The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์

การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์

รายงานการวิจัย เรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม Application of Satipaṭṭhāna 4 for Behavior Change of High School Students in Mueang District, Mahasarakham Province โดย พระครูสารกิจประยุต, ดร. พระครูโพธิธรรมานุศาสก์ นางฤดี แสงเดือนฉาย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์มหาสารคาม พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย MCU RS 610760083


รายงานการวิจัย เรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม Application of Satipaṭṭhāna 4 for Behavior Change of High School Students in Mueang District, Mahasarakham Province โดย พระครูสารกิจประยุต, ดร. พระครูโพธิธรรมานุศาสก์ นางฤดีแสงเดือนฉาย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์มหาสารคาม พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย MCU RS 610760083 (ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)


Research Report Application of Satipaṭṭhāna 4 for Behavior Change of High School Students in Mueang District, Mahasarakham Province By Phrakrusarakitprayut, Dr. Phrakruphothithammanusat Mrs.Ruedee Saengdeunchay Mahachulalongkornrajavidyalaya University Maha Sarakham Buddhist College B.E. 2560 Research Project Funded by Mahachulalongkornrajavidyalaya University MCU RS 610760083 (Copyright Mahachulalongkornrajavidyalaya University)


ก ชื่อรายงานการวิจัย: การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ผู้วิจัย: พระครูสารกิจประยุต, ดร., พระครูโพธิธรรมานุศาสก์, นางฤดี แสงเดือนฉาย ส่วนงาน: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์มหาสารคาม ปีงบประมาณ: ๒๕๖๐ ทุนอุดหนุนการวิจัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง “การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” มีวัตถุประสงค์เพื่อการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและ เชิงปริมาณร่วมกัน (Mixed methodology) โดยแบ่งขั้นตอนการวิจัยออกเป็น ๔ ระยะ ได้แก่ ระยะ ที่ ๑ ศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ระยะที่ ๒ ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมืองมหาสารคาม ระยะที่ ๓ สร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมืองมหาสารคาม และระยะที่ ๔ ประเมินผลชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมืองมหาสารคาม ผลการวิจัยพบว่า หลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตามระลึกรู้กาย) เวทนาสติปัฏฐาน (ก า ร ต า ม ร ะ ลึ ก รู้ เว ท น า ) จิ ต ต านุ ปั ส ส น า ส ติ ปั ฏ ฐ า น (ก า ร ต า ม ร ะ ลึ ก รู้ จิ ต ) แ ล ะ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตามระลึกรู้ธรรม) เป็นหลักธรรมส าคัญในพระพุทธศาสนาที่สอนให้ เรียนรู้ปรากฎการณ์ของสติหรือจิต เพื่อสร้างความสมดุลทางกาย ความรู้สึก และเห็นความจริงอย่าง ลึกซึ้งภายในร่างกายของมนุษย์ ผู้ปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ จะได้รับประโยชน์ในปัจจุบันคือ ร่างกายและจิตใจแข็งแรงมากขึ้น ประโยชน์ภายภาคหน้าคือ การไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น และประโยชน์ สูงสุดคือ การเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นภาวะหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ตามหลักการ พระพุทธศาสนา สภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในภาพรวมอยู่ใน ระดับปานกลาง ( X =๒.๙๓) ผลจากการสร้างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ทั้งการเตรียม ครูผู้สอน การประชุมก่อนและหลังการเรียนการสอนเพื่อวางแผนการบูรณาการร่วมกัน วิธีการสอน แบบอบรม รวมถึงการลงพื้นที่ส ารวจสภาพพื้นที่จริง สามารถประเมินค่าความเหมาะสมของหลักสูตร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( X =๓.๔๐) และผลจากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการอบรมการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาโดยทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จาก โรงเรียนมัธยมศึกษา โดยการคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและผู้สมัครใจ สามารถประเมินค่าความ เหมาะสมของหลักสูตร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( X =๓.๔๐)


ข ผลการประเมินชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน โดยทดสอบผู้เข้าอบรม ก่อนเข้าอบรม และหลังเข้าอบรม พบว่า ผู้เข้าอบรมมีความรู้เพิ่มขึ้นทุกคน ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏ ฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ใน ระดับดี ( X =๓.๔๐) สอดคล้องกับผลบันทึกจากการสังเกตแบบมีส่วนร่วมซึ่งแสดงผลว่ากลุ่มตัวอย่างมีความตั้งใจในการ ปฏิบัติ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปฏิบัติได้ถูกต้องตรงตามหลักสติปัฏฐาน ๔


ค Research Title: Application of Satipaṭṭhāna 4 for Behavior Change of High School Students in Mueang District, Mahasarakham Province Researcher: Phrakrusarakitprayut, Dr., Phrakruphothithammanusat, Mrs.Ruedee Saengdeunchay Department: Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Maha Sarakham Buddhist College Fiscal Year: 2560/ 2017 Research Scholarship Sponsor: Mahachulalongkornrajavidyalaya University ABSTRACT The purpose of this research were to apply the foundations of mindfulness (Satipaṭṭhāna 4) to changing unwanted behavior of high school students in Mueang District, MahaSarakham Province. Conduct research by using qualitative research and area base research using mixed methods, both qualitative and quantitative research, namely mixed methodology and quantitative research. By dividing the research process into 4 phases 1) studied the principles of Satipaṭṭhāna 4 for learning of secondary school students in Mueang District Maha Sarakham Province 2) Study of conditions, problems, and needs for the application of Satipaṭṭhāna 4 principles in changing the unwanted behavior of high school students in Mueang Maha Sarakham District. 3) Create and try out a set of training activities for applying Satipaṭṭhāna 4 to change the unwanted behavior of high school students in Mueang Maha Sarakham District. and 4) Evaluation of the activity package on the application of Satipaṭṭhāna 4 in changing the unwanted behavior of high school students in Mueang Maha Sarakham District. The results of the research showed that The result of the research shows that 1) Satipaṭṭhāna 4 is kaya mindfulness of the body (Contemplation of the Body), Vedanā mindfulness of feelings or sensations (Contemplation of the Feelings), Citta mindfulness of mind or consciousness (Contemplation of Mind) and dhammās mindfulness of Mind-objects (Contemplation of Mind-objects) It is an important principle in Buddhism that teaches to learn the phenomena of consciousness or mind to create a balance of physical, feeling and see the profound truth within the human body. Those who follow Satipaṭṭhāna 4 will benefit in the present, the body and mind become stronger, the next benefit is to reach a better world and the greatest benefit is to reach Nirvana, which is a state of liberation from all suffering according to the principles of Buddhism. 2) Based on the results of Satipaṭṭhāna 4 learning experience of high school students, the overall picture was at a moderate level ( X =2.93)


ง The result of creating a set of activities, training, the application of Satipaṭṭhāna 4, including teacher preparation, meetings before and after the course, to plan the integration. The method of teaching training is to survey the actual conditions Able to assess the suitability of the course as a whole at a moderate level ( X =3.40) and the results of the experiment using the Training Package of Satipaṭṭhāna 4 to change the unwanted behavior of high school students by experimenting with the target group which are students with undesirable behavior from the secondary school by selecting from classmates and volunteers Able to assess the suitability of the course as a whole at a moderate level ( X =3.40) Evaluation of the training activity package, the application of Satipaṭṭhāna 4 in the adjustment of unwanted behavior by students by testing the participants Before the training and after the training, found that all of the participants had increased knowledge, the level of satisfaction of the participants, the application of Satipaṭṭhāna 4 in the modification of unwanted behaviors, in general, was at a good level. ( X =3.40) This is consistent with the results of the participatory observation, which shows that the samples have the intention to change behavior and practice correctly according to Satipaṭṭhāna 4.


จ กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเรื่อง “การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” ผู้วิจัยได้รับการ สนับสนุนจากสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีหน่วยงาน ต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน จึงท าให้การวิจัยครั้งนี้ส าเร็จด้วยดี ผู้วิจัยต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์พระมห าสุทิตย์ อาภากโร, รศดร. ผู้อ านวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รศ.ดร.ไชยยศ เรืองสุวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิประจ าโครงการวิจัย ที่ได้เมตตาแนะน าและชี้แนวทางในการศึกษาค้นการท าวิจัยได้เป็นอย่างดี ขอขอบพระคุณท่าน ผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ซึ่งได้ตรวจสอบความถูกต้องและให้ค าแนะน าต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อ การท าวิจัยเป็นอย่างยิ่ง และตลอดถึงบุคลากรในสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ทุกรูป/ท่าน ซึ่งได้ ก ากับดูแลและอ านวยความสะดวกในทุกประการให้เป็นอย่างดี ที่ได้อนุเคราะห์ข้อมูลอันมี คุณค่าต่อการวิจัย ผู้วิจัยจึงขอกราบขอบพระคุณและขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและที่ช่วยเหลือใน การชี้แนะ ปรับปรุง แก้ไขเพื่อให้งานวิจัยนี้ส าเร็จด้วยดีและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามล าดับ ผู้วิจัยหวัง ว่างานวิจัยฉบับนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในเชิงนโยบาย เชิงปฏิบัติการ และเชิงวิชาการ ในประเด็นต่าง ๆ ที่สืบเนื่องกัน อันจะน าไปสู่การขยายผลและการปรับประยุกต์ใช้ในสังคม พระครูสารกิจประยุต, ดร. และคณะ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๒


ฉ สารบัญ บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบัญตาราง ฎ สารบัญภาพ ฐ ค าอธิบายสัญลักษณ์และค าย่อ ฑ บทที่ ๑ บทน า ........................................................................................................................ ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ............................................................ ๑ 1.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ................................................................................... ๓ ๑.๓ ปัญหาการวิจัย .................................................................................................. ๔ 1.4 ขอบเขตของการวิจัย .......................................................................................... ๔ ๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเนื้อหา .............................................................................. ๔ ๑.๔.๒ ขอบเขตด้านพื้นที่ ................................................................................. ๔ ๑.๔.๓ ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ............................................... ๔ ๑.๔.๔ ขอบเขตด้านระยะเวลา ......................................................................... ๕ 1.5 นิยามศัพท์ในการวิจัย ....................................................................................... ๕ ๑.๖ การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ................................................................... ๖ ๑.๖.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสติปัฏฐาน ๔ .............................................. ๖ ๑.๖.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์................................................ ๙ 1.๗ กรอบแนวคิดการวิจัย ......................................................................................... ๑๒ 1.๘ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ................................................................................. ๑๒ บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ................................................................. ๑๓ ๒.๑ ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรม ................................................................................... ๑๓ ๒.๑.๑ ความหมายของค าว่า พฤติกรรม .......................................................... ๑๓ ๒.๑.๒ ความหมายของค าว่า พฤติกรรมของมนุษย์ในทัศนะพระพุทธศาสนา ๑๕ ๒.๑.๓ ประเภทของพฤติกรรมมนุษย์............................................................... ๑๖ ๒.๑.๓.๑ พฤติกรรมของมนุษย์ในทางดี ................................................ ๑๘ ๒.๑.๓.๒ พฤติกรรมของมนุษย์ในทางไม่ดี............................................ ๑๙ ๒.๒ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของวัยรุ่น ...................................... ๒๒ ๒.๒.๑ ความหมายของค าว่า วัยรุ่น ................................................................ ๒๓ ๒.๒.๒ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และพฤติกรรมมนุษย์...... ๒๗ ๒.๒.๒.๑ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม ......................................... ๒๗ ๒.๒.๒.๒ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา ............................. ๓๖


ช ๒.๒.๒.๓ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม ........................................ ๓๘ ๒.๒.๓ วิธีการศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของวัยรุ่น............................ ๔๕ ๒.๓ พฤติกรรมมนุษย์ในทัศนะพระพุทธศาสนา ...................................................... 47 ๒.๓.๑ บ่อเกิดของพฤติกรรมมนุษย์................................................................ 47 ๒.๓.๑.๑ แรงจูงใจภายใน .................................................................... 49 ๒.๓.๑.๒ แรงจูงใจภายนอก ................................................................ 49 ๒.๓.๒ ประเภทของพฤติกรรม ........................................................................ ๕๒ ๒.๓.๓ ระดับของพฤติกรรม ............................................................................ ๕๔ ๒.๔ หลักเกณฑ์ในการตัดสินพฤติกรรมมนุษย์.......................................................... ๕๗ ๒.๔.๑ หลักเบญจศีล ........................................................................................ ๕๗ ๒.๔.๒ หลักกฎหมาย ........................................................................................ ๕๙ ๒.๔.๒.๑ ความผิดต่อชีวิตและร่างกายผู้อื่น .......................................... ๕๙ ๒.๔.๒.๒ ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์................................. ๖๑ ๒.๔.๒.๓ ความผิดฐานการล่วงละเมิดทางเพศ ...................................... ๖๓ ๒.๔.๒.๔ ความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือบอกเล่าความเท็จ ................. ๖๓ ๒.๔.๒.๕ ความผิดฐานเสพสิ่งเสพติดให้โทษ ......................................... ๖๕ ๒.๕ หลักสติปัฏฐาน 4 ในพระพุทธศาสนา ............................................................. ๖๖ ๒.๕.1 ความหมายสติปัฏฐาน 4 ..................................................................... ๖๖ ๒.๕.๒ สติปัฏฐาน ๔ ........................................................................................ ๖๘ ๒.๕.๒.๑ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ..................................................... ๗๐ ๒.๕.๒.๒ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ................................................... ๗๔ ๒.๕.๒.๓ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ..................................................... ๗๕ ๒.๕.๒.๔ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ..................................................... ๗๖ ๒.๖ กรรมฐานกับการพัฒนาจริยธรรม .................................................................. ๘๑ ๒.๖.๑ ความหมายของจริยธรรม ..................................................................... ๘๓ ๒.๖.๒ ความส าคัญของจริยธรรม ................................................................... ๘๓ ๒.๖.๓ ประเภทของพุทธจริยธรรม .................................................................. ๘๓ ๒.๖.๔ หลักธรรมที่ส่งเสริมการเจริญกรรมฐานจริยธรรม ............................... ๘๗ ๒.๗ สาเหตุและปัญหาพฤติกรรมของวัยรุ่น ........................................................... ๘๘ ๒.๗.๑ สาเหตุของพฤติกรรมวัยรุ่น ................................................................. ๘๘ ๒.๗.๑.๑ สาเหตุจากตัววัยรุ่นเอง ......................................................... ๘๙ ๒.๗.๑.๒ สาเหตุด้านครอบครัว ........................................................... ๘๙ ๒.๗.๑.๓ สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมทางสังคม ..................................... ๙๑ ๒.๗.๒ ปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น ..................................................................... ๙๓ ๒.๗.๒.๑ การบริโภคอาหาร .............................................................. ๙๖ ๒.๗.๒.๒ การใช้สารเสพติด .............................................................. ๙๗


ซ ๒.๗.๒.๓ การใช้ยาเสพติด ................................................................ ๙๗ ๒.๗.๒.๔ การมีเพศสัมพันธ์ภาวะเจริญพันธุ์ก่อนวัยอันควร ................ ๙๙ ๒.๗.๒.๕ การทะเลาะวิวาท .............................................................. ๙๙ ๒.๗.๒.๖ การฆ่าตัวตายและความเครียด ........................................... ๑๐๐ ๒.๗.๒.๗ การเกิดอุบัติเหตุ ................................................................ ๑๐๑ ๒.๗.๒.๘ ปัญหาเด็กติดเกม ............................................................... ๑๐๒ ๒.๘ การปลูกฝังจริยธรรมในโรงเรียน ....................................................................... ๑๐๓ 2.๙ บริบทพื้นที่การวิจัย ......................................................................................... ๑๐๕ 2.๙.1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ................................... ๑๐๕ 2.๙.2 โรงเรียนผดุงนารี.................................................................................. ๑๐๖ 2.๙.3 โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร .................................................................... ๑๐๖ 2.๙.4 โรงเรียนมหาวิชานุกูล ............................................................................ ๑๐๖ 2.๙.5 โรงเรียนสารคามพิทยาคม ................................................................... ๑๐๗ 2.๙.6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ............................................... ๑๐๗ บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย ...................................................................................................... ๑๐๙ ๓.๑ รูปแบบของการวิจัย ............................................................................................. ๑๐๙ ๓.๒ วิธีการด าเนินการวิจัย .......................................................................................... ๑๑๐ ๓.๓ เครื่องมือการวิจัย ................................................................................................. ๑๑๑ ๓.๔ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ........................................................................ ๑๑๒ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ......................................................................................... ๑๑๗ ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................. ๑๒๒ ๓.๖.๑ การตรวจสอบข้อมูล ................................................................................. ๑๒๒ ๓.๖.๒ การวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................... ๑๒๒ ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิจัย .............................................................................................. ๑๒๒ ๓.๗.๑ สถิติพื้นฐาน ............................................................................................. ๑๒๒ ๓.๗.๒ สถิติในการหาค่าคุณภาพเครื่องมือการวิจัย ............................................. ๑๒๓ ๓.๘ การน าเสนอผลการวิจัย ....................................................................................... ๑๒๔ ๓.๙ สรุปกระบวนการวิจัย .......................................................................................... ๑๒๔ บทที่ 4 ผลการวิจัย................................................................................................................. ๑๒๕ ๔.๑ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ................................................. ๑๒๕ ๔.๒ ข้อมูลทั่วไปและสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม .............................................. ๑๒๖ ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ......................................................................................... ๑๒๗ 4.๓.1 ผลจากการศึกษาหลักสติปัฏฐาน 4 ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ............................................................................................. ๑๒๗


ฌ 4.๓.2 ผลจากการศึกษาสภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอ เมืองจังหวัดมหาสารคาม .......................................................................... ๑๓๑ ๔.๓.๒.๑ ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ................................................... ๑๓๒ ๔.๓.๒.๒ ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ................................................. ๑๓๓ ๔.๓.๒.๓ ด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ................................................... ๑๓๔ ๔.๓.๒.๔ ด้านธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ................................................... ๑๓๔ 4.3.๓ ผลจากการสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม.................................. ๑๓๕ ๔.๓.๓.๑ ผลจากการสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมการใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ภาคปริยัติ................................................................................. ๑๓๙ ๔.๓.๓.๒ ผลจากการสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมการใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ภาคปฏิบัติ................................................................................ ๑๔๔ 4.๓.4 ผลการประเมินผลชุดกิจกรรมอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม................................................................ ๑๔๗ ๔.๓.๔.๑ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการ ใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม .................................................................. ๑๕๑ ๔.๓.๔.๒ แบบสอบถามการติดตามหลังการอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ............. ๑๕๓ ๔.๓.๔.๒.๑ ด้านการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม................... ๑๕๔ ๔.๓.๔.๒.๒ ด้านการพัฒนาคุณภาพจิต ................................... ๑๖๐ ๔.๔ สรุป ..................................................................................................................... ๑๖๔ บทที่ ๕ สรุปอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ๑๖๗ ๕.๑ สรุปและอภิปรายผลการวิจัย ๑๖๗ ๕.๑.๑ สรุป ๑๖๗ ๕.๑.๒ อภิปรายผลการวิจัย ๑๖๙


ญ ๕.๒ ข้อเสนอแนะ ๑๗๒ ๕.๒.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑๗๒ ๕.๒.๒ ข้อเสนอแนะเชิงวิจัย ๑๗๒ บรรณานุกรม ๑๗๓ ภาคผนวก ๑๘๑ ภาคผนวก ก บทความวิจัย ๑๘๒ ภาคผนวก ข กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการน าผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ ๑๙๕ ภาคผนวก ค ตารางเปรียบเทียบวัตถุประสงค์ กิจกรรมที่วางแผนไว้และกิจกรรมที่ได้ ด าเนินการมาและผลที่ได้รับของโครงการ ๑๙๘ ภาคผนวก ง แบบประเมินชุดกิจกรรมและแบบสอบถามการวิจัย ๒๐๑ ภาคผนวก จ หนังสือขออนุเคราะห์ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบเครื่องมือการวิจัย รายชื่อผู้ตอบแบบสอบถามและให้ค าสัมภาษณ์การวิจัย ๒๒๒ ภาคผนวก ฉ ภาพกิจกรรมการวิจัย ๒๓๐ ภาคผนวก ช แบบสรุปโครงการวิจัย ๒๓๔ ประวัติผู้วิจัย ๒๓๙


ฎ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ ๓.๑ ปฏิทินการปฏิบัติงานวิจัย .......................................................................... ๑๑๘ ตารางที่ ๔.1 แสดงร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จ าแนกตาม เพศ อายุ ระดับ การศึกษา.................................................................................................... ๑๒๖ ตารางที่ ๔.๒ ตารางแสดงค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค .................. ๑๒๙ ตารางที่ ๔.๓ แสดงค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค ................ ๑๒๙ ตารางที่ ๔.๔ แสดงค่า Item -Total Statistic ................................................................ ๑๓๐ ตารางที่ ๔.๕ แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของผู้ตอบแบบ ส ารวจสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน โรงเรียน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ................................................ ๑๓๒ ตารางที่ ๔.๖ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ....................... ๑๓๒ ตารางที่ ๔.๗ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านเวทนานุปัสสนา ..................................... ๑๓๓ ตารางที่ ๔.๘ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านจิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน ........................ ๑๓๔ ตารางที่ ๔.๙ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ...................... ๑๓๕ ตารางที่ ๔.๑๐ ตารางอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอัน ไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ภาคปริยัติ........................................................................... ๑๓๖ ตารางที่ ๔.๑๑ ตารางอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอัน ไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ภาคปฏิบัติ.......................................................................... ๑๓๗ ต ารางที่ ๔ .๑๒ วัตถุป ระสงค์แล ะแน วท างก ารวัดผลแล ะป ระเมินผลที่ได้จ าก การสนทนากลุ่ม ภาคปริยัติ.................................................................... ๑๓๙ ต ารางที่ ๔ .๑๓ ระดับค วามคิดเห็นของผู้เชี่ยวช าญ ที่มีต่อองค์ป ระกอบต่ างๆ ในชุดฝึกอบรม เรื่อง การใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้กระบวนการภาคปริยัติ ................................. ๑๔๒ ตารางที่ ๔.๑๔ วัตถุประสงค์ภาคและแนวทางการวัดผลและประเมินผลที่ได้จาก การสนทนากลุ่ม ภาคปฏิบัติ ..................................................................... ๑๔๔


ฏ ตารางที่ ๔.๑๕ ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อองค์ประกอบต่างๆ ในชุดฝึก อบรม เรื่อง การใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอัน ไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม โดยใช้กระบวนการภาคปฏิบัติ............................................ ๑๔๗ ตารางที่ ๔.๑๖ ร้อยละผู้ตอบแบบสอบถาม จ าแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา ........ ๑๔๘ ตารางที่ ๔.๑๗ ผลการประเมินชุดกิจกรรมก่อนการเข้าอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม .......................................... ๑๔๘ ต ารางที่ ๔ .๑๘ ผลก ารป ระเมิน แบบก ารทดสอบค วาม รู้ส าม ารถพื้น ฐาน ทั้ง ก่อนการอบรมและหลังการอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ............................................................. ๑๔๙ ต ารางที่ ๔ .๑๙ ระดับความพึงพอใจของผู้เข้ าอบ รมก ารใช้ห ลักสติปัฏ ฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม .................................... ๑๕๑


ฐ สารบัญแผนภาพ หน้า แผนภาพที่ ๑.๑ กรอบแนวคิดการวิจัย ............................................................................ ๑๒


ฑ ค ำอธิบำยสัญลักษณ์และค ำย่อ ค ำย่อเกี่ยวกับพระไตรปิฎก งานวิจัยเล่มนี้ ใช้พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในการ อ้างอิงระบุ เล่ม/ข้อ/หน้า หลังค าย่อชื่อคัมภีร์ เช่น ที.สี. (ไทย) ๙/๒๗๖/๙๘. หมายถึง ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ภาษาไทย เล่ม ๙ ข้อ ๒๗๖ หน้า ๙๘ ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ พระวินัยปิฎก วิ.มหา. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวิภังค์(ภาษาไทย) วิ.จู. (ไทย) = วินัยปิฎก จูฬวรรค (ภาษาไทย) พระสุตตันตปิฎก ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย) ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) ที.ปา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์(ภาษาไทย) ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์(ภาษาไทย) ส .ส. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย) ส .สฬา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย) ส .ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์(ภาษาไทย) องฺ.ติก (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ฉกฺก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ปญฺจก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต (ภาษาไทย) ขุ.ธ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท (ภาษาไทย) ขุ.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิเทส (ภาษาไทย) พระอภิธรรมปิฎก อภิ.สงฺ. (ไทย) = อภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณี(ภาษาไทย) อภิ.วิ. (ไทย) = อภิธรรมปิฎก วิภังค์(ภาษาไทย)


บทที่ ๑ บทน ำ ๑.๑ ควำมส ำคัญและควำมเป็นมำของปัญหำ การแสดงออกทางกายและวาจาของมนุษย์เรียกว่า พฤติกรรม (Behavior) ซึ่งเป็นผลมา จากการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าในสถานการณ์ต่าง ๆ การกระท าของมนุษย์อาจสังเกตเห็น ได้ชัดเจน ได้แก่ การกระท าทางกาย เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้น เรียกว่า “กายกรรม” การกระท าทางวาจา ได้แก่ การพูด สนทนา การทักทาย และการสั่งสอน เป็นต้น เรียกว่า “วจีกรรม” ส่วนการกระท าที่ซับซ้อนมากขึ้น ยากต่อความเข้าใจต้องติดตามสังเกต วิเคราะห์ ตีความ และ ประเมินค่าเป็นการกระท าทางใจ เช่น การคิด การจ า การลืม การเรียนรู้ แรงจูงใจ เจตคติความ เมตตาหรือความรัก เป็นต้น เรียกว่า “มโนกรรม” ๑ พฤติกรรมของมนุษย์ทั้ง ๓ ลักษณะ มิได้อยู่แยก จากกัน แต่ท างานผสมผสานเป็นจริตหรือจริยาตามลักษณะความประพฤติที่ท าอยู่ประจ าอยู่ใน สันดานพื้นเพจิตใจ หรือลักษณะอุปนิสัย ๖ ประเภท คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธิจริต วิตกจริต๒ ในทางจิตวิทยาตะวันตกทั่ว ๆ ไปเรียกลักษณะทั่ว ๆ ไปของบุคคลว่าบุคลิกภาพ (Personality) ซึ่งรวมหมายถึงคุณสมบัติภายใน และพฤติกรรมเฉพาะบุคคลโดยรวม พระพุทธศาสนาถือว่าพฤติกรรมมนุษย์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เพราะกายกับจิต ต่างก็อาศัยซึ่งกันและกัน กายเป็นที่อาศัยของจิต และจิตเป็นผู้ควบคุมภายในส าหรับการรับรู้ และการ เรียนรู้โดยผ่านกายการทางานของจิต ส่งผลกระทบต่อสภาพทางกาย ดังนั้น มนุษย์จะท าดีหรือชั่ว ขึ้นอยู่อย่างเป็นสุขหรืออยู่อย่างเป็นทุกข์ ขึ้นอยู่กับสภาพทางจิต เพราะภาวะจิตใจที่ดีหรือไม่ดีนั้นจะ เป็นตัวผลักดันให้เกิดพฤติกรรมดีหรือไม่ดีตาม ดังพุทธพจน์ว่า “...ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจ ประเสริฐที่สุด ส าเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันโทษ ประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ท าอยู่ก็ตามทุกข์ ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียน ไปอยู่ ฉะนั้น” ๓ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการ ด าเนินชีวิตได้อย่างมากมายหลายด้านในทุกแง่มุมของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็น หลักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่สมบูรณ์ที่สุด มีปรากฏอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นหนทางเดียว ที่ท าให้จิต บริสุทธิ์ หมดจด ท าให้พ้นจากทุกข์และบรรลุมรรคผลนิพพาน และสติปัฏฐาน ๔ ได้ชื่อว่าเป็นเอกาย ๑ เรียม ศรีทอง, พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น จ ากัด, ๒๕๔๒), หน้า ๕. ๒ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๕๖/๔๓๐. ๓ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๓.


๒ นมรรคหรือทางสายเอก๔ ผู้ใดปฏิบัติตามแนวแห่งสติปัฏฐาน ๔ นี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความเพียรและ ความฉลาด ย่อมจะได้บรรลุมรรคผล นิพพาน สามารถตัดมูลเหตุแห่งวัฏฏะ พ้นจากการเวียนว่ายตาย เกิด ไม่หลงผิดในสภาวธรรม มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จิตของผู้นั้นก็จะมีความสงบสุข ร่มเย็น ไม่เร่าร้อนเพราะเพลิงกิเลสตัณหา พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงอานิสงส์ของการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานว่ามีอยู่ ๔ ประการ คือ เมื่อใกล้ตายจะได้สติ ระลึกถึงบุญกุศล คุณงามความดีทีตนได้ท าไว้ ไม่หวั่นกลัวต่อความตาย เมื่อตายแล้ว จะได้ไปสู่สุคติ คือการเกิดในโลกสวรรค์หรือกลับมาเกิดเป็น มนุษย์ที่เป็นบัณฑิตชน ถ้ายังไม่บรรลุในชาตินี้ จะเป็นเชื้อเป็นพื้นฐาน เป็นอุปนิสัยส่งเสริมให้บรรลุ มรรคผล นิพพานในชาติหน้าต่อไป แต่ถ้าได้เจริญวิปัสสนาตามแนวสติ ปัฏฐาน ๔ นี้ เป็นเวลา ๗ วัน ถึง ๗ ปีต่อเนื่องกัน จะได้ผลคือจะได้เป็นบรรลุธรรมในชาตินี้๕ แต่สภาพสังคมปัจจุบัน พฤติกรรมและอารมณ์ของบุคคลในสังคม มีปัญหาขั้นรุนแรง เพราะขาดการพัฒนาทางด้านพฤติกรรม ทางด้านร่างกาย และจิตใจ พฤติกรรมยังเป็นผลของ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมมา โดยแต่ละคนไม่อาจจะเลือกสิ่งแวดล้อมของตนได้ พฤติกรรม จึงมีทั้งที่สังคมยอมรับและไม่ยอมรับ เช่น ปัญหาพิษสุราเรื้อรัง สิ่งเสพติด การฆ่าคน๖ เป็นต้น ได้มีแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่นทั้งชายและหญิงเกิดขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร และ ขยายตัวไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ต่อเนื่องตลอดเวลา โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของแฟชั่นเสื้อผ้าวัยรุ่น อาทิ ชุดสายเดี่ยว เกาะอก กระโปรงสั้น ขณะเดียวกัน ก็เกิดมีแหล่งมั่วสุมของเยาวชนที่นัดพบกันเพื่อ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มั่วสุมยาเสพติด ประเภทยาอี ยาบ้า แม้กระทั่งการซื้อขายหนังสือ วีดีโอ วีซีดีลามก รวมทั้งการขายบริการทางเพศจนติดเชื้อเอดส์ โดยพบว่าการมีเพศสัมพันธ์ของเยาวชน หญิงเริ่มตั้งแต่ อายุ ๑๓ ปี ส่วนชายเริ่มตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ซึ่งปัญหาทั้งหมดของเยาวชนนั้นยากเกินกว่า หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะรับผิดชอบได้เพียงหน่วยงานเดียว การด าเนินการแก้ไขต้องเป็น ยุทธศาสตร์เชิงบูรณาการ โดยจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง๗ จังหวัดมหาสารคาม เป็นจังหวัดที่มีปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในระดับปานกลาง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือจ านวนผู้เสพผู้ติดยา ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมี จ านวนมากขึ้น ซึ่งกลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่อยู่ในวัยเรียนและวัยท างาน อีกทั้งจังหวัดมหาสารคามถือได้ว่า เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีสถาบันการศึกษาทุกระดับ มีนักเรียนนักศึกษามาจากทั่วประเทศเดินทางมาศึกษาในพื้นที่ จึงท าให้ยากต่อการควบคุม ติดตาม และมีบางกลุ่มน ายาเสพติดเข้ามาเพื่อเสพและจ าหน่าย จึงมีแนวโน้มนักเสพหน้าใหม่จะมีอายุ ลดน้อยลงทุกปี ถึงแม้จะมีผลการด าเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นอันดับ ๒ ของจังหวัดขนาดกลาง แต่ก็ยังคงนโยบายเน้นด้านการบ าบัดรักษาเพื่อเป็นการ ๔ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) รจนา, แปลและเรียบเรียงโดยพระคันธสาราภิวงศ์, พระพรหมโมลี ตรวจช าระ, มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวัน การพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๗. ๕ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๒๘ - ๑๓๑/๑๓๗ -๑๓๘. ๖ สุพัตรา สุภาพ, ปัญหาสังคม, พิมพ์ครั้งที่ ๒๐, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ ากัด, ๒๕๔๙), หน้า ๑๓. ๗ เสรี วงษ์มณฑา, พฤติกรรมผู้บริโภค, (กรุงเทพฯ : บริษัท ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์, ๒๕๔๒), หน้า ๑๙.


๓ ลดจ านวนผู้เสพ ผู้ติดยา ตัดวงจรการแพร่ระบาดของยาเสพติด พร้อมน าผู้สมัครใจเข้ารับบ าบัด เพื่อโอกาสในการปรับตัวเป็นคนดีกลับคืนสู่สังคม ซึ่งตามแผนงานการสร้างพลังสังคมและพลังชุมชน เอาชนะยาเสพติดของจังหวัด ได้ให้ความส าคัญกับการสร้างความเข้มแข็งให้แก่แกนน า ชุมชนและ ชุมชน โดยให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้โครงการพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชนเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดได้อย่างยั่งยืน๘ จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการน าแนวปฏิบัติตามหลักสติ ปัฏฐาน ๔ มาพัฒนาเป็นหลักสูตรให้เยาวชนได้สามารถน าหลักธรรมและแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไปใช้ในชีวิตของตนเองได้ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเยาวชน ดังเช่นในงานวิจัยเรื่อง “ผลของการปฏิบัติสมาธิที่มีต่อความฉลาดทางอารมณ์ กรณีศึกษาผู้ปฏิบัติ ธรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติตามรอยเบื้องพระยุคลบาทวัดโสมนัสวิหาร พบว่า การปฏิบัติสมาธิตาม หลักพุทธศาสนาด้วยการพัฒนาสติอย่างต่อเนื่องบนสติปัฏฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น ได้ส่งผลให้เกิดคุณลักษณะ ๔ ประการ คือ พัฒนากาย พัฒนาพฤติกรรม พัฒนาจิต และพัฒนา ปัญญา ซึ่งเป็นการพัฒนาทั้งความฉลาดทางอารมณ์ และการพัฒนาความฉลาดทางปัญญาไปพร้อม อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาจิตมาเป็นอันดับต้น โดยการพัฒนากายและพฤติกรรม เป็นการพัฒนาการทางสังคมก่อให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์ด้านดี การพัฒนาปัญญาก่อให้เกิดความ ฉลาดทางอารมณ์ ด้านเก่งการพัฒนาจิต เป็นการพัฒนาการทางอารมณ์ ก่อให้เกิดความฉลาดทาง อารมณ์ ด้านสุข๙ จากงานวิจัยที่ผ่านมาได้มีการสร้างชุดกิจกรรมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเฉพาะทาง แต่ไม่ได้ครอบคลุมหลักสติปัฏฐานเพื่อแก้ไขปัญหาเยาวชน ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาว่าหลักสติปัฏฐาน ๔ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ได้อย่างไร ซึ่งผลการศึกษาครั้งนี้ สามารถน าไปใช้เป็นแนวทางพัฒนาเยาวชนให้มีความ ฉลาดทางอารมณ์ ด้านการตระหนักรู้ตนเอง การพัฒนาจิต การพัฒนาตนเองตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ๑.๒ วัตถุประสงค์กำรวิจัย ๑. เพื่อศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ๒. เพื่อศึกษาสภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๘ ศูนย์อ านวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัดมหาสารคาม, สรุปผลการด าเนินงาน ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน ปี ๒๕๕๖, (มหาสารคาม : เอกสารอัดส าเนา, ๒๕๕๖), หน้า ๒๕. ๙ สุธรรมมา วรนาวิน, ผลของการปฏิบัติสมาธิที่มีต่อความฉลาดทางอารมณ์ : กรณีศึกษาผู้ปฏิบัติ ธรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติตามรอยเบื้องพระยุคลบาทวัดโสมนัสวิหาร, (พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), บทคัดย่อ.


๔ ๓. เพื่อสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ๔. เพื่อประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๑.๓ ปัญหำกำรวิจัย ๑. การเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา เป็นอย่างไร ๒. สภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีผลลัพธ์อย่างไร ๓. ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นรูปแบบใด ๔. ผลการประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ได้รับความพึงพอใจและผลลัพธ์เป็นอย่างไร ๑.๔ ขอบเขตของกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ใช้รูปแบบการวิจัยทั้งเชิงปริมาณ (Quantity Research) และเชิงคุณภาพ (Quality Research) มีขอบเขตการวิจัย ดังนี้ ๑.๔.๑ ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ ขอบเขตด้านเนื้อหา (Documentary Research) ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาจาก พระไตรปิฎก หนังสือ ต ารา งานวิจัย วิทยานิพนธ์ สิ่งตีพิมพ์ และเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ การใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ๑.๔.๒ ขอบเขตด้ำนพื้นที่ ขอบเขตพื้นที่ (Field Research) ใช้โรงเรียนมัธยมในเขตอ าเภอเมือง จังห วัด มหาสารคาม ทั้งหมด ๖ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โรงเรียนผดุง นารี โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ๑.๔.๓ ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย ๖ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และโรงเรียนสาธิต


๕ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมทั้งหมด ๕,๓๑๘ คน ผู้วิจัยใช้การสุ่มอย่างง่าย และการค านวณกลุ่ม ตัวอย่าง ตามแบบของทาโรยามาเน่ (Yamane) ๑๐ จ านวน ๓๗๒ คน กลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างง่าย และการค านวณกลุ่มตัวอย่างตามแบบของทาโร ยามาเน่ (Yamane) ในการจัดสนทนากลุ่มครูในโรงเรียนมัธยมในเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม (Focus Group) โดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชนในเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วยพระสงฆ์ ครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชน และเจ้าหน้าที่ต ารวจ ที่อยู่ในเขตอ าเภอเมือง จ านวน ๖๐ คน คือ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โรงเรียน มหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย มหาสารคาม การน าชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ได้แก้ไข แล้วไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จากโรงเรียนมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียนๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น เป็นจ านวน ๓๐ คน ๑.๔.๔ ขอบเขตด้ำนระยะเวลำ การวิจัยครั้งนี้ ได้ก าหนดระยะเวลาตั้งแต่ตุลาคม 25๕๙ – กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ปัญหา และหลักสติปัฏฐาน 4 ส าหรับการเรียนรู้ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม พ.ศ. 25๕๙ ระยะที่ 2 ศึกษาสภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยการประชุมวิเคราะห์สภาพปัญหา ศักยภาพ และ การก าหนดแนวทางปฏิบัติร่วมกัน ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม พ.ศ. 25๖๐ ระยะที่ ๓ สร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ระหว่างเดือนเมษายน – มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ระยะที่ ๔ ประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ระหว่างเดือนกรกฎาคม – กันยายน พ.ศ. 25๖๐ ๑.๕ นิยำมศัพท์ในกำรวิจัย หลักสติปัฏฐาน ๔ หมายถึง กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน, เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน, จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการมีสติ ระลึกรู้จิตเป็นฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการมีสติระลึกรู้สภาวธรรมเป็นฐาน ๑๐ ธานินทร์ ศิลป์จารุ, การวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วย SPSS, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร : บิสซิเนส อาร์ แอนด์ ดี, ๒๕๕๒), หน้า ๔๘ - ๔๙.


๖ อานาปานสติสมาธิหมายถึง การฝึกสมาธิโดยการก าหนดใช้ลมหายใจเข้า - ออกซึ่งเป็น การฝึกสมาธิวิธีหนึ่งที่มีอยู่ในอนุสสติ 10 และเป็น 1 ในกรรมฐาน 40 ของแนวทางการฝึกสมาธิที่มี อยู่ในหลักพระพุทธศาสนา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หมายถึง การประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ จากการใช้ชุด กิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ หมายถึง ติดเกม ติดยาเสพติด/การพนัน มีเพศสัมพันธ์ก่อน วัยอันควร หนีเรียน ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ผู้ปกครอง นักเรียน หมายถึง นักเรียนที่ก าลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ในเขตอ าเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ทั้ง ๖ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล และโรงเรียนสารคามพิทยาคม โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความพึงพอใจ หมายถึง ความคิดเห็นและการตอบสัมภาษณ์ของนักเรียนที่มีต่อใช้ชุด กิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๑.๖ ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ท าการศึกษาค้นคว้าเอกสาร งานวิจัยต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องและสัมพันธ์กับงานวิจัย เรื่อง “การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” ดังต่อไปนี้ ๑.๖.๑ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสติปัฏฐาน ๔ ทิพย์ธิดำ ณ นคร และพระมหำโสภณ วิจิตฺตธมฺโม ได้เขียนบทความวิชาการ เรื่อง “สติปัฏฐาน ๔ กับการพัฒนาตนในชีวิตประจ าวัน” พบว่า การมีสติเข้าไประลึกรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิด ขึ้นกับตนเอง โดยมีสติเป็นประธานหรือการตั้งสติเข้าไปพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ให้รู้เห็นเท่าทันตาม ความเป็นจริง การมีสติก ากับดูสิ่งต่าง ๆ และความเป็นไปทั้งหลายให้รู้เท่าทันตามสภาวะของสิ่งนั้น ๆ ไม่ถูกครอบง าด้วยความยินดียินร้าย ที่ท าให้มองเห็นเพียงไปตามอ านาจกิเลส การเจริญสติโดยใช้หลัก สติปัฏฐาน ๔ นี้ เป็นเครื่องช าระใจให้บริสุทธิ์ ท าให้เราทั้งหลายเข้าใจค าว่า รูปนาม และไตรลักษณ์ได้ ดียิ่งขึ้น รู้จักวิธีด าเนินชีวิตที่ถูกต้องไม่หลง ไม่มัวเมา และเป็นคนมีเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียน หรือ เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นคนว่าง่ายสอนง่าย ไม่มีมานะทิฏฐิไม่ถือตัว มีกายวาจาใจบริสุทธิ์และสามารถ ควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ท าให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ๑๑ ๑๑ ทิพย์ธิดา ณ นคร และ พระมหาโสภณ วิจิตฺตธมฺโม, “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔”, วารสารพุทธจิตวิทยา, ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑ (มกราคม - มิถุนายน ๒๕๖๒) : ๑๑๖.


๗ พระธรรมโกศาจารย์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้อธิบายถึงการพัฒนามนุษย์ไว้ในหนังสือ “พุทธวิธีการบริหาร” ว่า การศึกษาอบรมในพระพุทธศาสนายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ดังเห็นได้จาก การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพัฒนาการและวุฒิภาวะของผู้เรียน โดยที่พระพุทธเจ้าทรง เทียบความพร้อมในการศึกษาเล่าเรียนของบุคคลเข้ากับบัวสี่เหล่า และทรงจ าแนกประเภทของบุคคล ที่จะเข้ารับการศึกษาอบรมไปตามจริต ๖ และที่ส าคัญคือ พระพุทธเจ้ามุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วย ตนเอง ตัวอย่างเช่น การบริหารงานบุคคลในพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้ามาบวชที่ต้องมี การกลั่นกรองโดยคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ให้คณะสงฆ์ในการให้การอุปสมบท แก่กุลบุตร เมื่อบวชเข้ามาแล้ว พระบวชใหม่จะต้องได้รับการฝึกหัดอบรมและการศึกษาเล่าเรียนจาก พระอุปัชฌาย์ โดยอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่านจนพรรษาครบ ๕ พรรษา๑๒ พุฒินำท ทรงสมบัติชัย ได้ท าวิจัยเรื่อง “ผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ ต่อความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕” พบว่า การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองของกลุ่มทดลอง ก่อนและหลังการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ และเปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนัก รู้ตนเองหลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๓ โรงเรียน ขามแก่นนคร จังหวัดขอนแก่น จ านวน ๒๙ คน แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง ๑๔ คน และกลุ่ม ควบคุม ๑๕ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ ตนเอง ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๙๒ และโปรแกรมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง และระยะติดตามผล ด้วยแบบวัดความ ฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเอง และน าคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลทดสอบความ แตกต่างของคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเอง ก่อนและหลังการทดลองของ กลุ่มทดลองและหลังการทดลอง และระยะติดตามผล โดยใช้สถิติทดสอบ The Wilcoxon Matched Pairs Signed-Ranks Test และทดสอบความแตกต่างของคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ ด้านการตระหนักรู้ตนเองหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติทดสอบ The Mann - Whitney U Test ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนความฉลาด ทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง และสูงขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ และในระยะติดตามผลหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนความ ฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองไม่ลดลง๑๓ ๑๒ พระธรรมโกศาจารย์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีการบริหาร, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๓๙. ๑๓ พุฒินาท ทรงสมบัติชัย, “ผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน 4 ต่อความฉลาดทาง อารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5”, วารสารศึกษาศาสตร์ ฉบับวิจัย บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ปีที่ 4 ฉบับที่ 4 (ตุลาคม - ธันวาคม 2553) : 138.


๘ รุ้งสวรรค์ วรรณสุทธิ์ได้ท าวิจัยเรื่อง “ลักษณะทางพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์เชิงบวก กับลักษณะทางจิตสังคม” พบว่า ความเชื่ออ านาจในตน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทัศนคติต่ออาชีพ การเกษตรและการรับรู้การสนับสนุนทางสังคมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๐๑ จากผล การศึกษาครั้งนี้ ท าให้เข้าใจพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตปทุมธานี และมีแนวทางในการพัฒนาพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของนักศึกษา เป็นต้นว่า ควรเสริมสร้างในเรื่องของการปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวม และเรื่องของการวางแผนในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ควรพัฒนาและเสริมสร้างลักษณะทางพุทธศาสนา และลักษณะทางจิตสังคม โดยเฉพาะ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แก่นักศึกษาเพื่อให้นักศึกษามีพฤติกรรมในการปฏิบัติงานที่ดียิ่งขึ้น เป็นทั้งคนดี และคนเก่ง อันจะเป็นพื้นฐานที่ส าคัญในการพัฒนาประเทศ๑๔ วรวุฒิ อินทนนท์ได้ท าวิจัยเรื่อง “การเปรียบเทียบการเรียนรู้อย่างมีความสุขของ นักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ และนักศึกษาที่เรียนตามปกติของนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ คณ ะศิลปศาสตร์และวิทยาศ าสต ร์ มห าวิทยาลัยนครพนม ” โดยใช้การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาภาคปกติ ชั้นปีที่ ๑ คณะศิลปศาสตร์และ วิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนครพนม ภาคการศึกษาที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๒ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ ทั่วไป (ค.บ. ๕ ปี) จ านวน ๓๘ คน ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) โดย วิธีการจับฉลาก แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มทดลองที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ จ านวน ๒๐ คน และกลุ่มหลังเป็นกลุ่มควบคุมที่เรียนตามปกติ จ านวน ๑๘ คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยประกอบด้วย ๑) โปรแกรมการฝึกสมาธิ จ านวน ๑๒ ครั้ง ๒) คู่มือการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ และ ๓) แบบวัดการเรียนรู้อย่างมีความสุขส าหรับนักศึกษา จ านวน ๔๐ ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบลิลลี่ ฟอร์ส (Lilliefors Test) การทดสอบค่าพี (p-value) และการทดสอบค่า t – test ผลจากการวิจัย พบว่า ๑) นักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติและนักศึกษาที่เรียนตามปกติ มีการเรียนรู้ อย่างมีความสุขแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๒) นักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิ แบบอานาปานสติ มีการเรียนรู้อย่างมีความสุขมากกว่านักศึกษาที่เรียนตามปกติ๑๕ อลิศำ ริมดุสิต ได้ท าวิจัยเรื่อง “แรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน : กรณีศึกษาผู้ เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ศูนย์ ๑) เพชร เกษม ๕๔” พบว่า หลักสูตรวิปัสสนาสาหรับเยาวชนโดยพระวิปัสสนาจารย์และวิทยากรที่ทรงคุณวุฒิ โดยยึดหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ และมีกิจกรรมด้านปริยัติเพื่อส่งเสริมความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ทางพระพุทธศาสนา เช่น โครงการศึกษาพระอภิธรรม บรรยายพระไตรปิฎกและการสอนภาษาบาลี เป็นการเสริมศรัทธาของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาให้มั่นคงยิ่งขึ้น แรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๑๔ รุ้งสวรรค์ วรรณสุทธิ์,” ลักษณะทางพุทธศาสนาและลักษณะทางจิตสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมใน การปฏิบัติงานของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตปทุมธานี”, รายงานการวิจัย, (กรุงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๔๐), บทคัดย่อ. ๑๕ วรวุฒิ อินทนนท์, “การเปรียบเทียบการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิ แบบอานาปานสติ และนักศึกษาที่เรียนตามปกติของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม”, วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม, ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2554) : 1๔.


๙ ด้านสุขภาพจิต อยู่ในระดับมากที่สุดรองลงมาคือ ด้านความเชื่อทางศาสนาและด้านกาย ผลการ ทดสอบสมมติฐาน พบว่า เพศ อายุระดับการศึกษา อาชีพ และประสบการณ์การปฏิบัติวิปัสสนาที่ แตกต่างกัน เป็นปัจจัยต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแตกต่างกัน สถานภาพและรายได้ ที่แตกต่างกัน ไม่เป็นปัจจัยต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่แตกต่างกัน๑๖ อำรีย์ นุ้ยบ้ำนด่ำน ได้เขียนบทความวิชาการ เรื่อง “การฝึกปฏิบัติสมาธิแบบวิปัสสนา ในยามเจ็บป่วย” พบว่า การฝึกปฏิบัติสมาธิแบบวิปัสสนา ต้องมีตัวรู้ คือ สติ โดยเข้าไปรู้ในกาย เวทนา จิต และธรรมให้รู้ในสิ่งที่เรากระท าอยู่ รู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย รู้สิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจ ผู้ปฏิบัติอาจฝึกโดยเดินธรรมชาติ รู้เท้าซ้าย - ขวา แล้วนั่งสมาธิโดยรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งอาจรู้ลมกระทบจมูก หรือรู้ที่ปลายลมโดยดูการเคลื่อนขึ้น - ลงของท้อง (พอง - ยุบ) ขณะฝึกปฏิบัติต้องรู้เท่าทันสิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วย เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส รู้ร้อน เย็น แข็ง ตึง และการคิด เป็นต้น ถ้าร่างกายแข็งแรงดี ก็อาจเดินจงกรมระยะที่หนึ่ง (ขวา ย่างหนอ - ซ้าย ย่างหนอ) ๒๐ นาที และนั่งสมาธิ ๒๐ นาที ส่วนบุคคลที่ไม่มีแรงเดินสามารถใช้การนั่งหรือนอนในการฝึกปฏิบัติ โดยใช้การเคลื่อนไหวของมือแทน การเดิน แค่ยกมือขึ้นลงทั้งมือขวาและมือซ้ายหรือท า เฉพาะมือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ โดยรู้อยู่ที่การ เคลื่อนไหวมือ ๒๐ นาที แล้วหลับตาเข้าสมาธิ ๒๐ นาที ในสภาวะของการเจ็บป่วย บางคนแม้แต่มือ ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ยังมีลมหายใจ มีความรู้สึก จึงสามารถปฏิบัติโดยตามรู้ลมหายใจเข้า ออก รู้ในสิ่งที่กระทบไม่ว่าเป็นทุกขเวทนา เจ็บปวดหายใจล า บาก แน่น เป็นต้น หรือรู้จิตใจ เช่น กลัว เศร้า เครียด กังวล เป็นต้น ให้รู้ไปตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ๑๗ ๑.๖.๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ณ อภัย พวงมะลิได้ท าดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ของศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ าพระผาคอก อ าเภอ เวียงชัย จังหวัดเชียงราย” ผลการวิจัย พบว่า หลังการปฏิบัติพบว่าทั้งสองกลุ่มมีความเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้น มีความสุขความพอใจในชีวิตตนเอง เข้าใจเพื่อนมนุษย์ มีสติปัญญาแก้ปัญหาในชีวิตได้ดีขึ้น เข้าใจและยอมรับความจริงส าหรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นอกจากนั้น ยังพบแนวทางไปใช้ได้โดยเป็นแนวปฏิบัติเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะให้รู้ทันในปัจจุบันในสิ่ง ที่เกิดหรือปรากฏในฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งต้องรู้และเข้าใจถึงลักษณะหรือ คุณสมบัติสืบสาวไปถึงเหตุและปัจจัยที่ท าให้เกิดหรือปรากฏขึ้น รู้ และเข้าใจถึงกระบวนการเกิด รู้และเข้าใจถึงเหตุและปัจจัยการดับ ตลอดจนท าการดับของรูปนามอย่างถ่องแท้ สามารถน าพาให้ผู้ ฝึกปฏิบัติมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา คือ เป็นผู้ที่เก่งคน ๑๖ อลิศา ริมดุสิต, แรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน : กรณีศึกษาผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ศูนย์ 1) เพชรเกษม 54, (พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), บทคัดย่อ. ๑๗ อารีย์ นุ้ยบ้านด่าน, “การฝึกปฏิบัติสมาธิแบบวิปัสสนาในยามเจ็บป่วย”, วารสารพยาบาลสงขลา นครินทร์, ปีที่ 32 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๕๕) : ๖๙.


๑๐ เก่งงาน และเก่งเรียน และสามารถสร้างประโยชน์สุขให้กับตนเองและผู้อื่น เกิดการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตอย่างยั่งยืน๑๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงการพัฒนามนุษย์ไว้ในหนังสือ “การพัฒนาที่ ยั่งยืน” สรุปความได้ว่า การพัฒนาที่จะสามารถยั่งยืนได้นั้น ต้องเริ่มที่พัฒนามนุษย์ให้มีจริยธรรมให้ได้ เสียก่อน เพราะว่าถ้าคนมีจริยธรรม ก็จะสามารถปฏิบัติตามวิธีการต่าง ๆ ได้ส าเร็จ และเมื่อพัฒนาคนได้ ถูกต้องแล้ว คนก็จะมีจริยธรรมได้ จริยธรรมนั้นต้องมีทั้งระดับบุคคลระดับสังคม และระดับชาติ การพัฒนาให้มีจริยธรรมจะให้ส าเร็จได้ก็ด้วยการศึกษา พระพุทธศาสนามองว่ากิเลสเป็นธรรมชาติของ มนุษย์ แต่เป็นธรรมชาติที่แก้ไขได้ เพราะธรรมชาติของคนเป็นสัตว์ที่ฝึกฝนพัฒนาได้ แก้ไขปรับปรุงได้ เมื่อพัฒนาคนขึ้นไป ก็เปลี่ยนจากกิเลสไปเป็นคุณธรรมและปัญญาได้ จริยธรรมจึงไม่จ าเป็นต้องเป็น เรื่องที่จ าฝืนใจ แต่จริยธรรมที่แท้ต้องเป็นจริยธรรมแห่งความพอใจและความสุข ถ้าฝึกพัฒนาถูกต้อง มนุษย์จะเอาชนะธรรมชาติภายในตัวเองได้ดี และเป็นจริงยิ่งกว่าการเอาชนะธรรมชาติภายนอก เหมือนอย่างที่ตะวันตกได้พยายามมาจนเป็นปัญหาแก่ตัวมนุษย์เองดังที่เป็นกันอยู่๑๙ วิไลวรรณ สาลาสุตา ได้ท าวิจัย เรื่อง “การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนช่วง ชั้นที่ 3 โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ด สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1” ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนพระกุมาร ร้อยเอ็ด มีนักเรียนจ านวนหนึ่งสมควรได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งด้านความมีระเบียบวินัย ด้านความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้านความประหยัด ด้านความซื่อสัตย์ และ ด้านความรับผิดชอบได้ด าเนินการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนในด้านต่างๆ ด้วยการวางแผน ด าเนินการ การจัดสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม และการนิเทศติดตามผล ส่งผลให้การด าเนินงาน ผลการพัฒนา ประสบผลส าเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยนักเรียนมีพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรมอยู่ในระดับที่ดีขึ้น๒๐ ชาญชัย ฮวดศรีได้ท าวิจัยเรื่อง “บทบาทของพระสงฆ์ในการส่งเสริมคุณธรรมและ จริยธรรมในชุมชนเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๙” พบว่า พระสงฆ์มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาการขาด คุณธรรมจริยธรรมในชุมชน ได้แก่ สถาบันทางสังคมต่างๆ ควรมีการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ หลากหลายในด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้มากขึ้น พระสงฆ์ผู้ปกครองและผู้น าชุมชนต้องเป็น ๑๘ ณ อภัย พวงมะลิ, “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏ ฐานสี่ของศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ าพระผาคอก อ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย”, วารสารวิชาการ Veridian E – Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์และศิลปะ, ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน 2561) : ๑๕๘๘. ๑๙ พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต),การพัฒนาที่ยั่งยืน ๑, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๙), หน้า ๖๙. ๒๐ วิไลวรรณ สาลาสุตา, “การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนพระ กุมารร้อยเอ็ดสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1”, วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ; ว.มรม. ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม 2552) : 45.


๑๑ ตัวอย่างที่ดี มีการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างจริงจัง และสื่อมวลชน ควรน าเสนออย่างมีความรับผิดชอบต่อจิตส านึก จารีต ประเพณีและวัฒนธรรมไทย๒๑ สิทธิศักดิ์ แก้วทา ได้ท าวิจัยเรื่อง “แนวทางการด าเนินงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของ นักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดพิจิตร” ผลการวิจัยพบว่า สถานศึกษาต้องมีแผนงาน โครงการ เกี่ยวกับกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมที่เหมาะสม ชัดเจน และปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ และ สถานศึกษาควรแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของ นักเรียนให้ชัดเจน เหมาะสม๒๒ ไพศาล มั่นอก ได้ท าวิจัยเรื่อง “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาขนาดเล็ก : กรณีศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวิเศษชัย ชาญวิทยาคม” ผลการวิจัย พบว่า ผลการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนโรงเรียนวิเศษชัยชาญ วิทยาคมในรอบที่ 1 ในการวางแผนคณะผู้วิจัยใช้กลยุทธ์ 5 อย่าง ได้แก่ 1 ) กลยุทธ์การเข้าค่าย คุณธรรม 2) กลยุทธ์การสอนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม 3) กลยุทธ์วันพุธพบพระละกิเลส 4) กลยุทธ์ส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในชีวิตประจ าวัน และ 5) กลยุทธ์ศูนย์พัฒนาการ เรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ 6 กิจกรรมย่อย คือ กิจกรรมการปลูกมะนาว กิจกรรมการปลูกผักพื้นบ้าน กิจกรรมการเลี้ยงปลา กิจกรรมการเลี้ยงกบ กิจกรรมการเพาะเห็ดภูฏาน และกิจกรรมการท านาข้าวหอมนิล ผลการปฏิบัติการในรอบแรกตามกลยุทธ์ 5 กลยุทธ์ พบว่า นักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรมโดยภาพรวมค่าเฉลี่ยระดับมากที่สุด ในวงรอบที่ 2 ของการปฏิบัติการ ผลการปฏิบัติการพบว่า นักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรมโดยภาพรวมค่าเฉลี่ย ระดับมากที่สุด และมีผล การติดตามและประเมินผลการด าเนินงานพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนวิเศษชัยชาญ วิทยาคม หลังจากการปฏิบัติการทั้ง 2 วงรอบของการปฏิบัติการ พบว่า หลังการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมด้วยกลยุทธ์ทั้ง 5 กลยุทธ์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การมีความซื่อสัตย์สุจริต การมีความ ขยันอดทน การมีสติปัญญา และการมีความเพียร๒๓ จากการศึกษางานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนา สามารถน ามาใช้แก้ไขพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อให้ละเว้นจากความชั่วทั้งทางกาย วาจา และใจ ด ารงตนอยู่ในกรอบของผู้มีคุณธรรมได้อย่างมั่นคง อันจะส่งผลให้คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างมีความสุข ซึ่งจะต้องใช้การจัดกิจกรรมปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่นักเรียน โดยครูใช้วิธีการ ๒๑ ชาญชัย ฮวดศรี, บทบาทของพระสงฆ์ในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชนเขตปกครอง คณะสงฆ์ภาค ๙, รายงานการวิจัย, (พระนครศรีอยุธยา : สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๙), บทคัดย่อ. ๒๒ สิทธิศักดิ์ แก้วทา, “แนวทางการด าเนินงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน มัธยมศึกษา จังหวัดพิจิตร”, วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์, ปีที่ 7 ฉบับที่ 20 กันยายน – ธันวาคม 2555) : ๔๙. ๒๓ ไพศาล มั่นอก, “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาขนาดเล็ก : กรณีศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวิเศษชัยชาญวิทยาคม”, วารสารสุทธิปริทัศน์, ปีที่ 28 ฉบับที่ 88 (ตุลาคม - ธันวาคม 2557) : ๙๙.


๑๒ จัดการเรียนการสอนในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม อบรมนักเรียน การประเมินคุณธรรมการจัด กิจกรรมเสริมหลักสูตรที่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องจริยธรรม ให้นักเรียนเห็นคุณประโยชน์ของการ น าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน ซึ่งผู้วิจัยจะได้น าไปสร้างกรอบแนวคิดประกอบการวิจัยต่อไป ๑.๗ กรอบแนวคิดกำรวิจัย จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และหลักการต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับใช้หลักสติปัฏ ฐาน 4 ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ผู้วิจัยจึงน ามาใช้ เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยในครั้งนี้ ดังนี้ แผนภาพที่ ๑.๑ กรอบแนวคิดการวิจัย ๑.๘ ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ ๑. ได้ศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ๒. ได้ศึกษาสภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓. ได้สร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๔. ได้ผลการประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ศึ ก ษ า แ น ว คิ ด ท ฤ ษ ฎี แ ล ะ หลักการต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการ ส ร้ าง แ ล ะท ด ล องก า รใช้ ชุ ด กิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏ ฐ าน ๔ ใน ก า รป รั บ เป ลี่ ย น พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับ ก ารเรียน รู้ของนักเรียน ระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ศึกษาพระไตรปิฎก เอกสาร ต ารา ดุษฎีนิพนธ์ งานวิจัย หนังสือ และ พื้นที่การวิจัยทั้ง ๖ โรงเรียน ประเมินผลการใช้ ชุดกิจกรรมอบรม การปรับใช้สติปัฏ ฐ า น ๔ ใน ก า ร ป รั บ เ ป ลี่ ย น พฤติกรรมอันไม่พึง ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง นั ก เ รี ย น ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใน อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม การสร้างและทดลองชุดกิจกรรมอบรม การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ - วิพากษ์และประเมินเครื่องมือชุด กิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ - ทดลองน าชุดกิจกรรมไปใช้ในการ อบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ - ปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน า จัดกิจกรรมอบรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม


บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย เรื่อง “การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน 4 ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม” ในรายละเอียดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ๑. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ๒. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของวัยรุ่น ๓. พฤติกรรมของมนุษย์ในทัศนะพระพุทธศาสนา ๔. หลักเกณฑ์ในการตัดสินพฤติกรรมมนุษย์ ๕. หลักสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา ๖. หลักกรรมฐานกับการพัฒนาจริยธรรม ๗. สาเหตุและปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น ๘. การปลูกฝังจริยธรรมในโรงเรียน ๙. พื้นที่การวิจัย ๒.๑ ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ในประเด็นนี้ผู้วิจัยมุ่งศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์โดยแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ (๑) ความหมายของค าว่า พฤติกรรม (๒) ความหมายของค าว่า พฤติกรรมของมนุษย์ในทัศนะ พระพุทธศาสนา (๓) ประเภทพฤติกรรมของมนุษย์ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ๒.๑.๑ ความหมายของค าว่า พฤติกรรม นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของค าว่า “พฤติกรรม” ไว้ดังนี้ กันยา สุวรรณแสง ได้ให้ความหมายของ “พฤติกรรม” (Behavior) ไว้ว่า พฤติกรรมคือ กริยาอาการ บทบาท ลีลาท่าทาง การประพฤติปฏิบัติ การกระท าที่แสดงออก ให้ปรากฏสัมผัสได้ด้วย ประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่งใน ๕ ทวาร คือ โสตสัมผัส จักษุสัมผัส ชิวหาสัมผัส ฆานสัมผัส และ ทางผิวหนัง หรือมิฉะนั้น ก็สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือ๑ ประสาน – ทิพวรรณ หอมพูล ได้ให้ความหมายของค าว่า “พฤติกรรม” ไว้ดังนี้ (๑) พฤติกรรม หมายถึง การกระท ากิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งสิ่งมีชีวิตและบุคคลอื่นสามารถสังเกตเห็นได้ จากการกระท ากิจกรรมเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งทางดีและทางไม่ดี เช่น การหัวเราะ การร้องไห้ เสียใจ การออกก าลังกาย เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นผลจากกระบวนการทางจิตวิทยา ได้แก่ การจูงใจ ๑ กันยา สุวรรณแสง,จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: อักษรพิทยา, ๒๕๔๒), หน้า ๙๒.


๑๔ การเรียนรู้ การจ า การลืม และความรู้สึกนึกคิด เป็นต้น (๒) พฤติกรรม หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ของบุคคลที่ปฏิบัติต่อสภาพแวดล้อมของบุคคลเหล่านั้นออกมาในรูปของการกระท า หรือการ แสดงออกของมนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ภายใต้กลไกของความรู้สึกนึกคิดของ ตนเอง มนุษย์ทุกคนจะมีกระบวนการของพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ทุกคนจะมีความ ต้องการและมีสาเหตุจูงใจเป็นของตนเองอยู่ตลอดเวลา และสามารถตัดสินใจที่จะกระท าการต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นเป็นพฤติกรรมของมนุษย์๒ พรรณราย ทรัพยะประภา ให้ความหมายไว้ว่า พฤติกรรม คือ การกระท าใดๆ ก็ตามซึ่ง สามารถสังเกตได้โดยบุคคลอื่น หรือโดยการใช้เครื่องมือ พฤติกรรมมิได้หมายความเฉพาะแต่เพียงการ แสดงออกทางด้านร่างกายภายนอกเท่านั้น ยังรวมไปถึงการกระท าหรือกิจกรรมภายในความรู้สึกของ บุคคลด้วย๓ พ ระธรรมปิฎก (ป .อ.ปยุตฺโต) ได้ให้ความหม ายของค าว่า “พฤติกรรม” คือ การประพฤติในชีวิตประจ าวัน การท าตัว คุณสมบัติของบุคคลที่แสดงออกส่วนหลักพุทธธรรมได้ระบุ ว่าพฤติกรรม หรือความประพฤติของมนุษย์นั้น จัดอยู่ในกลุ่มกรรมนิยาม (Law of Karma) ซึ่งหมายถึงกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือกระบวนการกระท าและการให้ผลของการ กระท า หรือเป็นกระบวนการแห่งเจตนาหรือความคิดปรุงแต่ง สร้างสรรค์ต่างๆ พร้อมทั้งผลที่สืบเนื่อง ออกไปอันสอดคล้องสมกัน เช่น สร้างพฤติกรรมดี ก็มีผลดี สร้างพฤติกรรมชั่ว ก็ได้รับผลชั่ว เป็นต้น๔ ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของค าว่า “พฤติกรรม” หมายถึง การกระท าหรือ อาการที่แสดงออกทางกล้ามเนื้อความคิด และความรู้สึกเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า๕ สงวน สิทธิเลิศอรุณ และคณ ะ ได้ให้ความหมายของค าว่า พฤติกรรม หมายถึง การกระท าหรือกิริยาที่ปรากฏออกมาทางร่างกาย ทางกล้ามเนื้อ ทางสมอง ทางอารมณ์ และทาง ความรู้สึกนึกคิด ซึ่งโดยปรกติมนุษย์และสัตว์ย่อมแสดงออกมาให้เป็นที่สังเกตเห็นได้ชัด และเห็น ไม่ได้ชัด ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นเป็นส าคัญ๖ สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต กล่าวว่า พฤติกรรม หมายถึง สิ่งที่บุคคลกระท าแสดงออก ตอบสนองหรือโต้ตอบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในสภาพการณ์ใดสภาพการณ์หนึ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ ได้ ยิน อีกทั้งวัดได้ตรงกัน ด้วยเครื่องมือที่เป็นวัตถุวิสัย ไม่ว่าการแสดงออกหรือการตอบสนองนั้นจะ ๒ ประสาน-ทิพวรรณ หอมพูล, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร: พิศิษฐ์การพิมพ์, ๒๕๓๗), หน้า ๗๓ – ๗๔. ๓ พรรณราย ทรัพยะประภา, จิตวิทยาอุตสาหกรรม, (กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๙), หน้า ๒. ๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๑๗๙. ๕ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท นานมี บุคส์พับลิเคชั่น จ ากัด, ๒๕๔๖), หน้า ๕๘๐. ๖ สงวน สุทธิเลิศอรุณ และคณะ, จิตวิทยาสังคม,(กรุงเทพมหานคร: ชัยศิริการพิมพ์, ๒๕๒๒), หน้า ๑.


๑๕ เกิดขึ้นภายในหรือภายนอกร่างกายก็ตาม เช่น การร้องไห้ การกิน การวิ่ง การขว้างการอ่านหนังสือ การเต้นของชีพจร การเต้นของหัวใจ การกระตุกของกล้ามเนื้อ เป็นต้น๗ สร้อยตระกูล อรรถมานะ ได้อธิบายความหมายของค าว่า พฤติกรรม นั้น อาจกล่าวได้ว่า คือการกระท าหรืออาการที่แสดงออกของบุคคล (Action) ทั้งนี้ รวมถึงการงดเว้นการกระท าด้วย (Inaction) นอกจากนั้น การตัดสินใจที่รู้สึกได้ของบุคคล กลุ่มหรือองค์การ หรือการกระท าที่ซ่อนเร้น แต่พร้อมที่จะแสดงออก อาทิการมีความคิดริเริ่ม ก็นับเป็นการกระท าเช่นกัน ดังนั้น ค าว่า “พฤติกรรม” จึงรวมถึงสิ่งที่บุคคล กลุ่ม หรือองค์การ ประพฤติปฏิบัติซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เปิดเผย (Overt behavior) และยังรวมถึงพฤติกรรมที่ยังไม่แสดงออกหรือพฤติกรรมซ่อนเร้น (Covert behavior) ทั้งนี้รวมถึงกระบวนการภายในอื่นๆ ได้แก่ ความคิด ความรู้สึก ทัศนคติ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังรวมถึงการงดเว้นการกระท า หรือการไม่แสดงออกทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจอีกด้วย๘ สรุปว่า พฤติกรรม หมายถึง การกระท าหรืออากัปกิริยาต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ปรากฏ ออกมาทางทวารทั้ง ๓ อันบุคคลอื่นสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ และไม่สามารถ สังเกตเห็น เช่น อาการที่แสดงออกทางกล้ามเนื้อ ความคิด และความรู้สึกเพื่อตอบสนองสิ่งเร้า เช่น การกระท า การตอบโต้กับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๒.๑.๒ ความหมายของค าว่า พฤติกรรมของมนุษย์ในทัศนะพระพุทธศาสนา พฤติกรรมของมนุษย์ที่เห็นได้ง่ายก็คือพฤติกรรมทางกายและวาจาที่ไม่ดี เช่น การแสดง ความเห็นแก่ตัวการท าทุจริตต่างๆ และการแสดงวาจาทุจริต เป็นต้น พฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านี้ จ าเป็นต้องได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้เป็นการกระท าที่สุจริต และการแสดงวาจาที่สุจริตหรือ กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า นิสัยชอบท ากรรมชั่วของคนเรา จ าเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง แก้ไขให้มี นิสัยชอบท าแต่กรรมดีเท่านั้น และอะไรคือสาเหตุปัจจัยที่ท าให้คนเรามีนิสัยชอบท าแต่กรรมชั่ว เหตุปัจจัยส าคัญที่ท าให้คนเราชอบท ากรรมชั่ว ก็คือความคิดผิดๆ ซึ่งมีสาเหตุเนื่องมาจากความเห็นผิด อีกต่อหนึ่ง ความเห็นผิดนี้มีศัพท์ทางธรรมว่า มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดนี้เกิดจากจิตใจ ที่ตกอยู่ใต้ อ านาจของกิเลส ๓ ตระกูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ บุคคลใดก็ตามที่มีความเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิย่อมจะ ก่อแต่ความชั่วเป็นนิสัยสันดาน พฤติกรรมเช่นนี้นอกจากจะน าความทุกข์ความเดือดร้อนมาสู่ตัว บุคคลผู้ก่อกรรมชั่วเองและสังคมโดยรวมในโลกนี้แล้ว บุคคลผู้นั้นยังต้องไปรับโทษทัณฑ์อย่างสุดแสน สาหัส อีกนานแสนนานในโลกหน้าอีกด้วย๙ การแสดงออกทางกายวาจาของมนุษย์เรียกว่า พฤติกรรม (Behavior) ซึ่งเป็นผลมาจาก การแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าในสถานการณ์ต่างๆ การกระท าของมนุษย์อาจสังเกตเห็นได้ ชัดเจน ได้แก่การกระท าทางกาย เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้น เรียกว่า “กายกรรม” การกระท า ๗ สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, การปรับพฤติกรรม, (กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๖), หน้า ๒. ๘ สร้อยตระกูล อรรถมานะ, พฤติกรรมองค์การทฤษฎีและการประยุกต์, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๑), หน้า ๑๓ - ๑๔. ๙ พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว), คัมภีร์ปฏิรูปมนุษย์, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ จ ากัด, ๒๕๔๗), หน้า ๑๖๔ - ๑๖๕.


๑๖ ทางวาจา ได้แก่ การพูด สนทนา การทักทายและการสั่งสอน เป็นต้น เรียกว่า “วจีกรรม” ส่วนการ กระท าที่ซับซ้อนมากขึ้นยากต่อความเข้าใจต้องติดตามสังเกต วิเคราะห์ ตีความ และประเมินค่า เป็นการกระท าทางใจ เช่น การคิด การจ า การลืม การเรียนรู้ แรงจูงใจ เจตคติ ความเมตตาหรือ ความรัก เป็นต้น เรียกว่า “มโนกรรม” ๑๐ พฤติกรรมของมนุษย์ทั้ง ๓ ลักษณะ มิได้อยู่แยกจากกัน แต่ท างานผสมผสานเป็นจริตหรือจริยาตามลักษณะความประพฤติที่ท าอยู่ ประจ าอยู่ในสันดานพื้นเพ จิตใจ หรือลักษณะอุปนิสัย ๖ ประเภท คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธิจริต วิตกจริต๑๑ ความประพฤติสุจริตทางกาย วาจา และอาชีวะ เป็นเรื่องของการฝึกฝนในด้านพฤติกรรม โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เคยชิน ศีลเป็นเครื่องมือที่ใช้หรือในทางสังคมทั่วไป จนสามารถท าให้มนุษย์มี พฤติกรรมเกิดความเคยชินที่ดีงามตามแบบอย่างของศีลที่ก าหนดไว้แล้ว การจะฝึกให้เกิดความเคยชิน ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะต้องมีรูปแบบและวิธีการนั้นๆ อย่าง เช่น ศีลหรือวินัยเป็นอุปกรณ์ในการฝึกฝน ๒.๑.๓ ประเภทของพฤติกรรมมนุษย์ นักวิชาการได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมไว้หลายประเภท แต่ที่มีความสอดคล้องกัน ได้แก่ ประเทืองภูมิภัทราคม และเพชรสุดา เพชรใส ได้แบ่งพฤติกรรมของมนุษย์เป็น ๒ ประเภท คือ ๑. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) หมายถึง การกระท า การแสดงออกหรือการ ตอบสนองที่สามารถสังเกตได้และไม่ได้ ที่สังเกตไม่ได้จะวัดด้วยเครื่องมือ ดังนั้น พฤติกรรมภายนอก จึงแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑.๑ พฤติกรรมแบบโมลาร์ (Molar Behavior) เป็นการกระท าที่สามารถสังเกตเห็นได้ ด้วยตาเปล่า เช่น การเคลื่อนไหวของร่างกาย การเดิน การยืน การหัวเราะ เป็นต้น พฤติกรรมที่ คนเราแสดงออกต่อกัน ล้วนเป็นพฤติกรรมแบบโมลาร์ทั้งสิ้น ๑.๒ พฤติกรรมโมเลกุล (Molecular Behavior) เป็นการกระท าของหน่วยย่อยที่ต้อง อาศัยเครื่องมือช่วยในการสังเกต เช่น การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตคลื่นสมอง เป็นต้น ๒. พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่ไม่สามารถสังเกต หรือวัด ได้โดยตรง เช่น ความเข้าใจ การรับรู้ การคิด การตัดสินใจ ความรู้สึก พฤติกรรมภายในเป็นพฤติกรรม ที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสการเกิดพฤติกรรม ผู้น ากลุ่มพฤติกรรมนิยมได้ให้แนวคิด เกี่ยวกับพฤติกรรมว่า ๒.๑ พฤติกรรมทุกอย่างย่อมมีสาเหตุ ๒.๒ พฤติกรรมของบุคคลเกิดจากการที่อินทรีย์หรือร่างกาย ถูกเร้าโดยสิ่งเร้าและมีการ ตอบสนองเกิดขึ้น๑๒ ๑๐ เรียม ศรีทอง, พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท เธิร์ด เวฟ เอ็ดดูเคชั่น จ ากัด, ๒๕๔๒), หน้า ๕. ๑๑ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๕๖/๔๓๐. ๑๒ ประเทืองภูมิภัทราคม, การปรับพฤติกรรม : ทฤษฎีและการประยุกต์, (กรุงเทพมหานคร: โอ เอส พริ้นติ้ง เฮาส์, ๒๕๔๐), หน้า ๑๖ - ๑๗.


๑๗ ประเภทของพฤติกรรม นักจิตวิทยาแบ่งพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ (๑) พฤติกรรมที่มีมาแต่ก าเนิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียนรู้มาก่อน ได้แก่ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (Reflect Action) เช่น การกระพริบตา และสัญชาตญาณ (Instinct) เช่น ความกลัวการเอาตัวรอด เป็นต้นและ (๒) พฤติกรรมที่เกิดจากอิทธิพลของกลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมที่เกิดจากการที่บุคคลติดต่อ สังสรรค์ และมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคมกล่าวคือ การตอบสนองความต้องการทางร่างกาย สามารถกระท าได้ ๒ ระดับ ได้แก่ ระดับหนึ่งก็คือกิริยาสะท้อน เช่น เมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงกว่า ปกติ ส่วนของสมองที่ท าหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายซึ่งอยู่ในไฮโปทาลามัส ก็จะสั่งเหงื่อเพื่อลด อุณหภูมิของร่างกาย ท าให้อุณหภูมิของร่างกายอยู่ในระดับที่เหมาะสม เรียกว่า ระดับสมดุล หรือเมื่อ ปริมาณคาบอนไดออกไซด์ในโลหิตมีมากขึ้น ส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับการหายใจก็จะสั่งการให้ หายใจเร็วขึ้นเพื่อลดระดับของคาบอนไดออกไซด์ให้อยู่ในภาวะสมดุล อีกระดับหนึ่ง คือ พฤติกรรม เจตนา เช่น เมื่อรู้สึกร้อนก็เปิดพัดลม ใช้ผ้าชุบน้ าเย็นเช็ดตัว เป็นต้น ซึ่งกระบวนการตอบสนองของ ร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นกริยาสะท้อนหรือพฤติกรรมเจตนา เพื่อรักษาร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล เรียกว่า กระบวนการโฮมิโอสเตซิส (Homeostasis)๑๓ และเป็นกระบวนการพฤติกรรมที่เกิดจาก อิทธิพลของสังคมและสิ่งเร้าต่างๆ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในการแบ่งพฤติกรรมลักษณะภายนอกหรือเปิดเผย และพฤติกรรมภายในหรือปกปิดนี้ อาจสรุปได้ว่า พฤติกรรมภายนอกหรือเปิดเผย เป็นผลของพฤติกรรมภายในหรือปกปิด ในท านอง เดียวกันพฤติกรรมเปิดเผยอาจจะเป็นเหตุให้เกิดพฤติกรรมปกปิดได้ เช่นเดียวกัน เช่นในการแสดง พฤติกรรมที่แสดงให้เห็นได้โดยการไหว้ของบุคคลอาจมีพฤติกรรมปกปิดภายใน นอกจากนี้ยังมีการ แบ่งพฤติกรรมตามลักษณะที่เกิดอีก ๒ ลักษณะ คือ ๑. พฤติกรรมที่เกิดเองตามธรรมชาติ หมายถึง การกระท าที่เกิดขึ้นเองตั้งแต่เกิดโดยไม่ได้ รับการฝึกหรือสั่งสอน เช่น การร้องไห้ การหัวเราะ การดูด การกลืน หรือการไขว่คว้า เป็นต้น อันเป็น พฤติกรรมของมนุษย์ที่อยู่ในวัยแรกเกิด ๒. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ หมายถึง การกระท าที่เกิดขึ้นจากการฝึกหรือได้รับการ เรียนรู้ เช่น การพูด การอ่าน การเขียน การยักคิ้วหลิ่วตา การเล่นดนตรี กีฬาเป็นต้น ส าหรับ พฤติกรรมชนิดนี้จะเกิดเมื่อมนุษย์เริ่มเลียนแบบ รับรู้ และเรียนรู้ได้พฤติกรรมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมชนิดใดก็ตามจะเห็นว่าส าคัญต่อมนุษย์มาก เพราะสามารถท าให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่ต้องการ ท าให้มนุษย์เกิดความพึงพอใจ และสามารถด ารงชีพอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข และในทางตรงกันข้าม พฤติกรรมของมนุษย์ก็สามารถท าให้เขาประสบความทุกข์ หรือไม่สมหวังดังที่ปรารถนาได้ เช่น เดียวกัน ดังที่กล่าวว่า มนุษย์สุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่การกระท าของตนเอง ลักขณา สริวัฒน์ได้กล่าวถึงประเภทของพฤติกรรมมนุษย์แบ่งได้หลายลักษณะตาม เหตุผลของแต่ละคน ดังนี้ ๑. พฤติกรรมภายนอก หรือพฤติกรรมเปิดเผย (Overt Behavior) หมายถึง การกระท า หรือการแสดงออกที่บุคคลอื่นนอกเหนือจากเจ้าของพฤติกรรมรู้ ส าหรับพฤติกรรมภายนอกนี้ บุคคล ๑๓ ชัยพร วิชชาวุธ, มนุษย์กับสังคม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๐), หน้า ๕.


๑๘ อื่นต้องอาศัยการสังเกต (Observation) ไม่ว่าจะใช้ประสาทสัมผัสโดยตรง หรือใช้เครื่องมือช่วยใน การสังเกตเพื่อได้ข้อมูล จึงมีการจ าแนกพฤติกรรมภายนอกได้อีก ๒ ประเภท คือ ๑.๑ พฤติกรรมโมลาร์(Molar Behavior) ได้แก่ พฤติกรรมที่บุคคลอื่นสามารถสังเกตได้ โดยใช้ตาสังเกตเพียงอย่างเดียวก็รับรู้ได้อย่างมีความหมายต่อกระบวนการคิดมากกว่าประสาทสัมผัส อื่น เพราะตาสามารถส่งต่อยังประสาทสัมผัสอื่นๆ ได้ทั้งหู จมูก เป็นต้น ๑.๒ พฤติกรรมโมเลกุล (Molecular Behavior) ได้แก่ พฤติกรรมที่บุคคลต้องใช้ เครื่องมือเพื่อช่วยในการสังเกตจึงจะเห็นได้และท าให้ได้ข้อมูลที่แม่นย า เช่น การเต้นของหัวใจ คลื่นสมอง ความดันของโลหิต เป็นต้น ๒. พฤติกรรมภายใน หรือพฤติกรรมปกปิด (Covert Behavior) หมายถึง พฤติกรรมหรือ การกระท าที่บุคคลอื่นไม่สามารถมองเห็นได้หรืออาจสังเกตเห็นได้ยาก เพราะเป็นการกระท าของ อวัยวะที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น ความคิด (Idea) อารมณ์(Emotion) ความรู้สึก (Feeling) เป็นต้น๑๔ ประเภทพฤติกรรมของมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑.๓.๑ พฤติกรรมของมนุษย์ในทางดี พฤติกรรมของมนุษย์ในทางดี คือ เป็นผู้มีความเมตตา หมายถึง ความรัก หรือการแผ่ ความปรารถนาดี หรือการบ าเพ็ญคุณประโยชน์ ซึ่งตรงกันข้ามกับความพยาบาทหรือปองร้าย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แผ่เมตตาไปยังสรรพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ถ้า ปัจเจกบุคคลสามารถปฏิบัติตามค าสอนของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการแผ่เมตตาได้ ความขัดแย้ง ทั้งหลาย ก็ไม่ต้องแก้ไขด้วยวิธีเผชิญหน้ากัน แต่สามารถแก้ได้ด้วยสันติวิธี เพราะคนที่มีเมตตานั้นจะ เอื้ออาทรต่อคนที่ประสบความเดือดร้อน ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าทรงท างานช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ มวลมนุษยชาติ แน่นอนพระพุทธเจ้าไม้ได้ไปแจกสิ่งของให้แก่ใคร ๆ แต่ทรงสั่งสอนให้คนมีฐานะมั่งคง ทั้งหลายให้มีจิตใจประกอบไปด้วยเมตต าและช่วยเหลือเกื้อกูลแก่สังคม ท าให้คนเหล ่านั้น กล ายเป็นคนใจบุญ เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐีและนางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น คนเหล่านี้มี เมตตาต่อสัตว์โลกทั้งมวล เพราะฉะนั้น การกระท าด้วยจิตมีเมตตาจึงช่วยเสริมสร้างความเอื้ออาทร ให้แก่คนทั้งหลาย ความสุขก็จะขยายไปสู่คนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องและยาวนาน ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมก็ จะลดน้อยลงได้ เพราะอาศัยเมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่น สัตว์อื่นๆ มีความสุข ในเมื่อตนได้ ความสุขแล้ว ก็อยากให้ผู้อื่นสัตว์อื่นได้บ้าง เป็นการอนุเคราะห์แก่กันและกัน การอนุเคราะห์แก่กัน เป็นการสร้างความสามัคคีไปในตัว พฤติกรรมของมนุษย์ในทางดีผู้มีศีล หมายถึง ศีลเป็นหลักความประพฤติที่ดีงามของ มนุษย์ การท าความดีทางร่างกายเรียกว่า กายสุจริต และทางวาจาเรียกว่า วจีสุจริต ศีลยังเป็นข้อ ประพฤติปฏิบัติขั้นพื้นฐานของการด าเนินชีวิตของตนในสังคมชนบท การด าเนินชีวิตของคนในแต่ละ สังคม ย่อมมีการด าเนินชีวิตที่แตกต่างกันไปตามกลุ่มของตนในสังคมนั้น ๆ ความประพฤติเป็น เครื่องวัดความเจริญของคนในสังคมนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ๑๔ ลักขณา สริวัฒน์, จิตวิทยาในชีวิตประจ าวัน, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, 2549), หน้า ๑๗ - ๑๘.


๑๙ ๒.๑.๓.๒ พฤติกรรมของมนุษย์ในทางไม่ดี พฤติกรรมของมนุษย์ในทางไม่ดี คือ การกระท าความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ และขาดการรักษาศีล ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสโทษของคนที่ไม่มีศีลกับปาฏลิอุบาสกว่า “...ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย คนทุศีล มีศีลวิบัติแล้วในโลกนี้ ย่อมเข้าถึงความเสื่อมแห่ง โภคะอย่างใหญ่ อันมีความประมาทเป็นเหตุ ศีลวิบัติอันนี้เป็นโทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล อีกข้อหนึ่ง เกียรติศัพท์อันลือชื่อของคนทุศีลมีศีลวิบัติแล้ว ย่อมกระฉ่อนไป อันนี้เป็นโทษข้อที่สองแห่งศีลวิบัติ ของคนทุศีล อีกข้อหนึ่ง คนทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว จะเข้าไปสู่บริษัทใด ๆ คือ ขัตติยบริษัท พราหมณ์ บริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณบริษัท ย่อมครั้นคร้าม เก้อเขิน อันนี้เป็นโทษข้อที่สามแห่งศีลวิบัติของ คนทุศีลอีกข้อหนึ่ง คนทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว ย่อมหลง กระท ากาละ อันนี้ เป็นโทษข้อสี่แห่งศีลวิบัติของ คนทุศีลอีกข้อหนึ่ง คนทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก อันนี้เป็นโทษข้อที่ห้า แห่งศีลวิบัติของคนทุศีล” ๑๕ คนที่ขาดศีลข้อที่หนึ่ง คือฆ่าและท าร้ายคนอื่นสัตว์อื่น ย่อมเดือดร้อนในปัจจุบัน ต้องได้รับ โทษ เช่น ต้องถูกกักขังอยู่ในเรือนจ า และในอนาคต เมื่อตายไปก็เกิดในสถานที่ล าบาก เช่นเกิดในนรก เป็นต้น เมื่อเขากลับมาเกิดในโลกมนุษย์ เพราะเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ ท าให้เขาเป็นคนอายุสั้น และมักถูกฆ่าตาย คนที่ขาดศีลข้อที่สอง คือลักทรัพย์ ย่อมเดือนร้อนในปัจจุบัน เช่น การขโมยรถยนต์ เจ้าของรถยนต์ย่อมเกิดความเสียดายและจองเวรหัวขโมย เมื่อเจ้าหน้าที่ต ารวจจับได้ก็ต้องถูกจองจ า อยู่ในเรือนจ า เมื่อตายไปก็ไปเกิดในอบาย มีนรกเป็นต้น เมื่อเขากลับมาเป็นมนุษย์เพราะเศษกรรมที่ ยังเหลืออยู่ ท าให้เขาเป็นคนยากจนและถูกโกง ถูกปล้น หรือถูกขโมย คนที่ขาดศีลข้อที่สาม คือประพฤติผิดในกาม ย่อมเดือดร้อนในปัจจุบัน คือท าให้เกิดความ แตกแยกในครอบครัว และถูกปองร้ายเป็นต้น เมื่อตายไปก็ไปเกิดในอบาย มีนรกเป็นต้น เมื่อเขา กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพราะเศษกรรมที่ยังเหลือยู่ ท าให้เขาเกิดการแตกแยกร้าวฉานในครอบครัว คนที่ขาดศีลข้อที่สี่ คือพูดเท็จหลอกลวงคนอื่น ย่อมเดือดร้อนในปัจจุบัน เช่น การพูด ยุยงให้คนแตกความสามัคคี พูดใส่ความคนอื่นโดยไม่มีมูล เมื่อมีคนทราบความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่มีใคร อยากเชื่อถือ บางคนถึงกับถูกจองจ าอยู่ในเรือนจ า เมื่อเขาตายไปก็ไปเกิดในสถานที่ล าบากมีนรก เป็นต้น เมื่อเขามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ ท าให้เขาถูกใส่ความ มักได้ฟังแต่เรื่อง ไม่จริง เพราะกรรมที่ตนท าไว้มาให้ผล คนที่ขาดศีลข้อที่ห้า คือ ดื่มสุราและเมรัยหรือของเสพติดให้โทษต่างๆ ย่อมเดือดร้อนใน ปัจจุบัน คือเสื่อมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ทรัพย์ย่อมฉิบหายไป และก่อให้เกิดความทะเลาะ วิวาท ทั้งเป็นเหตุให้ท าผิดศีลข้ออื่นๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะเมื่อเมาก็มักขาดสติ บางคนถูกไล่ออก จากงาน บางคนก็ต้องพิการหรือตายไปบนท้องถนนเป็นจ านวนมาก ทั้งนี้ก็เพราะความประมาท เมื่อตายไป ก็ไปเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น เมื่อเขากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเศษของกรรมที่ยัง เหลืออยู่ ท าให้เขาเป็นคนบ้าใบ้ สติไม่สมบูรณ์ สมองเสื่อม เพราะกรรมที่ตนท าไว้นั้นให้ผล ฉะนั้น ๑๕ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๙/๙๑.


๒๐ คนที่ขาดศีลย่อมสร้างแต่เวรภัยให้แก่ตนเอง๑๖ ดังในทุจริตสูตร ได้แสดงโทษของการละเมิดศีลหรือไม่ มีศีลไว้ว่า แม้ตนเอง ย่อมติเตียนตนได้ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ย่อมติเตียน ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ย่อมกระฉ่อน ไป มักหลงลืมสติก่อนตาย ตายแล้วไปเกิดในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น๑๗ การขาดศีล ๕ นั้นมีโทษมาก เพราะท าความเดือดร้อนให้ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งใน ปัจจุบันและอนาคต ในปัจจุบันนั้นท าตนและสังคมให้เดือดร้อนวุ่นวาย อีกทั้ง ยังก่อให้เกิดความเดือน ร้อนในชาติหน้าด้วย คือเมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดในที่ล าบากคือตกอบาย มีนรกเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในทางพระพุทธศาสนาได้เปรียบเทียบพฤติกรรมของมนุษย์ในเรื่องของบุญ ดังนี้ ๒.๑.๓.๒.๑ บุญ : พฤติกรรมในทางที่ดี ปทานุกรมบาลี– ไทย อังกฤษ – สันสกฤต ให้ความหมายไว้ว่า บุญ หรือ ปุญญะ หมายถึง กุศลกรรมหรือธรรมชาติอันช าระ๑๘ ตามหน้าที่ทางไวยากรณ์ บุญ เป็นได้ทั้งค ากริยาและ คุณศัพท์ บุญ ถ้าเป็นค านาม หมายถึง ความดี วิธีท าความดี ความสุข ผลของความดี ความเจริญ เค รื่องช า ร ะสัน ด าน ข องสั ต ว์ให้ ผ่ องแ ผ้ ว บุ ญ เป็ น ค าก ริย า ห ม าย ถึง ก ระท าค ว าม ดี บุญเป็นค าคุณศัพท์ หมายถึง ผู้มีความดี ผู้มีความสุข บุญ ตามความหมายแห่งพระไตรปิฎกและคัมภีร์ ในพระพุทธศาสนาแล้ว มุ่งเอาผลคือความสุข ความเจริญทั้งทางร่างกายและจิตใจอันก่อให้เกิดความ ผ่องแผ้ว สงบและเกิดความพอใจที่จะกระท าความดีให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนัยแห่งพระพุทธพจน์ที่ว่า “...ถ้าบุคคลจะพึงท าบุญ ควรท าบุญนั้นบ่อย ๆ ควรท าความเข้าใจในบุญนั้น เพราะว่า การสั่งสมบุญน าความสุขมาให้” ๑๙ “...ผู้ท าบุญแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละไปแล้ว ย่อมบันเทิงเชื่อว่า ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง เขาเห็นความบริสุทธิ์แห่งกรรมของตนแล้ว ย่อมบันเทิงปราโมทย์๒๐ “...ไม่ควรดูหมิ่นต่อบุญว่า มีประมาณน้อย จักไม่มาถึง แม้หม้อน้า ย่อมเต็มไปด้วยหยาดน้ าที่ตกฉันใด ผู้มีปัญญาสั่งสมบุญแม้ที่ละน้อย ย่อมเต็มได้ด้วยบุญ ฉันนั้น๒๑ “....บุญอันโจรน าไปไม่ได้ บุญเป็นที่พึ่ง ของสัตว์ในโลกหน้า ควรท าบุญ อันน าสุขมาให้” ๒๒ “....สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใดแสวงหาความสุขเพื่อตน เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมไม่ได้สุข” ๒๓ ๑๖ พระราชวิสุทธิกวี(พิจิตร ฐิตวณฺโณ), การสั่งสมบุญ ด้วยการรักษาศีล, (กรุงเทพมหานคร: สารการพิมพ์, ๒๕๓๖), หน้า ๕๙. ๑๗ อง.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๔๑/๒๗๖. ๑๘ กรมพระจันทบุรีนฤนาท, ปทานุกรมบาลี- ไทย – อังกฤษ - สันสกฤต, (กรุงเทพมหานคร: มหา มกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หน้า ๘๐. ๑๙ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๙/๓๐. ๒๐ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๑/๑๗. ๒๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๙/๓๑. ๒๒ ส .ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๙/๕๐. ๒๓ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๐/๓๒.


๒๑ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(พิมพ์ ธมฺมธโร) ได้อธิบายความหมายของค าว่า “บุญ” หมายถึง กรรมที่ท าด้วยเจตนาดีมีจิตสะอาดผ่องใส ผลลัพธ์จะออกมาเป็นความสุข ท่านเรียกว่า บุญ ใจจะเป็น ผู้สั่งให้เกิดการกระท าทางกายและทางวาจา การแสดงออกทางกายและทางวาจาที่เป็นบุญ เรียกว่า กายสุจริต วจีสุจริต๒๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายความหมายของค าว่า บุญ หมายถึง เครื่องช าระสันดาน คือเครื่องช าระฟื้นจิตใจให้สะอาด และว่าสิ่งที่ท าให้เกิดผล คือสภาวะที่น่าชื่นชม นอกจากนี้บางแห่งก็แสดงไว้อีกความหมายหนึ่งว่า สิ่งที่ยังอัธยาศัย (ความประสงค์) ของผู้กระท าให้ บริบูรณ์๒๕ อนาถบิณฑิกเป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองสาวัตถี ต่อมาได้นับถือพระพุทธศาสนา บรรลุโสดาปัตติ ผล เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า สร้างพระเชตวันมหาวิหารอันยิ่งใหญ่ ถวายแด่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ที่ เมืองสาวัตถี ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับจ าพรรษารวมทั้งหมดถึง ๑๙ พรรษา (สลับกับบุพพารามที่อยู่ ใกล้ชิดติดกัน ณ เมืองสาวัตถี) ท่านอนาถบิณฑิกนอกจากอุปถัมภ์บ ารุงพระภิกษุสงฆ์แล้วยังได้ สงเคราะห์คนยากไร้อนาถาอย่างมากมายเป็นประจ า จึงได้ชื่อว่า อนาถบิณฑิก ซึ่งแปลว่า ผู้มีก้อนข้าว เพื่อคนอนาถา ท่านได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในหมู่ทายกฝ่ายอุบาสก (ทายก = ผู้ให้) ๒๖ อนาถบิณฑิกะ เป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองสาวัตถีได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในหมู่ทายกฝ่ายอุบาสก เป็นผู้ให้ในการบ ารุงพระพุทธศาสนาแสดงถึงพฤติกรรมในทางบุญ (ทางดี) ๒.๑.๓.๒.๒ บาป : พฤติกรรมในทางไม่ดี ค าว่า “บาป” ในทางพระพุทธศาสนานั้น มีความหมายกว้าง ซึ่งสามารถกล่าวว่าทั่วไป ได้ว่า“บาป” ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก หมายถึง “ความชั่ว” ๒๗ เป็นธรรมที่น าไปสู่หนทางแห่ง ความเสื่อม ยังผู้กระท านั้นให้ได้รับความเดือดร้อนและเป็นทุกข์ อนึ่ง บุคคลผู้กระท าบาปนั้นได้ชื่อว่า เป็นคนบาป คนชั่ว คนพาล เป็นต้น ทั้งนี้รวมความถึงสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ การกระท าที่ไม่ดีทุกชนิด วิบาก หรือผลในทางที่ไม่ดีหรือทางเสื่อม ตลอดถึงเหตุและผลในทางที่ไม่ดีทั้งมวล เหตุนี้“บาป” ตามนัยค า สอนของพระพุทธศาสนา จึงมีความหมายแยกได้เป็น ๒ ประการ ดังนี้ ๑. บาปธรรม คือ สภาวธรรมฝ่ายไม่ดีหรือฝ่ายชั่ว เลว ทราม ลามก เศร้ามอง ที่มีอยู่แล้ว ในธรรมชาติจิตของมนุษย์ที่กิเลส ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน โลภะ โทสะ เป็นต้น ๒. บาปกรรม คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระท าที่ประกอบด้วยอกุศลเจตนาของบุคคล ซึ่งมีพื้นฐานมาจากจิตที่ถูกบาปธรรมคือกิเลสครอบง าอยู่ภายในเป็นเหตุ ชักน าให้กระท าบาปกรรม นั้น โดยอาศัยทางไตรทวาร คือ กายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร อันเป็นไปในจิตของมนุษย์ปุถุชน ที่เรียกว่า ทุจริต และอกุศลกรรม เป็นต้น ๒๔ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร), มงคลยอดชีวิต ฉบับสมบูรณ์, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๓๙), หน้า ๘๖. ๒๕ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ, หน้า ๑๖๘. ๒๖ คหบดีผู้เป็นบัณฑิต หมายถึง คหบดีผู้เป็นบัณฑิตทั้งหลายมีจิตตคหบดีและสุทัตตคหบดี(อนาถ บิณฑิกเศรษฐี), ส .ขุ.อ. (ไทย) ๒/๒/๒๘๓. ๒๗ วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๘๘/๑๙๕.


๒๒ ค าว่า บาป ในความหมายใจความทั่วไป จึงหมายถึง บาปกรรมที่บุคคลที่กระท าด้วย อกุศลเจตนาอันเป็นไปในทางไตรทวาร ส่วนในความหมายที่ละเอียดอ่อนนั้น หมายถึง บาปธรรมที่มี อยู่แล้วในธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชน ซึ่งเป็นไปในจิตสันดานของสัตว์บุคคลนั่นเอง ที่เป็นไปในจิตของ ปุถุชนนั้น เพราะว่าบาปไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นและเป็นไป หรือเจริญงอกงามในจิตของพระอรหันต์ได้ เลย เพราะพระอรหันต์ท่านละบาปออกจากจิตหมดสิ้นแล้ว โดยสรุปแล้ว บาปอกุศลหรือความชั่ว ย่อมมีความหมายและนัยที่ตรงกันข้ามกับบุญกุศล แสดงถึงพฤติกรรมในทางบาป พระเทวทัตเป็นพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัตเป็นพระญาติและ มีชีวิตร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า พระเทวทัตเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุปปพุทธะผู้ครองกรุง เทวทหะแห่งแคว้นโกลิยะ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระพุทธองค์ พระเทวทัตเป็นที่รู้จักกันดีจาก เรื่องราวในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ว่าเป็นผู้ที่มีความอิจฉาพระพุทธเจ้าแต่ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ และคอยจองล้างจองผลาญกับพระพุทธองค์มาแต่อดีตชาติ และในปัจจุบันชาติพระเทวทัตยังได้เป็น พระสงฆ์ที่ก่ออนันตริยกรรม คือพยายามลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าและก่อการสังฆเภท ท าให้ คณะสงฆ์แตกแยกกัน ในพระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ได้กล่าวถึงตอนว่าด้วยการท าสงฆ์ ให้แตกกันเรื่องพระเทวทัตไว้ว่า “สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแต เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตถึงที่อยู่ ครั้นถึงแล้ว ได้กล่าวกับท่านเหล่านั้นดังนี้ว่า “มาเถิด ท่านทั้งหลาย พวกเราจะท าลายสงฆ์ ท าลายจักรของพระสมณะโคดม” เมื่อพระเทวทัตกล่าวอย่างนี้ พระโกกาลิกะ ได้กล่าวกับพระเทวทัตว่า “พระสมณะโคดม มีฤทธานุภาพมาก ท าอย่างไร พวกเราจึงจะท าลายสงฆ์ ท าลายจักรของพระสมณะโคดมได้เล่า” ๒๘ ตัวอย่างพฤติกรรมบุคคลที่ท าบาปตามความในคัมภีร์อรรถกถาได้ขยายความพระไตรปิฎก และเรื่องราวพระเทวทัตถูกธรณีสูบเพราะผลจากพฤติกรรมของบาป พฤติกรรมบุคคลผู้สร้างบุญเป็น เครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาป ไม่ให้งอกงามหรือปรากฏ ส่วนกุศลนั้นเป็นเครื่องตัดรากเหง้าของบาปอยู่ เรื่อยไป จนมันเหี่ยวแห้ง สูญสิ้นไม่มีเหลือ หลักค าสอนในทางพระพุทธศาสนาในส่วนที่เกี่ยวกับความ ประพฤติที่ดีงาม และการหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต ได้แก่ ศีล ๕ มุ่งเน้นที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สังคม ในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่น อยู่ร่วมกันในสังคมได้ อย่างมีความสุข ๒.๒ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวช้องกับธรรมชาติของวัยรุ่น ผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของวัยรุ่นในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้ ๒๘ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๐๙/๔๔๑.


๒๓ ๒.๒.๑ ความหมายของค าว่า วัยรุ่น ค าว่า วัยรุ่น ในภาษาอังกฤษตรงกับค าว่า Adolescent มีที่มาจากภาษาลาติน คือ Adolescere ซึ่งแปลว่า การเจริญเติบโต (To grow up) หรือค าที่นิยมและแปลง่าย คือค าว่า “Teenage” ค านี้จึงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากวัยเด็กเติบโตไปสู่วัยผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจิต ใจ อารมณ์ สังคม และพัฒนาการทางเพศที่สมบูรณ์ (Full Sexual maturity) เข้าสู่ความพร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์และตั้งครรภ์ได้ ค าจ ากัดความ ค าว่า “วัยรุ่น” มีความหลากหลาย เนื่องจากขึ้นกับความแตกต่างของ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งมีผู้ให้ความหมายของวัยรุ่นไว้ ดังนี้ วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์ กล่าวว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่จะเริ่มเป็นหนุ่มสาวเป็นช่วงวัยหัวเลี้ยว หัวต่อของชีวิตเป็นวัยพายุบุแคม เนื่องจากว่าวัยนี้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง มีการพัฒนาการจากวัย เด็กเป็นวัยผู้ใหญ่ นอกจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายแล้วในด้านจิตใจ๒๙ ศรีเรือน แก้วกังวาน กล่าวว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่อยู่ในระยะคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นเด็ก ต่อเนื่องกับความเป็นผู้ใหญ่ มีความอ่อนไหวท าให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้ง่าย เรียกว่า เป็นวัยวิกฤต เนื่องจากวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา จากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนบางครั้ง อาจท าให้วัยรุ่นบางคนมีปัญหาในการปรับตัวได้๓๐ วีนัส ศรีศักดา กล่าวว่า วัยรุ่นเป็นลักษณะที่เด็กจะพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เป็นวัยที่ อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในชีวิตอย่างรวดเร็วในทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เป็นเหตุให้วัยรุ่นเป็นวัยที่ประสบปัญหาและเผชิญวิกฤติการณ์ในการปรับตัวมาก ที่สุดในชีวิต๓๑ เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์กล่าวว่า วัยรุ่น หมายถึง เป็นวัยที่ส าคัญของชีวิต ต้องพบกับ การเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ซึ่งต้องมีการปรับตัว ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ โดยทั่วไป นักจิตวิทยา แบ่งช่วงระยะวัยรุ่นเป็น ๓ ระยะ ดังต่อไปนี้ ๑. วัยรุ่นตอนต้น (Early Adolescence) เป็นระยะเริ่มแรกในการเข้าสู่วัยรุ่น โดยอยู่ ในช่วงอายุ ๑๒ - ๑๖ ปี วัยรุ่นในช่วงนี้จะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างเต็มที่และรวดเร็ว มาก ท าให้ต้องปรับตัวต่อปัญหาทางร่างกาย สังคม อารมณ์ ๒. วัยรุ่นตอนกลาง (Middle Adolescence) อยู่ในช่วงอายุ ๑๖ - ๑๘ ปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่ ผ่านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ ๒๙ วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์, จิตวิทยาการปรับตัว, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: ศูนย์ส่งเสริม วิชาการ, ๒๕๔๙), หน้า ๒. ๓๐ ศรีเรือน แก้วกังวาน, จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย เล่ม 2 วัยรุ่น - วัยสูงอายุ, พิมพ์ครั้งที่ ๘ แก้ไขเพิ่มเติม, (กรุงเทพมหานคร: อ.อิทธิพล, ๒๕๔๕), หน้า ๓๖๐. ๓๑ วีนัส ศรีศักดา,“ศึกษาพฤติกรรมครอบครัวที่สัมพันธ์กับวุฒิภาวะทางอารมณ์ของวัยรุ่นในศูนย์ บ าบัดรักษายาเสพติดภาคเหนือ”, รายงานการวิจัย, (เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๕), หน้า ๑๑๕.


๒๔ ๓. วัยรุ่นตอนปลาย (Late Adolescence) อยู่ในช่วงอายุ ๑๘ - ๒๖ ปี ระยะนี้เป็นช่วง สุดท้ายก่อนจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่๓๒ โยธิน ศันสนยุทธ ได้กล่าวถึงวัยรุ่นเป็นวัยที่เริ่มในช่วงอายุตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทาง ร่างกาย (อายุ ๑๒ - ๑๓ ปี) จนอายุที่เด็กสามารถมีงานท า ซึ่งในแต่ละสังคมจะสิ้นสุดระยะอายุไม่ เท่ากัน อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปวัยรุ่นจะสิ้นสุดระยะอายุประมาณ ๒๐ ปี วัยรุ่นเป็นวัยที่มีพัฒนาการที่ รวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การเปลี่ยนแปลง กลุ่มของสังคมหรือการเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญาการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ท าให้เด็กต้องปรับตัว ซึ่งการปรับตัวน ามาซึ่งความวิตกกังวล ความเครียดของอารมณ์ ความโกรธ ฯลฯ นักจิตวิทยา Stangley Hall เรียกระยะวัยรุ่นว่า เป็นวัยพายุบุแคม (Storm and Stress) นั่นก็คือ เด็กวัยรุ่นจะไม่ มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีอาการขวัญผวาของอารมณ์ และอารมณ์ก็มักจะเป็นอารมณ์ที่รุนแรง มีความกดดันสูง ในสายตาของคนทั่วไป ก็เรียกว่า วัยรุ่น เป็นวัยของปัญหาเป็นวัยอลวนเพราะฉะนั้น วัยรุ่นจึงจัดเป็นวัยหนึ่งที่บุคคลในสังคมให้ความสนใจ และคิดว่าเป็นปัญหาพฤติกรรมส่วนหนึ่งของ สังคม๓๓ สุชา จันทร์เอม กล่าวถึงวัยรุ่นไว้ว่าเป็นวัยที่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ความเชื่อมั่น ความต้องการ ตลอดจนความปรารถนาต่างๆ เป็นไปอย่างรุนแรงปราศจากความยั้งคิด ชอบท าอะไร ตามใจ หรือตามความนึกคิดของตน ต้องการเป็นที่ยอมรับนับถือในหมู่เพื่อนฝูงโดยพยายามท าอะไร ให้คล้าย ๆ กัน เลียนแบบตามกัน จึงมีวัยรุ่นเป็นจ านวนไม่น้อยที่มีปัญหาและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ เลวร้าย ได้ตกเป็นทาสของยาเสพติด๓๔ สุพัตรา สุภาพ กล่าวว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่เปลี่ยนจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่อยู่ระหว่างความ เป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นวัยที่ย่างเข้าสู่ความเป็นหนุ่มสาว เป็นวัยที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อความเจริญด้านอื่นๆ ด้วย เช่น มีอารมณ์หวั่นไหวง่ายเต็มไปด้วยความ เพ้อฝัน มีอุดมคติสูงส่ง มักจะมองสิ่งต่างๆ ในแง่ดีดังนั้น หากมีความผิดหวังหรือไม่ได้ดังที่ปรารถนา จะเสียใจมากไม่ค่อยเดินทางสายกลาง เพราะถ้ารักจะรักสุดใจ ถ้าเกลียดจะเกลียดสุดใจเช่นกัน นอกจากนี้ยังต้องการให้เพื่อนยอมรับรักเพื่อนต่างเพศ รักความเป็นอิสระ ต้องการความอบอุ่น เป็นต้น๓๕ ๓๒ เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์, พัฒนาการมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร: กรุงเทพฯ : คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า ๑๘๑. ๓๓ โยธิน ศันสนยุทธ, จิตวิทยา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๓๕), หน้า ๕. ๓๔ สุชา จันทร์เอม, จิตวิทยาเด็กเกเร, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ ากัด, ๒๕๒๐), หน้า ๕๕. ๓๕ สุพัตรา สุภาพ,สังคมและวัฒนธรรมไทยค่านิยมครอบครัวศาสนาประเพณี, (กรุงเทพมหานคร: ไทย วัฒนาพานิช, ๒๕๔๒), หน้า ๓๐.


๒๕ วัยรุ่นจึงเป็นช่วงของการเปลี่ยนวัย เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปลี่ยนจากความเป็นเด็ก ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และถ้านับการเริ่มต้นของความเป็นวัยรุ่นตามลักษณะพัฒนาการ สิ่งที่เห็นได้ ชัดเจนว่าช่วงวัยรุ่นเริ่มต้นแล้ว ก็คือการเปลี่ยนแปลงภายนอกและภายใน เช่น การเปลี่ยนแปลง ทางด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ๑. พัฒนาการทางด้านร่างกาย จะเป็นในด้านของความงอกงาม เจริญเติบโตถึงขีด สมบูรณ์เพื่อท าหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ การเจริญเติบโตมีทั้งส่วนภายนอกที่มองเห็น เช่น ส่วนสูง น้ าหนัก ส่วนสัดของร่างกาย เป็นต้น ส่วนการเจริญเติบโตภายใน เช่น โครงกระดูกแข็งแรงขึ้นการท างานของ ต่อมบางชนิด เช่น ต่อมพิทูอิทารี่ (Pituitary Gland) คือ ต่อมใต้สมอง จะมีฮอร์โมนที่ท าหน้าที่ ควบคุมการเจริญเติบโตของรังไข่และอัณฑะ และควบคุมการตกไข่ (Ovulation) ของเพศหญิง ดังจะ เห็นได้จาก เด็กหญิงจะเริ่มเป็นสาว มีหน้าอก มีประจ าเดือนมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นทรวดทรง เด็กชายจะเริ่มมีหนวด มีฝันเปียก เสียงแตก ร่างกายจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ซึ่งทั้งสองเพศนี้จะมีสิว มีกลิ่นตัว และขนขึ้นในที่ลับ มีร่างกายที่สูงใหญ่อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว บางครั้งเด็กปรับตัวไม่ทัน ท าให้เกิดความรู้สึกอึดอัดอ่อนไหวเกี่ยวกับสัดส่วนอวัยวะ ต่างๆ ของร่างกายตนเอง อาจเห็นได้จากการพฤติกรรมซุ่มซ่าม เก้งก้างเพราะแขนขายืดยาวเร็ว จนกะระยะต่างๆ ไม่แม่นย า๓๖ ๒. พัฒนาการทางด้านจิตใจ วัยรุ่นจะเริ่มมีความคิดอ่านที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เริ่มสังเกต ตนเอง ครอบครัว เพื่อน และสังคมสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงท าให้วัยรุ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตนเอง คือมี ความรู้ว่าตนเองมีความเป็นหนึ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่นในสิ่งต่อไปนี้ รูปร่างและเอกลักษณ์ลักษณะดี ลักษณะด้อยของตนเอง ความชอบ ความถนัด ความพึงพอใจทางเพศ เอกลักษณ์ของวัยรุ่นจะพัฒนา ได้ดีเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนและได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ มีความต้องการเป็นอิสระที่จะ คิดที่จะท าอะไรด้วยตนเองหรือกับกลุ่มเพื่อนมากขึ้น มีความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจในกฎระเบียบต่างๆ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน มีความต้องการเป็นที่ยอมรับ ชื่นชม จากเพื่อนวัยเดียวกัน จึงท าให้เกิดการ เลียนแบบต่างๆ ในกลุ่ม เพื่อให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน มีความอยากรู้อยากลอง เนื่องมาจาก ความต้องการหาเอกลักษณ์ของตนเอง และแสวงหาสิ่งที่ท าให้เขามีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองได้ เช่น กิจกรรมกลุ่มกีฬา งานอดิเรก ความสัมพันธ์กับเพื่อนตรงข้ามหรือยาเสพติด เมื่อลองแล้วรู้สึกเหมาะ กับตนเองก็จะท าสิ่งนั้นซ้ าๆ ถ้าท าแล้วไม่พอใจจะเลิกไปเอง การลองในสิ่งอันตรายจะมีมากน้อยไม่ เท่ากันขึ้นอยู่กับการรู้จักยับยั้งใจตนเอง และการตระหนักในโทษหรือข้อเสียในสิ่งที่จะลอง ส่วนใน ด้านความมีอุดมคติ วัยรุ่นจะเริ่มแยกแยะความดีความชั่ว ข้อดีข้อเสียของบุคคลและเรื่องราวต่างๆ ได้ดีมีมโนธรรมที่ถูกต้อง ๓. พัฒนาการทางด้านอารมณ์สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงและการเจริญเติบโตทาง ร่างกายทั้งภายในและภายนอก กระทบกระเทือนแบบแผนอารมณ์ของวัยรุ่น อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็ก วัยรุ่นนั้นมีทุกประเภท เช่น รัก ชอบโกรธ เกลียด อิจฉาริษยาฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ประเภทใดจะมี การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ง่ายสับสน อ่อนไหว และขาดการควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ของ ๓๖ วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์, จิตวิทยาการปรับตัว, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: ศูนย์ส่งเสริม วิชาการ, ๒๕๔๙), หน้า ๒๐.


๒๖ ตนเองมีความเข้มของอารมณ์สูง ไม่มั่นคง ระดับความเข้มของอารมณ์ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพดั้งเดิม และ สิ่งเร้าที่ท าให้เกิดอารมณ์ของวัยรุ่น มีนักจิตวิทยาเรียก ลักษณะการแสดงออกทางอารมณ์ของวัยรุ่นว่า เป็นแบบพายุบุแคม (Storm and Stress) ซึ่งหมายถึง อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงง่าย รุนแรง อ่อนไหว สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์หนึ่งไปเป็นอีกอารมณ์หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว เมื่อลักษณะอารมณ์ของวัยรุ่น เป็นเช่นนี้บุคคลต่างวัย จึงต้องใช้ความอดทนสูง เพื่อจะเข้าใจและสร้างสัมพันธภาพกับพวกเขา ซึ่งอาจท าให้เกิดช่องว่างระหว่างวัย (Gneration Gap) และเนื่องจากวัยรุ่นเข้ากับบุคคลอื่นได้ยาก วัยรุ่นจึงเกาะกลุ่มกันได้ดี เป็นพิเศษกว่าวัยอื่นๆ เพราะเข้าใจและยอมรับกันได้ง่าย ๔. พัฒนาการทางด้านสังคม ความสัมพันธ์ของวัยรุ่นกับพ่อแม่จะเริ่มห่างกันมากขึ้น แต่ความสัมพันธ์กับเพื่อนจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจะมีสูงสุดในระยะตอนกลางของวัยรุ่น จะเริ่ม สนใจเพศตรงข้าม คบเพื่อนที่ถูกใจ มีกิจกรรมท าร่วมกัน ได้ฝึกทักษะทางสังคม ค้นหาเอกลักษณ์ของ ตนเอง ได้รับการยอมรับจากเพื่อน ได้รับการยอมรับเข้ากลุ่ม ซึ่งจะท าให้ตนเองรู้สึกว่ามีความส าคัญ วัยนี้จึงมีเพื่อนสนิทที่สามารถปรึกษาและเลียนแบบพฤติกรรมซึ่งกันและกัน การคบเพื่อนร่วมวัยเป็น พฤติกรรมทางสังคมที่ส าคัญยิ่งต่อจิตใจของวัยรุ่น แต่การคบเพื่อนมีทั้งประโยชน์และโทษ เพื่อนอาจ เป็นผู้ประคับประคองจิตใจในยามทุกข์ร้อน ชี้แนะสิ่งมีประโยชน์ ในทางตรงกันข้าม เพื่อนก็อาจชัก น าไปในทางเสื่อมถอย ผู้เป็นอาชญากรวัยรุ่นมากมายในแทบทุกประเทศ ส่วนมากมีสาเหตุมาจาก เพื่อนชักจูง เช่น เกเร ติดยาเสพติด ๕. การพัฒนาทางด้านสติปัญญา วัยนี้จะมีการพัฒนาของสติปัญญาอย่างมากโดย ความคิดจะลึกซึ้งเป็นนามธรรมมากขึ้นมีการใช้เหตุผลรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์และ ประเมินได้อย่างดีคล้ายกับความคิดของผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ความคิดของวัยรุ่นจะไม่มั่นคง บางครั้งมี ความคิดเหมือนเด็ก บางครั้งมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของ วัยรุ่นด้วยการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้สามารถที่จะเรียนรู้ได้มากมาย และเรียนรู้ได้ดีเมื่อสภาพอารมณ์ สงบ มีความอยากรู้อยากเห็น และได้เรียนรู้ในแบบที่ตนเองมีส่วนร่วมในการคิดและการกระท าด้วย๓๗ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลายประการในวัยรุ่น ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และความสัมพันธ์กับผู้อื่นและสังคม ท าให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมที่เป็นไปเพื่อการแสวงหา ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ที่จะช่วยสร้างความเข้าใจตนเอง และสถานการณ์ต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้นโดย ปกติวัยรุ่นจะมีพฤติกรรมที่เป็นพัฒนาการตามวัย คือความพยายามที่จะท าสิ่งต่างๆ ให้ส าเร็จด้วย ตนเองความต้องการอิสระเป็นตัวของตัวเอง การเข้ากลุ่มเพื่อน หรือความอยากลองเพื่อช่วยให้ตนเอง เกิดความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆ และด้วยกระบวนการพัฒนาการตามวัยที่เป็นไป จากแนวคิดดังกล่าว สรุปได้ว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่เริ่มตั้งแต่อายุ ๑๒ -๒๐ ปี วัยรุ่นเป็นช่วง ชีวิตแห่งวัยของบุคคลที่ก าลังพัฒนาจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของ ชีวิตระหว่างความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่โดยมีการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการทุกด้าน ทั้งทางด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา จากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ส่งผลต่อการ ๓๗ Steinberg, L.1 99 9. Adolescence. th ed.USA:McGraw-Hil., [ออนไลน์], แหล่งที่มา: www. educ-bkkthon.com [๘ เมษายน ๒๕๖๐].


๒๗ ปรับตัว ความวิตกกังวล ความเครียดทางอารมณ์ท าให้แสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา โดยไม่เป็นที่ ยอมรับของสังคมหรือพฤติกรรมเบี่ยงเบนนั่นเอง ๒.๒.๒ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และพฤติกรรมมนุษย์ ทฤษฎีการเรียนรู้ (Leaning Theory) ตามแนวคิดของนักจิตวิทยาได้แยกเป็นกลุ่มทฤษฎี ต่างๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories) ทฤษฎีการเรียนรู้ ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา (Social Cognitive Learning Theory) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive Theories) ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ๒.๒.๒.๑ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories) แนวคิดทฤษฎี การเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมนั้นจะให้ความส าคัญกับพฤติกรรมที่เกิดจากการตอบสนองต่อ สิ่งแวดล้อมของผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องจัดเตรียมประสบการณ์ให้กับผู้เรียนให้ค าแนะน าหรือสิ่ง เร้าจากสภาพสิ่งแวดล้อมโดยการน าเสนอหรือแนะน าให้รู้จัก และผู้เรียนแสดงอาการตอบสนองต่อสิ่ง เร้านั้นด้วยการตอบสนองบางสิ่งบางอย่างออกมา การเสริมแรงจึงมีความส าคัญที่ต้องก าหนด จัดเตรียมไว้เพื่อก ากับพฤติกรรมที่ต้องการ รูปแบบพฤติกรรมใหม่ๆ จะถูกกระท าซ้ าแล้วซ้ าอีก จนกระทั่งกลายเป็นพฤติกรรมอัตโนมัติ ซึ่งลักขณา สริวัฒน์ได้สรุปว่า พฤติกรรมของผู้เรียนที่ยอมรับ ได้คือการเรียนรู้ที่แสดงให้เห็นได้ในเชิงประจักษ์ตามแนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมนิยมที่ประกอบด้วย ทฤษฎีกลุ่มย่อย ๔ ทฤษฎี๓๘ ได้แก่ ๑. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบ Classic (Classical Conditioning Theory of Learning) ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบ Classic เป็นแนวคิดของ Pavlov๓๙ นัก สรีรวิทยาชาวรัสเซียที่มีความเชื่อว่า สิ่งเร้า (Stimulus) ที่เป็นกลางเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสิ่งเร้าที่ท าให้ เกิดกริยาสะท้อนอย่างหนึ่งหลายๆ ครั้ง สิ่งเร้าที่เป็นกลางจะท าให้เกิดกริยาสะท้อนอย่างนั้นด้วย การ เรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการวางเงื่อนไข หรือมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น พฤติกรรมที่เกิดจาก การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกได้มักเป็นพฤติกรรม หรือการตอบสนองที่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนอันมี พื้นฐานมาจากการท างานของระบบประสาทอัตโนมัติเช่น การเห็นของเปรี้ยวแล้วเกิดมีการหลั่งของ น้ าลาย หรือมีน้ าลายสอที่เกิดจากการท างานของต่อมในร่างกาย และการท างานของระบบกล้ามเนื้อ ต่างๆ ส าหรับพฤติกรรมการตอบสนองในการวางเงื่อนไขแบบ Classic เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น พฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเหล่านี้เรียกว่า พฤติกรรม ตอบสนองหรือพฤติกรรมที่เป็นไปโดยไม่ตั้งใจ Pavlov เชื่อว่าการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตจ านวนมากเกิด จากการวางเงื่อนไข (Conditioning) กล่าวคือการตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้าหนึ่งมัก มีเงื่อนไขหรือสถานการณ์เกิดขึ้น ซึ่งในสภาพปกติหรือในชีวิตประจ าวัน การตอบสนองเช่นนั้น อาจไม่ มีดังเช่นกรณีที่เขาทดลองกับสุนัขโดยการสั่นกระดิ่ง แล้วเอาผงเนื้อให้สุนัข ท าซ้ าๆ กันเช่นนี้หลาย ๓๘ ลักขณา สริวัฒน์, จิตวิทยาส าหรับครู, (กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๗), หน้า ๑๕๙. ๓๙ Pavlov, I., Conditioned Reflexes, (New York : Dover, 1927), p. 261.


๒๘ ครั้ง จนสุนัขเกิดความเคยชินกับเสียงกระดิ่ง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้กินเนื้อจนในที่สุด เมื่อสุนัขเพียงแต่ได้ยินเสียงกระดิ่งก็มีน้ าลายไหล เสียงกระดิ่งจึงเป็นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้จาก การวางเงื่อนไข (เพราะโดยปกติเสียงกระดิ่งไม่มีผลท าให้สุนัขน้ าลายไหล แต่คนต้องการให้สุนัข น้ าลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง) Pavlov เรียกว่า เสียงกระดิ่ง เป็นสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข (Conditioned Stimulus : CS) และปฏิกิริยาน้ าลายไหลเป็นการตอบสนองที่เรียกว่า การตอบสนองที่มีเงื่อนไข (Conditioned Response : CR) จากสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดลอง ได้สรุปเป็นกฎการเรียนรู้ได้ ๔ ข้อ ดังนี้ ๑.๑ กฎการลบพฤติกรรม (Law of Extinction) มีแนวคิดว่าความเข้มข้นของการ ตอบสนองจะลดน้อยลงไปได้เรื่อยๆ ถ้าให้ร่างกายได้รับสิ่งเร้าที่วางเงื่อ นไขอย่างเดียวหรือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขกับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขห่างกันมากขึ้น การลบพฤติกรรม ไม่ใช่เป็นการลืม แต่เป็นเพียงการลดลงไปเรื่อยๆ เช่น การสั่นกระดิ่ง (CS) โดยไม่ให้ผงเนื้อ (Unconditioned Stimulus : UCS) ทันทีจะท าให้ปฏิกิริยาน้ าลายไหล (CR) ลดลงในครั้งต่อๆ มา และถ้ายังคงอยู่ในลักษณะเช่นนี้ ปฏิกิริยาน้ าลายไหลก็จะหายไปในที่สุด ๑.๒ กฎแห่งการคืนกลับ (Law of Spontaneous Recovery) สาระส าคัญได้แก่การ ตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข (CR) ที่ลดลง เพราะได้รับแต่สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) เพียงอย่าง เดียวจะกลับปรากฏขึ้นอีกและเพิ่มมากขึ้นๆ ถ้าร่างกายมีการเรียนรู้อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องมีสิ่งเร้าที่ ไม่วางเงื่อนไข (UCS) มาช่วย เช่น การที่สุนัขน้ าลายไหลอีกได้เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งอย่างเดียว โดยไม่ต้องมีผงเนื้อบดมาคู่กับเสียงกระดิ่ง ๑.๓ กฎความคล้ายคลึงกัน (Law of Similarity) สาระส าคัญคือ ถ้าร่างกายมีการเรียนรู้ โดยแสดงออกถึงอาการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหนึ่งแล้ว ถ้ามีสิ่งเร้าอื่นที่มี คุณสมบัติคล้ายคลึงกันกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม ร่างกายจะตอบสนองเหมือนกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข นั้น เช่น ถ้าสุนัขมีอาการน้ าลายไหลจากการสั่นกระดิ่งแล้ว เมื่อสุนัขตัวนั้นได้ยินเสียงระฆังหรือออดจะ มีอาการน้ าลายไหลทันทีเช่นกัน ๑.๔ กฎการจ าแนก (Law of Discrimination) มีแนวคิดว่าถ้าร่างกายมีการเรียนรู้โดย แสดงอาการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม ร่างกายจะตอบสนองแตกต่างไป จากสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้น เช่น ถ้าสุนัขมีอาการน้ าลายไหลจากการสั่นกระดิ่งแล้ว เมื่อได้ยินเสียงที่ เกิดจากการเคาะหรือตีกระทบกัน สุนัขจะรู้ถึงความแตกต่างกันกับเสียงกระดิ่ง ก็จะไม่มีอาการ น้ าลายไหล การน าหลักการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบ Classic ไปใช้ในการเรียนการสอน โดยการน า หลักการเรียนรู้ประยุกต์ใช้ด้วยการสร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้เช่น การให้ผู้เรียนชอบ ภาษาอังกฤษ ชอบไปโรงเรียน ชอบท างานหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ เป็นต้น ดังนี้ ขั้นที่ ๑ วิชาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนไม่ชอบ การเล่นเกมจับคู่ค ากับความหมาย ผู้เรียนชอบ ขั้นที่ ๒ วิชาภาษาอังกฤษคู่กับการเล่นเกมจับคู่ค ากับความหมาย ผู้เรียนชอบ ขั้นที่ ๓ วิชาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนชอบถ้าไม่ได้เล่นเกมในวิชาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนยังชอบ เรียนภาษาอังกฤษอยู่ แสดงว่าการวางเงื่อนไขเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์คือ ผู้เรียนชอบวิชา ภาษาอังกฤษ


๒๙ นอกจากนี้การเรียนรู้ยังน ามาใช้ในการปรับพฤติกรรมได้เช่น ไม่รับผิดชอบการเรียนหรือ หนีเรียน ให้พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์โดยมีหลักการประยุกต์ใช้ดังนี้ ๑. การน าหลักการลดพฤติกรรมหนีเรียนมาใช้ โดยผู้สอนต้องตระหนักเสมอว่าการให้ ผู้เรียนเรียนอย่างเดียว ซ้ าๆ กันบ่อยๆ อาจท าให้เกิดความเบื่อหน่าย จึงควรแทรกสิ่งที่เขาชอบเข้าไป บ้าง เพื่อให้เกิดความอยากเรียน เป็นการป้องกันมิให้เกิดการลบพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้คือ หลังจากการได้รับการเรียนรู้แล้วการให้บทเรียนซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) เพียงอย่างเดียว จะท าให้เกิดความเบื่อหน่ายซ้ าซากต้องแทรกสิ่งที่ผู้เรียนชอบ ๒. การน ากฎความคล้ายคลึงไปใช้ ควรพยายามให้คล้ายกับการเรียนรู้ครั้งแรกมาอธิบาย เปรียบเทียบให้ฟังเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เช่น การอธิบาย ความคิดรวบยอด ของผู้เรียนแต่ละคนให้มี ความสัมพันธ์กับสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ๓. การน ากฎการจ าแนกมาใช้ โดยการสอนให้นักเรียนเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ เรียนรู้ครั้งแรกให้เข้าใจอย่างชัดเจน แล้วจึงอธิบายความแตกต่างของสิ่งเร้าอื่นว่า แตกต่างจากสิ่งเร้า แรกอย่างไร ซึ่งเป็นการสอนเรื่องความคิดรวบยอดนั่นเอง ๒. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบ Operant (Operant Conditioning Theory of Learning) ทฤษฎีนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Skinner ในปีค.ศ. ๑๙๕๐ สหรัฐอเมริกาเกิด วิกฤตการณ์การขาดแคลนครูที่มีประสิทธิภาพ เขาจึงได้คิดเครื่องมือช่วยสอนขึ้นมาเพื่อปรับปรุงให้ ระบบการศึกษามีประสิทธิภาพ เครื่องมือที่คิดขึ้นมานั้น เรียกว่า บทเรียนส าเร็จรูป หรือการสอนแบบ โปรแกรม (Program Instruction or Program Learning) และเครื่องมือช่วยในการสอน (Teaching Machine) ซึ่งนิยมใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ส าหรับหลักการเรียนรู้ของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ การกระท าของ Skinner มีแนวความคิดพื้นฐานว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดพฤติกรรม และผลของการกระท าของพฤติกรรมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมนั้น ทฤษฎีนี้เน้นที่การลงมือกระท าของผู้เรียนมากว่าสิ่งเร้าที่ผู้สอนก าหนดขึ้น เขาได้ท าการ ทดลองเป็นล าดับขึ้น เริ่มจากการเตรียมการทดลองโดยน าหนูมาท าให้หิวมากๆ เพื่อเป็นการสร้างแรง ขับ (Drive) ให้เกิดขึ้นจะเป็นแนวทางผลักดันให้แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ต่อมาเป็น ขั้นทดลอง น าหนูที่หิวมากๆ นั้นปล่อยในกล่อง เรียกว่า Skinner’s box หนูวิ่งพล่านในกล่องแสดง อาการวิ่งไปรอบๆ กล่อง กัดแทะกล่อง และไปแทะบนคานที่มีอาหารซ่อนไว้ หนูก็ได้อาหารกิน และ Skinner สังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่หนูหิวจะใช้เท้าหน้ากดลงไปบนคานเสมอ และขั้นสุดท้ายคือขั้น ทดสอบการเรียนรู้ Skinner จะจับหนูเข้าไปในกล่องอีก หนูจะวิ่งที่ที่คานและกดทันทีแสดงว่าหนูเกิด การเรียนรู้แล้วว่า ถ้ากดคานจะได้กินอาหาร ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นรางวัลท าให้เกิดความพึงพอใจ๔๐ ๔๐ kinner, B.G., Science and Human Behavior, (New York : Macmillan, 1953), p. 325.


๓๐ Skinner จึงได้สรุปเป็นกฎแห่งการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้ที่ดีจะต้องมีการแสริมแรงมี ๒ ปัจจัย ดังนี้ ๒.๑ ตารางก าหนดการเสริมแรง (Schedule of Reinforcement) เป็นการใช้กฎเกณฑ์ที่ เกี่ยวกับเวลาแสดงพฤติกรรมเป็นตัวก าหนดในการเสริมแรง ๒.๒ อัตราการตอบสนอง (Response Rate) เป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเสริมแรง ที่เกิดขึ้นมากหรือน้อยและนาน คงทนถาวรเพียงใด ซึ่งขึ้นอยู่กับตารางก าหนดการเสริมแรงนั้นๆ ที่อาจท าให้มีอัตราการตอบสนองมากหรือน้อย ส าหรับการเสริมแรงมี ๒ ลักษณะ ได้แก่ ๒.๒.๑ การเสริมแรงทันทีหรือการเสริมแรงแบบต่อเนื่อง (Immediately or Continuous Reinforcement) หมายถึง การเสริมแรงทุกครั้ง เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ เป็นการเสริมแรงที่ให้อย่างสม่ าเสมอ เช่น การชมว่าเก่ง ดีมาก หรือให้คะแนน เป็นต้น ๒ .๒ .๒ ก ารเส ริม แ รงเป็ น ค รั้งค ร าว (Partially Reinforcement) ห ม าย ถึง การเสริมแรงที่ไม่สม่ าเสมอ เป็นลักษณะของการเสริมแรงในครั้งที่แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่พึง ประสงค์ออกมา ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้สอน แบ่งออกเป็น ๔ วิธี ดังนี้ ๒.๒.๒.๑ การเสริมแรงโดยใช้เวลาก าหนดแบบแน่นอน (Fixed Interval) เป็นวิธีที่ใช้เวลาที่คงที่ซึ่งก าหนดเป็นมาตรฐานว่าจะให้ทุกๆ ๓ นาที หรือ ๕ นาที เป็นต้น ๒.๒.๒.๒ การเสริมแรงโดยใช้พฤติกรรมก าหนดแบบแน่นอน (Fixed Ratio) เป็นวิธีที่ใช้พฤติกรรมการตอบสนองที่คงที่ เป็นเกณฑ์ว่าจะให้การตอบสนองเกิดขึ้นกี่ครั้ง จึงจะให้การ เสริมแรงหนึ่งครั้ง เช่น จ าแนกเป็น ๓ ครั้ง หรือ ๕ ครั้ง จะได้ดาวทอง ๑ ดวง เป็นต้น ๒.๒.๒.๓ การเสริมแรงโดยใช้ช่วงเวลาเป็นเกณฑ์ (Variable Interval) เป็นวิธี ที่ใช้ช่วงเวลาก าหนดในการให้การเสริมแรงแต่ละครั้ง เช่น ถ้านักเรียนพูดแสดงความคิดเห็นภายใน ช่วงเวลา ๒ - ๕ นาที จะได้ดาวทอง ๑ ดวง โดยไม่ได้ก าหนดเวลาแน่นอนลงไป ๒.๒.๒.๔ การเสริมแรงโดยใช้ช่วงของพฤติกรรมเป็นเกณฑ์ (Variable Ratio) เป็นวิธีที่ใช้ช่วงของพฤติกรรมก าหนดเป็นเกณฑ์ในการเสริมแรงแต่ละครั้ง เช่น ถ้านักเรียนหาค าตอบ ได้ในช่วง ๓ หรือ ๕ นาที จะได้ดาวทอง ๑ ดวง วิธีนี้ตามการทดลองของ Skinner พบว่า เป็น พฤติกรรมการเรียนรู้นานที่สุด ส่วนการเสริมแรงบางครั้งแบบเป็นช่วง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหรือช่วง พฤติกรรมจะท าให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้สูงสุด การทดลองของ Skinner โดยการเสริมแรง สรุปว่า ระยะแรกของการฝึกนั้นต้องให้ รางวัลทุกครั้ง การเรียนรู้จะเกิดเร็วขึ้นและด าเนินไปอย่างได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่เมื่อเกิดการเรียนรู้ แล้วควรจะเว้นการเสริมแรงต่อเนื่อง หันมาใช้การเสริมครั้งคราวแบบเป็นระยะ เพื่อเป็นการช่วยให้ ผู้เรียนสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงของเหตุการณ์ในชีวิตจริง ที่การตอบสนองของ บุคคลไม่จ าเป็นต้องได้รับการเสริมแรงทุกครั้ง การน าหลักการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระท า ไปใช้ในการเรียนการสอน ดังต่อไปนี้


๓๑ ๑. การใช้กฎการเรียนรู้ ประกอบด้วย ๒ กฎ คือ ๑.๑ กฎที่ ๑ กฎการเสริมแรงทันที มักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่าง รวดเร็ว เช่น ทุกครั้งที่ผู้เรียนตอบค าถามถูก ครูต้องรีบเสริมแรงทันทีอาจเป็นค าชมเชย หรือให้รูป ดาวสีทอง เป็นต้น เป็นการเสริมแรงที่เหมาะกับเด็กเล็กระดับชั้นอนุบาล หรือประถมศึกษา ๑.๒ กฎที่ ๒ กฎการเสริมแรงเป็นครั้งคราว มักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้นานๆ และต่อเนื่องขึ้นอยู่กับระดับชั้นของผู้เรียน และโอกาสที่จะใช้ซึ่งเหมาะกับเด็กระดับชั้น สูงขึ้น ๒ . บทเรียนส าเร็จรูป (Programmed learning) บทเรียนส าเร็จรูปเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๕๔ โดย Skinner ที่มีแนวคิดจากทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระท า ที่เขาได้สังเกตเห็นว่า การเรียนในห้องเรียนนั้นผู้เรียนแต่ละคนได้รับการเสริมแรงน้อย และยังเป็นเวลานานเกินไปกว่าจะ ได้รับการเสริมแรงนั้น หลังจากได้แสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องแล้วจนขาดประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหา ดังกล่าว Skinner จึงเสนอบทเรียนส าเร็จรูปโดยมีจุดประสงค์ว่าผู้เรียนจะได้รับการเสริมแรงทันทีที่ แสดงพฤติกรรมที่ถูกต้อง นอกจากนี้บทเรียนส าเร็จรูปยังเป็นบทเรียนที่สามารถน าไปเรียนด้วยตนเอง โดยไม่มีครูก็ได้ บทเรียนจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยและข้อย่อยๆ ๒ ลักษณะ คือ ๒.๑ บทเรียนที่มีเนื้อหาเป็นล าดับตามเส้นตรง (Linear Programming) ในลักษณะ ล าดับเนื้อหาของบทเรียนจากง่ายไปหายาก เริ่มจากหน่วยแรกไปเรื่อยๆ ตามล าดับ โดยถือว่าการ เรียนขั้นแรกเป็นพื้นฐานของขั้นต่อไป และมีค าถามในลักษณะเติมค าลงในช่องว่างให้ผู้เรียนตอบ มีค าเฉลยไว้โดยผู้เรียนจะปิดค าเฉลยไว้ก่อน เมื่อตอบแล้วจึงเปิดดู เหมาะส าหรับวิชาที่มีเนื้อหา เรียงล าดับง่ายไปหายากเช่น การบวกเลข การอ่าน - เขียนภาษา ๒.๒ บทเรียนที่มีเนื้อหาเป็นตอน (Branching Programming) เป็นบทเรียนที่ ผู้เรียนมีโอกาสได้รับค าอธิบายเพิ่มเติมในกรณีที่ตอบค าถามไม่ถูก ส่วนวิธีเรียนก็เรียงเนื้อหาจากง่ายไป ยากแต่ลักษณะค าถามจะเป็นแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) เมื่อผู้เรียนตอบค าถามหมดแล้วจึง ไปเปิดดูค าเฉลยได้ มีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบทเรียนส าเร็จรูปกับการสอนของครู ตามปกติในชั้นเรียน ผลการศึกษา พบว่า ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเกือบไม่แตกต่างกัน เนื่องจากบทเรียนส าเร็จรูปมีประโยชน์ในบางวิชาเท่านั้น เพราะการใช้บทเรียนส าเร็จรูปนั้น ท าให้ ผู้เรียนไม่มีความสัมพันธ์กับครูและเพื่อนๆ จะเหมาะส าหรับผู้เรียนที่มีเวลาเรียนน้อยและไม่มีเวลา เรียนในชั้นเรียนจึงต้องการเรียนซ่อมเสริม ๓. การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification) เป็นการปรับแต่งพฤติกรรมให้เป็นไป ในทิศทางที่ต้องการมี ๓ ลักษณะ คือ ๓.๑ การเพิ่มพฤติกรรมหรือคงพฤติกรรมเดิมที่พึงประสงค์ไว้ โดยมีเทคนิคในการใช้ เพิ่มพฤติกรรมหลายอย่างคือ การเสริมแรงบวกเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงพอใจ การท าสัญญาเงื่อนไข หรือการเสริมแรงลบ เป็นต้น ๓.๒ การเสริมสร้างพฤติกรรมใหม่ เป็นการปลูกฝังพฤติกรรมใหม่ (Shaping Behavior) โดยใช้วิธีการเสริมแรงพฤติกรรมที่คาดว่าจะน าไปสู่พฤติกรรมที่ต้องการ อาจใช้วิธี การเลียนแบบ (Modeling) หรือการใช้การเสริมแรงบวก เช่น การต้องการเปลี่ยนเด็กขี้อายให้เป็น


๓๒ เด็กกล้าแสดงออก ก็ต้องใช้การชมเชย เมื่อเขากล้าพูดเริ่มจากในพูดในกลุ่มและออกมาพูดหน้าชั้น เรียน โดยได้รับการเสริมแรงตลอดตามล าดับ ๓.๓ การลดพฤติกรรม เป็นการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อาจใช้วิธีการลงโทษ ในทางลบ เช่น การสูบบุหรี่ การท าผิดวินัย การไม่มีความรับผิดชอบ เป็นต้น ๔. ใช้สอนวิธีการพูด หรือที่เรียกว่าพฤติกรรมทางวาจา (Verbal Behavior) Skinner ได้สร้างเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมาในปี ค.ศ. ๑๙๓๖ เพื่อใช้ฟังเสียงการอ่าน การพูด นับว่าเป็นประโยชน์ มากในวงการเรียนการสอนด้านภาษา เขากล่าวว่าภาษาพูดเกิดขึ้นจากการเรียนรู้เมื่อได้รับการ เสริมแรง ซึ่งมีหลักการจากแนวคิดเรื่องพฤติกรรมทางวาจา ดังนี้ ๔.๑ มนุษย์เปล่งเสียงร้องหรือพูด เพราะมีความต้องการภายในเป็นแรงขับ เช่น ความหิวท าให้เด็กที่ยังพูดไม่ได้ร้องไห้เพื่อได้รับอาหาร และในเวลาต่อมา เมื่อได้รับอาหารจะได้ยิน เสียงหม่ าๆ เด็กจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากการร้องไห้มาเป็นการออกเสียงหม่ าๆ ก็จะได้รับอาหารทุก ครั้งที่ออกเสียงหม่ าๆ แสดงว่าเกิดการเรียนรู้ภาษาพูดแล้ว ๔.๒ มนุษย์พูด เพราะมีการเลียนแบบจากการได้ยินเสียงพูดของผู้อื่น จากข้อ ๔.๑ แสดงให้เห็นถึงการเลียนเสียงหม่ าๆ ของเด็กจากการได้ยินก่อนที่จะได้รับอาหาร เด็กจึงออกเสียง ตามที่ได้ยินและได้รับอาหาร จึงยึดวิธีการเลียนแบบตามที่ได้ยินจนสามารถพูดภาษาได้ ๔.๓ มนุษย์พูดเพราะได้รับการเสริมแรงที่พอใจจึงอยากพูดอีก ในปัจจุบันการฝึกหัด ให้เด็กพูดหรือการสอนพูด โดยใช้การเสริมแรงเป็นวิธีการที่น าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระท า ของ Skinner มาใช้ เช่นข้อ ๔.๑ เด็กออกเสียงหม่ าๆ ได้รับอาหารการได้รับอาหารเป็นการได้รับการ เสริมแรงท าให้เกิดการกระท าเช่นนั้นตลอดมา จึงพบว่า หากเด็กมีปัญหาเรื่องหูไม่ได้ยินเสียงใดๆ จึงกลายเป็นใบ้คือพูดไม่ได้เพราะไม่สามารถออกเสียงเลียนแบบได้นั่นเอง ๓. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขต่อเนื่องของ Guthrie (Guthrie’s Continuous Conditioning Theory) Guthrie ได้แนวคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้ของ Watson เกี่ยวกับการวาง เงื่อนไขแบบ Classic หรือจากปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) เขากล่าวว่าเป็นการเรียนรู้แบบต่อเนื่องโดย ไม่ต้องกระท าซ้ าๆ บ่อยๆ ในลักษณะของพฤติกรรมที่มีสิ่งเร้าควบคุม และการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า กับการตอบสนองจะเปลี่ยนไปตามกฎเกณฑ์ พฤติกรรมหลายอย่างมีจุดหมายและพฤติกรรมใดที่ ท าซ้ าๆ เกิดจากกลุ่มสิ่งเร้าเดิมท าให้เกิดพฤติกรรมเช่นนั้น๔๑ และได้สรุปกฎการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ ๓.๑ เมื่อมีสิ่งเร้าเกิดขึ้นพร้อมกับมีการตอบสนอง และเมื่อสิ่งเร้าในลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นอีกก็จะมีแนวโน้มการตอบสนองในแนวเดิม เช่น นักเรียนที่เคยนอนหัวค่ าและตื่นแต่เช้าเพื่อท า การบ้านอ่านหนังสือ ก็จะกระท าเช่นนี้ในเวลาเดิม ๓.๒ หลักการกระท าครั้งสุดท้าย ถ้าการเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์จากกระท าเพียง ครั้งเดียวซึ่งเป็นการกระท าครั้งสุดท้ายในสภาพการณ์ใหม่เกิดขึ้นอีก นักเรียนก็จะกระท าเหมือนที่เคย ท าครั้งสุดท้าย ๔๑ Guthrie, E.R., The Psychology of Learning, (New York : Harper and Row, 1935), p. 53.


๓๓ ๓.๓ หลักการแทนที่ ถ้าสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขมาเร้าให้เกิดการตอบสนองได้แม้ เพียงครั้งเดียว ต่อมาถ้าใช้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขมาแทนสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข ก็จะเกิดการตอบสนอง เช่นเดียวกัน ๓.๔ การท าให้เกิดการเรียนรู้นั้น การจูงใจส าคัญมากกว่าการเสริมแรงซึ่งมีแนวคิด เช่นเดียวกับการวางเงื่อนไขแบบ Classic ของ Pavlov และ Watsan การน าแนวคิดจากทฤษฎีการ เรียนรู้ของ Guthrie ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ สามารถด าเนินการได้ดังต่อไปนี้ ๓.๔.๑ การเรียนรู้เกิดการกระท าหรือการตอบสนองเพียงครั้งเดียวไม่ต้องมีการ กระท าหลายๆ ครั้ง หลักการนี้ใช้ได้กับผู้เรียนที่มีประสบการณ์เดิมมาก่อน เพราะการเรียนรู้เกิดจาก ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนองของผู้เรียนที่เกิดจากการกระท าเพียงครั้งเดียว เมื่อใด ก็ตามที่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หมายถึงผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ปรากฏ ในขณะนั้นได้ทันที และเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างสมบูรณ์โดยไม่จ าเป็นต้องฝึก และสิ่งเร้าที่ท า ให้เกิดอาการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขอย่างแท้จริง ๓.๔.๒ ถ้าต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ควรใช้วิธีการจูงใจเพื่อท าให้เกิด พฤติกรรม มากกว่าใช้วิธีการเสริมแรง เพราะพฤติกรรมแสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริงและ ถาวร ๓.๔.๓ แนวความคิดของ Guthrie คล้ายคลึงกับแนวความคิดในการเรียนรู้ อย่างมีเงื่อนไขจากทฤษฎีอื่นที่สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนเช่นกัน ๓.๔.๔ การลงโทษมีผลต่อการเรียนรู้ซึ่งมี ๔ ลักษณะ ดังนี้ ๓.๔.๔.๑ การลงโทษสถานเบาท าให้ผู้ถูกลงโทษมีอาการตื่นเต้นแต่ พฤติกรรมอาจจะยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ๓.๔.๔.๒ การเพิ่มโทษท าให้ผู้ถูกลงโทษเลิกแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึง ประสงค์ ๓.๔.๔.๓ การลงโทษเปรียบเหมือนแรงขับที่กระตุ้นให้ผู้ถูกลงโทษ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าจนกว่าจะหาทางลดความรู้สึกไม่พอใจได้ ดังนั้น การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากการ ได้รับรางวัลมากกว่าการลงโทษ ๓.๔.๔.๔ ถ้ามีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นแล้วลงโทษท าให้มี พฤติกรรมอื่นตามมาในภายหลัง พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั้น อาจเป็นพฤติกรรมอื่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่นกัน จึงควรให้พฤติกรรมที่พึงประสงค์แทนที่พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ไปในเวลาเดียวกัน เช่น เมื่อต้องการให้เข้าเรียนทันเวลา ควรเรียกชื่อตอนเริ่มเวลาเรียนและให้เรียนเป็นกลุ่มๆ โดยมีคะแนน กลุ่ม ใครที่มาไม่ทันเรียกชื่อจะไม่มีกลุ่มและไม่ได้คะแนนกลุ่ม เป็นต้น ๔ . ท ฤษ ฎี สัมพั น ธ์เชื่ อมโย งข อ ง Thorndike (Thorndike’s Connection Theory) Thorndike ได้กล่าวว่าการเรียนรู้คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองและได้รับความพึงพอใจ จะท าให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นได้ ซึ่งเขาท าการทดลอง พบว่า การเรียนรู้ของอินทรีย์ที่ด้อยความสามารถเกิดจากการลองผิดลองถูก


Click to View FlipBook Version