฐาน + (ขดี จำกัดลา่ ง x SD.)
= 68 + (1.1 x 6.77) = 75.45
5. หาขีดจำกัดล่างของระดบั เกรดอืน่ ๆ
ขดี จำกดั ล่างของระดับเกรด B = 75.45 – 6.77 = 68.68
ขดี จำกัดลา่ งของระดบั เกรด C = 68.68 – 6.77 = 61.91
ขดี จำกดั ลา่ งของระดบั เกรด D = 61.91 - 6.77 = 55.14
ขดี จำกดั ลา่ งของระดับเกรด F = 55.47 - 6.77 = 48.37
ดงั น้ัน สามารถสรุปได้ดังนี้
ระดบั เกรด ช่วงคะแนน จำนวนคน
A 75 ข้นึ ไป 6
B 69 – 74 7
C 62 – 68 12
D 55 – 61 6
F ต่ำกว่า 55 0
นอกจากการตัดเกรดแบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์ผสมกันแล้ว การประเมินผลการ
เรียนรู้ในปัจจุบนั ยงั เน้นพฒั นาการของผู้เรียน ดังนั้นจึงมีการนำคะแนนพฒั นาการของผู้เรยี น
มาเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนผลสัมฤทธิ์ แล้วนำไปตัดเกรดก็เป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจ
แนวทางในการหาคะแนนพัฒนาการมีหลายวิธี แต่วิธีที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นไปได้ในทาง
ปฏิบัติ คือ สูตรคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ (Relative Gain Score) ที่เสนอโดย ศิริชัย กาญจน
วาสี (2548) มีสตู ร และวธิ ีการคำนวณ ดังนี้
คะแนนพัฒนาการ (คดิ เปน็ %) = คะแนนวดั คร้ังหลงั – คะแนนวัดคร้ังก่อน x 100
คะแนนเต็ม – คะแนนวัดครั้งก่อน
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 227711
ตวั อยา่ งการคำนวณคะแนนพัฒนา
คะแนนของนักเรียน จำนวน 5 คน จากคะแนนเตม็ 10 คะแนน ดังนี้
เลขที่ ชื่อ คะแนนวดั คร้ังก่อน คะแนนวัดครั้งหลัง
1 ฟกั 5 8
2 แฟง 3 7
3 แตงโม 2 5
4 ไชโย 1 5
5 โห่หิว่ 6 10
ดังนั้น สามารถคำนวณคะแนนพัฒนาการ ดงั นี้
เลขที่ ชื่อ คะแนนพฒั นาการ
1 ฟัก (180−−55) x 100 = 60%
2 แฟง 57%
3 แตงโม 38%
4 ไชโย 44%
5 โห่หิ่ว 100%
บทสรปุ
คะแนนที่ได้จากการทดสอบผู้เรียน โดยเครื่องมือวัดผลชนิดต่าง ๆ จะอยู่ในรูปของ
คะแนนดิบและคะแนนแปลงรูป โดยที่คะแนนดิบไม่สามารถนำมาตีความได้ และมีหน่วยไม่
เท่ากัน จึงจำเป็นต้องแปลงให้เป็นคะแนนมาตรฐานก่อน เพื่อให้มีความหมายชัดเจนมากขึ้น
แล้วจึงจะนำไปเปรียบเทียบกันได้ ทั้งนกี้ ารตัดเกรดหรือการตดั สินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน จะ
แบ่งตามแนวคิดของการตดั เกรด ประกอบด้วย การตดั เกรดแบบอิงกลุ่ม, การตัดเกรดแบบอิง
เกณฑ์, และการตัดเกณฑ์แบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์ผสมกัน นอกจากนี้การประเมินผลการ
เรียนรู้ในปัจจุบัน เน้นคะแนนพัฒนาการของผู้เรียนอีกด้วย ว่าคะแนนที่ผู้เรียนได้ในคร้ังก่อน ๆ
มีพฒั นาการอยา่ งไร เมื่อครูผู้สอนทำการวัดในครั้งต่อ ๆ ไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อครูผู้สอนทำการสอน สร้างเครือ่ งมือในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อวัดผล
การเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัยแล้วนั้น ก็จะทำการประเมิน
ผู้เรียนว่าเป็นอย่างไร มีพัฒนาการที่ดีขึ้นหรือไม่ มีข้อบกพร่องทีค่ วรได้รบั การปรับปรุงแก้ไข
272 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 272
อย่างไร หากพบว่าผู้เรียนมีปัญหาที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข ครูผู้สอนจำเป็นที่จะต้องหา
วิธีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้อย่างมีความสขุ
และสามารถเรียนได้ทันกันทุกคน โดยทีค่ รูผู้สอนสามารถหาวิธกี ารแก้ปญั หาหรอื พฒั นาผู้เรียน
ได้จากการทำวจิ ยั ในช้ันเรียนนน่ั เอง
แบบฝึกหัดท้ายบท
1. เพราะเหตุใดจึงต้องแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐาน จงอธิบาย พร้อม
ยกตัวอยา่ งให้เข้าใจ
2. จากขอ้ มูลทีก่ ำหนดให้ ดังนี้
วิชา คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ วิทยาศาสตร์
นักเรียน
70 80 80 130
ด.ช.อลัน 65 110 75 150
ด.ญ.อลิน 65 90 70 120
10 20 5 20
ˉx
SD.
Z-score
T-score
จงตอบคำถามต่อไปนี้
2.1 แปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐาน Z กบั T และเติมลงช่องว่างในตาราง
2.2 ด.ช.อลนั เก่งวชิ าอะไร และออ่ นวชิ าอะไร
2.3 ด.ญ.อลิน เก่งวชิ าอะไร และออ่ นวชิ าอะไร
2.4 ด.ช.อลนั กบั ด.ญ.อลิน ใครเก่งกวา่ กัน
3. จงคำนวณคะแนนพัฒนาการของนกั เรียนในรายวชิ าสงั คมศึกษา มีคะแนนดงั นี้
นกั เรียน คะแนนวดั ครั้งกอ่ น คะแนนวดั คร้ังหลงั คะแนนพัฒนาการ (100%)
1. นายไอ 6 8
2. นางสาวเลิฟ 2 9
3. นายยู 7 9
4. นายโซ 4 8
5. นางสาวมชั 5 8
4. จงอธิบายข้อดีและขอ้ จำกัดของการตดั เกรดแบบอิงกลมุ่ และอิงเกณฑ์
ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 227733