The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อดุลย์ ทองบัว, 2023-06-08 04:03:08

การบริหารราชการไทย

242 มีการน ามาใช้กับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อมุ่งเน้นผลการปฏิบัติงานขององค์การให้บรรลุ วตัถุประสงคแ์ละเป้าหมาย เกดิการท างานท่มี ปีระสทิธภิาพและประสทิธผิล มคีวามรบัผดิชอบ ต่อประชาชนและยกระดับผลการปฏิบัติงานขององค์การให้สามารถตอบสนองความต้องการของ ผู้รับบริการได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้การสร้างตัวชี้วัดผลการด าเนินงานที่เป็นรูปธรรมวัดผลการ ปฏบิตังิาน โดยเทยีบกบัเป้าหมายทก่ี าหนดไว้ใหเ้กดิการปฏบิตังิานอย่างเหมาะสม มรีะบบการ ประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นระยะ ๆ ท าให้ทราบผลการปฏิบัติงาน สามารถรายงาน ความก้าวหน้าของผลการปฏบิตังิานต่อผูบ้รหิารและสามารถแก้ไขปญัหาได้ทนัท่วงที(ทิพาวดี เมฆสวรรค์, 2543: 1-4) ขณะท่หีากพจิารณาถงึแนวความคดิการบรหิารงานแบบมุ่งผลสมัฤทธแิ์ล้วนัน้พบว่า แต่เดมิการบรหิารงานของรฐัจะเน้นการบรหิารปจัจยัน าเขา้ (Inputs) ขณะที่การบริหารงานแบบ มุ่งผลสมัฤทธิ์จะเน้นทผ่ีลผลติและผลลพัธข์องงาน ทส่ีอดคลอ้งกบัวตัถุประสงค์/เป้าหมายของ องค์การ มีการก าหนดตัวชี้วัดผลการท างานหลัก (Key Performance Indicator - KPI) ไว้อย่าง ชดัเจน นอกจากน้ีอาจสามารถอธบิายไดว้่า การบรหิารงานแบบมุ่งผลสมัฤทธิ์เป็นการจัดหาให้ ได้มาซึ่งทรัพยากรบริหารมาอย่างประหยัด (Economy) มีประสิทธิภาพ (Efficiency) และ สามารถบรรลุประสิทธิผลขององค์การได้ (Effectiveness) ภาพที่ 7.3 การวดัผลการปฏบิตังิานในการบรหิารงานแบบมงุ่ผลสมัฤทธิ์ ที่มา: ปรับปรุงจาก กองบรรณาธิการ (2546: 12) โดยท่ีการบรหิารงานแบบมุ่งผลสมัฤทธิ์ประกอบด้วยขนั้ตอนท่สี าคญั 4 ขั้นตอน คือ (1) การวางแผนกลยุทธ์ขององค์การ (2) การก าหนดรายละเอียดของตัวบ่งชี้วัดผลการ ด าเนินงาน และ (4) การให้รางวัลตอบแทน ตามล าดับ (ทศพร ศิริสัมพันธ์, 2543: 151-152)


243 ภาพที่ 7.4 กระบวนการของการบรหิารงานแบบมงุ่ผลสมัฤทธิ์ ที่มา: ปรับปรุงจาก วีระยุทธ ชาตะกาญจน์(2547: 3) กล่าวโดยสรุป การบริหารงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์เป็นเทคนิคการบริหารที่มุ่งเน้น สัมฤทธิผลขององค์การเป็นส าคัญ มีการประยุกต์เอาแนวคิดและทฤษฎีที่หลากหลาย อาทิ การ ก าหนดตัวชี้วัดผลการด าเนินงานหลัก (Key Performance Indicators - KPIs) Balanced Scorecard: BSC การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นต้น ซึ่งนักบริหารไม่ว่าจะ เป็นภาครัฐหรือภาคเอกชนจ าเป็นจะต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อการประยุกต์เอาแนวคิดและทฤษฎี เครื่องมือทางการบริหารทั้งหลาย มาใช้ในการบริหารงานองค์การเพื่อเท่าทันต่อการ เปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป 7.4.6 การบริหารเชิงกลยุทธ์(Strategic Management) การบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) นับว่าเป็นเครื่องมือส าคญั ในปจัจุบนั ที่จะช่วยให้นักบริหาร สามารถก าหนดทิศทางขององค์การโดยอาศัยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อก าหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับองค์การ และน าเอากลยุทธ์ ไปปฏิบัติ ควบคุม และประเมินผลการด าเนินงานขององค์การ ให้สามารถด าเนินงานได้ส าเร็จ ตามเป้าหมายทว่ีางไวไ้ด้ ค าว่า กลยุทธ์ มีความหมายเหมือนค าว่า ยุทธศาสตร์ เดิมใช้ในความหมายที่เกี่ยวข้องกับ การรบ มาจากภาษาอังกฤษว่า “strategy” ใช้ครั้งแรกในวงการทหารและการท าสงคราม ซึ่งหมายถึง การวางแผนยุทธศาสตร์และการบัญชาการรบเพื่อเอาชนะศัตรู และมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า “strategos” หมายถึง การบัญชาการกองทัพ (generalship) ด้วยจุดหมายต้องการพิชิตศัตรู ส าหรับความหมายของค าว่า กลยุทธ์ ในทางการบริหาร มีนักวิชาการให้นิยามไว้อย่าง หลากหลาย อาทิ เฮนรี มินทซ์เบิร์ก (Henry Mintzberg) ศาสตราจารย์ทางด้านการบริหารของ มหาวิทยาลัยแมคกิล (McGill University) ได้อธิบายค าว่า กลยุทธ์ โดยอาศัยหลัก 5Ps ดังนี้ (ปกรณ์ ปรียากร, 2552: 52-53) กระบวนการของ การบริหารงานแบบ มงุ่ผลสมัฤทธิ์ การวางแผนกลยุทธ์ ขององค์การ การก าหนด รายละเอียดของ ตัวบ่งชี้ การวัดและการ ตรวจสอบ การให้รางวัลตอบ แทน


244 กลยุทธ์ คือ แผน (strategy is a plan: P1) หมายถึง กลยุทธ์ถูกก าหนดขึ้นมาเพื่อเป็น ทิศทาง หรือเป็นแนวทางการด าเนินงานในอนาคต ทั้งนี้เพราะองค์การทุกประเภทล้วนมีกลยุทธ์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งสิ้น กลยุทธ์ คือ แบบแผนหรือรูปแบบ (strategy is a pattern: P2) หมายถึง แบบแผนด้าน พฤติกรรมในการปฏิบัติงานที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องในแต่ละช่วงเวลา การวางแผนในอนาคต จ าเป็นต้องค านึงถึงวิวัฒนาการขององค์การ และบทบาทของนักบริหารต้องค านึงถึง ความสามารถหรือความคาดหวังของผู้ปฏิบัติด้วย ดังนั้น การท าความเข้าใจแบบแผนเชิง พฤติกรรมในองค์การ จึงจ าเป็นอย่างยิ่งต่อการวางแผนกลยุทธ์ กลยุทธ์ คือ การก าหนดฐานะหรือต าแหน่ง (strategy is a position: P3) หมายถึง ความส าคัญของฐานะหรือต าแหน่งขององค์การในสนามการแข่งขัน กล่าวคือ สินค้าหรือการ บริหารที่เสนอออกไปจะต้องมีความเหมาะสมและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและ ตลาด เพราะหากความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการแข่งขัน ย่อมจะ น าไปสู่ความล้มเหลวขององค์การด้วย กลยุทธ์ คือ ทัศนภาพ (strategy is a perspective: P4) หมายถึง การพิจารณาสภาพที่ แท้จริงภายในองค์การ หรือคุณลักษณะที่น่าจะเป็นขององค์การ ซึ่งอาจเป็นวิธีการด าเนินงานที่ ต้องการให้คนในองค์การยึดถือร่วมกัน กลยุทธ์ คือ กลวิธีในการเดินหมาก (strategy is a ploy: P5) หมายถึง สถานการณ์ที่มี การต่อสู้หรือการแข่งขัน ทุกฝ่ายในองค์การจึงต้องวางกลยุทธ์โดยค านึงถึงอุบายในการ ดา เนินงาน เพ่อืเอาชนะฝา่ยตรงขา้มใหไ้ด้ ขณะที่นักวิชาการของไทย อาทิ เกรยีงศกัดิ์เจรญิวงศ์ศกัดิ์(2549: 2) ได้เสนอว่า กล ยุทธ์ หมายถึง วิธีการหรือแผนการที่คิดขึ้นอย่างรอบคอบ มีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอน มีความ ยืดหยุ่น พลิกแพลงได้ตามสถานการณ์ มุ่งหมายเพื่อเอาชนะคู่แข่งหรือเพื่อหลบหลีกอุปสรรค ต่าง ๆ จนสามารถบรรลุเป้าหมายท่ตี้องการ ส่วน สุพจน์ ทรายแก้ว (2545: 47) กล่าวว่า การ บริหารเชิงกลยุทธ์ คือ การวางแผนกลยุทธ์เป็นกระบวนการส าคัญเกี่ยวกับการก าหนดวิสัยทัศน์ และภารกิจขององค์การ การวิเคราะห์องค์การ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อก าหนดวัตถุประสงค์ และตัวชี้วัดผลงาน (Key Performance Indicators: KPI) โดยที่ กระบวนการของการบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) มีนักวิชาการ หลายท่านได้เสนอแนวคิดไว้อย่างน่าสนใจ หากแต่มีลักษณะที่สอดคล้องกัน กล่าวคือ กระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ ว่าประกอบไปด้วยขั้นตอนส าคัญ 4 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อม การก าหนดกลยุทธ์ การด าเนินกลยุทธ์ และการควบคุมกลยุทธ์ โดยมี สาระส าคัญ ดังนี้ (สมยศ นาวีการ, 2538: 22-27; วันชัย มีชาติ, 2557: 118-123) (1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม คือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายนอกเพื่อการ พิจารณาถึงโอกาสและอุปสรรคขององค์การ และการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในเพื่อการ พจิารณาถงึจดุแขง็และจดุอ่อนทงั้ในปจัจุบนัและอนาคต (SWOT Analysis)


245 (2) การก าหนดกลยุทธ์ คือ การพัฒนาแผนระยะยาวบนรากฐานของโอกาสและอุปสรรค ในสภาพแวดล้อมภายนอก จุดแข็งและจุดอ่อนในสภาพแวดล้อมภายในขององค์การขึ้นมา การ ก าหนดกลยุทธจ์ะต้องรวมทงั้การระบุภารกจิการก าหนดเป้าหมาย การพฒันากลยุทธแ์ละการ ด าเนินนโยบายขององค์การนั้น ๆ (3) การด าเนินกลยุทธ์ การก าหนดกลยุทธ์ขององค์การเพียงอย่างเดียว จะไม่มี ความหมายเลยหากไม่มีการด าเนินการกลยุทธ์ขององค์การที่ก าหนดขึ้นมา กล่าวคือ การด าเนิน กลยุทธ์ เป็นการถ่ายทอดกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ มีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจง เพื่อการบรรลุ เป้าหมายท่อีงค์การก าหนดไว้ซ่งหัว ึ ใจส าคัญของการด าเนินกลยุทธ์ขององค์การ คือ ความ สอดคล้องระหว่างกลยุทธ์ โครงสร้างองค์การ และวัฒนธรรมองค์การ (4) การควบคุมกลยุทธ์ คือ การตรวจสอบกิจกรรมและผลการด าเนินงานขององค์การ เพื่อเปรียบเทียบระหว่างผลการด าเนินงานจริงและผลการด าเนินงานที่ต้องการ ผู้บริหารจะต้อง ใชข้อ้มลูเหล่าน้ีเพ่อืการแกป้ญัหาขององคก์ารต่อไป ภาพที่ 7.5 กระบวนการของการบริหารเชิงกลยุทธ์ ที่มา: ปรับปรุงจาก สมยศ นาวีการ (2538) กล่าวโดยสรุป การบริหารเชิงกลยุทธ์ เป็นเครื่องมือทางการบริหารที่จะช่วยให้ผู้บริหาร องค์การในยุคปจัจุบนัท่ตี้องเผชญิกบสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในองค์การ ที่มีความ ั ซับซ้อน ผันผวน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานขององค์การ สามารถมขี้อมูลและท าความเข้าใจ เพ่อืการประเมนิผลกระทบ ก าหนดเป้าหมาย และน าพา องค์การไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้ การ วิเคราะห์ สภาพ แวดล้อม การก าหนด กลยุทธ์ การด าเนิน กลยุทธ์ การควบคุมกลยุทธ์


246 7.5 ปัญหาและอปุสรรคของการปฏิรปูระบบราชการในช่วง พ.ศ.2545 ในอดีตประเทศไทยได้เผชิญกับยุคล่าอาณานิคม (Colonization) ซึ่งรัชกาลที่ 5 ได้ทรง ปฏิรูประบบการเงินการคลัง และระบบการบริหารราชการ ระบบกฎหมายให้ทันสมัย ท าให้ สามารถรักษาเอกราชและน าพาประเทศให้รอดพ้นจากการถูกยึดครองจากมหาอ านาจตะวันตก มาจนถึงทุกวันนี้ กระทั่งปจัจุบนั ประเทศไทยก าลังเผชิญกับยุคโลกาภิวัตน์(Globalization) ซึ่ง สภาพการณ์ต่าง ๆ ในระดับโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) และต้องยอมรับว่ากระบวนทัศน์ของระบบ ราชการไทยซึ่งด าเนินมาตั้งแต่อดีตนั้น ไม่สนับสนุนและเอื้ออ านวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และวัฒนธรรม ให้เป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและ นโยบายของรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในเวทีโลกอีกด้วย ขณะที่การบริหารราชการไทย แต่เดิมนั้นเป็นระบบการรวมศูนย์อ านาจเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นหลักการพื้นฐาน โดยได้ยึดเป็นหลักปรัชญาหลักของการบริหารประเทศตลอดมาเป็นเวลา มากกว่า 100 ปีและปรชัญาน้ียงัคงด ารงอย่จูนถงึปจัจุบนั โดยยังไม่ได้มีการปรังปรุงหรือปฏิรูป อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ระบบราชการไทยสามารถ รองรับและสอดคล้องกับความเจริญของ ภาคเอกชน ความจริงของประชาคมโลก กฎและระเบียบใหม่ของสังคมโลก และกระแสของการ ปกครองแบบประชาธิปไตย ซ่ึงปญัหาหลกัของระบบราชการไทย สามารถจ าแนกออกเป็น ประเด็นต่าง ๆ อาทิปญัหาอันเน่ืองมาจากการติดยดึกับปรัชญาการบริหารราชการยุคเก่า ปญัหาอนัเกิดจากพระราชบญัญตัริะเบยีบรหิารราชาการแผ่นดนิพ.ศ. 2543 และปญัหาของ ระบบราชการยุคโลกาภิวัตน์ โดยมีสาระส าคัญ ดังนี้ (สมาน รังสิโยกฤษฏ์, 2546: 48-54) 1) ปัญหาอันเนื่องมาจากการติดยึดกบัปรชัญาการบริหารราชการยคุเก่า ปรัชญาการบริหารราชการยุคเก่า ซึ่งยึดถือเป็นหลักการพื้นฐานของการบริหาร ราชการมาจนถงึปจัจุบนัมหีลายประการ ดังนี้ (1) เน้นบทบาทของรัฐในฐานะเป็นผู้ควบคุมและด าเนินกิจการทุกอย่าง เสียเอง มีผลท าให้การบริหารราชการมีลักษณะผูกขาด (Monopoly) ไม่เปิดโอกาสให้มีการ แข่งขัน (Competition) เพื่อให้การด าเนินงานมีประสิทธิภาพ และมีผลท าให้ระบบราชการไทยมี ขนาดใหญ่เกินไปและเป็นภาระต่องบประมาณของประเทศ (2) เน้นการรวมอ านาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเป็นระบบ มีผลท าให้การ บริหารราชการ เป็นการบริหารราชการโดยข้าราชการเพื่อข้าราชการแบบเบ็ดเสร็จ ไม่เปิดโอกาส ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม (Participation) ตามค่านิยมการปกครองแบบประชาธิปไตย (3) เน้นการจัดโครงสร้างองค์การและการบริหารงานแบบระบบราชการ (Bureaucracy) การก าหนดโครงสร้างส่วนราชการที่เน้นเอกภาพในการบังคับบัญชา โดยจัดให้มี สายการบังคับบัญชาหลายขั้นตอน อ านาจสูงสุดอยู่ที่เบื้องบน และแบ่งอ านาจลดหลั่นกันลงไป แต่ทุกอย่างต้องย้อนขึ้นไปสู่การตัดสินใจเด็ดขาดที่เบื้องบนสุด มีผลท าใหเ้กดิปญัหาความล่าชา้


247 ในการตดัสนิใจ และเกดิปญัหาการประสานงานระหว่างหน่วยราชการกนัเอง ทงั้ในระดบัแนวดงิ่ ลงล่าง และระดับแนวราบต่อแนวราบ เพื่อให้การด าเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ของชาติ (4) เน้นการขยายตัวของหน่วยราชการ เพื่อเข้าไปรับผิดชอบในภารกิจ ต่าง ๆ ให้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะท าให้ระบบราชการมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ยังมีผลท าให้ เกิดความซ ้าซ้อนในภารกิจและมีการปฏิบัติงานเหลื่อมล ้าและขัดแย้งเพิ่มขึ้นโดยไม่จ าเป็น (5) เน้นการใช้กฎระเบียบและการควบคุม โดยมีการใช้กฎระเบียบ เป้าหมายในการปฏบิตังิานแทนทจ่ีะใชเ้ป็นเพยีงเครอ่ืงมอืและมกีารขยายอตัราก าลงัขา้ราชการ เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอย่างใกล้ชิด (6) เน้นการผูกขาดแนวคิดและยัดเยียดการให้บริการแก่ประชาชน ดัง จะเห็นได้จากการก าหนดเป้าหมายและนโยบายของรฐับาล มกัจะเป็นเป้าหมายและนโยบายโดย ข้าราชการประจ ามากกว่าจะเป็นเป้าหมายและนโยบายของฝ่ายการเมอืง ซง่ึขาดความต่อเน่ือง ดงันนั้เป้าหมายและนโยบายส่วนใหญ่จงึเป็นเป้าหมายและนโยบายเพ่อประโยชน์ของข้าราชการ ื ประจ ามากกว่าเพื่อประโยชน์ของประชาชน ท าให้กิจการของรัฐขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ประชาชนขาดความศรัทธาในการบริการของรัฐ (7) เน้นให้หน่วยราชการขยายฐานของงบประมาณในแต่ละปีให้มากขึ้น โดยไม่ได้ค านึงถึงผลลัพธ์ และไม่มีการประเมินผลหรือวัดผลแบบเปิด ท าให้กระบวนการ งบประมาณของประเทศไม่สามารถสะท้อนการแก้ปญัหาของประเทศได้อาจกล่าวได้ว่า ใน ภาพรวมการบรหิารราชการในปจัจุบนัยงัถูกครอบงา โดยปรัชญาการบริหารราชการยุคเก่าอย่าง เหนียวแน่น ซึ่งจะต้องหาทางปรับปรุงหรือปฏิรูปต่อไป 2) ปัญหาอนัเกิดจากพระราชบญัญตัิระเบียบบริหารราชการแผน่ดิน พ.ศ.2534 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน นับว่าเป็นกฎหมายหลักในการจัด ระเบียบบริหารราชการไทย โดยมีการก าหนดเค้าโครงในการจัดระเบียบบริหารราชการ การจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงส่วนราชการระดับต่าง ๆ การบริหารและการจัดการ ทั้งการบริหารราชการ ส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารส่วนท้องถิ่น แต่ปรากฏว่า การบริหาร ราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ ยังปรากฎปญัหาอยหู่ลายประการ ดังนี้ (1) เค้าโครงการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ไม่เหมาะสมและไม่ สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังจะเห็นได้ว่า การจัดระเบียบบริหารราชการ ออกเป็นราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อที่จะรวมแผ่นดินไทยให้เป็นปึกแผ่น อันเป็นยุคสมัยแห่งการล่าอาณานิคมของ ประเทศมหาอ านาจจากชาติตะวันตก โดยปจัจบุนัสถานการณ์ต่าง ๆ ไดเ้ปลย่ีนแปลงไป หากแต่ ระบบการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กลับไม่ได้ปรับปรุงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ สภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด (2) การจัดโครงสร้างส่วนราชการไม่เอื้ออ านวยต่อการน าเทคนิคการ บริหารงานแบบใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพกว่ามาปรับใช้ ดังจะเห็นได้ว่า การจัดโครงสร้างส่วน


248 ราชการในการบริหารราชการส่วนกลางออกเป็นกระทรวง ทบวง กรม ในปจัจุบนัเป็นการจดั โครงสร้างที่ไม่มีความยืดหยุ่น และปรับปรุงแก้ไขยาก จึงควรจะต้องหาทางปรับปรุงเพื่อให้มี ความอ่อนตัวและมีความยืดหยุ่น โดยเปิดโอกาสให้มีการน าวิธีการจัดโครงสร้างส่วนราชการ รูปแบบอื่น ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ตามความเหมาะสม (3) ความยุ่งยากและความล่าช้าในการจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงส่วน ราชการระดับต่าง ๆ ดังจะเห็นได้ว่า การจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงกระทรวง ทบวง กรม ต้องตราเป็น พระราชบัญญัติ กล่าวคือจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ขณะที่การจัดตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลง หน่วยงานระดับกลาง ก็ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยจะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งการด าเนินการดังกล่าวจะต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย เป็นไปด้วยความล่าช้า (4) การรวมอ านาจและการใช้อ านาจในการบริหาร การจัดทรัพยากร ต่าง ๆ ไว้กับหัวหน้าส่วนราชการระดับสูง (ระดับกรม) ไว้มาก ท าให้การบริหารงานไม่คล่องตัว และล่าช้า ดังจะเห็นได้ว่า อ านาจในการสั่งการ การอนุญาต การปฏิบัติราชการ หรือการ ด าเนินการอื่นไว้ที่หัวหน้าส่วนราชการ แม้กฎหมายจะเปิดโอกาสให้มีการมอบอ านาจได้ในบาง เรื่องก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติไม่ค่อยจะมีการมอบอ านาจกัน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากอ านาจ บางอย่างเป็นแหล่งที่มาของผลประโยชน์มากมาย หรืออาจเป็นเพราะเมื่อมอบอ านาจไปแล้ว หากผู้รับมอบอ านาจกระท าความผิด ผู้มอบอ านาจยังจะต้องร่วมรับผิดชอบทางแพ่งด้วย ซึ่ง จะต้องหาทางแก้ไขต่อไป (5) การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ที่ไม่เป็นเอกภาพ ดังจะเห็นได้ว่า กระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ไปจัดตั้งหน่วยงานในเขตพื้นที่ของจังหวัดและรายงานตรงต่อกระทรวง ทบวง กรม ในส่วนกลาง และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ท าให้การบริหารราชการในระดับ จังหวัดและอ าเภอไม่มีเอกภาพและไม่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีการปฏิบัติงานซ ้าซ้อนกัน (6) การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่ยังไม่มีความเข้มแข็งและมีหลาย รูปแบบเกินไป ดังจะเห็นได้ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบสนองต่อ ความต้องการของท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะยังไม่กระจายอ านาจในการบริหารและ การจัดสรรรายได้ที่เพียงพอ นอกจากนั้น รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็มีมากมาย ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนต าบล กรุงเทพมหานคร และเมือง พัทยา ซึ่งท าให้ประชาชนทั่วไปสับสน (7) การจัดระบบโครงสร้างส่วนราชการและการบริหารราชการไม่ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญได้ก าหนดกรอบเกี่ยวกับการจัดตั้งส่วน ราชการและการบริหารการจัดการในเรื่องต่าง ๆ แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมและสอดคล้อง กับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ๆ ต่อไป


249 3) ปัญหาของระบบราชการในยุคโลกาภิวตัน์ ในยุคโลกาภิวัตน์นั้น สภาพการณ์ต่าง ๆ ในสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่าง รวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ท าให้โลกกลายเป็นโลกที่ไร้ พรมแดน จึงส่งผลให้ระบบราชการไทยมีข้อจ ากัดที่จะต้องหาทางแก้ไข ดังนี้ (1) การที่จะต้องเผชิญกับการแข็งขันในเวทีโลกที่รุนแรงมากขึ้น โดยที่ ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ของการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขององค์การค้าโลก (WOT) ซึ่งทุกประเทศจะต้องเปิดให้มีการค้าโดยเสรี ไม่มีการกีดกันทางการค้าและการบริการอีกต่อไป จนมีผลท าให้สินค้าและบริการที่จะสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้นั้นจะต้องได้มาตรฐานสากล (World Class) เท่านั้น ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆ ก็จะต้องปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการเข้า มาสู่มาตรฐานสากล และในราคาที่สามารถที่จะแข่งขันได้ในเวทีโลก ระบบราชการจึงต้อง ปรับปรุงเพื่อช่วยสนับสนุนและเอื้ออ านวยในภาคธุรกิจมีสมรรถนะที่จะแข่งขันได้ ความล่าช้า ของการบริหารราชการ และการที่ภาคเอกชนต้องเสียค่าใช้จ่ายพิเศษ ล้วนแต่เป็นการเพิ่มต้นทุน ของสินค้าและบริการ อันจะมีผลท าให้สมรรถนะในการแข่งขันในเวทีโลกในเวทีโลกลดลงไป (2) การที่ประชาชนต้องการให้ภาคราชการให้บริการมากขึ้น มี คุณภาพสูงขึ้นในราคาตุนทุนที่ต ่าลง ความเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ท าให้ประชาชนมีการ เรียกร้องให้ภาคราชการจัดให้มีบริการต่าง ๆ โดยให้มีทางเลือกมากขึ้น มีคุณภาพสูงขึ้น ใน ราคาต้นทุนที่ต ่าลง ภาคราชการจึงมีความจ าเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงโดยเฉพาะในด้านการ บริหารและการจัดการด้วยการน าเทคนิคการบริหารงานแบบใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ เพื่อที่จะ สามารถให้บริการที่มีคุณภาพในราคาต้นทุนที่ต ่าลงไป (3) การขาดการประสานงานกันระหว่างภาคราชการกับภาคเอกชน ใน การแข่งขันในเวทีโลกนั้น ทั้งภาคราชการและภาคเอกชนจะต้องมีการประสานงานกันอย่าง ใกล้ชิดในลักษณะของการ “รวมพลัง” กล่าวคือ การน าพลังความสามารถของแต่ละฝ่ายมาร่วมกัน เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของชาติ ภาคราชการจึงจ าเป็นจะต้องมีการจัดโครงสร้างของ องค์การและการบริหารการจัดการที่จะสนับสนุนและเอื้ออ านวยให้ภาคราชการและภาคเอกชนมี การรวมพลังเพื่อให้มีสมรรถนะในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (4) การขาดความทันสมัยในการบริหารงาน โดยเฉพาะการน าเทคโนโลยี สารสนเทศมาปรับใช้เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงาน ซึ่งมีผลท าให้การบริหารราชการล้าหลัง ตามภาคเอกชนไม่ทันและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ จึงจะต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย (5) ขาดวิสัยทัศน์รวมในการพัฒนาประเทศ ในการพัฒนาประเทศของ ประเทศต่าง ๆ นั้น ได้มีการก าหนดเป้าหมายหรอืวสิยัทศน์ของการพัฒนาประเทศที่ชัดเจนว่า ั ใน 20 ปี หรือ 25 ปีข้างหน้า จะพัฒนาประเทศให้เป็นอย่างไร อาทิ จะพัฒนาให้เป็นประเทศ อุตสาหกรรมการเกษตร เป็นประเทศอุตสาหกรรม หรือเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน เป็นต้น ซึ่งเป็นการมองไปข้างหน้าที่ไกลกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ


250 ประมาณ 4-5 ช่วงตัว อันเป็นการก าหนดสภาพที่พึงประสงค์ในอนาคต และเป็นทิศทางในการ ปรับปรุงหรือปฏิรูประบบราชการเพื่อรองรับให้เป็นการเหมาะสมต่อไป ในประเด็นเดียวกันนี้ สมเกียรติ ศรลัมพ์(2547: 28-32) ได้อธิบายเสริมอย่างน่าสนใจว่า ความพยายามในการปฏิรูประบบราชการตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมี ลักษณะเป็นเพียงการปรับปรุงขั้นตอน กระบวนการ การปรับปรุงเทคนิคในการบริหารงาน ตลอดจนการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ ของกระทรวง ทบวง กรม และแม้จะมีการ ออกมาตรการในการปรับฐานภาคราชการ อาทิ จ ากัดการขยายตัวของข้าราชการและ ลูกจ้างประจ าไม่ให้เกินร้อยละ 2 (พ.ศ. 2523) การออกมติคณะรัฐมนตรีเพื่อตรึงขนาดก าลังคน ในช่วงแผนพัฒนาฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535) การก าหนดให้มีกรมต้นแบบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ของส่วนราชการ (พ.ศ. 2538) เป็นต้น แต่มาตรการเหล่านี้มีลักษณะกระจัดกระจาย เน้นเพียง การแก้ปญัหาย่อยภายในระบบ ไม้ได้ประสานเป็นอนัหน่ึงเดยีวอย่างเป็นระบบ ไม่ได้ดงึส่วน ราชการเข้าร่วมในการพิจารณาก าหนดและสนับสนุน ขาดการติดตามผลักดันให้เกิดผลอย่าง ต่อเนื่องจริงจัง ซึ่งหากจะพิจารณาให้เห็นปญัหาและอุปสรรคในการปฏริูประบบราชการไทย ในช่วงก่อนการปฏิรูประบบราชการ พ.ศ. 2545 สามารถจ าแนกเป็นประเด็น ได้ดังนี้ (1) ผู้น าทางการเมืองขาดความรู้ความเข้าใจและขาดวิสัยทัศน์ การขาดความมุ่งมั่น อย่างแท้จริงในการผลักดันการปฏิรูป ประกอบกับการเป็นรัฐบาลที่มาจากต่างพรรคและแบ่ง หน้าที่รับผิดชอบตามรายกระทรวง ย่อมท าให้การปฏิรูปเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะการปฏิรูประบบ ราชการจ าเป็นต้องอาศัยหน่วยงานกลางต่าง ๆ และการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้มีอ านาจ ตัดสินใจทางการเมือง อาทิฝ่ายนิตบิญัญตัิทงั้น้ีจะเหน็ ไดว้่ารฐับาลมกัก าหนดนโยบายดา้นการ ปฏิรูปอย่างกว้าง ๆ ไม่ค่อยสนใจริเริ่มปรับปรุงเรื่องใหญ่ ๆ ที่จะส่งผลกระทบในวงกว้าง อาจ เนื่องมาจากไม่อยากผูกมัดตนเอง และเกรงว่าจะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือก่อให้เกิด ความขัดแย้งในคณะรัฐมนตรี จึงส่งผลให้บุคคลผู้รับผิดชอบงานด้านการปฏิรูประบบราชการ ขาดทิศทางในการปฏิบัติงานและขาดความมั่นใจ (2) การขาดความต่อเนื่องของระบบการเมือง ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล บ่อยครั้ง และรัฐบาลมักเกิดจากการตั้งเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ท าให้ไม่มีเสถียรภาพ จึง ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานด้านการปฏิรูประบบราชการ เพราะคณะกรรมการปฏิรูปจัดตั้ง โดยมติคณะรัฐมนตรี และเมื่อรัฐบาลเปลี่ยนแนวนโยบายก็มักเปลี่ยนแปลงไปด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลบางชุดยังไม่ได้ให้ความสนใจในการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อท างานด้านการปฏิรูประบบ ราชการ ปญัหาเหล่าน้ีท าใหก้ารปฏริปูขาดการต่อเน่ืองและความล่าชา้เม่อืตงั้คณะกรรมการชุด ใหม่ก็ต้องเสียเวลาในการท าความเข้าใจและก าหนดขอบเขตของแผนงาน ก่อนที่จะเริ่มท างาน ได้ปญัหาเหล่าน้ีจงึเป็นปญัหาทเ่ีกดิขน้ึซ้ าซากทุกครงั้ทม่ีรีฐับาลใหม่ (3) ขาดแผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการที่สมบูรณ์เพื่อเป็นกรอบในการด าเนินงาน (4) คณะกรรมการประกอบด้วยข้าราชการระดับสูง ผู้ทรงคุณวุฒิและนักการเมือง ซึ่งมี ภารกิจงานประจ าค่อนข้างมาก อีกทั้งคณะกรรมการแต่ละชุดมีขนาดใหญ่ มีจ านวนสมาชิกองค์


251 ประชุมมาก ท าให้ขาดความคล่องตัวเป็นอุปสรรคต่อการนัดประชุมและการระดมความคิดเห็น นอกจากนี้ คณะกรรมการไม่มีอ านาจบังคับบัญชา ไม่สามารถให้คุณให้โทษหน่วยปฏิบัติได้ ต้อง เสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจ กระบวนการตัดสินใจจึงต้องผ่านความเห็นหลาย ระดับและมีขั้นตอนที่ใช้ระยะเวลาค่อนข้างมาก (5) ไม่มีอัตราก าลังเจ้าหน้าที่ถาวรที่พร้อมที่จะท างานหรือมีบทบาทเป็นองค์กรผลักดัน อย่างแท้จริง ที่ผ่านมาจะใช้ข้าราชการประจ าจากหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่ดูแลจัดสรรทรัพยากร คือ ส านักพัฒนาระบบงานและบุคลากรและส านักงาน ก.พ. เป็นหลัก ซึ่งก็มีภาระงานประจ าอยู่ แล้ว จ านวนเจ้าหน้าท่ีก็ไม่เพียงพอต่อภาระงาน นอกจากน้ียงัมีปญัหาด้านการสนับสนุน งบประมาณ เครื่องมือต่าง ๆ ไม่สมดุลกับภารกิจ ทั้งนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา ยังไม่เคยมี การจัดสรรงบประมาณ เพื่อการปฏิรูประบบราชการเป็นการเฉพาะ จนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2538 จึงได้มีการจัดสรรงบประมาณ 8.4 ล้านบาท ส าหรับศึกษาวิจัยและท ารายงานเสนอ แต่ก็ ยังขาดแผนการใช้จ่ายที่แน่นอน เนื่องจากลักษณะงานที่ไม่มีหน่วยงานรองรับอย่างถาวรและมี การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (6) ขาดการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ท าให้ขาดกระแสการปฏิรูประบบราชการที่มา จากพลังประชาชน ที่แสดงออกและกดดันให้เกิดการปฏิรูประบบราชการอย่างต่อเนื่อง การ ปฏิรูประบบราชการในอดีตเกิดจากแรงผลักดันของข้าราชการประจ าเป็นส่วนใหญ่ จึงมักเป็น ความมุ่งขยายโครงสร้าง การก าหนดอัตราต าแหน่งเพื่ออ านวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน และรักษาอ านาจมากกว่าจะมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนอย่างแท้จริง พลังจากประชาชนจะมีส่วนส าคัญที่จะผลักดันให้รัฐบาลและข้าราชการด าเนินการปฏิรูปเพื่อ ประชาชนอย่างจริงจัง (7) เทคนิคในการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงระบบราชการ ติดยึดรูปแบบเดิมที่มักตั้ง คณะอนุกรรมการเพื่อการเฉพาะด้าน ขาดการจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันการศึกษาหรือ ภาคเอกชน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้าร่วม เพื่อให้ ได้มีความคิดเห็นที่หลากหลายและแนวทางใหม่ ๆ (8) ขาดองค์กรติดตามและประเมินผลการปฏิรูป ประกอบกับประชาชนหรือองค์กร ภายนอกไม่มีส่วนร่วมหรือมีความสนใจในการตรวจสอบ (9) ระบบราชการไม่เอื้อ หรือไม่กระตุ้นให้เกิดความต้องการปฏิรูประบบราชการ ไม่มี ผลตอบแทนส าหรับผู้ที่พยายามผลักดันการปฏิรูป นอกจากนี้ระยะเวลาที่ผลการปฏิรูปจะ ปรากฏให้เห็นก็ต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน จึงไม่จูงใจให้เกิดการด าเนินการ (10) เกิดแรงต่อต้าน เพราะความกลัวจะสูญเสียผลประโยชน์ของคนในระบบราชการ (11) รัฐบาลขาดพลังอ านาจทางการเมือง โดยเฉพาะหากเป็นรัฐบาลผสมต่างพรรคก็ ย่อมจะเข้าไปปกครองอ านาจกระทรวงของตนเอง ยากที่จะตัดปรับปรุงโครงสร้างต่าง ๆ (12) นักการเมืองกลับไปเป็นหัวหน้าในการปกป้องผลประโยชน์ของกระทรวงทต่ีนเอง เป็นรัฐมนตรี


252 7.6 แนวทางในการปรบัปรงุประสิทธิภาพของระบบราชการ การปฏิรูประบบราชการมีวิธีด าเนินการที่หลากหลาย ภายในกรอบการปฏิรูประบบ ราชการได้มีการน าวิธีการต่าง ๆ มาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการ แนวทาง หรือมาตรการส าคัญในการปฏิรูประบบราชการไทย ดังนี้(สมเกียรติ ศรลัมพ์, 2547: 111-113) (1) การกระจายอ านาจและสร้างการมีส่วนร่วมการบริหารในทุกระดับ ทั้งในด้านแผนงาน แผนเงินและแผนคน ให้กับหน่วยงานปฏิบัติมากที่สุดโดยเฉพาะการลดอ านาจการบริหารของ ส่วนกลางและเพิ่มอ านาจการตัดสินใจให้กับภูมิภาคและท้องถิ่นมากขึ้น หน่วยงานส่วนกลางควรมี หน้าที่เฉพาะในการก ากับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบายหลัก ๆ เท่านั้น (2) ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารของภาคราชการให้ทันสมัยและสอดรับการ เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันเหตุการณ์ การจัดองค์กรในภาคราชการจะต้องมีความยืดหยุ่นและ สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายตามสถานการณ์และความจ าเป็นอย่างเหมาะสม ต้องมีความ หลากหลายในรูปแบบ โดยยดึประสทิธภิาพและประสทิธผิลในการตอบสนองปญัหาและความ ต้องการของสังคมและประชาชนเป็นหลัก กฎระเบียบและกระบวนการท างานที่มีอยู่เดิมไม่ว่าจะ เป็นกระบวนการบริหาร บริการหรือกระบวนการท างานอื่นต้องได้รับการทบทวนเพื่อปรับปรุงให้ มีประสิทธิภาพขึ้นคือ เร็วขึ้น ถูกต้องมากขึ้น ลดการผิดพลาด คุ้มค่าและประหยัดค่าใช้จ่ายมาก ขึ้น โดยลดขั้นตอนการท างาน เพิ่มเทคโนโลยีสนับสนุน รวมงานหลายเข้าด้วยกัน พัฒนา คุณภาพของผู้ปฏิบัติงานให้สามารถท างานได้หลากหลายมากขึ้น ประมวลกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ อยู่อย่างกระจัดกระจายและเกิดความสับสนในการปฏิบัติ มาปรับรื้อใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการ น าไปใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม (3) ตั้งองค์การบริหารรูปแบบใหม่ที่คล่องตัว ในขณะที่ยังไม่สามารถปลดกระบวนการ ขั้นตอนการบริหารราชการที่ยุ่งยากซับซ้อนออกได้ ควรส่งเสริมการตั้งหน่วยงานอิสระเพื่อ รับผิดชอบการบริการสาธารณะบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับการจัดท านโยบาย หรือการสร้าง กฎระเบียบต่าง ๆ ออกไปจากระบบราชการปกติ ตัวอย่างกรณีการตั้งองค์การมหาชาตาม พระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ต้องมีการก ากับผลงานและวิเคราะห์ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าขององค์การมหาชนด้วย ในขณะนี้มีองค์การมหาชน ซึ่งได้รับการจัดตั้งใหม่และด าเนินการไปด้วยดี (4) ปรับขนาดก าลงัคนภาครฐัให้อยู่ในระดบัท่เีหมาะสมและภารกิจอย่างแท้จรงิ ปจัจุบนั พบว่าก าลังคนในภาครัฐมีจ านวนมาก และส่วนหนึ่งเป็นก าลังคนที่ด้อยคุณภาพ ขนาดก าลังคน ภาครัฐจ าเป็นต้องด าเนินการทบทวนใหม่ซึ่งจะต้องเป็นการมองภาพรวมในระดับมหภาค การปรับ ลดจะต้องค านึงถึงทิศทางการพัฒนาประเทศโดยอาจต้องพิจารณาไปถึงการพัฒนาประเทศในแต่ละ สาขา ทั้งนี้เพื่อให้การก าหนดก าลังคนในรายสาขาต่าง ๆ ที่ความเหมาะสมกับภารกิจที่ต้องปฏิบัติ อย่างแท้จริง การปรับขนาดก าลังคนภาครัฐที่ด าเนินการอยู่ในเวลานี้อาจได้ผลที่น่าพอใจในระดับ หนึ่งที่สามารถลดขนาดก าลังคนในภาพรวมได้ แต่การกระจายตัวของก าลังคนยังไม่สมดุล บาง หน่วยงานก าลังคนยังขาดแคลนในขณะที่บางหน่วยงานก าลังคนล้นงาน นอกจากนั้นแล้วจ าเป็นต้อง


253 พัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ในภาครัฐให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและด าเนินการ อย่างเข้มแข็ง และน าไปสู่การเป็นข้าราชการมืออาชีพที่มีความรู้ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ สูงเพื่อเป็นก าลังส าคัญในการพัฒนาประเทศได้อย่างที่ประสิทธิภาพ (5) ปราบปรามและลงโทษผู้ปฏิบัติงานที่ทุจริตและประพฤติไม่ชอบอย่างเฉียบขาดและ รุนแรง รวมทั้งก าหนดมาตรการที่จะลงโทษข้าราชการที่หย่อนประสิทธิภาพในการบริหารงาน ควบคู่ไปพร้อมกันด้วย ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการมีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน ตลอดเวลา นอกจากนั้นจะต้องสร้างระบบในการส่งเสริมและให้รางวัลแก่ผู้ปฏิบัติงานที่ดีด้วย เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติดีและเป็นแบบอย่างแก้ข้าราชการทั่วไป ประการที่ ส าคัญต้องสร้างระบบการประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเพื่อน ามาใช้ในการประเมิน ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ได้อย่างเป็นระบบ (6) ปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการให้เหมาะสม โดยต้องลงช่องว่างความแตกต่าง ในด้านรายได้ระหว่างข้าราชการกับเจ้าหน้าที่องค์กรของรัฐประเภทอื่น ๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อ มิให้เกิดความเหลื่อมล ้า รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพเปลี่ยนแปลงไป การ ก าหนดค่าตอบแทนต้องค านึงถึงกลไกตลาดประกอบด้วยเพื่อให้ข้าราชการสามารถเลี้ยงชีพอยู่ ได้ตามสภาวการณ์ที่เป็นจริงในสังคม ขณะเดียวกันอาจมีความจ าเป็นต้องมีการก าหนดระบบ ค่าตอบแทนให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น โดยพิจารณาจากประสบการณ์และกลุ่มสาขาอาชีพ เป็นองค์ประกอบในการพิจารณา ทั้งนี้เพื่อให้การก าหนดค่าตอบแทนสอดคล้องตามความเป็น จรงิภายใต้การแข่งขนัตามกลไกตลาดทเ่ีป็นอย่ใูนปจัจุบนัรวมทงั้ช่วยไม่ใหสู้ญเสยีบุคลากรท่มีี ความรู้ ความสามารถและมีประสบการณ์สูงได้อีกทางหนึ่งด้วย (7) ปรับเปลี่ยนทัศนคติในการปฏิบัติงานของข้าราชการใหม่ ทัศนคติและค่านิยมในการ ปฏิบัติงานของข้าราชการเป็นเรื่องที่มีความส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อ ส่งเสริมให้ข้าราชการมีคุณธรรม จริยธรรม ในการปฏิบัติงาน รวมทั้งส่งเสริมให้ข้าราชการมี ความกล้าหาญมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในการบริหารงานภาครัฐเพิ่ม มากขึ้น การบริหารและส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพ ผู้บังคับบัญชาต้องยึดหลักความรู้ ความสามารถเป็นหลักมากกว่าที่ค านึงระบบอาวุโสแต่เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันกับการ ปฏิบัติงานของข้าราชการจะต้องค านึงถึงผลประโยชน์ของสังคมและประชาชนให้มากขึ้น โดยยึด หลักธรรมาภิบาลเป็นแนวทางการปฏิบัติงาน (8) พฒันาระบบการบรหิารทเ่ีน้นผลสมัฤทธิ์การบรหิารงานยุคใหม่ใหค้วามสนใจและ เน้นผลงานเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องส่งเสริมและผลักดันให้ทุกส่วนข้าราชการจัดท าแผนกลยุทธ์ โดยมีการก าหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ รูปแบบวิธีและกระบวนการท างานที่มี ประสทิธภิาพ มเีป้าหมาย ผลงานที่ชัดเจน วัดได้ประเมินได้ มีองค์ประกอบชี้วัดความส าเร็จของ หน่วยงาน มีดัชนีชี้วัดผลงาน ขณะเดียวกันต้องพัฒนากระบวนการการติดตามผล รวมทั้งวาง ระบบการให้รางวัลและลงโทษที่สอดคล้องกับผลงาน


254 (9) จัดท าระบบมาตรฐานสากลในการปฏิบัติงานเพื่อรับรองคุณภาพของส่วนราชการ เป็นวิธีที่มุ่งก าหนดระบบประกันคุณภาพของหน่วยงานรัฐ โดยพัฒนาระบบ PSO (Thailand International Public Sector Management Standard and Outcome) ขึ้นมารับรอง ระบบนี้จะ ก าหนดมาตรฐานการท างานที่จ าเป็นส าหรับความส าเร็จของหน่วยงานภาครัฐและมีการวัด ประเมินที่จะน าไปสู่การรับรองและให้รางวัลแก่หน่วยงานที่ปฏิบัติงานได้มาตรฐาน ระบบ มาตรฐานสากลนี้จะท าให้หน่วยงานภาครัฐตื่นตัวและปรับปรุงการท างาน ของรัฐให้ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมส่วนรวม (10) ใช้และพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ช่วยให้การท างานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นส่วนราชการจึงควรน า เทคนิควิทยาการเหล่านี้มาประยุกต์ให้เหมาะสมกับการท างานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ ปฏิบัติราชการเพื่อสามารถให้บริการรวดเร็วเป็นที่พึงพอใจของประชาชนได้ (11) จัดระบบงบประมาณให้เป็นงบประมาณเชิงยุทธศาตร์ (strategic based budgeting) เป็นระบบการจัดสรรเงินภาษีอากรให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนและ กลไกการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง 7.7 ประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิรปูระบบราชการ การปฏิรูประบบราชการจะเกิดประโยชน์ต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังนี้ (สมเกียรติ ศรลัมพ์, 2547: 26-28; ส านักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล ส านักงาน ก.พ., 2552) 1) ประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม การปฏิรูประบบราชการจะท าให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มีศักยภาพและ สมรรถภาพสูงในการพัฒนาประเทศซึ่งจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ประเทศมีความสามารถในการ แข่งขัน มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการทบทวนบทบาท ภารกิจในภาพรวมของทุก กระทรวงพร้อมกัน ได้ค านึงถึงบทบาทขององค์การภาครัฐตามรัฐธรรมนูญที่ให้ภาครัฐท าเฉพาะ เรื่องจ าเป็นเท่านั้น จะสนับสนุนให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจเสรี และ กระจายอ านาจให้ท้องถิ่นและภาคประชาชน ท าให้บทบาทหน้าที่ของภาครัฐมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การปรับบทบาทภารกิจ และโครงสร้างระบบราชการใหม่จะท าให้ระบบราชการมีความกระชับ ชัดเจน และเป็นเอกภาพ ในการบริหารงานและการใช้บริการมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ (1) ลดความซับซ้อนของหน่วยงานราชการ (2) ประหยัดงบประมาณในระยะยาว (3) หน่วยงานราชการในแต่ละหน่วยมีบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน การจัดสรรทรัพยากร การวัดผลงาน และการบริหารงานราชแผ่นดินของรัฐบาลมีความสะดวกและชัดเจนมากขึ้น


255 (4) การปรับบทบาทของหน่วยงานราชการ ให้ท าเฉพาะบทบาทหลัก และลด ภารกิจที่ไม่จ าเป็น ภารกิจใดที่ท้องถิ่นและเอกชนสามารถด าเนินการได้ให้กระจายอ านาจหรือ เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาด าเนินการแทน ซึ่งจะท าให้ภาคราชการส่วนกลาง เน้นการ ท างานด้านนโยบายอย่างจริงจัง ท างานเชิงคุณภาพและจะมีขนาดเล็กลงได้ในอนาคต (5) มีหน่วยงานใหม่ๆ มาดูแลภารกิจหลักที่ส าคัญของประเทศในสังคมยุคใหม่ และมีรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงดูแลรับผิดชอบงานอย่างจริงจัง (6) การปรับระบบการบริหารราชการใหม่ จะต้องด าเนินควบคู่ไปกับการปรับ โครงสร้างเพื่อที่จะท าให้เกิดประสิทธิภาพ มีความชัดเจนในการบริหารงานบทบาทหน้าที่ เกิด ความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกระดับ และสร้างความมั่นใจว่าทุกกระทรวง ทบวง กรม มี การท างานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชานเป็นหลักและมีการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล 2) ประโยชน์ต่อประชาชนและภาคเอกชน การปฏิรูประบบราชการ จะท าให้ประชาชนและภาคธุรกิจเอกชนได้รับประโยชน์ดังนี้ (1) ระบบราชการมีบทบาทหน้าที่ชัดเจนและมีคุณภาพสูง ไม่เป็นอุปสรรค ขัดขวางหรือเป็นเครื่องถ่วงรั้งความเจริญและการพัฒนาของภาคเอกชนและประชาชน (2) ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในอนาคตของตนองมาขึ้น เกิด การบริการสาธารณะที่ดีมีคุณภาพ และรวดเร็ว อันเนื่องมาจาการปรับปรุงประสิทธิภาพการ ให้บริการ การลดขั้นตอน การตัดสินใจและมีข้าราชการที่มีความเป็นมืออาชีพ (3) ประชาชนได้รับประโยชน์จากการบริการสาธารณะต่าง ๆ คุ้มค่าและ เหมาะสมกับการเสียภาษีอากรให้กับรัฐ (4) ประชาชนมั่นใจและเชื่อมั่นในระบบราชการว่าจะสามารถเป็นที่พึ่งให้ประชนชนได้ (5) ระบบราชการโปร่งใส สุจริต ความสิ้นเปลืองสูญเปล่าจากการใช้งบประมาณลดลง (6) ประชาชนทุกระดับทุกพื้นที่ได้รับบริการที่มีมาตรฐานเท่าเทียมและเป็นธรรม (7) ข้าราชการที่ให้บริการประชาชนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และผลของงาน มากขึ้น ซึ่งจะท าให้ประชาชนได้รับประโยชน์จาการพัฒนาอย่างเต็มที่และตรงตามความต้องการ (3) ประโยชน์ต่อข้าราชการ ในการปฏิรูประบบราชการ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยทันที คือ ตัวข้าราชการ ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งข้าราชการจะได้รับประโยชน์จากการปฏิรูประบบราชการ ดังนี้ (1) ข้าราชการจะเกิดความภาคภูมิใจในศักดิศ์รีของความเป็นข้าราชการท่ี ปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เป็นที่รักใคร่และศรัทธาของประชาชน (2) ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ (3) มีโอกาสก้าวหน้าในต าแหน่งหน้าที่การงานที่มีระบบการประเมินผลอย่างเป็นธรรม (4) มีโอกาสในการพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ในด้านวิชาการและทักษะใหม่ๆ มี เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อใช้ในการท างาน


256 กล่าวโดยสรุป คือ การมีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพจะท าให้ภาครัฐมีกลไกการก ากับ ดูแลสังคมที่ดี สามารถสร้างความเป็นธรรมและความสงบสุขในสังคมได้ และการมีระบบบริหารที่ดี มีความชัดเจน ไม่ซับซ้อน มีหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักโดยเฉพาะ เกิดการท างานที่มี ประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน ย่อมจะท าให้ประเทศสามารถจัดการกับปญัหาต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ นอกจากนี้การมีระบบราชการที่มีความสุจริตโปร่งใส ย่อมจะท าให้ประเทศได้รับการ ยอมรับจากประชาคมโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการลงทุน การท่องเที่ยว การเจรจาในเวทโีลก ตลอดจนมศีกัดศิ์รเีกยีรตภิูมขิองความเป็นไทยในประชาคมโลกต่อไป 7.8 สรุป การปฏิรูประบบราชการ เป็นการปรับเปลี่ยนระบบย่อยและกลไกต่าง ๆ ในภาคราชการ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนระบบการบริหารราชการแผ่นดิน และพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพ่อืใหส้อดคลอ้งกบัการพฒันาการเมอืง การบรหิาร เศรษฐกจิและสงัคม โดยมเีป้าหมายเพ่อื สร้างระบบการบริหารและการบริการในภาครัฐให้เกิดความมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โดยเน้น ให้ประชาชนเป็นส าคัญ ซึ่งระบบราชการไทยได้มีพัฒนาการของการปฏิรูปมาตามล าดับ รัฐบาล ในแต่ละชุดได้ให้ความส าคัญต่อการปฏิรูประบบบริหารราชการและพยายามวางแนวทางหรือ มาตรการต่าง ๆ มาโดยตลอด ซึ่งการปฏิรูประบบราชการ พ.ศ. 2545 นับเป็นการปฏิรูประบบ ราชการครั้งส าคัญที่มีการน าเครื่องมือทางการบริหารใหม่ๆ มาใช้ และมีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2545 ซึ่งท าให้มีการ ปรับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ และก าหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการ ก าหนดแนวปฏิบัติต่าง ๆ และ ปรับปรุงระบบราชการให้สอดรับการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง นอกจากนี้การปฏิรูประบบราชการ ยังมีการประยุกต์ใช้แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่ เหมาะสมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการด าเนินการอย่างเป็นระบบ อาทิ การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management - NPM) แนวคิด Reinventing Government การปรับรื้อระบบ (Reengineering) และแนวคิดเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เป็นต้น ซึ่ง ผูบ้รหิารองคก์ารในยุคปจัจุบนัจ าเป็นจะต้องศกึษา เพ่อการประยุกต์เอาแนวคิดและทฤษฎีต่าง ื ๆ มาใช้ในการบริหารงานองค์การ น าพาองค์การไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไป ซ่งึการด าเนินงานในการปฏริูประบบราชการในช่วง พ.ศ. 2545 มปีญัหาและอุปสรรค หลายประการ อาทิปญัหาอันเน่ืองมาจากการติดยดึกับปรชัญาการบรหารราชการยุคเก่า ิ ปญัหาอนัเกดิจากพระราชบญัญตัริะเบยีบบรหิารราชการแผ่นดนิพ.ศ. 2534 ปญัหาของระบบ ราชการในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นต้น ดังนั้นการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการ จึงจ าเป็น จะต้องมีการด าเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบราชการมีประสิทธิ มีกลไกในการก ากับดูแล สังคมที่ดี สามารถสร้างความเป็นธรรม และความสงบสุขในสังคมได้


257 บทที่ 8 แนวโน ้ มของการบริหารราชการไทยในอนาคต ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงของบริบทต่าง ๆ ในสังคมโลก ทั้งในด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี รวมถึงอิทธิพลของการค้าเสรีการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงของระบบข้อมูลข่าวสารแบบเครือข่าย ผนวกกับพัฒนาการของความเป็นประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และการเคารพในสิทธิมนุษยชน ทุกสังคมในโลกรวมทั้งประเทศไทยเอง ต่างก็ได้รับผลกระทบ ต่อการพัฒนาประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จ าเป็นจะต้องแสวงหาแนวทางและ รูปแบบในการปรับตัวเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งให้สามารถรองรับต่อ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้มากที่สุด องค์การภาคราชการซึ่งนับว่ามีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการ พัฒนาประเทศ เพราะถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งในแง่ ของการจัดท าข้อเสนอในการก าหนดนโยบาย การน านโยบายไปปฏิบัติ การติดตามและ ประเมินผลการปฏิบัติงาน แต่เนื่องด้วยองค์การภาคราชการนั้น เกิดขึ้นมาอย่างช้านาน ย่อม ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในขององค์การที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ส่งผลให้องค์การภาคราชการ จะต้องปรับตัวและตระหนัก ถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวระบบราชการและตัวข้าราชการเอง จะต้อง ได้รับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในฐานะที่เป็นกลไกที่ส าคัญ ในการเช่อืมต่อกบั ฝา่ยการเมอืง น านโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบผลส าเร็จต่อไป โดยในบทนี้จะได้กล่าวถึงกระบวนทัศน์ใหม่ในการปฏิรูประบบราชการไทย ซึ่งนับว่า เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้ระบบราชการก้าวไปสู่การเป็นราชการยุคใหม่ โดยการปรับองค์การ ภาครฐัให้ไปสู่เป้าหมายดงักล่าวนัน้ จ าเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีปฏิบัติ วิธีการให้บริการ ต่อประชาชน และความรับผิดชอบที่ข้าราชการพึงมีต่อประชาชนและต่อหน่วยงาน กระบวน ทัศน์ใหม่ในการปฏิรูประบบราชการไทยจึงต้องมีการพิจารณาถึงองค์ประกอบทั้งในด้านการ บริหารจัดการ (Management) ด้านการให้บริการประชาชน (Citizen Service) และด้าน พฤติกรรมการท างานของข้าราชการ (Civil Servants) โดยเฉพาะอย่างยงิ่ปจัจุบนัประเทศไทยมี เป้าหมายของการพัฒนาคือการขับเคลื่อนตามกรอบนโยบายประเทศไทย 4.0 ตามวิสัยทัศน์ ที่ว่า “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง” ดังนั้นในบทนี้จะน าเสนอถึงแนวโน้มของการบริหารราชการไทยใน อนาคต ซึ่งมีสาระส าคัญดังนี้


258 8.1 แนวโน้ มการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบนัที่มีผลกระทบต่อการพฒันาระบบ ราชการ ปจัจบุนัสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเต็มไปด้วยความผันผวน (Volatility) ความ ไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความก ากวม (Ambiguity) อันเป็น ผลมาจากการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เข้ามา สนับสนุนและอ านวยความสะดวกต่อการด ารงชีวิตของคนในสังคม ส่งผลให้พฤติกรรมการ ด ารงชีวิตของผู้คนในสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างฉับพลัน (Disruptive) อาทิ การใช้ บริการผ่านระบบออนไลน์ ทั้งในแง่การท าธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการใช้เทคโนโลยีด้านการ สื่อสารเพื่อเชื่อมต่อผู้คนในสังคมเข้าไว้ด้วยกัน ส่งผลให้เกิดความท้าทายต่อการด าเนินงานของ ภาคราชการ ในการตอบสนองความต้องการ ของผู้คนที่หลากหลาย อีกทั้งประเทศไทย ถูก คาดการณ์ว่าจะเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยในปีพ.ศ. 2574 ท าให้ เกิดความท้าทายต่อการ ด าเนินงานของภาครัฐ ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ที่จะสามารถช่วยให้ คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุดียิ่งขึ้น รวมถึงความท้าทายในการพัฒนาในลักษณะอื่น ๆ อาทิ ภัย คุกคามจากการใช้ระบบออนไลน์ ในแง่ความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ การก่อสงคราม ในรูปแบบใหม่ผ่านการใช้เทคโนโลยี การส่งข้อมูลผ่านระบบออนไลน์อย่างรวดเร็ว ที่ท าให้เกิด ความสับสนต่อผู้คนในสังคม เป็นต้น นอกจากนี้ ความท้าทายที่ส าคัญที่เกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา คือการรับมือกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้คน แตกต่างไปจากเดิมอย่างฉับพลัน เกิดเป็นวิถีใหม่ (New Normal) อาทิ การเว้นระยะห่างทางสังคม การกักตัว หรือแม้แต่การท างานในรูปแบบใหม่ ที่น าเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ หรือ การส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลมาใช้เพื่อให้สามารถด ารงชีวิตในวิถีใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถานการณ์ดงักล่าว ถอืเป็นปจัจยัส าคญัทภ่ีาครฐัและระบบราชการเอง จะต้องทบทวน การด าเนินงานว่าสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ สามารถรับมือกับความ เปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันในอนาคตของโลกพลวัตรนี้ได้หรือไม่ และเพื่อให้สามารถวาง แนวทางในการพัฒนาระบบราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้เริ่มมีการศึกษาทิศทางการ พัฒนาระบบราชการที่ส าคัญ และกรณีศึกษาที่ดีจากต่างประเทศ เพื่อประกอบการวางแนวทาง ในการพัฒนาระบบราชการไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากลต่อไป (ส านักงานคณะกรรมการ พัฒนาระบบราชการ, 2564: 12) ส าหรับการศึกษาถึงแนวโน้มการเปล่ยีนแปลงในปจัจุบนัท่มีผีลกระทบต่อการพฒันา ระบบราชการของภาครัฐของไทยนั้น ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ส านักงาน ก.พ.ร.) ได้มีการศึกษาวิจัยภายใต้ชื่อการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน (Disruptive Change) ต่อระบบราชการ ซึ่งเป็นการศึกษาทบทวนจากรายงานการศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะในระดับโลก อาทิ WEF Global Risk Report 2018 โดย World Economic Forum,


259 Global Megatrends: Implications for the ASEAN Economic Community โ ด ย Association of Southeast Asian Nations (ASEAN), State and outlook 2015: Assessment of global megatrends โดย European Environment Agency เป็นต้น ซึ่งสรูปได้เป็น 7 ประเด็น ดังนี้ (ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, ม.ป.ป.ข: 63-66) (1) การเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีดิจิทลั(Digital Disruption) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลประกอบกับการขยายโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูง ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการท างานอย่างฉับพลันในทุกภาคส่วน เนื่องจาก ประชาชนมีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส าคัญ ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถการ เชื่อมต่อ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ท าให้บุคคลหรือหน่วยงานที่เคยท าหน้าที่เชื่อมต่อหรือเป็นคน กลางถูกลดความส าคัญ ซึ่งหมายรวมถึง ภาครัฐ ที่เคยเป็นผู้วางระเบียบ (Regulator) หรือ ผู้อ านวยการ (Facilitator) นอกจากนี้ประชาชนและภาคเอกชนที่เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล อาจมี ลักษณะเสมือยได้รับการกระจายอ านาจในทางอ้อม ซึ่งนับเป็นความท้าทายของภาครัฐทั่วโลก ตัวอย่างเช่น การใช้ สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ในการกระจายความคิด การใช้เพื่อ ประมวลผลทางการเมือง หรือแม้แต่ในอนาคตที่ต าแหน่งงานบางประเภทอาจถูกแทนด้วย เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีศักยภาพสูง เป็นต้น (2) เทคโนโลยีล ้าสมัย (Frontier Technology) เทคโนโลยีล ้าสมัย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการด ารงชีวิต รวมถึง เทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง โครงสร้าง และความส าคัญ ของอุตสาหกรรม อาทิ เทคโนโลยีด้านการเงินที่อาจลดบทบาทของ ธนาคาร แต่เพิ่มโอกาสของการก่ออาชญากรรมผ่านธุรกรรมระหว่างประเทศ หรือเทคโนโลยี ยานยนตไ์ฟฟ้าทอ่ีาจพลกิอุตสาหกรรมชน้ิส่วนยานยนต์ของไทย เทคโนโลยพีลงังานทางเลอืกที่ อาจลดบทบาทของรัฐวิสาหกิจทางด้านพลังงานของไทย เป็นต้น (3) สวนกระแสโลกกาภิวตัน์(Globalization vs Anti- Globalization) แม้ว่ากระแสโลกาภิวัตน์ส่งผลส าคัญต่อภาคธุรกิจเอกชน ทั้งการค้าเสรีที่เชื่อมโยงทั้งโลก อย่างแท้จริง การไหลเวียนของเงินทุนและเทคโนโลยี การเคล่อืนยา้ยปจัจยัการผลติและแรงงาน การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่เพื่ออ านาจในการต่อรอง อย่างไรก็ตามในบางประเทศเริ่ม มีแนวความคิดตรงกันข้าม กล่าวคือ มองว่าการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อ ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ จึงหันมาส่งเสริมการค้าภายในประเทศมากยิ่งขึ้น (4) ขั้วอ านาจโลกหลากหลาย (Multi-polar World) การก าหนดทิศทางในการขับเคลื่อนประเทศต่าง ๆ ไปสู่อนาคตทั้งในด้านการเมืองและ เศรษฐกิจ มักจะมีแนวโน้มที่ถูกชี้น าจากกลุ่มมหาอ านาจเดิม ซึ่งได้แก่ อเมริกาและยุโรป ซึ่งใน


260 ปจัจุบนัอาจเกดิขวั้อ านาจอ่นืขน้ึซ่งมีแนวทางในการขับเคลื่อนที่แตกต่าง เข้ามามีบทบาทต่อ ึ การชี้น าทิศทางเศรษฐกิจโลกมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่มีความรุนแรง จากการ รวมกลุ่มของผู้น ากลุ่มที่มีแนวความคิดคล้ายกัน จนน าไปสู่ การเกิดผลกระทบกับกลุ่ม แนวความคิดอื่น ๆ ได้ (5) ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Awareness) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ และความผิดปกติของสภาพอากาศ ทเ่ีพมิ่มากขน้ึในปจัจบุนัส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเกษตร ความมั่นคงทางด้าน อาหาร สุขภาพของมนุษย์และการอพยพยา้ยถนิ่ซง่ึปญัหาเหล่าน้ีอาจก่อใหเ้กิดการแข่งขันเพื่อ การเข้าถึงทรัพยากรที่ส าคัญ และอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านการเมือง (6) การขยายตัวของเมืองแบบบูรณาการ (Integrative Urbanization) ปญัหาการอพยพย้ายถิ่นของประชากรเพ่อืเข้าสู่เมอืงท่มีคีวามเจรญิมากกว่า ท าให้มี การขยายตัวเป็นเมืองใหญ่ ที่เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมโลกและท้องถิ่น และอาจเพิ่ม ความเหล่อืมล้า ทางดา้นรายได้และปญัหาคุณภาพชีวิต เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต ไปจากอดีต ลักษณะดังกล่าวหากโครงสร้างพื้นฐานไม่สามารถรองรับการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ของสังคมเมือง แนวโน้มดังกล่าวอาจส่งผลกระทบในเชิงลบได้ (7) พลเมืองในอนาคต (Future Citizen) เกิดการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนประชากร ประชากรรุ่นใหม่ ที่เข้ามามีบทบาททางด้าน การบริหารประเทศ และภาคธุรกิจ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล ้า และ การผลิตสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ ท าให้ความรู้และทักษะที่จ าเป็น ต่อการแข่งขันทาง เศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนแปลงไป


261 ภาพที่ 8.1 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน (Disruptive Change) ต่อระบบราชการ ที่มา: ปรับปรุงจาก ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ม.ป.ป.ข: 63) 8.2 ทิศทางการพฒันาระบบราชการที่สา คัญ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2564 – 2565) ได้น าเสนอแนวโน้มในการ พัฒนาระบบราชการ เพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับระบบราชการไทย และน าไปสู่ระบบ ราชการในอนาคต จ าเป็นจะต้องด าเนินการในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้(ส านักงานคณะกรรมการ พัฒนาระบบราชการ, 2564: 14-16)


262 8.2.1 รฐับาลดิจิทลั (Digital Government) การเปล่ยีนแปลงทางเทคโนโลยดีจิทิลัท่เีกดิขน้ึในโลกปจัจุบนัเป็นตวัเร่งท่นี าไปสู่การ ขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกมิติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งในส่วนการบริ หารจัดการภาครัฐซึ่งเป็นกลไกส าคัญในการยกระดับการบริหารราชการแผ่นดินและการ ให้บริการประชาชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้การปฏิบัติงานโปร่งใส มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล ซึ่งจะท าให้ภาครัฐของไทยก้าวหน้าทันโลกและสามารถแข่งขันได้ในโลกสมัยใหม่ ท าให้การติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนกับประชาชน และประชาชนกับภาครัฐเป็นไปได้อย่าง รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการก าหนดและสะท้อนความ ต้องการต่อการบริการของภาครัฐรวมถึงตรวจสอบการท างานของภาครัฐเพื่อให้เกิดความ โปร่งใสได้มากขึ้นอีกด้วย จึงเป็นเรื่องส าคัญที่ทุกภาคส่วนต้องสร้างความรู้ความเข้าใจและ ร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป นิยามของ รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) หมายถึง การออกแบบและปรับเปลี่ยน รูปแบบบริการของรัฐ โดยอาศัยข้อมูลดิจิทัลเพื่อสร้างบริการของรัฐในรูปแบบใหม่ ผ่าน เทคโนโลยี Mobile Social Cloud Technology ในยุคอินเทอร์เน็ต โดยมีลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ (1) Reintegration เป็นการบูรณาการการท างานของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการก ากับควบคุมการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ (2) Needs-based holism เป็น การปรับปรุงองค์กรภาครัฐเพื่อให้เกิดการให้บริการสาธารณะที่ให้ความส าคัญต่อการน าความ ต้องการของพลเมืองมาเป็นศูนย์กลาง และ (3) Digitalization เป็นการใชศักยภาพอย่างเต็มที่ใน การน าระบบบริหารสารสนเทศมาใช้ รวมถึงการให้ความส าคัญต่อการสื่อสารผ่านทาง อินเทอร์เน็ตซึ่งจะเข้ามาแทนที่วิธีการท างานแบบเดิม (ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2560ข: 2; พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการ ภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ.2562; ส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล, 2564) กล่าวโดยสรุป รัฐบาลดิจิทัล เป็นการน าดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เป็นกลยุทธ์ส าคัญในการ ยกระดับการท างานภาครัฐให้มีความทันสมัย ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการบริการทาง ออนไลน์ เพื่อพัฒนาการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ โดยต้องพัฒนาระบบข้อมูลภาครัฐที่ มุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งข้อมูลต้องมีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงทุก หน่วยงานภาครัฐอย่างครบวงจร และสามารถเปิดให้สาธารณะ ตรวจสอบเพื่อปรับปรุงได้อย่าง ต่อเนื่องตามหลักการเปิดเผยและโปร่งใสในภาครัฐ อย่างไรก็ตามการการเตรียมความพร้อมสู่รัฐบาลดิจิทัล จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการ เตรียมความพร้อม 4 ด้าน ดังนี้ (1) การบรูณาการหน่วยงานภาครฐั(Government Integration) การบูรณาการเสมือนเป็นองค์กรเดียว (One Government) โดยการน าเทคโนโลยีมา ปรับใช้กับการด าเนินงานในแต่ละหน่วยงาน และต้องค านึงถึงประชาชนเป็นหลักในการร่วมมือ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยมีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงาน


263 หลักในการขับเคลื่อน ตั้งแต่การเชื่อมโยงข้อมูล บริการ ตลอดจนการด าเนินงานต่าง ๆ เพื่อ ยกระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและการให้บริการของรัฐ โดยเฉพาะการลดความซ ้าซ้อน ในการเบิกจ่ายงบประมาณ ระยะเวลาการด าเนินการ รวมทั้งการดูแลรักษาระบบต่าง ๆ อาทิ การให้บริการภาครัฐแบบครบวงจร ณ จุดเดียว (One Stop Services) การบูรณาการข้อมูล ประชาชนและนิติบุคคลจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้เป็นภาพเดียว (Single View of Citizen) การใช้บริการทางเทคโนโลยีร่วมกัน (Share Service) โดยให้ความส าคัญกับการ ประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) และการก ากับความมั่นคงปลอดภัย โดยเฉพาะในยุค ปจัจบุนัทก่ีารก่ออาชญากรรมและการก่อการรา้ยทางไซเบอรม์คีวามซบัซอ้นและรุนแรงเพมิ่ขน้ึ (2) การดา เนินงานแบบอจัฉริยะ (Smart Operations) โดยการสนับสนุนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ดิจิทัลสมัยใหม่ที่เหมาะสม ประหยัด และคุ้มค่า ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อให้สามารถด าเนินงานได้อย่างถูกต้อง แม่นย า รวดเร็วและ ตรงจุดมากขึ้น อาทิ มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องมืออุปกรณ์ (Internet of Things) กับ อินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึง การมีระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อจัดระเบียบ ฐานข้อมูลที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ การมีเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Analytics) โดยเฉพาะการวิเคราะห์บนพื้นฐานข้อมูลขนาดใหญ่การพัฒนาฐานข้อมูลให้เชื่อมโยงข้อมูลจาก ทุกหน่วยงานภาครัฐ และเปิดเผยต่อสาธารณะ และการพัฒนาขีดความสามารถในการเตรียม ความพร้อมรับมือการปฏิบัติการไซเบอร์ (3) การมีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการให้บริการ (Citizen-centric Services) เป็นการยกระดับงานบริการภาครัฐให้ตรงกับความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา โดยภาครัฐจะต้องรักษาความสมดุลระหว่างความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน ข้อมูลของประชาชน และการอ านวยความสะดวก ( Rebalancing between Security & Facilitation) (4) การขบัเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Driven Transformation) เป็นการวางแนวทางการขับเคลื่อนภาครัฐไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลในทุกระดับของ บุคลากรภาครัฐ โดย (1) เน้นกระบวนทศัน์การเปล่ยีนแปลงท่มีุ่งเน้นผลสมัฤทธิ์(Outcomedriven Transformation) ที่มีการปรับเปลี่ยนองค์กรแบบครบวงจร ทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยี และกฎระเบียบ (2) มีการขับเคลื่อนโดยการบริหารจัดการโครงการและการก ากับ ดูแลอย่างมีธรรมาภิบาลที่ชัดเจน และ (3) ได้รับการสนับสนุนจากผู้น าระดับประเทศที่มีความ มุ่งมั่น มีวิสัยทัศน์ และเห็นความส าคัญของการน าเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ตัวอย่างในการด าเนินงานด้านการสร้างรัฐบาลดิจิทัล อาทิ การด าเนินงานของประเทศ เอสโตเนีย ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคที่ส าคัญ ได้แก่การวางระบบระบุตัวตน อิเล็กทรอนิกส์(e-Identification) และบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์(Electronic ID Card) ซึ่ง สามารถอ านวยความสะดวกให้กับประชาชนในประเทศเอสโตเนีย ได้เข้าถึงการบริการออนไลน์ ต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงข้อมูลแห่งชาติ(The X-Road Platform) เพื่อเป็น


264 ตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งฐานข้อมูล ทะเบียนราษฎรของประชาชน แต่อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอย่างหนึ่งของการด าเนินงานของ ประเทศเอสโตเนีย คือการปรับตัวของประชากรผู้สูงอายุและประชากรในชนบทที่ห่างไกลที่ยัง ขาดทักษะ และไม่เชื่อมั่นต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ภาครัฐก าลังให้บริการ ส าหรับประเทศไทยนั้น การแปรเปลี่ยนทางดิจิทัล (Digital Transformation) ในภาครัฐ นั้น ปรากฏชัดเจนในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 258 ข. และอีกหลายมาตรา โดยมีการ เชื่อมโยงข้อมูลการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเปิดเผยข้อมูล และการเอาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้า มาเป็นเครื่องมือในการให้บริการ ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนา เศรษฐกจิและสงัคม แห่งชาตฉิบบั ปจัจุบนัและนโยบายต่าง ๆ ของรฐับาล ซ่งึน าไปสู่การออก กฎหมายระดับพระราชบัญญัติเพื่อการปรับเปลี่ยนภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัลโดยเฉพาะ ดังนั้น รัฐบาลจึงจ าเป็นต้องประกาศใช้ พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่าน ระบบดิจิทัล พ.ศ.2562 แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563-2565 และราช กิจจานุเบกษาประกาศคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เรื่องธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ โดยมี สาระส าคัญ ดังนี้ พระราชบญัญตัิการบริหารงานและการให้บริการภาครฐัผ่านระบบดิจิทลัพ.ศ.2562 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการด าเนินการเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย เรื่องการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชนด้วย ระบบดิจิทัลและร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล และได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่ เกี่ยวข้อง เร่งรัดการพิจารณาขับเคลื่อนการด าเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการ ปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ คณะกรรมการได้มีการเปลี่ยนชื่อร่างกฎหมายจาก “ร่างพระราชบัญญัติว่า ด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. ….” เป็น “ร่างพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐ ผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ….” และเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ราชกิจจานุเบกษาได้ ประกาศให้พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 ใช้บังคับมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยมีการด าเนินการเพื่อ วัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ (1) การน าระบบดิจิทัลที่เหมาะสมมาใช้ในการบริหารและการให้บริการของหน่วยงาน ของรัฐ ทุกแห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและให้มีการใช้ระบบดิจิทัลอย่างคุ้มค่าและเต็มศักยภาพ (2) การพัฒนามาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับระบบดิจิทัล และพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานด้านดิจิทัลที่จ าเป็นให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างและพัฒนากระบวนการท างาน ของหน่วยงานของรัฐให้มีความสอดคล้องและมีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมทั้ง มีความมั่นคงปลอดภัยและน่าเชื่อถือ โดยมีการบูรณาการและสามารถท างานร่วมกันอย่าง เป็นเอกภาพ เกิดการพัฒนาการบริการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและน าไปสู่การบริหารราชการและ การบริการประชาชนแบบบูรณาการ รวมทั้งให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก


265 (3) การสร้างและพัฒนาระบบความมั่นคงปลอดภัยในการใช้ระบบดิจิทัลและมาตรการ ปกป้องคุม้ครองขอ้มลูทอ่ีาจกระทบถงึความมั่นคงหรือความเป็นส่วนตัวของประชาชนที่มีความ พร้อมใช้และน่าเชื่อถือ (4) การเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะที่หน่วยงานของรัฐจัดท าและครอบครองใน รูปแบบและช่องทางดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวกมีส่วนร่วมและตรวจสอบการ ด าเนินงานของรัฐ และสามารถนาข้อมูลไปพัฒนาบริการและนวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อ ประเทศในด้านต่าง ๆ (5) การรักษาวินัยการเงินการคลังภาครัฐและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่าย งบประมาณ ให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมกีารติดตาม ตรวจสอบ และ ประเมินความคุ้มค่าใน การด าเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามการบริหารงานภาครัฐและการจัดท า บริการสาธารณะผ่านระบบดิจิทัล รวมทั้งพัฒนาให้มีกลไกการใช้ข้อมูลเพื่อลดความซ ้าซ้อนและ เกิดความสอดคล้องกับแผนงานและ โครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐ กล่าวโดยสรุปคือ การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) นับเป็นยุทธศาสตร์ ส าคัญของประเทศที่ใช้ยกระดับระบบบริหารจัดการและบริการภาครัฐสู่ประชาชนให้ได้รับบริการ ที่สะดวก ถูกต้อง รวดเร็ว แม่นย า และตรงตามความต้องการของผู้ใช้บริการมากที่สุด ใน ขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของภาครัฐจะเพิ่มขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการด าเนินงาน สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายและข้อมูลที่มีอยู่ของ ภาครัฐให้เป็นระบบเดียวกัน ก่อให้เกิดประโยชน์กับการให้บริการสาธารณะ รวมถึงการวิเคราะห์ วางแผนพัฒนาในระดับต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยสร้างมิติใหม่ในการบริหารจัดการภาครัฐไทยให้ ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์จะต้องค านึงถึง ความสมดุลระหว่างการอ านวยความสะดวกกับความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน รวมทั้งภาครัฐจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับศักยภาพของข้าราชการและ บุคลากรภาครัฐ และให้ความมั่นใจแก่ภาคประชาสังคมเห็นถึงการให้ความส าคัญของการท างาน อย่างโปร่งใสและต่อต้านการทุจริต เพื่อจะได้น าไปสู่การร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งระหว่าง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนและประชาชนที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการ ขับเคลื่อนให้นโยบายการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ประสบความส าเร็จได้ต่อไป 8.2.2 การแก้ไข ทบทวน รายละเอียดของกฎหมาย กฎระเบียบ โดยก่อนออกกฎหมายต้องด าเนินการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) และหลักออกกฎหมายมีการประเมินผลสัมฤทธขิ์องการด าเนินการ การ ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายหรือระเบียบที่ไม่จ าเป็น (Regulatory Guillotine) พร้อมทั้งเร่ง พัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการของ (Regulatory Impact Assessment: RIA) และ Regulatory Guillotine รวมทั้งให้มีการพัฒนาหน่วยงานกลาง ในการตรวจสอบมาตรฐานรายงาน RIA และ Regulatory Guillotine เพื่อให้เกิดการประเมินที่


266 สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนาระบบข้อมูลกลางเชื่อมโยงกฎหมายของทุก หน่วยงาน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายได้สะดวก ตลอดจน ใช้ทางเลือกอื่นแทนการออกกฎหมาย ตัวอย่างการยกเลิกการบังคับใช้กฎหมาย หรือกฎระเบียบ ที่ไม่จ าเป็น (Regulatory Guillotine) นั้นปรากฎเด่นชัดในประเทศเกาหลีใต้ โดยมีการจัดตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform Commission: RCC) เพื่อสนับสนุนและ ติดตามการยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จ าเป็น มีการประเมินคุณภาพของกฎระเบียบที่รัฐบาลกลาง ออกประกาศก าหนด โดยข้อมูล ณ สิ้นปี ค.ศ. 2002 ประเทศเกาหลีใต้มีการยกเลิกกฎระเบียบ ไปกว่า ร้อยละ 33.17 ของจ านวนกฎระเบียบทั้งหมด ส าหรับประเทศไทยนั้นสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้ท าโครงการ ศึกษาวิจัย เรื่อง การวิเคราะห์ผลกระทบในการออกกฎหมาย (Regulatory Impact Analysis) เพื่อเสนอต่อส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งพบว่า หลังการมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้มีพัฒนาการในการปรับปรุงกระบวนการในการกลั่นกรองคุณภาพของกฎหมาย มี การก าหนดแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมและการก าหนดสิทธิ พื้นฐานของประชาชนใหม่ ๆ จ านวนมาก โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อ การพัฒนาประเทศ ในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งได้มีการยุบเลิกกฎหมายจ านวนหนึ่งและได้ออก หลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจ าเป็นในการตรากฎหมายเพื่อเป็นมาตรฐานสากล รวมทั้งมี การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนากฎหมายขึ้นมาในส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อ รับผิดชอบเรื่องการพัฒนากฎหมายอย่างต่อเนื่อง พัฒนาการของการออกกฎหมายได้ก้าวอีกขั้น หนึ่งเมื่อในรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 ได้ก าหนดให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถ เข้าชื่อเพื่อเสนอกฎหมายได้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าว ได้ด าเนินการมาอย่างต่อเนื่องในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ปีพ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2560 มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายซึ่งมีลักษณะเป็น องค์กรท่อีิสระจากฝ่ายบรหิารข้นึมาเพ่อืท าหน้าท่ใีนการช่วยเหลอื ประชาชนในการเสนอกฎ หมาย รวมทั้งเสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมและร่างกฎหมายใหม่ที่อยู่ใน กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าประเทศไทยจะมีวิวัฒนาการ ในการพัฒนากฎหมาย แต่ยังไม่ได้มี การทบทวนกฎหมายครั้งใหญ่ดังเช่นในเกาหลีใต้เวียดนาม หรือเม็กซิโก และแม้ในส่วนของการ ประเมินผลกระทบของกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) จะมีเกณฑ์ที่เป็น มาตรฐานสากล แต่คุณภาพของรายงานที่จัดท าขึ้นจริงในทางปฏิบัติ ยังไม่เป็นไปตาม มาตรฐานสากลด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้ (1) การจัดท ารายงานผลกระทบของกฎหมายในประเทศไทย มีเฉพาะในขั้นตอนที่มีร่าง กฎหมายออกมาแล้ว จึงท าให้หน่วยงานราชการที่เป็นผู้เสนอกฎหมาย มองว่าการจัดท ารายงาน ดังกล่าว ค าให้การตรากฎหมายล่าช้า จึงด าเนินการจัดท ารายงาน เพียงเพื่อให้เป็นไปตาม ข้อก าหนดของระเบียบส านักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้หวังผลใด ๆ ในการที่ใช้กระบวนการดังกล่าว ในการปรับปรุงกฎหมาย


267 (2) การจัดท ารายงานการประเมินผลกระทบของกฎหมายของไทย ยังจ ากัดเฉพาะ กฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น ท าให้มีกรอบการบังคับใช้ ที่จ ากัดมาก เนื่องจาก กฎระเบียบที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยส่วนมากจะเป็นกฎหมายร้องมากกว่ากฎหมายหลัก ซึ่งจะไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองของสภานิติบัญญัติ อาทิ ประกาศกระทรวงซึ่งรัฐมนตรีเจ้า กระทรวงสามารถออกได้เอง หรือประกาศต่าง ๆ ของหน่วยงานก ากับดูแล (3) ประเทศไทยยังขาดคู่มือการประเมินผลกระทบของกฎหมาย ซึ่งจะก าหนด รายละเอียดวิธีการในการจัดท ารายงานประเมิน เพื่อให้การประเมินเป็นไปตามมาตรฐาน (4) กระบวนการในการจัดท ารายงานผลกระทบของกฎหมายของไทย ยังขาด กระบวนการรบัฟังความคดิเหน็ของผู้มสี่วนได้เสยีซง่ึเป็นองคป์ระกอบทส่ี าคญัของการจดัท า รายงานผลการประเมินกฎหมายที่ดี ส่วนใหญ่การเสนอร่างกฎหมายโดยหน่วยงานราชการ มัก รบัฟังความเหน็แบบกวา้งๆ โดยไม่ได้มีการก าหนดประเด็นที่จะตอ้งรบัฟังความคดิเหน็ทช่ีดัเจน และไม่ได้มีการน าเสนอข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นนั้น ๆ เพื่อที่จะให้การแสดงความ คิดเห็นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ (5) ประเทศไทยยังขาดหน่วยงาน ที่ตรวจสอบคุณภาพของรายงานการประเมินผล กระทบของกฎหมาย ท าให้คุณภาพของรายงานนั้นไม่ได้มาตรฐานสากล (สถาบันวิจัยเพื่อการ พัฒนาประเทศไทย, 2557: 1-11) 8.2.3 การสร้างสภาพแวดล้อมในการเสริมสร้างความร่วมมือกบัทุกภาคส่วน ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในบริบทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี ฯลฯ ล้วนผลักดันให้สังคมโลกก้าวเข้าสู่สภาวการณ์ที่เรียกว่า สภาวะสังคม ไร้ศูนย์กลาง (Centerless Society) ซึ่งหมายถึง การที่องค์กรหรือสถาบันทางสังคมหน่วยใด หน่วยหนึ่ง ไม่สามารถชี้น า ก าหนดทิศทาง และขับเคลื่อนสังคมไปอย่างมีเอกภาพเหมือนใน อดีตได้อีกต่อไป ขณะที่ปรากฎการณ์ดังกล่าว หากพิจารณาในบริบทของการบริหารงานภาครัฐ จึงหมายถึงสภาวะที่รัฐนั้นไม่สามารถปกครองสังคมภายใต้กระบวนทัศน์แบบเดิมโดยอาศัยการ ออกข้อกฎหมาย และนโยบายต่าง ๆ เพื่อก าหนดทิศทางหรือชี้น าความเปลี่ยนแปลง ใน ขณะเดียวกัน ภาคส่วนอื่น ๆ ทั้งภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ต่างเติบโต และสามารถเข้า มามบีทบาทในการจดัการแก้ไขปญัหาและความต้องการต่าง ๆ ในสงัคมได้อย่างเข้มแข็ง (ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และ ส านักงานศูนย์วิจัยและให้ค าปรึกษาแห่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ม.ป.ป.: 2) นับตั้งแต่พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มีผลบังคับใช้ การขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการไทยต่างตระหนักถึงความ จ าเป็นที่ส่วนราชการจ าเป็นต้องมีแนวทางการด าเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระ ราชกฤษฎีกาดังกล่าว ที่มุ่งหวังให้การบริหารราชการเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ยึด ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (citizen-centered) เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและ ก่อให้เกิดผลกระทบทางท่ดีตี่อการพฒันาชวีติของประชาชน โดยมเีป้าหมายของการบรหิาร


268 ราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน คือ เพื่อให้เกิดความผาสุกและความเป็นอยู่ที่ดีของ ประชาชน เพื่อความสงบและความปลอดภัยของสังคมส่วนรวม และเพื่อประโยชน์สูงสุดของ ประเทศ (ชาติชาย ณ เชียงใหม่, 2549: 1) และในปจัจุบันการบริหารราชการหันมาให้ ความส าคัญกับการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม (Collaborative Governance) เพื่อการ จัดบริการสาธารณะของรัฐ กล่าวคือ เป็นแนวทางการส่งมอบการบริการสาธารณะของรัฐที่รัฐนั้น ไม่ไดจ้า กดับทบาทแต่เพยีงฝ่ายเดยีวเท่านัน้หากแต่ยงัเปิดโอกาสให้หน่วยงานในภาคส่วนอ่นื ๆ ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เข้ามามีบทบาทใน การจัดท าบริการสาธารณะร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐ มองภาคสังคมเป็นภาคีที่ท างานร่วมกัน ซึ่งแนวทางดังกล่าวนี้ยังเป็นช่องทางหนึ่งของการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วน เสยีอนัจะเป็นการแก้ไขปญัหาได้อย่างตรงประเด็นและสามารถตอบสนองความต้องการของ ประชาชนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ แนวคิดส าคัญของการบรหิารราชการในยุคปจัจุบนั ให้ความส าคญักับการ อภิบาล (Governance) คือ การที่รัฐต้องยอมรับถึงการด ารงอยู่ที่หลากหลายและกระจัดกระจาย ของตัวแสดง (actors) ต่าง ๆ ทางสังคมที่มีบทบาทเกี่ยวพันทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อประเด็น ส่วนรวมหรือพื้นที่สาธารณะ ดังนั้นแล้วรัฐจึงไม่สามารถด าเนินงานได้เพียงล าพัง หรือผูกขาดใน การด าเนินงานโดยเบ็ดเสร็จภายใต้หน่วยงานของตนเหมือนในอดีต แต่รัฐต้องแสวงหาความ ร่วมมือหรือระบบการด าเนินงานร่วมกันทั้งระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง และภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม โดยสามารถอธิบายเป็นประเด็นได้ ดังนี้ (วสันต์ เหลืองประภัสร์ และชาย ไชยชิต, 2561) (1) รฐัต้องปรบับทบาทจากผูแ้ก้ปญัหาในแบบดงั้เดมิ ไปสู่ผู้อ านวยความสะดวกให้เกิด การสร้างทางเลือกเพ่ือการแก้ปญหาทางสังคมร่วมกับภาคส่วนอื่น ๆ กล่าวคือ รัฐต้อง ั ปรบัเปล่ยีนจากการเป็นผู้ปกป้องดูแลสงัคม ท่ที าหน้าท่แีสวงหาแนวทางและมาตรการในการ รบัมอืและจดัการกบั ปญัหาและความต้องการต่าง ๆ ภายในสงัคมตลอดเวลา ไปสู่การเป็นผู้ เกื้อหนุนและกระตุ้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ ให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนเพื่อ น าไปสู่การก าหนดทางเลอืกในการจดัการปญัหาท่ีเป็นไปได้และยอมรบัร่วมกัน กลไกรัฐจึง จ าเป็นต้องมีบทบาทในการสร้างสัมพันธภาพและจูงใจให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาร่วมคิดร่วม ท า เพ่อืก าหนดทางเลอืกใหม่ๆ และมคีวามหลากหลายในการจดัการกบั ปญหาต่าง ๆ อย่างั สร้างสรรค์และมีนวัตกรรม (2) รัฐควรปรับรูปแบบการขับเคลื่อนงานจากการแสวงหาแนวทางภายใต้โครงสร้างที่ ตายตวัสู่การสรา้งทางเลอืกท่เีรยีบง่าย แต่มคีวามหลากหลายในการจดัการกบั ปญัหาต่าง ๆ กล่าวคือ รัฐจะต้องมีบทบาทน าในการสร้างระบบนิเวศน์ (ecosystem) ที่เหมาะสมและเกื้อกูลต่อ การดึงดูดผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในภาคส่วนต่าง ๆ ให้สามารถเข้ามาร่วมด าเนินงานในประเด็นทาง นโยบายร่วมกับรัฐ ได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน ดังนั้นการสร้างระบบความร่วมมือจึงสามารถ ปรากฎออกมาได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสม


269 จากที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่า การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม จึงเป็นการปรับ บทบาทของรัฐไปสู่การเป็นผู้อ านวยความสะดวกและสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการจูง ใจให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทางสงัคมได้เขา้มาร่วมคดิร่วมท าเพ่อืการแก้ไขปญัหาและสนองตอบต่อ ความต้องการทางสังคมร่วมกันกับรัฐ ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลดีทางการบริหาร ดังนี้ (1) ด้านการลดต้นทุนและข้อจ ากัดในการจัดบริการสาธารณะ อันเนื่องมาจากทรัพยากร และศักยภาพทางการบริหารที่จ ากัดมากขึ้นของรัฐเอง ยิ่งต้องท าให้การด าเนินงานร่วมกันกับ ภาคส่วนต่าง ๆ นั้นเกื้อกูลต่อการลดต้นทุนในการจัดบริการสาธารณะ หรือร่วมกันด าเนินการใน กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ หรือการบริหารสาธารณะที่จะต้องอาศัยงบลงทุนสูง (2) ด้านการพัฒนาประเภท รูปแบบ และคุณภาพการบริการสาธารณะ กล่าวคือ ความ ร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ย่อมเกื้อกูลต่อการออกแบบระบบบริการสาธารณะที่สอดคล้องกับความ ต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่มผู้บริการ รวมทั้งสามารถยกระดับคุณภาพของการบริการให้ดีขึ้นโดย อาศัยการบูรณาการร่วมกันของภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม โดนเฉพาะการบริการสาธารณะในกลุ่มที่ เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิต กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการ เป็นต้น (3) การสร้างนวัตกรรมบนฐานของความรู้และการวิจัย กล่าวคือ ภายใต้บริบทที่ เปลย่ีนแปลง ท าใหร้ฐัต้องเผชญิกบั ปญัหาและความต้องการใหม่ ๆ ตลอดเวลา และไม่สามารถ ใชว้ธิเีดมิแก้ปญัหาได้ดงันัน้จงึเกดิแนวคดิการสรา้งระบบความร่วมมอืกบักลุ่มคนในภาคส่วน ต่าง ๆ ที่มีองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และการศึกษาวิจัยในแต่ละประเด็น เพื่อสร้างมาตรการ ทางนโยบายในการจดัการปญัหารว่มกนั กล่าวโดยสรุปคือ การมีส่วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือ การบริหารราชการ แบบมีส่วนร่วมนั้น นับว่าเป็นการสร้างสภาวะแวดล้อมและระบบงานที่เกื้อกูลต่อหน่วยงานของ รัฐ และกลุ่มองค์กรในภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะสามารถเข้ามาแสดงบทบาทบนฐานของความร่วมมือ เพื่อร่วมคิดร่วมท าในกิจการสาธารณะต่าง ๆ อันจะยังประโยชน์สุขต่อสังคมโดยรวม ส าหรบั ปจัจยัท่มีผีลต่อการสร้างกระบวนการบรหิารกิจการบ้านเมอืงแบบร่วมมอืกัน ประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ของกระบวนการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกัน ดังนี้(Ansell and Gash, 2008: 543-571 อ้างถึงใน ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ, ม.ป.ป.ค: 6-7) (1) การริเริ่มความร่วมมือ การบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกัน ต้องมีความริเริ่มร่วมมือโดยหน่วยงานหรือองค์กร ภาครฐั โดยมวีตัถุประสงค์ท่อีาจเป็นไปเพ่อืขบัเคล่อืนภารกิจให้บรรลุเป้าหมาย หรอืเป็นการแสดง บทบาทร่วมกับตัวแสดงจากภาคส่วนอื่น ๆ ตามที่กฎหมายที่ได้ก าหนดบทบาทและอ านาจหน้าที่ไว้ (2) ตัวแสดงที่เกี่ยวข้อง การบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกัน ต้องเปิดพื้นที่ให้ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาค ประชาสังคม และภาคส่วนอื่น ๆ ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการบริหารภารกิจหรือนโยบาย สาธารณะ เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารงานของภาครัฐ


270 (3) การแสดงบทบาท ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือ กัน ต้องมีส่วนในการตัดสินใจในกิจการของภาครัฐหรือนโยบายสาธารณะของรัฐได้ในทุก ขั้นตอนการตัดสินใจ แม้ว่าการตัดสินใจสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับหน่วยงานภาครัฐก็ตาม (4) การจัดโครงสร้างการท างาน การบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกัน ต้องมีการจัดโครงสร้างความสัมพันธ์อย่าง เป็นทางการท่ที าให้ทุกฝ่ายเขา้มามบีทบาทร่วมกนัผ่านการก าหนดกระบวนการบรหิารจดัการ รูปแบบเฉพาะขึ้น อาทิ การวางกฎเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ที่เป็นทางการเพื่อรองรับ การขับเคลื่อนการจัดบริการสาธารณะ (5) การตัดสินใจ การบรหิารกจิการบ้านเมอืงแบบร่วมมอืกนัต้องมจีุดมุ่งหมาย เพ่อืเปิดใหทุ้กฝ่ายเขา้มา ตดัสนิใจร่วมกนับนฐานของการแสวงหาทางออกท่สีะท้อนฉันทามตขิองทุกฝ่าย เพ่อืให้ได้รบั ประโยชน์ร่วมกันผ่านการเจรจา ประนีประนอม หรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แม้จะไม่สามารถ สรา้งความเหน็พอ้งตรงกนัไดท้งั้หมดแต่ตอ้งเป็นการตดัสนิใจทท่ีุกฝ่ายยอมรบัรว่มกนัได้ (6) เป้าหมายของการทา งานรว่มกนั การบรหิารกิจการบ้านเมอืงแบบร่วมมอืกนัต้องมเีป้าหมายในเชงินโยบายสาธารณะ เท่านั้น มิใช่การอาศัยกลไกการบริหารงานของภาครัฐเพื่อการเจรจาต่อรองผลประโยชน์ของ กลุ่มผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ภาพที่ 8.2 ปจัจยัทม่ีผีลต่อการสรา้งกระบวนการบรหิารกจิการบา้นเมอืงแบบรว่มมอืกนั ที่มา: ปรับปรุงจาก ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. (ม.ป.ป.ค: 7)


271 ส าหรับกรณีศึกษาในด้านการเสริมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนนี้ สหราช อาณาจักร (United Kingdom) ในการพัฒนาระบบบริการสาธารณะแบบเปิด (Open Public Service) เพื่อปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการสาธารณะให้มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบ ได้ พร้อมทั้งสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งเป็นความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น องค์กรในภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยมีแนวทางในการปฏิบัติที่ส าคัญ คือ การเพิ่มทางเลือกในการรับบริการให้แก่ประชาชน กระจายอ านาจสู่หน่วยงานขนาดเล็กและหน่วยงานในระดับท้องถิ่น การเสริมสร้างความ หลากหลายของผู้ให้บริการสาธารณะ การเสริมสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการ สาธารณะ และการเป็นผู้ให้บริการที่มีความรับผิดชอบ ส าหรับประเทศไทยนั้นการบรหิารราชการแผ่นดนิในปจัจุบนัได้มุ่งเน้นการขบัเคล่อืน ภารกิจร่วมกันระหว่างหน่วยงานหรือหลากหลายภาคส่วน ซึ่งปรากฏให้เห็นทั้งกรอบนโยบาย และยุทธศาสตร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะใน ยุทธศาสตรช์าติ20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ซึ่งเป็นกรอบ ทิศทางส าคัญในการพัฒนาประเทศระยะยาว ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระว่างการพัฒนาความ มั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในรูปแบบ “ประชารัฐ” ซึ่งตามความหมายอย่างแคบ หมายถึง การที่ประชาชนและรัฐร่วมมือกันในการ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ความร่วมมือร่วมใจของรัฐและประชาสงัคม เพ่ือร่วม แก้ปญัหา เศรษฐกิจ และขับเคลื่อนการพัฒนา เป็นการรวมพลังทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะอยู่ในภาคประชาชน ภาคธุรกิจ หรือภาครัฐ ทุกคนก็คือประชาชนของ (สมพงษ์ เกษานุช, ทองค า ดวงขันเพรช, อภิวัฒชัย พุทธจร, ภกัดีโพธสิ์งิห์และสญัญา เคณาภมู , ิ2560: 362) นอกจากนี้แนวทางการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ยังสอดคล้องกับประเด็น ยุทธศาสตร์ที่ 6 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งมุ่งเน้นการท างานอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในทุกมิติ โดย รูปแบบการท างานของภาครัฐนั้นได้หันมามุ่งเน้นการเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้เข้ามามี ส่วนร่วมในการด าเนินการให้บริการสาธารณะในฐานะภาคี เพื่อตรวจสอบการด าเนินงานของ หน่วยงานภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ อย่างเหมาะสม และยังได้ก าหนดทิศทางให้หน่วยงาน ภาครัฐมีการบริหารงานแบบบูรณาการ โดยมียุทธศาสตร์ชาตเิป็นเป้าหมายส าคญัและเช่อืมโยง กับการพัฒนาในทุกระดับ ขณะที่ใน แผนพฒันาเศรษฐกิจและสงัคมแห่งชาติฉบบัที่12 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่ง เป็น แผนแม่บทหลักของการพัฒนาประเทศ เพื่อส่งเสริมการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม มุ่งเน้นการปฏิรูปประเทศในมิติต่าง ๆ ได้ให้ความส าคัญกับการมีส่วนร่วม ของภาคีเครือข่าย ใน ระดับต่าง ๆ ทั้งในระดับกลุ่มอาชีพ ระดับภาค และระดับประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น ยุทธศาสตร์ที่ 6 ซ่งึเก่ยีวกบัการบรหิารจดัการในภาครฐัการป้องกนัการทุจรติ ประพฤตมิชิอบ และธรรมาภิบาลในสังคมไทย ที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยน ขับเคลื่อนภารกิจของรัฐ ให้เกิด ประสทิธภิาพและประสทิธผิล หนุนเสรมิเพ่อืการบรรลุเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี


272 โดยได้ ส่งเสริมและเพิ่มบทบาท ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการด าเนินภารกิจขั้น พื้นฐาน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตามขีดความสามารถ ตลอดจนเปิด โอกาส ให้ภาคประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ เข้ามาร่วมมีบทบาท เป็นผู้จัดท าบริการ สาธารณะขั้นพื้นฐาน รวมถึงการจ้างเหมาให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมเป็นผู้จัดท าบริการสาธารณะ ส่งเสริมกระบวนการการผลิตและการให้บริการของภาคเอกชนมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมี นโยบายรัฐบาลในด้านพัฒนาประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) ซึ่งเป็น นโยบายส าคัญในการเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของประเทศ เพื่อการเผชิญกับประเด็น ทา้ทายและการเปลย่ีนแปลงในมติติ่าง ๆ ในสงัคมปจัจุบนัดงันัน้การบรหิารวานภาครฐัจงึต้อง พัฒนารูปแบบการด าเนินงานโดยการดึงเอาขีดความสามารถและศักยภาพของภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมให้เข้ามาท างานร่วมกันกับรัฐผ่านกลไกที่เรียกว่า ประชารัฐ ซึ่งเป็นการบูรณาการการ ท างานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยที่รัฐมีบทบาทเป็นผู้อ านวย ความสะดวก (facilitator) เปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่น ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมตามกระบวนการ ประชาธิปไตย (ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และ ส านักงานศูนย์วิจัยและให้ ค าปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ม.ป.ป.: 7) จากที่กล่าวมานั้น นับว่าเป็นการปรับเปลี่ยนทิศทางและแนวทางการด าเนินงานของ ภาครฐัจากการมุ่งขบัเคล่อืนภารกจิดว้ยหน่วยงานภาคราชการแต่เพยีงฝ่ายเดยีว ไปส่กูารบูรณา การการด าเนินงานร่วมกับภาคส่วนอื่น ๆ อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการสาธารณะ การตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริงอีกด้วย


273 ภาพที่ 8.3 ข้อก าหนดเชิงนโยบายในการมีส่วนร่วมด้วยรูปแบบประชารัฐ ที่มา: ปรับปรุงจาก ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และ ส านักงานศูนย์วิจัยและ ให้ค าปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ม.ป.ป.: 8) ซึ่งกรณีศึกษาในด้านการเสริมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในบริบทของภาครัฐ ของไทย ในปจัจุบนัพบว่ามกีารด าเนินงานของภาคราชการร่วมกบัภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม อย่างกว้างขวาง ดังจะเห็นได้จากโครงการพัฒนาหรือโครงการนวัตกรรมของส่วนราชการหรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งสามารถยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่น่าสนใจได้ ดังนี้


274 การสร้างความร่วมมือของท้องถิ่นในการส่งเสริมกิจกรรมผ้สู ูงอายุเพื่อการ อนุรกัษ์และประยกุตม์รดกภมูิปัญญาทางวฒันธรรมหมอลา สินไซ จากการศึกษาของ สุนทรชัย ชอบยศ, ศกัดสิ์ทิธิ์ฆารเลศิและ สุรชัย ทาระคุณ (2563) ที่ได้ศึกษา การสร้างความร่วมมือของท้องถิ่นในการส่งเสริมกิจกรรมผู้สูงอายุ เพื่อการอนุรักษ์ และประยกุตม์รดกภูมปิญัญาทางวฒันธรรมหมอลา สนิไซ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ความเป็นมาของ หมอล าสินไซ ชุมชนบ้านห้วยหว้า เกิดขึ้นราว พ.ศ. 2500 ราวปี พ.ศ. 2508 หมอล าสินไซได้เริ่ม หมดความนิยมและเข้าสู่ยุคหมอล าเพลิน ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัยของคณะหมอ ล าสินไซ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบส าคัญ อาทิปญัหาสุขภาพของผู้สูงวยัท่ีเป็นหมอล าสินไซ ทัศนคติของคนในครอบครัวศิลปินหมอล าสินไซที่ไม่ต้องการให้แสดง การรวมกลุ่มของผู้สูงอายุ ด้านหมอล าในพื้นที่ไม่เคยมีมาก่อน ทัศนคติด้านลบของกลุ่มผู้สูงอายุหมอล าสินไซที่มีต่อเด็ก และเยาวชนรุ่นใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขาดความชัดเจนในการแสดงบทบาทเพื่อการอนุรักษ์ มรดกและประยุกต์มรดกภูมิปญัญาทางวัฒนธรร ข้อกังวลด้านงบประมาณในการส่งเสริม กิจกรรมผู้สูงอายุ และการขาดแกนน าส าคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรม อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ภายหลังจากการด าเนินการวิจัยได้ก่อให้เกิดรวมกลุ่มในนามกลุ่มอนุรักษ์และประยุกต์มรดกภูมิ ปญัญาทางวฒันธรรมหมอล าสินไซบ้านห้วยหว้า และเกิดภาคีเครือข่ายความร่วมมือในการ อนุรกัษ์มรดกภูมิปญัญาทางวัฒนธรรมหมอล าสินไซขึ้นและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน หลากหลายมิติ ได้แก่ มิติทางสังคมและวัฒนธรรม ได้ส่งผลต่อทัศนคติของคนภายในชุมชน ได้ เล็งเห็นถึงความส าคญัของมรดกภูมปิญัญาทางวฒันธรรมหมอล าสินไซและได้เข้าร่วมกิจกรรม ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งยังเป็นอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ในท้องถิ่น และได้น าการพัฒนา เครือข่ายความร่วมมือในการผนึกก าลังการสนับสนุนงานด้านวัฒนธรรม และก่อให้เกิดผล รปูธรรมในการพฒันาชุมชนทอ้งถนิ่ ไดแ้ก่มติทิางเศรษฐกจิเกดิการน าเอามรดกภูมปิญัญาทาง วัฒนธรรมหมอล าสินไซ ไปเผยแพร่ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานบุญอุทิศ งานเก็บข้อมูลทาง วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น งานหมอล าคาร์นิวัล (Mor Lum Canival) จังหวัดขอนแก่น ปี พ.ศ. 2562 งานเปิดอุทยานการเรียนรู้สินไซต าบล โนนฆ้องหรือแม้กระทั่งการทดลองปฏิบัติการ ชุมชน ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม จนได้ส่งผลให้เกิดรายได้ต่อกลุ่มอนุรักษ์และประยุกต์มรดกภูมิ ปญัญาทางวัฒนธรรมหมอล าสินไซบ้านห้วยหว้า กลุ่มผ้าไหมบ้านห้วยหว้า กลุ่มจักรสานบ้าน ห้วยหว้า และร้านค้าต่าง ๆ ภายในชุมชน เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในชุมชนซึ่ง มาจากการใช้จ่ายของผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมเยือนในชุมชนบ้านห้วยหว้า ในปี พ.ศ. 2561 กลุ่ม ผู้สูงอายุมีรายได้จากการแสดงมากกว่า 100,000 บาท และยังได้แสดงผลงานในรายการไมค์ ทองค าหมอล าฝังเพชร ณ สถานีโทรทศัน์เวิร์คพอยท์อันเป็นการบนัทึกเทปรายการเพ่ือ เผยแพร่กิจกรรมอนุรักษ์และประยุกต์หมอล าสินไซระดับประเทศ ในส่วนของมิติทางการเมือง และนโยบาย ได้เกิดการน าทุนทางวัฒนธรรมภายในท้องถิ่นไปใช้ประโยชน์ใน หลากหลายมิติ เช่น ชุมชนบ้านห้วยหว้าได้ประชาคมเสนอโครงการจัดท าผ้าไหมลายสินไซ โครงการสร้างเสริม สุขภาวะชุมชนด้วยหมอล าสินไซ, นอกจากนี้ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นได้เสนอ


275 โครงการ จัดท าอุทยานการเรียนรู้สินไซ โครงการส่งเสริม การสร้างอาชีพภายในชุมชน โดย เสนอโครงการในแผนปีงบประมาณ 2564 งบประมาณกว่า 5,490,000 บาท ในขณะเดียวกัน เทศบาลต าบลโนนฆอ้งไดน้ าเอามรดกภูมปิญัญาทางวฒันธรรมมาเผยแพร่ในโรงเรยีนผูสู้งอายุ ต าบลโนนฆ้อง ทั้งยังได้เสนอแนะแนวทางการของบประมาณสนับสนุนจากทางเทศบาลต าบล โนนฆ้อง ทั้งนี้โรงเรียนห้วยหว้าวิทยาคมได้มีแนวทางการน าเอากลุ่มอนุรักษ์และประยุกต์มรดก ภูมปิญัญาทางวฒันธรรมหมอล าสินไซบ้านห้วยหว้ามาเป็นอีกกหนึ่งกิจกรรมภายในหลักสูตร ท้องถิ่น การเสริมสร้างความเข้มแขง ็ การดา เนินงานทางการตลาดเพื่อรองรบันโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ของแหล่งท่องเที่ยวบ้านนาดี – สร้างบง จังหวัดอุดรธานี กรณีศึกษาที่น่าสนใจอีกกรณีหนึ่ง คือการศึกษาของ วัฒน์จิรชัย เวชชนินนาท (2560) ที่ ได้ศึกษา การเสริมสร้างความเข้มแข็งการด าเนินงานทางการตลาดเพื่อรองรับนโยบายไทย แลนด์ 4.0 ของแหล่งท่องเที่ยวบ้านนาดี – สร้างบง จังหวัดอุดรธานีมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษารูปแบบการด าเนินงานด้านการตลาดของแหล่งท่องเที่ยว (2) สร้างความเข้มแข็งการ ด าเนินงานทางการตลาดเพื่อรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และ (3) ประเมินความคิดเห็นต่อ การด าเนินงานด้านการตลาดและความพึงพอใจต่อโครงการอบรมของแหล่งท่องเที่ยว บ้านนาดี – สร้างบง ต าบลผาสุก อ าเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีซึ่งผลการวิจัย พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2551 – 2557 บ้านนาดี-สร้างบง มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสามารถพัฒนา เป็นศูนยก์ารเรยีนรูเ้ศรษฐกจิพอเพยีง แต่ภายหลงัเกดิ ปญัหาในการด าเนินงาน ส่งผลให้การ ด าเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนขาดความต่อเนื่อง ประกอบกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลใน ปี พ.ศ. 2558 - 2560 ที่สนับสนุนให้ชุมชนพัฒนาตนเองเป็นแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้นผู้น าชุมชน กลุ่ม สมาชิกแหล่งท่องเที่ยว และชาวบ้านมีมติร่วมกันจะพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิง เกษตร โดยใช้จุดแข็งคือทุนชุมชนที่มีอยู่ ได้แก่ การรวมกลุ่มวิสาหกิจต่าง ๆ เช่น การปลูกผัก ปลอดสารพิษ การท าขนมทองพับ ทอผ้า และทอกก ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ท าเลที่ตั้งใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และความสามัคคีของคนในชุมชนผลการพัฒนา ศักยภาพทางการตลาดของแหล่งท่องเที่ยวบ้านนาดี – สร้างบง โดยในปี พ.ศ. 2559 ชุมชน บ้านนาดี – สร้างบงเกิดการเปลี่ยนแปลง พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชาวบ้านใน ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจ รักและหวงแหนชุมชน เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการด าเนินงาน ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เกิดการขยายผลการด าเนินการสู่ภายนอกชุมชนเพื่อสร้างเครือข่ายความ ร่วมมือและความเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ และชุมชนใกล้เคียง ซึ่งการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณากา ท างานร่วมกัน ผลการขยายผลช่วยเผยแพร่องค์ความรู้ เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ ระหว่างกลุ่มแหล่งท่องเที่ยว ชาวบ้านในชุมชน และกลุ่มขยายผล สามารถน าความรู้ที่มีไป ปฏิบัติในชีวิตประจ าวันได้ เกิดความรักและความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและเด็กนักเรียนที่เข้า


276 มาอบรมอันจะเป็นการสร้างรากฐานอันเข้มแข็งของสังคม ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง คุณภาพชีวิต ของคนในชุมชนดียิ่งขึ้น เกิดความเป็นธรรมในการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นชุมชน สร้างความ ภาคภูมิใจให้กับคนในชุมชนได้หันมาให้ความส าคัญกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมในท้องถิ่นและการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมภายในชุมชนเกิดการพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ต่อไป นวตักรรมการจดัการการท่องเที่ยวเชิงประวตัิศาสตรแ์ละวฒันธรรมชุมชนตาม แนวทางประชารัฐ ในอ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย จากการศึกษาของ ประยูร อิมิวัตร์, น าขวัญ วงศ์ประทุม, กฤษณะ สมควร และอรุณี อิน เทพ (2562) ที่ได้ศึกษาวิจัยเรื่องนวัตกรรมการจัดการการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมชุมชนตามแนวทางประชารัฐ ในอ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ซึ่งผลการวิจัย พบว่า แนวทางการจัดการการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชนในอ าเภอเวียงชัย มี 8 ประเด็น ได้แก่ (1) การก าหนดนโยบายการท่องเที่ยว (2) ความสามารถในการวางแผนและ จัดการการท่องเที่ยวเชิงระบบ (3) การสร้างความเข้าใจของชุมชนต่อการท่องเที่ยว (4) การ สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายประชารัฐ (5) ความสามารถของชุมชนในการรองรับ นักท่องเที่ยว (6) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน (7) การสร้างความเข็มแข็งของชุมชน และ (8) การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเป็นผลสังเคราะห์การร่วมรังสรรค์ (Co-Creation) ของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่มีฐานคิดจากการ “ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วม รับผิดชอบ และร่วมรับผลประโยชน์” และแนวทางการจัดการการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมชุมชนในอ าเภอเวียงชัย ซึ่งเป็นการวางยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การจัดการการ ท่องเที่ยว 4 แนวทาง ได้แก่ (1) แนวทางการประชาสัมพันธ์ (2) แนวทางการจัดการท่องเที่ยว (3) แนวทางการการอนุรักษ์การฟื้นฟูวัฒนธรรม (4) แนวทางการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ภายใต้ ความภาคภูมิใจและหวงแหนในแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชนซึ่งเป็น ทรัพยากรของตนเอง การอนุรักษ์ป่าชุมชนตามแนวประชารัฐบ้านคอกคีต าบลบวัใหญ่ อ าเภอน ้าพอง จงัหวดัขอนแก่น จากการศึกษาของปรางค์ทอง ราศรี, พจ ตู้พจ และอ านวย สังข์ช่วย (2563) ซึ่งได้ ศกึษาวจิยัเร่อืง การอนุรกัษ์ป่าชุมชนตามแนวประชารฐับา้นคอกคีต าบลบวัใหญ่อ าเภอน้ าพอง จงัหวดัขอนแก่น พบว่า การอนุรกัษ์ป่าชุมชนตามแนวประชารฐับ้านคอกคีเกิดจากความ ต้องการอนุรกัษ์และยงัยงั้การท าลายป่าชุมชนประชาชนมสี่วนร่วมสอดส่องดแูลผูบุ้กรุกแผ้วถาง ป่า การป้องกนัการตดัไมท้ าลายป่าและการเฝ้าระวงัไฟป่าร่วมกบัผู้น า จงึท าให้การอนุรกัษ์ป่า ชุมชนตามแนวประชารฐับา้นคอกคีประสบผลส าเรจ็ดา้นการป้องกนัรกัษาป่าการป้องกนัไฟป่า และการดูแลป้องกนัรกัษาป่า ซึ่งในอดีตมีการลักลอบตัดไม้และภัยแล้งในท าให้ป่าเบญจพรรณ


277 เดิมเสื่อมโทรมลง ด้วยบ้านคอกคีมีกลุ่มผู้น าและครู ปราชญ์ท้องถิ่นที่ยึดหลัก “บวร” เมื่อภาครัฐ น าโครงการ “ป่าพื้นบ้านอาหารชุมชน” เข้ามาสู่ชุมชน ในปีพ.ศ. 2540 กลุ่มผู้น าชาวบ้านจึง สนองนโยบายอย่างเข้มแข็ง และเป็นจุดเริ่มต้นของการท างาน เพื่อการอนุรักษ์และการแก้ไข ปญัหาการบุกรุกป่า รวมถงึการปญหาความขัดแย้ั งในเรื่องการใช้ประโยชน์จากพ้นืท่ปี ่ากับการ ดูแลรกัษาป่า ระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าท่ีของกรมป่าไม้ภายใต้แนวคิดการแก้ปญหาใน ั รูปแบบของการมีส่วนร่วม หรือ แนวทางประชารัฐโดยการเปิดโอกาสให้ราษฎรและองค์กรชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่อง ดแูล ป้องกนัรกัษาปา รวมทั้งมีส่ ่วนร่วมในการบรหิารจดัการป่า อย่างถูกต้องตามระเบียบกฎหมายที่วางไว้ เพื่อให้คนในชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าแบบ เกื้อกูลกัน ความส าเร็จของชุมชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชน คือการมีผู้น าที่เข้มแข็ง มีการจัดตั้ง กลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนเพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมใน การจัดการดูแลมีการตั้งกฎระเบียบในการเข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนมีวิธีการจัดการดูแล ปาผ่่ านทางการใช้ภมูปิญญัาท้องถิ่นและประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน นอกจากนี้ผู้เขียนเอง ยังได้เคยศึกษาวิจัยในกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ การพฒันาชุมชนเข้มแข ็ งอย่างยงั่ยืน กรณีเทศบาลต าบลหัวนา อ าเภอเมือง หนองบัวล าภู จังหวัดหนองบัวล าภู ส าหรับการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน กรณี เทศบาลต าบลหัว นา อ าเภอเมืองหนองบัวล าภู จังหวัดหนองบัวล าภูผู้แต่ง (ศรัณย์ เจริญศิริ, สรัญญา จุฑานิล และ ณัฐิพงษ์ พัชรพลรักษ์, 2562) พบว่า เทศบาลต าบลหัวนา เป็นกรณีศึกษาที่มีบริบทของการ พัฒนาที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีการด าเนินงานร่วมกับภาคส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคประชาสังคม เนื่องด้วยเทศบาลต าบลหัวนาเป็นเทศบาลต าบลขนาดกลาง ในเขต เทศบาลต าบลหัวนาไม่มีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมมากนัก อุสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นด้าน เกษตรเช่น ปลูกข้าว การปลูกอ้อย และยางพารา โดยอาศัยแหล่งน ้าที่ส าคัญ เช่น ล าพะเนียง ล าห้วยต่าง ๆ ซึ่งมีโครงการที่หน่วยงานก าลังด าเนินการ อาทิ การพัฒนาแก๊สหุงต้มที่ได้จากมูล สตัวภ์ายในในหมบู่า้น โครงการส่งเสรมิการเพาะเหด็นางฟ้า ตามแนวคดิเศรษฐกจิพอเพยีง และ มีโครงการที่ได้รับรางวัล ได้แก่ ส่งเสริมการปลูกและขยายผลพื้นที่เชิงลาดแหล่งน ้า/ไหล่ทาง ระดับชุมชน โครงการส่งเสริมการใช้ระบบสูบน ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการปลูกผักอินทรีย์ ในพื้นที่เทศบาล รางวัล “สุดยอดคนพลังงาน” ระดับภาค สาขาองก์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นต้น ความส าเร็จจากการพัฒนาท าให้ชุมชนแห่งนี้ให้เป็นชุมชนต้นแบบการพัฒนาที่ ยั่งยืน โดยมีการจัดสรรพื้นที่ในชุมชนท าแปลงสาธิต ท าอ่างเก็บน ้า มีการท าแผนพัฒนาตาม วาระของชุมชน ที่ประชาชนมีแนวความคิดที่จะพัฒนาร่วมกัน มีกฎระเบียบที่เป็นเหมือนกรอบที่ คนในชุมชนตั้งไว้ปฏิบัติร่วมกัน หรือเครือข่ายการพัฒนาชุมชนที่ตั้งขึ้น มีกฎระเบียบการปฏิบัติ ในการพัฒนา มวีฒันธรรมและภูมปิญัญาท้องถิ่น ซ่งึเป็นระเบียบวถิีชวีติของชุมชน ท่ที าให้ ชาวบ้านปรับตัวและด ารงชีวิตอยู่กับสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นโดยไม่ท าลายสิ่งแวดล้อม สิ่ง


278 เหล่านั้นนี้ล้วนถือเป็นการสร้างเงื่อนไขสังคมใหม่ ให้เปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาที่พึงปรารถนา เกิดความเอื้ออาทร ความรัก ความสามัคคี สมานฉันท์ต่อกัน ชุมชนสังคมมีความเข้มแข็ง และมี การพัฒนาชุมชนให้ยั่งยืนต่อไป การจัดการเครือข่ายความร่วมมือสาธารณะเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น กรณี เทศบาลต าบลในจังหวัดอุดรธานี ส าหรับกรณีศึกษาที่ปรากฏในการวิจัยนี้ ผู้แต่ง (ศรัณย์ เจริญศิริ และสรัญญา จุฑานิล, 2563) ได้พบว่า เทศบาลต าบลในจังหวัดอุดรธานีที่ได้เลือกศึกษา อันได้แก่ เทศบาลต าบลศรี ธาตุ อ าเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี, เทศบาลต าบลหนองบัว อ าเภอเมืองอุดรธานี จังหวัด อุดรธานี และเทศบาลต าบลนางัว อ าเภอน ้าโสม จังหวัดอุดรธานีนั้นมีโครงการที่มีลักษณะการ ท างานเป็นเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ กับภาคส่วนอื่น ๆ อาทิ โครงการนวัตกรรม “สะพานแห่งสายสัมพันธ์ พลิกฟื้นวิถีแห่งศรีธาตุ” ที่เทศบาลต าบลศรีธาตุใช้สะพานเป็นตัวแทน แห่งความร่วมมือที่ท าให้เกิดความรัก ความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากในอดีตที่ ผ่านมาเทศบาลต าบลศรธีาตุประสบปญัหาน้ าแล้งในฤดูแล้ง และน ้าท่วมในฤดูน ้าหลาก อีกทั้ง ยงัมีการบุกรุกพ้นืท่ปี ่าต้นน้ า การชะล้างพงัทลายของหน้าดนิส่งผลให้บงึค าศรีตอนกลาง ซึ่ง เปรียบเสมือนแหล่งน ้าหลักของประชาชนชาวศรีธาตุ ตื้นเขินไม่สามารถกักเก็บน ้าไว้ได้ ท าให้ น ้าเพื่อการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตรในพื้นที่มีปริมาณลดลงจึงได้จัดโครงการนวัตกรรม “สะพานแห่งสายสัมพันธ์ พลิกฟื้นวิถีแห่งศรีธาตุ” ที่ถือเป็นกุศโลบายหนึ่งเพื่อแก้ปญัหาดงักล่าว ผ่านความร่วมมือที่ไม่ใช้งบประมาณของเทศบาลต าบลศรีธาตุ โดยการรับบริจาคไม้เพื่อสร้าง สะพานข้ามไปยังเกาะกลางของบึงค าศรีตอนกลาง ผ่านพิธีกรรมความเชื่อและความศรัทธาเดิม ที่มีอยู่แล้ว ประกอบกับขอความร่วมมือในการพัฒนา และมีการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบให้กลับ ฟื้นคืนมาเฉกเช่นในอดีต จนท าให้ประชาชนชาวศรีธาตุทั้งในเขตเทศบาลต าบลศรีธาตุและพื้นที่ ใกล้เคียง หันมาใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อการออกก าลังกาย จัดกิจกรรมนันทนาการ พักผ่อนหย่อน ใจ อกีทงั้ยงัร่วมกนัดูแลรกัษาและเฝ้าระวงัปญัหาการจบัสตัว์น้ า การตดัไม้ตลอดจนดูแลความ ปลอดภยัไม่ให้เกดิเป็นแหล่งมวั่สุมของกลุ่มเยาวชน อนัเป็นปญัหาสงัคมของประชาชนชาวศรี ธาตุ เช่นในอดีตที่ผ่านมา โครงการเขา้วดัฟังธรรม พฒันาจติใจที่ เทศบาลต าบลนางัว เผชิญกับปญัหาส าคัญ คือ ปญัหายาเสพติดที่ค่อนขา้งรุนแรง ชุมชนจงึเหน็ความส าคญั ในการแกไ้ขปญัหา จงึไดม้มีาตรการ มีวิธีการในการดึงตัวเด็กและเยาวชนในพื้นที่ให้ห่างจากยาเสพติด จึงได้มีการจัดโครงการขึ้นมา เพ่อืลดปญัหาด้านยาเสพตดิพรอ้มผลกัดนัใหค้นในครอบครวัสามารถพูดคุยปญัหาต่าง ๆ เพื่อ ต้องการลดปญัหาทางสงคมและการมีครอบครัวก่อนวัยอันควร ั จึงได้น าหลักพระพุทธศาสนามา ลดปญัหาเหล่าน้ีจงึจดัโครงการขึ้นโดยได้น าเอาหมู่บ้านหลัก ๆ มาเพื่อที่เป็นพื้นที่น าร่อง โครงการ ได้แก่ บ้านนางัว บ้านไทยรุ่งเรือง และบ้านเจริญชัย และทางชุมชนได้ขอความร่วมมือ กับ เทศบาลต าบลนางัว และวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานีจดัโครงการเขา้วดัฟังธรรม พฒันาจติใจ


279 เพื่อการปลูกฝังคุณธรรม จรยิธรรม แก่เดก็เยาวชน และประชาชนโดยทวั่ ไป รวมไปถึงคณะ ผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล บุคลากรของเทศบาลต าบลนางัว จากกรณีศึกษาที่ได้ยกตัวอย่างมานั้น จะเห็นได้ว่ามีการด าเนินการโครงการ/กิจกรรม ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนงานพัฒนาในเชิงพื้นที่ในลักษณะภาคีเครือข่าย เสริมสร้างความ ร่วมมือระหว่างภาคราชการกับภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม อันจะก่อให้เกิดผลการด าเนินงานที่ สามารถต่อโจทย์การพัฒนาและสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 8.2.4 การปรบัวฒันธรรมการทา งานที่มุ่งเน้นวฒันธรรมและความคิดสร้างสรรค์ ในการท างาน ปรับเปลี่ยนทัศนคติในการท างาน อาทิ การน าระบบการทดสอบใหม่โดยให้อยู่ใน ขอบเขตที่จ ากัด (Sandbox) มาขับเคลื่อนการท างานร่วมกันซึ่งยึดนโยบายเฉพาะด้าน (Agenda Based) เป็นหลักในการตอบโจทย์การด าเนินงานในเชิงพื้นที่โดยไม่ติดกฎระเบียบ เพิ่มความ ยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนในการด าเนินงาน และจะต้อง รองรับด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดความต่อเน่ืองและปกป้องคุ้มครองผูท้่เีขา้มามสี่วนร่วม ซึ่งการ ท างานในลักษณะดังกล่าว สอดคล้องกับการน าเอากระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มาประยุกต์ใช้ในการสร้างนวัตกรรมภาครัฐ ดึง ศักยภาพของประชาชนซึ่งเป็น ผู้ใช้บริการภาครัฐ รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ ให้เข้ามาร่วมคิดค้น (Co-Designer) และร่วมสร้าง นวัตกรรมภาครัฐด้วยกัน (Co-Producer) เรียกว่า ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab: Gov Lab) ห้องปฏิบตัิการนวตักรรมภาครฐั(Government Innovation Lab: Gov Lab) คือ แนวคิดใหม่ที่เปิด พื้นที่ให้ประชาชนผู้รับบริการ (User) มาร่วมคิดออกแบบสร้างสรรค์ (Design Thinking) และทดลอง/ขยายผล ระบบการให้บริการแบบใหม่กับภาครัฐ (Co-Creation) เป็นการ ประยุกต์กระบวนการคิดเชิงออกแบบ ซึ่งเน้นผู้ใช้บริการเป็นส าคัญ (User or Human-Centered Design) และอาศัยการสานพลังความร่วมมือ (Collaboration) กับทุกภาคส่วน เพื่อคิดค้นและ สร้างนวัตกรรมร่วมกัน โดยผ่านกระบวนการทดสอบและ ทดลองในห้องปฏิบัติการออกแบบ (Design Lab) ซึ่งจะช่วยก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านการวางนโยบายสาธารณะ และการส่งมอบ บริการให้แก่ประชาชน (ส านักวิชาการ ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2561: 4) การขับเคลื่อนห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐของต่างประเทศ และการประยุกต์ใช้ แนวคิดห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ ปรากฏในชื่อที่เรียกแตกต่างกันไป อาทิ Mind Lab ของ ประเทศเดนมาร์ก Helsinki Design Lab ของประเทศฟินแลนด์ Policy Lab ของประเทศสหราช อาณาจักร Human Experience Lab ของประเทศสิงคโปร์ Gov Lab ของ ประเทศสหรัฐอเมริกา Innovation Hub ของประเทศแคนาดา DesignGov ของประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น (ทศพร ศิริ สัมพันธ์, 2560: 8) ขณะที่ภาครัฐของไทยได้มีการเริ่มด าเนินการโดยส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ (ส านักงาน ก.พ.ร.) ได้ริเริ่มโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐร่วมกับส านักงาน


280 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program: UNDP) เพื่อ พัฒนาระบบบริการภาครัฐและการท างานของข้าราชการไทย โดยน าห้องปฏิบัติการนวัตกรรม ภาครัฐของต่างประเทศ มาเป็นแบบอย่างในการออกแบบบริการภาครัฐที่เหมาะสมกับประชาชน เพื่อน าไปสู่การยกระดับการบริการภาครัฐที่ยั่งยืน ซึ่งเริ่มมาตั้งปี พ.ศ. 2560 ทั้งนี้ ส านักงาน ก.พ.ร. ได้มีการประชุมร่วมกับผู้แทนของส านักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจ า ประเทศไทย เพื่อก าหนดกรอบความร่วมมือและแนวทางการด าเนินการพัฒนาห้องปฏิบัติการ นวัตกรรมภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยส านักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจะช่วย สนับสนุนองค์ความรู้ต่าง ๆ และประสานผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเพื่อมาช่วยด าเนินการ รวมถึงจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงาน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่มีประสบการณ์ใช้ การคิดเชิงออกแบบ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนางานบริการภาครัฐต่อไป (ส านักวิชาการ ส านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2561: 5-11) กระบวนการส าคัญที่ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ส านักงาน ก.พ.ร.) ได้ผลักดันเพื่อน ากระบวนการคิดเชิงออกแบบมาประยุกต์ใช้ในการสร้างห้องปฏิบัติการ นวัตกรรม ภาครัฐ ผ่านกระบวนการที่ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้(ส านักงานคณะกรรมการ พัฒนาระบบราชการ, 2561ข: 2-3; ทศพร ศิริสัมพันธ์, 2560: 8-9) (1) การสร้างความเข้าใจบริบทภาพรวม (Understand the Broad Context) เพื่อเริ่มต้น รับรู้ เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด ประสบการณ์ในการรับบริการ ความไม่พึงพอใจ และความ ต้องการของประชาชน ผู้ใช้บริการ (2) การเขา้ถงึสภาพปญัหาและความตอ้งการทแ่ีทจ้รงิของผมู้สี่วนไดส้่วนเสยีฝ่ายต่าง ๆ (Gain Empathy for Stakeholder’s Real Needs) โดยอาจจัดให้ข้าราชการได้มีโอกาสเข้ามา สังเกตการณ์ สัมผัส และเผชิญหน้ากับสถานการณ์ท่เีกดิข้นึจรงิเพ่อืให้เหน็ถงึปญัหาช่องว่าง ระหว่างฝา่ยผกู้ ากบัควบคุมดแูล/ ผใู้หบ้รกิาร (Regulator/Service Provider) กบั ฝา่ยผรู้บับรกิาร (User) ตลอดจนเริ่มต้นมองหาโอกาส ในการปรับปรุง (3) การทดลองด้วยความคิดที่หลากหลาย (Experiment with Diverse Ideas) อันเป็น การระดม สมองเพื่อส ารวจค้นหา (Explore) หรือสร้างจินตนาการทางความคิด (Ideate) การ สร้างต้นแบบ (Prototype) รวมทั้งการทดลอง/การทดสอบ (Testing) ความเป็นไปได้ในการ น าไปปฏิบัติจริง (4) การวางกลยุทธ์ขยายผล (Strategize the Rollout) เป็นการน าผลการทดลองไปสู่ การปฏิบัติ ในวงกว้างต่อไป นอกจากนี้กระบวนการคิดเชิงออกแบบที่ภาครัฐไทยได้น ามาประยุกต์เพื่อใช้ในการสร้าง ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐได้มีความสอดคล้องกับขั้นตอนศาสตร์พระราชาหรือหลักการ ทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่ง ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนเช่นเดียวกัน คือ การเข้าใจในภาพรวม การเข้าถึงความต้องการ การ พัฒนาและทดสอบแนวคิด และ การวางแผนน าไปใช้


281 กล่าวโดยสรุปจะพบว่า แนวโน้มและทิศทางการพัฒนาระบบราชการที่ส าคัญประกอบ ไปด้วยประเด็นส าคัญ คือ การมุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์ การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลโดยการน า เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ การสร้างรัฐบาลที่เปิดกว้าง การทบทวนปรับปรุงกฎหมาย การสร้าง ระบบนิเวศให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานภาครัฐร่วมกัน เสริมสร้างการมีส่วน ร่วมของทุกภาคส่วน และการปรับวัฒนธรรมการท างานให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว ใช้นวัตกรรม เป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นประชาชนเป็นศุนย์ กลาง และมีการทบทวนปรับปรุงกฎหมาย 8.3 ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2564 – 2565) การวางแนวทางการพัฒนาระบบราชการของไทยให้มีประสิทธิภาพนั้นมีการพัฒนามา อย่างต่อเนื่อง หากแต่ปรากฏการด าเนินการอย่างจริงจังในช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 หรือ “วิกฤตต้มย ากุ้ง” ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลในขณะนั้นขาดแคลนงบประมาณที่จะน ามาใช้ใน การบริหารประเทศ จึงจ าเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) โดย IMF ได้ยื่นเงื่อนไขให้ประเทศไทยด าเนินการ 3 ประการคือ (1) จะต้องท าการปฏิรูประบบการเงินของประเทศ (2) ก าหนดนโยบายมหภาคที่มี ผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและ 3) ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานภาครัฐ จึงถือเป็นยุคแห่งการ ปฏิรูประบบราชการตามแนวทางการบริหารภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM) ที่มีการปฏิรูปการด าเนินการในแง่มุมต่าง ๆ อาทิ การปรับเปลี่ยนระบบ งบประมาณแบบ มงุ่เน้นผลงานและผลสมัฤทธิ์การปรบัเปลย่ีนระบบบรหิารบุคคล การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และ ค่านิยมในการบริหารงานภาครัฐ และพัฒนาให้เกิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) (พรีสทิธิ์คา นวณศลิป์และ ธชัเฉลมิสุทธพิงษ์ประชา, 2559: 33-34) ขณะที่การพัฒนาระบบราชการไทยในช่วงปีพ.ศ. 2545 ที่ซึ่งปจัจยัในดา้นต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมของประเทศ เศรษฐกิจ สังคม ประชากร และ เทคโนโลยีส่งผลให้เกิดความต้องการและความคาดหวังต่อการได้รับบริการจากภาครัฐเพิ่ม สูงขน้ึ ปญัหาทส่ีงั่สมมาของระบบราชการไทย ไม่ว่าจะเป็นเร่อืงโครงสรา้ง นวตักรรม กฎหมาย ที่เป็นอุปสรรค กฎระเบียบที่ซ ้าซ้อน ไม่ทันสมัย รวมไปถึงนโยบายทางการเมือง และกระแส เรียกร้องของกลุ่มต่าง ๆ ต้องการปรับปรุงระบบราชการให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับ สถานการณ์ปจัจบุนัทเ่ีปลย่ีนแปลงไปอย่างรวดเรว็และตอบสนองต่อความตอ้งการของประชาชน ที่มีความคาดหวังสูงขึ้น (ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, 2556: 13) ซึ่งการปฏิรูป ระบบราชการเมื่อปี พ.ศ. 2545 ได้มีการน าหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) โดยเฉพาะการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) เข้ามาประยุกต์ใช้ในระบบราชการของไทยดังเจตนารมณ์ปรากฏในมาตรา 3/1 ของ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 และมีการวางแผน ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (ในช่วงปี พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2551 –


282 พ.ศ. 2555) เป็นกรอบแนวทางหลักในการผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 มาถงึปจัจบุนัมกีารดา เนินงานตามแผนงานโครงการทส่ีอดคลอ้งตามแผนยทุธศาสตรไ์ปสู่ การปฏิบัติท าให้หน่วยงานราชการได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการท างาน ทบทวนปรับโครงสร้าง บทบาท และภารกิจ ดังจะเห็นได้ว่าการพัฒนาระบบราชการไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงมี ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน กระทั่งปจัจุบนัภายใต้วถิชีวีติแบบใหม่ (New Normal) ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมอืง สงัคม วฒันธรรม เทคโนโลยีสงิ่แวดลอ้ม รวมถงึพฤตกิรรมของปจัเจกบุคคล องคก์ร เอกชน ซึ่งมีรูปแบบการด าเนินชีวิต กิจกรรมและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม ส่งผล ให้ภาครัฐจ าเป็นต้องเตรียมพร้อมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงที อีกทั้งยังต้องให้ ความส าคัญกับการด าเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการบริการ ประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ แผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินที่ได้ ก าหนดทิศทางที่ส าคัญในการพัฒนาระบบบราชการที่มุ่งเน้น การพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ และการยกระดับการบริการภาครัฐให้มีความรวดเร็ว ลดค่าใช้จ่าย ทันต่อเหตุการณ์ มีความเป็น ธรรม โปร่งใส เข้าถึงทุกกลุ่มโดยเน้นการให้บริการตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง มีการน าเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการได้ดียิ่งขึ้น ส าหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2564-2565) ได้ก าหนดให้มุ่งการ พัฒนาระบบราชการในอนาคตที่สามารถก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง มุ่งสู่การเป็น “ภาครัฐที่ น่าเชื่อถือ” ผ่านการพัฒนาระบบราชการ และเพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในพลวัตในบริบทโลก ที่เต็มไปด้วยความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความก ากวม (Ambiguity) ซึ่งมีทิศทางส าคัญ 3 ประการ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาการบริการภาครัฐเพื่อประชาชน มุ่งเน้นให้ภาครัฐมีการบริการที่เป็นมาตรฐานสากล ตอบสนองความต้องการของ ประชาชนในฐานะผู้รับบริการได้อย่างทันที ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านการเชื่อมโยงบริการของทุก หน่วยงานแบบเบ็ดเสร็จ โดยการน าเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการประชาชน โดยมีโครงการที่ส าคัญ คือ การ ขับเคลื่อนการให้บริการ ประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) โครงการพัฒนาต้นแบบ ศูนย์กลางการบริการประชาชนในการติดต่อราชการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (Citizen Portal) โครงการยกระดับการพัฒนาการให้บริการภาครัฐแก่นิติบุคคลแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) และการสร้างระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (Open Government and Meaningful Participation Ecosystem - OG & MP)


283 ยุทธศาสตร์ที่ 2 การปรับบทบาทภารกิจ และโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้ ทนัสมยัยืดหย่นุรองรบัการเปลี่ยนแปลง มุ่งเน้นให้ภาครัฐมีความทันสมัย มีขนาดที่เหมาะสมกับบทบาทภารกิจ มีการจัดรูปแบบ องค์การใหม่ ที่มีความยืดหยุ่นคล่องตัว สอดคล้องกับแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปและอนาคต ยุบ เลิกภารกิจที่ไม่จ าเป็น ก าหนดภารกิจที่ควรถ่ายโอนให้ภาคส่วนอื่นด าเนินการ สร้างการบริหาร เชิงพื้นที่มีความเข้มแข็งและมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเข้ามาช่วยจัดท าบริการสาธารณะ ของภาครัฐ มุ่งเน้นการท างานในลักษณะของเครือข่าย รวมถึงจัดให้มีระบบการประเมินความ เหมาะสม ความมีประสิทธิภาพ และความคุ้มค่าในการจัดส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ โดย มีโครงการที่ส าคัญ คือ โครงการศึกษาและขยายผลการจัดการองค์การที่มีความยืดหยุ่นและ คล้องตวัในการบรหิารจดัการของฝ่ายบรหิารและระบบการ ประเมนิความคุ้มค่าการจดัส่วน ราชการ และโครงการสร้างความเข้มแข็งในการบริหารราชการในระดับพื้นที่ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภาครฐั มุ่งเน้นการน าเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ในการบูรณาการการท างานและระบบ ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และสนับสนุนการเป็นภาครัฐที่เปิดกว้าง พัฒนารูปแบบ การ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการ การบูรณาการการท างาน มีรูปแบบการท างานของภาครัฐ ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มในอนาคตที่พร้อมขับเคลื่อนการบริหารงานภาครัฐได้ใน สภาวะวิกฤต โดยมีโครงการที่ส าคัญ คือ โครงการพัฒนาระบบนิเวศทางดิจิทัล (Digital ecosystem) ส าหรับหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาสู่รัฐบาลดิจิทัลเพื่อประชาชน การจัดท าระบบ บัญชีข้อมูลภาครัฐ (Data Catalog) และข้อมูลเปิดภาครัฐ และการทบทวนและแก้ไขกฎหมายที่ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติราชการ จะเห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2564-2565) มีความ สอดคล้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติในด้านการปรับสมดุลและ พัฒนาระบบบริหารจัดการ ภาครัฐ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) และนโยบายรัฐบาลในเรื่องการปฏิรูปการบริหารจัดการ ภาครัฐ โดยได้วเิคราะห์แนวโน้มการเปล่ยีนแปลงในปจัจุบนัท่มีผีลกระทบต่อการพฒันาระบบ ราชการ ก าหนดเป้าหมายการพฒันาระบบราชการให้เป็นไปตามทศิทางการพฒันาประเทศท่ี ส าคัญ มุ่งให้ภาครัฐมีขนาดที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและ ฐานข้อมูล น านวัตกรรมมาเป็นกลไกส าคัญในการขับเคลื่อนการบริหารงานภาครัฐ อันจะส่งผล ให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประชาชนได้รับการบริการภาครัฐที่ตรงตามความต้องการ และ ประชาชนมีความเชื่อมั่นในภาครัฐ ต่อไป


284 8.4 กรอบนโยบายประเทศไทย 4.0 และระบบราชการ 4.0 8.4.1 ประเทศไทย 4.0 แนวคิดประเทศไทย 4.0 ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 หรือ Industry 4.0 ซึ่งเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4 th Industrial Revolution) เป็นความคิดริเริ่มในเชิง ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหพันธรัฐเยอรมัน ซึ่งผ่านความเห็นชอบในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ แผนปฏิบัติการของกลยุทธ์เทคโนโลยีชั้นสูง (High-Tech Strategy 2020 Action Plan) เมื่อปี ค.ศ. 2011 โดยที่มาของแนวคิดเกิดจากการมองว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมสามครั้งที่ผ่านมา เข้า สู่ยุคสมยัของการขบัเคล่อืนดว้ยเคร่อืงยนต์ระบบไฟฟ้า และเทคโนโลยสีารสนเทศ ซง่ึปจัจุบนั ระบบอินเตอร์เน็ตและวิทยาการต่าง ๆ มีบทบาทส าคัญในการผลิตยุคใหม่ที่จะขับเคลื่อนการ ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 นี้ โดยกระบวนทัศน์ของอุตสาหกรรม 4.0 นี้มีองค์ประกอบที่ส าคัญ คือ ผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart Product) จักรกลอัจฉริยะ (Smart Machine) การขยายตัวของ ผู้ประกอบการ ผู้ด าเนินการ (Augmented Operator) เพื่อเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Factory) โดยอาศัยอินเตอร์เน็ต เพื่อการเชื่อมต่อ และมีส่วนช่วยในการวางแผนและ กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง (Broy, Kangermann, and Achatz, 2010 อ้างถึงใน ไพโรจน์ ภัทรนรากุล, 2561: 240) ขณะที่ในปจัจุบนัสงัคมไทยเอง ก็มคีวามต่ืนตวัในทศิทางการบรหิารการพฒันาตาม กรอบนโยบายประเทศไทย 4.0 ซ่งึมเีป้าหมายยกระดบัการพฒันาประเทศสู่แบบแผนความ เจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่เน้นฐานคุณค่า (Value-based Economy) และมุ่งตอบสนอง ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ที่ก าหนดให้ “ประเทศไทย มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง น าไปสู่การ พัฒนาให้คนไทยมีความสุขและตอบสนองต่อการบรรลุซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติ ในการที่จะ พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ระดับสูง เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และสร้างความสุขของคนใน ชาติ สังคมมีความมั่นคง เสมอภาคและเป็นธรรม ประเทศแข่งขันได้ในระบบเศรษฐกิจ นอกจากน้ีเง่อืนไขและปจัจยัความส าเร็จ ในการบรหิารงานภาครฐัตามกรอบนโยบาย ประเทศไทย 4.0 มีความจ าเป็นต้องพัฒนาในหลายด้าน ดังนี้(ไพโรจน์ ภัทรนรากุล, 2561: 251-253) ประการแรก การปฏิรปูการศึกษาและการพฒันาทุนมนุษยแ์ละทุนทางสงัคม เพื่อให้ประชาชนได้รับโอกาสทางการศึกษา ที่มีคุณภาพเพียงพอ ทั่วถึงและมีความเสมอ ภาค สามารถยกระดับจิตใจและศักยภาพของประชาชน ให้รอบรู้และเท่าทันการเปลี่ยนแปลงใน กระแสโลกาภิวัตน์ การยกระดับการศึกษาสู่ยุคการศึกษาสี่จุดศูนย์ และการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ ยอมจะสามารถยกระดับให้คนไทยมีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ สามารถ แก้ไขปญัหาและพง่ึพาตนเองได้ซง่ึในการเตรยีมคนไทย ใหพ้รอ้มส าหรบการ เป็นประเทศไทย ั


285 4.0 จ าเป็นต้องมีการพัฒนาคุณลักษณะคนไทย 4.0 กล่าวคือต้องเป็นคนที่มีความรู้มีทักษะมี ความรับผิดชอบต่อสังคม มีอัตลักษณ์ความเป็นไทย สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ประการที่สอง การวิจยัพฒันาและสร้างสรรค์นวตักรรมที่เพียงพอ เพื่อยกระดบั ขีดความสามารถในการแข่งขนัของประเทศ ปจัจุบนัประเทศไทยมกีารลงทุนกบัการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวล รวมในประเทศ (Gross Domestic Product - GDP) ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต ่ามาก โดยเฉพาะเมื่อ เปรยีบเทยีบกบั ประเทศทพ่ีฒันาแลว้อาทิสาธารณรฐัเกาหลีญ่ปีุ ่น สหรฐัอเมรกิา ออสเตรเลยี ดังนั้นแล้วอาจกล่าวได้ว่าส าหรับประเทศไทย การให้ความส าคัญกับการวิจัยและการพัฒนายัง ถือว่าไม่เพียงพอที่จะท าให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนา เทคโนโลยีที่เป็น ของตนเอง ซึ่งประเทศไทยเองยังต้องสูญเสียงบประมาณจ านวนมากในการน าเข้าเทคโนโลยี ถึง ปีละกว่าสองแสนล้านบาท ดังนั้น ในระยะของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม และภาครัฐจะต้องเร่งส่งเสริม ให้เกิดการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนให้มีการลงทุนด้านนวัตกรรมร่วมกับภาคเอกชนเพื่อการ ขับเคลื่อนการพัฒนาในลักษณะดังกล่าว ประการที่สาม เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีดลุยภาพและมีความต่อเนื่อง เป็นการเติบโตครอบคลุมทุกภาคส่วน (Inclusive Growth) มีการเติบโตและกระจาย ผลประโยชน์ไปยังทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม เป็นการเติบโตแบบ ที่ใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มี เสถียรภาพต่อเน่ือง เพ่ือให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาท่ียัง่ยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) ประการที่สี่ยกระดบัธรรมาภิบาลของประเทศ พัฒนากลไกและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์การภาครัฐและภาคธุรกิจให้มีความโปร่งใส ให้คะแนนดัชนีความโปร่งใส (Corruption Perception Index – CPI) อยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นความท้าทายของประเทศอันเนื่องมาจาก ที่ผ่านมานั้นระดับของธรรมาภิบาล ของประเทศยังขาดการพัฒนาอย่างจริงจัง ขาดเจตจ านงค์ที่ชัดเจนและขาดแบบอย่างที่ดี ประการที่ห้า การเมืองและนโยบาย 4.0 การก าหนดนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน และสอดคล้องกับ ศักยภาพของประเทศอย่างแท้จริง เป็นนโยบายที่มีความส าคัญกับการจัดสรรคุณค่าสู่สังคม การเมือง และนโยบายต้องก้าวข้ามการก าหนดนโยบายประเภทนโยบายประชานิยมที่หวังแต่ เพียงผลประโยชน์ และสร้างความเสียหายให้กับประเทศ เป็นที่มาของการทุจริตเชิงนโยบาย รวมไปถึงการมีมาตรการตรวจสอบป้องกนัโครงการของรฐัทด่ีอ้ยคุณภาพเพ่อืไม่ใหป้ระเทศเสยี โอกาสจากการพัฒนาเหมือนในอดีตทีผ่านมา


286 8.4.2 ระบบราชการ 4.0 ปจัจบุนัเทคโนโลยที าใหโ้ลกเปลย่ีนแปลงไปอย่างรวดเรว็ ประเทศไทยเองกก็ าลงัก้าวเขา้ สู่ยุค Thailand 4.0 ซึ่งภาคราชการเองก็บ่อมจะต้องได้รับผลกระทบ จ าเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลง แนวคิดและวิธีการท างานใหม่เพื่อพลิกโฉม (transform) ไปสู่ระบบราชการ 4.0 ที่มุ่งเน้นการ น าเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนากระบวนการท างาน ให้มีความโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิ บาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน (Better Governance, Happier Citizens) ทันสมัย ยกระดับเศรษฐกิจ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็นที่พึ่งของประชาชน สามารถเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง (Credible and Trusted Government) ได้อย่างแท้จริง โดยระบบราชการ 4.0 นั้นมีหลักการส าคัญ ดังนี้ 1) เปิดกว้างและเชื่อมโยงกนั (Open & Connected Government) ต้องมีความเปิดเผยโปร่งใสในการท างาน โดยบุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารของทางราชการ หรอืมกีารแบ่งปนัขอ้มลูซง่ึกนัและกนัและสามารถเขา้มาตรวจสอบการ ท างานได้ ตลอดจนเปิดกว้างให้กลยุทธ์หรือภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ได้เข้ามามีส่วนร่วมและโอนถ่ายภารกิจที่ภาครัฐไม่ควรด าเนินการเองออกไปให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบด าเนินการแทน โดยการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในเชิงโครงสร้างให้สอดรับ กับการท างานแนวระนาบ ในลักษณะของเครือข่ายมากกว่าตามสายการบังคับบัญชาในแนวดิ่ง ขณะเดียวกันก็ยังต้องเชื่อมโยงการท างานในภาครัฐด้วยกันเอง ให้มีเอกภาพและสอดรับ ประสานกัน ไม่ว่าจะเป็นราชการบริหารส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น 2) ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-Centric Government) มุ่งเน้นการแก้ไขปญัหาและตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยไม่ต้องรอให้เข้า มาติดต่อขอรับบริการ หรือร้องขอความช่วยเหลือจากทางราชการ (Proactive Public Services) รวมทั้งใช้ประโยชน์จากข้อมูลภาครัฐ (Big Government Data) และระบบดิจิทัลสมัยใหม่ในการ จัดบริการสาธารณะที่ตรงกับความต้องการของประชาชน (Personalized หรือ Tailored Services) พร้อมทั้งอ านวยความสะดวก โดยมีการเชื่อมโยงกันเองของทางราชการเพื่อให้ บริการได้เสร็จสิ้นในจุดเดียว ประชาชนสามารถเรียกใช้บริการของทางราชการได้ตลอดเวลา ตามความต้องการของตนและผ่านการติดต่อได้หลายช่องทางผสมผสานกัน ทั้งการติดต่อมา ด้วยตนเอง เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือ 3) มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย (Smart & High-Performance Government) ต้องท างานอย่างเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างนวัตกรรมหรือ ความคิดริเริ่มและประยุกต์องค์ความรู้ในแบบสหสาขาวิชาเข้ามาใช้ในการตอบโต้กับ โลกแห่ง การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เพื่อสร้างคุณค่า มีความยืดหยุ่นและ ความสามารถในการ ตอบสนองกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันเวลา ตลอดจนเป็นองค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง และ


287 ปรับตัวเข้าสู่สภาพความเป็น ส านักงานสมัยใหม่ รวมทั้งท าให้ข้าราชการมีความผูกพันต่อการ ปฏิบัติราชการ และปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมกับบทบาทของตน ภาพที่ 8.4 ระบบราชการ 4.0 ที่มา: ปรับปรุงจาก ทศพร ศิริสัมพันธ (2560 : 5) อย่างไรก็ตามการพัฒนาระบบราชการไปสู่ราชการ 4.0 นั้น ต้องอาศัยปจัจยัความส าเรจ็ ของการพัฒนาที่ส าคัญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้(ส านักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล ส านักงาน ก.พ., 2560: 12) 1) การประสานพลงัระหว่างภาครฐัและภาคส่วนอื่น ๆ ในสงัคม (Collaboration) เป็นการยกระดับ การท างานให้สูงขึ้นไปกว่าการประสานงานกัน (coordination) หรือ ท างานด้วยกัน (cooperation) ไปสู่การร่วมมือกัน (collaboration) อย่างแท้จริง โดยจัดระบบให้ มกีารวางแผนเพ่อืให้บรรลุวตัถุประสงค์และเป้าหมายท่ตี้องการร่วมกนัมกีารระดมและน าเอา ทรัพยากรทุกชนิดเข้ามา แบ่งปนัและใช้ประโยชน์ร่วมกัน มีการยอมรับความเส่ียงและ


288 รับผิดชอบต่อผลส าเร็จที่เกิดข้นึร่วมกนัเพ่อืพฒันาประเทศหรอืแก้ปญัหาความต้องการของ ประชาชนที่มีความสลับ 3 ซับซ้อนมากขึ้น จนไม่มีภาคส่วนใดในสังคมจะสามารถด าเนินการได้ ลุล่วงด้วยตนเองโดยล าพังอีกต่อไป หรือเป็นการบริหารกิจการบ้านเมืองในรูปแบบ “ ประชารัฐ” 2) การสร้างนวัตกรรม (Innovation) เป็นการคิดค้นและแสวงหาวิธีการหรือ solutions ใหม่ ๆ อันจะเกิด big impact เพื่อ ปรับปรุงและออกแบบการให้บริการสาธารณะและนโยบายสาธารณะ ให้สามารถตอบโจทย์ความ ทา้ทายของประเทศหรอืตอบสนองปญัหาความตอ้งการของประชาชนไดอ้ย่างมคีุณภาพ อนัแปร ผันไปตามสภาพพลวัตของการเปลี่ยนแปลง โดยอาศัยรูปแบบห้องปฏิบัติการ (GovLab/ Public Sector Innovation Lab) และใช้กระบวนการความคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ใน ลักษณะที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกนึกคิด (Empathize) ก่อนจะสร้างจินตนาการ (Ideate) พัฒนาต้นแบบ (Prototype) ท าการทดสอบ ปฏิบัติจริงและขยายผลต่อไป หรือเป็นการน าเอาศาสตร์พระราชาว่าด้วย “เข้าใจ เข้าถึง และ พัฒนา” เข้ามาประยุกต์ใช้ 3) การปรบัเข้าส่คูวามเป็ นดิจิตอล (Digitization/Digitalization) เป็นการผสมผสานกันของการจัดเก็บและประมวลข้อมูลผ่าน cloud computing อุปกรณ์ ประเภท smart phone และ collaboration tool ท าให้สามารถติดต่อกันได้อย่าง real time ไม่ว่า จะอยู่ที่ใด และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลอันสลับซับซ้อนต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ ประชาชน เกิดผล กระทบอย่างสูงและมีความคาดหวังต่อการให้บริการของทางราชการที่จะต้อง ด าเนินการในทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกอุปกรณ์และช่องทางได้อย่างมั่นคงปลอดภัยและประหยัด ในส่วนของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องได้รับการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางความคิด (mindset) ให้ตนเองมีความเป็นผู้ประกอบการสาธารณะ (Public Entrepreneurship) เพิ่มทักษะ ให้มีสมรรถนะที่จ าเป็นและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตน อันจะช่วยท าให้สามารถแสดงบทบาท ของการเป็นผู้น าการเปลี่ยนแปลง (change leader) เพื่อสร้างคุณค่า (public value) และ ประโยชน์สุขให้แก่ประชาชน ในส่วนของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องได้รับการปรับเปลี่ยนกระบวนการทาง ความคิด (mindset) ให้ตนเองมีความเป็นผู้ประกอบการสาธารณะ (Public Entrepreneurship) เพิ่มทักษะให้มีสมรรถนะที่จ าเป็น และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตน อันจะช่วยท าให้สามารถ แสดงบทบาทของการเป็นผู้น าการเปลี่ยนแปลง (change leader) เพื่อสร้างคุณค่า (public value) และประโยชน์สุขให้แก่ประชาชน


289 ตารางที่ 8.1 เปรียบเทียบระหว่างระบบราชการแบบเดิมและระบบราชการ 4.0 ระบบราชการแบบเดิม ระบบราชการแบบใหม่(ระบบราชการ 4.0) การท างานแยกตามภารกิจของแต่ละ หน่วยงาน แม้มีการท างานประสานงานกัน ระหว่างหน่วยงาน แต่ยังไม่ใช่การบูรณา การอย่างแท้จริง (Autonomy, Separation) การท างานร่วมกันแบบบูรณาการอย่างแท้จริง ในเชิง ยุทธศาสตร์ตั้งแต่ระดับการวางนโยบาย ไปจนถึงการ น าไปปฏิบัติ (Collaboration) การท างานยังไม่อยู่ในรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบและยังเป็น การท างานตามสาย การบังคับบัญชาใน แนวดิ่ง (Fragmentation, Hierarchy, Silo, Vertical approach) การท างานมีความเชื่อมโยงผ่านระบบดิจิตอล อย่าง เต็มรูปแบบ ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ เชื่อมโยง ทุกส่วนราชการในการบริการ ประชาชนและมีการ บังคับบัญชาในแนวนอน (End-to-end process flow, Cross-boundary management, Program/Project Management Office, Horizontal approach) ให้บริการเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่าง ตายตัว ตามสิทธิพื้นฐานของบุคคลที่รัฐ ก าหนด (Standardization) ให้บริการตามความต้องการเฉพาะบุคคล ซึ่ง สามารถ ออกแบบ/เลือกรูปแบบ/วิธีการในการ ขอรับบริการได้(Customization, Personalization) ระบบการท างานในแบบอนาล็อค (Analog) ระบบการท างานที่ปรับเป็นดิจิตอลเต็มรูปแบบ (Digitization) การด าเนินงานเชิงรับ ตามสถานการณ์ที่ เกิดขึ้น (Passive) การด าเนินงานที่ตอบสนองทันที/ทันเวลา/เชิง รุก ทันต่อ การเปลี่ยนแปลง มีการคาดการณ์ไว้ ล่วงหน้า (Pro-active) ยึดกฎเกณฑ์ และมุ่งเน้นแต่การปฏิบัติงาน ตาม เป้าหมาย (Rule-based, Performance-oriented) สร้างนวัตกรรม มีการควบคุมอย่างชาญฉลาด มงุ่ผลสมัฤทธใิ์นการปฏบิตังิาน (Innovation, Smart regulation, Resultsoriented) ปฏิบัติงานตามนโยบาย ขับเคลื่อนโดย ภาครัฐเป็น ศูนย์กลาง (Government-driven) ปฏิบัติงานโดยเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-centric) ระบบการท างานที่ล่าช้า มีต้นทุนสูง (Red tape, Costly) สร้างคุณค่าในการให้บริการแก่ประชาชน ท า น้อยได้มาก (Creating value for the public, Doing more and better with less)


290 ระบบราชการแบบเดิม ระบบราชการแบบใหม่(ระบบราชการ 4.0) เปิดเผยข้อมูลตามที่ร้องขอเฉพาะราย/ เปิดเผยข้อมูล จ ากัด (Close system, Upon request only) เปิดเผยข้อมูลเป็นปกติ (Default) ในรูปแบบที่ สามารถ น าไปใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องร้องขอ (Open system, Open access) การปฏิบัติงานตามขั้นตอนแบบเดิม ๆ (Routine work) สามารถแกไ้ขปญัหาโดยไม่จา เป็นต้องใช้ วิธีการท างาน รูปแบบเดิม และสามารถ ตอบสนองได้ทันที(Non-routine problem solving, Real time capability) ต่างหน่วยงานต่างท างานกันตามล าพัง โดย ไม่มีการแบ่งปนัทรพัยากรเพ่อืใชง้าน ร่วมกัน (Stand alone) วางนโยบาย และปฏิบัติงานโดยใช้ ความรู้สึก และ คาดเดาเอาเอง (Intuition) แบ่งปนัทรพัยากรในการท างานร่วมกัน เพื่อลด ต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน (Shared services) ปฏิบัติงานบนพื้นฐานของข้อมูล ความต้องการ ของ ประชาชน และวางนโยบายที่สามารถ น าไปปฏิบัติให้เกิดผลได้จริง (Data-driven, Demand-driven, Actionable policy solutions) บริการประชาชนเฉพาะในเวลาราชการ (Office-hours only) บริการประชาชนตลอดเวลา (On-demand services) มีความเชี่ยวชาญ/ชานาญเฉพาะทาง (Expert/ Specialist) มีความสามารถในการใช้ความรู้สตปิญัญา และข้อมูล สารสนเทศเพ่อืแกไ้ขปญัหาและ สร้างคุณค่า (Knowledge worker) มีความสามารถในการเรียนรู้(Educability) มี เหตุผลในเชิงจริยธรรม (Ethicability) ข้าราชการแบบดั้งเดิม (Public administrator) มีความเป็นผู้ประกอบการสาธารณะ (Public Entrepreneurship) ที่มา: ปรับปรุงจาก ทศพร ศิริสัมพันธ์, 2560: 5-6 กล่าวโดยสรุป ปจัจยัแห่งความส าเรจ็ของการปรบัไปสู่ระบบราชการ 4.0 อันได้แก่ การ สร้างนวัตกรรม (Innovation) บนพื้นฐานของการสานพลังความร่วมมือกัน (Collaboration) ระหว่างภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม รวมทั้ง ใช้ประโยชน์จากความเป็นระบบดิจิตอล ใน การคิดค้นและแสวงหาหนทางหรือวิธีการ (Solutions) ใหม่ ๆ อันจะ ก่อให้เกิดผลกระทบสูง (Big Impact) เพื่อทาการปรับปรุงและออกแบบนโยบายสาธารณะและการจัดบริการ สาธารณะ ให้สามารถตอบโจทย์ความท้าทายของประเทศหรือตอบสนองปญัหาความต้องการของ


291 ประชาชน ที่แปรผันไปตามสภาพพลวัตของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีคุณภาพ ในทุกเวลา ทุก สถานที่ ทุกอุปกรณ์และ ช่องทาง ได้อย่างมั่นคงปลอดภัยและประหยัด 8.5 แนวคิดร่วมสมยัอื่น ๆ ในการพัฒนาระบบราชการ ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ได้สรุปถึงแนวคิดร่วมสมัยในการพัฒนา ระบบราชการในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 – 2555) ไว้อย่าง น่าสนใจ ซึ่งเป็นการศึกษาของ อับรามสัน, บรูล และคาเมนสกี้ (Abramson, Breul, and Kamensky, 2006: 5-23) โดยอธิบายแนวโน้มส าคัญในการปรับเปลี่ยนการท างานของภาครัฐ (Six Trends Transforming Government) ว่าประกอบไปด้วย 6 แนวคิด ดังนี้ (1) การเปลี่ยนกฎกติกาการทา งานของภาครฐั(Changing the Rule) การเปลี่ยนกฎกติกาการท างานของภาครัฐ คือ พื้นฐานของแนวทางการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดที่เหลือ การเปลี่ยนแปลงกฎกติกาการท างานของภาครัฐ ได้แก่ กฎหมาย กฎระเบียบ และโครงสร้างองค์การ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ คือ การบริหารงานที่ยืดหยุ่น เกิดจากการ อิสระในการจัดการทรัพยากรและ การด าเนินการ ประสิทธิภาพโดยการปฏิบัติงานแบบมุ่ง ผลสมัฤทธิ์อนัน าไปสู่ประสทิธภิาพในการปฏบิตังิานในเร่อืงเก่ยีวกบักระบวนการบรหิารงาน หลักของระบบราชการ กระบวนการจัดหา งบประมาณ และการบริหารเงิน ซึ่งการเปลี่ยนแปลง กระบวนการทา งาน ประกอบดว้ยปจัจยัต่าง ๆ ดงัน้ี ด้านทุนมนุษย์ ได้แก่ การให้รางวัลตอบแทนตามผลงาน (Performance-based pay) การสรา้งค่านิยมของการท างานเพ่อืมุ่งผลสมัฤทธิ์และการปรบั กระบวนการคัดเลือก จ้างงาน เลื่อนต าแหน่ง การก าหนดประเภท และค่าตอบแทน รวมทั้งการเกษียณอายุ ด้านบริหารการเงิน ได้แก่ การมีระบบตรวจสอบทางการเงิน ที่ทันสมัย คล้ายกับภาคเอกชน การตอบแทนผลการปฏิบัติงาน และการใช้ระบบสารสนเทศและฐานข้อมูล ในการบริหารการคลัง ด้านโครงสร้างองค์การ ได้แก่ บทบาทของผู้น า ศักยภาพบุคลากรและระบบงาน งบประมาณ กฎหมายและข้อก าหนดต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับในการปรับโครงสร้างองค์การให้ เหมาะสมต่อสถานการณ์ (2) การขบัเคลื่อนการปฏิบตัิงาน และการกา หนดมาตรการในการวดัผลการ ปฏิบตัิราชการ(Using Performance Management) การท างานในลักษณะนี้เกิดจากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พัฒนายุทธศาสตร์เพื่อ เช่อืมโยงเป้าประสงคข์ององคก์าร ไปส่กูารปฏบิตัิเพ่อืตอบสองความตอ้งการของลกูคา และเป็น ้ การริเริ่มสร้างสรรค์ โดยรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา พบว่า การวางแผนยุทธศาสตร์ การ ส่งเสริมผลการปฏิบัติงาน และทุนด้านข้อมูลข่าวสาร มีความส าคัญในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ ผ่านมา นับจากที่มีประกาศใช้ Government Performance and Result Act (GPRA)


Click to View FlipBook Version