The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อ้างอิงจากศูนย์เผยแผ่ส่วนกลาง วัดนาป่าพง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by buddhawajanalanna, 2020-04-29 08:53:56

พุทธวจน 17 จิต มโน วิญญาณ

อ้างอิงจากศูนย์เผยแผ่ส่วนกลาง วัดนาป่าพง

Keywords: หนังสือพุทธวจน

พุทธวจน

จิต
วญิ ญาณ

ภกิ ษุทงั้ หลาย เปรยี บเหมือนวานร
เม่ือเท่ยี วไปในป่ าใหญ่

ย่อมจบั ก่ิงไม้ ปลอ่ ยก่ิงนนั้ จับก่งิ อ่นื ปล่อยก่งิ ท่ีจบั เดิม
เหน่ยี วก่ิงอ่ืนอกี เช่ นนี้เร่ือยๆ ไป

ภิกษุทัง้ หลาย ฉันใดก็ฉนั นนั้ เหมอื นกนั
ส่ิงท่ีเรียกกนั ว่าจติ บา้ ง มโนบ้าง วญิ ญาณบา้ ง
ดวงหน่ึงเกิดขนึ้ ดวงหน่ึงดับไป ตลอดวัน ตลอดคนื .

-บาลี นิทาน. ส.ํ ๑๖/๑๑๕/๒๓๒.





พทุ ธวจน -หมวดธรรม
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ
๑๗ฉบับ
จิต มโน วิญญาณ

พุทธวจนสถาบัน

รว่ มกนั มงุ่ มน่ั ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผค่ ำ� ของตถาคต

พุทธวจน

ฉบบั ๑๗ จิต มโน วญิ ญาณ

ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน
เป็นธรรมทาน

ลขิ สทิ ธ์ิในตน้ ฉบับนไ้ี ด้รับการสงวนไว้

ในการจะจดั ทำ�หรอื เผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ

เพอ่ื รักษาความถกู ต้องของข้อมูล ใหข้ ออนญุ าตเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร

และปรึกษาด้านข้อมลู ในการจดั ทำ�เพอ่ื ความสะดวกและประหยัด

ตดิ ต่อไดท้ ่ี

มลู นิธิพทุ ธโฆษณ์ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔

พทุ ธวจนสมาคม โทรศัพท ์ ๐๘ ๑๖๔๗ ๖๐๓๖

มลู นธิ พิ ุทธวจน โทรศพั ท ์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒

คณุ ศรชา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑

คณุ อารีวรรณ โทรศัพท์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘

ปที พ่ี มิ พ์ ๒๕๖๑
ศิลปกรรม อภชิ ญ์ บุศยศริ ,ิ ปรญิ ญา ปฐวินทรานนท์

จดั ท�ำ โดย มูลนธิ ิพทุ ธโฆษณ์
(เวบ็ ไซต์ www.buddhakos.org)

ค�ำอนโุ มทนา

ขออนุโมทนากับคณะงานธัมมะ ผู้จัดทำ�หนังสือ
พุทธวจน ฉบับ จิต มโน วิญญาณ ท่ีมีความตั้งใจและ
มีเจตนาอันเป็นกุศล ในการเผยแผ่คำ�สอนของตถาคต
อรหันตสัมมาสัมพุทธะทอ่ี อกจากพระโอษฐข์ องพระองคเ์ อง
ในการรวบรวมค�ำ สอนของตถาคต  อนั เกย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งของ
จติ มโน วญิ ญาณ วา่ มคี วามเหมอื นและความตา่ งกนั อยา่ งไร
ตามทต่ี ถาคตไดท้ รงบญั ญตั .ิ

ด้วยเหตุอันดีท่ีได้กระทำ�มาแล้วน้ี  ขอจงเป็นเหตุ
ปัจจัยให้ผู้มีส่วนร่วมในการทำ�หนังสือ  และผู้ที่ได้อ่าน 
ไดศ้ กึ ษา  ไดน้ �ำ ไปปฏบิ ตั  ิ พงึ ส�ำ เรจ็ สมหวงั   พบความเจรญิ
รุ่งเรืองของชีิวิตได้จริงในทางโลก  และได้ดวงตาเห็นธรรม 
ส�ำ เรจ็ ผลยงั นพิ พาน  สมดงั ความปรารถนา  ตามเหตปุ จั จยั
ที่ไดส้ รา้ งมาอยา่ งดแี ลว้ ดว้ ยเทอญ.

ขออนุโมทนา
ภิกขคุ ึกฤทธ์ิ โสตถฺ ิผโล

ค�ำน�ำ

ภิกษทุ ้งั หลาย  เปรียบเหมือนวานร เม่อื เท่ียวไปใน
ปา่ ใหญ่ ยอ่ มจบั กง่ิ ไม้ ปลอ่ ยกง่ิ นน้ั จบั กง่ิ อน่ื ปลอ่ ยกง่ิ ทจ่ี บั เดมิ
เหนย่ี วกง่ิ อน่ื อกี เชน่ นเ้ี รอ่ื ยๆ ไป  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั
เหมือนกัน ส่ิงที่เรียกกันว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
ดวงหน่ึงเกิดข้นึ ดวงหน่ึงดบั ไป ตลอดวนั ตลอดคืน.

พุทธวจน ฉบับ จิต มโน วิญญาณ จึงเป็นการ
รวบรวมระเบียบวินัยของพระสุคต อันยังคงมีอยู่ในโลก
เพ่ือประโยชน์เก้ือกูลแก่ผู้ท่ีได้เข้ามาศึกษา จะได้ทราบถึง
สัจจะความจริง ท่ีตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะได้บอก
แสดง บัญญัติ เปิดเผย จำ�แนกแจกแจง กระทำ�ให้เข้าใจ
ได้งา่ ยซ่งึ จติ มโน วญิ ญาณ.

ชนเหลา่ ใดถอื วา่ เรอื่ งนคี้ วรฟงั ควรเชอื่ ยอ่ มจะทราบ
จิตนั้นตามความเป็นจริงว่า จิตนี้ผุดผ่อง (ปภสฺสรมิท) แต่ว่า
จิตน้ันแหละ เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา และจิต
เป็นของเปล่ียนแปลงได้รวดเร็ว (ลหุปริวตฺต) อันจะเป็นเหตุ
ใหเ้ บอ่ื หนา่ ย คลายก�ำ หนดั และปลอ่ ยวางซง่ึ สง่ิ ทเ่ี รยี กกนั วา่
จิต มโน วิญญาณ.

วญิ ญาณเปน็ ปฏจิ จสมปุ ปนั นธรรม (สง่ิ ทอ่ี าศยั ปจั จยั แลว้
เกดิ ขน้ึ ) ถา้ เวน้ จากปจั จยั แลว้ ความเกดิ ขน้ึ แหง่ วญิ ญาณยอ่ ม
ไม่มีดังน้ี วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดข้ึน ก็ถึงความนับ
ด้วยปัจจัยน้ันๆ วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดข้ึน
ก็ถึงความนับว่าจักษุวิญญาณ  วิญญาณอาศัยโสตะและ
เสยี งทงั้ หลายเกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่ โสตวญิ ญาณ  วญิ ญาณ
อาศัยฆานะและกล่ินท้ังหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
ฆานวิญญาณ  วิญญาณอาศัยชิวหาและรสท้ังหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ  วิญญาณอาศัยกายและ
โผฏฐัพพะท้ังหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ 
วญิ ญาณอาศยั มโนและธรรมทงั้ หลายเกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่
มโนวิญญาณ.

เม่ือวิญญาณน้ัน ต้ังข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว
ความเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไป (ปนุ พภฺ วาภนิ พิ พฺ ตตฺ )ิ ยอ่ มม.ี

เมอ่ื ความเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปมอี ยู่ ชาติ ชรามรณะ
โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดข้ึน
ครบถ้วน ความเกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ท้ังสิ้นน้ี ย่อมมี
ดว้ ยอาการอยา่ งน.ี้

ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ น้ี สตั ว์โลก จงึ เกดิ บา้ ง จึงแกบ่ า้ ง
จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง ความเวียนว่ายในวัฏฏะ
ก็มเี พยี งเท่านี.้

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สง่ิ ใดดว้ ย
ยอ่ มไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใดดว้ ย และยอ่ มไมม่ จี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใดดว้ ย
ในกาลใด ในกาลนน้ั สง่ิ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยู่
แหง่ วญิ ญาณไดเ้ ลย เมอื่ อารมณไ์ มม่ ี ความตงั้ ขนึ้ เฉพาะแหง่
วิญญาณย่อมไมม่ ี.

เมอ่ื วญิ ญาณนน้ั ไมต่ ง้ั ขน้ึ เฉพาะ ไมเ่ จรญิ งอกงามแลว้
เคร่ืองนำ�ไปสู่ภพใหม่ย่อมไม่มี เม่ือเคร่ืองนำ�ไปสู่ภพใหม่
ไมม่ ี การมาการไปยอ่ มไมม่ ี เมอ่ื การมาการไปไมม่ ี การเคลอื่ น
และการบังเกดิ ยอ่ มไม่มี.

เม่ือการเคลอื่ นและการบังเกดิ ไม่มี ชาติ ชรามรณะ
โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลายตอ่ ไปจงึ ดบั สน้ิ
ความดับลงแห่งกองทุกข์ท้ังส้ินนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างน้ี
ดงั นแี้ ล.

คณะงานธมั มะ วดั นาปา่ พง



อักษรย่อ

เพ่ือความสะดวกแกผ่ ทู้ ่ียังไม่เขา้ ใจเรื่องอกั ษรยอ่
ท่ใี ชห้ มายแทนชื่อคัมภีร์ ซึง่ มอี ย่โู ดยมาก

มหาวิ. ว.ิ มหาวภิ ังค ์ วนิ ัยปิฎก.
ภิกฺขนุ ี. ว.ิ ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค์ วินัยปฎิ ก.
มหา. วิ. มหาวรรค วินัยปฎิ ก.
จุลลฺ . วิ. จลุ วรรค วนิ ัยปิฎก.
ปริวาร. ว.ิ ปริวารวรรค วนิ ัยปฎิ ก.
สี. ท.ี สีลขนั ธวรรค ทฆี นกิ าย.
มหา. ที. มหาวรรค ทฆี นกิ าย.
ปา. ท.ี ปาฏิกวรรค ทฆี นกิ าย.
ม.ู ม. มูลปณั ณาสก์ มชั ฌมิ นิกาย.
ม. ม. มัชฌมิ ปัณณาสก์ มชั ฌมิ นกิ าย.
อปุ ริ. ม. อุปริปัณณาสก์ มชั ฌมิ นิกาย.
สคาถ. สํ. สคาถวรรค สังยุตตนกิ าย.
นิทาน. สํ. นทิ านวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย.
ขนธฺ . ส.ํ ขันธวารวรรค สงั ยุตตนิกาย.
สฬา. ส.ํ สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย.
มหาวาร. สํ. มหาวารวรรค สังยตุ ตนกิ าย.
เอก. อํ. เอกนบิ าต องั คุตตรนกิ าย.
ทกุ . อํ. ทกุ นิบาต องั คตุ ตรนิกาย.
ติก. อ.ํ ตกิ นบิ าต อังคตุ ตรนิกาย.
จตุกกฺ . อํ. จตกุ กนิบาต องั คตุ ตรนิกาย.

ปญฺจก. อํ. ปญั จกนบิ าต อังคุตตรนกิ าย.
ฉกกฺ . อํ. ฉกั กนิบาต องั คุตตรนิกาย.
สตฺตก. อ.ํ สัตตกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย
อฏฺ ก. อํ. อัฏฐกนิบาต อังคตุ ตรนิกาย.
นวก. อํ. นวกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย.
ทสก. อ.ํ ทสกนิบาต องั คุตตรนิกาย.
เอกาทสก. อ.ํ เอกาทสกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย.
ข.ุ ขุ. ขุททกปาฐะ ขทุ ทกนิกาย.
ธ. ข.ุ ธรรมบท ขทุ ทกนกิ าย.
อ.ุ ข.ุ อทุ าน ขทุ ทกนกิ าย.
อติ วิ .ุ ขุ. อติ วิ ตุ ตกะ ขุททกนกิ าย.
สุตฺต. ขุ. สตุ ตนิบาต ขทุ ทกนิกาย.
วิมาน. ข.ุ วมิ านวัตถุ ขุททกนิกาย.
เปต. ขุ. เปตวัตถุ ขทุ ทกนกิ าย.
เถร. ข.ุ เถรคาถา ขทุ ทกนิกาย.
เถรี. ข.ุ เถรีคาถา ขุททกนกิ าย.
ชา. ข.ุ ชาดก ขทุ ทกนกิ าย.
มหานิ. ข.ุ มหานทิ เทส ขุททกนกิ าย.
จฬู น.ิ ขุ. จฬู นิทเทส ขทุ ทกนกิ าย.
ปฏสิ มฺ. ขุ. ปฏสิ มั ภิทามรรค ขทุ ทกนกิ าย.
อปท. ข.ุ อปทาน ขุททกนกิ าย.
พุทธฺ ว. ขุ. พุทธวงส์ ขุททกนิกาย.
จริยา. ขุ. จรยิ าปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย

ตัวอยา่ ง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ใหอ้ า่ นวา่
ไตรปิฎกฉบับสยามรฐั เล่ม ๑๔ หนา้ ๑๗๑ ขอ้ ท่ี ๒๔๕

สารบัญ

จติ มโน วญิ ญาณ (พระสตู รทค่ี วรทราบ) 1
1. จติ มโน วญิ ญาณ ดวงหนง่ึ เกดิ ขน้ึ ดวงหนง่ึ ดบั ไป 2
2. ทฏิ ฐวิ า่ จติ มโน วญิ ญาณ เปน็ ของเทย่ี ง 9
3. จติ ดวงแรกเกดิ ขน้ึ วญิ ญาณดวงแรกปรากฏ 10
4. ความเกดิ แหง่ จติ ยอ่ มมี เพราะความเกดิ แหง่ นามรปู 11
5. ความเกดิ ขน้ึ แหง่ วญิ ญาณยอ่ มมี เพราะความเกดิ ขน้ึ แหง่ นามรปู 12
6. เพราะวญิ ญาณเปน็ ปจั จยั จงึ มนี ามรปู 14
7. เพราะนามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มวี ญิ ญาณ 17
8. เพราะสงั ขารเปน็ ปจั จยั จงึ มวี ญิ ญาณ 26
9. นามรปู ปจั จยั แหง่ การบญั ญตั ิ วญิ ญาณขนั ธ ์ 28
10. วญิ ญาณ ตง้ั อยไู่ ดใ้ นทใ่ี ด การกา้ วลงแหง่ นามรปู กม็ อี ยใู่ นทน่ี น้ั
(อปุ มาดว้ ยแสงกบั ฉาก) 30
11. รายละเอยี ดของนามรปู 36
12. รายละเอยี ดของสงั ขาร (นยั ท่ี ๑) 37
13. รายละเอยี ดของสงั ขาร (นยั ท่ี ๒) 38
14. รายละเอยี ดของสงั ขาร (นยั ท่ี ๓) 39
15. รายละเอยี ดของสงั ขาร (นยั ท่ี ๔) 41
16. รายละเอยี ดของสงั ขาร (นยั ท่ี ๕) 43
17. วญิ ญาณฐติ ิ (ทต่ี ง้ั อยขู่ องวญิ ญาณ) 49
18. อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ (นยั ท่ี ๑) 52
19. อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ (นยั ท่ี ๒) 54
20. อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ (นยั ท่ี ๓) 56
21. การตง้ั อยขู่ องวญิ ญาณ คอื การบงั เกดิ ในภพใหม่ 58

22. การตง้ั อยขู่ องความเจตนา หรอื ความปรารถนา
คอื การบงั เกดิ ในภพใหม่ 60

23. ภพ ๓ 62
24. เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พ 63
25. เหตทุ เ่ี รยี กวา่ “สตั ว”์ 64
26. ผลทไ่ี มน่ า่ ปรารถนา หรอื นา่ ปรารถนา 67

“จติ ” 69

27. จติ เปลย่ี นแปลงไดเ้ รว็ 70
28. จติ เปน็ ธรรมชาตกิ ลบั กลอก 71
29. จติ อบรมได ้ 73
30. จติ ฝกึ ได ้ 76
31. จติ ผอ่ งใส 79
32. จติ ประภสั สร 81
33. จติ ผอ่ งแผว้ 82
34. ผลของการไมร่ กั ษา หรอื รกั ษาจติ 84
35. ผลเมอ่ื จติ ถงึ ความพนิ าศ 86
36. จติ ตมโน จติ ตสงั กปั โป 88
37. อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ เปน็ เครอ่ื งรองรบั จติ 89
38. เหน็ จติ ในจติ (นยั สตปิ ฏั ฐานสตู ร) 90
39. เหน็ จติ ในจติ (นยั อานาปานสตสิ ตู ร) 92
40. จติ หลดุ พน้ (นยั ท่ี ๑) 93
41. จติ หลดุ พน้ (นยั ท่ี ๒) 95
42. จติ หลดุ พน้ (นยั ท่ี ๓) 97
43. จติ ทห่ี ลดุ พน้ ดแี ลว้ 99
44. ผมู้ จี ติ อนั หลดุ พน้ แลว้ ดว้ ยด ี 103

45. การเขา้ ไปหา เปน็ ความไมห่ ลดุ พน้
การไมเ่ ขา้ ไปหา เปน็ ความหลดุ พน้ 104

46. การนอ้ มใจเพอ่ื ตดั โอรมั ภาคยิ สงั โยชน ์ 106
47. เหตใุ หว้ ชิ ชาและวมิ ตุ ตบิ รบิ รู ณ์ 111
48. ความแตกตา่ งระหวา่ ง อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ

กบั ภกิ ษปุ ญั ญาวมิ ตุ ต ิ 115

“มโน” 117
49. มโน คอื สว่ นแหง่ อายตนะภายใน 118
50. อกศุ ลธรรม-กศุ ลธรรม มมี โนเปน็ หวั หนา้ 120
51. ธรรมทง้ั หลาย มมี โนเปน็ หวั หนา้ 121
52. มโนสงั ขาร (นยั ท่ี ๑) 123
53. มโนสงั ขาร (นยั ท่ี ๒) 125
54. มโนวติ ก 127
55. กรรม ๔ แบบ (นยั ท่ี ๑) 129
56. กรรม ๔ แบบ (นยั ท่ี ๒) 132
57. กรรม ๔ แบบ (นยั ท่ี ๓) 134
58. กรรม ๔ แบบ (นยั ท่ี ๔) 136
59. กรรม ๔ แบบ (นยั ท่ี ๕) 138
60. การไดอ้ ตั ภาพ 140
61. เหตใุ หเ้ จรญิ ไมเ่ สอ่ื ม (อปรหิ านยิ ธรรม) 145
62. เหตใุ หร้ ะลกึ ถงึ รกั เคารพ ไมว่ วิ าท
และพรอ้ มเพรยี งกนั (สาราณยี ธรรม) 147
63. เหตแุ หง่ ความแตกแยก 149
64. ความพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจยอ่ มม ี 151
65. คนพาล-บณั ฑติ (นยั ท่ี ๑) 153

66. คนพาล-บณั ฑติ (นยั ท่ี ๒) 155
67. คนพาล-บณั ฑติ (นยั ท่ี ๓) 157
68. คนพาล-บณั ฑติ (นยั ท่ี ๔) 158
69. ผลของกรรมทไ่ี มส่ ม�ำ่ เสมอ-สม�ำ่ เสมอ 159
70. ผลของกรรมทไ่ี มส่ ะอาด-สะอาด 160
71. ความไมส่ ะอาด-ความสะอาดทางกาย วาจา และใจ 161

“วญิ ญาณ” 169
72. วญิ ญาณ ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทท่ี อ่ งเทย่ี ว 170
73. วญิ ญาณ ไมเ่ ทย่ี ง 178
74. วญิ ญาณ เปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ ดบั 184
75. วญิ ญาณเปน็ อนตั ตา 186
76. ผลของผสั สะ 187
77. วญิ ญาณาหาร (อาหารของวญิ ญาณ) 193

“สงั ขตะ-อสงั ขตะ” 195
78. ลกั ษณะของสงั ขตะ-อสงั ขตะ 196
79. สงั ขตธาต-ุ อสงั ขตธาต ุ 198
80. ธรรมชาตทิ ไ่ี มถ่ กู อะไรท�ำ ไมถ่ กู อะไรปรงุ 201
81. ทซ่ี ง่ึ นามรปู ดบั สนทิ ไมม่ เี หลอื 203
82. สง่ิ นน้ั มอี ยู่ 206
83. ชอ่ื วา่ นพิ พาน อนั บคุ คลเหน็ ไดย้ าก 207
84. นพิ พานของคนตาบอด 208
85. ยนื คนละท่ี เหน็ คนละแบบ (นยั ท่ี ๑) 213
86. ยนื คนละท่ี เหน็ คนละแบบ (นยั ท่ี ๒) 218
87. อปุ าทานและทต่ี ง้ั แหง่ อปุ าทาน 221
88. ขนั ธ์ ๕ และอปุ าทานขนั ธ์ ๕ 223

89. มลู รากของอปุ าทานขนั ธ ์ 226
90. อปุ าทานกบั อปุ าทานขนั ธ์ ไมใ่ ชอ่ ยา่ งเดยี วกนั 227
91. สญั โญชนแ์ ละทต่ี ง้ั แหง่ สญั โญชน ์ 228
92. ความผกู ตดิ กบั อารมณ ์ 230
93. กายกอ็ อก จติ กอ็ อก 237
94. อะไรคอื กรรมเกา่ และกรรมใหม่ 239
95. กายน้ี เปน็ “กรรมเกา่ ” 242
96. ลกั ษณะความเปน็ อนตั ตา 244
97. ขนั ธ์ ๕ ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตา 246
98. เจรญิ สมาธแิ ลว้ จะรไู้ ดต้ ามความเปน็ จรงิ ของขนั ธ์ ๕ 250
99. รชู้ ดั อปุ าทานขนั ธโ์ ดยปรวิ ฏั ฏ์ ๔ 255
100. ผฉู้ ลาดในฐานะ ๗ ประการ 263
101. สพั เพ ธมั มา อนตั ตา (นยั ท่ี ๑) 272
102. สพั เพ ธมั มา อนตั ตา (นยั ท่ี ๒) 277
103. ธรรมทง้ั หลายทง้ั ปวง อนั ใครๆ ไมค่ วรยดึ มน่ั ถอื มน่ั 279
104. อตั ตามี หรอื อตั ตาไมม่ ี 281
105. อตั ถติ าและนตั ถติ า 282
106. เหตใุ หไ้ มป่ รนิ พิ พานในทฏิ ฐธรรม 285
107. พรหมจรรย์ มนี พิ พานเปน็ ทส่ี ดุ 290
108. ธรรมทง้ั หลายทง้ั ปวง มนี พิ พานเปน็ ทส่ี ดุ 292

จติ มโน วิญญาณ

(พระสูตรท่คี วรทราบ)

1

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

จิต มโน วิญญาณ 01
ดวงหนึง่ เกดิ ขน้ึ ดวงหน่ึงดับไป

-บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๑๔/๒๓๐.

... ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ปถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั จะพงึ เบอื่ หนา่ ย
ได้บ้าง คลายกำ�หนัดได้บ้าง หลุดพ้นได้บ้าง ในร่างกายอัน
เป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตท้ัง ๔ น้ี  ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร 
ภิกษุทั้งหลาย  เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี
การเกิดก็ดี การตายก็ดีของร่างกายอันเป็นท่ีประชุมแห่ง
มหาภตู ทง้ั ๔ น้ี ยอ่ มปรากฏ เพราะเหตนุ น้ั ปถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั
จึงเบื่อหน่ายได้บ้าง คลายกำ�หนัดได้บ้าง หลุดพ้นได้บ้าง
ในร่างกายนนั้ .

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  สว่ นสงิ่ ทเ่ี รยี กกนั วา่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง
วญิ ญาณบา้ ง1 ปถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั ไมอ่ าจจะเบอ่ื หนา่ ย ไมอ่ าจจะ
คลายกำ�หนัด ไม่อาจจะหลุดพ้น จากสิ่งนั้นได้เลย  ข้อนั้น
เพราะเหตอุ ะไร  เพราะเหตวุ า่ สงิ่ ทเ่ี รยี กกนั วา่ จติ เปน็ ตน้ น้ี
อันปุถุชนผู้มิได้สดับ ได้รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ได้ยึดถือ
ด้วยทิฏฐิว่า น่ันของเรา นั่นเป็นเรา น่ันเป็นตัวตนของเรา
ดังนี้มาตลอดกาลช้านาน เพราะเหตุน้ันปุถุชนผู้มิได้สดับ

1. พระไตรปฎิ กฉบบั หลวง ไดแ้ ปลบทนว้ี า่ แตต่ ถาคตเรยี กรา่ งกายอนั เปน็ ทป่ี ระชมุ
แหง่ มหาภตู ทง้ั ๔ นว้ี า่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ ง.  -ผรู้ วบรวม

2

เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : จติ มโน วิญญาณ

จึงไม่อาจจะเบ่ือหน่าย ไม่อาจจะคลายกำ�หนัด ไม่อาจจะ
หลดุ พน้ ในสง่ิ ทเี่ รยี กกนั วา่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ งนนั้
ไดเ้ ลย.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ปถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั จะพงึ เขา้ ไปยดึ ถอื
เอารา่ งกายอนั เปน็ ทป่ี ระชมุ แหง่ มหาภตู ทง้ั ๔ นี้ โดยความเปน็
ตวั ตนยงั ดกี วา่ แตจ่ ะเขา้ ไปยดึ ถอื เอาจติ โดยความเปน็ ตวั ตน
ไมด่ เี ลย  ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร  เพราะเหตวุ า่ รา่ งกายอนั
เป็นท่ีประชุมแห่งมหาภูตท้ัง ๔ น้ี เมื่อดำ�รงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง
สองปีบ้าง สามปบี ้าง สปี่ บี ้าง หา้ ปีบา้ ง สบิ ปบี า้ ง ยี่สบิ ปีบ้าง
สามสิบปีบ้าง ส่ีสิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง เกินกว่า
รอ้ ยปบี า้ ง กย็ งั มปี รากฏ  ภกิ ษทุ งั้ หลาย สว่ นสงิ่ ทเ่ี รยี กกนั วา่
จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ งนน้ั ดวงหนง่ึ เกดิ ขนึ้ ดวงหนงึ่
ดบั ไป ตลอดวนั ตลอดคืน.

ภิกษทุ ั้งหลาย  เปรียบเหมอื นวานร เม่อื เที่ยวไปใน
ป่าใหญ่ ย่อมจับก่ิงไม้ ปล่อยกิ่งน้ัน จับก่ิงอ่ืน ปล่อยก่ิงท่ี
จับเดิม เหน่ียวก่ิงอื่นอีก เช่นน้ีเร่ือยๆ ไป  ภิกษุทั้งหลาย 
ฉันใดก็ฉันน้ันเหมือนกัน ส่ิงที่เรียกกันว่าจิตบ้าง มโนบ้าง
วิญญาณบ้าง ดวงหน่ึงเกิดข้ึน ดวงหนึ่งดับไป ตลอดวัน
ตลอดคืน.

3

พุทธวจน - หมวดธรรม

ภิกษุทั้งหลาย  อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมกระทำ�ไว้
ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทน่ันเทียว
ดงั นวี้ า่ เมอ่ื สงิ่ นมี้ ี สงิ่ นยี้ อ่ มม ี เพราะความเกดิ ขนึ้ แหง่ สงิ่ นี้
สง่ิ นจ้ี งึ เกดิ ขน้ึ   เมอ่ื สง่ิ นไ้ี มม่ ี สง่ิ นย้ี อ่ มไมม่  ี เพราะความดบั ไป
แห่งส่ิงน้ี สิ่งน้ีจึงดับไป ได้แก่สิ่งเหล่าน้ีคือ เพราะมีอวิชชา
เป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย  เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป 
เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ  เพราะมสี ฬายตนะ
เปน็ ปจั จยั จึงมผี สั สะ  เพราะมีผัสสะเปน็ ปัจจยั จงึ มเี วทนา 
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา  เพราะมีตัณหาเป็น
ปัจจัย จึงมีอุปาทาน  เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ 
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ  เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย
จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น  ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี
ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอยา่ งน ้ี เพราะความจางคลายดบั ไปโดย
ไม่เหลือแห่งอวิชชาน้ันนั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร 
เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ 
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป 
เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ 
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ 

4

เปิดธรรมที่ถูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

เพราะมคี วามดบั แหง่ ผสั สะ จงึ มคี วามดบั แหง่ เวทนา  เพราะมี
ความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา  เพราะมี
ความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน  เพราะมี
ความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ  เพราะมี
ความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ  เพราะมีความดับ
แห่งชาติน่ันแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส
อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ ดบั สน้ิ   ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี
ย่อมมดี ว้ ยอาการอยา่ งนี้ ดงั นี.้

ภิกษุท้ังหลาย  อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อม
เบอื่ หนา่ ยแมใ้ นสญั ญา ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นสงั ขารทงั้ หลาย
ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในวิญญาณ  เม่ือเบ่ือหน่าย ย่อมคลาย
ก�ำ หนดั   เพราะคลายก�ำ หนดั ยอ่ มหลดุ พน้   เมอ่ื หลดุ พน้ แลว้
ยอ่ มมญี าณหยง่ั รวู้ า่ หลดุ พน้ แลว้   เธอยอ่ มรชู้ ดั วา่ ชาตสิ น้ิ แลว้
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ�ได้ทำ�เสร็จแล้ว กิจอ่ืน
ทจ่ี ะต้องทำ�เพื่อความเป็นอย่างน้ีมิไดม้ อี ีก ดังน.ี้

อกี สตู รหนงึ่ -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๑๖/๒๓๕. ไดต้ รสั ชว่ งตน้
โดยมขี อ้ ความเหมอื นกนั กบั สตู รขา้ งบนนแ้ี ตต่ า่ งกนั ทอ่ี ปุ มา ซง่ึ ภายหลงั จาก
ตรัสว่า ภิกษทุ ง้ั หลาย  สว่ นสงิ่ ท่ีเรยี กกันว่าจติ บา้ ง มโนบ้าง วิญญาณบา้ ง
ดวงหนง่ึ เกดิ ขน้ึ ดวงหนง่ึ ดบั ไป ตลอดวนั ตลอดคนื ไดต้ รสั อปุ มาตา่ งไปดงั น.้ี

5

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

ภิกษุท้ังหลาย  อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมกระทำ�ไว้
ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว
ดังนี้ว่า เม่ือสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี  เพราะความเกิดข้ึนแห่ง
ส่ิงนี้ ส่ิงนี้จึงเกิดขึ้น  เมื่อสิ่งนี้ไม่มี ส่ิงน้ีย่อมไม่มี  เพราะ
ความดับไปแห่งส่ิงน้ี สิ่งนี้จึงดับไป  เพราะอาศัยผัสสะอัน
เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ สขุ เวทนา จงึ เกดิ สขุ เวทนาขน้ึ   เพราะความดบั
แห่งผัสสะอันเป็นท่ีต้ังแห่งสุขเวทนาน้ันแหละ เวทนาใด
ท่ีเกิดข้ึนเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา
สขุ เวทนานนั้ ยอ่ มดบั ยอ่ มสงบไป  เพราะอาศยั ผสั สะอนั เปน็
ทตี่ งั้ แหง่ ทกุ ขเวทนา จงึ เกดิ ทกุ ขเวทนาขนึ้   เพราะความดบั
แห่งผัสสะอันเป็นที่ต้ังแห่งทุกขเวทนานั้นแหละ  เวทนาใด
ท่ีเกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นท่ีต้ังแห่งทุกขเวทนา 
ทุกขเวทนานั้นย่อมดับ ย่อมสงบไป  เพราะอาศัยผัสสะอัน
เป็นที่ต้ังแห่งอทุกขมสุขเวทนา จึงเกิดอทุกขมสุขเวทนาข้ึน
เพราะความดบั แหง่ ผสั สะอนั เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ อทกุ ขมสขุ เวทนา
นั้นแหละ  เวทนาใดที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็น
ท่ีตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนานั้นย่อมดับ
ยอ่ มสงบไป.

6

เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : จติ มโน วญิ ญาณ

ภิกษุท้ังหลาย  เปรียบเหมือนเพราะไม้สองอัน
เสียดสีกันจึงเกิดไออุ่น เกิดความร้อน  แต่ถ้าแยกไม้
ทั้งสองอันน้ันแหละออกเสียจากกัน ไออุ่นซึ่งเกิดจากการ
เสยี ดสกี นั นนั้ ยอ่ มดบั ยอ่ มสงบไป แมฉ้ นั ใด  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย 
ข้อน้ีก็ฉันนั้น เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นท่ีต้ังแห่งสุขเวทนา
จึงเกิดสุขเวทนาข้ึน  เพราะความดับแห่งผัสสะอันเป็นท่ีต้ัง
แห่งสุขเวทนานั้นแหละ  เวทนาใดที่เกิดข้ึนเพราะอาศัย
ผัสสะอันเป็นที่ต้ังแห่งสุขเวทนา  สุขเวทนาน้ันย่อมดับ
ยอ่ มสงบไป  เพราะอาศยั ผสั สะอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ทกุ ขเวทนา
จงึ เกดิ ทกุ ขเวทนาขน้ึ   เพราะความดบั แหง่ ผสั สะอนั เปน็ ทต่ี งั้
แห่งทุกขเวทนานั้นแหละ  เวทนาใดที่เกิดขึ้นเพราะอาศัย
ผัสสะอันเป็นท่ีต้ังแห่งทุกขเวทนา  ทุกขเวทนาน้ันย่อมดับ
ยอ่ มสงบไป  เพราะอาศยั ผสั สะอนั เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ อทกุ ขมสขุ -
เวทนา จึงเกิดอทุกขมสุขเวทนาข้ึน  เพราะความดับแห่ง
ผสั สะอนั เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ อทกุ ขมสขุ เวทนานนั้ แหละ  เวทนาใด
ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะอาศยั ผสั สะอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ อทกุ ขมสขุ เวทนา 
อทกุ ขมสุขเวทนานนั้ ย่อมดับ ย่อมสงบไป.

7

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

ภิกษุท้ังหลาย  อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้
ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยแมใ้ นรปู   ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นเวทนา  ยอ่ ม
เบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นสญั ญา  ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยแมใ้ นสงั ขารทง้ั หลาย
ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในวิญญาณ  เมื่อเบ่ือหน่าย ย่อมคลาย
ก�ำ หนดั   เพราะคลายก�ำ หนดั ยอ่ มหลดุ พน้   เมอ่ื หลดุ พน้ แลว้
ยอ่ มมญี าณหยง่ั รวู้ า่ หลดุ พน้ แลว้   เธอยอ่ มรชู้ ดั วา่ ชาตสิ น้ิ แลว้
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจท่ีควรทำ�ได้ทำ�เสร็จแล้ว กิจอ่ืน
ที่จะต้องท�ำ เพอื่ ความเป็นอยา่ งนมี้ ิได้มีอีก ดังนี.้

8

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : จติ มโน วญิ ญาณ

ทิฏฐวิ ่า จติ มโน วิญญาณ 02
เป็นของเทีย่ ง

-บาลี ส.ี ท.ี ๙/๒๘/๓๔.

… อน่ึง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัย
อะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเท่ียง บางอย่าง
ไม่เท่ียง  แล้วบัญญัติอัตตาและโลกว่า  บางอย่างเที่ยง
บางอย่างไม่เท่ยี ง.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  สมณะหรอื พราหมณบ์ างคนในโลกน้ี
เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตน
ตามทต่ี รกึ ได้ ตามทค่ี น้ คดิ ไดอ้ ยา่ งนว้ี า่ สง่ิ ทเ่ี รยี กกนั วา่ ตากด็ ี
หูก็ดี จมูกก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี น้ีได้ช่ือว่าอัตตา เป็นของ
ไม่เที่ยง ไม่ย่ังยืน ไม่คงทน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
สว่ นสง่ิ ทเี่ รยี กกนั วา่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ ง นช้ี อ่ื วา่
อัตตา เปน็ ของเทีย่ ง ยัง่ ยืน คงทน มีความไม่แปรปรวน
เป็นธรรมดา จะตงั้ อยเู่ ท่ียงเสมอไปเช่นน้นั ทเี ดียว.

ภิกษุทั้งหลาย  นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์
พวกหน่ึงอาศยั แลว้ ปรารภแล้ว จงึ มที ฏิ ฐวิ ่า บางอยา่ งเท่ยี ง
บางอยา่ งไมเ่ ทยี่ ง ยอ่ มบญั ญตั อิ ตั ตาและโลกวา่ บางอยา่ งเทยี่ ง
บางอย่างไมเ่ ที่ยง.

9

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ

จิตดวงแรกเกดิ ขน้ึ 03
วญิ ญาณดวงแรกปรากฏ

-บาลี มหา. ว.ิ ๔/๑๘๗/๑๔๑.

... ภกิ ษทุ งั้ หลาย  จติ ดวงแรกใดเกดิ แลว้ ในครรภ์
แหง่ มารดา วญิ ญาณดวงแรกปรากฏแลว้ อาศยั จติ ดวงแรก
วญิ ญาณดวงแรกน้นั น่ันแหละ เป็นความเกดิ ของสัตว์นั้น.

ภิกษุท้ังหลาย  เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตร
มอี ายุครบ ๒๐ ปี ท้ังอยใู่ นครรภ์.

บทนี้ มบี าลอี ยา่ งนี้

ย ภิกฺขเว มาตุ กุจฺฉสิ มฺ ึ ปม จติ ฺต อุปฺปนนฺ  ปม
วิ ฺ าณ ปาตภุ ตู  ตทปุ าทาย สาวสสฺ ชาติ อนชุ านามิ ภกิ ขฺ เว
คพฺภวสี  อปุ สมปฺ าเทตุนฺติ.

10

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

ความเกิดแหง่ จิตยอ่ มมี 04
เพราะความเกิดแหง่ นามรูป

-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๔๖/๘๑๙.

ภิกษุท้ังหลาย  เราจักแสดงความเกิดและความดับ
แหง่ สตปิ ฏั ฐาน ๔  เธอท้งั หลายจงฟัง.

ภิกษุท้ังหลาย  ก็ความเกิดแห่งกายเป็นอย่างไร
ความเกิดแห่งกายย่อมมี  เพราะความเกิดแห่งอาหาร 
ความดับแห่งกายย่อมมี  เพราะความดับแห่งอาหาร

ความเกิดแห่งเวทนาย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง
ผสั สะ  ความดบั แหง่ เวทนายอ่ มมี เพราะความดบั แหง่ ผสั สะ

ความเกิดแห่งจิตย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง
นามรปู ความดบั แหง่ จติ ยอ่ มมี เพราะความดบั แหง่ นามรปู  

(นามรูปสมทุ ยา จิตตฺ สฺส สมทุ โย นามรปู นโิ รธา จติ ตฺ สฺส อตฺถงฺคโม)

ความเกิดแห่งธรรมย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง
มนสิการ  ความดับแห่งธรรมย่อมมี เพราะความดับแห่ง
มนสิการ (มนสิการสมุทยา ธมฺมาน สมุทโย มนสิการนิโรธา ธมฺมาน
อตถฺ งฺคโม).

11

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

ความเกิดขึ้นแหง่ วิญญาณยอ่ มมี 05
เพราะความเกิดข้ึนแห่งนามรปู

-บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๗๕/๑๑๗.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กว็ ญิ ญาณเปน็ อยา่ งไร  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย 
หมแู่ หง่ วิญญาณ ๖ เหล่านี้ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ  กายวิญญาณ  มโนวิญญาณ 
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นเ้ี รยี กวา่ วญิ ญาณ  ความเกดิ ขน้ึ แหง่ วญิ ญาณ
ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป  ความดับแห่ง
วญิ ญาณย่อมมี เพราะความดับแหง่ นามรูป  อรยิ มรรคอนั
ประกอบดว้ ยองค์ ๘ นนี้ นั่ เอง เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั
แห่งวิญญาณ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
สมั มากัมมนั ตะ สัมมาอาชวี ะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และ
สมั มาสมาธิ.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  สขุ โสมนสั ใดๆ อาศยั วญิ ญาณเกดิ ขนึ้
นเี้ ปน็ คณุ แหง่ วญิ ญาณ (อสั สาทะ)  วญิ ญาณไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา น้ีเป็นโทษแห่งวิญญาณ 
(อาทนี วะ)  การก�ำ จดั ฉนั ทราคะ การละฉนั ทราคะในวญิ ญาณ1
นี้เป็นอุบายเคร่ืองสลดั ออกแหง่ วญิ ญาณ (นิสสรณะ).

1. ดูเพม่ิ เติมเกี่ยวกบั ฉนั ทราคะ ได้ทีห่ น้า 221 และ 228.  -ผู้รวบรวม
12

เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปิด : จติ มโน วิญญาณ

ภิกษุท้ังหลาย  ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด
เหล่าหนึ่ง รู้ชัดแล้วซึ่งวิญญาณอย่างน้ี  รู้ชัดแล้วซ่ึงความ
เกิดขึ้นแห่งวิญญาณอย่างน้ี  รู้ชัดแล้วซึ่งความดับแห่ง
วิญญาณอย่างน้ี  รู้ชัดแล้วซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่ง
วิญญาณอย่างน้ี แล้วปฏิบัติเพ่ือความเบื่อหน่าย เพ่ือความ
คลายกำ�หนัด เพื่อความดับแห่งวิญญาณ  สมณะหรือ
พราหมณเ์ หลา่ นน้ั ชอ่ื วา่ ปฏบิ ตั ดิ แี ลว้ ชนเหลา่ ใดปฏบิ ตั ดิ แี ลว้
ชนเหลา่ น้ันช่อื วา่ ย่อมหยงั่ ลงในธรรมวินยั นี้.

ภิกษุทั้งหลาย  ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด
เหล่าหนึ่ง รู้ชัดแล้วซ่ึงวิญญาณอย่างน้ี  รู้ชัดแล้วซึ่งความ
เกิดข้ึนแห่งวิญญาณอย่างน้ี  รู้ชัดแล้วซึ่งความดับแห่ง
วิญญาณอย่างนี้  รู้ชัดแล้วซ่ึงข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่ง
วญิ ญาณอยา่ งน้ี แลว้ เปน็ ผหู้ ลดุ พน้ เพราะเบอ่ื หนา่ ย เพราะ
คลายกำ�หนัด เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นในวิญญาณ
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าน้ันช่ือว่าหลุดพ้นดีแล้ว  สมณะ
หรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดหลดุ พน้ ดแี ลว้   สมณะหรอื พราหมณ์
เหล่าน้ันเป็นเกพลี สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเป็นเกพลี 
วัฏฏะย่อมไมม่ ีแกส่ มณะหรือพราหมณ์เหลา่ นน้ั .

13

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : จิต มโน วิญญาณ

เพราะวญิ ญาณเปน็ ปจั จยั 06
จึงมีนามรูป

-บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๗๔/๖๐.

… อานนท์  ก็คำ�น้ีว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมนี ามรูปดังน้ี เป็นคำ�ทีเ่ รากล่าวแล้ว.

อานนท์  เธอต้องทราบความข้อน้ี โดยปริยาย
ดังต่อไปนี้ เหมือนที่เรากล่าวไว้แล้วว่า  เพราะวิญญาณ
เปน็ ปจั จยั จึงมีนามรปู .

อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณไม่ก้าวลงในท้องแห่ง
มารดา นามรูปจะกอ่ ตวั ขน้ึ มาในทอ้ งแห่งมารดาได้ไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณก้าวลงในท้องแห่ง
มารดาแล้ว สลายลงเสีย  นามรูปจะบังเกิดข้ึนเพื่อความ
เปน็ อย่างน้ไี ด้ไหม.

ไม่ได้เลย พระเจา้ ขา้ .

อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณของเด็กอ่อนที่เป็น
ชายหรือเป็นหญิงก็ตาม ขาดความสืบต่อ นามรูปจะถึงซ่ึง
ความเจริญ ความงอกงาม ความไพบลู ย์ได้ไหม.

ไมไ่ ด้เลย พระเจ้าขา้ .

14

เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

อานนท์  เพราะเหตุนั้นในเร่ืองนี้ น่ันแหละคือเหตุ
น่ันแหละคือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย น่ันแหละคือปัจจัย
ของนามรูป นัน้ คือวญิ ญาณ.

อานนท์  ก็คำ�น้ีว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี
วญิ ญาณ ดังนี้ เป็นค�ำ ท่ีเรากลา่ วแลว้ .

อานนท์  เธอต้องทราบความข้อน้ี  โดยปริยาย
ดังต่อไปน้ี เหมือนท่ีเรากล่าวไว้แล้วว่า เพราะนามรูป
เป็นปัจจยั จงึ มีวิญญาณ.

อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณ ไม่ได้มีท่ีต้ังอาศัยใน
นามรปู แลว้ ความเกดิ ขนึ้ พรอ้ มแหง่ ทกุ ข์ คอื ชาติ ชรา มรณะ
ต่อไป จะปรากฏได้ไหม.

ไมไ่ ด้เลย พระเจา้ ข้า.

อานนท์  เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ น่ันแหละคือเหตุ
นั่นแหละคือนิทาน น่ันแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปัจจัย
ของวิญญาณ นน้ั คอื นามรปู .

อานนท์  ด้วยเหตุเพียงเท่าน้ี สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง
จึงแก่บ้าง จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง  ทางแห่ง
การเรยี ก (อธวิ จน) กม็ เี พยี งเทา่ น ้ี ทางแหง่ การพดู จา (นริ ตุ ตฺ )ิ

15

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

กม็ เี พยี งเทา่ น ี้ ทางแหง่ การบญั ญตั  ิ (ปญฺ ตตฺ )ิ  กม็ เี พยี งเทา่ น ้ี
เรอื่ งทจี่ ะตอ้ งรดู้ ว้ ยปญั ญา (ปญฺ าวจร) กม็ เี พยี งเทา่ น ี้ ความ
เวียนว่ายในวัฏฏะก็มเี พยี งเท่านี้  นามรูปพรอ้ มทง้ั วิญญาณ
ต้ังอยู่ เพอ่ื การบัญญัติซึ่งความเปน็ อย่างน้ี.

(ดูเพ่ิมเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของนามรูป  และที่ต้ังของ
วญิ ญาณไดท้ ่หี น้า 36 และ 49.  -ผรู้ วบรวม)

16

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : จติ มโน วญิ ญาณ

เพราะนามรูปเปน็ ปัจจยั 07
จงึ มีวิญญาณ

-บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๒๖/๒๕๐.

ภิกษุทั้งหลาย  คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายัง
ไมไ่ ดต้ รสั รู้ ยงั เปน็ โพธสิ ตั วอ์ ยู่ เรานนั้ ไดม้ คี วามคดิ อยา่ งนว้ี า่
สัตว์โลกน้ีถึงความลำ�บากหนอ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย
ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่อง
ออกไปพน้ จากทกุ ขค์ อื ชราและมรณะแลว้   การออกจากทกุ ข์
คือชราและมรณะนี้ จะปรากฏข้ึนได้อยา่ งไร.

ภิกษุทั้งหลาย  เรานั้นได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เม่ือ
อะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
จงึ มชี ราและมรณะ เพราะการท�ำ ในใจโดยแยบคายของเรานนั้
จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติน่ันแหละมีอยู่ ชราและ
มรณะจึงม ี เพราะมชี าติเป็นปัจจัย จงึ มีชราและมรณะ.

ภิกษุท้ังหลาย  เราน้ันได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เม่ือ
อะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี  เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วย
ปัญญาวา่ เมอ่ื ภพน่ันแหละมอี ยู่ ชาตจิ งึ มี  เพราะมภี พเปน็
ปัจจัย จึงมชี าติ.

17

พุทธวจน - หมวดธรรม

… เม่ืออุปาทานนั่นแหละมีอยู่ ภพจึงมี  เพราะมี
อปุ าทานเปน็ ปจั จยั จึงมภี พ.

… เมอ่ื ตณั หานน่ั แหละมอี ยู่ อปุ าทานจงึ ม ี เพราะมี
ตัณหาเป็นปัจจัย จงึ มีอปุ าทาน.

… เม่ือเวทนานั่นแหละมีอยู่ ตัณหาจึงมี  เพราะมี
เวทนาเปน็ ปจั จยั จงึ มีตณั หา.

… เม่ือผัสสะน่ันแหละมีอยู่ เวทนาจึงมี  เพราะมี
ผสั สะเปน็ ปจั จัย จึงมเี วทนา.

… เมอื่ สฬายตนะนน่ั แหละมอี ยู่ ผสั สะจงึ ม ี เพราะมี
สฬายตนะเป็นปัจจยั จงึ มีผสั สะ.

… เมอื่ นามรปู นน่ั แหละมอี ยู่ สฬายตนะจงึ ม ี เพราะมี
นามรปู เปน็ ปจั จัย จึงมีสฬายตนะ.

ภิกษุท้ังหลาย  เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
เม่ืออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี  เพราะอะไรเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป  เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน
จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เม่ือวิญญาณน่ันแหละมีอยู่
นามรูปจึงม ี เพราะมวี ิญญาณเป็นปจั จัย จึงมนี ามรปู .

ภิกษุท้ังหลาย  เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี  เพราะอะไรเป็นปัจจัย

18

เปิดธรรมที่ถูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ

จึงมีวิญญาณ  เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเรานั้น
จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เม่ือนามรูปนั่นแหละมีอยู่
วิญญาณจงึ มี  เพราะมนี ามรูปเป็นปจั จัย จึงมีวญิ ญาณ.

ภิกษุท้ังหลาย  ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดข้ึนแก่เราว่า
วญิ ญาณน้ี ยอ่ มเวยี นกลบั มา ไมไ่ ปพน้ จากนามรปู ไดเ้ ลย
ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นี้ สตั วโ์ ลกจงึ เกดิ บา้ ง จงึ แกบ่ า้ ง จงึ ตายบา้ ง
จงึ จุตบิ ้าง จึงอุบัติบ้าง กลา่ วคือ เพราะมีนามรปู เป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป 
เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ  เพราะมสี ฬายตนะ
เป็นปัจจัย จึงมผี สั สะ  เพราะมีผัสสะเปน็ ปจั จัย จึงมีเวทนา 
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา  เพราะมีตัณหาเป็น
ปัจจัย จึงมีอุปาทาน  เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ 
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ  เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย
จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น  ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี
ยอ่ มมีด้วยอาการอยา่ งน้ี.

ภิกษุท้ังหลาย  จักษุ ญาณ ปัญญา วชิ ชา แสงสว่าง
ได้เกิดข้ึนแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง
มากอ่ นวา่ ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม (สมทุ โย)  ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม 
(สมุทโย) ดงั น้ี.

19

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

ภิกษุทั้งหลาย  เราน้ันได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เม่ือ
อะไรหนอไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี  เพราะอะไรดับ
ชราและมรณะจึงดับ  เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคาย
ของเรานัน้ จงึ ได้รแู้ จ้งด้วยปญั ญาวา่ เม่ือชาตนิ ั่นแหละไมม่ ี
ชราและมรณะจึงไม่มี  เพราะความดับแห่งชาติ จึงมี
ความดับแห่งชราและมรณะ.

ภิกษุทั้งหลาย  เราน้ันได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เม่ือ
อะไรหนอไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี  เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ 
เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วย
ปัญญาว่า เมื่อภพนั่นแหละไม่มี ชาติจึงไม่มี  เพราะมี
ความดับแห่งภพ จึงมีความดบั แหง่ ชาติ.

… เมอ่ื อปุ าทานนนั่ แหละไมม่ ี ภพจึงไม่มี  เพราะมี
ความดบั แหง่ อุปาทาน จงึ มคี วามดบั แหง่ ภพ.

… เมอื่ ตณั หานนั่ แหละไมม่ ี อปุ าทานจงึ ไมม่  ี เพราะมี
ความดับแห่งตณั หา จึงมีความดบั อปุ าทาน.

… เมอ่ื เวทนานน่ั แหละไมม่ ี ตณั หาจงึ ไมม่  ี เพราะมี
ความดับแห่งเวทนา จงึ มคี วามดับแห่งตณั หา.

… เม่ือผสั สะน่ันแหละไม่มี เวทนาจงึ ไมม่  ี เพราะมี
ความดบั แห่งผัสสะ จึงมีความดบั แหง่ เวทนา.

20

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : จติ มโน วิญญาณ

… เมื่อสฬายตนะนั่นแหละไม่มี  ผัสสะจึงไม่มี 
เพราะมคี วามดับแห่งสฬายตนะ จึงมคี วามดับแห่งผสั สะ.

… เม่ือนามรูปน่ันแหละไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี 
เพราะมีความดับแห่งนามรปู จึงมคี วามดับแหง่ สฬายตนะ.

ภิกษุท้ังหลาย  เรานั้นได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เม่ือ
อะไรหนอไมม่ ี นามรปู จงึ ไมม่  ี เพราะอะไรดบั นามรปู จงึ ดบั  
เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วย
ปัญญาว่า เม่ือวิญญาณนั่นแหละไม่มี นามรูปจึงไม่มี
เพราะมคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ จงึ มคี วามดบั แหง่ นามรปู .

ภิกษุทั้งหลาย  เราน้นั ได้มีความคิดอย่างน้วี ่า เม่อื
อะไรหนอไมม่ ี วญิ ญาณจงึ ไมม่  ี เพราะอะไรดบั วญิ ญาณจงึ ดบั  
เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วย
ปัญญาว่า เมื่อนามรูปน่ันแหละไม่มี วิญญาณจึงไม่มี
เพราะมคี วามดบั แหง่ นามรปู จงึ มคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ. 

ภิกษุท้ังหลาย  ความรู้แจ้งน้ีได้เกิดข้ึนแก่เราว่า
หนทางเพ่อื การตรัสร้นู ้ี เราได้บรรลุแล้ว ได้แก่ส่งิ เหล่าน้คี ือ
เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ 
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป 
เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ 

21

พุทธวจน - หมวดธรรม

เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ 
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา 
เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา 
เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน 
เพราะมคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน จงึ มคี วามดบั แหง่ ภพ  เพราะมี
ความดบั แหง่ ภพ จงึ มคี วามดบั แหง่ ชาต ิ เพราะมคี วามดบั แหง่
ชาตนิ น่ั แล ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะ
ทงั้ หลาย จงึ ดบั สนิ้   ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ นี้ ยอ่ มมี
ได้ดว้ ยอาการอย่างนี.้

ภกิ ษทุ ั้งหลาย  จักษุ ญาณ ปญั ญา วิชชา แสงสวา่ ง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง
มากอ่ นว่า ความดับ (นโิ รธ)  ความดับ (นิโรธ) ดงั นี้.

ภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนบุรุษเมื่อเท่ียวไปใน
ปา่ ทบึ ไดพ้ บรอยทางซง่ึ เปน็ หนทางเกา่ ทมี่ นษุ ยใ์ นกาลกอ่ น
เคยใชเ้ ดนิ ทางแลว้ เขาจงึ เดนิ ตามทางนนั้ ไป เมอ่ื เดนิ ไปตาม
ทางนั้นอยู่ ได้พบซากนครอันเป็นราชธานีโบราณซ่ึงมนุษย์
ทั้งหลายในกาลก่อนเคยอยู่อาศัยมา เป็นที่สมบูรณ์ด้วย
สวน ป่าไม้ สระโบกขรณี ซากกำ�แพงล้อม ล้วนน่าร่ืนรมย์ 
ภิกษุทั้งหลาย  ลำ�ดับน้ัน บุรุษคนน้ันจึงเข้าไปกราบทูลแก่

22

เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ

พระราชา หรือแก่มหาอำ�มาตย์ของพระราชาว่า ขอเดชะ
ขอพระองค์จงทรงทราบเถดิ ขา้ พระพุทธเจ้าเม่อื เทย่ี วไปใน
ปา่ ทบึ ไดพ้ บรอยทางซง่ึ เปน็ หนทางเกา่ ทม่ี นษุ ยใ์ นกาลกอ่ น
เคยใชเ้ ดนิ ทางแลว้ เขาจงึ เดนิ ตามทางนน้ั ไป เมอื่ เดนิ ไปตาม
ทางนั้นอยู่ ได้พบซากนครอันเป็นราชธานีโบราณซึ่งมนุษย์
ท้ังหลายในกาลก่อนเคยอยู่อาศัยมา เป็นที่สมบูรณ์ด้วย
สวน ป่าไม้ สระโบกขรณี ซากกำ�แพงล้อม ล้วนน่ารื่นรมย์ 
ขอพระองค์โปรดทรงปรับปรุงทน่ี นั้ ให้เปน็ พระนครเถดิ .

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ล�ำ ดบั นนั้ พระราชาหรอื มหาอ�ำ มาตย์
ของพระราชา จงึ ปรบั ปรงุ สถานทน่ี นั้ ขน้ึ เปน็ นคร สมยั ตอ่ มา
นครนั้นได้กลายเป็นนครที่มั่งค่ังและรุ่งเรือง มีประชาชน
เป็นอันมาก เกล่ือนกล่นด้วยมนุษย์ และเป็นนครที่ถึงแล้ว
ซงึ่ ความเจรญิ ไพบลู ย์ นฉี้ นั ใด  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ขอ้ นก้ี ฉ็ นั นน้ั
เราไดพ้ บรอยทางซง่ึ เปน็ หนทางเกา่ ทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำ�เนินแล้ว  ภิกษุทั้งหลาย 
กร็ อยทางซงึ่ เปน็ หนทางเกา่ ทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย
ในกาลก่อนเคยทรงดำ�เนินแล้วน้ันเป็นอย่างไร คือหนทาง
อันประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐน้ีนั่นเอง กล่าวคือ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ

23

พุทธวจน - หมวดธรรม

สมั มาอาชีวะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธิ นแี้ หละ
รอยทางซ่ึงเป็นหนทางเก่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ในกาลก่อนเคยทรงดำ�เนินแล้ว  เราน้ันก็ได้ดำ�เนินแล้วไป
ตามหนทางนน้ั .

เม่ือดำ�เนินไปตามหนทางนั้นอยู่ เราได้รู้ชัดซ่ึงชรา
และมรณะ เหตุเกิดข้ึนแห่งชราและมรณะ ความดับแห่ง
ชราและมรณะ และได้รู้ชัดซ่ึงข้อปฏิบัติอันให้ถึงความดับ
แหง่ ชราและมรณะ. 

เมื่อดำ�เนินไปตามหนทางนั้นอยู่ เราได้รู้ชัดซ่ึงชาติ
เหตเุ กดิ ขนึ้ แหง่ ชาติ ความดบั แหง่ ชาติ และไดร้ ชู้ ดั ขอ้ ปฏบิ ตั ิ
อนั ใหถ้ งึ ความดบั แห่งชาติ.

… เราได้รู้ชัดซึง่ ภพ …
... เราได้รู้ชัดซง่ึ อปุ าทาน …
... เราไดร้ ชู้ ดั ซึ่งตณั หา …
... เราได้รชู้ ัดซง่ึ เวทนา …
... เราได้รู้ชดั ซง่ึ ผสั สะ …
... เราไดร้ ู้ชัดซงึ่ สฬายตนะ …
... เราได้รูช้ ัดซ่ึงนามรปู …
... เราไดร้ ชู้ ดั ซึ่งวญิ ญาณ …

24

เปิดธรรมที่ถูกปิด : จติ มโน วญิ ญาณ

เม่ือดำ�เนินไปตามหนทางน้ันอยู่ เราได้รู้ชัดซึ่ง
สงั ขารทง้ั หลาย เหตเุ กดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร ความดบั แหง่ สงั ขาร
และได้รชู้ ดั ซึง่ ขอ้ ปฏิบัตอิ ันใหถ้ งึ ความดับแหง่ สังขาร.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ครนั้ ไดร้ ชู้ ดั ซงึ่ หนทางนน้ั แลว้ เราจงึ
ได้บอกแก่พวกภิกษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสิกาทงั้ หลาย.

ภิกษุทั้งหลาย  พรหมจรรย์ของเราจึงได้ต้ังมั่นและ
รุ่งเรือง  แผ่ไพศาล  เป็นที่รู้ของชนอันมาก  เป็นปึกแผ่น
แนน่ หนา จนกระทง่ั เทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย กป็ ระกาศได้
เป็นอยา่ งดี ดงั น้.ี

25

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : จติ มโน วิญญาณ

เพราะสงั ขารเปน็ ปัจจยั 08
จงึ มวี ญิ ญาณ

-บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๙๗/๙๒.

...ก็อริยญายธรรม  อันอริยสาวกน้ันเห็นแจ้ง
แทงตลอดด้วยปญั ญาเปน็ อยา่ งไร.

คหบด ี อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มพจิ ารณาเหน็
อยา่ งนว้ี า่ เมอ่ื สง่ิ นมี้ ี สง่ิ นย้ี อ่ มมี เพราะความเกดิ ขนึ้ แหง่ สงิ่ น้ี
สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เม่ือสิ่งน้ีไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับ
แห่งสิง่ นี้ สิง่ น้จี งึ ดบั ไป ไดแ้ ก่สิ่งเหลา่ น้ี คอื

เพราะมีอวิชชาเปน็ ปัจจัย จึงมีสังขารทัง้ หลาย
เพราะมสี งั ขารเป็นปัจจยั จึงมวี ิญญาณ
เพราะมวี ญิ ญาณเป็นปจั จัย จึงมนี ามรูป
เพราะมีนามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ
เพราะมสี ฬายตนะเป็นปัจจัย จงึ มีผัสสะ
เพราะมผี ัสสะเป็นปจั จัย จึงมเี วทนา
เพราะมีเวทนาเปน็ ปัจจยั จงึ มตี ณั หา
เพราะมีตณั หาเปน็ ปัจจัย จงึ มอี ุปาทาน
เพราะมอี ปุ าทานเปน็ ปจั จยั จึงมภี พ
เพราะมีภพเปน็ ปัจจยั จงึ มชี าติ

26

เปิดธรรมท่ีถกู ปิด : จติ มโน วิญญาณ

เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ
ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความ
เกดิ ขนึ้ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ งั้ สน้ิ น้ี ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอยา่ งน.ี้

เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชานน้ั
นน่ั เทยี ว จงึ มคี วามดบั แหง่ สงั ขาร

เพราะมคี วามดบั แหง่ สงั ขาร จงึ มคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ
เพราะมคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ จงึ มคี วามดบั แหง่ นามรปู
เพราะมคี วามดบั แหง่ นามรปู จงึ มคี วามดบั แหง่ สฬายตนะ
เพราะมคี วามดบั แหง่ สฬายตนะ จงึ มคี วามดบั แหง่ ผสั สะ
เพราะมคี วามดบั แหง่ ผสั สะ จงึ มคี วามดบั แหง่ เวทนา
เพราะมคี วามดบั แหง่ เวทนา จงึ มคี วามดบั แหง่ ตณั หา
เพราะมคี วามดบั แหง่ ตณั หา จงึ มคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน
เพราะมคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน จงึ มคี วามดบั แหง่ ภพ
เพราะมคี วามดบั แหง่ ภพ จงึ มคี วามดบั แหง่ ชาติ
เพราะมคี วามดบั แหง่ ชาตนิ น่ั แล ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ
ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลายจงึ ดบั สน้ิ ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ข์
ทง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน้ี ดงั น.้ี
นแ้ี ลอรยิ ญายธรรม อนั อรยิ สาวกนน้ั เหน็ แจง้ แทงตลอด
ดว้ ยปญั ญา.

27

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

นามรูป ปัจจยั แหง่ การบญั ญัติ 09
วญิ ญาณขันธ์

-บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๑๐๒/๑๒๓.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขันธ์ทั้งหลายมีช่ือเรียกว่าขันธ์ได้ด้วย
เหตุเทา่ ไร.

ภิกษุ  รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง  ทั้งท่ีเป็นอดีต
อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม 
หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม  อยู่ใน
ท่ีไกลหรือในทีใ่ กล้กต็ าม นเี้ รียกว่ารูปขนั ธ์.

ภิกษุ  เวทนาอย่างใดอย่างหน่ึง ท้ังที่เป็นอดีต
อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม  อยู่ใน
ที่ไกลหรือในทใ่ี กลก้ ็ตาม นเ้ี รยี กว่าเวทนาขนั ธ์.

ภิกษุ  สัญญาอย่างใดอย่างหน่ึง ทั้งที่เป็นอดีต
อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม  อยู่ใน
ทไี่ กลหรอื ในท่ใี กลก้ ็ตาม น้ีเรยี กว่าสัญญาขนั ธ.์

ภิกษุ  สังขารอย่างใดอย่างหน่ึง ท้ังท่ีเป็นอดีต
อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม 
หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม  อยู่ใน
ทไ่ี กลหรือในท่ใี กลก้ ็ตาม นี้เรียกว่าสงั ขารขันธ.์

28

เปิดธรรมที่ถกู ปิด : จติ มโน วิญญาณ

ภิกษุ  วิญญาณอย่างใดอย่างหน่ึง ทั้งท่ีเป็นอดีต
อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม  อยู่ใน
ท่ไี กลหรอื ในท่ใี กลก้ ต็ าม น้เี รยี กวา่ วิญญาณขนั ธ.์

ภกิ ษ ุ ขนั ธท์ งั้ หลาย ยอ่ มมชี อื่ เรยี กวา่ ขนั ธ์ ดว้ ยเหตุ
เพยี งเท่าน้ี.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการ
บญั ญตั ริ ปู ขนั ธ ์ อะไรหนอเปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั แหง่ การบญั ญตั เิ วทนาขนั ธ์
อะไรหนอเปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั แหง่ การบญั ญตั สิ ญั ญาขนั ธ ์ อะไรหนอเปน็
เหตเุ ปน็ ปจั จยั แหง่ การบญั ญตั สิ งั ขารขนั ธ ์ อะไรหนอเปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั
แห่งการบญั ญตั วิ ิญญาณขนั ธ์.

ภิกษุ  มหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการ
บญั ญตั ริ ปู ขนั ธ ์ ผสั สะ1เปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั แหง่ การบญั ญตั ิ
เวทนาขันธ์  ผัสสะเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการบัญญัติ
สัญญาขันธ์  ผัสสะเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการบัญญัติ
สังขารขันธ์  นามรูปเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการบัญญัติ
วญิ ญาณขันธ์.

1. ดูเพ่มิ เติมเก่ยี วกับผัสสะได้ท่หี น้า 178 และ 187  และดูรายละเอียดเพ่มิ เติม
ของขนั ธท์ ง้ั ๕ ไดท้ ห่ี นา้ 255.  -ผรู้ วบรวม
29

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

วญิ ญาณ ตั้งอย่ไู ดใ้ นทใี่ ด
การกา้ วลงแหง่ นามรูป กม็ ีอยใู่ นทนี่ ้ัน

10(อุปมาด้วยแสงกับฉาก)

-บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๒๒/๒๔๕.

ภิกษุท้ังหลาย  อาหาร ๔ อย่างเหล่านี้ เป็นไปเพื่อ
ความดำ�รงอยู่ของสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่
เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาท่ีเกิด  อาหาร ๔ อย่างน้ันมีอะไรบ้าง
คอื กวฬกี าราหาร (อาหารคอื ค�ำ ขา้ ว) ทห่ี ยาบบา้ ง ละเอยี ดบา้ ง 
อาหารท่ีสองคือผัสสะ  อาหารที่สามคือมโนสัญเจตนา 
อาหารที่สี่คือวิญญาณ  ภิกษุทั้งหลาย  เหล่าน้ีแลอาหาร
๔ อย่าง เป็นไปเพื่อความดำ�รงอยู่ของสัตว์ผู้เกิดแล้ว
หรอื เพือ่ อนเุ คราะห์แก่เหลา่ สัตวผ์ ้แู สวงหาท่ีเกิด.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา ในอาหาร
คือคำ�ข้าวแล้ว วิญญาณก็ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ใน
อาหารคอื ค�ำ ขา้ วนน้ั วญิ ญาณตงั้ อยไู่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ ด้
ในทใี่ ด การก้าวลงแห่งนามรปู  (นามรปู สฺส อวกกฺ นตฺ )ิ กม็ ีใน
ทนี่ นั้ การกา้ วลงแหง่ นามรปู มใี นทใี่ ด ความเจรญิ แหง่ สงั ขาร
ทง้ั หลายกม็ ใี นทนี่ นั้ ความเจรญิ แหง่ สงั ขารทง้ั หลายมใี นทใ่ี ด
การเกดิ ในภพใหมต่ อ่ ไปกม็ ใี นทน่ี น้ั การเกดิ ในภพใหมต่ อ่ ไป

30

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ

มใี นทใี่ ด ชาติ ชราและมรณะตอ่ ไปกม็ ใี นทนี่ นั้ ชาติ ชราและ
มรณะต่อไปมีในที่ใด เราเรียกที่น้ันว่า เป็นที่มีความโศก
มีธุลี และมีความคบั แค้น.

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา ในอาหารคอื
ผสั สะแลว้ วญิ ญาณกต็ ง้ั อยไู่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ ด้ ในอาหาร
คือผัสสะน้ัน วิญญาณต้ังอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ในทใ่ี ด
การกา้ วลงแหง่ นามรปู กม็ ใี นทน่ี น้ั  … เราเรยี กทน่ี น้ั วา่ เป็นที่มี
ความโศก มธี ลุ ี และมีความคบั แคน้ .

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา ในอาหารคอื
มโนสญั เจตนาแลว้ วญิ ญาณกต็ งั้ อยไู่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ ด้
ในอาหารคือมโนสัญเจตนานั้น วิญญาณตั้งอยู่ได้ เจริญ
งอกงามอยู่ได้ในท่ีใด การก้าวลงแห่งนามรูปก็มีในท่ีนั้น …
เราเรยี กทนี่ น้ั วา่ เปน็ ทมี่ คี วามโศก มธี ลุ ี และมคี วามคบั แคน้ .

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา ในอาหาร
คือวิญญาณแล้ว วิญญาณก็ต้ังอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้
ในอาหารคือวิญญาณน้ัน วิญญาณตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงาม
อยู่ไดใ้ นทีใ่ ด การกา้ วลงแห่งนามรปู ก็มใี นทีน่ ั้น การกา้ วลง
แห่งนามรูปมีในท่ีใด ความเจริญแห่งสังขารท้ังหลายก็มีใน
ท่ีนั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีในที่ใด การเกิดใน

31

พุทธวจน - หมวดธรรม

ภพใหมต่ อ่ ไปกม็ ใี นทน่ี นั้ การเกดิ ในภพใหมต่ อ่ ไปมใี นทใ่ี ด
ชาติ ชราและมรณะต่อไปก็มีในที่นั้น ชาติ ชราและมรณะ
ตอ่ ไปมใี นทใี่ ด เราเรยี กทนี่ นั้ วา่ เปน็ ทมี่ คี วามโศก มธี ลุ ี และ
มีความคับแคน้ .

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เปรยี บเหมอื นเมอ่ื มนี �้ำ ยอ้ ม คอื ครง่ั
ขมน้ิ สเี ขยี ว หรอื สบี านเยน็ ชา่ งยอ้ มหรอื ชา่ งเขยี นกส็ ามารถ
เขียนรูปสตรีหรือรูปบุรุษ ลงท่ีแผ่นกระดาน หรือฝาผนัง
หรือที่ผนื ผ้าซ่งึ เกลย้ี งเกลาได้ครบทุกส่วน แมฉ้ ันใด

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ขอ้ นก้ี ฉ็ นั นน้ั ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา
ในอาหารคอื ค�ำ ขา้ วแลว้ วญิ ญาณกต็ ง้ั อยไู่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ ด้
ในอาหารคอื ค�ำ ขา้ วนน้ั วญิ ญาณตง้ั อยไู่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ ด้
ในทใี่ ด การกา้ วลงแหง่ นามรปู กม็ ใี นทนี่ นั้ … เราเรยี กทนี่ น้ั วา่
เป็นที่มีความโศก มธี ลุ ี และมคี วามคับแค้น.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา ในอาหารคอื
ผสั สะแลว้ วญิ ญาณกต็ ง้ั อยไู่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ ด้ ในอาหาร
คอื ผัสสะนนั้ …

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา ในอาหารคอื
มโนสญั เจตนาแล้ว วญิ ญาณกต็ ง้ั อยไู่ ด้ เจรญิ งอกงามอยู่ได้
ในอาหารคือมโนสญั เจตนาน้ัน …

32


Click to View FlipBook Version