๑๓๐ N R I O C . . เมื่อ I.O.C. คือ ดัชนีความสอดคล้อง (Index Of Consistency) R คือ ผลรวมของการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จ านวนผู้เชี่ยวชาญ ตาราง ๔.๓ แสดงค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค เป็น Reliability Statistics Reliability Statistics Cronbach’s Alpha N of Items .763 36 ตารางที่ ๔.๔ แสดงค่า Item -Total Statistic Item -Total Statistic Scale Mean if Item Deleted Scale Variance if Item Deleted Corrected Item-Total Correlation Cronbach’s Alpha if Item Deleted A1 117.00 91.310 -.128 .779 A2 117.30 84.976 .248 .758 A3 117.27 83.099 .329 .753 A4 117.47 88.878 .007 .771 A5 117.07 83.651 .300 .755 A6 117.17 88.075 .073 .766 b1 117.23 80.875 .482 .745 b2 117.47 85.637 .206 .760 b3 117.20 89.338 -.028 .774 b4 117.07 88.133 .091 .764 b5 117.30 85.390 .400 .753 b6 117.07 85.030 .263 .757 C1 117.50 87.638 .096 .765 C2 117.47 88.809 .020 .769 C3 117.10 83.472 .363 .752 C4 117.30 84.976 .303 .755 C5 117.30 80.769 .491 .744 C6 117.50 85.155 .349 .754 D1 117.40 84.731 .393 .752 D2 117.50 82.534 .457 .748 D3 117.63 87.275 .135 .763 D4 117.37 79.826 .656 .738 D5 117.23 83.357 .447 .749 D6 117.33 89.264 .028 .765 E1 117.47 83.568 .517 .748 E2 117.63 83.551 .561 .747
๑๓๑ Item -Total Statistic Scale Mean if Item Deleted Scale Variance if Item Deleted Corrected Item-Total Correlation Cronbach’s Alpha if Item Deleted E3 117.50 88.259 .082 .764 E4 117.43 86.254 .244 .758 E5 117.53 85.637 .318 .755 E6 117.50 85.224 .343 .754 F1 117.07 89.926 .048 .772 F2 117.47 85.568 .280 .756 F3 117.33 86.161 .189 .761 F4 117.57 83.564 .376 .752 F5 117.63 86.378 .235 .758 F6 117.13 82.602 .419 .749 จากข้อมูลดังกล่าว ผู้วิจัยจะได้น าไปพัฒนาเป็นชุดกิจกรรมการให้ความรู้ และการ ฝึกอบรมนักเรียนมัธยมศึกษาเกี่ยวกับการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๔.๓.๒ ผลจากการศึกษาสภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง มหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาจากกระบวนการสนทนากลุ่มแบ่งออกเป็น ๖ กลุ่ม โดยใช้เนื้อหาสภาพปัญหาและ ความต้องการพัฒนาพฤติกรรม มีผู้วิจัยเป็นผู้อ านวยการ และผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้จดบันทึกการสนทนา กลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ คณะครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชนและเจ้าหน้าที่ต ารวจใน ชุมชนต่างๆ ในเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จ านวน ๖๐ คน โดยใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมของการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ อยู่ในระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ ๒.๙๓ และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ ๐.๙๙ เมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่า สภาพการเรียนรู้ด้านจิตตานุปัสสนา คือ การรู้เท่าทันจิตใจมีค่ามากที่สุดคือ มีค่าเฉลี่ย ( X = ๓.๑๕) รองลงมาด้านสภาพการเรียนรู้ด้านกายานุปัสสนา คือการรู้เท่าทันกาย มีค่าในระดับปาน กลาง คือ มีค่าเฉลี่ย ( X = ๓.๑๒) สภาพการเรียนรู้ด้านธัมมานุปัสสนา คือ การรู้เท่าทันธรรม มีค่าใน ระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ย ( X = ๒.๘๓) สภาพการเรียนรู้ด้านเวทนานุปัสสนา คือ การรู้เท่าทัน เวทนา มีค่าในระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ย ( X = ๒.๘๓) ตามล าดับ ดังตารางที่ ๔.๕
๑๓๒ ตารางที่ ๔.๕ แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของผู้ตอบแบบ ส ารวจสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียน อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ข้อ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ นักเรียนระดับ มัธยมศึกษ าในโรงเรียน อ าเภ อเมือง จั งห วัด มหาสารคาม ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๑ สภาพการเรียนรู้ด้านกายานุปัสสนา ๓.๑๒ ๑.๑๑ ปานกลาง ๒ สภาพการเรียนรู้ด้านเวทนานุปัสสนา ๒.๖๑ ๐.๙๗ ปานกลาง ๓ สภาพการเรียนรู้ด้านจิตตานุปัสสนา ๓.๑๕ ๐.๘๗ ปานกลาง ๔ สภาพการเรียนรู้ด้านธัมมานุปัสสนา ๒.๘๓ ๑.๐๒ ปานกลาง รวมทั้งหมด ๒.๙๓ ๐.๙๙ ปานกลาง ๔.๓.๒.๑ ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในภาพรวมด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีความพร้อมอยู่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =๓.1๒) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า (๑) ในขณะที่เดินอยู่นักเรียนกล่าวค าบริกรรมในใจกับ อาการเคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน อยู่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =๓.๓๕) (๒) ในขณะเดินอยู่สายตา ของนักเรียนมองไกลประมาณ ๒ – ๓ เมตร และจิตใจจดจ่ออยู่ที่อาการเคลื่อนไหวของเท้าในขณะที่ ก าลังก้าวอยู่อยู่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =๓.๓๔) (๓) ขณะที่เดินอยู่ นักเรียนเดินช้าๆ จิตใจ จดจ่อมีสติก าหนดรู้ อย่างต่อเนื่อง อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =3.29) (๔) ในขณะที่นั่ง อยู่ นักเรียนนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง คอตรง และมีสติระลึกรู้อาการเคลื่อนไหวของท้องพอง – ยุบ อยู่ ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =๓.25) (๕) ในขณะที่นักเรียนก าลังท างานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นักเรียน มีสติอยู่กับมือที่ก าลังหยิบจับสิ่งนั้น อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =๓.00) ดังตารางที่ ๔.๖ ตารางที่ ๔.๖ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ข้อ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ด้านกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐานของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๑ ในขณ ะเดินอยู่ สายตาของนักเรียนมองไกลป ระมาณ ๒ – ๓ เมตร และจิตใจจดจ่ออยู่ที่อาการเคลื่อนไหวของเท้า ในขณะที่ก าลังก้าว ๓.๓๔ ๑.๓๐ ปานกลาง ๒ ในขณะที่เดินอยู่นักเรียนกล่าวค าบริกรรมในใจกับอาการ เคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน ๓.๓๕ ๑.๐๗ ปานกลาง ๓ ขณะที่เดินอยู่ นักเรียนเดินช้าๆ จิตใจจดจ่อมีสติก าหนดรู้ อย่างต่อเนื่อง ๓.๒๙ ๑.๑๖ ปานกลาง ๔ ในขณะที่นั่งอยู่ นักเรียนนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง คอตรง และ มีสติระลึกรู้อาการเคลื่อนไหวของท้องพอง – ยุบ ๓.๒๕ ๑.๐๕ ปานกลาง
๑๓๓ ข้อ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ด้านกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐานของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๕ ในขณะที่นักเรียนก าลังท างานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นักเรียนมีสติอยู่ กับมือที่ก าลังหยิบจับสิ่งนั้น ๓.๐๐ ๑.๑๗ ปานกลาง รวม ๓.๑๒ ๑.๑๑ ปานกลาง ๔.๓.๒.๒ ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในภาพรวมด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีความพร้อมอยู่ในระดับ ปานกลาง คะแนน เฉลี่ย ( =2.61) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า (๑) เมื่อเกิดความทุกข์ทางกาย เช่น ปวดขา ปวดหัว นักเรียนสามารถท าใจให้เป็นกลางได้อยู่ ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =3.00) (๒) ขณะที่ร่างกายเกิดความเบาสบาย นักเรียนก็สามารถก าหนดรู้เท่าทัน โดยการก าหนดว่า “สบาย หนอๆ” อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =2.69) (๓) ขณะที่นักเรียนมีความสุข นักเรียน ก าหนดรู้ว่ามีความสุข และไม่แสดงออกมากจนเกินไป อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =2.53) (๔) เมื่อนักเรียนเกิดอาการคัน นักเรียนก าหนดรู้ว่า “คันหนอ”ๆ อยู่ในระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย ( = 2.50) (๕) เมื่อนักเรียนเกิดความทุกข์ นักเรียนรู้ทันความทุกข์ และวางใจเป็นกลางได้อยู่ในระดับ น้อย คะแนนเฉลี่ย ( =2.26) ดังตารางที่ ๔.๗ ตารางที่ ๔.๗ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ข้อ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ด้านเวทนานุปัสสนา สติปัฏฐานของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๑ เมื่อนักเรียนเกิดอาการคัน นักเรียนก าหนดรู้ว่า “คันหนอ”ๆ ๒.๕๐ ๑.๒๕ น้อย ๒ เมื่อนักเรียนเกิดความทุกข์ นักเรียนรู้ทันความทุกข์ และ วางใจเป็นกลางได้ ๒.๒๖ ๑.๓๖ น้อย ๓ เมื่อเกิดความทุกข์ทางกาย เช่น ปวดขา ปวดหัว นักเรียน สามารถท าใจให้เป็นกลางได้ ๓.๐๐ ๑.๑๐ ปานกลาง ๔ ขณะที่นักเรียนมีความสุข นักเรียนก าหนดรู้ว่ามีความสุข และไม่แสดงออกมากจนเกินไป ๒.๕๓ ๑.๐๐ ปานกลาง ๕ ขณะที่ร่างกายเกิดความเบาสบาย นักเรียนก็สามารถ ก าหนดรู้เท่าทัน โดยการก าหนดว่า “สบายหนอๆ” ๒.๖๙ ๐.๙๕ น้อย รวม ๒.๖๑ ๐.๙๗ ปานกลาง
๑๓๔ ๔.๓.๒.๓ ด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในภาพรวมด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีความพร้อมอยู่ในระดับปานกลาง คะแนน เฉลี่ย ( =๓.15) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า (๑) ขณะที่จิตใจของนักเรียนเกิดความโลภอยากได้ ของคนอื่น นักเรียนก็สามารถรู้ทัน และหักห้ามจิตใจได้ อยู่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =3.50) (๒) ขณะที่นักเรียนร าคาญ ก็รู้ว่าร าคาญ และไม่แสดงอาการร าคาญออกมา อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =3.๔๔) (๓) ขณะที่นักเรียนหงุดหงิด ก็รู้ว่าหงุดหงิด และไม่แสดงอาการหงุดหงิด ออกมา อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =3.32) (๔) ขณะที่นักเรียนจิตใจฟุ้งซ่าน นักเรียนก็ สามารถรู้เท่าทัน และก าหนดว่า “ฟุ้งซ่านหนอๆ” อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =๓.30) (๕) ขณะที่นักเรียนโกรธ ก็รู้ว่าโกรธและไม่แสดงอาการโกรธออกมา อยู่ในระดับปานกลาง คะแนน เฉลี่ย ( =2.35) ดังตารางที่ ๔.๘ ตารางที่ ๔.๘ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านจิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน ข้อ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ด้านจิตตานุปัสสนา สติปัฏฐานของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๑ ขณะที่นักเรียนจิตใจฟุ้งซ่าน นักเรียนก็สามารถรู้เท่าทัน และก าหนดว่า “ฟุ้งซ่านหนอๆ” ๓.๓๐ ๑.๐๕ ปานกลาง ๒ ขณะที่นักเรียนหงุดหงิด ก็รู้ว่าหงุดหงิด และไม่แสดง อาการหงุดหงิดออกมา ๓.๓๒ ๐.๙๘ ปานกลาง ๓ ขณะที่นักเรียนร าคาญ ก็รู้ว่าร าคาญ และไม่แสดงอาการ ร าคาญออกมา ๓.๔๔ ๑.๑๕ ปานกลาง ๔ ขณะที่นักเรียนโกรธ ก็รู้ว่าโกรธและไม่แสดงอาการโกรธ ออกมา ๒.๓๕ ๐.๘๗ น้อย ๕ ขณะที่จิตใจของนักเรียนเกิดความโลภอยากได้ของคนอื่น นักเรียนก็สามารถรู้ทัน และหักห้ามจิตใจได้ ๓.๕๐ ๐.๘๗ ปานกลาง รวม ๓.๑๕ ๐.๘๗ ปานกลาง ๔.๓.๒.๔ ด้านธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในภาพรวมด้านธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีความพร้อมอยู่ในระดับปานกลาง คะแนน เฉลี่ย ( =2.๘3) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า (๑) เมื่อนักเรียนได้กลิ่น นักเรียนก าหนดรู้ว่า กลิ่น หนอๆ ไม่แสดงอาการรังเกียจเมื่อได้กลิ่นเหม็น และไม่ยินดีเมื่อได้กลิ่นหอม อยู่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =3.40) (๒) เมื่อนักเรียนรับประทานอาหารที่ไม่อร่อย แต่มีประโยชน์นักเรียนก็ รับประทานโดยไม่ติดกับรสชาติอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =3.00) (๓) เมื่อนักเรียนเห็น ของที่สวยงาม นักเรียนคิด แต่เพียงเห็นหนอๆ ไม่แสดงอาการตื่นเต้นจนเกินไป อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =2.80) (๔) เมื่อนักเรียนง่วงนอนในขณะที่ก าลังเรียน นักเรียนก าหนดรู้ว่า ง่วงนอน และหาวิธีท าให้หายง่วง และตั้งใจเรียน อยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =2.57) (๕) ขณะที่
๑๓๕ นักเรียนสัมผัสมือกับเพื่อนเพศตรงข้าม นักเรียนก็ก าหนดรู้ว่าเพียงสัมผัสหนอๆ ไม่รู้สึกอะไร อยู่ใน ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย ( =2.40) ดังตารางที่ ๔.๙ ตารางที่ ๔.๙ คะแนนเฉลี่ยผลการประเมินด้านธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ข้อ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ด้านธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐานของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๑ เมื่อนักเรียนง่วงนอนในขณะที่ก าลังเรียน นักเรียนก าหนด รู้ว่า ง่วงนอน และหาวิธีท าให้หายง่วง และตั้งใจเรียน ๒.๕๗ ๐.๙๘ ปานกลาง ๒ เมื่อนักเรียนเห็นของที่สวยงาม นักเรียนคิดแต่เพียง เห็นหนอๆ ไม่แสดงอาการตื่นเต้นจนเกินไป ๒.๘๐ ๑.๐๗ ปานกลาง ๓ เมื่อนักเรียนได้กลิ่น นักเรียนก าหนดรู้ว่า กลิ่นหนอๆ ไม่ แสดงอาการรังเกียจเมื่อได้กลิ่นเหม็น และไม่ยินดีเมื่อได้ กลิ่นหอม ๓.๔๐ ๑.๐๓ ปานกลาง ๔ เมื่อนักเรียนรับประทานอาหารที่ไม่อร่อย แต่มีประโยชน์ นักเรียนก็รับประทานโดยไม่ติดกับรสชาติ ๓.๐๐ ๑.๐๓ ปานกลาง ๕ ขณะที่นักเรียนสัมผัสมือกับเพื่อนเพศตรงข้าม นักเรียนก็ ก าหนดรู้ว่าเพียงสัมผัสหนอๆ ไม่รู้สึกอะไร ๒.๔๐ ๑.๐๓ น้อย รวม ๒.๘๓ ๑.๐๒ ปานกลาง จากข้อมูลดังกล่าว ผู้วิจัยจะน าไปพัฒนาเป็นชุดกิจกรรมการให้ความรู้ และฝึกอบรมให้กับ นักเรียนมัธยมศึกษา เกี่ยวกับการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๔.๓.๓ ผลจากการสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม การสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผู้วิจัยได้เลือกผู้เชี่ยวชาญ จ านวน ๕ รูป/คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมท้องถิ่น สื่อและสารสนเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านจัด ฝึกอบรมนักเรียน ผู้เชี่ยวชาญด้านรูปแบบ และหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญการวัดและประเมินผล มาสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) และตรวจสอบการสร้างชุดกิจกรรม เพื่อพิจารณาความ เหมาะสมของชุดกิจกรรม และตรวจสอบความตรงของเนื้อหา (Content Validity) แล้วประเมินชุด กิจกรรมการอบรม โดยจัดเวทีวิพากษ์ชุดกิจกรรม ก าหนดกรอบในการสร้างแบบสัมภาษณ์ (Focus Group Discussion) เพื่อน าชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ที่แก้ไข
๑๓๖ แล้วทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จากโรงเรียน มัธยมศึกษา โดยคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน ๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน จึงได้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ภาคปริยัติดังตารางที่ ๔.๑๐ ตารางที่ ๔.๑๐ ตารางอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ภาคปริยัติ หัวข้อการเรียนรู้: หน่วยภาคปริยัติ ชั่วโมง หน่วยที่ ๑ สมาทานพระกัมมัฏฐาน - สมาทานศีล - ขอขมาพระรัตนตรัย - ขอขมากัมมัฏฐาน - ชี้แจงระเบียบ กติกา และมารยาทการเข้าปฏิบัติกรรมฐาน ๑ หน่วยที่ ๒ ประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนา - ความหมาย “สมาธิ, ภาวนา, กัมมัฏฐาน” ตามแนวพระพุทธศาสนา - สมถะ วิปัสสนา และความสัมพันธ์ของศีล สมาธิ ปัญญา - การเสริมสร้างสุขภาพกาย - การพัฒนาจิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง - ความจ าดีกับการเจริญวิปัสสนา - การปฏิบัติงานกับการปฏิบัติธรรมที่มีประสิทธิภาพ - การท าให้เกิดปัญญาในทางริเริ่มสร้างสรรค์ - การมองสิ่งทั้งหลายตรงตามความเป็นจริง - การได้รับความสุขและความสงบที่ไม่เคยมี ๑ หน่วยที่ ๓ การบริหารกายและการบริหารจิต - ชีวิตและองค์ประกอบของชีวิต (ขันธ์ อายตนะ ธาตุ) - โรคทางกายและโรคทางจิต - สาเหตุและวิธีป้องกัน (สัปปายะ กฎไตรลักษณ์อริยสัจ) - ความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต - เครื่องขวางกั้นการปฏิบัติธรรม (สักกายทิฏฐิ/นิวรณ์/ปลิโพธ) - ลักษณะของจิตที่ฝึกได้แล้ว - ขั้นตอนการเตรียมการลงสู่ภาคปฏิบัติ - อานิสงส์การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ๑ หน่วยที่ ๔ วิธีปฏิบัติตามหลักกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ หน่วยที่ ๕ วิธีปฏิบัติตามหลักเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ หน่วยที่ ๖ วิธีปฏิบัติตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑
๑๓๗ หัวข้อการเรียนรู้: หน่วยภาคปริยัติ ชั่วโมง หน่วยที่ ๗ วิธีปฏิบัติตามหลักธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ หน่วยที่ ๘ วิธีการเดินจงกรม ๖ ระยะ การเดินจงกรมระยะที่ ๑ การเดินจงกรมระยะที่ ๒ การเดินจงกรมระยะที่ ๓ การเดินจงกรมระยะที่ ๔ การเดินจงกรมระยะที่ ๕ การเดินจงกรมระยะที่ ๖ ๑ ตารางที่ ๔.๑๑ ตารางอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ภาคปฏิบัติ หัวข้อการเรียนรู้ : หน่วยภาคปฏิบัติ ชั่วโมง หน่วยที่ ๑ การรับพระกัมมัฏฐาน - ท าวัตรเช้า สวดมนต์เจริญสมาธิ - พิธีมอบกายถวายอัตภาพก่อนรับกัมมัฏฐาน - แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล - ท าวัตรเย็น สวดมนต์เจริญสมาธิ - แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล ๒ หน่วยที่ ๒ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๑ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๑ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึ ก ก าห น ด ต้ น จิ ต (ก า ร อ ย า ก ผ ลั ด เป ลี่ ย น อิ ริ ย าบ ถ ต่ างๆ โด ย ฝึ ก ให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อนทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม ๓ หน่วยที่ ๓ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๒ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๒ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึ ก ก าห น ด ต้ น จิ ต (ก า ร อ ย า ก ผ ลั ด เป ลี่ ย น อิ ริ ย าบ ถ ต่ างๆ โด ย ฝึ ก ให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อนทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) ๓
๑๓๘ หัวข้อการเรียนรู้ : หน่วยภาคปฏิบัติ ชั่วโมง - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม หน่วยที่ ๔ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๓ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๓ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึ ก ก าห น ด ต้ น จิ ต (ก า ร อ ย า ก ผ ลั ด เป ลี่ ย น อิ ริ ย าบ ถ ต่ างๆ โด ย ฝึ ก ให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อนทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม ๓ หน่วยที่ ๕ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๔ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๔ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึ ก ก าห น ด ต้ น จิ ต (ก า ร อ ย า ก ผ ลั ด เป ลี่ย น อิ ริ ย าบ ถ ต่ างๆ โด ย ฝึ ก ให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อนทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม ๓ หน่วยที่ ๖ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๕ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๕ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึ ก ก าห น ด ต้ น จิ ต (ก า ร อ ย า ก ผ ลั ด เป ลี่ ย น อิ ริ ย าบ ถ ต่ างๆ โด ย ฝึ ก ให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อนทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม ๓
๑๓๙ หัวข้อการเรียนรู้ : หน่วยภาคปฏิบัติ ชั่วโมง หน่วยที่ ๗ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๖ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๖ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึ ก ก าห น ด ต้ น จิ ต (ก า ร อ ย า ก ผ ลั ด เป ลี่ ย น อิ ริ ย าบ ถ ต่ างๆ โด ย ฝึ ก ให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อนทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม ๓ ๔.๓.๓.๑ ผลจากการสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ภาคปริยัติ ภายหลังจากการที่ผู้วิจัยได้สร้างชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๕ รูป/คน มาสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) และตรวจสอบการสร้างชุดกิจกรรม ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา (Content Validity) แล้ว ประเมินชุดกิจกรรมการอบรม โดยจัดเวทีวิพากษ์ชุดกิจกรรม ก าหนดกรอบในการสร้างแบบสัมภาษณ์ (Focus Group Discussion) เพื่ อ น า ชุ ด กิ จ ก ร ร ม อ บ ร ม ก า รป รับ ใช้ ห ลั กส ติ ปั ฏ ฐ าน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ที่แก้ไขแล้วทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ จากโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน ๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน จึงได้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และแนวทางการวัดผลและประเมินผลที่ได้จากการ สนทนากลุ่ม ภาคปริยัติดังตารางที่ ๔.๑๒ ตารางที่ ๔.๑๒ วัตถุประสงค์และแนวทางการวัดผลและประเมินผลที่ได้จากการสนทนา กลุ่ม ภาคปริยัติ ขอบข่ายเนื้อหา : ภาคปริยัติ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ แน วท า งก า รวัด และประเมินผล หน่วยที่ ๑ สมาทานพระกัมมัฏฐาน - สมาทานศีล - ขอขมาพระรัตนตรัย - ขอขมากัมมัฏฐาน - เข้ า ใ จ ค ว า ม เป็ น ม า แ ล ะ ความส าคัญของการสมาทานพระ กัมมัฏฐาน - อธิบายแนวทางการการเข้าสู่ การสังเกต พฤติกรรมกลุ่ม/ รายบุคคล
๑๔๐ ขอบข่ายเนื้อหา : ภาคปริยัติ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ แน วท า งก า รวัด และประเมินผล - ชี้แจงระเบียบ กติกา และ มารยาทการเข้าปฏิบัติกรรมฐาน การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานได้ หน่วยที่ ๒ ประโยชน์ของการเจริญ วิปัสสนา - ความหมาย “สมาธิ, ภาวนา, กัมมัฏฐาน” ตามแนว พระพุทธศาสนา - ส ม ถ ะ วิ ปั ส ส น า แ ล ะ ความสัมพันธ์ของศีล สมาธิ ปัญญา - การเสริมสร้างสุขภาพกาย - การพัฒนาจิตเป็นอิสระอย่าง แท้จริง - ความจ าดีกับการเจริญวิปัสสนา - การปฏิบัติงานกับการปฏิบัติ ธรรมที่มีประสิทธิภาพ - การท าให้เกิดปัญญาในทางริเริ่ม สร้างสรรค์ - การมองสิ่งทั้งหลายตรงตาม ความเป็นจริง - การได้รับความสุขและความ สงบที่ไม่เคยมี - เข้ าใจค ว ามส าคัญ ของก า ร ปฏิบัติกัมมัฏฐาน - อธิบายประโยชน์ของการเจริญ สติปัฏฐาน - อธิบายประโยชน์ของการน า ห ลั กส ติปั ฏ ฐ าน ม าใช้ใน ก า ร พัฒนาคุณภาพชีวิตได้ การสัมภาษณ์ การทดสอบ หน่วยที่ ๓ การบริหารกายและการ บริหารจิต - ชีวิตและองค์ประกอบของชีวิต (ขันธ์ อายตนะ ธาตุ) - โรคทางกายและโรคทางจิต - สาเหตุและวิธีป้องกัน (สัปปายะ กฎไตรลักษณ์อริยสัจ) - ความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต - เครื่องขวางกั้นการปฏิบัติธรรม (สักกายทิฏฐิ/นิวรณ์/ปลิโพธ) - ลักษณะของจิตที่ฝึกได้แล้ว - ขั้นตอนการเตรียมการลงสู่ ภาคปฏิบัติ - เข้ า ใ จ ค ว า ม เป็ น ม า แ ล ะ ความส าคัญของการบริหารกาย และการบริหารจิต - อธิบายความจ าเป็นในการน า ห ลั กส ติปั ฏ ฐ าน ม าใช้ใน ก า ร บริหารกายและบริหารจิตได้ - บอกอานิสงส์การปฏิบัติตาม หลักสติปัฏฐาน ๔ ได้ การสัมภาษณ์ การทดสอบ
๑๔๑ ขอบข่ายเนื้อหา : ภาคปริยัติ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ แน วท า งก า รวัด และประเมินผล - อานิสงส์การปฏิบัติตามหลักสติ ปัฏฐาน ๔ หน่วยที่ ๔ วิธีปฏิบัติตามหลักกายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน - อธิบายแนวปฏิบัติตาม หลักกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ - สามารถปฏิบัติตามหลัก กายานุปัสสน าสติปัฏ ฐานได้ - ส าม า รถ แน ะน าแ ล ะ น าพาผู้อื่นปฏิบัติได้ตาม หลักกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ การสัมภาษณ์ การทดสอบ หน่วยที่ ๕ วิธีปฏิบัติตามหลัก เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - อธิบายแนวปฏิบัติตาม หลักเวทนานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ - สามารถปฏิบัติตามหลัก เวทนานุปัสสนาสติปัฏ ฐานได้ - ส าม า รถ แน ะน าแ ล ะ น าพาผู้อื่นปฏิบัติได้ตาม หลักเวทนานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ การสัมภาษณ์ การทดสอบ หน่วยที่ ๖ วิธีปฏิบัติตามหลักจิตตา นุปัสสนาสติปัฏฐาน - อธิบายแนวปฏิบัติตาม หลักจิตตานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ - สามารถปฏิบัติตามหลัก จิตตานุปัสสน าสติปัฏ ฐานได้ - ส าม า รถ แน ะน าแ ล ะ น าพาผู้อื่นปฏิบัติได้ตาม หลักจิตตานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ การสัมภาษณ์ การทดสอบ
๑๔๒ ขอบข่ายเนื้อหา : ภาคปริยัติ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ แน วท า งก า รวัด และประเมินผล หน่วยที่ ๗ วิธีปฏิบัติตามหลักธัมมา นุปัสสนาสติปัฏฐาน - อธิบายแนวปฏิบัติตาม หลักธัมมานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ - ส า ม า ร ถ ป ฏิ บั ติ ต า ม หลักธัมมานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ - ส าม ารถ แน ะน าแ ล ะ น าพาผู้อื่นปฏิบัติได้ตาม หลักธัมมานุปัสสนาสติ ปัฏฐานได้ การสัมภาษณ์ การทดสอบ หน่วยที่ ๘ วิธีการเดินจงกรมทั้ง ๖ ระยะ การเดินจงกรมระยะที่ ๑ การเดินจงกรมระยะที่ ๒ การเดินจงกรมระยะที่ ๓ การเดินจงกรมระยะที่ ๔ การเดินจงกรมระยะที่ ๕ การเดินจงกรมระยะที่ ๖ - อ ธิบ ายห ลั ก ก า รเดิ น จงกรมทั้ง ๖ ระยะได้ - สามารถเดินจงกรมทั้ง ๖ ระยะได้อย่างถูกต้อง - ส าม า รถ แน ะน าแ ล ะ น าพาผู้อื่นเดินจงกรมได้ ทั้ง ๖ ระยะ การสัมภาษณ์ การทดสอบ ผู้เชี่ยวชาญมีข้อเสนอแนะว่า ควรศึกษาผลงานวิจัยด้านการปฏิบัติกัมมัฏฐานทั้งด้านสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนา กัมมัฏฐาน เพื่อน ามาสร้างชุดฝึกอบรมให้มีรายละเอียดครบถ้วนตั้งแต่เริ่มกิจกรรมจนจบกิจกรรมให้ ชัดเจน ในชุดฝึกอบรมควรมีข้อแนะน าและรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการจัดอบรม ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงการประเมินผลการฝึกอบรม และควรมีรูปภาพประกอบตามเนื้อหาอบรมให้ชัดเจน เมื่อผู้วิจัยด าเนินการสร้างชุดฝึกอบรม เรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม โดยใช้กระบวนการทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติครบถ้วนแล้ว จึงได้น าชุดฝึกอบรม พร้อมแบบสอบถามความเหมาะสมของชุดฝึกอบรมให้ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน ๕ รูป/คน พิจารณาความ เหมาะสมของชุดฝึกอบรม เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้ด าเนินการด าเนินการตรวจ พิจารณาความเหมาะสม ของชุดฝึกอบรม โดยใช้แบบสอบถามเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของชุดฝึกอบรม ดังตารางที่ ๔.๑๓ ตารางที่ ๔ .๑๓ ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อองค์ป ระกอบต่างๆ ในชุดฝึกอบรม เรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้กระบวนการภาคปฏิบัติ
๑๔๓ หน่วยที่ รายการประเมิน ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๑ การสมาทานพระกัมมัฏฐาน ๔.๗๘ ๐.๔๔ มากที่สุด ๒ ประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนา ๔.๘๙ ๐.๓๓ มากที่สุด ๓ การบริหารกายและการบริหารจิต ๔.๗๘ ๐.๔๔ มากที่สุด ๔ วิธีปฏิบัติตามหลักกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔.๗๖ ๐.๔๑ มากที่สุด ๕ วิธีปฏิบัติตามหลักเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔.๘๑ ๐.๓๙ มากที่สุด ๖ วิธีปฏิบัติตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔.๗๖ ๐.๔๐ มากที่สุด ๗ วิธีปฏิบัติตามหลักธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔.๘๗ ๐.๒๔ มากที่สุด ๘ การเดินจงกรม ๖ ระยะ ๔.๗๖ ๐.๔๑ มากที่สุด จากตารางที่ ๔.๘ พบว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า ส่วนประกอบต่างๆ ในชุดฝึกอบรม เรื่องการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้กระบวนการภาคปริยัติเพื่อเสริมสร้าง สมรรถภาพท างกายและจิตแก่เยาวชน ให้มีความพร้อมและเหมาะสมในระดับมากที่สุด ทุกองค์ประกอบ ๔.๓.๓.๒ ผลจากการสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ภาคปฏิบัติ ภายหลังจากการที่ผู้วิจัยได้สร้างชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๕ รูป/คน มาสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) และตรวจสอบการสร้างชุดกิจกรรม ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา (Content Validity) แล้ว ประเมินชุดกิจกรรมการอบรม โดยจัดเวทีวิพากษ์ชุดกิจกรรม ก าหนดกรอบในการสร้างแบบสัมภาษณ์ (Focus Group Discussion) เพื่อน าชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ที่แก้ไขแล้วทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ จากโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน ๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน จึงได้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ภาคปฏิบัติต่อจากภาคปริยัติ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และแนวทางการวัดผล และประเมินผลที่ได้จากการสนทนากลุ่ม ภาคปฏิบัติดังตารางที่ ๔.๑๔
๑๔๔ ตารางที่ ๔.๑๔ วัตถุประสงค์และแนวทางการวัดผลและประเมินผลที่ได้จากการสนทนา กลุ่ม ภาคปฏิบัติ หัวข้อการเรียนรู้ : หน่วยภาคปฏิบัติ วัตถุประสงค์การปฏิบัติ แนวทางการวัด และประเมินผล หน่วยที่ ๑ การรับพระกัมมัฏฐาน - พิธีมอบกายถวายอัตภาพก่อนรับกัมมัฏฐาน - ท าวัตรเช้า สวดมนต์เจริญสมาธิ - แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล - ท าวัตรเย็น สวดมนต์เจริญสมาธิ - แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล - สามารถกล่าวค าถวายอัตต ภาพต่อพระอาจารย์ได้ - สามารถปฏิบัติตามแนว ทางการรับพระกัมมัฏฐานได้ ก า ร สั ง เ ก ต พฤติกรรมกลุ่ม/ รายบุคคล การสัมภาษณ์ การทดสอบ ภาคปฏิบัติ หน่วยที่ ๒ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการ เดินจงกรมระยะที่ ๑ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๑ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดย อธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึกก าหนดต้นจิต (การอยากผลัดเปลี่ยน อิริยาบถต่างๆ โดยฝึกให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อน ทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม - สามารถเดินจงกรม ระยะที่ ๑ และใช้ สติก าหนดอิริยาบถ ได้ - ส าม า รถ แ น ะน า และน าพาผู้อื่นเดิน จงกรมระยะที่ ๑ ได้ การสัมภาษณ์ ก า ร ท ด ส อ บ ภาคปฏิบัติ หน่วยที่ ๓ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการ เดินจงกรมระยะที่ ๒ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๒ - ฝึกเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิ โดย อธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึกก าหนดต้นจิต (การอยากผลัดเปลี่ยน อิริยาบถต่างๆ โดยฝึกให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อน ทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม - สามารถเดินจงกรม ระยะที่ ๒ และใช้ สติก าหนดอิริยาบถ ได้ - ส าม า รถ แ น ะน า และน าพาผู้อื่นเดิน จงกรมระยะที่ ๒ ได้ การสัมภาษณ์ ก า ร ท ด ส อ บ ภาคปฏิบัติ
๑๔๕ หัวข้อการเรียนรู้ : หน่วยภาคปฏิบัติ วัตถุประสงค์การปฏิบัติ แนวทางการวัด และประเมินผล หน่วยที่ ๔ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการ เดินจงกรมระยะที่ ๓ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๓ - ฝึ ก เดิ น จงก รม ส ลั บ กับ ก า รนั่งส ม า ธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึกก าหนดต้นจิต (การอยากผลัดเปลี่ยน อิริยาบถต่างๆ โดยฝึกให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อน ทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม - สามารถเดินจงกรม ระยะที่ ๓ และใช้ สติก าหนดอิริยาบถ ได้ - ส าม า รถ แ น ะน า และน าพาผู้อื่นเดิน จงกรมระยะที่ ๓ ได้ การสัมภาษณ์ ก า ร ท ด ส อ บ ภาคปฏิบัติ หน่วยที่ ๕ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการ เดินจงกรมระยะที่ ๔ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๔ - ฝึ ก เดิ น จงก รม ส ลั บ กับ ก า รนั่งส ม า ธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึกก าหนดต้นจิต (การอยากผลัดเปลี่ยน อิริยาบถต่างๆ โดยฝึก ให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อน ทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม - สามารถเดินจงกรม ระยะที่ ๔ และใช้ สติก าหนดอิริยาบถ ได้ - ส าม า รถ แ น ะน า และน าพาผู้อื่นเดิน จงกรมระยะที่ ๔ ได้ การสัมภาษณ์การ ท ด ส อ บ ภาคปฏิบัติ หน่วยที่ ๖ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการ เดินจงกรมระยะที่ ๕ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๕ - ฝึ ก เดิ น จงก รม ส ลั บ กับ ก า รนั่งส ม า ธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึกก าหนดต้นจิต (การอยากผลัดเปลี่ยน - สามารถเดินจงกรม ระยะที่ ๕ และใช้ สติก าหนดอิริยาบถ ได้ - ส าม า รถ แ น ะน า และน าพาผู้อื่นเดิน จงกรมระยะที่ ๕ ได้ การสัมภาษณ์ ก า ร ท ด ส อ บ ภาคปฏิบัติ
๑๔๖ หัวข้อการเรียนรู้ : หน่วยภาคปฏิบัติ วัตถุประสงค์การปฏิบัติ แนวทางการวัด และประเมินผล อิริยาบถต่างๆ โดยฝึกให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อน ทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม หน่วยที่ ๗ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการ เดินจงกรมระยะที่ ๖ - วิธีปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร - ฝึกก าหนดอิริยาบถ ๔ - ฝึกเดินจงกรมระยะที่ ๖ - ฝึ ก เดิ น จงก รม ส ลั บ กับ ก า รนั่งส ม า ธิ โดยอธิษฐานจิตทุกขั้นตอน - ฝึกก าหนดต้นจิต (การอยากผลัดเปลี่ยน อิริยาบถต่างๆ โดยฝึกให้ใช้สติก าหนดที่ใจก่อน ทุกครั้งที่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ) - ฝึกวิธีปฏิบัติเมื่อได้ยินเสียงขณะนั่งสมาธิ - ฝึกการเคลื่อนไหวอิริยาบถอย่างมีสติ - สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ผู้ฝึกอบรม - สามารถเดินจงกรม ระยะที่ ๖ และใช้ สติก าหนดอิริยาบถ ได้ - ส าม า รถ แ น ะน า และน าพาผู้อื่นเดิน จงกรมระยะที่ ๖ ได้ การสัมภาษณ์ ก า ร ท ด ส อ บ ภาคปฏิบัติ ผู้เชี่ยวชาญมีข้อเสนอแนะว่า ควรศึกษาผลงานวิจัยหรือสถิติผลจากการวิจัยด้านการปฏิบัติกัมมัฏฐาน เพื่อจะได้ทราบ ว่าควรมีหลักสูตรใดเพิ่มเติมหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ตอบสนองความจ าเป็นในชีวิตจริง ชุด ฝึกอบรมควรน าเรื่องสติปัฏฐานที่สามารถน าไปใช้ได้จริงมาใช้ในการฝึก และควรมีการประเมินผลจาก การน าชุดฝึกอบรมที่จัดท าพัฒนาปรับปรุงและควรมีคู่มือเอกสารประกอบการเรียนรู้เรื่องสติปัฏฐาน ๔ ให้แก่เยาวชนและผู้สนใจทุกคน ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของชุดฝึกอบรม ภาคปฏิบัติ โดยผู้เชี่ยวชาญจ านวน ๕ รูป/คน เรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ใช้กระบวนการทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายและจิตส าหรับเยาวชน ที่ประกอบด้วยแผนการจัดการภาคปริยัติ และภาคปฏิบัติครบถ้วนแล้ว ผู้วิจัยได้น าชุดฝึกอบรม พร้อมแบบสอบถามความเหมาะสมของชุดฝึก อบรมให้ผู้เชี่ยวชาญ ๕ รูป/คน ตรวจสอบชุดฝึกอบรมภาคปฏิบัติ ปรากฏผลตามตารางที่ ๔.๑๕
๑๔๗ ตารางที่ ๔.๑๕ ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อองค์ประกอบต่างๆ ในชุดฝึก อบรม เรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้กระบวนการภาคปฏิบัติเพื่อเสริมสร้าง สมรรถภาพทางกายและจิตแก่เยาวชน หน่วยที่ รายการประเมิน ระดับปฏิบัติ X S.D แปลผล ๑ การรับพระกัมมัฏฐาน ๔.๗๘ ๐.๔๔ มากที่สุด ๒ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๑ ๔.๘๙ ๐.๓๓ มากที่สุด ๓ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๒ ๔.๗๘ ๐.๔๔ มากที่สุด ๔ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๓ ๔.๗๖ ๐.๔๑ มากที่สุด ๕ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๔ ๔.๘๑ ๐.๓๙ มากที่สุด ๖ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๕ ๔.๗๖ ๐.๔๐ มากที่สุด ๗ การใช้สติก าหนดอิริยาบถและการเดินจงกรมระยะที่ ๖ ๔.๘๗ ๐.๒๔ มากที่สุด ข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ๑. ควรเปิดโอกาสให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความสนใจต่อสื่อวิดีทัศน์และสามารถน าเสนอ ความคิดเห็นจากประเด็นต่างๆ ที่ก าหนด โดยหยิบยกเนื้อหาที่สะท้อนในภาพประกอบสื่อวิดีทัศน์ได้ เป็นอย่างดีการใช้กิจกรรมอื่นๆ ช่วยในการจัดกลุ่ม ก็จะท าให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถจัดกลุ่มเพื่อ การเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์ที่สอนพระกัมมัฏฐานจ าเป็นต้องชี้แจงและกระชับ เวลาในการน าเสนอ เพื่อให้สามารถด าเนินกิจกรรมได้ครบถ้วนเสร็จสิ้นตามเวลาที่ก าหนด ๒. ควรมีการน าเสนอบทบาทสมมติและให้เยาวชนได้ฝึกปฏิบัติอย่างชัดเจนทีละขั้น จนเกิดความเข้าใจ จึงควรจัดให้มีเวลาส าหรับการทบทวนในระหว่างการฝึกอบรม ๔.๓.๔ ผลจากการประเมินชุดกิจกรรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ผู้วิจัยได้น าชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มา ประเมินกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนในอ าเภอเมือง โดยคัดเลือกจากครู ประจ าชั้นและนักเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน ๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน ได้ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมที่ตอบแบบสอบถาม ดังตารางที่ ๔.๑๖
๑๔๘ ตารางที่ ๔.๑๖ ร้อยละผู้ตอบแบบสอบถาม จ าแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = 30) ๑.๑ เพศ จ านวน (คน) ร้อยละ ชาย ๑๓ ๔๓.๓๓ หญิง ๑๗ ๕๖.๖๗ รวม ๓๐ ๑๐๐.๐๐ ๑.๒ อายุ ๑๖ ปี ๑๐ ๓๓.๓๓ ๑๗ ปี ๑๐ ๓๓.๓๓ ๑๘ ปี ๑๐ ๓๓.๓๔ รวม ๓๐ ๑๐๐.๐๐ ๑.๓ ระดับการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ๑๐ ๓๓.๓๓ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ๑๐ ๓๓.๓๓ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ๑๐ ๓๓.๓๔ รวม ๓๐ ๑๐๐.๐๐ จากตารางที่ ๔.๔ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิง มีจ านวน ๑๗ คน คิดเป็น ร้อยละ ๕๖.๖๗ มีอายุ ๑๖ - ๑๘ ปีขึ้นไป เท่ากัน จ านวน ๑๐ คน โดยคิดเป็นร้อยละ ๓๓.๓๓ ระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๔ - ๖ เท่ากัน จ านวน ๑๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๓๓ ตารางที่ ๔.๑๗ ผลการประเมินชุดกิจกรรมก่อนการเข้าอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม คนที่ คะแนนเต็ม ก่อนเข้าอบรม ๑ ๒๐ ๑๑ ๒ ๒๐ ๑๓ ๓ ๒๐ ๑๐ ๔ ๒๐ ๑๔ ๕ ๒๐ ๑๕ ๖ ๒๐ ๑๒ ๗ ๒๐ ๑๔ ๘ ๒๐ ๑๔ ๙ ๒๐ ๑๕ ๑๐ ๒๐ ๑๔ ๑๑ ๒๐ ๑๓
๑๔๙ คนที่ คะแนนเต็ม ก่อนเข้าอบรม ๑๒ ๒๐ ๑๕ ๑๓ ๒๐ ๑๕ ๑๔ ๒๐ ๑๓ ๑๕ ๒๐ ๑๔ ๑๖ ๒๐ ๑๕ ๑๗ ๒๐ ๑๒ ๑๘ ๒๐ ๑๐ ๑๙ ๒๐ ๑๔ ๒๐ ๒๐ ๑๒ ๒๑ ๒๐ ๑๔ ๒๒ ๒๐ ๑๔ ๒๓ ๒๐ ๑๕ ๒๔ ๒๐ ๑๔ ๒๕ ๒๐ ๑๓ ๒๖ ๒๐ ๑๕ ๒๗ ๒๐ ๑๕ ๒๘ ๒๐ ๑๓ ๒๙ ๒๐ ๑๕ ๓๐ ๒๐ ๑๓ N = ๓๐ ๖๐๐ รวม = ๔๐๖ จากตารางที่ ๔.๑๗ พบว่า ผลการทดสอบจากคะแนนก่อนเข้ารับการอบรม จากจ านวน ๓๐ คน ได้รับค่าคะแนนเฉลี่ย ๖๗.๖๗ ตารางที่ ๔.๑๘ ผลการประเมินแบบทดสอบความรู้พื้นฐานทั้งก่อนการอบรมและหลัง การอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม คนที่ ก่อนอบรม หลังอบรม D D 2 ๑ ๑๑ ๑๗ ๖ ๓๖ ๒ ๑๓ ๑๗ ๔ ๑๖ ๓ ๑๐ ๑๘ ๘ ๖๔ ๔ ๑๔ ๑๗ ๓ ๙ ๕ ๑๕ ๒๐ ๕ ๒๕ ๖ ๑๒ ๑๗ ๕ ๒๕ ๗ ๑๔ ๑๘ ๔ ๑๖
๑๕๐ D 2 D D N คนที่ ก่อนอบรม หลังอบรม D D 2 ๘ ๑๔ ๑๗ ๓ ๙ ๙ ๑๕ ๑๘ ๓ ๙ ๑๐ ๑๔ ๑๘ ๔ ๑๖ ๑๑ ๑๓ ๑๘ ๕ ๒๕ ๑๒ ๑๕ ๑๘ ๓ ๓ ๑๓ ๑๕ ๑๗ ๒ ๔ ๑๔ ๑๓ ๑๙ ๖ ๓๖ ๑๕ ๑๔ ๑๘ ๔ ๑๖ ๑๖ ๑๕ ๑๙ ๔ ๑๖ ๑๗ ๑๒ ๑๗ ๕ ๒๕ ๑๘ ๑๐ ๑๗ ๗ ๔๙ ๑๙ ๑๔ ๑๘ ๔ ๑๖ ๒๐ ๑๒ ๑๗ ๕ ๒๕ ๒๑ ๑๔ ๑๘ ๔ ๑๖ ๒๒ ๑๔ ๑๗ ๓ ๙ ๒๓ ๑๕ ๑๘ ๓ ๙ ๒๔ ๑๔ ๑๘ ๔ ๑๖ ๒๕ ๑๓ ๑๘ ๕ ๒๕ ๒๖ ๑๕ ๑๗ ๒ ๔ ๒๗ ๑๕ ๑๗ ๒ ๔ ๒๘ ๑๓ ๑๙ ๖ ๓๖ ๒๙ ๑๕ ๑๘ ๓ ๑๖ ๓๐ ๑๓ ๑๙ ๖ ๑๖ N = 30 รวม = 406 รวม = 533 ∑D = 128 ∑D 2 = 316 หมายเหตุ : แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ แทน จ านวนคู่ของคะแนนหรือจ านวนนักเรียน แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการทดลอง แทน ผลรวมของก าลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการทดลอง จากตารางที่ ๔.๑๘ พบว่า ผลการทดสอบได้คะแนนรวมทั้งหมด คิดเป็นค่าเฉลี่ย ๘๘.๘๓ แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าอบรมมีความรู้เพิ่มขึ้นทุกคน
๑๕๑ ๔.๓.๔.๑ ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลัก สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ใน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม โดยมีขั้นตอนตอนในการสร้างจ าแนกจุดประสงค์ตามเนื้อหา สร้างแบบประเมิน ความพึงพอใจ และน าแบบแบบประเมินที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบโครงสร้างและ ภาษาที่ใช้ จากนั้น จึงน าไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาหลักสูตรได้ตรวจสอบด้านภาษา และด้าน การวัดและประเมินผล จ านวน ๕ คน จากผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และภาษาที่ใช้แล้วปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาข้อค าถามให้ชัดเจน จึงแก้ให้ เป็นค าถามที่ตรงกันคือความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ใน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม มีกลุ่มประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนในอ าเภอ เมืองมหาสารคาม คัดเลือกจากครูประจ าชั้นและนักเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน ๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน ดังตารางที่ ๔.๑๙ ตารางที่ ๔.๑๙ ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม รายการประเมิน ค่าความพึงพอใจ X S.D ระดับ ๑. ด้านความรู้และความเข้าใจหลักสติปัฏฐาน ๔ ๑.๑ ความรู้เรื่องหลักสติปัฏฐาน ๔ ก่อนเข้าอบรม ๓.๔๓ ๐.๙๙ ปานกลาง ๑.๒ ความรู้เรื่องหลักสติปัฏฐาน ๔ หลังเข้าอบรม ๔.๑๑ ๐.๘๖ มาก ๑.๓ มีความรู้และเข้าใจเนื้อหาสาระและกิจกรรมการอบรม ๓.๖๐ ๐.๗๙ มาก ๑.๔ เนื้อหาและการอธิบายตรงตามวัตถุประสงค์การอบรม ๔.๒๐ ๐.๙๓ มาก ๑.๕ มั่นใจในแนวทางการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๓.๙๘ ๐.๕๕ มาก รวม ๓.๘๖ ๐.๘๒ มาก ๒. ด้านการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ๒.๑ ผู้เข้าอบรมมีโอกาสได้ตอบข้อซักถามด้านสติปัฏฐาน ๔.๐๓ ๐.๖๔ มาก ๒.๒ ผู้เข้าอบรมเรียนรู้การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔.๑๒ ๑.๑๒ มาก ๒.๓ ผู้เข้าอบรมก าหนดอิริยาบถได้ตามหลักสติปัฏฐาน ๔.๑๕ ๐.๘๐ มาก ๒.๔ ผู้เข้าอบรมควบคุมสติได้ตามหลักสติปัฏฐาน ๓.๕๖ ๐.๘๒ มาก
๑๕๒ รายการประเมิน ค่าความพึงพอใจ X S.D ระดับ ๒.๕ ผู้เข้าอบรมวัดผลการปฏิบัติได้เองตามหลักสติปัฏฐาน ๓.๒๓ ๑.๑๕ ปานกลาง รวม ๓.๘๑ ๐.๙๐ มาก ๓. ด้านการน าความรู้ไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์และประยุกต์ใช้ในชีวิต ๓.๑ เกิดทักษะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ๓.๘๘ ๐.๗๖ มาก ๓.๒ อธิบายหลักและแนวปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔.๐๘ ๐.๗๒ มาก ๓.๓ ขยายผลและถ่ายทอดความรู้ด้านสติปัฏฐาน ๔.๐๖ ๐.๗๐ มาก ๓.๔ ตั้งใจที่จะน าองค์ความรู้มาพัฒนาการศึกษาเล่าเรียน ๓.๕๐ ๐.๗๓ ปานกลาง ๓.๕ ตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ๓.๘๐ ๐.๘๐ มาก รวม ๓.๙๐ ๐.๕๖ มาก รวมทุกด้าน ๓.๘๕ ๐.๗๖ มาก จากตารางที่ ๔.๕ ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ในภาพรวมมีความพึงใจ ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ( X = ๓.๘๕) เมื่อพิจารณาเป็นราย ด้าน เรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ความพึงพอใจมากที่สุดคือด้านการน าความรู้ไปปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์และประยุกต์ใช้ในชีวิต ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ( X = ๓.๙๐) และในด้าน อื่นๆ เมื่อเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านความรู้และความเข้าใจหลักสติปัฏฐาน ๔ มีค่าความพึง พอใจในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ( X =๓.๘๖) ด้านการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน มีค่าความพึงพอใจใน ระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ( X = ๓.๘๑) ตามล าดับ จากผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง มหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เป็นกระบวนการทวนซ้ าการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้กับ กลุ่มตัวอย่างที่ต่างออกไป จากกลุ่มตัวอย่างการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่อยู่ในระยะที่ ๓ เพื่อที่จะเป็นการยืนยันให้ชัดเจนว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นใช้ได้จริง และเสริมสร้าง ทักษะการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางด้านปริยัติให้เกิดกับผู้ปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่เพียงแต่เกิดผลกับ กลุ่มทดลองที่ผู้วิจัยด าเนินการสอนเองในขั้นที่ ๓ เท่านั้น โดยทดสอบผู้เข้าอบรม ก่อนเข้าอบรม และ หลังเข้าอบรม พบว่า ผู้เข้าอบรมมีความรู้เพิ่มขึ้นทุกคน ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมการปรับ ใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X =๓.๘๕) สอดคล้องกับผลบันทึกจากการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ซึ่งแสดงผลว่ากลุ่มตัวอย่างมีความ ตั้งใจในการปฏิบัติ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปฏิบัติได้ถูกต้องตรงตามหลักสติปัฏฐาน ๔
๑๕๓ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เผยแพร่ให้ทดลองใช้ช่วยให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตาม ขั้นตอนที่เหมาะสม นักเรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน จัดระเบียบความรู้และความคิดช่วยให้บรรลุ ผลสัมฤทธิ์ภาคปริยัติและเกิดทักษะการคิดโดยเฉพาะเป็นไปตามที่มุ่งหวัง คือการน าหลักสติปัฏฐาน ๔ เข้ามาใช้ร่วมในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะช่วยพัฒนาและแก้ไขปัญหาพฤติกรรม ที่ไม่เหมาะสมของนักเรียน ที่ประชุมเห็นว่าควรมีการน างาน/โครงการที่โรงเรียนได้เสนอตัวเข้าร่วมมา ใช้ประโยชน์จริง เพราะเมื่องาน/โครงการนั้นสิ้นสุดลง มักจะถูกละเลยหรือห่างหายไปจนใช้ประโยชน์ ไม่ได้ แต่การน าหลักสติปัฏฐาน ๔ มาใช้ร่วมกับชุดกิจกรรมนี้นับว่าเป็นการน ามาใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า หรือต่อยอดให้บรรลุผลตามโครงการได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอแนะอื่น ๆ อีก ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมเข้าค่ายฝึกสมาธิมีระยะเวลาในการฝึกน้อยไป ท าให้จิตที่ฝึกสมาธิยัง ไม่แน่วแน่เพียงพอในระดับที่จะท าให้เกิดปัญญาได้ 2. เกณฑ์ก าหนดที่ตั้งไว้ควรลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรม เนื่องจากกลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาซึ่งก าลังอยู่ในวัยรุ่นที่เริ่มปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ จึงยังมีความ สับสนต่อการใช้ชีวิตในวัยรุ่น หากการฝึกสมาธิลดเกณฑ์การผ่านจุดประสงค์ลงให้สอดคล้องกับ ธรรมชาติและบริบทของนักเรียน อาจท าให้การวิจัยครั้งนี้ได้ผลตรงตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ 3. การเรียนการสอนในโรงเรียน ยังขาดการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่าง ต่อเนื่อง จึงควรมีกิจกรรมที่จะเข้ามาส่งเสริมด้านความรู้ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาให้นักเรียนได้ ศึกษามากขึ้น เพื่อเน้นให้นักเรียนเกิดความตระหนักถึงคุณค่าของการด าเนินชีวิตที่จ าเป็น ต้องมีสมาธิ มาช่วยอย่างเหมาะสม อีกทั้งควรตระหนักว่านักเรียนแต่ละคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู ตลอดจนมีค่านิยมที่แตกต่างกันในแต่ละสังคม การปลูกฝังเยาวชนด้วย การให้การศึกษาเรื่องจึงเป็นการศึกษาเพื่อให้นักเรียนเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริงและให้เข้าใจ ความหมายของชีวิต 4. การเรียนการสอนที่เป็นอยู่ขาดการน าเสนอตัวอย่างที่ดีซึ่งประสบความส าเร็จ จึงควร น าตัวอย่างของผู้ที่ประสบความส าเร็จ ด้วยการน าหลักปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือ สมาธิไปใช้ในชีวิตประจ าวัน เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น ๔.๓.๔.๒ แบบสอบถามการติดตามหลังการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ผลจากการสังเกตพฤติกรรมนักเรียนหลังจากอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จากกลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนใน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ด้านการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และด้านการพัฒนาคุณภาพจิต จากการเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์เพื่อวิเคราะห์มีรายละเอียดโดยสังเขป ดังนี้
๑๕๔ ๔.๓.๔.๒.๑ ด้านการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ด้านการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งประกอบด้วย (๑) ด้านความรับผิดชอบ (๒) ด้านความมีระเบียบวินัย (๓) ด้านความซื่อสัตย์ (๔) ด้านความอุตสาหะ (๕) ด้านความกตัญญู โดยวิเคราะห์ผลจากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ มีรายละเอียด ดังนี้ ๑. ด้านความรับผิดชอบ ผู้วิจัยได้สังเกตและสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมนักเรียน จากผลของการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ท าให้นักเรียนได้พัฒนาจริยธรรมในด้านความรับผิดชอบต่อ หน้าที่การงาน หน้าที่ความเป็นนักเรียน และหน้าที่ของความเป็นบุตรธิดา เช่น - ท างานที่ได้รับมอบหมายได้ตรงเวลา แต่ก็มีนักเรียนบางคนที่ยังต้องปรับปรุง เพราะว่า จิตเรรวน ไม่ค่อยมีสมาธิบางคนก็ยังมีสมาธิน้อยอยู่๑ - ท าวาระหน้าที่เรียบร้อยทันเวลาที่ก าหนด นักเรียนส่วนมากท างานที่บ้านได้ตาม ก าหนดเวลา เช่น งานบ้าน งานสวน และงานเกษตรกรรมครัวเรือน๒ - เข้าร่วมกิจกรรมของหมู่บ้านเป็นประจ า เมื่อมีงานที่บ้านจะร่วมกันท ากิจกรรม มีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกัน๓ จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครอง จึงได้ทราบแนวทางการพัฒนาของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ซึ่งมีความสอดคล้องกับงานวิจัยของสร้อยสุดา อิ่มอรุณรักษ์ที่ได้ท าการวิจัยเรื่อง “ผลของการฝึก อานาปานสติภาวนาที่มีต่อภาวะสุขภาพจิตของบุคคล” จากกลุ่มตัวอย่าง ๖๖ คน ที่ได้เข้ารับการ อบรมอานาปานสติภาวนา มีภาวะสุขภาพจิตดีขึ้นกว่าก่อนเข้าอบรม มีความเข้าใจในธรรมของพุทธ ศาสนามากขึ้นและมีบางส่วนเห็นว่าการแสดงออกทางสังคมดีขึ้น รู้จักคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อท า ประโยชน์ให้กับสังคม ส่วนกลุ่มที่มีแนวโน้มของภาวะสุขภาพจิตไม่ดีมาก่อน ก็รู้สึกดีขึ้นในทุกด้าน๔ ๒. ด้านความมีระเบียบวินัย ผู้วิจัยได้สังเกตและสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมนักเรียน จากผลของการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ท าให้นักเรียนได้พัฒนาจริยธรรมในด้านความมีระเบียบ วินัย ในวัยนี้ก่อนอบรมกัมมัฏฐานจะเป็นคนมีระเบียบวินัยน้อย ชอบท าอะไรตามใจตัวเอง ภายลัง จากการได้รับการอบรมกัมมัฏฐานแล้ว ท าให้นักเรียนมีจิตใจเป็นสมาธิอารมณ์เยือกเย็นขึ้น จะท าอะไร มีความระมัดระวังมากขึ้นเป็นคนที่นอนตื่นตรงตามเวลามีความรับผิดชอบในวินัยมากขึ้น ไม่ท าอะไร นอกรีตนอกรอย การปฏิบัติตามระเบียบของโรงเรียนดีขึ้นตามล าดับ ผลของการปฏิบัติสมาธิ ท าให้ นักเรียนได้พัฒนาจริยธรรมในด้านความมีระเบียบวินัยที่โรงเรียนและที่บ้าน เช่น - ไม่ค่อยท าผิดระเบียบวินัยของบ้าน ส่วนมากนักเรียนจะให้ความเคารพผู้ใหญ่ในบ้าน จะไม่ล่วงเกินข้อกติกาที่ตกลงกันไว้๕ ๑ สัมภาษณ์ นางเกตุศิรินทร์ ภาแกด า, ผู้ปกครอง, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๒ สัมภาษณ์ นางประกายแก้ว วงศ์โพธิสาร, ผู้ปกครอง, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๓ สัมภาษณ์ นางสาววิไลรัตน์ ภูเมฆ, ผู้ปกครอง, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๔ สร้อยสุดา อิ่มอรุณรักษ์, “ผลของการฝึกอานาปานสติภาวนาที่มีต่อภาวะสุขภาพจิต”, รายงานการ วิจัย, (นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓), บทคัดย่อ. ๕ สัมภาษณ์ นางสุกัญญา สมบัติตรา, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐.
๑๕๕ - เชื่อฟังผู้ปกครองและญาติผู้ใหญ่ ไม่เถียง รับฟัง และปฏิบัติตาม มีบางครั้งที่หนีออกไป เที่ยวนอกบ้านตามงานบุญประเพณีของหมู่บ้าน ๖ - ไม่ค่อยท าผิดศีล ๕ เช่น ในการท าอาหารจ าเป็นที่ต้องฆ่าสัตว์เป็นบางครั้งคราว และการ ขโมยจะไม่มีการประพฤติผิดในกามไม่มีเพราะอยู่ในวัยเรียน มุสาการกล่าวเท็จ มีบางครั้งที่ต้องการ เอาตัวรอดในเหตุการณ์เฉพาะหน้าสถานการณ์ที่จ าเป็น การดื่มสุราหรือของมึนเมา บางคนยังดื่มเหล้า ในงานเทศกาลและงานเทศกาลประจ าปีเพราะความสนุกสนานชั่วคราวเท่านั้นไม่ได้ดื่มเป็นอาจิณ๗ - ไม่เคยมาเรียนสายนักเรียนไปรถรับส่ง ของโรงเรียนจึงไม่ค่อยมีปัญหา แต่ก็มีนักเรียน ส่วนน้อยที่ใช้รถจักรยานยนต์ส่วนตัวอาจจะไม่ค่อยตรงเวลา - ช่วยงานบ้านเป็นประจ า ช่วยกวาดถูบ้านเป็นประจ า ตักน้ าใส่ตู้เย็น และช่วยงานที่สวน ไร่นาตามโอกาสที่จะพึงท าได้๘ ประเด็นว่าด้วยความมีระเบียบวินัย ผู้ปกครองและคณะครูนักเรียน กล่าวว่า ก่อนเข้ารับ การฝึกอบรมค่ายคุณธรรม เยาวชนมีพฤติกรรมในด้านระเบียบวินัย คือ ชอบโดดเรียน ท าผิดระเบียบ ของโรงเรียน ไม่เข้าร่วมกิจกรรมหน้าเสาธง๙ ส่วนมากเป็นนักเรียนชาย เช่น มีนิสัยชอบหลับใน ห้องเรียน เล่นโทรศัพท์ในห้องเรียนเวลาครูสอน นักเรียนหญิงบางคน เวลาครูสอนชอบแต่งตัว ส่องกระจกในห้องเรียนเวลาครูสอน มีโดดเรียนกับเพื่อนเพื่อไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า๑๐ ซื้อของราคา แพงใช้จ่ายเกินตัว เช่น ซื้อโทรศัพท์ราคาแพง เล่นอินเตอร์เน็ตมากกว่าการเรียน ได้ส่งผลท าให้การ เรียนตกต่ า เวลาสอบท าข้อสอบไม่ผ่าน ท าให้ครอบครัวใช้จ่ายเกินจ าเป็นเพราะนิสัยของเยาวชนเอง๑๑ ภายหลังจากการเข้ารับการฝึกอบรมค่ายคุณธรรม และการปลูกฝังจิตส านึกของเยาวชนให้รู้จัก หลักการประกอบอาชีพที่สุจริตในฐานะพลเมืองที่ดีซึ่งจะท าให้ทุกคนที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และมองเห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว การสอนให้รู้จักการประกอบอาชีพหรือ ท ามาหาเลี้ยงชีพอย่างสุจริต ท าให้การด าเนินชีวิตของเยาวชนดีขึ้นเป็นอย่างมากรู้จักประหยัดอดออม ไม่ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายเหมือนเดิม คือรู้จักคุณค่าของเงิน รู้ความยากล าบากของผู้ปกครอง ๑๒ ๖ สัมภาษณ์ นางสาวเต็มฤทัย แสนสุธา, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๗ สัมภาษณ์ นายส าเนียง มาพร, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๘ สัมภาษณ์ นางอมร เนื่องวงค์ษา, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๙ สัมภาษณ์ นายส าเนียง มาพร, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๑๐ สัมภาษณ์ นางปรียานุช จันทราช รองผู้อ านวยการโรงเรียนผดุงนารี, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๑๑ สัมภาษณ์ นางอาภาพร ปัญญาฟูครูช านาญการโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๑๒ สัมภาษณ์ นายสัจจพงษ์ ญาตินิยม รองผู้อ านวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐.
๑๕๖ จากการสัมภาษณ์ครูและผู้ปกครองได้ทราบแนวทางการพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษา ดังกล่าวได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ ชาญชัย ฮวดศรีได้ท าวิจัยเรื่อง “บทบาทของพระสงฆ์ในการ ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชนเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๙” พบว่า พระสงฆ์มีบทบาทใน การแก้ไขปัญหาการขาดคุณธรรมจริยธรรมในชุมชน ได้แก่ สถาบันทางสังคมต่างๆ ควรมีการจัด กิจกรรมสร้างสรรค์ที่หลากหลายในด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้มากขึ้น พระสงฆ์ผู้ปกครองและผู้น า ชุมชนต้องเป็นตัวอย่างที่ดี มีการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างจริงจัง และสื่อมวลชนควรน าเสนออย่างมีความรับผิดชอบต่อจิตส านึก จารีตประเพณีและวัฒนธรรมไทย๑๓ ทั้งนี้ เป็นเพราะการปลูกฝังให้เยาวชนรู้จักพึ่งตนเองอย่างมีศักดิ์ศรีเป็นคนดีมีวินัย คือการปลูกฝังให้ เยาวชนได้มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง และรู้จักคุณค่าของตัวเอง ไม่มีชนชาติใดในโลกที่มีความเจริญงอก งามมั่นคงอยู่ได้เพราะการรอรับการช่วยเหลือของผู้อื่น โดยไม่พึ่งตนเอง ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน บนพื้นฐานอุดมการณ์ชีวิต งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุขท างานให้สนุก เป็นสุขเมื่อท างาน ของดี ต้องมีแบบ แบบที่ดีต้องมีระเบียบ ระเบียบที่ดีต้องมีวินัย คนที่มีวินัยจะรู้จักการเคารพตนเอง เคารพ ผู้อื่น เคารพเวลา เคารพกติกา และเคารพสถานที่ ๓. ด้านความซื่อสัตย์ ผู้วิจัยได้สังเกตและสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมนักเรียน จากผล ของการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ท าให้นักเรียนได้พัฒนาจริยธรรมในด้านความซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่คด โกงต่อคุณครู พ่อแม่ เพื่อน และคนอื่น ๆ เช่น - ไม่เคยหยิบของที่เจ้าของไม่อนุญาต มีบางครั้งที่ไม่มีคนอยู่ได้หยิบไปก่อน แล้วได้บอกให้ ทราบที่หลัง๑๔ - ไม่เคยทุจริตในการท างานที่บ้าน ไม่ล่วงเกินหน้าที่ของคนอื่น นอกจากได้รับมอบหมาย หรือขอวานให้ช่วยกิจการนั้นๆ๑๕ - ไม่เคยโกหก เพราะกลัวท าไปแล้วเกิดความเสียหายต่อส่วนรวม และท าให้ตนเองเกิด ความทุกข์ใจ กลัวการตกนรกต้องไปชดใช้กรรมในภพเบื้องหน้า๑๖ - มีปัญหาปรึกษาผู้ปกครอง ครู และเพื่อนทุกครั้งที่ที่มีการสวดมนต์ไหว้พระ จะมีการ ปรึกษาหารือกันว่าใครมีปัญหาอะไร และมีวิธีการแก้ไขอย่างไรและจะช่วยกันหาวิธีทางการแก้ไข ช่วยกันด้วยวิธีการที่ดีที่สุด๑๗ - เก็บของหายได้ส่งคืนเจ้าของเดิม หรือฝากส่งให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์แจ้งให้เจ้าของได้รับ ทราบและมารับคืน๑๘ ๑๓ ชาญชัย ฮวดศรี, บทบาทของพระสงฆ์ในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชนเขตปกครอง คณะสงฆ์ภาค ๙, รายงานการวิจัย, (พระนครศรีอยุธยา : สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๙), บทคัดย่อ. ๑๔ สัมภาษณ์ นายกัมปนาท พินแป๊ะ, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๑๕ สัมภาษณ์ นางสาวพัชรี ชะราประทีป, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๑๖ สัมภาษณ์ นางสาวสุดารัตน์ ชอบค้า, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๑๗ สัมภาษณ์ นางสาวกาญจนา อัปมระกา, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๑๘ สัมภาษณ์ นางสาวธนาภา ค าสวัสดิ์, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐.
๑๕๗ การฝึกสมาธิตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ท าให้นักเรียนมัธยมศึกษามีความซื่อสัตย์คือ มีความประพฤติตรงต่อเวลา ต่อหน้าที่คือการเรียน มีความจริงใจ ไม่มีความล าเอียง๑๙ ไม่ทุจริตคดโกง ทั้งทางตรงและทางอ้อม รู้หน้าที่การงานของตนเอง ปฏิบัติเต็มก าลังความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือผู้ที่มีสัจจะ คือผู้ที่มีความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผู้อื่น เช่น จะคิด จะพูด จะท าสิ่งใด ก็ต้องท าสิ่งนั้นให้ส าเร็จลุลวงไปด้วยดี สิ่งนั้นต้องเป็นความจริง มีประโยชน์กับตนเองผู้อื่น และส่วนรวม จะประกอบกิจใดๆ ก็มีความจริงจัง จริงใจ ต่อเนื่อง มีความซื่อตรงต่อเวลาต่อหน้าที่คือ การเรียน๒๐ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริตคดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและคนอื่น ๆ ๒๑ เมื่อมีปัญหาไม่สบายใจก็จะปรึกษาครู พ่อแม่ และเพื่อน นอกจากนี้ยังมีผลต่อการปฏิบัติตามกฎของโรงเรียนคือปฏิบัติตามกฎของโรงเรียน และยังเชื่อฟังค าสอนของครูและผู้ปกครองอีกด้วย๒๒ จากการสัมภาษณ์ครูและผู้ปกครองได้ทราบแนวทางการพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษา ดังกล่าวได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ ไพศาล มั่นอก ได้ท าวิจัยเรื่อง “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมี ส่วนร่วมในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาขนาดเล็ก : กรณีศึกษาของ นักเรียนโรงเรียนวิเศษชัยชาญวิทยาคม” ผลการวิจัย พบว่า ผลการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โรงเรียนวิเศษชัยชาญวิทยาคมในรอบที่ 1 ในการวางแผนคณะผู้วิจัยใช้กลยุทธ์ 5 อย่าง ได้แก่ 1 ) กล ยุทธ์การเข้าค่ายคุณธรรม 2) กลยุทธ์การสอนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม 3) กลยุทธ์วันพุธพบพระ ละกิเลส 4) กลยุทธ์ส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในชีวิตประจ าวัน และ 5) กลยุทธ์ศูนย์ พัฒนาการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ 6 กิจกรรมย่อย คือ กิจกรรมการ ปลูกมะนาว กิจกรรมการปลูกผักพื้นบ้าน กิจกรรมการเลี้ยงปลา กิจกรรมการเลี้ยงกบ กิจกรรมการ เพาะเห็ดภูฏาน และกิจกรรมการท านาข้าวหอมนิล ผลการปฏิบัติการในรอบแรกตามกลยุทธ์ 5 กลยุทธ์ พบว่า นักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรมโดยภาพรวมค่าเฉลี่ยระดับมากที่สุด ในวงรอบที่ 2 ของ การปฏิบัติการ ผลการปฏิบัติการ พบว่า นักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรมโดยภาพรวมค่าเฉลี่ย ระดับมาก ที่สุด และมีผลการติดตามและประเมินผลการด าเนินงานพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนวิเศษชัยชาญวิทยาคม หลังจากการปฏิบัติการทั้ง 2 วงรอบของการปฏิบัติการ พบว่า หลัง การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมด้วยกลยุทธ์ทั้ง 5 กลยุทธ์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1) การมีความ ซื่อสัตย์สุจริต 2) การมีความขยันอดทน 3) การมีสติปัญญา และ 4) การมีความเพียร๒๓ ทั้งนี้ เป็นเพราะนักเรียนมัธยมศึกษาได้ผ่านการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ท าให้เกิดจิตส านึกในความ ๑๙ สัมภาษณ์ นางสาวชุติมา แสนสุริยวงศ์, เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๐ สัมภาษณ์ นางสาวสุดารัตน์ วิเศษ, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๑ สัมภาษณ์ นางสาวพิริยาภรณ์ บัตรศิริมงคล, ครูผู้สอน, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๒ สัมภาษณ์ นางสาวเต็มฤทัย แสนสุธา, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๓ ไพศาล มั่นอก, การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาขนาดเล็ก : กรณีศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวิเศษชัยชาญวิทยาคม, วารสารสุทธิปริทัศน์, ปีที่ 28 ฉบับที่ 88 (ตุลาคม - ธันวาคม 2557) : ๙๙.
๑๕๘ ซื่อสัตย์ จริงใจ มีศักดิ์ศรี เมื่อมีปัญหาปรึกษาครูโดยส่วนใหญ่ เด็กจะปรึกษาเรื่องการเล่าเรียน เมื่อเก็บของตกหล่นได้จะน าไปแจ้งที่คุณครูเสมอเพื่อส่งคืนเจ้าของ ๔. ด้านความอุตสาหะ ผู้วิจัยได้สังเกตและสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมนักเรียน จากผล ของการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ได้ท าให้พัฒนาจริยธรรมในด้านความอุตสาหะ พากเพียร อดทน อดกลั้น มุ่งมั่นในการเรียน เช่น - แต่ก่อนไม่มีความอดทนต่อการด่าทอของครูแต่ตอนนี้อดทนต่อค าด่าของครูและพ่อแม่ โดยไม่ทอดทิ้งงานที่ได้รับมอบหมายทุกที่ได้รับมอบหมาย ไม่โกรธเมื่อผู้อื่นตักเตือน มีผลการเรียน ตามที่คาดหวังไว้ และท าให้มีความอดทนต่อการเรียนการสอนของคุณครู๒๔ จนท าให้ได้ไปแข่งทักษะ ทางวิชาการจนได้ระดับที่น่าพอใจและท าให้ไม่เกรงกลัวงานที่ยากล าบาก๒๕ - ขยันท างานในหน้าที่ ที่รับผิดชอบ มีความรับขยันและรับผิดชอบในงานที่มอบหมาย ส่วนน้อยที่ยังไม่สามารถรับผิดชอบงานได้เต็มที่ อาจจะเกิดจากเด็กไม่ชอบท างานที่ได้รับมอบหมาย๒๖ - ไม่ทอดทิ้งงานที่ได้รับมอบหมาย รับผิดชอบงานที่ได้รับหมอบหมาย ไม่ทอดทิ้งกลางคัน ส่วนน้อยที่ท างานไม่ส าเร็จ อาจจะเป็นเพราะการมอบหมายงานไม่เหมาะสมกับเด็ก๒๗ - ผู้อื่นตักเตือน และติชมได้ ไม่โกรธเคือง บางครั้งอาจจะมีการโต้แย้ง เพราะไม่พอใจใน เรื่องที่ติเตือนที่ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ท าให้เด็กเกิดการต่อต้านและใช้อารมณ์๒๘ จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองได้ทราบแนวทางการพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษา ดังกล่าวได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ สิทธิศักดิ์ แก้วทา ได้ท าวิจัยเรื่อง “แนวทางการด าเนินงาน ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดพิจิตร” ผลการวิจัย พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา ต้องมีการพัฒนาตนเองด้านคุณธรรม จริยธรรม และต้องมีส่วนร่วมใน ทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดกิจกรรม สถานศึกษาต้องมีแผนงาน โครงการเกี่ยวกับกิจกรรมพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมที่เหมาะสม ชัดเจน และปฏิบัติตามแผนที่วางไว้และสถานศึกษาควรแต่งตั้ง คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนให้ชัดเจน เหมาะสม๒๙ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วิไลวรรณ สาลาสุตา ได้ท าวิจัย เรื่อง “การเสริมสร้าง คุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ด สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1” ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมของ นักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ด มีนักเรียนจ านวนหนึ่งสมควรได้รับการปรับปรุงและ พัฒนาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความมีระเบียบวินัย ด้านความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้านความประหยัด ด้านความซื่อสัตย์ และด้านความรับผิดชอบ ผู้วิจัยและกลุ่มผู้ร่วมวิจัยได้ ๒๔ สัมภาษณ์ นางสาวเต็มฤทัย แสนสุธา, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๕ สัมภาษณ์ นางสาววาสนา แสงค า, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๖ สัมภาษณ์ นางสาวฑนัญญา สุวรรณอ าไพ, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๗ สัมภาษณ์ นางสาวดรุณี เกษหอม, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐” ๒๘ สัมภาษณ์ นางสาวพัชรินทร์ เดชค าภู, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๒๙ สิทธิศักดิ์ แก้วทา, แนวทางการด าเนินงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน มัธยมศึกษา จังหวัดพิจิตร, วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์, ปีที่ 7 ฉบับที่ 20 (กันยายน – ธันวาคม 2555) : ๔๙.
๑๕๙ ด าเนินการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนในด้านต่างๆ ด้วยการวางแผนด าเนินการ การจัด สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้าง คุณธรรมจริยธรรม และการนิเทศติดตามผล ส่งผลให้การด าเนินงาน ผลการพัฒนาประสบผลส าเร็จ เป็นที่น่าพอใจ โดยนักเรียนมีพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรมอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ๓๐ ทั้งนี้เป็นเพราะ นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการฝึกสมาธิหลักสติปัฏฐาน ๔ ควบคู่กับความพอใจที่ได้รับแรงเสริมทางบวกท า ให้นักเรียนแต่ละคนยังคงแสดงนิสัยการเรียนที่พึงประสงค์ต่อไป การที่นักเรียนที่ได้รับการฝึกสมาธิ ร่วมกับการปรับพฤติกรรมด้วยการเสริมแรงทางบวก จึงเป็นวิธีหนึ่งที่เหมาะสมกับการส่งเสริมการมี นิสัยการเรียนที่ดี ๕. ด้านความกตัญญูผู้วิจัยได้สังเกตและสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมนักเรียน จากผล ของการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ท าให้นักเรียนได้พัฒนาจริยธรรมในด้านความกตัญญู คือการรู้ อุปการคุณที่ผู้อื่นกระท าแล้วแก่ตนผู้ใดก็ตามที่ท าคุณแก่ตนแล้ว ไม่ว่าจะมากก็ตาม น้อยก็ตามแล้วก็ ตามระลึกนึกถึง ด้วยความซาบซึ้งไม่ลืม มีหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินชีวิตของมนุษย์ที่มีชีวิต ร่วมกันอยู่ในชุมชน ให้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในชีวิตประจ าวัน มีความสัมพันธ์กันในหน่วยงาน องค์กร ต่าง ๆ ทั้งทางภาครัฐ เอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนต่างๆ เช่น - ท าหน้าที่พุทธศาสนิกชน ท าบุญตักบาตร ทอดกฐิน ให้ทานแก่คนจน ช่วยเหลือสาธารณ กุศลตามก าลังของตน เป็นต้น๓๑ - กิจกรรมการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เยาวชน จ าเป็นต้องเริ่มแต่เด็ก เพราะอายุ ก่อน ๖ ปีจะสามารถบันทึกจริยธรรมในช่วงนั้นได้มากที่สุด พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ผู้ใกล้ชิดของเด็กในวัย นี้จึงมีบทบาทส าคัญมาก๓๒ - ในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และควรท าอย่างต่อเนื่องผ่านทางกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกหลักสูตร จนกระทั่งเด็กเหล่านี้เข้าสู่การเรียนในระบบ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึง ระดับอุดมศึกษา เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การปลูกฝังทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ยังคงต้องด าเนิน ต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อให้นักศึกษาเป็นทั้งคนเก่ง คนดีและมีความสุข๓๓ ผลจากการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียน ที่เข้าฝึกสมาธิหลักสติปัฏฐาน ๔ มีความรับผิดชอบดีขึ้น มีวินัยในตัวเอง คือตื่นนอนแต่เช้า ท างานที่ได้รับมอบหมาย ท าภาระหน้าที่เรียบร้อยทันเวลาที่ก าหนด และเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน ๓๐ วิไลวรรณ สาลาสุตา, การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนพระกุมาร ร้อยเอ็ดสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1, วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ; ว.มรม. ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม 2552) : 45. ๓๑ สัมภาษณ์ นายล าเพย ศรีสถาน, ผู้ปกครองเยาวชน, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๓๒ สัมภาษณ์ นางสุธิดา สาตารม ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนผดุงนารี, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๓๓ สัมภาษณ์ นายสมชิต ภูวนาท, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาชัย, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐.
๑๖๐ มีสัมมาคารวะ๓๔ และยังท าให้รู้จักเอาใจเขามาใจใส่เรา ที่ส าคัญคือกลัวแม่จะรอนาน พอเลิกเรียน เสร็จต้องรีบกลับไปบ้าน เพื่อช่วยงานแบ่งเบาภาระของท่าน๓๕ นอกจากนี้ยังพบว่านักเรียนหลังการ ฝึกสมาธิ จะมีพฤติกรรมการเรียนด้านการแบ่งเวลาเรียน การฟัง การอ่าน การจดบันทึก การจ าและ การเตรียมตัวสอบ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดี๓๖ การเข้าแถวหน้าเสาธงนักเรียนจะตั้งใจฟังค าสั่งสอน และเป็นระเบียบเรียบร้อยดีขึ้นหลังจากได้รับการฝึกสมาธิหลักสติปัฏฐาน ๔ ๓๗ ท าให้สภาพจิตของ เยาวชนอยู่ในสภาพพร้อมและง่ายแก่การปลูกฝังคุณธรรมต่าง ๆ และเสริมสร้างนิสัยที่ดีรู้จักท าใจให้ สงบและยับยั้งผ่อนเบาความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจได้เรียกอย่างสมัยใหม่ว่ามีความมั่นคงทางอารมณ์ และมีภูมิคุ้มกันโรคทางจิตการฝึกสมาธิท าให้ข้าพเจ้ามีจิตใจที่ผ่องใส ไม่ฟุ้งซ่าน โดยเชื่อฟังค าสั่งของ ผู้ปกครองและครู ไม่เคยไปโรงเรียนสาย และส่งการบ้านเป็นประจ าทุกครั้ง๓๘ จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองได้ทราบแนวทางการพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษา มีความสอดคล้องกับงานวิจัยของกรมวิชาการ อธิบายไว้ว่า การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นเป้าหมายที่ส าคัญเป็นอุดมการณ์ของชาติที่ทุกฝ่ายที่จัดการศึกษาให้กับยุวชน ต้องบูรณาการกระบวนการปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์ ให้ได้การจัดการเรียนการสอนตามแบบพุทธ วิธีหรือหลักพุทธปรัชญา น ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนจะท าให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่เปี่ยมด้วย คุณธรรมจริยธรรม มีความคิดสร้างสรรค์ มีพฤติกรรมที่งดงามทั้งกาย วาจา ใจ๓๙ ทั้งนี้ จากการ ประเมินผลที่นักเรียนได้มาเข้าอบรม พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ดีขึ้น มีการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามแนวปฏิบัติที่พระอาจารย์แนะน า สั่งสอน และพาปฏิบัติ ๔.๓.๔.๒.๒ ด้านการพัฒนาคุณภาพจิต หลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักการปฏิบัติกัมมัฏฐาน เพื่อพัฒนากาย พัฒนาจิต และการ พัฒนาปัญญา จากผลการรวบรวมข้อมูลจากการสังเกตและแบบสัมภาษณ์ในภาคสนาม ผลการ ประเมินการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ จากการสังเกตพฤติกรรมและการสัมภาษณ์ครู ผู้ปกครอง นักเรียน และผู้ที่เกี่ยวข้อง พบว่า - จิตจะสงบ ปราศจากอารมณ์ร้อน และหลงมัวเมา ขณะสวดมนต์ท าวัตร๔๐ ๓๔ สัมภาษณ์ นายโชดก สามารถ, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาชัย, เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๐. ๓๕ สัมภาษณ์ นางสาวพัฒระภี บุตรเรียง, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๓๖ สัมภาษณ์ นางปรียานุช จันทราช รองผู้อ านวยการโรงเรียนผดุงนารี, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๓๗ สัมภาษณ์ นายนิคม วิทาโน ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนผดุงนารี, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๓๘ สัมภาษณ์ นายเกียรติภูมิ ศิริกุล, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๓๙ กรมวิชาการ, คู่มือหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๔๖ (ส าหรับเด็กอายุ ๓ - ๕ ปี), (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๗), หน้า ๓. ๔๐ สัมภาษณ์ นายสมชัย คงถ่วงวงศ์, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐.
๑๖๑ - จิตใจเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับบทสวดมนต์ไม่ฟุ้งซ่าน๔๑ - ได้สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ กล่าวคือ เสียงเสมอกัน นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย๔๒ - มีความอดทนในขณะสวดมนต์ เพราะต้องใช้เวลานาน ๔๓ - การสวดมนต์ภาวนาเป็นการสั่งสมบุญบารมี จิตใจสงบ นอนหลับสบาย ไม่ฝันร้าย๔๔ - การสวดมนต์เป็นการบริหารร่างกายอย่างหนึ่ง เช่น การยกมือ การประนมมือ การก้ม กราบ การเปล่งเสียงท าให้ปอดขยาย ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น สร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยแก่ร่างกาย๔๕ จากการสอบถามนักเรียนเองและสอบถามผู้ปกครองของเยาวชนอย่างเป็นระยะ ที่เข้ารับ การฝึกอบรม และสอบถามคณะครูและผู้ปกครองนักเรียน บ้างครั้งก็ไปเยี่ยมที่โรงเรียน และบ้านของ นักเรียน นอกจากกิจกรรมการท าวัตรสวดมนต์เช้า-เย็นแล้ว มีอีกกิจกรรมหนึ่งที่ลืมไม่ได้ที่ส่งผลต่อ ด้านจิตใจของพุทธบุตร คือ การเจริญสมาธิภาวนา คือการท าสมาธิให้เกิดขึ้น การฝึกอบรมจิตใจให้ เจริญด้วยสมาธิ หรือการน าสมาธิมาใช้ประโยชน์ในการฝึกอบรมจิตใจ๔๖ ท าให้ส่งผลต่อจิตใจของ ผู้ปกครอง บางครั้งท าให้ผู้ปกครองร้องไห้เพราะนิสัยที่กล่าวมาข้างต้น หลังจากเยาวชนผ่านการ ฝึกอบรมค่ายคุณธรรมมาแล้วท าให้ให้เยาวชนมีนิสัยที่ดีขึ้น๔๗ การฝึกสมาธิยังช่วยพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมด้านความมีระเบียบวินัย คือโดยปกติ ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยมีระเบียบวินัยเท่าไร พอได้ฝึกสมาธิหลักสติปัฏฐาน ๔ ท าให้มีระเบียบวินัยโดย เชื่อฟังผู้ปกครองและครู และส่งการบ้านเป็นประจ า๔๘ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เพื่อพัฒนา จริยธรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ท าให้นักเรียนมีความสงบ มีสมาธิในการเรียนไม่ท าผิดวินัย ของโรงเรียน ไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านเป็นประจ า รู้จักคิดและมีกระบวนการคิดที่ดี๔๙ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ มีผลต่อการพัฒนาด้านจิต ในด้านต่างๆ ดังนี้ ๑. หลักสติปัฏฐาน ๔ สามารถสร้างศรัทธาความเชื่อมั่นในการท าความดีให้เห็นคุณค่า ของคุณธรรมจริยธรรม ด้วยการสร้างแรงจูงใจให้บุตรได้เกิดฉันทะในกุศลธรรม จนเกิดความอยาก ๔๑ สัมภาษณ์ นายอาวุธ เคลือแดง, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๒ สัมภาษณ์ นางวาทินี ทองอาสน, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๓ สัมภาษณ์ นายอาวุธ เคลือแดง, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๔ สัมภาษณ์ นายอาวุธ เคลือแดง, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๕ สัมภาษณ์ นายทวี พิมสินธุ, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๖ สัมภาษณ์ นายอาวุธ เคลือแดง, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๗ สัมภาษณ์ นายสุริยัน เบ้าหัวดง, ผู้ปกครองเยาวชน, เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๘ สัมภาษณ์ นางสาวมินตรา โคตรสีเขียว, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ๔๙ สัมภาษณ์ นายครองทรัพย์ สายสุวรรณ, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาวิชานุกูล, เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐.
๑๖๒ กระท าในสิ่งที่ดีเพราะมีความมั่นใจในการกระท าและผลของการกระท า บิดามารดาควรปลูกฝังให้ บุตรมีความศรัทธาในกุศลธรรม โดยเริ่มจากการปลูกฝังให้เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถท าได้ และเชื่อมั่นในผลของการกระท าที่จะพึงได้รับ ตลอดจนปลูกฝังให้มีความละอายและเกรงกลัวต่อการ กระท าความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มีความศรัทธาในพระรัตนตรัย ยึดมั่นอยู่ในหลักค าสอนของ ศาสนา เพราะความศรัทธาเป็นแรงจูงใจส าคัญที่จะน าไปสู่การพัฒนาตนเองตามแนวทางที่ตนเชื่อมั่น และสามารถน าไปสู่การพัฒนาปัญญาได้ ๒. หลักสติปัฏฐาน ๔ สามารถปลูกฝังให้มีจิตใจมีความมั่นคง เข้มแข็ง จิตไม่หวั่นไหวด้วย อารมณ์ที่ยั่วยุต่างๆ ที่ได้ประสบ บิดามารดาจะต้องปลูกฝังทักษะทางอารมณ์แก่บุตร ให้บุตรสามารถ ประคองจิตของตน ให้มีความหนักแน่นไม่อ่อนไหวไปตามสิ่งยั่วยุที่เกิดขึ้น ด้วยการฝึกจิตให้มีสมาธิ มั่นคง สามารถ ข่มจิตใจต่ออารมณ์ที่มากระทบได้จนมีจิตใจที่มั่นคง เป็นสมาธิและมีความเบิกบาน แจ่มใส มีสุขภาพจิตดี ๓. หลักสติปัฏฐาน ๔ สามารถปลูกฝังให้มีคุณลักษณะทางจิตใจ ให้ประกอบด้วยคุณธรรม ต่างๆ เช่น การมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์จริงใจ ความอดทน ความมีสติ จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองได้ทราบแนวทางการพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษา ได้มี ความสอดคล้องกับงานวิจัยของพุฒินาท ทรงสมบัติชัย ได้ท าวิจัยเรื่อง “ผลการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ ต่อความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๕” เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) พบว่า หลังการ ทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองสูงขึ้นกว่าก่อนการ ทดลอง และสูงขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม และในระยะติดตามผลหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนน ความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองไม่ลดลง๕๐ มีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ รุ้งสวรรค์วรรณสุทธิ์ได้ท าวิจัยเรื่อง “ลักษณะทางพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับลักษณะ ทางจิตสังคม” พบว่า ควรเสริมสร้างในเรื่องของการปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวม และเรื่องของการวางแผน ในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ควรพัฒนาและเสริมสร้างลักษณะทางพุทธศาสนา และลักษณะทางจิต สังคม โดยเฉพาะ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แก่นักศึกษาเพื่อให้นักศึกษามีพฤติกรรมในการปฏิบัติงานที่ดี ยิ่งขึ้นเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง อันจะเป็นพื้นฐานที่ส าคัญในการพัฒนาประเทศ๕๑ มีความสอดคล้องกับ งานวิจัยของ วรวุฒิ อินทนนท์ได้ท าวิจัยเรื่อง “การเปรียบเทียบการเรียนรู้อย่างมีความสุขของ นักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ และนักศึกษาที่เรียนตามปกติของนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ คณ ะศิลปศาสตร์และวิทยาศ าสต ร์ มห าวิทยาลัยนครพน ม” โดยใช้การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ผลจากการวิจัย พบว่า นักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ ๕๐ พุฒินาท ทรงสมบัติชัย, ผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน 4 ต่อความฉลาดทาง อารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารศึกษาศาสตร์ ฉบับวิจัย บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ปีที่ 4 ฉบับที่ 4 (ตุลาคม - ธันวาคม 2553) : 138. ๕๑ รุ้งสวรรค์ วรรณสุทธิ์, ลักษณะทางพุทธศาสนาและลักษณะทางจิตสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมในการ ปฏิบัติงานของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตปทุมธานี, รายงานการวิจัย, (กรงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๔๐), บทคัดย่อ.
๑๖๓ และนักศึกษาที่เรียนตามปกติ มีการเรียนรู้อย่างมีความสุขแตกต่างกัน และนักศึกษาที่ได้รับการฝึก สมาธิแบบอานาปานสติ มีการเรียนรู้อย่างมีความสุขมากกว่านักศึกษาที่เรียนตามปกติ๕๒ เมื่อกล่าวโดยสรุป การพัฒนาทางด้านจิตให้มีความเข็มแข็งนั้น ต้องรู้จักที่จะฝึกฝนตนเอง และรู้จักปรับปรุงตนเอง เพราะผู้ที่มีสมาธิเข้มแข็งและอดทน ที่ผ่านการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว ย่อมเป็น ผลของการพัฒนาทางกาย วาจา และทางจิต และมีผลประโยชน์อย่างมากต่อผู้ด าเนินชีวิตในสังคม และหลักสติปัฏฐาน ๔ สอนให้รู้จักการด าเนินชีวิตอย่างมีสติตามดูรู้ทันพฤติกรรมทางกายวาจา ความรู้สึกนึกคิด และสภาวจิตของตนที่เป็นไปต่างๆ เอามาเป็นความรู้ส าหรับใช้ประโยชน์อย่างเดียว ไม่ยอมเปิดช่องให้ประสบการณ์และความเป็นไปเหล่านั้น เป็นอันตรายแก่ชีวิตจิตใจของตนได้เลย ประโยชน์ข้อนี้ย่อมเป็นไปในชีวิตประจ าวัน การฝึกสมาธิหลักสติปัฏฐาน ๔ สามารถพัฒนาเชาว์ อารมณ์ด้านดี ซึ่งประกอบด้วยการรู้จักควบคุมตนเอง การเอาใจใส่ในหน้าที่การงาน ท าให้นักเรียนมี สติในการท างานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤตกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาทั้งในด้านศีลธรรม จรรยา มารยาท และการด ารงชีวิตประจ าวัน ซึ่งส่งผล กระทบในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้ ๑. ผลต่อตนเอง ได้แก่ การมีจิตใจดีขึ้น ผ่องใส สงบ สุขุมเยือกเย็น ปลอดโปร่ง มีสติปัญญา ความจ าดีขึ้น สามารถคิดอะไรได้ชัดเจนแจ่มใส ถูกต้อง นึกคิดแต่ในสิ่งที่เป็นกุศล ประโยชน์ซึ่งท าให้มีบุคลิกภาพดีขึ้นคือ ท าให้เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ มีความมั่นคงทางอารมณ์ เชื่อมั่นใน ตนเอง ไม่หวั่นไหวเกี่ยวพันกับอบายมุข มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ด าเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องดีงาม ๒. มีผลต่อชีวิตประจ าวัน ได้แก่ มีความผ่อนคลาย สามารถจัดล าดับการท างานได้ ไม่วุ่นวาย ท าให้ประสิทธิภาพในการท างาน การตัดสินใจดีขึ้น ซึ่งท าให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นคน เฉื่อยชา ท าให้การเรียนดีขึ้น สามารถที่จะจ าและเข้าใจในบทเรียนได้ดี ๓. มีผลต่อศีลธรรมจรรยา ได้แก่ ท าให้รู้จักเสียสละ มุ่งท าประโยชน์แก่ส่วนรวม ไม่เห็น แก่ตัว ซึ่งท าให้เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ ไม่หลงผิด มีความประพฤติดี ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม และท าให้ เป็นผู้มีสัมมาคารวะ อ่อนน้อม รู้จักบุญคุณผู้อื่น ๔. มีผลต่อครอบครัว ได้แก่ ครอบครัวมีความสุข ไม่เป็นคนเอาแต่อารมณ์ มีความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน ซึ่งท าให้ครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดี อบอุ่น รักใคร่สามัคคี ช่วยกันสร้างฐานะความ เป็นอยู่ที่ดี ท าให้มีความเจริญก้าวหน้า ๕. มีผลต่อสังคมประเทศชาติได้แก่ ช่วยป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม เช่น อบายมุข สิ่งเสพ ติด อาชญากรรม อันเกิดจากจิตใจหวั่นไหวต่ออ านาจกิเลส ช่วยให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ซึ่งช่วยให้ สังคมเจริญก้าวหน้า มีประสิทธิภาพในการท างาน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการรักษาวินัย กฎหมาย บ้านเมือง ๕๒ วรวุฒิ อินทนนท์, การเปรียบเทียบการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบ อานาปานสติ และนักศึกษาที่เรียนตามปกติของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย นครพนม, วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม, ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2554) : 14 – 22.
๑๖๔ ๖. มีผลต่อพระพุทธศาสนา ได้แก่ ท าให้เป็นผู้เข้าใจพระพุทธศาสนา มีสัมมาทิฏฐิมีที่พึ่ง ทางใจที่ถูกต้อง ท าให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และมุ่งส่งเสริมท านุบ ารุงศาสนาให้เจริญก้าวหน้า ตามหลักพระพุทธศาสนาจะต้องน าหลักธรรมมาปฏิบัติ การด าเนินชีวิตให้สอดคล้องกับ ความเป็นจริงที่มีอยู่ของธรรมชาติและมีการด าเนินชีวิตทั้งทางกายกับจิต และสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวข้อง กันในชีวิตต่างๆ เช่น สังคมในครอบครัว คือบิดามารดา และสังคมในระดับชุมชน คือ มิตร ครู อาจารย์ให้สอดคล้องและสัมพันธ์กันกับหลักหรือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ๔.๔ สรุป ผลของการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่มีผลต่อการพัฒนาจริยธรรมของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษา หลังจากการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่มีต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ท าให้นักเรียนมีความรับผิดชอบมาก ขึ้น มีวินัยในตัวเอง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ร่วมกิจกรรมของโรงเรียนดีขึ้น ท าให้มีจิตใจและมี บุคลิกลักษณะเข้มแข็ง หนักแน่น มั่นคง มีเมตตา กรุณา มองดูรู้จักตนเองและผู้อื่นตามความเป็นจริง เตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมและง่ายแก่การปลูกฝังคุณธรรมต่าง ๆ และเสริมสร้างนิสัยที่ดีความ มั่นคงทางอารมณ์และมีภูมิคุ้มกันโรคทางจิต ประโยชน์ข้อนี้จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นในเมื่อใช้จิตที่มีสมาธินั้น เป็นฐานปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน คือด าเนินชีวิตอย่างมีสติตามดูรู้ทันพฤติกรรมทางกายวาจา ความรู้สึกนึกคิดและภาวะจิตของตนที่เป็นไปต่างๆ มองทุกอย่างมาเป็นความรู้ส าหรับเป็นครูและ น ามาใช้ให้เกิดประโยชน์เนื่องจากการปฏิบัติสมาธิหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นวิธีการฝึกคนให้เจริญงอก งาม ให้เข้าใจถึงสภาวธรรมตามที่เป็นจริง จิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมเป็นพื้นฐานที่มั่นคงดีแล้วย่อมจะ ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง ก่อให้เกิดความเจริญงอกงาม สามารถพัฒนาทางกาย วาจา และ ใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นทางไปสู่อิสรภาพและสันติสุขอย่างแท้จริง โดยการส ารวมใจให้มีสติ การน าหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน จึงมีความส าคัญและจ าเป็น อย่างยิ่ง เพื่อจะได้พัฒนาเยาวชนให้สามารถปฏิบัติหน้าที่กิจกรรมได้อย่างปกติสุข และยังได้ชื่อว่าเป็น ผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้อยู่ใกล้นิพพานยิ่งขึ้นอีกด้วย นับเป็นการปฏิบัติที่ไม่เสื่อมถอย เพื่อท าตนเองให้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีเพราะถ้ายังไม่สิ้นกิเลสอาสวะ มนุษย์ก็จ าเป็นต้องพัฒนาตน จนกระทั่งบรรลุ ถึงปรมัตถประโยชน์สูงสุด คือความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จากความเป็นปุถุชนสู่อริยชน ซึ่งสามารถสละโลกิยวิสัยเสียได้แล้วย่อมไม่มาเกิดสู่ภพใด ๆ อีกต่อไป จัดเป็นผู้พัฒนาตนดีแล้ว และ เป็นแสงสว่างของตน คือ สร้างที่พึ่งถาวรอย่างที่ใคร ๆ ก็ที่พึ่งอันหาได้ยากนี้
บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง “การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) เพื่อศึกษาหลักสติปัฏฐาน 4 (๒) เพื่อศึกษาสภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน 4 (3) เพื่อสร้างและทดลอง ใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน 4 (4) เพื่อประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลัก สติปัฏฐาน 4 ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้รูปแบบทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณร่วมกัน (Mixed methodology) แบ่งการวิจัยออกเป็น ๔ ระยะ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างง่าย และการค านวณกลุ่ม ตัวอย่างตามแบบของทาโร ยามาเน่ (Yamane) มีการจัดสนทนากลุ่มครูในโรงเรียนมัธยมในเขต อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม (Focus Group) ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของเยาวชนในเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วยพระสงฆ์ ครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชน และเจ้าหน้าที่ต ารวจในชุมชนเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีการคัดเลือกจากครู ประจ าชั้นและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จากทั้งหมด ๖ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โรงเรียนละ 5 คน รวมทั้งสิ้นเป็นจ านวน 30 คน มีว ิธีการน าเสนอผลการวิจัย ดังนี้ ส่วนที่ ๑ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมืองมหาสารคาม ส่วนที่ ๒ ศึกษาสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน โรงเรียนในอ าเภอเมืองมหาสารคาม ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย ๖ โรงเรียน รวมทั้งหมด ๕,๓๑๘ คน ใช้การสุ่มอย่างง่ายและ ค านวณกลุ่มตัวอย่าง ตามแบบของทาโรยามาเน่ (Yamane) จ านวน ๓๗๒ คน ส่วนที่ ๓ สภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จาการใช้กระบวนการสนทนากลุ่มแบ่งออกเป็น ๖ กลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ คณะครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชนและเจ้าหน้าที่ต ารวจในชุมชน ต่างๆ ในเขตอ าเภอเมืองมหาสารคาม จ านวน ๖๐ คน ส่วนที่ ๔ การสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จากโรงเรียน มัธยมศึกษา โดยการคัดเลือกครูประจ าชั้นและผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน โรงเรียนละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน
๑๖๖ ส่วนที่ ๕ ประเมินชุดกิจกรรมการปรับใช้สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของนักเรียน จากแบบประเมินนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ๕.๑ สรุปและอภิปรายผลการวิจัย ๕.๑.๑ สรุป ๑. ผลจากการศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย ๖ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคาม พิทยาคม และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมทั้งหมด ๕,๓๑๘ คน ใช้การสุ่มอย่าง แบบง่าย และการค านวณกลุ่มตัวอย่าง ตามแบบทาโรยามาเน่ (Yamane) จ านวน ๓๗๒ คน การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย ระยะที่ ๑ ใช้เครื่องมือการเก็บ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบส ารวจสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จ านวน ๒๐ ข้อ ในระยะที่ ๑ มีวิธีการด าเนินการวิจัย ดังนี้ ๑. ศึกษาเอกสาร หนังสือ ต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ๒. วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษา เพื่อก าหนดเป็นโครงสร้าง ขอบเขตเนื้อหา และปัญหาของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม แล้วน าแนวคิดและทฤษฏีมาสร้างเป็นแบบส ารวจสภาพปัญหา น าเสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของภาษา ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อเสนอแนะการใช้ ภาษาในข้อค าถามให้กระชับ แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน าในแต่ละประเด็น มาจัดหมวดหมู่ ปัญหากับความต้องการให้ชัดเจน และวิเคราะห์เพื่อสร้างชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ๓. ให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน ๕ คน ได้ตรวจสอบเครื่องมือการวิจัย น าเครื่องมือที่สร้างขึ้นมา หาค่าดัชนีความสอดคล้องตามวัตถุประสงค์รายข้อ (Index of Item – Objective Congruence) ๕. การทดสอบหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (Reliability) ผู้วิจัยน าแบบสอบถามที่ผ่าน การแก้ไขปรับปรุงจากผู้เชี่ยวชาญมาทดสอบความเชื่อมั่น โดยการขออนุญาตเก็บข้อมูลตัวอย่าง (Try out) โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับประชากรที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้ จ านวน ๓๐ คน เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) ผู้วิจัยได้ค่าสัมประสิทธิ์ ของความสอดคล้องรายข้อ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความ เชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ ๐.๗๖
๑๖๗ ผลจากการศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม (๑) หลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตามระลึก รู้กาย) เวทนาสติปัฏฐาน (การตามระลึกรู้เวทนา) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตามระลึกรู้จิต) และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตามระลึกรู้ธรรม) เป็นหลักธรรมส าคัญในพระพุทธศาสนาที่สอน ให้เรียนรู้ปรากฎการณ์ของสติหรือจิต เพื่อสร้างความสมดุลทางกาย ความรู้สึก และเห็นความจริง อย่างลึกซึ้งภายในร่างกายของมนุษย์ ผู้ปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ จะได้รับประโยชน์ในปัจจุบันคือ ร่างกายและจิตใจแข็งแรงมากขึ้น ประโยชน์ภายภาคหน้าคือ การไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น และประโยชน์ สูงสุดคือ การเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นภาวะหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ตามหลักการ พระพุทธศาสนา ๒. ระยะที่ ๒ สภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ใช้กระบวนการสนทนากลุ่มแบ่งออกเป็น ๖ กลุ่ม โดยใช้เนื้อหาวัดสภาพปัญหาและความต้องการพัฒนาพฤติกรรม มีผู้วิจัยเป็นผู้อ านวยการ โครงการวิจัย และผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้จดบันทึกการสนทนากลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ คณะครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชนและเจ้าหน้าที่ต ารวจในเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จ านวน ๖๐ คน เพื่อค้นหาสภาพปัญหาพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนติดเกม ติดยาเสพติด/การ พนันมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หนีเรียน ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ผู้ปกครอง และร่วมกันคัดเลือกนักเรียนที่มี ปัญหาเข้ารับการอบรม เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม สภาพการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม พบว่า หลักสติปัฏฐาน ๔ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียน ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ ๒.๙๓ และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ ๐.๙๙ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า สภาพการ เรียนรู้ด้านจิตตานุปัสสนา คือ การรู้เท่าทันจิตใจ มีค่ามากที่สุดคือ มีค่าเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ ๓.๑๕ และ มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ ๐.๘๗ รองลงมา สภาพการเรียนรู้ด้านกายานุปัสสนา คือการ รู้เท่าทันกาย มีค่าในระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ ๓.๑๒ และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เท่ากับ ๑.๑๑ ตามล าดับ ๓. ระยะที่ ๓ การสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผู้วิจัยได้เลือกผู้เชี่ยวชาญ จ านวน ๕ คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมท้องถิ่น สื่อและสารสนเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้าน จัดฝึกอบรมนักเรียน ผู้เชี่ยวชาญด้านรูปแบบ และหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญการวัดและประเมินผล มาสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) และตรวจสอบการสร้างชุดกิจกรรม ได้พิจารณาความ เหมาะสมของชุดกิจกรรม และตรวจสอบความตรงของเนื้อหา (Content Validity)
๑๖๘ การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย ระยะที่ ๓ ๑) แบบประเมินส าหรับผู้เชี่ยวชาญประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม (๑.๑) ศึกษาเอกสาร แนวคิด หลักการ และวิธีการสร้างแบบสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) แบบมีโครงสร้าง (๑.๒) ร่างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เพื่อตรวจสอบให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อเสนอแนะ (๑.๓) จัดเวทีวิพากษ์ชุดกิจกรรมเพื่อปรับปรุงให้มีความเหมาะสมของเนื้อหา โดยก าหนดเป็นกรอบในการสร้างแบบสัมภาษณ์ (Focus Group Discussion) (๑.๔) ผู้วิจัยแก้ไขตามข้อเสนอแนะด้านการจัดหมวดหมู่ให้มีความชัดเจน (๑.๕) น าชุดกิจกรรมอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ที่ได้แก้ไขแล้วไป ทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จากโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยการคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน ๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน ผลจากการสร้างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ทั้งการเตรียม ครูผู้สอน การประชุมก่อนและหลังการเรียนการสอนเพื่อวางแผนการบูรณาการร่วมกัน วิธีการอบรม รวมถึงการลงพื้นที่ส ารวจสภาพพื้นที่จริง สามารถประเมินค่าความเหมาะสมของหลักสูตร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( X =๓.๔๐) และผลจากการทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้ หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาโดย ทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จากโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยการคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและผู้สมัครใจ สามารถประเมินค่าความเหมาะสมของหลักสูตร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( X =๓.๔๐) ๔. ระยะที่ ๔ ประเมินชุดกิจกรรม ดังนี้ ๑) เครื่องมือวิจัยระยะที่ ๔ ได้แก่ แบบประเมินนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลัก สติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ๒) กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนในอ าเภอเมือง โดยคัดเลือก จากครูประจ าชั้นและนักเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน โรงเรียนละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน ผลจากการประเมินชุดกิจกรรมอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ซึ่งเป็นกระบวนการทวนซ้ าการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้กับกลุ่มตัวอย่างที่ต่างออกไป จากกลุ่มตัวอย่างการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่อยู่ในระยะ ที่ ๓ เพื่อที่จะเป็นการยืนยันให้ชัดเจนว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นใช้ได้จริง และ เสริมสร้างทักษะด้านปริยัติและผลสัมฤทธิ์ทางการปฏิบัติให้เกิดกับผู้เรียนได้จริง ไม่ใช่เพียงแต่เกิดผล
๑๖๙ กับกลุ่มทดลองที่ผู้วิจัยด าเนินการสอนเองในขั้นที่ ๓ เท่านั้น โดยทดสอบผู้เข้าอบรม ก่อนเข้าอบรม และหลังเข้าอบรม พบว่า ผู้เข้าอบรมมีความรู้เพิ่มขึ้นทุกคน ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ( X =๓.๔๐) สอดคล้องกับผลบันทึกจากการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ซึ่งแสดงผลว่ากลุ่มตัวอย่างมีความ ตั้งใจในการปฏิบัติ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปฏิบัติได้ถูกต้องตรงตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ๕.๑.๒ อภิปรายผล การวิจัยเรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีผลการวิจัยที่ผู้วิจัยน ามา อภิปรายผล ดังนี้ ๑. สภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับ งานของ ทิพย์ธิดา ณ นคร และ พระมหาโสภณ วิจิตฺตธมฺโม ได้เขียนบทความวิชาการ เรื่อง “สติ ปัฏฐาน ๔ กับการพัฒนาตนในชีวิตประจ าวัน” พบว่า การมีสติเข้าไประลึกรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ ตนเอง โดยมีสติเป็นประธานหรือการตั้งสติเข้าไปพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็น จริง การมีสติก ากับดูสิ่งต่าง ๆ และความเป็นไปทั้งหลายให้รู้เท่าทันตามสภาวะของสิ่งนั้น ๆ ไม่ถูก ครอบง าด้วยความยินดียินร้ายที่ท าให้มองเห็นเพียงไปตามอ านาจกิเลส การเจริญสติโดยใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ นี้เป็นเครื่องช าระใจให้บริสุทธิ์ท าให้เราทั้งหลายเข้าใจค าว่า รูปนาม และไตรลักษณ์ได้ดี ยิ่งขึ้น รู้จักวิธีด าเนินชีวิตที่ถูกต้องไม่หลง ไม่มัวเมา และเป็นคนมีเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียน หรือเอา รัดเอาเปรียบกัน เป็นคนว่าง่ายสอนง่าย ไม่มีมานะทิฏฐิไม่ถือตัว มีกาย วาจา ใจบริสุทธิ์และสามารถ ควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ ท าให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ซึ่งสอดคล้องกับงานของ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) (๒๕๔๙) ได้อธิบายถึงการพัฒนามนุษย์ไว้ในหนังสือ “พุทธ วิธีการบริหาร” ว่า การศึกษาอบรมในพระพุทธศาสนายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ดังเห็นได้จากการ จัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพัฒนาการและวุฒิภาวะของผู้เรียน โดยที่พระพุทธเจ้าทรงเทียบ ความพร้อมในการศึกษาเล่าเรียนของบุคคลเข้ากับบัวสี่เหล่า และทรงจ าแนกประเภทของบุคคลที่จะ เข้ารับการศึกษาอบรมไปตามจริต ๖ และที่ส าคัญคือ พระพุทธเจ้ามุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น การบริหารงานบุคคลในพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้ามาบวชที่ต้องมีการ กลั่นกรองโดยคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ให้คณะสงฆ์ในการให้การอุปสมบทแก่ กุลบุตร เมื่อบวชเข้ามาแล้ว พระบวชใหม่จะต้องได้รับการฝึกหัดอบรมและการศึกษาเล่าเรียนจากพระ อุปัชฌาย์ โดยอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่านจนพรรษาครบ ๕ พรรษา ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ รุ้งสวรรค์วรรณสุทธิ์(๒๕๔๐) เรื่อง “ลักษณะทางพุทธศาสนาและลักษณะทางจิตสังคมที่มีผล ต่อพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตปทุมธานี” พบว่า ลักษณะทางพุทธศาสนาและลักษณะทางจิตสังคม ได้แก่ ความเชื่ออ านาจในตน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทัศนคติต่ออาชีพการเกษตรและการรับรู้การสนับสนุนทางสังคม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรม ในการปฏิบัติงานของนักศึกษา นอกจากนี้ ยังพบว่าลักษณะทางพุทธศาสนามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ ลักษณะทางจิตสังคม ได้แก่ความเชื่ออ านาจในตนแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทัศนคติต่ออาชีพการเกษตรและ การรับรู้การสนับสนุนทางสังคม
๑๗๐ ๒. ผลจากการสร้างและทดลองชุดกิจกรรมการอบรมการใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พุฒินาท ทรงสมบัติชัย (๒๕๕๓) เรื่อง “ผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ ต่อความฉลาดทาง อารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕” พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง และ สูงขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ และในระยะติดตามผล หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองไม่ลด ซึ่งสอดคล้องกับงาน บทความทางวิชาการของ อารีย์ นุ้ยบ้านด่าน (๒๕๕๕) เรื่อง “การฝึกปฏิบัติสมาธิแบบวิปัสสนา ในยามเจ็บป่วย” พบว่า การฝึกปฏิบัติสมาธิแบบวิปัสสนา ต้องมีตัวรู้ คือ สติ โดยเข้าไปรู้ในกาย เวทนา จิต และธรรมให้รู้ในสิ่งที่เรากระท าอยู่ รู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย รู้สิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจ ผู้ปฏิบัติอาจฝึกโดยเดินธรรมชาติ รู้เท้าซ้าย - ขวา แล้ว นั่งสมาธิโดยรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งอาจรู้ลมกระทบจมูก หรือรู้ที่ปลายลมโดยดูการเคลื่อนขึ้น - ลงของ ท้อง (พอง - ยุบ) ขณะฝึกปฏิบัติต้องรู้เท่าทันสิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วย เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส รู้ร้อน เย็น แข็ง ตึง และการคิด เป็นต้น ถ้าร่างกายแข็งแรงดี ก็อาจเดินจงกรมระยะที่หนึ่ง (ขวา ย่างหนอ - ซ้าย ย่างหนอ) ๒๐ นาที และนั่งสมาธิ ๒๐ นาที ส่วนบุคคลที่ไม่มีแรงเดินสามารถใช้การนั่งหรือนอนในการฝึกปฏิบัติ โดยใช้การเคลื่อนไหวของมือแทน การเดิน แค่ยกมือขึ้นลงทั้งมือขวาและมือซ้ายหรือท า เฉพาะมือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้โดยรู้อยู่ที่การ เคลื่อนไหวมือ ๒๐ นาที แล้วหลับตาเข้าสมาธิ๒๐ นาที ในสภาวะของการเจ็บป่วย บางคนแม้แต่มือก็ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ยังมีลมหายใจ มีความรู้สึก จึงสามารถปฏิบัติโดยตามรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ในสิ่งที่กระทบไม่ว่าเป็นทุกขเวทนา เจ็บปวด หายใจล าบาก แน่น เป็นต้น หรือรู้จิตใจ เช่น กลัว เศร้า เครียด กังวล เป็นต้น ให้รู้ไปตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ วรวุฒิ อินทนนท์เรื่อง “การเปรียบเทียบการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาที่ได้รับการฝึก สมาธิแบบอานาปานสติ และนักศึกษาที่เรียนตามปกติของนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ คณะศิลปศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม” โดยใช้การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ผลจาก การวิจัย พบว่า ๑) นักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติและนักศึกษาที่เรียนตามปกติ มีการเรียนรู้อย่างมีความสุขแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๒) นักศึกษาที่ได้รับการ ฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ มีการเรียนรู้อย่างมีความสุขมากกว่านักศึกษาที่เรียนตามปกติ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ณรงค์ชัย ปัญญานนทชัย (๒๕๔๐) ได้ท าการศึกษาวิจัย เรื่อง “ผลของ การฝึกสมาธิต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ ๒ และ ๓ ของคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” โดยใช้กลุ่มทดลอง ๒๒ คน กลุ่มควบคุม ๓๖ คน ใช้เวลาฝึกสมาธิ๑ เดือน โดยฝึกสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง ผลการศึกษาพบว่า หลังการฝึกสมาธิผู้เข้ารับการ ฝึกสมาธิมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากกว่าผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกสมาธิอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑
๑๗๑ ๓. ผลการประเมินชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ สอดคล้องกับ งานวิจัยของ ทิพย์ธิดา ณ นคร และ พระมหาโสภณ วิจิตฺตธมฺโม (๒๕๖๒) ได้เขียนบทความเรื่อง “สติปัฏฐาน ๔ กับการพัฒนาตนในชีวิตประจ าวัน” สรุปได้ว่า สติเข้าไปพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็น เท่าทันตามความเป็นจริง การมีสติก ากับดูสิ่งต่าง ๆ และความเป็นไปทั้งหลายให้รู้เท่าทันตามสภาวะ ของสิ่งนั้น ๆ ไม่ถูกครอบง าด้วยความยินดียินร้ายที่ท าให้มองเห็นเพียงไปตามอ านาจกิเลส การเจริญ สติโดยใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ นี้เป็นเครื่องช าระใจให้บริสุทธิ์ ท าให้เราทั้งหลายเข้าใจค าว่า รูปนาม และ ไตรลักษณ์ได้ดียิ่งขึ้น รู้จักวิธีด าเนินชีวิตที่ถูกต้อง ไม่หลง ไม่มัวเมา และเป็นคนมีเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียน หรือเอารัดเอาเปรียบกัน เป็นคนว่าง่าย สอนง่าย ไม่มีมานะทิฏฐิ ไม่ถือตัว มีกาย วาจา ใจบริสุทธิ์ และสามารถควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ ท าให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ณ อภัย พวงมะลิ(๒๕๖๑) เรื่อง “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ของศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ าพระผาคอก อ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย” ผลการวิจัย พบว่า หลังการปฏิบัติพบว่าทั้งสองกลุ่มมีความ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้น มีความสุขความพอใจในชีวิตตนเอง เข้าใจ เพื่อนมนุษย์ มีสติปัญญาแก้ปัญหาในชีวิตได้ดีขึ้น เข้าใจและยอมรับความจริง ส าหรับความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นอกจากนั้น ยังพบแนวทางไปใช้ได้โดยเป็นแนวปฏิบัติเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะ ให้รู้ทันในปัจจุบันในสิ่งที่เกิดหรือปรากฏในฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งต้องรู้และ เข้าใจถึงลักษณะหรือคุณสมบัติสืบสาวไปถึงเหตุและปัจจัยที่ท าให้เกิดหรือปรากฏขึ้น รู้และเข้าใจถึง กระบวนการเกิด รู้และเข้าใจถึงเหตุและปัจจัยการดับตลอดจนท าการดับของรูปนามอย่างถ่องแท้ สามารถน าพาให้ผู้ฝึกปฏิบัติมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสติปัญญา คือ เป็นผู้ที่เก่งคน เก่งงาน และเก่งเรียนและสามารถสร้างประโยชน์สุขให้กับตนเองและผู้อื่นเกิดการ พัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อลิศา ริมดุสิต (๒๕๕๕) เรื่อง “แรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน : กรณีศึกษาผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานยุวพุทธิก สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ศูนย์ ๑) เพชรเกษม ๕๔” พบว่า หลักสูตรวิปัสสนา ส าหรับเยาวชนโดยพระวิปัสสนาจารย์และวิทยากรที่ทรงคุณวุฒิ โดยยึดหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ และมี กิจกรรมด้านปริยัติเพื่อส่งเสริมความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนา เช่น โครงการ ศึกษาพระอภิธรรม บรรยายพระไตรปิฎกและการสอนภาษาบาลีเป็นการเสริมศรัทธาของผู้ปฏิบัติ วิปัสสนาให้มั่นคงยิ่งขึ้น แรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้านสุขภาพจิต อยู่ในระดับมาก ที่สุดรองลงมาคือ ด้านความเชื่อทางศาสนาและด้านกาย ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และประสบการณ์การปฏิบัติวิปัสสนาที่แตกต่างกัน เป็นปัจจัยต่อแรงจูงใจใน การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแตกต่างกัน สถานภาพและรายได้ที่แตกต่างกัน ไม่เป็นปัจจัยต่อ แรงจูงใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่แตกต่างกัน ผลการวิจัยข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ มีประโยชน์ต่อนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง และสามารถท าให้ก าหนดรู้ในสภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเอง และรู้คุณค่าตัวเองมากขึ้น กล้าท าในสิ่งที่ดีและมีคุณค่าต่อชีวิตตนเองและผู้อื่น
๑๗๒ ๕.๒ ข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและ เป็นประโยชน์ต่อการท าวิจัยครั้งต่อไป ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๕.๒.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เทศบาลเมืองมหาสารคาม หน่วยงานราชการ หรือ สถานศึกษาอื่นๆ ควรน าหลักสติปัฏฐาน ๔ ไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ๒. หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรน าหลักสติปัฏฐาน ๔ ไปเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ทั้งใน ด้านหลักสูตรการอบรม การจัดท าสื่อวิดีทัศน์ และการจัดตารางอบรมเยาวชนและผู้มีปัญหา ๓. หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดอบรมเกี่ยวกับการปฏิบัติ ตนตามจรรยาบรรณในแต่ละวิชาชีพ เพื่อให้การด าเนินงานด้านการส่งเสริมจริยธรรมของแต่ละชุมชน ๔. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือทักษะเกี่ยวกับศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งจะช่วยให้ นักเรียนปรับตัวได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ๕.๒.๒ ข้อเสนอแนะเชิงวิจัย ๑. ควรวิจัยประโยชน์สติปัฏฐานต่อกลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มนิสิต/นักศึกษาและวัยรุ่น กลุ่ม คนท างานโสด กลุ่มคนท างานที่มีครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ โดยศึกษาถึงประโยชน์และการน าเอา ไปใช้ในชีวิตประจ าวัน เพื่อการพัฒนาตนให้เกิดปัญญาและความสุข แก่ตนครอบครัว และสังคม ๒ . ค วรวิจัยก ารป รับใช้ห ลัก ธรรมค าสอนเกี่ยวกับสติอย่ างง่ายในคัมภี ร์ท าง พระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ให้ประจักษ์และน ามาเผยแผ่ต่อสาธารณะเป็นวิถีในการด าเนินชีวิต ๓. ควรวิจัยประโยชน์ของวิปัสสนากัมมัฏฐานกับการแก้ไขปัญหาทางใจต่าง ๆ เช่น โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ โรคโกรธ และโมโหง่าย โรคย้ าคิดย้ าท า โรคซึมเศร้า โรคประหม่าขาด ความมันใจ เป็นต้น เพื่อประยุกต์หลักกัมมัฏฐานในการแก้ไขปัญหาสังคมในยุคปัจจุบัน ๔. ควรวิจัยเชิงกึ่งทดลองเพื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการปฏิบัติธรรมและควรน า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลตามขั้นตอนต่อไป
บรรณานุกรม ๑. พระไตรปิฎก ก. ข้อมูลปฐมภูมิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑, ๗, ๙ - ๑๔, ๒๐ - ๒๓, ๒๕, ๒๙, ๓๔ - ๓๕. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ๒. หนังสือ ข. ข้อมูลทุติยภูมิ กรมพระจันทบุรีนฤนาท. ปทานุกรมบาลี- ไทย - อังกฤษ - สันสกฤต. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘. กรมวิชาการ. คู่มือหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๔๖ (ส าหรับเด็กอายุ ๓ - ๕ ปี). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๗. . กรอบแนวคิดเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมที่เน้นความมีวินัยและความ เป็นประชาธิปไตย. กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ, ๒๕๔๑. ก่อ สวัสดิพาณิชย์. รายงานการสัมมนาจริยธรรมในสังคมไทยปัจจุบัน. ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ ส านักนายกรัฐมนตรี, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๒๒. กันยา สุวรรณแสง. จิตวิทยาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพมหานคร : อักษรพิทยา, ๒๕๔๒. จ าลองดิษยวณิช. จิตวิทยาของความดับทุกข์. เชียงใหม่ : บริษัท กลางเวียงการพิมพ์จ ากัด, ๒๕๔๔. ชัยพร วิชชาวุธ และ ธีระพร อุวรรณโณ. แนวคิดและพัฒนาการใหม่ในการปลูกฝังจริยธรรม. เอกสารการสอนชุดวิชาจริยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, กรุงเทพมหานคร : บางกอกบล็อก, ๒๕๓๐. . มนุษย์กับสังคม. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๐. ชุมพร สังขปรีชา. ปรัชญาและทฤษฎีการเมืองว่าด้วยธรรมชาติมนุษย์. กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑. ดวงเดือน พันธุมนาวิน.รายงานการสัมมนาจริยธรรมในสังคมไทยปัจจุบัน. ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ ส านักนายกรัฐมนตรี, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๒๒. ธานินทร์ ศิลป์จารุ. การวิจัยและวิเค ราะห์ข้อมูลท างสถิติด้วย SPSS. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ กรุงเทพมหานคร : บิสซิเนส อาร์ แอนด์ ดี, ๒๕๕๒. บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7 กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน, ๒๕๔๕.
๑๗๔ ประเทือง ภูมิภัทราคม. การปรับพฤติกรรม : ทฤษฎีและการประยุกต์. กรุงเทพมหานคร : โอ เอส พริ้นติ้ง เฮาส์, ๒๕๔๐. ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล. การฆ่าตัวตาย : การสอบสวนหาสาเหตุและการป้องกัน. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์ Identity group, ๒๕๔๒. ประสาน - ทิพวรรณ หอมพูล. จิตวิทยาทั่วไป. กรุงเทพมหานคร : พิศิษฐ์การพิมพ์, ๒๕๓๗. พรรณราย ทรัพยะประภา. จิตวิทยาอุตสาหกรรม. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๙ พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดกญาณสิทฺธิ). วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๑ ว่าด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ทั่วไป. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ, ๒๕๓๒. . หลักปฏิบัติสมถะ – วิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). การพัฒนาที่ยั่งยืน ๑. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๙. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖, . พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ 1๑ กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2552. พระพรหมโมลี, (วิลาศ ญาณวโร). กรรมทีปนีเล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ : ดอกหญ้ า, 2545. พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ. วิปัสสนาทีปนีฏีกา. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๐. พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว). คัมภีร์ปฏิรูปมนุษย์. พิมพ์ครั้งที่ ๕ กรุงเทพมหานคร : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์จ ากัด, ๒๕๔๗. พระราชวิสุทธิกวี(พิจิตร ฐิตวณฺโณ). การสั่งสมบุญ ด้วยการรักษาศีล. กรุงเทพมหานคร: สารการ พิมพ์, ๒๕๓๖. พระโสภณมห าเถระ (มหาสีสยาดอ) รจนา. แปลและเรียบเรียงโดยพระคันธสาราภิวงศ์, พระพรหมโมลี ตรวจช าระ. มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร: ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙. พินิจ รัตนกุล. ปัญหาจริยธรรมในสังคมไทยปัจจุบัน : ทัศนะของนักปรัชญา. ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๒๒. พุทธทาสภิกขุ. การสร้างเสริมจริยธรรมแก่เด็กวัยรุ่น. กรุงเทพมหานคร : สมชายการพิมพ์, ๒๕๓๑. . จิตว่างท าอย่างไรจึงจะว่าง. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร : ศักดิ์ชัยการพิมพ์, 2546. เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์. พัฒนาการมนุษย์. กรุงเทพฯ : คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549. โยธิน ศันสนยุทธ. จิตวิทยา. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๓๕.
๑๗๕ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร : บริษัท นานมี บุคส์พับลิเคชั่น จ ากัด, ๒๕๔๖. เรียม ศรีทอง. พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น จ ากัด, ๒๕๔๒. . พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒน าตน . กรุงเทพมห านคร : บ ริษัท เธิร์ด เวฟ เอ็ดดูเคชั่น จ ากัด, ๒๕๔๒. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น, ๒๕๓๘. ลักขณา สริวัฒน์. จิตวิทยาส าหรับครู. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๗. . จิตวิทยาในชีวิตประจ าวัน. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, 2549. ลักขณา สริวัฒน์. สุขวิทยาจิตและการปรับตัว. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕. วัลลภ ตังคณานุรักษ์. เด็กเร่ร่อน : ปัญหาและทางออก. กรุงเทพมหานคร : สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๔๐. วารีญา ภวภูตานนท์ณ มหาสารคาม.จิตวิทยาพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์ ชีวาภิวัฒน์, ๒๕๔๕. วินิช สุธารัตน์. ความคิดและความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น, ๒๕๔๗. ศรีเรือน แก้วกังวาล. จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย เล่ม 2 วัยรุ่น - วัยสูงอายุ. พิมพ์ครั้งที่ 8 แก้ไขเพิ่มเติม, กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2545. ศูนย์อ านวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จังหวัดมหาสารคาม. สรุปผลการด าเนินงาน ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน ปี ๒๕๕๖. มหาสารคาม : เอกสาร อัดส าเนา, ๒๕๕๖. ส.ศิวรักษ์. ปรัชญาการศึกษา : ศาสตร์และศิลป์แห่งการปฏิรูปการเรียนรู้.กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิ เด็ก, ๒๕๔๕. สงวน สุทธิเลิศอรุณ และคณะ. จิตวิทยาสังคม. กรุงเทพมหานคร : ชัยศิริการพิมพ์, ๒๕๒๒. สถาพร บุญเลี้ยง. จริยธรรมกับชีวิต. เลย : สถาบันราชภัฎเลย, ๒๕๓๖. สนอง ศิริกุลวัฒนา และ พ.ต.อ. สุวิชัย ศิริกุลวัฒนา. ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมถึง ฉบับที่ ๑๖ พ.ศ. ๒๕๔๖). กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์ พัฒนาหลักสูตร จ ากัด, ๒๕๔๖. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(พิมพ์ ธมฺมธโร). มงคลยอดชีวิต ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์ ธรรมสภา, ๒๕๓๙. สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. การปรับพฤติกรรม. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๖. สร้อยตระกูล (ติวยานนท์) อรรถมานะ. พฤติกรรมองค์การทฤษฎีและการประยุกต์.กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๑. ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. คู่มือครูเพื่อการพัฒนาจิตพิสัยในระบบการเรียนการ ส อ น . ก รุงเท พ ม ห าน ค ร : ส านั กง าน ค ณ ะ ก ร รม ก า ร วัฒ น ธ ร รม แ ห่งช าติ กระทรวงศึกษาธิการ, 2540.
๑๗๖ สุชา จันทน์เอม. จิตวิทยาเด็กเกเร. พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ ากัด, ๒๕๔๕. สุพัตรา สุภาพ. ปัญหาสังคม. พิมพ์ครั้งที่ ๒๐, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ ากัด, ๒๕๔๙. . สังคมและวัฒนธรรมไทยค่านิยมครอบครัวศาสนาประเพณี. กรุงเทพมหานคร : ไทย วัฒนาพานิช, ๒๕๔๒. สุภางค์ จันทวานิช. วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔ กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๙. สุวิมล ติ รก านันท์. การป ระเมินโค รงการ : แนวท างสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพมห านคร : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๔๓. เสรี วงษ์มณฑา. พฤติกรรมผู้บริโภค. กรุงเทพฯ : บริษัท ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์, ๒๕๔๒. งานวิจัย/ดุษฎีนิพนธ์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. “รายงานการส ารวจภาวะอาหารและโภชนาการของ ประเทศ ครั้งที่ ๕”, รายงานการวิจัย. โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์, ๒๕๔๙. ชาญชัย ฮวดศรี. “บทบาทของพระสงฆ์ในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชนเขตปกครอง คณะสงฆ์ภาค ๙”, รายงานการวิจัย. พระนครศรีอยุธยา : สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙. ณรงค์ชัย ปัญญานนทชัย. “ผลของการฝึกสมาธิต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของ นั ก ศึ ก ษ า ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า ต รี ชั้ น ปี ที่ ๒ แ ล ะ ๓ ข อ ง ค ณ ะ ต่ าง ๆ ใ น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”, รายงานการวิจัย. คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๐. ภาวิณี อยู่ประเสริฐ. “ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสารเสพติดของวัยรุ่นใน กทม.”, รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร : ส านักพัฒนาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ส านักงาน ป.ป.ส., ๒๕๔๖. รุ่งวิทย์ มาศงามเมือง และคณะ. “การบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ของนักเรียนไทย: สาเหตุและ การป้องกัน”, รายงานการวิจัย. นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓. รุ้งสวรรค์ วรรณสุทธิ์. “ลักษณะทางพุทธศาสนาและลักษณะทางจิตสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมในการ ปฏิบัติงานของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตปทุมธานี”, รายงานการ วิจัย. กรงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๔๐. วีนัส ศรีศักดา. “ศึกษาพฤติกรรมครอบครัวที่สัมพันธ์กับวุฒิภาวะทางอารมณ์ของวัยรุ่นในศูนย์ บ าบัดรักษายาเสพติดภาคเหนือ”, รายงานการวิจัย. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๕. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม, “การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางประชากรและครอบครัว : ผลกระทบต่อสังคมไทยและทางเลือกเชิงนโยบาย”, รายงานการวิจัย. นครปฐม : สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๔.
๑๗๗ สร้อยสุดา อิ่มอรุณรักษ์. “ผลของการฝึกอานาปานสติภาวนาที่มีต่อภาวะสุขภาพจิต”, รายงานการ วิจัย. นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓. สุธรรมมา วรนาวิน. “ผลของการปฏิบัติสมาธิที่มีต่อความฉลาดทางอารมณ์ : กรณีศึกษาผู้ปฏิบัติ ธรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติตามรอยเบื้องพระยุคลบ าทวัดโสมนัสวิห าร”, รายงานการวิจัย. พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์. “อุบัติเหตุจราจร: เหตุน าการตายในวัยรุ่น”, รายงานการวิจัย. ภาควิชา กุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, ๒๕๔๗. อลิศ า ริมดุ สิต . “แ รงจูงใจใน ก ารปฏิบั ติ วิปั สสน าก รรม ฐ าน : ก รณี ศึกษ าผู้เข้ าปฏิบั ติ วิปัสสนากรรมฐานยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ศูนย์ ๑) เพชรเกษม ๕”, รายงานการวิจัย. พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕. วารสาร ทิพย์ธิดา ณ นคร และ พระมห าโสภณ วิจิตฺตธมฺโม. สติปัฏฐาน ๔ กับการพัฒน าตนใน ชีวิตประจ าวัน. วารสารพุทธจิตวิทยา. ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑ (มกราคม - มิถุนายน ๒๕๖๒) : ๑๑๖. ณ อภัย พวงมะลิ. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนว สติปัฏฐานสี่ของศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ าพระผาคอก อ าเภอเวียงชัย จังหวัด เชี ยง ร า ย. ว า ร ส า รวิ ช า ก า ร Veridian E –Journal, Silpakorn University. ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ และศิลปะ, ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑ เดือน (มกราคม – เมษายน ๒๕๖๑) : ๑๕๘๘. ปัญญ์กรินทร์ หอยรัตน์. วัยรุ่นไทยกับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร. วารสารวิทยาลัยพยาบาล พระปกเกล้า จันทบุรี. ปีที่ 28 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2560) : ๑๗๔. ไพศาล มั่นอก. การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาขนาดเล็ก : กรณีศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวิเศษชัยชาญวิทยาคม. วารสารสุทธิปริทัศน์. ปีที่ 28 ฉบับที่ 88 (ตุลาคม - ธันวาคม 2557) : ๙๙. พุฒินาท ทรงสมบัติชัย. ผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔ ต่อความฉลาดทาง อารมณ์ด้านการตระหนักรู้ตนเองของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕. วารสารศึกษา ศาสตร์ ฉบับวิจัยบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) : ๑๓๘. วรวุฒิ อินทนนท์. การเปรียบเทียบการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาที่ได้รับการฝึกสมาธิแบบ อานาปานสติ และนักศึกษาที่เรียนตามปกติของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปะศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม. วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม. ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2554) : 14 – 22.
๑๗๘ วิไลวรรณ สาลาสุตา. การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนพระกุมาร ร้อยเอ็ดสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม ว.มรม. ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม 2552) : 45. สิทธิศักดิ์ แก้วทา. แนวทางการด าเนินงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียน มัธยมศึกษา จังหวัดพิจิตร. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์, ปีที่ 7 ฉบับที่ 20 (กันยายน – ธันวาคม 2555) : ๔๙. อารีย์ นุ้ยบ้านด่าน, การฝึกปฏิบัติสมาธิแบบวิปัสสนา ในยามเจ็บป่วย, วารสารพยาบาลสงขลา นครินทร์. ปีที่ 32 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๕๕) : ๖๙. หนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๑๐๐๘๔ (๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๘) : ๑๐. สัมภาษณ์ กัมปนาท พินแป๊ะ. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. กาญจนา อัปมระกา. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. เกตุศิรินทร์ ภาแกด า, ผู้ปกครอง. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ เกษม บุญบรรจง ผู้อ านวยการโรงเรียนมหาวิชานุกุล. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. เกียรติภูมิ ศิริกุล. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ขวัญใจ สายสุวรรณ ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาวิชานุกูล. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ครองทรัพย์ สายสุวรรณ, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาวิชานุกูล. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ค าใส สีเสนา, ผู้ปกครองเยาวชน. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. จิตรา พิกุลทอง, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนผดุงนารี. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. จุฬารัตน์ กุลวงค์. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. โชดก สามารถ, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาชัย. สัมภาษณ์ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๐. ฑนัญญา สุวรรณอ าไพ. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ดรุณี เกษหอม. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. เต็มฤทัย แสนสุธา. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ทวี พิมสินธุ, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ทิวา ศรีสุนทร. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ธนาภา ค าสวัสดิ์. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. นิคม วิทาโน ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนผดุงนารี. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. ปภัชญา ประทุมวัน. สัมภาษณ์ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๐. ประกายแก้ว วงศ์โพธิสาร, ผู้ปกครอง. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ ปรียานุช จันทราช รองผู้อ านวยการโรงเรียนผดุงนารี. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. พัชรินทร์ เดชค าภู. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐.
๑๗๙ พัชรี ชะราประทีป. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. พัฒระภี บุตรเรียง. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ พิริยาภรณ์ บัตรศิริมงคล, ครูผู้สอน. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. มินตรา โคตรสีเขียว. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. รัตนพันธ์ ศรีเคนขันธ์. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ล าเพย ศรีสถาน, ผู้ปกครองเยาวชน. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. วชิราภรณ์ โพนกองเส็ง. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. วรวัฒน์ เมฆเสน, สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. วรัญญา เบ้าหัวดง. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. วาทินี ทองอาสน, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. วาสนา แสงค า. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. วิไลรัตน์ ภูเมฆ, ผู้ปกครอง. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ สมชัย คงถ่วงวงศ์, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. สมชิต ภูวนาท, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาชัย. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. สมหมาย นันทจักร, ครูช านาญการพิเศษ โรงเรียนมหาชัย. สัมภาษณ์ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๐. สัจจพงษ์ ญาตินิยม รองผู้อ านวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม . สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. สาวชุติมา แสนสุริยวงศ์. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. ส าเนียง มาพร, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. สุกัญญา สมบัติตรา. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ สุกัญญา เสนา. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ สุดารัตน์ ชอบค้า. สัมภาษณ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐. สุดารัตน์ วิเศษ. สัมภาษณ์ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐. สุธิดา สาตารม ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนผดุงนารี. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. สุริยัน เบ้าหัวดง ผู้ปกครองเยาวชน. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. อมร เนื่องวงค์ษา. สัมภาษณ์๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ อาภาพร ปัญญาฟู ครูช านาญการโรงเรียนสารคามพิทยาคม. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. อาวุธ เคลือแดง, ครูช านาญการพิเศษโรงเรียนสารคามพิทยาคม. สัมภาษณ์ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐. ๓. ภาษาอังกฤษ Cronbach, L. J.. Essential of Psychological Testing. New York : Harper & Row, 1974. Pavlov, I.. Conditioned Reflexes. New York : Dover, 1927. kinner, B.G.. Science and Human Behavior. New York : Macmillan, 1953. Guthrie, E.R.. The Psychology of Learning. New York : Harper and Row, 1935. Thorndike, E.L.. Animal Intelligence (Original work published in 1911). Darien, C.T. : Hafner, 1970.