The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑

การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑

41 แบบฝึกที่มีกิจกรรมหลากหลาย รูปเล่มมีภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม ควรฝึกจากง่ายไปยากและเน้น การฝึกเป็นรายบุคคล 2) แบบฝึกการเขียนคําประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 ประกอบด้วย คํา นํา คําชี้แจง การใช้แบบฝึก วัตถุประสงค์ใบความรู้แผนการจัดการเรียนรู้แบบทดสอบน แบบฝึกมี 4 ชุด ได้แก่ 1) การเลือกใช้คําในการเขียนกลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 2) ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกลอนสุภาพ และกาพย์ยานี 11 3) การเขียนกาพย์ยานี 11 4) การเขียนกลอนสุภาพ แบบฝึกที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพ 87.64/78.82 3) ระหว่างทดลองใช้แบบฝึก นักเรียนมีความสนใจ กระตือรือร้นในการเรียน สามารถทำแบบฝึกได้ถูกต้อง เสร็จตามเวลาที่กำหนด4) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการเขียน คําประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกการเขียนคําประพันธ์ กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยคะแนนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนและนักเรียนพึงพอใจกับการเรียนด้วยแบบฝึก โดยมีความเห็นว่าแบบฝึกมีเนื้อหา น่าสนใจ เข้าใจง่าย มีการ์ตูนและภาพประกอบสวยงาม มีการเรียงลำดับขั้นตอนจากง่ายไปยากทำให้ นักเรียนสามารถเขียนคําประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 ได้รวดเร็วขึ้น 2. การสรุปประเด็น จากงานวิจัยที่ผู้วิจัยทำการทบทวนทั้งสิ้นจำนวน 6 เรื่อง ขอสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผล การทบทวนดังกล่าวเป็นรายข้อ ดังนี้ 1. ใช้แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการแต่งกาพย์ยานี ตามสมองเป็นฐาน และทดลองใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีผลสัมฤทธิ์ด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีของผู้เรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01 โดยใช้ชุดฝึกทักษะกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 2. เป็นการพัฒนาความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีการจัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิคเพื่อนคู่คิด เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้ เดิมก่อนการทำการวิจัยดังกล่าวที่ระดับเห็นด้วย ความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดสูงกว่าก่อนการจัดการ เรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด 3. การพัฒนาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วย ชุดที่ 1 ฝึกคิดเขียนคําคล้องจอง ชุดที่ 2 ฝึกคิดลองคําสัมผัส เพื่อ ศึกษาความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการ วิจัยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความสามารถในการแต่งคำประพันธ์ของนักเรียน ที่ได้รับการสอน


42 โดยใช้แบบฝึกกทักษะการแต่งคําประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยใช้ชุดฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี ด้วยกัน 2 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 ฝึกคิดเขียนคำคล้องจอง ชุดที่2 ฝึกเขียนคำสัมผัส 4. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียน ออนไลน์ “เรียงถ้อย ร้อยคำ ประพันธ์กลอน” เพื่อศึกษาความพึงพอใจบทเรียนออนไลน์ “เรียงถ้อย ร้อยคำ ประพันธ์กลอน” เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมีประสิทธิภาพ 81.50/82.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ผู้วิจัย กำหนด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนบทเรียนออนไลน์สูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01 โดยใช้บทเรียน ออนไลน์ “เรียงถ้อย ร้อยคำ ประพันธ์กลอน” 5. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อศึกษาพัฒนาการความสามารถในการเขียน ร้อย กรองเชิงสร้างสรรค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ประสิทธิภาพของ ก่อน เรียนพบว่าหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยการใช้แบบฝึกทักษะ การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีชุดที่ 1 ฝึกคิดเขียนคําคล้องจอง 6. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแบบฝึกการเขียนคำประพันธ์กลอนกาพย์ยานี ๑๑ เพื่อ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึก พัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนด้านการเขียนคำประพันธ์กลอน สุภาพและกาพย์ยานี ๑๑ ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดฝึกการเขียนคำประพันธ์กลอนสุภาพและกาพย์ ยานี ๑๑ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยการใช้ชุดฝึกการเขียนคำประพันธ์กลอน สุภาพและกาพย์ยานี ๑๑ 3. ประเด็นที่ทำการวิจัยต่อยอด จากการสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นรายข้อ ก่อนหน้าแล้วพบว่า การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ มีประเด็นความรู้ที่แตกต่างจากการสรุป ประเด็นดังกล่าวคือ 1. มีการใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือระหว่างผู้เรียน ๒ คน ที่จับคู่กัน แล้วช่วยกัน แบ่งปันความคิดในประเด็นปัญหา หลังจากที่ร่วมกันคิดเป็นคู่แล้ว จึงนำ ความรู้ที่ได้ไปเสนอให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนได้รับฟัง เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์วิจารณ์ผลร่วมกัน 2. มีการใช้แนวคิดของ Erie Jensen 3. ยังไม่มีนักวิจัยท่านใดนำตัวชี้วัดการแต่งบทร้อยกรองกาพย์ยานี ๑๑ โดยชุดฝึกทักษะที่จัดตาม แนวสมองเป็นฐาน


43 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามกรอบของ หัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ ระเบียบวิธีวิจัย ดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) ร่วมกับ วิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) วิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกับ ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Quantitative Data) แหล่งข้อมูลการวิจัย 1. ประชากร นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เทียบเคียงประชากรที่มีจำนวนไม่จำกัด (Infinite Population) 2. กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน วิธีการคัดเลือก เทียบเคียงกับใช้วิธีการ สุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็นอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เพราะถือว่านักเรียนแต่ละคน ของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ของแต่ละปีการศึกษาเมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมแล้วพบว่า มาจาก บริบทของชุมชนเดียวกันจึงสร้างข้อสรุปว่าไม่มีความแตกต่างกัน ประชากรของนักเรียนดังกล่าวจึงเป็น เอกพันธ์ (Homogeneous Population) สามารถคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบอาศัยความ น่าจะเป็นอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัย 1. นวัตกรรม 1.1 เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม นวัตกรรมที่พัฒนาเพื่อทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับการพัฒนาทักษะการเขียนบทร้อยกรอง เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 คือ ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน


44 1.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผล (Rational Approach) และเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชิญ กิจระการ (2544) ดังนี้ การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลให้ดำเนินการตามลำดับขั้น 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ซึ่งการวิจัยนี้จะเป็นการพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ โดยอ้างอิงตามแนวคิดของ Eric Jensen (รัตนภรณ์ คำกมล. 2558) 2. สร้างฉบับร่างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึก ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน โดยอ้างอิงจากผล การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมของการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วย ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อให้ผู้เชียวชาญ ประเมินประสิทธิภาพเชิงเหตุผล แบบประเมินความเหมาะสมที่สร้างแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 7 4. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence: IOC)ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแต่ละข้อคำถาม (Item) ของแต่ละประเด็น แบบประเมินค่า IOC กล่าวแล้วในภาคผนวกที่ 1 5. นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็น แต่ละข้อคำถามที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่าง น้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความ เที่ยงตรง ผลการประเมินพบว่า แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 ถึง 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามเพื่อวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมแสดงแล้วดังภาคผนวกที่ 3 6. นำชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน ที่สร้างฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้านภาษา และด้านการวิจัยหรือการ วัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน


45 แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามที่ ประเมิน มีความเหมาะสม 7. นำชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน ที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ6 มาแก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 8. จัดทำรูปเล่มชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน ที่ผ่านการสร้างและหาคุณภาพเชิงเหตุผลแล้ว การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพ เชิงเหตุผล 1. นำชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน ที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับ กลุ่มเป้าหมายการวิจัยการหาประสิทธิภาพจะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E 1 /E 2 = 70/70 เมื่อ E 1 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำกิจกรรม และการทดสอบย่อย ระหว่างการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 70 E 2 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิ้นสุด การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 70 การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนดขึ้นว่า ถ้าค่าร้อยละของ คะแนนที่คำนวณของ E 1 = 70±2.55 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E 1 เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 แต่ถ้า มากกว่า หรือน้อยกว่า 70±2.5 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E 1 สูงกว่า หรือ น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้ง ต้องปรับ นวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนา ให้เท่ากับเกณฑ์ที่ตั้งคือ 70 ส่วนการตัดสินประสิทธิภาพของ E 2 ทำ เช่นเดียวกับ E 1 และถ้าร้อยละของคะแนนระหว่าง E 1 และ E 2 ต่างกันมากกว่าร้อยละ 5 แสดงว่า ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีประสิทธิภาพไม่เป็นไปตามเกณฑ์ต้องทำการปรับปรุงใหม่ 2. จัดทำรูปเล่มชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ เป้าหมายการวิจัย


46 ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือ 1) โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วม จิต) เป็นโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งสำหรับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 44 คน ดังนั้น ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว จึงสร้างข้อตกลงว่า การทำวิจัยครั้งนี้จะขอละเว้นการหา ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน 2. เครื่องมือรวบรวมข้อมูล 2.1 ชนิดของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลประกอบด้วย ชุดฝึกทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลต่อการใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน แบบทดสอบเรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ และแผนการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการการจัดการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน 2.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผล และเชิงประจักษ์ดังนี้ การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลดำเนินการตามลำดับขั้น 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลต่อการใช้ชุดฝึก ทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน แบบทดสอบเรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ และแผนการ จัดการเรียนรู้โดยกระบวนการการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละ ชนิดจะสร้างตามแนวคิด ทฤษฎีหลักการ วิธีการต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน สร้างตามแนวคิดของ อังศุมาลิน เพิ่มผล (อังศุมาลิน เพิ่มผล. 2542) 1.2 แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลต่อการใช้ ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สร้างตามวิธีการของบุญชม ศรีสะอาด (ออนไลน์. 2566) 1.3 แบบทดสอบเรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ สร้างตามวิธีการของเยาวเรศ จันทะเสน (ออนไลน์.2566) 1.4 แผนการจัดการเรียนรู้ ที่จัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สร้างตามแนวคิด ของ Eric Jensen (รัตนภรณ์ คำกมล. 2558) 1.2 แบบฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สร้างตามแนวคิดของ อังศุมาลิน เพิ่มผล (อังศุมาลิน เพิ่มผล. 2542)


47 2. สร้างฉบับร่างชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลต่อการใช้ชุดฝึก ทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน แบบทดสอบเรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ และแผนการ จัดการเรียนรู้โดยกระบวนการการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน โดยอ้างอิงผลการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้อย่อยข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินค่า IOC เพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด แบบประเมินค่า IOC ของ เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดกล่าวแล้วในภาคผนวกที่ 1 4. นำแบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างฉบับร่าง ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นด้วยแบบประเมิน IOC แต่ละ ข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินพบว่า 4.1 แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีค่าดรรชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แต่ละข้อของแบบประเมิน ความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานแสดงแล้วดังภาคผนวกที่3 4.2 แต่ละข้อคำถามของแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ที่มีผลต่อการใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีค่าดรรชนีความ สอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงข้อสรุปว่า วัดความพึงพอใจของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลต่อการใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐานมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบวัดความพึงพอใจของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลต่อการใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐานแสดงแล้วดังภาคผนวกที่4 4.3 แต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบเรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ มีค่าดรรชนีความ สอดคล้องระหว่าง 0.67ถึง 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงข้อสรุปว่า แบบทดสอบเรื่อง กาพย์ ยานี ๑๑ มีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบเรื่อง กาพย์ ยานี ๑๑ แสดงแล้วดังภาคผนวกที่5


48 4.4 แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน มีค่าดรรชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงข้อสรุปว่า แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐานมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละ ข้อคำถามของแผนการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน แสดงแล้วดัง ภาคผนวกที่6 5. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ4 มาแก้ไขปรับปรุง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 6. จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ทำการแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล 1. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วม จิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มที่เป็นเป้าหมายการวิจัย การหาค่าความ เชื่อมั่นใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยมี เกณฑ์ประเมินผ่านทั้งฉบับที่ 0.7 ถ้าน้อยกว่าต้องทำการปรับปรุงเครื่องมือใหม่ 2. ปรับปรุงเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดหากพบว่า ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาต่ำกว่า 0.7 3. ยกเว้นแบบทดสอบ จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด พร้อมสำหรับ การนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) จังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายการวิจัย สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรง และความเชื่อมั่นแล้วก่อนนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมาย การวิจัย ต้องดำเนินการต่อจากข้อ 3 เพื่อหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจ การจำแนกต่อดังนี้ 4. นำแบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากง่ายด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ข้อคำถามที่ดีของแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลือกจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สุมาลี จันทร์ชะลอ. 2542) 5. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเร็จรูป 6. จัดทำรูปเล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) จังหวัด อุตรดิตถ์ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายการ วิจัย


49 ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการเช่นเดียวกับดังกล่าวแล้วในหัวข้อ “วิธีการ สร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม” จึงสร้างข้อตกลงว่า การวิจัยครั้งนี้จะละเว้นการหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์ซึ่งประกอบด้วย การหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลทุกชนิด การหาค่าความ ยากง่าย และค่าอำนาจการจำแนกซึ่งเฉพาะสำหรับแบบทดสอบ การดำเนินการรวบรวมข้อมูล 1. ทำหนังสือถึงคณบดีคณะครุศาสตร์เพื่อร้องขอให้ออกหนังสือราชการถึงผู้อำนวยการโรงเรียน อนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อขออนุญาตที่จะทดลองใช้ทักษะเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อปรับปรุงหรือพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 2. ประชุม ชี้แจง และสร้างข้อตกลงกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เกี่ยวการทดลองใช้ ทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อปรับปรุงหรือพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ 3. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนการทดลองใช้การพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วย ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน (pre-test) เพื่อวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เดิมด้านการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ 4. จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยทดลองใช้ทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวสมองเป็นฐาน 5. ทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภายหลังการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ (post-test) เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ โดย ทดลองใช้ทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 6. ให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตอบแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจจากการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อผลพัฒนาการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ โดยทดลองใช้ทักษะ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน


50 การวิเคราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือการวิจัย 1.1 ความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.2 ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน วิเคราะห์ด้วยเกณฑ์ประสิทธิภาพ E 1 /E 2 วิธีการวิเคราะห์ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.3 ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าดรรชนี ความสอดคล้องหรือ IOC วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.4 ความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาค วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.5 ความยากง่ายของแบบทดสอบแต่ละข้อ วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.6 ค่าอำนาจการจำแนกของแบบทดสอบแต่ละข้อวิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเร็จรูป 2. การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย 2.1 ผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์ด้วยค่าคะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.2 ระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบร้อยละของค่าคะแนน เฉลี่ยกับระดับผลการเรียนรู้ตามประเมินผ่านระดับชั้นเรียน 2.3 ผลการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน วิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติPaired -Sample t Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ α 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 2.4 ระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีการวิเคราะห์ ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 2.5 เกณฑ์ประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ด้วยช่วงระดับค่าเฉลี่ยตาม เกณฑ์ของบุญชม ศรีสะอาด (ออนไลน์. 2566)


51 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวสมองเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตาม ประเด็นของวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี๑๑) ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) ที่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนใน ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองใช้ ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ผลการพัฒนาชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐาน 1. นวัตกรรมการเรียนรู้ที่สร้าง ประกอบด้วย ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน และแผนการจัดการเรียนรู้ กาพย์ยานี ๑๑ จำนวน ๓ แผน ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง คำคล้องจอง(กาพย์ยานี ๑๑) จำนวน ๑ ชั่วโมง แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง คล่องสัมผัส(กาพย์ยานี ๑๑) จำนวน ๑ ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง เก่งกาพย์(ยานี ๑๑) รวมเวลาจัดการการเรียนรู้ทั้งสิ้นจำนวน ๓ ชั่วโมง รายละเอียดของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐาน แสดงแล้วดังภาคผนวกที่ 9 2. การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ 2.1 การหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) เมื่อประเมินความเหมาะสม ของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ด้วยแบบ ประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ผลการประเมินแสดงดังตารางที่ 1


52 ตารางที่ 1 : แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ประเด็นที่ประเมิน รายการประเมิน ̅ . คำชี้แจง องค์ประกอบของชุดกิจกรรมมีความครบถ้วน และชัดเจน 4.7 0.58 จำนวนชุดกิจกรรมเรียนรู้ครอบคลุมสาระ การเรียนรู้ 4.7 0.58 ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ กับสาระการเรียนรู้ 4.7 0.58 ข้อปฏิบัติในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เช้าใจง่าย ชัดเจน 4.3 0.58 คู่มือครู บทบาทของผู้สอนต่อการกระตุ้นการเรียนรู้ ของนักเรียน 4 1 บทบาทของผู้สอนส่งเสริมให้นักเรียนเกิด กระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 4 1 ระบุสิ่งที่ผู้สอนต้องเตรียมในการใช้ชุดกิจกรรมอย่าง ละเอียด และครบถ้วน 4.3 0.58 สามารถชี้แนะแนวทางให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม อภิปรายและสรุปผลบรรลุตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ 4.7 0.58 คู่มือนักเรียน คำแนะนำในการทำกิจกรรมครบถ้วนและชัดเจน 4 0 กิจกรรมที่นักเรียนต้องปฏิบัติเป็นตามลำดับขั้นของ การตคิดอย่างมีวิจารณญาณและชัดเจน 4.3 0.58 กิจกรรมที่นักเรียนต้องปฏิบัติครอบคลุมจุดประสงค์ การเรียนรู้ 4.7 0.58 วัดและประเมินผลครอบคลุมด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ 5 0 วัดและประเมินผลครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ 5 0


53 ประเด็นที่ประเมิน รายการประเมิน ̅ . แผนการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดชั้นปี และสาระ การเรียนรู้ตรงตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 5 0 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้มี ความสอดคล้องกัน 5 0 ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้และ กิจกรรมการเรียนรู้ 5 0 กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสมกับวุฒิภาวะ ของนักเรียน 4.3 0.58 ความสอดคล้องระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้กับ ขั้นตอนของกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 4.7 0.58 ความหลากหลายของกิจกรรมการเรียนรู้ 4.3 0.58 ระยะเวลาสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ของแต่ละชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 4.3 0.58 สื่อการเรียนรู้ คำแนะนำมีความชัดเจน เข้าใจง่าย 4.3 0.58 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5 0 สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ 5 0 เหมาะสมกับวัยของนักเรียน 4.7 0.58 กระตุ้นให้นักเรียนเกิดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3.7 0.58 ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดรวดเร็ว สามารถสรุปความรู้ด้วยตนเอง 4 0 ส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาด้านความรู้ และทักษะ กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 4 0 ส่งเสริมให้นักเรียนรู้วิธีการใช้สื่อ และแหล่งเรียนรู้อื่น เพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม 4.3 0.58


54 ประเด็นที่ประเมิน รายการประเมิน ̅ . วัดและประเมินผล ครบทั้งด้านความรู้ ทักษะ/กระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 4.7 0.58 ครอบคลุมทุกจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.7 0.58 เครื่องมือการวัดผลของแต่ละจุดประสงค์ การเรียนรู้มีความเหมาะสม 5 0 วิธีการวัดผลสอดคล้องกับแต่ละจุดประสงค์ การเรียนรู้ 5 0 การกำหนดเกณฑ์ประเมินระดับผลการเรียนรู้ มีความเหมาะสม 5 0 การกำหนดเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้ระดับ บุคคลมีความเหมาะสม 4.7 0.58 การกำหนดเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้ ระดับชั้นเรียนมีความเหมาะสม 4.7 0.58 จากตารางที่ 1 พบว่า แต่ละรายการที่ประเมินของแต่ละประเด็นมีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.7 ซึ่งผ่าน เกณฑ์ประเมินขั้นต่ำคือ 3.50 ดังนั้น จึงสรุปว่าชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานมีความเหมาะสม และเมื่อประเมินความเหมาะสมแผนการจัดการเรียนรู้ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมอง เป็นฐาน ด้วยแบบประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ผลการประเมินแสดงดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 : แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ประเด็นที่ประเมิน รายการประเมิน ̅ . สาระสำคัญ สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.7 0.58 มีประโยชน์กับชีวิตประจำวัน 4.7 0.58 เหมาะสมกับวัยผู้เรียน 4 1 มีความชัดเจน เข้าใจง่าย 4 1


55 ประเด็นที่ประเมิน รายการประเมิน ̅ . จุดประสงค์การเรียนรู้ สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ 4.7 0.58 ภาษาที่ใช้มีความชัดเจนเข้าใจง่าย 4.3 1.15 เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 4.3 1.15 ระบุพฤติกรรมที่สามารถวัดและประเมินได้ 4.3 0.58 สาระการเรียนรู้ สาระสำคัญ สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.3 0.58 มีความชัดเจน เข้าใจง่าย 4.3 0.58 มีความยากง่ายเหมาะสมกับชั้นเรียน 4.7 0.58 น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน 4.3 1.15 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.7 0.58 การจัดกระบวนการ เรียนรู้ สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ 5 0 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.7 0.58 เหมาะสมกับเวลาที่ใช้จัดกิจกรรม 4 0 เร้าความสนใจให้ผู้เรียนกระตือรือร้น 4 1 กิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามลำดับ 4.7 0.58 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม 3.7 0.58 สื่อการเรียนรู้ สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียน 5 0 สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้และกิจกรรม 5 0 เร้าความสนใจของนักเรียน 4.7 0.58 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการใช้ 4.3 0.58 เหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียน 4.7 0.58 การวัดประเมินผล สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5 0 สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ 5 0 ใช้เครื่องมือวัดได้เหมาะสม 4.3 0.58 จากตารางที่ 2 พบว่า แต่ละรายการที่ประเมินของแต่ละประเด็นมีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.7 ซึ่งผ่าน เกณฑ์ประเมินขั้นต่ำคือ 3.50 ดังนั้น จึงสรุปว่าแผนการจัดการเรียนรู้ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐานมีความเหมาะสม


56 2.2 การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) วิธีการหา ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน จะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 = 70/70 โดยนำชุดฝึกทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ที่หาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลแล้วไป ทดลองกับกลุ่มนักเรียนที่เป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายการวิจัย แต่ตามข้อตกลงดัง ระบุในบทที่ 3 ว่า เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือ 1) โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) เป็น โรงเรียนขนาดเล็กซึ่งสำหรับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 44 คน ดังนั้น ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว จึงสร้างข้อตกลงว่า การทำวิจัยครั้งนี้จะขอละเว้นการหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์ของการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน การทำวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยขอละเว้นการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ดังข้อตกลงแล้วในบทที่ 3 ผลการพัฒนาทักษะด้านการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ 1. คะแนนก่อน-หลังการทดลอง จากการทำแบบทดสอบก่อนการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึก ทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อวัดพื้นฐานทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่ต้องการพัฒนา (Post-Test) และจากการวัดและประเมินผลภายหลังการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะ การเขียนกาพย์ยานี ๑๑ (Post-Test) ค่าคะแนนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน อนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 44 คนซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างแสดงดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 : แสดงคะแนนจากทำแบบทดสอบก่อน และ หลัง การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ ยานี ๑๑ ของกลุ่มตัวอย่างเมื่อคะแนนเต็มของการทำแบบทดสอบก่อนและหลังการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ 10 คะแนนเท่ากัน ที่ คะแนนทำแบบทดสอบก่อนการทดลอง ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ คะแนนทำแบบทดสอบหลังการทดลอง ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ 1 9 10 2 8 9 3 8 9


57 ที่ คะแนนทำแบบทดสอบก่อนการทดลอง ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ คะแนนทำแบบทดสอบหลังการทดลอง ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ 4 10 10 5 10 10 6 8 10 7 7 10 8 6 9 9 10 10 10 2 8 11 10 10 12 9 10 13 6 10 14 6 8 15 7 10 16 8 10 17 10 10 18 10 10 19 10 10 20 10 10 21 9 10 22 8 10 23 10 10 24 7 10 25 9 10 26 10 10 27 1 8 28 10 10 29 10 10 30 6 10 31 7 10 32 8 10


58 ที่ คะแนนทำแบบทดสอบก่อนการทดลอง ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ คะแนนทำแบบทดสอบหลังการทดลอง ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ 33 10 10 34 10 10 35 8 10 36 8 10 37 9 10 38 6 10 39 6 8 40 4 9 41 9 9 42 10 9 43 10 9 44 7 10 รวม 44 คน รวมคะแนน 356 ̅ = 8.09 = 2.15 หรือคิดเป็นร้อยละ 81 รวมคะแนน 425 ̅ = 9.66 = 0.64 หรือคิดเป็นร้อยละ 97 จากตารางที่ 3 พบว่า คะแนนการทำแบบทดสอบก่อนการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 8.09 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.15 และภายหลังการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านเดียวกัน คะแนนของกลุ่มตัวอย่างเดียวกัน เท่ากับ 9.66 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 2. การเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลังการทดลอง เมื่อใช้วิธีการทางสถิติPair-Sample t-Test วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลังการทดลอง ใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่า ปลา(ชุมชนร่วมจิต) ปีการศึกษา 2566 จำนวน 44 คน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่าง ผลการเปรียบเทียบแสดงดัง ตารางที่ 4


59 ตารางที่ 4 : แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลังการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ ยานี ๑๑ ของกลุ่มตัวอย่างเดียวกันระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เมื่อ α = 0.05 หรือที่ ระดับความเชื่อมั่น 95 % Pair - Sample t Test นวัตกร รมการ เรียนรู้ จำนวน (คน) คะแนน เต็ม ค่าคะแนน เฉลี่ย(̅) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ( ) เกณฑ์ระดับผลการเรียนรู้ของ สพฐ. ที่กำหนดและระดับผล การเรียนรู้ที่เทียบ A 44 10 8.09 2.15 เกณฑ์ สพฐ. ดี (70-74 %) ผลการเรียนรู้ดีมาก (81%) B 44 10 9.66 0.64 เกณฑ์ สพฐ. ดี (70-74 %) ผลการเรียนรู้ดีมาก (97%) Pair –Sample Statistics Pair Sample Correlation Sig. t df Sig. (2- tailed Confidence Level (%) Pair…A - B .000 -5.704 43 .000 95 จากตารางที่ 4 วิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลังการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะ การเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลังก่อนการทดลองของกลุ่มตัวอย่างพบว่า คะแนนหลัง การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ แตกต่างกับคะแนนก่อนการทดลองใช้นวัตกรรม การเรียนรู้ดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ เมื่อ α = 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % 2. เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยพบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองใช้ชุดฝึก ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อ พัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ สูงกว่าค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ เมื่อ α = 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95 %


60 จากผลการวิเคราะห์ตารางดังกล่าวข้อ 1-2 จึงสรุปว่า ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ สถิติที่ α 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีผลต่อการพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ระดับความพึงพอใจ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องกาพย์ยานี ๑๑ โดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 44 คน เมื่อวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจ ผลการวิเคราะห์ แสดงดังตารางที่ 5 ตารางที่ 5 : แสดงระดับความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง ที่มีต่อการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ประเด็นและรายการที่ประเมิน ̅ . ระดับความ พึงพอใจ ด้านผู้สอน 1. มีการเตรียมการการสอนมาก่อนล่วงหน้า 4.80 0.46 มากที่สุด 2. มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาที่สอนเป็นอย่างดี 4.80 0.41 มากที่สุด 3. ให้คำแนะนำ และรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียน 4.73 0.59 มากที่สุด 4. แต่งกายสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม 4.75 0.49 มากที่สุด 5. พูดจาไพเราะ ถูกต้อง และสุภาพ 4.68 0.56 มากที่สุด 6. ให้ความสนใจนักเรียนอย่างทั่วถึง ในขณะทำการสอน 4.73 0.45 มากที่สุด 7. มีปฏิกิริยาตอบโต้กับนักเรียนขณะที่ทำการสอน 4.66 0.53 มากที่สุด รวม 4.73 0.50 มากที่สุด


61 ประเด็นและรายการที่ประเมิน ̅ . ระดับความ พึงพอใจ ด้านความรู้ 1. เข้าใจในเนื้อหามากขึ้นเมื่อใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน 4.64 0.61 มากที่สุด 2. เรียนรู้อย่างมีความสุขเมื่อใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน 4.66 0.53 มากที่สุด 3. ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน 4.59 0.62 มากที่สุด 4. ชื่นชอบการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน 4.66 0.53 มากที่สุด 5. ให้ความสนใจในการเรียนมากขึ้น เมื่อเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน 4.77 0.52 มากที่สุด 6. สามารถนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน 4.68 0.56 มากที่สุด รวม 4.67 0.56 มากที่สุด ด้านกิจกรรม 1. มีการใช้สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีในการสอนอย่างหมาะสม 4.82 0.45 มากที่สุด 2. มีการใช้สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีในการสอนอย่าง สร้างสรรค์ 4.82 0.45 มากที่สุด 3. วิธีการสอนในรูปแบบใหม่ ที่แตกต่างจากวิธีการสอนเดิม 4.64 0.65 มากที่สุด 4. จัดกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม 4.73 0.45 มากที่สุด 5. มีกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4.68 0.60 มากที่สุด 6. สรุปบทเรียนได้ถูกต้อง กระชับ และง่ายต่อการเข้าใจ 4.84 0.43 มากที่สุด รวม 4.75 0.50 มากที่สุด ด้านบรรยากาศในการจัดการเรียนรู้ 1. เวลาในการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสม 4.73 0.50 มากที่สุด 2. ผู้สอนสร้างบรรยากาศที่ดีเหมาะแก่การเรียนรู้ 4.61 0.62 มากที่สุด 3. ผู้สอนส่งเสริมให้นักเรียนคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 4.86 0.35 มากที่สุด 4. นักเรียนมีโอกาสซักถามข้อสงสัย 4.68 0.56 มากที่สุด 5. นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข 4.66 0.53 มากที่สุด รวม 4.71 0.51 มากที่สุด


62 ประเด็นและรายการที่ประเมิน ̅ . ระดับความ พึงพอใจ ด้านสื่อการเรียนรู้ 1. สื่อการเรียนรู้มีความสวยงาม 4.61 0.65 มากที่สุด 2. ตัวหนังสือที่ใช้ในสื่อการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน 4.70 0.51 มากที่สุด 3. สื่อการเรียนรู้มีความทันสมัย 4.82 0.50 มากที่สุด 4. สื่อการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 4.86 0.35 มากที่สุด 5. สื่อการเรียนรู้มีความเข้าใจง่าย 4.80 0.51 มากที่สุด รวม 4.76 0.50 มากที่สุด รวมทั้งหมด 4.72 0.52 มากที่สุด จากตารางที่ 5 พบว่า เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใช้ต่อการทดลองใช้ ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ที่ระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.72 . = 0.52) แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านโดยเรียงลำดับระดับค่าเฉลี่ยจาก ระดับมากสุดไปหาน้อยสุด 3 ลำดับ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อด้านกิจกรรม (̅ = 4.75 = 0.50) สูงสุด มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด รองลงมาคือด้านด้านผู้สอน (̅ = 4.73 = 0.50) มีความ พึงพอใจระดับมากที่สุด และลำดับสุดท้ายคือด้านสื่อการเรียนรู้ (̅ = 4.72 = 0.50) มีความพึงพอใจ ระดับมากที่สุด


63 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย เป้าหมายของการวิจัยเพื่อต้องการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ทั้งนี้เพราะจากการสรุปผลการประเมินผลปลายภาคเรียนปีการศึกษาก่อนหน้าพบว่าผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ที่ระดับ พอใช้เมื่อเทียบ กับเกณฑ์ของ สพฐ. ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน ด้วยสาเหตุดังกล่าว ผู้สอนจึงต้องการทำ การวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ โดยอาศัยแนวคิดของ Eric Jensen ซึ่งเป็นผลจากการทบบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้สอนจึงพัฒนาชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน พร้อมทั้งกำหนดสมมติฐานการวิจัยว่า การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้จะมีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ และระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่า ปลา(ชุมชนร่วมจิต) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ กับ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. กลุ่มตัวอย่างมีผลการพัฒนาด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่ระดับดีมาก เมื่อ เปรียบเทียบระหว่างค่าคะแนนเฉลี่ยก่อน-หลังการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 2. เมื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบก่อน-หลังการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะ การเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ด้วย Paired – Sample t Test พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบหลังการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน สูงกว่าก่อนการทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ α 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% 3. เมื่อทำการประเมินระดับความพึงพอใจซึ่งกำหนดเป็น 5 ด้าน ประกอบด้วยด้านผู้สอน ด้าน ความรู้ ด้านกิจกรรม ด้านบรรยากาศในการจัดการเรียนรู้ และด้านสื่อการเรียนรู้พบว่า กลุ่มตัวอย่างมี


64 ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยภาพรวมทุกด้านที่ระดับมากที่สุด และมีความพึงพอใช้ เฉพาะต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ที่ระดับมากที่สุด จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวข้อ 1 -3 สรุปว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการ เรียนรู้โดยการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 และเมื่อ วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจโดยภาพรวมทุกด้านที่ระดับมากที่สุด และมี ความพึงพอใช้เฉพาะต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว สมองเป็นฐาน ที่ระดับมากที่สุด อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวในบทที่ 4 ประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นมาสู่การอภิปราย ผลการวิจัยประกอบด้วย ผลการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน และระดับความพึงพอใจของนักเรียนแต่ ละประเด็นดังกล่าว นำมาอภิปราย ดังนี้ 1. ผลการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลในบทที่ 4 เมื่อเปรียบเทียบผลผลการเรียนรู้ของนักเรียนพบว่า ผล การเรียนรู้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ สูงกว่าการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าชุดกิจกรรมฝึกทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานนั้น คือ สื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามกระบวนการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน และตามความสามารถของ รูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล โดยมีเนื้อหา กิจกรรม และการประเมินผลรวมไว้ด้วยกัน โดยมีผู้สอน เป็นผู้อำนวยความสะดวก คอยให้คำปรึกษา เมื่อนักเรียนเกิดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจกรรมในชุด กิจกรรม ซึ่งผลดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดของ Eric Jensen ที่กล่าวว่า การออกแบบบทเรียนตาม แนวคิดสมองเป็นฐานนี้ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากพื้นฐานความคิดที่ว่า สมองแต่ ละสมองย่อมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตน ดังนั้นจึงไม่มีการออกแบบใดที่จะสามารถครอบคลุมความ ต้องการของสมองทั้งหมดได้ เพราะการเรียนรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลย่อมต้องการวิธีการเรียนรู้ที่ แตกต่างไปด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปร ได้แก่ พื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ วิธีพิเศษต่าง ๆและประเภท ของทักษะในการสอนการออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูล ต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง (รัตถภรณ์ คำกมล. 2566) นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวยัง


65 สอดคล้องกับงานวิจัยของ รัตถภรณ์ คำกมล (รัตนภรณ์ คำกมล. 2558 ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ด้าน การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ผลการศึกษาความ คิดเห็นของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน พบว่าผู้เรียนมี ความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก มีระดับความคิดเห็น เฉลี่ยเท่ากับ 2.93 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.22 โดย ด้านผู้สอนมีระดับความคิดเห็นเฉลี่ยสูงสุด นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ (จารวีย์ คีรีนิล. 2564) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถ ด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานีของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด 2) เพื่อศึกษาความ คิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลัง การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระกับ .05 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดอยู่ใน ระดับเห็นด้วยมาก และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ (ศิริชัย คชวงษ์. 2562) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนา ความสามารถการแต่งคำประพันธ์ชองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึก ทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ยานี กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธประเภทกาพย์ยานี ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 5 ใหมีประสิทธิภาพตามเกณฑมาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการ แต่งคำประพันธของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไรับการสอนโดยใชแบบฝกทักษะการแต่งคำประ พันธ ประเภทกาพ์ยานีกอนเรียนและหลังเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝกทักษะ การแงคำประพันธประเภทกาพ์ยานีของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 อยู่ในเกณฑมาตรฐานที่กำหนด ไว้ คือ 80/80 2) นักเรียนมีความสามารถในการแต่งคำประพันธของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช แบบฝกทักษะการแต่งคำประพันธ ประเภทกาพย์ยานีหลังเรียนสูงกว่ากอนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.01


66 จากการอภิปรายผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงลงข้อสรุปว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ โดยการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีผลต่อผลการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งสอดคล้อง กับสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดขึ้นคือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน โดย ทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑ ) มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าปลา(ชุมชนร่วมจิต) เมื่อเปรียบเทียบกับการจัด กิจกรรมเรื่องเดียวกันโดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวสมองเป็นฐาน 2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียน จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลในบทที่ 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองใช้ชุดฝึก ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ ที่ระดับมากที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างมีความ พึงพอใช้ต่อการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้วยชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวสมองเป็นฐานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับมากที่สุด มีระดับความคิดเห็นเฉลี่ยเท่ากับ 4.72 และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.52 โดยนักเรียนมีความพึงพอใจต่อด้านกิจกรรมสูงสุด จากการอภิปรายผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงลงข้อสรุปว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ โดยการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีผลต่อระดับความพึงพอใจของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับ สมมติฐานการวิจัยที่กำหนดขึ้นคือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเขียนบทร้อยกรอง (กาพย์ยานี ๑๑) โดยทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน มีผลต่อระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะการใช้ประโยชน์ผลการวิจัย 1.1 การใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็น ฐาน มีตัวแปรที่สำคัญคือ เวลาในการจัดกิจกรรม ผู้สอนอาจต้องวางแผนเรื่องเวลาหรือควบคุมเวลาให้ดี ทั้งนี้เพราะจะได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการนำชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานจากการวิจัยครั้งนี้ไปใช้


67 1.2 การจัดการเรียนรู้เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนกิจกรรมในแต่ละขั้นตอนได้ตาม ความเหมาะสม ทั้งนี้เพราะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐานค่อนข้างมีความยืดหยุ่นใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1.3 การจัดการเรียนรู้เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ก่อนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เรื่อง เก่งกาพย์(ยานี ๑๑) ผู้สอน ควรสร้างพื้นฐานให้ผู้เรียนด้วยการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสอ่านและฟังคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ทั้งนี้ เพราะจะช่วยให้นักเรียนคุ้นเคยกับฉันทลักษณ์ และเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักคำมากยิ่งขึ้น 1.4 ผู้สอนต้องให้ความสนใจและใส่ใจ ให้คำแนะนำ คำปรึกษา สอนซ่อมเสริมให้แก่ผู้เรียนที่ เป็นกลุ่มอ่อน ทั้งนี้เพราะจะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ที่ได้สูงขึ้นอย่างทั่วถึง 2. ข้อเสนอแนะการศึกษาเพิ่มเติมหรือทำวิจัยต่อยอด 2.1 ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ทั้งนี้เพราะผู้สอนจะ ได้พื้นฐานที่ถูกต้องเกี่ยวกับกาพย์ยานีมากยิ่งขึ้น 2.2 ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ทั้งนี้ เพราะจะช่วยสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในเรื่องของการจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน กับ ผู้ทำการวิจัย 2.3 ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้เทคนิคอื่น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริม ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้เพราะการวิจัยในครั้งต่อไปอาจปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการ เรียนรู้ที่ดีขึ้นกว่าครั้งนี้


68


69 เอกสารอ้างอิง นางสาวรัตถภรณ์ คำกมล. (2558) ตัวอย่างงานวิจัย. / เข้าถึงได้จาก : http://ithesis-ir.su.ac.th/ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. (2566) / เข้าถึงได้จาก : https://ops.moe.go.th/%E0%B8%9E% E0%B8%A3%E0%B8%9Aอีริก เจนเซ่น. (ออนไลน์ 2566) การจัดการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน. / เข้าถึงได้จาก : https://sites.google.com/site/lifevantagep/2-12 ปริญญ์ พวงนัดดา. (2544) ชุดกิจกรรม. / เข้าถึงได้จาก : http://www.cmruir.cmru.ac.th/ bitstream/123456789/1604/5/C2_413888.pdf พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2566) ความหมายของวิจัยในชั้นเรียน. / เข้าถึงได้จาก : https://eledu.ssru.ac.th/ kannika_bh/pluginfile.php/35/course/section/9/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0% B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%2012.pdf สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม. (2542) ประโยชน์วงการศึกษา. / เข้าถึงได้จาก : https://pngcc.ac.th/ client-upload/pngcc/download/11.pdf สุวิมล ว่องวานิช. (2546) ตัวอย่างงานวิจัยบทที่ 2. / เข้าถึงได้จาก : http://cmruir.cmru.ac.th/ bitstream/123456789/1939/5/Chapter2.pdf สุคนธ์ สินธพานนท์. (2553) ตัวอย่างงานวิจัย. / เข้าถึงได้จาก : http://www.ska2.go.th/reis/data/ research/25640702_204311_6241.pdf จารวียร์ ศีรีนิล. (2564) การแต่งคำประพันธ์. / เข้าถึงได้จาก : http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/ bitstream/123456789/3855/1/61255303.pdf พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2530) ตัวอย่างงานวิจัย. / เข้าถึงได้จาก :http://www.edu.nu.ac.th/researches /admin/upload/239091010110939is.pdf บุญชม ศรีสะอาด. (ออนไลน์. 2566) ระดับความพึงพอใจ. / เข้าถึงได้จาก : http://etheses.psru.ac.th/lib-irpsru/sites/default/files/site/default/thesis/ch3- _6.pdf ภณิดา ชัยปัญญา. (2541) การวัดระดับความพึงพอใจ. / เข้าถึงได้จาก : https://maitree3.blogspot .com


70


71 ภาคผนวก


72


73 ภาคผนวก 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


74 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) คำชี้แจง 1. แบบประเมินที่สร้างขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาแต่ละด้านของ ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน 2. วิธีการประเมินจะประเมินด้วยค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item-Objective Congruence: IOC) 3. ผลการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละรายการ (Item) ของแต่ละด้านมีคะแนน 3 ระดับ โดย 3.1 ข้อคำถามใดที่ท่านเห็นว่าสอดคล้องกับด้านที่ต้องการประเมิน มีระดับคะแนน +1 3.2 ข้อคำถามใดที่ท่านไม่แน่ใจว่าสอดคล้องกับด้านที่ต้องการประเมิน มีระดับคะแนน 0 3.3 ข้อคำถามใดที่ท่านเห็นว่าไม่สอดคล้องกับด้านที่ต้องการประเมิน มีระดับคะแนน -1 4. ให้ท่านทำเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องผลการประเมินของแต่ละรายการของแต่ละด้านตาม ความเห็นของท่าน 5. ขณะที่ท่านทำการประเมินหากพบรายการใดที่เห็นว่าสมควรปรับปรุงแก้ไข ขอความอนุเคราะห์ โปรดให้ข้อเสนอแนะหรือทำการแก้ไขจักกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


75 ตาราง: แสดงรายการประเมินความเหมาะสมแต่ละด้านของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน ด้านที่ทำการ ประเมิน รายการที่ทำการวิเคราะห์ ผลการประเมิน -1 0 +1 คำชี้แจงวิธีการใช้ องค์ประกอบของชุดกิจกรรมมีความครบถ้วนและ ชัดเจน จำนวนชุดกิจกรรมเรียนรู้ครอบคลุมสาระการ เรียนรู้ ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้กับ สาระการเรียนรู้ ข้อปฏิบัติในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เช้าใจง่าย ชัดเจน คู่มือครู บทบาทของผู้สอนต่อการกระตุ้นความสนใจของ นักเรียน บทบาทของผู้สอนส่งเสริมให้นักเรียนเกิด กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ระบุสิ่งที่ผู้สอนต้องเตรียมในการใช้ชุดกิจกรรม อย่างละเอียด และครบถ้วน สามารถชี้แนะแนวทางให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม อภิปรายและสรุปผลบรรลุตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ คู่มือนักเรียน คำแนะนำในการทำกิจกรรมครบถ้วนและชัดเจน กิจกรรมที่นักเรียนต้องปฏิบัติเป็นตามลำดับขั้น ของการตคิดอย่างมีวิจารณญาณและชัดเจน กิจกรรมที่นักเรียนต้องปฏิบัติครอบคลุม จุดประสงค์ การเรียนรู้ วัดและประเมินผลครอบคลุมด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ วัดและประเมินผลครอบคลุมจุดประสงค์การ เรียนรู้


76 ตาราง: แสดงรายการประเมินความเหมาะสมแต่ละด้านของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน (ต่อ) ด้านที่ทำการวิเคราะห์ รายการที่ทำการวิเคราะห์ ผลการประเมิน -1 0 +1 แผนการจัดการ เรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดชั้นปี และสาระการ เรียนรู้ตรงตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พ.ศ. 2551 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้ มีความสอดคล้องกัน ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้และ กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของ นักเรียน ความสอดคล้องระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้กับ ขั้นตอนของกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความหลากหลายของกิจกรรมการเรียนรู้ ระยะเวลาสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของแต่ ละชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ คำแนะนำมีความชัดเจน เข้าใจง่าย สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัยของนักเรียน กระตุ้นให้นักเรียนเกิดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดรวดเร็ว สามารถสรุปความรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาด้านความรู้ และ ทักษะ กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ส่งเสริมให้นักเรียนรู้วิธีการใช้สื่อ และแหล่งเรียนรู้ อื่นเพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม


77 ตาราง: แสดงรายการประเมินความเหมาะสมแต่ละด้านของชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน (ต่อ) ด้านที่ทำการวิเคราะห์ รายการที่ทำการวิเคราะห์ ผลการประเมิน -1 0 +1 วัดและประเมินผล ครบทั้งด้านความรู้ ทักษะ/กระบวนการ และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ครอบคลุมทุกจุดประสงค์การเรียนรู้ เครื่องมือการวัดผลของแต่ละจุดประสงค์การ เรียนรู้มีความเหมาะสม วิธีการวัดผลสอดคล้องกับแต่ละจุดประสงค์การ เรียนรู้ การกำหนดเกณฑ์ประเมินระดับผลการเรียนรู้มี ความเหมาะสม การกำหนดเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้ระดับ บุคคลมีความเหมาะสม การกำหนดเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้ ระดับชั้นเรียนมีความเหมาะสม ข้อสังเกต (ถ้ามี) ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ......................................................ผู้ประเมิน ( ) .........../................. /............ แบบประเมินความเหมาะสมฉบับบนี้ผ่านการตรวจสอบทางด้านภาษาเบื้องต้นจากอาจารย์ประจำ รายวิชาแล้ว ลงชื่อ......................................อาจารย์ประจำวิชา (อิสระ ทับสีสด) .........../................. /............


78 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) คำชี้แจง 1. แบบประเมินที่สร้างขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาแต่ละด้านของ แบบวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ 2. วิธีการประเมินจะประเมินด้วยค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item-Objective Congruence: IOC) 3. ผลการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละรายการ (Item) ของแต่ละด้านมีคะแนน 3 ระดับ โดย 3.1 ข้อคำถามใดที่ท่านเห็นว่าสอดคล้องกับด้านที่ต้องการประเมิน มีระดับคะแนน +1 3.2 ข้อคำถามใดที่ท่านไม่แน่ใจว่าสอดคล้องกับด้านที่ต้องการประเมิน มีระดับคะแนน 0 3.3 ข้อคำถามใดที่ท่านเห็นว่าไม่สอดคล้องกับด้านที่ต้องการประเมิน มีระดับคะแนน -1 4. ให้ท่านทำเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องผลการประเมินของแต่ละรายการของแต่ละด้านตาม ความเห็นของท่าน 5. ขณะที่ท่านทำการประเมินหากพบรายการใดที่เห็นว่าสมควรปรับปรุงแก้ไข ขอความอนุเคราะห์ โปรดให้ข้อเสนอแนะหรือทำการแก้ไขจักกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


79 ตาราง: แสดงรายการประเมินความเหมาะสมแต่ละด้านของแบบวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนา ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ด้านที่ทำการ ประเมิน รายการที่ทำการวิเคราะห์ ผลการประเมิน -1 0 +1 ด้านผู้สอน มีการเตรียมการสอนมาก่อนล่วงหน้า มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาที่สอนเป็นอย่าง ดี ให้คำแนะนำ และรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียน แต่งกายสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม พูดจาไพเราะ ถูกต้อง และสุภาพ ให้ความสนใจนักเรียนอย่างทั่วถึง ในขณะทำการ สอน มีปฏิกิริยาตอบโต้กับนักเรียนขณะที่ทำการสอน ด้านความรู้ เข้าใจในเนื้อหามากขึ้นเมื่อใช้ชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน เรียนรู้อย่างมีความสุขเมื่อใช้ชุดฝึกทักษะการเขียน กาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากการใช้ชุดฝึกทักษะการ เขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน ชื่นชอบการใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรมการเรียนการสอน ให้ความสนใจในการเรียนมากขึ้น เมื่อเรียนด้วย ชุดฝึกทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ ในกิจกรรม การเรียนการสอน สามารถนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ได้ใน ชีวิตประจำวัน


80 ตาราง: แสดงรายการประเมินความเหมาะสมแต่ละด้านของแบบวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการใช้ชุดฝึกทักษะที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสมองเป็นฐาน เพื่อพัฒนา ทักษะการเขียนกาพย์ยานี ๑๑ (ต่อ) ด้านที่ทำการวิเคราะห์ รายการที่ทำการวิเคราะห์ ผลการประเมิน -1 0 +1 ด้านกิจกรรม มีการใช้สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีในการสอน อย่างเหมาะสม มีการใช้สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีในการสอน อย่างสร้างสรรค์ วิธีการสอนในรูปแบบใหม่ ที่แตกต่างจากวิธีการ สอนเดิม จัดกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำ กิจกรรม มีกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง สรุปบทเรียนได้ถูกต้อง กระชับ และง่ายต่อการ เข้าใจ ด้านบรรยากาศใน การจัดการเรียนรู้ เวลาในการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสม ผู้สอนสร้างบรรยากาศที่ดีเหมาะแก่การเรียนรู้ ผู้สอนส่งเสริมให้นักเรียนคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นักเรียนมีโอกาสซักถามข้อสงสัย นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ด้านสื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้มีความสวยงาม ตัวหนังสือที่ใช้ในสื่อการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับ ผู้เรียน สื่อการเรียนรู้มีความทันสมัย สื่อการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้มีความเข้าใจง่าย


81 ข้อสังเกต (ถ้ามี) ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ......................................................ผู้ประเมิน ( ) .........../................. /............ แบบประเมินความเหมาะสมฉบับบนี้ผ่านการตรวจสอบทางด้านภาษาเบื้องต้นจากอาจารย์ประจำ รายวิชาแล้ว ลงชื่อ......................................อาจารย์ประจำวิชา (อิสระ ทับสีสด) .........../................. /............


82 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) คำชี้แจง 1. แบบประเมินที่สร้างขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประเมินความเหมาะสมของแบบทดสอบ เรื่อง กาพย์ยานี ๑๑ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. วิธีการประเมินจะประเมินด้วยค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item-Objective Congruence: IOC) 3. ผลการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละรายการ (Item) ของแต่ละด้านมีคะแนน 3 ระดับ โดย 3.1 แน่ใจว่าข้อสอบตรงจุดประสงค์ มีระดับคะแนน +1 3.2 ไม่แน่ใจว่าข้อสอบตรงจุดประสงค์ มีระดับคะแนน 0 3.3 แน่ใจว่าข้อสอบไม่ตรงจุดประสงค์ มีระดับคะแนน -1 4. ให้ท่านทำเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องผลการประเมินของแต่ละรายการของแต่ละด้านตาม ความเห็นของท่าน 5. ขณะที่ท่านทำการประเมินหากพบรายการใดที่เห็นว่าสมควรปรับปรุงแก้ไข ขอความอนุเคราะห์ โปรดให้ข้อเสนอแนะหรือทำการแก้ไขจักกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


83


84


85


86


87


88


89


90


Click to View FlipBook Version