The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2563 วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wannakorn Phornprasert, 2022-09-18 09:43:24

เอกสารประกอบการสอนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2563 วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา

เอกสารประกอบการสอนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2563 วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา

จากภาพ 22 แสดงตัวอยา่ งผลการคัดเลือกขอ้ สอบรายข้อ ดังตารางที่ 19

ตารางที่ 19 ตวั อยา่ งผลการคดั เลอื กข้อสอบรายขอ้

ข้อที่ เฉลย จำนวนคน P r H L ผลการคัดเลือกข้อสอบ
ทีต่ อบถูก (คดั เลือกไว้ / ตดั ทิ้ง)
22
1ค 34 0.76 0.48 20 12 คดั เลือกไว้
15
2ก 26 0.58 0.65 22 6 คดั เลือกไว้
...
3ค 23 0.51 0.33 ... 8 คดั เลือกไว้
6
4จ 35 0.78 0.43 13 คดั เลือกไว้

... ... ... ... ... ... ...

... ... ... ... ... ... ...

30 ก 10 0.22 0.10 4 ตดั ทิง้

จากตารางที่ 19 พบว่า มีข้อสอบทั้งหมด จำนวน 30 ขอ้ โดยข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์
ค่าความยาก (P) และอำนาจจำแนก (r) จำนวน 26 ข้อ และข้อสอบถูกตัดทิ้ง จำนวน 4 ข้อ
ได้แก่ ขอ้ 16, 17, 29 และ 30 เนือ่ งจากไม่ผ่านเกณฑค์ า่ ความยาก และ/ หรือ ค่าอำนาจจำแนก

5. การแปลผลตวั ลวงและการปรบั ปรงุ ข้อสอบ แสดงดงั ภาพ 23



174 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 174

 
 

ภาพ 23 การคดั เลอื กขอ้ สอบรายขอ้ จากโปรแกรม TAP

จากภาพ 23 แสดงรายละเอียด ดงั นี้
 ให้กลับมาที่หน้าต่างคำสั่งเดิม และกด F7 หรือคลิกช่อง View Options
Analysis
 จากนั้นจะปรากฎหน้า Quick Results Viewer ซึ่งแสดงค่าต่าง ๆ ของ
ขอ้ สอบรายตวั เลือก โดยทเ่ี ครือ่ งหมายดอกจัน (*) หมายถึง ตวั เลือกคอื ตวั ถกู เช่น ข้อที่ 1 ตัว
ถกู คอื ค. ที่ผู้ตอบตวั เลือกนี้ จำนวน 34 คน
 คอื คา่ ความยากของตวั ถูก
 คอื คา่ อำนาจจำแนกของตัวถกู
 คอื ค่าความยากของตัวลวง
 คอื ค่าอำนาจจำแนกของตัวลวง

จากภาพ 23 แสดง สามารถตัวอยา่ งการแปลผลตวั ลวงและการปรบั ปรงุ ขอ้ สอบ
ในขอ้ ที่ 1 และ 2 ดงั นี้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 117755

ข้อ ตวั เลือก H L P r ความหมาย
1 ก 03 0.067 -0.130
Pr
ข 03 0.067 -0.130
ใช้ได้ ใช้ได้
ค 22 12 0.756 0.478
ง 01 0.022 -0.143 เพราะมีคนเลือก เพราะลวงให้คนในกลุ่มต่ำตอบมากกว่า

จ 04 0.089 -0.174 คนในกลุ่มสงู

ใช้ได้ ใช้ได้

เพราะมีคนเลือก เพราะลวงให้คนในกล่มุ ต่ำตอบมากกว่า

คนในกลุ่มสูง

ใช้ได้ ใช้ได้

อยู่ในระดบั ค่อนข้างง่าย จำแนกได้ในระดับค่อนข้างสูง

ใช้ได้ ใช้ได้

เพราะมีคนเลือก เพราะลวงให้คนในกลุ่มต่ำตอบมากกว่า

คนในกลมุ่ สูง

ใช้ได้ ใช้ได้

เพราะมีคนเลือก เพราะลวงให้คนในกลุ่มต่ำตอบมากกว่า

คนในกลุ่มสูง

สรปุ ได้วา่ ขอ้ สอบข้อที่ 1 ควรทำการคัดเลือกไว้ และตัวลวงใช้ได้ทุกตัว

ข้อ ตัวเลือก H L P r ความหมาย
2 ก 20 6 0.578 0.648
0.044 -0.087 Pr
ข 02
0.000 0.000 ใช้ได้ ใช้ได้
ค 00 0.289 -0.565
ง 0 13 อยใู่ นระดบั ปานกลาง จำแนกได้ในระดับสูง
0.089 0.004
จ 22 ใช้ได้ ใช้ได้

เพราะมีคนเลือก เพราะลวงให้คนในกลมุ่ ตำ่ ตอบมากกว่า

คนในกลุม่ สงู

ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ควรปรับปรุงตัวลวง ค.

เพราะไม่มีคนเลือกตอบ เพราะไม่สามารถลวงใครได้เลย

ใช้ได้ ใช้ได้

เพราะมีคนเลือก เพราะลวงให้คนในกลมุ่ ตำ่ ตอบมากกว่า

คนในกลมุ่ สงู

ใช้ได้ ใช้ไม่ได้ ควรปรบั ปรงุ ตวั ลวง จ.

เพราะมีคนเลือก เพราะลวงให้คนในกลุ่มต่ำและคนใน

กลมุ่ สูงตอบเท่ากนั

สรปุ ได้วา่ ขอ้ สอบข้อที่ 2 ควรทำการคดั เลือกไว้ และควรปรับปรุงตัวลวง ค. และ จ.

176 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 176

ดังนั้น จะต้องแปลผลข้อสอบทั้งหมด จำนวน 26 ข้อ เพื่อพิจารณาตัวเลือกวและ
ตัวลวงว่าตัวใดควรปรับปรุง แต่ยกเว้นข้อที่ 16, 17, 29 และ 30 ไม่ต้องทำการแปลผล
เนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์ค่าความยาก และค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 4 ข้อ 4.2) แล้ว
ดงั ที่ได้กล่าวไวข้ า้ งต้น

6. การวิเคราะหค์ ่าความเทีย่ ง (Reliability) หลงั จากคดั เลอื กข้อสอบ
เป็นการวิเคราะห์ความเที่ยงครั้งที่ 2 โดยการตัดข้อสอบที่ไม่ผ่านเกณฑ์

การคดั เลือกจากขนั้ ตอนที่ 4 ได้แก่ ขอ้ ที่ 16, 17, 29 และ 30 โดยมีวิธกี าร แสดงดงั ภาพ 24

 





ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 117777



ภาพ 24 การวิเคราะห์ค่าความเที่ยง (Reliability) หลังจากคดั เลอื กข้อสอบ

จากภาพ 24 แสดงรายละเอียด ดงั นี้
 ให้กลบั มาทีห่ น้าตา่ งคำส่งั เดิม และคลิกช่อง Open TAP file
 คลิกทีช่ อ่ ง Go To Data Editor จะปรากฎหน้าตา่ งโฟลเดอรข์ ้นึ มา
 ให้เลือกไฟลว์ เิ คราะหข์ ้อมูลที่ Save ไวก้ อ่ นหน้านี้ ซึง่ ไฟลจ์ ะมีสกลุ คอื .tap
 คลิก Open เพ่อื เปิดไฟล์ .tap
 ทีช่ ่อง Include ซึง่ เดิมจะสงั เกตเหน็ วา่ มีสญั ลกั ษณ์ y อยู่จำนวน 30 ขอ้ ใน
ขั้นตอนนี้ ให้เปลี่ยน y ข้อที่ 16, 17, 29 และ 30 เป็นสัญลักษณ์ n ทั้ง 4 ข้อ เนื่องจากไม่ผ่าน
เกณฑ์คา่ ความยากและอำนาจจำแนก จึงต้องตัดทงิ้ กอ่ นที่จะวเิ คราะห์คา่ ความเทีย่ งท้ังฉบบั
 คลิกที่ Close & Analyze จากน้ันจะปรากฎหน้าตา่ งผลการวเิ คราะหข์ นึ้ มา
 ค่าที่สนใจ คือ ค่าความเที่ยง จากสูตร KR-20 ซึ่งเดิมมีค่า 0.942 แต่เมื่อ
ตดั ขอ้ สอบข้อที่ไม่ผา่ นเกณฑ์ออกไปแล้ว พบว่า ความเที่ยงมีคา่ เพ่มิ มากข้นึ เท่ากบั 0.947
ดังนนั้ สามารถสรุปได้วา่ แบบทดสอบฉบบั มีข้อสอบที่มีคุณภาพจำนวน 26 ข้อ
มีค่าความเทีย่ งท้ังฉบับ เทา่ กับ 0.947 ซึ่งอย่ใู นระดบั ดีมาก (Excellent Reliability)

บทสรุป
การวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในบทนี้ คือ โปรแกรม

Microsoft Excel และโปรแกรม Tap Test Analysis Program: TAP เปน็ การวเิ คราะห์ข้อสอบแบบ
อิงกลุ่ม โดยในการวิเคราะห์คณุ ภาพของข้อสอบ จะแบ่งออกเป็นรายข้อ ได้แก่ ความยากกบั

178 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 178

อำนาจจำแนก และรายฉบับ ได้แก่ ความตรงกับความเที่ยง สามารถเรียงลำดับของการ
ตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบ ประกอบด้วย การวิเคราะห์คุณภาพด้านความตรง (Validity)
จากนั้นจึงคัดเลือกข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์ความตรง เพื่อนำข้อสอบไปทดสอบกับผู้เรียน เพื่อ
วิเคราะห์คุณภาพด้านความยาก (Difficulty) และอำนาจจำแนก (Discrimination) และทำการ
คดั เลือกขอ้ สอบที่ผ่านเกณฑ์ รวมท้ังปรบั ปรุงคณุ ภาพของตัวลวงให้มีคณุ ภาพ และตัดข้อสอบ
ที่ไม่ผ่านเกณฑอ์ อกไป กอ่ นทีจ่ ะนำไปวเิ คราะห์คุณภาพด้านเทีย่ ง (Reliability) ทั้งฉบับ

แบบฝึกหดั ท้ายบท
1. นิสิตทำการวเิ คราะหค์ ณุ ภาพของขอ้ สอบ ด้วยโปรแกรม Excel ให้ครบถ้วน

ขอ้ สอบ ผลการพิจารณา (N=5) IOC แปลผล
ข้อที่ +1 0 -1
311
1 1 22
2 410
3 311
4 500
5 401
6 410
7 500
8 320
9 500
10 500
11 311
12

2. จากข้อมูลต่อไปนี้ ให้นิสิตทำการวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์
ด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ TAP พร้อมทั้งแปลผลการวเิ คราะห์ให้ครบถ้วน

ข้อที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
เฉลย ค ก ค จ จ ง ก ค ง ค

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 117799

ขอ้ ท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
นักเรียนคนท่ี 1 ค ก ค จ จ ง ก ค ง ค
นกั เรียนคนท่ี 2 ก ค จ จ ง ข ก ง จ ค
นกั เรียนคนท่ี 3 ค ก ค จ จ ง ก จ ง จ
นักเรียนคนท่ี 4 ค ง ค ค จ ง จ ค ข ข
นักเรียนคนท่ี 5 ก ง ข ข ข ข ข ข ก ก
นกั เรียนคนท่ี 6 ค ก ค จ จ ง จ จ ค ก
นกั เรียนคนท่ี 7 จ จ ค ข ง ค ก ก ข ง
นกั เรียนคนท่ี 8 ค ก ก จ จ ง ก ง จ ค
นักเรียนคนท่ี 9 ง ง จ ข จ ง ก ข จ ก
นกั เรียนคนท่ี 10 ค ก ค จ จ ง ก จ ง จ
นกั เรียนคนท่ี 11 ค ก ค จ จ ง ก จ ง ข
นกั เรียนคนท่ี 12 ค ก ค จ จ ง ก จ ง จ
นกั เรียนคนท่ี 13 ค ก ค ง จ ก ก ง จ ง
นกั เรียนคนท่ี 14 ก ง ค ก ง ง ข ข ข ข
นักเรียนคนท่ี 15 ค จ ค จ จ ง ง ก จ ง
นักเรียนคนท่ี 16 ข ง ค จ จ ง ก ค ข ง
นักเรียนคนท่ี 17 ค ก ค จ จ ง ก จ ง จ
นักเรียนคนท่ี 18 ค จ ค จ จ ง ก จ ง จ
นักเรียนคนท่ี 19 ข ข ก ค ค ก ข ข ค ง
นักเรียนคนท่ี 20 ค ง ข จ ค ก ค จ ง จ
นักเรียนคนท่ี 21 ค ง ก จ จ ก ข จ จ ข
นักเรียนคนท่ี 22 จ ก ค จ จ ง ข จ ง จ
นกั เรียนคนท่ี 23 ค ก ก จ จ ง ก จ ง จ
นกั เรียนคนท่ี 24 ค ง ข จ จ ง จ ง จ ง
นักเรียนคนท่ี 25 ค ก ก จ ก ง ก จ ง ข

เอกสารอา้ งอิง
Marsha, L. (n.d.). User’s Guide TAP Test Analysis Program. Retrieved April 25 ,

2020, from https://people.ohio.edu/brooksg/downloads/tap_user_guide.pdf.

180 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 180

แผนการสอนประจำบทท่ี 7

การสรา้ งเครือ่ งมือวัดผลดา้ นจิตพิสยั (Affective Domain)

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
เมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แล้ว นิสิตมีความสามารถ ดงั นี้
1. อธิบายความแตกตา่ งของเครือ่ งมือในการวดั พฤติกรรมด้านจิตพสิ ัยได้
2. เลือกใช้เครื่องมือการวัดพฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั กบั พฤติกรรมที่ต้องการศึกษาได้
3. สร้างเครือ่ งมือในการวัดพฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั ได้

เนือ้ หาสาระ
1. ความหมายของจิตพสิ ัย
2. ระดับของพฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั
3. การจัดจำแนกพฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั
4. ธรรมชาติของพฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั
5. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมด้านจิตพสิ ัย
6. เครือ่ งมือวดั พฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั

วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน
1. ผู้สอนชแี้ จงจุดประสงค์การเรียนเนือ้ หาบทที่ 7
2. ผู้สอนบรรยายเนอื้ หาบทที่ 7 และยกตวั อย่างประกอบตามเวลาที่กำหนด
3. ผู้สอนและนิสิตรว่ มกนั อภิปรายและตอบข้อซักถาม
4. สุ่มตัวแทนนิสิตประมาณ 5 คน เพื่อสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับการสร้างเครื่องมือ

วัดผลด้านจิตพสิ ยั (Affective Domain) และผู้สอนทำการสรปุ ในประเด็นเพม่ิ เติม
5. ให้นิสิตแบ่งกลุ่ม ๆ 4-5 คน เพื่อทำสร้างเครื่องมือในการวัดพฤติกรรมด้านจิต

พสิ ัย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
5.1 ให้กลุ่มนิสิต เลือกคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลาง

การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ตามที่สนใจมา 1 คุณลักษณะ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 118811

5.2 เมื่อเลือกคุณลักษณะที่สนใจได้แล้ว ให้ดำเนินการสร้างเครื่องมือวัด
พฤติกรรมด้านจิตพิสยั จำนวน 3 เครื่องมือที่แตกต่างกนั (แบบสังเกตที่มีการให้คะแนนแบบ
รูบริค, แบบสัมภาษณ์, แบบสอบถามชนิดตรวจสอบรายการ, แบบสอบถามชนิดมาตร
ประมาณค่า, แบบสอบถามชนิดออสกดู )

5.3 อธิบายเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงเลือกคุณลักษณะนั้น ๆ พร้อมอธิบายถึง
วธิ ีการสร้างเครื่องมือแตล่ ะประเภทที่กลุม่ ตนเองดำเนินการสร้างข้นึ มา

5.4 นำขอ้ 5.1 ถึง 5.3 ออกแบบลงโปรแกรม PowerPoint ให้สวยงามและนา่ สนใจ
พร้อมนำเสนอหน้าช้ันเรียน รวมระยะเวลาไม่เกิน 15 นาที

6. นิสิตทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 7 และสง่ ตามระยะเวลาทีก่ ำหนด
7. ครูผู้สอนมอบหมายให้นิสิตทุกคน ศึกษาเนื้อหาบทที่ 8 ล่วงหน้า พร้อมทั้งสรุป
ความรู้ลงในแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping)

ส่อื การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน 161311 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
2. สื่อการสอนในรปู แบบโปรแกรม PowerPoint ประจำบทที่ 7
3. แบบฝึกหดั ท้ายบท

การวัดผลและประเมินผล
1. การรว่ มอภิปรายและตอบคำถามในช้ันเรียน
2. การตอบคำถามจากแบบฝึกหดั ท้ายบท
3. การมีสว่ นร่วมในช้ันเรียน
4. ความสนใจและความรับผิดชอบต่อการเรียน
5. ทักษะการทำงานร่วมกันและการนำเสนองานหน้าช้ันเรียน

182 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 182

บทท่ี 7

การสรา้ งเครือ่ งมือวดั ผลดา้ นจิตพิสัย (Affective Domain)

ในการวัดผลและประเมินผลการศึกษาด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นหน้าที่
หลกั ของครูผู้สอนทีต่ ้องทำการวดั และประเมินผลผู้เรียน เพราะในปัจจุบนั การเป็นผู้ที่มีความรู้
(ด้านพุทธิพิสัย ดังที่กล่าวไว้ในบทที่ 3) กล่าวคือถ้าเป็นคนที่เก่งเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มี
คุณธรรม จริยธรรม ก็ไมส่ ามารถที่จะประสบผลสำเร็จได้ ดังนั้นผู้เรียนต้องเป็นคนเกง่ และเปน็
คนดี มีคุณธรรม จริยธรรมด้วย จึงจะประสบผลสำเร็จในชีวิต ดังความมุ่งหมายและหลกั การ
ของการศึกษาตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ได้ระบุในหมวด 1 มาตรา 6
ว่า “การจัดการศึกษา ต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เปน็ มนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งรา่ งกาย จิตใจ
สติปัญญา ความรู้ คุณธรรมจริยธรรม และวฒั นธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยรู่ ว่ มกบั ผู้อื่น
ได้อย่างมีความสุข”

ความหมายของจิตพิสยั
อีเบล (Ebel, 1986, p. 347) กล่าวว่า จิตพิสัยเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ของบุคคล

มากกว่าความเข้าใจเปน็ ความชอบ-ไม่ชอบ, ความชื่นชม-ไม่ชื่นชม, ความพึงพอใจ-ไมพ่ อใจ,
ความเชือ่ มนั่ -ไม่เชือ่ มน่ั , ความภูมิใจ-ไม่ภูมิใจ, อดุ มคติ, และค่านิยม

ฮอปกินส์ และแอนทิส (Hopkins and Antes, 1990, p. 538) กล่าวว่า จิตพิสัยเป็น
พฤติกรรมเกีย่ วกบั ความรู้สึกนึกคดิ ทางจิตใจ อารมณ์ เป็นการกระทำที่เป็นกระบวนการภายใน
ของมนุษย์ เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม การพัฒนาคุณลกั ษณะ และ
แรงจงู ใจ

บุญชม ศรีสะอาด (2550, หน้า 1) กล่าวว่า จิตพิสัยเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง เช่น
ความคิดเห็น ความรับผิดชอบ ความวิตกกังวล การปรบั ตัว แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ลักษณะการ
แสดงตัว-การเก็บตัว สุขภาพจิต การใช้เหตุผลเชิงจริยธรม ความสำนึกในหน้าที่พลเมือง
บุคลิกภาพ และพฤติกรรมเชิงจริยธรรมด้วย

โชติกา ภาษีผล (2559, น. 124) กล่าววา่ จิตพสิ ยั เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับความรู้สึก
ความคิด อารมณ์ และความเชื่อของบุคคลที่มีตอ่ สิ่งของ บุคคล สถานที่ นอกจากนี้ยังรวมถึง
คุณธรรมของบคุ คลที่ต้องอาศยั การสร้าง การปลกู ฝังคณุ ลกั ษณะนิสยั ตา่ ง ๆ ให้เกิดขนึ้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 118833

อนุวัตร คูณแก้ว (2562, หน้า 91) กล่าวว่า จิตพิสัยเป็นคุณลักษณะภายในของคน
แล้วแสดงพฤติกรรม หรือการกระทำออกมาตามอารมณ์ ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นด้านความ
สนใจ ความชื่นชม ค่านิยม จนพฒั นาเปน็ คณุ ลกั ษณะของตนเอง

จากความหมายของจิตพิสัยที่กล่าวไว้ข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า จิตพิสัยเป็น
คุณลักษณะแฝง (Latent Attribute) ที่อยู่ภายในจิตใจของบุคคล ที่สามารถแสดงออกมาเป็น
พฤติกรรมตามความรู้สึกหรืออารมณ์ทีอ่ ยู่ภายใน โดยมีสิ่งเร้าภายนอกเปน็ ตัวกระตุ้นให้แสดง
ออกมา ได้แก่ พอใจ-ไมพ่ อใจ, ความเชือ่ มั่น-ไมเ่ ชื่อม่ันในตน, แรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิใ์ นการเรียน,
ประพฤติดีประพฤติชอบ (จริยธรรม), ความเชื่อ เป็นต้น

ระดบั ของพฤติกรรมดา้ นจิตพิสัย
ทั้งนี้ อารมณ์ ความรู้สึก หรือลักษณะนิสัยตา่ ง ๆ ของบุคคลจะเป็นในรปู แบบใดนั้น

ก็ขึ้นอยู่กับการปลกู ฝัง การอบรม ซึ่งครูผู้สอนทุกคนมีหน้าที่ปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีงามให้
แก่ผู้เรียนด้วย และการวัดผลการทางศึกษาก็ต้องทำการวัดด้วยว่าผู้เรียนเกิดคุณลักษณะ
เหล่านี้หรือไม่ เพียงใด ซึ่ง แครทโวล และคณะ (David R. Krathwohl, 1959) ได้เสนอผลการ
จำแนกพฤติกรรมทางด้านจิตพสิ ยั (Affective Domain) ออกเป็น 5 ระดับ แสดงดังภาพ 1

ระดบั สงู สดุ
(Highest Level)

ระดบั ตำ่ สดุ
(Lowest Level)

ที่มา: Payne (1992, p.414)

ภาพ 25 ระดบั พฤติกรรมดา้ นจิตพิสยั (Affective Domain)

จากภาพ 25 สามารถอธิบายพฤติกรรมด้านจิตพิสัย (Affective Domain) ตามลำดับ
ขั้น(ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2551, น. 46-50; พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 37-39;
ราตรี นันทสุคนธ์, 2555, น. 40-42; สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 22-27; อนุวัตร คูณแก้ว,
2562, น. 92-93) ได้ดังนี้

184 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 184

ระดับที่ 1 การรับรู้ (Receiving) เป็นขั้นแรกของความรู้สึก แต่ขั้นนี้ถ้ากล่าวตาม
ความจริงแล้ว ก็เหมอื นกับข้ันความจำในการจดั จำแนกดา้ นสตปิ ญั ญาน่นั เอง ถือเปน็ การสมั ผัส
เบื้องต้นเพียงได้รู้ ได้เห็นเทา่ นั้น จากสิ่งเร้าที่มากระตุ้นให้แสดงพฤติกรรม หรืออาจเรียกว่าเปน็
ขน้ั การจดจำสิ่งที่ได้รับการสัมผัสจากประสาทสัมผสั ของเราก็ได้ แบ่งออกเปน็ 3 ขนั้ ย่อย คอื

1.1 การร้ตู ัวหรือรจู้ ักส่งิ เร้า (Awareness) เปน็ การรู้ตัววา่ กำลงั สมั ผัสกับสิ่งเร้า
อยา่ งหนึง่ ไม่ได้อยใู่ นสภาพใจลอยหรือขาดสติ เป็นการยอมให้สิ่งเร้าน้ันเขา้ มาอยใู่ นความสนใจ
ของตน เช่น การรับรู้ทางสายตาว่ามีบางสิง่ บางอย่างอยเู่ บ้ืองหน้า

1.2 การยินดีรับรู้ (Willingness to Receive) เป็นขั้นที่บุคคลแยกแยะความ
แตกต่างระหว่างสิ่งเร้านั้นกับสิ่งเร้าอื่น ๆ แล้วมีความเต็มใจที่จะให้ความสนใจแก่สิ่งเร้านั้น
โดยเฉพาะ เช่น การยอมรับฟังผู้หนึ่งผู้ใดพูด

1.3 การควบคุมหรือคัดเลือกการรับรู้ (Controlled or Selected Attention)
ระดับนี้ จะเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์หลายชนิดที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้รบั รู้ในบางสิ่งบางอย่าง
โดยเลือกสรรเอง เชน่ การเลือกฟงั เพยี งหนึ่งเสียง จากเสียงทีส่ ามารถรับรู้ได้อย่างมากมาย

ระดับที่ 2 การตอบสนอง (Responding) ในระดับนจี้ ะเกี่ยวข้องกับการตอบสนอง
ต่อสิ่งหนึง่ สิง่ ใดที่ได้รับรู้มาแล้ว ซึ่งจะแสดงถึงความสนใจ การชื่นชอบของบุคคลได้ด้วย เพราะ
เขาได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยทา่ ที วาจา หรืออาการต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 ขนั้ ย่อย คอื

2.1 การยินยอมใหต้ อบสนอง (Acquiescence in Responding) เปน็ ความรู้สึก
ขนั้ เชือ่ ฟังหรือยนิ ยอมทีจ่ ะทำ แตอ่ าจจะยังไมพ่ อใจเท่าไรนกั เชน่ ความต้ังใจที่จะบังคับตนเอง
ให้รว่ มกิจกรรมกับคนอืน่ การทำการบ้านให้เสร็จ การเชื่อฟงั กฎเกณฑ์ที่กำหนดความต้ังใจที่จะ
ทำตามระเบียบ ฯลฯ

2.2 ความเต็มใจที่จะตอบสนอง (Willingness in Responding) เป็นระดับ
ความรู้สึกขนั้ ร่วมกิจกรรมด้วยความตั้งใจ รว่ มมือทำตามความต้องการหรือด้วยความสมัครใจ
เชน่ มีความรบั ผิดชอบในหน้าที่ของตน ร่วมมือในกิจกรรมของกลุ่มซึง่ เปน็ สมาชิก แสดงความ
สนใจในการเขา้ รว่ มโครงการ การทดลองหรือคน้ คว้าเพ่อื ตอบข้อสงสยั ฯลฯ

2.3 ความพึงพอใจในการตอบสนอง (Satisfaction in Response) เป็น
ความรู้สึกพึงพอใจในการรว่ มกิจกรรม ขั้นตอบสนอง 2 ขั้นแรกนั้น เป็นเพียงการยินยอมและ
เตม็ ใจทำแต่อาจจะไมพ่ งึ พอใจกไ็ ด้ ความรู้สึกในขน้ั นจี้ ึงลกึ ลงไปอกี คอื เปน็ การยนิ ยอมแบบเต็ม
ใจและพึงพอใจจนเกิดความสนุกสนาน, พอใจสนุกกับบทละครวิทยุโทรทัศน์, สนุกกับ
การสนทนาเรือ่ งใดเรือ่ งหนึง่ , สนกุ กบั การเลน่ เกมตวั เลข ฯลฯ การแสดงความสนกุ สนานพอใจ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 118855

น้ัน บางคนอาจจะแสดงออกมาให้เหน็ ได้อยา่ งเปิดเผย แตบ่ างคนอาจจะไม่แสดงให้เห็นเปิดเผย
ก็ได้ การประเมินด้านความพงึ พอใจจึงต้องระวงั การสอบวดั ไวใ้ ห้ดี

ระดับที่ 3 การเห็นคุณค่า (Valuing) เป็นแนวคิดทางนามธรรม ซึ่งเกิดจากการที่
บุคคลได้ตัดสินเลือกประพฤติปฏิบัติในสิ่งทีส่ ังคมยอมรับ และเลือกใช้เกณฑ์ที่มีคุณค่าน้ันด้วย
ตนเอง ส่วนมากพฤติกรรมด้านนี้จะแสดงออกในรูปของเจตคติ องค์ประกอบสำคัญของ

พฤติกรรมด้านนี้ จะเกิดจากแรงจูงใจซึ่งเป็นการผกู พนั ตนเองกับค่านิยมดงั กล่าวจนกลายเป็น
สิ่งชี้แนะหรือกำหนดแนวทางของพฤติกรรม ไม่ใช่เกิดจากการเรียกร้องให้กระทำตาม
แบ่งออกเปน็ 3 ขน้ั ย่อย คอื

3.1 การยอมรับในค่านิยม (Acceptance of Value) เป็นขั้นที่บุคคลนำคา่ นิยม
นั้นไปไวใ้ นความคดิ ของตน ซึง่ อาจจะไมเ่ ข้าใจว่ามีประโยชน์หรือโทษอย่างไร หากแต่เชื่อในตัว
บุคคลทีเ่ ป็นต้นแบบ จึงรับค่านิยมนั้นไว้ เช่น การมาโรงเรียนตรงเวลา โดยนักเรียนอาจไมเ่ ขา้ ใจ

ว่าทำไมต้องตรงเวลา แต่เมื่อครูบอกว่าให้ตรงเวลาก็ปฏิบัติตาม, การไม่สูบบุหรี่ในสถานที่
ราชการ

3.2 การชื่นชอบในค่านิยม (Preference for a Value) ในระดับนี้ไม่เพียงแต่
ยอมรับในค่านิยมเท่านั้น แต่จะมีลกั ษณะพงึ พอใจหรือชื่นชอบในสิ่งน้ันด้วย เช่น การชื่นชอบที่

จะมาตรงเวลา อาจแสดงออกด้วยใบหน้าที่ยมิ้ แยม้ , มีความพงึ พอใจที่จะงดสูบบุหรี่ในสถานที่
ราชการ

3.3 การยึดม่นั ในคา่ นิยม (Commitment) เป็นการยดึ ถือหรือเชื่อมั่นในค่านิยม
น้ัน เป็นขน้ั ที่บุคคลเข้าใจมองเหน็ คณุ และโทษของการปฏิบัตติ ามค่านิยมดงั กลา่ ว จึงปฏิบัติด้วย

ความพึงพอใจ เช่น มองเห็นว่าการมาโรงเรียนตรงเวลาทำให้ได้เรียนรู้สาระต่าง ๆ ที่ครูสอน
อย่างครบครัน ซึ่งจะเกิดความเจริญงอกงามทางสมองทำให้เป็นคนมีความรู้ และฝึกความมี

วนิ ัยจึงมาโรงเรียนตรงเวลาสม่ำเสมอด้วยความเต็มใจ, ชักชวนให้ผู้อื่นทิง้ ขยะลงในถงั ขยะ, งด
สูบบุหรีใ่ นสถานทีร่ าชการ พร้อมท้ังตักเตือนผู้อืน่ ทีส่ บู บุหรีใ่ นสถานทีร่ าชการ

ระดับที่ 4 การจัดระบบ (Organization) จากขั้นที่แล้ว มนุษย์ย่อมเห็นค่านิยม
มากมายที่ผ่านเข้ามาในประสบการณ์ของชีวิต แต่ความรู้สึกของมนุษย์จะนิยมชมชอบเฉพาะ

กลุ่มค่านิยมใดค่านิยมหนึ่งเท่านั้น การจัดระบบนี้จะสร้างขึ้นจากค่านิยมส่วนย่อย ๆ นำมา
ประสานสมั พันธก์ นั การเปลี่ยนแปลงค่านิยมในระยะเป็นผู้ใหญจ่ ะยากกวา่ ในระยะเปน็ เดก็ แบ่ง

ออกเป็น 2 ขนั้ ยอ่ ย คอื
4.1 การสรา้ งมโนทัศน์ในค่านิยม (Conceptualization of a Value) ในขน้ั ที่ 3

นั้นเปน็ เพยี งการสร้างและยดึ ถือความเชื่อหรือค่านิยมตา่ ง ๆ แต่ในระดบั นี้จะเพ่ิมคุณภาพของ

186 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 186

ความคิดเข้าไปด้วย กล่าวคือบุคคลจะมีการประเมินความสำคัญของค่านิยมเหล่านั้นเพื่อให้
เห็นภาพที่ชัดเจนของค่านิยมดังกล่าว รวมทั้งการประเมินของค่านิยมเหล่านั้นว่าค่านิยมใด
สำคญั หรือไมส่ ำคัญ ค่านิยมใดสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่สามารถปฏิบตั ิตามได้ เช่น ในการ
เรียนวิชาวัดและประเมินผลจะได้รับการอบรมให้เปน็ คนซื่อสัตยเ์ กี่ยวกบั การสอบ หลังจากที่
เรียนนี้จบไปแล้วนั้น ก็สามารถปฏิบัติตามหลกั วิชาได้อย่างถูกต้อง, งดสูบบหุ รี่ในสถานที่ที่ไม่
ควรสบู อาทิ โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารเรียน เป็นต้น

4.2 การจัดระบบค่านิยม (Organization of a Value System) เป็นการนำ
ค่านิยมที่ซับซ้อนหรือคา่ นิยมที่แตกต่างกนั ให้ไปสัมพันธ์กับค่านิยมอื่น ๆ อย่างมีระบบ ซึ่งจะ
ก่อให้เกิดความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีความสอดคล้องกันของระบบค่านิยม
โดยรวม ซึ่งค่านิยมในขั้นนี้จะออกมาในลักษณะของปรัชญาแห่งชีวิตหรืออุดมการณ์แห่ง
ความคดิ เช่น มีความภูมิใจที่สามารถสร้างวนิ ยั เกีย่ วกับการสอบโดยยดึ ม่ันในหลักวิชาได้อย่าง
เครง่ ครัด, ชีวิตนอี้ ยู่ได้ด้วยการแบ่งปนั , ชีวิตสร้างงานแล้วงานจะสร้างชีวิต

ระดบั ที่ 5 การสร้างลกั ษณะนิสยั (Characterization) การสร้างลกั ษณะนิสัยจาก
ค่านิยม เกิดขึ้นจากการที่ค่านิยมภายในบุคคลถูกจัดไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องอาศัยเวลา
พอสมควรในการสร้างข้นึ มา พฤติกรรมเชน่ นจี้ ึงไมไ่ ดเ้ กิดจากอารมณ์โดยตรง แต่เกิดจากระบบ
คา่ นิยมท้ังปวง แบ่งออกเปน็ 2 ขนั้ ย่อย คอื

5.1 การควบคุมตนเองแบบทั่วไป (Generalize Set) เป็นขั้นที่แสดงเพื่อให้
สอดคล้องกับค่านิยมของตน โดยพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับความรู้สึกภายในของตนเอง
เช่น รู้ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นเปน็ สิ่งดี แต่โดยพื้นฐานเดิมเขาเป็นคนเหน็ แก่ตัว ในบางครั้งเขาก็
ต้องแสดงออกถึงการชว่ ยเหลือผู้อื่นเพราะทราบดีว่าเปน็ สิง่ ทีด่ ี แต่เนือ่ งจากไมต่ รงกับลักษณะ
นิสยั ของเขามากนกั จึงกระทำเพยี งบางครั้งเทา่ นั้น, บริจาคเงินสร้างพระพทุ ธรปู เพราะเปน็ มหา
กุศล แต่ยังเกิดความเสียดายเงินอยบู่ า้ ง

5.2 การสร้างลักษณะนิสัยที่แท้จริง (Characterization) เป็นขั้นที่จัดระบบ
ค่านิยมมีความสมบูรณม์ าก จนเกิดเปน็ แบบแผนของลักษณะนิสยั ของบคุ คลน้ัน เชน่ ยินดีและ
เต็มใจทีไ่ ด้ช่วยเหลือผู้อืน่ จนกลายเปน็ นิสยั ประจำตวั

ดังนั้น ถ้ากระบวนการทางการศึกษา สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนได้
เช่นนี้ ถือว่าเป็นจุดสงู สุดของการพัฒนาคน เชน่ หลักสูตรระบุวา่ ต้องการพฒั นานักเรียนให้เป็น
คนซื่อสัตย์ การจัดการเรียนการสอนต่างก็มุ่งมาที่จุดนี้ หลังจากนั้นพบว่านักเรียนเป็นคน
ซื่อสัตย์ได้จริง ไม่ว่าอยู่ที่บ้าน โรงเรียน หรือที่อืน่ ใด หรือจนกระท่ังเติบโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็เป็น
คนซื่อสตั ย์ แสดงวา่ การจดั หลกั สตู รได้ผลคมุ้ คา่ มีประสิทธภิ าพ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 118877

การจัดจำแนกพฤติกรรมดา้ นจิตพิสยั
จากที่กลา่ วมาข้างต้น พบว่า พฤติกรรมด้านจิตพิสัยนั้นเป็นความรู้สึกที่พึงบุคคลมี

ซึ่งระดบั ความรู้สึกที่ต่ำทีส่ ุดคอื การรับรู้ จนถึงระดับทีส่ งู สุดคอื ลักษณะนิสัยประจำตัว แต่กว่า
ทีค่ นเราจะมีพฤติกรรมทีเ่ กิดขึน้ จนเปน็ นิสยั ได้นั้น มักจะเริม่ จากความสนใจไปจนถึงการปรบั ตวั

แต่พิจารณาตามลำดับความรู้สึกเป็นขั้น ๆ จะเริ่มจากการรับรู้จนถึงการสร้างลักษณะนิสยั
(Krathwohl and other อ้างถึงใน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2551, น. 51) สามารถ
แสดงดังภาพ 26

ภาพ 26 การจำแนกพฤติกรรมด้านจิตพิสยั

จากภาพ 1 พบว่าความรู้สึกนั้นเปน็ ระดบั ทีต่ ่อเนื่อง (Psychological continuum) ไม่ได้
รู้สึกเป็นทอ่ น ๆ แต่มีทศิ ทางและมีความเขม้ ขน้ แตกตา่ งกัน แต่ละขนั้ ของความรู้สึกจึงเกี่ยวข้อง
เชื่อมโยงต่อเนือ่ งกนั อยา่ งละเอียดอ่อน ระดับความรู้สึกจะเริ่มด้วยความเข้มข้นน้อยไปสู่ความ
เขม้ ขน้ มาก จนยดึ ติดเปน็ ลักษณะนิสัยของคน ดงั น้ันมักจะเริ่มจากความสนใจของบุคคลแต่ละ
บุคคล จนเกิดเป็นความซาบซึ้งและตอบสนองต่อสิ่งที่สนใจ นำมาสู่เจตคติที่ดีต่อสิ่งนั้น และ
เกิดเป็นคา่ นิยมที่ปฏิบัติต่อ ๆ กนั มา จนกลายเปน็ บคุ ลิกกบ็ คุ คลนั้น ๆ

188 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 188

ธรรมชาติของพฤติกรรมด้านจิตพิสยั
พฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นคุณลักษณะทางจิตใจที่ชี้บ่งรูปแบบของอารมณ์หรือ

ความรู้สึกของบุคคล ซึ่งอาจเปน็ ลักษณะทีไ่ มแ่ สดงออกมาภายนอกให้บุคคลอืน่ เห็นหรือเข้าใจ
โดยมีลกั ษณะธรรมชาติท่สี ำคญั 5 ประการ (กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2539, น. 9-
11; อนุวัตร คณู แก้ว, 2562, น. 96-97) ได้แก่

1. เป็นเรื่องของอารมณ์ (Feeling) เป็นคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์หรือ
ความรู้สึกซึ่งมีอยู่ในทุก ๆ คน และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเงื่อนไขและสถานการณ์แวดล้อม
บคุ คลอาจแสดงออกให้เหน็ ได้ทงั้ ในรปู แบบของธรรมชาติ หรือในรปู แบบของการเสแสร้ง ท้ังนี้
ขึ้นอยูก่ ับสภาวะแวดล้อมในช่วงเวลาของการแสดงออกและเจตนาทีแ่ สดงออกมาอยา่ งจริงใจ
เทา่ นั้น

2. เปน็ เรื่องเฉพาะตวั (Typical) กล่าวคือแต่ละบุคคลอาจมีความรู้สึกที่เหมือนกัน
แต่อาจมีรูปแบบการแสดงแตกต่างกันไป หรือมีพฤติกรรมที่แสดงออกเหมือนกัน แต่มี
ความรู้สึกแตกต่างกัน การสังเกตจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควรจึงจะบอกความรู้สกึ
ได้

3. มีทิศทาง (Direction) เป็นการแสดงออกของความรู้สึก สามารถแสดงออกได้ 2
ทางทตี่ รงขา้ มกัน หรือคกู่ ัน เช่น ทิศทางบวกซึง่ เปน็ ทิศทางที่สังคมต้องการ และทิศทางลบซึ่ง
เปน็ ทิศทางที่สังคมไมต่ ้องการ ได้แก่ รกั -เกลียด, ขยนั -ข้เี กียจ, ซอื่ สตั ย์-คดโกง เป็นต้น

4. มีความเข้ม (Intensity) กล่าวคือ บุคคลสองคนที่มีความรู้สึกเหมือนกันใน
สถานการณ์เดียวกัน อาจแตกต่างกันในเรื่องของความเข้มที่บุคคลรู้สึก คือ มากหรือน้อย
ต่างกนั เชน่ ชอบมาก ชอบปานกลาง ชอบน้อย, ขยันมาก ขยนั น้อย เปน็ ต้น ตวั อยา่ งคอื นาย A
กบั นาย B มีความสนใจในการเล่นกีฬาเทควันโดเหมือนกัน แต่ นาย A มีความสนใจมากที่สุด
ส่วนนาย B มีความสนใจในระดบั ปานกลาง

5. มีเป้าหมาย (Target) เป็นคุณลักษณะที่มีเป้าหมาย กล่าวคือ บุคคลจะเกิด
ความรู้สึกหรืออารมณ์ขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้ จะต้องเกิดอารมณห์ รือความรู้สึกต่อเป้าหมาย ซึ่ง
อาจจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ หรือสภาวะใด ๆ ก็ได้ เช่น ขยันทำงานบ้าน ขยันเรียน
ขี้เกียจอ่านหนังสือ เป็นต้น และเมื่อเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว ความรู้สึกหรืออารมณ์อาจ
เปลี่ยนแปลงได้ทั้งทิศทางและความเข้ม เช่น นายแดงมีความรู้สึกชอบนายดำมาก แต่เมื่อ
เปลีย่ นเป้าหมายเปน็ นายเขียว ความรู้สึกของนายแดงตอ่ นายเขยี วอาจจะเปลี่ยนจากชอบมาก
เปน็ ชอบน้อยหรือไม่ชอบเลยก็ได้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 118899

สรุปได้ว่า จิตพสิ ยั เกี่ยวข้องกบั อารมณ์หรือความรู้สึกที่มีอยใู่ นทกุ ๆ คน แต่ละคนจะ
มีแบบแผนเฉพาะตวั และความรู้สึกตอ่ สิ่งใดสิ่งหนึง่ ตอ้ งมีทศิ ทาง ไม่วา่ จะเปน็ ทางด้านบวกหรือ
ที่พึงปรารถนา และด้านลบหรือไม่พึงปรารถนา รวมทั้งมีความเข้ม กล่าวคือ มีระดับของ
ความรู้สึกต่อสิง่ น้ัน เชน่ ชอบมาก-ชอบน้อย เปน็ ต้น

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมดา้ นจิตพิสัย
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม นอกจากจะต้องกำหนดในด้านพุทธพิ สิ ยั แล้ว (กล่าวในบท

ที่ 3) เพอ่ื ทีจ่ ะได้ทราบวา่ หลังเรียนจบเนอื้ หานั้น ๆ ไปแล้ว ผู้เรียนสามารถแสดงพฤติกรรมที่วัด
ได้ หรือสังเกตได้ออกมาอย่างไรบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพฤติกรรมด้านจิตพิสัยนี้ มี
ลกั ษณะทีค่ อ่ นขา้ งแอบแฝง และมีกระบวนการเกิดทีซ่ ับซ้อน การวดั หรือการสังเกตอาจจะทำ
ได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นในการหาข้อสรุปของพฤติกรรมต้องใช้เวลามากที่จะติดตามดูการ
แสดงออกหลาย ๆ ครั้ง จนพอจะแน่ใจได้ หรืออาจจะต้องใช้วิธีตรวจสอบพฤติกรรมหลาย ๆ
วิธีร่วมกัน เช่น ใช้การสังเกต การซักถามส่วนตัว หรือสัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด และใช้
แบบสอบถามหรือแบบทดสอบลักษณะในเชิงจิตวิทยา เปน็ ต้น ในที่นี้จะเสนอคำกริยารวม ๆ ที่
พอจะเปน็ ทีส่ งั เกตพฤติกรรม ได้ดงั นี้

ยินดีใหค้ วามร่วมมือ, อาสา, ยอมรบั , มีส่วนร่วม, คัดค้าน, ช่วยเหลอื , ปอ้ งกนั , ประพฤติ,
สุนทรพจน,์ ปฏิบตั ิตน, เข้าร่วม, ปรบั ปรงุ , เชอ้ื เชญิ , พยายาม, ยกยอ่ ง, เอาใจใส่, เสยี สละ,
รบั ผิดชอบ, กระตอื รือร้น, เหน็ ประโยชน,์ เตม็ ใจ, เหน็ คณุ ค่า, รบั ผดิ ชอบ, ยึดม่ัน, อดทนอดกลั้น,
ควบคมุ ตนเอง, แสดงความสนใจ ฯลฯ

สามารถเขยี นตวั อยา่ งของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมด้านจิตพสิ ัย ได้ดังนี้
1) นกั เรียนอาสาให้ความรว่ มมือในการเกบ็ ขยะรอบ ๆ อาคารเรียน
2) นักเรียนช่วยเหลือเพอ่ื นในขณะที่ทำกิจกรรมรว่ มกันได้
3) นักเรียนประพฤติตนเป็นคนดี ตามหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา
4) นักเรียนพดู สนุ ทรพจน์ เรือ่ ง ความกตัญญู
5) เมื่อเพลงชาติดังข้นึ นกั เรียนปฏิบัติตนโดยการยนื ตัวตรง
6) นักเรียนเขา้ ร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ

190 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 190

เครอ่ื งมือวดั พฤติกรรมด้านจิตพิสยั
หลังจากที่ครูผู้สอนได้กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมด้านจิตพิสัยแล้ว ขั้นตอน

ต่อมากต็ ้องการติดตามผล เพ่อื จะได้ทราบว่าผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ในเนอื้ หาซึง่ สอดคล้องกบั
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดให้หรือไม่ จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นพบว่าการวดั ดา้ นจิต
พิสัยเป็นพฤติกรรมที่มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อน การวัดหรือการสังเกตอาจจะทำได้
คอ่ นขา้ งยาก ดงั นั้นในการวัดและประเมินผลด้านจิตพสิ ยั ควรเลือกเครือ่ งมือในการวัดที่มีความ
หลากหลาย ในบทนี้จึงขอนำเสนอเครื่องมือในการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยที่นิยมใช้
ประกอบด้วย แบบสังเกต, แบบสัมภาษณ์, แบบวัดเชิงสถานการณ์, แบบสอบถาม ทั้งนี้
เครื่องมือแต่ละประเภทมีลักษณะ ความเหมาะสมกับพฤติกรรมที่จะวัดแตกต่างกันออกไป
เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำหน้าที่วัดผลทางด้านจิตพิสัยควรทราบถึงเครื่องมือแต่ละประเภท ซึ่งมี
รายละเอียด ดังนี้

แบบสงั เกต

การสังเกต (Observation) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ใน
ลักษณะของการเฝ้าดู ศึกษาเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่
สังเกต หรือพฤติกรรมของสิง่ ที่เราต้องการศึกษา (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 72-74; สมนึก
ภัททิยธนี, 2562, น. 34-36)

ประเภทของการสังเกต
1) เมื่อแบ่งตามเกณฑ์การมีส่วนร่วมการสังเกต แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื

1.1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participation Observation) เป็นการสังเกตที่
ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ต้องการสังเกต หรือเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มที่
ศึกษา จะทำให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดถูกต้องชัดเจน เป็นลักษณะของการสังเกตทางตรง (Direct
Observation) เช่น การศึกษาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวเขา ที่มาอาศัยวัดถ้ำกระบอก ใน
จังหวัดสระบุรี ผู้สังเกตจะต้องเขา้ ไปอยู่ในวดั ถ้ำกระบอกนาน ๆ จนไมร่ ู้สึกวา่ เป็นคนแปลกหน้า

1.2) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant Observation) เป็น
การสังเกตทีผ่ ู้สังเกตไม่ได้เข้าไปรว่ มกิจกรรมในเหตุการณ์ทีศ่ ึกษา แตค่ อยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ อาจ
ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ การสังเกตแบบนี้เป็นการสังเกตทางอ้อม (Indirect
Observation) ซึ่งอาจมีการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยในการเก็บข้อมูล เช่น กล้องถ่ายภาพ กล้อง
ถ่ายวดี ีทศั น์ เปน็ ต้น

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 119911

2) เมือ่ แบ่งตามการมีโครงสร้างการสงั เกต แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื
2.1) การสงั เกตแบบมีโครงสร้าง (Structured Observation) เป็นการสังเกตที่

ได้กำหนดเรื่องราวหรือขอบเขตของเนื้อหาไว้ล่วงหน้าแน่นอน ว่าจะสังเกตพฤติกรรมหรือ

ปรากฏการณอ์ ะไร มีการเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ประกอบการสงั เกตลว่ งหน้า
2.2) การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Observation) เป็นการ

สงั เกตทีไ่ มม่ ีการกำหนดเรื่องราวหรือขอบเขตของเนือ้ หาไว้ล่วงหน้า เปน็ การสงั เกตอยา่ งอิสระ
ผู้สงั เกตจะสังเกตอยา่ งกวา้ ง ๆ

หลกั และวิธกี ารสังเกต มีแนวปฏิบัติ ดังนี้
1) กำหนดเป้าหมายของการสังเกตให้แน่นอนและชัดเจน โดยกำหนดขอบเขตของ
เรื่องทีจ่ ะสงั เกต รายละเอียดของเรื่อง และลกั ษณะของการสงั เกต
2) ควรมีการบนั ทึกทนั ทีท่สี งั เกต ไม่ควรทงิ้ ไวน้ าน เพราะอาจลืมได้ และไมค่ วรบันทึก

ให้ผู้ถูกสังเกตเห็น
3) ผู้สงั เกตควรมีสขุ ภาพปกติ มีการรบั รู้ท่ถี ูกต้องและรวดเร็ว

4) ผู้สังเกตต้องขจัดความอคติหรือความลำเอียงให้หมด วางตวั เปน็ กลาง เพ่ือบันทึก
เหตกุ ารณ์ตามการรบั รู้อย่างตรงไปตรงมา และไมร่ งั เกียจผู้ถกู สังเกต

5) ก่อนการสังเกตจริง ควรมีการฝึกการสังเกตและบนั ทึกเหตุการณ์
6) ไมค่ วรตีความขณะสังเกต เพราะจะทำให้ความสนใจในการสังเกตลดลง

7) ควรระมดั ระวงั ความคลาดเคลือ่ นจากการสมุ่ เวลา ดงั นั้นบางเรื่องอาจต้องสังเกต
ตามชว่ งเวลาตา่ งกนั หลาย ๆ ครั้ง หรือใช้ผู้สังเกตหลาย ๆ คน เพ่อื ให้ผลการสังเกตเชือ่ ถือได้

ขอ้ ดีของการสงั เกต
1) ได้ข้อมลู ปฐมภูมิ (Primary Data) จากแหลง่ โดยตรง และได้รายละเอียดอย่างลึกซงึ้

2) สามารถเกบ็ ข้อมลู กับผู้ท่พี ดู ไม่ได้, เขยี นไมไ่ ด้, ไม่มีเวลา, และไม่ให้ความรว่ มมือ
3) สามารถใช้เครื่องมืออืน่ ร่วมด้วยได้

4) สามารถเกบ็ ข้อมลู ที่เปน็ ความลับ ความละอาย หรือขอ้ มูลที่เขาไมเ่ ต็มใจจะตอบได้
5) สะดวกในการปฏิบตั ิ ซึง่ จะเริม่ สงั เกต หรือหยดุ สงั เกตเวลาใดก็ได้

6) ใช้เปน็ หลกั ฐานสนบั สนนุ หรือขัดแยง้ ความในเรือ่ งเดียวกันที่ทราบจากการเก็บข้อมูล
โดยวธิ ีอืน่ หรือเสริมให้ชดั เจนขน้ึ

ข้อจำกดั ของการสงั เกต
1) บางครั้งอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จา่ ยมากจนกว่าเหตกุ ารณท์ ตี่ ้องการจะเกดิ ข้นึ

2) กรณีที่ผู้สงั เกตรู้ตวั จะมีการปฏิบัติผิดจากเดิมได้ ทำให้ได้ข้อมลู ทีไ่ ม่เที่ยงตรง

192 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 192

3) บางครั้งไม่สามารถเฝ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือน ๆ กันได้ และบางครั้งเหตกุ ารณ์
น้ันเกิดขึน้ ขณะทไี่ มไ่ ด้เฝ้าสังเกตหรือไม่เกิดขนึ้ ขณะเฝ้าสังเกตกไ็ ด้

4) ไมส่ ามารถเก็บข้อมลู ที่เจ้าของเหตกุ ารณ์ไมอ่ นุญาต เช่น พธิ ีกรรมบางอย่าง
5) เหตุการณบ์ างอย่างอาจเกิดขนึ้ เรว็ มากจนสงั เกตไม่ทนั

6) หากผู้สังเกตมีประสาทสมั ผัสไมด่ ี ผลการสงั เกตอาจไมช่ ดั เจน และหากผู้สงั เกตขาด
ทักษะจะทำให้การสงั เกตมีอคติได้

7) หากผู้สังเกตมีอารมณ์ไมป่ กติหรือมีอารมณค์ ้างมาจากเรือ่ งอื่น ส่งผลให้การสังเกต
มีความคลาดเคลื่อนได้

8) หากผู้สังเกตไม่คุ้นเคยกับประเพณีวฒั นธรรม อาจทำให้การแปลความหมายจาก
การสังเกตผิดพลาดได้

ข้ันตอนการสรา้ งและการตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสังเกต
ขัน้ ที่ 1 กำหนดวัตถปุ ระสงคข์ องการสงั เกต เช่น
เพอ่ื สังเกตคุณลกั ษณะด้านใฝเ่ รียนรู้ ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6
ขั้นที่ 2 ระบุตัวแปรที่จะศึกษา, นิยามตัวแปร และพฤติกรรมบ่งชี้ให้ละเอียด

ครบถ้วน และเปน็ ตวั แทนของตวั แปรทีศ่ ึกษาได้ เชน่

ใฝ่เรียนรู้ หมายถึง คุณลักษณะของนักเรียนที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียร
พยายามในการเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ แสวงหาความรู้ทั้งภายในและภายนอก

โรงเรียนอยา่ งสมำ่ เสมอ ด้วยการเลือกใช้สือ่ อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วเิ คราะห์ สรุปเป็น
องค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายทอด เผยแพร่ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยมี
พฤติกรรมบง่ ชี้ 2 พฤติกรรมบ่งชี้ และประเดน็ ที่ต้องการสังเกต (สำนักวิชาการและมาตรฐาน

การศึกษา, 2551) ดงั นี้

พฤติกรรมบ่งชี้ ประเด็นทีต่ อ้ งการสงั เกต

1. ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน 1.1) ตั้งใจเรียน

และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ 1.2) เอาใจใสแ่ ละมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้

1.3) มีความสนใจเข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ตา่ ง ๆ

2. แสวงหาความรู้ทง้ั ภายในและ 2.1) ศึกษาหาความรู้จากหนังสือเอกสารสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยีตา่ ง ๆ

ภายนอกโรงเรียนอยา่ งสม่ำเสมอ ด้วย แหลง่ เรียนรู้ทง้ั ภายในและภายนอก และเลือกใช้สือ่ ได้อย่างเหมาะสม

การเลือกใช้สื่ออยา่ งเหมาะสม บันทึก 2.2) บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งทีเ่ รียนรู้ สรุปเปน็ องค์

ความรู้ วิเคราะห์ สรปุ เปน็ องค์ความรู้ ความรู้

แลกเปลีย่ นเรียนรู้ถา่ ยทอด เผยแพร่ 2.3) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการตา่ ง ๆ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

และนำไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 119933

ขั้นที่ 3 กำหนดสเกลในการสังเกตให้เหมาะสมกับสิ่งที่จะสังเกต เช่น เกิดขึ้นทุก
ครั้ง-บางครั้ง-นาน ๆ ครั้ง-ไม่เกิดขึ้นเลย, ปฏิบัติได้ดีมาก-ดี-ปานกลาง-ไม่ปฏิบัติ, มีการ
ปฏิบัติ-ไม่มีการปฏิบัติ ฯลฯ ซึ่งสเกลในการสังเกตก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องมือทีใ่ ช้ใน
การสังเกต จึงขอเสนอเครือ่ งมือทีน่ ิยมใช้ในการสังเกต 3 แบบ ดงั นี้

แบบที่ 1 แบบสงั เกตที่มีลักษณะเปน็ แบบตรวจสอบรายการ การกำหนด

สเกล เช่น มีการปฏิบตั ิ-ไม่มีการปฏิบัติ ดังนี้

แบบสังเกต คณุ ลกั ษณะด้านใฝเ่ รียนรู้ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6

ชือ่ นักเรียน .................................... คร้ังที่ ............. วนั ที.่ .............. เวลา............

คณุ ลกั ษณะด้านใฝ่เรียนรู้ มีการปฏิบัติ ไมม่ ีการปฏบิ ัติ

1. ตงั้ ใจ เพียรพยายามในการเรียน และเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้

1.1) ตั้งใจเรียน

1.2) เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้

1.3) มีความสนใจเข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ตา่ ง ๆ

2. แสวงหาความรทู้ ั้งภายในและภายนอกโรงเรียนอยา่ งสม่ำเสมอ ด้วยการเลือกใช้สือ่ อย่าง

เหมาะสม บันทึกความรู้ วเิ คราะห์ สรุปเป็นองคค์ วามรู้ แลกเปลี่ยนเรียนร้ถู า่ ยทอด เผยแพร่ และ

นำไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้

2.1) เข้าร่วม สง่ เสริม สนับสนนุ กิจกรรมที่สร้างความสามัคคี

ปรองดองที่เปน็ ประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม

2.2) หวงแหน ปกป้อง ยกย่องความเปน็ ชาติไทย

ผปู้ ระเมิน ............................................
 ครผู ู้สอน  เพือ่ น  ผู้ปกครอง  ตนเอง

194 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 194

แบบที่ 2 แบบสังเกตที่มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่าแบบตัวเลข การ
กำหนดสเกล เช่น ปฏิบตั ิทุกคร้ัง/ ปฏิบัติบางครั้ง/ ปฏิบตั ินาน ๆ ครั้ง/ ไม่ปฏิบัติ ดังนี้

แบบสังเกต คุณลักษณะด้านใฝเ่ รียนรู้ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6

ชื่อนกั เรียน .................................... ครัง้ ที่ ............. วนั ที่............... เวลา............

โดยมีเกณฑ์ในการให้คะแนน ดงั นี้
3 คะแนน หมายถึง นกั เรียนมีการปฏิบัติทกุ คร้ัง
2 คะแนน หมายถึง นกั เรียนมีการปฏิบตั ิทกุ คร้ัง
1 คะแนน หมายถึง นักเรียนมีการปฏิบตั ิทกุ คร้ัง
0 คะแนน หมายถึง นักเรียนมีการปฏิบัติทุกคร้ัง

คณุ ลักษณะดา้ นใฝเ่ รียนรู้ ระดบั การปฏิบัติ
32 1 0

1. ตง้ั ใจ เพียรพยายามในการเรียน และเข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนรู้

1.1) ตั้งใจเรียน

1.2) เอาใจใสแ่ ละมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้

1.3) มีความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ

2. แสวงหาความรู้ทง้ั ภายในและภายนอกโรงเรียนอยา่ งสม่ำเสมอ ด้วยการเลือกใช้สือ่ อย่าง

เหมาะสม บันทึกความรู้ วเิ คราะห์ สรุปเป็นองคค์ วามรู้ แลกเปลีย่ นเรียนรูถ้ ่ายทอด เผยแพร่ และ

นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

2.1) เข้าร่วม สง่ เสริม สนับสนนุ กิจกรรมทีส่ ร้างความสามัคคี ปรองดองที่เปน็

ประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสงั คม

2.2) หวงแหน ปกป้อง ยกย่องความเป็นชาติไทย

ผู้ประเมิน ............................................
 ครผู ู้สอน  เพื่อน  ผู้ปกครอง  ตนเอง

จากแบบที่ 2 มาตรประมาณค่าแบบตัวเลข จะเห็นได้ว่ามีจุดอ่อน คือ เกณฑ์การให้

คะแนนขาดความเป็นปรนัย เนื่องจากผู้ให้คะแนนคนเดียวกันอาจมีโอกาสทีใ่ ห้คะแนนผู้เรียน/
กลุ่มผู้เรียนทีม่ ีความสามารถเท่ากนั ได้รบั คะแนนไมเ่ ท่ากนั หรือในกรณีที่มีผู้ประเมินมากกว่า 1

คน มีโอกาสให้คะแนนผู้เรียนทีม่ ีความสามารถเท่ากนั แต่ได้รบั คะแนนไม่เทา่ กนั (โชติกา ภาษี
ผล, 2559, น. 49) ดงั น้ันแนวทางแก้ไขคอื การให้คะแนนที่มีความปรนัย โดยสร้างเกณฑ์แบบ

รูบริค ดังตัวอย่าง แบบที่ 3

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 119955

แบบที่ 3 แบบสังเกตที่มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่าแบบรูบริค การ
กำหนดสเกล เชน่ ดีเยี่ยม-ดี-ผา่ น-ไม่ผ่าน ดังนี้

แบบสังเกต คณุ ลกั ษณะด้านใฝ่เรียนรู้ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6

ชือ่ นักเรียน .................................... คร้ังที่ ............. วันที่............... เวลา............

ประเด็นการสงั เกต ระดบั เกณฑก์ ารประเมิน
1. ต้ังใจ เพียรพยายามใน ดีเยีย่ ม (3) ต้ังใจเรียน เอาใจใส่และมีความพียรพยายามในการเรียนรู้ เขา้ ร่วม
การเรียน และเขา้ ร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ตา่ ง ๆ เปน็ ประจำ
กิจกรรมการเรียนรู้ ดี (2) ต้ังใจเรียน เอาใจใสแ่ ละมีความพียรพยายามในการเรียนรู้ เขา้ รว่ ม
ผ่าน (1) กิจกรรมการเรียนรู้ตา่ ง ๆ บ่อยคร้ัง
2. แสวงหาความรู้ทั้งภายใน ไม่ผา่ น (0) ตั้งใจเรียน เอาใจใสแ่ ละมีความพียรพยายามในการเรียนรู้ เขา้ รว่ ม
และภายนอกโรงเรียนอยา่ ง ดีเยีย่ ม (3) กิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ บางครั้ง
สม่ำเสมอ ด้วยการเลือกใช้ ไมต่ ้ังใจเรียน
สื่ออยา่ งเหมาะสม บนั ทึก ดี (2)
ความรู้ วเิ คราะห์ สรปุ เป็น ศกึ ษาค้นควา้ หาความรู้จากหนงั สือ สื่อเทคโนโลยี จากแหลง่ เรียนรู้
องค์ความรู้ แลกเปลย่ี น ผ่าน (1) ภายในและภายนอกโรงเรียน เลือกใช้ส่อื ไดเ้ หมาะสม แลกเปล่ยี นองค์
เรียนรู้ถ่ายทอด เผยแพร่ ไมผ่ า่ น (0) ความรู้ดว้ ยวธิ ีการหลากหลาย
และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ได้ ศกึ ษาค้นควา้ หาความรู้จากหนังสือ สื่อเทคโนโลยี จากแหล่งเรียนรู้
ภายในและภายนอกโรงเรียน เลือกใช้ส่อื ไดเ้ หมาะสม แลกเปลย่ี นองค์
ความรู้กับผู้อืน่ ได้

ศกึ ษาค้นควา้ หาความรู้จากหนังสือ สือ่ เทคโนโลยี จากแหล่งเรียนรู้
ภายในและภายนอกโรงเรียน และมีการบันทึกความรู้
ไม่ศกึ ษาหาความรู้

ผปู้ ระเมิน ............................................
 ครผู ู้สอน  เพื่อน  ผู้ปกครอง  ตนเอง

196 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 196

ขนั้ ที่ 4 กำหนดเกณฑ์ในการแปลผลของการสังเกต เช่น
คะแนน 2.5 ถึง 3.0 หมายถึง ระดับคุณภาพดีเยีย่ ม
คะแนน 1.5 ถึง 2.4 หมายถึง ระดับคณุ ภาพดี
คะแนน 1.0 ถึง 1.4 หมายถึง ระดบั คุณภาพผ่าน
คะแนน 0.0 ถึง 0.9 หมายถึง ระดบั คุณภาพไม่ผ่าน

ขั้นที่ 5 นำแบบสังเกตไปตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหา (Content
Validity) ของเหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมที่จะสงั เกต โดยผู้เชี่ยวชาญในเรือ่ งนั้น ๆ
เพอ่ื ทำการตรวจสอบว่าเหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมทีจ่ ะสงั เกตแต่ละอย่างน้ัน วัด
ได้ตรงกบั สิ่งทีต่ ้องการศึกษา และวดั ได้ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการศึกษาท้ังหมดหรือไม่ (โดยการ
ตรวจสอบความตรงเชิงเนือ้ หา เหมอื นกันกบั การตรวจสอบความตรงของแบบทดสอบ ดังที่ได้
กลา่ วไวแ้ ล้วในบทที่ 5) ซึ่งมเี กณฑใ์ นการพจิ ารณาดงั นี้

+ 1 หมายถึง แนใ่ จวา่ พฤติกรรมบง่ ช/ี้ ประเดน็ ทีต่ ้องการสังเกตวัดได้ตรงกับ
คุณลักษณะด้านใฝเ่ รียนรู้

0 หมายถึง ไม่แนใ่ จว่าพฤติกรรมบง่ ช/ี้ ประเด็นทีต่ ้องการสงั เกตวดั ได้ตรง
กับคณุ ลกั ษณะด้านใฝเ่ รียนรู้

-1 หมายถึง แน่ใจวา่ พฤติกรรมบง่ ช/ี้ ประเด็นที่ต้องการสงั เกตวัดได้ไม่ตรง
กบั คณุ ลักษณะด้านใฝ่เรียนรู้

ขั้นที่ 6 นำไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มตัวอย่างที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกับ
กลมุ่ ตัวอยา่ งจริง เพอ่ื ศึกษาวา่ รายการของสิง่ ที่ต้องการสงั เกตน้ัน สามารถสังเกตได้จริง โดย
อาจมผี ู้สังเกต 2 คน แล้วตรวจสอบความเที่ยง (Reliability) ผลการสังเกตสอดคล้องกนั หรือไม่
ซึ่งมีวิธีในการตรวจสอบความสอดคล้องของผลการสังเกตที่นิยมใช้ มี 2 วิธี (สมคิด พรมจุ้ย,
2550) ได้แก่

วิธที ี่ 1 สัมประสทิ ธิส์ หสมั พันธแ์ บบเพียรส์ ัน (Pearson Product-moment
Correlation Coefficient) ใช้ในกรณีทีม่ ีผู้สงั เกตคนเดียว ทำการสังเกตพฤติกรรมเดียวกันใน
เวลาต่างกนั หลาย ๆ ครั้ง แล้วนำขอ้ มูลในการสังเกตทักครั้งของนกั เรียนรายคนมาหาค่าเฉลี่ย
และวิเคราะห์โดยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียรส์ ัน ซึ่งเหมือนกับกันวิธีการหาความเที่ยง
แบบสอบซ้ำ (Test-Retest Method) ดังที่กล่าวรายละเอียดไวแ้ ล้วในบทที่ 5

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 119977

วิธีที่ 2 วิธีการของสกอต (Scoot) ใช้ในกรณีที่มีผู้สังเกตหลายคนที่สังเกต

พฤติกรรมเดียวกันของคนเดียวกนั มีสตู รดงั นี้
PO−PC
π= 1−PC
เมือ่
π แทน ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งผู้สงั เกต

PO แทน ความแตกต่างระหว่าง 1.00 กับผลรวมของสัดส่วนของ

ความแตกตา่ งระหวา่ งผู้สงั เกต 2 คน

PC แทน ผลบวกของกำลังสองของค่าสัดส่วนของคะแนนจาก

ลักษณะที่สังเกตได้สูงสุดกบั ค่าทีส่ งู รองลงมา โดยสามารถเลือก

จากผลการสงั เกตของคนใดคนหนง่ึ

และมีเกณฑ์ในการแปลความหมาย เหมอื นกนั กับการแปลความหมายการหา

ความเที่ยงแบบสอบซ้ำ คอื ตั้งแต่ 0.70 ข้นึ ไป

ตวั อยา่ ง ในการประเมินคณุ ลกั ษณะด้านใฝเ่ รียนรู้ของนักเรียนห้องหนึ่ง โดย
ครูประจำชั้นและครูประจำวิชาทำการสังเกต มีผลการสงั เกตดังนี้

ประเดน็ ผลการสงั เกต ความแตกต่างระหวา่ ง
ที่สังเกต สดั ส่วนของผูส้ ังเกต
ครปู ระจำชั้น ครปู ระจำวิชา
1 0.025
2 คะแนน สัดส่วน คะแนน สดั ส่วน 0.021
3 0.027
4 15 0.238 13 0.213 0.012
5 0.052
6 8 0.127 9 0.148 0.009
0.146
12 0.190 10 0.164

9 0.143 8 0.131

5 0.079 8 0.131

14 0.222 13 0.213

63 1.00 61 1.00

แทนคา่ ในสูตร PO−PC
1−PC
π=

= (1−0.146)−(0.2382+0.2222)
1−(0.2382+0.2222)

198 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 198

= 0.854−0.106
1−0.106

= 0.837

ดังนั้น สรุปได้ว่าแบบสังเกตในครั้งนี้ โดยครูประจำชั้นและครูประจำวิชา มีค่า
ความเทีย่ งอยใู่ นระดบั ดี (Good Reliability) เท่ากบั 0.837

ข้ันที่ 7 จดั ทำเครื่องมือทีใ่ ช้ในการสงั เกตฉบบั สมบรู ณ์

แบบสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยผู้รวบรวมข้อมูลมีโอกาส
พบปะสนทนากับผู้ให้ข้อมลู โดยตรง และมีจุดมุ่งหมายทแ่ี นน่ อนท้ังสองฝ่ายคือ ผู้สัมภาษณ์และ
ผู้ให้สมั ภาษณ์ การสมั ภาษณจ์ ะทำให้ได้ความรู้ความจริงเกีย่ วกบั พฤติกรรม คุณลักษณะ เจต
คติ บุคลิกภาพ ท่วงที่วาจา อุปนิสัย ปฏิภาณไหวพริบ นับว่าเป็นวิธีการที่รวบรวมข้อมูลได้
ละเอียด และเนื่องจากในปัจจุบนั เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้การสื่อสารทางออนไลน์
สะดวกมากย่งิ ข้นึ ทำให้การสมั ภาษณ์อาจปรับเปลี่ยนรปู แบบในลักษณะของการสมั ภาษณ์ทาง
โทรศัพท์ หรือใช้เทคโนโลยดี ิจิทลั อื่น ๆ ก็อนุโลมได้ว่าเปน็ การสัมภาษณด์ ้วย (พิชิต ฤทธิ์จรูญ,
2552, น. 75-76; สมนึก ภทั ทิยธนีม 2562, น. 38-40)

ประเภทของการสัมภาษณ์ แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื
1) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured or Standardized Interview)
เป็นการสมั ภาษณท์ ีใ่ ช้แบบสมั ภาษณ์ที่สร้างข้นึ ไว้แล้วเปน็ แบบในการถาม กล่าวคือผู้สัมภาษณ์
จะใช้การถามตามแบบสัมภาษณ์กับผู้ให้สมั ภาษณเ์ หมือนกนั หมดทกุ คน การสัมภาษณ์แบบนี้มี
ลกั ษณะไมค่ ่อยยดื หยุ่น แตม่ ีข้อดีคือจดั หมวดหมู่ของขอ้ มลู ได้ง่าย และสะดวกในการวิเคราะห์
การสัมภาษณ์วิธนี ีอ้ าจกระทำเป็นรายบุคคลหรือกลมุ่ ย่อย ๆ กไ็ ด้ จึงเหมาะสำหรับผู้สัมภาษณ์
ทีย่ งั ไมม่ ีความชำนาญในการสมั ภาษณ์
2) การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured or Unstandardized
Interview) เปน็ การสมั ภาษณท์ ีไ่ ม่ใช้แบบสมั ภาษณ์ กำหนดเพยี งแนวหัวข้อการสัมภาษณ์แบบ
กวา้ ง ๆ ผู้สมั ภาษณ์จะตั้งคำถามเองในแต่ละหวั ขอ้ ไมจ่ ำเป็นต้องใช้คำถามทีเ่ หมือนกันหมดกับ
ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคน และมีอิสระในการดัดแปลงคำถามให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ผู้ให้
สัมภาษณ์ตอบได้โดยอิสระ การสัมภาษณ์ลักษณะนี้ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความชำนาญใน
การสมั ภาษณ์มาก

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 119999

หลกั และวิธกี ารสัมภาษณ์ มีแนวปฏิบตั ิดังนี้
1) ก่อนการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนำตัวเอง บอกจุดมุ่งหมายของ
การสัมภาษณ์ ประโยชน์ที่จะได้รับ และแจ้งว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลในลักษณะส่วนตัว รวมทั้ง

หากมีการบันทึกเทปต้องขออนุญาตผู้ให้สัมภาษณ์ก่อน และเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศให้
เกิดความร่วมมือ ก่อนเริม่ สมั ภาษณ์ควรใช้เวลาสักเล็กน้อยสนทนาเรื่องที่ผู้ให้สัมภาษณ์สนใจ

ท่ัว ๆ ไป กอ่ นดำเนินการสัมภาษณใ์ นเรื่องทีต่ ้องการ

2) ระหวา่ งการสัมภาษณ์ มีสิง่ ทีค่ วรคำนึงถึง ดงั นี้
2.1) ถามทีละคำถาม ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน ฟังแล้วสามารถตอบได้ทันที

ไม่ต้องแปลความหมายอีกครั้ง หากผู้ให้สัมภาษณ์ไม่เข้าใจคำถามก็อธิบายคำถามหรือตั้ง

คำถามใหม่
2.2) ไมค่ วรชแี้ นะคำตอบ ไมค่ วรเรง่ รัดคำตอบจากผู้ให้สัมภาษณ์

2.3) ไมว่ จิ ารณ์คำตอบหรือพูดในลักษณะส่งั สอนผู้ให้สมั ภาษณ์
2.4) ใช้ไหวพริบในการสังเกตท่าทางของผู้ให้สัมภาษณ์ด้วย ว่าเต็มใจหรือลำบาก

ใจที่จะตอบตามความจริงหรือไม่ เชน่ บางเรือ่ งทีร่ ู้สึกว่าเป็นเรื่องสว่ นตัว รู้สึกละอาย หรือเป็น
ปมด้อย พูดไปแล้วจะเป็นการเสียประโยชน์ จะต้องระวังอย่าให้เกิดความรู้สึกดงั กล่าว เพราะ

จะทำให้ได้ข้อมูลทีบ่ ดิ เบอื นไปจากความเป็นจริงได้
2.5) กรณีที่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เมื่อจบการสัมภาษณ์แล้ว อาจย้อนมาถาม

ใหมใ่ นเชิงทบทวนว่าคำถามนีต้ อบแบบนใี้ ชห่ รือไม่
2.6) กลา่ วขอบคุณผู้ให้สัมภาษณเ์ ม่อื สัมภาษณเ์ สรจ็ แล้ว

3) หลังการสมั ภาษณ์ มีสิ่งที่ควรคำนึงถึงดงั นี้
3.1) ต้องจดบันทึกทนั ทีหลังสมั ภาษณ์เสร็จแล้ว เพ่อื กันลืม

3.2) ควรบันทึกเฉพาะเนื้อหาสาระจากการสัมภาษณ์เท่านั้น และไม่ควรใส่ความ
คดิ เหน็ ของผู้สมั ภาษณล์ งไปด้วย

3.3) คำถามใด ถ้าไม่ได้คำตอบผู้สัมภาษณ์ ควรจะบันทึกเหตผุ ลไวด้ ้วย
3.4) ตรวจสอบความสมบูรณข์ องการจดบันทึกในแบบสัมภาษณ์ก่อนที่จะเริม่ ทำ
การวเิ คราะห์

ข้อดีของการสมั ภาษณ์
1) ใช้ได้กับคนทุกวัย ทุกเพศ และเหมาะสำหรับผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออก หรือเขียน
หนงั สือไม่ได้ หรือมีปญั หาในการอ่านและเขยี น

200 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 200

2) ช่วยให้ได้ข้อมูลที่ละเอียด และสามารถสังเกตพฤติกรรมท่าที่ของผู้ให้สัมภาษณ์
ในขณะสมั ภาษณ์ได้ด้วย

3) สามารถปรับคำถามให้ชัดเจน ยืดหยุ่นได้ ทำให้สามารถซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ
หรือคำตอบทีย่ ังไมช่ ดั เจนได้

4) ผู้ให้สัมภาษณ์จะให้ความร่วมมือดีกว่าการรวบรวมขอ้ มูลโดยการใช้แบบสอบถาม
ข้อจำกดั ของการสมั ภาษณ์
1) เสียเวลามากสนิ้ เปลืองแรงงานและเสียคา่ ใช้จ่ายสงู
2) ความรว่ มมืออาจจะน้อยลง หากผู้สัมภาษณไ์ มม่ ีมนุษยสมั พนั ธ์ดีพอ
3) ต้องอาศยั ประสบการณข์ องผู้สัมภาษณม์ าก เพราะผู้ให้สมั ภาษณ์มักจะระวงั ตัวนกึ
วา่ เปน็ เรือ่ งของราชการ
4) การสัมภาษณแ์ บบไม่มีโครงสร้างจะทำให้รวบรวมคำตอบได้คอ่ นขา้ งยาก
ขน้ั ตอนการสร้างและการตรวจสอบคุณภาพของแบบสัมภาษณ์ (สมคดิ พรมจุ้ย,
2550; เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552)

ข้ันที่ 1 ศึกษาวัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
ขั้นที่ 2 กำหนดหวั ขอ้ ประเด็นทีต่ ้องการถามตามวัตถุประสงค์
ขน้ั ที่ 3 รวบรวมขอ้ คำถามที่ต้องการสัมภาษณต์ ามประเดน็ ที่กำหนดไว้
ข้ันที่ 4 พจิ ารณาแตล่ ะขอ้ คำถามวา่ มีความเปน็ ปรนยั หรือไม่
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงเชิงเนือ้ หา หรือความตรงเชิงโครงสร้าง
ของแบบสัมภาษณ์โดยการให้ผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาดูว่าข้อคำถามต่าง ๆ ที่ใช้สัมภาษณ์
ครอบคลุมเนื้อเรื่อง หรือประเด็นที่ต้องการถามหรือไม่ ข้อคำถามมีความเหมาะสมหรือไม่
ภาษาที่ใช้เป็นอย่างไร การตรวจสอบความตรงของแบบสัมภาษณ์โดยทั่วไปทำคล้ายคลึงกบั
แบบสอบถาม ก็คอื การตรวจสอบความตรงเชิงเนอื้ หาโดยคำนวณหาค่าดชั นีความสอดคล้อง
ของขอ้ คำถามแต่ละขอ้ กับนิยามศัพท์ (IOC) ดังทีไ่ ด้กลา่ วไวแ้ ล้วในบทที่ 5
ขั้นที่ 6 ปรับปรุงข้อคำถามตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และจัดทำแบบ
สัมภาษณ์ฉบับชั่วคราว
ขั้นที่ 7 นำแบบสัมภาษณ์ไปทดลองสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะ
ใกล้เคียงกบั กลุ่มตวั อย่างทีใ่ ช้รวบรวมขอ้ มลู จริง ประมาณ 1-2 คน ว่ามีความเข้าใจตัวคำถาม
และสามารถตอบคำถามตามที่ต้องการได้หรือไม่
ข้ันที่ 8 ปรบั ปรงุ ขอ้ คำถาม และจดั พมิ พ์แบบสัมภาษณ์ฉบับสมบรู ณ์

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 220011

ตัวอย่างของแบบสมั ภาษณ์
แบบที่ 1 แบบสัมภาษณท์ ี่มีโครงสรา้ ง

แบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจของนิสติ เกีย่ วกบั โรงอาหารภายในมหาวิทยาลยั

ครั้งที.่ .... วันที.่ ...............................................

ชื่อผู้สัมภาษณ์....................................... โทรศพั ท์ทีต่ ิดต่อได้..............................

เริม่ การสัมภาษณ์ เวลา...................... เสร็จสิน้ การสัมภาษณ์ เวลา......................

บริเวณที่ทำการสัมภาษณ์  1) โซน A  2) โซน B  3) โซน C  4) อืน่ ๆ ระบ.ุ ...........

1. ข้อมลู พื้นฐาน

1.1 เพศ  1) ชาย  2) หญิง

1.2 สังกัดคณะ...............................

2. ความพึงพอใจต่อโรงอาหารภายในมหาวิทยาลัย

ประเดน็ พึงพอใจมาก พึงพอใจปานกลาง รสู้ กึ เฉย ๆ ไมพ่ ึงพอใจเลย

1) ความสะอาดของโรงอาหาร

2) รสชาติของอาหาร

3) ปริมาณของอาหารกบั ราคา

4) จำนวนโต๊ะ/ เก้าอี้

3. ข้อเสนอแนะ
3.1 ทา่ นคดิ ว่าโรงอาหารภายในมหาวิทยาลัยเป็นอยา่ งไร......................................................................
3.2 ถ้าจะทำให้โรงอาหารภายในมหาวิทยาลัยดีขึ้น ท่านคดิ ว่าควรทำอยา่ งไร........................................

แบบที่ 2 แบบสัมภาษณท์ ีไ่ ม่มีโครงสร้าง

แบบสัมภาษณ์ เรื่อง การจดั โครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพสูค่ วามเปน็ เลิศ
คร้ังที.่ .... วันที่................................................

ชื่อผู้สัมภาษณ์....................................... โทรศัพทท์ ี่ติดตอ่ ได้..............................
สถานที่ทำการสมั ภาษณ์....................................................................................
เริม่ การสมั ภาษณ์ เวลา...................... เสร็จสิน้ การสัมภาษณ์ เวลา.....................



1. ท่านมีส่วนรว่ มในการจดั โครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพสู่ความเปน็ เลิศอยา่ งไร ...............................
2. อุปสรรคของการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพสูค่ วามเป็นเลิศ มีอะไรบ้าง..............
3. ผลของการดำเนินงานตามโครงการสง่ เสริมพฒั นาศกั ยภาพสคู่ วามเป็นเลิศเป็นอย่างไร......................

202 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 202

แบบวัดเชิงสถานการณ์

แบบวัดเชิงสถานการณ์ (Situation Scale) เป็นการจำลองหรือสร้างเหตุการณ์
เรื่องราว ขึ้นมา แล้วให้บุคคลแสดงความรู้สึกว่าตนเองจะกระทำหรือมีความเห็นอย่างไรต่อ
สถานการณ์ที่กำหนดขึ้น โดยที่การตอบอาจจะให้ผู้ตอบเขียน หรือบอกข้อความคิดเห็นของ
ตนเอง หรืออาจจะให้เลือกตัวเลือกที่กำหนดให้ตอบก็ได้ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552, น. 69-72)
ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่างที่ 1
คำถาม: ถ้ามีคนพิการมาขอทานจากทา่ น และท่านพอมีเงินอยูบ่ ้าง ท่านจะทำอยา่ งไร
1) เดนิ ผา่ นไปเฉย ๆ เพราะ..........................................
2) บอกให้ไปข้างหน้ากอ่ นเพราะ...................................
3) ให้เป็นบางครั้งเพราะ...............................................
4) ให้ทกุ ครั้งเพราะ.......................................................
5) แนะนำให้ไปประกอบอาชีพเพราะ............................

ตวั อยา่ งที่ 2
คำถาม: ดุจเดือนมีอาชีพขายของเบ็ดเตล็ด และได้รู้จักกับยิ่งศักดิ์มานาน จนรักใคร่

ชอบพอกัน และสัญญาว่าจะแต่งงานกัน ดุจเดือนขยันทำมาหากินและส่งเสียยิ่งศักดิ์ ซึ่งมีฐานะ
ยากจนให้ได้เรียนถึงมหาวิทยาลยั เมือ่ ใกล้จะสำเร็จการศึกษายิ่งศักดิไ์ ด้พบกบั เพือ่ นชื่อดุจดาว ฐานะ
ร่ำรวย สวย นิสยั ดี จึงเกิดความพอใจรักใคร่เป็นอยา่ งมาก และคิดวา่ ดุจดาวนี่แหละคือคู่ชีวิตทีแ่ ท้จรงิ
เมือ่ สำเรจ็ การศึกษาแล้ว ถ้าคิดวา่ ยิง่ ศกั ดิ์ทา่ นจะทำอยา่ งไร

ก. เลอื กดจุ ดาวและบอกดจุ เดอื นตามตรง
ข. เลอื กดจุ เดอื นเพราะต้องตอบแทนบุญคุณ
ค. เลอื กดุจเดอื นไปก่อนแล้วค่อยกลับมาหาดุจดาวภายหลงั
ง. เลอื กดุจดาว และหาเงินมาใช้คืนดุจเดอื น
จ. เลอื กทั้ง 2 คน เพราะรักท้ัง 2 คน

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 220033

ตวั อยา่ งที่ 3 (วรรณากร พรประเสริฐ, 2562)
คำถาม: เมษา ได้รับแชทข้อความ Inbox ใน Facebook จากคุณแม่ของตนเอง โดยมี

ข้อความระบดุ งั ภาพตอ่ ไปนี้ หากนิสิตนกั ศกึ ษาเจอเหตุการณ์แบบเมษา จะทำอยา่ งไร

ก. เอาเลขบญั ชี ส่งให้พอ่ โอนเงินเข้าบญั ชีดงั กลา่ วแทน
ข. โทรศัพทห์ าแมข่ องตนเอง เพื่อสอบถามก่อนว่าแมใ่ ห้โอนเงินจริงหรือไม่
ค. ถามถึงรายละเอียดตา่ งๆ ในการโอนเงิน จาก Facebook ทีส่ ่งข้อความมา
ง. โอนจองสินค้าออนไลน์ทันที เพราะแม่จะโอนเงินคืนเพิ่มเติมมาให้อีก 1,000 บาท

หลกั และวิธสี ร้างแบบวัดเชิงสถานการณ์ มีแนวปฏิบตั ิดงั นี้
1) กำหนดเนือ้ หาและพฤติกรรมหรือคุณลักษณะทีต่ ้องการจะวดั ให้ชดั เจน
2) เลือกขอ้ ความหรือสถานการณ์ทีม่ ีความยากพอเหมาะกับระดับช้ันของผู้เรียนและ
เนือ้ เรือ่ ง หรือสถานการณ์ที่ใช้ถาม จะต้องไม่ลำเอียงต่อเดก็ กลมุ่ ใดกล่มุ หนึง่ โดยเฉพาะ
3) พยายามเขียนคำถามเพื่อถามตามใจความในเนื้อหาหรือสถานการณ์นั้น ตาม
พฤติกรรมหรือคณุ ลกั ษณะที่ต้องการจะวดั
การเขียนสถานการณ์ มีหลกั ดงั นี้
1) สถานการณ์ที่สร้างข้นึ ควรเลือกสถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดข้ึนได้จริง
ๆ กับบคุ คลหรือกล่มุ ตัวอย่างในขณะน้ัน
2) ปญั หาในสถานการณท์ ีส่ ร้างข้นึ หรือกำหนดข้นึ ควรมีความเขม้ หรือความรนุ แรงใน
ระดบั กลาง ๆ ไม่สร้างความเครียดให้กับผู้ตอบจนเกินไป เพราะหากสร้างปัญหาที่มีความเข้ม
เกินไป อาจจะทำให้ผู้ตอบไขวเ้ ขวได้ เชน่ เขยี นสถานการณว์ า่ แม่ปว่ ยหนกั และต้องการผ่าตัดใน

204 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 204

อีก 2 วัน หากหาเงินไม่ได้จะต้องตาย ทั้งนี้ตนเองไม่มีเงิน หากมีคนมาเสนอให้ไปขายบริการ
ทางเพศ 1 คนื จะได้เงินจำนวนมากและพอที่จะรกั ษา จัดวา่ เป็นสถานการณท์ ี่เขม้ รนุ แรงมากไป
อาจทำให้ผู้ตอบไขว้เขวได้ ความจริงไม่อยากขายบริการทางเพศ (เป็นคนประกอบสัมมาชีพ)
แต่ต้องการตอบแทนบุญคณุ พ่อแม่ (เปน็ คนกตัญญ)

3) สาระสำคัญที่กำหนดให้ในสถานการณ์ จะต้องเพียงพอที่จะให้ผู้สอบตัดสินใจ
เลือกทางปฏิบตั ิในแนวทางที่เหมาะสมได้

การเขียนคำถาม มีหลกั ดงั นี้
1) ไม่ควรถามตรง ๆ แต่ควรถามให้เกีย่ วพนั อ้างอิงเรื่องราว/ สถานการณ์ที่กำหนดไว้
และไม่ควรถามนอกเรื่องที่ไม่ได้ใช้ข้อความในสถานการณ์นั้นมาช่วยตอบ หรือไม่ควรถามใน
กรณีทีถ่ ้าไมม่ ีสถานการณ์นั้นแล้ว กส็ ามารถตอบคำถามนั้นได้
2) ในการเลือกสถานการณ์เพื่อนำมาตั้งคำถาม ควรจะเลือกเฉพาะเนื้อหาหรือ
ความรู้ที่เป็นตัวแทนที่มีความสำคัญ ๆ ต่อวิชานั้นมาถาม ไม่ควรนำเรื่องปลีกย่อยหรือ
รายละเอียดปลีกยอ่ ยของรายวิชามาต้ังเป็นสถานการณ์ และไม่ควรถามด้วยการหลอกล่อให้
ผู้ตอบตกหลุมด้วยเรื่องทีไ่ ร้สาระ
3) คำถามที่ใช้ อาจมี 2 ลกั ษณะคอื

3.1) ถามให้ประเมินสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อตัดสินว่า ควร-ไม่ควร, ดี-ไม่ดี,
ถกู ต้อง-ไม่ถูกต้อง, ทำ-ไม่ทำ, ใช้ได-้ ใช้ไม่ได้ และรวมถึงกรณีที่ไมอ่ าจตัดสินใจได้ด้วย

3.2) ถามให้ระบแุ นวทางทีต่ นเองจะปฏิบัติ ถ้าหากตนเองเป็นบุคคลในสถานการณ์
น้ัน หรือเปน็ ผู้เกีย่ วข้องกับเหตกุ ารณ์ในสถานการณ์นั้นจะปฏิบัติอยา่ งไร

4) เมือ่ เขยี นสถานการณ์และขอ้ คำถามเสร็จแล้ว ให้ทบทวนว่าสถานการณ์เหมาะสม
เป็นปัจจบุ นั หรือไม่ สาระที่กำหนดไวเ้ พยี งพอทีจ่ ะตัดสินใจได้หรือไม่

5) นำแบบวดั ไปทดลองใช้ และปรบั ปรงุ แก้ไข
ข้อดีของแบบวดั เชิงสถานการณ์
1) แบบวัดเชิงสถานการณ์ เป็นแบบวัดที่แสดงถึงฝีมือหรือความสามารถของผู้เขยี น
ขอ้ สอบ วา่ สามารถนำความรู้ท่เี รียนมาผนวกกับเงื่อนไขในสถานการณ์ที่กำหนดได้ดีเพยี งใด
2) สามารถวัดความรู้ขั้นสูง ท้ังด้านสมรรถภาพทางสมองและด้านจิตพสิ ยั
3) เร้าใจผู้ตอบให้ติดตาม เพราะได้อ่านเรื่องราวหรือสถานการณ์ และได้คิดตาม
มากกวา่ ขอ้ สอบประเภทอืน่ ๆ
4) สร้างความยุติธรรมให้แก่ผู้เข้าสอบทุกคน เพราะได้อ่านสถานการณ์เดียวกัน
ทั้งหมด ไมม่ ีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะใช้ตำราต่างกนั หรือการสอนที่ต่างกนั เป็นต้น

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 220055

ข้อจำกดั ของแบบวดั เชิงสถานการณ์
1) การเขียนคำชี้แจงของแบบวดั เชิงสถานการณ์ต้องพึงระวังเป็นพิเศษ ต้องชี้แจงให้
ผู้สอบใช้สถานการณ์ที่กำหนดให้เป็นหลกั ถึงจะผิดแปลกจากความเปน็ จริงกต็ ้องตอบตามน้ัน
2) สร้างค่อนข้างยาก ผู้เขียนข้อสอบจะต้องเลือกสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน และไม่
เขม้ จนเกินไป และจะต้องล้วงลึกเฉพาะในสถานการณท์ ี่กำหนดให้เท่านั้น
3) กำหนดเกณฑใ์ นการให้คะแนนคอ่ นขา้ งทำได้ยาก

แบบสอบถาม

การสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันมาก เพราะเป็นวิธีการที่
สะดวก ใช้วดั ได้อย่างกวา้ งขวาง การสอบถามสว่ นใหญจ่ ะอยู่ในรูปของคำถามเป็นชุด ๆ เพ่อื วัด
สิ่งที่ต้องการ จะวัดโดยมีคำถามเป็นตัวกระตุ้นเรง่ เร้าให้บคุ คลแสดงพฤติกรรมออกมา (พิชิต
ฤทธิจ์ รญู , 2552, น. 65-69; สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 40-46; อนุวตั ร คณู แก้ว , 2562, น.
178-184)

รูปแบบของแบบสอบถาม โดยทัว่ ไปแบง่ เปน็ 2 ชนิด คอื
1. แบบสอบถามชนิดปลายเปิด (Open Ended Form) แบบสอบถามชนิดนี้ ไม่ได้
กำหนดคำตอบไว้ ทำให้เปิดโอกาสให้ผู้ตอบเขียนตอบอย่างอิสระด้วยความคิดของตนเอง จึง
มักจะไม่จูงใจผู้ตอบ และเสียเวลาในการตอบมาก เพราะผู้ตอบจะต้องคิดวิเคราะห์อย่าง
กวา้ งขวาง ถ้าใช้ควบคูก่ บั แบบสอบถามชนิดอ่ืน ๆ ผู้ตอบสว่ นใหญ่มักจะเว้นขา้ มไมต่ อบในส่วน
ทีเ่ ป็นแบบปลายเปดิ หรือตอบเพยี งเลก็ น้อยเท่าน้ัน แบบสอบถามชนิดนสี้ ร้างง่าย แต่วิเคราะห์
และสรุปผลยาก นอกจากนี้ ยังใช้แบบสอบถามชนิดนี้เพื่อใช้เป็นแนวทางการสร้าง
แบบสอบถามชนิดปลายปดิ

ตัวอย่าง แบบสอบถามชนิดปลายเปิด
1) ท่านมีเหตุผลอะไรในการเลือกเรียนทางวิชาชีพครู …………………………………………….…………………
.............................................................................................................................................
2) ท่านชอบวิชานี้ในเรื่องใดบ้าง ……………………………………………………………………………….……………….
.............................................................................................................................................

206 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 206

2. แบบสอบถามชนิดปลายปิด (Closed Ended Form) แบบสอบถามชนิดนี้
ประกอบด้วย ขอ้ คำถามและตวั เลือก (คำตอบ) ซึ่งตวั เลือกนสี้ ร้างข้นึ โดยคาดว่าผู้ตอบสามารถ
เลือกตอบได้ตามความต้องการ แบบสอบถามชนิดนสี้ ร้างยากและใช้เวลามาก แตผ่ ู้ตอบ ๆ งา่ ย

สะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปวิเคราะห์ในเชิงปริมาณ และสรุปผลง่าย
แบบสอบถามชนิดปลายปดิ แบ่งเปน็ 4 แบบ ดงั นี้

2.1 แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เปน็ การสร้างรายการของขอ้ คำถาม ที่
เกี่ยวหรือสัมพันธ์กับคุณลักษณะของพฤติกรรม (Behavior Traits) หรือการปฏิบัติ

(Performance) แต่ละรายการจะถูกเลือกหรือชี้ให้ตอบในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น มี-ไม่มี, จริง – ไม่
จริง, เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย, เชื่อ – ไม่เชื่อ, ใช่-ไม่ใช่ ฯลฯ หรืออาจมีคำตอบให้เลือกได้หลาย

คำตอบ

ตัวอยา่ ง แบบตรวจสอบรายการ (Checklist)

แบบให้เลือกตอบเพียง 1 คำตอบ เชน่

ข้อ 1 เพศ

 1) ชาย  2) หญิง

ข้อ 2 ช้ันปีทก่ี ำลงั ศึกษา

 1) ชั้นปีท่ี 1  2) ช้ันปีท่ี 2  3) ช้ันปีท่ี 3

 4) ชั้นปีท่ี 4  5) ช้ันปีท่ี 5  6) อืน่ ๆ ระบุ.....................

ข้อ 3 การพดู ภาษาอังกฤษ

รายการ ใช่ ไมใ่ ช่

1. ใช้ไวยากรณ์ถูกต้อง

2. มองหน้าผู้ฟงั

3. ออกเสียงได้ชัดเจนถูกต้อง

4. .....................

แบบให้เลือกได้หลายคำตอบ เช่น

ข้อ 1 ครผู ู้สอนของท่านมีคุณลักษณะตรงกับข้อใดบ้าง (เลือกตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
 1) ตรงต่อเวลา
 2) เตรียมสอนทุกคร้ังกอ่ นทำการเสมอ
 3) มีความยตุ ิธรรมในการวดั และประเมินผู้เรียน
 4) ใช้วิธีการสอนแบบตา่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
 5) ยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผู้เรียน

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 220077

2.2 แบบมาตรประมาณคา่ (Rating Scale) แบบสอบถามลักษณะนี้ ตา่ งจากแบบ
ตรวจสอบรายการ (Checklist) กล่าวคือ แบบตรวจสอบรายการต้องการทราบว่ามีหรือไมม่ ีใน
เรื่องนั้น แต่มาตรประมาณค่าต้องการทราบละเอียดยิ่งกว่านั้น คือมีมากน้อยเพียงใด มุ่งให้

ผู้ตอบพิจารณาข้อความที่มีลกั ษณะเปน็ ระดับเพยี งคำตอบเดียวจากหลายระดบั ประกอบด้วย

แบบที่ 1 แบบตวั เลข (Numerical Rating Scales) เปน็ มาตรประมาณคา่ ของ
ลเิ คิร์ท (Likert Rating Scale) โดยการใช้ตวั เลข แทนระดับความคดิ เหน็ เช่น

ตัวอย่าง มาตรประมาณค่า แบบตัวเลข ของลิเคิร์ท (Likert Rating Scale)

ความคิดเห็นเกีย่ วกับครผู ู้สอนในรายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึง่ มี 5 ระดับ ให้ผู้ตอบทำ

เครือ่ งหมาย  ลงในชอ่ งตรงกบั ความคิดเห็น ดังนี้

5 = เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง 4 = เห็นด้วย

3 = ไมแ่ นใ่ จ 2 = ไมเ่ หน็ ด้วย

1 = ไม่เห็นด้วยอยา่ งยิ่ง

ข้อความ 54321
1. เข้าสอนตรงต่อเวลา
2. เตรียมสอนทุกคร้ังกอ่ นทำการเสมอ
3. มีความยุติธรรมในการวัดและประเมินผู้เรียน
4. ใช้วิธีการสอนแบบตา่ ง ๆ ได้อยา่ งเหมาะสม
5. ยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผู้เรียน

แบบที่ 2 แบบบรรยาย (Descriptive Rating Scales) คล้ายกับแบบตัวเลข
แต่ต่างกันตรงที่ใช้เฉพาะขอ้ ความเพอ่ื บอกระดับความรู้สึก เชน่

ตัวอย่าง มาตรประมาณคา่ แบบบรรยาย ของลิเคิรท์ (Likert Rating Scale)

ข้อ 1 นักเรียนดรู ายการขา่ วโทรทัศนม์ ากน้อยเพียงใด

ก. เปน็ ประจำ ข. ค่อนข้างบ่อย ค. พอประมาณ

ง. นาน ๆ ครั้ง จ. ไม่เคยเลย

ขอ้ 2 นักเรียนชอบเรียนดนตรีมากน้อยเพียงใด

ก. มากที่สุด ข. มาก ค. ปานกลาง

ง. น้อย จ. น้อยที่สุด

ข้อ 3 นักเรียนร่วมกิจกรรมของโรงเรียนมากน้อยเพียงใด

ก. ทุกคร้ัง ข. เปน็ สว่ นใหญ่

ค. แล้วแตโ่ อกาส ง. ไม่ค่อยรว่ ม

208 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 208

แบบที่ 3 แบบกราฟ (Graphic Rating Scales) เป็นมาตรประมาณค่าของ
ออสกูด (Osgood) เปน็ การใช้กราฟเส้นตรง แบง่ เขตระดบั ความรู้สึก ใช้ภาษา ตวั เลข หรือทั้ง
ภาษาและตวั เลข ทั้งนีภ้ าษาที่ใช้จะมีลกั ษณะเปน็ คำคุณศัพทท์ ่มี ีความหมายตรงขา้ มกนั เชน่

ตัวอย่าง มาตรประมาณคา่ แบบตัวเลข ของออสกูด (Osgood)

ใช้คำคุณศพั ทห์ ลาย ๆ คู่ สำหรับ 1 ความคิดรวบยอด เชน่ แห้งแล้ง
“ทา่ นมีความคิดเหน็ อย่างไรตอ่ โรงเรียน” คบั แคบ
นา่ เบือ่
รม่ รื่น 5 4 3 2 1
กว้างขวาง 5 4 3 2 1

นา่ สนใจ 5 4 3 2 1

ใช้คำคุณศัพท์ 1 คู่ สำหรับ 1 ความคิดรวบยอด เช่น
“จงั หวะในการร้องเพลงของนักเรียน”
ดีมาก 3 2 1 0 1 2 3 ไม่ดีเลย

“ท่านมีความรู้สึกอย่างไรต่อการบริหารงานของรัฐบาล” 3 ซือ่ ตรง
คดโกง -1 -2 -3 0 1 2

แบบที่ 4 แบบใช้สัญลักษณ์ (Graphic Rating Scales) เป็นแบบที่ใช้
สัญลักษณ์ หรือรูปภาพเป็นคำตอบ ซึ่งเหมาะสำหรบั เด็กเล็ก เช่น

ตวั อย่าง มาตรประมาณค่า แบบใช้สัญลกั ษณ์

ข้อ 1 การเรียนคณิตศาสตร์

☺ 

ขอ้ 2 การอ่านหนังสือ  



ขอ้ 3 การท่องคำศพั ทภ์ าษาองั กฤษ

☺ 

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 220099

แบบที่ 5 แบบจัดลำดับที่ (Ranking) เป็นแบบให้ผู้ตอบจัดลำดับที่ หรือการ
เรียงตามความสนใจ เช่น

ตวั อย่าง มาตรประมาณค่า แบบจดั ลำดบั ที่

ตัวอยา่ ง 1 จัดลำดบั วิชาทีช่ อบมากที่สุด จากมากที่สดุ ไปหาน้อยทีส่ ุด โดยใส่เลขตั้งแต่ 1 ถึง 5 โดย

ที่ 1 คือ น้อยที่สุด และ 5 คือ มากทีส่ ดุ

……….. ภาษาอังกฤษ

……….. พลศึกษา

……….. สังคมศึกษา

……….. คณิตศาสตร์

……….. วิทยาศาสตร์

ตวั อยา่ ง 2 เรียงลำดับอาหารที่ชอบมากที่สุด

……….. ไข่ทอด

……….. ผดั กะเพรา

……….. พิซซา่

……….. แกงเขียวหวาน

……….. ผดั ผกั รวมมิตร

……….. ต้มยำ

……….. หมูสามช้ันทอด

……….. ส้มตำ

ตวั อยา่ ง 3 ทา่ นเลือกเรียนวิชาชีพครูเพราะเหตุใด จงเรียงลำดบั ตามความสำคัญของเหตุผลจาก

มากไปหาน้อย เพียง 3 อันดบั เท่านั้น

เหตุผล อันดบั ความสำคญั เรียงจากมากทีส่ ดุ

1. มีใจรัก .................................

2. หางานง่าย .................................

3. ผู้ปกครองสนบั สนนุ .................................

4. เปน็ อาชีพทีน่ ่ายกยอ่ ง .................................

5. เรียนสบาย .................................

6. เลือกเรียนตามรุน่ พี่ .................................

7. อยากถา่ ยทอดความรู้ให้นกั เรียน .................................

210 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 210

หลกั ในการสร้างแบบสอบถาม (เกียรติสุดา ศรีสขุ , 2552; สมนึก ภัททิยธนี, 2562)
1. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของศึกษา เพราะหากสอบถามนอกเหนือจาก

วัตถุประสงค์ ก็จะเป็นการรบกวนผู้ตอบแบบสอบถามมากเกินไป และยังจะทำให้ข้อมูลที่ได้
ไม่ได้ถกู นำมาใช้ประโยชน์อีกด้วย

2. ใช้ข้อความที่สั้น กะทัดรัด ได้ใจความ เช่น ถ้าผู้วิจัยต้องการถามว่า “ในยุค
ปัจจุบนั มีการคดิ คน้ วธิ ีการป้องกันโรคทีไ่ ด้รับการรับรองแล้วว่าได้ผลดีสามารถป้องกันโรคได้
จริง คอื …………………………………” จะเหน็ วา่ เป็นขอ้ คำถามทีค่ ่อนขา้ งใช้ภาษาฟุ่มเฟอื ยมาก ดังน้ัน
ผู้วิจัยอาจปรบั การใช้ภาษาใหมเ่ ป็น “วธิ ีการป้องกนั โรคแบบใหม่ที่ได้รับการรับรองแลว้ ว่าได้ผล
คอื …………………………………”

3. แต่ละข้อคำถาม ควรมีนยั เพียงประเดน็ เดียว กล่าวคือ ไมใ่ ช้ประธานหรือกรรม
มากกวา่ หนึง่ เชน่ ถ้าผู้วิจัยต้องการถามวา่ “ท่านเห็นด้วยมากน้อยเพียงใดต่อนโยบายการปรับ
โครงสร้างระบบราชการที่เน้นการมีจำนวนข้าราชการน้อยลงและมีการให้คา่ ตอบแทนที่สูงข้ึน”
จะเห็นว่าถ้าผู้ตอบแบบสอบถามตอบวา่ “เห็นด้วยมากที่สุด” ผู้วิจัยก็ยังไม่สามารถสรปุ ได้แน่
ชัดวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามนีเ้ ขาเหน็ ด้วยมากที่สุดกับประเดน็ “การมีจำนวนข้าราชการน้อยลง”
หรือประเด็น “มีการให้คา่ ตอบแทนทีส่ ูงข้นึ ” ดังน้ัน เพอ่ื ให้สามารถได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน ผู้วิจัย
ควรแยกถามที่ละประเดน็ ไป

4. หลกี เล่ยี งการใชป้ ระโยคปฏิเสธซ้อน เชน่ ถ้าผู้วิจยั ถามวา่ “เมื่อออกกำลังกาย
เสร็จแล้วดื่มน้ำทันที เป็นการปฏิบตั ิทีไ่ มถ่ กู ต้องใช่หรือไม”่ จะเหน็ ว่าเปน็ การเพ่ิมความซับซ้อน
ของตัวคำถาม ซึง่ จะทำให้ผู้ตอบต้องใช้เวลาในการพจิ ารณามากข้นึ โดยไม่จำเป็นและมีโอกาส
ผิดพลาดจากความเข้าใจที่แท้จริงได้ง่าย ในที่นี้ผู้วิจัยอาจปรับการใช้ภาษาใหม่เปน็ “เมื่อออก
กำลงั กายเสร็จแล้วดื่มน้ำทนั ทีเ่ ปน็ การปฏิบัติที่ถกู ต้องใชห่ รือไม่”

5. ไม่ควรใชค้ ำย่อ เช่น ถ้าผู้วิจัยใช้คำว่า ศธ. ก็ค่อนข้างจะเป็นทีร่ ู้จักและคุ้นเคยดี
เฉพาะในวงการศึกษา แต่สำหรับคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกวงการนี้แล้ว ก็มักจะไม่รู้จักคำว่า ศธ.
ดังนั้นผู้วิจัยควรใช้คำเต็มว่า “กระทรวงศึกษาธิการ” ไปเลย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ตอบแบบสอบถาม
เขา้ ใจงา่ ยและไม่ต้องเสียเวลาในการแปลความหมายของคำย่อน้ัน

6. ไม่ชี้นำการตอบให้เป็นไปในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง เช่น ถ้าผู้วิจัยถามว่า
“ท่านไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการใช่หรือไม่” จะเห็นว่าเป็นการชี้นำ
การตอบไปในแนวทางที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งดังกล่าว ดังนั้นผู้วิจัยอาจปรับภาษาใหม่ให้อยู่ใน
ลกั ษณะกลาง ๆ เปน็ “ท่านมีความคดิ เห็นอยา่ งไรกับการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการ”

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 221111

7. คำตอบที่ให้เลือกตอบนั้นจะต้องชัดเจนและครอบคลุมคำตอบที่เป็นไปได้
เช่น ถ้าผู้วิจัยถามว่า ท่านมีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งนี้กี่ปี ตัวเลือก ได้แก่ 1) 5 ปี
2) 6 – 10 ปี และ 3) 11-15 ปี จะเห็นว่า ถ้าผู้ตอบแบบสอบถามมีประสบการณ์ 17 ปี ก็ไม่

สามารถที่จะตอบได้ ดังนั้นผู้วิจัยจะต้องหาคำตอบเพื่อให้ครอบคลุมการตอบ โดยอาจเพิ่ม
ตัวเลือกอีกขอ้ เปน็ “มากกว่า 15 ปี” เป็นต้น

ขั้นตอนการสร้างและการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถาม (สมคิด พรมจุ้ย, 2550;
เกียรติสุดา ศรีสขุ , 2552; สมนึก ภทั ทิยธนี, 2562)

ขนั้ ที่ 1 กำหนดจุดมุง่ หมายของแบบสอบถามให้ชัดเจน เชน่
จดุ มงุ่ หมาย เพือ่ ศึกษาคุณลกั ษณะใฝ่เรียนรู้ ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6

ขั้นที่ 2 กำหนดประเด็นหลัก หรือพฤติกรรมหลักทีจ่ ะวัดให้ครบถ้วน ครอบคลุมตาม
ทฤษฎี เช่น

การใฝเ่ รียนรู้ มพี ฤติกรรมบ่งชี้ 2 พฤติกรรมบง่ ชี้ และประเด็นทีต่ ้องการสังเกต ดังนี้

พฤติกรรมบ่งชี้ ประเด็นทีต่ ้องการสงั เกต
1. ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน
และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ 1.1) ตั้งใจเรียน
1.2) เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้
2. แสวงหาความรู้ทงั้ ภายในและ 1.3) มีความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ
ภายนอกโรงเรียนอยา่ งสมำ่ เสมอ
ด้วยการเลือกใช้สือ่ อย่างเหมาะสม 2.1) ศึกษาหาความรู้จากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ สือ่ เทคโนโลยีต่าง
บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็น ๆ แหล่งเรียนรู้ทง้ั ภายในและภายนอก และเลือกใช้สื่อได้อย่าง
องค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เหมาะสม
ถ่ายทอด เผยแพร่ และนำไปใช้ใน 2.2) บนั ทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งทีเ่ รียนรู้ สรปุ เปน็ องค์
ชีวิตประจำวนั ได้ ความรู้
2.3) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการตา่ ง ๆ และนำไปใช้ใน
ชีวิตประจำวนั

ขั้นที่ 3 กำหนดชนิดของแบบสอบถาม หรือรูปแบบของแบบสอบถาม โดยเลือกให้
เหมาะสมกบั กลมุ่ ของผู้ตอบ ซึ่งชนิดของแบบสอบถามดังที่ได้กล่าวไวแ้ ล้วขา้ งต้น

ขัน้ ที่ 4 กำหนดโครงสร้างของแบบสอบถาม ซึง่ มีสว่ นประกอบสำคญั 3 สว่ น ดังนี้
สว่ นที่ 1 คำชแี้ จงในการตอบแบบสอบถาม จะแยกกลา่ ว 4 ประเดน็
1) จุดมุ่งหมายของการสอบถาม (ผู้ตอบจะได้ทราบประเด็นสำคัญของการถาม

ด้วยเทา่ กบั ให้ความสำคญั กับผู้ตอบ)

212 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 212

2) ลักษณะของการสอบถาม (ระบุเพยี งคร่าว ๆ ว่ามีกี่ตอน กีข่ ้อ)
3) แสดงความรับผิดชอบ (ถ้ามี) เช่น “การตอบแบบสอบถามครั้งนี้ ถือเป็น
ความลับจะไมเ่ กิดผลเสียหายแก่ตัวท่าน และจะวิเคราะห์ข้อมลู โดยภาพรวม” เป็นต้น (เพราะ
ในบางครั้ง ผู้ตอบเกรงกลัวหรือกังวลว่าจะเกิดความเสียหายกับตนเอง จึงไม่กล้าตอบตาม
ความจริง)
4) ตอนสุดท้ายของคำชี้แจง ควรกล่าวขอบคุณในความร่วมมือ พร้อมระบุชื่อ
เจ้าของแบบสอบถามหรืออาจระบุชื่อในรปู ของคณะกรรมการ
ส่วนที่ 2 สถานภาพทั่วไป ในส่วนนี้เปน็ รายละเอียดส่วนตวั ของผู้ตอบ เช่น อายุ
เพศระดับการศึกษา อาชีพ ฯลฯ
ส่วนที่ 3 ข้อคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่จะวัด ซึ่งอาจแยกเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ
แล้วสร้างขอ้ คำถามวัดตามพฤติกรรมยอ่ ย ๆ เหล่าน้ัน
ตัวอยา่ ง เชน่

แบบสอบถามคุณลกั ษณะใฝ่เรียนรู้ ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6
คำชี้แจง

1. แบบสอบถามฉบับนี้ มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พือ่ ศึกษาคุณลักษณะใฝเ่ รียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีท่ี 6 ซึง่ ข้อมูลทีท่ ่านได้ตอบแบบสอบถามฉบบั นี้จะถือเป็นความลบั และจะสรปุ ผลในภาพรวมเทา่ นั้น จึง
ใครข่ อความกรณุ าท่านตอบแบบสอบถามด้วยตนเองและตอบตามความเปน็ จริงให้มากที่สุด

2. แบบสอบถามฉบบั นี้ แบ่งออกเปน็ 2 ตอน ประกอบด้วย
ตอนที่ 1 สถานภาพทว่ั ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 2 ข้อ
ตอนที่ 2 คณุ ลักษณะใฝ่เรียนรู้ จำนวน 8 ข้อ
ขอบพระคณุ ทา่ นเป็นอย่างสูงทีก่ รณุ าให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถาม

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 221133

ข้ันที่ 5 กำหนดสเกล และเกณฑใ์ นการแปลความหมายของคะแนนให้เหมาะสม เช่น
สเกลในการสรา้ งแบบสอบถามครั้งนี้ คอื เปน็ ประจำ, บอ่ ย ๆ, บางคร้ัง, นานๆ คร้ัง, ไมเ่ คยเลย

ขั้นที่ 6 ตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหา โดยให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบวา่
แบบสอบถามนั้น มีข้อคำถามครอบคลุมประเด็น หรือสิ่งที่ต้องการรู้หรือไม่ (การตรวจสอบ
ความตรงเชิงเนือ้ หา ศึกษาเพม่ิ เติมในบทที่ 5 ดงั ที่กลา่ วไวแ้ ล้ว) ซึ่งมเี กณฑ์ในการพจิ ารณาดงั นี้

+ 1 หมายถึง แนใ่ จว่าขอ้ คำถามวดั ได้ตรงกบั นิยามศัพท/์ พฤติกรรมบ่งชี้
0 หมายถึง ไม่แนใ่ จว่าขอ้ คำถามวัดได้ตรงกับนิยามศัพท/์ พฤติกรรมบง่ ชี้

-1 หมายถึง แน่ใจว่าขอ้ คำถามวัดได้ไมต่ รงกบั นิยามศัพท/์ พฤติกรรมบง่ ชี้

ขน้ั ที่ 7 ปรับปรุงขอ้ คำถาม ตามขอ้ เสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จากขนั้ ที่ 6
ขั้นที่ 8 นำไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มตัวอย่างทีม่ ีคุณลักษณะใกล้เคียงกบั กลุม่

ตัวอยา่ งจริง อยา่ งน้อย 30 คน เพ่อื วเิ คราะห์ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของข้อคำถาม

รายข้อ และความเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบถามทั้งฉบับ (สมคิด พรมจุ้ย, 2550) โดยมี

รายละเอียด ดงั นี้

1) การตรวจสอบคุณภาพด้านอำนาจจำแนก (Discrimination) ของ

แบบสอบถาม การวิเคราะห์อำนาจจำแนกของแบบสอบถาม แต่ละข้อคำถามจะมีการให้

คะแนนแบบหลายค่า เช่น 5, 4, 3, 2, 1 สามารถวิเคราะห์ได้โดยใช้สูตรในการคำนวณ

สมั ประสิทธ์สิ หสมั พันธข์ องเพยี รส์ นั ดงั นี้
n ∑ XY − ∑ X ∑ Y
rXY = √[n ∑ X2 − (∑ X)2][n ∑ Y2 − (∑ Y)2]

เมื่อ
r แทน คา่ อำนาจจำแนกรายข้อ

n แทน จำนวนค่ขู องผู้ตอบแบบสอบถาม
X แทน คะแนนของขอ้ คำถามขอ้ นั้นทีจ่ ะคำนวณค่าอำนาจจำแนก
Y แทน คะแนนรวมของขอ้ อื่น ๆ ที่เหลือทกุ ขอ้

และมีเกณฑ์ในการแปลความหมาย เหมือนกนั กับการแปลความหมายการหาค่า

อำนาจจำแนกของแบบทดสอบ
ตัวอยา่ งเชน่ คะแนนที่ได้จากแบบสอบถามการวัดทศั นคติที่มีต่อโรงเรียน จำนวน

3 ขอ้ โดยเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู กับนักเรียนจำนวน 6 คน มีข้อมูลดังนี้

214 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 214

นกั เรียน คะแนนขอ้ คำถาม คำนวณหาคา่ อำนาจจำแนก
คนที่ ขอ้ ที่ 1
ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3
1 553 X Y X2 Y2 XY
2 4 53
3 342 5 8 25 64 40
4 2 43 4 8 16 64 32
5 1 31 3 5 9 25 15
6 1 32 2 7 4 49 14
1 4 1 16 4
1 5 1 25 5
16 37 56 243 110

แทนคา่ ในสูตร n ∑ XY − ∑ X ∑ Y
√[n ∑ X2 − (∑ X)2][n ∑ Y2 − (∑ Y)2]
rXY =

rXY = 6(110)−(16)(37) (37)2]
√[6(56)− (16)2][6(243)−

rXY = 68 = 0.8059 ≈ 0.806
√(80)(89)

ดังนั้น คำถามข้อที่ 1 มีค่าอำนาจจำแนก เท่ากับ 0.80 ซึ่งสามารถจำแนกบุคคลที่มี

ทัศนคติทีม่ ีต่อโรงเรียนได้ในระดับสูง

2) การตรวจสอบคุณภาพดา้ นความเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบถาม

แบบสอบถามที่เปน็ มาตราส่วนประมาณคา่ ซึง่ มีการให้คา่ น้ำหนกั ของคำตอบเป็น 5, 4, 3, 2, 1

หรืออื่น ๆ สามารถหาค่าความเที่ยงโดยวิธีหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบราค (Cronbach

Alpha Method) มีสตู รดังนี้ ∑SS2t i2 }

α = k {1 −
k−1

เมือ่
α แทน ค่าอำนาจจำแนกรายข้อ
k แทน จำนวนคูข่ องผู้ตอบแบบสอบถาม
Si2 แทน คะแนนของขอ้ คำถามขอ้ นั้นทีจ่ ะคำนวณคา่ อำนาจจำแนก
St2 แทน คะแนนรวมของขอ้ อืน่ ๆ ที่เหลือทกุ ขอ้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 221155

และมีเกณฑ์ในการแปลความหมาย เหมือนกันกับการแปลความหมายการหา
ความเที่ยงแบบสอบซ้ำ คอื มีคา่ ตั้งแต่ 0.70 ข้นึ ไป

ตัวอย่างเช่น จงหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามวัดความมีน้ำใจ ที่เก็บ
รวบรวมขอ้ มลู กับนักเรียน จำนวน 6 คน มีข้อมูลดงั นี้

นักเรียนคนที่ คะแนนขอ้ ที่ คะแนนรวม (X) X2
1 234 5

1 2 5 4 5 3 19 361

2 33333 15 225

3 45424 19 361

4 2 3 2 1 2 10 100

5 32121 9 81

6 11132 8 64

ΣXi 15 19 15 16 15 ΣX = 80 ΣX2 = 1192
ΣXi2 43 73 47 52 43

Si2 1.10 2.57 1.90 1.87 1.10 Σ Si2 = 8.53

วธิ ีการคำนวณ

1. คำนวณหาคา่ ความแปรปรวนรวม (St2) จากสตู ร
N ∑ 2−(∑ X)2
St2 = N(N−1)

= 6(1192)−(80)2
6 (6−1)

= 7152−6400 = 25.07
30

2. คำนวณหาค่าความแปรปรวนรวม (Si2) ของขอ้ คำถามแต่ละขอ้ จากสตู ร
ความแปรปรวนข้อคำถามขอ้ ที่ 1

S12 = N ∑ 2 −(∑ )2
N(N−1)

= 6(43)−(15)2
6 (6−1)

= 258−225 = 1.10
30

คำนวณแบบนี้ทีละขอ้ ไปจนถึงขอ้ สดุ ท้าย

216 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 216

3. นำข้อมูลที่ได้ มาคำนวณหาค่าความเทีย่ งของครอนบราค (Cronbach Alpha

Method) มีสตู รดงั นี้ ∑SSt2i2}

α = k {1 −
k−1

= 6 {1 − 285.5.037}
6−1

= 1.25 (0.66) = 0.83

ดังนั้น ความเที่ยงของแบบสอบถามวัดความมีน้ำใจฉบับนี้ มีค่าเท่ากับ 0.83 ซึ่ง

อยใู่ นระดบั ดี (Good Reliability)
ขั้นที่ 9 จัดทำแบบสอบถามฉบบั สมบูรณ์

ข้อควรปฏิบตั ิ
จากรูปแบบต่าง ๆ ของแบบสอบถามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น การสร้างแบบสอบถาม

ต้องให้บางขอ้ เป็นเชิงลบด้วย (จำนวน 10%-30%) เพ่อื เปน็ การตรวจสอบอีกทางหนึ่งว่าผู้ตอบ
ได้ตอบด้วยความเอาใจใส่หรือไม่ เชน่

ข้อความ เหน็ ด้วย เห็นด้วย ไมแ่ น่ใจ ไมเ่ หน็ ด้วย ไมเ่ ห็นด้วย
อยา่ งยิ่ง อยา่ งยิง่
1. อาชีพครูเปน็ วิชาชีพที่มีเกียรติ
2. อาชีพครูเป็นวิชาชีพทีม่ ีวนั หยดุ มาก
3. อาชีพครไู มม่ ีอะไรมากไปกวา่ การกาง

ตำราสอนไปเรือ่ ย ๆ
4. อาชีพครูเปน็ อาชีพเป็นอาชีพที่เสียสละ
5. อาชีพครเู ปน็ อาชีพที่มีเกียรติสูง

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นไดว่า ข้อ 1, 4, และ 5 เป็นข้อคำถามเชิงบวก ส่วน ข้อ 2
และ 3 เป็นข้อคำถามเชิงลบ ดังนั้นเมื่อนำแบบสอบถามฉบับนี้ไปเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อ
วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (ˉx ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD.) การนำตัวเลขเหล่านี้ไปวิเคราะห์ มี
หลักการดังนี้

กรณี ข้อคำถามเชิงบวก การนำตัวเลขไปวิเคราะห์ยังคงเดิม
กรณี ขอ้ ความเชิงลบ การนำตัวเลขไปวิเคราะห์ เปน็ ดังนี้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 221177

ถ้าตอบ เห็นด้วยอย่างย่งิ ให้ 1 คะแนน

เห็นด้วย ให้ 2 คะแนน

ไมแ่ นใ่ จ ให้ 3 คะแนน

ไมเ่ ห็นด้วย ให้ 4 คะแนน

ไมเ่ หน็ ด้วยอย่างยง่ิ ให้ 1 คะแนน

และมีเกณฑ์ในการแปลความหมายของคะแนน ดังนี้

ค่าเฉลีย่ ต้ังแต่ 4.51-5.00 หมายถึง มากทีส่ ดุ / เหน็ ด้วยอยา่ งย่งิ

ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.51-4.50 หมายถึง มาก/ เห็นด้วย

คา่ เฉลี่ยต้ังแต่ 2.51-3.50 หมายถึง ปานกลาง/ ไมแ่ น่ใจ

ค่าเฉลีย่ ตั้งแต่ 1.51-2.50 หมายถึง น้อย/ ไม่เหน็ ด้วย

คา่ เฉลี่ยตั้งแต่ 1.00-1.50 หมายถึง น้อยทส่ี ุด/ ไมเ่ ห็นด้วยอย่างยง่ิ

บทสรุป
การวัดด้านจิตพิสยั เป็นการวัดด้านความรู้สึก อารมณ์ที่ซ้อนอยู่ภายในแต่ละบุคคล

ซึ่งมีลักษณะที่เป็นนามธรรม ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก เริ่มตั้งแต่การที่บุคคลมีการรบั รู้

แล้วเกิดการตอบสนองต่อด้วยการเห็นคุณค่ากอ่ ให้เกิดการจัดระบบจนกลายเป็นลักษณะนิสัย
แตก่ ารจะสังเกตหรือวัดพฤติกรรมด้านนที้ ำได้ค่อนข้างยาก ดังน้ันในการวัดพฤติกรรมด้านจิต

พสิ ัยจึงจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือทีห่ ลากหลายและวัดหลาย ๆ คร้ัง หรือหลายบุคคลช่วยกัน
วัด เชน่ ครผู ู้สอน หรือครทู ่านอืน่ ๆ หรือผู้ปกครอง หรือนักเรียนประเมินตนเอง หรือให้เพ่ือน
ประเมิน เพื่อให้ได้พฤติกรรมที่แท้จริงหรือใกล้เคียงจริงออกมา โดยที่ก่อนจะทำการวัด

พฤติกรรมด้านนีจ้ ะต้องกำหนดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมของพฤติกรรมด้านจิตพสิ ัยนี้เสียก่อน
เพื่อที่จะได้สร้างเครื่องมือได้ครอบคลุมว่ากำลังจะวัดอะไร มีพฤติกรรมบ่งชี้ และประเด็น

อะไรบ้างทีต่ ้องวัด ท้ังนเี้ ครื่องมือทีน่ ิยมใช้ในการวดั พฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั นี้ ได้แก่ แบบสังเกต
แบบสัมภาษณ์ แบบวัดเชิงสถานการณ์ และแบบสอบถาม โดยที่เครื่องมือจำพวกนี้ต่างก็มี

รปู แบบย่อย ๆ ด้วยกนั ท้ังสนิ้ ด้วยเหตุนี้ การที่จะสร้างเครื่องมือเพอ่ื วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
จำเป็นจะต้องศึกษาวิธีการสร้างให้เข้าใจเสียก่อน จะได้เลือกเครื่องมือได้เหมาะสมกับสิ่งที่

ต้องการจะวัด ประกอบกบั เมื่อทำการสร้างเครื่องเรียบร้อยแล้ว ก็จำเป็นอยา่ งยิ่งที่จะต้องทำ
การตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือในด้านความตรงเชิงเนือ้ หา อำนาจจำแนก และความเที่ยง

เพราะเมื่อเครื่องมือทีส่ ร้างข้นึ มานั้นมคี ณุ ภาพ ประกอบกับบุคคลที่ทำการวัดได้ศึกษาวธิ ีการใน
การใช้เครื่องมือแตล่ ะชนิดมาอย่างดีแล้ว ก็ส่งผลให้ผลทีไ่ ด้จากการวดั มีความนา่ เชื่อถือเช่นกนั

218 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 218

แบบฝึกหัดทา้ ยบท
1. ให้นิสิตระบุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมด้านจิตพิสัย มาอย่างน้อย 5 ข้อ พร้อมทั้ง

เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับการวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมน้ัน ๆ

2. จงระบขุ ้อดีและขอ้ จำกดั ของเครื่องมือตอ่ ไปนี้
2.1 แบบสงั เกต

2.2 แบบสัมภาษณ์
2.3 แบบวัดเชิงสถานการณ์
2.4 แบบสอบถาม

3. “คุณครูศรีสมร ต้องการวัดความมีน้ำใจของ ด.ช.มึนอึน จึงสร้างสถานการณ์
จำลองขึ้นมาเพื่อให้ ด.ช.มึนอึน แสดงพฤติกรรมความมีน้ำใจออกมา และคุณครูศรีสมรได้

เลือกใช้เครือ่ งมือในการวัดความมีน้ำใจของ ด.ช.มึนอนึ นนั่ ก็คอื แบบสมั ภาษณ์แบบมีโครงสรา้ ง
ในการวัดความมีน้ำใจ เพราะคณุ ครูศรีสมรเชือ่ วา่ การสนทนาหรือการมีปฏิสมั พันธ์ระหว่างกัน

จะทำให้ได้ข้อมลู ที่ตรงตามความเปน็ จริงมากทีส่ ุด”
จากสถานการณ์ดังกล่าว นิสิตเห็นด้วยกับเครื่องมือในการวัดความมีน้ำใจขออง

คุณครศู รีสมร หรือไม่ เพราะเหตุใด ถ้าไม่เหน็ ด้วย นิสิตจะแนะนำให้คณุ ครศู รีสมร ใช้เครื่องมือ
ประเภทใด เพราะเหตุใด

4. จงพจิ ารณาวา่ ขอ้ ความทีก่ ำหนดให้ ควรจะใช้วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูลด้วยเครื่อง
ใด จึงจะเหมาะสม

ขอ้ ความ แบบ แบบ แบบวัดเชิง แบบ
สังเกต สัมภาษณ์ สถานการณ์ สอบถาม
1. นกั เรียนมีความรู้สกึ ต่อวันขนึ้ ปีใหม่
2. ความพึงพอใจตอ่ วิชาศลิ ปะ
3. การสง่ การบ้านเป็นประจำ
4. การสร้างแบบวดั ทกั ษะในศตวรรษที่ 21
5. การทำเวรประจำวนั ของนกั เรียน
6. สมคิดรู้สกึ อยา่ งไร ถ้าตนเองสอบตก

5. ให้นิสิตแบ่งกลุ่ม ๆ 4-5 คน เพื่อทำสร้างเครื่องมือในการวัดพฤติกรรมด้านจิต
พสิ ัย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 221199

5.1 ให้กลุ่มนิสิต เลือกคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ตามทีส่ นใจมา 1 คณุ ลกั ษณะ ได้แก่ 1) รกั ชาติ ศาสน์
กษัตริย์ 2) ซือ่ สัตยส์ จุ ริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง 6) มุง่ มัน่ ในการทำงาน 7)
รกั ความเป็นไทย และ 8) มีจิตสาธารณะ

5.2 เมื่อเลือกคุณลักษณะที่สนใจได้แล้ว ให้ดำเนินการสร้างเครื่องมือวัด
พฤติกรรมด้านจิตพิสยั จำนวน 3 เครื่องมือที่แตกต่างกนั (แบบสังเกตที่มีการให้คะแนนแบบ
รูบริค, แบบสัมภาษณ์, แบบสอบถามชนิดตรวจสอบรายการ, แบบสอบถามชนิดมาตร
ประมาณค่า, แบบสอบถามชนิดออสกดู )

5.3 อธิบายเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกคุณลักษณะนั้น ๆ พร้อมอธิบายถึง
วธิ ีการสร้างเครื่องมือแต่ละประเภททีก่ ลุม่ ตนเองดำเนินการสร้างข้นึ มา

5.4 นำขอ้ 5.1 ถึง 5.3 ออกแบบลงโปรแกรม PowerPoint ให้สวยงามและน่าสนใจ
พร้อมนำเสนอหน้าชั้นเรียน รวมระยะเวลาไมเ่ กิน 15 นาที

เอกสารอา้ งอิง
กรมวชิ าการ, กระทรวงศึกษาธิการ. (2539). คูม่ ือการสร้างเครือ่ งวดั คณุ ลักษระด้านจิตพิสัย.

กรุงเทพฯ: ครุ สุ ภาลาดพร้าว.
เกียรติสดุ า ศรีสุข. (2552). ระเบียบวธิ ีวิจยั (พมิ พค์ ร้ังที่ 3). เชียงใหม่: โรงพมิ พ์ครองชา่ ง.
โชติกา ภาษีผล. (2559). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Measurement and

Evaluation) (พมิ พ์ครั้งที่ 1). กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
บุญชม ศรีสะอาด. (2550). พ้ืนฐานการวจิ ัยการศึกษา (พมิ พค์ ร้ังที่ 4). กาฬสินธ์:ุ ประสานการ

พมิ พ.์
พชิ ิต ฤทธจิ์ รญู . (2552). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา (พมิ พค์ ร้ังที่ 5). กรุงเทพฯ :

เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มีสท์.
ราตรี นันทสคุ นธ.์ (2555). หลกั การวดั และประเมินผลทางการศกึ ษา (พมิ พค์ ร้ังที่ 3).

กรงุ เทพฯ: บริษทั จดุ ทอง จำกดั .
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. (2551). เทคนิคการวดั ผลการเรียนรู้ (พมิ พ์คร้ังที่ 2).

กรงุ เทพฯ: สวุ รี ิยาสาส์น.
วรรณากร พรประเสริฐ. (2562). การพฒั นาแบบวดั และเกณฑ์ปกติความเปน็ พลเมอื งดิจิทลั

ของนิสิตนกั ศึกษาในสถาบันอดุ มศึกษา. วิทยานิพนธก์ ารศึกษาดุษฎีบณั ฑิต,
มหาวิทยาลัยนเรศวร.

220 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 220

สมคดิ พรมจุ้ย. (2550). เทคนิคการประเมินโครงการ (พมิ พค์ รั้งที่ 5). นนทบุรี: จตพุ ร ดีไซน์.
สมนึก ภทั ทิยธนี. (2562). การวัดผลการศึกษา (พมิ พ์ครั้งที่ 12). กาฬสินธุ:์ ประสานการพมิ พ.์
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา, สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน,

กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). แนวทางการพฒั นา การวดั และประเมินผล
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช
2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั .
อนุวัตร คณู แก้ว. (2562). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษาแนวใหม่ (พมิ พ์ครง้ั ที่ 3).
กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
Ebel, R. L., and Frisbie, d. A. (1 9 8 6 ) . Essentials if Education Maesurement (4 th Ed).
NewJersy: Prectice-Hall, Inc.
Hopkins, D. C., and Antes, C. R. (1 9 9 0). Classroom Measurement amd Evaluation. Illinois
Heights: Allyn & Bacon.
Payne, D. A. (1992). Measuring and Evaluating Educational Outcome. New York: Mcmillan.

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 222211

แผนการสอนประจำบทท่ี 8

การสรา้ งเครื่องมือวัดผลดา้ นทักษะพิสยั (Psychomotor Domain)

จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
เมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แล้ว นิสิตมีความสามารถ ดงั นี้
1. อธิบายความแตกต่างของเครือ่ งมือในการวดั พฤติกรรมด้านทักษะพสิ ัยได้
2. อธิบายความเหมือนและความแตกต่างของการประเมินผลแบบเดิมและ

การประเมินผลแนวใหมด่ ้านทกั ษะพสิ ยั ได้
3. เลือกใช้เครื่องมือวดั พฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ยั กับพฤติกรรมที่ต้องการศึกษาได้
4. สร้างเครือ่ งมือในการวัดพฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ยั ได้

เนื้อหาสาระ
1. ความหมายของทักษะพสิ ัย
2. ระดับของพฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ยั
3. ธรรมชาติของพฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ัย
4. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ยั
5. การประเมินภาคปฏิบัติ (Performance Assessment)
6. การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment)
7. การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment)
8. เกณฑก์ ารประเมินหรือแนวทางในการให้คะแนน (Rubrics)

วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน
1. ผู้สอนชแี้ จงจุดประสงคก์ ารเรียนเนือ้ หาบทที่ 8
2. ผู้สอนบรรยายเนอื้ หาบทที่ 8 และยกตัวอยา่ งประกอบตามเวลาที่กำหนด
3. ผู้สอนและนิสิตรว่ มกนั อภิปรายและตอบข้อซักถาม
4. สุ่มตัวแทนนิสิตประมาณ 5 คน เพื่อสรุปองคค์ วามรู้เกี่ยวกับการสร้างเครื่องมือ

วดั ผลด้านทักษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) และผู้สอนทำการสรุปในประเดน็ เพม่ิ เติม

222 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 222

5. ให้นิสิตแบ่งกลุ่ม ๆ 4-5 คน และคัดเลือกแผนการจัดการเรียนรู้ในวิชาเอกของ
กลมุ่ ตนเองทีน่ า่ สนใจที่สดุ เพอ่ื ทำการประเมินด้านทกั ษะพสิ ยั โดยมีรายละเอียด ดังนี้

5.1 ให้กลุ่มนิสิต เลือกวิธีการประเมินมา 1 วิธี ได้แก่ การประเมินภาคปฏิบัติ,
การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน, และการประเมินสภาพจริง พร้อมระบุเหตผุ ลว่าเพราะเหตุใด
จึงเลือกวธิ ีการประเมินดงั กล่าว

5.2 ทำการสร้างเครื่องมือ 1 เครื่องมือ และสร้างเกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค
(Rubric Scoring) เพื่อวัดทักษะพิสัยด้านนั้น ๆ ที่กลุ่มตนเองคัดเลือกมา พร้อมระบุเหตุผลว่า
เพราะเหตใุ ดจึงเลือกสร้างเครือ่ งมือดังกลา่ ว

5.3 นำรายละเอียดในขอ้ 5.1 และ 5.2 มาสรปุ และออกแบบลงใน Infographic ให้
สวยงาม และนา่ สนใจ และสง่ ตามระยะเวลาที่กำหนด

6. นิสิตทำแบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 8 และส่งตามระยะเวลาที่กำหนด
7. มอบหมายให้นิสิตทกุ คน ศึกษาเนือ้ หาบทที่ 9 ลว่ งหน้า พร้อมทั้งสรปุ ความรู้ลงใน
แผนผงั ความคดิ (Mind Mapping)

ส่อื การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน 161311 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
2. สือ่ การสอนในรปู แบบโปรแกรม PowerPoint ประจำบทที่ 8
3. แบบฝึกหัดท้ายบท

การวดั ผลและประเมินผล
1. การรว่ มอภิปรายและตอบคำถามในชั้นเรียน
2. การตอบคำถามจากแบบฝึกหัดท้ายบท
3. การมีสว่ นร่วมในช้ันเรียน
4. ความสนใจและความรับผิดชอบต่อการเรียน

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 222233


Click to View FlipBook Version