The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lovelymario21144, 2022-09-11 00:31:39

publication

publication

วทิ ยาศาสตร์

ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕

การวิเคราะห์ตวั ชีว้ ัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชว้ี ดั 191

ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เปน็ ทมี โดยนกั เรยี นรว่ มกนั ท�ำ กจิ กรรมเรอื่ ง เป็นทีม จากการทำ�งานกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ใน
การเปลยี่ นสถานะของสสารและการรว่ มกนั การท�ำ กจิ กรรม และการน�ำ เสนอ
น�ำ เสนอผลการท�ำ กิจกรรม ๒. ประเมนิ ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร จากการน�ำ เสนอขอ้ มลู
๒. ทักษะด้านการสื่อสาร โดยนำ�เสนอผล ท่ไี ดจ้ ากการท�ำ กจิ กรรม ใหผ้ ู้อื่นเขา้ ใจ
การทำ�กิจกรรมและร่วมกันอภิปรายในชั้น ๓. ประเมนิ ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ จากการออกแบบ
เรียนเร่ืองการเปลี่ยนสถานะของสสาร วิ ธี ก า ร นำ � เ ส น อ ก า ร เ ป ล่ี ย น ส ถ า น ะ ข อ ง ส ส า ร ไ ด้
๓. ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ โดยการออกแบบ เหมาะสม
วิธกี ารน�ำ เสนอการเปลีย่ นสถานะของสสาร ๔. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
๔. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่ือสาร จากการนำ�เสนอข้อมูลโดยใช้ซอฟต์แวร์
การส่ือสาร โดยนำ�เสนอข้อมูลเกี่ยวกับการ ป ร ะ ยุ ก ต์ เ กี่ ย ว กั บ ก า ร เ ป ลี่ ย น ส ถ า น ะ ข อ ง ส ส า ร
เปลี่ยนสถานะของสสารโดยใช้ซอฟต์แวร์ อย่างถกู ตอ้ ง เหมาะสมและนา่ สนใจ
ประยกุ ต์

192 ตวั ชี้วัด
๒. อธบิ ายการละลายของสารในนำ้� โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์

การวเิ คราะหต์ ัวชวี้ ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวชว้ี ัด

ดา้ นความรู้ ๑. ครูทบทวนความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะของสสารและ ด้านความรู้
ตรวจสอบความรู้เดิมเก่ียวกับการละลายของสารในน้ำ� โดยอาจใช้การ อธิบายการละลายของสารในนำ้�
การละลายของสารในนำ้�เป็นการเปลี่ยนแปลง ซกั ถาม หรือสอื่ ตา่ ง ๆ เชน่ รูปภาพ วีดิทศั น์
ที่สารอย่างน้อยหนึ่งชนิดผสมเป็นเนื้อเดียวกับ ด้านทักษะ
นำ้� โดยไม่มีสารใหม่เกิดขึ้นเรียกสารผสมท่ีได้ว่า ๒. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับการละลาย ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สารละลาย ของสารในน้ำ�โดยอาจใช้คำ�ถาม ใช้การสาธิต หรือส่ือต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ๑. ประเมนิ ทกั ษะการสงั เกต จากผลการบนั ทกึ ลกั ษณะ
วดี ทิ ัศน์ เพ่ือนำ�ไปสู่การทำ�กจิ กรรมการละลายของสารในนำ้�
ด้านทักษะ ของสารเมื่อใส่ลงในนำ้� โดยไม่เพ่ิมความคิดเห็น
๓. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมโดยใช้สารทั้งท่ีละลายและไม่ละลายในนำ้� เช่น สว่ นตัว
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แป้งมัน น้ำ�ตาลทราย เกลือแกง แอลกอฮอล์ การบูร สังเกตลักษณะของ ๒. ประเมินทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซ
๑. ทกั ษะการสงั เกต โดยสงั เกตลกั ษณะของสาร สารก่อนและหลงั ผสมนำ�้ บันทึกผล สรปุ ผลและนำ�เสนอ กับสเปซและสเปซกับเวลา จากการบรรยายการ
เปลี่ยนแปลงลักษณะของสารเม่ือใส่ลงในน้ำ�ได้
เมอ่ื ใสส่ ารลงในน�ำ้ บนั ทกึ สิง่ ทีส่ ังเกตได้ ๔. ครูใช้คำ�ถามเพ่ือให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ถกู ตอ้ ง
๒. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซ เช่น ผลการสังเกตของนักเรียนมาสนับสนุนเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่าเม่ือใส่ ๓. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
สารลงในนำ้�แล้ว สารนั้นรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำ�ท่ัวทุกส่วนโดยไม่เกิด นำ�ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตมาอธิบายการละลาย
กับสเปซและสเปซกับเวลา โดยบรรยายการ สารใหม่ แสดงว่าเกิดการละลาย แต่ถ้าสารไม่รวมเป็นเน้ือเดียวกันกับน้ำ� ของสารในน้ำ�ได้ถกู ต้อง
เปลีย่ นแปลงของสารเม่ือใสล่ งในนำ้� แสดงว่าสารนนั้ ไมล่ ะลายน้ำ� ๔. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
๓. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยการ จากการตีความหมายข้อมูลที่นำ�เสนอแล้วอภิปราย
นำ�ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตมาอธิบายการ ๕. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมว่า สารผสมท่ีได้จากสารรวมเป็นเนื้อเดียวกับนำ้� รว่ มกนั เพอื่ ลงขอ้ สรปุ เรอื่ งการละลายของสารในน�้ำ
ละลายของสารในนำ�้ จัดเป็นสารละลาย ส่วนสารผสมท่ีได้จากสารไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกับนำ้� ได้ถกู ต้องและครบถ้วน
๔. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ จัดเป็นสารเน้อื ผสม
โดยการตีความหมายข้อมูลที่นำ�เสนอแล้ว
อภิปรายร่วมกันเพ่ือลงข้อสรุปเร่ืองการ ๖. นักเรยี นสำ�รวจการละลายของสารในชีวิตประจำ�วนั เช่น การท�ำ นำ�้ หวาน
ละลายของสารในนำ�้ นำ้�โซดา แอลกอฮอล์ล้างแผล นำ�้ สม้ สายชู นำ�้ หอมและน�ำ เสนอ

๗. ครูและนักเรยี นร่วมกันตรวจสอบผลการนำ�เสนอและแกไ้ ขให้ถกู ต้อง

วทิ ยาศาสตร์

ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๕

การวิเคราะห์ตวั ชว้ี ดั แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชี้วดั 193

ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เปน็ ทมี โดยนกั เรยี นรว่ มกนั ท�ำ กจิ กรรมเรอ่ื ง เป็นทีม จากการทำ�งานกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
การละลายของสารในน้ำ�และการร่วมกัน ในการทำ�กิจกรรมการละลายของสารในน้ำ� และ
นำ�เสนอผลการท�ำ กิจกรรม การน�ำ เสนอ
๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยนำ�เสนอผลการ ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอ
ทำ�กิจกรรมและร่วมกันอภิปรายในชั้นเรียน ข้อมูลที่ได้จากการทำ�กิจกรรมการละลายของสาร
เรอ่ื งการละลายของสารในน้ำ� ในนำ�้ ให้ผอู้ ่ืนเขา้ ใจ

ตัวช้วี ัด
๓. วิเคราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงของสารเมื่อเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคมี โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์

การวิเคราะหต์ วั ช้วี ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชี้วดั

ดา้ นความรู้ ๑. ครทู บทวนความรเู้ กยี่ วกบั การเปลย่ี นแปลงของสาร ไดแ้ ก่ การละลาย และ ดา้ นความรู้
ตรวจสอบความรเู้ ดมิ เกยี่ วกบั การเปลยี่ นแปลงทางเคมขี องสารโดยอาจใช้ อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงทางเคมขี องสาร
การเปลย่ี นแปลงทางเคมเี ปน็ การเปลยี่ นแปลงที่ การซกั ถาม หรอื สือ่ ตา่ ง ๆ เช่น รปู ภาพ วีดิทัศน์
มสี ารใหมเ่ กดิ ขน้ึ ซง่ึ อาจสงั เกตไดจ้ ากการทสี่ ารมี
สหี รือกลน่ิ ตา่ งจากสารเดิม หรอื มีฟองแกส๊ หรอื ๒. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั และตงั้ ค�ำ ถามเกย่ี วกบั การเปลยี่ นแปลง
มตี ะกอนเกดิ ขน้ึ หรอื มกี ารเพมิ่ ขนึ้ หรอื ลดลงของ ทางเคมขี องสารโดยอาจใชค้ �ำ ถาม ใชก้ ารสาธติ หรอื สอื่ ตา่ ง ๆ เชน่ รปู ภาพ
อณุ หภูมิ วดี ทิ ัศน์ เพอื่ น�ำ ไปส่กู ารท�ำ กจิ กรรมการเปลยี่ นแปลงทางเคมีของสาร

194 การวิเคราะหต์ วั ช้ีวดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชีว้ ดั

ดา้ นทกั ษะ ๓. ครูให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมโดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสาร เช่น ด้านทักษะ
การเปลี่ยนแปลงของกระดาษลิตมัสเมื่อทดสอบกับสารละลายต่าง ๆ
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น นำ้�ส้มสายชู น้ำ�ปูนใส โดยสังเกตการเปล่ียนสีของกระดาษลิตมัส ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
๑. ทักษะการสังเกต โดยสังเกตลักษณะของ การผสมน�ำ้ สม้ สายชกู บั ผงฟู โดยสงั เกตการเกดิ ฟองแกส๊ การผสมน�ำ้ ปนู ใส ๑. ประเมินทักษะการสังเกต จากผลการทำ�กิจกรรม
กบั สารละลายผงฟู โดยสงั เกตการเกดิ ตะกอน การผสมแอมโมเนยี มคลอไรด์
สารก่อนและหลังนำ�สารมาผสมกัน บันทึก กับปูนขาว โดยสังเกตการเกิดกล่ินและการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิ บันทึก การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสารเม่ือผสมสาร
ส่งิ ที่สังเกตได้ ผลการสังเกต สรุปผลและน�ำ เสนอ ๒ ชนิดตามความเป็นจริง โดยไม่เพ่ิมความคิดเห็น
๒. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยการ สว่ นตัว
นำ�ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตมาอธิบายการ ๔. ครูใช้คำ�ถามเพ่ือให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ๒. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จาก
เปลย่ี นแปลงทางเคมขี องสาร ซ่ึงได้แก่ผลการสังเกตของนักเรียนเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การเปลี่ยนแปลง การนำ�ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมาอธิบายการ
๓. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ทางเคมีเป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีมีสารใหม่เกิดขึ้นซึ่งสังเกตได้จากการท่ี เปลีย่ นแปลงทางเคมีของสารได้ถกู ตอ้ ง
โ ด ย ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข้ อ มู ล ที่ นำ � เ ส น อ สารมสี หี รอื กลน่ิ ตา่ งจากสารเดมิ หรอื มฟี องแกส๊ หรอื มตี ะกอนเกดิ ขนึ้ หรอื ๓. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
แล้วอภิปรายร่วมกันเพื่อลงข้อสรุปเรื่อง มีการเพม่ิ ขน้ึ หรอื ลดลงของอุณหภูมิ จากการตีความหมายข้อมูลท่ีนำ�เสนอแล้วอภิปราย
การเปลยี่ นแปลงทางเคมีของสาร รว่ มกนั เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ เรอ่ื งการเปลยี่ นแปลงทางเคมี
๕. นกั เรยี นส�ำ รวจการเปลยี่ นแปลงทางเคมใี นชวี ติ ประจ�ำ วนั เชน่ การเผาไหม้ ของสารได้ถูกต้องและครบถ้วน
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ การเกิดสนิม การสึกกร่อนของหินปูน การสุกของผลไม้ การบูดเน่าของ
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน อาหาร การสังเคราะห์ด้วยแสง จากนัน้ รว่ มกนั วเิ คราะหก์ ารเปลย่ี นแปลง ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑
ทางเคมีท่ีสำ�รวจได้ บนั ทกึ ผลและน�ำ เสนอ ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
เปน็ ทมี โดยนกั เรยี นรว่ มกนั ท�ำ กจิ กรรมเรอ่ื ง
เปลย่ี นแปลงทางเคมขี องสารและการรว่ มกนั ๖. ครูและนักเรยี นรว่ มกันตรวจสอบผลการวเิ คราะหแ์ ละแก้ไขใหถ้ ูกตอ้ ง เปน็ ทีม จากการท�ำ งานกบั ผอู้ ่นื อยา่ งสร้างสรรค์ ใน
นำ�เสนอผลการท�ำ กจิ กรรม การทำ�กิจกรรมการเปล่ียนแปลงทางเคมีของสาร
๒. ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร โดยน�ำ เสนอผลการท�ำ และการน�ำ เสนอ
กจิ กรรมและรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในชน้ั ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
เรยี นเร่อื งการเปล่ียนแปลงทางเคมีของสาร ข้อมูลที่ได้จากการทำ�กิจกรรมการเปล่ียนแปลง
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทางเคมีของสาร ให้ผอู้ น่ื เขา้ ใจ
การวิเคราะห์สถานการณ์และระบุการ - ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จาก
เปลี่ยนแปลงทางเคมี การวเิ คราะหส์ ถานการณ์และระบุการเปลย่ี นแปลง
ทางเคมีไดถ้ ูกตอ้ ง

ตวั ชวี้ ัด วิทยาศาสตร์
๔. วเิ คราะหแ์ ละระบุการเปล่ียนแปลงทผ่ี ันกลบั ได้และการเปลยี่ นแปลงท่ผี นั กลบั ไม่ได้
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๕

195

การวิเคราะห์ตัวชี้วัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชีว้ ดั

ด้านความรู้ ๑. ครทู บทวนความร้เู กย่ี วกับการเปลี่ยนแปลงของสาร เชน่ การละลายของ ดา้ นความรู้
น้ำ�ตาล การเปล่ียนสถานะของน้ำ� การเผากระดาษ การเกิดสนิมเหล็ก ระบุการเปลี่ยนแปลงของสารในชีวิตประจำ�วันว่า
ส า ร บ า ง อ ย่ า ง เ กิ ด ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ที่ ผั น โดยอาจใช้การซักถาม หรือส่ือต่าง ๆ เช่น รูปภาพ วีดิทัศน์ และครู เป็นการเปลี่ยนแปลงท่ผี ันกลบั ได้หรือผันกลับไม่ได้
กลับได้ บางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงท่ีผัน กระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามว่าการเปลี่ยนแปลงใดบ้าง
กลับไม่ได้ การเปล่ียนแปลงที่ผันกลับได้เป็น ท่ีสารสามารถคืนสู่สารเดิมได้ เพื่อนำ�ไปสู่การทำ�กิจกรรมการวิเคราะห์ ด้านทกั ษะ
การเปลี่ยนแปลงท่ีสารสามารถเปล่ียนกลับสู่ การเปล่ยี นแปลงของสารทผ่ี นั กลับไดห้ รอื ผันกลับไมไ่ ด้ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
สารเดิมได้ การเปล่ียนแปลงที่ผันกลับไม่ได้ ๑. ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เ ห็ น จ า ก ข้ อ มู ล
เปน็ การเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ สารใหมซ่ ง่ึ ไมส่ ามารถ ๒. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมโดยการสังเกต อภิปรายและวิเคราะห์การ
เปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้ เปลี่ยนแปลงของสารท่ีเป็นทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้และผันกลับ จากการนำ�ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาอธิบาย
ไม่ได้ เช่น การตกผลึกเกลือ การต้มไข่ การหลอมช็อกโกแลต การเผา การเปล่ียนแปลงของสารที่ผันกลับได้และผันกลับ
ดา้ นทกั ษะ กระดาษ บนั ทกึ ผล สรุปผลและนำ�เสนอ ไมไ่ ดไ้ ดถ้ ูกต้อง
๒. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๓. ครูใช้คำ�ถามเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ โดยการตีความหมายข้อมูลที่นำ�เสนอแล้วอภิปราย
๑. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยการ สนับสนุนซึ่งได้แก่ผลการทำ�กิจกรรมของนักเรียนเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ร่วมกันเพื่อลงข้อสรุปเร่ืองการเปล่ียนแปลงของ
การเปล่ียนแปลงของสารบางอย่างสามารถกลับสู่สารเดิมได้ บางอย่าง สารที่ผันกลับได้และผันกลับไม่ได้ ได้ถูกต้องและ
นำ�ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาอธิบาย ไม่สามารถกลับสูส่ ารเดมิ ได้ ครบถ้วน
การเปล่ียนแปลงของสารท่ีผันกลับได้และ
ผันกลบั ไมไ่ ด้ ๔. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมว่าการเปล่ียนแปลงของสารที่กลับเป็นสารเดิมได้
๒. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงท่ีผันกลับได้ และการเปลี่ยนแปลงของสารท่ีไม่
โ ด ย ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข้ อ มู ล ท่ี นำ � เ ส น อ สามารถกลบั เป็นสารเดมิ ได้ เรยี กวา่ การเปล่ียนแปลงที่ผนั กลบั ไมไ่ ด้
แล้วอภิปรายร่วมกันเพื่อลงข้อสรุปเร่ือง
การเปล่ียนแปลงของสารท่ีผันกลับได้และ
ผันกลับไม่ได้

196 การวเิ คราะหต์ วั ชวี้ ัด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวช้วี ัด

ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ ๕. นักเรียนร่วมกันสำ�รวจและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสารต่าง ๆ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ในชีวิตประจำ�วันอ่ืน ๆ นอกเหนือจากกิจกรรม เช่น การจุดเทียนไข ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
การท�ำ เค้ก การหุงข้าว การเปลี่ยนสถานะของน้�ำ การตกผลกึ ของสารส้ม
เป็นทีม โดยร่วมกันทำ�กิจกรรมเรื่องการ วา่ การเปลยี่ นแปลงใดเปน็ การเปลยี่ นแปลงทผี่ นั กลบั ไดแ้ ละผนั กลบั ไมไ่ ด้ เป็นทมี จากการทำ�งานกับผู้อน่ื อย่างสร้างสรรค์ ใน
เปลี่ยนแปลงของสารที่ผันกลับได้และผัน บนั ทกึ ผลและน�ำ เสนอ และครนู กั เรยี นรว่ มกนั ตรวจสอบผลการวเิ คราะห์ การทำ�กิจกรรมการเปลี่ยนแปลงของสารท่ีผันกลับ
กลับไม่ได้และการร่วมกันนำ�เสนอผลการทำ� ท่ีนำ�เสนอและปรบั ปรุงแกไ้ ขใหถ้ ูกต้อง ได้และผันกลับไมไ่ ด้ และการน�ำ เสนอ
กิจกรรม ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
๒. ทักษะด้านการสื่อสาร โดยนำ�เสนอผลการ ๖. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงการใช้ประโยชน์จากการเปล่ียนแปลง ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการท�ำ กจิ กรรมการเปลยี่ นแปลงของ
ทำ�กิจกรรมและร่วมกันอภิปรายในช้ันเรียน ของสารทผ่ี นั กลบั ได้ เชน่ การตกผลกึ การน�ำ เทยี นเกา่ ไปหลอมเปน็ เทยี น สารท่ผี นั กลับได้และผนั กลบั ไมไ่ ด้ ให้ผ้อู ืน่ เขา้ ใจ
เร่ืองการเปล่ียนแปลงของสารที่ผันกลับได้ แท่งใหม่ ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จากการ
และผันกลบั ไมไ่ ด้ วเิ คราะหก์ ารเปลย่ี นแปลงของสารในชวี ติ ประจ�ำ วนั
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยการ และระบุเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบผันกลับได้หรือ
วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงของสารในชีวิต ผันกลับไมไ่ ดไ้ ด้อยา่ งถูกตอ้ ง
ประจ�ำ วนั และระบเุ ปน็ การเปลย่ี นแปลงแบบ
ผันกลบั ไดห้ รอื ผันกลบั ไม่ได้

ตวั ชี้วดั วิทยาศาสตร์
๕. อธบิ ายวธิ ีการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดยี วกันท่กี ระท�ำ ตอ่ วตั ถใุ นกรณที ่วี ตั ถุอยู่นงิ่ จากหลักฐานเชิงประจักษ์
๖. เขยี นแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทำ�ตอ่ วตั ถุทีอ่ ยู่ในแนวเดียวกนั และแรงลัพธท์ กี่ ระทำ�ตอ่ วตั ถุ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๕
๗. ใช้เครอ่ื งชัง่ สปรงิ ในการวดั แรงท่ีกระท�ำ ต่อวัตถุ
197

การวเิ คราะห์ตัวชี้วัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวช้ีวดั

ด้านความรู้ ๑. ครูทบทวนความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับผลของแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ โดย ดา้ นความรู้
ใช้การซักถาม หรือใช้ส่ือต่าง ๆ เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่าแรงทำ�ให้วัตถุ
๑. แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ โดย เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนทหี่ รือเปลีย่ นแปลงรปู รา่ งได้ ๑. อธบิ ายวธิ กี ารหาแรงลพั ธเ์ มอ่ื แรงสองแรงกระท�ำ ตอ่
แรงลัพธ์ของแรงสองแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุเดียวกัน วตั ถใุ นแนวเดียวกนั
จะเท่ากับขนาดของแรงทั้งสองบวกกันเม่ือแรง ๒. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับการหา
ทั้งสองอยู่ในแนวเดียวกันและมีทิศทางเดียวกัน แรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุเมื่อแรงทั้งสองแรง ๒. อธบิ ายแรงลพั ธท์ กี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถใุ นขณะทว่ี ตั ถอุ ยนู่ งิ่
แต่จะเท่ากับขนาดของแรงท้ังสองลบกันเมื่อแรง อยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยอาจใช้คำ�ถาม หรือสื่อต่าง ๆ เช่น รูป ๓. อธบิ ายแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถทุ อี่ ยใู่ นแนวเดยี วกนั และ
ทั้งสองอยู่ในแนวเดียวกันแต่มีทิศทางตรงข้าม ภาพเคลื่อนไหว เพื่อนำ�ไปสู่การทำ�กิจกรรมเพ่ืออธิบายการหา
กัน สำ�หรับวัตถุที่อยู่น่ิง แรงลัพธ์ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ แรงลัพธ์ของแรงในทศิ ทางเดยี วกัน แรงลัพธ์ทีก่ ระทำ�ตอ่ วตั ถุโดยการเขียนแผนภาพ
มคี ่าเปน็ ศนู ย์ ๔. อธบิ ายวิธกี ารใชเ้ ครอ่ื งช่งั สปริงในการวดั แรง
๓. นกั เรยี นปฏิบัติกจิ กรรมบันทึกผลและสรุปผลการทำ�กิจกรรม
๒. การเขียนแผนภาพของแรงและแรงลัพธ์ที่กระทำ� ๔. นกั เรยี นน�ำ เสนอผลการท�ำ กจิ กรรม รว่ มกนั อภปิ รายโดยใชห้ ลกั ฐาน
ตอ่ วตั ถทุ �ำ ไดโ้ ดยใชล้ กู ศรแสดงแรงทกี่ ระท�ำ กบั วตั ถุ
โดยหัวลูกศรแสดงทิศทางของแรง และความยาว เชิงประจักษ์เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เม่ือมีแรงสองแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ
ของลกู ศรแสดงขนาดของแรงทีก่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถุ ในทิศทางเดียวกัน ผลรวมขนาดของแรงสองแรงนั้นบวกกันจะมีค่า
เทา่ กบั ขนาดของแรงหนงึ่ แรง ทกี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถใุ นทศิ ทางเดยี วกบั ทศิ
๓. การวัดแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุ วัดได้โดยใช้เครื่อง ของสองแรงน้ัน
ชง่ั สปรงิ ๕. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมว่าผลรวมขนาดของแรงสองแรงน้ันเรียกว่า
แรงลพั ธแ์ ละใหค้ วามรเู้ พมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั การเขยี นแผนภาพแสดงแรง
หมายเหต ุ: โดยใช้ลูกศร ซึ่งหัวลูกศรแสดงทิศทางของแรง และความยาวของ
นกั เรียนเรียนรู้และฝึกเขยี นแผนภาพของแรงตา่ ง ๆ ท่ี ลกู ศรแสดงขนาดของแรงทกี่ ระท�ำ ต่อวตั ถุ
กระทำ�กับวัตถุในทิศทางเดียวกันหรือทิศทางตรงกัน
ขา้ มเท่านั้น (๑ มติ )ิ โดยไม่รวมถึงแรงท่กี ระท�ำ ต่อวัตถุ
ในทิศทางอน่ื (๒ มติ )ิ

198 การวิเคราะหต์ วั ช้วี ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชี้วดั

ด้านทักษะ ๖. นักเรียนต้ังคำ�ถามเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ ดา้ นทักษะ
กระทำ�ต่อวัตถุโดยแรงท้ังสองน้ันอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อนำ�ไปสู่
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบคน้ ข้อมูล บนั ทกึ ผล ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
๑. ทักษะการวัด โดยการวัดขนาดของแรงที่ ๑. ประเมินทักษะการวัด จากการวัดขนาดของแรงท่ี
๗. นักเรียนนำ�เสนอผลการสืบค้นข้อมูล และร่วมกันอภิปรายเพ่ือลงข้อสรุป
กระท�ำ ตอ่ วตั ถดุ ว้ ยเครอื่ งชงั่ สปรงิ พรอ้ มระบุ วา่ แรงลพั ธข์ องแรงสองแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถเุ ดยี วกนั ในทศิ ทางตรงกนั ขา้ ม กระทำ�ตอ่ วัตถุด้วยเคร่อื งชงั่ สปรงิ พร้อมระบหุ น่วย
หนว่ ยของแรง มีค่าเท่ากับผลต่างของขนาดของแรงท้ังสองโดยมีทิศทางเดียวกับแรงที่มี ของแรงไดอ้ ย่างถูกต้อง เหมาะสม
๒. ทักษะการใช้จำ�นวน โดยการนำ�ขนาดของ ขนาดมากกวา่ ๒. ประเมินทักษะการใช้จำ�นวน จากการนำ�ขนาดของ
แรงต่าง ๆ ที่กระทำ�ต่อวัตถุท่ีอยู่ในแนว แรงต่าง ๆ ที่กระทำ�ต่อวัตถุที่อยู่ในแนวเดียวกันมา
เดียวกันมาคำ�นวณเพื่อระบุแรงลัพธ์ และ ๘. ครสู าธติ และรว่ มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั การเขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ คำ�นวณเพ่อื ระบแุ รงลพั ธ์ และระบหุ น่วยของแรงได้
ระบุหนว่ ยของแรง ต่อวัตถุท่ีอยู่ในแนวเดียวกัน โดยยกตัวอย่างแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ ๒ - ๓ อยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม
๓. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย สถานการณ์ และให้นักเรียนฝึกเขียนแผนภาพแสดงแรงและการค�ำ นวณ ๓. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จาก
อภิปรายและเช่ือมโยงความรู้ในเร่ืองแรง แรงลพั ธ์ การเช่ือมโยงความรู้ในเร่ืองแรงเพื่ออธิบายการหา
เพ่ืออธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรงในแนว แรงลัพธ์ของแรงในแนวเดียวกันที่กระทำ�ต่อวัตถุ
เดยี วกนั ทกี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถแุ ละอธบิ ายแรงลพั ธ์ ๙. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั และตง้ั ค�ำ ถามใหมเ่ กยี่ วกบั แรงลพั ธข์ อง และอธิบายแรงลัพธ์ในกรณีท่ีวัตถุอยู่นิ่งได้อย่าง
ในกรณที ่วี ตั ถุอยู่น่งิ แรงในแนวเดียวกันท่ีกระทำ�ต่อวัตถุในกรณีท่ีวัตถุอยู่น่ิง เพื่อนำ�ไปสู่การ ถกู ต้อง มีเหตผุ ล
๔. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ทำ�กจิ กรรมเพ่อื อธบิ ายแรงลัพธท์ กี่ ระทำ�ต่อวัตถทุ ีอ่ ยนู่ ่งิ ๔. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
โดยทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่บันทึกได้จาก จากการทำ�ความเขา้ ใจข้อมูลทีบ่ ันทึกได้จากวดั และ
การวดั และการสบื คน้ เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั ๑๐. นักเรยี นปฏบิ ตั กิ ิจกรรม สังเกต และบนั ทกึ ผล การสืบค้นข้อมูลเพื่อลงข้อสรุปเกี่ยวกับการหาแรง
การหาแรงลัพธ์ของแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุโดย ๑๑. นักเรียนนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรม ร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐาน ลัพธ์ของแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุโดยแรงอยู่ในแนว
แรงอยใู่ นแนวเดยี วกนั ทงั้ ทศิ เดยี วกนั และทศิ เดยี วกนั ทง้ั ทศิ เดยี วกนั และทศิ ตรงขา้ ม และแรงลพั ธ์
ตรงขา้ ม และแรงลพั ธใ์ นกรณที ่วี ตั ถอุ ย่นู ่งิ เชิงประจักษ์เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าแรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อวัตถุที่อยู่น่ิงมีค่า ในกรณที ่ีวตั ถุอยนู่ ง่ิ ได้ถูกต้อง และครบถว้ น
๕. ทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง โดยเขียน เป็นศูนย์ ๕. ประเมินทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง จากการเขียน
แผนภาพอธิบายแรงต่าง ๆ ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ แผนภาพท่ีอธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับแรงต่าง ๆ
แรงลัพธ์เมื่อแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุอยู่ในแนว ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ แรงลัพธ์เม่ือแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุ
เดียวกนั และแรงลพั ธ์ในกรณีทีว่ ตั ถอุ ย่นู ่งิ อยู่ในแนวเดียวกันและแรงลัพธ์ในกรณีที่วัตถุอยู่นิ่ง
ได้ถูกต้อง

วทิ ยาศาสตร์

ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕

การวิเคราะหต์ ัวชว้ี ัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชีว้ ัด 199

ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมนิ ทกั ษะดา้ นความรว่ มมอื และการท�ำ งานเปน็

เป็นทีม โดยมีส่วนร่วมในการทำ�กิจกรรม ทีม จากการมีส่วนร่วมในการทำ�กิจกรรม อภิปราย
อภิปรายเก่ียวกับการหาแรงลัพธ์ของแรงท่ี เก่ียวกับการหาแรงลัพธ์ของแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุ
กระทำ�ต่อวัตถุในแนวเดียวกันและแรงลัพธ์ ในแนวเดียวกันและแรงลัพธ์ในกรณีท่ีวัตถุอยู่น่ิง
ในกรณที ว่ี ตั ถุอยู่นงิ่ ร่วมกับผอู้ น่ื ตั้งแต่เรม่ิ ตน้ จนสำ�เร็จลุลว่ ง
๒. ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร โดยการน�ำ เสนอขอ้ มลู ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
จากการทำ�กิจกรรม และผลการวิเคราะห์ ข้อมูลจากการทำ�กิจกรรม และผลการวิเคราะห์
ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการท�ำ กจิ กรรมและการเขยี น ข้ อ มู ล ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร ทำ � กิ จ ก ร ร ม แ ล ะ ก า ร เ ขี ย น
แผนภาพ เพ่ืออธิบายแรงลัพธ์ที่กระทำ�ต่อ แผนภาพ เพื่ออธิบายแรงลัพธ์ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุใน
วตั ถใุ นกรณีท่ีวัตถุอยูน่ ิง่ กรณที วี่ ตั ถอุ ยนู่ งิ่ ใหผ้ อู้ นื่ ฟงั อยา่ งเขา้ ใจ และนา่ สนใจ
๓. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ ๓. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสอื่ สาร โดยใชเ้ ทคโนโลยหี รอื ซอฟตแ์ วร์ การสื่อสาร จากการใช้เทคโนโลยีช่วยในการสืบค้น
ประยุกต์ เพื่อสืบค้นข้อมูล จัดกระทำ� ข้อมูลอย่างถูกต้อง มีจริยธรรมโดยไม่คัดลอกงาน
ข้อมูล และนำ�เสนอข้อมูลเก่ียวกับการหา ของผู้อื่น มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลท่ีสืบค้น และใช้
แรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในการจัดกระทำ�และนำ�เสนอ
โดยแรงทัง้ สองนั้นอยู่ในทิศทางตรงกนั ขา้ ม ข้อมูลเก่ียวกับการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรง
ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุโดยแรงท้ังสองนั้นอยู่ในทิศทาง
ตรงกันข้ามได้อย่างเหมาะสม

200 ตัวช้วี ดั
๘. ระบผุ ลของแรงเสียดทานทีม่ ีต่อการเปล่ียนแปลงการเคลอื่ นท่ีของวัตถุจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์
๙. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานและแรงทีอ่ ยู่ในแนวเดยี วกันทีก่ ระทำ�ตอ่ วตั ถุ

การวิเคราะหต์ ัวช้วี ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวช้วี ัด

ด้านความรู้ ๑. ครูทบทวนความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับแรงสัมผัสและแรงไม่สัมผัส โดยใช้ ด้านความรู้
การซกั ถาม หรือสื่อตา่ ง ๆ เพอ่ื น�ำ ไปสแู่ รงเสยี ดทานซง่ึ เป็นแรงสัมผัส ๑. อธิบายความหมายของแรงเสยี ดทาน
แรงเสียดทานเป็นแรงท่ีเกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัส ๒. ระบุผลของแรงเสียดทานที่มีต่อการเปล่ียนแปลง
ของวัตถุ เพ่ือต้านการเคล่ือนที่ของวัตถุไปบน ๒. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั และตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั แรงเสยี ดทาน โดย
ผิวสัมผัสน้ัน ถ้าออกแรงกระทำ�ต่อวัตถุท่ีอยู่นิ่ง อาจใช้การซักถาม ใช้ส่ือต่าง ๆ หรือใช้กิจกรรมสาธิต เช่น การออกแรง การเคลอ่ื นทีข่ องวัตถุ
บนพื้นผิวสัมผัสหนึ่งให้เคลื่อนท่ี แรงเสียดทาน ผลักวตั ถุทีอ่ ยู่บนพ้นื ฝืดแลว้ วัตถไุ มเ่ คล่ือนท่ี แต่เมอ่ื เปลย่ี นผิวสัมผัส แล้ว ๓. อธิบายแรงเสียดทานและแรงท่ีอยู่ในแนวเดียว
จากผิวสัมผัสนั้นก็จะต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ ออกแรงกระทำ�อีกครั้ง วัตถุเคลื่อนท่ีได้เพ่ือนำ�ไปสู่การทำ�กิจกรรมเพ่ือ
และส�ำ หรบั วตั ถทุ ก่ี �ำ ลงั เคลอื่ นท่ี แรงเสยี ดทานจะ สงั เกตแรง เสียดทานทีก่ ระท�ำ ต่อวตั ถุท่อี ยู่นิ่ง กับแรงเสียดทานที่กระทำ�ต่อวัตถุโดยการเขียน
ท�ำ ให้วตั ถุนน้ั เคลอ่ื นทช่ี ้าลงหรือหยุดนง่ิ แผนภาพ
๓. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมโดยออกแรงดึงวัตถุที่อยู่น่ิง จนวัตถุเริ่มเคล่ือนที่
ดา้ นทกั ษะ ไปบนพื้น สังเกตและอ่านค่าของแรงจากเคร่ืองช่ังสปริงในขณะท่ีวัตถุ ดา้ นทกั ษะ
ยังคงอยนู่ ง่ิ บันทึกผล และสรปุ ผลการท�ำ กจิ กรรม ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๑. ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร สั ง เ ก ต จ า ก ก า ร บั น ทึ ก
๑. ทักษะการสังเกต โดยสังเกตขนาดของแรง ๔. นักเรียนนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรม ร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐาน
เชงิ ประจกั ษม์ าสนบั สนนุ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ เมอื่ ออกแรงกระท�ำ กบั วตั ถทุ ่ี รายละเอียดเก่ียวกับขนาดของแรงจากค่าท่ีอ่านได้
จากคา่ ทอ่ี า่ นไดบ้ นเครอื่ งชง่ั สปรงิ และสงั เกต วางอยบู่ นพนื้ แลว้ วตั ถยุ งั คงอยนู่ ง่ิ แรงลพั ธท์ กี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถมุ คี า่ เปน็ ศนู ย์ บนเครื่องช่ังสปริงและผลของแรงเสียดทานที่มีต่อ
ผลของแรงเสยี ดทานทม่ี ตี อ่ การเปลย่ี นแปลง แสดงว่ามีแรงต้านในทิศทางตรงกันข้ามกับแรงท่ีมากระทำ�ต่อวัตถุโดยมี การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุ ตามความ
การเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ ขนาดเทา่ กับแรงทก่ี ระท�ำ นัน้ เปน็ จรงิ โดยไม่เพม่ิ ความคดิ เหน็ สว่ นตัว
๒. ทักษะการวัด โดยการวัดขนาดของแรงที่ ๒. ประเมินทักษะการวัด จากการวัดขนาดของแรงท่ี
กระทำ�ต่อวัตถุโดยใช้เครื่องชั่งสปริง พร้อม ๕. ครูให้ความรู้ว่าแรงท่ีต้านการเคล่ือนที่ของวัตถุจะมีทิศทางตรงข้ามกับ กระท�ำ ตอ่ กบั วตั ถโุ ดยใชเ้ ครอื่ งชง่ั สปรงิ และการระบุ
ระบหุ นว่ ยของแรง ทิศทางท่ีวัตถุจะเคล่ือนท่ี เรียกแรงนี้ว่า แรงเสียดทาน ซึ่งเกิดข้ึนระหว่าง หน่วยของแรงไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เหมาะสม
๓. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย ผวิ ของวตั ถกุ ับพืน้ ผิวที่สัมผสั กบั วัตถุ ๓. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จาก
อ ภิ ป ร า ย แ ล ะ เ ชื่ อ ม โ ย ง ค ว า ม รู้ ใ น เ รื่ อ ง การอภปิ รายและเชอ่ื มโยงความรใู้ นเรอื่ งแรงลพั ธก์ บั
แรงลัพธ์กับการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ ๖. ครูและนักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย และเขียนแผนภาพของ
แรงเสียดทานและแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุในแนวเดียวกับแรงเสียดทาน
ขณะท่ีกำ�ลงั ดึงวตั ถทุ ่อี ย่นู ง่ิ บนพนื้ และขณะทีก่ �ำ ลังดงึ ใหว้ ตั ถเุ ร่ิมเคลอ่ื นท่ี

วทิ ยาศาสตร์

ช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๕

การวิเคราะห์ตัวชว้ี ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชว้ี ัด 201

ของวัตถุ มาระบุผลของแรงเสียดทานกับ ๗. ครูกระตุ้นให้นักเรียนต้ังคำ�ถามใหม่เก่ียวกับแรงเสียดทานท่ีกระทำ�ต่อ การเปล่ียนแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุ มาระบุผล
การเปลีย่ นแปลงการเคลื่อนท่ขี องวตั ถุ วัตถุท่ีกำ�ลังเคลื่อนท่ีโดยอาจใช้การซักถาม ใช้ส่ือต่าง ๆ หรือใช้กิจกรรม ของแรงเสียดทานกับการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ี
๔. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ สาธิต เพื่อนำ�ไปสู่การทำ�กิจกรรมเพ่ือสังเกตแรงเสียดทานและผลของ ของวัตถุได้อยา่ งมเี หตผุ ล
โดยทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่บันทึกได้จาก แรงเสยี ดทานทมี่ ีต่อวัตถุทกี่ ำ�ลังเคล่อื นท่ี ๔. ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข้ อ มู ล แ ล ะ
การสงั เกตและการวดั เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั ลงข้อสรุป จากการทำ�ความเข้าใจข้อมูลท่ีบันทึกได้
แ ร ง เ สี ย ด ท า น กั บ ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ก า ร ๘. นักเรยี นปฏิบตั กิ จิ กรรม บันทกึ ผล และสรปุ ผลการทำ�กจิ กรรม จากการสังเกตและการวัดเพื่อลงข้อสรุปเกี่ยวกับ
เคลอื่ นท่ีของวัตถุ ๙. นักเรียนนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรมเพ่ือลงข้อสรุปว่าขณะที่วัตถุเคล่ือนที่ แรงเสียดทานกับการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่
๕. ทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง โดยเขียน ของวตั ถุ ไดถ้ ูกตอ้ ง และครบถ้วน
แผนภาพอธิบายแรงเสียดทานและแรงท่ีอยู่ จะมีแรงเสียดทานกระท�ำ ตอ่ วตั ถุทำ�ให้วตั ถเุ คล่อื นท่ชี ้าลงหรือหยุดน่ิง ๕. ประเมนิ ทกั ษะการสรา้ งแบบจ�ำ ลอง จากแผนภาพท่ี
ในแนวเดยี วกันทก่ี ระทำ�ต่อวตั ถุ ๑๐. นั ก เ รี ย น วิ เ ค ร า ะ ห์ ส ถ า น ก า ร ณ์ ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จำ � วั น ที่ เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ อธบิ ายแรงเสยี ดทานและแรงทอี่ ยใู่ นแนวเดยี วกนั ที่
กระท�ำ ต่อวตั ถไุ ดถ้ กู ต้อง
แรงเสยี ดทาน น�ำ เสนอผลการวเิ คราะห์ ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั ตรวจสอบ
ผลการวิเคราะหแ์ ละปรบั ปรงุ แก้ไขใหถ้ กู ต้อง

ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เปน็ ทมี โดยมสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม เป็นทีม จากการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรม
และการอภปิ รายเกย่ี วกบั แรงเสยี ดทานและ อภิปราย ส่ิงที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับแรงเสียดทานและ
ผลของแรงเสียดทาน ผลของแรงเสียดทานร่วมกับผู้อ่ืนตั้งแต่เริ่มต้นจน
๒. ทกั ษะดา้ นการสอื่ สาร โดยการน�ำ เสนอขอ้ มลู ส�ำ เรจ็ ลุล่วง
จากการทำ�กิจกรรมและผลการวิเคราะห์ ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
ข้อมูลเพื่ออธิบายแรงเสียดทานและผลของ ข้อมูลท่ีทำ�กิจกรรมและผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ
แรงเสยี ดทาน อธิบายแรงเสียดทานและผลของแรงเสียดทานใน
รูปแบบทผี่ อู้ ืน่ เขา้ ใจง่าย และถกู ต้อง

202 ตวั ช้ีวัด
๑๐. อธบิ ายการได้ยินเสยี งผ่านตัวกลางจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์

การวิเคราะหต์ วั ช้ีวดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชีว้ ดั

ดา้ นความรู้ ๑. ครูทบทวนความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการเกิดเสียง โดยอาจใช้การซัก ดา้ นความรู้
ถาม หรือใช้ส่ือต่าง ๆ เพ่ือนำ�ไปสู่ข้อสรุปว่าเสียงเกิดจากการส่ันของ ๑. อธบิ ายการไดย้ นิ เสยี งจากแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งจนถงึ
๑. เสียงจากแหล่งกำ�เนิดเสียงเคลื่อนที่ไปยังหูผู้ฟัง แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง
โดยอาศยั การสนั่ ของตวั กลางของเสยี งท�ำ ใหไ้ ดย้ นิ หผู ู้ฟัง
เสียง ๒. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามเก่ียวกับการได้ยินเสียง ๒. ระบุตัวกลางของเสียงจากสถานการณ์ต่าง ๆ
โดยอาจใช้การซักถาม หรือใช้ส่ือต่าง ๆ เช่น วีดิทัศน์การสื่อสารกันของ
๒. เสียงสามารถเคลื่อนท่ีผ่านตัวกลางของเสียง โลมาใต้นำ้� เพื่อนำ�ไปสู่การทำ�กิจกรรมเพื่อสังเกตการเคลื่อนที่ของเสียง ในชวี ิตประจำ�วนั
ทเี่ ป็นของแข็ง ของเหลว และแกส๊ จากแหล่งกำ�เนิดเสยี งมาถึงหผู ฟู้ งั
ด้านทกั ษะ
ด้านทกั ษะ ๓. นกั เรยี นปฏบิ ัติกจิ กรรม สังเกต บนั ทกึ ผล และสรปุ ผลการทำ�กิจกรรม ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
๔. นักเรียนนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรม ร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐาน ๑. ประเมินทักษะการสังเกต จากการบันทึกข้อมูล
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
๑. ทกั ษะการสงั เกต โดยการบรรยายการไดย้ นิ เสียง เชิงประจักษ์มาสนับสนุนเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่าเสียงจากแหล่งกำ�เนิดเสียง การได้ยินเสียงผ่านตัวกลางของเสียง ตามความ
มาถงึ หผู ฟู้ งั ไดโ้ ดยอาศยั การสนั่ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งของวตั ถทุ เี่ ปน็ ของเหลวและ เป็นจริงโดยไม่เพม่ิ ความคดิ เหน็ สว่ นตวั
ผ่านตัวกลางของเสียง ของแข็ง ๒. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
๒. ทั ก ษ ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เ ห็ น จ า ก ข้ อ มู ล โ ด ย ๕. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการได้ยินเสียงใน จ า ก ก า ร เ ช่ื อ ม โ ย ง ค ว า ม รู้ ใ น เ รื่ อ ง เ สี ย ง แ ล ะ
ชีวิตประจำ�วันว่าเสียงจากแหล่งกำ�เนิดเสียงนั้น ๆ มาถึงหูได้อย่างไร เช่น การเกิดเสียงเพื่อลงความเห็นเก่ียวกับตัวกลาง
การเชอ่ื มโยงความรใู้ นเรอ่ื งเสยี งและการเกดิ เสยี ง การไดย้ นิ เสยี งพดู คยุ การไดย้ นิ เสยี งเพลง เพอื่ ลงขอ้ สรปุ วา่ เสยี งเคลอื่ นท่ี ของเสยี งและการได้ยินเสยี งไดอ้ ย่างมเี หตุผล
เ พ่ื อ ล ง ค ว า ม เ ห็ น เ กี่ ย ว กั บ ตั ว ก ล า ง ข อ ง เ สี ย ง จากแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งมาถงึ หผู ฟู้ งั ไดจ้ ากการสนั่ ของอากาศ จากนนั้ ครอู าจ ๓. ประเมินทักษะการตีความหมายข้อมูลและ
และการได้ยินเสยี ง ใชอ้ ปุ กรณส์ าธติ หรอื สอ่ื วดี ทิ ศั นเ์ กยี่ วกบั การเคลอื่ นทขี่ องเสยี งผา่ นอากาศ ลงข้อสรุป จากการทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่
๓. ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป รว่ มกนั อภปิ รายเพอื่ ลงขอ้ สรุปวา่ ถา้ ไมม่ อี ากาศ จะไมไ่ ด้ยินเสยี ง บันทึกได้จากการสังเกตและจากการสืบค้นเพื่อ
โดยทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่บันทึกได้จากการ ๖. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่าวัตถุท่ีเสียงเคลื่อนท่ีผ่านได้ เรียกว่า ตัวกลาง ลงข้อสรุปเก่ียวกับตัวกลางของเสียงและการ
สังเกตและจากการสืบค้นเพื่อลงข้อสรุปเกี่ยวกับ ของเสียง ไดย้ นิ เสียงไดถ้ ูกตอ้ งและครบถ้วน
ตวั กลางของเสยี งและการได้ยนิ เสยี ง
๔. ทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง โดยใช้แบบจำ�ลองที่
สร้างเพ่ืออธิบายส่วนประกอบของหูด้วยวิธีการ
ต่าง ๆ เช่น การวาดภาพ การป้ันช้ินงาน ๓ มิติ
ซอฟต์แวรป์ ระยกุ ตส์ ำ�เรจ็ รูป

วทิ ยาศาสตร์

ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๕

การวเิ คราะหต์ ัวชี้วัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชีว้ ัด 203

ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ๗. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นสรา้ งค�ำ ถามใหมเ่ กย่ี วกบั การไดย้ นิ เสยี งเพอ่ื น�ำ ๔. ประเมินทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง จากแบบจำ�ลองท่ี
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ไปสกู่ ารสบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั สว่ นประกอบของหแู ละหนา้ ทขี่ องแตล่ ะ สร้างข้นึ เพอ่ื อธบิ ายสว่ นประกอบของหดู ้วยวิธกี ารต่าง ๆ
สว่ นประกอบจากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เชน่ เวบ็ ไซตท์ มี่ คี วามนา่ เชอื่ ถอื เช่น การวาดภาพ การป้ันชิ้นงาน ๓ มิติ ซอฟต์แวร์
เป็นทีม โดยมีส่วนร่วมในการทำ�กิจกรรม ทางวิชาการ หนงั สอื ในห้องสมุด นักเรยี นสืบคน้ และบันทกึ ผล ประยุกต์ส�ำ เร็จรูป ได้อย่างเหมาะสม
และอภิปรายเก่ียวกับตัวกลางของเสียงและ
การไดย้ นิ เสยี ง สว่ นประกอบและหนา้ ทขี่ อง ๘. นกั เรยี นน�ำ เสนอผลการสบื คน้ ขอ้ มลู โดยการใชแ้ บบจ�ำ ลองทสี่ รา้ งขนึ้ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
ส่วนประกอบของหู จากน้ันร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปว่า หูประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งานเป็นทีม
๒. ทักษะด้านการสื่อสาร โดยการนำ�เสนอ ซง่ึ ท�ำ หนา้ ทแี่ ตกตา่ งกนั เมอ่ื เสยี งเคลอื่ นทม่ี าถงึ หู แตล่ ะสว่ นประกอบ
ข้ อ มู ล แ ล ะ ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล ที่ ไ ด้ จ า ก ของหูจะเกิดการสั่นและส่งผ่านสัญญาณเสียงเข้าไปจนถึงหูช้ันใน จากการมสี ว่ นรว่ มในการท�ำ กจิ กรรมและอภปิ รายเกย่ี วกบั
การทำ�กิจกรรมและการสืบค้นข้อมูลเพื่อ และส่งตอ่ ไปยังระบบประสาทเพ่อื แปลความหมาย ตัวกลางของเสียงและการได้ยินเสียง ส่วนประกอบและ
อธิบายตัวกลางของเสียงและการได้ยิน หน้าท่ีของส่วนประกอบของหู ร่วมกับผู้อื่นตั้งแต่เริ่มต้น
เสียง ส่วนประกอบและหน้าที่ของแต่ละ ๙. นักเรียนวิเคราะห์สถานการณ์การได้ยินเสียงในชีวิตประจำ�วันที่ จนส�ำ เรจ็ ลุล่วง
ส่วนประกอบของหู เช่น การใช้โปรแกรม เกี่ยวข้องกับตัวกลางของเสียง นำ�เสนอผลการวิเคราะห์ ครูและ ๒. ประเมนิ ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร จากการน�ำ เสนอขอ้ มลู และ
ซอฟตแ์ วร์สำ�เรจ็ รูป นักเรียนร่วมกันตรวจสอบผลการวิเคราะห์และปรับปรุงแก้ไขให้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทำ�กิจกรรมและการ
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ถูกต้อง สืบค้นข้อมูลเพื่ออธิบายตัวกลางของเสียงและการได้ยิน
การวิเคราะห์และเชื่อมโยงความรู้เกี่ยวกับ เสยี ง สว่ นประกอบและหนา้ ทข่ี องแตล่ ะสว่ นประกอบของ
ตัวกลางของเสียงและการได้ยนิ เสียง หู เช่น การใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์สำ�เร็จรูปในรูปแบบท่ี
๔. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ ผอู้ นื่ เข้าใจงา่ ย และถูกต้อง
การสอ่ื สาร โดยใชเ้ ทคโนโลยหี รอื ซอฟตแ์ วร์ ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จากการ
ประยุกต์เพ่ือสืบค้นข้อมูล จัดกระทำ�ข้อมูล วิเคราะห์และเช่ือมโยงความรู้เกี่ยวกับตัวกลางของเสียง
และนำ�เสนอข้อมูลเก่ียวกับส่วนประกอบ และการได้ยนิ เสียงไดอ้ ย่างสมเหตสุ มผล
และหนา้ ทข่ี องแตล่ ะสว่ นประกอบของหู ๔. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
จากการใชเ้ ทคโนโลยชี ว่ ยในการสบื คน้ ขอ้ มลู อยา่ งถกู ตอ้ ง
มจี รยิ ธรรมโดยไมค่ ดั ลอกงานของผอู้ น่ื มกี ารอา้ งองิ แหลง่
ขอ้ มลู ทส่ี บื คน้ และใชซ้ อฟตแ์ วรป์ ระยกุ ตใ์ นการจดั กระท�ำ
และนำ�เสนอข้อมูลเกี่ยวกับส่วนประกอบและหน้าที่ของ
แตล่ ะสว่ นประกอบของหไู ดอ้ ยา่ งครบถว้ น และเหมาะสม

204 ตัวชี้วดั
๑๑. ระบตุ ัวแปร ทดลอง และอธบิ ายลักษณะและการเกิดเสียงสงู เสยี งต�่ำ

การวิเคราะหต์ วั ช้ีวดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชวี้ ดั

ด้านความรู้ ๑. ครตู รวจสอบความรเู้ ดมิ เกยี่ วกบั เสยี งสงู เสยี งต�ำ่ โดยอาจใชก้ ารสาธติ หรอื ด้านความรู้
สอ่ื ตา่ ง ๆ เชน่ คลปิ เสยี งจากแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งทใ่ี หเ้ สยี งสงู เสยี งต�ำ่ ตา่ งกนั อธบิ ายลักษณะและการเกิดเสียงสงู เสียงต่�ำ
เสยี งสงู เสยี งต�ำ่ ขนึ้ อยกู่ บั ความถข่ี องการสน่ั ของ เพ่ืออภปิ รายรว่ มกนั และระบุว่าเสยี งทไี่ ดย้ ินเป็นเสียงสูงหรือเสยี งต�่ำ
แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง โดยแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งทส่ี นั่ ดว้ ย ดา้ นทกั ษะ
ความถมี่ าก จะใหเ้ สยี งสงู แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งทส่ี นั่ ๒. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามเก่ียวกับการเกิดเสียงสูง ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ด้วยความถี่น้อย จะให้เสียงต่ำ� ความถ่ีของเสียง เสียงตำ่� โดยอาจใช้วิธีซักถาม หรือใช้สื่อต่าง ๆ เช่น คลิปเสียงแบบต่าง ๆ ๑. ประเมนิ ทกั ษะการสงั เกต จากการบนั ทกึ รายละเอยี ด
มหี นว่ ยเปน็ รอบต่อวนิ าทีหรอื เฮิรตซ์ วีดิทัศน์ เพ่ือนำ�ไปสู่การทดลองเพื่ออธิบายลักษณะและการเกิดเสียงสูง
เสยี งต�ำ่ ส่ิงท่ีปรากฏจริงเก่ียวกับเสียงสูงตำ่�ที่ได้ยิน ลักษณะ
ดา้ นทกั ษะ ของแหล่งกำ�เนิดเสียงตามความเป็นจริงโดยไม่เพิ่ม
๓. ครใู หค้ วามรเู้ พมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั ความถวี่ า่ หมายถงึ จ�ำ นวนรอบทว่ี ตั ถเุ คลอ่ื นที่ ความคดิ เหน็ ส่วนตัว
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ไดใ้ นหน่งึ หนว่ ยเวลา มีหนว่ ยเปน็ รอบตอ่ วินาทีหรือเฮิรตซ์ ๒. ประเมินทักษะการใช้จำ�นวน จากการนับจำ�นวน
๑. ทักษะการสังเกต โดยบรรยายเสียงสูง รอบในการแกวง่ ของวตั ถทุ ต่ี ดิ กบั เสน้ เชอื ก พรอ้ มทง้ั
๔. ครสู าธติ การแกวง่ ของวตั ถทุ ตี่ ดิ กบั เสน้ เชอื กโดยใหน้ กั เรยี นนบั จ�ำ นวนรอบ จับเวลาที่ใช้เพ่ือคำ�นวณหาความถ่ีในการแกว่งของ
เ สี ย ง ต่ำ � ที่ ไ ด้ ยิ น แ ล ะ ก า ร ส่ั น ข อ ง ในการแกวง่ พรอ้ มกบั จบั เวลาทใ่ี ช้ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นค�ำ นวณหาคา่ ความถ่ี วตั ถุได้อยา่ งถูกตอ้ ง
แหล่งกำ�เนิดเสยี ง ในการแกว่งของวัตถุน้ันเพ่ือเชื่อมโยงความถี่ของการแกว่งของวัตถุกับ ๓. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย
๒. ทกั ษะการใช้จำ�นวน โดยการนบั จำ�นวนรอบ การสน่ั ของแหลง่ กำ�เนิดเสียง ขอ้ มลู จากการออกแบบตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง
ในการแกวง่ ของวตั ถทุ ต่ี ดิ กบั เสน้ เชอื กพรอ้ ม เสียงสูง เสียงต่ำ� และการนำ�เสนอข้อมูลด้วย
ทั้งจับเวลาท่ีใช้เพ่ือคำ�นวณหาความถ่ีใน ๕. นักเรียนร่วมกันระบุตัวแปร สมมติฐานในการทดลองเก่ียวกับการเกิด รปู แบบหรือวิธีการทเ่ี หมาะสม
การแกวง่ ของวัตถุ เสยี งสงู เสียงตำ�่ และออกแบบตารางบันทึกผลการทดลอง
๓. ทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย
ข้อมูล โดยออกแบบตารางบันทึกผลการ ๖. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมโดยทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานและสังเกต
ทดลองเสียงสูง เสียงตำ่� และการนำ�เสนอ เสยี งสูง เสยี งต�่ำ ที่ได้ยนิ และการสั่นของแหล่งกำ�เนิดเสียง บันทึกผลและ
ขอ้ มูลดว้ ยรปู แบบหรอื วธิ ีการทเี่ หมาะสม สรปุ ผลการทดลอง

๗. นักเรียนนำ�เสนอผลการทดลองโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์มาสนับสนุน
เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่าเมื่อแหล่งกำ�เนิดเสียงสั่นด้วยความถ่ีสูง เสียงท่ีได้ยิน
จะเป็นเสียงสูง และถ้าแหล่งกำ�เนิดเสียงส่ันด้วยความถี่ต่ำ� เสียงที่ได้ยิน
จะเปน็ เสียงต�ำ่

วทิ ยาศาสตร์

ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๕

การวิเคราะหต์ วั ชว้ี ัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตวั ชวี้ ัด 205

๔. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย ๔. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
อภิปรายและเช่ือมโยงความรู้เก่ียวกับความ เชื่อมโยงความรู้จากการทดลองเพื่อลงความเห็น
สัมพันธ์ระหว่างความถ่ีของการส่ันของวัตถุ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความถ่ีของการสั่น
และเสียงสูง เสียงต่�ำ ทไี่ ด้ยิน ของวัตถุและเสียงสูง เสียงตำ่�ที่ได้ยินได้อย่างมี
เหตุผล
๕. ทักษะการต้ังสมมติฐาน โดยคาดการณ์
ผลของความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและ ๕. ประเมนิ ทกั ษะการตงั้ สมมตฐิ าน จากการคาดการณ์
ตัวแปรตามที่ทำ�ให้เกิดเสยี งสงู เสยี งตำ่� ผลของความสมั พนั ธข์ องตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม
ทีท่ ำ�ให้เกดิ เสยี งสูง เสียงต�ำ่ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
๖. ทักษะการกำ�หนดนิยามเชิงปฏิบัติการ โดย
กำ�หนดความหมายและขอบเขตของคำ� ๖. ประเมนิ ทกั ษะการก�ำ หนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร จาก
ต่าง ๆ ท่ีสอดคล้องกับการทดลองเพื่อ การกำ�หนดความหมายและขอบเขตของคำ�ต่าง ๆ
อธิบายการเกดิ เสยี งสูง เสยี งต�ำ่ ที่สอดคล้องกับการทดลองเพื่ออธิบายการเกิด
เสียงสูง เสียงตำ่� ในสมมติฐานให้เข้าใจตรงกัน
๗. ทักษะการกำ�หนดและควบคุมตัวแปร โดย สามารถสังเกตหรอื วดั ได้
ระบุตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรท่ี
ต้องควบคมุ ให้คงที่ ๗. ประเมินทักษะการกำ�หนดและควบคุมตัวแปร จาก
การระบุตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้อง
๘. ทักษะการทดลอง โดยปฏิบัติกิจกรรมการ ควบคุมใหค้ งท่ไี ดอ้ ยา่ งถูกต้อง
ทดลองตามทอี่ อกแบบไวเ้ พอื่ ตอบสมมตฐิ าน
เกยี่ วกับการเกดิ เสียงสูง เสยี งต�ำ่ ๘. ประเมินทักษะการทดลอง จากการปฏิบัติกิจกรรม
การทดลองตามท่ีออกแบบไว้เพ่ือตอบสมมติฐาน
๙. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ เก่ียวกบั การเกิดเสียงสงู เสยี งต�ำ่ ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
โดยทำ�ความเข้าใจข้อมูลท่ีบันทึกได้ หรือ
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ข อ ง ข้ อ มู ล เ พื่ อ ล ง ข้ อ ส รุ ป ๙. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
เกย่ี วกบั การเกดิ เสยี งสูง เสยี งต่�ำ จ า ก ก า ร ทำ � ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ข้ อ มู ล ท่ี บั น ทึ ก ไ ด้ จ า ก
การสังเกตและลงข้อสรุปเก่ียวกับการเกิดเสียงสูง
เสยี งต�่ำ ไดถ้ กู ตอ้ งและครบถว้ น

206 การวิเคราะห์ตัวชวี้ ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ช้วี ัด

ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เป็นทีม โดยมีส่วนร่วมในการทดลอง เป็นทีม จากการมีส่วนร่วมในการทดลอง อภิปราย
อภิปรายเก่ียวกับความสัมพันธ์ของความถ่ี เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของความถี่ของการส่ันของ
ของการส่ันของแหล่งกำ�เนิดเสียงท่ีมีผล แหล่งกำ�เนิดเสียงที่มีผลต่อการเกิดเสียงสูง เสียงตำ่�
ต่อการเกิดเสียงสูง เสียงตำ่� และลงข้อสรุป และลงข้อสรุปเก่ียวกับการเกิดเสียงสูง เสียงตำ่�
เกี่ยวกบั การเกิดเสียงสูง เสียงต่ำ� รว่ มกบั ผอู้ ่นื ต้ังแตเ่ รมิ่ ต้นจนส�ำ เรจ็ ลุล่วง
๒. ทกั ษะดา้ นการสอื่ สาร โดยการน�ำ เสนอขอ้ มลู ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอผล
ท่ีได้จากการทดลองเพ่ืออธิบายลักษณะและ การทดลองเก่ียวกับลักษณะและการเกิดเสียงสูง
การเกิดเสียงสูง เสียงต่ำ� เสียงต�่ำ ในรปู แบบท่ผี อู้ ่ืนเขา้ ใจงา่ ย และถูกต้อง
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จาก
การวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองเพ่ือ ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล จ า ก ก า ร ท ด ล อ ง เ พ่ื อ ห า
หาความสัมพันธ์ของความถ่ีของการสั่นของ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ข อ ง ค ว า ม ถี่ ข อ ง ก า ร สั่ น ข อ ง
แหล่งกำ�เนิดเสียงที่มีผลต่อการเกิดเสียงสูง แหล่งกำ�เนิดเสียงท่ีมีผลต่อการเกิดเสียงสูง เสียงตำ่�
เสยี งต�่ำ ไดอ้ ย่างสมเหตสุ มผล

ตวั ชว้ี ดั วิทยาศาสตร์
๑๒. ออกแบบการทดลองและอธบิ ายลกั ษณะและการเกิดเสยี งดงั เสยี งคอ่ ย
๑๓. วัดระดบั เสียงโดยใช้เครือ่ งมือวัดระดับเสยี ง ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๕
๑๔. ตระหนักในคณุ คา่ ของความรเู้ รือ่ งระดับเสยี งโดยเสนอแนะแนวทางในการหลกี เลยี่ งและลดมลพษิ ทางเสียง
207

การวิเคราะห์ตัวช้วี ัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ช้ีวัด

ด้านความรู้ ๑. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั และตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั การไดย้ นิ เสยี งดงั ด้านความรู้
เสยี งคอ่ ย โดยอาจใชก้ ารซกั ถาม หรอื สอื่ ตา่ ง ๆ เชน่ คลปิ เสยี ง วดี ทิ ศั น์ เพอ่ื
๑. เสียงดัง เสียงค่อย หรือระดับเสียงที่ได้ยิน นำ�ไปสู่การท�ำ การทดลองการเกดิ เสียงดงั เสียงคอ่ ย ๑. อธิบายลักษณะและการเกิดเสยี งดงั เสียงคอ่ ย
ขึ้ น อ ยู่ กั บ พ ลั ง ง า น ใ น ก า ร สั่ น ข อ ง แ ห ล่ ง ๒. อธิบายวิธีการวัดระดับเสียงโดยใช้เครื่องมือวัด
กำ�เนิดเสียง และระยะห่างจากแหล่ง ๒. นักเรียนออกแบบการทดลองเพื่อหาคำ�ตอบเก่ียวกับการได้ยินเสียงดัง
กำ�เนิดเสียง ถ้าแหล่งกำ�เนิดเสียงสั่นด้วย เสียงค่อย ท่ีเกิดจากพลังงานของแหล่งกำ�เนิดเสียงแตกต่างกัน และ ระดับเสยี ง
พ ลั ง ง า น ม า ก ห รื อ ผู้ สั ง เ ก ต อ ยู่ ใ ก ล้ แ ห ล่ ง ระยะหา่ งจากแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยใชอ้ ปุ กรณท์ ก่ี �ำ หนด เชน่ ๓. อธิบายมลพิษทางเสียงและยกตัวอย่างอันตรายที่
กำ�เนิดเสียง จะได้ยินเสียงดัง แต่ถ้าแหล่ง กลอง ระฆัง วทิ ยุ
กำ � เ นิ ด เ สี ย ง สั่ น ด้ ว ย พ ลั ง ง า น น้ อ ย ห รื อ เกดิ จากมลพิษทางเสียง
ผู้ สั ง เ ก ต อ ยู่ ไ ก ล จ า ก แ ห ล่ ง กำ � เ นิ ด เ สี ย ง ๓. นักเรียนร่วมกันระบุตัวแปร สมมติฐานในการทดลองเกี่ยวกับการ
จะไดย้ ินเสียงคอ่ ย เกดิ เสียงดงั เสียงค่อย และออกแบบตารางบันทึกผลการทดลอง

๒. เสียงดัง เสียงค่อย วัดได้ด้วยระดับเสียง ๔. นักเรียนปฏิบัติการทดลองโดยสังเกตความดังของเสียงที่ได้ยินซ่ึงเป็นผล
มหี นว่ ยเปน็ เดซเิ บล การวดั ระดบั เสยี งท�ำ ได้ มาจากพลงั งานในการสนั่ ของแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งและระยะหา่ งของผสู้ งั เกต
โดยใช้เครือ่ งวดั ระดบั เสยี ง จากแหลง่ กำ�เนิดเสยี ง บนั ทกึ ผลและสรปุ ผลการท�ำ กจิ กรรม

๓. เสียงดังมาก ๆ ที่เป็นอันตรายต่อการได้ยิน ๕. นักเรียนนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรมและร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐาน
และเสยี งทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความร�ำ คาญเปน็ มลพษิ เชงิ ประจกั ษเ์ พอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ เมอ่ื แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งสนั่ ดว้ ยพลงั งานมาก
ทางเสยี ง จะเกดิ เสยี งดงั เมอื่ แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งสนั่ ดว้ ยพลงั งานนอ้ ย จะเกดิ เสยี งคอ่ ย
และการได้ยินเสียงดงั เสยี งคอ่ ย นอกจากจะขนึ้ อย่กู ับพลังงานในการสัน่
ของแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งแลว้ ยงั ขนึ้ อยกู่ บั ระยะทางระหวา่ งแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง
กับผู้สังเกต ถ้าระยะห่างระหว่างแหล่งกำ�เนิดเสียงกับผู้สังเกตมาก จะ
ไดย้ นิ เสยี งคอ่ ย แตถ่ า้ ระยะหา่ งระหวา่ งแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งกบั ผสู้ งั เกตนอ้ ย
จะไดย้ นิ เสยี งดงั

208 การวิเคราะหต์ วั ชวี้ ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวชี้วดั

ด้านทกั ษะ ๖. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่าความดังของเสียงหรือระดับเสียงมีหน่วยเป็น ดา้ นทกั ษะ
เดซิเบล
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
๑. ทักษะการสังเกต โดยบรรยายความดังของ ๗. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับวิธีการวัดระดับ ๑. ประเมินทกั ษะการสงั เกต จากการบรรยายความดัง
เสียงเพอ่ื น�ำ ไปสู่การท�ำ กิจกรรมการวดั ระดับเสียง
เสียงที่ไดย้ นิ จากการทดลอง ของเสียงท่ีได้ยินจากการทดลองตามความเป็นจริง
๒. ทักษะการวัด จากการวัดระดับเสียงโดยใช้ ๘. นกั เรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมโดยใชเ้ ครอื่ งวดั ระดบั เสยี ง หรอื โปรแกรมประยกุ ต์ โดยไมเ่ พิ่มความคดิ เหน็ สว่ นตัว
(application) ในการวัดระดับเสียงในสถานท่ีต่าง ๆ บันทึกผล และ ๒. ประเมินทักษะการวัด จากการวัดระดับเสียงโดย
เคร่อื งวัดระดับเสยี ง หรือโปรแกรมประยกุ ต์ นำ�เสนอ ใช้เครื่องวัดระดับเสียง หรือโปรแกรมประยุกต์
(application) และระบหุ นว่ ยของระดบั เสยี ง (application) พรอ้ มทง้ั ระบหุ นว่ ยของระดบั เสยี งได้
๓. ทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย ๙. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เพ่ือให้ได้ อยา่ งถูกต้องเหมาะสม
ขอ้ มลู โดยการน�ำ ขอ้ มลู ไดจ้ ากการสบื คน้ จาก ขอ้ สรปุ วา่ การวดั ระดบั เสยี งท�ำ ไดโ้ ดยใชเ้ ครอ่ื งวดั ระดบั เสยี ง สถานทตี่ า่ ง ๆ ๓. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย
แหล่งต่าง ๆ มาแยกประเภท และจัดกระทำ� มีระดบั เสยี งตา่ งกนั ขอ้ มลู จากการน�ำ ข้อมูลไดจ้ ากการสบื คน้ จากแหลง่
ใหม่ เพื่อนำ�เสนอข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษ ต่าง ๆ มาแยกประเภท และจัดกระทำ�ใหม่ เพ่ือ
ทางเสยี ง อนั ตรายและวิธีปอ้ งกนั อนั ตราย ๑๐. นักเรียนสร้างคำ�ถามใหม่เก่ียวกับเสียงท่ีทำ�ให้เกิดอันตรายต่อการได้ยิน น�ำ เสนอขอ้ มลู เกย่ี วกบั มลพษิ ทางเสยี ง อนั ตรายและ
๔. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย และวธิ ปี อ้ งกนั อนั ตรายท่ีอาจเกิดขึน้ เพอ่ื นำ�ไปสูก่ ารสืบค้นขอ้ มูล วิธีป้องกันอันตรายในรูปแบบที่เหมาะสม มีความ
อภิปรายและเช่ือมโยงความรู้เกี่ยวกับการ ถกู ตอ้ ง และเขา้ ใจง่าย
เกิดเสียงกับข้อมูลท่ีสังเกตได้มาอธิบายการ ๑๑. นกั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เชน่ อนิ เทอรเ์ นต็ เอกสาร หรอื ๔. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย
เกดิ เสยี งดงั เสยี งคอ่ ย และขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการ สอบถามผู้ที่ทำ�งานอยู่ในหน่วยงานหรือองค์กร หรืออ่ืน ๆ บันทึกผลและ อภิปรายและเช่ือมโยงความรู้เก่ียวกับการเกิดเสียง
สืบค้นจากแหล่งต่าง ๆ เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ น�ำ เสนอ กับข้อมูลที่สังเกตได้มาอธิบายการเกิดเสียงดัง
มลพิษทางเสียง อันตรายและวิธีป้องกัน เสียงค่อย และข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นจาก
อันตรายที่เกดิ จากมลพษิ ทางเสยี ง ๑๒. นั ก เ รี ย น ร่ ว ม กั น อ ภิ ป ร า ย ผ ล ก า ร สื บ ค้ น ข้ อ มู ล เ พ่ื อ ล ง ข้ อ ส รุ ป ว่ า แหล่งต่าง ๆ เพ่ืออธิบายเกี่ยวกับมลพิษทางเสียง
๕. ทักษะการตั้งสมมติฐาน โดยคาดการณ์ผล เสียงดังมาก ๆ ท่ีเป็นอันตรายต่อการได้ยินและเสียงที่ก่อให้เกิด อันตรายและวิธีป้องกันอันตรายท่ีเกิดจากมลพิษ
ของความสมั พนั ธข์ องตวั แปรตน้ และตวั แปร ความรำ�คาญเป็นมลพิษทางเสียง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ทางเสียงได้อยา่ งถกู ต้อง
ตามท่ที ำ�ให้เกิดเสียงดงั เสียงคอ่ ย เราควรหลีกเล่ียงท่ีจะอยู่ในบริเวณท่ีมีเสียงดังเกินไป หรือควรใส่อุปกรณ์ ๕. ประเมนิ ทกั ษะการตงั้ สมมตฐิ าน จากการคาดการณ์
๖. ทักษะการกำ�หนดนิยามเชิงปฏิบัติการ โดย ป้องกัน ผลของความสมั พนั ธข์ องตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม
กำ�หนดความหมายและขอบเขตของคำ� ทที่ �ำ ให้เกดิ เสียงดงั เสยี งค่อยได้อย่างถูกต้อง
ตา่ ง ๆ ทสี่ อดคลอ้ งกบั การทดลองเพอื่ อธบิ าย ๑๓. นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยนำ�ข้อมูลจากการวัดระดับเสียงในสถานที่
การเกิดเสยี งดัง เสียงค่อย ตา่ ง ๆ มาวเิ คราะหร์ ว่ มกนั วา่ บรเิ วณใดบา้ งทเี่ ปน็ บรเิ วณทมี่ มี ลพษิ ทางเสยี ง
พร้อมเสนอแนะแนวทางการหลีกเลีย่ งหรอื ลดมลพษิ ทางเสยี ง

วิทยาศาสตร์

ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๕

การวเิ คราะห์ตัวชี้วดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชวี้ ดั 209

๗. ทักษะการกำ�หนดและควบคุมตัวแปร โดย ๖. ประเมนิ ทกั ษะการก�ำ หนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร จาก
ระบุตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรท่ี การกำ�หนดความหมายและขอบเขตของคำ�ต่าง ๆ
ต้องควบคุมให้คงท่ีเก่ียวกับการเกิดเสียงดัง ท่ีสอดคล้องกับการทดลองเพ่ืออธิบายการเกิด
เสยี งค่อย เสียงดัง เสียงค่อย ไว้ในสมมติฐานให้เข้าใจตรงกัน
สามารถสังเกตหรือวดั ได้
๘. ทักษะการทดลอง โดยปฏิบัติกิจกรรม
ก า ร ท ด ล อ ง ต า ม ที่ อ อ ก แ บ บ ไ ว้ เ พื่ อ ต อ บ ๗. ประเมินทักษะการกำ�หนดและควบคุมตัวแปร จาก
สมมตฐิ านเกยี่ วกบั การเกดิ เสยี งดงั เสยี งคอ่ ย การระบุตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรท่ีต้อง
ควบคุมให้คงที่เกี่ยวกับการเกิดเสียงดัง เสียงค่อย
๙. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
โดยทำ�ความเข้าใจข้อมูลจากการสังเกต
และการสบื คน้ ข้อมลู เพ่อื ลงข้อสรุปเก่ียวกบั ๘. ประเมินทักษะการทดลอง จากการปฏิบัติกิจกรรม
การเกดิ เสยี งดงั เสยี คอ่ ยและมลพษิ ทางเสยี ง การทดลองตามท่ีออกแบบไว้เพื่อตอบสมมติฐาน
เก่ยี วกบั การเกิดเสยี งดงั เสยี งค่อยไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๙. ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข้ อ มู ล แ ล ะ
ลงข้อสรุป จากการทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่บันทึกได้
เป็นทีม โดยมีส่วนร่วมในการสังเกต แลก จากการสังเกตและสืบค้นข้อมูลเพ่ือลงข้อสรุป
เปล่ียนผลการสังเกต และอภิปรายเก่ียวกับ เก่ียวกับการเกิดเสียงดัง เสียงค่อย และมลพิษ
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานในการสนั่ ของ ทางเสยี งได้อยา่ งถูกต้อง
แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง ระยะทางของแหลง่ ก�ำ เนดิ
เสียงกับผู้ฟัง และการลงข้อสรุปเก่ียวกับ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑
การไดย้ นิ เสยี งดงั เสยี งคอ่ ย มลพษิ ทางเสยี ง ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เป็นทีม จากการทำ�งานกับผู้อื่นในการสังเกต
แลกเปลี่ยนผลการสังเกต และอภิปรายเกี่ยว
กับความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานในการส่ันของ
แหล่งกำ�เนิดเสียง ระยะทางของแหล่งกำ�เนิดเสียง
กบั ผฟู้ งั และการลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั การไดย้ นิ เสยี งดงั
เสียงค่อย และมลพิษทางเสียง อันตรายและวิธี

210 การวิเคราะหต์ ัวชว้ี ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชีว้ ัด

อันตรายและวิธีป้องกันอันตรายที่เกิดจาก ป้องกันอันตรายที่เกิดจากมลพิษทางเสียงร่วมกับ
มลพษิ ทางเสียง ผูอ้ น่ื ตั้งแตเ่ รมิ่ ต้นจนส�ำ เร็จลลุ ว่ ง
๒. ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร โดยการน�ำ เสนอขอ้ มลู ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอผล
ทไ่ี ดจ้ ากการท�ำ กจิ กรรมเพอื่ อธบิ ายการไดย้ นิ การสังเกตสังเกตและการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการ
เสียงดงั เสยี งคอ่ ย และจากการสืบคน้ ข้อมลู เกดิ เสยี งดงั เสยี งคอ่ ย มลพษิ ทางเสยี ง อนั ตราย และ
เกี่ยวกับมลพิษทางเสียง อันตรายและวิธี วธิ ปี อ้ งกนั อนั ตรายทเ่ี กดิ จากมลพษิ ทางเสยี งใหผ้ อู้ น่ื
ปอ้ งกันอันตรายทีเ่ กดิ จากมลพิษทางเสียง ฟังอย่างเขา้ ใจ และนา่ สนใจ
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยการ ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จากการ
วิเคราะห์ข้อมูลจากการปฏิบัติเพ่ือหาความ วิเคราะห์ข้อมูลจากการปฏิบัติเพ่ือหาความสัมพันธ์
สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง พ ลั ง ง า น ใ น ก า ร ส่ั น ข อ ง ระหว่างพลังงานในการส่ันของแหล่งกำ�เนิดเสียง
แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง ระยะทางของแหลง่ ก�ำ เนดิ ระยะห่างระหว่างแหล่งกำ�เนิดเสียงกับผู้ฟังและ
เสยี งกบั ผฟู้ งั และการไดย้ นิ เสยี งดงั เสยี งคอ่ ย การได้ยนิ เสยี งดัง เสียงคอ่ ยได้อย่างสมเหตุสมผล
๔. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ๔. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
สื่อสาร โดยใช้วัดระดับเสียง สืบค้นข้อมูล การส่ือสาร จากการใช้เทคโนโลยีช่วยในการวัด
จัดกระทำ�ข้อมูล และนำ�เสนอข้อมูลเก่ียว ระดบั เสยี ง สบื คน้ ขอ้ มลู อยา่ งถกู ตอ้ ง มจี รยิ ธรรมโดย
กับมลพิษทางเสียง อันตรายและวิธีป้องกัน ไม่คัดลอกงานของผู้อื่น มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลท่ี
อันตรายทเ่ี กดิ จากมลพิษทางเสยี ง สืบค้น และใช้โปรแกรมที่เหมาะสมจัดกระทำ� และ
น�ำ เสนอขอ้ มลู เกยี่ วกบั มลพษิ ทางเสยี ง อนั ตรายและ
ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ วธิ ปี อ้ งกนั อนั ตรายทเ่ี กดิ จากมลพษิ ทางเสยี งไดอ้ ยา่ ง
เหมาะสม
ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความรเู้ รอื่ งระดบั เสยี งโดย
เสนอแนะแนวทางในการหลกี เลยี่ งและลดมลพษิ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์
ทางเสยี ง
ประเมินความตระหนักในคุณค่าของความรู้เร่ืองระดับ
เสยี งจากการเสนอแนะแนวทางในการหลกี เลยี่ งและลด
มลพษิ ทางเสียงได้อย่างเหมาะสม

ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๕ วทิ ยาศาสตร์

สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕

มาตรฐาน ว ๓.๑ เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมท้งั 211
ปฏิสมั พันธ์ภายในระบบสรุ ิยะที่สง่ ผลตอ่ สิง่ มชี วี ิต และการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ

มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลีย่ นแปลงภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณีพบิ ตั ภิ ัย
กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟา้ อากาศและภมู อิ ากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อสิง่ มชี วี ิตและส่งิ แวดล้อม

ตัวชวี้ ัด
๑. เปรียบเทยี บความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์จากแบบจ�ำ ลอง

การวิเคราะหต์ วั ชีว้ ัด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชวี้ ัด

ดา้ นความรู้ ๑. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามเก่ียวกับการมองเห็น ดา้ นความรู้
ด า ว ฤ ก ษ์ เ ป็ น ด า ว ท่ี มี แ ส ง ใ น ตั ว เ อ ง ส่ ว น ดาวเคราะหแ์ ละดาวฤกษ์ โดยอาจใชส้ ถานการณ์ หรอื ค�ำ ถาม หรอื สอ่ื ตา่ ง ๆ เ ป รี ย บ เ ที ย บ ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ร ะ ห ว่ า ง ด า ว ฤ ก ษ์ แ ล ะ
ด า ว เ ค ร า ะ ห์ เ ป็ น ด า ว ท่ี ไ ม่ มี แ ส ง ใ น ตั ว เ อ ง เชน่ วดี ทิ ศั น์ ภาพเคลอื่ นไหว ดาวเคราะห์
ก า ร ม อ ง เ ห็ น ด า ว ฤ ก ษ์ เ ป็ น เ พ ร า ะ แ ส ง ข อ ง
ดาวฤกษ์เข้ามาสู่ตาผู้สังเกตโดยตรง ส่วน ๒. นักเรียนรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์จากการสังเกตและสืบค้นข้อมูล ดา้ นทกั ษะ
การมองเห็นดาวเคราะห์ เป็นเพราะแสงจาก จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เก่ียวกับดาวเคราะห์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้วสะท้อน ดาวฤกษ์ แสงและการมองเห็นดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ เพ่ือออกแบบ ๑. การประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จาก
เข้าสูต่ าของผสู้ งั เกต การสรา้ งแบบจำ�ลอง
การอธิบายผลจากการสังเกตแบบจำ�ลอง และ
ดา้ นทกั ษะ ๓. นักเรียนวิเคราะห์และอภิปรายความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากแหล่ง อธบิ ายเกยี่ วกบั สาเหตทุ ท่ี �ำ ใหม้ องเหน็ ดาวฤกษแ์ ละ
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ข้อมูลต่าง ๆ และสร้างแบบจำ�ลองอธิบายการมองเห็นดาวฤกษ์และ ดาวเคราะห์ได้อยา่ งสมเหตสุ มผล
๑. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยใช้ ดาวเคราะห์

แบบจ�ำ ลองอธบิ ายเพอื่ ลงความเหน็ เกย่ี วกบั ๔. นักเรียนนำ�เสนอแบบจำ�ลองท่ีสร้างขึ้นพร้อมทั้งอธิบายสิ่งท่ีได้เรียนรู้
การมองเห็นดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ เก่ียวกับดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และการมองเหน็ ดาวฤกษแ์ ละดาวเคราะห์

212 การวิเคราะห์ตัวชี้วดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชว้ี ัด

๒. ทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง โดยออกแบบ ๕. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือลงข้อสรุปว่า ดาวบนท้องฟ้า จำ�แนกได้ ๒. ประเมินการสร้างแบบจำ�ลอง จากแบบจำ�ลองที่
แ ล ะ เ ลื อ ก ใ ช้ วั ส ดุ อุ ป ก ร ณ์ เ พื่ อ ส ร้ า ง เป็นดาวฤกษ์ซ่ึงมีแสงสว่างในตัวเอง และดาวเคราะห์เป็นดาวที่ไม่มีแสง แสดงใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ ทถ่ี กู ตอ้ งเกยี่ วกบั การมองเหน็
แบบจำ�ลอง อธิบายการมองเห็นดาวฤกษ์ สว่างในตัวเอง เรามองเห็นดาวฤกษ์ได้เน่ืองจากแสงของดาวฤกษ์เคล่ือน ดาวฤกษแ์ ละดาวเคราะหไ์ ด้อย่างถกู ต้อง
และดาวเคราะห์ เข้าสู่ตาของเรา เรามองเห็นดาวเคราะห์ได้เนื่องจากแสงของดวงอาทิตย์
ตกกระทบดาวเคราะห์แล้วสะทอ้ นเขา้ สตู่ าของเรา ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑
ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
เป็นทีม จากการมีส่วนร่วมในการสร้างแบบจำ�ลอง
เป็นทีม โดยนักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูล ตงั้ แต่เรมิ่ ตน้ จนสำ�เร็จลลุ ่วง
แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อมูล และ ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอ
ปรกึ ษาหารอื ในการสรา้ งแบบจ�ำ ลองการมอง ผลงานจากแบบจำ�ลองที่แสดงสิ่งที่ค้นพบ เพ่ือให้
เห็นดาวฤกษแ์ ละดาวเคราะห์ ผอู้ ืน่ เขา้ ใจได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน และถูกตอ้ ง
๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยการนำ�เสนอสิ่งท่ี ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จาก
ได้เรียนรู้จากการสร้างแบบจำ�ลอง และมี การวิเคราะห์และเลือกใช้ข้อมูลและวัสดุอุปกรณ์
วธิ ีการในการท�ำ ให้ผู้อนื่ เข้าใจสิง่ ที่ไดเ้ รยี นรู้ มาสร้างแบบจำ�ลอง เพื่ออธิบายการมองเห็น
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยการ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ไดอ้ ย่างสมเหตุสมผล
วเิ คราะหแ์ ละเลอื กใชข้ อ้ มลู และวสั ดอุ ปุ กรณ์
มาสรา้ งแบบจ�ำ ลอง เพอ่ื อธบิ ายการมองเหน็
ดาวฤกษแ์ ละดาวเคราะห์

วิทยาศาสตร์

ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๕

ตัวช้วี ัด 213
๒. ใชแ้ ผนทด่ี าวระบุต�ำ แหน่งและเส้นทางการข้นึ และตกของกลุ่มดาวฤกษบ์ นทอ้ งฟา้ และอธบิ ายแบบรปู เสน้ ทางการขน้ึ และตกของกลุ่มดาวฤกษบ์ นทอ้ งฟา้ ในรอบปี

การวเิ คราะห์ตัวช้ีวัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวชว้ี ัด

ด้านความรู้ ๑. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามเก่ียวกับดาวฤกษ์ ดา้ นความรู้
กลุ่มดาวฤกษ์และเส้นทางการข้ึนและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ โดยอาจ ๑. อธบิ ายการมองเห็นกลุ่มดาวแตล่ ะกลุม่ มีรปู รา่ งคงท่ี
๑. กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏบนท้องฟ้าแต่ละ ใชส้ ถานการณ์ หรอื ค�ำ ถาม หรอื สอื่ ตา่ ง ๆ เชน่ วดี ทิ ศั น์ ภาพเคลอื่ นไหว ๒. อ ธิ บ า ย แ บ บ รู ป เ ส้ น ท า ง ก า ร ข้ึ น แ ล ะ ต ก ข อ ง
กลุ่มมีการเรียงตัวของดาวฤกษ์ในตำ�แหน่ง
คงที่จึงมีรูปร่างเหมือนเดิม และมีเส้นทาง ๒. นักเรียนอภิปรายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับกลุ่มดาวว่า กลุ่มดาว คือ กลุ่มดาวฤกษต์ ่าง ๆ
การขึ้นและตกตามเสน้ ทางเดิมทกุ คืน ดาวฤกษ์ท่ีสว่างหลายดวงท่ีมีตำ�แหน่งปรากฏบนท้องฟ้าใกล้กันและมี ๓. อธิบายการใช้แผนท่ีดาว เพื่อระบุตำ�แหน่งและ
การเรียงตัวของดาวฤกษ์ในตำ�แหน่งคงท่ี เมื่อลากเส้นสมมติระหว่าง
๒. แผนท่ีดาวเป็นแผนท่ีท้องฟ้าท่ีใช้ระบุตำ�แหน่ง ดาวแตล่ ะดวง อาจเหน็ เปน็ รปู รา่ งตา่ ง ๆ ตามจนิ ตนาการของแตล่ ะคน เสน้ ทางการขน้ึ และตกของกลุ่มดาวฤกษบ์ นท้องฟา้
และเส้นทางการขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์
บนท้องฟ้าเฉพาะพื้นที่หนง่ึ  ๆ ๓. นักเรียนสังเกตและอภิปรายเกี่ยวกับองค์ประกอบและวิธีการใช้ ด้านทกั ษะ
แผนทด่ี าว และฝกึ หดั การวดั มมุ เงยและหามมุ ทศิ เพอื่ ระบตุ �ำ แหนง่ ของ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านทักษะ ดาวบนท้องฟ้า จากนั้นเลือกกลุ่มดาวที่ต้องการสังเกต และวางแผน ๑. ประเมินทกั ษะการสงั เกต จากผลการสังเกตลักษณะ
การดดู าว โดยมเี กณฑใ์ นการเลอื กคอื กลมุ่ ดาวนน้ั ตอ้ งปรากฏขนึ้ และตก
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ใหเ้ ห็นในเวลากลางคืน ในชว่ งเวลาทตี่ อ้ งการสงั เกต และระบุตำ�แหน่งของกลุ่มดาวแต่ละกลุ่มบนท้องฟ้า
๑. ทักษะการสังเกต โดยสังเกตลักษณะและระบุ ไดอ้ ยา่ งครบถว้ น ตามความเปน็ จรงิ โดยไมเ่ พม่ิ ความ
๔. นกั เรยี นสงั เกตกลมุ่ ดาวฤกษบ์ นทอ้ งฟา้ ตามแผนทว่ี างไว้ บนั ทกึ ลกั ษณะ คิดเหน็ สว่ นตวั
ต�ำ แหนง่ ของกล่มุ ดาวแต่ละกลุ่มบนทอ้ งฟา้ ของกลุ่มดาว ตำ�แหน่งของกลุ่มดาวที่เวลาต่าง ๆ พร้อมทั้งระบุมุมเงย ๒. ประเมินทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซ
๒. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับ และมุมทิศของกลุม่ ดาวนั้น กับสเปซและสเปซกับเวลา จากการใช้แผนท่ีดาว
เพื่อสังเกตท้องฟ้าและอธิบายตำ�แหน่งและการ
สเปซและสเปซกับเวลา โดยนำ�ข้อมูลที่ได้ ๕. นักเรียนนำ�ข้อมูลจากการสังเกตมาอภิปรายเก่ียวกับลักษณะการขึ้น เปลยี่ นแปลงต�ำ แหนง่ ของกลมุ่ ดาวเมอื่ เวลาเปลย่ี นไป
จากแผนท่ีดาว อธิบายตำ�แหน่งและการ และตกของกลุ่มดาว การเปล่ียนตำ�แหน่งของกลุ่มดาวเม่ือสังเกต ณ ได้อยา่ งถกู ต้อง แม่นยำ�
เปล่ียนแปลงตำ�แหน่งของกลุ่มดาวเม่ือเวลา เวลาตา่ ง ๆ
เปล่ยี นไป
๓. ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ๖. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามว่ากลุ่มดาวท่ีเลือกจะ
โดยการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป มเี ส้นทางการขน้ึ และตกเป็นอย่างไรในปีตอ่ ไป
จากการรวบรวมข้อมูลและลงข้อสรุปเกี่ยวกับ
เส้นทางการขึน้ และตกของกลมุ่ ดาว

214 การวเิ คราะหต์ วั ช้วี ัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินตวั ชวี้ ดั

๗. นักเรียนรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์และสืบค้นข้อมูลจากแหล่ง ๓. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
ข้อมูลต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ท่ีน่าเชื่อถือ ใช้แผนที่ดาว หรือโปรแกรมทาง จากการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุปเก่ียวกับ
ดาราศาสตร์ เพื่อสังเกตเส้นทางการขน้ึ และตกของกลุ่มดาวน้ีในปีตอ่ ไป เสน้ ทางการขน้ึ และตกของกลมุ่ ดาว ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง

๘. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือลงข้อสรุปว่า กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ มีเส้นทาง
การขนึ้ และตกเป็นแบบรูปเหมือนเดิมในรอบปี

ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทกั ษะดา้ นความรว่ มมอื และการท�ำ งานเปน็ ทมี ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

โดยนกั เรยี นรว่ มกนั สงั เกตและอภปิ รายการใช้ เปน็ ทมี จากการสงั เกตและอภปิ รายการใชแ้ ผนทด่ี าว
แผนที่ดาว การสังเกตกลุ่มดาว เพอ่ื ลงข้อสรปุ การสังเกตกลุ่มดาว เพ่ือลงข้อสรุปเก่ียวกับเส้นทาง
เกี่ยวกบั เส้นทางการขึน้ และตกของกลุ่มดาว การขน้ึ และตกของกลมุ่ ดาว รว่ มกบั ผอู้ นื่ ตงั้ แตเ่ รมิ่ ตน้
๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยการนำ�เสนอข้อมูล จนส�ำ เรจ็ ลุลว่ ง
ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกต การใชแ้ ผนทดี่ าว และการ ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอ
อภิปรายเกี่ยวกับเส้นทางการข้ึนและตกของ ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต การใช้แผนท่ีดาว และ
กลมุ่ ดาว การอภิปรายเกี่ยวกับเส้นทางการข้ึนและตกของ
๓. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ กลุ่มดาว เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน
ส่ือสาร โดยการสืบค้นข้อมูลและการใช้ และถกู ต้อง
โปรแกรมทางดาราศาสตร์ เพอ่ื ศกึ ษาเส้นทาง ๓. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การข้นึ และตกของกลุ่มดาว การส่ือสาร จากการสืบค้นข้อมูลและการใช้
โปรแกรมทางดาราศาสตร์ เพ่ือศึกษาเส้นทาง
การขึ้นและตกของกลุ่มดาว จากแหล่งข้อมูลที่
เชือ่ ถอื ได้และมีการอ้างอิงแหล่งขอ้ มลู ทีส่ ืบคน้

ตวั ชีว้ ัด วทิ ยาศาสตร์
๓. เปรยี บเทยี บปริมาณน�้ำ ในแต่ละแหลง่ และระบุปริมาณน�้ำ ทมี่ นุษยส์ ามารถน�ำ มาใชป้ ระโยชน์ได้ จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้
๔. ตระหนกั ถึงคุณค่าของน�ำ้ โดยนำ�เสนอแนวทางการใชน้ ำ้�อย่างประหยัดและการอนุรักษ์นำ้� ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕

215

การวิเคราะหต์ ัวชว้ี ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวช้วี ดั

ด้านความรู้ ๑. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั และตงั้ ค�ำ ถามเกย่ี วกบั แหลง่ น�้ำ ของโลก ด้านความรู้
โดยอาจใช้สถานการณ์ คำ�ถาม หรือสื่อต่างๆ เช่น รูปภาพ วีดิทัศน์ ๑. เปรียบเทียบปริมาณนำ้�จืดและน้ำ�เค็ม น้ำ�ในแต่ละ
๑. บนผวิ โลกของเราปกคลมุ ดว้ ยน�ำ้ เปน็ สว่ นใหญ่ ภาพเคลอ่ื นไหว หรอื ขา่ วทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สถานการณน์ �ำ้ ในปจั จบุ นั ของโลก
นำ้�ของโลกทั้งหมดจะมีน้ำ�เค็มอยู่ประมาณ หรอื ของประเทศไทย เพอื่ นำ�ไปสู่การสืบค้นขอ้ มูล แหล่ง
๙๗.๕ ส่วน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมหาสมุทร ๒. ระบปุ รมิ าณน�ำ้ ทมี่ นษุ ยส์ ามารถน�ำ มาใชป้ ระโยชนไ์ ด้
และทะเล และที่เหลืออีกประมาณ ๒.๕ ๒. นกั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั แหลง่ น�้ำ ของโลก จากแหลง่ ขอ้ มลู ทน่ี า่ เชอื่ ถอื
ส่วน เป็นน้ำ�จืดในแหล่งต่าง ๆ นำ้�จืดส่วน เชน่ อนิ เทอรเ์ นต็ หนังสอื หรือใบความรู้ รวบรวมข้อมูล และบันทกึ ผล ด้านทกั ษะ
ใหญ่เป็นธารนำ้�แข็งหรือพืดน้ำ�แข็งที่อยู่ตาม ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ขั้วโลก ส่วนน้ำ�จืดท่ีมนุษย์นำ�มาใช้ ได้แก่ ๓. นักเรียนนำ�ข้อมูลมาจัดกระทำ�ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น ตาราง ๑. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย
น�้ำ ในทะเลสาบ แมน่ �้ำ ล�ำ ธาร และน�ำ้ ใตด้ นิ ซง่ึ แผนภูมแิ ทง่ แผนภมู ิรปู ภาพ และน�ำ เสนอในรูปแบบท่นี า่ สนใจ
รวมแล้วปริมาณน้ำ�จืดที่นำ�มาใช้ได้น้อยมาก ขอ้ มลู จากการน�ำ ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสบื คน้ ขอ้ มลู และ
เม่ือเทียบกับปริมาณน้ำ�จืดทั้งหมด เราจึงควร ๔. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือเปรียบเทียบปริมาณนำ้�ในแต่ละแหล่ง รวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั ปรมิ าณน�้ำ ในแหลง่ น�ำ้ ของโลก
อนุรักษ์แหล่งนำ้�และใช้น้ำ�อย่างประหยัดเพ่ือ เพอื่ ลงขอ้ สรปุ วา่ น�้ำ ของโลกมที ง้ั น�ำ้ จดื และน�้ำ เคม็ ซงึ่ เปน็ น�ำ้ เคม็ ประมาณ มาจัดกระทำ�และนำ�เสนอ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม
ใหม้ นี ้ำ�ดมื่ น้ำ�ใชต้ ลอดไป ๙๗.๕ ส่วน ส่วนใหญ่อยู่ในมหาสมุทรและทะเล ส่วนท่ีเหลืออีกประมาณ และช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายของข้อมูลได้อย่าง
๒.๕ สว่ น เปน็ น�้ำ จดื น�ำ้ จดื สว่ นใหญเ่ ปน็ ธารน�ำ้ แขง็ หรอื พดื น�ำ้ แขง็ ทอ่ี ยตู่ าม รวดเรว็ ชัดเจน และถูกต้อง
ดา้ นทกั ษะ ขวั้ โลก สว่ นน�ำ้ จดื ทมี่ นษุ ยน์ �ำ มาใช้ ไดแ้ ก่ น�ำ้ ในทะเลสาบ แมน่ �้ำ ล�ำ ธาร และ
นำ้�ใต้ดิน ซ่ึงรวมแล้วปริมาณนำ้�จืดที่นำ�มาใช้ได้น้อยมากเมื่อเทียบกับ
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ปรมิ าณน้ำ�จดื ทั้งหมด
๑. ทกั ษะการจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมายขอ้ มลู
๕. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามใหม่เกี่ยวกับปริมาณน้ำ�
โดยการนำ�ข้อมูลจากการสืบค้นข้อมูลและ ที่มนุษย์สามารถนำ�มาใช้ได้ เพ่ือนำ�สู่การวิเคราะห์ข้อมูลและอภิปราย
รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับปริมาณนำ้�ในแหล่ง เก่ียวกับปริมาณนำ้�ที่มนุษย์สามารถนำ�มาใช้ได้เพ่ือลงข้อสรุปว่า น้ำ�จืด
ต่าง ๆ ของโลกมาจดั กระท�ำ และนำ�เสนอ ท่ีมนุษย์นำ�มาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก นักเรียนทำ�กิจกรรมและนำ�เสนอ
แนวทางการประหยัดการใช้น�ำ้ ในแต่ละครวั เรอื น

216 การวิเคราะหต์ ัวช้วี ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชวี้ ัด

๒. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ๖. นักเรียนสำ�รวจแหล่งน้ำ�ในท้องถิ่นและร่วมกันอภิปรายและนำ�เสนอ ๒. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
โดยการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป แนวทางการอนุรักษ์แหล่งน้ำ�เพื่อให้มีนำ้�ใช้ตลอดไป โดยอาจจัดทำ� จากการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุปเก่ียวกับ
เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปริมาณน้ำ�ท่ีมนุษย์ นิทรรศการ โปสเตอร์ คำ�ขวัญหรือแผ่นพับ ส่งเสริมให้อนุรักษ์แหล่งนำ้� การวิเคราะห์ปริมาณน้ำ�ที่มนุษย์สามารถนำ�มาใช้
สามารถนำ�มาใช้ จากนั้นร่วมกันอภิปรายเพื่อลงข้อสรุปว่า ทุกคนควรร่วมมือกันในการลด ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
ปริมาณการใชน้ ำ�้ และอนุรกั ษแ์ หล่งน�ำ้ เพ่อื ให้มีน�ำ้ ใชต้ ลอดไป
๓. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย ๓. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
วิเคราะห์และลงความเห็นเก่ียวกับแนวทาง วิเคราะห์และลงความเห็นเก่ียวกับแนวทางการ
การประหยดั น�้ำ ในครวั เรอื นและการอนรุ กั ษ์ ประหยัดนำ้�ในครัวเรือนและการอนุรักษ์แหล่งน้ำ�
แหลง่ นำ้� ได้อย่างสมเหตุสมผล

ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เป็นทีม โดยนักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูล เป็นทีม จากการร่วมกันสืบค้นข้อมูล จัดกระทำ�
จัดกระทำ�ข้อมูล และแสดงความคิดเห็น ข้อมูล สำ�รวจ อภิปราย และนำ�เสนอเก่ียวกับ
เกีย่ วกับแหลง่ น้�ำ ของโลก ปริมาณนำ้�ในแหล่งต่าง ๆ ของโลกและแนวทาง
๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยการนำ�เสนอ การประหยัดนำ้�ในครัวเรือน ตลอดจนการอนุรักษ์
ข้อมูลท่ีได้จากสืบค้นข้อมูลการเปรียบเทียบ แหล่งน�้ำ รว่ มกบั ผ้อู ่ืน ตั้งแต่เร่ิมตน้ จนสำ�เรจ็ ลุล่วง
ปริมาณนำ้�ในแต่ละแหล่ง และวิเคราะห์ ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอ
ปริมาณนำ�้ ท่ีมนุษย์สามารถนำ�มาใช้ได้ ข้อมูลท่ีได้จากสืบค้นการเปรียบเทียบปริมาณนำ้�
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยการ ในแต่ละแหล่ง และวิเคราะห์ปริมาณนำ้�ที่มนุษย์
วเิ คราะหข์ อ้ มลู ปรมิ าณน�้ำ ทไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้ สามารถนำ�มาใช้ได้และแนวทางการประหยัดนำ้�ใน
เพอื่ หาปรมิ าณน�ำ้ ทมี่ นษุ ยส์ ามารถน�ำ มาใชไ้ ด้ ครวั เรอื น ตลอดจนการอนรุ กั ษแ์ หลง่ น�้ำ เพอื่ ใหผ้ อู้ นื่
และใหเ้ หตุผลเกี่ยวกับการอนรุ กั ษน์ ้ำ� เข้าใจได้อยา่ งรวดเร็ว ชดั เจน และถูกต้อง
๔. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จาก
ส่ือสาร โดยการสืบค้นและรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณนำ้�ท่ีได้จากการสืบค้น
เรื่องแหล่งน�้ำ ของโลก เพอ่ื หาปรมิ าณน�ำ้ ทมี่ นษุ ยส์ ามารถน�ำ มาใชไ้ ดแ้ ละให้
เหตผุ ลเกยี่ วกบั การอนรุ กั ษน์ �ำ้ ไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล

วิทยาศาสตร์

ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๕

การวเิ คราะหต์ วั ช้วี ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวช้วี ัด 217

ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ๔. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
ตระหนักถงึ คณุ ค่าของนำ�้ การสื่อสาร จากการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเร่ือง
ปรมิ าณน้�ำ ในแหลง่ ตา่ ง ๆ ของโลก จากแหล่งข้อมูลที่
เชอ่ื ถอื ได้ และมกี ารอา้ งองิ แหลง่ ข้อมูลที่สบื คน้

ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์

ประเมนิ ความตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของน�้ำ จากการน�ำ เสนอ
แนวทางการใชน้ �ำ้ อยา่ งประหยดั และการอนรุ กั ษแ์ หลง่ น�ำ้

ตัวช้วี ัด
๕. สรา้ งแบบจ�ำ ลองทอ่ี ธิบายการหมนุ เวียนของนำ�้ ในวัฏจกั รนำ้�

การวิเคราะห์ตวั ชวี้ ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชว้ี ดั

ดา้ นความรู้ ๑. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับวัฏจักรน้ำ� โดย ดา้ นความรู้
อาจใช้สถานการณ์ คำ�ถาม หรือส่ือต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว อธิบายการหมุนเวยี นของนำ้�ในวฏั จกั รน�ำ้
วัฏจักรนำ้�เป็นการหมุนเวียนของน้ำ�ซำ้�เดิมเป็น วีดทิ ศั นท์ ่ีเกย่ี วข้องกบั วัฏจกั รน้�ำ เพ่อื น�ำ ไปส่กู ารสบื คน้ ขอ้ มูล
แบบรูปต่อเนื่องระหว่างนำ้�ในแหล่งต่าง ๆ เช่น
น้ำ�ในบรรยากาศ น้ำ�ผิวดิน นำ้�ใต้ดินและน้ำ�ใน ๒. นักเรียนสืบค้นข้อมูลและอภิปรายเกี่ยวกับการหมุนเวียนของนำ้�ระหว่าง
สง่ิ มีชีวิต น�้ำ ในบรรยากาศ นำ้�ผวิ ดิน นำ้�ใตด้ นิ และน�ำ้ ในสิง่ มีชีวิต

218 การวเิ คราะห์ตัวชีว้ ดั แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชี้วดั

ด้านทกั ษะ ๓. นักเรียนออกแบบและสร้างแบบจำ�ลองท่ีอธิบายการหมุนเวียนของนำ้�ใน ดา้ นทกั ษะ
วัฏจักรน�ำ้ ของโลกตามข้อมูลทไี่ ดส้ ืบคน้ จากน้นั น�ำ เสนอ
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
๑. ทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย ๔. นักเรียนสืบค้นข้อมูลท่ีเก่ียวกับวัฏจักรน้ำ�จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ท่ี ๑. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย
น่าเชื่อถอื เชน่ อนิ เทอรเ์ น็ต หนงั สอื หรือใบความรู้ บันทกึ ผล
ขอ้ มลู โดยการน�ำ ขอ้ มลู จากการสบื คน้ ขอ้ มลู ขอ้ มลู จากการสบื คน้ ขอ้ มลู และรวบรวมขอ้ มลู เกยี่ ว
และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการหมุนเวียน ๕. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือเช่ือมโยงสิ่งที่พบในแบบจำ�ลองกับ กบั การหมนุ เวยี นของน�้ำ ในแหลง่ ตา่ ง ๆ มาจดั กระท�ำ
ของนำ้�ในแหล่งต่าง ๆ มาจัดกระทำ�และ การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนในธรรมชาติ โดยอาจใช้ส่ือต่าง ๆ เช่น รูปภาพ และนำ�เสนอ ได้อย่างถกู ตอ้ ง เหมาะสม และช่วยให้
น�ำ เสนอ วีดิทัศน์ หรือภาพคลื่อนไหวเพื่อประกอบคำ�อธิบาย เพื่อลงข้อสรุปว่า ผู้อ่ืนเข้าใจความหมายของข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
๒. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ วัฏจักรนำ้� เป็นการหมุนเวียนของน้ำ�ซ้ำ�เดิมเป็นแบบรูปต่อเน่ืองระหว่าง ชัดเจน และถกู ตอ้ ง
โดยการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป น้ำ�ในแหล่งต่าง ๆ เช่น น้ำ�ในบรรยากาศ น้ำ�ผิวดิน น้ำ�ใต้ดินและน้ำ�ใน ๒. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายและลงขอ้ สรปุ จาก
เกย่ี วกบั การหมนุ เวยี นของน�้ำ แหลง่ น�้ำ ตา่ ง ๆ สิง่ มชี ีวิต การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุปเก่ียวกับการ
เป็นวัฏจักร หมนุ เวยี นของน�้ำ แหลง่ น�ำ้ ตา่ ง ๆ เปน็ วฏั จกั ร ไดอ้ ยา่ ง
๓. ทกั ษะการสรา้ งแบบจ�ำ ลอง โดยการออกแบบ ถูกต้อง
และสรา้ งแบบจ�ำ ลองทอี่ ธบิ ายการหมนุ เวยี น ๓. ประเมินทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง จากแบบ
ของน�ำ้ เป็นวัฏจักร จำ�ลองที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับ
การหมนุ เวียนของน�ำ้ เปน็ วัฏจกั ร

ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งานเป็น ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

ทมี โดยรว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มลู จดั กระท�ำ ขอ้ มลู เป็นทีม จากการสืบค้นข้อมูล จัดกระทำ�ข้อมูล
สร้างแบบจำ�ลอง นำ�เสนอ และอภิปราย สรา้ งแบบจ�ำ ลอง น�ำ เสนอ และอภปิ รายรว่ มกนั เกยี่ ว
ร่วมกันเก่ียวกับการหมุนเวียนของนำ้�ใน กับการหมนุ เวยี นของนำ้�ในแหลง่ ตา่ ง ๆ เปน็ วฏั จกั ร
แหล่งตา่ ง ๆ เป็นวัฏจักร รว่ มกบั ผูอ้ น่ื ตั้งแตเ่ รม่ิ ตน้ จนสำ�เร็จลลุ ่วง

วทิ ยาศาสตร์

ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๕

การวิเคราะหต์ ัวชว้ี ดั แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตวั ช้ีวดั 219

๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยการนำ�เสนอ ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
ข้อมูลแบบจำ�ลองการหมุนเวียนของน้ำ�ใน ขอ้ มลู แบบจ�ำ ลองการหมนุ เวยี นของน�ำ้ ในวฏั จกั รน�้ำ
วฏั จักรน�้ำ เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน และ
ถกู ต้อง
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยการ
ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลและเลือกใช้ข้อมูล ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จาก
ในการสร้างแบบจำ�ลองท่ีอธิบายวฏั จักรนำ�้ การร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลและเลือกใช้ข้อมูลใน
การสร้างแบบจำ�ลองท่ีอธิบายวัฏจักรน้ำ� ได้อย่าง
๔. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ สมเหตุสมผล
การสื่อสาร โดยการสืบค้นและรวบรวม
ข้ อ มู ล เ กี่ ย ว กั บ ก า ร ห มุ น เ วี ย น ข อ ง นำ้ � ใ น ๔. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
แหลง่ ตา่ ง ๆ เปน็ วฏั จักร สื่อสาร จากการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
การหมนุ เวยี นของน�ำ้ ในแหลง่ ตา่ ง ๆ เปน็ วฏั จกั รจาก
แหลง่ ขอ้ มลู ทเี่ ชอื่ ถอื ได้ และมกี ารอา้ งองิ แหลง่ ขอ้ มลู
ท่สี บื คน้

220 ตวั ชว้ี ดั
๖. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น�้ำ คา้ ง และน�ำ้ คา้ งแข็ง จากแบบจำ�ลอง

การวิเคราะหต์ ัวช้วี ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชี้วดั

ดา้ นความรู้ ๑. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับการเกิดเมฆ ด้านความรู้
หมอก น�ำ้ ค้าง และน�ำ้ คา้ งแขง็ โดยอาจใช้สถานการณ์หรอื ใชค้ �ำ ถาม หรือ ๑. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำ�ค้าง
เ ม ฆ เ กิ ด จ า ก ไ อ นำ้ � ใ น อ า ก า ศ ค ว บ แ น่ น เ ป็ น ส่ือต่าง ๆ เช่น ภาพเคล่ือนไหว รูปภาพ วีดิทัศน์ เพื่อนำ�ไปสู่การใช้
ละอองนำ้�เล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ แบบจ�ำ ลอง และน้ำ�คา้ งแขง็
ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ เปน็ อนภุ าคแกนกลาง และ
ละอองน�ำ้ จ�ำ นวนมากนน้ั เกาะกลมุ่ รวมกนั ลอยอยู่ ๒. ครใู หน้ กั เรยี นรว่ มกนั สงั เกตและอธบิ ายกระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น�้ำ คา้ ง ดา้ นทักษะ
สูงจากพ้ืนดินมาก แต่หากละอองนำ้�ท่ีเกาะกลุ่ม และน�ำ้ คา้ งแขง็ จากแบบจำ�ลอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
รวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้ำ� ๑. ประเมินทักษะการสังเกต จากผลการบันทึก
ที่ควบแน่นเป็นละอองนำ้�เกาะอยู่บนพ้ืนผิววัตถุ ๓. นกั เรียนน�ำ เสนอกระบวนการเกิดเมฆ หมอก นำ�้ ค้าง และนำ้�คา้ งแข็ง โดย
ใกล้พ้ืนดิน เรียกว่า นำ้�ค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พ้ืน ใช้แบบจำ�ลอง นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับกระบวนการเกิดเมฆ หมอก รายละเอียดการสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ดินตำ่�กว่าจุดเยือกแข็ง นำ้�ค้างก็จะกลายเป็น น�้ำ คา้ ง และน�้ำ คา้ งแขง็ จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ทนี่ า่ เชอื่ ถอื เชน่ อนิ เทอรเ์ นต็ ในแบบจำ�ลองได้ครบถ้วน ตามความเป็นจริงโดย
นำ้�คา้ งแข็ง หนงั สอื หรือใบความรู้ บันทกึ ผล ไมเ่ พมิ่ ความคดิ เหน็ สว่ นตัว

ดา้ นทกั ษะ ๔. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อเช่ือมโยงการเปลี่ยนแปลงท่ี
เกิดขึ้นจากแบบจำ�ลองกับการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนในธรรมชาติเกี่ยวกับ
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการเกดิ และเปรยี บเทยี บกระบวนการเกดิ ของ เมฆ หมอก น�ำ้ คา้ ง
๑. ทักษะการสังเกต โดยสงั เกตการเปลย่ี นแปลง และน�ำ้ คา้ งแขง็ เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ วา่ เมฆ เกดิ จากไอน�ำ้ ในอากาศควบแนน่ เปน็
ละอองน�้ำ เล็ก ๆ โดยมลี ะอองลอย เช่น เกลอื ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ เปน็
ท่ีเกิดข้นึ ในแบบจ�ำ ลอง อนภุ าคแกนกลาง และละอองน�ำ้ จ�ำ นวนมากนน้ั เกาะกลมุ่ รวมกนั ลอยอยสู่ งู
๒. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย จากพนื้ ดนิ มาก แตห่ ากละอองน�ำ้ ทเ่ี กาะกลมุ่ รวมกนั อยใู่ กลพ้ น้ื ดนิ เรยี กวา่
หมอก ส่วนไอน้ำ�ท่ีควบแน่นเป็นละอองนำ้�เกาะอยู่บนพ้ืนผิววัตถุใกล้
ลงความเห็นเกี่ยวกับกระบวนการเกิดเมฆ พ้ืนดนิ เรยี กวา่ น�ำ้ คา้ ง ถา้ อุณหภมู ใิ กล้พื้นดนิ ตำ�่ กวา่ จุดเยอื กแขง็ น้�ำ ค้าง
หมอก น�ำ้ คา้ ง และน�ำ้ คา้ งแขง็ จากแบบจ�ำ ลอง ก็จะกลายเป็นน�ำ้ คา้ งแขง็

วทิ ยาศาสตร์

ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๕

การวิเคราะห์ตวั ชี้วดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ช้ีวัด 221

๓. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ๒. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
โดยการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ลงความเห็นเก่ียวกับกระบวนการเกิดเมฆ หมอก
เกย่ี วกบั กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น�้ำ ค้าง น้ำ�ค้าง และนำ้�ค้างแข็ง จากแบบจำ�ลองโดยใช้
และน�้ำ คา้ งแขง็ จากแบบจ�ำ ลองและขอ้ มลู ท่ี ประจักษ์พยานท่ีได้จากการสร้างแบบจำ�ลอง ได้
ได้จากการสบื ค้น อย่างสมเหตสุ มผล

ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ๓. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน จากการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุปเก่ียวกับ
กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น�ำ้ คา้ ง และน�ำ้ คา้ งแขง็
เ ป็ น ที ม โ ด ย นั ก เ รี ย น ร่ ว ม กั น สั ง เ ก ต จ า ก แ บ บ จำ � ล อ ง แ ล ะ ข้ อ มู ล ท่ี ไ ด้ จ า ก ก า ร สื บ ค้ น
แบบจ�ำ ลอง ลงความเห็น สืบค้นข้อมลู และ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
อภปิ รายเกยี่ วกบั กระบวนการเกดิ เมฆหมอก
นำ้�ค้าง และนำ�้ คา้ งแขง็ ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยการนำ�เสนอ ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
กระบวนการการเกดิ เมฆ หมอก น�้ำ คา้ ง และ
น�้ำ คา้ งแข็ง เป็นทีม จากการสังเกตแบบจำ�ลอง ลงความเห็น
๓. ทกั ษะดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศการสื่อสาร สบื คน้ ขอ้ มลู และอภปิ รายเกยี่ วกบั กระบวนการเกดิ
โดยการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับ เมฆ หมอก นำ้�ค้าง และน้ำ�ค้างแข็งร่วมกับผู้อื่น
กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำ�ค้าง และ ต้งั แตเ่ ร่มิ ต้นจนส�ำ เร็จลลุ ่วง
น้ำ�ค้างแข็ง ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
กระบวนการการเกิดเมฆ หมอก นำ้�ค้าง และ
น�ำ้ คา้ งแขง็ เพอื่ ใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ชดั เจน
และถกู ตอ้ ง
๓. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
ส่ือสาร จากการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับ
กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น�ำ้ คา้ ง และน�ำ้ คา้ งแขง็
จากแหล่งข้อมูลท่ีเช่ือถือได้ และมีการอ้างอิงแหล่ง
ขอ้ มูลที่สบื ค้น

222 ตวั ชว้ี ดั
๗. เปรียบเทยี บกระบวนการเกิดฝน หิมะ และลกู เหบ็ จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้

การวเิ คราะหต์ ัวชีว้ ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชีว้ ดั

ด้านความรู้ ๑. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามเก่ียวข้องกับการเกิด ดา้ นความรู้
ฝน หมิ ะ ลกู เหบ็ โดยอาจใชส้ ถานการณ์ หรอื ค�ำ ถาม หรอื สอ่ื ตา่ ง ๆ เชน่ เปรียบเทยี บกระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ ลูกเหบ็
ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นน้ําที่มีสถานะต่าง ๆ ที่ตก รปู ภาพ วดี ทิ ศั น์ และภาพเคลอื่ นไหวของฝน หมิ ะ ลกู เหบ็ เพอื่ น�ำ ไปสู่
จากท้องฟ้าถึงพ้ืนดิน ฝน เกิดจากละอองน้ำ� การสืบคน้ ข้อมูล ด้านทักษะ
ในเมฆที่รวมตัวกันมีอนุภาคใหญ่ข้ึนจนอากาศ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมาเป็นหยดนำ้� ๒. นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเกิดฝน หิมะ ลูกเห็บ จาก ๑. ประเมนิ ทกั ษะการจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมายขอ้ มลู
หิมะเกิดจากไอน้ำ�ในอากาศระเหิดกลับหรือ แหล่งข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือ เช่น อินเทอร์เน็ต หนังสือ หรือใบความรู้
เปลี่ยนแปลงสถานะจากไอน้ำ�เป็นของแข็งจึงมี รวบรวมข้อมูล และบนั ทกึ ผล จากการน�ำ ผลการสบื คน้ และรวบรวมขอ้ มลู การเกดิ ฝน
รูปร่างเป็นผลึก รวมตัวกันจนมีน้ำ�หนักมากข้ึน หมิ ะ ลูกเห็บ มาจัดกระทำ�และน�ำ เสนอไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
เกินกว่าอากาศจะพยุงไว้ได้ จึงตกลงมาใน ๓. นักเรียนนำ�ข้อมูลมาจัดกระทำ�ในรูปแบบท่ีเหมาะสม เช่น ตาราง เหมาะสม และชว่ ยใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจความหมายของขอ้ มลู
รูปของผลึกน้ำ�แข็ง ลูกเห็บเกิดจากหยดนำ้�ท่ี แผนภาพ และน�ำ เสนอในรูปแบบทน่ี ่าสนใจ ได้อยา่ งรวดเรว็ ชัดเจน และถกู ตอ้ ง
เปล่ียนสถานะเป็นน้ำ�แข็งเม่ือถูกพายุพัดขึ้นไป
ในบรรยากาศบริเวณซึ่งอุณหภูมิต่ำ�มากและถูก ๔. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง
พัดพาวนขึ้นลงจนเป็นก้อนนำ้�แข็งขนาดใหญ่ ของกระบวนการเกิดฝน หิมะ ลูกเห็บ เพื่อลงข้อสรุปว่า ฝน หิมะ
แลว้ ตกลงมาสูพ่ ื้นดนิ ลกู เหบ็ เปน็ นา้ํ ทม่ี สี ถานะแตกตา่ งกนั ทตี่ กจากฟา้ ถงึ พนื้ ดนิ ฝน เกดิ จาก
ละอองน�ำ้ ในเมฆทรี่ วมตวั กนั จนอากาศไมส่ ามารถพยงุ ไวไ้ ดจ้ งึ ตกลงมา
ดา้ นทกั ษะ หมิ ะเกดิ จากไอน�ำ้ ในอากาศระเหดิ กลบั เปน็ ผลกึ น�ำ้ แขง็ รวมตวั กนั จนมี
น�ำ้ หนกั มากขน้ึ จนเกนิ กวา่ อากาศจะพยงุ ไว้ จงึ ตกลงมา ลกู เหบ็ เกดิ จาก
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หยดน้ำ�ที่เปล่ียนสถานะเป็นน้ำ�แข็งแล้วถูกพายุพัดวนซำ้�ไปซำ้�มาใน
๑. ทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย เมฆฝนฟา้ คะนองทม่ี ขี นาดใหญแ่ ละอยใู่ นระดบั สงู จนเปน็ กอ้ นน�้ำ แขง็
ขนาดใหญ่แลว้ ตกลงมา
ข้อมูล โดยการน�ำ ผลการสบื ค้นและรวบรวม
ข้อมูลการเกิดฝน หิมะ ลูกเห็บมาจัดกระทำ�
และนำ�เสนอ

วิทยาศาสตร์

ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕

การวเิ คราะหต์ วั ชว้ี ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ช้วี ัด 223

๒. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ๕. ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นน้ําที่มีสถานะต่าง ๆ ท่ีตกจากท้องฟ้าถึงพื้นดิน ๒. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
โดยการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ฝน เกิดจากละอองน้ำ�ในเมฆท่ีรวมตัวกันมีอนุภาคใหญ่ข้ึนจนอากาศ จากการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุปเก่ียวกับ
เกย่ี วกับกระบวนการเกิดฝน หมิ ะ ลกู เหบ็ ไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมาเป็นหยดนำ้� หิมะเกิดจากไอนำ้�ในอากาศ กระบวนการเกิดฝน หิมะ ลกู เหบ็ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
ระเหิดกลับหรือเปล่ียนแปลงสถานะจากไอน้ำ�เป็นของแข็งจึงมีรูปร่าง
ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ เป็นผลึก รวมตัวกันจนมีนำ้�หนักมากขึ้นเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้ได้ ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน จึงตกลงมาในรูปของผลึกน้ำ�แขง็ ลกู เหบ็ เกิดจากหยดนำ้�ทเี่ ปล่ียนสถานะ ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
เป็นน้ำ�แข็งเมื่อถูกพายุพัดข้ึนไปในบรรยากาศบริเวณซ่ึงอุณหภูมิตำ่�มาก
เป็นทีม โดยนักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูล และถกู พดั พาวนขนึ้ ลงจนเปน็ กอ้ นน�ำ้ แขง็ ขนาดใหญแ่ ลว้ ตกลงมาสพู่ นื้ ดนิ เป็นทีม จาการสืบค้นข้อมูล จัดกระทำ�ข้อมูล นำ�
จัดกระทำ�ข้อมูล นำ�เสนอ และอภิปราย เสนอ และอภิปรายเปรียบเทียบกระบวนการเกิด
เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ ฝน หมิ ะ ลกู เห็บ รว่ มกบั ผ้อู ่ืนตัง้ แตเ่ รม่ิ ต้นจนส�ำ เรจ็
ลูกเหบ็ ลุลว่ ง
๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยการนำ�เสนอผล ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอผล
การเปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ การเปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ ลูกเห็บ
ลกู เหบ็ เพ่ือให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน และ
๓. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ ถูกต้อง
การส่ือสาร โดยการสืบค้นและรวบรวม ๓. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
ข้อมลู กระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ ลูกเห็บ การส่ือสาร จากการสืบค้นและรวบรวมข้อมูล
กระบวนการเกิดฝน หิมะ ลูกเห็บ จากแหล่งข้อมูล
ท่เี ชือ่ ถือได้ และมีการอ้างองิ แหลง่ ข้อมลู ท่ีสืบคน้

224

วิทยาศาสตร์

ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๖

ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๖ วทิ ยาศาสตร์

สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖

225

มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบตั ิของส่งิ มชี ีวติ หนว่ ยพืน้ ฐานของสงิ่ มีชีวติ การลำ�เลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้าง
และหนา้ ที่ของระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ย์ที่ท�ำ งานสัมพนั ธก์ นั ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องอวยั วะต่าง ๆ
ของพชื ที่ทำ�งานสัมพนั ธก์ นั รวมทง้ั น�ำ ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ตวั ชวี้ ัด
๑. ระบสุ ารอาหารและบอกประโยชนข์ องสารอาหารแตล่ ะประเภทจากอาหารทต่ี นเองรับประทาน
๒. บอกแนวทางในการเลอื กรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสดั สว่ นท่เี หมาะสมกับเพศและวัย รวมทงั้ ความปลอดภยั ต่อสุขภาพ
๓. ตระหนักถงึ ความส�ำ คัญของสารอาหาร โดยการเลอื กรบั ประทานอาหารทม่ี ีสารอาหารครบถ้วนในสัดสว่ นท่เี หมาะสมกับเพศและวยั รวมทัง้ ปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ

การวิเคราะหต์ ัวชี้วดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชีว้ ดั

ด้านความรู้ ๑. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับอาหารในชีวิต ด้านความรู้
ประจำ�วัน โดยอาจใช้วิธีซักถามหรือใช้สื่อต่าง ๆ เช่น ตัวอย่างอาหารจริง
๑. สารอาหารคือสารที่เป็นส่วนประกอบอยู่ใน รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์เพ่ือนำ�ไปสู่การสำ�รวจประเภทและ ๑. บอกความหมายและยกตัวอยา่ งสารอาหาร
อาหารและมีประโยชน์ต่อร่างกายในการ ประโยชน์ของสารอาหาร ๒. ระบุประเภทของสารอาหารท่ีอยู่ในอาหารและ
ด�ำ รงชวี ติ ไดแ้ ก่ โปรตนี คารโ์ บไฮเดรต ไขมนั
เกลือแร่ วิตามินและน้ำ� ในอาหารแต่ละ ๒. นักเรียนสำ�รวจอาหารที่รบั ประทานใน ๑ วัน และระบสุ ว่ นประกอบที่อยู่ บรรยายประโยชน์ของสารอาหารประเภท โปรตีน
ชนิดประกอบด้วยสารอาหารท่ีแตกต่างกัน ในอาหาร และสบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ประเภทและประโยชนข์ องสารอาหาร คารโ์ บไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามนิ และน�ำ้
อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ทเี่ ชอื่ ถอื ได้ เชน่ อนิ เทอรเ์ นต็ หนงั สอื หรอื ใบความร ู้ ๓. บอกแนวทางการเลือกรับประทานอาหารให้ได้
ประเภทเดยี ว อาหารบางอยา่ งประกอบดว้ ย ที่ครูเตรยี มไว้ พลงั งานเพยี งพอกบั ความตอ้ งการของรา่ งกาย และ
สารอาหารมากกว่าหนึง่ ประเภท ให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับ
๓. นักเรียนร่วมกันระบุประเภทของสารอาหารในอาหารท่ีสำ�รวจ นำ�เสนอ เพศและวัย และปลอดภยั ต่อสุขภาพ
๒. สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ ผลในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ ตาราง แผนภาพ และอภปิ รายเพอื่ เปรยี บเทยี บ
ตอ่ รา่ งกาย คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และไขมนั สารอาหารท่ีพบในอาหารแต่ละชนิด และบอกประโยชน์ของสารอาหาร
เปน็ สารอาหารทใี่ หพ้ ลงั งานกบั รา่ งกาย สว่ น แต่ละประเภท
เกลอื แร่ วติ ามินและน�ำ้ เปน็ สารอาหารทไ่ี ม่

226 การวเิ คราะหต์ วั ชว้ี ดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ช้วี ดั

ให้พลังงานกับร่างกาย แต่ช่วยให้ร่างกาย ๔. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือลงข้อสรุปว่า สารอาหารคือสารที่เป็น ด้านทักษะ
ทำ�งานได้เป็นปกติ นอกจากน้ีโปรตีนช่วย ส่วนประกอบอยู่ในอาหารและมีประโยชน์ต่อร่างกายในการดำ�รงชีวิต
ให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนท่ี ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามินและน้ำ� ในอาหาร ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สกึ หรอของรา่ งกาย และน�ำ้ เปน็ สว่ นประกอบ แต่ละอย่างประกอบด้วยสารอาหารท่ีแตกต่างกัน อาหารบางอย่าง ๑. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จาก
ของร่างกาย ช่วยในการลำ�เลียงสารและ ประกอบด้วยสารอาหารประเภทเดียว อาหารบางอย่างประกอบด้วย
กำ�จัดของเสีย สารอาหารมากกว่าหนึ่งประเภท สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ การลงความเห็นในผลจากการสำ�รวจอาหาร การ
๓. การรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกาย ตอ่ รา่ งกาย คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และไขมนั เปน็ สารอาหารทใี่ หพ้ ลงั งาน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพ่ือให้
เจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย กับร่างกาย ส่วนเกลือแร่ วิตามินและน้ำ� เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน มีสุขภาพดีและปลอดภัย ได้อยา่ งสมเหตสุ มผล
ตามเพศและวัย และมีสุขภาพดี จำ�เป็นต้อง กับร่างกาย แต่ช่วยให้ร่างกายทำ�งานได้เป็นปกติ นอกจากน้ีโปรตีนช่วย
รับประทานให้ได้พลังงานเพียงพอกับความ ให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และน้ำ�
ต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร เป็นสว่ นประกอบของร่างกาย ช่วยในการลำ�เลียงสารและกำ�จัดของเสยี
ครบถว้ นในสดั สว่ นทเี่ หมาะสมกบั เพศและวยั
รวมท้ังต้องคำ�นึงถึงชนิดและปริมาณของ ๕. ครูกระตุ้นให้นักเรียนต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหาร
วัตถุเจือปนในอาหารเพื่อความปลอดภัย ในชีวิตประจำ�วัน โดยอาจใช้วิธีซักถาม เพ่ือนำ�ไปสู่การรวบรวมข้อมูล
ตอ่ สขุ ภาพ เก่ียวกับปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการและสัดส่วนของอาหารที่
เหมาะสมตามเพศและวยั
ดา้ นทักษะ
๖. นกั เรยี นรว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ปรมิ าณพลงั งานทรี่ า่ งกายตอ้ งการให้
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เหมาะสมตามเพศและวัย จากตารางปริมาณพลงั งานท่ีร่างกายควรไดร้ ับ
๑. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยแสดง ใน ๑ วนั ตามเพศและวยั และวเิ คราะหส์ ดั สว่ นของสารอาหารทเี่ หมาะสม
กับความต้องการของร่างกาย โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากธงโภชนาการ หรือ
ความคิดเห็นและเชื่อมโยงข้อมูลท่ีได้จาก แหลง่ ขอ้ มูลอ่นื  ๆ ทีค่ รูเตรยี มไวใ้ ห้
การสำ�รวจอาหาร การสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับ
การรบั ประทานอาหารเพอ่ื ใหม้ สี ขุ ภาพดแี ละ ๗. นกั เรยี นน�ำ ผลการส�ำ รวจการรบั ประทานอาหารใน ๑ วนั ทไี่ ดส้ �ำ รวจมาแลว้
ปลอดภยั มาหาปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับ โดยใช้แหล่งข้อมูลที่ครูเตรียมไว้
หรือแอพพลิเคช่ันช่วยในการหาปริมาณพลังงาน และระบุสัดส่วนของ
สารอาหารทร่ี ่างกายไดร้ บั โดยประมาณ บันทึกผล

วิทยาศาสตร์

ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖

การวเิ คราะห์ตวั ชี้วัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชวี้ ดั 227

๒. ทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย ๘. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือเปรียบเทียบข้อมูลท่ีสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับ ๒. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย
ขอ้ มลู โดยน�ำ เสนอขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการรวบรวม ปรมิ าณพลงั งานและสดั สว่ นของสารอาหารทร่ี า่ งกายตอ้ งการในแตล่ ะวนั ข้อมูล จากการรวบรวมนำ�เสนอแนวทางการเลือก
เกยี่ วกบั แนวทางการเลอื กรบั ประทานอาหาร กับข้อมูลที่ได้จากกาสำ�รวจการรับประทานอาหารของตนเองว่าได้รับ รับประทานอาหารให้ได้ปริมาณพลังงานเพียงพอ
ใ ห้ ไ ด้ ป ริ ม า ณ พ ลั ง ง า น เ พี ย ง พ อ กั บ ค ว า ม พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และได้สารอาหารใน กับความต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร
ต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร สัดสว่ นทีเ่ หมาะสมกับเพศและวัยหรอื ไม่ ครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย และ
ครบถว้ นในสดั สว่ นทเ่ี หมาะสมกบั เพศและวยั ปลอดภยั ต่อสุขภาพไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง เหมาะสม และ
และปลอดภัยต่อสุขภาพ เพื่อให้ผู้อ่ืนเข้าใจ ๙. นักเรียนอภิปรายเพื่อลงข้อสรุปได้ว่าการรับประทานอาหารเพ่ือให้ ช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายของข้อมูลได้อย่าง
ไดง้ ่าย มีสุขภาพดีจำ�เป็นต้องรับประทานอาหารให้ได้พลังงานเพียงพอกับ รวดเร็ว ชดั เจนและถูกตอ้ ง
ความตอ้ งการของรา่ งกาย และได้รับสารอาหารในสัดสว่ นท่เี หมาะสมกับ
๓. ทกั ษะการใชจ้ �ำ นวน โดยบวกปรมิ าณพลงั งาน เพศและวยั ๓. ประเมินทักษะการใช้จำ�นวน จากการบวกปริมาณ
ทรี่ า่ งกายไดร้ บั จากอาหาร พลังงานทร่ี ่างกายไดร้ บั จากอาหาร ไดอ้ ย่างถกู ต้อง
๑๐. นกั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู และรว่ มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั ผลของการรบั ประทาน
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ อาหารท่ีมีวัตถุปรุงแต่งสี กล่ิน รสต่าง ๆ หรือวัตถุเจือปน จากแหล่ง ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งานเป็น เรียนรตู้ า่ ง ๆ เพอื่ ลงข้อสรุปได้ว่าการรับประทานอาหารควรคำ�นึงถึงชนดิ ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
และปรมิ าณวตั ถเุ จือปนในอาหาร เพ่ือความปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ
ทีม โดยมีส่วนร่วมในการสำ�รวจ การสืบค้น เปน็ ทมี จากการส�ำ รวจ การสบื คน้ ขอ้ มลู การน�ำ เสนอ
ข้อมูล การนำ�เสนอ และการแสดงความ ๑๑. นกั เรยี นรว่ มกนั น�ำ เสนอแนวทางในการเลอื กรบั ประทานอาหารเพอื่ ใหม้ ี และการแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประเภทและ
คิดเห็นเก่ียวกับประเภทและประโยชน์ของ สขุ ภาพดแี ละปลอดภยั ในรปู แบบทนี่ า่ สนใจหรอื จดั นทิ รรศการในโรงเรยี น ประโยชน์ของสารอาหาร และแนวทางในการ
สารอาหาร และแนวทางในการรับประทาน ให้ผอู้ ืน่ ได้รูแ้ ละชกั ชวนให้ปฏิบัตติ าม รบั ประทานเพอ่ื ใหม้ สี ขุ ภาพดแี ละปลอดภยั รว่ มกบั
เพือ่ ให้มสี ขุ ภาพดแี ละปลอดภยั ผอู้ น่ื ตงั้ แตเ่ ริม่ ตน้ จนส�ำ เร็จลุล่วง
๒. ทักษะด้านการสื่อสาร โดยการนำ�เสนอ ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
ป ร ะ เ ภ ท แ ล ะ ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ส า ร อ า ห า ร ประเภทและประโยชน์ของสารอาหาร รวมท้ัง
รวมทั้งแนวทางในการรับประทานเพ่ือให้มี แนวทางในการรับประทานเพื่อให้มีสุขภาพดีและ
สุขภาพดแี ละปลอดภยั ปลอดภัย เพ่ือให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย และถูกต้อง
การวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมา เพื่อบอก ๓. ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จากการ
แนวทางในการรับประทานเพื่อให้มีสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมา เพื่อบอกแนวทางใน
ดีและปลอดภัย การรับประทานเพื่อให้มีสุขภาพดีและปลอดภัยได้
อย่างสมเหตสุ มผล

228 การวเิ คราะห์ตัวชี้วัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชว้ี ดั

๔. ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ๔. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ
สื่อสาร โดยการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับ การสอื่ สาร จากการรวบรวมขอ้ มลู เกย่ี วกบั ประเภท
ป ร ะ เ ภ ท แ ล ะ ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ส า ร อ า ห า ร และประโยชนข์ องสารอาหาร ปริมาณพลังงานและ
ปริมาณพลังงานและสัดส่วนของสารอาหาร สัดส่วนของสารอาหารท่ีร่างกายต้องการเหมาะสม
ที่รา่ งกายตอ้ งการเหมาะสมกบั เพศและวยั กบั เพศและวยั จากแหลง่ ขอ้ มลู ทเ่ี ชอ่ื ถอื ไดแ้ ละมกี าร
อา้ งอิงแหลง่ ข้อมูลทสี่ บื คน้
ด้านจติ วิทยาศาสตร์
ตระหนกั ถงึ ความส�ำ คัญของสารอาหาร ด้านจติ วิทยาศาสตร์
ประเมินความตระหนักถึงความสำ�คัญของสารอาหาร
จากการเลอื กรบั ประทานอาหารทมี่ สี ารอาหารครบถว้ น
ในสดั สว่ นทเ่ี หมาะสมกบั เพศและวยั รวมทงั้ ปลอดภยั ตอ่
สุขภาพ

ตวั ช้วี ดั วทิ ยาศาสตร์
๔. สร้างแบบจ�ำ ลองระบบย่อยอาหาร และบรรยายหนา้ ท่ีของอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหาร รวมท้ังอธิบายการยอ่ ยอาหารและการดูดซมึ สารอาหาร
๕. ตระหนกั ถึงความส�ำ คัญของระบบยอ่ ยอาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแลรกั ษาอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหารให้ทำ�งานเป็นปกติ ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๖

229

การวเิ คราะห์ตวั ช้วี ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชว้ี ัด

ดา้ นความรู้ ๑. ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับประเภทของสารอาหารและ ดา้ นความรู้
อวัยวะทเ่ี กย่ี วข้องในระบบยอ่ ยอาหาร
๑. ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ๑. ระบุและบรรยายหน้าท่ีของแต่ละอวัยวะในระบบ
ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ๒. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั และตง้ั ค�ำ ถามเกยี่ วกบั การเปลยี่ นแปลง ย่อยอาหาร
ลำ�ไส้เล็ก ลำ�ไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และ ของอาหารเมอื่ อาหารเขา้ สรู่ า่ งกาย เพอ่ื น�ำ ไปสกู่ ารรวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั
ตับอ่อน ซึ่งทำ�หน้าที่ร่วมกันในการย่อยและ ลกั ษณะและหนา้ ทขี่ องอวยั วะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร ๒. อธิบายการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารใน
ดดู ซึมสารอาหาร ระบบยอ่ ยอาหาร
๓. นกั เรยี นสงั เกตการท�ำ งานของอวยั วะภายในชอ่ งปากและการกลนื อาหาร
๒. ภายในปากมีฟันช่วยบดเค้ียวอาหารให้มี โดยสงั เกตจากการเคย้ี วอาหารและการกลนื อาหารของตนเอง เพอ่ื น หรอื
ขนาดเล็กลงและมีลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหาร สังเกตจากสอื่ ต่าง ๆ และบนั ทึกผล
กับน้ำ�ลาย ในนำ้�ลายมีเอนไซม์ย่อยแป้งให้
เป็นนำ้�ตาล หลอดอาหารทำ�หน้าท่ีลำ�เลียง ๔. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อลงข้อสรุปได้ว่า ฟันมีหน้าท่ีช่วยบดเค้ียว
อาหารจากปากไปยงั กระเพาะอาหาร ภายใน อาหารให้มีขนาดเล็กลงและมีลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหารกับนำ้�ลาย และ
กระเพาะอาหารมกี ารยอ่ ยโปรตนี โดยเอนไซม์ อาหารจะเคลื่อนทจ่ี ากปากไปหลอดอาหาร
ที่สร้างจากกระเพาะอาหาร ลำ�ไส้เล็กมี
เอนไซม์ที่สร้างจากผนังลำ�ไส้เล็กเองและ ๕. นกั เรยี นรว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั ลกั ษณะและหนา้ ทขี่ องอวยั วะตา่ ง ๆ
จากตับอ่อนช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ในระบบยอ่ ยอาหารจากแหลง่ ตา่ ง ๆ ทเี่ ชอ่ื ถอื ได้ เชน่ หนงั สอื สอื่ การเรยี นร ู้
ไขมนั นอกจากนีย้ งั มีนำ้�ดีทต่ี ับสรา้ งขึ้น แลว้ ภาพเคล่ือนไหว มัลติมีเดีย บันทึกลักษณะและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ
ส่งมายังลำ�ไส้เล็ก เพ่ือช่วยให้ไขมันแตกตัว ในระบบยอ่ ยอาหาร
สารอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
ที่ผ่านการย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็ก ๖. นักเรียนร่วมกันอภิปรายลักษณะและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบ
พอที่จะดูดซึมได้ รวมถึงนำ้� เกลือแร่ และ ย่อยอาหาร และนำ�ข้อมูลท่ีได้จากการสืบค้นมาออกแบบและสร้างแบบ
วิตามิน จะถูกดูดซึมท่ีผนังลำ�ไส้เล็กเข้าสู่ จำ�ลองจากวัสดุต่าง ๆ เพ่ือแสดงลักษณะของอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบ
กระแสเลือดและท่อนำ้�เหลือง และลำ�เลียง ยอ่ ยอาหาร

๗. นักเรียนนำ�เสนอแบบจำ�ลองระบบย่อยอาหาร รวมทั้งบรรยายลักษณะ
และหน้าทขี่ องแต่ละอวัยวะในระบบย่อยอาหาร

230 การวเิ คราะหต์ ัวชี้วดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชวี้ ดั

ไปยังส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย เพื่อใหร้ า่ งกาย ๘. นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ลกั ษณะของอวยั วะและหนา้ ทขี่ องอวยั วะ ด้านทกั ษะ
นำ�ไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ รวมท้ัง ต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารเพือ่ ลงขอ้ สรุปว่า
การสรา้ งพลงั งานส�ำ หรบั ใชใ้ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ - ระบบยอ่ ยอาหารประกอบดว้ ยอวยั วะตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ปาก หลอดอาหาร ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ส่วนอาหารท่ีย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมดจะ กระเพาะอาหาร ล�ำ ไส้เล็ก ลำ�ไสใ้ หญ่ ทวารหนกั ตับ และตบั ออ่ น ซง่ึ ๑. ประเมนิ ทกั ษะการสงั เกต จากการบนั ทกึ รายละเอยี ด
เปน็ กากอาหารอยใู่ นล�ำ ไสใ้ หญแ่ ละถกู ก�ำ จดั ท�ำ หนา้ ที่ร่วมกนั ในการย่อยและดดู ซมึ สารอาหาร
ออกทางทวารหนกั - ปากมฟี นั ชว่ ยบดเคยี้ วอาหารใหม้ ขี นาดเลก็ ลงและมลี น้ิ ชว่ ยคลกุ เคลา้ เกย่ี วกบั การสงั เกตลกั ษณะของแตล่ ะอวยั วะในระบบ
อาหารกับน้ำ�ลาย ในน้ำ�ลายมเี อนไซม์ย่อยแป้งใหเ้ ปน็ น�ำ้ ตาล ยอ่ ยอาหารไดค้ รบถว้ น ตามความเปน็ จรงิ โดยไมเ่ พม่ิ
ด้านทักษะ - หลอดอาหารทำ�หน้าที่ลำ�เลียงอาหารจากปากไปยังกระเพาะอาหาร ความคิดเห็นส่วนตัว
ภายในกระเพาะอาหารมีการย่อยโปรตีนโดยเอนไซม์ท่ีสร้างจาก ๒. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระเพาะอาหาร นำ�ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมเกี่ยวกับลักษณะและ
๑. ทักษะการสังเกต โดยสังเกตลักษณะของ - ลำ�ไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนังลำ�ไส้เล็กเองและจากตับอ่อน หน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร มา
ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน นอกจากนี้ยังมีน้ำ�ดีท่ีตับ เชื่อมโยงเพ่ืออธิบายหน้าที่ของแต่ละอวัยวะได้อย่าง
อวัยวะต่าง ๆ ในระบบยอ่ ยอาหาร สรา้ งขน้ึ แล้วสง่ มายังล�ำ ไสเ้ ลก็ เพือ่ ชว่ ยใหไ้ ขมนั แตกตวั สมเหตสุ มผล
๒. ทกั ษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู โดยแสดง - ลำ�ไส้ใหญ่เป็นอวัยวะท่ีไม่ได้ทำ�หน้าที่ย่อยอาหาร แต่มีหน้าที่ดูดนำ้� ๓. ประเมนิ ทกั ษะการสร้างแบบจ�ำ ลอง จากแบบจ�ำ ลอง
เกลือแร่ และวติ ามนิ จากอาหารจนเป็นกากอาหาร ระบบยอ่ ยอาหารทอ่ี อกแบบ สรา้ ง และใช้ เพอ่ื แสดง
ความคิดเห็นและเชื่อมโยงความรู้เก่ียวกับ - ทวารหนักเป็นทางออกของอุจจาระ ใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ ทถ่ี กู ตอ้ งเกย่ี วกบั ลกั ษณะและหนา้ ที่
หนา้ ทข่ี องอวยั วะตา่ ง ๆ ในระบบยอ่ ยอาหาร ของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร และจากการ
๓. ทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง โดยออกแบบ ๙. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ิมเติมว่า สารอาหารประเภทโปรตีน เปรยี บเทยี บแบบจ�ำ ลองกับของจรงิ ได้อย่างถูกตอ้ ง
สร้างแบบจำ�ลอง และใช้แบบจำ�ลองเพื่อ คารโ์ บไฮเดรต และไขมนั ทผี่ า่ นการยอ่ ยจนเปน็ สารอาหารขนาดเลก็ พอที่
อธิบายลักษณะและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ จะดดู ซมึ ได้ รวมถงึ น�้ำ เกลอื แร่ และวติ ามนิ จะถกู ดดู ซมึ ทผี่ นงั ล�ำ ไสเ้ ลก็ เขา้
ในระบบยอ่ ยอาหาร สู่กระแสเลือดและท่อนำ้�เหลือง เพ่ือลำ�เลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ส�ำ หรบั ใชใ้ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ สว่ นอาหารทย่ี อ่ ยไมไ่ ดห้ รอื ยอ่ ยไมห่ มดจะเปน็
หมายเหตุ: กากอาหารและถูกกำ�จัดออกทางทวารหนกั
ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งอธบิ ายการยอ่ ยเชงิ กล การยอ่ ยเชงิ
เคมี และชอ่ื โมเลกลุ ทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ ของสารเมอื่ สน้ิ สดุ ๑๐. นักเรียนเขียนแผนภาพแสดงข้ันตอนการย่อยอาหารและการดูดซึมสาร
การยอ่ ย อาหารและนำ�เสนอ

วทิ ยาศาสตร์

ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖

การวิเคราะห์ตวั ชว้ี ัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชว้ี ดั 231

ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ๑๑. นักเรียนร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปว่าอาหารประเภท ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งานเป็นทีม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ที่มีขนาดใหญ่จะถูกย่อย ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งานเป็นทีม
ที่ปาก กระเพาะอาหาร และลำ�ไส้เล็ก โดยมีอวัยวะท่ีช่วยใน
โดยมีส่วนร่วมในการสืบค้นข้อมูล การเขียน การย่อยอาหาร ได้แก่ ตับและตับอ่อน สารอาหารท่ีผ่านการ จากการสืบค้นข้อมูล การเขียนแผนภาพ การนำ�เสนอ
แผนภาพ การนำ�เสนอ การอภิปราย การสร้าง ย่อยจนมีขนาดเล็ก รวมทั้งเกลือแร่ วิตามิน และน้ำ� จะถูกดูด การอภิปราย การสร้างแบบจำ�ลองและการแสดงความ
แบบจ�ำ ลอง และการแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั ซึมเข้าสู่กระแสเลือดและท่อน้ำ�เหลืองที่บริเวณลำ�ไส้เล็ก ส่วน คดิ เหน็ เกยี่ วกบั ลกั ษณะและหนา้ ทขี่ องแตล่ ะอวยั วะในระบบ
ลักษณะ และหน้าท่ีของแต่ละอวัยวะในระบบ กากอาหารจะเคล่ือนไปตามลำ�ไส้ใหญ่ซึ่งจะมีการดูดน้ำ� ย่อยอาหาร และแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบ
ย่อยอาหาร และแนวทางในการดูแลรักษา เกลอื แร่ และวติ ามนิ แลว้ ก�ำ จดั ออกจากรา่ งกายทางทวารหนกั ยอ่ ยอาหารให้ท�ำ งานเปน็ ปกติรว่ มกบั ผู้อืน่ ต้ังแตเ่ รม่ิ ตน้ จน
อวยั วะในระบบย่อยอาหารให้ทำ�งานเป็นปกติ สำ�เร็จลุล่วง
๒. ทักษะด้านการส่ือสาร โดยการนำ�เสนอลักษณะ ๑๒. นักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูล อภิปรายและนำ�เสนอแนวทาง ๒. ประเมนิ ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร จากการน�ำ เสนอลกั ษณะและ
และหนา้ ทขี่ องแตล่ ะอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหาร ในการดแู ลรกั ษาอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารใหท้ �ำ งานเปน็ ปกติ หนา้ ทข่ี องแตล่ ะอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารและแนวทางใน
และแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบ เชน่ การรบั ประทานอาหารครบทกุ มอื้ ไมท่ านรสจดั ในรปู แบบ การดแู ลรกั ษาอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารใหท้ �ำ งานเปน็ ปกติ
ยอ่ ยอาหารให้ทำ�งานเปน็ ปกติ ท่ีน่าสนใจ เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การใช้แอพพลิเคช่ัน เพอ่ื ใหผ้ อู้ นื่ เข้าใจไดอ้ ย่างรวดเรว็ ชดั เจน และถูกตอ้ ง
๓. ทักษะด้านการสร้างสรรค์ โดยการออกแบบ ชว่ ยในการน�ำ เสนอ ๓. ประเมินทักษะด้านการสร้างสรรค์ จากการออกแบบ และ
แบบจำ�ลองระบบย่อยอาหาร เพ่ือนำ�มาใช้ใน สร้างแบบจำ�ลองระบบย่อยอาหาร เพื่อนำ�มาใช้ในการ
การอธิบายลกั ษณะและหนา้ ท่ีของแตล่ ะอวยั วะ อธิบายลักษณะและหน้าที่ของแต่ละอวัยวะในระบบ
ในระบบย่อยอาหาร ย่อยอาหาร ซึง่ สะท้อนให้เห็นจนิ ตนาการและแนวคดิ ใหม่
๔. ทกั ษะดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร ๔. ประเมินทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
โดยการสบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ลกั ษณะและหนา้ ท่ี จากการสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับลักษณะและหน้าที่ของแต่ละ
ของแต่ละอวัยวะในระบบย่อยอาหาร และ อวัยวะในระบบย่อยอาหาร และแนวทางในการดูแลรักษา
แนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อย อวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทำ�งานเป็นปกติ จาก
อาหารให้ท�ำ งานเป็นปกติ แหลง่ ขอ้ มลู ทเี่ ชอื่ ถอื ไดแ้ ละมกี ารอา้ งองิ แหลง่ ขอ้ มลู ทสี่ บื คน้

ด้านจติ วิทยาศาสตร์ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์
ตระหนักถงึ ความสำ�คัญของระบบยอ่ ยอาหาร
ประเมนิ ความตระหนกั ถงึ ความส�ำ คญั ของระบบยอ่ ยอาหาร จาก
การบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหาร
ใหท้ ำ�งานเปน็ ปกติ

232 ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค
หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี

มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจำ�วัน ผลของแรงท่กี ระท�ำ ตอ่ วัตถุ ลกั ษณะการเคลือ่ นท่ีแบบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งนำ�ความร้ไู ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลีย่ นแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ติ ประจ�ำ วนั

ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณท์ เ่ี กยี่ วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมทงั้ นำ�ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

ตวั ช้ีวัด
๑. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสมโดยการหยิบออก การรอ่ น การใชแ้ ม่เหลก็ ดงึ ดูด การรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน
โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ รวมทง้ั ระบุวิธีแกป้ ญั หาในชีวติ ประจ�ำ วนั เกย่ี วกับการแยกสาร

การวิเคราะห์ตวั ช้วี ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชี้วดั

ด้านความรู้ การแยกสารผสมโดยการหยิบออกและการรอ่ น ดา้ นความรู้
๑. ครใู ชค้ �ำ ถามทบทวนความรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกบั สารผสม และตรวจสอบความรู้ อธบิ ายการแยกสารผสมโดยการหยิบออกและการรอ่ น
สารผสมที่ประกอบด้วยของแข็งที่มีลักษณะ
แตกต่างกันอย่างชัดเจนสามารถแยกได้โดยการ เดมิ เกย่ี วกบั การแยกสารผสมในชวี ติ ประจ�ำ วนั เชน่ การรอ่ นทรายกอ่ สรา้ ง ด้านทกั ษะ
หยิบออก ส่วนสารผสมที่มีขนาดแตกต่างกัน การร่อนแป้งทำ�ขนม การแยกเหรียญ จากนั้นครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สามารถแยกไดโ้ ดยการร่อน ขอ้ สงสยั และตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั การแยกสารผสมทเี่ ปน็ ของแขง็ ทม่ี ลี กั ษณะ ๑. ประเมนิ ทกั ษะการสงั เกต จากผลการบนั ทกึ ลกั ษณะ
แตกต่างกันโดยอาจใช้คำ�ถาม ใช้การสาธิต หรือสื่อต่าง ๆ เช่น รูปภาพ
ด้านทักษะ วีดิทัศน์ เพ่ือนำ�ไปสู่การทำ�กิจกรรมการแยกสารโดยการหยิบออกและ ของสารและวธิ แี ยกของแขง็ ทมี่ ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั
การร่อน ออกจากกัน ตามความเป็นจริง โดยไม่เพ่ิม
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๒. นักเรียนออกแบบวิธีการแยกสารผสมท่ีครูกำ�หนดให้ โดยใช้สารผสม ความคดิ เหน็ ส่วนตวั
๑. ทักษะการสังเกต โดยการสังเกตลักษณะ ที่สามารถแยกได้โดยการหยิบออกและการร่อน เช่น กรวดเม็ดเล็กกับ
ทราย ขา้ วเปลอื กผสมกบั ขา้ วสาร ขา้ วสารผสมกบั ร�ำ ขา้ ว ลกู กวาดหลายส ี
ของสารผสมและวธิ แี ยกของแขง็ ทมี่ ลี กั ษณะ เม็ดสาคผู สมกับแปง้ ท�ำ ขนม โดยระบุจุดประสงค์ วธิ ีทำ�กิจกรรม
แตกตา่ งกนั ออกจากกนั บนั ทกึ สงิ่ ทส่ี งั เกตได้

วิทยาศาสตร์

ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖

การวเิ คราะหต์ วั ชี้วดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชว้ี ดั 233

๒. ทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย ๓. นกั เรียนลงมือปฏบิ ัตติ ามวธิ ีทำ�กิจกรรมทีอ่ อกแบบไว้ บนั ทึกผล สรปุ และ ๒. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย
ข้อมูล โดยการนำ�ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต น�ำ เสนอ ขอ้ มลู จากการน�ำ ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตลกั ษณะ
ลักษณะของสารและผลการแยกสารท่ีมี ของสารและผลการแยกสารทม่ี ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั
ลักษณะแตกต่างกันมานำ�เสนอในรูปแบบ ๔. ครใู ชข้ อ้ มลู ของนกั เรยี นทง้ั ชน้ั เรยี น และใชค้ �ำ ถามเพอื่ ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั มาน�ำ เสนอในรูปแบบตารางอยา่ งถูกต้อง ครบถว้ น
ตาราง อภิปรายจากหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าสารผสม
ท่ีประกอบด้วยของแข็งที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจนสามารถแยก ๓. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูลจากการ
๓. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยใช้ ออกจากกนั ไดโ้ ดยการหยิบออกและการรอ่ น ใช้ข้อมูล จากการสังเกตมาอภิปรายวิธีการแยกสาร
ข้อมูลจากการสังเกตมาอภิปรายวิธีการ โดยการหยิบออกและการร่อนซ่ึงใช้กับสารผสมที่มี
แยกสารโดยการหยิบออกและการรอ่ น ๕. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมว่าการหยิบออกเป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีประกอบ ของแขง็ ลกั ษณะแตกตา่ งกันออกจากกัน ได้ถูกต้อง
ดว้ ยของแขง็ ทมี่ ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน เชน่ สี รปู รา่ ง ขนาด โดย
๔. ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อ ใช้มือหยบิ หรอื อปุ กรณช์ ่วยในการหยิบออก สว่ นการร่อนเปน็ วธิ ีการแยก ๔. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
สรุป โดยการตีความหมายข้อมูลที่นำ�เสนอ สารผสมทป่ี ระกอบดว้ ยของแขง็ ทมี่ ขี นาดแตกตา่ งกนั โดยผา่ นตะแกรงซงึ่ จากการตีความหมายข้อมูลที่นำ�เสนอแล้วอภิปราย
แล้วอภิปรายร่วมกันเพ่ือลงข้อสรุปการแยก มรี ูขนาดต่าง ๆ ทสี่ ามารถเลือกใหเ้ หมาะสมกบั ขนาดของของแข็ง ร่วมกันเพื่อลงข้อสรุปว่าการแยกสารโดยการหยิบ
สารโดยการหยบิ ออกและการรอ่ น ออกและการรอ่ นใชก้ บั สารผสมทม่ี ขี องแขง็ ลกั ษณะ
๖. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั ขอ้ จ�ำ กดั ของการหยบิ ออก แตกตา่ งกนั ออกจากกัน ได้ถูกต้อง
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ และการร่อน รวมทง้ั เปรยี บเทียบวธิ กี ารแยกสารท้ังสองวธิ ี
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑
๗. นักเรียนร่วมกันสำ�รวจการแยกสารผสมในชีวิตประจำ�วันที่ใช้วิธีการ ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
เป็นทีม โดยร่วมกันทำ�กิจกรรมเรื่อง หยบิ ออกและการรอ่ น น�ำ เสนอ และครูนกั เรยี นรว่ มกันตรวจสอบผลการ
การแยกสารโดยการหยิบออกและการร่อน วเิ คราะห์ทีน่ �ำ เสนอและแก้ไขให้ถกู ตอ้ ง เปน็ ทีม จากการท�ำ งานกับผอู้ นื่ อย่างสร้างสรรค์ ใน
รวมท้ังร่วมกนั นำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรม การทำ�กิจกรรมเรื่องการแยกสารโดยการหยิบออก
๒. ทักษะด้านการสื่อสาร โดยนำ�เสนอผลการ และการร่อนรวมท้ังร่วมกันการนำ�เสนอผลการทำ�
ทำ�กิจกรรมและร่วมกันอภิปรายในช้ันเรียน กิจกรรม
เรื่องการแยกสารโดยการหยิบออกและ ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอผล
การรอ่ น การทำ�กิจกรรมเรื่องการแยกสารโดยการหยิบออก
๓. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณาญาณ โดยการ และการรอ่ นโดยการเขยี นหรอื อธบิ าย ใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจ
วิเคราะห์ข้อดีและข้อจำ�กัดของการแยก ๓. ประเมนิ ทกั ษะการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณาญาณ จากการ
สารผสมโดยการหยิบออกและการรอ่ น วเิ คราะหข์ อ้ ดแี ละขอ้ จ�ำ กดั ของการแยกสารผสมโดย
การหยบิ ออกและการร่อนไดถ้ กู ตอ้ ง

234 การวเิ คราะห์ตัวช้วี ัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ช้วี ัด

ด้านความรู้ การแยกสารผสมโดยการใช้แมเ่ หล็กดึงดดู ด้านความรู้
๑. ครูทบทวนการแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็ง ท่ีมีลักษณะและขนาด
สารผสมท่ีประกอบด้วยสารแม่เหล็ก สามารถ อธิบายการแยกสารผสมโดยการใช้แม่เหล็กดึงดดู
แยกได้โดยการใช้แมเ่ หลก็ ดงึ ดูด แตกต่างกันโดยการหยิบออกและการร่อน จากนั้นครูกระตุ้นให้นักเรียน
เกดิ ขอ้ สงสยั และตง้ั ค�ำ ถามเกยี่ วกบั การแยกสารผสมดว้ ยวธิ กี ารใชแ้ มเ่ หลก็ ด้านทักษะ
ดา้ นทกั ษะ ดึงดูดโดยอาจใช้คำ�ถาม ใช้การสาธิต หรอื สอ่ื ตา่ ง ๆ เช่น รูปภาพ วดี ิทศั น์
เพื่อน�ำ ไปส่กู ารท�ำ กิจกรรมการแยกสารโดยการใช้แมเ่ หล็กดงึ ดดู ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๒. นกั เรยี นใชอ้ ปุ กรณท์ ก่ี �ำ หนดให้ เชน่ แมเ่ หลก็ และสารผสมทป่ี ระกอบดว้ ย ๑. ประเมินทักษะการสังเกต จากผลการบันทึกการ
๑. ทักษะการสังเกตโดยสังเกตลักษณะสาร ผงเหล็ก ดิน ทราย เป็นต้น เพอ่ื ออกแบบวธิ ีการแยกสารผสมน้นั
๓. นกั เรยี นปฏบิ ตั ติ ามวธิ ที อ่ี อกแบบไว้ สงั เกต บนั ทกึ ผลการแยกสารผสมโดย สงั เกตลกั ษณะสารผสมทเี่ ปน็ ของแขง็ ๒ ชนดิ ขนึ้ ไป
ผสมที่เป็นของแข็ง ๒ ชนิดข้ึนไป โดยมีสาร ใชแ้ ม่เหล็ก สรปุ ผลและนำ�เสนอ โดยมสี ารชนดิ หนง่ึ เปน็ สารแมเ่ หลก็ และผลการแยก
ชนิดหน่ึงสามารถดึงดูดกับแม่เหล็กได้ และ ๔. ครูใช้คำ�ถามเพ่ือให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สารผสมโดยการใชแ้ มเ่ หลก็ ดงึ ดดู ตามความเปน็ จรงิ
ผลการแยกสารผสมโดยการใชแ้ มเ่ หลก็ ดงึ ดดู มาสนบั สนนุ เพอื่ ไดข้ อ้ สรปุ วา่ สารผสมทปี่ ระกอบดว้ ยสารแมเ่ หลก็ สามารถ โดยไม่เพ่มิ ความคิดเห็นสว่ นตัว
บันทึกส่งิ ท่ีสังเกตได้ แยกไดโ้ ดยการใชแ้ มเ่ หลก็ ดึงดูด ๒. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย
๒. ทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย ขอ้ มลู จากการน�ำ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตสารผสม
ข้อมูล โดยการนำ�ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต ท่เี ปน็ ของแขง็ ๒ ชนิดขนึ้ ไปโดยมีสารชนิดหนง่ึ เป็น
สารผสมที่เป็นของแข็ง ๒ ชนิดขึ้นไปโดย สารแม่เหล็ก และผลการแยกสารผสมโดยการใช้
มีสารชนิดหนึ่งสามารถดึงดูดกับแม่เหล็ก แมเ่ หลก็ ดงึ ดดู มาน�ำ เสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ ทถ่ี กู ตอ้ ง
ได้และนำ�ผลการแยกสารผสมโดยการใช้ ครบถว้ นและน่าสนใจ
แมเ่ หลก็ ดงึ ดดู มาเสนอในรูปแบบตา่ ง ๆ ๓. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
๓. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยใช้ ใชข้ อ้ มลู จากการสงั เกตมาอภปิ รายการแยกสารโดย
ขอ้ มลู จากการสงั เกตมาอภปิ รายการแยกสาร การใชแ้ ม่เหลก็ ดงึ ดูด พร้อมเหตผุ ลประกอบ
โดยการใชแ้ มเ่ หล็กดงึ ดดู ๔. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
๔. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ จากการตีความหมายข้อมูลท่ีนำ�เสนอแล้วอภิปราย
โดยการตีความหมายข้อมูลท่ีนำ�เสนอแล้ว ร่ ว ม กั น เ พ่ื อ ล ง ข้ อ ส รุ ป ก า ร แ ย ก ส า ร โ ด ย ก า ร ใ ช้
อภิปรายร่วมกันเพ่ือลงข้อสรุปการแยกสาร แมเ่ หลก็ ดึงดูด ได้ถกู ตอ้ ง
โดยการใช้แมเ่ หล็กดงึ ดูด

วทิ ยาศาสตร์

ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖

การวิเคราะหต์ วั ช้วี ัด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวช้วี ัด 235

ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เป็นทีม โดยนักเรียนร่วมกันทำ�กิจกรรม เป็นทีม จากการทำ�งานกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
เร่ืองการใช้แม่เหล็กดึงดูดและการร่วมกัน ในการทำ�กิจกรรมการแยกสารโดยการใช้แม่เหล็ก -
น�ำ เสนอผลการทำ�กจิ กรรม ดงึ ดดู และการน�ำ เสนอ
๒. ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร โดยน�ำ เสนอผลการท�ำ ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสารจากการนำ�เสนอ
กจิ กรรมและรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในชนั้ ข้อมูลที่ได้จากการทำ�กิจกรรมการแยกสารโดยใช้
เรียนเรอ่ื งการใช้แมเ่ หลก็ ดึงดูด แมเ่ หลก็ ดึงดดู ใหผ้ ู้อ่ืนเขา้ ใจ

ด้านความรู้ การแยกสารผสมโดยการรินออก การกรองและการตกตะกอน ด้านความรู้
สารผสมที่ประกอบด้วยของแข็งและของเหลว ๑. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั และตงั้ ค�ำ ถามเกย่ี วกบั การแยกสารผสม อธิบายการแยกสารผสมโดยการรินออก การกรองและ
โดยของแข็งไม่ละลายในของเหลวน้ันสามารถ การตกตะกอน
แยกไดโ้ ดยใชก้ ารรนิ ออก การกรอง การตก ตะกอน ที่ประกอบด้วยของแข็งและของเหลว โดยของแข็งไม่ละลายในของเหลว
น้ันโดยอาจใช้ตัวอย่างของจริง เช่น ข้าวสารเหนียวผสมน้ำ�ซาวข้าว กะทิ ด้านทกั ษะ
ดา้ นทักษะ กบั กากมะพรา้ ว น�ำ้ แปง้ น�้ำ สม้ คนั้ เพอ่ื น�ำ ไปสกู่ ารท�ำ กจิ กรรมการแยกสาร ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยการรนิ ออก การกรองและการตกตะกอน ๑. ประเมินทักษะการสังเกต จากผลการบันทึกการ
๑. ทักษะการสังเกต โดยสังเกตลักษณะ ๒. นักเรยี นใชอ้ ุปกรณท์ ก่ี ำ�หนดให้ เชน่ ผา้ ขาวบาง กระชอน กระดาษกรอง
และสารผสมทปี่ ระกอบดว้ ยของแขง็ และของเหลว โดยของแขง็ ไมล่ ะลาย สังเกตลักษณะสารเน้ือผสมที่เป็นสารแขวนลอย
สารเนอ้ื ผสมทเี่ ปน็ สารแขวนลอยซงึ่ ประกอบ ในของเหลวนน้ั เพือ่ วางแผนออกแบบวิธีการแยกสารผสม ซึ่งประกอบด้วยของแข็งแขวนลอยในของเหลว
ด้วยของแข็งแขวนลอยในของเหลวและผล ๓. นกั เรยี นปฏบิ ตั ติ ามวธิ ที อี่ อกแบบไว้ สงั เกต บนั ทกึ ผลการแยกสารผสมโดย และผลการแยกสารเน้ือผสมโดยใช้การรินออก
การแยกสารเน้ือผสมโดยใช้การรินออก การรินออก การกรองและการตกตะกอน สรุปผลและน�ำ เสนอ การกรอง และการตกตะกอนตามความเปน็ จรงิ โดย
การกรอง และการตกตะกอน บันทึกสิ่งที่ ๔. ครูใช้คำ�ถามเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ไมเ่ พม่ิ ความคดิ เห็นส่วนตัว
สังเกตได้ มาสนับสนุนเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า สารผสมท่ีประกอบด้วยของแข็งและ
๒. ทักษะการจัดกระทำ�และส่ือความหมาย ของเหลว โดยของแข็งไม่ละลายในของเหลวน้ันสามารถแยกได้โดยใช้
การรนิ ออก การกรองและการตกตะกอน

236 การวเิ คราะหต์ ัวชี้วดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชีว้ ดั

ข้อมูล โดยการนำ�ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต ๕. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือเปรียบเทียบการแยกสารผสมโดยใช้ ๒. ประเมินทักษะการจัดกระทำ�และสื่อความหมาย
ลักษณะสารเนอื้ ผสมที่เปน็ สารแขวนลอยซึง่ การรินออก การกรองและการตกตะกอนซ่ึงควรสรุปได้ว่าการรินออก ขอ้ มลู จากการน�ำ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตลกั ษณะ
ประกอบดว้ ยของแขง็ แขวนลอยในของเหลว การกรอง และการตกตะกอนเป็นการแยกสารผสมท่ีประกอบด้วย สารเน้ือผสมท่ีเป็นสารแขวนลอยซึ่งประกอบด้วย
และผลการแยกสารเนื้อผสมโดยใช้การ ของแข็งและของเหลว โดยการกรองจะต้องใช้อุปกรณ์ท่ีมีรูพรุน เช่น ของแข็งแขวนลอยในของเหลวและผลการแยกสาร
รินออก การกรอง และการตกตะกอนมา กระดาษกรอง กระชอน ผ้าขาวบาง ส่วนการรินออกและการตกตะกอน เน้ือผสมโดยใช้วิธีการรินออก การกรอง และการ
น�ำ เสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ ไมจ่ ำ�เปน็ ต้องใชอ้ ปุ กรณ์ทีม่ ีรูพรุน ตกตะกอน มาน�ำ เสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ ทเ่ี หมาะสม
๓. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยใช้ ชดั เจนและครบถ้วน
ขอ้ มลู จากการสงั เกตมาอภปิ รายการแยกสาร
โดยการรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน ๓. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูลจากการ
๔. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ ใชข้ อ้ มลู จากการสงั เกตมาอภปิ รายการแยกสารโดย
โดยการตีความหมายข้อมูลท่ีนำ�เสนอแล้ว วธิ ีการรินออก การกรอง และการตกตะกอน พร้อม
อภิปรายร่วมกันเพ่ือลงข้อสรุปการแยกสาร เหตุผล
โดยการรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน
๔. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ จากการตีความหมายข้อมูลที่นำ�เสนอแล้วอภิปราย
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ร่วมกันเพื่อลงข้อสรุปการแยกสารโดยการรินออก
การกรอง และการตกตะกอนไดถ้ กู ตอ้ ง
เปน็ ทมี โดยนกั เรยี นรว่ มกนั ท�ำ กจิ กรรมเรอื่ ง
การรินออก การกรอง และการตกตะกอน ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
และการรว่ มกันนำ�เสนอผลการทำ�กจิ กรรม ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
๒. ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร โดยน�ำ เสนอผลการท�ำ
กจิ กรรมและรว่ มกนั อภปิ รายในชน้ั เรยี นเรอ่ื ง เป็นทีม จากการทำ�งานกับผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์
การรินออก การกรอง และการตกตะกอน ในการทำ�กิจกรรมการแยกสาร โดยการรินออก
การกรอง และการตกตะกอน และการนำ�เสนอ
๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอ
ข้อมูลท่ีได้จากการทำ�กิจกรรมการแยกสารโดย
การรินออก การกรอง และการตกตะกอนให้ผู้อ่ืน
เข้าใจ

ตัวชวี้ ดั วิทยาศาสตร์
๒. อธบิ ายการเกดิ และผลของแรงไฟฟ้าซง่ึ เกิดจากวัตถทุ ีผ่ ่านการขดั ถูโดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๖

237

การวเิ คราะห์ตัวช้วี ัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชว้ี ดั

ด้านความรู้ ๑. ครูทบทวนความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับแรงไม่สัมผัส โดยใช้การซักถาม หรือ ดา้ นความรู้
สอื่ ตา่ ง ๆ เพื่อนำ�ไปสูเ่ ร่ืองแรงไฟฟ้า ๑. อธบิ ายการเกดิ แรงไฟฟ้า
๑. วัตถุบางชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำ� ๒. อธิบายผลของการนำ�วัตถุ ๒ ชนิดท่ีผ่านการขัดถู
เข้าใกล้วัตถุอ่ืนท่ีไม่ได้ผ่านการขัดถู จะเกิด ๒. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับแรงไฟฟ้า
แรงดงึ ดดู แรงทเ่ี กดิ ขน้ึ นเี้ ปน็ แรงไฟฟา้ ซง่ึ เปน็ โดยอาจใช้วิธีซักถาม หรือกิจกรรมสาธิต เช่น การใช้ลูกโป่งถูกับเส้นผม เขา้ ใกล้กนั
แรงไม่สมั ผัส เพื่อนำ�ไปสู่การสังเกตการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีของวัตถุเบา ๆ เม่ือ
น�ำ วัตถทุ ่ผี า่ นการขดั ถูเข้าใกล้ ด้านทักษะ
๒. วัตถุบางชนิดสองช้ินท่ีผ่านการขัดถู เม่ือ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
นำ�เข้าใกล้กันอาจดึงดูดหรือผลักกันซึ่งเกิด ๓. นักเรียนออกแบบกิจกรรมโดยใช้อุปกรณ์ที่ครูกำ�หนดให้ เช่น ไม้บรรทัด ๑. ประเมนิ ทกั ษะการสงั เกต จากการบนั ทกึ รายละเอยี ด
จากแรงระหวา่ งประจไุ ฟฟา้ โดยประจไุ ฟฟา้ ม ี พลาสติก ผ้าสักหลาด เศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ พร้อมทั้งออกแบบตาราง
๒ ชนดิ คอื ประจไุ ฟฟา้ บวกและประจไุ ฟฟา้ ลบ บันทึกผล ลักษณะการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ีที่เกิดข้ึนเมื่อ
วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันจะผลักกัน นำ�วัตถุท่ีผ่านการขัดถูเข้าใกล้วัตถุเบา ๆ และการนำ�
วั ต ถุ ท่ี มี ป ร ะ จุ ไ ฟ ฟ้ า ช นิ ด ต ร ง ข้ า ม กั น ๔. นักเรยี นปฏิบตั ิกจิ กรรมตามทอ่ี อกแบบไว้ โดยนำ�วตั ถุตา่ ง ๆ มาขดั ถู แล้ว วัตถุท่ีผ่านการขัดถูท้ังสองช้ินเข้าใกล้กันตามความ
จะดงึ ดูดกนั นำ�วัตถุน้ันเข้าใกล้วัตถุเบา ๆ สังเกตการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ีของ เปน็ จริง โดยไม่เพม่ิ ความคิดเหน็ ส่วนตวั
วัตถุเบา ๆ น้ัน บันทกึ ผลและสรปุ ผลการทำ�กจิ กรรม
ด้านทกั ษะ
๕. นกั เรยี นน�ำ เสนอ รว่ มกนั อภปิ ราย โดยน�ำ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษม์ าสนบั สนนุ
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อนำ�วัตถุบางชนิดมาขัดถู แล้วนำ�ไปเข้าใกล้วัตถุที่
๑. ทักษะการสังเกต โดยบรรยายลักษณะการ เบาและมขี นาดเลก็ วตั ถนุ นั้ จะเคลอื่ นทไี่ ด้ เนอ่ื งจากเกดิ แรงดงึ ดดู วตั ถนุ นั้

เปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นทที่ เี่ กดิ ขน้ึ เมอ่ื น�ำ วตั ถุ ๖. ครใู หค้ วามรเู้ พมิ่ เตมิ วา่ แรงทที่ �ำ ใหว้ ตั ถเุ บาเคลอื่ นทไี่ ดน้ เ้ี ปน็ แรงไฟฟา้ ซง่ึ
ที่ผ่านการขัดถูเข้าใกล้วัตถุเบา ๆ และการนำ� เป็นแรงไม่สัมผสั
วัตถุท่ีผา่ นการขดั ถทู ัง้ สองช้นิ เขา้ ใกล้กัน
๗. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับแรงไฟฟ้าที่
เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่ผ่านการขัดถูสองชิ้นเพ่ือนำ�ไปสู่การทำ�กิจกรรมโดย
สังเกตการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุที่ผ่านการขัดถูแต่ละช้ิน
เมือ่ น�ำ วตั ถุทั้งสองเขา้ ใกล้กัน

238 การวิเคราะห์ตวั ชี้วัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตวั ชีว้ ดั

๒. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดย ๘. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมโดยขดั ถูวตั ถชุ นิดเดียวกนั สองช้นิ แลว้ น�ำ เขา้ ใกล้ ๒. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
อภิปรายและเชื่อมโยงความรู้ในเร่ืองแรง กนั และขัดถวู ตั ถตุ ่างชนิดกนั สองชิ้นแลว้ นำ�เขา้ ใกลก้ ัน สงั เกต บนั ทึกผล เช่ือมโยงความรู้ในเร่ืองแรงไม่สัมผัสกับข้อมูลที่
ไม่สัมผัสกับข้อมูลที่สังเกตได้ มาอธิบาย และสรุปผลการทำ�กจิ กรรม สงั เกตไดเ้ พอ่ื ลงความเหน็ เกยี่ วกบั การเกดิ แรงไฟฟา้
การเกิดแรงไฟฟ้าและผลของการนำ�วัตถุท่ี และผลของการนำ�วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกัน
มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันและตรงกันข้าม ๙. นักเรียนนำ�เสนอผลการสังเกต ร่วมกันอภิปราย โดยนำ�หลักฐาน และตรงกันขา้ มเขา้ ใกล้กันไดอ้ ยา่ งมีเหตผุ ล
เขา้ ใกลก้ นั เชิงประจักษ์มาสนับสนุนเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่าเม่ือนำ�วัตถุที่ผ่านการขัดถู
สองชิ้นเข้าใกล้กัน วัตถุแต่ละชิ้นอาจเคลื่อนที่เข้าหากัน เป็นผลมาจาก ๓. ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข้ อ มู ล แ ล ะ
๓. ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ แรงไฟฟ้าที่ดึงดูดกัน หรือวัตถุแต่ละชิ้นอาจเคลื่อนที่ออกจากกัน เป็นผล ลงข้อสรุป จากการทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่บันทึกได้
โดยทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่บันทึกได้จาก มาจากแรงไฟฟา้ ที่ผลกั กัน จากการสังเกตและลงข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิด
การสังเกตและลงข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิด แรงไฟฟ้าและผลของการนำ�วัตถุ ๒ ชนดิ ทีผ่ ่านการ
แรงไฟฟ้าและผลของการนำ�วัตถุ ๒ ชนิดท่ี ๑๐. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ประจุไฟฟ้ามี ๒ ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและ ถูเขา้ ใกลก้ ันได้ถูกต้อง และครบถ้วน
ผ่านการถูเข้าใกล้กัน ประจไุ ฟฟา้ ลบ วตั ถแุ ตล่ ะชนดิ ประกอบดว้ ยประจไุ ฟฟา้ ซงึ่ มที ง้ั ประจไุ ฟฟา้
บวกและประจุไฟฟ้าลบในปริมาณที่เท่ากัน เม่ือนำ�วัตถุมาขัดถูกัน ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ จะทำ�ให้วัตถุไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า เมื่อนำ�วัตถุท่ีไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน เข้าใกล้วัตถุเบา ๆ จะเกิดการเหน่ียวนำ�ประจุไฟฟ้าทำ�ให้สามารถดึงดูด
วัตถุเบา ๆ ได้ และถ้านำ�วัตถุสองชิ้นที่ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้าเข้าใกล้กัน เป็นทีม จากการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรม
เปน็ ทมี โดยมสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม จะเกิดแรงระหว่างประจุไฟฟ้าข้ึน โดยวัตถุท่ีมีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกัน และร่วมอภิปราย และลงข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิด
รว่ มอภปิ ราย และลงขอ้ สรปุ เกยี่ วกบั การเกดิ จะผลกั กนั และวัตถทุ ม่ี ปี ระจุไฟฟ้าชนดิ ตรงขา้ มกันจะดึงดดู กัน แรงไฟฟ้าและผลของการนำ�วัตถุ ๒ ชนิดที่ผ่าน
แรงไฟฟ้าและผลของการนำ�วัตถุ ๒ ชนิดท่ี การถูเข้าใกล้กันร่วมกับผู้อื่นตั้งแต่เริ่มต้นจนสำ�เร็จ
ผา่ นการถูเขา้ ใกล้กัน ๑๑. นักเรียนวิเคราะห์สถานการณ์ในชีวิตประจำ�วันท่ีเก่ียวข้องกับการเกิด ลุล่วง
๒. ทักษะด้านการสื่อสาร โดยการนำ�เสนอ และผลของแรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถุท่ีผ่านการขัดถู เช่น การหวีผมแล้ว ๒. ประเมินทักษะด้านการสื่อสาร จากการนำ�เสนอ
ข้อมูล และผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก มีเส้นผมถูกดึงดูดติดไปกับหวี นำ�เสนอผลการวิเคราะห์ ครูและนักเรียน ข้อมูล และผลการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการ
ก า ร ป ฏิ บั ติ กิ จ ก ร ร ม เ พื่ อ อ ธิ บ า ย ก า ร เ กิ ด ร่วมกันตรวจสอบผลการวเิ คราะห์และปรบั ปรุงแกไ้ ขใหถ้ กู ต้อง ปฏิบัติกิจกรรมเพื่ออธิบายการเกิดแรงไฟฟ้าและ
แ ร ง ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ ผ ล ข อ ง ก า ร นำ � วั ต ถุ ที่ มี ผลของการนำ�วัตถุ ๒ ชนิดที่ผ่านการถูเข้าใกล้กัน
ประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันและตรงกันข้าม ในรปู แบบท่ผี ูอ้ ่นื เขา้ ใจง่าย และถกู ตอ้ ง
เข้าใกลก้ นั

ตวั ชีว้ ัด วทิ ยาศาสตร์
๓. ระบสุ ว่ นประกอบและบรรยายหน้าท่ขี องแต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์
๔. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๖

239

การวิเคราะหต์ ัวชวี้ ดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตวั ชีว้ ดั

ดา้ นความรู้ ๑. ครูทบทวนความรู้พืน้ ฐานเกยี่ วกับพลังงานไฟฟา้ โดยใช้การซกั ถาม หรือ ด้านความรู้
ส่อื ตา่ ง ๆ เพื่อนำ�ไปสู่เร่ืองวงจรไฟฟา้ ๑. ระบุสว่ นประกอบของวงจรไฟฟา้ อยา่ งง่าย
๑. ว ง จ ร ไ ฟ ฟ้ า อ ย่ า ง ง่ า ย ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ๒. บรรยายหนา้ ทข่ี องแตล่ ะสว่ นประกอบในวงจรไฟฟา้
แหล่งกำ�เนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่องใช้ ๒. ครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยและตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้า ๓. อธิบายวิธีการต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายโดยการเขียน
ไฟฟา้ อย่างง่าย โดยอาจใช้การซักถาม กิจกรรมสาธิต หรือใช้สื่อต่าง ๆ เช่น
วดี ิทศั น์ เพื่อน�ำ ไปสู่การท�ำ กจิ กรรมการตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย แผนภาพวงจรไฟฟา้
๒. แหลง่ ก�ำ เนดิ ไฟฟา้ ท�ำ หนา้ ทใ่ี หพ้ ลงั งานไฟฟา้
สายไฟฟ้าเป็นตัวนำ�ไฟฟ้าทำ�หน้าที่เชื่อมต่อ ๓. นกั เรยี นออกแบบกจิ กรรมการตอ่ วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยโดยใชอ้ ปุ กรณท์ คี่ รู ด้านทักษะ
ระหว่างแหล่งกำ�เนิดไฟฟ้าและเคร่ืองใช้ ก�ำ หนดให้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เคร่ืองใช้ไฟฟ้ามีหน้าท่ี ๑. ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร สั ง เ ก ต จ า ก ก า ร บั น ทึ ก
เปลี่ยนพลังงานไฟฟา้ เป็นพลงั งานอื่น ๔. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามที่ออกแบบไว้ โดยต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย
สังเกตการเปล่ียนแปลงของเคร่ืองใช้ไฟฟ้า บันทึกผลและสรุปผล รายละเอยี ดของสว่ นประกอบและลกั ษณะของวงจร
๓. การเขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้า ทำ�ได้โดยใช้ การทำ�กจิ กรรม ไฟฟ้าอย่างง่าย และบรรยายการเปล่ียนแปลงของ
สญั ลกั ษณแ์ สดงสว่ นประกอบของวงจรไฟฟา้ เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ เมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ เคลอ่ื นทค่ี รบวงจร
และลักษณะการต่อของแต่ละส่วนประกอบ ๕. นักเรียนนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรม ร่วมกันอภิปรายและใช้หลักฐาน ตามความเป็นจริง โดยไม่เพิ่มความคิดเหน็ ส่วนตวั
ภายในวงจรไฟฟา้ เชิงประจักษ์เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย
ถา่ นไฟฉาย สายไฟฟา้ และเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้
ด้านทักษะ เครือ่ งใช้ไฟฟ้าจะทำ�งานได้

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๖. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่าถ่านไฟฉายเรียกอีกอย่างว่าเซลล์ไฟฟ้า ซึ่งมี
๑. ทกั ษะการสังเกต โดยบรรยายส่วนประกอบ ข้ัวไฟฟ้า ๒ ข้ัว คือขั้วบวกและข้ัวลบ เม่ือต่อวงจรไฟฟ้าให้ครบวงจร
กระแสไฟฟ้าจากแหล่งกำ�เนิดไฟฟ้าจะเคลื่อนที่จากข้ัวบวกผ่านเครื่องใช้
และลักษณะของวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย และ ไฟฟา้ กลับเขา้ สขู่ วั้ ลบ
บรรยายการเปลยี่ นแปลงของเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้
เมื่อมกี ระแสไฟฟา้ เคลอื่ นที่ครบวงจร ๗. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของส่วนประกอบต่าง ๆ ใน
วงจรไฟฟา้ ร่วมกันอภิปรายเกย่ี วกับการเขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้า

240 การวิเคราะห์ตัวชวี้ ัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชวี้ ดั

๒. ทกั ษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู โดยอภปิ ราย ๘. ครกู ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นตง้ั ค�ำ ถามใหมเ่ กยี่ วกบั หนา้ ทข่ี องแตล่ ะสว่ นประกอบ ๒. ประเมินทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ
และเชื่อมโยงความรู้เก่ียวกับพลังงานไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย เพอ่ื นำ�ไปส่กู ารสบื คน้ ข้อมลู เช่ือมโยงความรู้ในเร่ืองพลังงานไฟฟ้ากับข้อมูล
กับข้อมูลท่ีสังเกตได้มาอธิบายเก่ียวกับการ ท่ีสังเกตได้เพื่อลงความเห็นและอธิบายเกี่ยวกับ
ต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและหน้าที่ของแต่ละ ๙. นักเรียนสืบค้นข้อมูลหน้าที่ของแต่ละส่วนประกอบในวงจรไฟฟ้าจาก การต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและหน้าท่ีของแต่ละ
สว่ นประกอบในวงจรไฟฟา้ แหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เชน่ เวบไซตท์ มี่ คี วามนา่ เชอื่ ถอื ทางวชิ าการ หนงั สอื ใน ส่วนประกอบในวงจรไฟฟา้ ได้อย่างมีเหตผุ ล
ห้องสมดุ บนั ทึกผล
๓. ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ๓. ประเมนิ ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ
โดยทำ�ความเข้าใจข้อมูลที่บันทึกได้ จาก ๑๐. นักเรียนนำ�เสนอผลการสืบค้นข้อมูล ร่วมกันอภิปรายเพื่อลงข้อสรุป จากการทำ�ความเข้าใจข้อมูลท่ีสังเกตและสืบค้น
การสังเกตและสืบค้นข้อมูล เพื่อลงข้อสรุป ว่าแหล่งกำ�เนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉายทำ�หน้าท่ีให้พลังงานไฟฟ้า ข้อมูลและลงข้อสรุปเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย
เก่ียวกับวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและหน้าที่ของ สายไฟฟา้ เปน็ ตวั น�ำ ไฟฟา้ ท�ำ หนา้ ทเ่ี ชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งแหลง่ ก�ำ เนดิ ไฟฟา้ และ และหน้าท่ีของแต่ละส่วนประกอบในวงจรไฟฟ้าได้
แตล่ ะสว่ นประกอบในวงจรไฟฟา้ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เขา้ ดว้ ยกนั เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ มหี นา้ ทเี่ ปลยี่ นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ ถูกต้องและครบถว้ น
พลังงานอ่นื
๔. ทกั ษะการสรา้ งแบบจ�ำ ลอง โดยเขยี นแผนภาพ ๔. ประเมินทักษะการสร้างแบบจำ�ลอง จากแผนภาพ
วงจรไฟฟา้ อธบิ ายการตอ่ วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย วงจรไฟฟ้าอธิบายการต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายได้
ถูกต้อง

ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑
๑. ทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน ๑. ประเมินทักษะด้านความร่วมมือและการทำ�งาน

เป็นทีม โดยมีส่วนร่วมในการต่อวงจรไฟฟ้า เป็นทีม จากการมีส่วนร่วมในการต่อวงจรไฟฟ้า
การสงั เกต การสบื คน้ ขอ้ มลู และการอภปิ ราย การสังเกต การสืบค้นข้อมูล และการอภิปราย
เก่ียวกับวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและหน้าท่ีของ เกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและหน้าท่ีของแต่ละ
แต่ละส่วนประกอบในวงจรไฟฟา้ ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ใ น ว ง จ ร ไ ฟ ฟ้ า ร่ ว ม กั บ ผู้ อ่ื น ต้ั ง แ ต่
๒. ทกั ษะดา้ นการสอื่ สาร โดยการน�ำ เสนอขอ้ มลู เร่มิ ตน้ จนสำ�เร็จลลุ ่วง
จากการสงั เกต การสบื คน้ ข้อมลู มาวเิ คราะห์ ๒. ประเมินทักษะด้านการส่ือสาร จากการนำ�เสนอ
เพื่ออธิบายเก่ียวกับวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและ ข้อมูลจากการสงั เกต การสืบคน้ ข้อมูล มาวเิ คราะห์
หนา้ ทีข่ องแต่ละสว่ นประกอบในวงจรไฟฟ้า เพ่ืออธิบายเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและหน้าที่
ของแต่ละส่วนประกอบในวงจรไฟฟ้าในรูปแบบที่
ผอู้ นื่ เขา้ ใจง่าย และถูกตอ้ ง


Click to View FlipBook Version