การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.นายชญากัญจน์ คงนิธิปภา รหัส 64031280101 2.นางสาวกัณฐิกา ปราบประโคน รหัส 64031280104 3.นายชิษณุพงศ์ เอี่ยวเฉย รหัส 64031280116 Section. 14 รายงานการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ รหัสวิชา 1043412 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2566
รายงานการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดย 1.นายชญากัญจน์ คงนิธิปภา รหัส 64031280101 2.นางสาวกัณฐิกา ปราบประโคน รหัส 64031280104 3.นายชิษณุพงศ์ เอี่ยวเฉย รหัส 64031280116 Section. 14 รายงานการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ รหัสวิชา 1043412 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2566
ก กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดีเพราะได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุน ชี้แนะและคอย ช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก อาจารย์ดร.อิสระ ทับสีสด และ อาจารย์อุษณีย์เขนยทิพย์ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และอาจารย์ทินกฤตภัชร์ รุ่งเมือง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และ ครูธนานนท์ ศรีคำ ผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้ประเมิน แบบวิเคราะห์ความเที่ยงตรงและให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะทางวิชาการ แนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในการทำวิจัยในชั้นเรียน ตลอดจนตรวจทานงานวิจัยให้แก่ผู้จัดทำมาโดยตลอด ผู้จัดทำวิจัยรู้สึกซาบซึ้ง เป็นอย่างยิ่งและขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย กราบขอพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์อิสระ ทับสีสด ที่กรุณาเป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ ตลอดจนการลงมือปฏิบัติทำงาน ตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จลุล่วง จนงานวิจัยนี้สมบูรณ์ กราบขอพระคุณอาจารย์ อุษณีย์ เขนยทิพย์ อาจารย์ ทินกฤตภัชร์ รุ่งเมือง และ ครูธนานนท์ ศรีคำ ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมินแบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและตรวจสอบความ เหมาะสมของงานวิจัย พร้อมทั้งให้คำแนะนำจนงานวิจัยในชั้นเรียนนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณ คณะผู้จัดทำในกลุ่ม นายชญากัญจน์ คงนิธิปภา นางสาวกัณฐิกา ปราบประโคน นายชิษณุพงศ์ เอี่ยวเฉย ที่ร่วมช่วยกันทำงานวิจัยในชั้นเรียน จนสำเร็จลุล่วงไปจนถึงเป้าหมายที่วางไว้ทั้ง 5 บทจนสมบูรณ์แบบ ลงชื่อ………………………………………….(หัวหน้ากลุ่ม) (นายชญากัญจน์ คงนิธิปภา) ลงชื่อ………………………………………….(สมาชิกกลุ่ม) (นางสาวกัณฐิกา ปราบประโคน) ลงชื่อ………………………………………….(สมาชิกกลุ่ม) (นายชิษณุพงศ์ เอี่ยวเฉย)
ข การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวสมองเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.นายชญากัญจน์ คงนิธิปภา* 2.นางสาวกัณฐิกา ปราบประโคน* 3.นายชิษณุพงศ์ เอี่ยวเฉย* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้กระทำกับกลุ่มตัวอย่างเดียวที่ถูกคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มตามหลักการความน่าจะเป็น อย่างง่ายจากนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา (ชุมชนร่วมจิต) อำเภอ ท่า ปลา จังหวัด อุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 44 คน วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ จัดกิจกรรมการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองใช้ ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้จามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ระเบียบวิธีการวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง เครื่องมือการวิจัยซึ่งผ่านการหาประสิทธิภาพแล้ว ประกอบด้วยชุดฝึกกิจกรรม แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน แบบวัดระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired - Sample t Test ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สร้างขึ้นตามแนวคิดของ Eric jensen นั้น เมื่อนำมาทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเขียนบท ร้อยกรอง ( กาพย์ยานี ๑๑ ) เพื่อเปรียบเทียบระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้จากการใช้ชุดกิจกรรมการเขียน บทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเดียวกัน ตามเกณฑ์ของ สพฐ. ผลสัมฤทธิ์การ เรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกกรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) อยู่ที่ระดับค่อนข้างดี และด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน อยู่ที่ ระดับดีมาก เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบด้วย Paired - Sample t Test การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย ชุดฝึกทักษะกสนเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ทำให้กลุ่ม
ค ตัวอย่างมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การรู้สูงกว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อย กรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % มีความพึง พอใจต่อเฉพาะการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) ที่ระดับค่อนข้างดี และต่อการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ที่ระดับมากที่สุด คำสำคัญ: * นักศึกษาวิชาเอกสาขาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
ง สารบัญ เรื่อง หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข สารบัญเนื้อหา ง สารบัญตาราง ฉ บทที่ 1 บทนำ 1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา 1 คำถามการวิจัย 5 วัตถุประสงค์การวิจัย 5 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 6 ขอบเขตการวิจัย 6 นิยามคำศัพท์เฉพาะ 7 สมมติฐานการวิจัย 9 บทที่ 2 ทบทวนเอกสารและวิจัยที่เกี่ยวข้อง 13 การวิจัยในชั้นเรียน 13 นวัตกรรมทางการศึกษา 18 นวัตกรรมเฉพาะ 20 เทคนิคการสอน 23 วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 25 เครื่องมือการวิจัย 27 ระดับความพึงพอใจ 33 ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ 35 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 38 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย 43 ระเบียบวิธีการวิจัย 43 แหล่งข้อมูลการวิจัย 43 เครื่องมือการวิจัย 43 การดำเนินการรวบรวมข้อมูล 49 การวิเคราะห์ข้อมูล 50
จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 51 การพัฒนาผลการเรียนรู้ 51 ผลการพัฒนา 56 ระดับความพึงพอใจ 60 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะผลการวิจัย 63 สรุปผลการวิจัย 63 อภิปรายผลการวิจัย 64 ข้อเสนอแนะ 66 เอกสารอ้างอิง 68 ภาคผนวก 69 ภาคผนวก 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 73 ภาคผนวก 2 บันทึกข้อความ 99 ภาคผนวก 3 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินความเหมาะสม 113 ภาคผนวก 4 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินความพึงพอใจ 127 ภาคผนวก 5 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบ 141 ภาคผนวก 6 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแผนการจัดการเรียนรู้ 187 ภาคผนวก 7 แบบประเมินความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะ 197 ภาคผนวก 8 แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ 211 ภาคผนวก 9 ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 221 ภาคผนวก 10 แผนการจัดการเรียนรู้ 279 ประวัตินักวิจัย 319
ฉ สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ 1 แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 52 ตารางที่ 2 แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 54 ตารางที่ 3 แสดงคะแนนจากทำแบบทดสอบก่อน และ หลัง การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ 56 ตารางที่ 4 แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลัง การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ 59 ตารางที่ 5 แสดงระดับความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง ที่มีต่อการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 60
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่ง ที่จะช่วยให้การจัดการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ ดัง จะเห็นได้จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของไทย ได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและกำหนดมาตรา หลาย มาตราที่ชี้ให้เห็นว่าการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้สำหรับการพัฒนาผู้เรียนให้เต็ม ศักยภาพ กล่าวคือ มาตรา 22 ระบุให้การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มาตรา 24 (5) ระบุให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไป พร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการต่าง ๆ มาตรา 30 ระบุให้สถานศึกษาพัฒนา กระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. 2566) กวีทั้งในอดีตและปัจจุบันผู้สร้างสรรค์สมบัติวรรณศิลป์จึงมีค่าควรแก่การยกย่อง ชื่นชม และ ศรัทธาในสติปัญญา ที่ได้แต่งคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ ได้อย่างไพเราะและมีความหมาย ผลงานต่าง ๆ ล้วนกลั่นกรองจากสติปัญญาอันเฉียบคม ผสมผสานกับความคิดวิจารณญาณอันสุขุมลุ่มลึก จนกลายเป็น ผลงานอันทรงคุณค่าและเป็นศรีสง่าแก่บ้านเมือง ชี้ให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของประเทศชาติ นอกจากนี้ งานวรรณคดีกวีนิพนธ์ยังจัดเป็นงานวิจิตรศิลป์ที่สำคัญอีกแขนงหนึ่งที่ต้องอาศัยอารมณ์สะเทือนใจมา กระทบใจของผู้ประพันธ์ ให้เกิดการแสดงออกผ่านกระบวนการทางวรรณศิลป์ ดังที่พระยาอนุมานราช ธน ได้กล่าวไว้ว่า หนังสือที่แต่งเป็นร้อยกรอง ย่อมมีมาก่อนหนังสือที่แต่งเป็นร้อยแก้วเป็นแน่ เพราะอาจ แสดงออกในเรื่องความคิด ความรู้สึกอันเกิดจากอารมณ์ ที่คนที่เกิดอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ ถึงขนาด ยอมสำแดงความรู้สึกออกมาเป็นกลอน คือ มีเสียงสูง ต่ำ สั้น ยาว หนัก เบา ได้ดีกว่า ฉะนั้นหนังสือที่เป็น กลอนจึงอ่านได้คล่อง เพราะฟังเกลี้ยงเกลา และท่องจำได้ง่าย จัดเป็นผลงานทางศิลปะ ซึ่งต้องอาศัยการ แสดงออกที่ดีเป็นพาหะนำความนึกคิดสะเทือนใจ และจินตนาการของผู้แต่งออกสู่ผู้อ่าน โดยเลือกวิธีการ แสดงความรู้สึก ความคิด ความสะเทือนใจ และจินตนาการด้วยการแต่งเป็นบทร้อยกรอง (กุหลาบ มัลลิ กะมาส. 2517) ทั้งนี้บทร้อยกรองยังมีคุณค่าในตัวเอง คือ มีความงามด้านรูปด้วยฉันทลักษณ์และการ
2 สัมผัส ความงามด้านรสด้วยรสแห่งวรรณคดี ความงามด้านพจน์ด้วยถ้อยคำภาษาที่ไพเราะ เกิดภาพพจน์ และความงามด้านเสียงที่ไพเราะด้วยคำ มีคุณค่าต่อผู้แต่งด้านจิตใจ สติปัญญา และด้านสังคม (นภาลัย สุวรรณธาดา. 2533) อีกทั้งร้อยกรองยังมีคุณค่าต่อผู้อ่านอีกหลายประการ กาพย์ยานี ๑๑ นับเป็นบท ร้อยกรองของวรรณคดีไทยอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งกาพย์ยานี ๑๑ คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการของผู้ส่งสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้รับสารสามารถอ่านเข้าใจ ได้รับ ทราบความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการเหล่านั้นได้ (ติวฟรี. 2566) กล่าวคือ บทร้อยกรองจะ กล่อมเกลาจิตใจทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน ให้เป็นจิตใจที่ละเอียดอ่อนประณีต มองโลกในแง่ดี มีความคิดและ จินตนาการ ด้วยความสำคัญดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ไว้ในกลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาไทย ตัวชี้วัดที่ ท 4.1 ป.5/6 มีสาระการเรียนรู้แกนกลางว่า แต่งบทร้อยกรอง กาพย์ยานี ๑๑ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 นับแต่ปีการศึกษาก่อนหน้า พบว่าเฉพาะผลการเรียนรู้เรื่องการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ ของตัวชี้วัดที่ ท 4.1 ป.5/6 ครูพี่เลี้ยงจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี๑๑) สำหรับการวัดและประเมินผลนั้น กำหนดเป็น 3 ด้านคือ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) กำหนดระดับผลการเรียนรู้เป็น 5 ระดับ ได้แก่ ดีมาก ดี ปานกลาง พอใช้ ปรับปรุง ดังนี้ และเกณฑ์คะแนนของแต่ละจากคะแนนเต็ม 100 กำหนดว่า ระดับ ดีมาก มีช่วงคะแนนร้อยละ 80 – 100 ระดับ ดีมีช่วงคะแนนร้อยละ 70 – 79 ระดับ ปานกลาง มี ช่วงคะแนนร้อยละ 60 – 69 ระดับ พอใช้มีช่วงคะแนนร้อยละ 50 – 59 ระดับ ปรับปรุง มีช่วงคะแนน ร้อยละ 0 – 49 สำหรับเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคลนั้น นักเรียนแต่ละคนต้องมีผลการ เรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ปานกลาง ส่วนเกณฑ์การประเมินผ่านผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียนนั้น ต้องมีคะแนน รวมเฉลี่ยอย่างน้อยร้อยละ 70 ของจำนวนทั้งหมด มีผลการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ปานกลาง จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการแต่งบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) ของ ตัวชี้วัดที่ ท 4.1 ป.5/6 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี๑๑) เมื่อทำการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านรวมกันคือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ/กระบวนการ และด้านคุณลักษณะอัน พึงประสงค์ พบว่า มีนักเรียนจำนวนร้อยละ 30 มีผลการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ปานกลาง ซึ่งผ่านเกณฑ์การ ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านพบว่า จำนวนร้อยละของนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ประเมินผ่านผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียนด้านทักษะการเขียนค่อนข้างต่ำ คือร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับ ระดับผลการเรียนรู้ด้านอื่น เมื่อวิเคราะห์สาเหตุพบว่า การสอนแต่งคำประพันธ์หรือบทร้อยกรองนั้น ผู้สอนมักประสบปัญหาต่าง ๆ เนื่องด้วยการแต่งคำประพันธ์ร้อยกรองเป็นการเขียนที่ค่อนข้าง สลับซับซ้อนมากกว่าการเขียนในรูปแบบอื่น ดังนั้นการสอนเขียนคำประพันธ์ร้อยกรองจึงดูเป็นเรื่องยาก สำหรับผู้สอน ส่วนในด้านผู้เรียนเองก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย (สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. 2534) ซึ่งสอดคล้องกับ (สุปราณี นาคราช. 2547) ที่กล่าวว่า สาเหตุที่การสอนเขียนร้อยกรองไม่ประสบ
3 ความสำเร็จ เนื่องจากผู้สอนไม่เห็นความสำคัญ ขาดแนวทางในการสอนเขียนร้อยกรอง รวมทั้งไม่เห็น คุณค่าและประโยชน์ของร้อยกรอง ทำให้ผู้สอนบางคนที่ไม่สนใจ หรือไม่ถนัดในด้านนี้ มักจะหลีกเลี่ยง การสอน โดยสอนตามความจำเป็น หรือสอนโดยไม่เน้นทักษะการเขียนร้อยกรองเท่ากับทักษะการเขียน อื่น ๆ ด้วยข้อบกพร่อง ข้อเสีย ของการจัดการเรียนรู้ในเรื่องของการแต่งบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะสร้างพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะ การเขียนให้สูงขึ้น การจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน (Brain – Based Learning : BBL) เป็นการจัดการ เรียนรู้ที่อาศัยความรู้ความเข้าใจการทำงานของสมอง เมื่อเกิดการเข้าใจแล้วก็นำไปสู่การออกแบบ กระบวนการเรียนรู้ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง ซึ่งอาศัยองค์ความรู้เกี่ยวกับ กระบวนการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลกับ ปัจจัยต่าง ๆ อันส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของสมอง เพื่อให้สมองเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวไม่ได้มีการกำหนดรูปแบบหรือขั้นตอนไว้อย่าง ชัดเจน ผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของเนื้อหาและบริบทของตนเอง (ออนไลน์. 2566)ดังที่ Eric Jensen นักการศึกษาผู้มีความเชี่ยวชาญด้านสมอง ได้กล่าวถึงกลยุทธ์ด้านการออกแบบ การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานไว้ว่า การออกแบบบทเรียนตามแนวคิดสมองเป็นฐานนี้ไม่มีรูปแบบ ที่แน่นอนตายตัว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากพื้นฐานความคิดที่ว่า สมองแต่ละสมองย่อมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ ตน ดังนั้นจึงไม่มีการออกแบบใดที่จะสามารถครอบคลุมความต้องการของสมองทั้งหมดได้ เพราะการ เรียนรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลย่อมต้องการวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างไปด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปร ได้แก่ พื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ วิธีพิเศษต่าง ๆ และประเภทของทักษะในการสอนการออกแบบการ จัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ซึ่ง Eric Jensen ได้เสนอขั้นตอนที่สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุดไว้ โดยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ประกอบด้วยขั้น เตรียมการ (Preparation Stage) ชั้นรับรู้ (Acquisition Stage) ขั้นขยายรายละเอียดเพิ่มเติม (Elaboration Stage) ขั้นสร้างความทรงจำ (Memory Formation Stage) และขั้นบูรณาการเพื่อ นำไปใช้(Functional Integration Stage) ด้าน พรพิไล เลิศวิชาและอัครภูมิ จารุภากร ได้ลำดับขั้นตอน ของกระบวนการที่สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุด ประกอบด้วยการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม การทำซ้ำ เพื่อให้สมองคุ้นเคยกับความรู้ใหม่ที่ได้รับ การทำซ้ำมากขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจความคิดรวบยอดและ ทักษะใหม่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และการขัดเกลาปรับปรุงผลงานของตนเองเพื่อ พัฒนาความรู้และทักษะเหล่านั้นให้ดียิ่งขึ้น การจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานเน้นด้านการสร้าง พื้นฐานความรู้ก่อนเริ่มเรียน โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายและเข้มข้น มีการใช้กระบวนการ กลุ่มเพื่อร่วมมือกันเรียนรู้ มีการลงมือกระทำซ้ำ เน้นย้ำ และทบทวนในเรื่องเดิมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ด้านการปฏิบัติและความเข้าใจในเรื่องที่เรียน เกิดเป็นความทรงจำระยะยาว เน้นการประเมินผลตาม สภาพจริงเพื่อพัฒนาผู้เรียนแต่ละบุคคล พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเองเพื่อพัฒนาขีด
4 ความสามารถได้อย่างต่อเนื่อง โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นเพียงที่ปรึกษาและผู้ออกแบบแนวทางเพื่อกระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งยังให้ความสำคัญกับอารมณ์อันเป็นส่วนประกอบและมีบทบาท สูงต่อการขับเคลื่อนการเรียนรู้ และยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการแต่งคำประพันธ์อันเป็นงานศิลปะที่ต้อง ใช้อารมณ์เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการแสดงออก ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานที่กล่าว มาแล้วนี้ย่อมเหมาะสมที่จะนำมาใช้กับการสอนแต่งคำประพันธ์อย่างแท้จริง(รัตถภรณ์ คำกมล. 2566) ชุดกิจกรรม มีชื่อเรียกต่าง ๆ มากมาย เช่น ชุดการสอน ชุดการเรียนสำเร็จรูป ชุดการเรียนด้วย ตนเอง ชุดกิจกรรม ซึ่งเป็นชุดของสื่อที่จัดทำขึ้นเพื่อการจัดการเรียนรู้ในหน่วยเรียนนั้น ๆ สำหรับคำว่า ชุดกิจกรรม ได้มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายไว้หลากหลายท่าน ดังนี้ (ปริญญ์ พวงนัดดา. 2544) กล่าวว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ชุดของสื่อการสอนหลาย ๆ ชนิดที่ นำมาใช้ร่วมกันในเนื้อหาเดียวกัน วัตถุประสงค์เดียวกัน โดยที่สื่อแต่ละชนิดทำหน้าที่ต่างกัน คือ บางชนิด ใช้เร้าความสนใจ บางชนิดใช้เสนอเนื้อหาข้อเท็จจริง บางชนิดใช้เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาค้นคว้า ด้วยตนเอง เมื่อนำสื่อแต่ละชนิดมาใช้ให้สัมพันธ์กัน (บุญชม ศรีสะอาด. 2541) กล่าวว่า ชุดการสอนหรือชุดกิจกรรม คือ สื่อการเรียนหลายอย่าง ประกอบกันจัดเข้าไว้เป็นชุด เรียกว่า สื่อประสม เพื่อมุ่งพัฒนาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ นอกจากจะใช้สำหรับนักเรียนเป็นรายบุคคลแล้วยังใช้ประกอบการสอนแบบอื่น เช่น ประกอบการบรรยาย การเรียนเป็นกลุ่มย่อย (บุญเกื้อ ควรหาเวช. 2542) ได้กล่าวถึงชุดกิจกรรมว่า เป็นชุดการเรียนการสอนที่ช่วยให้นักเรียน ได้รับความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะจัดเนื้อหาและประสบการณ์ที่ต้องการพัฒนา ประกอบไปด้วย หน่วยการเรียนรู้ จัดเป็นชุด ๆ แล้วแต่ผู้สร้างจะทำขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ และยังช่วยให้ผู้สอนเกิดความมั่นใจพร้อมที่จะสอนอีกด้วย (กรองกาญจน์ อรุณรัตน์. 2536) กล่าววา ชุดกิจกรรม คือ ชุดของโปรแกรมสื่อ ประสมที่มีการ นำวิธีการจัดระบบมาใช้ในการนำเสนอเนื้อหา และจัดกิจกรรมการเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า ด้วยตนเองตามความสามารถอัตราในการเรียนและรูปแบบการเรียนของ นักเรียนแต่ละคน (ประพฤติศิลพิพัฒน์. 2540) ได้ให้ความหมายของชุดการเรียนการสอน หรือชุดกิจกรรม วาเป็น สื่อที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง มีการจัดสื่อไว้อย่างเป็นระบบช่วยให้นักเรียนเกิดความ สนใจเรียนตลอดเวลา ทำให้เกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ สรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐานนั้น คือ สื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามกระบวนการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน และตามความสามารถของรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล โดยมีเนื้อหา กิจกรรม และการประเมินผลรวมไว้ด้วยกัน โดยมีผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวก คอยให้คำปรึกษา เมื่อ นักเรียนเกิดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจกรรมในชุดกิจกรรมนั้น
5 ด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอน ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา ที่ 22 มาตรา ที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากข้อบกพร่องหรือข้อเสียของชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) และความสำคัญของผลการเรียนรู้ด้านทักษะของตัวชี้วัดที่ ท 4.1 ป.5/6 เรื่อง การแต่ง บทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) นักวิจัยจึงมีแนวคิดที่จะทำวิจัยเพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อย กรอง (กาพย์ยานี ๑๑) โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา (ชุมชนร่วมจิต) ปีการศึกษา 2566 ผลการวิจัยจะทำให้นักเรียนระดับชั้นดังกล่าวมีผลการเรียนรู้ด้าน ทักษะของตัวชี้วัดที่ ท 4.1 ป.5/6 เรื่อง การแต่งบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) เพิ่มขึ้น คำถามการวิจัย 1. การพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทำอย่างไร 2. ผลการศึกษาการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นอย่างไร 3. ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลอง ใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ เป็นอย่างไร วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองใช้ ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑
6 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สำหรับการจัดกิจกรรมเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ให้กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. ทราบผลการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3. ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ 4. ผลการวิจัยจะนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบท ร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 5. ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ นักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ผ่านเกณฑ์ประเมินระดับชั้นเรียน ขอบเขตการวิจัย 1. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเทียบเคียงประชากรที่มีจำนวนไม่จำกัด (Infinite Population) 2. ขอบเขตด้านตัวแปร 2.1 ตัวแปรอิสระ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึก ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 จากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึก ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 จากการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน 2.2 ตัวแปรตาม 1. ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน
7 2. ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 3. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ จากการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 3. ขอบเขตด้านเนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ ตามตัวชี้วัดที่ 6 กาพย์ยานี ๑๑ มาตรฐานการ เรียนรู้ ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของ ภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ และสาระที่ 4 หลักการใช้ ภาษาไทย 4. ขอบเขตด้านระยะเวลาและสถานที่ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 ณ โรงเรียนอนุบาล ท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ นิยามคำศัพท์เฉพาะ 1. นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หมายถึง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน อนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ 2. นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัย หมายถึง นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำ การวิจัยที่สร้างขึ้นตามแนวคิด Active Learning โดยใช้ชุดกิจกรรม หลักการ คือ ช่วยพัฒนาความรู้ ความสามารถของผู้เรียนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว 3. ผลการเรียนรู้หมายถึง 3.1 นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้านทักษะการเขียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อย กรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) ก่อนใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน 3.2 ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยทดลอง ใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ )
8 3.3 ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภายหลังการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) 4. ระดับผลการเรียนรู้ หมายถึง ระดับผลการเรียนรู้ที่กำหนดตามเกณฑ์วัดและประเมินผลของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2550) ดังนี้ ดีเยี่ยม หรือ ระดับ 4.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 80-100 ดีมาก หรือ ระดับ 3.50 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 75-79 ดี หรือ ระดับ 3.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 65-79 ค่อนข้างดีหรือ ระดับ 2.50 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 65-69 ปานกลาง หรือ ระดับ 2.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-64 พอใช้หรือ ระดับ 1.50 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-64 ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ หรือ ระดับ 1.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-54 ต้องปรับปรุง หรือ ระดับ 0.00 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ยน้อยกว่า 50 5. การพัฒนาผลการเรียนรู้ หมายถึง ผลการเปรียบเทียบระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องกาพย์ยานี ๑๑ โดยทดลองใช้ชุด กิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) กับผลการเรียนรู้ระดับ ปานกลาง มีร้อยละของค่าเฉลี่ย ระหว่าง 60-69 6. ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน อนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการ เขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) โดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ประกอบด้วยความพึงพอใจด้านผู้สอน ด้านความรู้ ด้านกิจกรรม ด้าน บรรยากาศในการจัดการเรียนรู้ และด้านสื่อการเรียนรู้ 7. ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดย เรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึงน้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจมาก มี ความพึงพอใจปานกลาง มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับ ดังกล่าวกำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ยของบุญชม ศรีสะอาด (ออนไลน์. 2566) ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมากสุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด
9 สมมติฐานการวิจัย สมมติฐานการวิจัยที่ 1 จากทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ การเขียนกาพย์ยานี ๑๑ โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า โดยภาพรวมนักเรียนมีผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์ของ สพฐ. (2550) ที่ ระดับ ดี เมื่อวิเคราะห์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องดังกล่าวด้วยชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) พบว่า มีประเด็นที่เป็นปัญหาและควรปรับปรุงคือ การแต่งบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่ากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานมี สาระ สำคัญ คือ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่อาศัยความรู้ความเข้าใจการทำงานของสมอง เมื่อเกิดการเข้าใจ แล้วก็นำไปสู่การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง ซึ่ง สาระสำคัญดังกล่าวสัมพันธ์กับประเด็นที่เป็นปัญหาและควรปรับปรุงของชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อย กรอง (กาพย์ยานี ๑๑) คือ การอาศัยองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการ เรียนรู้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลกับปัจจัยต่าง ๆ อันส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของสมอง เพื่อให้สมองเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการจัดการเรียนรู้ตังกล่าว ไม่ได้มีการกำหนดรูปแบบหรือขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน ผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ของเนื้อหาและบริบทของตนเอง (ออนไลน์.2566)ดังที่ Eric Jensen นักการศึกษาผู้มีความเชี่ยวชาญ ด้านสมอง ได้กล่าวถึงกลยุทธ์ด้านการออกแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานไว้ว่า การออกแบบ บทเรียนตามแนวคิดสมองเป็นฐานนี้ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากพื้นฐานความคิด ที่ว่า สมองแต่ละสมองย่อมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตน ดังนั้นจึงไม่มี การออกแบบใดที่จะสามารถ ครอบคลุมความต้องการของสมองทั้งหมดได้ เพราะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ของแต่ละบุคคลย่อม ต้องการวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างไปด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปร ได้แก่ พื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ วิธี พิเศษต่าง ๆ และประเภทของทักษะในการสอนการออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ซึ่ง Eric Jensen ได้เสนอขั้นตอนที่สมอง เรียนรู้ได้ดีที่สุดไว้ โดยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ประกอบด้วยขั้นเตรียมการ (Preparation Stage) ขั้นรับรู้ (Acquisition Stage) ขั้นขยายรายละเอียดเพิ่มเติม (Elaboration Stage) ขั้นสร้างความทรงจำ (Memory Formation Stage) และขั้นบูรณาการเพื่อนำไปใช้(Functional Integration Stage และ จากการทบทวนเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังพบอีกว่า (รัตถภรณ์ คำกมล. 2558) ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี สำหรับ
10 นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวสมองเป็นฐาน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาการ เรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 (จารวีย์ คีรีนิล. 2564) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถ ด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียนประจวบวิทยาลัยโดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาผลการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 (ศิริชัย คชวงษ์. 2562) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถการแต่งคำประพันธ์ชองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนไทยรัฐ วิทยา 20 (บ้านหนองมะค่าโมง) โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีการพัฒนาผลการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 โดยการอ้างอิงแนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวก่อนหน้า จึงกำหนดสมมติฐานการวิจัย ข้อที่ 1 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน โดยทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียน บทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดกิจกรรมเรื่องเดียวกันโดยทดลองใช้ ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สมมติฐานการวิจัยที่ 2 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า (รัตนภรณ์ คำกมล. 2558 ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการแต่งคำ ประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐาน กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวสมองเป็นฐาน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัยดังกล่าวที่ระดับ มาก (จารวีย์ คีรีนิล. 2564) ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียนประจวบวิทยาลัยโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีด้วย เทคนิคเพื่อนคู่คิด ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัยดังกล่าวที่ระดับ เห็นด้วย (ศิริชัย คชวงษ์. 2562) ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาความสามารถการแต่งคำประพันธ์ชองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
11 ไทยรัฐวิทยา 20 (บ้านหนองมะค่าโมง) โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ ยานีผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยนวัตกรรมการ เรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัยดังกล่าวที่ระดับ มาก โดยการอ้างอิงเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมา จะเห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) มีผลต่อระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ดังนั้น จึงกำหนดสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 2 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการ เขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) โดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีผลต่อระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
12
13 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ผู้วิจัยขอเสนอผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยหัวข้อหลักตามลำดับดังนี้ 1. การวิจัยในชั้นเรียน 2. ความจำเป็นที่ครูต้องทำวิจัยในชั้นเรียน 3. นวัตกรรมทางการศึกษา 4. เครื่องมือการวิจัย 5. ความพึงพอใจ 6. ผลการเรียนรู้ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ละหัวข้อหลักดังกล่าว นำเสนอรายละเอียดตามลำดับขั้น ดังนี้ การวิจัยในชั้นเรียน 1. ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยปฏิบัติการที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยครูเป็นผู้ มีบทบาทสำคัญในการวางแผนแก้ปัญหา โดยศึกษาสภาพการณ์หรือปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน และครูแสวงหาวิธีการหรือนวัตกรรมในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ ปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือ พัฒนาสังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา และสะท้อนผลกลับต่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการ เรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อหาทางปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนบรรลุผลสำเร็จของการแก้ปัญหาหรือ พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน (พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2566) 2. ประเภทของการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยในชั้นเรียนมีทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ 2.1 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหาข้อเท็จจริงและ ข้อสรุปเชิงปริมาณ เน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยัน ความถูกต้องของข้อค้นพบ และสรุปต่าง ๆ มีการใช้เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยในการ เก็บรวบรวมข้อมูลเช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น
14 ขั้นตอนการวิจัยเชิงคุณภาพ 1. กำหนดเรื่องการวิจัย 2. เตรียมการรวบรวมข้อมูล 3. รวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ 4. บันทึกข้อมูลเชิงคุณภาพ 5. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ 6. สรุปผลและเขียนรายงาน 2.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยจะต้องลงไป ศึกษาสังเกต และกลุ่มบุคคลที่ต้องการศึกษาโดยละเอียดทุกด้านในลักษณะเจาะลึก ใช้วิธีการสังเกตแบบ มีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการเป็นหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูล จะใช้การวิเคราะห์เชิงเหตุผลไม่ได้มุ่งเก็บเป็น ตัวเลขมาทำการวิเคราะห์ ขั้นตอนการวิจัยเชิงปริมาณ 1. เลือกเรื่องการวิจัย 2. กำหนดประเด็นปัญหาย่อย 3. ตั้งสมมุติฐาน 4. ออกแบบการวิจัย 5. รวบรวมข้อมูล 6. วิเคราะห์ข้อมูลและแปรความหมาย 7. เสนอรายงานผลการวิจัย (นพเก้า ณ พัทลุง. 2550) 3. ความจำเป็นที่ครูต้องทำการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่ง ที่จะช่วยให้การจัดการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ ดังจะเห็นได้จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของไทย ได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและกำหนดมาตรา หลายมาตราที่ชี้ให้เห็นว่าการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้สำหรับการพัฒนาผู้เรียนให้เต็ม ศักยภาพ กล่าวคือ มาตรา 22 ระบุให้การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มาตรา 24 (5) ระบุให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไป พร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการต่าง ๆ มาตรา 30 ระบุให้สถานศึกษาพัฒนา
15 กระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. 2566) 4. ประโยชน์/ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน จากบทความทางวิชาการเรื่อง การวิจัยในชั้นเรียน : ทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ ใน วารสารวิชาการปีที่ 3 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2543 ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถึง คุณค่าและประโยชน์ของการวิจัย ในชั้นเรียนไว้ดังนี้ 1. ประโยชน์ต่อนักเรียนเอง การวิจัยในชั้นเรียนมีประโยชน์แก่นักเรียนเพราะนักเรียนมีความรู้พื้นฐานในด้านการเรียน หลากหลายและแตกต่างกัน ครูผู้สอนจะต้องจัดการเรียนการสอนให้หลากหลายและเหมาะสมกับ นักเรียน การวิจัยในชั้นเรียนจะทำให้ครูรู้ว่าจะใช้การเรียนการสอนเป็นกลุ่ม (Group) หรือเป็นรายบุคคล จะทำให้ครูค้นพบนวัตกรรม (Innovation) เพื่อใช้สอนนักเรียนจะส่งผลให้นักเรียนมีศักยภาพในด้าน การเรียนอย่างสูงสุด นอกจากนี้จะช่วยให้ครูผู้สอนแก้ปัญหาในด้านการเรียนการสอนแก่นักเรียนอย่าง เป็นระบบมีหลักเกณฑ์ส่งผลให้นักเรียนเป็นคนดีคนเก่งและมีความสุข 2. ประโยชน์ต่อครูผู้สอน การวิจัยในชั้นเรียนมีประโยชน์ต่อครูผู้สอนจะทำให้ครูมีการวางแผนการทำงานที่จะช่วย แก้ปัญหานักเรียนอย่างเป็นระบบมีหลักเกณฑ์ครูผู้สอนจะจัดทำแผนการสอนเพื่อเตรียมการสอนเป็น อย่างดีมีการสังเกต เพื่อบันทึกผลหลังการสอนสำหรับแก้ไขปัญหานักเรียนในชั้นเรียนเป็นรายบุคคลหรือ รายกลุ่ม การจัดทำแผนการสอนและทำวิจัยในชั้นเรียนจะช่วยให้ครูปรับแผนการสอนให้ดียิ่งขึ้น การ วิจัยในชั้นเรียนทำให้ครูมีความคิดสร้างสรรค์เตรียมการสอนและพัฒนาการสอนของตนเองตลอดเวลา ครูผู้สอนสามารถใช้การวิจัยในชั้นเรียนเป็นผลงานทางวิชาการ ครูผู้สอนจะเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ เมื่อ ผลิตผลงานวิจัยในชั้นเรียนออกมาในครั้งแรกอาจมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ครั้งต่อไปก็สามารถปรับปรุงแก้ไข ให้ดีกว่าเดิมและเผยแพร่ผลงานของตนเองได้ 3. ประโยชน์ต่อวงการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่มีครูทำการวิจัยในชั้นเรียนมากจะส่งผลให้โรงเรียนหรือ สถานศึกษามีมาตรฐาน ทางวิชาการสูง เพราะการวิจัยในชั้นเรียนจะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนสูงขึ้น การทำวิจัยในชั้นเรียนจะส่งผลให้ครูมีปฏิสัมพันธ์กัน มีการปรึกษาหารือทางการเรียนการ สอนมากขึ้น โรงเรียนและสถานศึกษาจะมีครูร่วมกันแก้ไขปัญหานักเรียนโดยการระดมความคิด (Brain Strom) แก้ไขปัญหานักเรียนอย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพสูงสุด ครูผู้สอนในวิชาต่าง ๆ จะ ช่วยเหลือการทำงาน เช่น ครูภาษาไทย ช่วยตรวจตัวสะกด ความถูกต้องของภาษา ครูคณิตศาสตร์จะ ช่วยเหลือในด้านการคํานวณค่าสถิติในด้านการวิจัย ครูที่สอนภาษาอังกฤษอาจช่วยเหลือในด้านการแปล บทความ และอ่านงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในชั้นเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษเป็นต้น การที่ครูผู้สอน ทำการวิจัยในชั้นเรียนจะส่งผลให้ครูขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ สนใจในด้านการวิจัยต่าง ๆ เพื่อนํามา
16 ปรับปรุงการเรียนการสอนของชั้นเรียนตน ส่งผลให้โรงเรียนหรือสถานศึกษามีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่มีผลงานวิจัยที่ดีเผยแพร่ออกไปในโรงเรียนต่าง ๆ สามารถศึกษางานวิจัยใน ชั้นเรียนที่ดีนั้นมาประยุกต์ (Apply) ใช้ในชั้นเรียนของตนได้ทำให้การจัดการศึกษาของชาติมี ประสิทธิภาพ การทำวิจัยในชั้นเรียนจะกระตุ้นให้มีการพัฒนางานวิชาการทางด้านการศึกษาอยู่เสมอ ส่งผลให้วิชาชีพครูมีมาตรฐานและเป็นครูมืออาชีพ โดยมีพื้นฐานของการวิจัยเป็นเครื่องมือเพื่อใช้สำหรับ การพัฒนาการเรียนการสอนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษา (สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม. 2542) ได้กล่าวถึงประโยชน์และความสำคัญของการวิจัยใน ชั้นเรียนพอสรุปได้ดังนี้การทำวิจัยในชั้นเรียนนั้นจะช่วยให้ครูมีวิถีชีวิตของการทำงานครูอย่างเป็นระบบ เห็นภาพของงานตลอดแนว มีการตัดสินใจที่มีคุณภาพเพราะจะมองเห็นทางเลือกต่าง ๆ ได้กว้างขวาง และลึกซึ้งแล้วจะตัดสินใจเลือกทางต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ครูนักวิจัยจะมีโอกาสมากขึ้นใน การคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเหตุผลของการปฏิบัติงานและครูจะสามารถบอกได้ว่าการจัดการเรียนการสอน ที่ปฏิบัติไปนั้นได้ผลหรือไม่เพราะอะไร นอกจากนี้ครูที่ใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนากระบวนการ เรียนการสอนนี้จะสามารถควบคุม กำกับ และพัฒนาการปฏิบัติงานของตนได้อย่างดีเพราะการทำงาน และผลของการทำงานนั้น ล้วนมีความหมาย และคุณค่าสำหรับครูในการพัฒนานักเรียนผลจากการทำ วิจัยในชั้นเรียนจะช่วยให้ครูได้ตัวบ่งชี้ที่ เป็นรูปธรรมของผลสำเร็จในการปฏิบัติงานของครูอันจะนํามาซึ่ง ความรู้ในงานและความปีติสุขในการปฏิบัติงานที่ ถูกต้องของครูเป็นที่คาดหวังว่า เมื่อครูผู้สอนได้ทำการ วิจัยในชั้นเรียนควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานสอนอย่างเหมาะสมแล้วจะก่อให้เกิดผลดีต่อวงการศึกษา และ วิชาชีพครูอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1. นักเรียนจะมีการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 2. วงวิชาการศึกษาจะมีข้อความรู้และ/หรือนวัตกรรมทางการจัดการเรียนการสอนที่ เป็นจริงเกิดมากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อครูและเพื่อนครูในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเป็น อย่างมาก และ 3. วิถีชีวิตของครูหรือวัฒนธรรมในการทำงานของครูจะพัฒนาไปสู่ความเป็นครูมือ อาชีพ (Professional Teacher) มากยิ่งขึ้นทั้งนี้เพราะครูนักวิจัยจะมีคุณสมบัติของการเป็นผู้แสวงหา ความรู้หรือผู้เรียน (Learner) ในศาสตร์แห่งการสอนอย่างต่อเนื่องและมีชีวิตชีวา จนในที่สุดก็จะเป็นผู้ที่ มีความรู้ความเข้าใจที่กว้างขวาง และลึกซึ้งในศาสตร์และศิลป์แห่งการสอนเป็นครูที่มีวิทยายุทธ์แกร่ง กล้าในการสอนสามารถที่จะสอนนักเรียนให้พัฒนาก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ในหลายบริบทหรือที่เรียกว่า เป็นครูผู้รอบรู้หรือครูปรมาจารย์ (Master Teacher) ซึ่งถ้ามีปริมาณครูนักวิจัยดังกล่าวมากขึ้นจะช่วย ให้การพัฒนาวิชาชีพครูเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมั่นคงในปัจจุบันซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าการวิจัยในชั้น เรียนจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาวิถีชีวิตครูเพื่อให้ครูพัฒนาไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพในสังคม วิชาการของวิชาชีพครูโดยสรุปประโยชน์ของการวิจัยในชั้นเรียนนั้นมีประโยชน์ต่อนักเรียน ต่อครูผู้สอน ประโยชน์ต่อโรงเรียน หรือสถานศึกษาต่อวงการศึกษาของชาตินอกจากนี้การวิจัยในชั้นเรียนยังเป็นการ
17 สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการศึกษา ทำให้ครูมีพื้นฐานของการวิจัย มีความมั่นใจเพื่อเป็น นักวิจัยมืออาชีพต่อไปในอนาคต ได้มีนักศึกษาและหน่วยงาน กล่าวถึงประโยชน์การทำวิจัยในชั้นเรียนไว้ ดังนี้ สุวิมล ว่องวานิช (2546) กล่าวถึงประโยชน์ของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนว่าการ วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาวิชาชีพครูเนื่องจากข้อค้นพบที่ได้มา จากกระบวนการสืบค้นที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ทำให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้และครูเกิดการ พัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาผู้ที่มีส่วนร่วมนําไปสู่การพัฒนาชุมชนแห่งการ เรียนรู้และด้วยหลักการสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการที่เน้นการสะท้อนผล ทำให้การวิจัยแบบนี้ส่งเสริม บรรยากาศของการทำงานแบบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายเกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และยอมรับใน ข้อค้นพบร่วมกัน ภัทรา นิคมานนท์ (2544 : อ้างอิงใน เพลินพิศ ดาศักดิ์. 2546) กล่าวว่า การวิจัยมี ประโยชน์ต่อด้านการเรียนการสอนดังนี้ 1. ช่วยเพิ่มพูนวิทยาการให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญหาหรือเรื่องที่ทำการวิจัย นั้นจะต้องไม่ซํ้าซ้อนกัน ดังนั้นการวิจัยจึงเป็นการแสวงหาความรู้หรือในสิ่งที่ยังไม่รู้แต่ผลยังไม่ชัด ผลการวิจัยจึงก่อให้เกิดความรู้ใหม่ๆ 2. ช่วยให้มีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาค้นคว้าทางการวิจัย ทำให้การเรียนการสอนทันสมัยยิ่งขึ้น 3. ช่วยให้ครูสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยวิธีการวิจัยทำให้เป็นผู้ ทันสมัยอยู่เสมอ 4. ช่วยให้ครูสามารถปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการ วิจัยทำให้เป็นผู้ทันสมัยอยู่เสมอ 5. ช่วยให้ครูสามารถประเมินผลการสอนของตนได้ว่า มีความสำเร็จเพียงไร มีจุดบกพร่องที่ควรแก้ไข และสามารถแก้ไขจุดบกพร่องได้โดยใช้เทคนิคการวิจัย สถาบันพัฒนาคุณภาพ การศึกษา (2548 ) ได้กล่าวถึงประโยชน์และคุณค่าของการวิจัยในชั้นเรียนไว้หลายประการดังนี้ 1. ผลการวิจัยสามารถนําไปใช้ในการกำหนดปัญหาหรือพัฒนางาน (Identifying problems or opportunities) 2. ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นทางเลือกและปฏิบัติตามทางเลือกที่ดีที่สุด (Selecting and implementing a course of action ) 3. ผลการวิจัยสามารถชี้ให้เห็นผลการปฏิบัติงานได้2 ลักษณะ คือ การวิจัยเชิง ประเมินผล (Evaluation research) และการวิจัยเพื่อติดตามผลการทำงาน (Performancemonitoring) 4. ผลการวิจัยสามารถนําไปใช้กำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา
18 5. ผลการวิจัยนําไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน 6.ผลการวิจัยสามารถนําไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำระบบสารสนเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สรุปได้ว่า ประโยชน์ในการทำวิจัยในชั้นเรียนช่วยปรับปรุงการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพ มีประโยชน์ต่อการบริหารการเรียนการสอนและการดำเนินชีวิต ผลจากการวิจัยนําไป พัฒนาตนเอง พัฒนาสังคม และพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนั้นยังนําไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพ นวัตกรรมทางการศึกษา ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวสมองเป็นฐาน 1. ความหมาย นวัตกรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการ จะมีการคิดและทำสิ่งใหม่อยู่เสมอดังนั้น นวัตกรรมจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ได้เรื่อย ๆ สิ่งใดที่คิดและทำมา นานแล้วก็ถือว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีสิ่งใหม่มาแทน ในวงการศึกษาปัจจุบันมีสิ่งที่เรียกว่า นวัตกรรมทางการศึกษา หรือนวัตกรรมการเรียนการสอนอยู่เป็นจำนวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นนวัตกรรม เนื่องจากนวัตกรรมเหล่านั้นยังไม่ แพร่หลายเป็นที่รู้จักทั่วไปในวงการศึกษา 2. การจำแนกประเภท นวัตกรรมทางการศึกษา แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เช่น หลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรรายบุคคล หลักสูตร กิจกรรมและประสบการณ์ หลักสูตรท้องถิ่น เป็นต้น 2. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ เช่น การสอนแบบศูนย์การเรียน การใช้กระบวนการกลุ่ม สัมพันธ์ การสอนแบบเรียนรู้ร่วมกัน และการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต กระบวนการสร้างความตระหนัก กระบวนการสร้างเจตคติ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการสืบสอบ กระบวนการสร้างทักษะการคิดคำนวณ การสอนแบบศูนย์การ เรียน การสอนแบบใช้ บทบาทสมมติ การสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง การเรียนแบบสัญญาการเรียน การเรียนเป็นคู่ การเรียนเพื่อรอบรู้ การเรียนแบบร่วมมือ เป็นต้น 3. นวัตกรรมสื่อการสอน เช่น Computer Assisted Instruction (CAI), Web-based Instruction (WBI) Web-based Training (WBT) Virtual Classroom (VC) Web Quest Web Blog บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนโมดูล บทเรียนออนไลน์ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการสอน จุลบท ชุด
19 สื่อประสม วิดีทัศน์ สไลด์ประกอบเสียง แผ่นโปร่งใส บัตรการเรียนรู้ บัตรกิจกรรม แบบฝึกทักษะ เกม เพลง เป็นต้น 4. นวัตกรรมการประเมินผล เช่น การพัฒนาคลังข้อสอบ การลงทะเบียนผ่านทางเครือข่าย คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต การใช้บัตรสมาร์ทการ์ดเพื่อการใช้บริการของสถาบันศึกษา การใช้ คอมพิวเตอร์ในการตัดเกรด 5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์ และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้านการเงิน บัญชี พัสดุ และครุภัณฑ์ 3. ความสำคัญ ความสำคัญของนวัตกรรมทางการศึกษา 1. การใช้นวัตกรรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาในการจัดการเรียนรู้ของครู 1.1 ปัญหาเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนรู้ ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอคือ ครูส่วนใหญ่ยังคง ยึดรูปแบบวิธีการสอนแบบบรรยายโดยครูเป็นศูนย์กลางที่เน้นการพูดบรรยายถ่ายทอดเนื้อหาสาระ มากกว่าสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธีการแบบนี้ทำให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับรู้ (passive learner) ซึ่ง จะมีผลให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่มีความสามารถในเชิงการคิด ประดิษฐ์สร้างสรรค์ผลงานได้น้อย (passive ability) มักเป็นคนประเภทบริโภคนิยม บรรยากาศของการสอนแบบบรรยายนอกจากจะทำให้ ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย ขาดความสนใจ แล้วยังเป็นการปิดกั้นความคิดและสติปัญหาของผู้เรียนให้อยู่ ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย แต่ถ้าครูผู้สอนได้ศึกษา ค้นหาวิธีการหรือนวัตกรรมจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เป็น สำคัญมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้มากขึ้น และเป็นฝ่ายลงมือปฏิบัติ มากขึ้น (active learner) ก็จะทำให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่สามารถคิดประดิษฐ์ สร้างสรรค์ผลงานได้มาก ขึ้น (active ability) ดังนั้นการนำนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนรู้จึงช่วยแก้ปัญหาเรื่องวิธีการจัดการ เรียนรู้ 1.2 ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาซึ่งในบางรายวิชามีเนื้อหาสาระการเรียนรู้มากและบาง วิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรมยากแก่การเข้าใจ จึงจำเป็นจะต้องนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการจัดการ เรียนรู้ เช่น การใช้ชุดการเรียนการสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) บทเรียนการ์ตูน การเรียน แบบร่วมมือ 1.3 ปัญหาเกี่ยวกับสื่อ อุปกรณ์การจัดการเรียนรู้ในบางเนื้อหามีสื่อ อุปกรณ์การจัดการ เรียนรู้เป็นจำนวนน้อย ไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชา ได้ง่ายขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้และผลิตสื่อการจัดการเรียนรู้ ใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้เพียงพอเหมาะสมกับสภาพของผู้เรียนจึงจะทำให้การจัดการ เรียนรู้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 2. การใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพในกรณีที่ครูต้องการจะ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จำเป็นที่ครูจะต้องแสวงหาหรือพัฒนานวัตกรรม เพื่อ
20 นำมาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน เช่น ใช้วิธีการจัดการ เรียนรู้แบบโครงการเพื่อพัฒนาทักษะด้านความคิด วิเคราะห์ การพัฒนารูปแบบการจัดการ เรียนรู้เพื่อ เสริมสร้างความรู้สามัคคี การใช้แหล่งเรียนรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับการเรียนรู้และ สร้างความรัก ท้องถิ่น 3. การใช้นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยที่ผู้เรียนมีความแตกต่างกันใน หลายลักษณะ บางคนมีความสนใจในการเรียนและเรียนรู้ได้เร็ว ในขณะที่บางคนขาดแรงจูงใจในการ เรียน จึงไม่ให้ความสนใจต่อการเรียนและเรียนรู้ได้ช้า ดังนั้นครูผู้สอนจึงต้องพยายามศึกษาหาวิธีการ จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน ให้ สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพซึ่งจะต้องใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้มาช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีและมีคุณภาพ 4. การใช้นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน เป้าหมายสูงสุดของการจัดการเรียนรู้ คือ คุณภาพของผู้เรียนที่เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ แต่จากผลการประเมินมักจะพบว่า คุณภาพ ของผู้เรียนยังไม่ได้มาตรฐาน แม้ว่าครูจะพยายามจัดการเรียนรู้อย่างตั้งใจแล้วก็ตาม ทำให้ผู้บริหาร การศึกษาและผู้บริหารสถานศึกษาพยายามหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมมาช่วยในการบริหารจัดการศึกษา ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การบริหารสถานศึกษาแบบเครือข่ายความร่วมมือ การบริหาร สถานศึกษาโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐาน การจัดโครงการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพศึกษาโดยใช้รูปแบบต่าง ๆ ในขณะที่ครูหรือ นักวิชาการทางการศึกษาก็ได้ศึกษา ค้นคว้าหารูปแบบหรือนวัตกรรมการจัดการ เรียนรู้เพื่อน ามาใช้ใน การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน เช่น ครูใช้สื่อการ เรียนรู้หรือรูปแบบ เทคนิค วิธีในการจัดการเรียนรู้แบบต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้ได้ มาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ ชุดฝึกทักษะ ซึ่งชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กล่าว โดยละเอียด ดังนี้ 1. ชุดฝึกทักษะสร้างขึ้นโดยอาศัยแนวคิดของ สุคนธ์ สินธพานนท์ สุคนธ์ สินธพานนท์ (สุคนธ์ สินธพานนท์. 2553) กล่าวว่าชุดฝึกทักษะมีหลักสำคัญเป็นแนว ในการจัดทำชุดฝึกทักษะ ดังนี้ 1. จัดเนื้อหาสาระในการฝึกตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 2. เนื้อหาสาระ และกิจกรรมการฝึกเหมาะสมกับวัย และความสามารถของผู้เรียน 3. การวางรูปแบบของชุดฝึกทักษะมีความสัมพันธ์กับโครงเรื่อง และเนื้อหาสาระ 4. ชุดฝึกทักษะต้องมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ เพื่อให้ผู้เรียนอ่านเข้าใจ เรียงจากง่ายไป ยากมีแบบฝึกทักษะที่น่าสนใจ และท้าทายให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถ 5. มีความถูกต้อง ครูผู้สอนจะต้องพิจารณาตรวจสอบให้ดีอย่าให้มีข้อผิดพลาด
21 6. กำหนดเวลาที่ใช้ชุดฝึกทักษะแต่ละตอนให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังอธิบายถึงขั้นตอนการสร้างชุดฝึกทักษะ ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตร หลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 2. วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ เพื่อ วิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์ในแต่ละชุดการฝึก 3. จัดทำโครงสร้างและชุดฝึกในแต่ละชุด 4. ออกแบบชุดฝึกทักษะในแต่ละชุดให้มีรูปแบบที่หลากหลาย และน่าสนใจ 5. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุดรวมทั้งออกข้อสอบก่อน และหลังเรียนให้สอดคล้อง กับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ 6. นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ 7. นำชุดฝึกทักษะไปทดลองใช้บันทึกผลแล้วปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่อง ปรับปรุง ชุดฝึกทักษะให้มีประสิทธิภาพ 8. นำไปใช้จริง จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า หลักในการสร้างชุดฝึกทักษะควรสร้างให้ตรงกับจุดประสงค์ที่ ต้องการฝึกความเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก สนองความสนใจ และคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล จัดทำให้จบเป็นเรื่อง ๆ การประเมินผลความก้าวหน้าในการฝึกให้นักเรียนทราบทันทีทุกครั้ง 2. องค์ประกอบของชุดฝึกทักษะ โครงสร้างของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐาน ประกอบด้วย 1. คำนำ 2. สารบัญ 3. คำแนะนำสำหรับครู 4. คำแนะนำสำหรับนักเรียน 5. แผนผังขั้นตอนการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 6. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด 7. จุดประสงค์การเรียนรู้ 8. สาระสำคัญ 9. แบบทดสอบก่อนเรียน 10. แบบฝึกทักษะการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ ชุดที่ ๑ เรื่อง คำคล้องจอง สำหรับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕
22 11. แบบฝึกทักษะการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ ชุดที่ ๒ เรื่อง คล่องสัมผัสสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕ 12. แบบฝึกทักษะการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ ชุดที่ ๓ เรื่อง เก่งกาพย์(ยานี๑๑) สำหรับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ 13. แบบทดสอบหลังเรียน 14. บรรณานุกรม 15. ภาคผนวก 16. แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง คำ คล้องจอง(กาพย์ยานี ๑๑) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง คล่องสัมผัส(กาพย์ยานี ๑๑) และแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เก่งกาพย์(ยานี ๑๑) 3. ข้อดี/ข้อเสีย ข้อดีของการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน 1. ได้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สำหรับการจัดกิจกรรมเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ให้กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. ทราบผลการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3. ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ ข้อเสียของการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน ควรมีระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มากกว่า 3 ชั่วโมง เพราะว่าพัฒนาการในการเรียนรู้ของ นักเรียนแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน 4. วิธีการใช้ ขั้นตอนการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน มีดังนี้ 1. ศึกษาเนื้อหาและแผนการจัดการเรียนรู้ล่วงหน้าอย่างละเอียดก่อนจัดกิจกรรมการเรียนการ สอน
23 2. ครูเตรียมชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน ให้ครบตามจำนวนนักเรียน 3. ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน โดยใช้เวลา ๓ ชั่วโมง 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานของนักเรียนอย่างใกล้ชิด 5. หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ครูควรสรุปสาระสำคัญอีกครั้ง เทคนิคการจัดกิจกรรมตามแนวสมองเป็นฐาน 1. ความหมาย การจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน (Brain – Based Learning : BBL) เป็นการจัดการ เรียนรู้ที่อาศัยความรู้ความเข้าใจการทำงานของสมอง เมื่อเกิดการเข้าใจแล้วก็นำไปสู่การออกแบบ กระบวนการเรียนรู้ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง ซึ่งอาศัยองค์ความรู้เกี่ยวกับ กระบวนการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลกับ ปัจจัยต่าง ๆ อันส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของสมอง เพื่อให้สมองเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด 2. แนวคิด Eric Jensen นักการศึกษาผู้มีความเชี่ยวชาญด้านสมอง ได้กล่าวถึงกลยุทธ์ด้านการออกแบบ การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานไว้ว่า การออกแบบบทเรียนตามแนวคิดสมองเป็นฐานนี้ไม่มีรูปแบบ ที่แน่นอนตายตัว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากพื้นฐานความคิดที่ว่า สมองแต่ละสมองย่อมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ ตน ดังนั้นจึงไม่มีการออกแบบใดที่จะสามารถครอบคลุมความต้องการของสมองทั้งหมดได้ เพราะการ เรียนรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลย่อมต้องการวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างไปด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปร ได้แก่ พื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ วิธีพิเศษต่าง ๆ และประเภทของทักษะในการสอนการออกแบบการ จัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง 3. ลำดับขั้น Eric Jensenได้เสนอขั้นตอนที่สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุดไว้ โดยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นเตรียมการ (Preparation Stage) ชั้นรับรู้ (Acquisition Stage) ขั้นขยายรายละเอียดเพิ่มเติม (Elaboration Stage) ขั้นสร้างความทรงจำ (Memory Formation Stage) และขั้นบูรณาการเพื่อ นำไปใช้(Functional Integration Stage)
24 4. ข้อดี/ข้อเสีย ข้อดีของการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งต่างๆได้นั้น จะต้องอาศัยมีพื้นฐานของ การรับรู้ รับความสัมผัส ได้ทั้งแบบกลุ่มหรือเดี่ยว ซึ่งเป็นการเรียนหรือการทำ กิจกรรมร่วมกันระว่างครูและนักเรียน ข้อเสียของการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน อาจจะมีข้อเสียตามมาโดยที่ผู้เรียน อาจจะมีความเข้าใจไม่เท่ากัน พื้นฐานของ การรับรู้ รับความสัมผัส ได้ช้าลงอาจส่งผลให้ผู้เรียนทั้งแบบ กลุ่มหรือเดี่ยวมีข้อโต้แย้งกันส่งผลทำให้เกิดปัญหาได้ 5. วิธีการใช้ การจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน (Brain – Based Learning : BBL) แบ่งออกเป็น 5 ขั้น ดังนี้ 5.1 การWarm-up นั้นทำได้ 3 วิธี คือ 1. Brain Exercise 2. การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ (Rhythm) อาจมีเสียงเพลงและคำกลอนประกอบ 3. ยืดเส้นยืดสาย (Stretching) 5.2 ขั้นนำเสนอความรู้ (Present) นักเรียนทุกคนมีความต่างกัน มีประสบการณ์ มีพื้นฐาน เฉพาะตัว ดังนั้น การสอนจึงควรเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเสนอ ความรู้ ใหม่ ผ่านสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เช่น สื่อของจริง บัตรภาพ บัตรคำ บัตรตัวเลข ชาร์ตบทกลอน บทเพลง กระดานเคลื่อนที่ เป็นต้น 5.3 ขั้นลงมือเรียนรู้-ฝึกทำ-ฝึกฝน (Learn-Practice) เปิดโอกาสให้นักเรียนฝึกทำ โดยลงมือ ทดลองใช้ความรู้ ด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น ฝึกทำโดยใช้สื่อจากมุมสื่อ BBL พานักเรียนไปดูของจริง สำรวจ และบันทึกจากสิ่งที่พบเห็น ทำกิจกรรมจากใบงาน เช่น กิจกรรมตัดปะ เล่นเกมบิงโก ใช้อุปกรณ์เคาะลง บนข้อความ หรือคำศัพท์ ให้เด็กได้เคลื่อนไหว เช่น ลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อไปทำกิจกรรม และควรมีใบงานที่ ให้นักเรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ และคิดสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง 5.4 ขั้นสรุปความรู้ (Summary) ต้องทำการสรุปความรู้ร่วมกับนักเรียน 5.5ประยุกต์ใช้ความรู้ (Apply) ถ้าเป็นไปได้และมีเวลา กระบวนการเรียนรู้ควรทำไปถึงขั้นให้นักเรียน ประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ในขั้นนี้ โดยมากนักเรียนจะเริ่มนำความรู้ไปสร้าง (make) หรือ ผลิต (produce) ชิ้นงานใหม่ ๆ เช่น แต่งนิทาน ทำหนังสือเล่มเล็ก แสดงละคร โต้วาที จัดบอร์ดผลงาน นิทรรศการ เป็นต้น แต่งานขั้นนี้ เป็นไปได้ยากที่จะทำทุกชั่วโมง แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถ และความชำนาญของผู้สอนเอง
25 วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 1. วิธีการสร้างนวัตกรรม 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ซึ่งการวิจัยนี้จะเป็นการพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ โดยอ้างอิงตามแนวคิดของ Eric Jensen (รัตนภรณ์ คำกมล. 2558) 2. สร้างฉบับร่างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึก ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 3. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมของการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วย ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 4. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence: IOC)ของแบบประเมินความเหมาะสม 5. นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็น 6. นำชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน ที่สร้างฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้านภาษา และด้านการวิจัยหรือการ วัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน 7. นำชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน ที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ6 มาแก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 8. จัดทำรูปเล่มชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน ที่ผ่านการสร้างและหาคุณภาพเชิงเหตุผลแล้ว 2. การหาคุณภาพ 2.1 การหาคุณภาพเชิงเหตุผล 2.1.1 กระบวนการนี้ เป็นการหาประสิทธิภาพโดยใช้หลักของความรู้ และเหตุผลใน การตัดสินคุณค่าของสื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ (Panel of Experts) เป็นผู้พิจารณา ตัดสินคุณค่า ซึ่งเป็นการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความเหมาะสมในด้าน ความถูกต้องของการนำไปใช้ (Usability) ผลจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนจะนำมาหา ประสิทธิภาพโดยใช้สูตร = 2 − 1
26 2.1.2 วิธีการ ดำเนินการตามลำดับขั้น ดังนี้ 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดฝึกทักษะ 2. สร้างฉบับร่างชุดฝึกทักษะ แบบวัดความพึงพอใจ แบบทดสอบ และแผนการ จัดการเรียนรู้โดยอ้างอิงผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้อย่อยข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินค่า IOC เพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด 4. นำแบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างฉบับ ร่าง ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นด้วยแบบประเมิน IOC 5. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ4 มาแก้ไขปรับปรุง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 6. จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ทำการแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ 2.2 การหาคุณภาพเชิงประจักษ์ 2.2.1 ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน ที่วัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ ในการทำแบบฝึกหัด หรือกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์การทำแบบทดสอบเมื่อจบบทเรียน แสดงค่าตัวเลข 2 ตัว E 1 /E 2 เช่น 70/70, 75/75, 80/80 โดยตัวแรกคือเปอร์เซ็นต์ของการทำแบบฝึกหัด หรือแบบทดสอบย่อยถูกต้องโดยถือเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ และตัวเลขตัวหลังคือ เปอร์เซ็นต์ ของการทำแบบทดสอบถูกต้องโดยถือเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์ โดยมีสูตรการคิดดังนี้ 1 = ̅ × 100 2.2.2 วิธีการ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล 1. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) การหาค่าความเชื่อมั่นใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยมีเกณฑ์ประเมินผ่านทั้งฉบับที่ 0.7 ถ้าน้อยกว่าต้องทำการปรับปรุงเครื่องมือ ใหม่
27 2. ปรับปรุงเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดหากพบว่า ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาต่ำกว่า 0.7 3. ยกเว้นแบบทดสอบ จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด พร้อมสำหรับ การนำไปทดลองใช้ สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้ว ก่อนนำไปทดลองใช้ ต้องดำเนินการต่อจากข้อ 3 เพื่อหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจ การจำแนกต่อ ดังนี้ 4. นำแบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากง่ายด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 5. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเร็จรูป 6. จัดทำรูปเล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้ เครื่องมือการวิจัย 1. ความหมาย สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เครื่องมือที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในงานทดลองและวิจัย เช่น การทดลองเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญา โดยใช้แบบบรรยายและใช้ ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน ซึ่งในทางการศึกษาเครื่องมือในการวิจัยมีมากมาย เช่น ชุดการสอน แบบเรียน แบบฝึกทักษะ สื่อ อุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น และด้วยความที่มีเครื่องมือให้เลือกใช้หลากหลาย ประเภทเช่นนี้ ทำให้จำเป็นต้องเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับงานวิจัยของตนเอง ทั้งในด้านการใช้งาน และการบรรลุต่อประสงค์ของการวิจัยด้วย 2. การจำแนกประเภท เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล มีด้วยการหลาย ประเภท โดยเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลที่นิยมใช้มาก ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบ สัมภาษณ์ (Interview) แบบสังเกต (Observation) และแบบทดสอบ (Test) ซึ่งมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน ดังนี้ 3. ขั้นตอนการหาคุณภาพ 3.1 การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 3.1.1 ความหมาย มีผู้ให้ความหมายความเที่ยงตรงหรือความเที่ยงตรงไว้ดังนี้ (สุวิมล ติรกานันท์. 2551) ได้ให้ความหมายความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง ความแม่นยำ ของเครื่องมือในการวัดสิ่งที่ต้องการจะวัด หรือสิ่งที่เครื่องมือควรวัด และคะแนนที่ได้จากแบบสอบที่ ความเที่ยงตรงสูง สามารถบอกถึงสภาพที่แท้จริงและพยากรณ์ได้ถูกต้อง แม่นยำ (วรรณี แกมเกตุ. 2555) ได้ให้ความหมายความเที่ยงตรงของเครื่องมือวิจัย หมายถึง คุณสมบัติของเครื่องมือวิจัยที่วัดสิ่งที่ต้องการวัดได้ถูกต้องแม่นย า การที่จะตรวจสอบว่า เครื่องมือวิจัย
28 นั้นมีความเที่ยงตรงหรือไม่ จะต้องมีรายละเอียดของสิ่งที่ต้องการวัดเป็นเกณฑ์ เปรียบเทียบว่าเครื่องมือ วิจัยนั้นวัดได้ตรงตามสิ่งที่ต้องการวัดหรือไม่ (ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง. 2559) ได้ให้ความหมายของความเที่ยงตรง หมายถึง หลักฐานที่แสดง ถึงความถูกต้องในการวัดตัวแปรที่สนใจ สะท้อนสภาพที่แท้จริงของสิ่งที่ต้องการวัด และสอดคล้องกับ ทฤษฎีหรือแนวคิดที่สนใจศึกษา หลักฐานที่สะท้อนความเที่ยงตรงประกอบด้วย หลักฐานในเชิงเนื้อหา หลักฐานในเชิงความสัมพันธ์กับเกณฑ์ภายนอก และหลักฐานในเชิงโครงสร้างของการวัดจากความหมาย ของความเที่ยงตรงที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าความเที่ยงตรงหมายถึง ความแม่นยำของเครื่องมือวิจัยที่จะวัดในสิ่งที่ต้องการจะ วัด โดยเครื่องมือที่วัดจะต้องสอดคล้องกับทฤษฎีหรือนิยามศัพท์ที่นักวิจัยได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า 3.1.2 วิธีการหาค่าความเที่ยงตรง ที่ใช้สำหรับการหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 1. การประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC) วิธีการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทำได้โดยหาค่าความสอดคล้องหรือดรรชนีของความ สอดคล้องกันระหว่างข้อคำถามแต่ละข้อกับจุดประสงค์จากสูตร ดังนี้ = IOC คือ ดัชนีความสอดคล้องA R คือ คะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ คือ ผลรวมของคะแนนพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ กำหนดคะแนนของผู้เชี่ยวชาญเป็น +1 หรือ 0 หรือ -1 ดังนี้ +1 คือ แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้จริง 0 คือ ไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้ -1 คือ แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่ได้วัดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุ เกณฑ์การแปลความหมาย ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 2. การหาดัชนีความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity Index: CVI) วิธีหาค่าดรรชนีมีความตรงตามเนื้อหา การหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (CVI) เป็นวิธีที่ พัฒนาขึ้นโดย Hambleton และคณะ เมื่อปี ค.ศ. 1975 วิธีหาค่าดรรชนีความตรงตามเนื้อหา (CVI) มี ขั้นตอนดังนี้
29 ขั้นที่ 1 นำแบบสอบถามพร้อมโครงร่างวิจัยฉบับย่อซึ่งมีคำนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปรที่ ศึกษา ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตามที่ผู้วิจัยได้เรียนเชิญ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความสอดคล้องระหว่าง คำถามกับคำนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร ซึ่งกำหนดระดับการแสดงความคิดเห็นเป็น 4 ระดับ คือ 1, 2, 3, 4 โดยแต่ละระดับมีความหมายดังนี้ 1 หมายถึง คำถามไม่สอดคล้องกับคำนิยามเลย 2 หมายถึง คำถามจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาทบทวนและปรับปรุงอย่างมาก จึงจะมีความสอดคล้องกับคำนิยาม 3 หมายถึง คำถามจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาทบทวนและปรับปรุงเล็กน้อย จึงจะมีความสอดคล้องกับคำนิยาม 4 หมายถึง คำถามมีความสอดคล้องกับคำนิยาม ขั้นที่ 2 รวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านมาแจกแจงตามระดับความคิดเห็น 4 ระดับ คือ 1, 2, 3, 4 ขั้นที่ 3 รวมจำนวนคำถามข้อที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนให้ความเห็นในระดับ 3 และ 4 ขั้นที่ 4 หาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาจากสูตร = จำนวนคำถามที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนให้ความคิดเห็นในระดับ และ จำนวนคำถามทั้งหมด ค่าดรรชนีความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือที่ยอมรับได้คือ .080 ขึ้นไป (Davis. 1992) คำถามข้อใดที่ผู้เชี่ยวชาญให้ความคิดเห็นในระดับ 3 ผู้วิจัยควรได้นำมาปรับปรุงให้มีความ สอดคล้องกับคำนิยาม ส่วนคำถามข้อใดที่ผู้เชี่ยวชาญให้ความคิดเห็นในระดับ 1และ 2 ให้นำมาพิจารณา ปรับปรุงแก้ไข เพราะหากคัดคำถามเหล่านี้ออกทั้งหมด จะทำให้คำถามส่วนที่เหลือในแบบสอบถามไม่ ครอบคลุมมโนทัศน์ของตัวแปร 3. การหาอัตราส่วนความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity Ratio: CVR) การหาอัตราส่วนความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity Ratio: CVR) หรือ CVR เป็น วิธีประเมินความตรงของข้อคำถามแต่ละข้อของแบบวัด ที่เสนอโดย (Lawshe. 1975) นักจิตวิทยา องค์การ วิธีประเมินคือ ให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินโดยใช้มาตรวัด 3 ระดับ คือ 1 หมายถึง จำเป็น 2 หมายถึง เป็นประโยชน์แต่ไม่เป็นจำเป็น 3 หมายถึง ไม่จำเป็น
30 สูตรคำนวณค่า Content Validity ratio : CVR ดังนี้ = − 2 2 หมายถึง จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิที่ตอบ “จำเป็น” N หมายถึง จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด 3.2 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) 3.2.1 ความหมาย มีผู้ให้ความหมายของความเชื่อมั่นไว้หลายท่านดังนี้ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556: 137) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่น (reliability) หมายถึง คุณสมบัติของเครื่องมือวัดที่แสดงให้ทราบว่าเครื่องมือนั้น ๆ ให้ผลการวัดที่คงที่ไม่ว่าจะใช้วัดกี่ครั้งก็ตาม กับกลุ่มเดิม วรรณี แกมเกตุ (2555: 220) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัย (Reliability) หมายถึง คุณสมบัติของเครื่องมือที่ให้ผลการวัดที่คงที่หรือคงเส้นคงวา เมื่อทำการวัดซ้ำ หลาย ๆ ครั้งด้วยเครื่องมือที่วัดสิ่งเดียวกัน สุวิมล ติรกานันท์ (2551: 152) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่น หมายถึง ความคงที่ของผล ที่ได้จากการวัดด้วยเครื่องมือชุดเดียวกันกับคนกลุ่มเดียวกันในเวลาที่ต่างกัน จากความหมายของความเชื่อมั่นที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความเชื่อมั่น หมายถึง คุณสมบัติของ เครื่องมือวิจัยที่มีความคงเส้นคงวาในการวัดสิ่งเดียวกันในเวลาที่ต่างกัน นั่นคือไม่ว่าจะนำเครื่องมือวิจัย นั้นไปวัดกี่ครั้งค่าที่ได้จากการวัดจะมีค่าไม่ต่างกัน 3.2.2 วิธีการหาค่าความเชื่อมั่น ที่ใช้สำหรับการหาค่าความเชื่อมั่น 1. วิธีการสอบซ้ำ (Test – Retest Method) การทดสอบซ้ำ (Test-Retest Reliability) เป็นการทดสอบหาความเชื่อมั่นของแบบ ทดสอบ โดยการทำแบบทดสอบฉบับเดียวกัน 2 ครั้งในเวลาต่างกัน หลังจากนั้นจึงนําคาที่ได้จากการทดสอบทั้ง 2 ครั้งไปหาค่าสหสัมพันธ เพื่อหาความสอดคลองของผลการทดสอบ โดยใชสูตรของเพียรสัน (Pearson Product-Moment Correlation) ค่าสัมประสิทธิ์ที่คํานวณได้เรียกวา สัมประสิทธิ์ของความคงที่ (Coefficient of Stability) ถาได้ค่าสัมประสิทธิ์สูงก็หมายความวา แบบทดสอบฉบับนี้มีความเชื่อมั่นสูง ปญหาของการทดสอบเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นวิธีนี้ก็คือ ระยะห่างของเวลาการทดสอบทั้ง 2 ครั้ง ถา ระยะเวลาใกลกันมากเกินไป การทดสอบครั้งแรกก็ยอมส่งผลถึงการทดสอบครั้งหลัง เนื่องจากผู้สอบยัง จำข้อสอบได้อยู่ ซึ่งมีผลต่อค่าสหสัมพันธที่ได้ แต่ถาระยะเวลาห่างกันมากก็จะใหผลที่ตรงกันข้าม
31 สูตรที่ใชในการหาค่าสหสัมพันธของเพียรสัน = ∑−− √{ 2 − () 2}{2 − () 2} เมื่อ = สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ N = จำนวนกลุ่มตัวอย่าง X = คะแนนจากการทดสอบครั้งแรก Y = คะแนนจากการทดสอบครั้งที่สอง 2. วิธีการแบบแบ่งครึ่งฉบับ (Split – Half Method) การทดสอบแบบแบงครึ่ง (Split – Half Reliability) การหาความเชื่อมั่นวิธีนี้เป็นการหาค่า ความเชื่อมั่นแบบคงที่ภายใน (Internal Consistency Reliability) หาได้โดยการทดสอบเพียงครั้งเดียว โดยใชแบบทดสอบเพียงฉบับเดียว จากนั้นจึงแบงออกเป็น 2 สวน ได้แก ขอคูกับขอคี่แลวจึงนําไปหาค่า สหสัมพันธระหว่างคะแนนขอคูกับขอคี่ ค่าสหสัมพันธที่ได้เป็นสัมประสิทธิ์ของ ความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบครึ่งฉบับ จากนั้นจึงไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใชสูตรของสเปียร แมน บราวน์ (Spearman – Brown) สูตรการหาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของสเปียร์แมน บราวน = 2 1 2 1 + 1 2 เมื่อ = สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ 1 2 = สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบครึ่งฉบับ 3. วิธีการของคูเดอร์-ริชาดสัน (Kuder – Richardson) การทดสอบโดยวิธีหาความคงที่ภายในโดยใช KR-20 และ KR-21 สำหรับการหาค่าความ เชื่อมั่นแบบคูเดอร-ริชารดสัน (Kuder-Richardson) โดยใชสูตร KR-20 และ KR-21 นั้น มิได้หาโดยการ หาค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์ แต่เป็นการทดสอบวาแบบทดสอบแต่ละขอมีความสัมพันธ์กับข้ออื่น ๆ ในฉบับเดียวกันหรือไม่ และมีความสัมพันธ์กับแบบทดสอบทั้งฉบับอย่างไร โดยใชสูตร KR-20 หรือ KR-21 ก็ได้ ซึ่งคาที่ได้จากการใชสูตร KR-21 จะมีคาต่ำกวาสูตร KR-20 เล็กน้อย แต่ก็อยู่ในเกณฑยอมรับ ได้เชนเดียวกัน ปญหาของการทดสอบโดยวิธีการหาความคงที่ภายในก็คือ จะตองแปลงผลคําตอบกอน นําไปแทนคาในสูตร โดยกำหนดใหขอที่ตอบถูกมีคาเทากับ 1 และตอบผิดมีคาเทากับ 0 จึงมีขอจำกัดใน การใชงานที่ใชได้เฉพาะแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ (Multiple Choice) หรือแบบทดสอบอื่น ๆ ที่ให้ คะแนนเป็น 0 และ 1 เทานั้น สำหรับสูตร KR-20 และ KR-21 มีดังนี้
32 สูตรการหาค่าความคงที่ภายใน KR-20 = − 1 [1 − 2 ] เมื่อ = สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ = จำนวนข้อของแบบทดสอบ (ไม่ควรน้อยกว่า 20 ข้อ) = อัตราส่วนของผู้ที่ตอบแบบทดสอบข้อนี้ถูก (หาได้จากจำนวนผู้ที่ตอบถูก หารด้วยจำนวนทั้งหมด) = อัตราส่วนของผู้ที่ตอบผิด (เท่ากับ 1 – ) 2 = ความแปรปรวนของคะแนนที่สอบได้ทั้งฉบับ สูตรการหาค่าความคงที่ภายใน KR-21 = − 1 [1 − ̅( − ̅) 2 ] เมื่อ = สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ = จำนวนข้อในแบบทดสอบฉบับนั้น ̅ = ค่าเฉลี่ยของคะแนน 2 = ความแปรปรวนของคะแนนที่สอบได้ทั้งฉบับ 4. วิธีหาสัมประสิทธิ์แอลฟา (α – Coefficient) แต่ละวิธีต้องแสดงขั้นตอนดำเนินการ การทดสอบโดยวิธีหาสัมประสิทธิ์แอลฟา (α – Coefficient) การหาค่าความเชือมั่นโดย วิธี นี้พัฒนามาจากสูตร KR-20 เนื่องจากวิธีการของคูเดอร-ริชาร์ดสัน จะตองแปลงคําตอบถูกใหเป็น 0 และ คําตอบผิดใหเป็น 1 กอนวิเคราะห์ข้อมูลและแทนคาในสูตร จึงเป็นขอจำกัดอย่างหนึ่ง ในการนําไปใชซึ่ง อาจสงผลใหเกิดการผิดพลาดในการแปลงคําตอบได้ ถาหากแบบทดสอบมีเป็นจำนวนมาก วิธีนี้จึง พัฒนาขึ้นเพื่อให้ใช้ได้กับแบบทดสอบที่ไม่ได้ตรวจใหคะแนนเป็น 0 กับ 1 เชน ข้อสอบแบบอัตนัยหรือ ข้อสอบแบบเติมคำเป็นตน เนื่องจากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาจะใชกับคะแนนที่ทำได้จริงหรือใชกับ แบบทดสอบที่ใหคะแนนแต่ละข้อเป็น 3, 2, 1 หรือ 5, 4, 3, 2, 1 ก็ได้ดังนั้น การทดสอบโดยวิธีหา สัมประสิทธิ์แอลฟา จึงใชได้ทั้งแบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) และแบบทดสอบทั่ว ๆ ไป โดยใชสูตรการหาค่าความเชื่อมั่นของครอนบัค (Cronbach)
33 สูตรการหาคาความเชื่อมั่นของครอนบัค = − 1 [1 − ∑ 2 2 ] เมื่อ = สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ = จำนวนข้อในแบบทดสอบ 2 = ความแปรปรวนของแบบทดสอบเป็นรายข้อ 2 = ความแปรปรวนของแบบทดสอบทั้งฉบับ การทดสอบโดยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา เพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบที่ใชในการวิจัย จะใหผลลัพธ์เป็นค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ที่บงชี้ถึงลักษณะของแบบทดสอบวาดี หรือไม่ดีซึ่งหมายถึง ความผันแปรวามีมากหรือไม่ วิธีนี้จึงเป็นวิธีการหาค่าความเชื่อมั่นที่ใหรายละเอียด ทางสถิติมากกวาวิธีการอื่น ๆ ทำใหการหาค่าความเชื่อมั่นโดยใชสูตรของครอนบัคได้รับความนิยมในการ วิจัยคอนขางสูง โดยที่คะแนนของแบบทดสอบจะตองเป็นคะแนนแบบมาตราเรียงลำดับ หรือ อันตร ภาค ระดับความพึงพอใจ 1. ความพึงพอใจ ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย พอจะรวบรวมได้เป็นสังเขปดังนี้ มอส (Morse.1958:19) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะจิตที่ปราศจากความเครียดทั้งนี้เพราะ ธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการ ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนองทั้งหมดหรือบางส่วน ความเครียดก็จะน้อยลง ความพึงพอใจก็จะเกิดขึ้นและในทางกลับกันถ้าความต้องการนั้นไม่ได้รับการ ตอบสนอง ความเครียดและความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น วรูม (Vroom.1964:8) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงผลที่ได้จากการที่บุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งนั้น ทัศนคติด้านบวกจะแสดงให้เป็นสภาพความพึงพอใจในสิ่งนั้น และทัศนคติด้านลบจะแสดงให้เห็นสภาพ ความไม่พึงพอใจนั่นเอง เมนาร์ด ดับบริล เชลลี่ (Maynard W.Shelly.1975:9) ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ ซึ่งสรุปได้ ว่าความพึงพอใจเป็นความรู้สึก แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวกเป็นความรู้สึกที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดความสุข ความสุขนี้เป็นความสุขที่แตกต่าง จากความรู้สึกทางบวกอื่นๆ กล่าวคือเป็นความรู้สึกที่มีระบบย้อนกลับความสุขสามารถทำให้เกิด ความสุขหรือความรู้สึกทางบวกอื่นๆ ความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกทางบวกและความรู้สึกที่มี
34 ความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามนี้เรียกว่าระบบความพึง พอใจ สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจเป็นการบอกถึงความชอบของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่ง สามารถวัดได้หลายวิธี 2. เครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ การวัดความพึงพอใจนั้น สามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถกระทำ ได้ในลักษณะกำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าว อาจถามความพอใจในด้าน ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมาก ๆ วิธี นี้นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใช้มาตรวัดทัศนคติ ซึ่งที่ นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความที่แสดงถึงทัศนคติของบุคคล ที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีคำตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 คำตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการเตรียม แผนงานล่วงหน้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด 3. การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ แสดงออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และสังเกตอย่างมีระเบียบ แบบแผน วิธีนี้เป็นวิธีการศึกษาที่เก่าแก่ และยังเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน (ภณิดา ชัย ปัญญา .2566) 3. วิธีการสร้างเครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ 3.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของการสร้างแบบสอบถาม 3.2 ระบุเนื้อหาหรือประเด็นหลักที่จะถามให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ที่จะประเมิน 3.3 กำหนดประเภทของคำถามโดยอาจจะเป็นคำถามปลายเปิดหรือปลายปิด 3.4 ร่างแบบสอบถาม โครงสร้างแบบสอบถามอาจแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 ข้อมูลเบื้องต้น/ข้อมูลทั่วไป ตอนที่ 2 ข้อมูลหลักเกี่ยวกับเรื่องที่จะถาม ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ 3.5 ตรวจสอบข้อคำถามว่าครอบคลุมเรื่องที่จะวัดตามวัตถุประสงค์หรือไม่
35 3.6 ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเนื้อหาและภาษาที่ใช้ 3.7 ทดลองใช้แบบสอบถามเพื่อดูความเป็นปรนัย ความเชื่อมั่นและเพื่อประมาณเวลาที่ใช้ 3.8 ปรับปรุงแก้ไข 3.9 จัดพิมพ์และทำคู่มือ 4. การประเมินระดับความพึงพอใจด้วยค่าเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดยเรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึง น้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจมาก มีความพึงพอใจปานกลาง มีความ พึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าวกำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ย ของบุญชม ศรีสะอาด (ออนไลน์. 2566) ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมากสุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และทักษะทางด้าน วิชาการ รวมทั้งสมรรถภาพทางสมอง และมวลประสบการณ์ทั้งปวงที่เด็กได้รับการเรียน การสอน ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ด้วยคะแนนจากแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (พวงรัตน์ ทวีรัตน์.2530) 2.2 การจำแนกประเภท 2.2.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) ความสามารถด้านสมอง หรือความรู้ในวิชา เป็น พฤติกรรมตามระดับการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยแบ่งไว้ 6 ขั้น ซึ่งการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป ต้องอาศัย ระดับการเรียนรู้ที่ต่ำกว่าเสมอ ประกอบด้าย 1. ขั้นความรู้ความจำ 2. ขั้นความเข้าใจ 3. ขั้นการนำไปใช้ 4. ขั้นการวิเคราะห์ 5. ขั้นการสังเคราะห์ 6. ขั้นการประเมิน
36 2.2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P)คือ เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะ ทางกาย เน้นหนักด้านการวางท่าทางให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการปฏิบัติงานแต่ละชนิดสามาระระบุ พฤติกรรมที่แสดงออกได้จากการตีความถูกต้องแม่นยำ ความว่องไว คล่องแคล่ว และสม่ำเสมอ พฤติกรรมตามระดับการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยแบ่งไว้ 5 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นการรับรู้ 2. ขั้นการเตรียมการ 3. ขั้นการปฏิบัติงาน 4. ขั้นการปฏิบัติงานได้เอง 5. ขั้นการปฏิบัติงานด้วยความชำนาญ 2.2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) คือการเน้นหนักในด้านความ สนใจ เจตคติ ค่านิยม อารมณ์ และความประทับใจ ซึ่งวัดได้โดยการสังเกต พฤติกรรมตามระดับการ เรียนรู้ด้านจิตพิสัยแบ่งไว้ 5 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นการรีบรู้ 2. ขั้นการตอบสนอง 3. ขั้นการเห็นคุณค่า 4. ขั้นการจัดระบบค่านิยม 5. ขั้นการกำหนดคุณลักษณะ 2.3 วิธี/เครื่องมือวัดและประเมินผล 2.3.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) เครื่องมือที่วัดด้านพุทธิพิสัยสวนใหญ่นิยมใชแบบทดสอบ ซึ่งมีหลากหลายชนิดดังได้ กล่าวมาแลว แต่แบบทดสอบที่ใชสำหรับประเมินผลการเรียนรูในการจัดการเรียนการสอน ที่ใชสวนใหญ่ มี 2 ประเภทคือ แบบทดสอบอัตนัย และแบบทดสอบปรนัย ซึ่งมีหลักการสรางข้อสอบดังนี้ 1. การสร้างข้อสอบอัตนัย ข้อสอบอัตนัยเป็นข้อสอบที่เปิดโอกาสใหผู้ตอบได้ แสดงความสามารถในดานความรูภาษา ความคิดริเริ่ม วิเคราะห์ข้อความได้อย่างเหมาะสม แบงออกเป็น 2 ลักษณะคือ แบบไม่จำกัดคำตอบ และแบบจำกัดคำตอบ ซึ่งทั้ง 2 ลักษณะมีหลักการสร้างดังตอไปนี้ 1. คำนึงถึงลำดับความสำคัญของจุดมุ่งหมายที่วางไวตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร โดยพิจารณาน้ำหนัก จากจุดมุ่งหมาย และเนื้อหาที่ได้สอน 2. วางแนวทางการออกข้อสอบวาจะเป็นแบบจํากัดหรือไม่จํากัด คําตอบ 3. เขียนคําสั่งใหชัดเจนวาต้องการใหผู้สอบตอบอย่างไร เกณฑการใหคะแนนเป็นอย่างไร 4. ตั้งประเด็นคําถามที่ประเมินความรูจริงของผู้เรียนโดยเนนด้านใดบ้าง เชน การสังเคราะห์วิเคราะห์ หรือประมาณค่า 5. พยายามใชคําถามหลาย ๆ แบบ มิใชมีแต่คําถามประเภท ใคร อะไร ที่ไหน ที่มุงถาม เพื่อวัดความรูความจำเทานั้น แต่ควรใชคําถาม เหตุใด อย่างไร เพื่อใหผู้เรียนอธิบายและแสดงเหตุผล
37 หรือถามความคิดเห็น เชิง วิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ แสดงความสัมพันธ์ความขัดแย้ง ตีความ เป็นตน 6. ทบทวน และพยายามปรับปรุงใหขอคําถามมีความชัดเจน ไม่กำกวม 2.3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) การวัดทักษพิสัย เป็นการวัดความสามารถในการทำงานหรือการทำกิจกรรม อาจเรียกว า การวัดภาคปฏิบัติซึ่งการวัดพฤติกรรมดังกล่าวมักเป็นการประสานสัมพันธ์ระหว่างพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษพิสัย ลักษณะสำคัญของการวัดทักษพิสัยคือ 1. สามารวัดได้ทั้งรายบุคคลหรือเป็นกลุม 2. ลักษณะงานที่แตกต่างกันตองใชวิธีการวัดหรือ กระบวนการที่ต่างกัน ตัว อย่างเชน วัดทักษะด้านดนตรีกีฬาตองใชวิธีการวัดต่างกัน 3. สามารถแบงวัดเป็นกระบวนงานหรือทักษะย่อย ๆ เชน การรักษาทาง กายภาพบําบัด สามารถวัดขั้นการตรวจร่างกาย การประมวลผล การสรุปประเด็นปัญหา และการใหการ รักษา เป็นต้น 4. ลักษณะการวัดแยกได้เป็น 3 ระดับ (1) ระดับพฤติกรรมโดย การสังเกต พฤติกรรมขณะปฏิบัติ (2) ระดับผลลัพธ์พิจารณาจากผลจากพฤติกรรมย่อยที่ปรากฏซึ่งพิจารณาได้ทั้ง เชิงปริมาณและคุณภาพ (3) ระดับประสิทธิผล เป็นการวัดผลงานเฉพาะที่เกี่ยวของกับวัตถุประสงคหรือ เป้าหมายการวัดโดยตรง 2.3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) จิตพิสัยเป็นความรูสึกนึกคิดทางจิตใจ อารมณ์ และคุณธรรมของบุคคล ดังนั้น คุณลักษณะของจิตพิสัยที่สำคัญมีดังนี้ 1. เป็นคุณลักษณะภายในจิตใจ เป็นความรูสึกรับรูดังนั้นการวัดด้านจิตพิสัยจึง เป็นการวัดทางออมจากพฤติกรรมของผู้ถูกวัดที่แสดงออกมา เพื่อสะทอนถึงความรูสึกและอารมณของผู้ ถูกวัด วิธีวัดจะกระทำโดยกระตุน หรือเร้าใหผู้ถูกวัดแสดงความคิดเห็นที่ตอบสนองตอสิ่เร้าที่กระตุนนั้น ผู้วัดก็จะแปลความจากพฤติกรรมดังกล่าว 2. เป็นนามธรรมไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง เชน ความสนใจ ความรับผิดชอบ 3. ตองวัดทางออมทำใหเกิดความคลาดเคลื่อนได้ง่าย ต้องใช้เครื่องมือที่มี ความเชื่อมั่นสูง 4. การวัดไม่มีผิดไม่มีถูกขึ้นกับประสบการณและความคิดเห็น ความรูสึกนึก คิดของผู้ตอบแบบสอบ 5. มักนิยมใชขอมูลจากหลายฝ่าย ได้แก บุคคลที่ตองการวัด บุคคล ใกลชิด และการสังเกตของผู้วัดเอง
38 6. มักใชสถานการณจำลองเป็นเงื่อนไขใหผู้ถูกวัดตอบ ดังนั้นเครื่องมือจึงควรมี คุณลักษณะดานความเที่ยงตรงตามสภาพสูง 7. มีจุดออนที่ผู้ตอบสามารถบิดเบือนหรือหลอกผู้ถามได้การแสดงออกของ คุณลักษณะจิตพิสัยมีทิศทางการแสดงออกได้สองแนวทางตรงกันข้าม เชน รัก-เกลียด ชอบ-ไม่ชอบ ฯลฯ และมีระดับความเข้มของระดับความรูสึก เชน รักมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด เป็นตน คุณลักษณะจิตพิสัย สามารถแบงเป็น 2 ลักษณะคือ 1) การประเมินตนเอง โดยผู้ถูกวัดจะเป็นผู้ตอบแบบ วัดด้วยตนเองโดยการแสดงความรูสึก 2) การประเมินโดยผู้อื่น ซึ่งเป็นการวัดโดยผู้ประเมินเป็นผู้วัดเอง หรืออาจมอบหมายใหเพื่อน ผู้ปกครอง หรือผู้ที่เกี่ยวของ เป็นผู้ใชเครื่องมือ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่ทำการทบทวน การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ผู้วิจัยทำการทบทวนงานเฉพาะวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือ สอดคล้องกับการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน พัฒนา/แก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) ผลการทบทวนดังกล่าวนำเสนอตามลำดับ ดังนี้ 1.1 จารวีย์ คีรีนิล (2564) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนประจวบวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อ เปรียบเทียบความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการ จัดจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มี ต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิคเพื่อนคู่คิด ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดสูงกว่าก่อน การจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความคิดเห็น ต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก 1.2 กชกร ฮกทา (2562) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์กาพย์ ยานี 11 กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 2(วัดกะพังสุรินทร์) โดยมีวัตถุประสงค์ การวิจัยเพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะการแต่งคำประพันธ์กาพย์ยานี 11 ของนักเรียนก่อน และหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแต่งกาพย์ยานี 11 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะการ แต่งค าประพันธ์กาพย์ยานี 11 โดยการสร้างสื่อการแต่งคำประพันธ์กาพย์ยานี 11 ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์กาพย์ยานี 11 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 83/86.66 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้2) ผลสัมฤทธิ์ทักษะทางการเรียนการแต่งคำประพันธ์
39 กาพย์ยานี 11 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกการแต่งกาพย์ยานี 11 สูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 1.3 นาราภัทร หยีราเหม (2562) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาไทยเรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตูลวิทยา โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึก ทักษะภาษาไทย เรื่องการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี ประสิทธิภาพเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึก ทักษะภาษาไทยเรื่องการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อแบบฝึกทักษะภาษาไทยเรื่องการแต่ง คำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึก ทักษะภาษาไทยเรื่องการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี ประสิทธิภาพ (E1/E2) เป็น 81.06/84.17 ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะภาษาไทยเรื่องการแต่ง คำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี 11 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะภาษาไทยเรื่องการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี 11 อยู่ในระดับพึงพอใจมาก 1.4 ศิริชัย คชวงษ์ (2562) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถการแต่งคำ ประพันธ์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 20 (บ้านหนอง มะค่าโมง) โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝกทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ใหมีประสิทธิภาพตามเกณฑมาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการแต่งคําประพันธของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ได้รับการ สอนโดยใชแบบฝกทักษะการแต่งคําประพันธ ประเภทกาพย์ยานีกอนเรียนและหลังเรียน ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานีของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 5 ชุดที่ 1 ฝกคิดเขียนคําคลองจอง คือ 96.16/85.94 ซึ่งอยู่ในเกณฑมาตรฐานที่กำหนด ไว้ 80/80 2) ประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะการแต่งคำประพันธประเภทกาพย์ยานีของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 5 ชุดที่ 2 ฝึกคิดลองคําสัมผัส คือ 95.14/85.94 ซึ่งอยู่ในเกณฑมาตรฐานที่กำหนดไว 80/80 3) ประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะการแต่งคำประพันธประเภทกาพย์ยานีของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 5 ชุดที่ 3 ฝกหัดแต่งคําประพันธ คือ 93.47/85.94 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ไว 80/80 4) นักเรียนมีความสามารถในการแต่งคำประพันธของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใชแบบฝ
40 กทักษะการแต่งคําประพันธประเภทกาพย์ยานีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01 1.5 พรพิมล คำเที่ยง (2560) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรูเพื่อฝึก ทักษะการแต่งคําประพันธ ประเภทกาพย์ยานี 11 กับนักเรียนระดับชั้นชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนทุ่ง โพธิ์ทะเลพิทยา โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการแต่งคําประพันธ ประเภทกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนทุงโพธิ์ทะเลพิทยา อำเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร มีประสิทธิภาพตามเกณฑ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาษาไทยกอนและหลังเรียน เรื่องการแต่งคําประพันธ ประเภทกาพย์ยานี 11 ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนทุงโพธิ์ทะเลพิทยา อำเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร ผลการวิจัยพบว่า 1) การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรูเรื่องการแต่งคําประพันธ ประเภทกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 จำนวน 37 คน พบวา การใชแผนการจัดการเรียนรูเรื่องการแต่งคํา ประพันธ ประเภทกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 สูงกว่าเกณฑมาตรฐาน 75/75 ที่ กำหนดไว โดยได้เกณฑประเมินประสิทธิภาพเทากับ 80.00/79.86 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรูเรื่องการแต่งคําประพันธ ประเภท กาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 พบวา คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนหลังจากการใช แผนการจัดการเรียนรูเรื่องการแต่งคําประพันธ ประเภทกาพย์ยานี 11 มีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 15.65 สูง กว่ากอนใชแผนการจัดการเรียนรูเรื่องการแต่งคําประพันธ ประเภทกาพย์ยานี 11 มีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 10.54 และเมื่อทำการทดสอบด้วยสถิติทดสอบ t-test dependent แลวพบวามีความแตกต่างกันอย่าง มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 1.6 จรินทร์ งามแม้น (2553) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกการเขียนคําประพันธ์ กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 กับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 โรงเรียนพัฒน บริหารธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแบบฝึกการเขียนคํา ประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนา และหาประสิทธิภาพของแบบฝึกการเขียนคําประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียน ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 3) เพื่อทดลองใช้แบบฝึกการเขียน คําประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 4) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกการเขียนคํา ประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 สำหรับนักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 และ ปรับปรุง แก้ไขให้เป็นแบบฝึกที่สมบูรณ์ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียน ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องการให้มีการพัฒนา