าติชนิดหนึ่ง มนุษยไ์ มส่ ามารถมีชีวิต
รธรรมชาติ เพราะมีความสาคญั เป็น
ากรต่างๆ มีความสมั พนั ธต์ ่อกนั และ
ติมากมายให้ใช้อยอู่ ยา่ งเพียงพอกต็ าม
มม่ ีแผนการแลว้ สกั วนั หน่ึงในอนาคต
23
ห
ก
แ
ส
แ
ส
ส
ต
ภาพ การหมนุ เวียนของธาตใุ นสิง่ มีชีวิต
สิ่ งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็ นพืช สัตว์
หรือมนุษย ์ ล้วนมีบทบาทหน้าท่ีแตกต่าง
กั น ไ ป
และตส้อ่ิงงมอีชาีวศิตยั ทพกุ งึ่ ชพนาิซด่ึงเปก็นนั แส่ลวนะกหนั น่ึงของ
สิ่ งแวดล้อม มีบทบาทหน้ าท่ี ต่อสภาพ
แวดล้อมแตกต่างกนั ออกไป และในที่
สุดส่ิงมีชีวิตทุกชนิ ดก็จะต้องกลบั คืนสู่
สภาพแวดล้อมเพื่อใ ห้ พืช นามาใ ช้ อี ก
ต่อไป
25
สิ่งมีชีวิตท่ีดารงชีวิตอย่ใู นโลกนี้จะ
ธาตุชนิ ดต่างๆ มาประกอบกันโดย
ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว หรือปฏิกิริยา
การท่ีเราสามารถเคล่ือนไหวแขน ขา
ต่างๆ ของร่างกายได้ ก็เพราะอาศัย
ร่างกายได้รบั จากอาหาร และร่างกา
เจริญเติบโตได้ กเ็ พราะได้รบั ธาตอุ าหาร
จาก อาหาร น้ า และอา กา ศ ส่ิ งท่ี เ กิ ด
ล้วนต้องอยภู่ ายใต้กฎของธรรมชาติ ดงั
ะต้องอาศยั
มีพลงั งาน
าต่างๆ ขึน้
า หรือส่วน
ยพลงั งานท่ี
ายสามารถ
รท่ีต้องการ
ดขึ้นเหล่านี้
งนี้
26
กฎของ 1
ธรรมชาติ
สารอาหาร 2
ได้จาก
ธรรมชาติ
เท่านัน้
การดารงชีวิตของมนุษยต์ ้อง
ธรรมชาติอยตู่ ลอดไป ดงั นัน้ ธรรมชาต
ของส่ิงมีชีวิตทกุ ชนิด และธรรมชาติกม็
ระบบของธรรมชาติซึ่งเราเรียกวา่ ระบ
พลงั งาน
ได้จาก
ธรรมชาติ
เท่านัน้
งอาศยั พลงั งาน และธาตุอาหารจาก
ติจึงเป็ นแหล่งที่ให้ปัจจยั ท่ีสาคญั ท่ีสุด
มีการควบคมุ การเปลี่ยนแปลงไปตาม
บบนิเวศ (Ecosystem)
27
สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกจึงต้องมีก
ระบบนิเวศ หมายถึง ระบบที่มีความสมั
ด้วยกนั และระหว่างสิ่งมีชีวิตกบั สิ่งไม
แลกเปล่ียนสสาร และพลงั งานเป็ นวฏั
นิเวศได้ดงั นี้
ระบบนิเวศ = กล่มุ สิ่งม
ารพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เรียกว่า
มพนั ธซ์ ึ่งกนั และกนั ระหว่างสิ่งมีชีวิต
ม่มีชีวิตในแหล่งที่อยู่ ซ่ึงทาให้เกิดการ
ฏจกั ร อาจสรปุ ความหมายของระบบ
มีชีวิต + แหล่งที่อยู่
28
ส่ิงต่างๆ ท่ีมีอยใู่ นโลกจึงต้องมี 1
การพ่ึงพาอาศัยซ่ึ งกันและกัน
เรียกว่า ระบบนิเวศ หมายถึง ระบบ
ท่ี มี ค ว า ม สัม พ ัน ธ์ ซึ่ ง กัน แ ล ะ กัน
ร ะหว่า งส่ิ งมี ชี วิ ตด้ ว ย กัน และ
ระหว่างสิ่งมีชีวิตกบั สิ่งไม่มีชีวิตใน
แ ห ล่ ง ท่ี อ ยู่ ซึ่ ง ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร
แ ล ก เ ป ล่ี ย น ส ส า ร แ ล ะ พ ล ัง ง า น
เป็ นวัฏจกั ร อาจสรุปความหมาย
ของระบบนิเวศได้ดงั นี้
1. ระบบนิเวศบก 2. ระบบนิเวศน้า
1.1 ระบบนิเวศ 2.1 ระบบนิเวศ
ป่ าไม้ น้าจืด
1.2 ระบบนิเวศ 2.2 ระบบนิเวศ
ทะเลทราย น้ากร่อย
1.3 ระบบนิเวศ 2.3 ระบบนิเวศ
ท่งุ น้าแขง็ น้าทะเล
29
ส
1(
2ส
(B
ส่ิงไมม่ ีชีวิต
(Abiotic Components)
1.1 พลงั งาน
1.2 องคป์ ระกอบทางกายภาพ
1.3 องคป์ ระกอบทางเคมี
สิ่งมีชีวิต
Biotic Components)
2.1 ผ้ผู ลิต (Producer)
2.2 ผ้บู ริโภค (Consumer)
2.3 ผยู้ ่อยสลาย (Decomposer)
30
ภาพความสมั พนั ธร์ ะหว่างผผู้
ผลิต ผบู้ ริโภค และผยู้ ่อยสลาย
31
การเปลี่ยนแปลงพลงั งานในลกั
พลงั งานหรือที่เรียกวา่ กฎของอณุ หพล
2
กฎแห่งการสญู เสียพลงั งาน
กษณะต่างๆ จะเป็ นไปตามกฎของ
ลศาสตร์ ดงั นี้
1
กฎแห่งการอนุรกั ษ์พลงั งาน
32
1 กระบวนการสงั เคราะ
2 กระบวน
ภาพ ความสมั พนั
ะหด์ ้วยแสง
นการหายใจ
นธข์ องการสงั เคราะหด์ ้วยแสง และการหายใจ
33
ในทางนิ เวศวิทยาเรียกพืชซ่ึง
นิเวศว่าเป็ น ผ้รู บั -ส่งพลงั งานขนั้ ที่ 1 พ
ส่งพลงั งานขนั้ ที่ 2 และพวกท่ีกินสตั วเ์ ป็น
ดงั นัน้ ระดบั การรบั -ส่งพลงั งานกค็ ือ ขนั้
เกิดจากการรบั เอาอาหารต่อๆ กนั ไปข
อย่างไรก็ตาม การนับระดับการรบั -
พลงั งานถกู ส่งผ่านไปในส่ิงมีชีวิตอยา่ งไ
งเป็ นผ้ผู ลิตอาหารขนั้ ต้นให้กบั ระบบ
พวกสตั วท์ ี่กินพืชเป็ นอาหารเป็น ผ้รู บั -
นอาหารเป็น ผ้รู บั -ส่งพลงั งานขนั้ ที่ 3
นในการรบั พลงั งานจากดวงอาทิตยท์ ี่
ของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศนัน่ เอง แต่
-ส่งพลงั งานนั้นจะต้องพิจารณาว่า
ไรมาประกอบด้วย
34
ระดบั ในการรบั -ส่งพลงั งานขอ
ต้นข้าวที่อยู่ในทุ่งนา นับเป็ นผู้รบั -ส่งพล
อาห
ดงั นัน้ มนุษยจ์ งึ เป็นผ้รู บั -ส่งพลงั งานขนั้ ท
เป็นผ้รู บั -ส่งพลงั งานขนั้ ท่ี 2 เมอ่ื มนุษยน์
มนุษยก์ จ็ ะเป็นผรู้ บั -ส่งพลงั งานขนั้ ที่ 3
ภาพ ระดบั การรบั -ส่งพลงั งา
เป็นผผู้ ลิตอาหารขนั้ ต้นให้แก่
องระบบนิ เวศอาจไม่เหมือนกนั เช่น
ลงั งานขนั้ ท่ี 1 มนุษย์นาข้าวไปกินเป็ น
หาร
ท่ี 2 แต่ถา้ ววั กินขา้ วในท่งุ นานัน้ ววั จะ
นาววั ไปฆ่า และนาเนื้อมาเป็นอาหาร
านซึง่ มีพชื 35
กระบบนิ เวศ
ประสิ ทธิ ภาพของระบ บ
พลงั งานย่อมสูญเสียไปในระหว
นามาอธิบายถึงการรบั -ส่งพลงั งาน
อาหารเพียงร้อยละ 10 ของพลง
เท่านัน้ จะถกู ส่งต่อ และเก็บ
ร้อยละ 90 ขอ
ของความร้อน
บนิ เวศ จากกฎของพลงั งานท่ีว่า
ว่างการเปลี่ยนแปลงพลงั งาน ถ้า
นในระดบั ต่างๆ จะพบว่า พลงั งาน
งั งานทงั้ หมดท่ีมีอยู่ในระดบั หนึ่ง
บไว้ในระดบั ต่อไป นัน่ คือประมาณ
องพลงั งานในอาหารจะสูญไปในรปู
นให้แก่สิ่งแวดลอ้ ม
36
ภาพพีระมิดแสดงประสิทธิภาพของการรบั -สง่ พ
พลงั งานทีน่ าไปใช้ประโยชน์ในระบบนิเวศ
37
1 สิ่งมีชีวิตเร่ิมต้นขึน้ ด้วยการเริ่มมีแส
สารประกอบที่เป็นอาหาร หรืออินท
2 จากดวงอาทิตย์ และมีพืชสีเขียว
3 ถ้าห่วงโซ่อาหาร หรือระดบั การส่งถ่า
เท่าไร พลงั งานที่ใช้ในระบบนิเวศกจ็
4 พลงั งานแสงจากดวงอาทิตยท์ ่ีส่งไปถ
สงั เคราะหด์ ้วยแสงเพียงรอ้ ยละ 0.2
จากดวงอาทิตยท์ ่ีส่งมายงั พืชจะสญู ห
พลงั งานแสงจากดวงอาทิตยท์ ี่พืชนา
5 มากกว่าพลงั งานจากน้ามนั และพลงั
โลกถึง 400 เท่าในเวลา 1 ปี
สงจากดวงอาทิตย์
ทรยี วตั ถทุ กุ ชนิดเกิดขึน้ ได้เนื่องจากมีแสง
ายพลงั งานในระบบนิเวศมีระดบั น้อยลง
จะสญู หาย และลดน้อยลงได้เท่านัน้
ถึงพืชนัน้ จะถกู พืชนาไปใช้ในกระบวนการ
เท่านัน้ นัน่ คือร้อยละ 99.8 ของพลงั งาน
หายไป
าไปใช้เปล่ียนเป็นพลงั งานเคมี จะมีปริมาณ
งงานจากนิวเคลียรท์ ่ีมนุษยใ์ ช้อยบู่ นพืน้
38
สิ่งมีชีวิตทกุ ชนิดเป็นส่วนหนึ่งขอ
ทงั้ เป็นผ้ผู ลิต ผบู้ ริโภค และผยู้ ่อยสลาย ความ
ธรรมชาติที่ว่า พลงั งาน และสารอาหารได้จาก
ต้องพึ่งพาอาศยั ซึ่งกนั และกนั ระหว่างส่ิงมีชีว
ระบบนิ เวศแบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ ระบ
องคป์ ระกอบของระบบนิเวศได้แก่ สิ่งมีชีวิต แ
ระบบนิ เวศเป็ นไปตามกฎแห่งการอนุรกั ษ์พ
กระบวนการพลงั งานในระบบนิ เวศประกอบ
กระบวนการหายใจ การรบั -ส่งพลงั งานในร
พลงั งานขนั้ ท่ี 1 สตั วก์ ินพืชเป็ นผ้รู บั -ส่งพลงั
พลงั งานขนั้ ที่ 3 ในการเปล่ียนแปลงพลงั งานแ
หน่ึงด้วย
องส่ิงแวดล้อม มีบทบาทหน้าท่ีแตกต่างกนั ไป
มสมั พนั ธร์ ะหว่างส่ิงแวดล้อมอย่ภู ายใต้กฎของ
กธรรมชาติเท่านัน้ การดารงชีวิตของมนุษย์
วิต และส่ิงท่ีไม่มีชีวิต ซ่ึงเรียกว่า ระบบนิ เวศ
บบนิ เวศทางบก และระบบนิ เวศในน้า
และส่ิงไมม่ ีชีวิต การปลี่ยนแปลงพลงั งานใน
พลงั งาน และกฎแห่งการสูญเสียพลงั งาน
บด้วย กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงและ
ระบบนิ เวศมี 3 ระดบั โดยมีพืชเป็ นผ้รู บั -ส่ง
งงานขนั้ ท่ี 2 และพวกที่กินสตั วเ์ ป็ นผ้รู บั -ส่ง
แต่ละขนั้ นัน้ จะมีการสญู เสียพลงั งานไปส่วน
39
แต่เดิมมนุษยม์ ีเพียงอาหารเท
ท่ีแต่ละคนได้รบั ในแต่ละวนั เทียบเท่าก
ต่อมามนุษย์เริ่มรู้จกั ไฟโดย
แรงงานสตั วใ์ นการเพาะปลกู และเริ่มใ
ทากิ จกรรมต่ างๆ เช่ น ผลิ ตอาวุธสา
ความจาเป็ นในการใช้พลงั งานเพิ่มสูงข
กงั หนั วิดน้าซึ่งมีกาลงั เพียงประมาณ 0.
สามารถเพ่ิมกาลงั ได้เป็ น 2 กิโลวตั ต์ ใ
เพอื่ ยกของหนัก สบู น้า และบดเมลด็ ธญั
ท่านัน้ ที่เป็นแหล่งพลงั งาน โดยปริมาณ
กบั ความรอ้ นเพียง 2,000 กิโลแคลอรี
ยมีการใช้ไฟทาให้อาหารสุก รู้จกั ใช้
ใช้ไม้เป็ นเชื้อเพลิงให้ความร้อนในการ
าหรบั ล่าสตั ว์ และป้องกนั ตวั ในยุคนี้
ขึน้ ในศตวรรษที่ 1 มนุษยเ์ ร่ิมร้จู กั ทา
.3 กิโลวตั ตเ์ ท่านัน้ ต่อมาศตวรรษท่ี 4
ในศตวรรษท่ี 12 เร่ิมร้จู กั ใช้กงั หนั ลม
ญพชื กนั มากในประเทศองั กฤษ
41
อยา่ งไรกต็ าม จนถึงยุคก่อนศต
ยงั นับว่าต่าเม่ือเทียบกบั ปัจจุบนั มีการ
ต่อคนต่อวนั เท่านัน้ และแหล่งพลงั งา
พลงั น้าในรปู กงั หนั น้า ซ่ึงมีใช้กนั มากใน
มนุษยเ์ ร่ิมใช้พลงั งานในอตั รา
อย่างรวดเร็วในยุคปฏิ วัติ อุตสาหก
ศตวรรษท่ี 19 ซึ่งมีการประดิษฐเ์ ครื่องจ
และเริ่มมีการใช้ถ่านหินเป็ นเชื้อเพลิง
และใช้กังหันน้าและลม ขณะท่ีปลายศ
ที่ 19 เริ่มมีการใช้ถ่านหิ นในการผล
ความต้องการใช้พลงั งานจึงเพ่ิมขนึ้ อย่าง
โดยมีค่าเฉลี่ยต่อคนต่อวนั เท่ากบั 24,
แคลอรี
ตวรรษที่ 18 ความต้องการใช้พลงั งานก็
รใช้พลงั งานเพียง 12,000 กิโลแคลอรี
านในสมยั นัน้ ก็ยงั จากัดอยู่ท่ีไม้ และ
นประเทศองั กฤษ
าที่เพ่ิมขึ้น
กรรมใน
จกั รไอน้า
งแทนไม้
ศตวรรษ
ลิตไฟฟ้ า
งรวดเรว็
,000 กิ โล
42
ต้นศตวรรษท่ี 20 ได้มีการค้นพ
ท่ีมีคณุ สมบตั ิอเนกประสงค์ สามารถใช้ใ
เครื่องจกั ร โดยเฉพาะเคร่ืองยนต์ที่มีกา
น้ามนั ยงั ทาได้ง่ายกว่าการขนส่งถ่านห
หิน ในระยะต่อมามีการใช้ปิ โตรเลียมใน
การเติ บโตทางด้านเศรษฐกิ จในประเท
การใช้พลงั งานของมนุษยโ์ ดยเฉพาะกล
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเรว็ และหลงั สงคราม
ประเทศไทยรบั เอารปู แบบการใช้ชีวิตข
การดารงชีวิต ปริมาณความต้องการพล
รวดเรว็ มนุษยใ์ นยคุ นี้ใช้พลงั งาน 240,0
พบปิ โตรเลียม ซ่ึงเป็นเชื้อเพลิงพลงั งาน
ให้แสงสวา่ ง ใช้ผลิตไฟฟ้า ใช้ขบั เคล่ือน
ารสนั ดาปภายใน นอกจากนี้การขนส่ง
หิน ดงั นัน้ ปิ โตรเลียมจึงถกู ใช้แทนถ่าน
นเครื่องยนต ์ และใช้ผลิตไฟฟ้า ทาให้มี
ทศตะวนั ตก และเป็ นจุดสาคญั ท่ีทาให้
ล่มุ ประเทศยโุ รปตะวนั ตก และอเมริกา
มโลกครงั้ ที่ 2 ประเทศต่างๆ รวมทงั้
ของชาวตะวนั ตกมาเป็ นแบบอย่างใน
ลงั งานในประเทศเหลา่ นี้เพิ่มสงู ขนึ้ อย่าง
000 กิโลแคลอรีต่อคนต่อวนั
43
วิวฒั นาการการค้นพบพลงั งานกบั ก
ความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมมนุษ
ความเจริญทางอารยธรรมของมนุษยต์ า
ยคุ เริ่มแรก (ยคุ หินเก่า) ยคุ ล่าสตั ว์ (ย
มนุษยด์ ารงชีวิตแบบง่ายๆ มีการรวมกล่มุ เพ่อื
อย่ตู ามธรรมชาติ การใช้พลงั งาน ล่าสตั วข์ นาดใหญ
ต่อคนต่อวนั มีเพียงการอาศยั ใช้ไฟล่าสตั วอ์ อกจ
ความอบอ่นุ จากแสงอาทิตย์
ตามธรรมชาติซึ่งคิดเป็นพลงั งาน และทาเนื้อสตั วใ์ ห
พลงั งานของคนใน
ประมาณ 2,000 กิโลแคลอรีต่อ เพิ่มขนึ้ ราว 5,000
คนต่อวนั เท่านัน้ ต่อคนต่อวนั
การนามาใช้นัน้ มีความเป็นมาควบค่กู บั
ษย ์ นักวิทยาศาสตรไ์ ด้แบง่ ยคุ สมยั ของ
ามวิวฒั นาการในการใช้พลงั งาน ดงั นี้
ยคุ หินใหม่) ยคุ เกษตรกรรม
อร่วมกนั เกิดขนึ้ เมอ่ื ราว 10,000 ปี มาแล้ว
มนุษยเ์ ริ่มรจู้ กั เลี้ยงสตั ว์ และเพาะปลกู
ญข่ นึ้ ร้จู กั พืช ใช้สตั วเ์ ป็นพาหนะ และท่นุ แรง
จากที่ซ่อน ในการทางาน การเกษตรในยุคนี้มี
จดุ มงุ่ หมายเพียงเพื่อเลี้ยงตนเองและ
ห้สกุ การใช้ ครอบครวั การใช้พลงั งานจึงมีประมาณ
นยคุ นี้
0 กิโลแคลอรี 12,000 กิโลแคลอรีต่อคนต่อวนั
44
ยคุ เกษตรกรรมก้าวหน้า ยคุ อตุ สาหกร
เกิดขึน้ ราว 5,000 ปี ก่อน นับตงั้ แต่มีการปร
คริสตกาล มนุษยเ์ ร่ิมมีการตงั้ คิดค้นเครอื่ งจกั รไ
ถ่ินฐานอยกู่ บั ท่ีมีสงั คมเมือง
เกิดขนึ้ เริ่มมีความร้ดู ้านการ พ.ศ. 2308 มนุษยเ์
เชือ้ เพลิงชนิ ดต่าง
ชลประทาน หรือการนาน้ามาใช้ หิน น้ามนั และกา๊
ในการเพาะปลูกแทนการพง่ึ พา แทนการใช้แรงงา
น้าฝนตามธรรมชาติ การใช้ เปล่ียนแปลงนี้ เริ่
พลงั งานมีประมาณ 20,000 กิโล
ยโุ รปตะวนั ตกแล
แคลอรีต่อคนต่อวนั เหนือก่อน อตั ราก
พลงั งานต่อคนใน
เพิ่มขึน้ ราว 60,00
แคลอรีต่อคนต่อว
รรมเร่ิมต้น ยคุ อตุ สาหกรรมก้าวหน้า
ระดิษฐ์ หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี 1 (พ.ศ.
ไอน้า ปี 2457-2461) มนุษยไ์ ดใ้ ช้เชือ้ เพลิง
เร่ิมรจู้ กั ใช้ ประเภทน้ามนั ถา่ นหิน และกา๊ ซ
งๆ เช่น ถ่าน ธรรมชาติมากขึ้น มีการประดิษฐ์
าซธรรมชาติ
เครื่องจกั ร เครอ่ื งยนต์ และใช้
านสตั ว์ การ เทคโนโลยีมากขึน้ การใช้พลงั งานต่อ
รมขึน้ ใน คนโดยเฉล่ียเพ่ิมขึ้นมาก สาหรบั
ละอเมริกา
ประเทศที่พฒั นาแล้วประมาณ
การใช้ 125,000 กิโลแคลอรีต่อคนต่อวนั โดย
นระยะนี้ ประชากรในสหรฐั อเมริกามีการบริโภค
00 กิโล พลงั งานสงู สดุ คอื ราว 230,000 กิโล
วนั แคลอรีต่อคนต่อวนั
45
การใช้พลงั งานในอดีตตงั้ แต่ส
ตอนต้น ส่วนใหญ่เป็นการใช้ความรอ้ น
ส่วนน้อยท่ีใช้ผลิตในงานหตั ถกรรม เช
สงั คโลก หรอื หล่อพระพทุ ธรปู ทาอาวธุ
ท่ีใช้ส่วนใหญ่เป็นเชือ้ เพลิงชีวภาพ เช่น
สาหรบั เชื้อเพลิงพลงั งานท่ีให้แสงสว่างม
หรอื ไขสตั ว์
สมยั สโุ ขทยั อยธุ ยา จนถงึ รตั นโกสินทร์
น และแสงสว่างในเวลากลางคืน มี
ช่น ทาเคร่อื งถว้ ยชาม
ธ และก่อสรา้ ง เชือ้ เพลิง
น ฟื น ถ่าน และแกลบ
มกั ใช้น้ามนั พืช
46
การใช้พลงั งานยุคใหม่
ของไทย เร่ิ มในรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หวั โดยเริ่มมีโรงสีไฟท่ีใช้
เคร่อื งจกั รไอน้า แต่กย็ งั ใช้แกลบ
เป็นเชือ้ เพลิง ต่อมาในรชั สมยั
ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ
แบบยุโรป มีการจดั สร้างสาธารณูปโภค
แต่ก็ยงั ใช้พลงั งานประเภทฟื น และแ
ประเภทรถยนตเ์ ข้ามา จงึ ต้องนาเขา้ น้าม
น้ามนั กา๊ ด เพอื่ ใช้จดุ ตะเกียงให้แสงสว่า
ภาพ รถรางไฟฟ้าสมยั รชั กาลที่ 5
จ้าอยู่หวั ประเทศไทยเริ่มพฒั นาตาม
คใหม่ๆ ขึน้ เช่น รถไฟ และเรือกาปัน่
แกลบอยู่ จนมีการสงั่ ซื้อยานพาหนะ
มนั เบนซินเพ่ือใช้กบั รถ รวมทงั้ นาเข้า
างตามถนนหนทาง และบา้ นเรอื น
47
กิจการไฟฟ้ าในประเทศไทย
ดาเนิ นการในปี พ.ศ. 2427 สมยั รชั กาล
โดยจอมพลเจ้าพระยาสุรศกั ด์ิมนตรี (
แสงชูโต) ซ่ึงขณะนั้นดารงตาแหน่ งห
ไวยวรนาถได้ซื้อเครื่องกาเนิ ดไฟฟ้
เครื่อง พร้อมอุปกรณ์โคมไฟฟ้ าจากสห
อาณาจักรมาติ ดตัง้ ที่กรมทหารม้าห
กระทรวงกลาโหมปัจจุบนั และจ่ายไฟ
เพ่ือใช้ในพระบรมมหาราชวงั เป็ นครงั้
เม่ือวนั ท่ี 20 กนั ยายน พ.ศ. 2427 ซึ่งเป็
ค ล้ า
ปวนรั ะพเทระศรไาทชยสนมาภไพฟขฟอ้างมราชั ใกชา้กล่อทนี่ ป5รนะเับทไศดใ้ว
รฐั บาลไทยในสมยั นัน้ เหน็ ความสาคญั
และส่งกระแสไฟฟ้ าไปใช้ในส่วนราชการ