The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อ้างอิงจากศูนย์เผยแผ่ส่วนกลาง วัดนาป่าพง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by buddhawajanalanna, 2020-04-29 08:53:56

พุทธวจน 17 จิต มโน วิญญาณ

อ้างอิงจากศูนย์เผยแผ่ส่วนกลาง วัดนาป่าพง

Keywords: หนังสือพุทธวจน

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

ก็ไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความเปลี่ยนเป็นอย่างอ่ืน 
ภิกษุทั้งหลาย  ก็มโนสัมผัสที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัย
ปัจจยั อนั ไม่เทย่ี ง จะเป็นของเท่ยี งได้อยา่ งไร.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลอนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ มรสู้ กึ
อันผัสสะกระทบแล้วย่อมคิด  อันผัสสะกระทบแล้วย่อม
จ�ำ ไดห้ มายร ู้ แมธ้ รรมเหลา่ นก้ี ห็ วน่ั ไหวและอาพาธ ไมเ่ ทย่ี ง
มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื .

183

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : จิต มโน วิญญาณ

วิญญาณ เปน็ สิ่งท่ีเกดิ ดบั 74

-บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๑๖/๒๓๕.

ภิกษุท้ังหลาย  ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ จะพึงเบ่ือหน่าย
ได้บ้าง คลายกำ�หนัดได้บ้าง หลุดพ้นได้บ้าง ในร่างกายอัน
เป็นท่ีประชุมแห่งมหาภูตท้ัง ๔ น้ี  ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร 
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ขอ้ นนั้ เพราะเหตวุ า่ ความเจรญิ กด็ ี ความเสอื่ ม
ก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุม
แห่งมหาภูตท้ัง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ  เพราะเหตุนั้น ปุถุชน
ผู้ไม่ได้สดับ จึงเบื่อหน่ายได้บ้าง จึงคลายกำ�หนัดได้บ้าง
จึงหลุดพ้นได้บา้ ง ในรา่ งกายนัน้ .

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  สว่ นสง่ิ ทเ่ี รยี กกนั วา่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง
วญิ ญาณบา้ ง ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ไมอ่ าจจะเบอื่ หนา่ ย ไมอ่ าจ
จะคลายกำ�หนัด ไม่อาจจะหลุดพ้นจากสิ่งนั้นได้เลย ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร  ภิกษุทั้งหลาย  ข้อนั้นเพราะเหตุว่า สิ่งท่ี
เรยี กกนั วา่ จติ เปน็ ตน้ น้ี อนั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ไดร้ วบรดั ถอื
ไวด้ ว้ ยตณั หา ไดย้ ดึ ถอื แลว้ ดว้ ยทฏิ ฐวิ า่ นน่ั ของเรา นนั่ เปน็ เรา
นน่ั เปน็ ตวั ตนของเรา ดงั น้ี มาตลอดกาลชา้ นาน  เพราะเหตนุ น้ั
ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั จงึ ไมอ่ าจจะเบอื่ หนา่ ย ไมอ่ าจจะคลาย
ก�ำ หนดั ไมอ่ าจจะหลดุ พน้ ซง่ึ สง่ิ ทเ่ี รยี กกนั วา่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง
วญิ ญาณบา้ งนน้ั ไดเ้ ลย.

184

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : จติ มโน วญิ ญาณ

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั จะพงึ เขา้ ไปยดึ ถอื
เอาร่างกาย อันเปน็ ทป่ี ระชมุ แห่งมหาภตู ทงั้  ๔ น้ี โดยความ
เปน็ ตัวตนยงั ดกี วา่ แต่จะเขา้ ไปยดึ ถือเอาจติ โดยความเปน็
ตวั ตนไมด่ เี ลย ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร  ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ขอ้ นนั้
เพราะเหตุว่า ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ น้ี
ด�ำ รงอยู่ ปหี น่ึงบ้าง สองปบี ้าง สามปีบ้าง สปี่ บี า้ ง ห้าปีบา้ ง
สิบปีบ้าง ย่ีสิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง ส่ีสิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง
รอ้ ยปบี า้ ง เกนิ กวา่ รอ้ ยปบี า้ ง กย็ งั มปี รากฏอย ู่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย 
สว่ นสงิ่ ทเ่ี รยี กกนั วา่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ งนนั้ ดวงหนง่ึ
เกิดขึ้น ดวงหน่ึงดับไป ตลอดวนั ตลอดคนื . …

(เน้ือความเต็มของสูตรน้ี ผู้อ่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ท่ี
หนา้ 2.  -ผ้รู วบรวม)

185

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : จติ มโน วิญญาณ
75
วญิ ญาณเป็นอนัตตา

-บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๘๓/๑๒๘.

… ภิกษุท้ังหลาย  วิญญาณเป็นอนัตตา ก็หากว่า
วญิ ญาณน้จี กั เป็นอตั ตาแลว้ ไซร้ วิญญาณกค็ งไมเ่ ปน็ ไปเพ่อื
อาพาธ ท้งั สัตว์ย่อมจะได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า
ขอวญิ ญาณของเรา จงเปน็ อยา่ งนเ้ี ถดิ อยา่ ไดเ้ ปน็ อยา่ งนน้ั เลย
แต่เพราะเหตุท่ีวิญญาณเป็นอนัตตา ดังนั้น วิญญาณจึง
เป็นไปเพ่ืออาพาธ และสัตว์ย่อมไม่ได้ตามความปรารถนา
ในวญิ ญาณวา่ ขอวญิ ญาณของเรา จงเปน็ อยา่ งนเี้ ถดิ อยา่ ได้
เปน็ อย่างนน้ั เลย. …

(ดูเพ่ิมเติมเก่ียวกับความเป็นอนัตตาของขันธ์ ๕ ได้ที่
หนา้ 244.  -ผ้รู วบรวม

186

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : จติ มโน วิญญาณ

ผลของผสั สะ 76

-บาลี ม.ู ม. ๑๒/๒๒๖/๒๔๘.

(พระผู้มีพระภาคไดแ้ สดงธรรมโดยย่อ ภิกษุทั้งหลายไมเ่ ขา้ ใจ
เนอ้ื ความ จงึ ไดไ้ ปขอรอ้ งทา่ นมหากจั จายนะใหอ้ ธบิ ายธรรมนน้ั ซง่ึ ภายหลงั
พระผู้มีพระภาคทรงรบั รองคำ�ตอบของทา่ นมหากจั จายนะ)

ผมู้ อี ายทุ งั้ หลาย  ผมรถู้ งึ เนอ้ื ความแหง่ อเุ ทศทพ่ี ระผมู้ พี ระภาค
ทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดารน้ีให้พิสดาร
ได้อย่างน.้ี

ผู้มีอายุท้ังหลาย  เพราะอาศัยตาและรูป จึงเกิด
จจงกึั เขกวุ ดิ ญิ ผญสั สาณะ1 ความประกอบพรอ้ มแหง่ ธรรม ๓ ประการ
เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา บคุ คล
เสวยเวทนาอนั ใด กย็ อ่ มจ�ำ  (สชฺ านาต)ิ เวทนาอนั นนั้ บคุ คล
จำ�เวทนาอันใด ก็ตรึกถึง (วิตกฺเกติ) เวทนาอันนั้น บุคคล
ตรกึ ถงึ เวทนาอนั ใด กเ็ นน่ิ ชา้  (ปปเฺ จต)ิ อยกู่ บั เวทนาอนั นน้ั
บคุ คลเน่ินช้าอยกู่ ับเวทนาอนั ใด สญั ญาชนดิ ตา่ งๆ อันทำ�
ความเนน่ิ ชา้  (ปปจฺ สฺ าสงขฺ า) กค็ รอบง�ำ บคุ คลนน้ั โดยมี
เวทนานั้นเป็นเหตุ ในรูปทั้งหลายอันจะรู้แจ้งด้วยตา ท้ังที่
เปน็ อดีตกต็ าม เป็นอนาคตก็ตาม หรือเป็นปัจจบุ นั ก็ตาม.
ผู้มีอายุทั้งหลาย  เพราะอาศัยหูและเสียง จึงเกิด
โสตวญิ ญาณ ความประกอบพรอ้ มแหง่ ธรรม ๓ ประการ
จึงเกดิ ผสั สะ ...

1. ดเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ผสั สะไดท้ ห่ี นา้ 28 และ 178.  -ผรู้ วบรวม 187

พุทธวจน - หมวดธรรม

ผมู้ อี ายทุ งั้ หลาย  เพราะอาศยั จมกู และกลน่ิ จงึ เกดิ
ฆานวญิ ญาณ ความประกอบพรอ้ มแหง่ ธรรม ๓ ประการ
จงึ เกดิ ผสั สะ ...

ผู้มีอายุทั้งหลาย  เพราะอาศัยล้ินและรส จึงเกิด
ชวิ หาวญิ ญาณ ความประกอบพรอ้ มแหง่ ธรรม ๓ ประการ
จึงเกดิ ผัสสะ ...

ผ้มู ีอายุท้งั หลาย  เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ
จึงเกิดกายวิญญาณ ความประกอบพร้อมแห่งธรรม
๓ ประการ จงึ เกิดผัสสะ ...

ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย  เพราะอาศยั ใจและธรรม จงึ เกดิ
มโนวญิ ญาณ ความประกอบพรอ้ มแหง่ ธรรม ๓ ประการ
จงึ เกดิ ผสั สะ เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา บคุ คล
เสวยเวทนาอันใด ก็ย่อมจำ�เวทนาอันน้ัน บุคคลจำ�เวทนา
อันใด ก็ตรึกถึงเวทนาอันนั้น บุคคลตรึกถึงเวทนาอันใด
กเ็ นนิ่ ชา้ อยกู่ บั เวทนาอนั นน้ั บคุ คลเนนิ่ ชา้ อยกู่ บั เวทนาอนั ใด
สญั ญาชนดิ ตา่ งๆ อนั ท�ำ ความเนนิ่ ชา้ กค็ รอบง�ำ บคุ คลนน้ั
โดยมเี วทนานน้ั เปน็ เหตุ ในธรรมทง้ั หลายอนั จะรแู้ จง้ ไดด้ ว้ ยใจ
ทั้งท่ีเป็นอดีตก็ตาม เป็นอนาคตก็ตาม หรือเป็นปัจจุบัน
กต็ าม.

188

เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : จติ มโน วญิ ญาณ

ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย  เมอื่ ตามี รปู มี และจกั ขวุ ญิ ญาณมี
เขาจะบัญญัติว่าผัสสะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เม่ือการ
บัญญัติผัสสะมี เขาจะบัญญัติว่าเวทนา ข้อนี้เป็นฐานะท่ีจะ
มีได้ เมื่อการบัญญัติเวทนามี เขาจะบัญญัติว่าสัญญา ข้อน้ี
เป็นฐานะที่จะมีได้ เม่ือการบัญญัติสัญญามี เขาจะบัญญัติ
วา่ วติ ก ขอ้ นเ้ี ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ เมอ่ื การบญั ญตั วิ ติ กมี เขาจะ
บัญญัติว่าการครอบงำ�โดยสัญญาชนิดต่างๆ อันทำ�ความ
เนิ่นช้า ข้อนเี้ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้.

ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย  เมอ่ื หมู ี เสยี งมี และโสตวญิ ญาณมี
เขาจะบญั ญัติว่าผสั สะ ข้อน้เี ปน็ ฐานะท่จี ะมไี ด้ ... 

ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย  เมอ่ื จมกู มี กลน่ิ มี และฆานวญิ ญาณมี
เขาจะบัญญตั ิวา่ ผสั สะ ข้อน้เี ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ ... 

ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย  เมอ่ื ลน้ิ มี รสมี และชวิ หาวญิ ญาณมี
เขาจะบัญญัติว่าผสั สะ ขอ้ นี้เป็นฐานะที่จะมไี ด้ ... 

ผู้มีอายุท้ังหลาย  เม่ือกายมี โผฏฐัพพะมี และ
กายวิญญาณมี เขาจะบัญญัติว่าผัสสะ ข้อน้ีเป็นฐานะ
ทจ่ี ะมไี ด้ ...

ผู้มีอายุทั้งหลาย  เมื่อใจมี ธรรมมี และมโน-
วญิ ญาณมี เขาจะบญั ญตั วิ า่ ผสั สะ ขอ้ นเ้ี ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้
เมื่อการบัญญัติผัสสะมี เขาจะบัญญัติว่าเวทนา ข้อนี้เป็น

189

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติเวทนามี เขาจะบัญญัติว่า
สัญญา ข้อน้ีเป็นฐานะท่ีจะมีได้  เมื่อการบัญญัติสัญญามี
เขาจะบญั ญตั วิ า่ วติ ก ขอ้ นเ้ี ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ เมอ่ื การบญั ญตั ิ
วิตกมี เขาจะบัญญัติว่าการครอบงำ�โดยสัญญาชนิดต่างๆ
อนั ทำ�ความเนน่ิ ช้า ข้อน้ีเปน็ ฐานะทจี่ ะมีได้.

ผู้มีอายุทั้งหลาย  เมื่อตาไม่มี รูปไม่มี และ
จกั ขวุ ญิ ญาณไมม่ ี เขาจะบญั ญตั วิ า่ ผสั สะ ขอ้ นไ้ี มใ่ ชฐ่ านะ
ทจ่ี ะมีได้ เม่อื การบัญญตั ิผัสสะไม่มี เขาจะบัญญตั วิ า่ เวทนา
ข้อน้ีไม่ใช่ฐานะท่ีจะมีได้ เม่ือการบัญญัติเวทนาไม่มี เขาจะ
บัญญัติว่าสัญญา ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะท่ีจะมีได้ เมื่อการบัญญัติ
สัญญาไม่มี เขาจะบัญญัติว่าวิตก ข้อน้ีไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
เมอ่ื การบญั ญตั วิ ติ กไมม่ ี เขาจะบญั ญตั วิ า่ การครอบง�ำ โดย
สัญญาชนิดต่างๆ อันทำ�ความเน่ินช้า ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะ
ที่จะมไี ด.้

ผู้มีอายุทั้งหลาย  เม่ือหูไม่มี เสียงไม่มี และ
โสตวญิ ญาณไม่มี ...

ผู้มีอายุท้ังหลาย  เม่ือจมูกไม่มี กล่ินไม่มี และ
ฆานวิญญาณไมม่ ี ...

ผู้มีอายุท้ังหลาย  เมื่อลิ้นไม่มี รสไม่มี และชิวหา
วญิ ญาณไมม่ ี ...

190

เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

ผู้มีอายุท้ังหลาย  เมื่อกายไม่มี โผฏฐัพพะไม่มี
และกายวิญญาณไมม่ ี ...

ผู้มีอายุทั้งหลาย  เม่ือใจไม่มี ธรรมไม่มี และ
มโนวญิ ญาณไมม่ ี เขาจะบญั ญตั วิ า่ ผสั สะ ขอ้ นไี้ มใ่ ชฐ่ านะ
ทจ่ี ะมไี ด้ เมอ่ื การบญั ญตั ผิ ัสสะไมม่ ี เขาจะบญั ญตั ิว่าเวทนา
ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะท่ีจะมีได้ เมื่อการบัญญัติเวทนาไม่มี เขาจะ
บัญญัติว่าสัญญา ข้อน้ีไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ เม่ือการบัญญัติ
สัญญาไม่มี เขาจะบัญญัติว่าวิตก ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะท่ีจะมีได้
เมอื่ การบญั ญตั วิ ติ กไมม่ ี เขาจะบญั ญตั วิ า่ การครอบง�ำ โดย
สัญญาชนิดต่างๆ อันทำ�ความเน่ินช้า ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะ
ที่จะมีได้.

ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย  พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงอเุ ทศนไ้ี วโ้ ดยยอ่ วา่  

ภิกษุ  สัญญาชนิดต่างๆ อันทำ�ความเน่ินช้า ย่อม
ครอบง�ำ บรุ ษุ เพราะเหตใุ ด ถา้ สง่ิ ทบ่ี คุ คลจะเพลดิ เพลนิ พร�ำ่ ถงึ
สยบมวั เมา ไมม่ ใี นเหตนุ น้ั นน่ั แหละ เปน็ ทส่ี ดุ แหง่ ราคานสุ ยั
เปน็ ที่สดุ แห่งปฏิฆานุสัย เป็นทสี่ ุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็นทส่ี ดุ
แห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นท่ีสุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่ง
ภวราคานสุ ยั เปน็ ทสี่ ดุ แหง่ อวชิ ชานสุ ยั เปน็ ทส่ี ดุ แหง่ การจบั

191

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

ทอ่ นไม้ การจบั ศาสตรา การทะเลาะ การแกง่ แยง่ การววิ าท
การดา่ วา่ กนั การยยุ งใหแ้ ตกกนั และการกลา่ วเทจ็ อกศุ ลธรรม
อันเป็นบาปเหล่าน้ี ย่อมดับไปโดยไม่มีเหลือเพราะเหตุนั้น 

แลว้ ไมท่ รงชแ้ี จงเนอื้ ความใหพ้ สิ ดารเสดจ็ ลกุ จากอาสนะเขา้ ทป่ี ระทบั เสยี
ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย  ผมรถู้ งึ เนอ้ื ความแหง่ อเุ ทศทพี่ ระผมู้ พี ระภาคทรงแสดง
ไว้โดยย่อน้ี ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดาร ให้พิสดารได้อย่างน้ี
กแ็ ลเมอ่ื ทา่ นทง้ั หลายปรารถนา กพ็ งึ เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค แลว้ ทลู ถาม
เนอ้ื ความนนั้ พระผมู้ พี ระภาคทรงพยากรณป์ ระการใด ทา่ นทงั้ หลายพงึ
ทรงจำ�ข้อนน้ั ไวโ้ ดยประการนั้นเถิด.

192

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : จติ มโน วญิ ญาณ

77วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ)

-บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๒๑/๒๔๔.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กว็ ญิ ญาณาหารจะพงึ เหน็ ไดอ้ ยา่ งไร
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมอื น พวกเจา้ หนา้ ทจ่ี บั โจรผกู้ ระท�ำ ผดิ
ไดแ้ ลว้ แสดงแกพ่ ระราชาวา่ ขอเดชะ ดว้ ยโจรผนู้ ก้ี ระท�ำ ผดิ
ขอพระองคโ์ ปรดใหล้ งโทษโจรผนู้ ี้ ตามทที่ รงเหน็ สมควรเถดิ
พระเจา้ ขา้   พระราชาจงึ มรี บั สง่ั อยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผเู้ จรญิ ทง้ั หลาย
ท่านท้ังหลายจงไปประหารบุรุษน้ัน ด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม
ในเวลาเชา้ น้ี พวกเจา้ หนา้ ทเ่ี หลา่ นน้ั จงึ ชว่ ยกนั ประหารนกั โทษ
คนนัน้ ด้วยหอก ๑๐๐ เลม่ ในเวลาเชา้ .

ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวัน พระราชาได้ซักถามพวก
เจา้ หนา้ ทเ่ี หลา่ นน้ั อยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผเู้ จรญิ ทง้ั หลาย นกั โทษคนนน้ั
เปน็ อยา่ งไรบา้ ง พวกเขาพากนั กราบทลู วา่ ขอเดชะ เขายงั มี
ชวี ติ อยู่ พระเจา้ ขา้   พระราชาจงึ มรี บั สงั่ อยา่ งนวี้ า่ ทา่ นผเู้ จรญิ
ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอก
๑๐๐ เลม่ ในเวลาเทยี่ งวนั พวกเจา้ หนา้ ทเ่ี หลา่ นน้ั จงึ ชว่ ยกนั
ประหารนกั โทษคนนน้ั ดว้ ยหอก ๑๐๐ เลม่ ในเวลาเทยี่ งวนั .

ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาได้ซักถามพวก
เจา้ หนา้ ทเ่ี หลา่ นน้ั อกี วา่ ทา่ นผเู้ จรญิ ทงั้ หลาย นกั โทษคนนน้ั
เปน็ อยา่ งไรบา้ ง พวกเขาพากนั กราบทลู วา่ ขอเดชะ เขายงั มี

193

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

ชวี ติ อยู่ พระเจา้ ขา้   พระราชาจงึ มรี บั สง่ั อยา่ งนวี้ า่ ทา่ นผเู้ จรญิ
ทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงไปประหารบุรุษน้ัน ด้วยหอก
๑๐๐ เล่มในเวลาเย็น พวกเจ้าหน้าท่ีเหล่าน้ัน จึงช่วยกัน
ประหารนกั โทษคนน้ัน ด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเยน็ .

ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจะสำ�คัญความข้อนี้ว่า
อยา่ งไร การท่ีบรุ ษุ นกั โทษคนนน้ั เมอ่ื ถกู เจา้ หน้าที่ประหาร
อยู่ด้วยหอก ๓๐๐ เล่มตลอดท้ังวันนั้น เขาจะพึงได้รับแต่
ทกุ ขโทมนัสซงึ่ มขี ้อน้นั เปน็ เหตุ ไม่ใชห่ รอื .

ภิกษุทั้งหลาย  เม่ือเขาถูกประหารอยู่แม้ด้วยหอก
เพียงเล่มเดียว ก็พึงได้รับทุกขโทมนัสซึ่งมีข้อน้ันเป็นเหตุ
จะป่วยการกล่าวไปไยถึงการท่ีเขาถูกประหารอยู่ด้วยหอก
๓๐๐ เลม่ เลา่ ขอ้ นม้ี อี ปุ มาฉนั ใด  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เรากลา่ ววา่
พึงเห็นวญิ ญาณาหาร ฉนั น้ันเหมือนกัน.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอ่ื อรยิ สาวกก�ำ หนดรวู้ ญิ ญาณาหาร
ได้แล้ว นามรูปก็เป็นส่งิ ท่กี ำ�หนดร้ไู ด้แล้ว เม่อื อริยสาวก
ก�ำ หนดรนู้ ามรปู ไดแ้ ลว้ เรากลา่ ววา่ ไมม่ สี ง่ิ ใดทอ่ี รยิ สาวกนน้ั
จะต้องทำ�ให้ยง่ิ ข้ึนไปกวา่ น้ี.

(ผอู้ า่ นสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เรอื่ งอาหาร ๔ ไดท้ เ่ี นอื้ ความเตม็
ของสูตรน้ี และท่หี น้า 30.  -ผ้รู วบรวม)

194

“สงั ขตะ-อสังขตะ”

195

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : จิต มโน วิญญาณ
78
ลกั ษณะของสังขตะ-อสังขตะ

-บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๙๒/๔๘๖.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  สงั ขตลกั ษณะของสงั ขตะ ๓ ประการ
เหล่าน้ี  ๓ ประการอะไรบา้ ง คือ

มีความเกดิ ขึน้ ปรากฏ (อปุ ฺปาโท ปฺ ายต)ิ
มีความเสือ่ มปรากฏ (วโย ปฺ ายต)ิ
เมอื่ ตง้ั อย่มู ีความแปรปรวนปรากฏ (ติ สฺส อฺ ถตฺต

ปฺายติ)

ภกิ ษุทั้งหลาย  เหล่านแ้ี ล สังขตลกั ษณะของสังขตะ
๓ ประการ.

ภิกษุทั้งหลาย  อสังขตลักษณะของอสังขตะ
๓ ประการเหลา่ น้ี  ๓ ประการอะไรบา้ ง คอื

ไมป่ รากฏความเกดิ  (น อุปปฺ าโท ปฺ ายติ)
ไม่ปรากฏความเส่อื ม (น วโย ปฺายต)ิ
เมื่อต้ังอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน (น ิตสฺส

อฺถตฺต ปฺ ายติ)

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  เหลา่ นแ้ี ล อสงั ขตลกั ษณะของอสงั ขตะ
๓ ประการ.

196

เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

พระสตู รนี้ มบี าลอี ยา่ งนี้

ตีณีมานิ ภิกฺขเว สงฺขตสฺส สงฺขตลกฺขณานิ กตมานิ
ตณี ิ อุปฺปาโท ปฺ ายติ วโย ปฺายติ ติ สฺส อฺ ถตตฺ 
ปฺ ายติ อมิ านิ โข ภกิ ขฺ เว ตณี ิ สงขฺ ตสสฺ สงขฺ ตลกขฺ ณานตี .ิ

ตณี มี านิ ภกิ ขฺ เว อสงขฺ ตสสฺ อสงขฺ ตลกขฺ ณานิ กตมานิ
ตีณิ น อุปฺปาโท ปฺายติ น วโย ปฺายติ น ิตสฺส
อฺถตฺต ปฺายติ อิมานิ โข ภิกฺขเว ตีณิ อสงฺขตสฺส
อสงขฺ ตลกขฺ ณานีต.ิ

197

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ : จิต มโน วิญญาณ
79
สงั ขตธาตุ-อสังขตธาตุ

-บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๑๖๗/๒๓๗.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปริยายอ่ืนท่ีควรเรียกว่า ภิกษุเป็น
ผู้ฉลาดในธาตุ จะพึงมอี ีกไหม พระเจา้ ข้า.

อานนท ์ ธาตุ ๒ อยา่ งนม้ี อี ยู่ คอื สงั ขตธาตุ และ
อสังขตธาตุ  อานนท์  เหล่านี้แลธาตุ ๒ อย่าง  อานนท์ 
ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ เราจึงเรียกว่า
ภกิ ษุเป็นผฉู้ ลาดในธาตุ.

(ในพระสูตรน้ี ไดต้ รัสเกยี่ วกับเรอื่ งธาตุไวห้ ลายนัย ดังน)้ี
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็จะควรเรียกว่า ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ
ด้วยเหตเุ พยี งเทา่ ไร พระเจ้าขา้ .

อานนท ์ ธาตุ ๑๘ อยา่ งเหลา่ นมี้ อี ยู่ คอื ธาตคุ อื จกั ษุ
ธาตคุ อื รปู ธาตคุ อื จักษวุ ิญญาณ ธาตคุ ือโสตะ ธาตคุ อื เสยี ง
ธาตุคือโสตวิญญาณ ธาตุคือฆานะ ธาตุคือกล่ิน ธาตุคือ
ฆานวญิ ญาณ ธาตคุ อื ชวิ หา ธาตคุ อื รส ธาตคุ อื ชวิ หาวญิ ญาณ
ธาตคุ อื กาย ธาตคุ อื โผฏฐพั พะ ธาตคุ อื กายวญิ ญาณ ธาตคุ อื
มโน ธาตคุ อื ธรรม ธาตคุ อื มโนวญิ ญาณ  อานนท ์ เหลา่ นแ้ี ล
ธาตุ ๑๘ อยา่ ง  อานนท ์ ดว้ ยเหตทุ ภ่ี กิ ษรุ อู้ ยอู่ ยา่ งน้ี เหน็ อยู่
อย่างน้ี เราจงึ เรียกวา่ ภิกษเุ ปน็ ผู้ฉลาดในธาต.ุ

198

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายอ่ืนที่ควรเรียกว่า ภิกษุเป็น
ผูฉ้ ลาดในธาตุ จะพงึ มีอีกไหม พระเจ้าขา้ .

อานนท์  ธาตุ ๖ อย่างเหล่าน้ีมีอยู่ คือ ธาตุคือดิน
ธาตุคือน้ำ� ธาตุคือไฟ ธาตุคือลม ธาตุคืออากาศ ธาตุคือ
วญิ ญาณ อานนท ์ เหลา่ นแ้ี ลธาตุ ๖ อยา่ ง  อานนท ์ ดว้ ยเหตุ
ที่ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างน้ี เราจึงเรียกว่า ภิกษุเป็น
ผ้ฉู ลาดในธาต.ุ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายอื่นท่ีควรเรียกว่า ภิกษุเป็น
ผูฉ้ ลาดในธาตุ จะพึงมอี ีกไหม พระเจ้าข้า.

อานนท์  ธาตุ ๖ อย่างเหล่าน้ีมีอยู่ คือ ธาตุคือสุข
ธาตคุ อื ทกุ ข์ ธาตคุ อื โสมนสั ธาตคุ อื โทมนสั ธาตคุ อื อเุ บกขา
ธาตุคืออวิชชา  อานนท์  เหล่านี้แลธาตุ ๖ อย่าง  อานนท์ 
ด้วยเหตุท่ีภิกษุรู้อยู่อย่างน้ี เห็นอยู่อย่างนี้ เราจึงเรียกว่า
ภิกษุเป็นผูฉ้ ลาดในธาต.ุ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายอ่ืนที่ควรเรียกว่า ภิกษุเป็น
ผฉู้ ลาดในธาตุ จะพงึ มอี กี ไหม พระเจา้ ขา้ .

อานนท์  ธาตุ ๖ อย่างเหล่านีม้ อี ยู่ คือ ธาตคุ ือกาม
ธาตุคือเนกขัมมะ  ธาตุคือพยาบาท  ธาตุคืออัพยาบาท 
(ความไม่พยาบาท)  ธาตุคือวิหิงสา (ความเบียดเบียน)  ธาตุคือ

199

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

อวหิ งิ สา (ความไมเ่ บยี ดเบยี น)  อานนท ์ เหลา่ นแ้ี ล ธาตุ ๖ อยา่ ง 
อานนท์  ด้วยเหตุท่ีภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ เราจึง
เรยี กว่า ภกิ ษุเป็นผ้ฉู ลาดในธาตุ.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายอ่ืนที่ควรเรียกว่า ภิกษุเป็น
ผู้ฉลาดในธาตุ จะพึงมีอกี ไหม พระเจา้ ข้า.

อานนท์  ธาตุ ๓ อย่างเหล่านีม้ ีอยู่ คือ ธาตุคือกาม
ธาตุคือรูป ธาตุคืออรูป  อานนท์  เหล่าน้ีแล ธาตุ ๓ อย่าง 
อานนท์  ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่อย่างน้ี เห็นอยู่อย่างนี้ เราจึง
เรยี กว่า ภกิ ษุเปน็ ผฉู้ ลาดในธาต.ุ

200

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ

ธรรมชาตทิ ไ่ี มถ่ ูกอะไรท�ำ 80
ไม่ถกู อะไรปรงุ

-บาลี อ.ุ ข.ุ ๒๕/๒๐๗/๑๖๐.

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ธรรมชาตอิ นั ไมเ่ กดิ แลว้ ไมเ่ ปน็ แลว้
อนั ปจั จยั กระท�ำ ไมไ่ ดแ้ ลว้ ปรงุ แตง่ ไมไ่ ดแ้ ลว้ มอี ย ู่ ภิกษุ
ทง้ั หลาย  ถ้าธรรมชาติอันไมเ่ กดิ แลว้ ไม่เป็นแล้ว อันปจั จยั
กระท�ำ ไมไ่ ดแ้ ลว้ ปรงุ แตง่ ไมไ่ ดแ้ ลว้ จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ ไซร้ การสลดั
ออกซึ่งธรรมชาติท่ีเกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำ�แล้ว
ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พงึ ปรากฏในโลกนเ้ี ลย.

ภิกษุทั้งหลาย  ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว
ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำ�ไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว
มอี ยู่ ดงั นนั้ การสลดั ออกซง่ึ ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ แลว้ เปน็ แลว้
อนั ปัจจยั กระทำ�แลว้ ปรงุ แต่งแล้วจึงปรากฏ.

พระสตู รน้ี มบี าลีอยา่ งน้ี

อตฺถิ ภิกฺขเว อชาต อภูต อกต อสงฺขต โน เจ ต
ภกิ ขฺ เว อภวสิ สฺ อชาต อภตู  อกต อสงขฺ ต นยธิ ชาตสสฺ ภตู สสฺ
กตสสฺ สงฺขตสฺส นิสสฺ รณ ปฺาเยถ.

ยสฺมา จ โข ภิกขฺ เว อตฺถิ อชาต อภตู  อกต อสงฺขต
ตสมฺ า ชาตสสฺ ภตู สสฺ กตสสฺ สงขฺ ตสสฺ นสิ สฺ รณ ปฺ ายตตี .ิ

201

พุทธวจน - หมวดธรรม
อกี สตู รหนงึ่ -บาลี อติ วิ .ุ ข.ุ ๒๕/๒๕๘/๒๒๑. ตรสั เหมอื นกนั

กบั สตู รขา้ งบนนี้ แต่ได้ตรัสช่วงทา้ ยตา่ งไป ดงั นี้.

ใครๆ ไมค่ วรเพลดิ เพลนิ ตอ่ สงิ่ ทเี่ กดิ แลว้ เปน็ แลว้
เกดิ ขนึ้ พรอ้ มแลว้ อนั ปจั จยั กระท�ำ แลว้ ปรงุ แตง่ แลว้ ไมย่ ง่ั ยนื
ปรุงแต่งเพื่อชราและมรณะ เป็นรังแห่งโรค เป็นของผุพัง
มีอาหารและตัณหา เป็นแดนเกิด.

การสลัดออกซ่ึงธรรมชาตินั้น เป็นบทอันระงับ
จะคาดคะเนเอาไมไ่ ด้ เปน็ ของยง่ั ยนื ไมเ่ กดิ ไมเ่ กดิ ขนึ้ พรอ้ ม
ไมม่ คี วามโศก ปราศจากธลุ ี เปน็ ความดบั แหง่ สง่ิ ทม่ี คี วามทกุ ข์
เปน็ ธรรมดา เป็นความเข้าไปสงบร�ำ งับแห่งสังขาร เป็นสขุ .

202

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

ที่ซึง่ นามรูป ดับสนทิ ไม่มเี หลือ 81

-บาลี ส.ี ท.ี ๙/๒๗๗/๓๔๓.

เกวัฏฏะ  เรื่องเคยมีมาแล้ว ภิกษุรูปหนึ่ง ในหมู่
ภิกษุน้ีเอง เกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า มหาภูต ๔ คือ ธาตุ
ดนิ ธาตนุ ้�ำ ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม เหลา่ น้ี ย่อมดบั สนทิ ไม่มเี หลือ
ในทไ่ี หนหนอ ดงั น้.ี

(พระผู้พระภาคได้ตรัสต่อไปว่า ภิกษุรูปน้ันได้เข้าสมาธิ อัน
นำ�ไปสู่เทวโลก แล้วได้นำ�เอาปัญหาที่ตนสงสัยน้ัน ไปถามพวกเทวดา
ช้ันจาตุมหาราชิกา พวกเทวดาช้ันจาตุมหาราชิกาไม่ทราบ ได้ให้ไปถาม
ทา้ วมหาราชท้ัง ๔  ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไมท่ ราบ ไดใ้ ห้ไปถามพวกเทวดา
ช้ันดาวดึงส์ พวกเทวดาช้ันดาวดึงส์ไม่ทราบ ได้ให้ไปถามท้าวสักกะ 
ทา้ วสกั กะไมท่ ราบ ไดใ้ หไ้ ปถามพวกเทวดาชน้ั ยามา พวกเทวดาชน้ั ยามา
ไมท่ ราบ ไดใ้ หไ้ ปถามทา้ วสยุ ามะ  ทา้ วสยุ ามะไมท่ ราบ ไดใ้ หไ้ ปถามพวก
เทวดาชั้นดุสิต พวกเทวดาชั้นดุสิตไม่ทราบ ได้ให้ไปถามท้าวสันตุสิตะ 
ทา้ วสนั ตสุ ติ ะไมท่ ราบ ไดใ้ หไ้ ปถามพวกเทวดาชน้ั นมิ มานรดี พวกเทวดา
ชนั้ นมิ มานรดไี มท่ ราบ ไดใ้ หไ้ ปถามทา้ วสนุ มิ มติ ะ  ทา้ วสนุ มิ มติ ะไมท่ ราบ
ได้ให้ไปถามพวกเทวดาช้ันปรินิมมิตวสวัตตี พวกเทวดาชั้นปรนิม-
มติ วสวตั ตไี มท่ ราบ ไดใ้ หไ้ ปถามทา้ วปรนมิ มติ วสวตั ต ี ทา้ วปรนมิ มติ วสวตั ตี
ไมท่ ราบ ไดใ้ หไ้ ปถามพวกเทวดาพรหมกายกิ า พวกเทวดาพรหมกายกิ า
ไม่ทราบ ได้ให้ไปถามท้าวมหาพรหม  เม่ือไปถามท้าวมหาพรหม
ทา้ วมหาพรหมพยายามหลกี เลยี่ ง บา่ ยเบย่ี งทจ่ี ะไมต่ อบอยพู่ กั หนงึ่ แลว้
ในทส่ี ดุ กไ็ ดส้ ารภาพวา่ พวกเทวดาทง้ั หลายพากนั คดิ วา่ ทา้ วมหาพรหมเอง

203

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

เป็นผู้รู้เห็นไปทุกส่ิงทุกอย่าง แต่ที่จริงก็ไม่รู้ในปัญหาท่ีว่า มหาภูต ๔
จกั ดบั ไปในทไี่ หนนน้ั เลย มนั เปน็ ความผดิ พลาดของภกิ ษนุ น้ั เอง ทไ่ี มไ่ ป
ทลู ถามพระผมู้ ีพระภาค).

เกวฏั ฏะ  ล�ำ ดบั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ไดห้ ายตวั จากพรหมโลก
มาปรากฏข้างหน้าเรา เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำ�ลังเหยียด
แขนท่ีงออยู่ออกไป หรืองอแขนท่ีเหยียดไว้เข้ามา จากน้ัน
เธอไหว้เราแล้วน่ัง ณ ท่ีควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วถามเราว่า
ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   มหาภตู ๔ คอื ธาตดุ นิ ธาตนุ �้ำ ธาตไุ ฟ
ธาตุลม เหลา่ น้ี ยอ่ มดบั สนทิ ไมม่ เี หลือในที่ไหน ดงั นี.้

เกวฏั ฏะ  เมอ่ื เธอถามอยา่ งน้ี เราไดก้ ลา่ วกะภกิ ษนุ น้ั วา่
แน่ะภิกษุ  เร่ืองเคยมีมาแล้ว พวกค้าทางทะเล ได้พานก
ส�ำ หรบั คน้ หาฝงั่  (นกตรี ทสั ส)ี ไปกบั เรอื ดว้ ย เมอ่ื มองไมเ่ หน็ ฝงั่
พวกเขาปล่อยนกสำ�หรับค้นหาฝ่ังนั้นไป นกน้ันบินไปทาง
ทศิ ตะวนั ออกบา้ ง ทศิ ใตบ้ า้ ง ทศิ ตะวนั ตกบา้ ง ทศิ เหนอื บา้ ง
ทิศเบ้ืองบนบ้าง ทิศน้อยๆ บ้าง เม่ือมันเห็นฝ่ังทางทิศใด
แลว้ มนั กจ็ ะบนิ ตรงไปยงั ทศิ นน้ั แตถ่ า้ มนั ไมเ่ หน็ ฝง่ั กจ็ ะบนิ
กลบั มาสเู่ รอื ตามเดมิ   ภกิ ษ ุ เชน่ เดยี วกบั เธอนน้ั แหละ ไดเ้ ทย่ี ว
แสวงหาค�ำ ตอบของปญั หาน้ี มาจนกระทง่ั ถงึ พรหมโลกแลว้
กไ็ มไ่ ดค้ �ำ ตอบ ในท่สี ุดก็ยงั ตอ้ งยอ้ นมาหาเราอีก.

204

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ

ภิกษุ  ในปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรต้ังคำ�ถาม
อย่างนั้นวา่ มหาภตู ๔ คือ ธาตดุ ิน ธาตนุ ้ำ� ธาตุไฟ ธาตุลม
เหล่าน้ี ย่อมดับสนิทไม่มีเหลือในท่ีไหน อันท่ีจริง เธอควร
จะต้งั ค�ำ ถามข้นึ อยา่ งนว้ี ่า

ดนิ น�้ำ ไฟ ลม ยอ่ มตั้งอยไู่ ม่ได้ในที่ไหน ความยาว
ความสน้ั ความเลก็ ความใหญ่ ความงาม ความไมง่ าม ยอ่ ม
ตง้ั อยู่ไม่ไดใ้ นทีไ่ หน นามและรูป ยอ่ มดับสนิทไมม่ เี หลือใน
ทไ่ี หน ดังน้ี ต่างหาก.

ภิกษุ  ในปญั หานน้ั คำ�ตอบมีดงั นี้
สงิ่ อนั พงึ รแู้ จง้ ไมม่ ปี รากฏการณ์ ไมม่ ที ส่ี ดุ แตม่ ี
ทางปฏบิ ตั เิ ขา้ มาถงึ ไดโ้ ดยรอบ นนั้ มอี ยู่ ในสง่ิ นนั้ แหละ ดนิ
น�้ำ ไฟ ลม ตงั้ อยไู่ มไ่ ด้ ในสงิ่ นน้ั แหละ ความยาว ความสน้ั
ความเลก็ ความใหญ่ ความงาม ความไมง่ าม ตง้ั อยไู่ มไ่ ด้
ในสงิ่ นน้ั แหละ นามและรปู ยอ่ มดบั สนทิ ไมม่ เี หลอื นามรปู
ดับสนิทในสง่ิ น้ี เพราะการดบั สนทิ ของวญิ ญาณ ดงั น.ี้

เนอ้ื ความในย่อหนา้ สุดท้าย มีบาลีอย่างนี้

วิ ฺ าณ อนทิ สสฺ น อนนตฺ  สพพฺ โต ปภ  เอตถฺ อาโป
จ ปวี จ เตโช วาโย น คาธต ิ เอตถฺ ทฆี จฺ รสสฺ จฺ อนน ถลู 
สภุ าสภุ   เอตถฺ นามจฺ รปู จฺ อเสส อปุ รชุ ฌฺ ต ิ วิ ฺ าณสสฺ
นโิ รเธน เอตเฺ ถต อปุ รชุ ฌฺ ตตี .ิ

205

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

สิ่งนั้นมอี ยู่ 82

-บาลี อ.ุ ข.ุ ๒๕/๒๐๖/๑๕๘.

ภิกษุท้ังหลาย  อายตนะน้ันมีอยู่1 เป็นสิ่งซึ่งไม่มี
ดิน ไม่มีน้ำ� ไม่มีไฟ ไม่มีลม ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ
ไม่ใชว่ ญิ ญาณัญจายตนะ ไม่ใช่อากญิ จญั ญายตนะ ไม่ใช่
เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ไมใ่ ชโ่ ลกนี้ ไมใ่ ชโ่ ลกอนื่ ไมใ่ ช่
ดวงจันทร์ หรอื ดวงอาทิตย์ทง้ั สองอย่าง.

ภิกษุท้ังหลาย  ในส่ิงน้ัน เราไม่กล่าวว่ามีการมา
ไมก่ ลา่ ววา่ มกี ารไป ไมก่ ลา่ ววา่ มกี ารตง้ั อยู่ ไมก่ ลา่ ววา่ มกี ารจตุ ิ
ไมก่ ลา่ ววา่ มกี ารอปุ บตั ิ สง่ิ นน้ั ไมไ่ ดต้ ง้ั อยู่ สง่ิ นน้ั ไมไ่ ดเ้ ปน็ ไป
และสง่ิ น้ันไมใ่ ชอ่ ารมณ์ นน่ั แหละ คือ ทีส่ ดุ แห่งทุกข์.

พระสูตรนี้ มบี าลีอย่างน้ี

อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตน ยตฺถ เนว ปวี น อาโป
น เตโช น วาโย น อากาสานฺจายตน น วิ ฺ าณจฺ ายตน
น อากิ จฺ ฺ ายตน น เนวสฺ านาสฺ ายตน นาย โลโก
น ปรโลโก น อโุ ภ จนทฺ ิมสุรยิ า.

ตมห ภกิ ขฺ เว เนว อาคตึ วทามิ น คตึ น ิตึ น จตุ ึ
น อปุ ปตตฺ ึ อปปฺ ตฏิ ฺ  อปปฺ วตตฺ  อนารมมฺ ณเมว ต เอเสวนโฺ ต
ทุกฺขสสฺ าติ.

1. คำ�น้ี มสี ำ�นวนแปลอยา่ งอน่ื อกี เชน่ สง่ิ ๆ นน้ั มอี ยู่ เปน็ ตน้ .  -ผรู้ วบรวม
206

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

ช่อื ว่านิพพาน อนั บคุ คลเห็นไดย้ าก 83

-บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๔๗๘/๗๕๑., -บาลี อ.ุ ข.ุ ๒๕/๒๐๗,๒๐๘/๑๕๙,๑๖๑.

ชอ่ื วา่ นพิ พานอนั บคุ คลเหน็ ไดย้ าก ไมม่ คี วามนอ้ มไป
เพราะวา่ นพิ พานนน้ั เปน็ ธรรมชาตจิ รงิ แท้ อนั บคุ คลเหน็
ไมไ่ ดง้ า่ ยเลย ตณั หาอนั บคุ คลแทงตลอดแลว้ เพราะรอู้ ยู่
เห็นอยู่ จงึ ไม่มกี ิเลสเครอ่ื งกงั วล.

ความหว่นั ไหวย่อมมีแก่บุคคลผ้อู ันตัณหาและทิฏฐิ
อาศัยแล้ว ความหว่ันไหวย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้อันตัณหา
และทฏิ ฐไิ มอ่ าศยั แลว้ เมอ่ื ความหวน่ั ไหวไมม่ ี ปสั สทั ธยิ อ่ มมี
เมื่อปัสสัทธิมี ความน้อมไปย่อมไม่มี เมื่อความน้อมไป
ไมม่ ี การมาและการไปยอ่ มไมม่ ี เมอื่ การมาและการไปไมม่ ี
การจุติและอุปบัติย่อมไม่มี เมื่อการจุติและอุปบัติไม่มี
อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่ง
โลกทั้งสอง น่ันแหละ คือ ทส่ี ดุ แห่งทกุ ข์.

ใน ๓ พระสูตรนี้ มีบาลอี ย่างนี้

ททุ ทฺ ส อนต นาม น หิ สจจฺ  สทุ สสฺ น ปฏวิ ทิ ธฺ า ตณหฺ า
ชานโต ปสสฺ โต นตฺถิ กิฺจนนตฺ .ิ

นิสฺสิตสฺส จลิต อนิสฺสิตสฺส จลิต นตฺถิ จลิเต อสติ
ปสฺสทธฺ ิ ปสฺสทธฺ ยิ า สติ นติ น โหติ นตยิ า อสติ อาคติคติ น
โหติ อาคติคติยา อสติ จุตูปปาโต น โหติ จุตูปปาเต อสติ
เนวธิ น หุร น อภุ ยมนฺตเร เอเสวนโฺ ต ทุกขฺ สสฺ าต.ิ

207

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ
84
นพิ พานของคนตาบอด

-บาลี ม. ม. ๑๓/๒๘๑/๒๘๗.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาแต่ก่อน
คือข้อที่พระสมณโคดมได้กล่าวคำ�น้ีว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างย่ิง
นิพพานเป็นสขุ อย่างยิง่ ดงั นี ้ ขา้ แต่พระโคดมผเู้ จริญ  ขา้ พเจ้ากไ็ ด้เคย
ฟงั คำ�กลา่ วน้ี ของปรพิ พาชกผเู้ ปน็ อาจารยแ์ หง่ อาจารยก์ ลา่ วอยวู่ า่ ความไมม่ ี
โรคเป็นลาภอย่างย่ิง นิพพานเป็นสุขอย่างย่ิง ดังน้ี ด้วยเหมือนกัน
ข้าแต่พระโคดมผ้เู จริญ  ข้อน้ชี ่างตรงกนั นัก.

มาคัณฑิยะ  ข้อน้ีท่านฟังมาแต่ปริพพาชกผู้เป็น
อาจารย์แห่งอาจารย์ ท่ีกล่าวอยู่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภ
อยา่ งยง่ิ นิพพานเปน็ สขุ อยา่ งยิ่ง ดงั น้ีนั้น ความไม่มโี รคนัน้
เป็นอยา่ งไร นิพพานน้นั เป็นอย่างไร.

เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคตรสั อยา่ งนแี้ ลว้ มาคณั ฑยิ ปรพิ พาชก ไดล้ บู
รา่ งกายของตนดว้ ยฝา่ มอื แลว้ รอ้ งขนึ้ วา่ ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ   นยี่ งั ไงละ่
ความไมม่ โี รค นยี่ งั ไงละ่ นพิ พาน พระโคดมผเู้ จรญิ   เวลานี้ ขา้ พเจา้ เปน็ สขุ
ไมม่ ีโรค ไม่มอี าพาธอะไรๆ.

มาคัณฑิยะ  ข้อน้ีเปรียบเหมือนบุรุษตาบอดมาแต่
ก�ำ เนดิ เขาไมอ่ าจเหน็ รปู สดี �ำ หรอื สขี าว ไมอ่ าจเหน็ รปู สเี ขยี ว
ไม่อาจเห็นรูปสีเหลือง ไม่อาจเห็นรูปสีแดง ไม่อาจเห็นรูป
สีชมพู ไม่อาจเห็นพื้นท่ีอันสม่ำ�เสมอหรือขรุขระ ไม่อาจ

208

เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

เห็นดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ เขาได้ยินคนตาดี
กล่าวอยู่ว่า  ท่านผู้เจริญ  ผ้าขาวเน้ือดี สะอาด ไม่มีมลทิน
งดงามนกั หนอ บรุ ษุ ตาบอดนนั้ กเ็ ทยี่ วแสวงหาผา้ ขาว  บรุ ษุ
คนหนงึ่ ลวงเขาดว้ ยผา้ เกา่ เปอื้ นเขมา่ วา่ บรุ ษุ ผเู้ จรญิ   นผี้ า้ ขาว
เนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนัก สำ�หรับท่าน  บุรุษ
ตาบอดนน้ั รบั ผา้ นนั้ มาหม่ แลว้ พดู ออกมาดว้ ยความดใี จวา่
ท่านผู้เจริญท้ังหลาย  น้ีผ้าขาวเน้ือดี สะอาด ไม่มีมลทิน
งดงามนกั หนอ ดังน้ี.

มาคัณฑิยะ  ท่านจะสำ�คัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
บรุ ษุ ตาบอดแตก่ �ำ เนดิ นน้ั เปน็ ผรู้ อู้ ยเู่ หน็ อยู่ แลว้ รบั เอาผา้ เกา่
เป้ือนเขม่าน้ันมาห่ม และพูดออกมาด้วยความดีใจว่า
ท่านผู้เจริญท้ังหลาย  นี้ผ้าขาวเน้ือดี สะอาด ไม่มีมลทิน
งดงามนกั หนอ ดงั นี้ หรอื วา่ เขาพดู อยา่ งนน้ั เพราะเชอื่ คนตาดี
ทลี่ วงเขา.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  บุรุษตาบอดแต่กำ�เนิดนั้นเป็นผู้ไม่รู้
ไม่เห็น แล้วก็รับเอาผ้าเก่าเปื้อนเขม่าน้ันมาห่ม และพูดออกมาด้วย
ความดีใจว่า ท่านผู้เจริญท้ังหลาย  น้ีผ้าขาวเน้ือดี สะอาด ไม่มีมลทิน
งดงามนกั หนอ ดงั น ้ี ทเี่ ขาพดู เชน่ นน้ั เพราะเชอื่ คนตาดที ลี่ วงเขาเทา่ นนั้ .

209

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

มาคัณฑยิ ะ  ฉนั ใดก็ฉนั นั้นเหมือนกนั ทีป่ รพิ พาชก
เดยี รถยี เ์ หลา่ อนื่ เปน็ คนบอดไมม่ จี กั ษุ ไมร่ จู้ กั ความไมม่ โี รค
ไมเ่ หน็ นพิ พาน เมอื่ เปน็ เชน่ นน้ั กย็ งั มากลา่ วคาถานว้ี า่ ความ
ไมม่ โี รคเปน็ ลาภอย่างย่ิง นพิ พานเปน็ สุขอย่างยิง่ ดงั น้ี.

มาคณั ฑยิ ะ  คาถานี้ เปน็ คาถาทพี่ ระอรหนั ตสมั มา-
สมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลายในกาลกอ่ น กล่าวกนั แล้ววา่

ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างย่ิง นิพพานเป็นสุข
อยา่ งยง่ิ ทางมอี งค์ ๘ เปน็ ทางอนั เกษมกวา่ ทางทงั้ หลาย
ซึ่งเป็นเคร่ืองให้ถึงอมตะ ดังนี้น้ัน บัดน้ี ได้มากลายเป็น
คาถาของปุถชุ นกล่าวไปเสยี แล้ว.

มาคัณฑิยะ  กายน้ีแหละเป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี
เป็นดังลูกศร เป็นความยากลำ�บาก เป็นอาพาธ ท่านก็มา
กล่าวซ่ึงกายน้ีท่ีเป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร
เป็นความยากลำ�บาก เป็นอาพาธ ว่าเป็นความไม่มีโรค
เป็นนิพพาน  มาคัณฑิยะ  อริยจักษุสำ�หรับจะรู้จักความ
ไม่มีโรค จะเห็นนพิ พานของท่านไม่มิี …

ข้าพระองค์เลื่อมใสต่อท่านพระโคดมผู้เจริญอย่างน้ีแล้ว
ขอทา่ นพระโคดมผเู้ จรญิ โปรดแสดงธรรมแกข่ า้ พระองค์ โดยประการที่
ข้าพระองค์จะรจู้ กั ความไม่มีโรคและเห็นนพิ พานได้.

210

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : จติ มโน วิญญาณ

มาคณั ฑยิ ะ  เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ ตาบอดมาแตก่ �ำ เนดิ
เขาไมอ่ าจเหน็ รปู สดี �ำ หรอื สขี าว ไมอ่ าจเหน็ รปู สเี ขยี ว ไมอ่ าจ
เห็นรูปสีเหลือง ไม่อาจเห็นรูปสีแดง ไม่อาจเห็นรูปสีชมพู
ไมอ่ าจเหน็ พน้ื ทอ่ี นั สม�่ำ เสมอหรอื ขรขุ ระ ไมอ่ าจเหน็ ดวงดาว
ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ เขาได้ยินคนตาดีกล่าวอยู่ว่า
ทา่ นผเู้ จรญิ   ผา้ ขาวเนอื้ ดี สะอาด ไมม่ มี ลทนิ งดงามนกั หนอ
บรุ ษุ ตาบอดนนั้ กเ็ ทย่ี วแสวงหาผา้ ขาว  บรุ ษุ คนหนง่ึ ลวงเขา
ดว้ ยผา้ เกา่ เปอื้ นเขมา่ วา่ บรุ ษุ ผเู้ จรญิ   นผี้ า้ ขาวเนอื้ ดี สะอาด
ไมม่ มี ลทนิ งดงามนกั ส�ำ หรบั ทา่ น  บรุ ษุ ตาบอดนน้ั รบั ผา้ นนั้
มาห่มแล้ว.

ในกาลต่อมา มิตร อำ�มาตย์ ญาติสาโลหิตของเขา
เชิญแพทย์ผ่าตัดผู้ชำ�นาญมารักษา แพทย์นั้นท�ำ ยาอันถ่าย
โทษในเบ้ืองบน ถ่ายโทษในเบ้ืองล่าง ยาหยอด ยากัดและ
ยานัตถุ์ เขาอาศัยยาน้ันแล้วจึงมองเห็นได้ ชำ�ระตาให้ใสได้
พร้อมกับการที่มีตาดีขึ้นนั้น เขาย่อมละความรักใคร่พอใจ
ในผ้าเน้ือเลวเปื้อนเขม่าเสียได้ เขาจะพึงเบียดเบียนบุรุษ
ทล่ี วงเขานน้ั โดยความเปน็ ศตั รู โดยความเปน็ ขา้ ศกึ และจะ
สำ�คัญว่าควรปลงชีวิตบุรุษน้ันด้วยความแค้น โดยกล่าวว่า
ท่านผู้เจริญท้ังหลาย  เราถูกบุรุษน้ีคดโกง หลอกลวง

211

พุทธวจน - หมวดธรรม

ปลน้ิ ปลอกดว้ ยผา้ เนอ้ื เลวเปอื้ นเขมา่ มานานหนกั หนอ โดย
หลอกเราวา่ บรุ ษุ ผเู้ จรญิ   นแ้ี หละเปน็ ผา้ ขาวเนอ้ื ดี เปน็ ของ
งดงาม ปราศจากมลทิน เปน็ ผ้าสะอาดส�ำ หรบั ท่าน ดงั น.้ี

มาคัณฑิยะ  ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าเรา
แสดงธรรมแก่ท่านว่า อย่างนี้เป็นความไม่มีโรค อย่างนี้
เป็นนิพพาน ดังนี้  ท่านจะรู้จักความไม่มีโรค จะพึงเห็น
นิพพานได้ ก็ต่อเม่ือท่านละความกำ�หนัดด้วยอำ�นาจความ
พอใจ (ฉนทฺ ราโค) ในอปุ าทานขนั ธท์ งั้ ๕ เสยี ได้ พรอ้ มกบั การ
เกิดข้ึนแห่งจักษุของท่าน  อนึ่ง ความรู้สึกจะพึงเกิดข้ึน
แก่ท่านว่า  ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  เราถูกจิตนี้คดโกง
หลอกลวง ปล้ินปลอก มานานนักหนอ จึงเราเม่ือยึดม่ัน
ก็ยึดมั่นเอาแล้ว ซ่ึงรูป ซึ่งเวทนา ซ่ึงสัญญา ซ่ึงสังขาร
และซ่ึงวญิ ญาณ นน่ั เทยี ว.

เพราะความยึดม่ัน (อุปาทาน) ของเรานั้นเป็นปัจจัย
จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็น
ปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะ
ทง้ั หลาย จงึ เกดิ ขนึ้ ครบถว้ น ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ข์
ทัง้ สิ้นน้ี ย่อมมดี ้วยอาการอยา่ งนี้ ดงั น้ี.

212

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

ยนื คนละท่ี เห็นคนละแบบ (นยั ท่ี ๑) 85

-บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๒๖๒/๓๙๒.

… อคั คเิ วสสนะ  ราชกมุ ารนนั้ จะพงึ ไดป้ ระโยชนจ์ าก
ความทเ่ี ธอกลา่ วแลว้ แตท่ ไ่ี หน ความขอ้ นนั้ อนั บคุ คลจะพงึ รู้
พึงเห็น พึงบรรลุ พึงกระทำ�ให้แจ้งกันได้ด้วยเนกขัมมะ
แตเ่ พราะชยเสนราชกมุ ารยงั อยทู่ า่ มกลางกาม ยงั บรโิ ภคกาม
ยังถูกกามวิตกเคี้ยวกิน ยังถูกความเร่าร้อนเพราะกาม
แผดเผา ยงั ขวนขวายในการแสวงหากามอยู่ แลว้ จะรู้ จะเหน็
หรือจะกระท�ำ ให้แจง้ ซงึ่ ความข้อนน้ั นน่ั ไม่ใชฐ่ านะที่มไี ด.้

อัคคิเวสสนะ  เปรียบเหมือนคู่แห่งช้างท่ีควรฝึก
หรือคู่แห่งม้าท่ีควรฝึก หรือคู่แห่งโคท่ีควรฝึก คู่หน่ึงที่ถูก
ฝึกดี ถูกแนะนำ�ดีแล้ว ส่วนอีกคู่หน่ึงไม่ได้ถูกฝึก ไม่ได้ถูก
แนะนำ�  อัคคิเวสสนะ  เธอจะสำ�คัญความข้อนั้นว่าอย่างไร
คู่แห่งช้างท่ีควรฝึก หรือคู่แห่งม้าท่ีควรฝึก หรือคู่แห่งโค
ท่ีควรฝึก ท่ีถูกฝึกดีแล้ว ถูกแนะนำ�ดีแล้วน้ัน จะพึงถึงเหตุ
แห่งสัตว์ทีฝ่ ึกแลว้ 1 พึงบรรลภุ มู แิ หง่ สัตวท์ ี่ฝกึ แล้วใช่ไหม

ใช่ พระเจ้าข้า.

1. ประโยคน้ี มาจากคำ�บาลีท่ีว่า ทนฺตาว ทนฺตการณ คจฺเฉยฺยุ ซ่ึงมีสำ�นวนแปล
อยา่ งอน่ื อกี เชน่ จงึ เลยี นเหตกุ ารณท์ ฝ่ี กึ แลว้ ,  จะเรยี นรเู้ หตกุ ารณท์ ผ่ี ฝู้ กึ ฝกึ แลว้
เปน็ ตน้ .  -ผรู้ วบรวม
213

พุทธวจน - หมวดธรรม

สว่ นคแู่ หง่ ชา้ งทคี่ วรฝกึ หรอื คแู่ หง่ มา้ ทคี่ วรฝกึ หรอื
คแู่ หง่ โคทคี่ วรฝกึ ทไี่ มไ่ ดร้ บั การฝกึ ไมไ่ ดร้ บั การแนะน�ำ นน้ั
จะพงึ ถงึ เหตแุ หง่ สตั วท์ ฝ่ี กึ แลว้ พงึ บรรลภุ มู แิ หง่ สตั วท์ ฝ่ี กึ แลว้
เหมือนอย่างคู่ทีฝ่ ึกดแี ลว้ แนะน�ำ ดแี ลว้ น้ันไดไ้ หม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าขา้ .

อคั คเิ วสสนะ  ฉนั ใดกฉ็ นั นนั้ เหมอื นกนั ความขอ้ นน้ั
อันบุคคลจะพึงรู้ พึงเห็น พึงบรรลุ พึงกระทำ�ให้แจ้งกันได้
ดว้ ยเนกขมั มะ แตเ่ พราะชยเสนราชกมุ ารยงั อยทู่ า่ มกลางกาม
ยังบริโภคกาม ยังถูกกามวิตกเคี้ยวกิน ยังถูกความเร่าร้อน
เพราะกามแผดเผา ยังขวนขวายในการแสวงหากามอยู่
แล้วจะรู้ จะเห็น หรือจะกระทำ�ให้แจ้งซ่ึงความข้อนั้น
นน่ั ไม่ใช่ฐานะที่มีได้.

อคั คเิ วสสนะ  เปรยี บเหมอื นมภี เู ขาใหญ่ อยไู่ มห่ า่ ง
ไกลจากหมู่บ้านหรือนิคม มีสหาย ๒ คนออกจากหมู่บ้าน
หรือนิคมเพ่ือไปยังภูเขาลูกนั้น แล้วก็จูงมือกันเข้าไปยัง
ท่ีภูเขานั้นต้ังอยู่ ครั้นแล้ว สหายคนหน่ึง ยืนอยู่ท่ีเชิงภูเขา
ดา้ นลา่ ง สหายอกี คนหนง่ึ ขนึ้ ไปยงั ขา้ งบนภเู ขา สหายคนทย่ี นื
อยทู่ เี่ ชงิ ภเู ขาดา้ นลา่ ง เอย่ ถามสหายผยู้ นื อยขู่ า้ งบนภเู ขานน้ั

214

เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : จติ มโน วิญญาณ

อย่างน้ีว่า  แน่ะเพื่อน  เท่าท่ีเพื่อนยืนอยู่ข้างบนภูเขาน้ัน
เพ่ือนเห็นอะไรบ้าง สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า  เพื่อนเอ๋ย 
เรายนื อยขู่ า้ งบนภเู ขาแลว้ มองเหน็ สวนอนั นา่ รน่ื รมย์ มองเหน็
ปา่ ไมอ้ นั นา่ รน่ื รมย์ มองเหน็ ภมู ภิ าคอนั นา่ รน่ื รมย์ และมองเหน็
สระโบกขรณีอนั นา่ รื่นรมย.์

สหายผู้ที่อยู่ด้านล่างกล่าวอย่างนี้ว่า  แน่ะเพื่อน 
นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย ที่เพื่อนเมื่อยืนอยู่ข้างบน
ภูเขาแล้ว จะมองเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ จะมองเห็นป่าไม้
อนั นา่ รน่ื รมย์ จะมองเหน็ ภมู ภิ าคอนั นา่ รน่ื รมย์ หรอื จะมองเหน็
สระโบกขรณอี ันนา่ รื่นรมย์.

สหายผทู้ ย่ี นื อยขู่ า้ งบนภเู ขา จงึ ลงมายงั เชงิ เขาดา้ นลา่ ง
แลว้ จูงแขนสหายคนน้นั ให้ขนึ้ ไปขา้ งบนภเู ขาลกู น้นั พักให้
หายเหนื่อยกันครู่หน่ึงแล้ว ได้เอ่ยถามสหายคนน้ันว่า 
แน่ะเพ่ือน  เท่าท่ีเพ่ือนยืนอยู่ข้างบนภูเขาแล้ว เพ่ือนเห็น
อะไร สหายคนนน้ั ตอบอยา่ งนว้ี า่   เพอ่ื นเอย๋  เรายนื อยขู่ า้ งบน
ภูเขาแล้ว มองเห็นสวนอันน่าร่ืนรมย์ มองเห็นป่าไม้อัน
น่ารื่นรมย์ มองเห็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ และมองเห็น
สระโบกขรณีอันนา่ รนื่ รมย์.

215

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

สหายผู้ที่ขึ้นไปก่อนกล่าวว่า  แน่ะเพื่อน  เราพ่ึง
เข้าใจคำ�ท่ีท่านกล่าวอย่างน้ีว่า  เพื่อนเอ๋ย  นั่นไม่ใช่ฐานะ
ไมใ่ ชโ่ อกาสเลย ทเ่ี พอ่ื นเมอ่ื ยนื อยขู่ า้ งบนภเู ขาแลว้ จะมองเหน็
สวนอนั นา่ รน่ื รมย์ จะมองเหน็ ปา่ ไมอ้ นั นา่ รน่ื รมย์ จะมองเหน็
ภูมิภาคอันน่าร่ืนรมย์ หรือจะมองเห็นสระโบกขรณีอัน
นา่ รน่ื รมยเ์ ดี๋ยวน้เี อง.

และสหายผู้ที่ข้ึนไปทีหลังนั้นกล่าวว่า  แน่ะเพื่อน 
เราก็เพิ่งเข้าใจคำ�ท่ีท่านกล่าวอย่างน้ีว่า  เพ่ือนเอ๋ย  เรายืน
อยู่ข้างบนภูเขาแล้ว มองเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ มองเห็น
ปา่ ไมอ้ นั นา่ รน่ื รมย์ มองเหน็ ภมู ภิ าคอนั นา่ รน่ื รมย์ และมองเหน็
สระโบกขรณอี นั นา่ รื่นรมย์เดยี๋ วนีเ้ หมือนกนั .

สหายผู้ที่ข้ึนไปก่อนกล่าวอย่างนี้ว่า  เพ่ือนเอ๋ย 
แท้จริงแล้ว เราถูกภูเขาลูกใหญ่น้กี ้นั ไว้ จึงมองไม่เห็นส่งิ ท่ี
ควรเหน็ .

อัคคิเวสสนะ  ฉันใดก็ฉันน้ันเหมือนกัน ชยเสน-
ราชกุมาร ถูกกองอวิชชาท่ีใหญ่ย่ิงกว่าภูเขาลูกน้ันก้ันไว้
ปิดบังไว้ รึงรัดไว้ ห่อหุ้มไว้แล้ว ชยเสนราชกุมารน้ัน
อยู่ท่ามกลางกาม ยังบริโภคกาม ยังถูกกามวิตกเคี้ยวกิน
ยังถูกความเร่าร้อนเพราะกามแผดเผา ยังขวนขวายในการ

216

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ

แสวงหากามอยู่ แล้วจะรู้ จะเห็น หรือจะกระทำ�ให้แจ้งซึ่ง
ความข้อนั้น อันบุคคลจะพึงรู้ พึงเห็น พึงบรรลุ พึงกระทำ�
ให้แจ้งกนั ไดด้ ว้ ยเนกขัมมะ น่ันไมใ่ ช่ฐานะท่ีมีได้.

อคั คเิ วสสนะ  ถา้ อปุ มา ๒ ขอ้ ทน่ี า่ อศั จรรยน์ ้ี เธอพงึ
ทำ�ให้แจ่มแจ้งแก่ชยเสนราชกุมารได้ ชยเสนราชกุมารก็จะ
เล่ือมใสเธอ และเม่ือเลื่อมใสแล้ว ก็จะทำ�อาการของบุคคล
ผู้เลอ่ื มใสต่อเธอ.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์จะอธิบายอุปมา ๒ ข้อท่ี
น่าอัศจรรย์ ท่ีข้าพระองค์ยังไม่เคยได้ฟังมาก่อน ให้แจ่มแจ้งแก่
ชยเสนราชกุมาร เหมือนพระผู้มีพระภาคได้อย่างไรเล่า พระเจ้าข้า. ...

ใน ๒ ยอ่ หน้าสุดทา้ ย มีบาลอี ย่างน้ี

สเจ โข ต อคฺคเิ วสฺสน ชยเสนสฺส ราชกมุ ารสสฺ อมิ า
เทวฺ อปุ มา ปฏิภาเสยฺยุ อนจฉฺ ริยนฺเต1 ชยเสโน ราชกุมาโร
ปสเี ทยยฺ ปสนฺโน จ เต ปสนฺนาการ กเรยยฺ าติ.

กุโต ปน ม ภนฺเต ชยเสนสฺส ราชกุมารสฺส อิมา
เทฺว อุปมา ปฏิภาสิสฺสนฺติ อนจฺฉริยา ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา
เสยยฺ ถาปิ ภควนฺตนตฺ .ิ

1. บาลคี ำ�น้ี นยิ มแปลกนั วา่ นา่ อศั จรรย์ โดยแปลตามนยั ฎกี า สารตถฺ ทปี นี ภาค ๑
หนา้ ๕๓๐ ซง่ึ แกไ้ วว้ า่ อนอุ จฉฺ รยิ าต.ิ   -ผรู้ วบรวม
217

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ
ยนื คนละที่ เห็นคนละแบบ (นัยที่ ๒) 86

-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๙๐/๙๗๖.

ภิกษุท้ังหลาย  ปริยายที่อินทรีย์ ๕ อาศัยแล้วเป็น
พละ ๕  ท่พี ละ ๕ อาศัยแล้วเป็นอนิ ทรีย์ ๕ มอี ยู ่ ปรยิ ายท่ี
อินทรยี ์ ๕ อาศัยแล้วเป็นพละ ๕  ที่พละ ๕ อาศัยแลว้ เป็น
อินทรยี ์ ๕ เป็นอยา่ งไร.

ภิกษุทั้งหลาย  สิ่งใดเป็นสัทธินทรีย์ ส่ิงนั้นเป็น
สทั ธาพละ  สงิ่ ใดเปน็ สทั ธาพละ สงิ่ นนั้ เปน็ สทั ธนิ ทรยี  ์ สง่ิ ใด
เป็นวิริยินทรีย์ ส่ิงนั้นเป็นวิริยพละ  สิ่งใดเป็นวิริยพละ
สง่ิ นน้ั เปน็ วริ ยิ นิ ทรยี  ์ สง่ิ ใดเปน็ สตนิ ทรยี ์ สง่ิ นนั้ เปน็ สตพิ ละ 
สง่ิ ใดเปน็ สตพิ ละ สง่ิ นนั้ เปน็ สตนิ ทรยี  ์ สงิ่ ใดเปน็ สมาธนิ ทรยี ์
สิ่งนั้นเป็นสมาธิพละ  ส่ิงใดเป็นสมาธิพละ สิ่งนั้นเป็น
สมาธินทรีย์ สิ่งใดเป็นปัญญินทรีย์ ส่ิงน้ันเป็นปัญญาพละ 
สิ่งใดเปน็ ปัญญาพละ สง่ิ นน้ั เป็นปัญญินทรีย.์

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เปรยี บเหมอื นแมน่ �ำ้ ซง่ึ ไหลไปทางทศิ
ตะวนั ออก หลง่ั ไปทางทศิ ตะวนั ออก บา่ ไปทางทศิ ตะวนั ออก
ท่ีตรงกลางแม่นำ้�น้ันมีเกาะ ปริยายที่กระแสแห่งแม่น้ำ�นั้น
อาศัยแล้ว ย่อมถึงซ่ึงความนับว่ากระแสเดียวมีอยู่ อน่ึง
ปรยิ ายทก่ี ระแสแหง่ แมน่ �ำ้ นน้ั อาศยั แลว้ ยอ่ มถงึ ซง่ึ ความนบั วา่
สองกระแสมอี ย.ู่

218

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : จิต มโน วิญญาณ

ภิกษุทั้งหลาย  ก็ปริยายที่กระแสแห่งแม่น้ำ�นั้น
อาศัยแล้ว ย่อมถึงซ่ึงความนับว่ากระแสเดียวเป็นอย่างไร
คอื น้ำ�ในทส่ี ดุ ดา้ นตะวนั ออก และในที่สดุ ดา้ นตะวนั ตกแหง่
เกาะนนั้ ปรยิ ายนแี้ ล ทก่ี ระแสแหง่ แมน่ �้ำ นนั้ อาศยั แลว้ ยอ่ มถงึ
ซ่งึ ความนบั วา่ กระแสเดยี ว.

ภิกษุทั้งหลาย  ก็ปริยายท่ีกระแสแห่งแม่น้ำ�นั้น
อาศัยแล้ว ย่อมถึงซ่ึงความนับว่าสองกระแสเป็นอย่างไร
คือน้ำ�ในท่ีสุดด้านเหนือ และในท่ีสุดด้านใต้แห่งเกาะน้ัน 
ปริยายน้ีแล ที่กระแสแห่งแม่น้ำ�น้ันอาศัยแล้ว ย่อมถึง
ซง่ึ ความนับวา่ สองกระแส.

ภิกษุท้งั หลาย  ฉันใดฉันน้นั ก็เหมือนกัน ส่งิ ใดเป็น
สัทธินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสัทธาพละ  ส่ิงใดเป็นสัทธาพละ
ส่ิงน้ันเป็นสัทธินทรีย์  ส่ิงใดเป็นวิริยินทรีย์ ส่ิงนั้นเป็น
วิริยพละ  สิ่งใดเป็นวิริยพละ สิ่งนั้นเป็นวิริยินทรีย์  ส่ิงใด
เป็นสตินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสติพละ  ส่ิงใดเป็นสติพละ สิ่งน้ัน
เปน็ สตนิ ทรยี  ์ สง่ิ ใดเปน็ สมาธนิ ทรยี ์ สง่ิ นน้ั เปน็ สมาธพิ ละ  สง่ิ ใด
เปน็ สมาธพิ ละ สง่ิ นนั้ เปน็ สมาธนิ ทรยี  ์ สง่ิ ใดเปน็ ปญั ญนิ ทรยี ์
ส่ิงนั้นเป็นปัญญาพละ  ส่ิงใดเป็นปัญญาพละ สิ่งนั้นเป็น
ปญั ญนิ ทรยี ์.

219

พุทธวจน - หมวดธรรม

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เพราะความทอ่ี นิ ทรยี ์ ๕ อนั ตนเจรญิ
แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ภกิ ษจุ งึ กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ
ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะไมไ่ ด้ เพราะอาสวะทงั้ หลายสนิ้ ไป
ด้วยปัญญาอนั ยง่ิ เองในปัจจุบัน เขา้ ถึงอย.ู่

220

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : จติ มโน วิญญาณ

อปุ าทานและที่ตัง้ แหง่ อปุ าทาน 87

-บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๐๒/๓๐๙.

ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมเป็นท่ีต้ังแห่ง
อปุ าทานและอุปาทาน เธอทัง้ หลายจงฟงั .

ภิกษุทั้งหลาย  ก็ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานเป็น
อย่างไร  และอปุ าทานเปน็ อย่างไร.

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  รปู เปน็ ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ อปุ าทาน
ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในรปู ชอ่ื วา่ อปุ าทาน.

ภิกษุทั้งหลาย  เวทนา เป็นธรรมเป็นที่ต้ังแห่ง
อปุ าทาน  ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในเวทนา
ชอื่ วา่ อุปาทาน.

ภิกษุทั้งหลาย  สัญญา เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง
อปุ าทาน  ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในสญั ญา
ช่ือว่าอปุ าทาน.

ภิกษุทั้งหลาย  สังขาร เป็นธรรมเป็นท่ีต้ังแห่ง
อปุ าทาน  ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในสงั ขาร
ช่อื ว่าอุปาทาน.

221

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

ภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณ เป็นธรรมเป็นท่ีตั้งแห่ง
อปุ าทาน ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในวญิ ญาณ
ช่ือว่าอปุ าทาน.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ขนั ธเ์ หลา่ นเ้ี รยี กวา่ ธรรมเปน็ ทต่ี งั้
แห่งอุปาทาน ฉันทราคะ (ความกำ�หนัดด้วยอำ�นาจความพอใจ)
นเ้ี รยี กว่าอุปาทาน.

(ในสตู รอนื่ ทรงแสดง อปุ าทานยิ ธรรม ดว้ ยอายตนะภายในหก
-บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๑๐/๑๖๐. และอายตนะภายนอกหก -บาลี สฬา. ส.ํ
๑๘/๑๓๖/๑๙๐.  -ผู้รวบรวม)

222

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

ขันธ์ ๕ และอปุ าทานขนั ธ์ ๕ 88

-บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๕๘/๙๕.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เราจะแสดงขนั ธ์ ๕ และอปุ าทานขนั ธ์ ๕
เธอทง้ั หลายจงฟงั . 

ภิกษุทง้ั หลาย  ก็ขันธ์ ๕ เปน็ อย่างไร.
ภกิ ษทุ งั้ หลาย  รปู อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ทง้ั ทเี่ ปน็ อดตี
อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม  อยู่ในท่ี
ไกลหรือใกลก้ ต็ าม  นเี้ รยี กว่า รูปขันธ์.
ภิกษุท้ังหลาย  เวทนาอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ทั้งที่เป็น
อดตี อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก
กต็ าม หยาบหรอื ละเอยี ดกต็ าม เลวหรอื ประณตี กต็ าม  อยใู่ น
ที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม  น้ีเรียกว่า เวทนาขันธ.์
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  สญั ญาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทง้ั ทเี่ ปน็
อดตี อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก
กต็ าม หยาบหรอื ละเอยี ดกต็ าม เลวหรอื ประณตี กต็ าม  อยใู่ น
ท่ีไกลหรือใกล้ก็ตาม  นี้เรยี กว่า สญั ญาขนั ธ์.
ภกิ ษุท้งั หลาย  สงั ขารอย่างใดอย่างหนง่ึ ท้งั ท่ีเป็น
อดีต อนาคต หรือปัจจุบันกต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก

223

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

กต็ าม หยาบหรอื ละเอยี ดกต็ าม เลวหรอื ประณตี กต็ าม  อยใู่ น
ทไ่ี กลหรอื ใกลก้ ต็ าม  น้เี รียกว่า สังขารขนั ธ.์

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  วญิ ญาณอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทงั้ ทเ่ี ปน็
อดตี อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก
กต็ าม หยาบหรอื ละเอยี ดกต็ าม เลวหรอื ประณตี กต็ าม  อยใู่ น
ที่ไกลหรือใกลก้ ็ตาม  นเ้ี รียกว่า วญิ ญาณขนั ธ.์

ภกิ ษทุ ้ังหลาย  เหล่าน้ีเรยี กว่า ขันธ์ ๕.
ภกิ ษุทั้งหลาย  กอ็ ุปาทานขันธ์ ๕ เป็นอยา่ งไร.
ภกิ ษทุ งั้ หลาย  รปู อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ทงั้ ทเี่ ปน็ อดตี
อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม  อยู่ในที่
ไกลหรือใกล้ก็ตาม  อันเป็นไปกับดว้ ยอาสวะ  เปน็ ปจั จยั
แกอ่ ปุ าทาน  นเ้ี รยี กวา่ อปุ าทานขนั ธค์ ือรปู .
ภิกษุทัง้ หลาย  เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทง้ั ทีเ่ ป็น
อดตี อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก
ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม 
อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม  อันเป็นไปกับด้วยอาสวะ 
เปน็ ปจั จยั แกอ่ ปุ าทาน  นเ้ี รยี กวา่ อปุ าทานขนั ธค์ ือเวทนา.

224

เปิดธรรมท่ีถูกปิด : จิต มโน วิญญาณ

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  สญั ญาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทง้ั ทเ่ี ปน็
อดตี อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก
ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในท่ีไกลหรือใกล้ก็ตาม อันเป็นไปกับด้วยอาสวะ
เปน็ ปจั จยั แกอ่ ปุ าทาน  นเ้ี รยี กวา่ อปุ าทานขนั ธค์ อื สญั ญา.

ภกิ ษทุ ัง้ หลาย  สังขารอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ทั้งทีเ่ ปน็
อดตี อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก
ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม 
อยู่ในท่ีไกลหรือใกล้ก็ตาม  อันเป็นไปกับด้วยอาสวะ 
เปน็ ปจั จยั แกอ่ ปุ าทาน  นเ้ี รยี กวา่ อปุ าทานขนั ธค์ อื สงั ขาร.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  วญิ ญาณอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทง้ั ทเ่ี ปน็
อดตี อนาคต หรอื ปจั จบุ นั กต็ าม  เปน็ ภายในหรอื ภายนอก
ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม  เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม อันเป็นไปกับด้วยอาสวะ
เปน็ ปจั จยั แกอ่ ปุ าทาน  นเ้ี รยี กวา่ อปุ าทานขนั ธค์ อื วญิ ญาณ.

ภิกษทุ ง้ั หลาย  เหล่าน้เี รยี กว่า อปุ าทานขนั ธ์ ๕.

225

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : จติ มโน วิญญาณ
89
มูลรากของอุปาทานขันธ์

-บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๑๐๑/๑๒๑.

ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   อปุ าทานขนั ธ์ มอี ยู่ ๕ ประการนเี้ ทา่ นนั้
ใชไ่ หม คอื อปุ าทานขันธค์ อื รูป  อปุ าทานขนั ธค์ ือเวทนา  อุปาทานขนั ธ์
คอื สญั ญา  อปุ าทานขนั ธค์ อื สงั ขาร  อปุ าทานขนั ธค์ อื วญิ ญาณ พระเจา้ ขา้ .

ภิกษุ  อุปาทานขันธ์ มีอยู่ ๕ ประการนี้เท่านั้น คือ 
อุปาทานขันธ์คือรูป  อุปาทานขันธ์คือเวทนา 
อุปาทานขันธ์คือสัญญา  อุปาทานขันธ์คือสังขาร
อปุ าทานขนั ธ์คือวิญญาณ.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ มีอะไรเป็น
มูลราก พระเจ้าขา้ .

ภกิ ษ ุ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เหลา่ น ้ี มฉี นั ทะ (ความพอใจ)
เปน็ มลู ราก (ฉนฺทมลู กา)1.

1. ดเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั สง่ิ ทม่ี ฉี นั ทะเปน็ มลู ไดท้ ห่ี นา้ 292.  -ผรู้ วบรวม.
226

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ

อุปาทานกบั อุปาทานขนั ธ์ 90
ไมใ่ ชอ่ ยา่ งเดียวกัน

-บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๑๐๑/๑๒๑.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น
เป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าอุปาทานเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่อุปาทานขันธ์ ๕
พระเจ้าข้า.

ภิกษุ  อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ น้ัน  ไม่ใช่
อยา่ งเดยี วกนั   แตอ่ ปุ าทานนนั้ กไ็ มไ่ ดม้ อี ยใู่ นทอี่ น่ื นอกไป
เสียจากอุปาทานขันธ์ ๕  ภิกษุ  ความกำ�หนัดด้วยอำ�นาจ
ความพอใจ (ฉนั ทราคะ) ในอปุ าทานขนั ธ์ ๕ นนั่ แหละ นเ้ี ปน็
ตัวอปุ าทาน.

227

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : จติ มโน วิญญาณ
สัญโญชนแ์ ละทตี่ ้งั แหง่ สัญโญชน์ 91

-บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๐๒/๓๐๘.

ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง
สญั โญชน์และสญั โญชน์ เธอทงั้ หลายจงฟงั .

ภิกษุทั้งหลาย  ก็ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งสัญโญชน์เป็น
อยา่ งไร  และสญั โญชน์เปน็ อย่างไร.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  รปู เปน็ ธรรมเปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ สญั โญชน ์
ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในรปู ชอ่ื วา่ สญั โญชน.์

ภิกษุทั้งหลาย  เวทนา เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง
สญั โญชน ์ ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในเวทนา
ชอ่ื ว่าสัญโญชน์.

ภิกษุทั้งหลาย  สัญญา เป็นธรรมเป็นที่ต้ังแห่ง
สญั โญชน ์ ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในสญั ญา
ชอื่ วา่ สัญโญชน์.

ภิกษุทั้งหลาย  สังขาร เป็นธรรมเป็นท่ีตั้งแห่ง
สญั โญชน ์ ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจในสงั ขาร
ชื่อว่าสญั โญชน์.

228

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ

ภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณ เป็นธรรมเป็นที่ต้ังแห่ง
สัญโญชน์  ความกำ�หนัดด้วยอำ�นาจความพอใจใน
วญิ ญาณ ชอื่ วา่ สัญโญชน์.

ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ขนั ธเ์ หลา่ นเี้ รยี กวา่ ธรรมเปน็ ทตี่ ง้ั
แหง่ สญั โญชน ์ ฉนั ทราคะ (ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความพอใจ)
นเ้ี รียกวา่ สญั โญชน.์

(ในสตู รอน่ื ทรงแสดง สญั โญชนยิ ธรรม ดว้ ยอายตนะภายในหก
-บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๑๐/๑๕๙.  และอายตนะภายนอกหก -บาลี สฬา. ส.ํ
๑๘/๑๓๕/๑๘๙.  -ผรู้ วบรวม)

229

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ

ความผูกตดิ กบั อารมณ์ 92

-บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๔๓/๖๖.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงช่ือว่า
เป็นผมู้ ีการอยอู่ ยา่ งมเี พ่ือนสอง พระเจ้าขา้ .

มิคชาละ  รูปทั้งหลายที่จะรับรู้ได้ด้วยตา อันน่า
ปรารถนา นา่ รักใคร่ นา่ พอใจ มลี ักษณะนา่ รัก เป็นทเี่ ขา้ ไป
ตัง้ อาศยั อย่แู หง่ ความใคร่ เป็นท่ีตง้ั แห่งความก�ำ หนดั มีอย.ู่

ถา้ หากวา่ ภกิ ษยุ อ่ มเพลดิ เพลนิ พร�ำ่ ถงึ สยบมวั เมา
ซงึ่ รปู นนั้ เมอื่ ภกิ ษเุ พลดิ เพลนิ พร�่ำ ถงึ สยบมวั เมาซง่ึ รปู นนั้ อยู่
นนั ท ิ (ความเพลดิ เพลนิ ) ย่อมเกิดขน้ึ .

เมอ่ื นันทิ มอี ยู่ สาราคะ (ความพอใจอยา่ งยิง่ ) ยอ่ มมี
เมื่อสาราคะ มีอยู่ สัญโญคะ (ความผูกติดกับอารมณ์)
ย่อมมี.
มคิ ชาละ  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยการผกู ตดิ
กบั อารมณด์ ว้ ยอ�ำ นาจแหง่ ความเพลนิ  (นนทฺ สิ โฺ ชนสย ตุ โฺ ต)
นั่นแหละ เราเรียกวา่ ผู้มกี ารอยูอ่ ยา่ งมเี พือ่ นสอง.
มิคชาละ  เสียงทั้งหลายที่จะรับรู้ได้ด้วยหู อันน่า
ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั … ถา้ หากวา่
ภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำ�ถึง สยบมัวเมาซึ่งเสียงนั้น …

230

เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ

นนั ทิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ  (อปุ ปฺ ชชฺ ติ นนทฺ )ิ เมอื่ นนั ทิ มอี ย ู่ (นนทฺ ยิ า สต)ิ
สาราคะ ยอ่ มม ี (สาราโค โหต)ิ เมอ่ื สาราคะ มอี ยู่ (สาราเค สต)ิ
สญั โญคะ ย่อมม ี (สโฺ โค โหต)ิ .

มคิ ชาละ  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยการผกู ตดิ
กบั อารมณด์ ว้ ยอ�ำ นาจแหง่ ความเพลนิ นน่ั แหละ เราเรยี กวา่
ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง.

มคิ ชาละ  กลนิ่ ท้งั หลายท่จี ะรบั ร้ไู ดด้ ว้ ยจมกู อันน่า
ปรารถนา นา่ รักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะนา่ รกั …ถ้าหากวา่
ภกิ ษยุ อ่ มเพลดิ เพลนิ พร�ำ่ ถงึ สยบมวั เมาซงึ่ กลนิ่ นนั้ … นนั ทิ
ยอ่ มเกดิ ขน้ึ เมอื่ นนั ทิ มอี ยู่ สาราคะ ยอ่ มมี เมอ่ื สาราคะ มอี ยู่
สัญโญคะ ย่อมมี.

มคิ ชาละ  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยการผกู ตดิ
กบั อารมณด์ ว้ ยอ�ำ นาจแหง่ ความเพลนิ นน่ั แหละ เราเรยี กวา่
ผมู้ ีการอย่อู ยา่ งมเี พือ่ นสอง.

มิคชาละ  รสท้ังหลายท่ีจะรับรู้ได้ด้วยลิ้น อันน่า
ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั … ถา้ หากวา่
ภกิ ษยุ อ่ มเพลดิ เพลนิ พร�ำ่ ถงึ สยบมวั เมาซงึ่ รสนน้ั … นนั ทิ
ยอ่ มเกดิ ขน้ึ เมอื่ นนั ทิ มอี ยู่ สาราคะ ยอ่ มมี เมอื่ สาราคะ มอี ยู่
สัญโญคะ ย่อมมี.

231

พทุ ธวจน - หมวดธรรม

มคิ ชาละ  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยการผกู ตดิ
กบั อารมณด์ ว้ ยอ�ำ นาจแหง่ ความเพลนิ นน่ั แหละ เราเรยี กวา่
ผมู้ กี ารอยอู่ ยา่ งมเี พอ่ื นสอง.

มิคชาละ  โผฏฐัพพะท้ังหลายที่จะรับรู้ได้ด้วยกาย
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก …
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พรำ่�ถึง สยบมัวเมาซ่ึง
โผฏฐพั พะนน้ั … นนั ทิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ เมอ่ื นนั ทิ มอี ยู่ สาราคะ
ยอ่ มมี เมอ่ื สาราคะ มอี ยู่ สญั โญคะ ยอ่ มม.ี

มคิ ชาละ  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยการผกู ตดิ
กบั อารมณด์ ว้ ยอ�ำ นาจแหง่ ความเพลนิ นน่ั แหละ เราเรยี กวา่
ผมู้ กี ารอยอู่ ยา่ งมเี พอ่ื นสอง.

มคิ ชาละ  ธรรมทง้ั หลายทจี่ ะรบั รไู้ ดด้ ว้ ยมโน อนั นา่
ปรารถนา น่ารกั ใคร่ นา่ พอใจ มีลักษณะนา่ รัก เปน็ ท่เี ขา้ ไป
ต้ังอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นท่ีตั้งแห่งความกำ�หนัดมีอยู่
ถา้ หากวา่ ภกิ ษยุ อ่ มเพลดิ เพลนิ พร�ำ่ ถงึ สยบมวั เมาซง่ึ ธรรมนน้ั
เม่ือภิกษุเพลิดเพลิน พรำ่�ถึง สยบมัวเมา ซ่ึงธรรมนั้นอยู่
นนั ทิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ เมอ่ื นนั ทิ มอี ยู่ สาราคะ ยอ่ มมี เมอื่ สาราคะ
มอี ยู่ สัญโญคะ ยอ่ มม.ี

232


Click to View FlipBook Version