๘๔ ๒.๖.๓.๑ จริยธรรมขั้นพื้นฐาน จริยธรรมขั้นพื้นฐาน หมายถึง ศีลห้าหรือเบญจศีล ซึ่งถือว่าเป็นหลักธรรมพื้นฐานของ มนุษย์ เรียกว่า “มนุษยธรรม” คือ ระเบียบที่ก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมมนุษย์ ท าให้คนเป็น มนุษย์สมบูรณ์ และธรรมที่คู่กัน ก็คือเบญจธรรม ตามตารางเปรียบเทียบดังนี้ ตารางที่ ๒.๒ เปรียบเทียบหลักเบญจศีลและเบญจธรรม เบญจศีล เบญจธรรม ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒. เว้นจากการลักทรัพย์ ๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๔. เว้นจากการพูดปด ๕. เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ๑. มีเมตตากรุณาในสัตว์ ๒. เลี้ยงชีพในทางที่ถูกต้อง ๓. มีความส ารวมระวังในกาม ๔. พูดแต่ค าสัตย์ ค าจริง ๕. มีสติสัมปชัญญะไม่ประมาท ทั้งเบญจศีลและเบญจธรรม ที่เรียกว่าเป็นจริยธรรมขั้นมูลฐานนั้น เพราะเป็นข้อปฏิบัติ เบื้องต้น เป็นพื้นฐานรองรับคุณธรรมขั้นสูงขึ้นไป เช่นเดียวกับการลงรากเสาเข็มไว้เป็นอย่างดี ย่อม สามารถรับน้ าหนักอาคารสูงใหญ่หลายชั้นได้ การที่จะดูพื้นฐานหรือความมั่นคงของบุคคลก็สามารถที่ จะดูได้พร้อมหรือคาดคะเนได้ว่าเป็นอย่างไรโดยเอาหลักเบญจศีลและเบญจธรรมนี้เป็นเครื่องมือวัดได้ ๒.๖.๓.๒ จริยธรรมขั้นกลาง จริยธรรมขั้นกลาง ได้แก่ หลักกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ กุศลกรรมบถ แปลว่า ทางแห่งกุศลกรรมนี้เป็นทางฝ่ายดี ทางฝ่ายไม่ดีก็จัดห้ามไว้ เรียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ จะยกมาเปรียบเทียบให้ชัดเจน ดังนี้
๘๕ ตารางที่ ๒.๓ หลักอกุศลกรรมบถ ๑๐ และกุศลกรรมบถ ๑๐ ฝ่ายอกุศลกรรมบถ ๑๐ ฝ่ายกุศลกรรมบถ ๑๐ ๑. ปาณาติปาต ฆ่าสัตว์ ๒. อทินนาทาน ลักทรัพย์ ๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม ๔. มุสาวาท พูดเท็จ ๕. ปิสุณวาจา พูดส่อเสียด ๖. ผรุสวาจา พูดค าหยาบ ๗. สัมผัปปลาปะ วาจา พูดเพ้อเจ้อ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจาการฆ่าสัตว์ ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการลักทรัพย์ ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ ๕. ปิสุณายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากการพูดส่อเสียด ๖. ผรุสายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากการพูดค าหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ๘. อภิชฌา โลภอยากได้ของเขา ๙. พยาบาท ปองร้ายเขา ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม ๘. อนภิชฌา ไม่โลภอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่ปองร้ายเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม กล่าวโดยสรุป การกระท าทั้งทางดีและทางชั่ว ได้แก่ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ และ มโนกรรม ๓ นี้เรียกว่า จริยธรรมขั้นกลาง ทุกคนท าในฝ่ายที่ดีควรละเว้นในฝ่ายที่ไม่ดีเสีย ๒.๖.๓.๓ จริยธรรมขั้นสูง จริยธรรมขั้นสูง ประกอบด้วยธรรมที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เป็นปรมัตถธรรม หรือธรรมระดับที่ท าให้ผู้ปฏิบัติเป็นพระอริยบุคคล เป็นโลกุตตรธรรม คือ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ ปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา ๑๒ เป็นการกระท าทางกาย มี ๓ เป็นการกระท าทางวาจา มี ๔ เป็นการกระท าทางใจ มี ๓
๘๖ อริยสัจ ๔ อริยสัจ แปลว่า “ความจริงอันประเสริฐ” ความจริงที่ท าให้ส าเร็จเป็นอริยบุคคล ได้ มี ๔ อย่าง คือ ๑. ทุกข์ สภาพที่คงอยู่ไม่ได้ สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ๒. สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ตัณหาความทะยานอยาก ๓ อย่าง ๓. นิโรธ ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ได้แก่ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับตัณหาได้สิ้นเชิง ๔. มรรค ข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ได้แก่ มรรค ๘ อย่าง คือ สมุทัยและมรรค จัดเป็นเหตุ ส่วนทุกข์และนิโรธจัดเป็นผล ดังแผนภูมิแสดงเหตุผล ทุกข์ ผล สมุทัย นิโรธ เหตุ มรรค พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสรู้เรื่องทุกข์เป็นล าดับแรก คนทั่วไปรู้แต่ว่าตัวทุกข์แต่ไม่รู้ว่าอะไร มันมาท าให้ทุกข์ โดยสรุปทุกข์มี ๒ ประการ คือ ทุกข์ประจ า และทุกข์จร ถ้าจะแยกเป็นกองทุกข์ ทุกข์ประจ ามี ๓ กอง เรียกว่า สภาวะทุกข์ ทุกข์จรมี ๘ กอง เรียกว่า ปกิณณกทุกข์ ทุกข์ประจ า หรือ สภาวะทุกข์ คือ ๑. ชาติทุกข์ แปลว่า เกิดเป็นทุกข์ ๒. ชราทุกข์ แปลว่า แก่เป็นทุกข์ ๓. มรณทุกข์ แปลว่า ตายเป็นทุกข์ สภาวะทุกข์นี้เกิดมาแล้วต้องประสบทุกข์เหล่านี้ทุกคน ไม่มียกเว้น ไม่ว่าประเภทไหน สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทุกประเภทจะต้องมีด้วยกันทุกอย่าง ทุกข์จร หรือ ปกิณณกทุกข์ มี ๘ ประการ คือ ๑. โสกะ ความโลภ ความเสียใจ ๒. ปริเทวะ ความร าพัน บ่นเพ้อ ตัดอาลัยไม่ขาด ๓. ทุกขะ ความไม่สบายกาย เจ็บป่วย ๔. โทมนัสสะ ความน้อยใจ ความเสียใจ ๕. อุปายาสะ ความคับใจ ตรอมใจ ๖. สัมปโยคะ ความประสบสิ่งที่เกลียด ๗. วิปปโยคะ ความประสบสิ่งพรากจากสิ่งที่รัก ๘. นลภะ ความผิดหวัง ไม่ได้สิ่งที่ตนอยาก สมุทัย หมายถึงว่า อะไรท าให้คนทุกข์ พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่าสิ่งที่ท าให้เกิดทุกข์ เรียกว่า ตัณหา มี ๓ ประการ คือ ๑. กามตัณหา ความอยากในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ๒. ภวตัณหา ความอยากในภพ ได้แก่ ความอยากที่ประกอบด้วย สัสสตทิฏฐิ คือคิดว่า ตนและโลกเป็นของยั่งยืน ๓. วิภวตัณหา ความอยากที่ปฏิเสธภพ ได้แก่ ความอยากที่ประกอบด้วย อุจเฉททิฏฐิ คือเห็นผิดว่าตนและสัตว์ตายแล้วสูญ
๘๗ นิโรธ หมายถึง ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ธรรมเป็นที่ดับตัณหา การเข้าสู่นิพพานซึ่งมีทั้ง สอุปาทิเสส นิพพานและอนุปาทิเสสนิพพานหรือบุคคลที่เข้าถึงนิพพานของพระเสขะ และนิพพาน ของพระอเสขะ มรรค หมายถึง ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงว่า สิ่งนี้ทุกข์ สิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และสิ่งนี้เป็น ธรรมที่ดับทุกข์ได้ ตลอดจนสิ่งนี้เป็นแนวทางหรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ที่ได้ชื่อว่ามรรค เพราะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้ ๘ ประการ คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ความด าริชอบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ การท างานชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ สรุปได้ว่า พระพุทธศาสนามีพัฒนาการทางจริยธรรมเป็นล าดับขั้นไป คือ เริ่มจากจริยธรรม ขั้นพื้นฐานเป็นหลักปฏิบัติส าหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสงบสุข แล้วจึงเลื่อนมาสู่จริยธรรมขั้นกลาง เป็นจริยธรรมที่มุ่งเน้นขัดเกลาจิตใจจนสามารถควบคุมจิตใจของ ตนเองให้สะอาด สว่าง สงบ และประการสุดท้าย คือจริยธรรมขั้นสูงเป็นจริยธรรมที่เหมาะส าหรับผู้ ประเสริฐไกลจากกิเลส เป็นพระอริยะ ต้องการพ้นจากโลก ไร้ทุกข์ด้วยการปราศจากกิเลส ตัณหา เพื่อไปสู่จุดหมายอันสูงสุด คือนิพพาน ๒.๖.๔ หลักธรรมที่ส่งเสริมการเจริญกรรมฐาน ผู้ปฏิบัติจะต้องเลือกอารมณ์ให้เหมาะสมกับจริตของผู้ปฏิบัติแต่ละบุคคล ดังนี้ ๑. คนมีราคจริต เป็นคนที่มีนิสัยหนักไปในทางรักสวยรักงาม จะต้องเจริญกรรมฐาน ๑๑ อย่าง คือ อสุภะ ๑๐ อย่าง และกายคตาสติคือ มีสติอยู่กับกายให้เห็นตามสภาพที่เป็นส่วนประกอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นของไม่สะอาดอีก ๑ อย่าง ๒. คนมีโทสจริต ได้แก่คนที่มีนิสัยหนักไปในทางโทสะ เช่น หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย จะต้อง เจริญกรรมฐาน ๘ อย่าง คือ อัปปมัญญา ๔ (ธรรมที่แผ่ไปไม่มีประมาณ หมายถึง เมตตา คือ ความ ต้องการอยากให้เขามีสุข กรุณา คือ ความสงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์มุทิตา คือ ความพลอยยินดีเมื่อ ผู้อื่นได้ดีและอุเบกขา คือ การวางใจเป็นกลาง) และ วัณณกสิณ ๔ (กสิณที่มีสีซึ่งมีสีเขียว สีเหลือง สีแดง และสีขาว) ๓. คนมีโมหจริต ได้แก่ คนที่มีนิสัยหนักไปในทางโมหะโง่เขลา งมงาย และคนมีวิตกจริต ได้แก่คนที่มีนิสัยหนักไปในทางคิดจับจดฟุ้งซ่าน จะต้องเจริญอานาปานสติ ๔. คนมีสัทธาจริต ได้แก่ คนที่มีนิสัยหนักไปในทางศรัทธา เชื่อง่าย จะต้องเจริญอนุสสติ (อารมณ์ที่ควรระลึกถึงเนืองๆ) ๖ อย่าง คือ ๑) พุทธานุสสติคือ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ๒) ธัมมานุสสติคือการระลึกถึงพระคุณของพระธรรม ๓) สังฆานุสติคือ การระลึกถึงพระคุณของ จัดเป็นปัญญา จัดเป็นศีล จัดเป็นสมาธิ
๘๘ พระสงฆ์ ๔) สีลานุสสติคือ การระลึกถึงคุณของศีล ๕) จาคานุสสติคือ การระลึกถึงการบริจาค และ ๖) เทวดานุสสติคือ ระลึกถึงเทวดา ๕. คนมีพุทธิจริต ได้แก่คนที่มีนิสัยหนักไปในทางความรู้มักใช้ความคิด) จะต้องเจริญ เจริญกรรมฐาน ๔ อย่าง คือ ๑) มรณานุสสติคือ การระลึกถึงความตาย ๒) อุปสมานุสสติ คือ การระลึกถึงความสงบ ๓) อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ ความส าคัญหมายในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล ๔) จตุธาตุววัตถาน คือ การก าหนดธาตุ ๔ ๑๓๓ ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น เบื้องต้น เมื่อยืนก็ต้องตั้งสติก าหนดการยืน เมื่อเดิน จงกรมก็ต้องตั้งสติก าหนดการเดิน ซ้ายย่าง ขวาย่าง เมื่อนั่งก็ต้องตั้งสติก าหนดการพอง-ยุบของท้อง คนส่วนมากจึงมีความสงสัยว่า การก าหนดอย่างนี้ก็คือการก าหนดบัญญัตินั้นเอง เมื่อก าหนดบัญญัติ อยู่เช่นนี้จะได้ชื่อว่าเป็นการเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างไร ? ค าตอบในเรื่องนี้คือ ในตอนต้นของ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานผู้ปฏิบัติจะต้องก าหนดอารมณ์บัญญัติไปก่อนทั้งนี้เพื่อให้จิตสงบ เป็นขณิกสมาธิ(ต้องเป็นขณิกสมาธิเท่านั้น) ซึ่งเหมาะที่จะเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไป ไม่เช่นนั้น แล้วจิตจะไม่มีที่ก าหนดเพราะปรมัตถภาวะเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เมื่อภาวนาปัญญาแก่กล้าแล้ว อารมณ์บัญญัติจะหายไปเอง คงเหลือแต่ปรมัตถภาวะล้วน ๆ ๑๓๔ หากบัญญัติยังไม่หายไปตราบใด ก็ยังเป็นการเจริญสมถกรรมฐานอยู่ตราบนั้น วิปัสสนากรรมฐาน มีเป้าหมายอยู่ที่การบรรลุปัญญาญาณ ดังนั้น จึงต้องใช้องค์ประกอบ ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๓ ประการ คือ อาตาปีคือ ความเพียรเพื่อเผากิเลส สติมา คือ ความระลึกได้สัมปชาโน คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อม และใช้พละทั้ง ๕ อย่าง คือ สัทธาพละ ปัญญาพละ สมาธิพละ วิริยพละ และสติพละ มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติด้วย ในบรรดาพละทั้ง ๕ นี้สัทธาพละ กับปัญญาพละ สมาธิพละกับวิริยพละ ต้องมีพลังเสมอกัน ส่วนสติพละ อย่างเดียวเท่านั้นยิ่งมีพลังมาก ยิ่งเป็นผลดีต่อการปฏิบัติทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดปัญญา ที่เรียกว่า ญาณ ๒.๗ สาเหตุและปัญหาพฤติกรรมของวัยรุ่น ๒.๗.๑ สาเหตุของพฤติกรรมของวัยรุ่น ปัญหาวัยรุ่นเป็นปัญหาสังคมที่มีความรุนแรงและจ าเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่าง รีบด่วน การจะเข้าถึงสาเหตุของปัญหา จึงต้องศึกษาองค์ประกอบอื่นๆ ของสังคมที่มีผลต่อพัฒนาการ ด้านบุคลิกภาพ อุปนิสัย ความเชื่อต่างๆ ของวัยรุ่นร่วมด้วย ซึ่งสาเหตุของปัญหาอาจพิจารณาได้ ดังนี้ ๑๓๓ พระธรรมธีรราชมหามุนี, หลักปฏิบัติสมถะ – วิปัสสนากรรมฐาน, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หน้า ๑๗ – ๑๘. ๑๓๔ ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฏีกา, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๐), หน้า ๒๘๑ – ๒๘๒.
๘๙ ๒.๗.๑.๑ สาเหตุจากตัววัยรุ่นเอง ปัญหาวัยรุ่น มีสาเหตุมาจากตัววัยรุ่นเอง ได้แก่ ความผิดปกติของร่างกาย จิตใจ อันเนื่องมาจากสภาพความเจ็บป่วย ความพิการหรือกรรมพันธุ์ ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ ความด้อยทาง สติปัญญา ซึ่งในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป ท าให้ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในสังคมได้ บางครั้ง มีแรงผลักดันของสัญชาตญาณ ประกอบกับวัยรุ่นยังไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์ จึงอาจ ขาดสติความยั้งคิด และขาดความสามารถที่จะต่อต้านไม่ให้เกิดการกระท าที่ไม่เหมาะสม จึงท าให้ วัยรุ่นก่อปัญหาขึ้นได้ ดังนั้น จึงสรุปสาเหตุของปัญหาวัยรุ่นที่มีสาเหตุจากตัววัยรุ่นว่าเกิดจากสาเหตุ ใหญ่ๆ ๒ ประการ ได้แก่ ความผิดปกติของร่างกาย และการยังไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่อาจ น าไปสู่การกระท าที่ไม่เหมาะสมได้ดังรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๗.๑.๒ สาเหตุด้านครอบครัว ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานในการให้ความรักความอบอุ่นแก่สมาชิก มีอิทธิพลต่อการ ก่อปัญหาของวัยรุ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากครอบครัวมีอิทธิพลต่อการคบเพื่อนและการ ด าเนินชีวิตของวัยรุ่น เป็นแรงผลักดันวัยรุ่นสู่การกระท าที่ไม่เหมาะสม ลักษณะภายในครอบครัวที่มี อิทธิพลต่อการเกิดปัญหาของวัยรุ่น มีสาเหตุด้านครอบครัว ดังนี้ ๑. ครอบครัวที่พ่อแม่อบรมสั่งสอนแบบปฏิเสธ (Parent rejection) มีผลโดยตรงต่อ พฤติกรรมก้าวร้าวของบุตร (Aggressive) ท าให้เลือกคบเพื่อนมีพฤติกรรมเกเรและมีความรู้สึกมี คุณค่าในตนเองต่ า (Low Self-esteem) จึงใช้วิธีการเผชิญปัญหาแบบหลีกหนี(Avoidant coping style) โดยการใช้ยาเสพติดเป็นที่พึ่ง ขณะเดียวกันพ่อแม่ที่เป็นแบบอย่างในการใช้ยาเสพติด เช่น การดื่มเหล้า มีผลกระทบโดยตรงต่อวิธีการเผชิญปัญหาของวัยรุ่น เพราะวัยรุ่นเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาของ บิดามารดาโดยใช้เหล้า มีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อพ่อแม่ คบเพื่อนมีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นเดียวกัน สอดคล้องกับการศึกษาของ แมคเค (Mckay) ศึกษาครอบครัวที่มีปัญหาวัยรุ่น พบว่า ครอบครัวมี ความบกพร่องด้านบทบาท และการตอบสนองทางอารมณ์ การปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว ๒. ครอบครัวที่การสื่อสารล้มเหลว ระหว่างสมาชิกในครอบครัว การสื่อสารมีผลต่อ สัมพันธภาพของครอบครัว ถ้าหากบิดามารดาและวัยรุ่น มีการสื่อสารที่ขาดประสิทธิภาพ บิดามารดา และวัยรุ่นใช้ภาษาที่ต่างกัน จะท าให้ความผูกพันกันน้อย เกิดช่องว่างระหว่างวัย ย่อมท าให้เกิดความ ขัดแย้งระหว่างบิดามารดากับบุตร เนื่องจากในบางครั้งบิดามารดาพูดเฉพาะด้านลบกับบุตร ไม่มีการ ชมเชยหรือให้ก าลังใจเมื่อบุตรท าสิ่งที่ดี มีท่าทีที่คอยจับผิดบุตร พูดแบบจับผิดด่าว่าถากถาง ประชด เชิงยุยงให้บุตรท าความเลว เช่น “ไปเสพยาเสพติดเสียเลยถ้าท าดีไม่ได้” และมีท่าทีปฏิเสธบุตรอย่าง มากหรือมักรักบุตรมากเกินไป ปฏิเสธการกระท าความผิด ถึงแม้ว่าบุตรกระท าผิดจริง ท าเหมือนไม่รู้ ไม่เห็น เช่น การแสดงความรู้สึกว่าลูกเป็นเป็นคนดี“ไม่ใช่ลูกฉันที่ติดยาเสพติด” ท าให้บุตรเรียกร้อง ความสนใจจากบิดามารดาในวิธีที่ผิดด้วยการพูดโกหก ลักขโมย เล่นการพนัน หนีโรงเรียน กลับบ้าน ไม่ตรงเวลาหรือเริ่มใช้ยาเสพติด การสื่อสารแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับวัยรุ่น ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ ไม่มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันไม่ค่อยพูดคุยกับลูก ลูกจะไม่กล้าอธิบาย ปัญหาที่เกิดขึ้น เด็กรู้สึกว่าไม่มีใครรักหรือสนใจตนเอง ไม่กล้าแสดงออกไม่กล้าปรึกษาปัญหากับ ผู้ปกครองด้วยเช่นกัน
๙๐ ๓. ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ดี สัมพันธภาพในครอบครัวไม่ดีเป็นสาเหตุของปัญหา วัยรุ่นพบว่า ส่วนใหญ่ครอบครัวไม่กลมเกลียวกัน มารดาเป็นบุคคลไม่บรรลุวุฒิภาวะ อารมณ์ไม่คงที่ บางครั้งแสดงความรักลูกหรือเกลียดลูก ส่วนมากมาจากครอบครัวแตกแยกหรือหย่าร้าง ขาดบิดาหรือ มารดาบางครั้งขาดทั้งบิดาและมารดาต้องไปอาศัยอยู่กับคนอื่น ท าให้บุตรขาดคนเอาใจใส่ขาดความ อบอุ่นจากครอบครัว เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกเครียดอยู่ตลอด ไม่อยากกลับเข้าบ้านเพื่อพบกับ สภาพดังกล่าว หาทางออกจากบ้านหรือ กลับจากโรงเรียนไม่กลับบ้าน แต่ไปบ้านเพื่อนเพื่อแสวงหา สิ่งทดแทน สอดคล้องกับสภาพภายในครอบครัวเด็กและเยาวชนที่กระท าผิดคดียาบ้าในสถานพินิจ คุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง พบว่า บรรยากาศในครอบครัวมีแต่ความขัดแย้ง พ่อแม่และสมาชิกใน ครอบครัวปฏิบัติต่อกันโดยขาดการใช้เหตุผล ไม่พยายามท าความเข้าใจ แสดงออกมาในลักษณะการ ทะเลาะกันจนกระทั่งมีการใช้ก าลังอยู่เสมอ มีแต่ปัญหา ไม่รักกัน ไม่ใส่ใจกัน ขาดการท ากิจกรรม ร่วมกัน ไม่มีการสนทนาพูดคุยกัน ต่างคนต่างมีความเป็นส่วนตัว แยกห่างออกจากกันไม่อาจรู้ สารทุกข์สุกดิบของกันและกัน แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันแต่ดูเหมือนจะห่างไกลกัน ท าให้เด็กและวัยรุ่นรับรู้ ว่าตนเองห่างเหินกัน ขาดความรักต่อกันเด็กและวัยรุ่น จึงหันความสนใจไปสร้างสัมพันธภาพกับ บุคคล นอกครอบครัว โดยเฉพาะเพื่อนซึ่งเป็นบุคคลที่มีความส าคัญมาก เพื่อที่จะแสวงหาความสุข ให้กับตนเองชั่วขณะ๑๓๕ ๔. ครอบครัวที่บิดามารดาเป็นแบบอย่างในการใช้ยาเสพติด ไม่เห็นความส าคัญของการ เป็นแบบอย่างที่ดีกับบุตร เพราะตนเองยังปฏิบัติในสิ่งไม่ถูกต้องอยู่ การศึกษาพบว่า พ่อแม่ที่ดื่ม แอลกอฮอล์ส่งผลถึงรูปแบบการแก้ไขปัญหาแบบหลีกหนีปัญหาของบุตร บุตรจะเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหา เวลาเครียดหรือผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการใช้แอลกอฮอล์ของพ่อแม่ บุตรจะเลียนแบบพ่อแม่แล้วเริ่ม ใช้ยาเสพติดชนิดแรกคือการดื่มแอลกอฮอล์น าไปสู่พฤติกรรมอื่น ๆ ตามมา การดื่มแอลกอฮอล์ จะท าให้รูปแบบการแก้ไขปัญหาและการสื่อสารไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีเวลาเอาใจบุตรท าให้ขาดความ มั่นคงและความไว้วางใจในสังคม๑๓๖ ๕. ครอบครัวที่บิดามารดาเข้มงวดกับกฎ ระเบียบมากเกินไป บังคับให้อยู่ในกฎระเบียบ บุตรไม่สามารถท าตามความคาดหวังได้ใช้วิธีการลงโทษ หรือบางครั้งปกป้องบุตรมากเกินไป เกิดความขัดแย้งในใจ เมื่อเกิดปัญหาบุตรไม่กล้าพูดคุยปรึกษากับบิดามารดา ท าให้ความสัมพันธ์ใน ครอบครัวไม่ดี เกิดแรงกดดันท าให้เด็กเกลียดบ้าน ออกไปเผชิญชีวิตนอกบ้าน ในทางตรงข้าม ครอบครัวที่ตามใจบุตรมากเกินไป ไม่ว่าเด็กต้องการอะไรจะได้รับการตอบสนอง ครอบครัวประเภทนี้ จะส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมที่ผิดแผกจากมาตรฐานของสังคมได้ เช่น ชอบมีอาวุธปืน ชอบเที่ยวตาม สถานเริงรมย์ จ่ายฟุ่มเฟือยจนติดนิสัย ไม่รู้จักรับผิดชอบต่อต้านในสิ่งที่พ่อแม่ให้ท า ด้วยการท าสิ่งที่ ผิดและใช้ยาเสพติดเป็นที่พึ่งเมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ๑๓๕ สาวิตรี ทยานศิลป์, สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www. hiso.or.th [๖ เมษายน ๒๕๖๐]. ๑๓๖ ภาวิณี อยู่ประเสริฐ, “ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสารเสพติดของวัยรุ่นใน กทม.”, รายงานการวิจัย, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพัฒนาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ส านักงาน ป.ป.ส., ๒๕๔๖), หน้า ๑๑.
๙๑ ๖. ครอบครัวที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่ า รายได้ไม่แน่นอน ขาดทั้งปัจจัย ๔ และด้อย การศึกษา ขาดทักษะในการประกอบอาชีพไม่มีสวัสดิการ บิดามารดาต้องออกไปท างานนอกบ้าน เนื่องจากการมีบุตรหลายคนจึงต้องประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ าหรือหากินรายวัน ท างานหนักตลอด วันบางทีลูกก็ต้องช่วยพ่อแม่ท างานด้วย ทุกคนต้องดิ้นรนรับประทานอาหารและพักผ่อนไม่เพียงพอ ท าให้อารมณ์เสียง่าย พ่อแม่จึงไม่มีเวลาดูแลบุตรได้อย่างใกล้ชิดและทั่วถึงเลี้ยงบุตรตามยถากรรม ขาดการอบรมสั่งสอนชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง เด็กอาจจะไปท าในสิ่งที่ผิดหรืออาจประพฤติชั่วได้ นอกจากนี้ความยากจนท าให้มีสภาพที่อยู่อาศัยที่เสื่อมโทรม มีความเป็นอยู่แบบหิวโหยอดอยาก ตลอดเวลาเกิดการเจ็บป่วยไม่มีเงินที่จะหายามารักษาปล่อยให้หายเองตามธรรมชาติและยังบีบบังคับ จิตใจให้วุ่นวายมีความต้องการในเรื่องต่างๆ ความสวยงามที่ล่อตาล่อใจแต่ไม่สามารถซื้อหาได้ จิตใจ ฟุ้งซ่านไม่สามารถยับยั้งน าสู่การกระท าผิดได้ง่าย เช่น การลักขโมย การค้ายาเสพติด การขายตัวซึ่งมี รายได้ดีได้เงินมาตอบสนองความต้องการ ๗. ครอบครัวที่บิดามารดามีการศึกษาต่ า ครอบครัวด้อยการศึกษาขาดความเข้าใจที่ ถูกต้องที่จะอบรมสั่งสอนลูกบางครั้งมีความรู้ไม่จริงเกี่ยวกับปัญหาวัยรุ่น ไม่รู้ว่าจะสอนลูกเรื่องอะไรจึง ท าให้ขาดความมั่นใจที่จะสอนและอบรมบุตร ประกอบกับขาดทักษะในการสอนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้น คุยกับลูกไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้อย่างไรทั้งที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็ได้เพียงบอกลูกไม่ให้ไปยุ่ง เกี่ยวเมื่อรู้ว่ามันไม่ดี ซึ่งขัดต่อธรรมชาติของวัยรุ่นที่ต้องการทดลองจึงต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง ๒.๗.๑.๓ สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมทางสังคม ปัญหาวัยรุ่นอาจเกิดขึ้นเนื่องจากสภาพของสังคมบกพร่องและมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออ านวย ต่อการเกิดพฤติกรรมที่กระท าผิด ซึ่งสาเหตุด้านปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนี้ ๑. การคบเพื่อนวัยรุ่นเป็นวัยที่ร่างกาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีความสับสนทาง อารมณ์และจิตใจ รวมถึงมีการปรับตัวทางสังคมจึงท าให้เด็กในวัยนี้อารมณ์อ่อนไหวง่าย ขาดความ เชื่อมั่นในตนเองและมักจะประสบกับปัญหาในการปรับตัว จากสถิติข้อมูลของสถานพินิจคุ้มครองเด็ก และเยาวชนจังหวัดสุพรรณบุรี(๒๕๕๐) พบว่า เด็กและเยาวชนที่กระท าผิดส่วนใหญ่ถึงร้อยละ ๗๖ มีอายุอยู่ระหว่าง ๑๕ – ๑๗ ปี รองลงมาร้อยละ ๒๖ เป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง ๑๐ – ๑๔ ปี วัยรุ่น ต้องการอิสระอยากพึ่งพาตนเอง มีอุดมการณ์ต่างๆ ของตนเอง รักเพื่อนมากกว่าพ่อแม่พี่น้อง ดังนั้น เพื่อนจึงเป็นบุคคลอีกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมต่างๆ ของเด็ก ถ้าเด็กหรือวัยรุ่นคบเพื่อนไม่ดี มีพฤติกรรมเกเรติดยาเสพติด เล่นการพนันหรือติดในอบายมุขอื่นๆ ก็อาจชักจูงให้เด็กหรือเยาวชน นั้นๆ ประพฤติเสียหายได้ และถ้าสภาพทางครอบครัวมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก พ่อแม่ไม่เข้าใจ ไม่มีเวลาในการอบรมสั่งสอนหรือครอบครัวไม่มีความสุข มีปัญหา ครอบครัวแตกแยก ก็จะเป็นตัวสนับสนุนให้เด็กเห็นความส าคัญของเพื่อนมากขึ้น เด็กจึงพยายามสร้างสิ่งต่างๆ ที่เป็น รูปแบบวัฒนธรรมของกลุ่ม เพื่อให้เกิดการยอมรับว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม ๒. สื่อมวลชน ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า สื่อมวลชนหรือสื่อมีอิทธิพลต่อการ พัฒนาทัศนคติ ความเชื่อ ความรู้ค่านิยมและการแสดงพฤติกรรมของประชากรค่อนข้างมาก สื่ออาจจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วีดีโอ อินเตอร์เน็ต หนังสือต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เนื่องจากเครือข่ายการสื่อสารที่ทันสมัยท าให้สื่อต่างๆ เข้าถึงประชาชนทุกเพศทุกวัยได้อย่าง
๙๒ กว้างขวาง และกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่จ าเป็นต่อการด าเนินชีวิตประจ าวัน ส่งผลให้เด็กและเยาวชน ได้รับอิทธิพลจากการถ่ายทอดของสื่อต่างๆ ด้วย จึงพบว่าสื่อมีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของเด็ก และเยาวชนมากขึ้นทั้งในด้านความคิด ค าพูด การใช้ภาษา กิริยาท่าทางการแต่งกาย หรือแม้แต่ พฤติกรรมบางอย่าง จากการศึกษาของเจอร์บเนอร์ พบว่า การกระท าผิดหลายอย่างของเด็กและ วัยรุ่น อาจเกิดจากการเลียนแบบภาพยนตร์ที่แสดงถึงความก้าวร้าวโหดร้ายทารุณต่างๆ ซึ่งเป็น ตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กและวัยรุ่น ทั้งนี้เนื่องจากเด็กและวัยรุ่นยังมีพัฒนาการด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์ ไม่เต็มที่บางครั้งจึงอาจแยกแยะความเหมาะสม หรือไม่เหมาะสมได้ นอกจากนี้การที่สภาวะเศรษฐกิจ บีบคั้นท าให้พ่อแม่ไม่มีเวลาในการอบรมสั่งสอนลูกมากนัก จึงท าให้สื่อ กลายเป็นผู้เข้ามามีบทบาท ส าคัญ ในการท าหน้าที่ในการอบรมขัดเกลาทางสังคมสมาชิกแทนสถาบันครอบครัว ดังนั้น ถ้าผู้ผลิต สื่อขาดความรับผิดชอบต่อสังคมมุ่งหวังแต่ก าไรเพียงอย่างเดียวก็อาจเสนอสื่อที่ไม่เหมาะสมได้ ๓. การศึกษาการอบรมขัดเกลาทางสังคมให้เป็นพลเมืองที่ดีของสังคม นอกจากสถาบัน ครอบครัวแล้ว โรงเรียนก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่จะให้การอบรมขัดเกลาทางสังคมแก่เด็กและวัยรุ่น ทั้งใน ด้านความรู้วิชาการ จริยธรรมหรือความประพฤติ ดังนั้น วิธีการอบรมขัดเกลาทางสังคมผู้ที่ท าหน้าที่ โดยเฉพาะครู จึงเป็นผู้ที่มีความส าคัญในการท าหน้าที่นี้ ดังนั้น ครูจึงต้องเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่ดี เป็นแบบอย่างแก่เด็กนักเรียนด้วย ไม่กระท าล่วงละเมิดกฎศีลธรรมหรือกฎหมายและจะต้องพยายาม กวดขันเรื่องความประพฤติที่ถูกต้องเหมาะสมของนักเรียนตามที่สังคมยอมรับอยู่เสมอ ๔. สภาพแหล่งที่อยู่อาศัย การขาดแคลนที่อยู่อาศัยในสังคมเมือง หรือการมีที่อยู่อาศัยใน แหล่งเสื่อมโทรมหรือแหล่งอาชญากรรม ยาเสพติดต่างๆ อาจท าให้เด็กและเยาวชนเกิดความคับข้อง ใจ และถูกชักจูงไปในทางที่กระท าผิดได้ง่าย นอกจากนี้การย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆ ก็อาจเป็นผลร้ายต่อ เด็กและวัยรุ่นได้ เนื่องจากครอบครัวต้องแยกกันอยู่เด็กๆ ขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครองอย่าง เต็มที่หรือต้องดูแลตนเองหรือต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่อยู่ใหม่บ่อยๆ ซึ่งจะพบมากในกลุ่มผู้มา รับจ้างใช้แรงงาน ครอบครัวคนงานก่อสร้างในเขตเมือง ซึ่งท าให้บุคลิกภาพเด็กบกพร่องได้ ๕. สถานบันเทิงเริงรมย์และแหล่งอบายมุข จะเป็นแหล่งส าคัญในการมั่วสุมของกลุ่ม บุคคล ที่มาแสวงหาความผ่อนคลายทางอารมณ์ ดังนั้น ในสถานบันเทิงเริงรมย์และแหล่งอบายมุข ต่างๆ จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นอบายมุขไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด ผู้หญิง การพนัน และอื่นๆ เพื่อให้ผู้มา เที่ยวได้ใช้บริการอย่างเต็มที่ โดยไม่ค านึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กหรือวัยรุ่นได้ ทั้งนี้เนื่องจากมี สิ่งล่อใจให้เด็กและวัยรุ่นเกิดความเพลิดเพลินหลงลืมปัญหาหรือความทุกข์ชั่วคราว จึงติดใจและท าให้ อยากเข้าไปเที่ยวอีกบ่อยๆ เมื่อไม่มีเงินจึงหาเงินโดยการกระท าที่ผิดต่อกฎหมายและอาจน ามาซึ่ง ปัญหาการกระท าผิดอื่นๆ อีกด้วย วัยรุ่นจึงมีโอกาสเสียคนได้ง่าย ๖. ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของผู้ใหญ่ ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของผู้ใหญ่ ท าให้ เด็กเกิดพฤติกรรมเลียนแบบผู้ใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากเด็กและเยาวชนจะดูการกระท าของผู้ใหญ่เป็น ตัวอย่าง ถ้าผู้ใหญ่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ติดสุรา ยาเสพติด เล่นการพนัน ทะเลาะวิวาท ท าร้าย ร่างกาย มีกิริยาวาจาหยาบคาย ประพฤติผิดศีลธรรม หรือคบเพื่อนอันธพาล ก็จะท าให้เด็กซึมซับการ กระท าเหล่านั้นเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจจดจ าไปกระท าและน าไปสู่การกระท าผิดได้ง่าย
๙๓ จึงสรุปสาเหตุของการกระท าผิดของวัยรุ่น ที่มีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมว่าเกิดจาก สาเหตุใหญ่ ๆ ๖ ประการ ได้แก่ การคบเพื่อน การได้รับอิทธิพลจากสื่อ การอบรมขัดเกลาทางสังคม จากสถาบันการศึกษา สภาพแหล่งที่อยู่อาศัย สถานบันเทิงเริงรมย์และแหล่งอบายมุขต่างๆ และการมี พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างให้เลียนแบบการกระท าที่ไม่เหมาะสมได้ส่วนแนวทาง ป้องกันปัญหาวัยรุ่น ต้องเริ่มแก้ไขจากครอบครัวเป็นอันดับแรก เพราะบ้านเป็นสภาพแวดล้อม เบื้องต้น ที่จะมีผลต่อความคิด ค่านิยม ทัศนคติ ในการมองโลก รวมถึงพฤติกรรมและบุคลิกภาพของ วัยรุ่นพฤติกรรมของวัยรุ่น จะเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูในบ้าน วัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาน้อยกว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่แตกแยกพ่อแม่จึงควรท าหน้าที่เอาใจใส่ ดูแล ให้ค าปรึกษา เมื่อลูกมีปัญหาโดยต้องเปิดใจกว้าง ยอมรับฟังข้อคิดเห็นของลูก ให้เวลากับลูกให้ พอเพียง เพื่อที่ลูกจะไม่ใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนมากเกินไป พ่อแม่ยังอาจชักน าให้ลูกมีความสนใจใน ธรรมะ มีศรัทธายึดมั่นในศีลธรรม เพื่อเป็นแนวทางในการด าเนินชีวิต หากวัยรุ่นมีปัญหาในด้าน อารมณ์ และสภาพจิตใจก็ควรแนะน าให้ไปปรึกษา จิตแพทย์ นอกจากนี้ ภาครัฐ ควรมีนโยบาย สนับสนุนสื่อมวลชนในการน าเสนอข่าวสารเนื้อหาสาระที่เป็นตัวอย่างที่ดีมีประโยชน์ต่อสังคมและ หลีกเลี่ยงการน าเสนอภาพความรุนแรง เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศเพื่อไม่ให้วัยรุ่นหมกมุ่นและ จดจ าแบบอย่างที่ไม่ดี๑๓๗ เนื่องด้วยลักษณะวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และวิถีชีวิต ปัจจัยต่างๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ปัญหาต่างๆ รวมทั้งสาเหตุจาก สิ่งแวดล้อมทางสังคม ได้แก่ การคบเพื่อน การได้รับอิทธิพลจากสื่อ การอบรมขัดเกลาทางสังคม จาก สถาบัน การศึกษา สภาพแหล่งที่อยู่อาศัย สถานบันเทิงเริงรมย์ แหล่งอบายมุขต่างๆ และการมี พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างให้เด็กเลียนแบบการกระท าที่ไม่เหมาะสมได้เช่นกัน ๒.๗.๒ ปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น วัยรุ่นเป็นวัยที่มีปัญหาสุขภาพจิตได้มากที่สุดวัยหนึ่ง ซึ่งแสดงออกเป็นปัญหาพฤติกรรมได้ หลายประการ เช่น ดื้อไม่เชื่อฟังละเมิดกฎเกณฑ์กติกาต่างๆ มีแฟนและมีเพศสัมพันธ์ ใช้ยาเสพติดท า ผิดกฎหมายปัญหาพฤติกรรมบางอย่างมักเกิดขึ้นมานาน จนท าให้การแก้ไขมักท าได้ยากการป้องกัน ปัญหาจึงมีความจ าเป็น และส าคัญมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว การป้องกันดังกล่าวควรเริ่ม ตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพจิตตั้งแต่ยังเล็กเด็กที่มีพัฒนาการของบุคลิกภาพดี จะมีภูมิต้านทานโรคทาง จิตเวชต่าง ๆ และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่นได้อย่างมากเช่นกัน พ่อแม่และครูอาจารย์และ ผู้ที่ท างานเกี่ยวข้องกับเด็กทั้งหลาย จึงควรให้ความส าคัญกับการส่งเสริมสุขภาพจิตตั้งเด็กจนถึงวัยรุ่น เป็นอย่างยิ่ง ๑๓๘ นอกจากนี้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ควรมีส่วนร่วมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กและ วัยรุ่นได้เช่นเดียวกัน ดังนี้ ๑๓๗ พรพิมล เจียมนาคินทร์, พัฒนาการวัยรุ่น, (กรุงเทพมหานคร: คอมฟอร์ม, ๒๕๓๙), หน้า ๕๔. ๑๓๘ ณ ธษ า ราชบัณ ฑิ ต, วัยใสใสหั วใจมี วัฒ น ธรรม , [ออนไลน์], แห ล่งที่ม า: https://www.m - culture.go.th [๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑].
๙๔ ๑. ความหมายของสุขภาพจิต สภาพจิตใจที่เป็นสุขสามารถมีสัมพันธภาพและรักษา สัมพันธภาพกับผู้อื่นไว้ได้อย่างราบรื่น สามารถท าตนให้เป็นประโยชน์ได้ภายใต้สภาวะสิ่งแวดล้อมที่มี การเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคม และลักษณะความเป็นอยู่ในการด ารงชีพ วางตัวได้อย่างเหมาะสมและ ปราศจากอาการป่วยของโรคทางจิตใจและร่างกาย ๒. ปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพจิตที่ดี เกิดจากร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ความสามารถทาง จิตใจที่ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์สภาพครอบครัวที่อบอุ่นและสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี สุขภาพจิตมีความส าคัญคือคนที่มีสุขภาพจิตดีจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมี ความสุข เรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพที่มีด าเนินชีวิตได้อย่างเป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น ไม่เกิดอาการทางจิตเวช หรือโรคทางจิตเวชได้ง่าย ถึงแม้ชีวิตจะเผชิญปัญหามากก็สามารถแก้ไขผ่าน พ้นไปได้ด้วยดี คนที่สุขภาพจิตไม่ดีมักมีปัญหาในการปรับตัวมีอาการทางจิตเวช เช่น ความเครียด ซึมเศร้า แม้ว่าจะเจอปัญหาเล็กๆ ก็ปรับตัวได้ล าบาก มักมีปัญหาพฤติกรรมได้บ่อย มักเจ็บป่วยด้วย โรคทางจิตเวชได้ง่ายและฟื้นตัวไม่ได้ดี ๓. ปัญหาพฤติกรรมที่พบบ่อย ไม่เรียนหนังสือ ติดเกม ติดการพนัน การเรียน การปรับตัว ปัญหาทางเพศ สาเหตุการใช้และติดยาเสพติด พฤติกรรมผิดปกติ(Conduct disorder) โรคซึมเศร้า การฆ่าตัวตายและบุคลิกภาพผิดปกติ ๔. สาเหตุของปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น ร่างกายการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี สารสื่อน า ประสาท โรคทางกาย โรคระบบประสาท สารพิษ จิตใจ บุคลิกภาพ ความคิด การมองโลก การ ปรับตัวสังคม การเลี้ยงดูปัญหาของพ่อแม่ ตัวอย่างของสังคม และสื่อต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวล้วนมีผล ต่อพฤติกรรมของวัยรุ่น ๕. จุดเน้นของการพัฒนาวัยรุ่นไทย เพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรมเป้าหมายของการพัฒนา มุ่งสู่อีคิว ให้มีพัฒนาการทุกด้านซึ่งจ าเป็นส าหรับการด าเนินชีวิต มีทั้งเก่ง ดี และ มีสุข การเรียนเน้น ให้เรียนรู้ด้วยตัวเองคิดเอง วัยรุ่นจะเป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง อยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง ความรู้ทางวิชาการนับวันจะมีมากขึ้น ครูไม่สามารถสอนความรู้ให้หมดได้อีกต่อไปในอนาคต การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นสิ่งส าคัญมากรวมถึงการรู้จักเลือกแหล่งข้อมูลข่าวสารให้ได้สิ่งที่ถูกต้อง ๖. หาเอกลักษณ์ส่วนตน เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เด็กจะเริ่มเข้าใจตนเอง รู้จักตนเองมากขึ้นว่า เป็นคนอย่างไร มีความชอบความถนัดอะไรบ้างมีจุดเด่นจุดด้อยอะไร อยากเรียนไปทางไหน อยากท า อาชีพใดรวมถึงเอกลักษณ์ทางเพศด้วย ๗. การท างานร่วมกัน ส่งเสริมให้มีทักษะในการท างานร่วมกัน มีความสามัคคีมีทักษะใน การเป็นผู้น าและผู้ตามที่ดีระเบียบวินัยส่วนตัว และของกลุ่ม มีการสื่อสารเจรจาที่มีประสิทธิภาพ ๘. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ พ่อแม่ควรฝึกให้เด็กรู้จักการคิดและท าด้วยตนเอง มีความพอใจ และภูมิใจกับการท างานมีความสนุกกับงานมองเห็นงานเป็นเรื่องท้าทายความสามารถไม่ท้อแท้ สู้งาน เพลิดเพลินได้กับงานและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาอยู่เสมอ ๙. วงจรความสุขของชีวิต เด็กทุกคนควรมีวิธีท าให้ตนเองมีความสุข และสนุกกับการ ด าเนินชีวิต ด้วยงานหรือกิจกรรมที่จะท าให้เกิดความพึงพอใจ มักจะเป็นเรื่องที่ตนเองชอบหรือมี ความถนัด สามารถท าได้ดี ประสบผลส าเร็จ เมื่อท าแล้วเกิดความสุขเกิดแรงจูงใจที่จะท าอีกเด็กที่มี วงจรความสุขมักจะไม่เข้าหายาเสพติด หรือมีเพศสัมพันธ์
๙๕ ๑๐. การส่งเสริมสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ท าได้อย่างไร การส่งเสริมสุขภาพจิตวัยรุ่นต้อง เริ่มตั้งแต่เด็ก ให้มีการพัฒนาเด็กทุกด้านไปพร้อมๆ กันทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม ๑๑. ใครจะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น เด็กได้รับอิทธิพลจากผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เริ่มต้นจากพ่อแม่ พี่น้อง ญาติใกล้ชิดเพื่อน เพื่อนบ้าน เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนก็ได้รับอิทธิพลจากครูและ เพื่อนนักเรียน รุ่นพี่รุ่นน้อง และจากสังคมสิ่งแวดล้อมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็ก การส่งเสริมพัฒนาการ เด็กจึงต้องการความร่วมมือกันของหลายฝ่าย เริ่มต้นจากที่บ้าน สานต่อที่โรงเรียนและสังคมรอบตัว เด็กนั่นเอง ทุกคนควรมีส่วนร่วมกันเสมอในการช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่ดี ที่ถูกต้องมิใช่ช่วยแต่ ลูกหลานของตนเอง แต่ช่วยลูกหลานคนอื่นด้วยเมื่อมีโอกาส เพราะในที่สุดทุกคนก็ต้องอยู่ร่วมกันใน สังคมเดียวกัน ตัวอย่างของการช่วยกันส่งเสริมสุขภาพจิตเด็กที่ดีคือ ช่วยกันสร้างสังคมและ สิ่งแวดล้อมที่ดีต่อเด็กมีความปลอดภัยเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เด็กมีความล าบากเดือดร้อนควรหาทาง ช่วยเหลือแก้ไขช่วยกันปกป้องเด็กไม่ให้ได้รับอบายมุข ยาเสพติด การกระตุ้น ยั่วยุทางเพศ เป็นต้น ๑๒. บทบาทของพ่อแม่ ควรจะเป็นอย่างไร บทบาทของพ่อแม่ในการส่งเสริมสุขภาพจิต เด็กเป็นบทบาทหลักและเป็นพื้นฐานส าคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการเด็ก หลักส าคัญคือความสัมพันธ์ที่ดี ของพ่อแม่ครอบครัวมีความรักความอบอุ่นมีความสุขมั่นคง นอกจากนี้สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยส่งเสริมให้ เกิดขึ้นคือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันต่อเนื่องสม่ าเสมอและยาวนาน พอพ่อแม่ควรรู้เขา รู้เราเข้าใจความคิดความรู้สึกของลูกคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่า ลูกน่าจะ คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไร น่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา รู้จุดเด่นจุดอ่อนของลูก รับฟังได้มากขึ้นเกิดการ ยอมรับกันประนีประนอมกันสร้างขอบเขตที่เหมาะสมได้ง่าย เคารพในกติกาที่ช่วยกันสร้างขึ้นส่งเสริม ชี้แนะ แนะน าตักเตือนยืนยันในเรื่องที่วิกฤต เท่าที่จ าเป็นไม่ควรมีมากนัก ๑๓. บทบาทของครู ควรจะท าอย่างไร ครูควรมีบทบาทส่งเสริมพัฒนาการ ต่อจากพ่อแม่ ด้วยการส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้านเช่นกัน โดยเฉพาะพัฒนาการด้านสังคมและจริยธรรมใช้หลัก พฤติกรรมบ าบัดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็ก และถ้าจ าเป็นต้องลงโทษควรมีหลักการลงโทษที่ดี ได้ผล และไม่เกิดผลเสียตามมา เมื่อเด็กเริ่มมีปัญหา ครูควรมีมาตรการจัดการให้ความช่วยเหลือ โดยเร็ว โรงเรียนควรมีระบบการให้ความช่วยเหลือเด็กอย่างชัดเจน มีการประสานงานกับแหล่ง ทรัพยากรที่จะให้ความช่วยเหลือได้ เช่น ทีมงานสุขภาพจิตที่อยู่ใกล้เคียง เป็นต้น ๑๔. แนวทางการแก้ไขและช่วยเหลือเมื่อเด็กเริ่มมีปัญหา สร้างความสัมพันธ์ที่ดีรับฟัง ปัญหาเด็กเสมอไม่ต าหนิหรือสั่งสอนเร็วเกินไป ท่าทีเป็นกลางเข้าใจปัญหา หาข้อมูลเพื่อให้รู้สาเหตุ และแนวทางการแก้ไขปัญหามองเด็กในแง่ดีมีความหวังในการแก้ปัญหาเสมอ กระตุ้นให้คิดแก้ปัญหา ด้วยตนเองมีทางเลือกหลายๆ ทางวิเคราะห์ทางเลือกร่วมกันชี้แนะทางแก้ไขปัญหาในกรณีที่เด็กคิดไม่ ออกด้วยตัวเอง เป็นแบบอย่างที่ดีใช้กิจกรรมช่วยกีฬา ดนตรี ศิลปะ กิจกรรมกลุ่มให้เพื่อนช่วยเพื่อน อธิบายให้เพื่อนเข้าใจกันยอมรับและอยากช่วยเหลือกัน ไม่ตัวใครตัวมัน ชมเชยเมื่อท าได้ดีเมื่อท าผิด มีวิธีตักเตือน ชักจูงให้อยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมให้ครอบครัว มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาครอบครัว๑๓๙ ๑๓๙ ลักขณา สิริวัฒน์, สุขวิทยาจิตและการปรับตัว, หน้า ๑๗.
๙๖ ปัญหาวัยรุ่น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะแก้ไขให้หมดไปได้ เพราะปัญหาวัยรุ่นเป็นปัญหา เฉพาะของแต่ละยุคสมัย ในยุคสมัยหนึ่งก็มีปัญหาแบบหนึ่งซึ่งถึงแม้เราจะแก้ปัญหาในสมัยนั้นๆ ได้แต่ เมื่อเข้าสู่ยุคใหม่ก็จะเกิดปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาให้เราตามแก้ไขไปเรื่อยๆ ซึ่งก็สอดคล้องกับปัญหาสังคมที่ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ทั้งนี้ ปัญหาวัยรุ่นส่วนมากที่พบ เช่น ปัญหาด้านพัฒนาการ ปัญหายาเสพ ติด ปัญหาการทะเลาะวิวาทและใช้ความรุนแรง ปัญหาอาชญากรรม การกระท าผิดกฎหมาย และ ปัญหาทางเพศ เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด จะเกิดขึ้นกับร่างกายก่อนเมื่อ ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากสถาบันราชานุกูล ปี ๒๕๔๙ โดยสรุปแล้วปัญหาวัยรุ่น ที่ส าคัญ ดังนี้ ๒.๗.๒.๑ การบริโภคอาหาร การบริโภคอาหารของวัยรุ่นในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างสูงคือ มีการบริโภคที่ไม่ เหมาะสมและไม่ถูกต้อง ท าให้เกิดภาวะทุพโภชนาการในวัยรุ่นได้หลายรูปแบบทั้งท าให้การ เจริญเติบโตล่าช้า เจ็บป่วยบ่อย สมรรถภาพในการท ากิจกรรมและการเล่นกีฬาด้อยหรือถดถอยลง ข้อมูลจากกองโภชนาการกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (๒๕๔๙) ส ารวจพฤติกรรมการบริโภค อาหารของวัยรุ่น พบว่า เด็กวัยรุ่นอายุ ๑๒ - ๑๘ ปีมีภาวะโภชนาการเกินมาตรฐาน ร้อยละ ๑๐.๒๒ ภาวะโภชนาการต่ ากว่ามาตรฐาน ร้อยละ ๔.๓๓ ปัญหาหลักที่พบจากข้อมูลขององค์กรอนามัยโลก ปี ๒๖๖๐ ดังนี้ ๑. Micronutrient deficiency เช่น การขาดธาตุเหล็ก จนท าให้เกิดโรคโลหิตจางคือ ภาวะที่ร่างกายมีจ านวนเม็ดเลือดแดงต่ ากว่าปกติ เนื่องจากมีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ที่จะน าไปสร้างเม็ด เลือดและโรคขาดธาตุไอโอดีน โรคขาดวิตามินเอ ๒. Macronutrient deficiency เช่น ภาวะของการขาดโปรตีนและพลังงาน เมื่อร่างกาย ได้รับพลังงานและโปรตีนไม่เพียงพอ ก็จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของวัยรุ่น เช่น ตัวเตี้ยผอมน้ าหนัก ต่ ากว่าเกณฑ์และสติปัญญาการเรียนรู้ ซึ่งมักพบในชนบทโดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร สาเหตุส าคัญ คือขาดความรู้และมีความยากจน ๓. Malnutrition and stunting ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยไปจากปกติ ส่งผล ให้การเจริญเติบโตทางด้านสรีระเจริญไม่เต็มที่ จนก่อให้เกิดการแคระแกร็นของร่างกายขึ้นหรือ ตัวเตี้ยได้ ๔. Obesity and other nutrition related chronic diseases ภาวะโภชนาการเกินที่ ก่อให้เกิดโรคอ้วนและน ามาซึ่งโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ โรคมะเร็งเต้านม มดลูกในผู้หญิง และมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งล าไส้ใหญ่ในผู้ชาย นิ่วในถุงน้ าดี ฟันผุ เป็นต้น รวมทั้งการก่อให้เกิดโรคทั้งทางร่างกายและทางจิตใจด้วย
๙๗ ๕. Nutrition in relation to early pregnancy การที่ตั้งครรภ์เมื่ออยู่ในวัยรุ่นของหญิง พบภาวะขาดอาหาร เนื่องจากขาดความรู้ท าให้รับประทานอาหารไม่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้ผลิต น้ านมได้น้อยและได้ทารกที่มีน้ าหนักตัวต่ ากว่าเกณฑ์๑๔๐ ๒.๗.๒.๒ การใช้สารเสพติด ๑. การสูบบุหรี่วัยรุ่นเป็นเริ่มต้นของพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะการสูบบุหรี่จากการ ส ารวจล่าสุดของส านักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี ๒๕๔๗ พบว่า เด็กไทยอายุต่ ากว่า ๑๘ ปี ติดบุหรี่เกือบ ๖ แสนคน สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากคือ ผลการวิจัยพบว่า การสูบบุหรี่ของวัยรุ่นเกี่ยวกันกับพฤติกรรมที่ไม่ เหมาะสมอื่นๆ อีกหลายอย่างทั้งท าลายสุขภาพและอาจท าลายอนาคตของเยาวชน ๒. การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัญหาที่ไม่ได้ เกิดขึ้นเฉพาะในวัยผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่น จากการส ารวจส านักงานสถิติ แห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปี ๒๕๔๖ วัยรุ่นร้อยละ ๕๒ นิยมดื่มสุราและ เบียร์โดยผู้ชายดื่มมากกว่าหญิง ๙ เท่าโดยเฉพาะนักดื่มหน้าใหม่ที่ผู้ผลิตเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ เด็กผู้หญิง อายุ ๑๓ – ๑๙ ปี มีจ านวนการดื่มสุราเพิ่มขึ้นถึง ๖ เท่า และในการศึกษาการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ของนักเรียนภาคกลาง พบว่า นักเรียนดื่มในโอกาสพิเศษ เช่นวันเกิดวันขึ้นปีใหม่ ฉลองเทศกาลต่างๆ มากที่สุด โดยดื่มกับเพื่อนและดื่มที่บ้านเป็นส่วนใหญ่และเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์ที่นิยมดื่ม คือสุราและเบียร์ ๑๔๑ ๒.๗.๒.๓ การใช้ยาเสพติด เป็นปัญหาที่ส าคัญประการหนึ่งของสังคมไทยขณะนี้ ดังจะเห็นได้จากการที่เด็กวัยรุ่นตก เป็นทาสของยาเสพติดในรูปต่างๆ นับตั้งแต่ยาบ้า กัญชา จนกระทั่งเฮโรอีนและมีการกระท าที่เป็น อันตรายต่อสังคม เช่น การลักทรัพย์ จี้ปล้น ท าร้ายผู้คนสุจริต เพื่อต้องการแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองไป บ าบัดความต้องการยาเสพติดของตน หรือมีการตั้งกลุ่มมั่วสุมผู้ที่ติดยาเสพติดด้วยกัน คบคิดกันท ามิ ชอบก่อกวนความสงบสุขของสังคมตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ยาเสพติดให้ โทษ หมายถึง สารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้วท าให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะส าคัญ เช่น ต้องการเพิ่มขนาด การเสพเรื่อยๆ มีอาการถอนยาเมื่อขาดยา มีความต้องการเสพ ทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง อยู่ตลอดเวลาและสุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมลง กับให้รวมตลอดถึงสารเคมีที่ใช้ในการผลิต ยาเสพย์ติดให้โทษดังกล่าวด้วย ยาเสพติดให้โทษ แบ่งเป็น ๕ ประเภท เรื่อง ระบุชื่อ และประเภทยา เสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ดังนี้ ๑๔๐ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, “รายงานการส ารวจภาวะอาหารและโภชนาการ ของประเทศ ครั้งที่ ๕ ๒๕๔๖”, รายงานการวิจัย, (โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์, ๒๕๔๙), หน้า ๑๔๕. ๑๔๑ รุ่งวิทย์ มาศงามเมือง และคณะ, “การบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ของนักเรียนไทย: สาเหตุ และการป้องกัน”, รายงานการวิจัย, (นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓), หน้า ๕๗.
๙๘ ยาเสพติดประเภทที่ ๑ ได้แก่ เฮโรอีน แลเอสดี แอมเฟตามีน และอนุพันธ์ทั้งสิ้น ๑๖ ชนิดเป็นต้น ตัวที่ส าคัญคือ เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) เมทิลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน หรือ MDMA (ยาอี) และเมทิลีนไดออกซีแอมเฟมามีน หรือ MDA (ยาเลิฟ) เนื่องจากก าลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ในปัจจุบัน ไม่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์แต่อย่างใด ยาเสพติดประเภท ๒ เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน โคเคนและใบโคคา โคเดอีน และเมท าโดน เป็นต้น ยาเสพติดให้โทษประเภทนี้ สามารถน ามาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้แต่มีโทษมาก ดังนั้น ต้องใช้ภายใต้ความควบคุมของแพทย์และเฉพาะกรณีที่จ าเป็นเท่านั้น ยาเสพติดประเภท ๓ คือ ยาส าเร็จรูปที่ผลิตขึ้นตามทะเบียนต าราที่ได้รับอนุญาตจาก กระทรวงสาธารณสุขแล้ว มีจ าหน่ายตามร้านขายยา ได้แก่ ยาแก้ไอที่มีตัวยาโคเดอีน หรือยาแก้ ท้องเสียที่มีตัวยาไดเฟนอกซีน ยาฉีดระงับปวดต่างๆ เช่น มอร์ฟีน เพทิดีน ซึ่งสกัดมาจากฝิ่น ยาแก้ ปวดที่มีโคเดอีนผสมอยู่ เป็นต้น ยาเสพติดประเภท ๔ คือ สารเคมีที่น ามาใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ และ ๒ เช่น น้ ายาเคมี อาเซติดแอนไฮโดรด์ และอาเซติลคลอไรด์ ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนมอร์ฟีนเป็นเฮโรอีน สารเออร์โกเมทรีนหรือคลอซูโดอีเฟดรีน ซึ่งใช้ผลิตยาบ้าได้ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก ๑๒ ชนิด ที่ใช้ผลิตยาอีและยาบ้าได้เป็นต้น ยาเสพติดประเภท ๕ ได้แก่ ทุกส่วนของพืชกัญชา ซึ่งให้สาร Terahydrocannabinal ทุกส่วนของพืชกระท่อม ซึ่งให้สาร Alkaloid ของ Mitragynine พืชฝิ่นที่ให้สาร Alkaloid ของ Codeine (Papever bracteatum ห รื อ Papever Somniferum Linn.) แ ล ะ เห็ ด ขี้ ค ว า ย (Psilocybe cubensis) ซึ่งให้สาร Psilocin หรือ Psilocybin เป็นต้น ทั้งนี้สิ่งเสพติดประเภท เครื่องดื่มมึนเมา บุหรี่ สารระเหย ยานอนหลับ ยากล่อมประสาทที่แพทย์ควบคุมการใช้ เป็นสิ่งเสพติด ที่ให้โทษต่อร่างกาย แต่ไม่ผิดกฎหมาย จากการศึกษาในนักเรียนมัธยมต้นในโรงเรียน สังกัดกรมสามัญ กรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างนักเรียนที่ศึกษา มีพฤติกรรมด้านการใช้สารเสพติดสูงในเรื่องการดื่ม และการคบค้า สมาคมกับบุคคลที่ติดบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สอดคล้องกับผลการศึกษาพฤติกรรมเสี่ยง ของเด็กในเมืองซึ่งได้ศึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ และ ๖ ในโรงเรียนรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่ในเขต เมื องของจังห วัดทั้ง ๖ ภ าค (ภ าค เห นื อ – เชี ยงให ม่ ก ล าง – อ่ างท อง ใต้– สงขล า ตะวันออกเฉียงเหนือ – นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร) ที่พบว่า ส่วนมากนักเรียนเคยทดลองดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คือ ไวน์ เบียร์สุรา ร้อยละ ๔๓ ๔๐ และ ๓๓ ตามล าดับ รองลงมาคือ ทดลองสูบบุหรี่ ร้อยละ ๒๐ และมีบางคนที่เคยทดลองเสพสารเสพติด เช่น ยาบ้า กัญชา กาว ทินเนอร์ โดยความอยากลองเสพสารเสพติดต่างๆ๑๔๒ ๑๔๒ เลิศลักษณ์ บุญรอด, “การศึกษาพฤติกรรมการเสี่ยงทางสุขภาพของนักเรียนมัธยมศึกษา ตอนต้นในสังกัดกรมสามัญศึกษา”, รายงานการวิจัย, (บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓), บทคัดย่อ.
๙๙ ๒.๗.๒.๔ การมีเพศสัมพันธ์ภาวะเจริญพันธุ์ก่อนวัยอันควร จากการส ารวจเกี่ยวกับพฤติกรรมของประชากรที่ท าลายวัฒนธรรมไทยทั่วประเทศของ ส านักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปี ๒๕๕๐ พบว่า เยาวชนไทย ในเขตเทศบาลมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานร้อยละ ๗๘.๓ และนอกเขตเทศบาลร้อยละ ๘๖.๔ นอกจากนี้ ยังพบว่า นักเรียนชายและนักเรียนหญิงมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุน้อยกว่า ๑๖ ปี กับแฟนหรือเพื่อนสนิทเป็นส่วนใหญ่ นักเรียนชายมีประวัติมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ ๒๑.๒ นักเรียนหญิง ร้อยละ ๖.๖ ยอมรับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคนรักด้วยความสมัครใจ๑๔๓ ส านักอนามัยการเจริญพันธุ์กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2559) ได้ส ารวจ พฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นที่ก าลังศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนชายเคยมีเพศ สัมพันธ์แล้ว ร้อยละ 25.90 ในปีพ.ศ. 2553 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 ในปีพ.ศ. 2554 จากนั้นจึงลดลงและมีแนวโน้มคงที่จนถึงปีพ.ศ. 2558 โดยอยู่ในช่วงร้อยละ 24.80 - 25.90 ใน ด้านการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และด้านการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้ง ล่าสุดกับแฟนหรือคู่รัก พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนนักเรียนหญิง พบว่า เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วร้อยละ 15.50ในปีพ.ศ. 2553 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20.20 ในปีพ.ศ. 2555 จากนั้น จึงลดลงและมี แนวโน้มคงที่จนถึงปีพ.ศ.2558 โดยอยู่ในช่วงร้อยละ 17.20 - 18.20 ในด้านการใช้ถุงยางอนามัย เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และด้านการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดกับแฟนหรือคู่รัก พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน๑๔๔ วัยรุ่นเป็นวัยที่มีพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจอารมณ์และสังคม จากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มีพัฒนาการทางเพศเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ท าให้วัยรุ่นเริ่มสนใจด้านเพศ ในขณะเดียวกัน ก็มีปัจจัยหลาย อย่างที่กระตุ้นให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมทางเพศ จนถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งการมี เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรส่งผลกระทบทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม เป็นอุปสรรคต่อการสร้าง คุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ดังนั้น การป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรทั้งด้านปัจจัยน า ปัจจัย เสริมและปัจจัยเอื้อจึงเป็นสิ่งจ าเป็นอย่างยิ่ง โดยมุ่งเน้นการเฝ้าระวังและควบคุมพฤติกรรมทางเพศ ของวัยรุ่นเพื่อช่วยป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรให้ได้มากที่สุด ๒.๗.๒.๕ การทะเลาะวิวาท สังคมไทยปัจจุบันก าลังมุ่งไปสูการพัฒนาทางด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านเมือง และ โดยเฉพาะอยางยิ่งการพัฒนาทางดานเทคโนโลยีซึ่งท าให้สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมที่ทันสมัยติดต่อ กันไดรวดเร็วท าใหลักษณะของสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งความเจริญทางสังคมมีอิทธิพล ต่อพฤติกรรมของวัยรุน มีเด็กวัยรุนจ านวนไมน้อยที่ประพฤติตนเป็นนักเลงส่อไปในทางอันธพาล มีกิริยาแข็งกระด้าง ก้าวร้าว วาจาส่อเสียด บ้างก็แสดงออกทางด้านการแต่งกายและอากัปกิริยาอัน ๑๔๓ วันเฉลิม ภูมิเมือง, ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.jantakun 2422.blogspot.com [๒๙ เมษายน ๒๕๖๐]. ๑๔๔ ปัญญ์กรินทร์ หอยรัตน์, วัยรุ่นไทยกับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร, วารสารวิทยาลัยพยาบาล พระปกเกล้า จันทบุรี, ปีที่ 28 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2560) : ๑๗๔.
๑๐๐ เป็นที่สะดุดตาแกผู้พบเห็น ชอบมั่วสุมกันตามชุมชน นอกจากนี้ยังมีการจับกลุ่มกันพกอาวุธของมีคม ยกพวกตีกัน ท าร้ายร่างกายกันเมื่อมีเรื่องไมพอใจเกิดขึ้น มีการประพฤติผิดกฎหมาย ปล้นจี้ ลัก ขโมย๑๔๕ ปัญหาทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นในสังคมไทยเริ่มรุนแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งบ้างก็มีทั้งที่เป็นข่าว ตามหน้าหนังสือพิมพ์และไม่เป็นข่าว ซึ่งในแต่ละครั้งก็จะมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือบาดเจ็บกันทั้งสอง ฝ่ายท าให้สร้างความเดือดร้อนกับตัวผู้ก่อเหตุเองและผู้ปกครองของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งที่ผ่านมามีทาง หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้มีการหาแนวทางป้องกันและแก้ปัญหานี้มาโดยตลอด เพื่อลดและ ป้องกันการทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่น ปัญหานี้ได้สร้างความเสียหายทั้งกับตัวนักศึกษาเองและ ชื่อเสียงของสถาบันอีกด้วย ๒.๗.๒.๖ การฆ่าตัวตายและความเครียด การฆ่าตัวตายถือเป็นปัญหาที่ทวีความส าคัญมากขึ้นเรื่อยๆ องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ในแต่ละปีมีคนฆ่าตัวตายประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ คน หรือประมาณวันละ ๑,๐๙๖ คน และแต่ละ ภูมิภาคมีอัตราที่แตกต่างกัน ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม การเข้าถึงอุปกรณ์หรือ เครื่องมือส าหรับใช้ในการฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายนับเป็นสาเหตุการตายที่ส าคัญ ๑๐ อันดับแรก ส าหรับทุกกลุ่มอายุในแทบทุกประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอายุระหว่าง ๑๖ – ๒๔ ปี การฆ่าตัวตาย นับเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตใน ๓ อันดับแรก สาเหตุส าคัญของการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นมาจาก ปัจจัย ๓ ประการ คือ ประการที่ ๑ สาเหตุทางชีววิทยา ได้แก่ การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็ง อัมพาต เอดส์ ฯลฯ และความเจ็บป่วยทางจิตเวช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาวะซึมเศร้า ประการที่ ๒ สาเหตุทางจิตวิทยา ได้แก่ ปัญหาบุคลิกภาพและการปรับตัว มักพบในเด็กที่ ชอบแยกตัว มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ ามองตนเองว่าไร้ค่า ไม่มีความสามารถมองสังคมรอบตัวว่า ขาดความเป็นธรรมและไม่ให้อภัยในความผิดพลาดของตน เกิดความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง เบื่อหน่าย เศร้าใจ และขาดทักษะในการแก้ปัญหาชีวิต หรือมาจากการเลี้ยงดูที่มักถูกพ่อแม่ต าหนิดุด่าว่ากล่าว และลงโทษอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังพบว่าวัยรุ่นที่มีปัญหาถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายมักมีลักษณะ ดังนี้ ๑. มีความสัมพันธ์กับบุคคลเพียงไม่กี่คนแต่เป็นความสัมพันธ์ที่ทุ่มเทลึกซึ้งและรุนแรง ๒. การแสดงออกทางอารมณ์มักเป็นไปในรูปแบบของพฤติกรรมมากกว่าที่จะเป็นการ สื่อสารด้วยค าพูด ๓. วัยรุ่นกลุ่มนี้รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมได้ ๔. มีความรู้สึกสิ้นหวัง คิดว่าทุกอย่างจะคงอยู่ในสภาพเลวร้ายดังเดิม ๕. มักมีปฏิกิริยารุนแรงต่อเหตุการณ์ต่างๆ ๖. มีความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่าวัยรุ่นทั่วไป ๑๔๕ สุชา จันทน์เอม, จิตวิทยาเด็กเกเร, หน้า ๗๘.
๑๐๑ ลักษณะพื้นฐานที่พบได้ในวัยรุ่นที่มีความคิดฆ่าตัวตาย ได้แก่ การมีพื้นฐานในชีวิตที่ไม่ ราบรื่น ทักษะการแก้ไขปัญหาไม่ดี ไม่ประสบความส าเร็จในกิจกรรมต่างๆ ตามที่คาดหวัง โดยสิ่งที่ เห็นได้ชัดในสังคมไทย คือเรื่องการเรียน ประการที่ ๓ สาเหตุทางสังคม ซึ่งก่อให้เกิดความเครียดในชีวิตอย่างมาก ได้แก่ สภาพ ครอบครัวที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม เช่น ครอบครัวที่เกิดปัญหาแล้ว ไม่ยอมพูดจาเพื่อปรับความ เข้าใจกัน ครอบครัวขัดแย้งเรื้อรังแล้วน าลูกมาเป็นกันชน การขาดความเข้าใจในการสื่อสารระหว่าง วัยรุ่นกับพ่อแม่ ครอบครัวที่ผลักลูกออกจากระบบครอบครัวเร็วเกินไป หรือวัยรุ่นที่มีปัญหา ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง นอกจากนี้การเป็นสังคมที่เน้นความเป็นตัวเอง เน้นการแก่งแย่งแข่งขันใน หมู่เยาวชนท าให้วัยรุ่นเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกซึ่งถือเป็นสาเหตุส าคัญทางสังคมของการ ฆ่าตัวตาย๑๔๖ ๒.๗.๒.๗ การเกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ เป็นสาเหตุน าการตายของเด็กวัยรุ่น โดยสถาบันการแพทย์ด้าน อุบัติเหตุและสาธารณภัย ปี ๒๕๕๐ พบว่า ร้อยละ ๔๕ ของการตายในวัยรุ่น อายุ ๑๐ – ๑๙ ปี มีสาเหตุจากอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ ในจ านวนนี้ ร้อยละ ๔๐ เป็นกลุ่มอายุอื่น พบว่า กลุ่มวัยรุ่น อายุ ๑๖ – ๑๙ ปี มีความเสี่ยงต่อการตายจากอุบัติเหตุรวม และอุบัติเหตุยานยนต์ ทางบกสูงกว่ากลุ่ม อื่นๆ ปัจจัยเสี่ยงที่ท าให้เกิดอุบัติเหตุในวัยรุ่น ได้แก่ ๑. ความบกพร่องทางร่างกาย ได้แก่ ความพิการของอวัยวะหรือการมีโรคประจ าตัว ท าให้มีการตอบสนองเชื่องช้าและความบกพร่องทางจิตและอารมณ์ เช่น มีอารมณ์โกรธ แค้นเคือง จะท าให้แสดงออกทางการกระท าที่ไม่ปลอดภัย หรือการเสพยาเสพติดท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง ร่างกายและจิตใจ ๒. พฤติกรรมและนิสัยที่ไม่ปลอดภัย เช่น ความคึกคะนอง ประมาท ๓. การขาดทักษะขาดความช านาญขาดความรู้หรือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่คุ้นเคยกับ เทคโนโลยี ๔. เจตคติที่ไม่ถูกต้อง ๕. ความบกพร่องของวัตถุและเครื่องจักรกล เช่น วัสดุอุปกณ์ที่เก่าช ารุด เสื่อมสภาพ ๖. สภาพดินฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อม เช่น ฝนตก แผ่นดินไหว หมอก ควันไฟ เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ บางครั้งเรียกว่า ภัยพิบัติจากธรรมชาติ ๗. ความบกพร่องของกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ๑๔๗ ๑๔๖ ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล, การฆ่าตัวตาย : การสอบสวนหาสาเหตุและการป้องกัน, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ Identity group, ๒๕๔๒), หน้า ๘๗. ๑๔๗ อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์, “อุบัติเหตุจราจร: เหตุน าการตายในวัยรุ่น”, รายงานการวิจัย, (ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, ๒๕๔๗), บทคัดย่อ.
๑๐๒ ๒.๗.๒.๘ ปัญหาเด็กติดเกม ในปัจจุบัน ปัญหาการติดเกมกลายเป็นปัญหารายวันตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ มากขึ้น จาก“การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางประชากรและครอบครัว : ผลกระทบต่อสังคมไทยและ ทางเลือกเชิงนโยบาย” พ.ศ. ๒๕๕๔ พบว่า ปัญหาการติดเกมได้รับการน าเสนอตามหน้าสื่อต่างๆ เป็น ๑ ใน ๔ ของปัญหาครอบครัวทั้งหมดหรืออาจกล่าวได้ว่าปัญหาการติดเกมมีสัดส่วนร้อยละ ๒๕ ที่ท า ให้ครอบครัวล้มเหลว ซึ่งปัญหานี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบในระดับครอบครัวเท่านั้น แต่ยังส่งผล กระทบในทุกๆ ระดับ ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคม โครงการประเมินเทคโนโลยีและ นโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ได้น าเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการพัฒนา นโยบายด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคส าหรับเด็กและเยาวชน อายุ ๖ - ๒๕ ปี ในประเทศ ไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ พบว่า จากการทบทวนปัญหาสุขภาวะของเด็กและเยาวชน โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจาก ๑๗ หน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นต้น มาร่วมจัดล าดับความส าคัญของปัญหาสุขภาวะในเด็กและเยาวชน พบว่า การติดเกมส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไทย และถือเป็น ๑ ใน ๓ ปัญหา ใหญ่ในสังคมไทยที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงมาก โดยเฉพาะการติดเกม มีผลกระทบสูงถึง ๓ หมื่น ล้านบาท โดยพบว่า เด็ก ๑ คน มีค่าใช้จ่ายในการเล่นเกม ๑,๑๖๐ บาทต่อเดือน และจากผลส ารวจ ของสถาบันเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์กรมสุขภาพจิต พบว่า พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเด็กติดเกมมากถึง ๒.๕ ล้านคน จากจ านวนเด็ก ๑๘ ล้านคนในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมามากถึงร้อยละ ๑๔.๔ เมื่อเทียบกับ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งถือได้ว่าในปัจจุบันปัญหาเด็กติดเกมอยู่ในขั้นวิกฤต และรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้จากการส ารวจที่ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมกับสถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต เก็บข้อมูลเด็กและเยาวชนกลุ่มตัวอย่าง จ านวน ๒๐,๐๐๐ คน ทั่วประเทศไทย ระหว่างเดือนมีนาคม – มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยใช้แบบทดสอบการติดเกม (Game Addiction Screening Test – GAST) ของ รศ.นพ.ชาญวิทย์พรนภดล และคณะ พบว่า สถิติการติดเกม พ.ศ. ๒๕๕๖ ของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย มีอัตราการติดเกมร้อยละ ๑๓.๑ คลั่งไคล้ร้อยละ ๑๕.๒ และไม่มีปัญหาร้อยละ ๗๑.๗ ถึงแม้ว่าจ านวนสถิติของเด็กติดเกมจะน้อยลง เนื่องจากเป็นผลส ารวจที่ ได้มาจากการเก็บข้อมูลจากทางเด็กและเยาวชนเพียงเป็นผู้ตอบแบบสอบถามเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้น า แบบสอบถามไปเก็บข้อมูลจากทางผู้ปกครองร่วมด้วย แต่เมื่อน ามาเปรียบเทียบกับสถิติจ านวน เยาวชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน จ านวน ๑๘ ล้านคน ขณะนี้มีเด็กไทยติดเกมแล้วมากกว่า ๒.๓ ล้านคน ถือ เป็นตัวเลขที่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีการก าหนดภาวะติดเกมและอินเทอร์เน็ตถือเป็นความเจ็บป่วย โดยระบุไว้ในหลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตในทางการแพทย์ ฉบับที่ ๕ (DSM-5) ซึ่งจะเริ่ม ใช้ในปี ๒๕๕๖ โดยทางการแพทย์สภาพเด็กติดไอที่มี ๔ ลักษณะ ได้แก่ การใช้อินเทอร์เน็ตหลาย ชั่วโมงต่อครั้ง ท าให้ขาดความกระตือรือร้นในการท างานอื่น ไม่สามารถให้หยุดเล่นได้และมี พฤติกรรมท าร้ายผู้ขัดขวางการเล่นและแยกตัวออกจากครอบครัวและสังคม๑๔๘ ๑๔๘ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม, “การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางประชากรและครอบครัว: ผลกระทบต่อสังคมไทยและทางเลือกเชิงนโยบาย”, รายงานการวิจัย, (นครปฐม : สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๔), หน้า ๑๘๐.
๑๐๓ ๒.๘ การปลูกฝังจริยธรรมในโรงเรียน การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในนักเรียนได้มีผู้เสนอแนวทางไว้หลายแนวทางเช่น แนวทางการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมของ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) โดยการเรียนการ สอนแบบมโนธรรมส านึกพอสรุปได้ ดังนี้ ๑. ไม่จดจ าเนื้อหา เน้นการปฏิบัติ ต้องสร้างศรัทธาให้เกิดแก่จริยธรรมนั้น ๆ เพื่อน าไปสู่ การปฏิบัติ ๒. ผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจในจริยธรรมอย่างแท้จริง มีกระบวนการวิธีการถ่ายทอด มีการจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา และเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ๓. ต้องตระหนักว่าการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่เด็กเป็นหน้าที่ของทุกคนทุก สถาบันในสังคม ๔. การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่เด็กต้องค านึงถึงวัย วุฒิภาวะและขั้นตอนการ พัฒนาจริยธรรมของผู้รับ ๕. การใช้อิทธิพลของกลุ่มเพื่อน เพื่อให้เกิดการคล้อยตาม ๖. ถือว่าหลักธรรมและจริยธรรมนั้นสัมพันธ์กันทั้งหมด แล้วสร้างคุณธรรมจริยธรรมหลัก ขึ้นมาโดยมีเป้าหมายว่าจะให้มีอะไรบ้าง ต่อจากนั้น คุณธรรมจริยธรรมอื่น ๆ จะตามมา ๗. จริยธรรมจะต้องมีทั้งในด้านบวกคือควรจะมีเพิ่มขึ้น ๆ และในด้านลบ คือส่วนที่จะต้อง ลด ละ เลิก๑๔๙ วิธีการสอนเพื่อปลูกฝังจริยธรรม วิจิตร สินสิริได้เสนอว่าวิธีหนึ่งที่จะใช้สอนได้คือ วิธีการ สอนที่เน้นปฏิบัติ โดยการสอนตามระดับ ดังนี้ ระดับแรก คือ สอนให้จ า ระดับที่ ๒ คือ สอนให้เข้าใจ ระดับที่ ๓ คือ สอนให้ส านึก ระดับที่ ๔ คือ สอนให้น าไปปฏิบัติ ประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง ระดับที่ ๕ คือ สอนให้คิดเป็นนิสัย๑๕๐ นอกจากวิธีการปลูกฝังจริยธรรมที่ได้กล่าวแล้วนั้น ยังมีแนวคิดทฤษฎีและพัฒนาการ ใหม่ๆ ในการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมที่นักการศึกษาและนักจิตวิทยาเสนอแตกต่างกัน ๔ วิธี คือ ๑. การปลูกฝังจริยธรรมด้วยการกระจายค่านิยม (Value Clarification ย่อว่า VC) ถือว่า ค่านิยม คือหลักการประพฤติปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ที่บุคคลถือว่าดีงาม ถูกต้อง และควรแก่การยึดถือ ๑๔๙ รัชนีวัฒนกิจ, การพัฒนามโนทัศน์ทางจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โดยการ เรียนการสอนแบบมโนส านึก, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๔), หน้า ๒๙. ๑๕๐ ภัสสรา อินทรก าแหง, การศึกษามโนทัศน์ทางจริยธรรมตามหลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช ๒๕๒๑ ในนิทานพื้นบ้านของจังหวัดนครราชสีมา, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๒), หน้า ๔๓.
๑๐๔ กระบวนการ VC มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนค้นพบด้วยตนเองตามทรรศนะของตนเป็นอย่างไร๑๕๑ โดยใช้ วิธีปลูกฝังจริยธรรมตามแนวพื้นฐานของทฤษฎีVC คือ การช่วยให้นักเรียนเกิดความกระจ่างในความ เชื่อในทัศนะคติในพฤติกรรมและความรู้สึกของตนเอง หน้าที่ของครูในการปลูกฝังค่านิยม คือการชี้น า หรือจัดการให้มีการชี้น าเพื่อให้นักเรียนเกิดความฉุกคิดขึ้นมาว่า ความเชื่อ ทัศนะคติ และความรู้สึก ของตนเองที่มีต่อสิ่งนั้น ๆ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ของกระบวนการกระจายค่านิยม ๒. การปลูกฝังจริยธรรมด้วยเหตุผล (Moral Reasoning ย่อว่า MR) มีแนวคิดพื้นฐาน ตามทรรศนะของโคล์เบอร์ก จริยธรรม หมายถึง กฎเกณฑ์ในการตัดสินความถูกผิดของการกระท า ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางปัญญาข้อผูกพันกับอายุของบุคคล ๑๕๒ โดยใช้ วิธีปลูกฝังจริยธรรมตามทรรศนะของทฤษฎีMR คือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีกฎเกณฑ์การตัดสินความ ถูกผิดด้วยเหตุผลในระดับสูง และอย่างน้อยก็ให้อยู่ในระดับกฎเกณฑ์สังคม ตามทรรศนะนี้การพัฒนา จริยธรรม ไม่อาจกระท าด้วยการสอน ไม่อาจกระท าด้วยการแสดงตัวอย่างให้ดู จริยธรรมพัฒนาขึ้นมา ด้วยการนึกคิดของแต่ละคนตามล าดับขั้นของพัฒนาการทางปัญญาซึ่งผูกกับอายุ ๓. การปลูกฝังจริยธรรมด้วยการปรับพฤติกรรม (Behavior Modification ย่อว่า BM) วิธีการนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อว่า พฤติกรรมของคนเราถูกควบคุมโดยเงื่อนไขการเสริมแรง และเงื่อนไขการลงโทษ๑๕๓ โดยใช้วิธีการปลูกฝังจริยธรรมตามความคิดนี้ หากต้องการปลูกฝัง จริยธรรมใดต้องจัดเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ผู้กระท าให้รับแรงเสริม หากต้องการลดพฤติกรรมใด ก็ต้อง จัดเงื่อนไขเพื่อให้ผู้กระท าไม่ได้รับแรงเสริม ๔. การปลูกฝังจริยธรรมด้วยการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning ย่อว่า SL) ถือว่า จริยธรรมเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ส าหรับการประเมินความถูกหรือผิดของพฤติกรรม มีแนวความคิดพื้นฐานว่า การเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์ตรงของตนเอง ส่วนหนึ่งเกิดจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้อื่น อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการฟังค าบอกเล่าและการอ่าน บันทึกของผู้อื่น การเรียนรู้ประเภทหลังนี้ ช่วยให้มนุษย์มีความรู้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง๑๕๔ ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้กล่าวถึงความส าคัญของวินัยต่อการพัฒนา ประเทศในด้านต่างๆ ไว้ดังนี้ ๑. ด้านครอบครัว การที่สมาชิกในครอบครัวมีวินัยไม่ว่าจะเป็นวินัยภายนอก หรือวินัย ภายในตนเอง ย่อมก่อให้เกิดความไว้วางใจ เชื่อมั่นระหว่างสมาชิก ท าให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีภายใน ครอบครัว โดยเฉพาะสมาชิกผู้เยาว์ของครอบครัว เมื่อเติบโตขึ้นจากครอบครัวที่มีสัมพันธภาพที่ดีย่อม เป็นผู้มีบุคลิกภาพดี มีความมั่นคงทางจิตใจ กล้าที่จะเรียนรู้และปรับตัวในสิ่งใหม่ๆ อันจะเป็นก าลัง ส าคัญในการช่วยพัฒนาประเทศสืบไป ๑๕๑ ชัยพร วิชชาวุธ และ ธีระพร อุวรรณโณ, แนวคิดและพัฒนาการใหม่ในการปลูกฝังจริยธรรม, เอกสารการสอนชุดวิชาจริยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, (กรุงเทพมหานคร: บางกอกบล็อก, ๒๕๓๐), หน้า ๒๐ - ๓๐. ๑๕๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๔. ๑๕๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๗. ๑๕๔ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๐.
๑๐๕ ๒. ด้านสังคม เมื่อกลุ่มคนในสังคมมีการรักษาระเบียบวินัย เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม ร่วมกัน ก็จะท าให้การด าเนินชีวิตอยู่ร่วมกันของบุคคลเป็นไปอย่างสงบสุข หากสังคมใดที่สมาชิกใน สังคมไร้ระเบียบวินัยทั้งที่เป็นวินัยในตนเอง และวินัยที่เกิดจากการยอมรับ ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับย่อมท าให้สังคมนั้นๆตกอยู่ในสภาวะสับสน ๓. ด้านเศรษฐกิจ สภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่มีการด าเนินงานทางภาคธุรกิจอย่าง รวดเร็ว โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารเป็นเครื่องมือ เวลาจึงเป็นทรัพยากรที่ส าคัญยิ่งซึ่งผู้ด าเนินการทาง ธุรกิจจะต้องรักษา และใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าที่สุด ดังนั้น การมีวินัย ตรงต่อเวลา จึงเป็นสิ่งจ าเป็น ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ ๔. ด้านการเมือง เหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองของไทยหลายๆ กรณี เกิดขึ้นเนื่องจาก นักการเมือง และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขาดระเบียบวินัยทางการเมือง เหตุการณ์ที่วุ่นวาย เหล่านี้ส่งผลเสียต่อภาพพจน์ของประเทศในสายตาของชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ประกอบกิจการ ต่างๆ และส่งผลเสียต่อการด าเนินงานทางเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง๑๕๕ การมีวินัยว่า เป็นเครื่องปลูกฝังการรู้จักควบคุมตนเองทีละน้อยเพื่อให้เกิดผลดี เพื่อความ เป็นพลเมืองที่มีคุณค่าของสังคมต่อไปและการปลูกฝังระเบียบวินัย จะท าให้บุคคลยอมท าตามระเบียบ ผู้ใกล้ชิดควรเป็นผู้วางพื้นฐาน กฎเกณฑ์ ให้สมาชิกผู้เยาว์ปฏิบัติตนจนเกิดความเชื่อมั่น จิตใจเข้มแข็ง และพร้อมจะปรับตัวเข้าสู่สังคมและเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมได้อย่างมีคุณค่า และพร้อมที่จะเป็น ผู้รับผิดชอบต่อประเทศชาติต่อไป 2.๙ บริบทพื้นที่วิจัย ผู้วิจัยได้ท าการศึกษาโรงเรียนมัธยมในเขต อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 26 จ านวน 6 โรงเรียน ดังนี้ 2.๙.1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ปัจจุบันโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มี ผศ.ดร.วรวรรณ อุบลเลิศ เป็นผู้อ านวยการโรงเรียน เปิดจัดการเรียนการสอนแบบสหศึกษา เช่นเดียวกับโรงเรียนชายประจ า จังหวัด คือ โรงเรียนสารคามพิทยาคม โรงเรียนผดุงนารีตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม ถนนนาควิชัย ต าบลตลาด อ าเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เปิดท าการเรียนการสอนมา ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2500 ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 60 ปี และเริ่มเปิดการเรียนการสอนระดับ มัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 ในปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบัน มีนักเรียนในฝ่ายมัธยมศึกษา จ านวน 540 คน๑๕๖ ๑๕๕ ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, คู่มือครูเพื่อการพัฒนาจิตพิสัยในระบบการเรียน การสอน, (กรุงเทพมหานคร: ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, 2540), หน้า ๕. ๑๕๖ โ รงเรี ย น ส า ธิ ต ม ห า วิ ท ย า ลั ย ร า ช ภั ฎ ม ห า ส า ร ค า ม , [อ อ น ไ ล น์], แ ห ล่งที่ ม า : http://satit.rmu.ac.th/satit_register/main1.php. [๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙].
๑๐๖ 2.๙.2 โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม เป็นโรงเรียนสตรีประจ าจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งแต่เดิมเคยรับเฉพาะนักเรียนหญิง แต่ในปัจจุบันได้จัดการเรียนการสอนแบบสหศึกษา เช่นเดียวกับ โรงเรียนชายประจ าจังหวัดคือ โรงเรียนสารคามพิทยาคม โรงเรียนผดุงนารีตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง มหาสารคาม ถนนนาควิชัย ต าบลตลาด อ าเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เปิดท าการ เรียนการสอนมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2469 ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 90 ปี ปัจจุบันมีจ านวนนักเรียน มากกว่า 4,500 คน และบุคลากรทางการศึกษากว่า 250 คน ในปัจจุบันการจัดการเรียนการสอน ของโรงเรียนผดุงนารี มีแผนชั้นเรียนเป็น 18 – 18 -18/15 – 15 - 15 รวม 99 ห้องเรียน เป็น 1 ใน 3 โรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงและยังเป็นโรงเรียนที่มีการพัฒนาสูงมาก"๑๕๗ 2.๙.3 โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร ตั้งอยู่หมู่ 3 ต าบลท่าสองคอน อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 26 ปัจจุบันมีนายบัณฑิต วิเท่ห์ ด ารง ต าแหน่งผู้อ านวยการโรงเรียน มีซึ่งวิสัยทัศน์คือ จัดการศึกษาให้ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรม มีคุณภาพ ต ามเกณ ฑ์ ม าต รฐ าน น าห ลัก ธ รรมค าสอนท างพ ระพุท ธศ าสน าโดยเน้นไต รสิกข า คือ ศีล สมาธิปัญญ า เป็นแนวการด าเนินกิจกรรมการเรียน หลากหลายแหล่งเรียน รู้ใช้สื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีที่เหมาะสม ประสานงานกับชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอย่างมี ประสิทธิภาพภายในปี 2554 และมีพันธกิจ ๔ ประการ ดังนี้ 1. พั ฒ น าก า รศึ กษ าก า รเรี ย น รู้ต าม แ น วโรงเรีย น วิ ถีพุ ท ธเพื่ อให้ ผู้ เรีย น มี ความรู้คุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย 2. พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีศักยภาพในการปฏิบัติงานอย่างมี ประสิทธิภาพ น าสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน 3. พัฒนาระบบบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานที่มีข้อมูลเพียงพอ ถูกต้อง และ 4. ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ปัจจุบันปีการศึกษา 2559 มีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 แยกตามระดับชั้น เรียน มัธยมศึกษาตอนต้น (มัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 จ านวน 232 คน และมัธยมศึกษาตอนปลาย จ านวน 244 คน๑๕๘ 2.๙.4 โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนมหาวิชานุกูล เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2499 เป็นโรงเรียน มัธยมศึกษาแบบสหศึกษา สังกัดกองการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา ชื่อโรงเรียนเมืองมหาสารคาม ตั้งอยู่ถนนนาควิชัย ต าบลตลาด อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสาราคาม มีเนื้อที่ 22 ไร่ ๑๕๗ โรงเรียนผดุงนารี จังหวัดมหาสารคาม [ออนไลน์], แหล่งที่มา http://www.phadungnaree.ac.th [๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙]. ๑๕๘ โรงเรียนมหาวิชานุกูล [ออนไลน์], แหล่งที่มา https://data.bopp-obec.info/emis/schooldataview.php?School_ID=1044410582&Area_CODE=6501 [๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙].
๑๐๗ โรงเรียนมห าวิช านุ กูล สังกัดส านั กงานเขตพื้นที่ก ารศึกษ ามั ธยมศึกษ า เขต 26 ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่ ณ หมู่ที่ 12 บ้านโนน ส าราญ ถนนเลี่ยงเมือง มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด ต าบลแวงน่าง อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 44000 ตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์ราชการ จังหวัดมหาสารคาม ห่างจากตัวจังหวัดมหาสารคาม 5 กิโลเมตร ปัจจุบัน นายเกษม บุญบรรจง ด ารงต าแหน่งผู้อ านวยการสถานศึกษา มีครูและผู้บริหาร รวม 35 คน พนักงานธุรการ 1 คน พนักงานบริการ 4 คน ยาม 2 คน พนักงานขับรถ 2 คน เเละ นักเรียน 225 คน๑๕๙ 2.๙.5 โรงเรียนสารคามพิทยาคม โรงเรียนสารคามพิทยาคมได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2449 มีชื่อว่า “โรงเรียนสาร วิทยาวิบูลย์” ซึ่งต้องอาศัยศาลาการเปรียญของวัดโพธิ์ศรีธาราม เป็นที่เรียน รับเฉพาะนักเรียนชาย มีพระภิกษุเป็นครูสอน มีฐานะเป็นโรงเรียนประจ าอ าเภออุทัยสารคาม (อ าเภอเมืองในปัจจุบัน) ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนได้ด าเนินการโครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ เป็นภาษาอังกฤษ (EP) ระดับช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จ านวน 1 ห้อง ปัจจุบันมีนายนายเกษม ไชยรัตน์ เป็นผู้อ านวยการโรงเรียน ปีการศึกษา 2559 มีนักเรียน ดังนี้ ระดับชั้น ชาย หญิง รวม ห้อง มัธยมศึกษาปีที่ 1 330 399 729 16 มัธยมศึกษาปีที่ 2 309 404 713 16 มัธยมศึกษาปีที่ 3 312 401 713 16 รวมชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 951 1,1204 2,155 48 มัธยมศึกษาปีที่ 4 296 425 721 18 มัธยมศึกษาปีที่ 5 241 390 631 16 มัธยมศึกษาปีที่ 6 246 355 601 16 รวมชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 783 1,170 1,953 50 รวมทั้งสิ้น 1,734 2,374 4,108 98 2.๙.6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) เริ่มเปิดด าเนินการในปีการศึกษา 2540 เป็นปีแรก โดยมี รศ.จตุพร เพ็งชัย เป็นประธานโครงการจัดตั้งโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย มหาสารคาม ท าหน้าที่รักษาการในต าแหน่งผู้อ านวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) และได้ใช้สถานที่เรียนชั่วคราว คือ บริเวณอาคารเรียนของโรงเรียนเทคโนโลยีคณาสวัสดิ์ ๑๕๙ โรงเรี ย น ส า รค าม พิ ท ย าค ม [อ อ นไล น์], แ ห ล่งที่ ม า http://data.bopp-obec.info/web/ index_view_history.php?School_ID= 1044410582 & page = history [๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙].
๑๐๘ (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขตพื้นที่ในเมือง) ซึ่งขณะนั้นคณาจารย์ทุกคนต้องท างานหนัก มาก เพื่อให้การเรียนการสอนด าเนินไปด้วยดี หลังจากนั้น เมื่อปีการศึกษา 2541 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ได้ย้ายมาใช้สถานที่ใหม่คือคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม เขตพื้นที่ในเมือง) และมี รศ.จตุพร เพ็งชัย เป็นผู้อ านวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย มหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ซึ่งท างานภายใต้นโยบายของคณะกรรมการอ านวยการโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) มีอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นประธาน ในปีการศึกษา 2542 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ได้ย้าย สถานที่อีกครั้งโดยย้ายมาอยู่ที่อาคาร 2 (ส านักงานอธิการบดี ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขตพื้นที่ในเมือง) และอาคาร 3 (คณะวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขตพื้นที่ใน เมือง) ปีแรกของการเปิดท าการนั้น โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) รับสมัครนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จ านวน 2 ห้องเรียน และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จ านวน 2 ห้องเรียน ผู้บริหารและคณาจารย์ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน พัฒนาโรงเรียนให้ก้าวหน้าในด้านวิชาการ ด้านบุคลากร ซึ่งมีทั้งอาจารย์ประจ า อาจารย์พิเศษและ อาจารย์ชาวต่างประเทศ โรงเรียนได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือทางด้านงบประมาณ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคามโดยท่านอธิการบดี ภก.ศ. (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ให้ความ อนุเคราะห์เป็นอย่างดี ปัจจุบัน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) เปิดด าเนินการ สอนระดับช่วงชั้นที่ 3 - 4 (ม.1 - 6) มีนักเรียน 1,646 คน มีนายอรุณ แก้วมั่น เป็นผู้อ านวยการ โรงเรียน โดยช่วงชั้นที่ 3 เปิดสอน 2 หลักสูตร คือหลักสูตรปกติและหลักสูตรโครงการส่งเสริม ศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ ในช่วง ชั้นที่ 4 เปิดสอน 4 แผนการเรียน 6 หลักสูตร ได้แก่ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ จ านวน 2 หลักสูตร คือหลักสูตรปกติและหลักสูตรโครงการส่งเสริมศักยภาพนักเรียนที่มี ความสามารถพิเศษ ด้านวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ภาษาฝรั่งเศส/ ภาษาจีน/ภาษาญี่ปุ่น จ านวน 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรปกติและหลักสูตรโครงการส่งเสริมศักยภาพ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านภาษาอังกฤษ และแผนการเรียนภาษาอังกฤษ - ดนตรี จ านวน 1 หลักสูตร๑๖๐ สรุปได้ว่า บริบทของพื้นที่วิจัย ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โรงเรียนผดุงนารีโรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตอ าเภอ เมืองจังหวัดมหาสารคาม จัดการเรียนการสอนแบบสหศึกษาเป็นพื้นที่วิจัยที่มีจ านวนประชากรเป็น จ านวนมากมีความหลากหลายของกลุ่มประชากร จึงท าให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่ใช้พื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ในการท าวิจัย ๑๖๐ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://satit.msu.ac.th/th/ [๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙].
บทที่ ๓ วิธีด ำเนินกำรวิจัย การวิจัยเรื่อง “การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” โดยใช้ทั้งการวิจัย เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณร่วมกัน (Mixed methodology) เพื่อให้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ เที่ยงตรงมากที่สุด และให้ได้มาซึ่งค าตอบเชิงประจักษ์ในแต่ละวัตถุประสงค์ โดยผู้วิจัยได้ ด าเนินการตามล าดับ ดังนี้ ๓.๑ รูปแบบของการวิจัย ๓.๒ วิธีการด าเนินการวิจัย ๓.๓ เครื่องมือการวิจัย ๓.๔ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ๓.๘ การน าเสนอผลการวิจัย ๓.๙ สรุปกระบวนการวิจัย ๓.๑ รูปแบบของการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่องนี้ ใช้การวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Research Method) ทั้งเชิงคุ ณ ภ าพ (Qualitative Research) แ ล ะ เชิงป ริ ม าณ (Quantitative Research) ในระยะแรกได้มีการด าเนินการส ารวจ (Survey) ความพร้อมขั้นพื้นฐานของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เพื่อศึกษาการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ผู้วิจัยจึงก าหนดรูปแบบการวิจัยได้ ดังนี้ ๑. ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อให้ทราบถึงประเด็นของ การศึกษา และมีความครอบคลุมในเนื้อหาสาระส าคัญที่ศึกษาอย่างครบถ้วน จากกระบวนการซึ่ง เกี่ยวข้องกับการ ๑) ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ๒) แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมชาติของวัยรุ่น ๓) พฤติกรรมของมนุษย์ในทัศนะพระพุทธศาสนา ๔) หลักเกณฑ์ในการ ตัดสินพฤติกรรมมนุษย์ ๕) หลักสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา ๖) การปฏิบัติกรรมฐานกับ การพัฒนาจริยธรรม ๗) สาเหตุและปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น ๘) การปลูกฝังจริยธรรมในโรงเรียน
๑๑๐ ซึ่งจะท าให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (In-Depth) ให้ได้รายละเอียดพอที่จะน ามาวิเคราะห์ในเชิงตรรกะ (Analytic Induction) ได้จากการประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ๒. ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ในเชิงประจักษ์ข้อมูล และวิเคราะห์ให้ทราบถึงเหตุผลที่มีส่วนสัมพันธ์กันกับข้อมูลในประเด็น และรายละเอียดของข้อมูลสภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ การสร้างและทดลองใช้ชุด กิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓.๒ วิธีการด าเนินการวิจัย งานวิจัยครั้งนี้ ได้มีวิธีการด าเนินการวิจัย ดังนี้ ระยะที่ ๑ ศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีวิธีการด าเนินการวิจัย ดังนี้ ๑. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ๒. วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษา เพื่อก าหนดเป็นโครงสร้างและขอบเขตเนื้อหา ปัญหาของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม แล้วน าแนวคิดและทฤษฏีมาสร้างแบบส ารวจสภาพปัญหา ๓. ให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน ๕ คน ได้ตรวจสอบเครื่องมือการวิจัย แล้วน าเครื่องมือที่ สร้างขึ้นมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องตามวัตถุประสงค์รายข้อ (Index of Item – Objective Congruence) ๔. การทดสอบหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (Reliability) ผู้วิจัยน าแบบสอบถามที่ ผ่านการแก้ไขปรับปรุงจากผู้เชี่ยวชาญมาทดสอบความเชื่อมั่นโดยการขออนุญาตเก็บข้อมูล ตัวอย่าง (Try out) โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดมหาสารคาม ระยะที่ ๒ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ใช้กระบวนการสนทนากลุ่มแบ่งออกเป็น ๖ กลุ่ม โดยใช้เนื้อหาสภาพปัญหาและความต้องการพัฒนาพฤติกรรม มีผู้วิจัยเป็นผู้อ านวยการ และผู้ร่วม วิจัยเป็นผู้จดบันทึกการสนทนากลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ ครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น า ชุมชน และเจ้าหน้าที่ต ารวจในเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จ านวน ๖๐ คน
๑๑๑ ระยะที่ ๓ การสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ใน การปรับเปลี่ยนพฤติกรร มีวิธีการด าเนินการวิจัย เพื่อสร้างชุดกิจกรรมให้เป็นเครื่องมือวิจัย ดังนี้ ๑. จากสภาพการเรียนรู้ในระยะที่ ๑ ผู้วิจัยได้น ามาเป็นประเด็นการรับรู้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการร่างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ๒. ร่างแบบประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับ ผู้เชี่ยวชาญประเมินชุดกิจกรรม ๓. ร่างกิจกรรมส าหรับสร้างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ระยะที่ ๔ ประเมินชุดกิจกรรม ใช้แบบประเมินนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้ หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน มีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนในอ าเภอเมือง โดยคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและ นักเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน โรงเรียนละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน แล้วใช้แบบสอบถามการติดตามหลังการอบรม ๓.๓ เครื่องมือการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึ่งประสงค์และความต้องการจ าเป็นของการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจากกรอบแนวคิดในการวิจัย เพื่อใช้สอบถาม ผู้อ านวยการ และผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้ จดบันทึกการสนทนากลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ ครู เยาวชน ผู้ปกครองผู้น าชุมชน และเจ้าหน้าที่ต ารวจในเขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scales) แบ่งเป็น ๔ ตอน ดังนี้ ตอนที่ ๑ แบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) ข้อมูลเกี่ยวกับ สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม และข้อมูลของการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ตอนที่ ๒ แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการ จ าเป็นของการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) ๕ ระดับ เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจ าเป็นของการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
๑๑๒ ตอนที่ ๓ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้วิจัยน าเครื่องมือที่ปรับปรุงตาม ข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของ เนื้อหาและความชัดเจนของข้อค าถาม แล้วน ามาหาค่า IOC โดยก าหนดค่า IOC ของเครื่องมือที่ จะน าไปใช้จริง มีค่าตั้งแต่ ๐.๘๐ ถึง ๑.๐๐ สรุปว่าเหมาะสมทุกข้อ ซึ่งผู้วิจัยได้ก าหนดเกณฑ์ใน การพิจารณาผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ ซึ่งผู้วิจัยได้ก าหนดเกณฑ์ในการพิจารณาผู้เชี่ยวชาญ ตอนที่ ๔ น าแบบสอบถามที่ผ่านการเก็บข้อมูลตัวอย่าง (Try out) เสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอความเห็นชอบและจัดพิมพ์แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์เพื่อใช้แจกจ่ายให้ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้จ านวนทั้งสิ้น ๓๗๒ คน ๓.๔ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ งานวิจัยครั้งนี้ ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธีทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ร่วมกัน (Mixed methodology) มีการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ แบ่งออกเป็น ๔ ระยะ ดังนี้ ระยะที่ ๑ ศึกษำหลักสติปัฏฐำน ๔ ส ำหรับกำรเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษำในอ ำเภอเมือง จังหวัดมหำสำรคำม การวิจัยเอกสาร เป็นการศึกษาค้นคว้าเพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๑) ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ๒) แนวคิดและทฤษฎีที่ เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของวัยรุ่น ๓) พฤติกรรมของมนุษย์ในทัศนะพ ระพุทธศาสน า ๔) หลักเกณฑ์ในการตัดสินพฤติกรรมมนุษย์ ๕) หลักสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา ๖) หลักกรรมฐานกับการพัฒนาจริยธรรม ๗) สาเหตุและปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น ๘) การปลูกฝัง จริยธรรมในโรงเรียน ศึกษาสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนใน อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ประกอบด้วย ๖ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมทั้งหมด ๕,๓๑๘ คน ใช้การสุ่มอย่างง่าย และการ ค านวณกลุ่มตัวอย่างตามแบบของทาโรยามาเน่ (Yamane) จ านวน ๓๗๒ คน ผู้วิจัยใช้การสุ่มอย่างง่าย และการค านวณกลุ่มตัวอย่างตามแบบของทาโรยามาเน่ Yamane (1973) แบ่งเป็น ๒ กลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ สูตรที่ใช้ในการค านวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างของนักเรียนชาย คือ n = N 1+Ne๒ n = กลุ่มตัวอย่าง N = จ านวนประชากร
๑๑๓ e = ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้นในรูปของสัดส่วน ค านวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด จ านวน ๕,๓๑๘ คน คือ n = ๕,๓๑๘ ๑ + ๕,๓๑๘ (.๐๕) ๒ ได้กลุ่มตัวอย่าง จ านวน ๓๗๒ คน เครื่องมือวิจัยระยะที่ ๑ เพื่อศึกษาการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ส ารวจสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพของเครื่องมือกำรวิจัย ระยะที่ ๑ เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบส ารวจสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ส าหรับนักเรียนมัธยมศึกษา จ านวน ๒๐ ข้อ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ๑. ศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ๒. วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษา เพื่อก าหนดเป็นโครงสร้างและขอบเขตเนื้อหา ปัญหาของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม แล้วน าแนวคิดและทฤษฏีมาสร้างเป็นแบบส ารวจสภาพปัญหา น าเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของภาษา ผู้เชี่ยวชาญให้ ข้อเสนอแนะการใช้ภาษาให้กระชับในข้อค าถาม แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน าในแต่ละ ประเด็นแล้วน ามาจัดหมวดหมู่ปัญหากับความต้องการให้ชัดเจน และวิเคราะห์เพื่อสร้างชุด กิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ๓. น าเครื่องมือให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือการวิจัย จ านวน ๕ รูป/คน ได้แก่ ๑) พระมหาโยธิน โยธิโก, รศ.ดร. ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา ๒) ผศ.ดร.วิมลมาศ ปฐมวณิชกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมท้องถิ่น สื่อ และ สารสนเทศ ๓) รศ.ดร.สถาพรพันธุ์มณีผู้เชี่ยวชาญด้านจัดฝึกอบรมนักเรียน ๔) รศ.ดร.ไชยยศ เรืองสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านรูปแบบ และหลักสูตร ๕) ผศ.ดร.ว่าที่ ร.ต.อรัญ ซุยกระเดื่อง ผู้เชี่ยวชาญการวัดและประเมินผล
๑๑๔ ๔. ผู้วิจัยได้น าเครื่องมือที่สร้างขึ้นมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ราย ข้อ (Index of Item – Objective Congruence) : IOC๑ ซึ่งค่า IOC จะต้องมีค่า≥ ๐.๕ ขึ้นไป จึงจะแปลผลว่า “ใช้ได้” ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยมีผลการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของ แบบสอบถามได้เท่ากับ ๐.๘๖ ทุกข้อ (ตามภาคผนวก ตารางที่ ค - ๑) ๕ การทดสอบหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (Reliability) ผู้วิจัยน าแบบสอบถามที่ ผ่านการแก้ไขปรับปรุงจากผู้เชี่ยวชาญมาทดสอบความเชื่อมั่นโดยการขออนุญาตเก็บข้อมูล ตัวอย่าง (Try out) โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมี ลักษณะคล้ายคลึงกับประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้จ านวน ๓๐ คน เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ข องแบ บ ส อบ ถ ามโด ย วิ ธีห าค่ าสั มป ร ะสิท ธิ์แ อ ลฟ า (α - Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach)๒ การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ค่าสัมประสิทธิ์ของความ สอดคล้องรายข้อ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความ เชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ ๐.๗๖๓ ระยะที่ ๒ สภำพกำรปรับใช้หลักสติปัฏฐำน ๔ ในกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษำในอ ำเภอเมือง จังหวัดมหำสำรคำม ใช้วิธีการจัด กระบวนการสนทนากลุ่ม แยกเป็น ๖ กลุ่ม ตามกลุ่มเป้าหมายซึ่งในการสนทนากลุ่มขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมของแต่ละกลุ่มที่นัดวันสนทนากลุ่มได้โดยใช้เนื้อหาสภาพปัญหาและความ ต้องการพัฒนาพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม มีผู้วิจัยเป็นผู้อ านวยการโครงการวิจัย และผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้จดบันทึกการสนทนา กลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ ครูเยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชนและเจ้าหน้าที่ต ารวจใน เขตอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จ านวน ๖๐ รูป/คน ใช้ตัวแทนจากชุมชนและโรงเรียนทั้ง ๖ โรงเรียนๆ ละ ๑๐ คน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามโรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อค้นหาสภาพปัญหาและพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน เช่น การติดเกมติดยาเสพติด ติดการพนัน มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หนีเรียน ไม่เชื่อฟังพ่อ แม่/ผู้ปกครอง และร่วมกันคัดเลือกนักเรียนที่มีปัญหาเข้ารับการอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๑ สุวิมล ติรกานันท์, การประเมินโครงการ : แนวทางสู่การปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๔๓), หน้า ๔๐. ๒ Cronbach, L. J., Essential of Psychological Testing, (New York : Harper & Row, 1974), P. 161.
๑๑๕ ระยะที่ ๓ สร้ำงและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมกำรปรับใช้หลักสติปัฏฐำน ๔ ในกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษำในอ ำเภอเมือง จังหวัดมหำสำรคำม การวิจัยครั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ยืนยันใช้ชุดกิจกรรมการอบรมการใช้หลักสติ ปัฏฐานตามค าแนะน าของผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้วิจัยได้เลือกผู้เชี่ยวชาญ จ านวน ๕ คน มาสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) และตรวจสอบการสร้างชุดกิจกรรม ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมท้องถิ่น สื่อและสารสนเทศ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านจัดฝึกอบรมนักเรียน ผู้เชี่ยวชาญด้านรูปแบบ และหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญการวัดและ ประเมินผล ได้พิจารณาความเหมาะสมของชุดกิจกรรม และตรวจสอบความตรงของเนื้อหา (Content Validity) เพื่อสร้างชุดกิจกรรมให้เป็นเครื่องมือวิจัย ระยะที่ ๓ดังนี้ ๑. จากสภาพการเรียนรู้ในระยะที่ ๑ ผู้วิจัยได้น ามาเป็นประเด็นการรับรู้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการร่างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ๒. ร่างแบบประเมินชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับ ผู้เชี่ยวชาญประเมินชุดกิจกรรม ๓. ร่างกิจกรรมส าหรับสร้างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพของเครื่องมือกำรวิจัย ระยะที่ ๓ ใช้แบบประเมินส าหรับผู้เชี่ยวชาญประเมินชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม มีกระบวนการ ดังนี้ ๑. ศึกษาเอกสาร แนวคิด หลักการ และวิธีการสร้างแบบสนทนากลุ่ม Focus Group Discussion แบบมีโครงสร้าง ๒. ร่างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เพื่อตรวจสอบให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อเสนอแนะ ๓. จัดเวทีวิพากษ์ชุดกิจกรรมเพื่อปรับปรุงให้มีความเหมาะสมของเนื้อห า โดยก าหนดเป็นกรอบในการสร้างแบบสัมภาษณ์ (Focus Group Discussion) ๔. แก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะในการจัดหมวดหมู่ เพื่อความชัดเจนของเนื้อหา ๕. น าชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ที่ ได้แก้ไขแล้วไป ทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จาก โรงเรียนมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยการคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและ สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน โรงเรียนละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน
๑๑๖ ระยะที่ ๔ กำรประเมินผลชุดกิจกรรมอบรมกำรปรับใช้หลักสติปัฏฐำน ๔ ในกำร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษำในอ ำเภอเมือง จังหวัด มหำสำรคำม เครื่องมือวิจัยระยะที่ ๔ ได้แก่ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ อบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนในอ าเภอเมือง โดยคัดเลือกจากครูประจ าชั้นและนักเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการจ านวน ๖ โรงเรียน โรงเรียน ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน การใช้แบบสอบถามการติดตามหลังการอบรม จากกลุ่มเป้าหมาย คือ ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพของเครื่องมือกำรวิจัย ระยะที่ ๔ ๑. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏ ฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการประเมินเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ โดยผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมได้ตรวจสอบความเหมาะสมของภาษาและเนื้อหามีลักษณะเป็นมา ตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ จ านวน ๑๐ ข้อ ได้ค่า มีค่าเฉลี่ย ( X ) ที่เหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ ๕ คน โดยน าค าตอบของแต่ละคนมาให้ค่าน้ าหนักเป็นคะแนน ดังนี้๓ มากที่สุด ระดับคะแนน ๕ คะแนน มาก ระดับคะแนน ๔ คะแนน ปานกลาง ระดับคะแนน ๓ คะแนน น้อย ระดับคะแนน ๒ คะแนน น้อยที่สุด ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๓ ล้วน สายยศ และอังคณ า สายยศ, เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น, ๒๕๓๘), หน้า ๑๘๔.
๑๑๗ ค านวณค่าเฉลี่ยคะแนนจากแบบประเมินความพึงพอใจ แล้วน ามาแปลความหมาย โดยเทียบกับเกณฑ์ดังนี้ ค่าเฉลี่ย ๔.๕๑ - ๕.๐๐ หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย ๓.๕๑ - ๔.๕๐ หมายถึง พึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ย ๒.๕๑ - ๓.๕๐ หมายถึง พึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ย ๑.๕๑ - ๒.๕๐ หมายถึง พึงพอใจน้อย ค่าเฉลี่ย ๑.๐๐ - ๑.๕๐ หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด ๒. น าแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นน าเสนอต่อที่ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ดูความ เหมาะสมของข้อค าถาม จะใช้ข้อค าถามกี่ข้อ และเนื้อหาเหมาะสม และผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตร และด้านการวัดและประเมินผล ตรวจสอบความเที่ยงเชิงเนื้อหา โดยพิจารณาความเหมาะสมของ ข้อค าถามและภาษาที่ใช้แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะได้แบบประเมินความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรมการใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยมีขั้นตอนตอนในการสร้างจ าแนกจุดประสงค์ตามเนื้อหา สร้างแบบ ประเมินความพึงพอใจ และน าแบบแบบประเมินที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบ โครงสร้างและภาษาที่ใช้ จากนั้น จึงน าไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาหลักสูตรได้ตรวจสอบด้าน ภาษา และด้านการวัดและประเมินผล จ านวน ๕ คน จากผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อตรวจสอบความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและภาษาที่ใช้แล้วปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาข้อ ค าถามให้ชัดเจน แล้วจึงแก้ให้เป็นค าถามที่ตรงกันคือความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการอบรม การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผู้วิจัย ด าเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ ๑. ขอหนังสือจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น เพื่อแจ้งให้พื้นที่ทราบ และขอความร่วมมือเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม เพื่อการวิจัยในพื้นที่ ๒. ท าปฏิทินการปฏิบัติงาน โดยได้ด าเนินการวางแผนเพื่อก าหนด วัน เวลา วิธีการ เนื้อหา บุคคลเป้าหมาย แล้วจัดท าปฏิทินเก็บรวบรวมข้อมูล ดังตารางที่ ๓.๑ ดังนี้
ตำรำงที่ ๓.๑ ปฏิทินการปฏิบัติงานวิจัย วิธีด ำเนินกำรวิจัย ขั้นตอนกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำง ระยะที่ ๑ ศึกษา หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ ของนักเรียนระดับ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใน อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม - ศึ ก ษ า ส ภ า พ ก า ร เรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ ข องนั ก เรี ย น ร ะ ดั บ มัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง - นักเรียนระดับมัธยมศึกษ อ าเภอเมือง คือ โรงเรียนส มหาวิทยาลัยราชภัฏโรงเรียน นารีโรงเรียนมห าชัยพิทยา โรงเรียนมหาวิชานุกูล และโรง สารคามพิทยาคม โรงเรียนส มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทั้งสิ้น ๕,๓๑๘ คนกลุ่มตัวอ จ านวน ๓๗๒ คน - กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสง เยาวชนผู้ปกครองผู้น าชุมชน เจ้าหน้าที่ต ารวจในเขตอ าเภอ จังหวัดมหาสารคาม จ านวน คน
เครื่องมือที่ใช้ ระยะเวลำ สิ่งที่คำดว่ำจะได้รับ ษาใน สาธิต นผดุง าคาร เรียน สาธิต รวม อย่าง งฆ์ครู นและ เมือง น ๖๐ - แ บ บ ส อ บ ถ า ม แ บ บ ต ร ว จ ส อ บ ร า ย ก า ร (Checklist) ข้อมูลเกี่ย วกับ ส ถ า น ภ า พ ข อ ง ผู้ ต อ บ แบบสอบถาม และข้อมูล -แบบส ำรวจสภำพกำรเรียนรู้ ห ลั ก ส ติ ปั ฏ ฐ ำน ๔ ข อง นักเรียนระดับมัธยมศึกษำใน อ ำ เ ภ อ เ มื อ ง จั ง ห วั ด มหำสำรคำม เป็นแบบมำตรำ ส่ วน ป ร ะม ำณ ค่ ำ (Rating Scales) ๕ ระดับ - แบบบันทึกสนทนากลุ่ม ตุ ล า ค ม – ธั น ว า ค ม พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้ทราบถึงสภาพการ เรียนรู้สภาพการเรียนรู้ ห ลั ก ส ติ ปั ฏ ฐ า น ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของ นั ก เ รี ย น ร ะ ดั บ มัธยมศึกษาในอ าเภอ เ มื อ ง จั ง ห วั ด มหาสารคาม ๑๑๘
วิธีด ำเนินกำรวิจัย ขั้นตอนกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำง ระยะที่ ๒ ศึกษ า สภ าพก ารเรียน รู้ หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ ของนักเรียนระดับ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใน อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม - ส ภ าพ ปั ญ ห าแ ล ะ ความต้องการการปรับ ใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ใน ก า รป รับ เป ลี่ ย น พ ฤติ ก ร รม อันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง
๑๑๙ เครื่องมือที่ใช้ ระยะเวลำ สิ่งที่คำดว่ำจะได้รับ มกราคม – มี น า ค ม พ.ศ. ๒๕๖๐ ความต้องการการปรับ ใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ใน ก า รป รับ เป ลี่ ย น พ ฤติ ก ร รม อันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม
วิธีด ำเนินกำรวิจัย ขั้นตอนกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำง ร ะ ย ะ ที่ ๓ เพื่ อ สร้างชุดกิจกรรม การอบรมการปรับ ใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ใ น ก า ร ป รั บ เ ป ลี่ ย น พฤติกรรมอันไม่พึง ป ร ะ ส ง ค์ข อ ง นั ก เ รี ย น ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใน อ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ขั้ น ต อ น ใ น ก า ร ด าเนินการวิจัย คือ ๑ . ร่ า งส ร้ า งชุ ด กิจกรรมการอบรมการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พ ฤติ ก ร รม อันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา ๒ . ป ร ะ เมิ น ค ว า ม เห ม า ะ ส ม ข อ งชุ ด กิจกรรมการอบรมการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พ ฤติ ก ร รม อันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา ๓ . ท ด ล อ ง ใ ช้ชุ ด กิจกรรมการอบรมการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไ ประสงค์จากโรงเรียนมัธยมศึ ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสาร โดยการคัดเลือกจากครูประจ แล ะสมัค รใจเข้ าร่วมโค รง จ านวน ๖ โรงเรียน โรงเรียนล คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน
๑๒๐ เครื่องมือที่ใช้ ระยะเวลำ สิ่งที่คำดว่ำจะได้รับ ม่พึง ศึกษา รคาม จ าชั้น งก าร ละ ๕ น - เค รื่องมื อแบ บป ระเมิน ส าหรับผู้เชี่ยวชาญประเมินชุด กิจกรรมการอบรมการปรับใช้ หลักสติปัฏ ฐาน ๔ ในก าร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมษ ายน – มิ ถุ น า ย น พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ชุ ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร อบรมการปรับใช้หลัก สติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันไม่พึงประสงค์ของ นั ก เ รี ย น ร ะ ดั บ มัธยมศึกษาในอ าเภอ เ มื อ ง จั ง ห วั ด มหาสารคาม
วิธีด ำเนินกำรวิจัย ขั้นตอนกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำง ๔ ในการปรับเปลี่ยน พ ฤติ ก ร รม อันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง ร ะ ย ะ ที่ ๔ เพื่ อ ป ร ะ เมิ น ผ ลชุ ด กิจกรรมการอบรม การปรับใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการ ป รั บ เ ป ลี่ ย น พฤติกรรมอันไม่พึง ป ร ะ ส ง ค์ข อ ง นั ก เ รี ย น ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใน อ าเภอเมือง ค ว า ม พึ ง ใ จ ข อ ง นั ก เรี ย น ที่ มี ต่ อชุ ด กิจกรรมการอบรมการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พ ฤติ ก ร รม อันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาใน อ าเภอเมือง กลุ่มเป้าหมายได้แก่นักเรียนร มัธยมศึกษาโรงเรียนในอ าเภอ ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการจ า ๓๐ คน
๑๒๑ เครื่องมือที่ใช้ ระยะเวลำ สิ่งที่คำดว่ำจะได้รับ ระดับ เมือง านวน แบบประเมินความพึงใจของ นักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการ อบรมการปรับใช้หลักสติปัฏ ฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ใน อ า เภ อ เมื อง จั ง ห วั ด มหาสารคาม กรกฎาคม – กั น ย า ย น พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ผลของความพึงใจ ของนักเรียนที่มีต่อชุด กิจกรรมการอบรมการ ปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พ ฤติ ก ร รม อันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาใน อ า เภ อ เมื อ ง แ ล ะ ข้อเสนอแนะ
๓.๖ การตรวจสอบข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๖.๑ กำรตรวจสอบข้อมูล ผู้วิจัยก าหนดการตรวจสอบข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ด้วยวิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบ สามเส้า (Triangulation) ดังต่อไปนี้ ๑. การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) เป็นการตรวจสอบข้อมูลที่ เก็บรวบรวมได้มาว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากแหล่งที่มาของ ข้อมูลที่ต่างแหล่งกันว่า ถ้าข้อมูลมาจากแหล่งที่ต่างกัน แล้วยังมีความเหมือนกันคงเส้นคงวาหรือ ทั้งนี้แหล่งที่กล่าวมาได้แก่ แหล่งเวลา แหล่งบุคคล และแหล่งสถานที่ ๒. การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (Methodological Triangulation) เป็นการใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ กัน เพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องเดียวกัน ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ และเอกสารบันทึก ๓. การน าเสนอข้อมูลแบบพรรณนาวิเคราะห์และแบบตาราง๔ ๓.๖.๒ กำรวิเครำะห์ข้อมูล ๑. ศึกษาสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม และสภาพปัญหาและความต้องการการใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓.๑.๒ สร้างชุดกิจกรรมการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓.๑.๓ ประเมินความพึงใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการอบรมการใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ๓.๗.๑ สถิติพื้นฐำน ๑. ร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตรของบุญชม ศรีสะอาด ค านวณจากสูตร 100 N f เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ต้องแปลงเป็นร้อยละ N แทน จ านวนความถี่ทั้งหมด ๔ สุภางค์จันทวานิช, วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๑๒๙.
๑๒๓ ๒. ค่าเฉลี่ย (Mean) โดยใช้สูตรของค านวณจากสูตร๕ N X X เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม N แทน จ านวนคนในกลุ่ม ๓. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตรของบุญชม ศรีสะอาด ค านวณจากสูตร๖ 1 . . 2 2 n n n x x S D เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน EX แทน คะแนนแต่ละตัว แทน ผลรวม N แทน จ านวนคะแนนในกลุ่ม ๓.๗.๒ สถิติในกำรหำค่ำคุณภำพเครื่องมือกำรวิจัย ๑. สถิติในการหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหากับจุดประสงค์หรือดัชนีความ เหมาะสม (IOC) ของโดยผู้เชี่ยวชาญ๗ IOC = N R เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้อง R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ๒. สูตรที่ใช้ในการค านวณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง คือ n = N 1+Ne๒ n = กลุ่มตัวอย่าง N = จ านวนประชากร e = ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้นในรูปของสัดส่วน ๕ บุญชม ศรีสะอาด, การวิจัยเบื้องต้น, พิมพ์ครั้งที่ 7, (กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน์, ๒๕๔๕), หน้า ๑๐๕. ๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๓. ๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖๕.
๑๒๔ ๓.๘ การน าเสนอผลการวิจัย การน าเสนอข้อมูลจะอยู่ในลักษณะการพรรณนาความ (descriptive presentation) ประกอบตาราง และการพรรณนาความประกอบการบรรยายกับข้อมูลพื้นฐานของการปรับใช้หลักสติ ปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แล้วได้ข้อสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม มีว ิธีการน าเสนอผลการวิจัย ดังนี้ ส่วนที่ ๑ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง ส่วนที่ ๒ ศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ จากสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนในอ าเภอเมือง ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย ๖ โรงเรียน รวมทั้งหมด ๕,๓๑๘ คน ใช้การสุ่มอย่างง่ายและ ค านวณกลุ่มตัวอย่าง ตามแบบของทาโรยามาเน่ (Yamane) จ านวน ๓๗๒ คน ส่วนที่ ๓ สภาพการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับการเรียนรู้ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จาการใช้กระบวนการสนทนากลุ่มแบ่งออกเป็น ๖ กลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ ครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชนและเจ้าหน้าที่ต ารวจในเขต อ าเภอเมืองมหาสารคาม จ านวน ๖๐ คน ส่วนที่ ๔ การสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จากโรงเรียน มัธยมศึกษา โดยการคัดเลือกครูประจ าชั้นและผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียน โรงเรียนละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน ส่วนที่ ๕ ประเมินชุดกิจกรรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน จากแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนและแบบสอบถามการ ติดตามหลังการอบรมนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ๓.๙ สรุปกระบวนการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่อง การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีระเบียบวิธีวิจัยใน การศึกษ าครั้งนี้ซึ่งด าเนินการโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภ าพ (Qualitative Research Methodology) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) ผู้ให้ ข้อมูลที่ส าคัญ (Key Informant Interview) โดยใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวม ข้อมูล และอาศัยการสังเกตการณ์ (Observation) ทั้งแบบมีส่วนร่วมและแบบไม่มีส่วนร่วมควบคู่กัน การวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้การพรรณนาวิเคราะห์เนื้อหาจากการตีความสังเคราะห์ เชื่อมโยงแล้วหา ข้อสรุป เพื่ออธิบายปรากฏการณ์อย่างลึกซึ้ง แล้วเสนอแนะทางเชิงวิชาการและการวิจัยต่อไป
บทที่ ๔ ผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง “การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” เป็นการวิจัยทั้งเชิง คุณภาพและเชิงปริมาณ (Mixed methodology) มีการวิจัยตามล าดับ ดังนี้ ส่วนที่ ๑ ข้อมูลทั่วไปและสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับการปรับใช้ หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ส่วนที่ ๒ สภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมืองมหาสารคาม ศึกษาจากกลุ่มประชากร นักเรียน ระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ทั้ง ๖ โรงเรียน รวมทั้งหมด ๕,๓๑๘ คน ใช้การ สุ่มอย่างง่ายและค านวณกลุ่มตัวอย่าง ตามแบบของทาโร ยามาเน่ (Yamane) จ านวน ๓๗๒ คน ส่วนที่ ๓ การปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จาการใช้กระบวนการสนทนากลุ่มแบ่ง ออกเป็น ๖ กลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พระสงฆ์ ครู เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้น าชุมชน และเจ้าหน้าที่ ต ารวจ ที่อยู่ในชุมชนต่างๆ ในเขตอ าเภอเมืองมหาสารคาม จ านวน ๖๐ คน ส่วนที่ ๔ การสร้างและทดลองใช้ชุดกิจกรรมอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์จาก โรงเรียนมัธยมศึกษา โดยการคัดเลือกครูประจ าชั้นและผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จ านวน ๖ โรงเรียนๆ ละ ๕ คน รวมทั้งสิ้น จ านวน ๓๐ คน ส่วนที่ ๕ ประเมินชุดกิจกรรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันไม่พึงประสงค์ของนักเรียน จากแบบประเมินนักเรียนที่มีต่อการอบรมการปรับใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ๔.๑ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลความหมายจากผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัย ใช้สัญลักษณ์แทนความหมายต่างๆ ดังนี้ x̄ แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน N แทน จ านวนกลุ่มตัวอย่าง I แทน ค่าเฉลี่ยสภาพที่พึงประสงค์
๑๒๖ D 2 D D I.O.C. แทน ดัชนีความสอดคล้อง (Index Of Consistency) R แทน ผลรวมของการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการทดลอง แทน ผลรวมของก าลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการ ทดลอง ๔.๒ ข้อมูลทั่วไปและสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ผลการศึกษาสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จากกลุ่มตัวอย่าง จ านวน ๓๗๒ คน ตอนที่ ๑ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ดังตารางที่ ๔.๑ ตารางที่ ๔.๑ แสดงร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จ าแนกตาม เพศ อายุ ระดับ การศึกษา ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = 372) ๑.๑ เพศ จ านวน (คน) ร้อยละ ชาย ๑๕๒ ๔๐.๘๖ หญิง ๒๒๐ ๕๙.๑๔ รวม ๓๗๒ ๑๐๐.๐๐ ๑.๒ อายุ ๑๖ ปี ๑๑๒ ๓๐.๑๑ ๑๗ ปี ๑๒๓ ๓๓.๐๖ ๑๘ ปี ๑๓๗ ๓๖.๘๓ รวม ๓๗๒ ๑๐๐.๐๐ ๑.๓ ระดับการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ๑๑๒ ๓๐.๑๑ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ๑๒๓ ๓๓.๐๖ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ๑๓๗ ๓๖.๘๓ รวม ๓๗๒ ๑๐๐.๐๐ จากตารางที่ ๔.๑ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิง จ านวน ๒๒๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๑๔ เพศชาย จ านวน ๑๕๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๘๖ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ จ านวน ๑๑๒ คน อายุ ๑๖ ปี คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๑๑ อายุ ๑๗ ปี จ านวน ๑๒๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๐๖ อายุ ๑๘ ปี จ านวน ๑๓๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๘๓ ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๕ จ านวน ๑๒๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๐๖ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จ านวน ๑๓๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๘๓ ซึ่งระดับชั้นมีความสัมพันธ์กับอายุและระดับการศึกษา
๑๒๗ ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๓.๑ ผลจากการศึกษาหลักสติปัฏฐาน ๔ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึง ประสงค์ จากการศึกษาสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน โรงเรียนในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอ เมือง จังหวัดมหาสารคาม ทั้ง ๖ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร โรงเรียนมหาวิชานุกูล โรงเรียนสารคามพิทยาคม และ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมทั้งหมด ๕,๓๑๘ คน ใช้การสุ่มอย่างง่าย และการ ค านวณกลุ่มตัวอย่าง ตามแบบของทาโรยามาเน่ (Yamane) จ านวน ๓๗๒ คน ผลจากการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบส ารวจสภาพการเรียนรู้หลักสติปัฏฐาน ๔ ส าหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จ านวน ๒๐ ข้อ เพื่อใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษา ก าหนดเป็นโครงสร้างและขอบเขตเนื้อหาในการวิเคราะห์ปัญหาของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาในพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ น าเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจ านวน ๕ รูป/คน ได้ตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของภาษา ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อเสนอแนะการใช้ภาษาในข้อ ค าถามให้กระชับ แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน าแล้วน ามาจัดหมวดหมู่ปัญหากับความ ต้องการให้ชัดเจน และวิเคราะห์เพื่อสร้างชุดกิจกรรมอบรมแล้ว ได้เป็นแบบค าถามทั้ง ๒๐ ข้อ ดังนี้ ข้อที่ ๑ ข้อใดคือความหมายของสมาธิ ก. การยืน เดิน นั่ง อย่างมีสติ ข. การนั่งดูลมหายใจ ค. การท าใจให้มั่นคงในสิ่งเดียว ง. การสงบจิตด้วยการบริกรรมว่า พุทโธ ข้อที่ ๒ การฝึกสมาธิเบื้องต้นจะได้ประโยชน์ต่อการศึกษาอย่างไร ก. ชะลอความแก่ ข. หายจากการหวาดกลัว ค. มีจิตใจสบายหายเครียด ง. เสริมความจ ามีประสิทธิภาพการท างาน ข้อที่ ๓ ผลของการบริหารจิตช่วยพัฒนาบุคลิกภาพอย่างไร ก. มีนิสัยสุภาพ อ่อนโยน ข. มีความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ ค. จิตมีก าลังเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ง. มีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ข้อที่ ๔ ข้อใดเป็นกายานุปัสสนา ก. ระลึกถึงความสงบ ข. ระลึกถึงร่างกาย ค. ระลึกถึงลมหายใจเข้าออก ง. ระลึกถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ข้อที่ ๕ การที่มนุษย์กินเนื้อสัตว์จึงกล่าวว่า ร่างกายเป็นดุจดังป่าช้าทิ้งซากศพตรงกับข้อ ใดในกายาวิปัสสนา ก. ปฏิกูลมนสิการ ข. ก าหนดอิริยาบถ ค. ธาตุววัฏฐาน ง. นวสีวถิกา
๑๒๘ ข้อที่ ๖ การพิจารณาความรู้สึกทุกข์ สุข เฉยๆ เป็นการบริหารจิตตามข้อใด ก. กายานุปัสสนา ข. เวทนานุปัสสนา ค. จิตตานุปัสสนา ง. ธัมมานุปัสสนา ข้อที่ ๗ การพิจารณาว่าชีวิตประกอบด้วยรูปและนาม เป็นการพิจารณาข้อใด ก. กายานุปัสสนา ข. เวทนานุปัสสนา ค. จิตตานุปัสสนา ง. ธัมมานุปัสสนา ข้อที่ ๘ การเดินจงกรมมี ๖ ระยะ ระยะที่ ๓ คือข้อใด ก. ยกส้นเท้าขึ้น เรียกว่า ยกส้นหนอ ข. ยกเท้าจะก้าวไปข้างหน้า เรียกว่า ยกหนอ ค. ยกเท้าไปข้างหน้า เรียกว่า ย่างหนอ ง. ยกเท้าก้าวไปข้างหน้าเท้าอีกข้างหนึ่ง เรียกว่า กดหนอ ข้อที่ ๙ วิธีคิดแบบสามัญลักษณะ เป็นการคิดแบบใด ก. คิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ ข. คิดทุกแง่มุมรอบด้าน ค. คิดแบบหลักการและจุดมุ่งหมาย ง. คิดแบบรู้เท่าทันความเป็นจริง ข้อที่ ๑๐ ขณะที่นักเรียนก าลังท าข้อสอบจัดว่าเป็นการคิดแบบใด ก. คิดตามหลักการจุดหมาย ข. คิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน ค. คิดทุกแง่มุมรอบด้าน ง. คิดแบบแก้ปัญหา ข้อที่ ๑๑ วิธีการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จะต้องท าอิริยาบถอย่างไร ก. นั่งเพียงอย่างเดียว ข. ยืนหรือเดินก็ได้ ค. นอนเพียงอย่างเดียว ง. อยู่ในอิริยาบถไหนก็ได้ แต่ต้องมีสติก าหนดที่จิต ข้อที่ ๑๒ วิธีคิดแบบแยกส่วน คือวิธีคิดที่ตรงกับข้อใด ก. คิดแบบกระจายเนื้อหา ข. คิดแบบแยกแยะ ค. คิดตามเหตุตามผล ง. คิดแบบแก้ปัญหา ข้อที่ ๑๓ ผู้เจริญสติอย่างสมบูรณ์จะเกิดผลเช่นไร ก. หลุดพ้น เป็นอิสระ ข. มีสติยั้งคิด ค. ตัดสรรพสิ่ง ง. มีศีลบริสุทธิ์ ข้อที่ ๑๔ ข้อใดไม่ใช่ “การคิดอย่างถูกวิธี” (อุปายมนสิการ) ก. คิดถูกเรื่อง ข. ส าเร็จผลตามที่คิด ค. คิดรอบคอบ ง. ย้ าคิดจนเป็นนิสัย ข้อที่ ๑๕ สร้างรั้วบ้านป้องกันภัย “สร้างพลังจิต” ป้องกันอะไรที่ส าคัญที่สุด ก. ความวุ่นวายใจ ข. ความฟุ้งซ่าน ค. ความกระวนกระวายใจ ง. ความทุกข์
๑๒๙ ข้อที่ ๑๖ การเจริญสติปัฏฐาน โดยการฝึกสติให้มีพลัง รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงจิต ก่อให้จิตเกิดอาการเช่นไร ก. ท าให้จิตเคลื่อนไหว ข. ท าให้จิตมีอาการสงบ ค. ท าให้จิตเปลี่ยนแปลง ง. เสริมสมรรถภาพทางกาย ข้อที่ ๑๗ ปัญญาในพระพุทธศาสนามีความหมายว่าอย่างไร ก. ความเชื่อที่ประกอบไปด้วยญาณพิเศษ ข. การมีความประพฤติทางกาย วาจา เป็นปกติ ค. การเสียสละก าลังกาย ง. ความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเหตุและผล ข้อที่ ๑๘ ในขณะนั่งสมาธิควรจะเน้นหลักธรรมใดเป็นตัวน า ก. สติ ข. ปัญญา ค. ศีล ง. ขันติ ข้อที่ ๑๙ การพิจารณ ารู้ทันการเปลี่ยนแปลงจิตของตนเอง ถือว่าเป็นการเจริญ สติปัฏฐานข้อใด ก. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ข. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ค. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ง. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ข้อที่ ๒๐ การตั้งสติก าหนดอารมณ์ ถือว่าเป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ในข้อใด ก. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ข. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ค. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ง. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้วิจัยได้น าเครื่องมือที่สร้างขึ้นมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องตามวัตถุประสงค์รายข้อ (Index of Item – Objective Congruence) แ ล ะท ด ส อ บ ห าค ว าม เชื่ อ มั่ น ข องเค รื่ องมื อ (Reliability) โดยการขออนุญาตเก็บข้อมูลตัวอย่าง (Try out) โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในจังหวัด มหาสารคาม ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ จ านวน ๓๐ คน เพื่อหาค่า ความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ตาม วิธีของครอนบาค (Cronbach) ผู้วิจัยได้ค่าสัมประสิทธิ์ของความสอดคล้องรายข้อ และเครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.763 ดังตาราง แสดงค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ตามวิธีของ “ครอนบาค” จากสูตร ดังตารางที่ ๔.๒ ตารางที่ ๔.๒ ตารางแสดงค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยวิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค เป็น Case Processing Summary Case Processing Summary N % Case Valid 30 100 Excluded 0 .0 Total 30 100 A Listwise deletion base on all variable in the procedure.