คมู่ ือการใชห้ ลกั สตู รรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ระดับประถมศึกษา
จัดทำ�โดย
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I P I P
คู่มือการใชห้ ลักสูตร
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ระดบั ประถมศึกษา
จัดทำ�โดย
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ค�ำ น�ำ
คู่มือการใช้หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษาน้ี จัดท�ำ ขน้ึ เพื่อเปน็ แนวทาง
ใหก้ บั สถานศกึ ษาและหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งไดใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นการจดั การเรยี นรแู้ ละประเมนิ การเรยี นรู้ การจดั ท�ำ
หรอื จดั หาต�ำ ราเรยี น สอื่ การเรยี นรปู้ ระกอบหลกั สตู ร และอนื่ ๆ เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ตวั ชว้ี ดั และสาระ
การเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยได้เสนอเป้าหมายของการจัดทำ�คู่มือการใช้หลักสูตร ความรู้และ
แนวคิดท่ัวไปเกี่ยวกับหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) ขอขอบคณุ ครู อาจารย์ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ และ
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษาจากหน่วยงานและสถาบันต่าง ๆ ท่ีมาให้ข้อคิดเห็นและ
ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำ�หรับจัดทำ�คู่มือการใช้หลักสูตร สสวท. หวังเป็นอย่างย่ิงว่า คู่มือการใช้หลักสูตร
ระดับประถมศึกษาน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอน สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ
ศึกษาวิทยาศาสตร์ในการวางแผนและจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ทั้งนี้ หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทำ�ให้คู่มือการใช้
หลักสูตรเลม่ นีส้ มบรู ณย์ งิ่ ข้นึ โปรดแจ้งให้ สสวท. ทราบดว้ ย จกั ขอบคุณยง่ิ
(ศาสตราจารย์ชกู ิจ ลมิ ปจิ �ำ นงค)์
ผอู้ ำ�นวยการสถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PS I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
PS PST สารบัญ
• เป้าหมายของการจดั ท�ำ คู่มอื การใชห้ ลกั สูตร ๑
• สว่ นท่ี ๑ ความรแู้ ละแนวคดิ ทัว่ ไปเกีย่ วกับหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
๓
๑. ทม่ี าและเหตผุ ลของการปรับหลักสตู ร
๒. เป้าหมายของการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ๔
๓. เรียนรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ ๖
๔. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ๑๕
๕. คณุ ภาพผูเ้ รียน ๑๖
๖. ทกั ษะที่ส�ำ คัญในการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ๑๘
๗. จติ วทิ ยาศาสตร์ ๒๕
๘. แนวทางการจดั การเรียนร้วู ิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ ๓๖
๙. การวางแผนการจัดการเรยี นรดู้ ว้ ยวฏั จกั รการเรียนรู้แบบต่าง ๆ ๓๘
๑๐. แนวทางการประเมนิ การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ๕๑
๑๑. ปจั จยั ความส�ำ เร็จในการจดั การเรยี นรู้ ๕๗
๖๑
เอกสารอ้างองิ
๖๓
ดชั นคี �ำ
๖๖
• สว่ นที่ ๒ การวเิ คราะห์ตวั ชี้วัด กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
• คณะผู้จัดทำ� ๗๑
๒๗๒
กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา
สารบญั ภาพ
ภาพที่ ๑ ตัวอย่างการวเิ คราะห์ตัวชวี้ ัด ๒
ภาพท่ี ๒ มาตรฐานการเรยี นรสู้ าระท่ี ๑ – ๔ ของกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ ๕
พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ๘
ภาพท่ี ๓ วฏั จักรการสบื เสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์แบบช้ีนำ� ๑๒
ภาพท่ี ๔ วัฏจกั รการสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในหอ้ งเรยี น ๒๙
ภาพที่ ๕ กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม ๓๑
ภาพที่ ๖ กรอบความคิดเพอื่ การจัดการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที่ ๒๑ ๕๐
ภาพท่ี ๗ เปรยี บเทยี บอนุกรมวิธานของบลูมและอนกุ รมวิธานทป่ี รับปรุงจากบลูม ๕๒
ภาพที่ ๘ วฏั จักรการเรียนรู้ของคารป์ ลซั ๕๔
ภาพท่ี ๙ วัฏจักรการเรยี นร้แู บบ ๕ ขัน้ ๕๕
ภาพที่ ๑๐ วฏั จักรการเรียนรแู้ บบ ๗ ข้ัน
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
สารบัญตาราง
ตารางท่ี ๑ ลักษณะจ�ำ เปน็ ของการสืบเสาะหาความรใู้ นชั้นเรยี นและระดบั ของการสืบเสาะหาความรู้ ๑๓
ตารางที่ ๒ มาตรฐานการเรยี นรใู้ นแต่ละสาระสำ�หรบั ผู้เรยี นแต่ละระดบั ๑๖
ตารางท่ี ๓ การเปรยี บเทยี บการสบื เสาะหาความรูข้ องนกั วทิ ยาศาสตร์และของผเู้ รยี น ๔๓
ตารางที่ ๔ ระดบั ของการสอนวิทยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความรู้ ๔๔
ตารางที่ ๕ การเปรียบเทียบในวัฏจักรการเรียนรูข้ องคาร์ปลซั และวัฏจกั รการเรยี นรู้แบบ ๕ ข้นั ๕๓
กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
จดั การเรียนรู้ทใ่ี ห้ผเู้ รยี นใชค้ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ชว่ ยผ้เู รียนเช่อื มโยงความร้หู รอื
ควบค่กู บั การพัฒนาและฝึกฝนทกั ษะที่จำ�เปน็ แนวคดิ (Concept) ให้เป็น
ในศตวรรษที่ ๒๑ และกระบวนการออกแบบ โครงข่ายความรู้ (Network)
เชงิ วศิ วกรรม เพื่อแก้ปญั หาในชีวติ จริง
ประเมนิ การเรียนรู้ทงั้ แบบระหวา่ งเรียน
ศกึ ษาหลักสตู ร มาตรฐาน และตัวชี้วดั ใหเ้ ขา้ ใจ การจดั การเรยี นรู� (Formative Assessment) และ
พจิ ารณาเชื่อมโยงกับตัวชว้ี ดั ของกล่มุ สาระอื่น ๆ วทิ ยาศาสตร�
ผ�สู อนตอ� ง แบบสรปุ รวม (Summative Assessment)
ดว้ ยเคร่ืองมือทีห่ ลากหลาย
มีองคค์ วามรทู้ างวิทยาศาสตรท์ เี่ ข้มแข็ง
ช่วยเหลอื ให้ผ้เู รียนได้พัฒนาความรู้
และทักษะตามตวั ชว้ี ดั
วางแผนการจัดการเรียนรู้ สรรหาและ จดั การเรยี นรูท้ ีใ่ ห้ผเู้ รยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ เลอื กและใชก้ ลวธิ ีการจัดการเรยี นรทู้ เ่ี ปดิ โอกาสให้
เลอื กกิจกรรมท่สี อดคล้องกบั ตวั ชี้วัด ผ่านการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry) และ นักเรียนไดค้ ดิ สืบเสาะและใชเ้ ทคโนโลยรี ่วมสมยั
สอดคล้องกบั ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์
เพื่อให้นักเรียนไดล้ งมือปฏบิ ัติ ผ่านการเรียนรอู้ ยา่ งสนุกสนาน
(Nature of Science)
กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
1
เป้าหมายของการจัดทำ�คู่มือการใชห้ ลักสตู ร
กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน การจัดทำ�ส่วนนี้ เพื่อเป็นข้อมูลพ้ืนฐานสำ�หรับบุคลากรทางการศึกษา และผู้ใช้
กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตาม หลักสูตรในการทำ�ความเข้าใจเก่ียวกับความจำ�เป็นของการปรับหลักสูตร ตลอด
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ และใหส้ ถานศกึ ษาน�ำ ไป จนสามารถจัดการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับหลักสูตรและทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ให้
ใชอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพอื่ เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ กบั ผเู้ รยี น ในการนส้ี ถาบนั สง่ เสรมิ การ ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข ผ่านการลงมือปฏิบัติ สืบเสาะหาความรู้เพื่อทำ�
สอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) จงึ ไดพ้ ฒั นาคมู่ อื การใชห้ ลกั สตู รกลมุ่ สาระ ความเข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ฝึกฝนทักษะกระบวนการต่าง ๆ และสามารถ
การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา เชอื่ มโยงและน�ำ มาใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจ�ำ วนั และอาชีพได้
ขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ ใู้ ชห้ ลกั สตู ร อาทิ บคุ ลากรทางการศกึ ษา
ผู้ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ทุกระดับของประเทศ ผู้เขียนตำ�ราและส่ือ สว่ นท่ี ๒ การวิเคราะห์ตวั ชวี้ ดั ตามมาตรฐานการเรียนรู้
การเรยี นรปู้ ระกอบหลกั สตู ร และส�ำ นกั พมิ พต์ า่ ง ๆ ไดใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นการจดั ท�ำ หรอื
จดั หาต�ำ ราเรยี น สอื่ การเรยี นรปู้ ระกอบหลกั สตู ร การจดั ท�ำ แบบทดสอบและขอ้ สอบ เปน็ การวเิ คราะหต์ วั ชวี้ ดั ทงั้ ๔ สาระของกลมุ่ การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั
การประเมนิ คณุ ภาพการจดั การเรยี นรขู้ องครแู ละสถานศกึ ษา และอน่ื ๆ ใหส้ อดคลอ้ ง ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
กับเจตนารมณ์ของหลักสูตร หลีกเลี่ยงการเกิดความสับสนหรือความเข้าใจ ๒๕๕๑ ระดับประถมศึกษา - ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีการนำ�เสนอผล
คลาดเคลอ่ื นในการวเิ คราะห์ตัวช้วี ัดตา่ ง ๆ ทร่ี ะบุไว้ในหลักสตู รเชน่ ทผี่ ่านมา การวิเคราะห์ในรปู แบบของตาราง ประกอบดว้ ย
คู่มอื การใชห้ ลกั สูตร ฯ ฉบบั น้ีจ�ำ แนกเนอ้ื หาออกเปน็ ๒ ส่วน ดงั นี้ - การวเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรมการเรยี นรดู้ า้ นพทุ ธพิ สิ ยั (Cognitive Domain)
ดา้ นทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) และดา้ นเจตคติ (Affective
ส่วนที่ ๑ ความรู้และแนวคิดท่ัวไปเก่ียวกบั หลกั สตู ร Domain) ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางของตัวช้ีวัดท่ีคาดหวังให้ผู้เรียน
ไดแ้ สดงออกมาหลงั จากเรยี นรตู้ ามตวั ชีว้ ัดเหล่านั้น
ประกอบดว้ ย ทม่ี าของการปรบั หลกั สตู ร เปา้ หมายของหลกั สตู ร เปา้ หมาย
ของการเรยี นวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณุ ภาพของผเู้ รยี น แนวการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ - แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่นำ�ไปสู่การเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลง
ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ทักษะกระบวนการทาง พฤติกรรมการเรียนรู้ทั้งสามด้านของผู้เรียน เปิดกว้างให้ผู้สอน
วทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะการคดิ ระดบั สงู ทกั ษะการอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจ ทกั ษะกระบวนการ และผู้ใช้หลักสูตรสามารถออกแบบและสร้างสรรค์แผนการจัดการ
สำ�หรับการออกแบบและเทคโนโลยี ทักษะการเรียนรู้ร่วมกันและการทำ�งานเป็น เรียนร้แู ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ให้เหมาะสมกบั บริบทของตนเอง แตย่ งั
ทีม และอ่นื ๆ ซ่ึงเปน็ พืน้ ฐานสำ�คญั ทีพ่ ลเมืองแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ จำ�เปน็ ต้องเรยี นรู้ คงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ผ่าน
และฝึกฝน ตลอดจนความรู้ด้านการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เป้าหมายของ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ I P I P
ระดับประถมศกึ ษา
2
- แนวการประเมนิ การเรยี นรูท้ ีส่ อดคล้องกับพทุ ธิพสิ ัย ทกั ษะพสิ ยั และ
เจตคติ ทว่ี เิ คราะหไ์ ดจ้ ากตวั ชวี้ ดั ตลอดจนแนวการประเมนิ ทกั ษะแหง่
ศตวรรษที่ ๒๑
ตัวอย่างการนำ�เสนอรายละเอียดของการวิเคราะห์ตัวช้ีวัด แนวทางการ
จัดการเรยี นรู้ และแนวทางการวัดและประเมินตวั ช้วี ัด แสดงไวด้ งั ภาพท่ี ๑
ภาพที่ ๑ ตัวอย่างการวเิ คราะหต์ วั ชีว้ ัด
รายละเอียดของคู่มือการใชห้ ลักสูตร ฯ มีดงั ตอ่ ไปน้ี
I PST I PST I PST สว่ นที่ ๑ I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PSTความร้แู ละแนวคดิ ทวั่ ไปเกย่ี วกับหลกั สตู รและการจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I I PST I PST I PST I PST I PST
กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
4
๑. ท่ีมาและเหตุผลของการปรบั หลักสูตร ๒. จัดเรียงลำ�ดับตัวชี้วัดในสาระต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงและร้อยเรียงกันจาก
แนวคิดท่ีเป็นรูปธรรมไปสู่แนวคิดท่ีเป็นนามธรรม หรือจากแนวคิดที่
ด้วยปัจจุบันน้ีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าอย่าง ใกลต้ วั ไปสไู่ กลตวั หรอื จากแนวคดิ ทเ่ี ปน็ พนื้ ฐานในการเรยี นแนวคดิ อนื่ ๆ
รวดเร็ว การปรับหลักสูตรและแนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ในสาระวิทยาศาสตร์ ต้ังแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จนถึงช้ันมัธยมศึกษา
และเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับความก้าวหน้านี้เป็นสิ่งจำ�เป็นสำ�หรับการเตรียม ปที ี่ ๖
ความพร้อมพลเมืองในอนาคตของชาติสำ�หรับการประกอบอาชีพและดำ�รงชีวิตใน
สังคมโลกแห่งศตวรรษที่ ๒๑ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๓. วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช
(สสวท.) ตระหนกั ถงึ ความส�ำ คญั ของการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรท์ มี่ งุ่ หวงั ใหเ้ กดิ ผล ๒๕๕๑ กบั หลกั สตู รของประเทศชนั้ น�ำ ดา้ นการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
สมั ฤทธต์ิ อ่ ผเู้ รยี นมากทส่ี ดุ จงึ ไดร้ ว่ มกบั ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน เพ่ือปรบั หลกั สตู รใหม้ คี วามทนั สมัย และทดั เทยี มนานาชาติ
(สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ในการทบทวนและปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ให้ทันสมัยและทัดเทียมนานาชาติ อาทิเช่น มีการ ๔. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิดวิทยาศาสตร์ควบคู่กับการพัฒนาความ
จัดเรียง โยกย้ายแนวคิดรวบยอดและทักษะต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน คิดระดับสูง ท้ังการคิดเป็นเหตุเป็นผล การคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี
ทัดเทียมนานาชาติ พิจารณาการเช่ือมโยงกันของเนื้อหาต่าง ๆ ทั้งภายในสาระ วิจารณญานและการแก้ปัญหา ด้วยการทำ�กิจกรรมและปฏิบัติการต่าง ๆ
และระหว่างสาระ คำ�นึงถึงความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะเพ่ือพัฒนาทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งสนกุ สนานควบคกู่ บั การฝกึ ฝนและพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เปน็ วิทยาศาสตร์ และทักษะสำ�คัญในศตวรรษที่ ๒๑ จนเกิดสมรรถนะด้าน
พลเมืองของประเทศท่ีมีสมรรถนะเหมาะสมกับการดำ�รงชีวิตและประกอบอาชีพ วิทยาศาสตร์ที่สามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตได้อย่าง
ในศตวรรษท่ี ๒๑ อันน�ำ ไปสู่การพฒั นาประเทศชาติต่อไป เปน็ ระบบ เชอื่ มน่ั และศรทั ธาในความรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
จุดเด่นของหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ มดี งั น้ี
๑. จดั แนวคิดรวบยอดทางวทิ ยาศาสตร์ รวมถึงเนอื้ หาสาระทางวทิ ยาศาสตร์
และกระบวนการเรียนรู้ให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันท้ังภายใน
สาระการเรียนรู้และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ นอกจากน้ียังมีการเช่ือมโยงระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้
ตา่ ง ๆ เชน่ คณติ ศาสตร์ สงั คมศกึ ษา สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี น
ไดเ้ รยี นรู้เนือ้ หาต่าง ๆ อยา่ งต่อเนอ่ื งเชื่อมโยงกนั และไมซ่ ้�ำ ซอ้ น
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
5
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ประกอบดว้ ย ๔ สาระ โดยแตล่ ะสาระประกอบด้วยมาตรฐานการเรยี นรู้ ดังนี้
วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ - ว ๑.๓
สาระที่ 1
เทคโนโลยี สาระที่ 4 กลมุ� สาระการเรยี นร�ู สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๔.๑ - ว ๔.๒ วทิ ยาศาสตร� มาตรฐาน ว ๒.๑ - ว ๒.๓
สาระท่ี 3
วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ - ว ๓.๓
ภาพที่ ๒ มาตรฐานการเรียนรูส้ าระท่ี ๑ – ๔ ของกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
6
๒. เปา้ หมายของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ความหมายของวิทยาศาสตร์และธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เราสามารถทำ�ความเข้าใจส่ิงตา่ งๆ บนโลกได้
วทิ ยาศาสตร์ (Science) เปน็ ความรทู้ เ่ี กดิ จากสตปิ ญั ญาและความพยายาม ปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนโลกหรือในเอกภพ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นแบบรูป (Pattern)
ของมนษุ ย์ในการศกึ ษาเพ่ือท�ำ ความเขา้ ใจสิ่งตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขน้ึ บนโลกและในเอกภพ สามารถเข้าใจได้ด้วยสติปัญญา วิธีการศึกษาที่เป็นระบบ ผนวกกับการใช้ประสาท
สัมผสั และเครือ่ งมือตา่ งๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล นักวทิ ยาศาสตรเ์ ช่ือว่าสิง่ ต่าง ๆ
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาหลายคนได้อธิบายถึงธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ สามารถท�ำ ความเขา้ ใจได้และคำ�ถามใหม่ ๆ เกิดขึน้ ไดเ้ สมอ ยง่ิ ข้อมลู มีความถูกต้อง
ว่าเป็นลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตร์ท่ีทำ�ให้แตกต่างจากศาสตร์ความรู้แขนง แม่นยำ�มากข้ึนก็ย่ิงทำ�ให้มนุษย์เข้าใจและเข้าใกล้ความจริงของปรากฏการณ์น้ัน ๆ
อื่น ๆ รวมถึงเป็นค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรือคำ�อธิบายท่ีบ่งชี้เกี่ยวกับอาชีพ ย่ิงข้ึน
นักวิทยาศาสตร์ ลักษณะและวิธีการทำ�งานของนักวิทยาศาสตร์ ความรู้และ
แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงผลของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อสังคม (กุศลิน, ๒๕๕๓; แนวคิดทางวทิ ยาศาสตรม์ คี วามไม่แนน่ อน สามารถเปลย่ี นแปลงได้
McComas & Almazroa, 1998)
แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะเป็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้ จากการสังเกต การทดลอง
American Association for the Advancement of Science เป็น การสร้างแบบจำ�ลองอย่างละเอียดรอบคอบและเป็นระบบ เพ่ือทำ�ความเข้าใจ
สมาคมที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในประเทศ เกี่ยวกับปรากฏการณ์หรือสิ่งท่ีสนใจ แต่ระหว่างการทำ�งานก็มักเกิดคำ�ถามใหม่ขึ้น
สหรัฐอเมริกา ได้อธิบายเก่ียวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ โดยจำ�แนกแยกแยะ ตลอดเวลาไม่มีสิ้นสุด ส่งผลให้มีการปรับปรุงหรือคิดค้นวิธีการใหม่ในการค้นหา
ออกเป็น ๓ ด้าน ได้แก่ โลกในมุมมองแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Worldview) คำ�ตอบ และอาจได้หลักฐาน (Evidence) ใหม่ที่นำ�ไปสู่การสร้างคำ�อธิบายหรือ
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) และกิจการทาง องค์ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์ (Scientific Enterprise) (AAAS, 1993) ซง่ึ มรี ายละเอียดดังนี้
ความรทู้ างวิทยาศาสตรม์ ีความคงทน และเชอ่ื ถือได้
ด้านที่ ๑ โลกในมมุ มองแบบวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Worldview)
แมว้ า่ วทิ ยาศาสตรจ์ ะยอมรบั เรอ่ื งความไมแ่ นน่ อน และความไมม่ ที สี่ นิ้ สดุ ของความรู้
ด้วยวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เกิดจากสติปัญญาและความพยายามของ หรอื ค�ำ อธบิ ายเกยี่ วกบั สง่ิ ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ แตด่ ว้ ยความรทู้ างวทิ ยาศาสตรพ์ ฒั นา
มนุษย์ในการค้นหาคำ�ตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดในธรรมชาติทั้งบนโลกและนอกโลก ขึ้นมาผ่านวิธีการต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง ซำ้�แล้วซำ้�เล่าเป็นระยะเวลาหนึ่งจนม่ันใจใน
นักวิทยาศาสตร์จึงมีมุมมองเฉพาะตัวเก่ียวกับการได้มาซึ่งความรู้ของปรากฏการณ์ คำ�อธิบายนั้น รวมถึงมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากสังคมนักวิทยาศาสตร์ จน
ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ ซ่ึงอาจแตกต่างจากมมุ มองของศาสตรอ์ นื่ ๆ ดังน้ี ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรเ์ ชอื่ ถอื ได้ และจนกวา่ การคน้ พบความรใู้ หมจ่ ะลบลา้ งความ
รู้เดมิ ไดอ้ าจใช้ระยะเวลายาวนาน
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
7
ทฤษฎแี ละกฎมคี วามสมั พันธก์ นั แตแ่ ตกตา่ งกัน ดา้ นท่ี ๒ การสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry)
มักมีแนวความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า กฎเป็นทฤษฎีท่ีพัฒนาแล้ว จึงมีความ การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยการให้เหตุผล
น่าเช่ือถือและมีคุณค่ามากกว่าทฤษฎี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทั้งกฎและทฤษฎี เชงิ ตรรกะ (Logic) ขอ้ มลู หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ (Empirical Evidence) จนิ ตนาการ
ต่างก็เป็นผลผลิตของวิทยาศาสตร์ท่ีมีความสำ�คัญเท่าเทียมกัน โดย กฎ (Law) คือ และการคิดสร้างสรรค์ เป็นการทำ�งานเพ่ือสืบเสาะหาคำ�อธิบายสิ่งท่ีสนใจท้ังโดย
แบบรปู ทป่ี รากฏในธรรมชาติ สว่ น ทฤษฎี (Theory) คอื ค�ำ อธบิ ายแบบรปู ทปี่ รากฏ ส่วนตัวและร่วมกันของกลุ่มคนท่ีมีความสนใจเดียวกัน การสืบเสาะหาความรู้
ในธรรมชาตนิ นั้ ๆ เชน่ การใชท้ ฤษฎพี ลงั งานจลนข์ องอนภุ าคมาอธบิ ายแบบรปู ความ ทางวิทยาศาสตร์เป็นมากกว่า “วิธีการทางวิทยาศาสตร์” หรือ “การทดลองทาง
สมั พันธร์ ะหวา่ งปรมิ าตรและอณุ หภมู ติ ามกฎของชาร์ล วิทยาศาสตร์” แต่เป็นการค้นหาคำ�ตอบท่ีสนใจผ่านการทำ�งานอย่างเป็นระบบ
รอบคอบ แต่มีอิสระ และไม่เป็นลำ�ดับขั้นที่ตายตัว ลักษณะสำ�คัญของการสืบเสาะ
วิทยาศาสตร์ไมส่ ามารถตอบไดท้ กุ คำ�ถาม หาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย
วิทยาศาสตร์เช่ือถือข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีได้จากการสังเกต ทดลอง หรือ ๑. ค�ำ ถามท่สี ามารถหาคำ�ตอบหรือตรวจสอบได้
วิธีการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ในขณะท่ีสิ่งต่าง ๆ ในโลกหลายสิ่ง ไม่สามารถหา
คำ�ตอบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความเช่ือเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ ๒. ขอ้ มลู หลักฐานทงั้ เชงิ ประจกั ษ์และจากทผี่ ูอ้ น่ื ค้นพบ
ส่ิงล้ีลับเหนือธรรมชาติ ความเชื่อเร่ืองปาฏิหาริย์ โชคชะตา หรือโหราศาสตร์
ดังน้ัน นักวิทยาศาสตร์จึงไม่มีหน้าท่ีให้คำ�ตอบหรืออธิบายในเรื่องเหล่านี้ แม้ว่า ๓. การทำ�ความเข้าใจ วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ แล้วหาความสัมพันธ์ของ
บางคร้งั อาจมีแนวค�ำ ตอบหรือทางเลือกที่เป็นไปได้ก็ตาม ข้อมูลและสร้างคำ�อธบิ ายเพ่ือตอบคำ�ถามท่ีสงสัย
๔. การเชือ่ มโยง เปรยี บเทียบค�ำ อธบิ ายของตนเองกบั ผอู้ ื่น
๕. การสอื่ สารคำ�อธบิ ายหรือสิง่ ที่ค้นพบใหผ้ ้อู ืน่ ทราบ
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะสำ�คัญตามท่ีกล่าว
มาข้างต้น ไม่มีลำ�ดับขั้นตอนที่แน่นอน ในขณะเดียวกันอาจต้องสืบเสาะซ้ำ�แล้ว
ซำ้�เล่าเพื่อตอบคำ�ถาม และอาจเกิดคำ�ถามใหม่ที่ต้องสืบเสาะหาคำ�ตอบต่อไป
หมนุ วนเช่นน้ีเปน็ วฏั จกั ร ดังแสดงไว้ ดังภาพท่ี ๓
กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
8
การรายงานผล
การอภิปรายและลงความเห็น การอภิปราย
รวมกันในประชาคม ในกลุม ยอ ย
หาความสมั พนั ธ อธิบาย คำอธิบาย
จากขอ มูลเชงิ ประจักษ ท่ีมขี อ มลู และ
หลกั ฐานสนบั สนนุ
ทฤษฎี การทำนาย
และการสรปุ
สนใจ เตรียมการสบื เสาะ
สงสัย สำรวจตรวจสอบ
เตรียมรายงานผล
ออกแบบวิธกี าร ตรวจสอบ
จัดหาวัสดุ อุปกรณ คำอธิบาย
สืบเสาะ สำรวจตรวจสอบ
เชน สงั เกต ทดลอง
สรา งแบบจำลอง
ภาพท่ี ๓ วัฏจกั รการสืบเสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตรแ์ บบชี้นำ�
วัฎจักรการสืบเสาะหาความรูท างวทิทม่ี ยา:าMศaาgสnตusรsแonบ,บSช. J้ีน. aำnd Palincsar, A. S. (2005). How students learn science in the classroom, p.460
ทมี่ า : Magnusson, S.J. and Palincsar, A.S. (2005). How students learn science in the classroom, p460
กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
9
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะท่ีทำ�ให้ นอกจากวทิ ยาศาสตรจ์ ะใหค้ �ำ อธบิ ายเกยี่ วกบั ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ แลว้ วทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์แตกต่างจากศาสตร์อน่ื ๆ ดงั นี้ ยังให้ความสำ�คัญกับการทำ�นายซ่ึงอาจเป็นได้ท้ังการพยากรณ์ปรากฏการณ์ หรือ
เหตกุ ารณใ์ นอนาคต หรอื ในอดีตทีย่ ังไมม่ ีการคน้ พบหรือศึกษามากอ่ น
วทิ ยาศาสตร์ตอ้ งการหลกั ฐาน (Evidence)
นักวิทยาศาสตร์พยายามทจี่ ะระบุและหลกี เล่ยี งความลำ�เอยี ง
การสร้างคำ�อธิบายหรือแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จำ�เป็นต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์
(Empirical Evidence) จากการสังเกต ทดลอง สร้างแบบจำ�ลอง หรือวธิ อี ื่น ๆ เพอ่ื ข้อมูลหลักฐานมีความสำ�คัญอย่างมากในการนำ�เสนอแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ให้ม่ันใจว่าสามารถทำ�ซำ้�ได้ และมีความถูกต้อง แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ใดที่ได้รับ นักวิทยาศาสตร์จะถามตัวเองก่อนเสมอว่ามีหลักฐานอะไรบ้างที่สนับสนุนแนวคิดนี้
การยอมรับจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสังคม ก็จะได้รับการยอมรับและเผยแพร่ให้ การรวบรวมหลกั ฐานทางวทิ ยาศาสตรจ์ งึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมคี วามถกู ตอ้ งแมน่ ย�ำ ปราศจาก
คนท่ัวไปในสังคมได้เรียนรู้ ซ่ึงกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การค้นพบจนกระท่ังเป็น ความลำ�เอียงอันเกิดจากตัวผู้สังเกต กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือและวิธีการที่ใช้
ท่ียอมรับของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสังคมอาจต้องใช้เวลานาน เช่น แม้ว่าไอสไตน์ การตีความหมาย หรอื การรายงานขอ้ มูล
ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๐๕ แต่กว่าทฤษฎีนี้จะได้รับการยอมรับ
จากสงั คมนกั วทิ ยาศาสตรต์ ้องใชเ้ วลาถงึ ๑๔ ปี วิทยาศาสตร์ไม่ยอมรบั การมอี ำ�นาจเหนอื บคุ คลอืน่
วทิ ยาศาสตรม์ ีการผสมผสานระหวา่ งตรรกศาสตร์ (Logic) วทิ ยาศาสตรเ์ ชอ่ื วา่ บคุ คลใดหรอื นกั วทิ ยาศาสตรค์ นใด มชี อื่ เสยี งหรอื ต�ำ แหนง่ หนา้ ท่ี
จนิ ตนาการ (Imagination) และการคดิ สรา้ งสรรค์ (Creativity) การงานสงู อยา่ งไร ก็ไม่มอี �ำ นาจตัดสนิ ว่า อะไรคือความจริง ไม่มีใครมสี ิทธิพเิ ศษใน
การเข้าถึงความจริงมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีถูกค้นพบ
การทำ�ความเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนบนโลกจะต้องใช้ความเป็นเหตุ ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ สามารถตรวจสอบได้ และหากแนวคิดใหม่น้ันถูกต้อง
เป็นผล (Logic) เพ่ือเช่ือมโยงหลักฐานเชิงประจักษ์เข้ากับข้อมูลอ่ืน ๆ เช่น แนวคิด กวา่ แนวคิดเดมิ กย็ ่อมไดร้ ับการยอมรับแมว้ า่ จะถกู คน้ พบโดยผ้ไู ม่มีชอ่ื เสยี ง ซ่งึ ตอ้ ง
ทางวิทยาศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้อง ข้อมูลหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary Data Source) มาแทนที่ความรเู้ ดิมทค่ี ้นพบโดยคนมชี ่ือเสยี งกไ็ ด้
ที่ได้จากการสืบค้นเพื่อสร้างคำ�อธิบาย และลงข้อสรุป หลายครั้งท่ีการสืบเสาะ
หาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ยังตอ้ งใชจ้ ินตนาการและการคดิ สร้างสรรค์
วิทยาศาสตรใ์ หค้ ำ�อธบิ ายและการพยากรณ์
นกั วทิ ยาศาสตรพ์ ยายามอธบิ ายปรากฏการณท์ สี่ งั เกตโดยใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์
ทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั ความนา่ เชอื่ ถอื ของค�ำ อธบิ ายทางวทิ ยาศาสตรม์ าจากความสามารถ
ในการแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งหลกั ฐานและปรากฏการณท์ ไี่ มเ่ คยคน้ พบมากอ่ น
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
10
ดา้ นที่ ๓ กิจการทางวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์มหี ลักการทางจริยธรรมในการด�ำ เนินการ
วิทยาศาสตร์ คือ กิจกรรมของมนุษยชาติ ซึ่งมีหลายมิติท้ังในระดับของ นักวิทยาศาสตร์ต้องทำ�งานโดยมีจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความซื่อสัตย์ใน
บุคคล สังคม หรือองค์กร โดยกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่กระทำ�อาจเป็นสิ่งท่ี การบนั ทกึ ขอ้ มลู ความมใี จกวา้ ง เพราะในบางครง้ั ความตอ้ งการไดร้ บั การยกยอ่ งวา่
แบ่งแยกยคุ สมัยตา่ ง ๆ ออกจากกันอยา่ งชดั เจน เป็นคนแรกท่ีค้นพบความรู้ใหม่อาจทำ�ให้นักวิทยาศาสตร์ก้าวไปในทางท่ีผิดได้ เช่น
การบดิ เบอื นขอ้ มลู หรอื ขอ้ คน้ พบ จรยิ ธรรมทางวทิ ยาศาสตรท์ ส่ี �ำ คญั อกี ประการหนง่ึ
• วทิ ยาศาสตร์คือกจิ กรรมทางสังคมท่ีซบั ซ้อน ก็คือ การระวังอันตรายท่ีอาจเกิดจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หรือการนำ�ผล
การศกึ ษาไปใช้
วิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมหนึ่งในระบบสังคมของมนุษย์ ดังน้ันปัจจัยต่าง ๆ ใน
สังคมมีผลต่อการสนับสนุนหรือขัดขวางกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น เร่ืองราว นกั วทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ รว่ มกจิ กรรมทางสงั คมในฐานะผเู้ ชย่ี วชาญและประชาชน
ในประวัติศาสตร์ ความเช่ือตามหลักศาสนา วัฒนธรรมและค่านิยมของสังคม หรือ คนหนึ่ง
สถานะทางสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การโคลนน่ิง (Cloning) เป็นกิจกรรม
ทางวิทยาศาสตร์ท่ีนักวิทยาศาสตร์สนใจและเห็นว่ามีประโยชน์ แต่ในเชิงสังคม ในบางคร้ังนักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในฐานะผู้เช่ียวชาญท่ีมี
แล้ว เรื่องน้ียังเป็นเรื่องที่มีข้อโต้แย้งอย่างกว้างขวาง และมีการยอมรับจากสังคม ความรู้ ทกั ษะ และประสบการณเ์ ฉพาะทาง แตใ่ นบางครงั้ กเ็ ขา้ รว่ มกจิ กรรมทางสงั คม
หลากหลายแตกตา่ งกันไป ในฐานะประชาชนคนหน่ึงทมี่ ีมมุ มอง ความสนใจ คา่ นยิ ม และความเชือ่ ส่วนตวั
วทิ ยาศาสตรแ์ ตกแขนงเปน็ สาขาตา่ ง ๆ และมกี ารด�ำ เนนิ การในหลายองคก์ ร วทิ ยาศาสตร์เนน้ การแสวงหาความรู้ ส่วนเทคโนโลยีจะเน้นการใชค้ วามรู้
วิทยาศาสตร์ คือ การรวบรวมความรู้เก่ียวกับธรรมชาติ จึงมีความหลากหลายและ ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลายคนเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์
แตกเป็นแขนงต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ตามปรากฏการณ์ที่ศึกษา เป้าหมาย และ และเทคโนโลยีมีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่แท้ที่จริงแล้ว ท้ังสองมี
เทคนิควิธีการท่ีใช้ ซึ่งมีประโยชน์ในการจัดโครงสร้างการทำ�งานและข้อค้นพบทาง จุดเน้นท่ีแตกต่างกัน โดยวิทยาศาสตร์จะเน้นการแสวงหาความรู้เพ่ือการต่อยอด
วิทยาศาสตร์ แต่แท้ท่ีจริงแล้ว ความรู้หรือคำ�อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่มีเส้นแบ่ง ความรู้ สว่ นเทคโนโลยจี ะเนน้ การใชค้ วามรเู้ พอ่ื ตอบสนองตอ่ การด�ำ รงชวี ติ ทส่ี ะดวก
หรอื ขอบเขตระหวา่ งแขนงตา่ ง ๆ โดยสนิ้ เชงิ ในทางกลบั กนั อาจตอ้ งเชอ่ื มโยงระหวา่ ง สบายมากย่ิงขึ้น อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กัน
แขนงความรู้ เช่น การอธิบายเกี่ยวกับการสร้างอาหารของพืช จะต้องใช้แขนง ความรทู้ างวิทยาศาสตร์สง่ ผลตอ่ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซ่งึ ในทสี่ ดุ ก็สง่ ผลตอ่
ความรู้ในเร่ืองพืช พลังงานและการเปล่ียนรูปพลังงาน โมเลกุลและสารประกอบ การพัฒนาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
การเปล่ียนแปลงทางเคมี นอกจากน้ี กิจการทางวิทยาศาสตร์ยังมีการดำ�เนินการ
ในหลากหลายองค์กร เช่น มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
หนว่ ยงานรัฐบาล หรอื องคก์ รอสิ ระ แตอ่ าจมีจุดเน้นทแ่ี ตกตา่ งกนั
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
11
การสืบเสาะหาความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ในหอ้ งเรียน ๓. ผู้เรียนอธิบายแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จากหลักฐานเชิงประจักษ์ โดย
ต้องอยู่บนพ้ืนฐานของเหตุผล ต้องแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล
เราสามารถจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนโดยจัดโอกาสให้ เชิงประจกั ษ์ที่รวบรวมได้ สามารถจ�ำ แนก วเิ คราะห์ ลงความเหน็ จาก
ผเู้ รยี นไดส้ บื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรต์ ามทหี่ ลกั สตู รก�ำ หนด ดว้ ยกระบวนการ ขอ้ มูล พยากรณ์ ตั้งสมมตฐิ าน หรอื ลงขอ้ สรุป
แบบเดยี วกนั กบั ทนี่ กั วทิ ยาศาสตรส์ บื เสาะ แตอ่ าจมรี ปู แบบทหี่ ลากหลายตามบรบิ ท
และความพร้อมของผู้สอนและผู้เรียน เช่น การสืบเสาะหาความรู้แบบปลายเปิด ๔. ผเู้ รยี นประเมนิ ค�ำ อธบิ ายของตนกบั ค�ำ อธบิ ายอน่ื ๆ ทสี่ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ
(Opened Inquiry) ท่ีผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการสืบเสาะหาความรู้ของตนเองต้ังแต่ ความเข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนสามารถประเมิน (Judge)
การสร้างประเด็นคำ�ถาม การสำ�รวจตรวจสอบ (Investigation) และอธิบายสิ่งที่ ข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ เพ่ือตัดสินใจ (Make Decision) ว่า ควร
ศึกษาโดยใช้ข้อมูลท่ียังไม่มีการนำ�มาประมวล (Data) หรือหลักฐาน (Evidence) ท่ี เพิกเฉยหรือนำ�คำ�อธิบายน้ันมาพิจารณาและปรับปรุงคำ�อธิบายของ
ได้จากการสำ�รวจตรวจสอบ การประเมินและเช่ือมโยงความรู้ที่เกี่ยวข้องหรือคำ� ตนเอง ในขณะเดียวกันก็สามารถประเมินคำ�อธิบายของเพ่ือน บุคคล
อธบิ ายอน่ื เพอื่ ปรบั ปรงุ ค�ำ อธบิ ายของตนและน�ำ เสนอตอ่ ผอู้ น่ื นอกจากนี้ ผสู้ อนอาจ อน่ื หรอื แหลง่ ขอ้ มลู อน่ื แลว้ น�ำ มาเปรยี บเทยี บ เชอ่ื มโยง สมั พนั ธ์ แลว้
ใช้การสืบเสาะหาความรู้ท่ีตนเองเป็นผู้กำ�หนดแนวในการทำ�กิจกรรม (Structured สร้างคำ�อธิบายอยา่ งมีเหตผุ ลและหลกั ฐานสนบั สนุน ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั
Inquiry) โดยผูส้ อนสามารถแนะน�ำ ผเู้ รียนได้ตามความเหมาะสม ความรู้ทางวทิ ยาศาสตรท์ ีไ่ ดร้ บั การยอมรบั แลว้
ในการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ผสู้ อนสามารถ ๕. ส่ือสารการค้นพบของตนให้ผู้อ่ืนเข้าใจ ผู้เรียนได้ส่ือสารและนำ�เสนอ
ออกแบบการสอนให้มลี ักษณะสำ�คญั ของการสืบเสาะ ดังน้ี การค้นพบของตนในรูปแบบที่ผู้อื่นเข้าใจ สามารถทำ�ตามได้ รวมทั้ง
เปิดโอกาสให้ได้มีการซักและตอบคำ�ถาม ตรวจสอบข้อมูล ให้เหตุผล
๑. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในประเด็นคำ�ถามทางวิทยาศาสตร์ คำ�ถามทาง วจิ ารณแ์ ละรบั ค�ำ วจิ ารณแ์ ละไดแ้ นวคดิ หรอื มมุ มองอน่ื ในการปรบั ปรงุ
วิทยาศาสตร์ในท่ีนี้หมายถึงคำ�ถามที่นำ�ไปสู่การสืบเสาะค้นหาและ การอธิบาย หรือวธิ กี ารสืบเสาะคน้ หาค�ำ ตอบ
รวบรวมข้อมูลหลักฐาน คำ�ถามท่ีดีควรเป็นคำ�ถามที่ผู้เรียนสามารถ
หาขอ้ มูลหรอื หลกั ฐานเชงิ ประจักษเ์ พื่อตอบคำ�ถามนนั้ ๆ ได้
๒. ผู้เรียนให้ความสำ�คัญกับข้อมูลหลักฐานในการอธิบายและประเมิน
คำ�อธิบายหรือคำ�ตอบ ผู้เรียนต้องลงมือทำ�ปฏิบัติการ เช่น สังเกต
ทดลอง สร้างแบบจำ�ลอง เพ่ือนำ�หลักฐานเชิงประจักษ์ต่าง ๆ มา
เช่อื มโยง หาแบบรปู และอธิบายหรือตอบค�ำ ถามทีศ่ กึ ษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ มีสว่ นรว่ มในคำ�ถาม เก็บข้อมลู หลักฐาน
ระดับประถมศกึ ษา
การสบื เสาะหา
12
สื่อสารและใหเ้ หตผุ ล
แผน ัผง ความรู้
เชือ่ มโยงสงิ่ ท่ีพบกบั สิง่ ทผี่ อู้ ื่นพบ อธบิ ายสง่ิ ท่พี บ
ภาพที่ ๔ วฏั จกั รการสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตรใ์ นห้องเรยี น
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
13
ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ ผู้สอนสามารถออกแบบการสอนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเน้ือหาท่ี
สอน สภาพห้องเรยี น ความพร้อมของผูส้ อนและผเู้ รยี น และบริบทอ่ืนๆ การยดื หยุ่นระดบั การเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรสู้ ามารถอธบิ ายได้
ดงั ตารางที่ ๑
ตารางที่ ๑ ลักษณะจ�ำ เปน็ ของการสืบเสาะหาความร้ใู นชัน้ เรียนและระดับของการสืบเสาะหาความรู้
ลักษณะจ�ำ เปน็ ระดับการสืบเสาะหาความรู้
๑. ผเู้ รยี นมสี ่วนรว่ ม ผูเ้ รียนเป็นผู้ถามคำ�ถาม ผู้เรยี นเลือกค�ำ ถามและ ผู้เรยี นพิจารณาและ ผ้เู รยี นสนใจค�ำ ถามจาก
ในประเด็นค�ำ ถาม สร้างคำ�ถามใหม่จากรายการ ปรับค�ำ ถามทค่ี รูถามหรอื สอ่ื การสอนหรือแหลง่ อืน่ ๆ
ทางวิทยาศาสตร์ ผเู้ รียนก�ำ หนดข้อมูล คำ�ถาม ค�ำ ถามจากแหล่งอนื่
ท่จี ำ�เปน็ ในการตอบคำ�ถาม ผเู้ รียนได้รบั ข้อมลู
๒. ผ้เู รยี นใหค้ วามสำ�คัญกบั และรวบรวมข้อมลู ผูเ้ รยี นไดร้ บั การช้นี �ำ ในการ ผู้เรียนได้รับขอ้ มลู และการบอกเล่าเกี่ยวกบั
ขอ้ มลู หลกั ฐานทีส่ อดคล้อง เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลที่จ�ำ เปน็ เพื่อน�ำ ไปวเิ คราะห์ การวิเคราะหข์ ้อมลู
กับค�ำ ถาม ผู้เรียนอธิบายสง่ิ ท่ีศกึ ษา ผู้เรียนได้รบั หลกั ฐาน
หลังจากรวบรวมและ ผู้เรยี นได้รับการชีแ้ นะ ผเู้ รยี นไดร้ ับแนวทางที่ หรือขอ้ มูล
๓. ผเู้ รียนอธบิ ายส่งิ ที่ศึกษา สรปุ ขอ้ มูล/หลักฐาน ในการสร้างค�ำ อธบิ ายจาก เป็นไปไดเ้ พื่อสรา้ งคำ�อธบิ าย
จากหลักฐานหรือข้อมลู ข้อมูลหลักฐาน จากขอ้ มูลหลกั ฐาน ผเู้ รียนไดร้ บั การเชื่อมโยง
ผเู้ รียนตรวจสอบแหล่งขอ้ มูล ทงั้ หมด
๔. ผู้เรยี นเช่อื มโยง อืน่ และเชือ่ มโยงกับคำ�อธิบาย ผเู้ รียนไดร้ ับการชน้ี �ำ เกย่ี วกบั ผเู้ รยี นได้รบั การแนะน�ำ ถงึ
ค�ำ อธิบายกบั องค์ความรู้ ท่ีสรา้ งไว้ แหลง่ ขอ้ มูลและขอบเขต ความเช่อื มโยงที่เปน็ ไปได้ ผเู้ รยี นได้รับค�ำ แนะน�ำ ถึง
ทางวิทยาศาสตร์ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ขนั้ ตอนและวธิ ีการสอ่ื สาร
ผเู้ รียนสร้างข้อคิดเห็นที่มี ผเู้ รยี นได้รับแนวทางกวา้ ง ๆ
๕. ผ้เู รียนส่ือสารและ เหตผุ ลและมีหลักการ ผู้เรยี นไดร้ บั การฝึกฝน สำ�หรบั การสื่อสารทีช่ ัดเจน
ให้เหตุผลเกี่ยวกับ เพ่อื สอื่ สารค�ำ อธบิ าย ในการพฒั นาวธิ ีการส่อื สาร ตรงประเด็น
การค้นพบของตน
มาก การจัดการเรียนร้โู ดยผเู้ รยี น น้อย
น้อย การชีน้ �ำ โดยครูหรอื สอ่ื การสอน มาก
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
14
ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้
ด้วยตนเองมากท่ีสุด เพื่อให้ได้ทั้งกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต
การสำ�รวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำ�ผลท่ีได้มาจัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด
และองค์ความรู้
การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรจ์ งึ มเี ปา้ หมายท่ีสำ�คญั ดังน้ี
๑. เพ่ือให้เข้าใจแนวคิด หลักการ ทฤษฎี กฎและความรู้พื้นฐานใน
วิทยาศาสตร์
๒. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ และข้อจำ�กัด
ของวทิ ยาศาสตร์
๓. เพอ่ื ให้มีทักษะทส่ี �ำ คัญในการสบื เสาะหาความรู้และพฒั นาเทคโนโลยี
๔. เพ่ือให้ตระหนักการมีผลกระทบซ่ึงกันและกันระหว่างวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี มวลมนษุ ย์ และสภาพแวดลอ้ ม
๕. เพื่อนำ�ความรู้ในแนวคิดและทักษะต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยไี ปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนต์ ่อสงั คมและการด�ำ รงชีวติ
๖. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการ
แก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะในการสื่อสาร และความสามารถใน
การประเมินและตดั สินใจ
๗. เพ่ือให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม
ในการใชว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ยา่ งสรา้ งสรรค์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
15
๓. เรียนรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (Technology)
ทั้งด้านความรู้ในเนื้อหาและกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ตลอดจนเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการต่าง ๆ มีทักษะสำ�คัญในการค้นคว้าและ การออกแบบและเทคโนโลยี (Designing and Technology)
สร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาท่ี
หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกข้ันตอน มีการลงมือปฏิบัติอย่าง เรยี นรเู้ กยี่ วกบั เทคโนโลยเี พอื่ ด�ำ รงชวี ติ ในสงั คมทมี่ กี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ ง
หลากหลายเหมาะสมกบั วัยและระดบั ชั้นของผเู้ รียน โดยก�ำ หนดสาระส�ำ คัญดังนี้ รวดเรว็ ใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์
อ่ืน ๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย
วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ (Biological Science) กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
โดยค�ำ นงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม
เรียนรู้เก่ียวกับชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต การดำ�รงชีวิตของ
มนุษย์และสัตว์ การดำ�รงชวี ติ ของพชื พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและ วทิ ยาการคำ�นวณ (Computing Science)
ววิ ัฒนาการของสง่ิ มีชวี ติ
เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำ�นวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็น
วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science) ขนั้ ตอนและเปน็ ระบบ ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรดู้ า้ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ และ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริง
เรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติของสาร การเปล่ียนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลังงาน ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
และคลืน่
วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ (Earth and Space Science)
เรยี นรู้เกย่ี วกับ องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏสิ มั พนั ธภ์ ายในระบบสุรยิ ะ เทคโนโลยี
อวกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณวี ทิ ยา กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้า
อากาศ และผลตอ่ สงิ่ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
16
๔. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)
พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ได้ก�ำ หนดสาระไวท้ ้งั หมด ๔ สาระ ดงั นี้
- สาระวทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ
- สาระวิทยาศาสตรก์ ายภาพ
- สาระวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ
- สาระเทคโนโลยี
โดยแต่ละสาระมีมาตรฐานการเรียนรู้สำ�หรับผู้เรียน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา
ตอนปลาย ตามรายละเอยี ดท่แี สดงไว้ดังตารางที่ ๒
ตารางที่ ๒ มาตรฐานการเรยี นรใู้ นแต่ละสาระสำ�หรบั ผ้เู รยี นแตล่ ะระดบั
มาตรฐานการเรียนรู้ ประถมศกึ ษา มธั ยมศึกษา มธั ยมศึกษา
ตอนตน้ ตอนปลาย
สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิตกับส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิต
กบั สงิ่ มชี วี ิตตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอดพลังงาน การเปลีย่ นแปลงแทนทใี่ นระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบ
ท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำ�ความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบตั ขิ องสงิ่ มชี วี ติ หนว่ ยพนื้ ฐานของสงิ่ มชี วี ติ การล�ำ เลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และ
หนา้ ทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ยท์ ที่ �ำ งานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องอวยั วะตา่ ง ๆ ของพชื ทที่ �ำ งานสมั พนั ธ์
กนั รวมทั้งนำ�ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความส�ำ คญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม สารพนั ธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธกุ รรม
ท่ีมีผลต่อส่งิ มชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ และวิวัฒนาการของส่ิงมชี วี ติ รวมทั้งนำ�ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
17
มาตรฐานการเรียนรู้ ประถมศกึ ษา มัธยมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษา
ตอนตน้ ตอนปลาย
สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้างและแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ ง
อนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำ�วัน ผลของแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุ ลักษณะการเคล่ือนท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้ัง
นำ�ความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงาน
ในชวี ิตประจ�ำ วนั ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณท์ เ่ี กย่ี วข้องกับเสียง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ รวมท้งั น�ำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้ง
ปฏิสัมพนั ธภ์ ายในระบบสุริยะทส่ี ง่ ผลตอ่ ส่งิ มีชีวติ และการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย
กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภมู อิ ากาศโลก รวมท้ังผลต่อสง่ิ มชี ีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม
สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดำ�รงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้าน
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำ�นงึ ถึงผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และสิง่ แวดล้อม
มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำ�นวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำ�งาน และการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมจี ริยธรรม
กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
18
๕. คุณภาพผเู้ รียน แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำ�งานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน
รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์ จนงานลุล่วงเป็นผลสำ�เร็จ และทำ�งานร่วม
จบชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๓ กบั ผู้อ่นื อย่างมีความสุข
เขา้ ใจลกั ษณะทวั่ ไปของส่งิ มีชีวติ และการดำ�รงชวี ติ ของสิ่งมีชวี ติ รอบตัว ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องการใชค้ วามรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ในการดำ�รงชีวิต ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำ�โครงงานหรือช้ินงานตามท่ี
เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุท่ีใช้ทำ�วัตถุ กำ�หนดให้หรอื ตามความสนใจ
และการเปลยี่ นแปลงของวสั ดรุ อบตวั
เขา้ ใจการดงึ การผลกั แรงแมเ่ หลก็ และผลของแรง ทมี่ ตี อ่ การเปลยี่ นแปลง
การเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุ พลงั งานไฟฟา้ และการผลติ ไฟฟา้ การเกดิ เสยี ง แสง
และการมองเหน็
เขา้ ใจการปรากฏของดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทรแ์ ละดาว ปรากฏการณข์ นึ้ และ
ตกของดวงอาทติ ย์ การเกดิ กลางวนั กลางคนื การก�ำ หนดทศิ ลกั ษณะของ
หนิ การจ�ำ แนกชนดิ ดนิ และการใชป้ ระโยชน์ ลกั ษณะและความส�ำ คญั ของ
อากาศ การเกิดลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม
ตั้งคำ�ถามหรือกำ�หนดปัญหาเกี่ยวกับส่ิงที่จะเรียนรู้ตามท่ีกำ�หนดให้หรือ
ตามความสนใจ สงั เกต ส�ำ รวจตรวจสอบโดยใชเ้ ครอ่ื งมอื อยา่ งงา่ ย รวบรวม
ข้อมูล บันทึกและอธิบายผลการสำ�รวจตรวจสอบด้วยการเขียนหรือวาด
ภาพ และสอื่ สารสงิ่ ทเี่ รยี นรดู้ ว้ ยการเลา่ เรอื่ ง หรอื ดว้ ยการแสดงทา่ ทางเพอ่ื
ใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ใจ
แกป้ ญั หาอยา่ งงา่ ยโดยใชข้ นั้ ตอนการแกป้ ญั หา มที กั ษะในการใชเ้ ทคโนโลยี
สารสนเทศและการส่อื สารเบอ้ื งตน้ รกั ษาขอ้ มลู สว่ นตัว
แสดงความกระตอื รอื รน้ สนใจเรยี นรู้ มคี วามคดิ สรา้ งสรรคเ์ กย่ี วกบั เรอ่ื งที่
จะศกึ ษาตามทก่ี �ำ หนดใหห้ รอื ตามความสนใจ มสี ว่ นรว่ มในการแสดงความ
คิดเห็น และยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นผู้อ่ืน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา
19
จบช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๖ ตั้งคำ�ถามหรือกำ�หนดปัญหาเก่ียวกับส่ิงที่จะเรียนรู้ตามท่ีกำ�หนดให้
หรือตามความสนใจ คาดคะเนคำ�ตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่
เขา้ ใจโครงสรา้ ง ลกั ษณะเฉพาะและการปรบั ตวั ของสง่ิ มชี วี ติ รวมทงั้ ความ สอดคลอ้ งกบั ค�ำ ถามหรอื ปญั หาทจี่ ะส�ำ รวจตรวจสอบ วางแผนและส�ำ รวจ
สัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งท่ีอยู่ การทำ�หน้าท่ีของส่วนต่าง ๆ ของพืช ตรวจสอบโดยใชเ้ ครอื่ งมอื อปุ กรณ์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศทเ่ี หมาะสม
และการท�ำ งานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์ ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ทงั้ เชิงปรมิ าณและคณุ ภาพ
เขา้ ใจสมบตั แิ ละการจ�ำ แนกวสั ดุ สถานะและการเปลย่ี นสถานะของสสาร วเิ คราะหข์ อ้ มลู ลงความเหน็ และสรปุ ความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู ทม่ี าจากการ
การละลาย การเปลย่ี นแปลงทางเคมี การเปลยี่ นแปลงทผ่ี นั กลบั ไดแ้ ละผนั สำ�รวจตรวจสอบในรูปแบบท่ีเหมาะสม เพ่ือสื่อสารความรู้จากผลการ
กลบั ไมไ่ ด้ และการแยกสารอย่างงา่ ย สำ�รวจตรวจสอบไดอ้ ยา่ งมเี หตุผล และหลกั ฐานอา้ งอิง
เขา้ ใจลักษณะของแรงโนม้ ถว่ งของโลก แรงลัพธ์ แรงเสยี ดทาน แรงไฟฟ้า แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ มนั่ ในสงิ่ ทจ่ี ะเรยี นรู้ มคี วามคดิ สรา้ งสรรคเ์ กยี่ วกบั
และผลของแรงตา่ ง ๆ ผลทเี่ กดิ จากแรงกระท�ำ ตอ่ วตั ถุ วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย เรื่องท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง
ปรากฏการณ์เบื้องตน้ ของเสียง และแสง ยอมรับในข้อมูลท่มี ีหลกั ฐานอา้ งองิ และรบั ฟงั ความคิดเหน็ ผูอ้ ่ืน
เข้าใจปรากฏการณก์ ารขน้ึ และตก รวมถงึ การเปลี่ยนแปลงรปู ร่างปรากฏ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำ�งานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน
ของดวงจนั ทร์ องคป์ ระกอบของระบบสรุ ยิ ะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ รอบคอบ ประหยัด และ ซ่ือสัตย์ จนงานลุล่วงเป็นผลสำ�เร็จ และทำ�งาน
ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การข้ึนและตกของกลุ่ม ร่วมกับผอู้ ื่นอยา่ งสรา้ งสรรค์
ดาวฤกษ์ การใช้แผนท่ีดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์
ของเทคโนโลยอี วกาศ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำ�รงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง
เขา้ ใจลกั ษณะของแหลง่ น�ำ้ วฏั จกั รน�้ำ กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น�้ำ คา้ ง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น และศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติม ทำ�
น�้ำ คา้ งแขง็ หยาดน�ำ้ ฟา้ กระบวนการเกดิ หนิ วฏั จกั รหนิ การใชป้ ระโยชนจ์ าก โครงงานหรอื ชิ้นงานตามท่ีกำ�หนดให้ หรือตามความสนใจ
หนิ และแร่ การเกดิ ซากดกึ ด�ำ บรรพ์ การเกดิ ลมบก ลมทะเล มรสมุ ลกั ษณะ
และผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบ แสดงถงึ ความซาบซง้ึ หว่ งใย และแสดงพฤตกิ รรมเกย่ี วกบั การใช้ การดแู ล
ของปรากฏการณเ์ รอื นกระจก รักษาทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมอย่างรู้คณุ คา่
ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจ
เลอื กขอ้ มลู ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ญั หา ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
และการสอ่ื สารในการท�ำ งานรว่ มกนั เขา้ ใจสทิ ธแิ ละหนา้ ทข่ี องตน เคารพ
สิทธขิ องผู้อ่นื
กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
20
จบชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓ เขา้ ใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนที่
ปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การข้ึนและตกของดวง
เขา้ ใจลักษณะและองค์ประกอบทสี่ ำ�คญั ของเซลล์สิง่ มีชีวติ ความสมั พันธ์ จันทร์ การเกิดนำ้�ขึ้นนำ้�ลง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และความ
ของการทำ�งานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ การดำ�รงชีวิตของ กา้ วหนา้ ของโครงการส�ำ รวจอวกาศ
พืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงของยีนหรือ
โครโมโซม และตัวอย่างโรคท่ีเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม เข้าใจลักษณะของช้ันบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยท่ีมีผลต่อ
ประโยชนแ์ ละผลกระทบของสงิ่ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม ความหลากหลาย ลมฟ้าอากาศ การเกิดและผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุน
ทางชวี ภาพ ปฏสิ มั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบของระบบนเิ วศ และการถา่ ยทอด เขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
พลงั งานในส่งิ มีชีวติ โลก กระบวนการเกิดเช้ือเพลิงซากดึกดำ�บรรพ์และการใช้ประโยชน์
พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะ โครงสร้างภายในโลก
เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้า
หลักการแยกสาร การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ียน ตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งนำ้�ผิวดิน แหล่งนำ้�ใต้ดิน กระบวนการ
สถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี และสมบัติทาง เกิดและผลกระทบของภยั ธรรมชาติและธรณพี ิบัตภิ ัย
กายภาพ และการใชป้ ระโยชนข์ องวสั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ ส์ และ
วสั ดุผสม เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การ
เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์
เขา้ ใจการเคลอ่ื นท่ี แรงลพั ธแ์ ละผลของแรงลพั ธท์ ก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถุ โมเมนต์ อนื่ โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์ วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และ
ของแรง แรงทปี่ รากฏในชีวิตประจ�ำ วัน สนามของแรง ความสมั พนั ธ์ของ ตดั สนิ ใจเพอ่ื เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี โดยค�ำ นงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และ
งาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎการอนุรักษ์พลังงาน การ สิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพ่ือออกแบบและ
ถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า สรา้ งผลงานส�ำ หรบั การแกป้ ญั หาในชวี ติ ประจ�ำ วนั หรอื การประกอบอาชพี
การต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงานไฟฟ้า และหลักการเบื้องต้นของวงจร โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมท้ังเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ และเครอ่ื งมอื ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภยั รวมทง้ั ค�ำ นงึ ถงึ ทรพั ยส์ นิ
ทางปญั ญา
เข้าใจสมบัติของคลื่น และลักษณะของคล่ืนแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน
การหกั เหของแสงและทัศนอปุ กรณ์
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
21
น�ำ ขอ้ มลู ปฐมภมู เิ ขา้ สรู่ ะบบคอมพวิ เตอร์ วเิ คราะห์ ประเมนิ น�ำ เสนอขอ้ มลู แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ มนั่ รบั ผดิ ชอบ รอบคอบ และซอ่ื สตั ย์ ในสงิ่ ทจ่ี ะเรยี นรู้
และสารสนเทศได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคำ�นวณในการ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง
แก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อช่วยในการ โดยใชเ้ ครือ่ งมอื และวธิ กี ารท่ีใหไ้ ด้ผลถูกต้อง เชี่อถอื ได้ ศึกษาค้นควา้ เพิ่ม
แก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรู้เท่าทันและรับ เติมจากแหลง่ ความรตู้ ่าง ๆ แสดงความคดิ เห็นของตนเอง รบั ฟงั ความคิด
ผิดชอบตอ่ สงั คม เห็นผู้อ่ืนและยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ท่ีค้นพบเม่ือมีข้อมูลและ
ประจักษพ์ ยานใหมเ่ พิม่ ขน้ึ หรอื โต้แยง้ จากเดมิ
ตั้งคำ�ถามหรือกำ�หนดปัญหาท่ีเช่ือมโยงกับพยานหลักฐานหรือหลักการ
ทางวิทยาศาสตร์ที่มีการกำ�หนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำ�ตอบ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิต
หลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนำ�ไปสู่การสำ�รวจตรวจสอบ ประจำ�วัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ออกแบบและลงมือสำ�รวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือท่ีเหมาะสม ในการดำ�รงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความช่ืนชม ยกย่องและ
เลอื กใชเ้ ครอ่ื งมอื และเทคโนโลยสี ารสนเทศทเ่ี หมาะสมในการเกบ็ รวบรวม เคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบท้ังด้านบวกและด้าน
ขอ้ มลู ท้งั ในเชิงปรมิ าณและคุณภาพท่ีไดผ้ ลเท่ยี งตรงและปลอดภยั ลบของการพฒั นาทางวทิ ยาศาสตรต์ อ่ สงิ่ แวดลอ้ มและตอ่ บรบิ ทอน่ื ๆ และ
ศกึ ษาหาความรเู้ พ่มิ เตมิ ทำ�โครงงานหรอื สรา้ งชิ้นงานตามความสนใจ
วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ความสอดคลอ้ งของขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการส�ำ รวจตรวจ
สอบจากพยานหลกั ฐาน โดยใชค้ วามรแู้ ละหลกั การทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการ แสดงถงึ ความซาบซง้ึ หว่ งใย มพี ฤตกิ รรมเกย่ี วกบั การดแู ลรกั ษาความสมดลุ
แปลความหมายและลงข้อสรุป และส่ือสารความคิด ความรู้จากผลการ ของระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ
ส�ำ รวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรอื ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือให้
ผูอ้ น่ื เข้าใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
22
จบชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ เขา้ ใจพลงั งานนวิ เคลยี ร์ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลและพลงั งาน การเปลยี่ น
พลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน
เขา้ ใจการการล�ำ เลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ กลไกการรกั ษาดลุ ยภาพ การหักเห การเล้ียวเบนและการรวมคล่ืน การได้ยิน ปรากฏการณ์ท่ี
ของมนุษย์ ภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์และความผิดปกติของระบบ เกี่ยวข้องกับเสียง สีกับการมองเห็นสี คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าและประโยชน์
ภูมิคุ้มกัน การใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ที่พืชสร้างข้ึน การถ่ายทอด ของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า
ลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทาง พันธุกรรม วิวัฒนาการท่ี
ท�ำ ใหเ้ กดิ ความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ติ ความส�ำ คญั และผลของเทคโนโลยี เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบ
ทางดีเอ็นเอตอ่ มนุษย์ ส่ิงมชี วี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม การเคล่ือนท่ีของแผ่นธรณีท่ีสัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน
สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ผล
เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก กระทบ แนวทางการเฝา้ ระวัง และการปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภัย
การเปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบท่ีมี
ต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรง
ทรพั ยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม คอริออลสิ ทม่ี ตี ่อการหมนุ เวยี นของอากาศ การหมุนเวยี นของอากาศตาม
เขตละตจิ ดู และผลทมี่ ตี อ่ ภมู อิ ากาศ ความสมั พนั ธข์ องการหมนุ เวยี นของ
เข้าใจชนิดของอนุภาคสำ�คัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม อากาศ และการหมนุ เวียนของกระแสน้ำ�ผวิ หนา้ ในมหาสมทุ ร และผลต่อ
สมบัติบางประการของธาตุ การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของ ลักษณะลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อ
แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่าง ๆ ของสารท่ีมีความสัมพันธ์ การเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลก และแนวปฏบิ ตั เิ พอ่ื ลดกจิ กรรมของมนษุ ย์
กับแรงยดึ เหน่ียว พันธะเคมี โครงสร้างและสมบัตขิ องพอลเิ มอร์ การเกดิ ที่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก รวมท้ังการแปลความหมาย
ปฏิกิริยาเคมี ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี และการเขียน สญั ลักษณ์ลมฟา้ อากาศทีส่ ำ�คญั จากแผนที่อากาศ และขอ้ มูลสารสนเทศ
สมการเคมี
เข้าใจปริมาณท่ีเก่ียวกับการเคล่ือนท่ี ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวล
และความเร่ง ผลของความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถุ
แรงโนม้ ถว่ ง แรงแมเ่ หลก็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสนามแมเ่ หลก็ และกระแส
ไฟฟ้า และแรงภายในนวิ เคลยี ส
กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
23
เข้าใจการกำ�เนิดและการเปล่ียนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของ
ของเอกภพ หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี ข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุง
โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิด วิธีการสำ�รวจตรวจสอบ จัดกระทำ�ข้อมูลและนำ�เสนอข้อมูลด้วยเทคนิค
และการสรา้ งพลงั งาน ปจั จัยทสี่ ง่ ผลต่อความสอ่ งสวา่ งของดาวฤกษ์ และ วธิ ที เ่ี หมาะสม สอ่ื สารแนวคดิ ความรจู้ ากผลการส�ำ รวจตรวจสอบ โดยการ
ความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความ พูด เขียน จัดแสดงหรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจโดยมี
สัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการ หลักฐานอา้ งอิงหรอื มีทฤษฎรี องรบั
และการเปล่ียนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกิด
ระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการ
ทีเ่ ออื้ ต่อการดำ�รงชวี ติ การเกิดลมสุรยิ ะ พายุสุริยะและผลที่มตี อ่ โลก รวม สืบเสาะหาความรู้ โดยใช้เครือ่ งมอื และวิธีการทใ่ี หไ้ ดผ้ ลถกู ต้อง เชื่อถือได้
ทง้ั การสำ�รวจอวกาศและการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ มเี หตผุ ลและยอมรบั ไดว้ า่ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรอ์ าจมกี ารเปลยี่ นแปลงได้
ระบปุ ญั หา ตงั้ ค�ำ ถามทจี่ ะส�ำ รวจตรวจสอบ โดยมกี ารก�ำ หนดความสมั พนั ธ์ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคำ�ตอบ หรือ
ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ สืบค้นขอ้ มูลจากหลายแหล่ง ตง้ั สมมติฐานท่ีเปน็ ไป แก้ปัญหาได้ ทำ�งานร่วมกับผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดย
ไดห้ ลายแนวทาง ตดั สินใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานทเ่ี ปน็ ไปได้ มีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยวกับผลของการพัฒนาและการใช้
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ยา่ งมคี ณุ ธรรมตอ่ สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม และ
ตั้งคำ�ถามหรือกำ�หนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจ ยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผอู้ น่ื
ทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูง ท่ีสามารถ
ส�ำ รวจตรวจสอบหรอื ศกึ ษาคน้ ควา้ ไดอ้ ยา่ งครอบคลมุ และเชอื่ ถอื ได้ สรา้ ง เขา้ ใจความสมั พนั ธข์ องความรวู้ ทิ ยาศาสตรท์ ม่ี ผี ลตอ่ การพฒั นาเทคโนโลยี
สมมตฐิ านทม่ี ที ฤษฎรี องรบั หรอื คาดการณส์ งิ่ ทจ่ี ะพบเพอื่ น�ำ ไปสกู่ ารส�ำ รวจ ประเภทตา่ ง ๆ และการพฒั นาเทคโนโลยที สี่ ง่ ผลใหม้ กี ารคดิ คน้ ความรทู้ าง
ตรวจสอบ ออกแบบวธิ กี ารส�ำ รวจตรวจสอบตามสมมตฐิ านทกี่ �ำ หนดไวไ้ ด้ วิทยาศาสตร์ท่กี ้าวหนา้ ผลของเทคโนโลยีต่อชีวิต สงั คม และส่ิงแวดล้อม
อย่างเหมาะสม มหี ลักฐานเชิงประจกั ษ์ เลือกวสั ดุ อุปกรณ์ รวมทัง้ วธิ ีการ
ในการสำ�รวจตรวจสอบอย่างถูกต้องทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และ ตระหนักถึงความสำ�คัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และ
บันทกึ ผลการสำ�รวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ เทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำ�วัน ใช้ความรู้และกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำ�รงชีวิต และการประกอบอาชีพ
แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงาน ท่ีเป็นผลมาจาก
ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ศึกษาหาความรู้
เพม่ิ เตมิ ท�ำ โครงงานหรอื สร้างชน้ิ งานตามความสนใจ
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
24
แสดงความซาบซงึ้ หว่ งใย มพี ฤตกิ รรมเกยี่ วกบั การใชแ้ ละรกั ษาทรพั ยากร ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คุณภาพผู้เรียนเม่ือจบชั้นมัธยมศึกษา
ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งรคู้ ณุ คา่ เสนอตวั เองรว่ มมอื ปฏบิ ตั กิ บั ชมุ ชน ปที ่ี ๖ ทก่ี �ำ หนดไวใ้ นสว่ นทเี่ ปน็ เนอ้ื หาของวทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
ในการป้องกนั ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มของท้องถิน่ และวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เป็นพ้ืนฐานท่ีเพียงพอสำ�หรับการดำ�รงชีวิตและ
รู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ท้ังน้ีสำ�หรับกลุ่มผู้เรียนท่ีเน้นวิทยาศาสตร์ ที่
วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีท่ี ตอ้ งการศกึ ษาตอ่ ในสายวชิ าชพี ทต่ี อ้ งใชว้ ทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ พน้ื ฐาน หรอื เพอ่ื งานวจิ ยั ท่ี
ซบั ซอ้ น การเปลยี่ นแปลงของเทคโนโลยี ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเทคโนโลยี ตอ้ งใชค้ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ตอ้ งเรยี นรายวชิ าเพม่ิ เตมิ ในกลมุ่ สาระชวี วทิ ยา สาระ
กับศาสตร์อ่ืน โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ เคมี สาระฟสิ กิ ส์ และสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ในชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔-๖
เปรยี บเทยี บ และตัดสนิ ใจเพื่อเลอื กใชเ้ ทคโนโลยี โดยค�ำ นงึ ถงึ ผลกระทบ สามารถดูรายละเอียดได้ในคู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
ต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ระดับมัธยมศึกษา
ทรัพยากรเพื่อออกแบบ สร้าง หรือพัฒนาผลงานสำ�หรับแก้ปัญหาที่มี ตอนปลาย
ผลกระทบตอ่ สงั คมโดยใชก้ ระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม ใชซ้ อฟตแ์ วร์
ช่วยในการออกแบบและนำ�เสนอผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และ
เคร่ืองมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทั้งคำ�นึงถึงทรัพย์สิน
ทางปัญญา
ใชค้ วามรทู้ างดา้ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ สอื่ ดจิ ทิ ลั เทคโนโลยสี ารสนเทศ
และการสอ่ื สาร เพอื่ รวบรวมขอ้ มลู ในชวี ติ จรงิ จากแหลง่ ตา่ ง ๆ และความรู้
จากศาสตรอ์ น่ื มาประยกุ ตใ์ ช้ สรา้ งความรใู้ หม่ เขา้ ใจการเปลยี่ นแปลงของ
เทคโนโลยที ีม่ ีผลตอ่ การด�ำ เนนิ ชีวติ อาชพี สังคม วัฒนธรรม และใช้อยา่ ง
ปลอดภัยและมจี รยิ ธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
25
๖. ทกั ษะท่สี ำ�คญั ในการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ทักษะการวัด (Measuring)
การดำ�รงชีวิตและประกอบอาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ น้ัน มีความคาดหวัง เปน็ ความสามารถในการเลอื กใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการวดั ปรมิ าณตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ ง
ให้พลเมืองในศตวรรษน้ีเป็นผู้มีความรอบรู้ เป็นนักคิดและนักแก้ปัญหา สามารถ เหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ จาก
นำ�ความรู้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม และทันท่วงที ดังนั้นในการจัดการ เคร่ืองมือที่เลือกใช้ออกมาเป็นตัวเลขได้ถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมระบุ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผู้สอนจึงจำ�เป็นต้องออกแบบและวางแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยของการวดั ได้อย่างถกู ต้อง
วิทยาศาสตรท์ ่เี น้นการพัฒนาสมรรถนะของผ้เู รียนในด้านตา่ ง ๆ ทัง้ ดา้ นองค์ความรู้
หรือแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้านทักษะ ทกั ษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring)
การคิดระดับสูง ด้านทักษะที่จำ�เป็นสำ�หรับศตวรรษที่ ๒๑ และด้านทักษะอื่น ๆ
ตลอดจนด้านเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือให้ผู้เรียนเป็นนักเรียนรู้ นักคิด เชื่อม่ัน เป็นความสามารถในการคาดเดาอย่างมีหลักการเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือ
ยึดถือและศรัทธาในการใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ในทางท่ีสร้างสรรค์ สามารถนำ� ปรากฏการณ์ โดยใชข้ อ้ มลู (Data) หรือสารสนเทศ (Information) ที่เคย
ความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อ่ืนอย่างมีคุณธรรม เป็นกำ�ลังสำ�คัญ เกบ็ รวบรวมไว้ในอดีต
ในการพัฒนาประเทศชาติ ตลอดจนเป็นพลเมืองของโลกที่ดำ�รงชีวิตในสังคม
แห่งศตวรรษท่ี ๒๑ อย่างมีคณุ คา่ ทกั ษะการจ�ำ แนกประเภท (Classifying)
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skills) เปน็ ความสามารถในการแยกแยะ จดั พวกหรอื จดั กลมุ่ สงิ่ ตา่ งๆ ทส่ี นใจ เชน่
วัตถุ ส่ิงมีชีวิต ดาวและเทหวัตถุต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ท่ีต้องการศึกษา
การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ จำ�เป็นต้องใช้ทักษะกระบวนการ ออกเป็นหมวดหมู่ นอกจากนี้ยังหมายถึงความสามารถในการเลือกและ
ทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำ�ไปสู่การสืบเสาะค้นหา ผ่านการสังเกต ทดลอง สร้าง ระบเุ กณฑห์ รอื ลกั ษณะรว่ มลกั ษณะใดลกั ษณะหนง่ึ ของสง่ิ ตา่ ง ๆ ทต่ี อ้ งการ
แบบจำ�ลอง และวิธีการอ่ืน ๆ เพื่อนำ�ข้อมูล สารสนเทศและหลักฐานเชิงประจักษ์ จำ�แนก
มาสร้างคำ�อธิบายเกี่ยวกับแนวคิดหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Padilla,
๑๙๙๐; วรรณทพิ า, ๒๕๔๐) ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรป์ ระกอบด้วย ทักษะการหาความสัมพนั ธ์ของสเปซกบั เวลา
(Relationship of Space and Time)
ทกั ษะการสงั เกต (Observing)
สเปซคอื พนื้ ทท่ี ว่ี ตั ถคุ รอบครอง ในทน่ี อี้ าจเปน็ ต�ำ แหนง่ รปู รา่ ง รปู ทรงของ
เปน็ ความสามารถในการใชป้ ระสาทสมั ผสั อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรอื หลาย ๆ วัตถุ ส่ิงเหลา่ นี้อาจมีความสมั พันธก์ นั ดงั น้ี
อย่างเข้าไปสำ�รวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการ
ทดลองโดยไม่ลงความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไปด้วย ประสาทสัมผัสท้ัง ๕
อยา่ ง ไดแ้ ก่ การดู การฟังเสยี ง การดมกลิน่ การชมิ รส และการสัมผัส
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา
26
การหาความสมั พันธ์ระหวา่ งสเปซกับสเปซ เป็นความสามารถในการหาความ ทักษะการต้ังสมมตฐิ าน (Formulating Hypotheses)
(Relationship between Space and Space) เกยี่ วขอ้ ง สมั พนั ธก์ นั ระหวา่ งพนื้ ที่
ทวี่ ตั ถตุ า่ ง ๆ ครอบครอง เป็นความสามารถในการคิดหาคำ�ตอบล่วงหน้าก่อนจะทำ�การทดลอง
โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิม เป็นพ้ืนฐานคำ�ตอบท่ีคิด
การหาความสมั พันธ์ระหว่างสเปซกับเวลา เปน็ ความสามารถในการหาความ ล่วงหน้าที่ยังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมาก่อน
(Relationship between Space and Time) เกยี่ วขอ้ ง สมั พนั ธก์ นั ระหวา่ งพน้ื ที่ การต้ังสมมติฐานหรือคำ�ตอบที่คิดไว้ล่วงหน้ามักกล่าวไว้เป็นข้อความ ที่
ทวี่ ตั ถคุ รอบครองเมอื่ เวลาผา่ นไป บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ซึ่งอาจเป็นไปตามท่ี
คาดการณไ์ ว้หรือไมก่ ไ็ ด้
ทักษะการใช้จำ�นวน (Using Number)
ทักษะการก�ำ หนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ (Defining operationally)
เป็นความสามารถในการใช้ความรู้สึกเชิงจำ�นวน และการคำ�นวณเพ่ือ
บรรยายหรือระบรุ ายละเอียดเชิงปรมิ าณของสิง่ ท่สี งั เกตหรือทดลอง เป็นความสามารถในการกำ�หนดความหมายและขอบเขตของส่ิงต่าง ๆ ท่ี
อยู่ในสมมติฐานของการทดลอง หรือท่ีเกี่ยวข้องกับการทดลอง ให้เข้าใจ
ทักษะการจดั กระทำ�และส่อื ความหมายขอ้ มูล ตรงกนั และสามารถสงั เกตหรอื วัดได้
(Organizing and Communicating Data)
ทกั ษะการกำ�หนดและควบคมุ ตัวแปร (Controlling Variables)
เป็นความสามารถในการนำ�ผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหล่ง
ตา่ ง ๆ มาจดั กระท�ำ ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบทมี่ คี วามหมายหรอื มคี วามสมั พนั ธก์ นั เป็นความสามารถในการกำ�หนดตัวแปรต่าง ๆ ท้ังตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
มากขนึ้ จนง่ายต่อการท�ำ ความเข้าใจหรอื เหน็ แบบรปู ของข้อมูล นอกจาก และตัวแปรท่ีต้องการควบคุมให้คงที่ ให้สอดคล้องกับสมมติฐานของการ
นี้ยังรวมถึงความสามารถในการนำ�ข้อมูลมาจัดทำ�ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทดลองรวมถงึ ความสามารถในการระบแุ ละควบคมุ ตวั แปรอน่ื ๆ นอกเหนอื
ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพื่อ จากตวั แปรตน้ แตอ่ าจสง่ ผลตอ่ ผลการทดลอง หากไมค่ วบคมุ ใหเ้ หมอื นกนั
สื่อสารให้ผ้อู น่ื เขา้ ใจความหมายของข้อมูลมากขนึ้ หรือเท่ากัน ตัวแปรท่ีเก่ียวข้องกับการทดลอง ได้แก่ ตัวแปรต้น ตัวแปร
ตาม และตวั แปรทตี่ อ้ งควบคมุ ใหค้ งท่ี ซง่ึ ลว้ นเปน็ ปจั จยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การ
ทกั ษะการพยากรณ์ (Predicting) ทดลอง ดังน้ี
เปน็ ความสามารถในบอกผลลพั ธข์ องปรากฏการณ์ สถานการณ์ การสงั เกต
การทดลองทจ่ี ากการสงั เกตแบบรปู ของหลกั ฐาน (Pattern of Evidence)
การพยากรณ์ที่แม่นยำ�จึงเป็นผลมาจากการสังเกตท่ีรอบคอบ การวัดท่ี
ถูกตอ้ ง การบันทกึ และการจดั กระท�ำ กบั ข้อมูลอยา่ งเหมาะสม
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
27
ตวั แปรตน้ สง่ิ ทเี่ ปน็ ตน้ เหตทุ �ำ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงจงึ ตอ้ ง ทกั ษะการทดลอง (Experimenting)
(Independent Variable) จัดสถานการณ์ให้มีสงิ่ นี้แตกต่างกัน
การทดลองประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน คือ การออกแบบการทดลอง การ
ตัวแปรตาม ส่ิงท่ีเป็นผลจากการจัดสถานการณ์บางอย่างให้ ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง และการบนั ทกึ ผลการทดลอง ทกั ษะการทดลองจงึ เปน็
(Dependent Variable) แตกต่างกนั และเราตอ้ งสงั เกต วัด หรอื ตดิ ตามดู ความสามารถในการออกแบบและวางแผนการทดลองได้อย่างรอบคอบ
และสอดคล้องกบั ค�ำ ถามการทดลองและสมมติฐาน รวมถงึ ความสามารถ
ตัวแปรท่ตี ้องควบคุมให้คงท่ี ส่ิงต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการจัดสถานการณ์ จึง ในการดำ�เนินการทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการบันทึกผล
(Controlled Variable) ต้องจัดส่ิงเหล่านี้ให้เหมือนกันหรือเท่ากัน เพ่ือ การทดลองไดล้ ะเอยี ด ครบถว้ น และเท่ยี งตรง
ให้ม่ันใจว่าผลจากการจัดสถานการณ์เกิดจาก
ตวั แปรตน้ เทา่ นั้น การตคี วามหมายข้อมลู และลงขอ้ สรปุ
(Interpreting and Making Conclusion)
ความสามารถในการแปลความหมาย หรอื การบรรยายลกั ษณะและสมบตั ิ
ของข้อมูลท่ีมีอยู่ ตลอดจนความสามารถในการสรุปความสัมพันธ์ของ
ข้อมูลท้ังหมด
การสรา้ งแบบจำ�ลอง (Formulating Models)
ความสามารถสร้างและใช้ส่ิงท่ีทำ�ข้ึนมาเพ่ือเลียนแบบหรืออธิบาย
ปรากฏการณ์ทศี่ กึ ษาหรอื สนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพ
เคล่ือนไหว รวมถึงความสามารถในการนำ�เสนอข้อมูล แนวคิด ความคิด
รวบยอดเพอื่ ใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจในรปู ของแบบจำ�ลองแบบตา่ ง ๆ
กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
28
ทกั ษะกระบวนการส�ำ หรับการออกแบบและเทคโนโลยี ระบปุ ญั หา เป็นการค้นหาสาเหตุของปัญหา หรอื ความไมส่ ะดวก
(Process Skills of Design and Technology) (Identify Problem) สบาย จ�ำ เปน็ ตอ้ งแก้ปัญหา
การจัดการเรียนรู้วิชาการออกแบบและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาความ รวบรวมข้อมลู และแนวคิด เป็นการคดิ คน้ หา และรวบรวมแนวคิดต่าง ๆ เพอ่ื แก้ปญั หา อาจ
สามารถของผเู้ รยี นในการแกป้ ญั หาหรอื พฒั นางานอยา่ งสรา้ งสรรค์ ผเู้ รยี นจะไดร้ บั เพอื่ สรรหาวิธีการทเี่ ปน็ ไปได้ ท�ำ ได้จากการสืบคน้ สืบเสาะ ระดมความคดิ เสวนา สัมมนา หรอื
การพัฒนาทักษะและกระบวนการท่ีจำ�เป็นต่อการดำ�รงชีวิตผ่านการจัดการ (Gather Possible Solutions) อ่ืน ๆ เพ่อื น�ำ ข้อมลู มาประมวลและวิเคราะหห์ าวธิ ที ่ีเปน็ ไปไดใ้ หไ้ ด้
เรยี นรทู้ เ่ี นน้ การลงมอื ปฏบิ ตั ิ ซงึ่ ทกั ษะและกระบวนการส�ำ คญั ของวชิ าการออกแบบ
และเทคโนโลยี ได้แก่ มากวิธที ี่สุดที่น่าจะสามารถน�ำ ไปแกป้ ัญหาได้
ทกั ษะส�ำ คัญของการออกแบบและเทคโนโลยี เลือกและออกแบบวิธีการแก้ปัญหา เป็นการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ วธิ ตี า่ ง ๆ ท่ีเปน็ ไปไดแ้ ล้วตัดสินใจ
(Essential Skills of Design and Technology) (Select and Design Solution) เลอื กวธิ ที ่ดี ที ส่ี ุดท่ีอาจแกป้ ัญหาได้ตามเง่ือนไขทกี่ ำ�หนด
แลว้ ออกแบบตามวิธีทีเ่ ลือก
เป็นความสามารถในการคิดเชิงระบบ การคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี
วจิ ารณญาณ การคดิ วิเคราะห์ การทำ�งานร่วมกนั และการส่อื สาร ดำ�เนนิ การแก้ปญั หาเพอ่ื เปน็ การวางแผนการด�ำ เนินการเปน็ ล�ำ ดับขัน้ ตอนต้ังแต่เริ่มตน้ จนสน้ิ
สรา้ งต้นแบบ สดุ กระบวนการตามวธิ ที ่ีออกแบบ แล้วลงมอื แก้ปญั หาตามท่วี างแผน
กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม (Engineering Design Process)
(Create Prototype) ไว้ จนไดต้ ้นแบบ (Prototype) ซง่ึ อาจเปน็ วิธกี ารหรือชิน้ งานกไ็ ด้
เป็นการหาวิธีการในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจเป็นวิธีการหรือการพัฒนาส่ิง
ประดิษฐผ์ ่านกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม ตามรายละเอียดดงั นี้
ทดสอบ ประเมิน เป็นการทดสอบและประเมนิ การทำ�งานของต้นแบบซ่ึงอาจเป็นวธิ ี
และปรบั ปรุงแกไ้ ขตน้ แบบ การหรอื ช้ินงานโดยผลที่ไดอ้ าจน�ำ มาใชใ้ นการปรับปรงุ และพฒั นา
(Test, Evaluate, and Redesign
ต้นแบบใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากขนึ้
Prototype)
น�ำ เสนอตน้ แบบ เปน็ การน�ำ เสนอต้นแบบ พรอ้ มทั้งผลการทดสอบและประเมนิ
วธิ กี ารและผลการแก้ปญั หา การทำ�งานของชิ้นงานหรือวิธกี าร โดยผลทไ่ี ดอ้ าจน�ำ มาใชใ้ นการ
(Communicate Solutions ปรบั ปรงุ และพฒั นาการแกป้ ญั หาใหม้ ีประสทิ ธภิ าพมากขนึ้ พรอ้ ม
ท้ังรับฟงั ความคดิ เหน็ จากผเู้ ก่ียวข้องเพือ่ นำ�มาปรับต้นแบบหรือ
and Prototype)
การท�ำ งานในครัง้ ถดั ไป
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
29
ระบปุ �ญหา รวบรวมขอ� มลู และ
แนวคดิ เพอื่ สรรหา
นำเสนอต�นแบบ วธิ กี าร วธิ กี ารท่ีเปน� ไปได�
และผลการแก�ปญ� หา
กระบวนการออกแบบ
เชงิ วิศวกรรม
ทดสอบ ประเมิน เลอื กและออกแบบ
และปรบั ปรงุ วิธีการแกป� �ญหา
แกไ� ขต�นแบบ
ดำเนินการแก�ป�ญหา
เพอื่ สร�างตน� แบบ
ภาพท่ี ๕ กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
ภาพท่ี ๕ แสดงให้เห็นว่า การแก้ปัญหาตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ไม่มี ลำ�ดับขั้นตอนที่แน่นอน ลูกศรแบบ ๒ หัว
ที่เชื่อมระหว่างแต่ละขั้นของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม แสดงให้เห็นว่าแต่ละข้ันสามารถเกิดขึ้นย้อนกลับไปมาได้ ส่วนลูกศร
ตรงกลางแสดงให้เห็นว่า กระบวนการแก้ปัญหาสามารถเกิดซ้ำ� (Iterate) ในบางขั้นตอนหากจำ�เป็น เช่น เมื่อดำ�เนินการแก้ปัญหาพบว่า
ยังต้องกลับไปรวบรวมข้อมูลหรือแนวคิดเพิ่มเติม หรือบางคร้ังเม่ือพบว่าวิธีการท่ีเลือกไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็ต้องกลับไปเลือกวิธีการอื่น
ทเี่ คยสรรหาไว้กอ่ นหนา้ นี้หรอื รวบรวมแนวคิดและสรรหาวิธีการเพ่มิ เติม
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
30
ทกั ษะการคิดเชงิ คำ�นวณ (Computational Thinking) การพิจารณาสาระส�ำ คัญของปัญหา (Abstraction)
ทักษะการคิดเชิงคำ�นวณ เป็นกระบวนการในการแก้ปัญหา การคิด เปน็ การพจิ ารณารายละเอยี ดทส่ี �ำ คญั ของปญั หา แยกแยะสาระส�ำ คญั ออก
วิเคราะห์อย่างมีเหตุผลเป็นขั้นตอน เพ่ือหาวิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบที่สามารถ จากส่วนท่ีไมส่ ำ�คญั
นำ�ไปประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะนี้มีความสำ�คัญในการพัฒนา
ซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ยังสามารถนำ�ไปใช้แก้ปัญหาในศาสตร์อื่น ๆ และปัญหาใน การออกแบบอลั กอริทึม (Algorithms)
ชีวิตประจำ�วันไดด้ ว้ ย ทักษะการคดิ เชิงค�ำ นวณมีองคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปนี้
เป็นข้ันตอนในการแก้ปัญหาหรือการทำ�งาน โดยมีลำ�ดับของคำ�ส่ังหรือ
การแบง่ ปัญหาใหญอ่ อกเปน็ ปญั หายอ่ ย (Decomposition) วธิ กี ารท่ีชดั เจนทค่ี อมพิวเตอร์สามารถปฏบิ ัติตามได้
เป็นการพิจารณา และแบ่งปัญหา/งาน/ส่วนประกอบ ออกเป็นส่วนย่อย
เพื่อใหจ้ ัดการกบั ปญั หาได้งา่ ยขึ้น
การพจิ ารณารปู แบบของปัญหาหรอื วธิ ีการแก้ปญั หา
(Pattern Recognition)
เป็นการพิจารณารูปแบบ แนวโน้ม และลักษณะทั่วไปของข้อมูล โดย
พิจารณาว่าเคยพบปัญหาลักษณะนี้มาก่อนหรือไม่ หากมีรูปแบบของ
ปัญหาท่ีคล้ายกันสามารถนำ�วิธีการแก้ปัญหานั้นมาประยุกต์ใช้ และ
พิจารณารูปแบบปัญหาย่อยซ่ึงอยู่ภายในปัญหาเดียวกัน ว่ามีส่วนใดที่
เหมือนกัน เพ่ือใช้วิธีการแก้ปัญหาเดียวกันได้ ทำ�ให้จัดการกับปัญหาได้
งา่ ยขึ้น และการทำ�งานมปี ระสิทธิภาพเพม่ิ ข้ึน
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
31
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ (21st Century Skills) แห่งศตวรรษที่ ๒๑ (Parnership for 21st Century Learning, 2009) โดยกรอบ
ความคิดน้ีนำ�เสนอทั้งส่วนของผลลัพธ์ของผู้เรียน และระบบสนับสนุนต่าง ๆ
ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ หมายถงึ กลมุ่ ความรู้ ทกั ษะ และนสิ ยั การท�ำ งาน ดังอธิบายไดต้ ามภาพที่ ๖
ท่ีเช่ือว่ามีความสำ�คัญอย่างย่ิงต่อความสำ�เร็จในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะน้ีเป็น
ผลจากการพัฒนากรอบความคิดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ โดยภาคีเพื่อทักษะ
แล ัทะกอาษะชี ีชพวิต ทกั ษะการเรียนรู้ ทสกั ื่อษมะีเดดา้ยี นแสลาะรเสทนคเโทนศโลยี
และนวตั กรรม
รายวิชาหลกั และสาระส�ำ คัญ
ในศตวรรษที่ ๒๑
มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละ
การประเมินการเรียนรู้
หลกั สตู รและการสอน
การพฒั นาวิชาชีพครู
สภาพแวดล้อมทีส่ ่งเสรมิ การเรียนรู้
ภาพท่ี ๖ กรอบความคิดเพ่อื การจดั การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑
ปรบั ปรุงจาก P21 Framework for 21st Century Learning (Parnership for 21st Century Learning, 2009)
กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
32
การที่จะประสบความสำ�เร็จในการประกอบอาชีพและดำ�รงชีวิตใน ผลลัพธท์ ่คี วรเกดิ กับผูเ้ รยี นแห่งศตวรรษที่ ๒๑
ศตวรรษที่ ๒๑ ผู้เรียนจำ�เป็นต้องได้รับการพัฒนาและฝึกฝนวิทยาการความรู้และ (21st Century Student Outcomes)
ทักษะต่าง ๆ ได้แก่ ทักษะการใช้ชีวิตและอาชีพ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือต่าง ๆ และเทคโนโลยี ซ่ึงล้วนเป็นทักษะสำ�คัญสำ�หรับ องค์ประกอบสำ�คัญท่ีเป็นผลลัพธ์ของผู้เรียนแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
พลเมืองโลกทุกวันน้ี นอกจากนี้ยังต้องมีรูปแบบและวิธีการประเมินการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย ความรแู้ ละเรอื่ งราวที่เกยี่ วขอ้ งกับศตวรรษ ๒๑ ทกั ษะการเรียนรแู้ ละ
และทกั ษะเหลา่ นอี้ ยา่ งสอดคลอ้ ง เหมาะสม และมปี ระสทิ ธภิ าพ ส�ำ หรบั การจดั การ นวัตกรรม ทกั ษะชีวิตและอาชพี และทกั ษะสารสนเทศ สือ่ มเี ดียและเทคโนโลยี
เรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะเหล่านี้สามารถทำ�ได้โดยผสมผสานบูรณาการ
ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้านเนื้อหาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผลลัพธ์ที่ควรเกิดกับผู้เรียนด้านความรู้และเรื่องราวที่เก่ียวข้องกับ
โดยสถานศึกษาจำ�เป็นต้องมีการจัดระบบต่าง ๆ เช่น หลักสูตรสถานศึกษา ศตวรรษที่ ๒๑ ผู้เรียนแห่งศตวรรษน้ีจำ�เป็นต้องมีความรอบรู้ เร่ืองราว เหตุการณ์
สื่อการจัดการเรียนรู้ การประเมินการเรียนรู้ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๒๑ ผู้สอนจึงต้องออกแบบและจัดการเรียนรู้ท่ี
ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้ส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้ด้านวิชาการต่าง ๆ มกี ารผนวกหรือบรู ณาการเร่ืองราวหรอื เหตุการณ์ต่างๆ ทเ่ี กดิ ขึ้นกับศตวรรษท่ี ๒๑
ให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านการเรียนรู้อย่างมีความสุข ไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ หรือหลักสูตรสถานศึกษา เช่น การตระหนักต่อโลก
และเหน็ ประโยชนข์ องการหมน่ั เพยี รเรยี นรแู้ ละฝกึ ฝนเพอ่ื พฒั นาสมรรถนะทจี่ �ำ เปน็ ความรอบรู้ในเรื่องการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจและการประกอบการ ความรอบรู้ใน
เหลา่ นแี้ ละประสบความส�ำ เรจ็ ในอนาคต เรอื่ งหนา้ ทพ่ี ลเมอื ง สขุ ภาพ และสงิ่ แวดลอ้ ม ความรดู้ า้ นศาสตรว์ ทิ ยาการตา่ ง ๆ ทมี่ ี
ความส�ำ คญั ต่อผูเ้ รียนในศตวรรษน้ี ไดแ้ ก่
กรอบความคิดน้ียังอธิบายว่า ผู้เรียนแห่งศตวรรษที่ ๒๑ จะประสบ
ความสำ�เร็จในชีวิตและอาชีพได้จำ�เป็นต้องรู้หนังสือ นั่นคือมีความสามารถในการ - ภาษาองั กฤษ ทั้งด้านการอา่ น และความงดงามของภาษา
อ่านออกเขียนได้ควบคู่ไปกับความรอบรู้ท่ีบูรณาการกันระหว่างความรู้ในวิชาการ - ภาษาตา่ ง ๆ ในโลก
และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ท่ีกล่าวมา ดังน้ันบุคคลแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ จะต้อง - ศิลปะ
เป็นผู้รู้หนังสือ มีทักษะในการเสาะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวเองอันนำ�ไปสู่การเป็น - ภมู ิศาสตร์
ผมู้ ดี า้ นความรทู้ างวชิ าการทเ่ี ขม้ แขง็ จงึ จะสามารถคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ สรา้ งสรรค์ - ประวตั ิศาสตร์
สื่อสารและทำ�งานรว่ มมือกบั ผ้อู ่ืนได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ - วทิ ยาศาสตร์
- คณติ ศาสตร์
- เศรษฐศาสตร์ การปกครองและหน้าท่พี ลเมอื ง
กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา
33
ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น นอกจากผลลัพธ์ด้านความรู้ พลเมืองในศตวรรษ ๒. ด้านการส่ือสาร สารสนเทศและการรูเ้ ทา่ ทันส่ือ
ที่ ๒๑ ควรมีสมรรถนะท่ีจำ�เป็นอีก ๓ ด้าน ได้แก่ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Communications, Information, and Media Literacy)
(Learning and Innovation Skills) ความรอบรู้และสมรรถนะด้านทักษะชีวิต
และอาชีพ และทักษะสารสนเทศ ส่ือมีเดียและเทคโนโลยี ราชบัณฑิตยสถานได้ หมายถึง ความสามารถในการเข้าถึง การจัดการ การประเมิน
ระบุทกั ษะท่ีจ�ำ เปน็ แหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ท่สี อดคลอ้ งกบั สมรรถนะทีค่ วรมีในพลเมอื ง และการใช้งานสารสนเทศอย่างมีประสิทธิผล (เวลาในการเข้าถึงส่ือ)
ยคุ ใหมร่ วม ๗ ด้าน (ส�ำ นกั งานพฒั นาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแหง่ ชาต,ิ ๒๕๕๘; และประสิทธิภาพ (การเข้าถึงและใช้งานแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย)
ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๕๗) ดังนี้ รวมถึงความสามารถในการผลิตและใช้ส่ือเพ่ือสื่อสารกับบุคคลอ่ืน
อย่างถกู ตอ้ ง เหมาะสม ประกอบด้วย
๑. ด้านการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา
(Critical Thinking and Problem Solving) ๑. สามารถเลือกใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง เหมาะสมเพื่อสร้างสื่อได้
ตรงตามวัตถุประสงค์รวมถึงสามารถสื่อสารความคิดผ่านสื่อ
เปน็ ความสามารถในการใชเ้ หตผุ ลอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การคดิ อยา่ งเปน็ ข้อความหรือสื่อรูปแบบอื่น
ระบบ การประเมนิ และการตดั สนิ ใจ และการแกป้ ญั หา
๒. เขา้ ใจวตั ถปุ ระสงคข์ องการสรา้ งสอื่ ขอ้ ความรวมถงึ วธิ กี ารสรา้ ง
การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ (Critical Thinking) สอื่ นนั้ ๆ
หมายถงึ การคดิ โดยใชเ้ หตผุ ลทหี่ ลากหลายเหมาะสมกบั สถานการณ์ ๓. เขา้ ใจอทิ ธพิ ลของความเชอ่ื และวฒั นธรรมตอ่ สอื่ รปู แบบตา่ ง ๆ
มกี ารคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ หลกั ฐานและขอ้ คดิ และผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เหน็ ดว้ ยมมุ มองทหี่ ลากหลาย สงั เคราะห์ แปลความหมาย และจดั ท�ำ ต่อการด�ำ เนนิ ชีวิต อาชีพ สังคม และวฒั นธรรม
ข้อสรุป สะท้อนความคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้ประสบการณ์
และกระบวนการเรยี นรู้ ๔. เขา้ ใจขอ้ ตกลง ขอ้ ก�ำ หนด และกฎหมายในการใชส้ อื่ หรอื แหลง่
ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ การใชล้ ขิ สทิ ธดิ์ า้ นสารสนเทศและสอ่ื ของผอู้ นื่ โดย
การแก้ปัญหา (Problem Solving) ชอบธรรม
หมายถึง การแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคยหรือปัญหาใหม่ได้ โดยอาจใช้
ความรู้ ทักษะ วิธีการ และประสบการณ์ท่ีเคยรู้มาแล้ว หรือการ
สืบเสาะหาความรู้วิธีการใหม่ มาใช้แก้ปัญหาก็ได้ นอกจากน้ี
ยั ง ร ว ม ถึ ง ก า ร ซั ก ถ า ม เ พ่ื อ ทำ � ค ว า ม เ ข้ า ใ จ มุ ม ม อ ง ท่ี แ ต ก ต่ า ง
หลากหลายเพื่อใหไ้ ด้วิธแี ก้ปัญหาทีด่ ีมากขนึ้
กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
34
๓. ด้านความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผนู้ �ำ เพ่ือสร้างแนวคิดใหม่ ๆ นอกจากน้ียังรวมถึงการเป็นผู้มีมุมมอง
(Collaboration, Teamwork and Leadership) และความเข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้
การสรา้ งสรรคผ์ ลงานและการสรา้ งนวตั กรรมเปน็ เรอ่ื งทตี่ อ้ งใชเ้ วลา
เป็นการแสดงความสามารถในการทำ�งานร่วมกับคนกลุ่มต่าง ๆ และระหวา่ งกระบวนการสรา้ งผลงาน จะพบความผดิ พลาดมากกวา่
ท่ีหลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพและให้เกียรติ มีความยืดหยุ่นและ ความสำ�เร็จ สิง่ เหล่านเี้ กิดข้นึ เป็นวฏั จกั ร
ยินดีท่ีจะประนีประนอมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำ�งาน พร้อมท้ัง
ยอมรับและแสดงความรับผิดชอบต่องานท่ีทำ�ร่วมกัน และเห็นคุณค่า การนำ�ไปปฏิบตั ิเพอื่ สรา้ งนวตั กรรม
ของผลงานทพ่ี ฒั นาขึ้นจากสมาชกิ แต่ละคนในทมี (Implement Innovations) หมายถงึ การปฏบิ ัตติ ามแนวคิดเพ่ือ
๔. ด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) สรา้ งผลงานทเ่ี ปน็ ประโยชนใ์ หเ้ กดิ ขน้ึ จรงิ ใหไ้ ดซ้ งึ่ จะน�ำ ไปสผู่ ลงาน
เป็นความสามารถในการคิดอย่างสร้างสรรค์ การทำ�งานกับผู้อื่นอย่าง ทเ่ี ปน็ นวตั กรรมในที่สุด
สร้างสรรค์ และการนำ�ไปปฏบิ ัตเิ พ่อื สร้างนวตั กรรม
๕. ด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
การสร้างสรรค์ (Creativity) หมายถึง การใช้เทคนิคที่ (Computing and ICT Literacy)
หลากหลายในการสร้างสรรค์แนวคิด เช่น การระดมพลังสมอง
ร ว ม ถึ ง ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร พั ฒ น า ต่ อ ย อ ด แ น ว คิ ด เ ดิ ม ห รื อ หมายถึงทักษะและความชำ�นาญในการนำ�เคร่ืองมือ อุปกรณ์ หรือ
ได้แนวคิดใหม่ และความสามารถในการกลั่นกรอง ทบทวน วิธีการที่เก่ียวกับดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ เช่น คอมพิวเตอร์
วิเคราะห์ และประเมินแนวคิด เพ่ือปรับปรุงให้ได้แนวคิดที่จะ โทรศัพท์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ส่ือออนไลน์ จนกระท่ังฐาน
สง่ ผลใหค้ วามพยายามอย่างสรา้ งสรรค์นเี้ ปน็ ไปได้มากทีส่ ดุ ข้อมูลออนไลน์มาใช้ในการทำ�งานเพื่อการสืบค้น การรวบรวม การ
จดั การ การประมวลผล การประเมนิ ความถกู ตอ้ ง และการสอื่ สารและ
การทำ�งานกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (Work Creatively นำ�เสนอสารสนเทศเพื่อพัฒนากระบวนการทำ�งานให้ทันสมัย และมี
with Others) หมายถึง การพัฒนาและการนำ�ผลงานไปใช้ ประสทิ ธภิ าพ นอกจากนี้ ทกั ษะในดา้ นนย้ี งั รวมถงึ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั
แล้วส่ือสารแนวคิดใหม่ๆ อย่างมีประสิทธิภาพให้ผู้อ่ืนเข้าใจ หลกั การท�ำ งานของคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยกี ารสอื่ สาร สามารถใช้
การเปิดใจยอมรับและตอบสนองต่อทัศนคติใหม่และหลากหลาย งานระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงการเขียนโปรแกรมเพ่ือ
การนำ�แนวคิด และข้อสะท้อนกลับของกลุ่มมาใช้ในการทำ�งาน สั่งงานคอมพิวเตอร์ การใช้แนวคิดเชิงคำ�นวณในการแก้ปัญหาอย่าง
การแสดงให้เห็นถึงการนำ�แนวคิดแปลกใหม่ สร้างสรรค์มาใช้ใน เป็นข้ันตอน
การทำ�งาน และการนำ�ความเข้าใจถึงข้อจำ�กัดต่าง ๆ มาปรับใช้
กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
35
๖. ดา้ นการท�ำ งาน การเรยี นรู้ และการพ่ึงตนเอง ๗. ด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์
(Career and Learning Self–Reliance) (Cross–Cultural Understanding)
หมายถงึ ทกั ษะทจ่ี �ำ เปน็ ส�ำ หรบั การด�ำ รงชวี ติ และท�ำ งานในยคุ ปจั จบุ นั ทักษะในด้านน้ีหมายถึง ความสามารถในการทำ�งานและดำ�รงชีวิต
อย่างมคี ุณภาพ ทกั ษะท่สี �ำ คัญในกล่มุ น้ปี ระกอบดว้ ย ในสภาพแวดล้อมที่คนมีความคิดเห็นและความเชื่อหลากหลาย
โดยไม่รู้สึกแปลกแยก เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม สามารถ
ความยืดหย่นุ และการปรับตัว (Flexibility and Adaptability) ยอมรับและตอบสนองความคิดเห็นที่แตกต่างในเชิงบวก นำ�ไปสู่
เพื่อให้เข้ากับภาวะการเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็ว รวมถึงภาวะที่ การสรา้ งแนวคดิ หรือวธิ กี ารท�ำ งานใหม่ได้
มีทรัพยากรจำ�กัดในยุคปัจจุบันซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผน
การท�ำ งานทว่ี างไว้ พลเมอื งในศตวรรษที่ ๒๑ จงึ ตอ้ งมคี วามยดื หยนุ่
และสามารถปรับเปลี่ยนแผนงานเพ่ือให้เข้ากับบริบทและเงื่อนไข
ของการท�ำ งานทเี่ ปลยี่ นแปลง และสามารถน�ำ ความเหน็ ทแี่ ตกตา่ ง
มาทำ�ความเข้าใจ และสรา้ งดุลยภาพเพื่อใหง้ านสำ�เรจ็ ลลุ ่วงได้
การริเริ่มและการกำ�กับดูแลตัวเอง (Initiative and
Self-Direction) ทักษะน้ีหมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้
พัฒนาทักษะท่ีจำ�เป็นในการทำ�งานได้ด้วยตนเองและมองเห็น
โอกาสในการเรียนรู้เพ่ือเพิ่มพูนประสิทธิผลและขยายความ
เช่ียวชาญของตนเองได้ ความสามารถในการกำ�หนดเป้าหมาย
จัดการเวลาและภาระงานของตนเอง และความสามารถในการ
ชี้นำ�ตนเองและพัฒนาตนเองโดยการทบทวนจากประสบการณ์ที่
ผา่ นมา (วจิ ารณ,์ ๒๕๕๕; เบลลนั กาและแบรนต,์ ๒๐๑๐ / ๒๕๕๖)
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
36
๗. จิตวิทยาศาสตร์ การใชว้ จิ ารณญาณ (Critical-Mindedness)
จติ วิทยาศาสตร์ (Scientific Mind) คน้ หาและยอมรบั การไมส่ อดคลอ้ งกนั ของขอ้ มลู ทสี่ บื เสาะไดก้ บั ความ
เช่ือหรือความรู้ท่ีมีมา รวบรวมแนวคิดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น
เปน็ คณุ ลกั ษณะหรอื ลกั ษณะนสิ ยั ของบคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความรสู้ กึ นกึ คดิ ผเู้ ชยี่ วชาญ งานวจิ ยั แลว้ พยายามวเิ คราะหแ์ ละใหเ้ หตผุ ลแตล่ ะขอ้ มลู
ในทางวทิ ยาศาสตร ์ ทเ่ี กดิ จากการศกึ ษาหาความรหู้ รอื ไดร้ บั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ กอ่ นประเมินและตดั สินใจ
ทางวทิ ยาศาสตร ์ ซงึ่ สง่ ผลตอ่ ความคดิ การตดั สนิ ใจ การกระท�ำ และการแสดงออก
ทางพฤติกรรมตอ่ ความรู้หรือสิง่ ทีเ่ ก่ยี วข้องกับวทิ ยาศาสตร์ ความรอบคอบ (Suspended Judgement)
ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในชั้นเรียนมีความจำ�เป็นท่ีจะต้อง ไม่แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ต่าง ๆ จนกว่าจะลงมือทำ�การสืบ
สร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนเกิดความชอบ สนใจท่ีจะเรียนรู้ ตลอดจนมีความรู้สึกท่ีดี เสาะคน้ หา พรอ้ มทงั้ ยอมรบั และเหน็ คณุ คา่ ของการสรา้ ง หรอื คดั คา้ น
ต่อวิทยาศาสตร์ เพราะจะส่งผลต่อความรู้สึก นึกคิด และทำ�ให้ผู้เรียนเกิดเจตคติ ในข้อจำ�กัดของข้อสรุปหรือทฤษฎี สรุปหรืออธิบายในขอบเขตของ
ที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ เห็นประโยชน์และคุณค่าของการเรียนวิทยาศาสตร์และการนำ� หลักฐานทีป่ รากฏเทา่ นั้น
วิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำ�วัน ตลอดจนเป็นผู้ท่ีเชื่อมั่น ยึดถือและศรัทธาใน
การใชค้ วามรวู้ ทิ ยาศาสตรใ์ นทางทสี่ รา้ งสรรค์ สามารถน�ำ ความรไู้ ปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ ความเชื่อมั่นต่อหลกั ฐาน (Respect for Evidence)
ต่อตนเองและผู้อ่ืนอย่างมีคุณธรรมและมีคุณค่า โดยจิตวิทยาศาสตร์จะครอบคลุม
เกีย่ วกับเจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์ และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ ดังน้ี พยายามสืบเสาะค้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จากการสังเกต การ
ทดลองหรือการสร้างแบบจำ�ลอง เพ่ือใช้สนับสนุนการอธิบายทาง
เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ (Attitudes Towards Sciences) วิทยาศาสตร์ หรือใช้โต้แย้งกับคำ�อธิบายที่แตกต่างหรือไม่สอดคล้อง
กบั คำ�อธิบายของตนเอง
เปน็ ความรสู้ กึ ความเชอ่ื และการยดึ ถอื ของบคุ คล ในคณุ คา่ ของงานดา้ นวทิ ยาศาสตร์
รวมถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์ท่ีมีต่อตนเองและต่อสังคม ซ่ึงเป็น ความซอ่ื สตั ย์ (Honesty)
ผลจากการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ โดยผา่ นกจิ กรรมทห่ี ลากหลาย ความรสู้ กึ ดงั กลา่ ว เชน่
ความสนใจ ความชอบ การเห็นความส�ำ คัญและคณุ ค่าของวิทยาศาสตร์ เก็บรวบรวมหลักฐานให้มากท่ีสุด รายงานหลักฐานเชิงประจักษ์
และข้อมูลเพ่ิมเติมอ่ืน ๆ ทุกรายการ แม้ว่าบางข้อมูล จะขัดแย้งกับ
เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ (Scientific Attitudes) สมมติฐานหรือส่ิงท่ีพยากรณ์ไว้ ไม่แอบอ้างผลงานของผู้อื่นมาเป็น
ของตน โดยยอมรบั งานของผอู้ ่ืนอยา่ งเปดิ เผย
เปน็ คณุ ลกั ษณะหรอื ลกั ษณะนสิ ยั ของบคุ คลทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์
ความเช่ือเก่ียวกับวิทยาศาสตร์ หรือการแสดงออกถึงการมีจิตใจท่ีเป็นวิทยาศาสตร์
(Kozlow,M.J. & Nay, M.A., 1976)
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา
37
วตั ถวุ ิสัย (Objectivity) ความอยากรูอ้ ยากเหน็ (Questioning Attitude)
แปลความหมายข้อมูลให้สอดคล้องกับหลกั ฐานอยา่ งเทยี่ งตรง ปราศจาก กระตือรือร้นในการสืบเสาะค้นหาความรู้ตามท่ีสงสัย หรือแนวคิดท่ี
อคตโิ ดยวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทกุ มติ ทิ งั้ ดา้ นทสี่ นบั สนนุ และขดั แยง้ กบั สมมตฐิ าน ขดั แยง้ หรอื ไมส่ อดคลอ้ งกนั กบั แนวคดิ ของตนเอง ตง้ั ค�ำ ถามทส่ี ามารถน�ำ
หรือส่ิงที่พยากรณ์ไว้ และไม่นำ�ความเชื่อส่วนตัวหรือความรู้ที่มีอยู่มามี ไปสู่การสืบเสาะค้นหาคำ�ตอบ หรือตรวจสอบความน่าเช่ือถือของข้อมูล
อทิ ธพิ ลเหนอื การแปลความหมายข้อมลู หรือแนวคิดท่ีแตกต่างนั้น ต้ังคำ�ถามท่ีนำ�ไปสู่การสืบเสาะค้นหาทาง
วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งสม�่ำ เสมอ
การยอมรับความเหน็ ต่าง (Willingness to Change Opinions)
ความม่งุ ม่นั อดทน (Tolerance of Uncertainty)
ยอมรบั ความเหน็ หรอื แนวคดิ ทมี่ ปี ระจกั ษพ์ ยานและเหตผุ ลทแี่ ตกตา่ งจาก
ตนเอง แสดงการยอมรบั วา่ ทกุ สมมตฐิ าน ขอ้ สรปุ แนวคดิ หรอื ทฤษฎตี า่ ง ๆ ไมย่ อ่ ทอ้ ในการคน้ หาขอ้ มลู หลกั ฐาน เพอ่ื น�ำ ไปสกู่ ารอธบิ ายปรากฏการณ์
ไมม่ คี วามแนน่ อน มขี อ้ จ�ำ กดั ซง่ึ สามารถเปลยี่ นแปลงได้ ยนิ ดเี ปลยี่ นแปลง ตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในธรรมชาตหิ รอื สง่ิ ทส่ี งสยั แสดงความเขา้ ใจและยอมรบั วา่
สมมติฐานหรือแนวคิดตามหลักฐานเชิงประจักษ์และเหตุผลท่ีถูกต้อง ความไมแ่ นน่ อน ความไมช่ ดั เจนสามารถเกดิ ขน้ึ ไดเ้ สมอ และค�ำ อธบิ ายทาง
มากกว่า วิทยาศาสตร์ใด ๆ สามารถเขา้ ใกล้ความจรงิ ทางธรรมชาติ แต่ยังไม่สิ้นสุด
จึงต้องมุ่งม่ันในการสืบเสาะค้นหาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์เหล่าน้ัน
ความใจกว้าง (Open-Mindedness) อยา่ งต่อเน่อื ง ไม่ทอ้ ถอย
คดิ พจิ ารณาทางเลอื กอน่ื ๆ ทเี่ ปน็ ไปได้ ในระหวา่ งท�ำ การสบื เสาะหาความรู้
พรอ้ มทง้ั ยนิ ดรี บั ฟงั และประเมนิ แนวคดิ ตา่ ง ๆ ทผี่ อู้ น่ื น�ำ เสนอหรอื แนะน�ำ
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา
38
๘. แนวทางการจดั การเรียนรูว้ ิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาผู้เรียน
ในศตวรรษที่ ๒๑
แนวการจดั การเรยี นร้ตู ามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษา ๕. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม
สอื่ การเรยี น และอ�ำ นวยความสะดวกเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรแู้ ละ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๒ ระบุว่า มคี วามรอบรู้ รวมทงั้ สามารถใชก้ ารวจิ ยั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของกระบวนการ
การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา เรยี นรู้ ทง้ั นี้ ผสู้ อนและผู้เรยี นอาจเรยี นรไู้ ปพรอ้ มกนั จากส่ือการเรยี น
ตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำ�คัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง การสอนและแหลง่ วิทยาการประเภทตา่ ง ๆ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ในมาตรา
๒๓ (๒) เน้นการจัดการศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั ให้ความสำ�คัญ ๖. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความ
ของการบูรณาการความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ตามความเหมาะสมของ ร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย
ระดับการศึกษา โดยเฉพาะความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพอ่ื รว่ มกันพฒั นาผเู้ รียนตามศกั ยภาพ
รวมท้ังความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำ�รุงรักษา
และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลย่ังยืน การจัดการเรียนรู้ตามแนวดังกล่าว จำ�เป็นต้องเปล่ียนแปลงพฤติกรรม
ในส่วนของการจัดกระบวนการเรียนรู้ มาตรา ๒๔ ได้ระบุให้สถานศึกษาและ การเรียนการสอนท้ังของผู้เรียนและผู้สอน กล่าวคือลดบทบาทของครูผู้สอน
หนว่ ยงานท่ีเกยี่ วข้อง ด�ำ เนนิ การ ดังนี้ จากการเป็นผู้บอกเล่า บรรยาย สาธิต เป็นการวางแผนจัดกิจกรรมให้นักเรียน
เกิดการเรียนรู้ กิจกรรมต่างๆ จะต้องเน้นท่ีบทบาทของผู้เรียนตั้งแต่เร่ิม คือ
๑. จดั เนอื้ หาสาระและกจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจและความถนดั รว่ มวางแผนการเรยี น การวดั ผล ประเมนิ ผล และตอ้ งค�ำ นงึ วา่ กจิ กรรมการเรยี นนน้ั
ของผ้เู รยี น โดยคำ�นึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เนน้ การพฒั นากระบวนการคดิ วางแผน ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ศกึ ษา คน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู
ด้วยวิธีการต่างๆ จากแหล่งเรียนรู้หลากหลาย ตรวจสอบ วิเคราะห์ การแก้ปัญหา
๒. ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคดิ การจดั การ การเผชญิ สถานการณ์ และการ การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การสร้างคำ�อธิบายเกี่ยวกับข้อมูลที่สืบค้นได้
ประยกุ ต์ความรู้มาใชเ้ พ่ือปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหา เพื่อนำ�ไปสู่คำ�ตอบของปัญหาหรือคำ�ถามต่าง ๆ ในท่ีสุดสร้างองค์ความรู้
ทั้งนี้ กิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้ต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย
๓. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ทง้ั ทางร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา
ใหท้ �ำ ได้ คิดเป็น ทำ�เป็น รกั การอ่านและเกิดการใฝ่รอู้ ย่างต่อเน่ือง
๔. จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น โ ด ย ผ ส ม ผ ส า น ส า ร ะ ค ว า ม รู้ ด้ า น ต่ า ง ๆ
อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงามและ
คุณลักษณะอนั พึงประสงคไ์ ว้ในทุกวชิ า
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา
39
แนวทางการจัดการเรยี นรู้ท่สี อดคล้องกับการเรยี นร้ขู องมนุษย์ ปลากค็ อื ปลา โดย ลโี อ ไลออนี
สภาวิจัยแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research วนั หนง่ึ ลูกปลานอ้ ยกบั กบไดพ้ ูดคุยกนั เก่ียวกับเร่ืองราวตา่ ง ๆ
Council, NRC) ไดส้ งั เคราะหง์ านวจิ ยั เกย่ี วกบั การเรยี นรขู้ องมนษุ ย์ แลว้ เรยี บเรยี ง นอกสระ กบเล่าใหป้ ลานอ้ ยฟงั อยา่ งต่นื เตน้ ว่า
และเผยแพร่ในรูปแบบหนังสือ มีชื่อว่า มนุษย์เรียนรู้อย่างไร: สมอง จิตใจ
ประสบการณ์ และโรงเรียน (How People Learn: Brain, Mind, Experience, กบ: น ่ี ๆ เจ้าปลานอ้ ย ฉันกระโดดออกไปเท่ียวขา้ งนอก
and School) ในหนังสือเล่มน้ีได้กล่าวถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนใน ๓ วิชา ได้แก่ มาล่ะ แลว้ ฉันกเ็ ห็นสิ่งแปลก ๆ มากมาย
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ผู้เรียบเรียงได้ระบุว่าในการเรียนรู้
วิชาต่าง ๆ ของมนุษย์ทุกเพศและวัยจะขึ้นอยู่กับหลักการเรียนรู้ ๓ ประการ ซ่ึงผู้ ปลานอ้ ย: เช่นอะไรบ้างละ่
เรียบเรียงได้นำ�เสนอผ่านการเรียนรู้ของปลาน้อย ณ สระน้ำ�แห่งหนึ่ง จากนิทาน
เรอื่ ง ปลากค็ อื ปลา (Fish is Fish) ทป่ี ระพนั ธโ์ ดยลโี อ ไลออนี (อา้ งองิ ไวใ้ น Donovan กบ: นก… (กบบอกปลาแบบลกึ ลับนิด ๆ)
& Branford, 2005) เน้อื หาโดยสังเขปมีดังนี้
ปลานอ้ ย: นกเหรอ!
แล้วเจ้ากบก็เล่ารายละเอียดของนกท่ีตนพบเห็นมาอย่างตื่นเต้นว่ามี
ปกี สองปกี มขี าสองขาและมหี ลากหลายสี ในขณะทเี่ จา้ กบเลา่ ไปนนั้ ปลานอ้ ยก็
นึกภาพของนกผ่านความคิดของตนเองซึ่งก็คือปลาตัวใหญ่ที่มีสองปีก
สองขา และมหี ลายสี
จากน้นั กบกเ็ ล่าเรื่องราวเก่ยี วกับววั ซึง่ เจ้าปลานอ้ ยก็จินตนาการ
เปน็ ปลาทม่ี ีจุดสีขาว-ด�ำ มีเขา และเตา้ นม
ครัน้ เมอ่ื กบเล่าเรอื่ งราวเกี่ยวกบั มนุษย์ เจ้าปลาน้อยกจ็ นิ ตนาการ
เห็นปลาที่มีสองขา เดนิ ตวั ตรงและสวมเสอ้ื ผ้า
ที่มา: Donovan, M. S. & Branford, J.D. (2005). How students
learn science in the classroom, p.2 - 3
กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา
40
จากนิทานข้างต้นน้ี หากเปรียบสระนำ้�แห่งนี้เป็นห้องเรียน กบอาจ
เปรียบได้กับผู้สอน ในขณะท่ปี ลาน้อยอาจเปรียบไดก้ บั ผเู้ รยี น บทสนทนาและภาพ
ที่ปลาน้อยจินตนาการสื่อให้เราเห็นว่า แม้ว่ากบจะเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับนก วัว
หรือคนได้อย่างครบถ้วนตามที่ตนเองพบมา แต่ปลาน้อยก็นำ�ประสบการณ์ของ
ตนเองมาทำ�ความเข้าใจข้อมูลใหม่ท่ีกบเล่า แล้วสร้างเป็นความรู้และความเข้าใจ
ของตนเองอยู่ดี โดยท่กี บไม่มีโอกาสรู้เลยวา่ ปลานอ้ ยมีความเข้าใจเกยี่ วกับสิ่งมชี ีวิต
ทตี่ นเล่าอยา่ งไรบา้ ง
นทิ านเรอื่ งนสี้ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ การเรยี นรวู้ า่ ถา้ ผสู้ อนจดั การเรยี นการสอน
ท่ีมุ่งเน้นแต่เพียงการถ่ายทอดข้อมูล โดยไม่มีการตรวจสอบหรือค้นหาความรู้เดิม
(Prior Knowledge) หรือส่ิงท่ีผู้เรียนเคยรู้มาก่อนท่ีจะมาเรียนในห้องเรียน
สิ่งท่ีผู้เรียนรู้มาอาจแตกต่างจากส่ิงที่ผู้สอนคาดหวังให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เพราะ
เมอ่ื ไดร้ บั ความรหู้ รอื ขอ้ มลู ใหม่ ผเู้ รยี นมกั ใชค้ วามรแู้ ละประสบการณเ์ ดมิ ของตวั เอง
ซ่งึ อาจไดม้ าจากช้ันเรียน จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง จากพ่อ แม่ ญาติ เพ่อื น
โทรทัศน์ หรอื จากท่ีอ่ืน ๆ มาผสมผสานกบั ข้อมลู ใหม่ที่ไดแ้ ลว้ สังเคราะหเ์ ปน็ ความรู้
หรือความเข้าใจของตัวเอง ดังน้ันเพ่ือป้องกันการเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้เรียน
ผสู้ อนควรยดึ หลกั ปฏบิ ัติ คอื
๑. มกี ารตรวจสอบความร้เู ดิมของผูเ้ รยี นเสมอก่อนลงมอื สอน
๒. ให้ผู้เรยี นได้เรยี นรผู้ า่ นการลงมือปฏิบตั ใิ ห้มากที่สุด
๓. ผู้เรียนควรได้สะท้อนและติดตามการเรียนรู้ของตัวเอง ขณะเดียวกัน
ผสู้ อนควรมกี ารประเมนิ การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นอยา่ งตอ่ เนอื่ ง (Musikul,
2010; กศุ ลนิ , ๒๕๕๔)