The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2563 วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wannakorn Phornprasert, 2022-09-18 09:43:24

เอกสารประกอบการสอนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2563 วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา

เอกสารประกอบการสอนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2563 วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา

ตัวอย่าง ของจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (Behavioral Objective: B.O.)
1. เมื่อกำหนดคำต่าง ๆ ให้ 30 คำ นักเรียนสามารถจดั หมวดหมู่ประเภทของคาํ ได้
ถกู ต้องอย่างน้อย 25 คำ

2. เมื่อกำหนดสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวให้ 10 สมการ นักเรียนสามารถแก้สมการ
เชิงเส้นตวั แปรเดียวได้อย่างถูกต้องท้ังหมด

3. เมื่อครูกำหนดโจทย์ปัญหาการหารเลขไม่ลงตัวให้ นักเรียนสามารถหาผลหารได้
ถกู ต้องถึงทศนิยม 6 ตำแหน่ง

4. เมื่อกำหนดชื่อภาคในประเทศไทยให้ นักเรียนสามารถจำแนกชื่อจังหวัดตามภาค

ได้ถกู ทุกขอ้
5. เมือ่ นำรูปภาพตัวอยา่ งให้ดูแล้ว นกั เรียนสามารถวาดรูปตามภาพตวั อยา่ งได้อย่าง

ถูกต้อง
6. เมื่อกำหนดบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ให้ นักเรียนสามารถอ่านเป็นทำนอง

เสนาะได้ถูกต้องตามหลกั เกณฑแ์ ละขอ้ บังคบั ของการประพนั ธ์
7. เมือ่ เตรียมวัตถุดิบในการทำต้มยำกุ้งให้ นกั เรียนสามารถสาธิตการทำต้มยำกุ้งได้

เสร็จเรียบร้อย ในเวลา 30 นาที
8. นักเรียนสามารถหาคำภาษาอังกฤษได้ครบถ้วน ตามหมวดหมู่ที่ครูเตรียมไว้ให้

ภายในได้ในเวลาทีก่ ำหนด
จากตวั อยา่ งขา้ งต้นนี้ เปน็ การเขยี นจดุ ประสงคท์ ่มี ีสว่ นประกอบที่สมบูรณท์ ั้ง 3 ส่วน

และจะสงั เกตเห็นวา่ ขอ้ 1 กบั 2 กำหนดเกณฑ์เชิงปริมาณ สว่ น ขอ้ 3, 4, 5, 6 กำหนดเกณฑใ์ น
ลักษณะเชิงคุณภาพ และ ข้อ 7 กับ 8 กำหนดเกณฑ์เป็นเวลา การเขียนจุดประสงค์เชิง

พฤติกรรมในแบบที่สมบรู ณ์เปน็ จุดประสงค์ท่ีเฉพาะเจาะจงสำหรบั การสอนของครูผู้สอนในแต่
ละคร้ัง จึงมีลกั ษณะที่จำกัด ไม่ยดื หยุ่น ซึ่งในเอกสารประกอบหลกั สูตรทว่ั ๆ ไป นิยมเขียน
ในลักษณะกลาง ๆ ดังนั้นจึงมีการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไม่ครบทั้ง 3
องคป์ ระกอบ แต่อยา่ งไรก็ตามองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไมไ่ ด้ คือ พฤติกรรมที่คาดหวัง
สำหรบั สว่ นที่เปน็ สถานการณ์ และเงือ่ นไข ให้ครูผู้สอนปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม

จากตวั อยา่ งจุดประสงค์ข้างต้น อาจจะเขยี นในลักษณะกลาง ๆ ดงั นี้

1. นกั เรียนสามารถบวกเลข 2 หลกั ได้
2. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของคำพังเพย ได้ถูกต้องอย่างน้อย 80

เปอร์เซน็ ต์
3. นกั เรียนสามารถสาธิตการทำต้มยำกุ้งได้เสรจ็ เรียบร้อย ในเวลา 30 นาที

74 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 74

4. นักเรียนสามารถหาผลหารได้ถกู ต้องถึงทศนิยม 6 ตำแหน่ง
5. นักเรียนสามารถจำแนกชือ่ จงั หวัดตามภาคตา่ ง ๆ ได้
การเขียนจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมดา้ นพุทธิพิสัย
จากลักษณะของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ได้กล่าวไว้ดังหัวข้อข้างต้น จะพบว่า
การเขยี นจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม ต้องเขยี นเปน็ คำกริยาที่ชดั เจน ไมค่ ลมุ เครือ สามารถวัดได้
แต่อย่างไรกต็ าม มักมีการนำคำกริยาต่าง ๆ มาใช้เขยี นจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมในลักษณะที่
กำกวม คลมุ เครือ ไม่สามารถวดั ได้ ดงั เชน่ คำตอ่ ไปนี้
รายการคำกริยาที่ ไมใ่ ช้ ในการเขยี นจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (มักใช้ในการเขยี นจดุ มงุ่ หมาย
ทั่วไป, จุดมุ่งหมายประจำวิชาหรือกลุ่มวิชา) ประกอบด้วยคำว่า “รู้, เข้าใจ, เชื่อ, เชื่อมั่น,
ตระหนัก, สนใจ, ซาบซึ้ง, นำไปใช้, สร้างสรรค์, ประเมินค่า, พอใจ, ศรัทธา, ภูมิใจ, รู้สึกดี,
เหน็ คณุ ค่า, ชื่นชม, จินตนาการ” เป็นต้น

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมดา้ นพุทธิพิสยั
จากที่ได้กลา่ วมาขา้ งต้น ระดับของพฤติกรรมด้านพุทธพิ สิ ัยแบบใหม่ ประกอบด้วย 1)
จำ (Remember) 2) เข้าใจ (Understand) 3) ประยุกต์ใช้ (Apply) 4) วิเคราะห์ (Analyze) 5)
ประเมินค่า (Evaluate) และ 6) สร้างสรรค์ (Create) สามารถแสดงคำกริยาทีบ่ ่งชี้การกระทำ
ตามระดบั ต่าง ๆ ดงั ตารางที่ 10 ถึง 15

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 7755

ตารางที่ 10 คำกรยิ าที่บง่ ช้กี ารกระทำของพุทธิพิสัย ด้านจำ (Remember)
(Anderson, Krathwohl, Airasian, Cruiikshank, Mayer, Pintrich, Raths, & Wittrock, 2001, p. 67)

คำกรยิ าที่บ่งช้กี ารกระทำ ตัวอยา่ งขอ้ คำถาม

- เลือก (Choose) 1. จงบอกความหมาย, องคป์ ระกอบ, จำนวน, ประโยชน์
- นิยาม (Define) วธิ ีการ, ฯลฯ ของคำวา่ ........

- บรรยาย (Describe) 2. เหตกุ ารณ์........ เกดิ กบั (ใคร อะไร ที่ไหน อย่างไร เมอื่ ใด)
- คน้ หา (Find) 3. ขอ้ ใดคอื สญั ลกั ษณ์ของ........

- ระบุ (Label) 4. ข้อใดให้คำนิยามของ........ ได้ถกู ต้องที่สดุ
- จบั คู่ (Match) 5. ข้อใดระบุขั้นตอน........ ไดถ้ กู ตอ้ ง/ ไมถ่ กู ตอ้ ง
- ทอ่ ง (Recite) 6. ขอ้ ใดกล่าวถงึ ........ ไดถ้ กู ต้อง/ ไมถ่ กู ต้อง

- พดู (Say) 7. จงทอ่ งกลอนเกีย่ วกบั การรกั ษาสงิ่ แวดล้อม
- เลือก (Select) 8. จงระบคุ ณุ ธรรมของนกั วัดประเมินผลทดี่ ีมา 5 ประการ

- เรียงลำดบั (Sort) 9. จงเรียงลำดับขั้นตอนของระบบการย่อยอาหาร
- บอก (Tell) 10. จงจับคู่คำศพั ทใ์ ห้ถกู ต้อง ฯลฯ

จากตารางที่ 10 สามารถเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพุทธิพิสัย ด้านจำ

(Remember) เชน่
1. ผู้เรียนสามารถบอกความหมายของการประเมินผลได้

2. ผู้เรียนสามารถบรรยายเหตกุ ารณ์การเกิดสุริยุปราคาได้อยา่ งถูกต้อง
3. ผู้เรียนสามารถระบุคุณธรรมของนักวัดและประเมินผลที่ดีได้ อย่างน้อยมา 5

ประการ
4. ผู้เรียนสามารถเรียงลำดับข้ันตอนของระบบการยอ่ ยอาหารได้

5. ผู้เรียนสามารถจบั คู่คำศพั ทใ์ ห้ถกู ต้องได้ภายในเวลา 3 นาที

76 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 76

ตารางที่ 11 คำกรยิ าทีบ่ ่งช้กี ารกระทำของพทุ ธิพิสยั ดา้ นเข้าใจ (Understand)
(Anderson, Krathwohl, Airasian, Cruiikshank, Mayer, Pintrich, Raths, & Wittrock, 2001, p. 67)

คำกรยิ าทีบ่ ่งชก้ี ารกระทำ ตวั อย่างขอ้ คำถาม

- หมวดหมู่ (Categorize) 1. ขอ้ ใดอธิบาย........ ไดถ้ กู ต้อง/ ไม่ถกู ต้อง

- ชีแ้ จง (Clarify) 2. ข้อใดสรุปความ........ ไดถ้ กู ต้อง/ ไมถ่ ูกต้อง

- จำแนก (Classify) 3. ข้อใดกล่าวถูกต้อง/ ไมถ่ กู ต้อง เกีย่ วกบั นิยามของ........

- เปรียบเทียบ (Compare) 4. บคุ คลใดตอ่ ไปนสี้ าธิตวิธกี าร........ ไดถ้ กู ต้อง/ ไมถ่ ูกต้อง

- สาธิต (Demonstrate) 5. หลังจาก........ เหตกุ ารณใ์ ดจะเกิดขนึ้ เปน็ ลำดับต่อไป

- แยกความแตกต่าง (Distinguish) 6. ขอ้ ใดแสดงให้เหน็ ถงึ ........

- อธิบาย (Explain) 7. ข้อใดต่อไปนี้ เปรียบเทียบระหวา่ ง.......กบั .......ไดถ้ ูกต้อง

- แสดงให้เหน็ ถึง (Illustrate) 8. จงเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของเซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์

- จดั ระเบียบ (Reorganize) 9. จงแปลความหมายของคำประพนั ธต์ ่อไปนี้

- คาดการณ์ (Predict) 10. จงจำแนกกลุ่มของสัตวม์ ีประดกู สันหลัง

- แปลความหมาย (Translate)

- เขา้ ใจ (Understand)

จากตารางที่ 11 สามารถเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพุทธิพิสัย ด้านเข้าใจ
(Understand) เชน่

1. ผู้เรียนสามารถสรปุ ความจากการอ่านจากการอ่านกลอนดอกสร้อยได้
2. ผู้เรียนสามารถสาธิตวิธกี ารเล่นตะกร้อได้

3. ผู้เรียนสามารถเปรียบเทียบความแตกตา่ งของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ได้
4. ผู้เรียนสามารถแปลความหมายของคำประพนั ธ์ได้

5. ผู้เรียนสามารถจำแนกกลุ่มของสัตว์มีประดกู สันหลงั ได้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 7777

ตารางที่ 12 คำกรยิ าทีบ่ ่งชก้ี ารกระทำของพทุ ธิพิสยั ด้านประยกุ ตใ์ ช้ (Apply)
(Anderson, Krathwohl, Airasian, Cruiikshank, Mayer, Pintrich, Raths, & Wittrock, 2001, p. 67)

คำกรยิ าทีบ่ ง่ ชก้ี ารกระทำ ตัวอยา่ งข้อคำถาม

- ประยุกตใ์ ช้ (Apply) 1. ขอ้ ใดประยกุ ตใ์ ช้........ ได้อย่างถกู ต้อง/ เหมาะสม
- ดำเนนิ การ (Carry out) 2. เครื่องมือชนิดใดต่อไปนี้ ใช้........ ได้ผลดีทส่ี ุด

- สร้าง (Construct) 3. หากจะใช้........ แทน........ ต้องทำอย่างไร
- พฒั นา (Develop) 4. วิธกี ารใดตอ่ ไปนี้ ใช้แทน........ ไดด้ ีทส่ี ดุ

- แสดง (Display) 5. หากพบสถานการณ์........ จะต้องปฏิบตั ิอยา่ งไร
- ปฏิบตั ิ (Execute) 6. เมื่อเจอสถานการณ์........ จะไดแ้ ก้ไขอย่างไร
- แสดง (Illustrate) 7. ถ้าท่านมีอาการเจบ็ คอ ควรใชส้ มุนไพรใดในการรักษา

- แก้ (Solve) 8. จงสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนในรายวชิ า
- ใช้ (Use) วัดและประเมินผลการเรียนรู้

9. จงพัฒนาสือ่ การเรียนการสอนสมยั ใหม่
10. จงดำเนนิ การผสมแมส่ ี ให้มีเขียว สีส้ม สีมว่ ง และสี

น้ำตาล

จากตารางที่ 12 สามารถเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพุทธิพิสัย ด้าน
ประยกุ ต์ใช้ (Apply) เช่น

1. ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือการวัดและประเมินผลการศึกษาได้อย่าง
ถกู ต้อง

2. ผู้เรียนสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้
3. ผู้เรียนสามารถสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนได้

4. ผู้เรียนสามารถพัฒนาสือ่ การเรียนการสอนสมยั ใหม่ได้
5. ผู้เรียนสามารถผสมแมส่ ี ให้มีเขียว สีส้ม สีม่วง และสีน้ำตาลได้อย่างถกู ต้อง

78 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 78

ตารางที่ 13 คำกรยิ าทีบ่ ง่ ช้กี ารกระทำของพทุ ธิพิสยั ดา้ นวิเคราะห์ (Analyze)
(Anderson, Krathwohl, Airasian, Cruiikshank, Mayer, Pintrich, Raths, & Wittrock, 2001, p. 68)

คำกรยิ าที่บง่ ช้กี ารกระทำ ตวั อยา่ งข้อคำถาม

- วเิ คราะห์ (Analyze) 1. ขอ้ ใดสัมพนั ธก์ บั ........ มากที่สดุ
- สันนิษฐาน (Assume) 2. ........ตามขอ้ ใดต่อไปนี้ เปรียบได้กับ........

- จำแนกกลุม่ (Categorize) 3. ข้อใดคอื ต้นตอของปัญหา........
- เปรียบเทียบ (Compare) 4. จดุ ดแี ละจดุ ด้อยของ........

- ความแตกตา่ ง (Contrast) 5. ........กลา่ วได้ถกู ต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
- สรปุ (Conclusion) 6. จงสรปุ การกระทำของตัวละครเรือ่ งพระอภัยมณี
- แยกแยะ (Deconstruct) 7. จงเขยี นชีวประวตั ิของ อลั เบิรต์ ไอนส์ ไตน์

- การแบง่ (Divide) 8. การทดสอบ การวดั การประเมิน และการประเมินผลมี
- ตรวจสอบ (Examine) ความสมั พนั ธ์กนั อย่างไร

- สรปุ (Infer) 9. จงวเิ คราะหต์ วั ละครเรื่อง สี่แผน่ ดิน
- รวบรวม (Integrate) 10. ให้นิสติ รวบรวมวธิ ีการออมเงินของเพ่อื นในชั้นเรียน และ

- สอบสวน (Investigate) จำแนกกลุ่มผลการสำรวจ
- จดั ระเบียบ (Organize)

- ตรวจสอบ (Test for)

จากตารางที่ 13 สามารถเขยี นจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมของพทุ ธิพิสยั ด้านวิเคราะห์
(Analyze) เชน่

1. ผู้เรียนสามารถแยกแยะจดุ ดีและจดุ ด้อยของตนเองได้
2. ผู้เรียนสามารถสรปุ การกระทำของตัวละครเรื่องพระอภัยมณีได้

3. ผู้เรียนสามารถสรุปความสัมพันธ์ของทดสอบ การวัด การประเมิน และการ
ประเมินผลได้

4. ผู้เรียนสามารถวเิ คราะห์ตวั ละครเรื่อง สี่แผ่นดินได้

5. ผู้เรียนสามารถจำแนกกลมุ่ วธิ ีการออมเงินของเพอ่ื นในช้ันเรียนได้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 7799

ตารางที่ 14 คำกรยิ าทีบ่ ่งชก้ี ารกระทำของพุทธิพิสัย ด้านประเมินค่า (Evaluate)
(Anderson, Krathwohl, Airasian, Cruiikshank, Mayer, Pintrich, Raths, & Wittrock, 2001, p. 68)

คำกรยิ าที่บง่ ชก้ี ารกระทำ ตัวอยา่ งขอ้ คำถาม

- เหน็ ด้วย (Agree) 1. จากสถานการณ์ทกี่ ำหนดให้........ ใครถกู ต้องตามเกณฑ์
- ประเมิน (Appraise) ทีก่ ำหนด

- ตรวจสอบ (Check) 2. กรณีพพิ าทเรื่อง........ ผู้ใดควรเปน็ ฝ่ายชนะความ
- โน้มน้าวใจ (Convince) 3. ชนเผ่าละวา้ นิยมเลยี้ งผี นสิ ิตเชือ่ หรือไม่ จงอธิบาย

- วจิ ารณ์ (Criticize) 4. ในสถานการณ์........ นสิ ิตควรทำอยา่ งไร เพราะเหตุใด
- ติชม (Critique) 5. อินเทอรเ์ นต็ มีอิทธพิ ลตอ่ นิสติ อย่างไรบ้าง
- ป้องกนั (Defend) 6. ปจั จยั ใดบ้าง มีผลตอ่ การตดั สินใจเลือกศกึ ษาตอ่

- ตัดสินใจ (Decide) 7. ตัวละคร นางสดี า มีลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร เพราะเหตใุ ด
- เหน็ ความแตกตา่ ง 8. นิสิตเชือ่ หรือไม่ วา่ “ออมกอ่ น รวยกว่า”

(Discriminate) 9. นิสติ มีความคดิ เห็นอยา่ งไร หากอาจารยจ์ ะใช้การจดั การ
- โต้แยง้ (Dispute) เรียนสอนแบบออนไลน์

- ประมาณค่า (Estimate) 10. จากบทความเรื่อง “การล่าวาฬ ของคนญี่ปุ่น” นสิ ิตคดิ
- ประเมินผล (Evaluate) ว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร

- ตัดสิน (Judge)
- จดั ลำดับกอ่ นหลัง (Prioritize)

- พสิ จู น์ (Prove)

จากตารางที่ 14 สามารถเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพุทธิพิสัย ด้านประเมิน
ค่า (Evaluate) เช่น

1. ผู้เรียนสามารถประเมินสถานการณท์ ี่กำหนดให้ได้อยา่ งถกู ต้อง
2. ผู้เรียนสามารถวจิ ารณส์ ถานการณ์ที่กำหนดให้ได้
3. ผู้เรียนสามารถโต้แย้งเรื่องของการจดั การเรียนการสอนออนไลนไ์ ด้

4. ผู้เรียนสามารถติชมตวั ละคร นางสีดาได้
5. ผู้เรียนสามารถประเมินบทความเรื่อง “การล่าวาฬ ของคนญ่ีป่นุ ” ได้

80 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 80

ตารางที่ 15 คำกรยิ าที่บง่ ช้กี ารกระทำของพทุ ธิพิสยั ด้านสรา้ งสรรค์ (Create)
(Anderson, Krathwohl, Airasian, Cruiikshank, Mayer, Pintrich, Raths, & Wittrock, 2001, p. 68)

คำกรยิ าที่บง่ ช้กี ารกระทำ ตวั อยา่ งขอ้ คำถาม

- ปรบั (Adapt) 1. จงออกแบบผลติ ภัณฑร์ องเท้าของนกั กรีฑาแบบใหม่ ที่มี
- สร้าง (Construct) ประสิทธภิ าพชว่ ยให้วิ่งเร็วขนึ้

- สร้างสรรค์ (Create) 2. จากวตั ถดุ ิบของคาวทก่ี ำหนดให้ จงออกแบบให้เปน็
- ออกแบบ (Design) อาหารหวานทีน่ ่ารับประทาน

- พฒั นา (Develop) 3. จงประดิษฐ์หนุ่ ยนตเ์ กบ็ ขยะ
- กำหนด (Formulate) 4. ให้ออกแบบแผนการจดั การเรียนรู้ใหส้ อดคล้องกบั ยคุ
- สมมติฐาน (Hypothesize) แหง่ เทคโนโลยดี ิจิทลั

- จินตนาการ (Imagine) 5. จงปรับปรงุ ชื่อเมนูอาหารให้มีความหลากหลาย แตกต่าง
- ปรบั ปรุง (Improve) และนา่ สนใจ

- คดิ คน้ (Invent) 6. จงออกแบบ Infographic เกี่ยวกบั รายงานทนี่ ิสิตจะ
- ปรบั เปลีย่ น (Modify) นำเสนอ

- วางแผน (Plan) 7. จากปญั หาทกี่ ำหนดให้ คดิ คน้ วธิ ีการแก้ปัญหาทีม่ ี
- การผลิต (Produce) ประสิทธผิ ลมากที่สดุ

- ประดิษฐ์ (Originate) 8. จงออกแบบชุดทำงาน จากวสั ดุรีไซเคลิ
- ปรบั แตง่ (Refine) 9. จากปญั หาทไี่ ด้เกิดขนึ้ ในช้ันเรียน ให้นสิ ิตคดิ คน้ นวตั กรรม

- ดดั แปลง (Transform) ใหม่ ๆ ในการแก้ปญั หา
- พสิ จู น์ (Prove) 10. จากปญั หาที่เกิดขนึ้ ในชั้นเรียน ให้นสิ ิตตั้งสมมติฐาน

- แก้ปัญหา (Solve) การวจิ ัย
- ทดสอบ (Test)

จากตารางที่ 15 สามารถเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพุทธิพิสัย ด้าน
สร้างสรรค์ (Create) เชน่

1. ผู้เรียนสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์รองเท้าของนักกรีฑาแบบใหม่ได้
2. ผู้เรียนสามารถสร้างสรรคว์ ัตถดุ ิบของคาวท่กี ำหนดให้ เปน็ อาหารหวานได้

3. ผู้เรียนสามารถประดิษฐห์ ่นุ ยนตเ์ กบ็ ขยะได้
4. ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหา จากสถานการณ์ที่กำหนดให้ได้

5. ผู้เรียนสามารถคดิ คน้ นวัตกรรมใหม่ ๆ เพ่อื การแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 8811

บทสรุป
การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา จำเป็นต้องวัดให้ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน

ประกอบด้วย ด้านพุทธพิ สิ ยั จิตพสิ ัย และทักษะพสิ ยั ด้วยความถกู ต้องครอบคลมุ และชัดเจน
โดยการวัดด้านพุทธิพิสัยนั้น เป็นการวัดพฤติกรรมที่เกี่ยวกับสมรรถภาพทางด้านสมองหรือ
สติปัญญา ที่อยู่ภายในของบุคคลในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ว่งึ แบง่ ออกเปน็ 2 มิติ คือ มิติที่ 1 คือ
มิติด้านความรู้ แบ่งออกเป็น 4 ลักษณะย่อย ประกอบด้วย 1) ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง
2) ความรู้ทีเ่ ป็นมโนทัศน์ 3) ความรู้ที่เปน็ กระบวนการข้ันตอน และ 4) ความรู้ด้านอภิปญั ญา
ส่วนมิติที่ 2 คือ มิติกระบวนการทางปัญญา แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ประกอบด้วย 1) จำ 2)
เข้าใจ 3) ประยุกต์ใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า และ 6) สร้างสรรค์ ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของ
การเปลี่ยนแปลงระดับพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยก็คือ การเปลี่ยนจากคำนามเป็นคำกริยา
เพ่อื ให้สามารถวดั ออกมาเปน็ พฤติกรรมได้ชัดเจนมากข้นึ และมีการสลับระดับของพฤติกรรม
ด้านพุทธิพิสัย 2 อันดับบนสูงสุด นอกจากนี้มีการปรับเปลี่ยนคำ ได้แก่ ความรู้ (Knowledge)
เปลี่ยนเป็น จำ (Remember), ความเข้าใจ (Comprehension) เปลี่ยนเป็น เข้าใจ (Understand),
และการสังเคราะห์ (Synthesis) เปลี่ยนเป็น สร้างสรรค์ (Create)

ด้วยเหตุนี้ ในการจัดการเรียนการสอนจะต้องระบุพฤติกรรมที่คาดหวังจะให้เกิด
ข้นึ กับผู้เรียนไวล้ ว่ งหน้า ว่าจะให้ผู้เรียนมคี วามสามารถอย่างไรบ้าง เปลี่ยนไปในทิศทางใด โดย
ต้องกำหนดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมให้ชดั เจน เปน็ รปู ธรรม สามารถวดั ได้ และประเมินผลได้
ง่าย ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ เงื่อนไข พฤติกรรมที่คาดหวัง และเกณฑ์
นอกจากนีก้ ารกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมควรกำหนดให้หลากหลายตามเนือ้ หาการเรียน
การสอน และจำแนกตามระดบั มิติกระบวนการทางปญั ญา ท้ัง 6 ระดับ

แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
1. พฤติกรรมทางการศึกษาแบ่งออกเป็นกีด่ ้าน จงอธิบาย
2. พฤติกรรมด้านพทุ ธพิ สิ ยั หมายถึงอะไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอยา่ งให้เข้าใจ
3. จากจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดให้ข้อ 3.1-3.5 ให้นิสิตพิจารณาว่าจง

พจิ ารณาวา่ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมที่กำหนด อยู่ในมิติและระดบั การวัดพทุ ธพิ สิ ัยใด แล้วทำ
การใส่เครือ่ งหมายกากบาท () ลงในช่องให้ถูกต้อง

82 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 82

3.1 นิสิตบอกนิยามของการวัด (Measurement) ได้อย่างถูกต้อง

มิติด้านความรู้ มิติกระบวนการทางปญั ญา สร้างสรรค์
จำ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมินค่า สร้างสรรค์
สร้างสรรค์
ความรู้ที่เป็นข้อเทจ็ จริง

ความรู้ที่เป็นมโนทัศน์

ความรู้ที่เป็นกระบวนการข้ันตอน

ความรู้ด้านอภิปัญญา

3.2 นิสิตอธิบายกระบวนการเกิดสุริยปุ ราคาได้

มิติด้านความรู้ มิติกระบวนการทางปญั ญา
จำ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมินคา่

ความรู้ทีเ่ ปน็ ข้อเทจ็ จริง

ความรู้ที่เปน็ มโนทัศน์

ความรู้ทีเ่ ปน็ กระบวนการข้ันตอน

ความรู้ด้านอภิปญั ญา

3.3 นิสิตแก้อสมการได้อยา่ งถกู ต้อง

มิติด้านความรู้ จำ เข้าใจ มิติกระบวนการทางปญั ญา
ประยุกตใ์ ช้ วิเคราะห์ ประเมินคา่

ความรู้ที่เปน็ ข้อเทจ็ จริง

ความรู้ทีเ่ ปน็ มโนทศั น์

ความรู้ทีเ่ ป็นกระบวนการขั้นตอน

ความรู้ด้านอภิปัญญา

3.4 นสิ ิตคดิ คน้ นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาได้

มิติด้านความรู้ มิติกระบวนการทางปญั ญา สร้างสรรค์
จำ เข้าใจ ประยกุ ต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมินคา่ สร้างสรรค์

ความรู้ทีเ่ ป็นข้อเทจ็ จริง

ความรู้ที่เป็นมโนทศั น์

ความรู้ที่เป็นกระบวนการข้ันตอน

ความรู้ด้านอภิปัญญา

3.5 นิสิตสามารถประเมินบทความเรือ่ ง “การลา่ วาฬ ของคนญ่ปี ุ่น” ได้

มิติด้านความรู้ มิติกระบวนการทางปญั ญา
จำ เข้าใจ ประยุกตใ์ ช้ วิเคราะห์ ประเมินค่า

ความรู้ที่เปน็ ข้อเทจ็ จริง

ความรู้ที่เป็นมโนทศั น์

ความรู้ทีเ่ ปน็ กระบวนการข้ันตอน

ความรู้ด้านอภิปัญญา

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 8833

4. จดุ มงุ่ หมายทางการศึกษามีความสำคัญอยา่ งไร แบง่ ออกเป็นกี่ระดบั จงอธิบาย
5. จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมหมายถึงอะไร มีกี่องคป์ ระกอบ จงอธิบาย
6. จงพิจารณาว่าข้อความที่กำหนดให้ ข้อใดเขียนคือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไว้
ถูกต้อง โดยถ้า “ถูก” ให้ใส่เครื่อง  แต่ถ้า “ผิด” ให้ใส่เครื่อง  ลงในช่องว่างที่กำหนด
รวมท้ังให้ทำสัญลักษณ์ขอ้ ความดงั ต่อไปนี้

- ให้ขีดเส้นใต้ หนึง่ เส้น ในสว่ นที่เป็น เงือ่ นไข
- ให้ขีดเส้นใต้ สองเส้น ในสว่ นทีเ่ ป็น พฤติกรรม
- ให้วงกลม ในสว่ นที่เป็น เกณฑ์

_________6.1 นักเรียนสามารถร้องเพลงไทยที่กำหนดให้ได้ถูกต้องตามทำนอง
และจงั หวะ

_________6.2 นักเรียนสามารถเลียนแบบทา่ เต้นตามตัวอย่างใน YouTube ได้
_________6.3 เมื่อครูอ่านกลอนสี่สุภาพแล้ว นักเรียนเกิดจินตนาการในการคิด

เรื่องราวตา่ ง ๆ ตามกลอนทีค่ รูอา่ นให้ฟงั
_________6.4 เมื่อเรียนเนื้อหาบทที่ 1 จบแล้ว นักเรียนสามารถตอบคำถามได้

ถกู ต้องทุกขอ้
_________6.5 นกั เรียนทกุ คนมีความตระหนักถึงคณุ ค่าชีวิตของตนเอง เมือ่ ครูได้

เลา่ ประสบการณต์ ่าง ๆ ให้ฟัง
_________6.6 เมื่อครูส้มหยุดได้สาธิตการเล่นกีฬาเทนนิสให้ดูแล้ว นักเรียนมี

ความเขา้ ใจอยา่ งน้อยร้อยละ 80
_________6.7 นักเรียนสามารถออกเสียงคำศัพทไ์ ด้ถกู ต้อง 18 คำ จาก 20 คำ
_________6.8 หลังจากที่เรียนชนิดของคำจบไปแล้ว นักเรียนสามารถจำแนก

ชนิดของคำทีค่ รูกำหนดให้ได้ถกู ต้องทกุ ขอ้

7. ให้นิสิตเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ในเนื้อหาการ
สอนที่นิสิตสนใจ โดยจำแนกตามมิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Process Dimension)
ท้ัง 6 ระดับ มาอยา่ งน้อยระดับละ 2 ขอ้

8. จากข้อ 7 ให้นิสิตปรับเปลี่ยนจากการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมครบทั้ง 3
องค์ประกอบ ให้เปน็ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมในลกั ษณะสรุปได้หรือลกั ษณะกลาง ๆ

84 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 84

เอกสารอา้ งอิง
พชิ ิต ฤทธจิ์ รูญ. (2552). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา (พมิ พ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ :

เฮ้าส์ ออฟ เคอรม์ ีสท์.
พศิ ิษฐ ตณั ฑวณิช. (2558). แนวคิดการจำแนกพฤตกิ รรมการเรียนรู้ตามวัตถปุ ระสงคก์ ารจดั

การศกึ ษา ด้านพุทธพิ สิ ัยตามแนวคดิ ของบลมู และคณะ ฉบับปรบั ปรุง. วารสาร
มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง, 3(2), 13-25.
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2551). เทคนิคการวดั ผลการเรียนรู้ (พมิ พ์ครั้งที่ 2).
กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยาสาสน์ .
สมนึก ภัททิยธนี. (2562). การวดั ผลการศึกษา (พมิ พ์คร้ังที่ 12). กาฬสินธุ:์ ประสานการพมิ พ์.
สำนักทดสอบทางการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน และคณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. (2563). รายงานการวจิ ัย โครงการวจิ ัยและ
พัฒนาการประเมินเพอ่ื การเรียนรู้ของนกั เรียนและการสอนของครู ระดบั การศกึ ษา
ขนั้ พ้นื ฐาน. กรงุ เทพฯ: สำนกั ทดสอบทางการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน.
อนวุ ัตร คณู แก้ว. (2562). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษาแนวใหม่ (พมิ พ์ครง้ั ที่ 3).
กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
Amer, A. A. (2006). Reflections on Bloom's Revised Taxonomy. College of Education,
Sultan Qaboos University, Muscat.
Anderson, L.W., Krathwohl, D. R., Airasian, P. W., Cruikshank, K. A., Mayer, R. E., Pintrich,
P. R., Raths, J., and Wittrock, M. C. (2001). A Taxonomy for Learning Teaching,
and Assessing (Abridged Edition). New York: Longman.
Haring, P., Warmelink, H., Valente, M., and Roth, C. (2018). Using the Revised Bloom
Taxonomy to Analyze Psychotherapeutic Games. International Journal of
Computer Games Technology, 2018(1), 1-9.
Pintrich, P. l. (2002). “The Role of Metacognition Knowledge in Learning, Teaching and
Assessing.” Theory into Practice, 41(4), 219–225.
Rahayu, A. (2018). The Analysis of Students’ Cognitive Ability Based on Assesments of the
Revised Bloom’s Taxonomy on Statistic Materials. European Journal of
Multidisciplinary Studies, 3(2), 80-85.

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 8855

แผนการสอนประจำบทท่ี 4

การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
เมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แล้ว นิสิตมีความสามารถ ดงั นี้

1. อธิบายความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนได้
2. วเิ คราะหล์ ักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแต่ละประเภทได้

3. สร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนได้

เนือ้ หาสาระ
1. ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3. หลักในการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
4. การวเิ คราะหห์ ลกั สตู รเพอ่ื เขยี นข้อสอบ

วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน
1. ผู้สอนชีแ้ จงจุดประสงคก์ ารเรียนเนือ้ หาบทที่ 4
2. ผู้สอนบรรยายเนอื้ หาบทที่ 4 และยกตัวอยา่ งประกอบตามเวลาทีก่ ำหนด
3. ให้นิสิตแบ่งกลุ่ม จำนวน 4 กลุ่ม และจับฉลากเพื่อเลือกหัวข้อการสร้าง

แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน (1.ถกู ผิด 2.เติมคำ 3.จับคู่ และ 4.ตอบส้ัน ๆ) โดยนำ
เนื้อหาบทที่ 1-3 มาออกแบบข้อคำถามจำนวน 10 ข้อ และให้นิสิตต่างกลุ่มทดลองทำข้อ
คำถามที่กลุม่ ตนเองได้สร้างข้นึ มา

4. ผู้สอนและนิสิตร่วมกันอภิปรายและตอบข้อซักถาม
5. สมุ่ ตัวแทนนิสิตประมาณ 5 คน เพอ่ื สรปุ องคค์ วามรู้เกีย่ วกับการสร้างแบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน และผู้สอนทำการสรุปในประเด็นเพม่ิ เติม
6. ให้นิสิตแบ่งกลุ่ม ๆ 4-5 คน และนำเนื้อหาในรายวิชาการวดั และประเมินผลการ
เรียนรู้ บทที่ 1-4 มาสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ได้แก่

1) แบบทดสอบแบบอตั นยั หรือความเรียง บทละ 2 ขอ้

86 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 86

2) แบบทดสอบแบบกาถกู – ผิด บทละ 5 ขอ้
3) แบบทดสอบแบบเติมคำ บทละ 5 ขอ้
4) แบบทดสอบแบบตอบสั้น ๆ บทละ 5 ขอ้
5) แบบทดสอบแบบจบั คู่ บทละ 5 ขอ้
6) แบบทดสอบแบบเลือกตอบ จำนวน 30 ขอ้ ตามขน้ั ตอนการวเิ คราะห์หลักสตู ร
เพ่อื เขยี นข้อสอบ ทั้ง 6 ข้ันตอน
7) นำแบบทดสอบข้อ 3.1 ถึง 3.6 มาออกแบบลงในเล่มรายงานการสร้าง
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน และส่งตามระยะเวลาที่กำหนด
7. นิสิตทำแบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 4 และส่งตามระยะเวลาทีก่ ำหนด
8. ครูผู้สอนมอบหมายให้นิสิตทุกคน ศึกษาเนื้อหาบทที่ 5 ล่วงหน้า พร้อมทั้งสรุป
ความรู้ลงในแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping)

สอ่ื การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน 161311 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
2. สื่อการสอนในรปู แบบโปรแกรม PowerPoint ประจำบทที่ 4
3. แบบฝึกหัดท้ายบท

การวัดผลและประเมินผล
1. การรว่ มอภิปรายและตอบคำถามในช้ันเรียน
2. การตอบคำถามจากแบบฝึกหดั ท้ายบท
3. การมีสว่ นรว่ มในช้ันเรียน
4. ความสนใจและความรับผิดชอบตอ่ การเรียน

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 8877

บทท่ี 4

การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย
หรือการวดั ระดับสติปัญญาของผู้เรียน ได้แก่ ด้านจำ เขา้ ใจ ประยกุ ตใ์ ช้ วเิ คราะห์ ประเมินค่า
และสร้างสรรค์ โดยเครื่องมือวัดผลด้านพุทธิพิสัยที่นิยมใช้ก็คือ แบบทดสอบ ซึ่งถือว่าเป็น
เครื่องมือที่สำคัญในการวัดว่าผู้เรียนเมื่อได้รับการเรียนการสอนไปแล้วนั้น มีความรู้
ความสามารถมากน้อยเพยี งใด แต่การที่จะสร้างแบบทดสอบให้มีคณุ ภาพนั้น จำเป็นจะต้องมี
ความรู้เกีย่ วกับเกี่ยวกบั ลักษณะของแบบทดสอบ การวางแผนการสร้างแบบทดสอบ หลักใน
การสร้างแบบทดสอบ และการเลือกชนิดของแบบทดสอบให้เหมาะสมและถกู ต้อง

ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ (2551, น. 85) กลา่ ววา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียน คือ ชุดของข้อคำถามหรือข้อปัญหาที่ออกแบบสร้างขึ้นอย่างมีระบบและ
กระบวนการเพอ่ื คน้ หาตัวอย่างของพฤติกรรมของผู้ท่สี อบภายใต้เงื่อนไขเฉพาะอยา่ ง

ชวาล แพรัตกุล (2552, หน้า 73) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
คอื ชดุ ของขอ้ คำถาม หรืองานใด ๆ ทีส่ ร้างข้นึ เพอ่ื จะชักนำให้ผู้ถกู สอบแสดงพฤติกรรมอย่าง
ใดอย่างหนึง่ ออกมาให้ผู้สอบสังเกตได้ และวัดได้

พชิ ิต ฤทธิจ์ รูญ (2552, น. 61) กล่าวว่า แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน คือ
ชดุ ของคำถามหรือกลมุ่ งานใด ๆ ทีส่ ร้างข้นึ เพ่อื จะชักนำให้ผู้ถกู ทดสอบแสดงพฤติกรรมอย่าง
ใดอยา่ งหนึ่งออกมา ให้ผู้สอบสงั เกตได้และวดั ได้

เยาวดี รางชัยกลุ วิบูลย์ศรี (2554, น. 28) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรียน คอื แบบทดสอบวัดความรู้เชิงวิชาการ มกั ใช้ในการวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เน้น
การวัดความรู้ความสามารถจากการเรียนรู้ในอดีต หรือในสภาพปัจจบุ นั ของแต่ละบุคคล

อนุวตั ร คูณแก้ว (2562, น. 62) กล่าววา่ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน คอื
เครื่องมือทีใ่ ช้ในการวดั ทางด้านความรู้ความสามารถ และทกั ษะต่าง ๆ ของนักเรียนที่ได้เรียนรู้
หรือได้รับการสอนและการฝึกฝนมาแล้ว วา่ ผู้เรียนมคี วามรอบรู้มากน้อยเพียงใด

88 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 88

กล่าวโดยสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ชุดของข้อ
คำถามใด ๆ ที่สร้างขึ้นมา เพื่อเร้าให้ผู้เรียนตอบสนอง และแสดงพฤติกรรมที่เป็นความรู้
ความสามารถทางสติปญั ญาออกมา

ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีอยู่หลายลักษณะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่

กับหลักเกณฑ์ที่ยึดในการพิจารณาจำแนก แบบทดสอบชนิดเดียวกันอาจอยู่ได้หลากหลาย
ประเภท ซึง่ ก็ข้นึ อย่กู บั เกณฑ์ในการพจิ ารณา (ศิริชยั กาญจนวาสี, 2548, น. 163-164; พิชิต
ฤทธิจ์ รญู , 2552, น. 60-64; อนวุ ัตร คูณแก้ว, 2562, น. 63-64) สามารถแสดงรายละเอียด
ดังนี้

1. จำแนกตามพฤติกรรมที่จะวดั แบ่งเปน็ 3 ประเภทยอ่ ย ได้แก่
1.1 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ (Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่

วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้วว่ามีอยู่เท่าใด
แบบทดสอบประเภทนีแ้ บง่ ออกเปน็ 2 ชนิด คอื

1) แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น (Teacher Made Test) หมายถึง แบบทดสอบที่
ครูผู้สอนสร้างขึ้นมุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มทีค่ รูสอนว่ามีความรู้ความสามารถ
มากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นแบบทดสอบทีม่ ีใช้ท่ัว ๆ ไปในโรงเรียน จะไม่นำไปใช้กบั นักเรียนกลมุ่
อื่น

2) แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่ง
วดั ผลสมั ฤทธิ์เชน่ เดียวกบั แบบทดสอบที่ครูสร้างข้นึ แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพ
ตา่ ง ๆ ของนกั เรียนที่ต่างกลมุ่ กนั เชน่ เปรียบเทียบคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งกับ
นักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ทั่วประเทศ (แบบทดสอบมาตรฐานระดับชาติ) หรือกับนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ
ทัว่ จังหวดั (แบบทดสอบมาตรฐานระดบั จังหวดั ) เปน็ ต้น

ขอ้ คำถามของแบบทดสอบมาตรฐาน จะมีลักษณะเช่นเดียวกบั แบบทดสอบที่ครู
สร้าง แต่ที่ตา่ งกนั คอื การสรา้ งแบบทดสอบมาตรฐานตอ้ งทำการทดสอบหลายครั้งจนกว่าจะได้
คุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด และที่ต่างกันอย่างเด่นชัดคือมีเกณฑ์ปกติ (Norms) ในรูปของ
คะแนน T ปกติ (Normalized T-Score) สำหรับเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบ และเพื่อแปล
ความหมายคะแนนของนักเรียนแต่ละคน อีกทั้งยังสามารถใช้ได้กว้างขวางกว่าแบบทดสอบที่
ครูสร้างข้นึ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 8899

1.2 แบบทดสอบวดั ความถนดั (Aptitude Test) หมายถึง แบบทดสอบทีม่ งุ่ วัด
สมรรถภาพของผู้ท่จี ะเข้าไปเรียนวา่ สามารถเรียนได้หรือไม่ หรือประสบความสำเรจ็ หรือไม่ ซึ่ง
เป็นการพยากรณ์หรือทำนายอนาคตของผู้ท่ีจะเขา้ ไปเรียนโดยอาศัยข้อเท็จจริงในปัจจุบันเป็น

พื้นฐาน จะเห็นว่าเป็นการทดสอบก่อนเข้าไปเรียน (ต่างกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่เรียน
กอ่ นแล้วจึงทดสอบทีหลัง) แบบทดสอบความถนดั แบง่ เป็น 2 ชนิดคือ

1) แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน (Scholastic Aptitude Test) หรือ
แบบทดสอบวัดความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดความ
ถนัดทางด้านวชิ าการตา่ ง ๆ เช่น ด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ เป็นต้น แบบทดสอบนี้ใช้วัดเพ่ือ

พยากรณว์ ่าผู้ท่จี ะเข้าไปเรียนมีความสามารถด้านวชิ าการท่ัว ๆ ไปมากน้อยเพียงใด หรือน่าจะ
เรียนได้หรือไม่

2) แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะ (Specific Aptitude Test) หมายถึง
แบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนัดเฉพาะทางหรือความสามารถพิเศษ เช่น ความสามารถทาง

ดนตรี ศิลปะ เครือ่ งยนต์ การประดิษฐ์ เป็นต้น
ส่วนแบบทดสอบวัดเชาวนป์ ัญญา (Intelligence Test) หมายถึง แบบทดสอบ

วดั แนวโน้มในการใช้ความสามารถที่จะเขา้ ใจสิง่ ใดสิง่ หนึง่ ตามลักษณะของสิ่งน้ัน แล้วสามารถ
นำเอาความรู้ความเข้าใจของตนเองไปดดั แปลงแก้ไข สร้างสรรคใ์ นการแก้ปญั หาให้บรรลุตาม

เป้าประสงค์ได้มากน้อยเพียงใด การวัดเชาวป์ ัญญาที่นิยมใช้และรู้จักกันทั่วไป ได้แก่ การวดั
เกณฑภ์ าคเชาว์ หรือ IQ

ดังนั้น แบบทดสอบวดั ความถนดั จึงแตกต่างกบั แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญา
เพราะแบบทดสอบแบบเชาวน์ปัญญาเป็นการวัดเพื่อพิจารณา พฤติกรรมโดยส่วนรวมว่า

อตั ราส่วนที่เกี่ยวกับสมองมีความสามารถมากนอ้ ยเพียงใด ไมไ่ ด้แจกแจงว่าถนดั ดา้ นใดอย่างไร
แต่กล่าวได้วา่ แบบทดสอบวัดความถนดั พัฒนามาจากแบบทดสอบวัดเชาวน์ปญั ญา

1.3 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพและทางสังคม (Personal and Social Test)
หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วดั บุคลิกภาพ (Personality) และการปรบั ตัว (Adjustment) ให้เข้ากับ

สังคม ซึ่งเป็นเรือ่ งที่วดั ได้ยาก ผลทีไ่ ด้ไม่คงที่แน่นอน เนือ่ งจากความเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล
และสังคม และมักจะเรียกแบบทดสอบชนิดนี้ว่า แบบวัด (Scale) เพราะเป็นสมรรถภาพที่

เกี่ยวพันระหว่างด้านพุทธพิ สิ ัย (Cognitive Domain) กบั ด้านจิตพสิ ัย (Affective Domain) และมี
ขอ้ สงั เกตวา่ แบบทดสอบมีลกั ษณะแตกต่างจาก แบบสอบถาม และแบบวัด กล่าวคือ

- แบบทดสอบ (Test) ใช้วัดด้านพุทธิพิสัยโดยตรง มีการกำหนดเวลาใน

การสอบชัดเจน และตอบถูกจะได้คะแนน สว่ นตอบผิดจะไม่ได้คะแนน

90 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 90

- แบบสอบถาม (Questionnaire) ใช้วัดเกี่ยวกับความคิดเห็น (Opinion) หรือ
ความรู้สึก (Sense) ไม่มีการกำหนดเวลาในการตอบ ผลการตอบจะได้คะแนนแน่นอน (ไม่มี
การตอบผิด) แต่คะแนนจะแตกต่างกนั ตามระดับที่กำหนดให้ เช่น คะแนน 5 ระดับ เป็น 1 2 3
4 หรือ 5 คะแนน เป็นต้น

- แบบวดั (Scale) ใช้วดั เกีย่ วกบั คุณลักษณะบางอย่างที่มีความชอบพอปนอยู่
ด้วย จึงมีความลึกซึ้งกว่าแบบสอบถามและไม่มีการกำหนดเวลาในการตอบเช่นกัน และผล
การตอบแตล่ ะขอ้ จะได้คะแนนแน่นอนเช่นเดียวกบั การให้คะแนนของแบบสอบถาม

ตัวอยา่ งของแบบวัดชนิดนี้ ได้แก่
1) แบบวดั เจตคติ (Attitude) ทีม่ ีต่อบุคคล, สิง่ ของ, เรื่องราว, เหตุการณ์ต่าง ๆ
2) แบบวดั ความสนใจ (Interest) ที่มีตอ่ อาชีพ, งานอดิเรก, กีฬา เปน็ ต้น
3) แบบวัดการปรับตัว (Adjustment) เช่น การปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ,
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ เป็นต้น
2. จำแนกตามลกั ษณะการตอบ แบ่งเป็น 2 ประเภทยอ่ ย ได้แก่
2.1 แบบทดสอบข้อเขียน (Paper Pencil Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้
การเขียนตอบ สามารถตั้งคำถามให้เขียนตอบจำนวนมาก ๆ หรือลึกซึ้งเพียงใดก็ได้ ผู้ตอบมี
โอกาสเรียบเรียงเนอื้ หาและใช้ความสามารถทางสมองได้เตม็ ท่ี นิยมใช้กบั ผู้สอบทีม่ ีจำนวนมาก
ๆ และค่อนขา้ งยุติธรรมในการให้คะแนน

หมายเหตุ แบบทดสอบออนไลน์ (Online Test หรือ e-Testing) ก็จัดอยใู่ นประเภทนี้

2.2 แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้การพูด
โต้ตอบแทนการเขยี น เหมาะทีจ่ ะใช้กับผู้ท่อี า่ นไมอ่ อกเขียนไมไ่ ด้ หรือเมือ่ ต้องการให้ตอบอย่าง
ฉบั ไว ลกั ษณะเชน่ นีค้ วรให้ตอบสั้น ๆ และมีจำนวนข้อสอบน้อย เพราะจะเสียเวลามากและต้อง
อาศัยการเรียบเรียงเนอื้ หา ทั้งนี้นิยมใช้กบั ผู้สอบมีจำนวนน้อย ๆ และต้องระวงั ความเป็นธรรม
ในการให้คะแนน

2.3 แบบทดสอบภาคปฏิบัติ (performance test) หมายถึง แบบทดสอบท่ใี ห้
ผู้สอบแสดงพฤติกรรมออกมาโดยให้ปฏิบัติจริง เช่น การอ่านทำนองเสนาะ, การเล่นดนตรี,
การฝีมือ เปน็ ต้น

3. จำแนกตามเวลาทีก่ ำหนดใหต้ อบ แบง่ เปน็ 2 ประเภทยอ่ ย ได้แก่
3.1 แบบทดสอบจำกัดเวลาในการตอบ (Speed Test) หมายถึง แบบทดสอบ

ที่ใช้เวลาตอบน้อย แตม่ ีจำนวนข้อสอบมากและค่อนข้างง่าย ลกั ษณะเช่นนตี้ ้องการจะทดสอบ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 9911

ว่าในเวลาจำกัด ใครจะมีความคล่องแคล่วรวดเร็วในการทำข้อสอบได้ถูกต้องมากกว่า
การทดสอบในโรงเรียนส่วนใหญจ่ ะทำในลกั ษณะนี้

3.2 แบบทดสอบไม่จำกัดเวลาในการตอบ ( Power Test) หมายถึง
แบบทดสอบที่ใช้เวลาตอบมาก แตม่ ีจำนวนข้อสอบน้อย ซึ่งยงั คงให้ความยตุ ิธรรมกบั ผู้เข้าสอบ
ทุกคน ลักษณะเช่นนี้ต้องการให้นกั เรียนได้แสดงศกั ยภาพของตนเองอย่างเต็มความสามารถ

มกั จะเปน็ ขอ้ สอบที่ต้องแสดงความคดิ เห็น หรือวดั ความสามารถด้านการวเิ คราะห์และประเมิน
คา่ การทดสอบในลกั ษณะนยี้ ังคงกำหนดเวลาในการสอบเทา่ กนั ทุกคน แตก่ ารให้ไปตอบทบ่ี ้าน
หรือนอกห้องสอบหรือไม่มีการกำหนดเวลาในการสอบ ไม่เรียกว่าการทดสอบ เพราะผิด

หลักการทดสอบจึงมีคา่ เท่ากับการให้ไปทำรายงานมาสง่ ครู
4. จำแนกตามส่งิ เรา้ ของการถาม แบง่ เป็น 2 ประเภทยอ่ ย ได้แก่
4.1 แบบทดสอบทางภาษา (Verbal Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ต้องอาศัย

ภาษาของสงั คมนั้น ๆ เป็นหลกั ใช้กบั ผู้ท่อี ่านออกเขยี นได้ แบบทดสอบประเภทนยี้ ่อมมีระเบียบ
วัฒนธรรมของสังคมซึ่งแตกต่างกันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น นักเรียนไทยย่อมทำข้อสอบ

ภาษาองั กฤษได้ไม่ดีเท่ากบั นกั เรียนอังกฤษ หรือนกั เรียนองั กฤษยอ่ มทำขอ้ สอบภาษาไทยไม่ได้
แม้ข้อสอบจะง่ายเพียงใดก็ตาม ภายในสังคมเดียวกันยังมีความแตกต่างในเรื่องระเบียบ

วัฒนธรรมของสังคมท้องถิน่ และมีผลต่อเนื้อหาสาระของข้อสอบเสมอ เช่น ตั้งคำถามว่าชาว
ชนบทใช้อะไรมงุ หลงั คา (ตัวเลือกคอื ใบหญ้าคา-ใบตองตึง-ใบสกั -ใบจาก) หากถามนักเรียน

ในภาคอีสาน คำตอบถกู คอื ใบหญ้าคา ส่วนนักเรียนในภาคเหนือหรือในภาคใต้จะเฉลยคำตอบ
ถูกเป็นใบหญ้าคา ย่อมไม่ได้เพราะในภาคเหนือนิยมใช้ใบตองตึง หรือในภาคใต้นิยมใช้ในจาก
(ใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่น) ดังนั้นการเขียนข้อสอบต้องคำนึงถึงความแตกต่างของระเบียบ

วฒั นธรรมของสังคมท้องถิ่นด้วย
4.2 แบบทดสอบทีไ่ ม่ใช้ภาษา (Non Verbal Test) หมายถึง แบบทดสอบท่ใี ช้

รูปภาพ สัญลักษณ์ หรือตัวเลขมาแทนภาษา ลักษณะของแบบทดสอบประเภทนี้ใช้ทั้งผู้ที่อา่ น

ออกเขยี นได้และผู้ท่อี ่านไมอ่ อกเขยี นไม่ได้ สามารถนำไปทดสอบกบั นักเรียนทกุ ชาติทุกภาษาได้
โดยไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน จึงเรียกได้ว่ามีความยุติธรรมทาง
วฒั นธรรม (Culture Fair) เชน่ ขอ้ สอบวัดความถนดั ชนิดทีใ่ ช้สัญลกั ษณห์ รือรูปภาพ

5. จำแนกตามการใช้ประโยชน์ แบ่งเปน็ 2 ประเภทย่อย ได้แก่
5.1 แบบทดสอบย่อย (Formative Test) หมายถึง แบบทดสอบประจำบทหรือ

หน่วยการเรียน ลักษณะของข้อสอบจะสอดคล้องกับจุดหมายประจำบทหรือหนว่ ยการเรียน

ท้ังนีเ้ พอ่ื ดคู วามก้าวหน้าและปรับปรงุ การเรียนการสอน จะช่วยให้ครูได้วิเคราะหห์ าสาเหตุของ

92 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 92

ความบกพร่องและซ่อมเสริมแก้ไขได้ตรงจุด แบบทดสอบลกั ษณะนี้จะใช้ทดสอบระหว่างภาค
เรียน

5.2 แบบทดสอบรวม (Summative Test) หมายถึง แบบทดสอบสรุปรวม
เนื้อหาที่เรียนผ่านมาทุกบททุกตอนตลอดภาคเรียน จึงมักจะทดสอบปลายภาคหรือปลายปี
และมีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดสินผลการเรียน ลักษณะของข้อสอบควรถามผลสรุปรวมหรือ
ความคดิ รวบยอด (Concept) ในเนือ้ หาสาระที่เรียนมาแล้ว

6. จำแนกตามรูปแบบของข้อสอบ แบง่ เปน็ 2 ประเภทย่อย ได้แก่
6.1 แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มีเฉพาะ

คำถาม นักเรียนต้องคิดหาคำตอบเอง โดยการเขียนอย่างเสรี ลักษณะของคำตอบจะไม่คงที่
แน่นอน แบบทดสอบชนิดนีย้ งั รวมไปถึงแบบตอบสั้น ๆ และแบบเติมคำ

6.2 แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มีท้ังคำถาม
และคำตอบเฉพาะคงทีแ่ น่นอน นกั เรียนเลือกหาคำตอบทีค่ ิดว่าถกู โดยการทำเครือ่ งหมายอย่าง
ใดอย่างหนึง่ ตามที่กำหนด ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบจบั คู่ และแบบกาถูก-ผิด ถ้า
ให้นกั เรียนเขยี นคำตอบเอง โดยคำตอบมีลกั ษณะคงทีแ่ นน่ อน ขอ้ สอบแบบตอบสั้น ๆ และแบบ
เติมคำ กจ็ ดั อยู่ในประเภทนี้

7. จำแนกตามระบบการวัด แบ่งเปน็ 2 ประเภทยอ่ ย ได้แก่
7.1) แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่

มุ่งนำผลการสอบไปเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นในกลุ่มที่ใช้แบบทดสอบในชดุ เดียวกัน ว่าใครมี
ความสามารถมากน้อยกว่าใคร เพียงใด มุ่งเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบุคคล ข้อสอบ
จะมีความยากง่ายโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง อำนาจจำแนกค่อนข้างสูง เพราะต้องการ
จำแนกความแตกต่างระหว่างผู้สอบท้ังหมด

7 . 2 ) แ บ บ ทด ส อบ อิ ง เก ณฑ์ ( Criterion Referenced Test) ห มาย ถ ึง
แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถขั้นต่ำสุดที่จะยอมรับได้ว่าผู้เรียนมีความรอบรู้
(Mastery) หรือไม่ โดยนำผลทีใ่ ช้จากการทดสอบไปเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
อย่างรอบคอบ เนอื้ หาสาระของข้อสอบจะแคบ โดยครอบคลมุ เฉพาะเนื้อหาและพฤติกรรมใน
เรื่องที่เรียน และจะต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อสอบมีความยากง่าย
เหมาะสมกับระดับชั้น การกระจายของคะแนนไม่สำคัญ เพราะผลการสอบไม่ต้องการ
เปรียบเทียบกบั ผู้อื่นขอ้ สอบจึงมีอำนาจจำแนกคอ่ นขา้ งต่ำ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 9933

8. จำแนกตามจำนวนผู้เข้าสอบ แบง่ เป็น 2 ประเภทยอ่ ย ได้แก่
8.1) แบบทดสอบเปน็ รายบคุ คล (Individual Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ให้

ผู้สอบปฏิบัติทีละคน มักเป็นการสอบภาคปฏิบัติ ควรใช้เมื่อมีผู้เข้าสอบจำนวนไม่มากหรือ
ต้องการดูพฤติกรรมของผู้เรียนทกุ ขน้ั ตอน

8.2) แบบทดสอบเป็นกลุ่ม (Group Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ให้ผู้สอบทำ
การสอบหลายครั้ง ๆ ละหลาย ๆ คน เป็นชั้นเรียน หรือเป็นกลุม่ ควรใช้เมื่อมีผู้เข้าสอบจำนวน
มาก ส่วนใหญเ่ ป็นการสอบด้านเนือ้ หาหรือภาคทฤษฎี

หลกั ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
ครูผู้สอนต้องทำหน้าที่วัดผลและประเมินผลนักเรียน นั่นก็คือการเขียนข้อสอบ

วัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาทีต่ นได้สอน ซึง่ เกีย่ วข้องโดยตรงกับแบบทดสอบทีค่ รสู ร้างข้นึ ดงั น้ันในที่นี้
จะกล่าวรายละเอียดเฉพาะแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ประเภททีค่ รสู ร้างข้นึ ซึง่ มหี ลายแบบ แต่
ที่นิยมใช้มี 6 แบบ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2551, น. 85-93; สมนึก ภัททิยธนี,
2562, น. 69-94; อนวุ ตั ร คูณแก้ว, 2562, น. 74-90) ดงั นี้

1. ข้อสอบแบบอตั นยั หรือความเรียง (Subjective or Essay Test)
ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี

เขยี นบรรยายตามความรู้และขอ้ คดิ เห็นของแตล่ ะคน
หลกั ในการสรา้ ง
1) เขียนคำชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ชัดเจน ระบุจำนวนข้อคำถาม เวลาที่ใช้

สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละขอ้
2) เนื่องจากข้อสอบแบบนี้มีเฉพาะคำถาม และแต่ละข้อมักจะให้คะแนนมาก

ดงั น้ันควรเขียนคำถามให้ชัดเจนเพ่อื ไมใ่ ห้ไขวเ้ ขวในการตอบ
3) ไม่ควรต้ังคำถามเฉพาะประเภทความรู้ความจำ หรือถามปัญหาที่มีคำตอบใน

หนังสือ ซึ่งเป็นการให้ตอบแบบจำกัด (Restricted Response) แต่พยายามถามประเภทสูงกวา่
ความรู้ความจำ คือถามให้ใช้ความคิดประเภทให้วิเคราะห์หรือประเมินค่า ซึ่งเป็นการให้ตอบ
แบบขยาย (Unrestricted Response) มักข้นึ ต้นด้วยคำว่า จงอธิบาย จงอภิปราย จงเปรียบเทียบ
จงบรรยาย จงวเิ คราะห์ ให้ประมาณค่า ให้บอกความสมั พนั ธ์ ให้วิจารณ์ วเิ คราะห์ เปน็ ต้น

4) กำหนดเวลาให้ตอบนานพอสมควร เพราะผู้ตอบต้องใช้เวลาในการรวบรวม
ความคดิ จัดระบบความคดิ และเขยี นคำตอบด้วยถ้อยคำของตนเอง หากกำหนดเวลาน้อยจะ

94 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 94

ไม่สามารถใช้พลังความคิดได้เต็มความสามารถ และจะกลายเป็นวัดความจำ ทำให้การสอบ
ขาดคณุ ภาพอยา่ งยง่ิ

5) เลือกถามเฉพาะจุดที่สำคัญของเรื่อง เพราะไม่สามารถถามได้ทุก ๆ เนื้อหาที่
เรียน

6) ไม่ควรให้มีการเลือกตอบเปน็ บางขอ้ เชน่ ขอ้ สอบ 7 ขอ้ ให้เลือกทำ 5 ขอ้ หรือ
ให้เลือกทำ 3 ขอ้ โดยมีเหตผุ ลดงั นี้

6.1) ไม่สามารถวัดเรือ่ งทีส่ ำคญั ได้ทกุ เรื่อง
6.2) คำถามแตล่ ะขอ้ มีความยากง่ายไม่เท่ากัน จะมีปัญหาในการจัดตำแหน่งผู้
เขา้ สอบว่าใครจะเก่งกวา่ กนั โดยเฉพาะการประเมินผลแบบอิงกล่มุ
6.3) ไม่ยุติธรรมกับผู้ที่สามารถตอบได้ทกุ ข้อ ซึ่งมีโอกาสได้คะแนนเท่ากบั ผู้ที่
ตอบได้เพียงบางขอ้
7) การตรวจให้คะแนน ควรปฏิบัติดังนี้
7.1) เขยี นแนวคำเฉลยไวก้ อ่ นและระบุคะแนนวา่ ตอนใดควรได้กี่คะแนน
7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วจึงตรวจข้อต่อไปของทุกคน
เช่นเดิม
7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพ่อื ป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดอคติในการให้คะแนน
ตวั อยา่ งขอ้ สอบ
1) จงอภิปรายหลกั คำสอนของพระพุทธเจ้าในด้านการนำมาปฏิบตั ิ
2) จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการวัดภาคปฏิบัติกับการวัดสภาพจริง และมี
ความสัมพันธก์ ับการสงั เกตอยา่ งไร
3) จงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแบบทดสอบที่ครูสร้างกับแบบทดสอบ
มาตรฐาน
4) เหตุใดอาหารที่ประกอบด้วยปลาร้าดิบจึงมีโทษต่อร่างกาย และท่านมีวิธี
ป้องกนั ได้อย่างไร จงอธิบาย
5) ความตรงกับความเที่ยงแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย พร้อมยกตัวอย่าง
ประกอบ
ขอ้ ดีของขอ้ สอบแบบอัตนัยหรือบรรยาย
1) สามารถวดั พฤติกรรมด้านการคดิ โดยเฉพาะด้านการวเิ คราะห์ ด้านประเมินคา่
และด้านสร้างสรรคไ์ ด้
2) ผู้ตอบได้มีโอกาสแสดงความคดิ เหน็ หรือเจตคติของตน

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 9955

3) โอกาสในการตอบเดาโดยไมม่ ีความรู้ในเรือ่ งนั้นแล้วได้คะแนน มีน้อย
4) วัดความสามารถในการเขยี นและสง่ เสริมการใช้ภาษาได้เปน็ อยา่ งดี
ข้อจำกดั ของขอ้ สอบแบบอตั นัยหรือบรรยาย
1) ออกคำถามวัดได้น้อยข้อ เนือ่ งจากแตล่ ะขอ้ จะต้องใช้เวลาตอบนาน จึงวดั ได้ไม่
คลมุ หลักสูตรหรือเนือ้ หาสาระทีส่ ำคญั ๆ
2) การตรวจให้คะแนนมีความคลาดเคลื่อนมาก ควบคุมให้เกิดความยุติธรรมได้
ยาก
3) ไม่เหมาะสมที่จะใช้สอบกับนักเรียนจำนวนมาก ๆ เพราะใช้เวลาในการตรวจ
มาก
4) ลายมือของผู้ตอบในการเขยี นบรรยายอาจจะมีผลตอ่ การให้คะแนน

2. ขอ้ สอบแบบกาถกู - ผิด (True-False Test)
ข้อสอบแบบกาถูก – ผิด คือ ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือก

ดังกล่าวเป็นแบบคงที่ และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด, ใช่-ไม่ใช่, จริง-ไม่จริง,
เหมอื นกนั -ต่างกัน เปน็ ต้น

หลักในการสร้าง
1) เขยี นคำถามให้รัดกุมส้ัน ๆ แตม่ ีข้อมูลพอทีจ่ ะตดั สินได้ว่าถกู หรือผิด การที่เขียน
ส้ันเกินไปอาจจะตัดสินไม่ได้ เช่น

ไมด่ ี นางวันทองเป็นคนดี
ดีขึน้ นางวันทองเป็นคนดีเพราะรักสามีทงั้ สองคน
2) ควรเขียนข้อคำถามด้วยภาษาง่าย ๆ ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่ควรเขียนในรูป
ปฏิเสธซ้อน เพราะผู้ทำขอ้ สอบจะสับสนโดยใชเ่ หตุ (ส่วนรปู ปฏิเสธธรรมดา หากจะใช้ควรพิมพ์
ตัวหนาหรือขดี เส้นใต้คำปฏิเสธนั้น) เชน่
ไมด่ ี ไมใ่ ช่พระนารายณ์ที่ไมไ่ ด้ทรงประดิษฐ์อกั ษรไทย
ดีขึ้น พระนารายณ์ทรงประดิษฐ์อักษรไทย
3) ไม่ควรใช้คำว่าเสมอ ๆ, ไม่ค่อยจะ, อาจจะบางครั้งบ่อย ๆ, ทั้งสิ้น ฯลฯ เพราะ
คำเหล่านี้ จะทำให้ผู้ตอบพิจารณาได้ง่ายว่าถูกหรือผิด หรือบางครั้งตัดสินไม่ได้วา่ ถูกหรือผิด
เช่น
ไมด่ ี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพมา่ ยกกองทพั มาตีไทยบอ่ ย ๆ
ดีขึน้ ในสมยั กรุงศรีอยุธยาพมา่ เคยยกกองทัพมาตีไทย

96 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 96

4) ควรออกข้อสอบให้มีข้อถูกกับข้อผิดจำนวนใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันการเดา
และควรสลับข้อถูก-ผิด อยา่ งไมเ่ ป็นระบบ (ตัวอย่างทีเ่ ป็นระบบ เชน่ ขอ้ สอบ 10 ข้อถูก 5 ข้อ
แรก ผิด 5 ขอ้ หลัง หรือขอ้ ถูกขอ้ ผิดสลบั กัน)

5) หลกั การให้คะแนน ไม่ควรใช้วิธกี ารหกั คะแนนหรือติดลบในขอ้ ที่ทำผิดหรือคิด
ว่าตอบผิด เพราะจะเกิดปัญหาในการเปรียบเทียบคะแนนของแต่ละคนวา่ ใครเก่งกว่า เช่น มี
ข้อสอบกาถกู -ผิด 30 ข้อ คนแรกเลือกตอบเพียง 15 ข้อ ผลตอบถูก 15 ข้อ จะได้ 15 คะแนน
คนหลงั ทำหมดทกุ ขอ้ ผลตอบถกู 20 ขอ้ ผิด 10 ขอ้ จะได้ 10 คะแนน ดังน้ันจะสรุปว่าคนแรก
เก่งกว่าคนหลังก็เป็นการตัดสินที่ขาดหลักการทีด่ ี วิธีที่ดีต้องให้ทำทั้ง 30 ข้อเท่ากัน โดยไม่มี
การหักคะแนนจึงจะเปรียบเทียบกันได้ชดั เจนข้นึ

อันที่จริงข้อสอบกาถูก-ผิด ก็เป็นข้อสอบที่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้เข้าสอบดีใน
ระดบั หนึง่ แตน่ กั เรียนได้คะแนนเพราะการเดายังคงมีโอกาสเกิดค่อนขา้ งสูง

ตัวอยา่ งขอ้ สอบ
1) กาลิเลโอเป็นผู้ประดิษฐก์ ล้องโทรทรรศน์
2) ปัจจุบันใช้พยัญชนะไทย 42 ตวั
3) ปรอทเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดีที่สุด
4) อศั วพาหเุ ปน็ นามปากกาของรัชกาลที่ 6
5) ม้าน้ำเป็นสัตว์เลยี้ งลกู ด้วยน้ำนม
ขอ้ ดีของข้อสอบแบบกาถูก – ผิด
1) สร้างได้งา่ ยสะดวกรวดเร็ว ประหยัดคา่ ใช้จา่ ย และเวลา
2) ถามได้จำนวนมากขอ้ และครอบคลมุ เนอื้ หา
3) ใช้เวลาในการสอบน้อย คอื ประมาณ 2 ขอ้ ตอ่ นาที
4) ตรวจให้คะแนนได้งา่ ยและยตุ ิธรรม
ขอ้ จำกดั ของข้อสอบแบบกาถูก – ผิด
1) มกั วัดพฤติกรรมด้านความรู้ความจำมากกว่าด้านอืน่ ๆ
2) ไม่สามารถชจี้ ดุ ออ่ นของการเรียนได้อย่างแท้จริง
3) โอกาสที่ตอบโดยการเดาแล้วถกู มีมากกวา่ ขอ้ สอบแบบอ่นื ๆ จึงไม่เหมาะที่จะ
นำไปใช้วัดโดยท่ัวไป ดังนั้นควรปรับปรุงให้เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบทีม่ ีตัวเลือก 4-5 ตัว จะ
ดีกว่า
4) ไม่สามารถวนิ ิจฉัยข้อบกพร่องของผู้สอบได้อย่างแท้จริง เพราะมีส่วนของการ
เดาของผู้สอบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 9977

3. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Test)
ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์

แล้วให้ผู้ตอบเติมคำ หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้มีใจความ

สมบูรณ์และถูกต้อง

หลกั ในการสรา้ ง
1) ไมค่ วรใช้ข้อความหรือประโยคจากหนังสือ แล้วตดั คำบางคำ หรือบางข้อความ
ออกมาใช้เป็นคำถาม เพราะการนำขอ้ ความมาใช้เพียงบางสว่ นอาจจะไมก่ ระชับความ จึงควร

ใช้ข้อความของผู้ออกข้อสอบเอง โดยเขียนประโยคหรือข้อความด้วยภาษาเขียนที่ง่ายและ
ชดั เจน

2) คำตอบทีต่ ้องการให้เติม ต้องเป็นคำตอบที่เฉพาะเจาะจง ไม่ตีความหลายนยั

ไมด่ ี สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขนึ้ ใน........................
ดีขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขนึ้ ในปี พ.ศ. ........................
ไม่ดี ออกซิเจนมีความสำคัญย่งิ สำหรับ........................
ดีขึน้ ก๊าซที่มีความสำคญั ตอ่ การลกุ ไหม้คือ........................
3) แต่ละข้อควรให้เติมคำตอบเพียงแห่งเดียวตอนท้ายของประโยคหรือข้อความ
แต่ถ้าจำเป็นอาจเว้นให้เติมสว่ นอ่นื และมากกวา่ หนึง่ แหง่ ก็ได้

4) ตำแหน่งที่ให้เติมต้องเป็นจุดที่สำคัญจริง ๆ การเว้นจุดที่ไม่สำคัญให้เติมจะไม่
ช่วยให้เกิดประโยชนต์ ่อการทดสอบ เชน่

ไมด่ ี พระเจ้ารามคำแหง........................ อักษรไทยเมื่อปี พ.ศ. 1829
ดีขึน้ พระเจ้ารามคำแหงทรงประดิษฐ์อักษรไทยเมือ่ ปี พ.ศ. ........................
ไมด่ ี สีเขียวเกิดจากการผสมระหว่าง.................เหลืองกบั .................น้ำเงิน
ดีขึน้ สีเขียวเกิดจากการผสมระหวา่ งสี...................... กบั สี........................
5) การเว้นช่องว่างให้เติม ควรเว้นให้พอสำหรบั คำตอบได้อย่างครบถ้วน และใน

แต่ละขอ้ ควรเวน้ ช่องวา่ งไวข้ นาดเท่า ๆ กนั เพอ่ื ป้องกนั การแนะนำคำตอบว่าจะส้ันยาวเท่าใด

ตวั อยา่ งข้อสอบ
1) นายกรฐั มนตรีคนแรกของไทย คอื ...............
2) การปกครองในสมัยโบราณของไทยทแี่ ยกออกเป็น เวยี ง วงั คลงั นา เรียกว่า....

3) การที่ทำอะไรไม่ดีแล้วพาลหาวา่ ผู้อืน่ เปน็ เหตุ ตรงกบั คำพังเพยว่า รำไมด่ ี.........
4) ยอดเขาทีส่ งู ทีส่ ดุ ในประเทศไทยชือ่ ...................อยใู่ นจงั หวัด......................

98 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 98

ขอ้ ดีของขอ้ สอบแบบเติมคำ
1) สร้างได้ง่ายสะดวกรวดเร็ว
2) สามารถสร้างคำถามวดั ในเรื่องหนึ่ง ๆ ได้หลายข้อ
3) โอกาสเดาโดยไมม่ ีความรู้แล้วได้คะแนน มีน้อยมาก
ขอ้ จำกดั ของขอ้ สอบแบบเติมคำ
1) มักจะวัดความรู้ความจำเพียงอย่างเดียว ไม่ได้วัดสมรรถภาพสมองที่ลกึ กวา่ นี้
เชน่ วเิ คราะห์ ประเมินคา่ หรือสร้างสรรค์ ฯลฯ ซึง่ นับวา่ เปน็ จุดออ่ นอย่างย่งิ
2) ถ้าส่วนที่ต้องเติมมีหลายเรื่องหรือหลายประโยค จะไม่เหมาะในการสร้าง
ขอ้ สอบแบบเติมคำ เพราะการเวน้ ที่ อาจแนะนำคำตอบแก่นักเรียนได้ เช่น

บลมู ได้แบ่งพฤติกรรมด้านพุทธพิ สิ ยั ออกเป็น..........ขน้ั คอื
1............................. 2............................. 3.............................
4............................. 5............................. 6.............................

ขอ้ นีถ้ ามจำนวนขน้ั ด้วย ก็ต้องเวน้ ไวม้ ากกว่า 6 ขอ้ เช่น เวน้ ไว้ 10 ขอ้ เป็นต้น
หากระบุวา่ มี 6 ขนั้ จึงคอ่ ยเวน้ ให้เตม็ เพียง 6 ขอ้ ถึงจะเหมาะสมถกู ต้อง

3) ถ้าเขียนข้อความหรือประโยคไม่ดี ผู้ตอบจะตอบไปคนละทิศทาง เพราะเข้าใจ
ไม่ตรงกนั (ขาดความเป็นปรนยั ) เช่น รตั นตรัย คอื .....................................

4) คำตอบแตล่ ะขอ้ อาจมหี ลายคำตอบ ทำให้ตรวจให้คะแนนได้ยาก

4. ขอ้ สอบแบบตอบสัน้ ๆ (Short Answer Test)
ลักษณะทัว่ ไปคล้ายกบั ข้อสอบแบบเติมคำ แต่แตกตา่ งกนั ที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ

เขียนเป็นประโยคคำถามสมบูรณ์ (ส่วนข้อสอบเติมคำ เป็นประโยคหรือข้อความที่ยังไม่
สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการจะสั้นและกระทัดรัดได้ใจความ
สมบรู ณ์ ไมใ่ ช่เป็นการบรรยายแบบขอ้ สอบอัตนัยหรือความเรียง จึงเหมาะกับการถามความคดิ
รวบยอด (Concept) หรือหลกั การ (Principle) ของเรือ่ งตา่ ง ๆ

หลกั ในการสรา้ ง
1) คำตอบที่ต้องการมักจะสั้น เป็นคำเดียว วลีเดียว หรือประโยคสั้น ๆ ที่ได้
ใจความครบถ้วนสมบูรณ์
2) คำตอบที่ได้ต้องเปน็ ประเภทตายตัวแนน่ อน
3) ใช้กับคำถามที่เกีย่ วกบั คำศพั ท์ กฎ นิยาม ทฤษฎี หรือหลกั การ ฯลฯ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 9999

ตวั อยา่ งข้อสอบ
1) ศีล แปลว่าอะไร
2) สสาร คอื อะไร

3) เรื่องพระอภยั มณี เปน็ บทประพนั ธข์ องใคร
4) คำวา่ ปรนัย หมายความว่าอยา่ งไร

5) จำนวนเฉพาะหมายถึงจำนวนชนิดใด และมีหลกั ในการตรวจสอบอยา่ งไร

ขอ้ ดีของข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ
1) เดาคำตอบได้ยากเพราะต้องเขยี นตอบ
2) เหมาะที่จะวดั พฤติกรรมด้านความจำ หรือให้จำขอ้ ความทุกประโยค ทุกคำพูด

หรือความรู้เกี่ยวกับกฎ นิยาม ทฤษฎี หลกั การ และความคดิ รวบยอด
3) สามารถวัดขอ้ เทจ็ จริงในเนือ้ หาวิชาในรปู แผนที่ รปู ภาพ รปู จำลองตา่ ง ๆ
ขอ้ จำกัดของข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ
1) มีปัญหาในการตรวจให้คะแนน เพราะคำตอบที่เขียนตอบนั้น อาจผิดพลาด

เล็กน้อยด้านภาษา ทำให้ไมไ่ ด้คะแนนหรือได้คะแนนเปน็ บางสว่ น ท้ังทีผ่ ูเ้ รียนมีความรู้เรือ่ งนั้น
2) การเขียนคำตอบให้จำเพาะเจาะจง และมีคำตอบเพียงคำตอบเดียวจริง ๆ ทำ

ได้ยาก จึงเปน็ ขอ้ สอบที่ไมจ่ ูงใจให้อยากตอบ
3) มักจะถามได้เฉพาะพฤติกรรมที่เกี่ยวกับความรู้ความจำ จึงไม่ได้แสดง

ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ หรือการสังเคราะห์

5. ขอ้ สอบแบบจบั คู่ (Matching Test)

ลกั ษณะทัว่ ไป เป็นขอ้ สอบเลือกตอบชนิดหนึง่ โดยมีคำหรือขอ้ ความแยกออกจาก

กันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับคำ หรือ

ขอ้ ความใดในอีกชุดหนึง่ (ตัวเลือก) ซึง่ มคี วามสมั พันธก์ นั อยา่ งใดอย่างหนึง่ ตามที่ผู้ออกขอ้ สอบ

กำหนดไว้ เช่น

งานที่ทำ เคร่อื งมือทีใ่ ช้

..... 1) ตดั ลวดเสน้ ยาวให้เปน็ ท่อสั้น ๆ ก. กรรไกร

..... 2) ตดั หลอดด้ายออกเปน็ 2 ท่อน ข. กรรไกร

..... 3) ตดั ผ้าเปน็ ชิ้นเล็ก ๆ ค. กรรไกร

..... 4) ผา่ ไม้เป็น 2 ซีก ง. กรรไกร

จ. กรรไกร

100 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 100

หลกั ในการสร้าง

1) ตัวเลือกต้องมีจำนวนมากกว่าตวั ยืน 2-4 ข้อ เช่น ถ้าตัวยืน มี 5 ข้อ ตัวเลือก

ควรจะมี 7-9 ขอ้ ถ้าตวั ยนื มี 8 ขอ้ ตวั เลือกควรจะมี 10-12 ขอ้ เปน็ ต้น ถ้าตวั เลือกกับตัวยืนมี

จำนวนเท่ากัน โอกาสในการเดาถกู ของขอ้ หลงั ๆ จะสงู มาก

2) ตัวยืนควรจะมีจำนวน 5-15 ข้อ ถ้าตัวยืนมีน้อยเกินไป เช่น 3 ข้อ การจับคู่หา

คำตอบจะง่ายมาก และถ้าตัวยนื มีมากไป เช่น 20-30 ขอ้ ผู้สอบจะเกิดความสับสน การจับคู่

หาคำตอบจะยากเกินไป เพราะต้องอ่านตัวยนื ตวั เลือกหลายครั้ง ทำให้ขอ้ สอบขาดคณุ ภาพ

3) ข้อความในแต่ละชดุ ต้องเป็นเอกพันธ์ คือ เป็นเรื่องราวในลักษณะเดียวกนั ซึ่ง

ในเรื่องนถี้ ือเปน็ หลกั สำคัญมากของขอ้ สอบแบบนี้ ถ้าขอ้ ความในชุดเดียวกนั มีหลายลกั ษณะปน

กัน จะกลายเป็นข้อสอบแบบจับคู่ในแตล่ ะเรื่องที่มีตวั ยืนเพียง 2-3 ข้อเท่านั้น ข้อสอบจะง่าย

โดยใช่เหตุ กรณีที่มีหลายเรื่องหลายลกั ษณะปนกัน (ไม่เปน็ เอกพันธ์) ควรจะแยกข้อสอบจับคู่

ออกเปน็ ตอน ๆ โดยให้แตล่ ะตอนเป็นเรือ่ งราวในลกั ษณะเดียวกนั อยา่ งน้อยตอนละ 5 ขอ้

4) ตวั ยนื ในแต่ละขอ้ มีโอกาสจับคกู่ ับตัวเลือกทกุ ขอ้ แต่ขอ้ ที่ถกู ต้องมีเพียงขอ้ เดียว

ห้ามเฉลยให้ตัวเลือกหนงึ่ ขอ้ สามารถจบั คู่กับตวั ยนื แล้วถกู มากกว่าหนึง่ ขอ้ ถือได้วา่ ไม่เปน็ ธรรม

แก่ผู้ตอบ เพราะผู้ตอบจะสบั สนจึงไม่เหมาะกับข้อสอบชนิดนี้

5) ข้อสอบในชุดตัวยืนและตัวเลือกทุกข้อต้องอยู่ในหน้าเดียวกัน จะช่วย

ประหยดั เวลาและสะดวกในการทำขอ้ สอบ

6) ต้องระบุความสัมพนั ธ์ของขอ้ ความท้ังสองชุดให้ชัดเจน โดยเขียนคำชแี้ จงว่าจะ

ให้จบั คูโ่ ดยยดึ ความสมั พันธ์แบบใด

ตัวอย่างข้อสอบ (ระดับมัธยมศึกษา)

คำชีแ้ จง จงจับค่รู ะหว่างชื่อบุคคลกับสิง่ ทีค่ ้นพบ โดยนำตวั อักษรหน้าชื่อบุคคล

ไปใสใ่ นวงเลบ็ ทางซ้ายมือสุดซึง่ ตรงกบั สิง่ ทีบ่ คุ คลนั้นค้นพบ

ส่งิ ที่ค้นพบ ชื่อบคุ คล

(__) 1. กฎแหง่ ความโน้มถ่วง ก. กาลิเลโอ

(__) 2. ระเบิดปรมาณู ข. เจมสว์ ตั ต์

(__) 3. เครือ่ งรบั สง่ โทรเลข ค. แซมมวล มอรส์

(__) 4. กล้องโทรทัศน์ ง. โทมัส เอดิสนั

(__) 5. หลอดไฟฟ้า จ. เบนจามิน แฟรงกลิน

ฉ. หลยุ ส์ ปาสเตอร์

ช. ไอแซค นิวตนั

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 110011

ข้อดีของขอ้ สอบแบบจบั คู่
1) สร้างได้งา่ ยสะดวกรวดเรว็
2) เหมาะที่จะนำไปวัดความจำหรือความจริงตามท้องเรือ่ ง

3) มีความเป็นปรนยั สงู ตรวจให้คะแนนได้ง่ายและยตุ ิธรรม

ข้อจำกัดของขอ้ สอบแบบจดั คู่
1) ข้อสอบมักจะไมเ่ ป็นเอกพันธ์ ทำให้จับคู่ในกลุม่ เดียวกนั เพียง 2-3 ข้อ จึงเป็น
ขอ้ สอบที่ง่ายมากกวา่ ที่คิดไว้

2) ไมส่ ามารถวดั พฤติกรรมประเภทวเิ คราะหห์ รือสังเคราะห์
3) ผู้ตอบมกั จะสบั สน เพราะไม่แน่ใจว่าเปน็ ความสัมพันธใ์ นเรื่องหรือประเด็นใด

4) ไมเ่ หมาะทีจ่ ะนำข้อสอบชนิดนี้ ไปสร้างขอ้ สอบจำนวนมาก ๆ ขอ้ หรือนำไปวัด
ให้ครอบคลมุ ทกุ เนือ้ หา

6. ขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ (Multiple Choice Test)

ลกั ษณะท่ัวไป คำถามแบบเลือกตอบประกอบด้วย 2 ตอน คอื ตอนนำหรือคำถาม

(Stem) กับตอนเลือก (Choice) ซึ่งในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและ

ตวั เลือกทีเ่ ปน็ ตัวลวง

หลักในการสร้าง แบ่งเป็น 13 ข้อ (ชวาล แพรัตกลุ , 2552, น. 108-126; สมนึก

ภัททิยธนี, 2562, น. 78-92) ดังนี้

1) เขียนตอนนำให้เป็นประโยคคำถามสมบูรณ์ อาจจะใส่เครื่องหมายปรัศนี

(?) ก็ได้ แต่ไม่ควรสร้างตอนนำให้เป็นแบบอ่านต่อความ เพราะทำให้คำถามไม่กระชับ เกิด

ปัญหาสองแง่ หรือขอ้ ความไม่ต่อเนือ่ งกัน หรือเกิดความสับสนในการคดิ หาคำตอบ เชน่

ไมด่ ี โลกหมนุ รอบตวั เอง

ก. ทำให้เกิดฤดกู าล ข. ในทิศทางเดยี วกนั

ค. กินเวลา 24 ชว่ั โมง ง. ทำให้เกิดน้ำขนึ้ น้ำลง

จ. ทำให้เกิดกลางวันกลางคืน

ดีขึน้ โลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดปรากฏการณ์อะไร

ก. ฤดูกาล ข. น้ำขนึ้ น้ำลง

ค. แรงโน้มถว่ ง ง. ข้างขึน้ ข้างแรม
จ. กลางวันกลางคืน

102 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 102

2) เนน้ เรื่องจะถามใหช้ ัดเจนและตรงจุดไมค่ ลุมเครือ เพ่อื ช่วยให้ผู้ทำข้อสอบ

ไม่ไขว้เขว สามารถมงุ่ ความคดิ ในการตอบไปถูกทิศทาง (เปน็ ปรนัย) ไมต่ ้องอ่านคำถามคำตอบ

ยอ้ นข้นึ ย้อนลงหลายคร้ัง โดยเฉพาะในระดบั ประถมศึกษาจะต้องคำนึงถึงเรือ่ งนใี้ ห้มาก ๆ เชน่

ไมด่ ี รตั นตรยั คอื อะไร

ก. ศีล ข. ผ้าไตรจีวร

ค. ศาสนาพุทธ ง. แก้วสามดวง

จ. พระพทุ ธพระธรรมพระสงฆ์

ข้อนี้ไม่ทราบว่าต้องการถามคำแปล ซึ่งแปลว่า แก้วสามดวง หรือต้องการ

ถามความหมาย ซึง่ หมายถึง พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนั้นระบใุ ห้ชัดเจนว่าจะถามอะไร

ดังนี้

ดีขึน้ รัตนตรยั แปลว่าอะไร

ก. ศีล ข. ผ้าไตรจีวร

ค. ศาสนาพทุ ธ ง. แก้วสามดวง

จ. พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

3) ควรถามในเรื่องที่มีคุณค่าต่อการวัดหรือถามในสิ่งที่ดีงามมีประโยชน์

คำถามแบบเลือกตอบสามารถถามพฤติกรรมในสมองได้หลาย ๆ ด้าน คือ ถามให้คิดหรือนำ

ความรู้ท่เี รียนไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ไมใ่ ช่ถามเฉพาะความจำ หรือความจริงตามตำรา หรือ

ถามรายละเอียดเกินความจำเปน็ ซึง่ ไมใ่ ช่สาระสำคญั เช่น

ไม่ดี รูปสี่เหลีย่ มผืนผ้ามีมุมฉากกี่มมุ

ก. 1 มุม ข. 2 มมุ

ค. 3 มมุ ง. 4 มุม

จ. 8 มมุ

ดีขึน้ ขอ้ ใดเปน็ คุณสมบัติของรปู สี่เหลีย่ มผืนผ้า

ก. มแี กนสมมาตร 4 แกน ข. สตู รหาพืน้ ทีค่ ือด้าน 4 ด้าน

ค. เส้นทแยงมุมตดั กันเปน็ มุมฉาก ง. เส้นทแยงมมุ แบ่งครึง่

จ. เส้นทแยงมมุ 2 เส้นรวมกันยาวกว่าเส้นรอบรูป

อีกประการหนึ่งที่จัดว่าไม่มีคุณค่าต่อการวัด คือ ใช้ความพยายามในการ

เขยี นตวั เลือกน้อยเกินไป กล่าวคือ เขยี นเพียง 2-3 ตัว แล้วใช้ตวั เลือกเหลา่ นั้นซ้ำ ๆ กัน ทำให้

เปน็ ขอ้ สอบทีข่ าดคณุ ภาพ เชน่

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 110033

ไมด่ ี ผลผลิตของพชื ทีส่ ง่ ออกในรอบปีมีมูลคา่ มากที่สุด ได้แกอ่ ะไร

ก. ข้าว ข. ลำไย

ค. ยางพารา ง. ข้อ ก และ ข ถกู

จ. ขอ้ ก และ ค ถูก

ดีขึ้น ผลผลิตของพชื ทีส่ ง่ ออกในรอบปีมีมูลค่ามากทีส่ ดุ ได้แก่อะไร

ก. ข้าว ข. ลำไย

ค. ทุเรียน ง. ยางพารา

จ. กล้วยหอม

4) หลกี เลย่ี งคำถามปฏิเสธ ถ้าจำเป็นต้องใช้กค็ วรพมิ พต์ ัวหนาหรือขีดเส้นใต้คำ

ปฏิเสธนั้น แต่คำปฏิเสธซ้อนไม่ควรใช้อย่างยิ่ง เพราะปกตินักเรียนจะยุ่งยากต่อการแปล

ความหมายของคำถาม และตอบคำถามที่ถามกลับหรือปฏิเสธซ้อนผิดมากกวา่ ถูก เชน่

ไม่ดี ถ้าต้นไมไ้ ม่ได้รับแสงแดดใบจะไม่มีลกั ษณะอยา่ งไร

ก. ซีด ข. แห้ง

ค. เขยี ว ง. เหี่ยว

จ. เหลือง

ดีขึ้น ถ้าต้นไมไ้ ม่ได้รบั แสงแดดจะมีลกั ษณะอย่างไร

5. อย่าใช้คำฟุ่มเฟือย ควรตั้งคำถามโดยตรง สิ่งใดไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ใชเ้ ปน็

เงือ่ นไขในการคดิ ก็ไม่ต้องนำมาเขยี นไวใ้ นคำถาม จะช่วยให้คำถามรัดกุมชดั เจนข้นึ เชน่

ไม่ดี ถ้านักเรียนจะตั้งโรงงานทอผ้า ประเภททอผ้าไหม ทราบหรือไม่ ว่า

แหลง่ เลีย้ งไหมทส่ี ำคญั ของประเทศไทยอยู่ในภาคใด

ก. ภาคใต้ ข. ภาคกลาง

ค. ภาคเหนือ ง. ภาคตะวันออก

จ. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ

ดีขึ้น แหลง่ เลยี้ งไหมทส่ี ำคัญของประเทศไทยอยใู่ นภาคใด

6) เขียนตัวเลือกให้เป็นอิสระขาดจากกัน คือ อย่าให้ตัวเลือกทั้งที่เป็นตัวถกู
และตัวผิดก้าวกา่ ยกนั , หรือมีความหมายสืบเนื่องสมั พนั ธก์ ัน หรือครอบคลมุ เหลือ่ มทับกนั บาง
คำถามที่ไม่ดีนั้น เพียงแต่อ่านตัวเลือก 2 ตัวแรกก็คลุมขอบเขตของคำตอบแล้ว, ตัวลวงอื่น ๆ

เกือบจะไม่มีคา่ อะไรเลย คำตอบจะต้องวนเวียนอยู่ภายใน 2 ตวั นี้เทา่ นั้น เช่น

104 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 104

ไมด่ ี พลเมอื งไทยในปัจจบุ ันมีประมาณเทา่ ไร

ก. น้อยกว่า 10 ล้าน ข. น้อยกว่า 20 ล้าน

ค. มากกว่า 20 ล้าน ง. มากกวา่ 30 ล้าน

จะเห็นว่าตัวเลือกทั้ง 4 นี้มีค่าเหลือเพียง 2 ประการ คือ ข. กับ ค. เท่านั้น

เพราะถ้ามีน้อยกว่า 20 ล้าน ก็แปลวา่ ต้องมีน้อยกว่า 10 ล้านไปด้วยในตัว, คอื ถ้าตัว ข. ถูก ก.

ก็จะพลอยถูกไปด้วยโดยปริยาย และโดยนัยเดียวกัน ถ้า ค. ถูก ง. ก็จะถูกเองโดยอัตโนมัติ

ฉะนั้น เด็กฉลาดจะตัด ก. น้อยกว่า 10 ล้าน กับ ง. มากกวา่ 30 ล้านทิ้งได้เลย เหลือให้คิด ข.

หรือ ค. เท่านั้น

วิธีแก้ไขโจทย์แบบนี้ก็โดยแปลงให้แต่ละตัวเลือกเป็นอิสระขาดตอนจากกัน

เสีย ดงั นี้

ดีขึ้น พลเมอื งไทยในปัจจบุ ันมีประมาณเท่าไร

ก. น้อยกว่า 10 ล้าน ข. ระหวา่ ง 10 ถึง 20 ล้าน

ค. ระหว่าง 20 ถึง 30 ล้าน ง. มากกว่า 30 ล้าน

7) ควรเรียงลำดับตัวเลขในตัวเลือกต่าง ๆ คือ นิยมเรียงจากค่าน้อยไปหาค่า

มาก เพอ่ื ชว่ ยให้ผู้ตอบพิจารณาหาคำตอบได้สะดวก ไม่หลง และป้องกันการเดาตวั เลือกทีม่ ีค่า

มาก เช่น

ไมด่ ี สถิติผู้สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้เปน็ อย่างไรเมื่อเทียบกบั 5 ปีที่

ผา่ นมา

ก. ลดลง 10% ข. เพม่ิ ข้นึ 10%

ค. ลดลง 30% ง. เพิม่ ข้นึ 30%

จ. จำนวนพอ ๆ กนั

ดีขึน้ สถิติผู้สมคั รสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้เปน็ อยา่ งไรเมือ่ เทียบกบั 5 ปีที่

ผา่ นมา

ก. ลดลง 10% ข. ลดลง 30%

ค. จำนวนพอ ๆ กนั ง. เพิ่มข้นึ 10%

จ. เพ่มิ ข้นึ 30%

8) ข้อเดียวต้องมีคำตอบเดียว บางครั้งผู้ออกข้อสอบเผลอเลอหรืออาจจะเกิด

จากเขยี นตัวลวงไมร่ ดั กุม จึงพจิ ารณาตัวลวงเหล่าน้ันได้อีกแง่หนึง่ ทำให้เกิดปัญหาสองแง่สอง

มุม

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 110055

9) ควรมีตวั เลอื ก 4-5 ตัว ถ้าเขยี นตวั เลือกเพยี ง 2 ตวั กก็ ลายเป็นข้อสอบแบบ
กาถูก-ผิด และเพื่อป้องกันไมใ่ ห้เดาง่าย ๆ จึงควรมีตัวเลือกมาก ๆ ที่นิยมใช้หากเปน็ ข้อสอบ
ระดับประถมศึกษาปีท่ี 1-2 ควรใช้ 3 ตัวเลือก ระดบั ประถมศึกษาปีท่ี 3-6 ควรใช้ 4 ตัวเลือก

และตั้งแต่ระดบั มัธยมศึกษาข้นึ ไป ควรใช้ 5 ตวั เลือก
10) อย่าแนะนำคำตอบ มีหลายกรณีดงั นี้
10.1) คำถามข้อหลัง ๆ แนะคำตอบข้อแรก ๆ (หรือคำถามข้อแรก ๆ แนะ

คำตอบข้อหลัง ๆ) เพราะจะกลายเป็นข้อสอบเฉลยคำตอบกันเอง ดังนั้นกอ่ นนำข้อสอบไปใช้

สอบควรมีการตรวจสอบให้เรียบร้อยกอ่ น โดยเฉพาะขอ้ สอบทีม่ ีกรรมการเขยี นหลายคน
10.2) ใช้ข้อความของคำตอบถูกซ้ำกับคำถาม หรือเกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้

ชัด นักเรียนที่ไมม่ ีความรู้กอ็ าจจะเดาได้ถกู
10.3) ขอ้ ความของตวั ถูกบางส่วน เป็นสว่ นหนึง่ ของทุกตัวเลือกทำให้ข้อความ

น้ันไมม่ ีความหมายและเปน็ การเฉลยคำตอบโดยไมร่ ู้ตวั
10.4) เขียนตัวถูกหรือตัวลวงซึ่งถูกหรือผิดเด่นชัดเกินไป จะทำให้นักเรียน

สังเกตเห็นได้ชดั เจนจนกลายเป็นการแนะคำตอบ

10.5) คำตอบไม่กระจาย คือ ข้อสอบที่มีตัวถูกซ้ำ หรือผลัดเวียนกันไปเปน็
ช่วง ๆ การกำหนดเช่นนี้ จะทำให้ข้อสอบเสียคุณภาพ นักเรียนอาจจะเดาได้โดยไม่ต้องใช้

ความคดิ ดังน้ันควรกระจายคำตอบออกไปทกุ ๆ ตวั เลือก โดยมีอตั ราส่วนเกือบเทา่ ๆ กนั และ
ควรสลบั ตัวถูกอยา่ งไมเ่ ปน็ ระบบ ซึง่ เกิดจากการเรียงตัวเลือกส้ันไปยาวและเพม่ิ ลดคำ วลี เช่น

ถ้ามีข้อสอบ 100 ขอ้ แบบ 5 ตวั เลือก แต่ละตวั เลือกกค็ วรเป็นตัวถูกประมาณ 17-23 ขอ้
ข้อดีของขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ
1) มีความตรงสูง เพราะสามารถเขียนคำถามวัดได้ครอบคลุมทุกเนื้อหา และทุก

พฤติกรรมของด้านพทุ ธพิสัย

2) ตรวจให้คะแนนได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และยตุ ิธรรม จึงเหมาะกบั จำนวนผู้เข้า
สอบมาก ๆ เพราะสามารถใช้เครือ่ งจกั รกลแทนการตรวจด้วยคน

3) สามารถนำมาวิเคราะห์แล้วปรับปรุงให้มีคุณภาพ และเก็บไว้ใช้ได้อีกในครั้ง
ต่อไป

4) ตัดปญั หาเรือ่ งลายมือของผู้ตอบท่อี ่านยาก
5) สามารถวนิ ิจฉยั ข้อบกพร่องหรือความไม่เขา้ ใจในเนอื้ หาได้อย่างเปน็ ระบบ

106 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 106

ขอ้ จำกัดของขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ
1) สิน้ เปลืองค่าใช้จา่ ยสูง
2) ใช้เวลาในการสร้างมาก โดยเฉพาะการเขยี นตัวลวงให้มีคณุ ภาพ

3) วดั ด้านประเมินคา่ และคดิ สร้างสรรค์ได้ยาก

รปู แบบคำถามของข้อสอบแบบเลอื กตอบ

ข้อสอบแบบเลือกตอบมีรูปแบบคำถามที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการ

ถาม วธิ ีการถาม และเนอื้ หาทีจ่ ะถาม แตร่ ูปแบบทีน่ ิยมใช้กนั มากมี 3 แบบ คอื แบบคำถามโดด

หรือคำถามเดี่ยว (Single Question) แบบตัวเลือกคงที่ (Constant Choice) แบบกำหนด

สถานการณ์ (Situation Test) ดังนี้

1) แบบคำถามโดดหรือคำถามเดี่ยว รูปแบบคำถามนี้เป็นแบบที่ใช้กันอยู่ทั่วไป

ลักษณะของคำถามจะถามเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งจบลงในตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับข้ออื่น ๆ

รูปแบบคำถามชนิดนีย้ ังแบง่ ออกเป็นแบบย่อย ๆ ได้อีกดังนี้

1.1) แบบคำตอบถูก ได้แก่ ชนิดคำตอบถูกต้อง คำตอบที่ดีที่สุด และคำตอบ

ใกล้เคียงเช่น

คำถาม ดาวดวงใดทีจ่ ดั เป็นดาวเคราะห์วงใน

ก. ดาวอังคาร ข. ดาวศกุ ร์

ค. ดาวเนปจูน ง. ดาวเสาร์

1.2) แบบเติมคำ ได้แก่ ชนิดให้เติมแหง่ เดียว หรือให้เติม 2 แหง่ เชน่

คำถาม เราใช้...........ตกั ดิน ตกั ปุ๋ย หรือผสมดิน

ก. จอบ ข. เสียม

ค. พล่ัว ง. ส้อมพรวน

1.3) แบบเปล่ยี นแทน โดยให้ผู้สอบหาคำตอบหรือวลีใหม่มาเปลี่ยนแทนถ้อยคำ

เดิมที่ยงั ไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ชนิดเปลี่ยนแปลง และชนิดปรับปรงุ เช่น

คำถาม เขากนิ น้ำจนหมดขนั

ก. ซด ข. ดูด

ค. ดื่ม ง. กลืน

1.4) แบบคำตอบคู่ โดยให้ผู้สอบพจิ ารณาหาคำตอบทีด่ ีทีส่ ุดควบคูก่ ันไป ซึ่งต้อง

อาศัยความรู้หรือหลกั วชิ ามาประกอบการตอบอยา่ งมีเหตุผลด้วย เช่น

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 110077

คำถาม ถ้าเด็ดใบเลีย้ งของพชื ทีง่ อกใหม่ออก พชื จะเป็นเช่นไร

ก. โตช้าเพราะขาดใบ ข. ใบเล็กลงเพราะคายน้ำน้อย

ค. ตายเร็วเพราะขาดอาหาร ง. งอกเรว็ เพราะมีอาหารเพ่มิ ข้นึ

1.5) แบบคำตอบผสมหรือคำตอบซ้อน (Double or Mixed Multiple Choice) ตวั

คำถามเขยี นเปน็ ลกั ษณะของเงือ่ นไข ซึง่ ควรมอี ยา่ งน้อย 3 เงือ่ นไข อาจมผี ิดบ้าง ถูกบ้าง แล้ว

เขยี นตัวเลือกจากเงื่อนไขท่กี ำหนดไว้ เพ่อื ให้ผู้สอบได้พิจารณาจากเงื่อนไขหลาย ๆ ตัว เชน่

คำถาม ถ้า a และ b เป็นจำนวนจริง โดยที่ a > b ข้อใดต่อไปนี้มีค่ามากกว่า

ศูนย์

1. a-b 2. b = a 3. A2-b2 4. (a-b)

ก. 1 เทา่ นั้น ข. 2 และ 3 เท่าน้ัน

ค. 2, 3 และ 4 เทา่ น้ัน ง. 1 และ 4 เท่านั้น

จ. ทั้ง 1, 2, 3 และ 4

1.6) แบบคำตอบไม่สมบูรณ์ คำถามแบบนี้จะกำหนดตัวเลือกที่ยังเลือกตอบ

ไมไ่ ด้ ผู้สอบจะต้องคดิ หาคำตอบจากตัวเลือกที่กำหนดให้อีกที่หนึ่ง เช่น

คำถาม คำตอบของสมการ X2 = X ตรงกับคำตอบของสมการในขอ้ ใด
ข. m - m2 = 0
ก. y (y + 1) = 0

ค. t2 + t = 0 ง. (r - 1)2 = 0

1.7) แบบเรียงลำดบั ได้แก่ ชนิดลำดบั เรื่องราวเหตุการณ์ ชนิดลำดับเวลา ชนิด

ลำดบั วธิ ีการหรือเหตผุ ล เชน่

คำถาม การทำความสะอาดบ้าน ควรทำที่ใดเป็นอันดบั แรก

ก. พื้นห้อง ข. ผนังห้อง

ค. เพดานห้อง ง. ตู้โต๊ะเตียง

1.8) แบบจำแนกประเภท ได้แก่ ชนิดเข้าพวก-ตา่ งพวก และชนิดเชื่อมโยง เช่น

คำถาม สัตวใ์ นข้อใดเป็นสัตวเ์ ลยี้ งประเภทเดียวกบั ม้า ววั ควาย

ก. หมู ข. สนุ ัข

ค. แมว ง. ช้าง

คำถาม สิ่งใดไมเ่ ขา้ พวก

ก. มะขาม ข. มะดนั

ค. มะระ ง. มะนาว

108 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 108

1.9) แบบสัมพันธ์ คำถามแบบนี้จะให้ผู้สอบหาความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่าง

ของ 2 สิ่ง หรือ 2 เรื่องเปน็ อย่างน้อย ได้แก่ ชนิดสาเหตุและผล ชนิดอุปมาอุปมัย เช่น
คำถาม พระภิกษุ: กฏุ ิ → ? : ?

ก. เสือ้ : ป่า ข. วัว : เกวยี น

ค. นก : วัง ง. ควาย : หญ้า

1.10) แบบขาดเกนิ คำถามแบบนี้ จะให้ผู้สอบวนิ ิจฉยั ความสมบูรณข์ องเรื่องราว

ว่ายังขาดตกบกพร่องในสิง่ ใด หรือมีสิ่งใดทีเ่ กินมาโดยไมจ่ ำเป็น ได้แก่ ชนิดขาด ชนิดเกิน และ

ชนิดเพียงพอ เช่น

คำถาม จงหาค่า X และ Y จากสมการ X + Y = 10 โจทย์ข้อนี้จะหาคำตอบ

ได้ต้องกำหนดสิง่ ใดให้เพิม่ ข้นึ

ก. จำนวนค่าของ X ข. จำนวนคา่ ของ Y

ค. ชนิดของจำนวน X หรือ Y ง. คา่ ของ X หรือ Y

1.11) แบบหาตัวร่วม-ตัวต่าง คำถามแบบนี้จะให้ผู้สอบคิดหาสาระสำคัญหรือ

แก่นของสิ่งน้ัน ซึง่ เปน็ คุณสมบตั ิหรือลกั ษณะรว่ มกันหรือตา่ งกัน เช่น

คำถาม เช้า บา่ ย เย็น

ก. เวลา ข. นาฬกิ า

ค. อณุ หภมู ิ ง. ประโยชน์

1.12) แบบอนุกรม คำถามแบบนี้จะให้ผู้สอบคิดค้นหากฎเกณฑ์จากโจทย์ หรือ

ข้อมูลที่กำหนดให้ แล้วนำไปใช้เป็นแนวทางในการตอบคำถาม ได้แก่ ชนิดอนุกรม และชนิด

อนุกรมสมั พนั ธ์ เช่น

คำถาม 1, 8, 27, 64...............

ก. 81 ข. 125

ค. 216 ง. 250

คำถาม ควำ่ คบื คลาน...............

ก. นอน ข. ยนื

ค. น่งั ง. เดิน

1.13) แบบสรปุ เรือ่ งราว คำถามแบบนจี้ ะให้ผู้สอบพจิ ารณาจากขอ้ มูลหรือโจทย์

ที่กำหนดให้ แล้วสรุปอยา่ งมีเหตผุ ล

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 110099

คำถาม ถ้านาย ก อายุมากกว่า นาย ข แตอ่ ายนุ ้อยกวา่ นาย ค และ นาย ค

มีอายุน้อยกว่า นาย ง แล้วใครมอี ายุมากทีส่ ดุ

ก. นาย ก ข. นาย ข ค. นาย ค

ง. นาย ง จ. ยงั สรุปไม่ได้

2) แบบตัวเลอื กคงท่ี รปู แบบคำถามนี้ ประกอบด้วยสว่ นสำคญั สองส่วน คอื ส่วนที่

เป็นตัวเลือก และส่วนที่เป็นตัวคำถาม เช่นเดียวกบั รูปแบบคำถามเดียว หรือคำถามโดด แต่จะ

ต่างกันที่ตัวเลือกแบบคงที่จะเป็นตัวเลือกชุดเดียวกันของคำถามทั้งชุดนั้น โดยจะแยกอยู่

ต่างหากจากตัวคำถาม การเขียนคำถามแบบนี้จะต้องเขียนคำชี้แจงของคำถามแต่ละชุดให้

ชัดเจน โดยควรระบุว่าตวั เลือกชุดนีใ้ ช้เป็นคำตอบข้อใดบ้าง และจะใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณา

ซึ่งอาจเป็นความถกู ต้อง ความสอดคล้อง หรือขอ้ เทจ็ จริง

ตวั อย่างที่ 1

คำชี้แจง จากข้อ 1) - 5) ให้พิจารณาวา่ การทำงานในแตล่ ะข้อต้องใช้เครื่องมือชนิดใด

จาก ก-จ ตอ่ ไปนี้

ก. ส้อมพรวน ข. พลัว ค. ช้อนปลกู

ง. เสยี ม จ. จอบ

___ 1) ต้องการขดุ และย้ายต้นกล้าไปปลูกในสถานที่ที่เตรียมไว้

___ 2) การถากหญ้าขดุ ดินหรือขดุ แปลงปลูก

___ 3) เมือ่ ต้องการจะพรวนดินรอบ ๆ ต้นพืชขนาดเล็ก

___ 4) การขดุ หลุมปลกู ต้นไม้ หรือขุดหลุมขนาดเลก็ แต่ลึก

___ 5) ต้องการตักดินตกั ปุ๋ยหรือผสมดิน

ตัวอย่างที่ 2

คำชี้แจง จากข้อ 1) - 6) ให้พิจารณาวา่ ข้อความหรือการทำในแตล่ ะข้อสอดคล้องกับ

ศลี ห้าข้อใด จาก ก-จ ตอ่ ไปนี้

ก. ศีลข้อที่ 1 ข. ศีลข้อที่ 2 ค. ศีลข้อที่ 3

ง. ศีลข้อที่ 4 จ. ศีลข้อที่ 5

___ 1) สมเดชชอบยิงนกตกปลาในวนั หยดุ เรียน

___ 2) วารีบอกแมว่ า่ จะไปบ้านเพือ่ นแต่กลับไปดภู าพยนตร์

___ 3) ใครจะสร้างชาติถ้าพวกเราเปน็ ทาสยาเสพติด

___ 4) ดสุ ิตเกบ็ นาฬิกาได้แล้วไมส่ ง่ คืนเจ้าของทั้ง ๆ ท่รี ู้ว่าใครเปน็ เจ้าของนาฬิกา

___ 5) จะรักใครก็ขอให้รกั จริงและรกั เดียวใจเดียว
___ 6) สมพงษส์ ร้างข่าวให้ประชาชนเข้าใจว่าตนเองเก็บเงินได้ทั้งทีเ่ ป็นเรือ่ งเท็จ

110 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 110

3) แบบกำหนดสถานการณ์ รูปแบบคำถามนี้ จะกำหนดสถานการณ์จำลอง

ขึ้นมา ซึ่งอาจอยู่ในรูปของข้อความหรือภาพ แล้วเขียนคำถามเกี่ยวกับข้อความหรือภาพที่

กำหนดเปน็ สถานการณน์ ั้น โดยยดึ หลักการวา่ อย่าถามให้ตรงเรื่อง อยา่ ถามนอกเรือ่ ง แต่ควร

ถามให้เกี่ยวพันหรืออ้างอิงเรื่องสถานการณห์ รือพาดพงิ เรื่องราวนั้น

ตัวอยา่ ง

คำชแี้ จง จงอา่ นคำประพันธ์นี้ แล้วตอบคำถามขอ้ 1-3

“อันชาติใดไร้รกั สมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติยอ่ ยยับอับจน

บคุ คลจะสขุ ได้อย่างไร”

1) คำประพนั ธ์นี้ ต้องการเน้นเรื่องใด

ก. ความรัก ข. ความสขุ ค. ความสำเรจ็

ง. ความเจริญ จ. ความสามคั คี

2) จากคำประพันธน์ ี้ สิ่งใดที่ทำให้การกระทำไร้ผล

ก. ความยากจนความทุกข์ ข. ความทกุ ข์ ค. ความอ่อนแอ

ง. ความแตกแยก จ. ความเกียจคร้าน

3) คำวา่ “อับจน” ในทีน่ ี้ น่าจะหมายถึงสิง่ ใด

ก. ความอดอยาก ข. การสูญสนิ้ ค. การตกเป็นทาส

ง. การขาดที่พึ่งพงิ จ. ความลม่ จม

การวิเคราะห์หลกั สตู รเพื่อเขียนขอ้ สอบ
การวิเคราะห์หลักสูตร หมายถึง การพิจารณาจุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระของ

รายวิชาใด ๆ ว่าจะให้นักเรียนเกิดพฤติกรรมอะไร และวัดผลอย่างไร ซึ่งในบทนี้ จำเป็นมาก
สำหรับครูผู้สอน ที่ต้องมีทักษะการเขียนข้อสอบเพื่อวัดพฤติกรรมต่าง ๆ และต้องคำนึงถึง

รูปแบบของข้อสอบแบบเลือกตอบดังที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อข้างต้น ทั้งนี้การวิเคราะห์หลักสูตร
เพื่อเขียนข้อสอบมีส่วนสำคัญต้องพิจารณา 2 ส่วน คือ จุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระ (พิชิต

ฤทธิ์จรญู , 2552, น. 97-101; สมนึก ภัททิยธนี, 2562, น. 175-183) มีข้ันตอนดงั นี้
ขนั้ ที่ 1 การวางแผนการสร้างตารางวิเคราะหข์ ้อสอบ แบง่ ออกเป็น
ขนั้ ที่ 1.1 ระบบุ ทเรียนและจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ หลงั จากเตรียมการสอนเสรจ็

จะทราบวา่ ในแต่ละรายวิชามีกีห่ นว่ ยการเรียนรู้ (กี่บท) และแต่ละบทมีจดุ ประสงค์การเรียนรู้

หรือตัวชีว้ ดั ว่าอยา่ งไร แล้วนำผลไปกรอกลงในฟอร์มที่ 1 ดงั นี้
ตัวอย่าง ในการสอบกลางภาค จำนวน 5 บท แสดงดังแบบฟอร์มที่ 1

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 111111

แบบฟอร์มที่ 1 ชื่อเรื่อง และจุดประสงค์การเรียนรู้ในรายวิชาวิจัยเพื่อพัฒนา
การเรียนรู้

ชื่อเรื่อง / บทที่ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ / จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม

1. ความรู้เบอื้ งต้นของการวิจัย 1.1 นิสิตบอกความหมายของการวิจยั ได้

1.2 นิสิตอธิบายถึงจดุ มุง่ หมายของการวิจยั ได้

1.3 นิสิตจำแนกประเภทของมาตราการวดั ได้

2. รูปแบบการวิจัยในช้ันเรียน 2.1 นิสิตอธิบายแบบการวิจัยในช้ันเรียนได้

2.2 นิสิตอธิบายขั้นตอนในการวิจยั ในช้ันเรียนได้

3. การวางแผนดำเนินการวิจัย 3.1 นิสิตอธิบายสว่ นประกอบของการวิจัยได้

3.2 นิสิตประยกุ ต์ใช้แบบแผนการวิจัยได้

3.3 นิสิตสามารถวิเคราะหจ์ ุดเดน่ ของแบบแผนการวิจัยได้

4. แนวคิดในการวิเคราะห์และเลือกปัญหา 4.1 นิสิตระบุประเดน็ ปัญหาการวิจยั ได้

การวิจัย 4.2 นิสิตวิเคราะหป์ ระเดน็ ปญั หาการวิจยั ได้

4.3 นิสิตเขียนประเดน็ ปัญหาการวิจยั ได้

5. เทคนิคการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ 5.1 นิสิตระบแุ หล่งข้อมูลในการศึกษาค้นคว้าได้

เกีย่ วข้อง 5.2 นิสิตสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้องได้

จากแบบฟอร์มที่ 1 จะเหน็ ได้วา่ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้/ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม

จะกำหนดพฤติกรรมที่คาดหวัง (Expected Behavior) ซึ่งเป็นคำกริยาที่บ่งชี้การกระทำด้าน
พทุ ธพิ สิ ยั ท้ังนีส้ ามารถสรุปคำกริยาทีบ่ ่งชกี้ ารกระทำ ตามระดับพฤติกรรมการเรียนรู้ของบลูม

(Bloom) 6 ด้าน ดังตารางที่ 16

112 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 112

ตารางที่ 16 คำบง่ การกระทำ จำแนกตามระดบั พฤติกรรมการเรียนรูข้ องบลูม 6 ด้าน

พฤติกรรมการเรียนรู้ คำกริยาทีบ่ ่งชี้การกระทำ

1. ด้านจำ เลือก (Choose), นิยาม (Define), บรรยาย (Describe), ค้นหา (Find), ระบุ (Label),

(Remember) จบั คู่ (Match), ทอ่ ง (Recite), พูด (Say), เลือก (Select), เรียงลำดบั (Sort), บอก

(Tell)

2. ด้านเข้าใจ หมวดหมู่ (Categorize), ชีแ้ จง (Clarify), จำแนก (Classify), เปรียบเทยี บ

(Understand) (Compare), สาธิต (Demonstrate), แยกความแตกตา่ ง (Distinguish), อธิบาย

(Explain), แสดงให้เห็นถึง (Illustrate), จัดระเบยี บ (Reorganize), คาดการณ์

(Predict), แปลความหมาย (Translate),

3. ด้านประยกุ ต์ใช้ ประยกุ ตใ์ ช้ (Apply), ดำเนินการ (Carry out), สร้าง (Construct), พัฒนา (Develop),

(Apply) แสดง (Display), ปฏิบตั ิ (Execute), แสดง (Illustrate), แก้ (Solve),

ใช้ (Use),

4. ด้านวิเคราะห์ วิเคราะห์ (Analyze), สันนิษฐาน (Assume), จำแนกกลุ่ม (Categorize),

(Analyze) เปรียบเทียบ (Compare), ความแตกต่าง (Contrast), สรปุ (Conclusion), แยกแยะ

(Deconstruct), การแบง่ (Divide), ตรวจสอบ (Examine), สรุป (Infer), รวบรวม

(Integrate), สอบสวน (Investigate), จัดระเบียบ (Organize), ตรวจสอบ (Test for)

5. ด้านประเมินค่า เหน็ ด้วย (Agree), ประเมิน (Appraise), ตรวจสอบ (Check), โน้มน้าวใจ

(Evaluate) (Convince), วิจารณ์ (Criticize), ติชม (Critique), ป้องกนั (Defend), ตัดสินใจ

(Decide), เห็นความแตกตา่ ง (Discriminate), โต้แย้ง (Dispute), ประมาณคา่

(Estimate), ประเมินผล (Evaluate), ตดั สิน (Judge), พิสูจนใ์ ห้เหน็ (Justify),

จัดลำดับก่อนหลัง (Prioritize), พิสจู น์ (Prove),

6. ด้านสร้างสรรค์ ปรับ (Adapt), รวบรวม (Compile), สร้าง (Construct), สร้างสรรค์ (Create),

(Create) ออกแบบ (Design), พฒั นา (Develop), กำหนด (Formulate), สมมติฐาน

(Hypothesize), จินตนาการ (Imagine), ปรับปรุง (Improve), คิดคน้ (Invent),

ปรบั เปลี่ยน (Modify), วางแผน (Plan), การผลิต (Produce), ประดิษฐ์ (Originate),

ปรบั แต่ง (Refine), ดัดแปลง (Transform), จัดลำดับก่อนหลงั (Prioritize), พิสูจน์

(Prove), แนะนำ (Recommend), แก้ปัญหา (Solve), ทดสอบ (Test)

ที่มา : Anderson, Krathwohl, Airasian, Cruiikshank, Mayer, Pintrich, Raths, & Wittrock (2001, pp.

67-68)

ขนั้ ที่ 1.2 พิจารณาเนือ้ หาสาระแต่ละบทและจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละข้อ
ของรายวิชา ว่าในการเรียนการสอนควรจะให้เกิดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยเกี่ยวกับอะไรบา้ ง
มากน้อยเพียงใด ซึ่งตามหลักการจำแนกพฤติกรรมด้านนี้ของ บลูม (Bloom และคณะ) แบ่ง

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 111133

ออกเป็น 6 ด้าน ดงั ได้กลา่ วมาแล้วในบทที่ 3 และคำนึงถึงรปู การเขยี นข้อสอบแบบเลือกตอบ
ดงั ได้กลา่ วมาแล้วขา้ งต้น

ในขั้นนี้ จะต้องกำหนดจำนวนข้อสอบที่จะใช้จริงว่าต้องการกี่ข้อ และเพื่อเลือก
จำนวนขอ้ สอบ จึงควรออกขอ้ สอบเผือ่ ไว้ 20%-50% เชน่ ต้องการใช้ข้อสอบจริง 40 ข้อ หาก

ต้องการเขียนเพื่อเลือกไว้ 30% (12 ข้อ) ก็จะเขียนไว้ทั้งหมด 52 ข้อ เป็นต้น แล้วกรอกข้อมลู
ทั้งหมดลงในแบบฟอรม์ ที่ 2 ดงั นี้

แบบฟอรม์ ที่ 2 จำนวนขอ้ สอบในรายวชิ าวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรียนรู้

พฤติกรรม จำ เขา้ ใจ ประยุกต์ วเิ คราะห์ ประเมิน สร้างสรรค์ รวม ตอ้ งการ อันดบั
ใช้ คา่ 7 จริง ความสำคัญ
บทที่  6
 15 5 4
1. ความรู้เบอื้ งต้น 13

ของการวิจยั 11

2. รูปแบบการวิจัย 52 45

ในช้ันเรียน

3. การวางแผน 12 1

ดำเนินการวิจยั

4. แนวคิดในการ 10 2

วิเคราะห์และเลือก

ปัญหาการวิจยั

5. เทคนิค 93

การศึกษาเอกสาร 

และงานวิจัยที่ 40

เกีย่ วข้อง 

รวม

อนั ดับ

ความสำคญั

ที่มา : ปรบั ปรุงจาก สมนึก ภัททิยธนี (2562, น. 178)

จากแบบฟอร์มที่ 2 มีขั้นตอนดำเนินการดังนี้
 ผู้สอนต้องจัดอันดับความสำคัญของเนื้อเรื่อง/ บทที่เสียก่อนว่าในการออก
ขอ้ สอบจะเน้นเนือ้ หาของบทใดเยอะที่สุด

 กำหนดจำนวนขอ้ สอบที่ต้องการออกสอบ ในตัวอย่างนตี้ ้องการขอ้ สอบ 40
ขอ้

114 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 114

 ทำการกำหนดจำนวนข้อสอบที่จะออกในแต่ละบท ตามอันดบั ความสำคัญ
ในตัวอย่างนี้ บทที่มีความสำคญั มากที่สุดคอื บทที่ 3, 4, 5, 1, และ 2 ตามลำดับ ดังนั้นจำนวน
ขอ้ สอบจะมากหรือน้อย กข็ ้นึ อยูก่ บั อนั ดบั ความสำคัญ

 ควรออกข้อสอบเผื่อไว้ 20%-50% ในตัวอย่างนี้ต้องการใช้ข้อสอบจริง 40
ขอ้ และเขยี นเพือ่ เลือกไว้ 30% (40X0.3 = 12 ขอ้ ) ก็จะเขียนไวท้ ้ังหมด 52 ขอ้

 เพ่มิ จำนวนขอ้ สอบที่จะออกในแต่ละบท 30 %

ขั้นที่ 1.3 กำหนดจำนวนข้อสอบตามพฤติกรรมการเรียนรู้ ว่าในพฤติกรรม
ด้านพุทธพิ สิ ัยของ บลูม (Bloom และคณะ) ทั้ง 6 ด้าน จะออกขอ้ สอบด้านละกีข่ ้อ โดยทจ่ี ำนวน
รวมในแตล่ ะบทจะต้องเท่ากับจำนวนข้อที่กำหนดไวเ้ ผือ่ 30% ในขน้ั ที่ 1.2 และต้องกำหนดเชน่ นี้
ไปทุกบท จะทำให้ได้จำนวนข้อสอบกระจายไปตามแต่ละบทและแต่ละพฤติกรรมอย่าง
สมเหตสุ มผล ดงั แบบฟอร์มที่ 3 ดังนี้

แบบฟอรม์ ที่ 3 จำนวนขอ้ สอบตามพฤติกรรมการเรียนรู้

พฤติกรรม จำ เข้าใจ ประยุกต์ วเิ คราะห์ ประเมิน สร้างสรรค์ รวม ตอ้ งการ อนั ดับ
ใช้ คา่ จริง ความสำคญั
บทที่

1 34 - -- - 75 4

 2 24 - -- - 64 5
3 -3 8 4- - 15 12 1

4 23 3 5 -- - 13 10 2
5 12 4 4 - 11 9 3

รวม 8 16 15 13 52

อันดบั 4 1 2 3- - 40

ความสำคญั 

จากแบบฟอร์มที่ 3 มีข้ันตอนดำเนินการดงั นี้
 กำหนดจำนวนขอ้ สอบที่จะวัดในแตล่ ะพฤติกรรมการเรียนรู้ท้ัง 6 ด้าน ทั้งนี้

การออกข้อสอบว่าจะวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านละกี่ข้อนั้น ให้พิจารณาจุดประสงค์การ
เรียนรู้ ในรายวิชาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ตามแบบฟอร์มที่ 1 ประกอบกัน และในบทที่ 1

ขอ้ สอบต้องออกรวมกนั เท่ากบั 7 ขอ้ ตามทีก่ ำหนดไวจ้ ากการสร้างข้อสอบเพ่มิ 30% จากน้ัน
ทำแบบนใี้ ห้ครบทกุ บท

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลดั ะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 111155

 เมื่อออกข้อสอบครบทุกพฤติกรรมการเรียนรู้และครบทุกบทแล้ว ให้นำ
ขอ้ สอบทีอ่ ยู่ในตารางรวมกนั แยกตามพฤติกรรมการเรียนรู้ (ขอ้ สอบในแนวตั้ง นำมาบวกกนั ) ก็
จะได้จำนวนรวมของขอ้ สอบ

 เมื่อได้จำนวนรวมของขอ้ สอบในแตล่ ะพฤติกรรมการเรียนรู้ ท้ัง 6 ด้านแล้ว
ก็สามารถจัดอันดับความสำคัญได้ว่า ข้อสอบที่ออกสอบนั้น เน้นด้านใดของพฤติกรรมการ
เรียนรู้มากที่สดุ ในตัวอยา่ งนีพ้ บวา่ พฤติกรรมการเรียนรู้ทเ่ี น้นเปน็ หลกั คอื เขา้ ใจ, ประยุกต์ใช้,
วเิ คราะห์, และจำ ตามลำดับ

หมายเหตุ การวางแผนการเขียนข้อสอบในลักษณะนี้ค่อนข้างทำได้ยาก ต้องอาศัย
ความอดทน มีความคิดรวบยอดในเนื้อหาสาระจริง ๆ ดังนั้นการเขียนข้อสอบจะต้องควบคูก่ ับการ
ออกแบบเนอื้ หาการเรียนการสอนรายบท

ข้ันที่ 2 การสรา้ งขอ้ สอบ
การสร้างขอ้ สอบในขน้ั ตอนนี้ จะต่อเนื่องจากขน้ั ที่ 1.3 กลา่ วคือเปน็ การนำขอ้ สอบ

ที่กำหนดไวม้ าออกขอ้ สอบลงบตั รออกขอ้ สอบเปน็ รายข้อ (Item Card) ท้ังนวี้ ธิ ีการสร้างขอ้ สอบ
แบบเลือกตอบ ตัวเลือกและตัวลวงที่ดี โดยให้พิจารณาหลกั ในการสร้างขอ้ สอบแบบเลือกตอบ
ดงั ทีไ่ ด้กลา่ วไวข้ า้ งต้น

ตวั อย่าง การสร้างข้อสอบลงบตั รข้อสอบ แสดงดังแบบฟอรม์ ที่ 4 ดงั นี้

116 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 116

แบบฟอรม์ ที่ 4 บัตรข้อสอบ

บตั รข้อสอบรายขอ้ (Item Card)

ระดับชั้น ปริญญาตรีปีที่ 3

รายวิชา วิจัยเพือ่ พัฒนาการเรียนรู้ รหัสวิชา 161311

บทที่ 1 เรือ่ ง ความรู้เบอื้ งต้นของการวิจัย

ระดบั พฤติกรรมการเรยี นรู้  จำ  เข้าใจ  ประยุกต์ใช้

 วิเคราะห์  ประเมินค่า  สร้างสรรค์

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม นิสิตจำแนกประเภทของมาตราการวัดได้

โจทย์คำถาม และตวั เลือก เฉลย

ข้อที่ 1 ข้อใดตอ่ ไปนีอ้ ยู่ในมาตราการวัดนามบัญญตั ิ ตวั เลือกทีถ่ กู คือ ตัวเลือก ค.

(Nominal Scale) เหตผุ ล เบอร์โทรศัพท์ 099-5558888 อยใู่ นมาตราการวัด

ก. เบอรร์ องเท้า Size 38 นามบัญญัติ เพราะเป็นตัวแปรไมส่ ามารถนำมาเปรียบเทียบ

ข. เงินเดือน 73,500 บาท หรือบอกประมาณความ มาก-น้อย ได้

ค. เบอรโ์ ทรศัพท์ 099-5558888 คำอธิบายตัวเลือกทีผ่ ิด
ง. วันนอี้ ณุ หภมู ิ 33 องศาเซลเซียส ตัวเลือก ก. อย่ใู นมาตราการวดั เรียงอนั ดับ
จ. ได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ 50 คะแนน ตวั เลือก ข. อยู่ในมาตราการวัดอตั ราส่วน

ตวั เลือก ง. อย่ใู นมาตราการวัดอนั ตรภาค

ตัวเลือก จ. อยูใ่ นมาตราการวดั เรียงดนั ดบั

ลงชื่อ _______________________ ผู้ออกข้อสอบ

จากแบบฟอรม์ ที่ 4 ให้ทำแบบนจี้ นครบท้ัง 52 ขอ้

ขน้ั ที่ 3 การวิเคราะห์คุณภาพของขอ้ สอบด้านความตรง (Validity)
ในขั้นตอนนี้เป็นการวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบด้านความตรง ซึ่งเป็น

คุณสมบัติของข้อสอบตัวแรกที่ควรพิจารณา โดยผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาด้านนั้น ๆ พิจารณา
ความสอดคล้องของขอ้ สอบแต่ละขอ้ กบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่
ซึง่ ในขนั้ ตอนนี้ ขอแสดงรายละเอียดในบทที่ 5 และบทที่ 6

ขน้ั ที่ 4 การจดั ขอ้ สอบเข้าฟอร์ม
ในขั้นตอนนี้ ต่อเนื่องจากขั้นที่ 3 กล่าวคือ หลังจากที่นำข้อสอบที่สร้างไปให้

ผู้เชีย่ วชาญตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) เรียบร้อยแล้ว ให้ทำการคัดเลือก
ข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์ คือ IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป (แสดงรายละเอียดแสดงในบทที่ 5 และบทที่
6) เพอ่ื ลงฟอรม์ ของแบบทดสอบ ดังแบบฟอรม์ ที่ 5 ดังนี้

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาัดรแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 111177

ตวั อยา่ งฟอร์มของแบบทดสอบ
แบบทดสอบกลางภาค

รายวิชา................................................... รหัสวิชา...........................
ภาคเรียนที่................. ปีการศึกษา...........................

คำชีแ้ จง
1. ข้อสอบฉบบั นี้ มีจำนวนทั้งหมด......... ข้อ จำนวน......... หน้า เวลาในการทำข้อสอบรวม....... นาที
2. ให้นิสิตฝนคำตอบทีถ่ กู ต้องทีส่ ดุ เพียงคำตอบเดียวลงบนกระดาษคำตอบ
3. อนุญาตให้ใช้เครื่องคดิ เลขในข้อที่มีการคำนวณ แต่หา้ มยืมระหว่างกนั เดด็ ขาด ถ้ากรรมการคุมสอบ

จบั ได้จะถูกปรับตกในรายวิชานี้
4. ห้ามขีดเขียน หรือทำเครือ่ งหมายใด ๆ ลงในแบบทดสอบเป็นอันขาด และห้ามทำการทุจริตด้วย

วิธีการต่าง ๆ
5. ห้ามนำแบบทดสอบและกระดาษคำตอบออกนอกห้องสอบก่อนได้รับอนุญาต และเมื่อตอบ

แบบทดสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้สง่ แบบทดสอบคืนแกก่ รรมการคมุ สอบ

ข้นั ที่ 5 การดำเนินการสอบ
ขน้ั ที่ 5.1 ระบุจำนวนผเู้ ขา้ สอบ เป็นการระบผุ ู้เข้าสอบ วา่ มีจำนวนกีค่ น และ

เซนต์ชื่อการเขา้ สอบให้ครบทุกคน เพ่อื ป้องกนั การทจุ ริตขอ้ สอบ
ขั้นที่ 5.2 ทดลองใช้แบบทดสอบ (Try Out) กับกลุ่มผู้เรียนที่มีคุณลกั ษณะ

คล้ายกลุ่มตัวอยา่ งจริง จำนวน 1 ห้องเรียน อยา่ งน้อย 30 คนข้ึนไป (ควรเปน็ นกั เรียนที่มีระดับ
สติปัญญา เก่ง ปานกลาง อ่อน) โดยการทดลองใช้แบบทดสอบ ควรสังเกตพฤติกรรมการทำ
ขอ้ สอบด้วย เพือ่ นำขอ้ มลู ต่าง ๆ ไปแก้ไขปรับปรงุ แบบทดสอบให้มีคณุ ภาพมากย่งิ ข้นึ

ขั้นที่ 6 การวิเคราะห์คณุ ภาพข้อสอบ และปรบั ปรุงข้อสอบก่อนนำไปใช้
ขน้ั ที่ 6.1 การตรวจให้คะแนน
ขั้นที่ 6.2 การวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบ เป็นการนำกระดาษคำตอบของผู้

เขา้ สอบมาตรวจให้คะแนน และวเิ คราะห์คุณภาพของขอ้ สอบด้านความยาก ค่าอำนาจจำแนก
เพอ่ื ทำการคัดเลือกข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์ และปรับปรุงคุณภาพของข้อสอบ ตัวเลือกที่ถูก และ
ตัวลวง รวมทั้งนำขอ้ สอบที่ผ่านเกณฑ์คา่ ความยากและอำนาจจำแนก มาวเิ คราะห์ความเที่ยง
ท้ังฉบบั ของขอ้ สอบ (แสดงรายละเอียดแสดงในบทที่ 5 และบทที่ 6)

118 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 118

บทสรปุ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะประกอบด้วยชุดของข้อคำถามที่สร้าง

ขึ้นมา เพื่อเร้าให้ผู้เรียนตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นความรู้ความสามารถทาง
สติปัญญาออกมา ซึ่งมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่ยึดในการพิจารณาจำแนก
ท้ังนี้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนที่ครสู ร้างข้นึ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเปน็ แบบอัตนยั
หรือความเรียง, แบบเติมคำ, แบบกาถูก-ผิด, แบบตอบสั้น ๆ, แบบจับคู่, และแบบเลือกตอบ
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะต้องทำการศึกษา
หลักการสร้างของข้อสอบ ข้อดี และข้อจำกัดของข้อสอบแต่ละประเภท เพื่อจะได้ทำการ
คัดเลือกประเภทของขอ้ สอบได้อย่างเหมาะสม และสิง่ ทีส่ ำคัญทีส่ ุดในการสร้างแบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็คือ การวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อเขียนข้อสอบ เนื่องจากจะทำให้
ครูผู้สอนได้ทราบว่าการสอนแต่ละรายวชิ านั้น เนอื้ หาต่าง ๆ มงุ่ วดั พฤติกรรมการเรียนรู้ใด จะ
สามารถทำการสร้างข้อสอบได้อย่างครอบคลุมและหลากหลาย รวมทั้งทำการวิเคราะห์
คุณภาพของแบบทดสอบเพื่อคัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพไว้ใช้กับผู้เรียนต่อไป ทั้งนี้สามารถ
สรุปขั้นตอนการวเิ คราะหห์ ลักสูตรเพอ่ื เขยี นข้อสอบ ดังภาพ 10

ข้ันที่ 1 การวางแผนการสร้างตารางวเิ คราะหข์ ้อสอบ

ขั้นที่ 2 การสรา้ งข้อสอบ

ขน้ั ที่ 3 การวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบดา้ นความตรง

ข้ันที่ 4 การจดั ขอ้ สอบเข้าฟอรม์

ขนั้ ที่ 5 การดาเนินการสอบ

ขนั้ ที่ 6 การวเิ คราะหค์ ณุ ภาพขอ้ สอบ และปรับปรุงข้อสอบก่อนนาไปใช้

ภาพ 10 แสดงข้นั ตอนการวิเคราะหห์ ลกั สูตรเพื่อเขียนข้อสอบ

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 111199

แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
1. จงระบุความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ตามที่นิสิตเขา้ ใจ
2. จงเปรียบเทียบความเหมือนและแตกต่างระหว่างข้อสอบแบบอัตนัยหรือความ

เรียง, แบบกาถกู – ผิด, แบบเติมคำ, แบบตอบสั้น ๆ, แบบจับคู่, และแบบเลือกตอบ
3. ให้นิสิตแบ่งกลุ่ม ๆ 4-5 คน และนำเนื้อหาในรายวิชาการวัดและประเมินผลการ

เรียนรู้ บทที่ 1-4 มาสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้
3.1 แบบทดสอบแบบอตั นัยหรือความเรียง บทละ 2 ขอ้
3.2 แบบทดสอบแบบกาถกู – ผิด บทละ 5 ขอ้
3.3 แบบทดสอบแบบเติมคำ บทละ 5 ขอ้
3.4 แบบทดสอบแบบตอบส้ัน ๆ บทละ 5 ขอ้
3.5 แบบทดสอบแบบจับคู่ บทละ 5 ขอ้
3.6 แบบทดสอบแบบเลือกตอบ จำนวน 30 ข้อ ตามขั้นตอนการวิเคราะห์

หลกั สูตรเพ่อื เขยี นข้อสอบ ทั้ง 6 ข้ันตอน
3.7 นำแบบทดสอบข้อ 3.1-3.6 ออกแบบลงเลม่ รายงานการสร้างแบบทดสอบวดั

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

เอกสารอ้างอิง
ชวาล แพรตั กลุ . (2552). เทคนิคการวดั ผล (พมิ พ์ครั้งที่ 7). กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั

ศรีนครินทรวโิ รฒ.
พชิ ิต ฤทธจิ์ รูญ. (2552). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา (พมิ พค์ รั้งที่ 5). กรุงเทพฯ :

เฮ้าส์ ออฟ เคอรม์ ีสท์.
เยาวดี รางชยั กุล วบิ ลู ยศ์ รี. (2554). การวดั ผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ (พมิ พค์ ร้ังที่

10). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. (2551). เทคนิคการวดั ผลการเรียนรู้ (พมิ พ์ครั้งที่ 2).

กรุงเทพฯ: สวุ รี ิยาสาส์น.
ศิริชัย กาญจนวาสี. (2548). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดิม (พมิ พ์ครั้งที่ 5). กรงุ เทพฯ: โรง

พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
สมนึก ภทั ทิยธนี. (2562). การวัดผลการศึกษา (พมิ พค์ ร้ังที่ 12). กาฬสินธ์:ุ ประสานการพมิ พ์.
อนวุ ตั ร คณู แก้ว. (2562). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษาแนวใหม่ (พมิ พ์ครง้ั ที่ 3).

กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

120 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะัดเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสดั รแิฐละประเมินผลการ 120

แผนการสอนประจำบทท่ี 5

การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
เมือ่ เรียนจบบทเรียนนี้แล้ว นิสิตมีความสามารถ ดังนี้
1. อธิบายความสำคัญของหลกั การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบได้
2. ประยุกตใ์ ช้การวเิ คราะห์คุณภาพของแบบทดสอบได้
3. แปลผลการวเิ คราะห์คณุ ภาพของแบบทดสอบได้

เนือ้ หาสาระ
1. ลักษณะของเครือ่ งมือวัดผลทีด่ ี
2. หลักการตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน แบบอิง

กลุม่ และอิงเกณฑ์
3. ความตรง (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน แบบอิงกล่มุ และ

อิงเกณฑ์
4. ความยาก (Difficulty) และอำนาจจำแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวดั ผล

สมั ฤทธิท์ างการเรียน แบบอิงกลุม่ และอิงเกณฑ์
5. ความเทีย่ ง (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน แบบอิงกลุ่ม

และอิงเกณฑ์
6. ความเปน็ ปรนัย (Objectivity) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน
1. ผู้สอนชีแ้ จงจดุ ประสงคก์ ารเรียนเนอื้ หาบทที่ 5
2. ผู้สอนบรรยายเนอื้ หาบทที่ 5 และยกตัวอย่างประกอบตามเวลาที่กำหนด
3. ผู้สอนและนิสิตรว่ มกนั อภิปรายและตอบข้อซักถาม
4. สุ่มตัวแทนนิสิตประมาณ 5 คน เพื่อสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบ

คณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน และผู้สอนทำการสรปุ ในประเด็นเพม่ิ เติม

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 112211

5. นิสิตทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5 และสง่ ตามระยะเวลาที่กำหนด
6. ครูผู้สอนมอบหมายให้นิสิตทุกคน ศึกษาเนื้อหาบทที่ 6 ล่วงหน้า พร้อมทั้งสรุป
ความรู้ลงในแผนผังความคดิ (Mind Mapping)
7. ให้นิสิตกลุ่มเดิม (กลุ่มการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในบทที่
4) นำแบบทดสอบแบบเลือกตอบ จำนวน 30 ข้อ ที่ได้สร้างขึ้น มาทำการตรวจสอบคุณภาพ
ของเครื่องมือ โดยกำหนดผู้เชีย่ วชาญในการตรวจสอบด้านความตรงเชิงเนื้อหา จำนวน 3 คน
และนำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับเพื่อนนิสิตจำนวนอย่างน้อย 25 คน พร้อมทั้งสรุปผลลง
รายงานการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน และสง่ ตามระยะเวลาที่กำหนด

สอ่ื การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน 161311 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
2. สือ่ การสอนในรปู แบบโปรแกรม PowerPoint ประจำบทที่ 5
3. แบบฝึกหัดท้ายบท

การวัดผลและประเมินผล
1. การร่วมอภิปรายและตอบคำถามในช้ันเรียน
2. การตอบคำถามจากแบบฝึกหดั ท้ายบท
3. การมีสว่ นรว่ มในช้ันเรียน
4. ความสนใจและความรบั ผิดชอบตอ่ การเรียน
5. รายงานการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

122 เอกสารปดรระ.กวรอรบณกาารกสรอนพรกปารวะดัเสแรลิฐะประเมินผเลอกกาสรเารรียปนรระู้ |กดอรบ.วกรารรณสาอกนรวพิชารกปารระเวสัดรแิฐละประเมินผลการ 122

บทท่ี 5

การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

เครื่องมือในการวัดผลทางการศึกษามีความสำคัญมาก เนื่องจากทำให้ครูผู้สอนได้
ทราบถึงความสามารถของผู้เรียนที่แฝงอยู่ภายใน โดยการใช้เครื่องมือวัดผลเป็นสิ่งเร้าหรือ
ตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถออกมา แตอ่ ย่างไรเครื่องมือวดั ผลที่ถูกสร้างข้นึ มานั้นมี
คณุ ภาพเป็นอย่างไร ผลทีไ่ ด้จากการใช้เครื่องมือวัดผลถกู ต้องครอบคลุมและน่าเชื่อถือหรือไม่
จึงจำเปน็ อย่างย่งิ ที่จะต้องทำการตรวจสอบคุณภาพของเครือ่ งมือวดั ผล เพอ่ื ให้เกิดความม่ันใจ
ของผลที่ได้จากการใช้เครื่องมือวัดผล สามารถวิเคราะห์ผู้เรียนได้อย่างน่าเชื่อถือ และนำไปสู่
การพัฒนาหรือปรับปรงุ ผู้เรียน รวมท้ังประเมินผลผู้เรียนได้อยา่ งถกู ต้อง

ลกั ษณะของเครอ่ื งมือวัดผลที่ดี
Neuman (2007, pp.115-116); บุญเรียง ขจรศิลป์ (2543, น. 161-172); ล้วน สายยศ

และอังคณา สายยศ (2551, น. 21-32); ชวาล แพรัตกุล (2552, น. 81-89); พิชิต ฤทธิ์จรูญ
(2552, น. 136); ราตรี นันทสุคนธ์ (2555, น. 87-90); 30-32 อนุวัตร คูณแก้ว (2562,
น. 193-197) ได้กล่าวถึงลักษณะของเครื่องมือวดั ผลที่ดี ไว้ 10 ประการ ดงั นี้

1. ความตรง หรือความเที่ยงตรง (Validity) เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือวัดผลที่
สามารถวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัด หรือวัดได้ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการจะวัดได้มากน้อย
เพยี งใด ถ้าเครือ่ งมือสามารถวดั สิ่งทีต่ ้องการจะวดั กแ็ สดงว่าเครือ่ งมือวดั ผลน้ันมคี วามตรงสูง
แต่ถ้าวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดน้อยหรือไม่วัดในสิง่ ที่จะวัดเลย ก็แสดงว่าเครื่องมือวัดผลนั้นมี
ความตรงต่ำ

2. ความเที่ยง หรือความเชื่อมั่น (Reliability) เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือวัดผลที่
สามารถวัดได้อย่างคงเส้นคงวา กล่าวคือความเที่ยงเป็นดัชนีที่ชี้ให้ทราบว่าเครือ่ งมือวดั ผลมี
ความคงทีใ่ นการวดั ถึงแม้ว่าจะวดั กีค่ รั้งก็ตาม ผลที่ได้จากการวัดต้องได้เท่าเดิมหรือใกล้เคียง
เดิม ถา้ เครื่องมือวดั ผลใดไม่มีความเที่ยง แสดงวา่ คะแนนในการทดสอบแตล่ ะคร้ังจะแตกต่าง
กนั เชน่ การทดสอบวชิ าภาษาไทย มีการสอบ 3 ครั้ง โดยใช้เครือ่ งมือวัดผลฉบบั เดียวกัน และ
ทิ้งระยะหา่ งในการสอบห่างกัน 2 สัปดาห์ ปรากฏผลดงั นี้ ครั้งแรกสอบได้ 20 คะแนน ครั้งที่
สองสอบได้ 4 คะแนน และครั้งที่สามสอบได้ 9 คะแนน นั่นแสดงว่าเครื่องมือวัดผลนั้นไม่มี

ดร.วรรณากร พรปดระ.วเรสรรณิฐากรพรปเรอะกเสราิฐรป| รเอะกกสอาบรกปารระกสอบนกวาิชราสกอานรกวาดั รแวลัดะแปลระะปเรมะินเมผินลผกลากรารเรียนรู้ 112233


Click to View FlipBook Version