The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิตวิทยา (psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษากระบวนการทางจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Dg Mk, 2024-07-01 23:19:08

จิตวิทยาองค์การ

จิตวิทยา (psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษากระบวนการทางจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์

Keywords: จิตวิทยา

จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 89


90 | พฤติกรรมการทำ งาน จิตวิทยาองคการ 98 ข้อความ ความถี่ในการกระทำ ไม่เคย ทำเลย ไม่ค่อย ได้ทำ ทำบาง ครั้ง ทำ บ่อย ครั้ง ทำ เสมอๆ 16. เปิดเผยข้อมูลของหน่วยงานแก่บุคคลภายนอกโดย ไม่ได้รับอนุญาต €  ‚ ƒ „ 17. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อเพื่อนร่วมงาน €  ‚ ƒ „ 18. เล่นการพนันในที่ทำงาน €  ‚ ƒ „ 19. ขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชา €  ‚ ƒ „ 20. ใช้สารเสพติดในที่ทำงาน €  ‚ ƒ „ 21. ใช้คำพูดที่ไม่สุภาพกับเพื่อนร่วมงาน €  ‚ ƒ „ 22. ใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเสียใจหรือโกรธ €  ‚ ƒ „ การแปลความหมาย : นำคะแนนตั้งแต่ข้อที่ 1-22 มารวมกันจากนั้นหารด้วย 22 คะแนนที่ได้จะมี ความหมายดังนี้ 0-.80 = ต่ำที่สุด .81-1.60 = ต่ำ 1.61-2.40 = ปานกลาง 2.41-3.20 = สูง 3.21-4.00 = สูงที่สุด สรุป พฤติกรรมการทำงานหรือการปฏิบัติงานของบุคคลคือสิ่งที่บุคคลปฏิบัติในสถานการณ์การ ทำงานซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสามประเภทคือ พฤติกรรมในงาน พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของ องค์การและพฤติกรรมต่อต้านการปฏิบัติงาน การศึกษาพฤติกรรมในงาน มีแนวคิดที่แตกต่างอย่างน้อย 3 แนวทาง ได้แก่แนวคิดที่เน้นความ แตกต่างระหว่างบุคคลแนวคิดที่เน้นสถานการณ์และแนวคิดที่เน้นกระบวนการปฏิบัติงานแนวคิดที่เน้น ความแตกต่างระหว่างบุคคลคือแนวทางที่เน้นการค้นหาคุณลักษณะส่วนบุคคล (เช่นความสามารถทาง สติปัญญาบุคลิกภาพ ฯลฯ) ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดความแตกต่างกันด้านการปฏิบัติงาน แนวคิดที่เน้น สถานการณ์คือ แนวทางที่เน้นการศึกษาลักษณะสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนและขัดขวางการ ปฏิบัติงานส่วนแนวคิดที่เน้นกระบวนการปฏิบัติงานคือแนวทางที่พยายามอธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้นใน การปฏิบัติงาน พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ เป็นพฤติกรรมของพนักงานที่กระทำเพื่อสนับสนุน ผลประโยชน์ขององค์การ แม้ว่าพฤติกรรมนี้จะมิได้ทำให้ผู้กระทำได้รับผลประโยชน์โดยตรง และมิได้ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานก็ตาม ทฤษฎีที่อธิบายว่าพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การเกิดขึ้นได้ อย่างไร ประกอบด้วย ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม และแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมสมัครใจส่วน พฤติกรรมต่อต้านการปฏิบัติงาน หมายถึง การกระทำโดยเจตนาของบุคคลที ่ส ่งผลเสียหายต่อ ผลประโยชน์อันชอบธรรมขององค์การหรือสมาชิกอื่นๆ ขององค์การ ทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมต่อต้าน การปฏิบัติงานที่สำคัญ ได้แก่แนวคิดที่เน้นการระบุสาเหตุแห่งพฤติกรรม และแนวคิดที่เน้นบทบาทของ ลักษณะบุคลิกภาพ พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การและพฤติกรรมต่อต้านการปฏิบัติงานเป็น พฤติกรรมที่แยกจากกันอย่างอิสระ มิได้อยู่บนระนาบเดียวกันกล่าวคือบุคคลเดียวกันสามารถจะแสดง พฤติกรรมทั้งสองชนิดนี้ได้พร้อม ๆกัน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 91 พฤติกรรมการทํางาน 99 คําถามประจําบท 1. พฤติกรรมการทำงานของบุคคลสามารถจำแนกได้เป็นกี่ประเภทอะไรบ้าง 2. แนวคิดที่ใช้ในการศึกษาพฤติกรรมในงานมีกี่แนวคิดอะไรบ้าง 3. พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรต่อองค์การ 4. พฤติกรรมต่อต้านการปฏิบัติงานคืออะไรและส่งกระทบต่อองค์การอย่างไร 5. พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพฤติกรรมต่อต้านการ ปฏิบัติงานอย่างไร


92 | พฤติกรรมการทำ งาน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 93 พฤติกรรมการทํางาน 101 บุคคลมีค่าน้ำหนักความสำคัญสูงที่สุดโดยมีค่าน้ำหนักร้อยละ55.30รองลงมาได้แก่ตัวแปรด้านการรับรู้ สถานการณ์โดยมีค่าน้ำหนักร้อยละ 25.81สำหรับพฤติกรรมต่อต้านการปฏิบัติงานตัวแปรด้านคุณ ลักษณะส่วนบุคคลมีค่าน้ำหนักความสำคัญสูงที่สุดโดยมีค่าน้ำหนักร้อยละ65.39รองลงมาได้แก่ตัวแปร ด้านปัจจัยควบคุม มีค่าน้ำหนักร้อยละ19.27ผลการวิจัยนี้จึงสนับสนุนสมมติฐานข้อที่ 2 กล่าวโดยสรุปการวิจัยนี้พบว่าตัวแปรด้านคุณลักษณะส่วนบุคคลตัวแปรการรับรู้สถานการณ์ และตัวแปรด้านปัจจัยควบคุม มีอำนาจร่วมกันในการพยากรณ์พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ และพฤติกรรมต่อต้านการปฏิบัติงานได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม การวิจัยนี้ได้พบว่าปัจจัย ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยด้านสถานการณ์แวดล้อมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทำงานทั้ง 2 ประเภทแตกต่างกัน ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การและพฤติกรรมต่อต้าน การปฏิบัติงานมีปัจจัยที่มา (antecedents) ที่แตกต่างกันและพฤติกรรมทั้งสองเป็นพฤติกรรมที่แยกจาก กันอย่างอิสระ มิได้อยู่บนระนาบเดียวกันกล่าวคือบุคคลเดียวกันสามารถจะแสดงพฤติกรรมทั้ง 2 ชนิดนี้ ได้พร้อม ๆกัน 100 ผลการวิจัยได้พบว่า 1. ตัวแปรทั้ง 3 ประเภทสามารถอธิบายความผันแปรของพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของ องค์การ ได้ร้อยละ 39.1(R2 = .391, p < .001) และพฤติกรรมต่อต้านการปฏิบัติงานร้อยละ 40.0 (R2 = .400, p < .001)ผลการวิจัยนี้จึงสนับสนุนสมมติฐานข้อที่ 1 2. ในการพยากรณ์พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ ตัวแปรด้านคุณลักษณะส่วน


94 | พฤติกรรมการทำ งาน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 95 103 วัตถุประสงค์ หลังจากอ่านบทนี้แล้วผู้อ่านสามารถ: • อธิบายความหมายและความสำคัญของแรงจูงใจในการทำงาน • บรรยายทฤษฎีแรงจูงใจในการทำงาน • อธิบายการประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจในการทำงานเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงาน • เปรียบเทียบกลยุทธ์การจูงใจบุคลากรแบบต่าง ๆ แรงจ ู งใจในการท ํ างาน 5


96 | แรงจูงใจในการทำ งาน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 97 จิตวิทยาองคการ 104 พนักงานก. “สวัสดีครับปัจจุบันผมอายุ 36 ปีรู้สึกเบื่องานที่ทำอยู่มากรู้สึกซ้ำซากจำเจไม่มีความสุขเลย ครับอยากจะลาออก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรต่อที่ทนทำอยู่เพราะภาระทางครอบครัวทั้งนั้น ตอนนี้นัดไปเซ็นไปลาออกกับผู้จัดการแล้วครับคือความรู้สึกมันว่างเปล่าทรมานร่างกายและ จิตใจเหลือเกินครับ มีใครเป็นอย่างผมบ้าง แล้วควรจัดการชีวิตต่ออย่างไรดีครับรบกวนช่วย แนะนำด้วยนะครับซีเรียสจริงๆ!!” (ที่มา : https://pantip.com/topic/39034976) พนักงานข. “วันแรกที่ได้งานคือแบบกระตือรือร้นอยากจะไปทำงานมากอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ พอนานๆ เข้า รู้สึกงานไม่ตื่นเต้นไม่รู้สึกกระตือรือร้นเหมือนวันแรกและไม่รู้สึกอยากตื่นเช้าเพื่อไปทำงานเลย ล่าสุดคืออยากจะออกจากงานที่ทำอยู่แล้ว” (ที่มา : https://pantip.com/topic/38091719) ข้อความข้างต้นคือความรู้สึกของพนักงาน2 คนที่สะท้อนถึงความเบื่อหน่ายและขาดแรงจูงใจ ในการทำงานการทำงานของบุคคลหนึ่ง ๆจะไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเลยหากบุคคลนั้นรู้สึก เบื่อหน่ายขาดความกระตือรือร้นและเป้าหมายในการทำงานรวมทั้งยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ โดยง่าย ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่มีความตั้งใจและพลังอย่างเต็มเปี่ยมที่จะทำงานหนึ่ง ๆและพร้อมที่จะต่อสู้กับ อุปสรรคทั้งปวงอย่างไม่ย่อท้อย่อมมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานนั้นความแตกต่าง ระหว่างบุคคลทั้งสองนี้คือคุณลักษณะทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “แรงจูงใจในการทำงาน” ซึ่งเป็นสิ่งที่มี ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสำเร็จของบุคคลและองค์การ แรงจูงใจในการทํางาน : ความหมายและความสําคัญ แรงจูงใจในการทำงาน(work motivation) คือ พลังที่มี แหล่งกำเนิดทั้งจากภายในและภายนอกตัวบุคคล ซึ่งกระตุ้นให้ เกิดพฤติกรรมการทำงานรวมทั้งกำหนดรูปแบบทิศทาง ความ เข้ม และระยะเวลาของพฤติกรรมการทำงานนั้น(Pinder, 1998) จากนิยามนี้แรงจูงใจในการทำงานจึงมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการคือประการแรกทิศทาง (direction) ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนด


98 | แรงจูงใจในการทำ งาน 105 ว่าบุคคลจะเลือกกระทำและทุ่มเทแรงกายแรงใจให้แก่การทำกิจกรรมอะไร ประการที่สอง ความเข้ม (intensity)หมายถึง ระดับความทุ่มเทและความพยายามของบุคคลในการทำงานหนึ่ง ๆ และประการที่ สาม ความยืนหยัด (persistence)คือสิ่งที่บ่งบอกว่าบุคคลมีความมุ่งมั่นและไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคที่ เกิดขึ้นในการทำงานบุคคลที่มีความยืนหยัดจะสามารถทำงานได้ในระยะเวลาที่ยาวนานดังนั้นอาจกล่าว โดยสรุปได้ว่าผู้ที่มีแรงจูงใจในการทำงานจะมีพฤติกรรมหรือการแสดงออกที่มีจุดมุ่งหมายและทิศทางที่ ชัดเจนเต็มไปด้วยพลังและความกระตือรือร้นและมีความยืนหยัดอดทนต่ออุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำงานของตน แรงจูงใจในการทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการทำงานเพราะระดับการ ปฏิบัติงาน (level of performance) ของบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ ความ สามารถและแรงจูงใจของบุคคลดังแสดงในสมการข้างล่าง ระดับการปฏิบัติงาน = ความสามารถ x แรงจูงใจ ตามสมการดังกล่าวบุคคลจะไม่สามารถปฏิบัติงานใด ๆ ให้เกิดผลสำเร็จได้เลยหากไม่มี ความสามารถหรือแรงจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากหากความสามารถหรือแรงจูงใจตัวใดตัวหนึ่งหรือ ทั้งสองตัวมีค่าเท่ากับศูนย์ก็ย่อมทำให้ผลลัพธ์คือระดับการปฏิบัติงานเท่ากับศูนย์ดังนั้น ระดับการ ปฏิบัติงานของบุคคลจึงเป็นผลมาจากทั้งความสามารถและแรงจูงใจในการทำงานของบุคคล แรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอก นักจิตวิทยาได้แบ่งแรงจูงใจออกเป็น2ประเภทตามแหล่งกำเนิด คือ เป็นแรงจูงใจที่มาจาก ภายในตัวบุคคลและแรงจูงใจที่เกิดจากอิทธิพลภายนอก 1. แรงจูงใจภายใน(intrinsic motivation) เป็นความปรารถนาที่จะกระทำพฤติกรรม เพราะมี ความสุขหรือพึงพอใจที่จะได้กระทำในสิ่งนั้นโดยไม่หวังรางวัลจากภายนอกหรือไม่ได้ถูกกดดันจาก ภายนอก (Aronson et al., 2019) ตัวอย่างเช่น พนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือสังคมที่องค์การจัด ขึ้นเพราะมีความสนใจและมีความสุขในการทำกิจกรรมเหล่านั้นโดยไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับให้เข้าร่วม และ ไม่คิดว่าจะต้องได้รับรางวัลใดๆจากองค์การ 2. แรงจูงใจภายนอก (extrinsic motivation) เป็นความปรารถนาที่จะกระทำพฤติกรรม เพื่อให้ได้รับรางวัลหรือถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก มิได้กระทำเพราะมีความสนใจหรือมีความสุขในการ กระทำนั้น (Aronson et al., 2019) ตัวอย่างเช่นการที่พนักงานเข้าร่วมการทำกิจกรรมที่องค์การจัดขึ้น เพราะต้องการหวังจะได้รับรางวัลหรือคำชมเชยจากหัวหน้างานเป็นต้น คำถามว่าแรงจูงใจประเภทใดที่กระตุ้นให้คนเรากระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะแรงจูงใจทั้ง2ประเภทมีที่มาแตกต่างกันและส่งผลต่อพฤติกรรมแตกต่างกันด้วยสมมติว่าองค์การ ต้องการให้พนักงานทำงานด้วยความทุ่มเทโดยเลือกใช้วิธีการจูงใจด้วยการให้รางวัลต่าง ๆ เช่นโบนัส หรือเบี้ยขยัน ตามแนวคิดของทฤษฎีการเสริมแรง (ซึ่งจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป) การให้รางวัลแก่ พฤติกรรมหนึ่ง ๆ จะทำให้พฤติกรรมนั้นมีโอกาสเกิดซ้ำมากขึ้น เพราะฉะนั้น องค์การก็อาจจะพบว่า พนักงานบางคนเริ่มมีการทำงานอย่างทุ่มเทมากขึ้นอย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องพิจารณาว่าการให้รางวัล เหล่านี้ได้สร้างผลกระทบทางลบตามมาหรือไม่และหากหยุดการให้รางวัลแก่พฤติกรรม จะทำให้พนักงาน หยุดการทำงานอย่างทุ่มเทหรือไม่การวิจัยได้พบว่าการใช้รางวัลล่อใจซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจภายนอก


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 99 จิตวิทยาองคการ 106 จะส่งผลให้พนักงานมีแรงจูงใจภายในลดลง (Greene et al., 1976) โดยหลักการแล้ว การกระตุ้นให้ พนักงานทำงานด้วยความทุ่มเทเนื่องจากมีแรงจูงใจภายในองค์การจำเป็นต้องมีการออกแบบงานให้ น่าสนใจและมีความท้าทายเพื่อให้พนักงานได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพของตนเองนอกจากนั้น องค์การอาจเพิ่มแรงจูงใจภายในของพนักงานได้โดยการให้พนักงานมีอำนาจการตัดสินใจในการวางแผน และดำเนินการต่าง ๆ มากขึ้น(Riggio, 2018) คลิปเพื่อการเรียนรู้5-1 คลิปนี้แสดงให้เห็นถึงพนักงานที่ทำงานอย่างทุ่มเทอันเนื่องมาจากแรงจูงใจภายใน ผู้อ่าน สามารถชมได้โดยสแกน QR code ที่แสดงอยู่นี้ ทฤษฎีแรงจูงใจในการทํางาน นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ได้เสนอทฤษฎีที่ให้คำอธิบายเกี่ยวกับแรงจูงใจในการ ทำงานไว้หลายทฤษฎีแต่ละทฤษฎีมีคำอธิบายที่ค่อนข้างแตกต่างกันกล่าวคือ มีทั้งทฤษฎีที่เสนอมุมมอง จากอิทธิพลของลักษณะภายในอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม อิทธิพลของสังคม และอิทธิพลของกระบวนการ ทางปัญญาแต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงทฤษฎีที่สำคัญรวม 7 ทฤษฎีได้แก่ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้น ทฤษฎีสองปัจจัยทฤษฎีการเสริมแรงทฤษฎีการตั้งเป้าหมายทฤษฎีความคาดหวังทฤษฎีความเสมอภาค และทฤษฎีคุณลักษณะของงาน ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้น Maslow (1943 cited in Ciccarelli & White, 2021) ได้เสนอ“ทฤษฎีความต้องการตามลำดับ ขั้น(hierarchy of needs theory)” โดยมีความเชื่อเบื้องต้นดังนี้ 1. มนุษย์มีความต้องการเป็นลำดับขั้นเมื่อความต้องการระดับใดได้รับการตอบสนองแล้ว ความสำคัญของความต้องการนั้นก็จะลดน้อยลงและจะพยายามตอบสนองความต้องการในระดับที่สูงขึ้น ไป 2. ความต้องการของมนุษย์เป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน และความต้องการจะมีผลต่อ พฤติกรรมของมนุษย์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่นเมื่อเกิดความหิวการระงับความหิวจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ ต้องการกระทำมากที่สุดและความต้องการนี้จะลดลงเมื่อได้รับการตอบสนองแล้ว 3. ความต้องการระดับต่ำต้องได้รับการตอบสนองก่อนจึงจะเกิดความต้องการในระดับที่สูงขึ้น 4. วิธีการตอบสนองความต้องการในระดับสูง มีความหลากหลายมากมายกว่าการตอบสนอง ความต้องการในระดับต่ำ ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นได้จำแนกความต้องการของมนุษย์เป็น5 ขั้นดังนี้ (ดูภาพ ที่5.1) 1. ความต้องการด้านสรีระ (physiological needs) เป็นความต้องการทางร่างกายของมนุษย์ ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตความต้องการเหล่านี้ได้แก่อากาศน้ำ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคที่อยู่ อาศัย มนุษย์จะมีความต้องการในลำดับถัดไปเมื่อความต้องการด้านสรีระได้รับการตอบสนองแล้ว


100 | แรงจูงใจในการทำ งาน 107 2. ความต้องการความปลอดภัย (safety needs) ความต้องการความปลอดภัยเกิดขึ้นเมื่อ ความต้องการด้านสรีระได้รับการตอบสนองแล้วความปลอดภัยดังกล่าวมี2 รูปแบบคือความต้องการ ความปลอดภัยด้านร่างกายและความมั่นคงด้านเศรษฐกิจซึ่งความต้องการความปลอดภัยด้านร่างกาย ได้แก่การมีความปลอดภัยในชีวิตการมีสุขภาพดีส่วนความมั่นคงด้านเศรษฐกิจได้แก่การมีอาชีพการ งานมั่นคง ภาพที่5.1ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้น 3. ความต้องการทางสังคม (social needs) หมายถึง ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับการมี ปฏิสัมพันธ์และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือสังคม เช่น มิตรภาพ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและความรักจาก ผู้อื่น 4. ความต้องการการยกย่องนับถือ(esteem needs)หมายถึงความต้องการที่จะได้รับความ ยอมรับนับถือจากผู้อื่นการมีตำแหน่งและเกียรติยศและการมีสถานภาพทางสังคม 5. ความต้องการบรรลุถึงความสำเร็จแห่งตน(self-actualization needs)หมายถึงความ ต้องการที่พัฒนาศักยภาพของตนไปสู่จุดสูงสุด การได้ทำงานที่ท้าทาย และการประสบความ สำเร็จในสิ่งที่ทำให้ตนเองรู้สึกว่าได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของชีวิต Maslow ได้จำแนกความต้องการทั้งห้าขั้นของมนุษย์เป็น2 ระดับใหญ่ๆคือระดับต่ำ (lowerorder needs) ได้แก่ความต้องการด้านสรีระและความต้องการความปลอดภัยสำหรับความต้องการใน ระดับสูง (higher-order needs) ได้แก่ความต้องการทางสังคม ความต้องการความยอมรับนับถือ และ ความต้องการบรรลุถึงความสำเร็จแห่งตน ทฤษฎีสองปัจจัย ทฤษฎีสองปัจจัย(two-factor theory) เสนอว่าแรงจูงใจในการทำงานเป็นผลมาจากธรรมชาติ ของตัวงาน มิได้มาจากรางวัลภายนอกแต่อย่างใด(Herzberg et al., 1959 cited in Conte & Landy, 2018) แนวคิดของทฤษฎีนี้เป็นผลมาจากการศึกษาความพึงพอใจและไม่พึงพอใจในการทำงานของนัก


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 101 จิตวิทยาองคการ 108 บัญชีและวิศวกรจำนวน200 คนซึ่งพบว่าความพึงพอใจในการทำงานกับแรงจูงใจในการทำงานของคน เกิดขึ้นจากกลุ่มปัจจัยที่แยกจากกัน2 กลุ่ม ที่เรียกว่าปัจจัยป้องกัน(hygiene factors) และปัจจัยจูงใจ (motivator factors) (ภาพที่5.2) ภาพที่5.2ทฤษฎีสองปัจจัย 1. ปัจจัยป้องกัน (hygiene factors) หมายถึง ปัจจัยที ่จะป้องกันไม่ให้บุคคลเกิดความ ไม่พึงพอใจในงานแต่ไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีแรงจูงใจแต่อย่างใดประกอบด้วย ปัจจัยต่อไปนี้ (1) นโยบายและการบริหารขององค์การ (company policy and administration) เช่น การ วางแผนการบริหารองค์การที่มีความชัดเจนการติดต่อสื่อสารที่เอื้ออำนวยต่อการประสานงานและการ ปฏิบัติงาน (2) ความสัมพันธ์กับผู้อื่น(relationship with others)หมายถึงการติดต่อทั้งที่เป็นทางการและ ไม่เป็นทางการที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีสามารถทำงานร่วมกันได้ดีมีความเข้าใจกันระหว่าง ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา (3) การปกครองบังคับบัญชา (supervision) หมายถึงการที่ผู้บังคับบัญชามีความยุติธรรม มี ความโอบอ้อมอารีและสามารถให้การปรึกษาที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา (4) สภาพการทำงาน (working condition)หมายถึง สิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน และสิ่งอำนวย ความสะดวกต่าง ๆ เช่นบรรยากาศ แสงความสะอาดของสถานที่รวมไปถึงการมีอุปกรณ์ต่างๆ ในการ ปฏิบัติงานอย่างพอเพียงและพร้อมที่จะใช้ได้ตลอดเวลา (5) เงินเดือน(salary)หมายถึง ค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์ที่ได้รับเหมาะสมกับงานที่ทำ ตลอดจนการเลื่อนขั้นเงินเดือนในหน่วยงานนั้นเป็นที่พอใจของพนักงาน (6) ความมั่นคงปลอดภัยในงาน(security)หมายถึงความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อความมั่นคงใน การทำงานในองค์การตลอดอายุการทำงานรวมทั้งลักษณะงานที่ไม่เสี่ยงอันตรายจนเกินไป (7) สถานภาพ (status)หมายถึงอาชีพนั้นเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี 2. ปัจจัยจูงใจ (motivator factors)หมายถึงปัจจัยที่ทำให้บุคคลมีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติงาน ปัจจัยเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับลักษณะงานที่ปฏิบัติอยู่ดังต่อไปนี้


102 | แรงจูงใจในการทำ งาน 109 (1) ความสำเร็จในงาน(achievement)หมายถึง การที่บุคคลได้ใช้ความสามารถทำงานจน บรรลุวัตถุประสงค์สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทำให้บุคคลเกิดความ ภาคภูมิใจ และความพึงพอใจ ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และมีความกระตือรือร้นที่จะ ปฏิบัติงานต่อไป (2) ความยอมรับนับถือ (recognition)หมายถึง การได้รับความยอมรับนับถือจาก ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และบุคคลอื่นในสังคม โดยรับรู้จากพฤติกรรมที่ผู้อื่น แสดงออกในรูปของการยกย่องชมเชยการเลื่อนขั้นการขึ้นเงินเดือนรางวัลที่เป็นวัตถุสิ่งของการประกาศ เกียรติคุณ หรือการแสดงออกอื่นๆ (3) ความรับผิดชอบ(responsibility)หมายถึงการได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในภาระหน้าที่ ที่สำคัญ มีงานที่ท้าทายความสามารถรวมถึงการได้รับอำนาจอย่างเพียงพอในการปฏิบัติงานนั้นๆ (4) ความก้าวหน้า (advancement)หมายถึงการได้รับโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ได้รับการพัฒนาทักษะในการทำงาน เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความ สามารถในการปฏิบัติงานมากขึ้น (5) ลักษณะงานที่ปฏิบัติ (work itself)หมายถึงลักษณะงานที่มีความน่าสนใจไม่จำเจท้าทาย ความสามารถงานที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์งานที่มีความแปลกใหม่ กล่าวโดยสรุปทฤษฎีสองปัจจัยเสนอว่าหากต้องการสร้างแรงจูงใจในการทำงานจะต้องทำให้ บุคคลได้รับปัจจัยจูงใจที่เหมาะสม แต่การให้ปัจจัยป้องกันมิได้ทำให้บุคคลมีแรงจูงใจในการทำงานแต่ อย่างใดเพียงแต่ป้องกันมิให้บุคคลเกิดความไม่พึงพอใจในงานเท่านั้น ทฤษฎีการเสริมแรง ทฤษฎีการเสริมแรง (reinforcement theory) หรือทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ (operant conditioning) ได้เสนอว่า ความถี่ในการแสดงพฤติกรรมหนึ่ง ๆ จะถูกกำหนดโดยผลลัพธ์ที่ ได้รับจากการกระทำนั้น (Skinner, 1969) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากการแสดงพฤติกรรมใด ทำให้ ผู้กระทำได้รับผลทางบวก(เช่นรางวัลคำชมเชย) ก็มีโอกาสสูงที่จะมีการแสดงพฤติกรรมนั้นออกมาอีก แต่ถ้าการแสดงพฤติกรรมนั้นทำให้ผู้กระทำได้รับผลทางลบ(เช่นคำตำหนิ) ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะมี การระงับพฤติกรรมนั้นไม่ให้ปรากฏขึ้นมาอีกดังนั้นตามทฤษฎีการเสริมแรงแรงจูงใจและพฤติกรรมของ บุคคลจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เรียกว่า การเสริมแรง (reinforcement) ซึ่งประกอบด้วยการเสริมแรง ทางบวกและการเสริมแรงทางลบและการลงโทษ (ดูภาพที่5.3) 1. การเสริมแรงทางบวก (positive reinforcement)หมายถึง การให้สิ่งที่บุคคลชอบหรือ ปรารถนาหลังจากการแสดงพฤติกรรมบางอย่างซึ่งจะมีผลทำให้บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรม เดิมซ้ำอีกในระยะต่อมา เช่นหลังจากที่บุคคลหนึ่งได้ทำงานด้วยความอุตสาหะจนประสบผลสำเร็จและได้ รับคำชมเชยหรือรางวัลอื่นๆจากหัวหน้าย่อมจะทำให้บุคคลนี้มีแนวโน้มที่จะทำงานด้วยความอุตสาหะซ้ำ อีกในอนาคต 2. การเสริมแรงทางลบ(negative reinforcement)หมายถึงการขจัดหรือนำเอาสิ่งที่ไม่เป็น ที่พึงพอใจของบุคคลออกไปหลังจากที่ได้กระทำพฤติกรรรมบางอย่างแล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้บุคคลนั้นมี แนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมเดิมซ้ำอีกในระยะต่อมาตัวอย่างเช่นการที่บุคคลหนึ่งได้รับอนุญาตให้กลับ บ้านก่อนเวลาได้เพราะทำงานเสร็จเรียบร้อยก่อนกำหนด ย่อมจะทำให้บุคคลนี้มีแนวโน้มที่จะแสดง พฤติกรรมการทำงานแบบเดิมซ้ำอีกในอนาคต(ในกรณีนี้การต้องอยู่ทำงานจนครบกำหนดเวลาถือเป็นสิ่ง


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 103 จิตวิทยาองคการ 110 ที่บุคคลไม่พึงพอใจ) 3. การลงโทษ (punishment)หมายถึงการที่บุคคลได้รับผลทางลบจากการกระทำบางอย่าง และอาจมีผลทำให้มีการระงับการกระทำนั้นในอนาคตโดยผลทางลบนั้นอาจเกิดขึ้นในสองกรณีคือกรณี แรกคือการลงโทษทางบวก(positive punishment)หมายถึงการทำให้บุคคลได้รับสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ เช่นการถูกตำหนิเฆี่ยนตีส่วนกรณีที่สองคือการลงโทษทางลบ(negative punishment)หมายถึงการ ทำให้บุคคลสูญเสียสิ่งที่ตนพอใจเช่นการถูกปรับเงินหรือการถูกระงับสิทธิประโยชน์บางอย่าง ในแง่ของ พฤติกรรมการทำงานการที่บุคคลแสดงพฤติกรรมหนึ่ง ๆ แล้วได้รับการลงโทษ เช่นถูกหัวหน้าตำหนิ เพื่อนร่วมงานไม่ยอมรับจะทำให้บุคคลนั้นงดการกระทำเช่นนั้นในอนาคต ภาพที่5.3การเสริมแรงและการลงโทษ ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย (goal-setting theory) มีสาระสำคัญว่า เป้าหมายที่มีความชัดเจน เจาะจงและความน่าท้าทาย จะนำไปสู่ผลการปฏิบัติงานที่ดีกว่าเป้าหมายที่ง่าย เป้าหมายที่ขาดความ ชัดเจนและการไม่มีเป้าหมาย(Locke & Latham, 1990)การที่เป้าหมายซึ่งมีความชัดเจนและน่าท้าทาย มีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานเนื่องจากเหตุผล 4 ประการคือประการแรกเป้าหมายนั้นจะควบคุม ทิศทางของพลังงานและความตั้งใจของบุคคลเพื่อกระทำพฤติกรรมที่บุคคลเชื่อว่าจะนำไปสู่เป้าหมายนั้น ประการที่สอง เป้าหมายจะทำให้บุคคลทุ่มเทความพยายามให้มากขึ้นประการที่สาม เป้าหมายทำให้ บุคคลมีจิตใจที่ยืนหยัดมั่นคงสามารถทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานและประการที่สี่ เป้าหมายจะกระตุ้น ให้บุคคลมีการค้นหาและพัฒนากลวิธีการทำงานที่เหมาะสม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้(Locke & Henne, 1986) อย่างไรก็ตาม การที่เป้าหมายจะมีผลบวกต่อการปฏิบัติงานได้นั้นจำเป็นต้องคำนึงถึง เงื่อนไขต่าง ๆดังต่อไปนี้(ภาพที่5.4) 1. เป้าหมายนั้นจะต้องมีความชัดเจนเจาะจงยากหรือน่าท้าทาย 2. เป้าหมายนั้นจะต้องเหมาะสมกับระดับความสามารถของบุคคลเพื่อให้มีความเป็นไปได้ที่ บุคคลนั้นจะประสบความสำเร็จ 3. การตั้งเป้าหมายที่ดีนั้นผู้กระทำจะต้องยอมรับเป้าหมายที่ได้รับการกำหนดจากผู้อื่นทั้งนี้ เพราะความยอมรับต่อเป้าหมายจะทำให้บุคคลนั้นยึดมั่นและสนับสนุนเป้าหมายนั้น


104 | แรงจูงใจในการทำ งาน 111 4. การให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับผลการกระทำแก่บุคคลเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ภาพที่5.4ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย ทฤษฎีความคาดหวัง ทฤษฎีความคาดหวัง (expectancy theory) เสนอว่า มนุษย์แต่ละคนเป็นนักตัดสินใจที่มีเหตุผล และจะเลือกทุ่มเทความพยายามให้แก่การกระทำที่คิดว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าปรารถนา (Vroom, 1964) เมื่อจำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือไม่แต่ละบุคคลจะถามตนเองว่า "ฉันจะได้อะไรจาก การทำเช่นนั้น" บุคคลนั้นจะตัดสินใจทำ เมื่อเขาคิดว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่การกระทำนั้นจะนำไปสู่ ผลลัพธ์ที่น่าปรารถนาดังนั้นองค์ประกอบสำคัญของทฤษฎีนี้จึงประกอบด้วย(1) ผลลัพธ์(2) คุณค่าของ ผลลัพธ์(3) การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามกับระดับการปฏิบัติงานและ (4) การรับรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการปฏิบัติงานกับผลลัพธ์(ดูภาพที่5.5) 1. ผลลัพธ์(outcome) หมายถึงผลที่ได้รับจากการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นการได้ค่าตอบแทน การได้เลื่อนตำแหน่งการได้ความยอมรับจากเพื่อนฝูงการได้รับคำยกย่องชมเชย 2. คุณค่าของผลลัพธ์(valence) หมายถึงความน่าปรารถนาหรือความน่าพึงพอใจของผลลัพธ์ ตามความรับรู้ของบุคคลตัวอย่างเช่น พนักงานก. อาจให้คุณค่าแก่การได้รับความยอมรับจากกลุ่มเพื่อน มากกว่าคำชมเชยของหัวหน้าแต่พนักงานข. อาจจะให้คุณค่าในทางตรงกันข้ามก็ได้ 3. การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามกับระดับการปฏิบัติงาน (expectancy) หมายถึง ความเป็นไปได้(ตามการรับรู้ของบุคคล) ที ่ว ่าความพยายามจะนำไปสู่ระดับการปฏิบัติ งานที่ดีตัวอย่างเช่นหากพนักงานคนหนึ่งคิดว่าการทุ่มเทความพยายามศึกษาวิธีการทำงานแบบใหม่ๆ จะทำให้ตนเองสามารถทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็แสดงว่าความพยายามมีความสัมพันธ์กับระดับการ ปฏิบัติงานเป็นอย่างมาก เป็นต้นกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นความคาดหวังว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น” 4. การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการปฏิบัติงานกับผลลัพธ์(instrumentality) หมายถึง ความเป็นไปได้(ตามการรับรู้ของบุคคล) ที่ว่าระดับการปฏิบัติงานจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าปรารถนา ตัวอย่างเช่นหากบุคคลคิดว่าการได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผลจากการมีระดับการปฏิบัติงานที่ดีเยี่ยม แสดงว่า ระดับการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์เป็นอย่างมากแต่หากบุคคลคิดว่าการได้เลื่อนตำแหน่งไม่ เกี่ยวข้องกับการมีระดับการปฏิบัติงานที่ดีก็แสดงว่าระดับการปฏิบัติงานไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับ ผลลัพธ์กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นความคาดหวังว่า “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” เป้าหมาย •ชัดเจนเจาะจง •ยากแต่ท้าทาย •ได้รับการยอมรับ •ควบคุมทิศทาง •ทุ่มเทความพยายาม •ยืนหยัดมั่นคง •ค้นหาและพัฒนากลวิธีการทำงาน การ ปฏิบัติงาน ดีขึ้น การให้ข้อมูลย้อนกลับ


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 105 จิตวิทยาองคการ 112 ภาพที่5.5ทฤษฎีความคาดหวัง ทฤษฎีความคาดหวังเชื่อว่าก่อนที่บุคคลจะตัดสินใจว่าตนเองจะทุ่มเทความพยายามมากหรือ น้อยบุคคลนั้นจะถามตนเองก่อนว่า (1) ความพยายามนี้จะนำไปสู่ระดับการปฏิบัติงานที่ดีหรือไม่(2) ระดับการปฏิบัติงานที่ดีนี้จะทำให้ได้รับผลลัพธ์ที่คาดหวังหรือไม่และ (3) ผลลัพธ์ที่ได้มีความน่าปรารถนา มากเพียงไร โดยสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ โดย Force = ปริมาณความทุ่มเทพยายามของบุคคล E = การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามกับระดับการปฏิบัติงาน Vt=คุณค่าของผลลัพธ์ Ii= การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการปฏิบัติงานกับผลลัพธ์ n= จำนวนผลลัพธ์ กล่าวโดยสรุปหากบุคคลเชื่อว่าความพยายามของตนจะทำให้มีระดับการปฏิบัติงานที่ดีซึ่งจะ นำไปสู่การได้รับผลลัพธ์ที่น่าปรารถนาบุคคลนั้นก็จะมีแรงจูงใจในการทำงานสูงแต่บุคคลนั้นจะไม่มีหรือ มีแรงจูงใจในการทำงานต่ำในสามกรณีคือกรณีแรกบุคคลนั้นเชื่อว่า แม้ตนจะทุ่มเทความพยายามมาก เท่าไรก็ไม่อาจจะทำให้มีระดับการปฏิบัติงานที่ดีได้และไม่มีโอกาสจะได้รับผลลัพธ์ที่ตนปรารถนากรณีที่ สองบุคคลนั้นเชื่อว่าความพยายามของตนจะทำให้มีระดับการปฏิบัติงานที่ดีแต่การมีระดับการปฏิบัติงาน ที่ดีไม่ได้นำไปสู่การได้รับผลลัพธ์ที่น่าปรารถนาแต่อย่างใดและกรณีที่สาม บุคคลนั้นเชื่อว่าความพยายาม ของตนจะทำให้มีระดับการปฏิบัติงานที่ดีซึ่งจะนำไปสู่การได้รับผลลัพธ์แต่ผลลัพธ์นั้นไม่น่าพึงปรารถนา ทฤษฎีความเสมอภาค แนวคิดของทฤษฎีความเสมอภาค(equity theory) (Adams, 1965) ได้เสนอว่าบุคคลจะรับรู้ Force = E ( Σ Vt Ii ) n i=1 การรับรู้ความสัมพันธ์ ระหว่างความพยายาม กับระดับการปฏิบัติงาน การรับรู้ความสัมพันธ์ ระหว่างความพยายาม กับระดับการปฏิบัติงาน คุณค่าของ ผลลัพธ์ ความพยายาม ระดับการปฏิบัติงาน ผลลัพธ์


106 | แรงจูงใจในการทำ งาน 113 ว่าตนได้รับความยุติธรรม หากอัตราส่วนของผลลัพธ์ที่ตนได้รับจากองค์การ (เช่นค่าตอบแทนการเลื่อน เงินเดือนและการเลื่อนตำแหน่ง) กับสิ่งที่ได้ลงทุนไปในการทำงาน (เช่นทักษะความสามารถความทุ่มเท พยายาม) มีความเหมาะสมและเป็นธรรมเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานคล้ายกัน อย่างไรก็ ตาม หากอัตราส่วนดังกล่าวไม่สมดุลบุคคลก็จะรับรู้ว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม และมีความต้องการ ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างผลลัพธ์ที่ได้กับสิ่งที่ตนลงทุนดังสมการ ผลลัพธ์(output) ของบุคคลหนึ่ง = ผลลัพธ์(output) ของอีกบุคคลหนึ่ง ปัจจัยนำเข้า (input) ของบุคคลหนึ่ง ปัจจัยนำเข้า (input) ของอีกบุคคลหนึ่ง ความรู้สึกถึงความไม่เสมอภาคเชิงลบ(felt negative inequity) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกว่าเขา ได้รับความยุติธรรมน้อยกว่าบุคคลอื่น ความรู้สึกถึงความไม่เสมอภาคเชิงบวก (felt positive inequity) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกว่าเขา ได้รับความยุติธรรมมากกว่าบุคคลอื่น ความไม่เสมอภาคจะเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อที่จะสร้างความเท่าเทียมกันซึ่ง บุคคลอาจจะแสดงพฤติกรรมออกมาในรูปแบบต่างๆดังนี้ 1. เปลี่ยนความพยายามที่ใส่ลงไปในงานเช่นลดความพยายามในการทำงาน มาสายขาดงาน 2. ปรับหรือเปลี่ยนรางวัลที่เขาได้รับเช่นขอขึ้นเงินเดือนหรือขอเลื่อนตำแหน่ง 3. ล้มเลิกการเปรียบเทียบโดยลาออกจากงาน 4. เปลี่ยนจุดเปรียบเทียบโดยเปรียบเทียบตัวเองกับผู้ร่วมงานคนอื่น ทฤษฎีคุณลักษณะของงาน Hackman and Oldham (1976) ได้เสนอทฤษฎีคุณลักษณะของงาน (job characteristics model) โดยมีความเชื ่อว ่าคุณลักษณะของงานสามารถทำให้บุคคลมีแรงจูงใจในการทำงานได้ คุณลักษณะของงานดังกล่าวมี 5 ประการคือ 1. ความหลากหลายของทักษะ (skill variety)หมายถึง งานนั้นมีกิจกรรมที่หลากหลายและ จำเป็นต้องใช้ทักษะและความรู้ความสามารถหลายด้าน หากงานนั้นเปิดโอกาสให้บุคคลได้ใช้ทักษะ ความสามารถที่หลากหลายในการทำกิจกรรมที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้บุคคลนั้นรับรู้ได้ถึงความ หลากหลายของทักษะ 2. เอกลักษณ์ของงาน(task identity)หมายถึง งานนั้นเปิดโอกาสให้บุคคลได้ทำงานตั้งแต่ เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์หรือไม่หากบุคคลได้ทำงานหนึ่ง ๆด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบก็จะทำให้รับรู้ถึง เอกลักษณ์ของงานได้ 3. ความสำคัญของงาน (task significance)หมายถึง ระดับผลกระทบของงานที่มีต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในหรือนอกองค์การก็ตาม หากงานนั้นส่งผลกระทบต่อผู้อื่นสูงก็จะทำให้บุคคลนั้นรับรู้ ได้ถึงความสำคัญของงาน 4. ความมีอิสระ (autonomy)หมายถึง ระดับความมีอิสระ และอำนาจในการตัดสินใจของ บุคคลในการวางแผนการกำหนดกระบวนการและวิธีการทำงานหากงานนั้นเปิดโอกาสให้บุคคลสามารถ คิดและตัดสินใจด้วยตนเองในเรื่องดังกล่าวก็จะทำให้บุคคลนั้นรับรู้ได้ถึงความมีอิสระ


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 107 จิตวิทยาองคการ 114 5. การได้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback)หมายถึง ระดับการได้รับทราบข้อมูลเกี ่ยวกับ ประสิทธิผลและความคืบหน้าของงานหากงานนั้นเปิดโอกาสให้บุคคลได้รับข้อมูลย้อนกลับอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้บุคคลนั้นรับรู้ถึงความก้าวหน้าและข้อบกพร่องในการทำงานของตนเอง คุณลักษณะของงานทั้งห้าประการนี้จะมีอิทธิพลทำให้บุคคลเกิดภาวะทางจิตวิทยา 3 แบบ ดังต่อไปนี้(ดูภาพที่5.6) ภาพที่5.6ทฤษฎีคุณลักษณะของงาน


108 | แรงจูงใจในการทำ งาน 115 1. ความรู้สึกว่างานมีความหมาย (experienced meaningfulness of work)ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ งานนั้นมีความหลากหลายของทักษะ เอกลักษณ์ของงานและความสำคัญของงาน 2. ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์(experienced responsibility for work outcomes)ซึ่งจะเกิดขึ้น เมื่องานนั้นมีความมีอิสระ 3. ความรู้เกี่ยวกับผลของการทำงาน(knowledge of results of work activities)ซึ่งจะเกิดขึ้น เมื่องานนั้นมีการให้ข้อมูลย้อนกลับ ตามทฤษฎีคุณลักษณะของงาน ภาวะทางจิตวิทยาทั้งสามประการจะทำให้บุคคลมีแรงจูงใจใน การทำงานสูง มีระดับการปฏิบัติงานที่ดีมีความพึงพอใจในงานขาดงานน้อยและการลาออกต่ำอย่างไรก็ ตาม ผลที่มีต่อแรงจูงใจและการปฏิบัติงานดังกล่าวอาจจะมิได้เกิดขึ้นกับบุคคลทุกคนเนื่องจากแต่ละคน จะมี“ความต้องการงอกงามเติบโต(growth need strength)”แตกต่างกันความต้องการงอกงามเติบโต เป็นความปรารถนาที่จะเติมเต็มความต้องการขั้นสูงตามทฤษฎีของ Maslow ดังนั้น บุคคลที่มีความ ต้องการงอกงามเติบโตสูงก็จะมีแรงจูงใจในการทำงานเพิ่มสูงขึ้นหากงานนั้นมีคุณลักษณะห้าประการ ดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม คุณลักษณะงานทั้งห้าจะไม่มีผลต่อแรงจูงใจของบุคคลที่มีความต้องการงอก งามเติบโตต่ำ คลิปเพื่อการเรียนรู้5-2 คลิปนี้อธิบายทฤษฎีแรงจูงใจบางทฤษฎีที่ได้กล่าวไปแล้วผู้อ่านสามารถชมได้โดยสแกน QR code ที่แสดงอยู่นี้ การประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจในการทํางาน ทฤษฎีแรงจูงใจในการทำงานที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ล้วนแต่มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ซึ่งนัก จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในองค์การ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน และยกระดับการปฏิบัติงานของบุคลากร ในที่นี้จะขอจำแนกกลยุทธ์การจูงใจบุคลากรเป็น3 ประเภท ด้วยกันคือ(1)กลยุทธ์การจูงใจด้วยรางวัลตอบแทน(2)กลยุทธ์การจูงใจด้วยลักษณะการทำงานและ (3)กลยุทธ์การจูงใจด้วยรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม โดยกลยุทธ์ทั้งสามนี้ได้ผสมผสานแนวคิดและ หลักการของทฤษฎีแรงจูงใจในการทำงานต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการสร้าง แรงจูงใจในการทำงานของบุคลากร กลยุทธ์การจูงใจด้วยรางวัลตอบแทน การจูงใจบุคลากรด้วยการให้รางวัลตอบแทนนับได้ว่าเป็นกลยุทธ์ดั้งเดิมซึ่ง ใช้กันมานานที่สุดและแพร่หลายที่สุดในสมัยโบราณ เมื่อการสงครามเสร็จสิ้น และได้รับชัยชนะตามเป้าหมายกษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินก็มักจะพระราชทานเงิน ทองช้าง ม้าที่ดินและของมีค่าอื่นๆ ให้แก่ขุนศึกแม่ทัพนายกอง เพื่อเป็นการ ปูนบำเหน็จรางวัล ในสมัยปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เพียงแต่รูปแบบได้ เปลี่ยนแปลงไปโดยแทนที่จะเป็นช้าง ม้าที่ดินก็อาจจะเป็นโบนัสหุ้นหรือการ ส่งไปท่องเที่ยวต่างแดนรูปแบบการให้รางวัลตอบแทนจะมีผลต่อแรงจูงใจและขวัญกำลังใจของบุคลากร


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 109 จิตวิทยาองคการ 116 หรือไม่ก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์และไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพราะมิฉะนั้นแล้วการให้รางวัลตอบแทนก็ อาจจะไร้ประโยชน์เสมือนหนึ่งการให้หวีแก่คนหัวล้านการให้แว่นตาแก่คนตาบอด(ยกเว้นแว่นตากันแดด ซึ่งอาจจะมีประโยชน์บ้าง) ดังนั้น ประการแรกสุดที่ต้องคำนึงถึงก็คือ คุณลักษณะของรางวัลตอบแทนที ่จะมอบให้แก่ บุคลากร เพื่อให้เกิดผลและมีคุณค่าตามที่ต้องการ คุณลักษณะของรางวัลตอบแทน รางวัลตอบแทนที่ดีและมีผลต่อการสร้างแรงจูงใจรวมทั้งขวัญและกำลังใจของบุคลากรควรจะ มีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ 1. มีคุณค่าสำหรับผู้ได้รับ (valuable) ตามแนวคิดของทฤษฎีความคาดหวัง รางวัลตอบ แทนที่ดีจะต้องมีคุณค่า มีความน่าดึงดูดใจและมีความสำคัญสำหรับผู้ได้รับกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะต้อง เป็นสิ่งที่บุคลากรปรารถนาจะได้รับเป็นอย่างมาก มิใช่เป็นสิ่งที่ดูธรรมดาจนไร้คุณค่าอย่างไรก็ตาม ทฤษฎี ความต้องการตามลำดับขั้นได้กล่าวว่าบุคคลแต่ละคนอาจจะมีความต้องการที่แตกต่างกันบางคนอาจจะ ต้องการเงินทองเพื่อตอบสนองความต้องการด้านปัจจัยสี่แต่บางคนอาจจะต้องการเกียรติยศชื่อเสียง เพื่อ เสริมสร้างศักดิ์ศรีของตนเองดังนั้นผู้บริหารองค์การจะต้องทราบความต้องการของบุคลากรเสียก่อน เพื่อให้การเสนอรางวัลตอบแทนเกิดผลดีที่สุด 2. มีความเป็นธรรม (equitable) ตามแนวคิดทฤษฎีความเสมอภาคบุคลากรที่ได้รับรางวัล ตอบแทน ควรจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้รับมีความคุ้มค่ากับสิ่งที่เขาได้ลงทุนลงแรงกระทำให้แก่องค์การ กล่าวคือ รางวัลตอบแทนที่มอบให้แก่บุคลากรควรจะเหมาะสมกับผลงานความอุตสาหะความสามารถ ทักษะ และคุณสมบัติอื่นๆ ของบุคลากรหากบุคลากรรู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับไม่เป็นธรรมแก่ตัวเขาเสียแล้วก็ อาจจะส่งผลให้เขาเกิดความรู้สึกท้อถอยหมดกำลังใจได้ 3. มีความเป็นไปได้(attainable) รางวัลที่ดีควรเป็นสิ่งที่บุคคลรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ ที่จะไขว่คว้าเอื้อมหยิบมาได้หากได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ดังนั้น ตามทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย องค์การไม่ควรตั้งเป้าหมายในการทำงานที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของบุคลากร เพราะมิฉะนั้นแล้วบุคลากร ก็คงจะหมดกำลังใจเสียแต่แรก 4. มีความยืดหยุ่น (flexible) รางวัลตอบแทนที่ดีควรจะมีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปตาม สถานการณ์และความต้องการของบุคลากรได้ไม่ว่าจะเป็นชนิดหรือปริมาณของรางวัลตอบแทนทั้งนี้ เพื่อให้รางวัลนั้นสอดคล้องกับความต้องการและมีคุณค่ามากที่สุดในสายตาของบุคลากร ชนิดของรางวัลตอบแทน รางวัลตอบแทนสามารถจำแนกได้เป็น2 ชนิดคือรางวัลตอบ แทนในรูปเงิน (financial rewards) และรางวัลตอบแทนที ่ไม ่ใช ่เงิน (nonfinancial rewards) 1. รางวัลตอบแทนในรูปเงินรางวัลชนิดนี้สามารถจำแนกได้ เป็นหลายรูปแบบดังต่อไปนี้คือ (1) ค่าตอบแทน(compensation)หมายถึง เงินซึ่งองค์การ มอบให้แก่บุคลากร เพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานโดยตรง เช่นเงินเดือนค่าจ้างค่าคอมมิชชั่นโบนัส ประจำปี


110 | แรงจูงใจในการทำ งาน 117 (2) สิทธิประโยชน์ต่างๆ(fringe benefits)รางวัลประเภทนี้องค์การอาจจะมิได้จ่ายให้บุคลากร ในรูปของตัวเงินแต่ก็สามารถตีค่าออกมาเป็นตัวเงินได้เช่นค่ารักษาพยาบาลค่าประกันชีวิตและสุขภาพ ค่าเดินทางค่าเสื้อผ้า รวมทั้งสิทธิในการลาหยุดงานต่าง ๆ (3) การเลื่อนขั้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่ง (salary increase and job promotion) รางวัล ประเภทนี้ทำให้บุคลากรมีโอกาสได้รับค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพิ่มขึ้นจากเดิม 2. รางวัลตอบแทนที่ไม่ใช่เงิน รางวัลประเภทนี้มักเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อบุคลากร กล่าวคือเป็นรางวัลที่บ่งบอกถึงชื่อเสียง เกียรติยศสถานะทางสังคมของบุคลากร โดยอาจจะมีลักษณะ ดังนี้คือ (1) รางวัลซึ่งส่งเสริมคุณค่าของบุคคล เช่น การยกย่องชมเชย รางวัลพนักงานดีเด่น การ ประกาศเกียรติคุณ (2) รางวัลซึ่งส่งเสริมสถานภาพทางสังคม เช่นการจัดหาห้องทำงานส่วนตัว เลขานุการส่วนตัว หรือรถยนต์ประจำตำแหน่ง (3) รางวัลซึ่งส่งเสริมศักยภาพของบุคคลเช่นการส่งไปรับการฝึกอบรมเพิ่มเติม การดูงานหรือ เข้าเรียนในหลักสูตรพิเศษ ระบบการให้รางวัลตอบแทน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการให้รางวัลตอบแทนควรจะมีผลต่อแรงจูงใจ ขวัญและกำลังใจของ บุคลากร โดยควรจะเป็นรางวัลที่มีคุณค่า มีความเป็นธรรม มีความเป็นไปได้และมีความยืดหยุ่นการที่ รางวัลตอบแทนจะมีประสิทธิภาพในการสร้างแรงจูงใจบุคลากรได้ตามที่คาดหวังจึงต้องมีการวิเคราะห์ วางแผนและจัดทำโครงการการให้รางวัลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และเป็นที่ต้องการของบุคลากร ในที่นี้ จะนำเสนอระบบการให้รางวัลตอบแทนที่น่าสนใจ2 ระบบด้วยกันคือ ระบบการให้รางวัลตอบแทนตาม ผลงานและระบบการให้รางวัลตอบแทนแบบยืดหยุ่น 1. ระบบการให้รางวัลตอบแทนตามผลงาน (performance-based compensation) คือ ระบบการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากรซึ่งประเมินจากมาตรวัดที่องค์การกำหนดไว้ (Robbins & Judge, 2009) ระบบการจ่ายค่าตอบแทนแบบนี้แตกต่างจากระบบการจ่ายค่าตอบแทนแบบ ดั้งเดิมตรงที่ว่า แทนที่จะจ่ายค่าตอบแทนตามเวลาที่ได้ปฏิบัติงาน กลับจ่ายตามผลการปฏิบัติงานที่ ประเมินจากมาตรวัดบางประการ เช่นผลผลิตของบุคคล ของกลุ่ม หรือของแผนก ผลกำไรของหน่วย ระบบการให้รางวัลตอบแทนตามผลงานสามารถจำแนกได้หลายแบบด้วยกันคือ (1) การจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนชิ้นงาน(piece-rate pay plans) คือการจ่ายค่าตอบแทน แก่บุคลากรตามจำนวนหน่วยหรือชิ้นงานที่ทำได้ตามอัตราที่ได้กำหนดไว้เช่น เย็บเสื้อได้200 ตัว ก็ จ่ายเงินค่าจ้างตัวละ100 บาทให้รวมเป็นเงิน20,000 บาทดังนั้นหากบุคลากรยิ่งทำงานได้มากเท่าไรก็ จะได้รับเงินค่าตอบแทนมากยิ่งขึ้นเท่านั้นอย่างไรก็ตาม บางองค์การอาจดัดแปลงวิธีการจ่ายค่าตอบแทน แบบนี้โดยผสมผสานการจ่ายค่าตอบแทนตามเวลาที่ได้ทำงานเข้าไปด้วยตัวอย่างเช่น พนักงานประกอบ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คนหนึ่ง ๆนอกจากจะได้รับเงินค่าจ้างรายวันแล้ว ยังได้รับค่าตอบแทนพิเศษตาม จำนวนชิ้นที่ผลิตได้อีกด้วยหรือพนักงานขายสินค้าอุปโภคบริโภคอาจได้รับเงินเดือนประจำจำนวนหนึ่ง บวกด้วยค่าคอมมิชชั่นตามจำนวนสินค้าที่ขายได้ (2) การจ่ายโบนัส (production bonuses)หมายถึง การให้รางวัลตอบแทนแก่บุคลากรซึ่ง สามารถผลิตหรือปฏิบัติงานได้เกินเป้าหมาย โดยปกติแล้วมักจะใช้เป็นส่วนเสริมของการจ่ายค่าจ้าง


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 111 จิตวิทยาองคการ 118 พื้นฐานกล่าวคือ พนักงานจะได้รับค่าจ้างรายชั่วโมง รายวันหรือรายเดือนอยู่แล้วแต่หากสามารถผลิตผล งานได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ก็จะได้รับโบนัสสำหรับผลผลิตส่วนเกินตามอัตราที่กำหนดไว้หรือใน บางองค์การอาจจะให้โบนัสสำหรับการปฏิบัติงานที่ใช้เวลาน้อยลงกว่าเดิมก็ได้ (3) การจ่ายคอมมิชชั่น(commissions) โดยปกติมักใช้สำหรับพนักงานขายโดยพนักงานขาย จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาขายเช่น5% หรือ10% ในบางบริษัทพนักงานขายอาจจะ ไม่ได้รับเงินเดือนพื้นฐานแต่บางบริษัทอาจกำหนดให้พนักงานขายได้รับเงินเดือนพื้นฐานด้วย (4) การแบ่งปันกำไร(profit sharing)หมายถึงการแบ่งกำไรส่วนหนึ่งของบริษัทให้แก่บุคลากร ตามอัตราที่ได้ตกลงร่วมกันจุดประสงค์หลักของแผนการนี้คือการทำให้บุคลากรมีส่วนร่วมในความสำเร็จ และความเติบโตของบริษัทมากขึ้นอย่างไรก็ตาม การแบ่งปันกำไรอาจจะมีความเหมาะสมและใช้ได้ผล มากที่สุดสำหรับองค์การที่มีขนาดเล็กและผลการดำเนินงานขององค์การขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจ ของบุคลากรเป็นส่วนสำคัญ ตัวอย่างเช่นบริษัทโฆษณาสำนักงานบัญชี (5) การแบ่งปันส่วนเกิน(gainsharing)จุดอ่อนสำคัญของแผนการแบ่งปันกำไรคือ ผลการ ปฏิบัติงานของบุคลากรอาจจะไม่ได้มีผลโดยตรงต่อกำไรของบริษัทแต่อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัย อื่นๆ มากกว่า เช่นสภาพเศรษฐกิจดังนั้นแผนการแบ่งปันส่วนเกินจึงต้องการแก้ไขจุดอ่อนนี้โดยการ มุ่งเน้นที่องค์ประกอบซึ่งได้รับผลโดยตรงจากการปฏิบัติงานของบุคลากร เช่นผลผลิตจำนวนเวลาที่ใช้ใน การผลิต ดังนั้นหากบริษัทสามารถลดจำนวนเวลาที่ใช้ในการผลิตต่อหน่วยลงก็หมายความว่าสามารถ ผลิตสินค้าได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม หรือผลิตสินค้าในปริมาณเท่าเดิม โดยมีต้นทุนการผลิตลดลงส่วน หนึ่งของต้นทุนการผลิตส่วนที่ลดลงนี้จะถูกแบ่งปันให้แก่กองทุนของบุคลากร และจ่ายให้แก่บุคลากรใน รูปของโบนัส (6) การจัดสรรหุ้นให้แก่บุคลากร (employee stock ownership plan)คือการจัดสรรผลกำไร ให้แก่บุคลากรในรูปของหุ้นบริษัทที่บุคลากรทำงานอยู่ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความผูกพันจงรักภักดีและความ อุตสาหะในการทำงานทั้งนี้บุคลากรจะได้รับหุ้นเป็นสัดส่วนตามระยะเวลาที่ทำงานอยู่ในบริษัทและระดับ เงินเดือนที่ได้รับ 2. ระบบการให้รางวัลตอบแทนแบบยืดหยุ่น (flexible benefits) หมายถึง การจ่าย ค่าตอบแทนซึ่งอนุญาตให้บุคลากรเลือกสรรสิทธิประโยชน์ต่าง ๆจากรายการที่องค์การได้กำหนดไว้ตาม ความต้องการของตนเองทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรได้รับผลประโยชน์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง มากที่สุด ระบบการให้รางวัลตอบแทนแบบนี้จึงแตกต่างจากระบบเดิมซึ่งองค์การเป็นผู้กำหนดสิทธิ ประโยชน์ต่าง ๆ ให้แก่บุคลากรทุกคนโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลตามระบบการให้รางวัล ตอบแทนแบบนี้บุคลากรจะได้รับบัญชีรายการผลประโยชน์และบริการต่าง ๆซึ่งระบุจำนวนเงินทั้งหมดที่ บุคลากรแต่ละคนจะได้รับจากองค์การจากจำนวนเงินนี้บุคลากรสามารถจะเลือกและ "ซื้อ" บริการที่ตนเอง ต้องการจากรายการที่ได้กำหนดไว้ภาพที่5.7 แสดงการเลือกใช้จ่ายเงินเพื่อผลประโยชน์และบริการต่าง ๆของพนักงานสองคนซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แตกต่างกันของพนักงานสองคนในการเลือกรับ ผลประโยชน์และการบริการจากองค์การทั้งนี้ก็เพราะแต่ละคนมีความจำเป็นและสถานการณ์ของชีวิตที่ แตกต่างกันในกรณีตัวอย่าง พนักงานก. เป็นผู้ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวและต้องมีภาระเลี้ยงดูภรรยาและ บุตรส่วนพนักงานข.นั้นไม่มีภาระที่ต้องเลี้ยงดูบุตรแต่กำลังจะเกษียณอายุงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พนักงานก พนักงานข อายุ27 ปีเพศชายแต่งงานแล้ว อายุ56 ปีเพศชายแต่งงานแล้ว


112 | แรงจูงใจในการทำ งาน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 113 จิตวิทยาองคการ 120 อาศัยห่างจากสถานที่ทำงานไม่เกินกี่กิโลเมตร เพื่อป้องกันมิให้บุคลากรมาทำงานสายหรือลาออกจากงาน ในเวลาอันสั้น สำหรับการจัดตารางเวลาการทำงานใหม่นั้นสามารถกระทำใน2 รูปแบบคือ 1. การเพิ่มเวลาทำงานต่อวันให้มากขึ้นและลดจำนวนวันต่อสัปดาห์ให้น้อยลง (compressed workweek) รูปแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือทำงานสัปดาห์ละ4 วันวันละ 10 ชั่วโมง รูปแบบนี้จะทำให้บุคลากรมีวันหยุดมากขึ้นในหนึ่งสัปดาห์และทำให้พวกเขาสามารถเดินทางไปและกลับ จากการทำงานในช่วงเวลาที่มิใช่ชั่วโมงเร่งด่วนจากการวิจัยพบว่า แม้ว่าบุคลากรจะบ่นเกี่ยวกับความ เหนื่อยล้าซึ่งเกิดขึ้นในชั่วโมงท้าย ๆ ของการทำงานบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ก็รู้สึกชอบรูปแบบการทำงาน เช่นนี้และเมื่อถามว่ายังคงอยากจะให้คงรูปแบบการทำงานนี้ต่อไปหรือไม่หลังจากที่กระทำมาแล้วเป็น เวลา 6 เดือน ปรากฏว่าร้อยละ 78 ของกลุ่มตัวอย่างต้องการให้คงอยู่ต่อไป (Goodale & Aagaard, 1975) นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกด้วยว่า รูปแบบการทำงานเช่นนี้สามารถจะสร้างความ กระตือรือร้นขวัญและกำลังใจของบุคลากร เพิ่มผลผลิตลดต้นทุนการผลิตลดการทำงานล่วงเวลาลด อัตราการลาออกจากงานและการขาดงาน(Robbins & Judge, 2009) 2. ตารางเวลาการทำงานแบบยืดหยุ่น (flextime) รูปแบบนี้จะอนุญาตให้บุคลากรเป็นผู้ กำหนดตารางเวลาการทำงานเองว่าจะเข้ามาทำงานและเลิกงานเมื่อไรแต่อย่างไรก็ตาม บุคลากรแต่ละคน จะต้องอยู่ในที่ทำงานในระหว่างเวลาทำงานกลาง (a common core time period) ดังภาพที่5.8 ในวัน ทำงานแต่ละวันจะประกอบด้วยเวลาทำงานกลางซึ่งโดยปกติจะเป็นเวลา6 ชั่วโมงส่วนเวลาก่อนและหลัง ของเวลาทำงานกลาง จะเป็นเวลาที่แต่ละคนสามารถจะเลือกได้ว่าจะมาทำงานและจะกลับบ้านเมื่อไร ตัวอย่างเช่นเวลาทำงานกลางอาจจะเริ่มตั้งแต่เวลา9.00 น. ถึง15.00 น. เพราะฉะนั้น พนักงานก. อาจจะ เลือกมาทำงานระหว่าง7.00 น.ถึง15.00 น. ส่วนพนักงานข. อาจจะเลือกมาทำงานระหว่าง8.00น. ถึง 16.00 น. ภาพที่5.8ตัวอย่างของตารางเวลาการทำงานแบบยืดหยุ่น ผลดีของการใช้ตารางเวลาการทำงานแบบยืดหยุ่นมีมากมายนับตั้งแต่การลดอัตราการขาดงาน ลดการทำงานล่วงเวลา เพิ่มผลผลิตลดปัญหาการจราจรบริเวณสถานที่ทำงานและลดความรู้สึกไม่เป็น มิตรที่มีต่อฝ่ายบริหาร (Glueck, 1979) เวลาที่ยืดหยุ่น เวลาที่ยืดหยุ่น เวลา อาหาร กลางวัน 6.00น. 9.00น. 15.00น. 18.00น. เวลาทำงานกลาง เวลาทำงานกลาง


114 | แรงจูงใจในการทำ งาน 121 การออกแบบลักษณะงานใหม่ ลักษณะงานสามารถมีอิทธิพลต่อแรงจูงใจและความกระตือรือร้น ในการทำงานของบุคลากรได้งานบางประเภทที่มีลักษณะการทำงาน ซ้ำซากเช่นการปิดฉลากหรือการขันน็อตอันเป็นลักษณะการทำงาน ตามสายงาน (assembly line) ในโรงงานอุตสาหกรรม อาจจะสร้าง ความเบื่อหน่ายให้กับบุคลากรบางคนได้นอกจากนี้การที่ต้องทำงาน ลักษณะเดิมเป็นเวลานานหลายๆปีก็อาจจะทำให้ความกระตือรือร้น ของบุคลากรหมดไปได้เช่นเดียวกันดังนั้นวิธีการหนึ่งซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการทำงานของบุคลากร ได้ก็คือการออกแบบลักษณะงานใหม่(job redesign)ซึ่งในที่นี้สามารถกระทำได้ในสองรูปแบบคือการ ขยายขอบเขตงาน(job enlargement) และการเพิ่มความรับผิดชอบในงาน(job enrichment) 1. การขยายขอบเขตงาน (job enlargement) คือการเพิ ่มจำนวนและประเภทของงานที่ บุคลากรคนหนึ่ง ๆจะต้องรับผิดชอบเพื่อให้ลักษณะงานมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ คือ เป็นการขยายหรือเพิ่มงานตามแนวนอน(horizontal expansion) ตัวอย่างเช่นงานของพนักงานใน โรงงานผลิตรองเท้า U.S. Shoes แต่เดิมพนักงานแต่ละคนทำงานเพียงหนึ่งอย่างหรือหนึ่งขั้นตอนของการ ผลิตรองเท้า แต่หลังจากขยายขอบเขตงานแล้ว พนักงานแต่ละคนจะทำงานสามขั้นตอน ซึ่งผลปรากฏว่า ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพ และพนักงานสนใจในคุณภาพของรองเท้ามากยิ่งขึ้น(Robbins & Judge, 2009) อย่างไรก็ตาม การขยายขอบเขตงานอาจจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นก็ได้หากพนักงานรู้สึกว่างาน ที่เพิ่มขึ้นนั้นมิได้มีความน่าสนใจหรือยิ่งทำให้เขาต้องมีภาระงานที่น่าเบื่อหน่ายเพิ่มมากขึ้นอีกดังนั้นจึง ควรที่จะได้ทำการวิเคราะห์หรือคาดการณ์ล่วงหน้าเสียก่อนว่าจำนวนและประเภทของงานที่จะเพิ่มให้แก่ พนักงานนั้นเป็นที่ต้องการหรือมีความน่าสนใจสำหรับพนักงานหรือไม่ 2. การเพิ่มความรับผิดชอบในงาน (job enrichment)หมายถึงการเพิ่มระดับความรับผิดชอบของ บุคลากรแต่ละคนให้มีอำนาจตั้งแต่การวางแผนงานการลง มือปฏิบัติและการประเมินผลงานของตนเอง จุดประสงค์ สำคัญคือ การจัดลักษณะงานเพื่อให้บุคลากรมีความ รับผิดชอบในงานที่ทำตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ มี อิสระในการตัดสินใจมากขึ้นนอกจากนั้นยังมีการให้ข้อมูล ย้อนกลับ(feedback) เพื่อให้บุคลากรสามารถประเมินและปรับปรุงการทำงานของตนเองการเพิ่มความ รับผิดชอบในงานจึงเป็นการขยายหรือเพิ่มงานตามแนวดิ่ง (vertical expansion) อันจะทำให้บุคลากรมี ความรู้สึกตื่นเต้นและท้าทาย มีความยอมรับนับถือตนเอง มีความเติบโตก้าวหน้า และความรับผิดชอบ การเพิ่มความรับผิดชอบในงานสามารถกระทำได้ดังต่อไปนี้(Hackman, 1977) 1. การรวมงาน (combine tasks) คือ การนำงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มีอยู่เข้ามารวมกัน แล้ว จัดรูปแบบงานใหม่ที่มีขอบเขตกว้างขึ้นและเป็นหนึ่งเดียว การรวมงานจะทำให้บุคลากรได้ใช้ทักษะการ ทำงานอย่างหลากหลาย(skill variety) และได้ทำงานสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์หรือมีเอกลักษณ์ ของงาน(task identity) 2. สร้างกลุ่มการทำงานที่เหมาะสม (create natural work units)หมายถึงการจัดแบ่งบุคลากร ออกเป็นกลุ่มการทำงานซึ่งต้องรับผิดชอบการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการสามารถผลิตงานออกมา ได้อย่างสมบูรณ์ซึ่งจะทำให้บุคลากรเกิดความรู้สึกเป็น"เจ้าของ" งานและทำให้บุคลากรรู้สึกว่างานที่ตน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 115 จิตวิทยาองคการ 122 ทำอยู่มีความสำคัญและมีความหมายต่อตัวเขา 3. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (establish client relationships)ลูกค้าคือผู้ใช้สินค้าหรือ บริการซึ่งสร้างสรรค์โดยบุคลากร ดังนั้นจึงควรจะพยายามทำให้บุคลากรผู้ผลิตสินค้าหรือบริการมี ความสัมพันธ์โดยตรงหรือใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อให้บุคลากรสามารถรับทราบความคิดเห็นของลูกค้า เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเหล่านั้น 4. การเพิ่มอำนาจความรับผิดชอบ(expand jobs vertically)คือการมอบหมายอำนาจความ รับผิดชอบซึ่งแต่เดิมเป็นของฝ่ายบริหาร ให้แก่บุคลากรเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระด้วยตนเอง (autonomy) 5. การให้ข้อมูลย้อนกลับ (open feedback channels)การให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงานแก่บุคลากรนอกจากจะทำให้บุคลากรทราบว่าตนเองปฏิบัติงานได้ดีเพียงไรแล้ว ยังทำให้พวก เขาทราบว่าระดับการทำงานของตนเองดีขึ้นแย่ลงหรือเหมือนเดิม ตัวอย่างหนึ่งซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างแรงจูงใจในการทำงานของบุคลากร โดยการเพิ่ม ความรับผิดชอบในงานคือธนาคาร Citibank ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงลักษณะงานของบุคลากรสนับสนุน(back office) ซึ่งแต่เดิมทำงานแยกกันเป็นส่วนๆอย่างซ้ำซากจนทำให้บุคลากรไม่มีความสุขในการทำงานและ ปัญหาความผิดพลาดในการทำงานก็เพิ่มสูงขึ้นจนน่าวิตกดังนั้นฝ่ายบริหารของธนาคารจึงได้ออกแบบ ลักษณะงานใหม่ตามประเภทของลูกค้า มีการรวมงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าด้วยกันและบุคลากรแต่ละคนจะ ได้รับมอบหมายให้ทำงานบริการลูกค้าประเภทใดประเภทหนึ่งตั้งแต่ลูกค้าเข้ามาในสำนักงานจนกระทั่ง เสร็จสิ้นธุรกิจ ผลการปรับปรุงงานนี้ทำให้บุคลากรมีแรงจูงใจและความพึงพอใจในงานมากขึ้น และ คุณภาพของการทำงานก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน (Walter, 1985) ภาพที่5.9 ได้สรุปผลของการเพิ่มความ รับผิดชอบในงานในมิติต่าง ๆ ภาพที่5.9แผนภูมิการเพิ่มความรับผิดชอบในงาน กลยุทธ์การจูงใจด้วยรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม ในบรรดาปัจจัยหลัก6 ประการของการดำเนินงานอันได้แก่คน(man) เงิน(money) วัตถุดิบ


116 | แรงจูงใจในการทำ งาน 123 (material) เครื่องจักร (machine) การตลาด(marketing) และการจัดการ (management) อาจกล่าว ได้ว่าคนและการจัดการคือองค์ประกอบที่มีความสำคัญมากที่สุดในปัจจุบันเพราะองค์การต่าง ๆสามารถ จัดหาเงินวัตถุดิบและเครื่องจักร ได้ในระดับที่ใกล้เคียงกันแต่หากผู้ปฏิบัติงานและการจัดการแตกต่างกัน แล้วผลการดำเนินงานย่อมแตกต่างกัน ดังนั้น การจัดการที่ดีจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อแรงจูงใจและขวัญของบุคลากร อย่างไรก็ดี องค์การแต่ละแห่งย่อมมีสภาพและเงื่อนไขการดำเนินงานที่แตกต่างกันรูปแบบการจัดการที่เหมาะสมจึง ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพและเงื่อนไขเหล่านั้นคงจะไม่มีรูปแบบการจัดการแบบใดแบบหนึ่งซึ่งเป็นเสมือน"ยา วิเศษ" ที่สามารถนำไปใช้ได้กับองค์การทุกแห่งผู้บริหารขององค์การจึงจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยไม่หลงใหลไปกับกระแสความนิยม หรือแฟชั่นทางการบริหารอย่างไม่ลืมหูลืมตา อย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะเสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการสองแบบเพื่อให้เข้าใจถึงข้อดี ข้อจำกัดและนำไปพิจารณาว่ามีความเหมาะสมกับลักษณะขององค์การหรือไม่รูปแบบการจัดการที่จะ นำเสนอได้แก่การจัดการแบบให้บุคลากรมีส่วนร่วม การจัดการแบบยึดวัตถุประสงค์และการปรับ พฤติกรรมในองค์การ การจัดการแบบให้บุคลากรมีส่วนร่วม การจัดการแบบให้บุคลากรมีส่วนร่วม (participative management) คือ ก ระบ วนกา รซึ่ง ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนในการตัดสินใจเกี่ยวกับการ ทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชา โดยทั่วไปแล้ว ประเด็น เกี่ยวกับการทำงานที่บุคลากรจะมีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจจะครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายการ แก้ไขปัญหาการเข้าร่วมในคณะกรรมการที่ปรึกษาการ มีตัวแทนอยู่ในคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการคัดเลือกบุคลากรใหม่(Cotton et al.,1988) การที่ฝ่ายบริหารให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ ด้วยกัน คือ ประการแรกเมื่อลักษณะงานมีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้บริหารมักจะไม ่ทราบสิ ่งที่ ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนทำทุกอย่างดังนั้นการให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการจัดการจึงเป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้ปฏิบัติงานซึ่งรู้เรื่องงานดีที่สุดมีส่วนในการตัดสินใจซึ่งน่าที่จะทำให้การตัดสินใจถูกต้องเหมาะสมมาก ขึ้นประการที่สองการที่บุคลากรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจะทำให้พวกเขายึดมั่นในมติหรือการตัดสินใจ ต่าง ๆ มากขึ้นเพราะคงไม่มีใครอยากจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่เขียนด้วยมือลบด้วยเท้าประการที่สาม การ ทำงานในปัจจุบันมักจะต้องอาศัยความร่วมมือและประสานงานกันระหว่างหน่วยหรือแผนกต่าง ๆการให้ บุคลากรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจึงทำให้พวกเขาได้ทำงานและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันและประการ สุดท้ายการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจะเป็นเสมือนรางวัลทางใจ(intrinsic rewards) สำหรับบุคลากร เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีอำนาจความสามารถและความเป็นตัวของตัวเอง อย่างไรก็ตาม การจัดการแบบให้บุคลากรมีส่วนร่วม มิใช่เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับองค์การทุก แห่งหรือหน่วยงานทุกประเภทเงื่อนไขของความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการกล่าวคือประการ แรกประเด็นซึ่งจะให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นจะต้องเกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับความสนใจ ของบุคลากรประการที่สองบุคลากรจะต้องมีความสามารถ(ความรู้ทางเทคนิคสติปัญญาและทักษะการ สื่อสาร) ในการเข้าร่วมการตัดสินใจประการที่สาม องค์การนั้นๆจะต้องให้การสนับสนุนการมีส่วนร่วม 122 ภาพที่5.9แผนภูมิการเพิ่มความรับผิดชอบในงาน กลยุทธ์การจูงใจด้วยรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม ในบรรดาปัจจัยหลัก6 ประการของการดำเนินงานอันได้แก่คน(man) เงิน(money) วัตถุดิบ


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 117 จิตวิทยาองคการ 124 ของบุคลากรและประการสุดท้ายจะต้องให้เวลาที่มากเพียงพอสำหรับการเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจ รูปแบบหนึ่งของการจัดการแบบให้บุคลากรมีส่วนร่วมที่ได้รับความนิยมคือ กิจกรรมคิวซี (quality circle) ซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่เติบโตและเป็นที่แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นกิจกรรมคิวซี เป็นการทำงานร่วมกันของกลุ่มบุคลากร ซึ่งมีความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา สาเหตุ และทางแก้จากนั้นก็นำผลสรุปที่ได้จากกลุ่มไปลงมือกระทำกลุ่มคิวซีจะพบปะกันอย่างสม่ำเสมอในเวลา ทำงานเพื่อปรับปรุงคุณภาพของการทำงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การจัดการแบบยึดวัตถุประสงค์ กา ร จ ัดกา ร แบบ ย ึด ว ั ต ถ ุป ระ สงค์ (management by objectives)หรือ MBO เป็นสิ่ง ที่ Peter Drucker ปรมาจารย์ด้านการจัดการได้ เสนอไว้เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนมาแล้วและยังคงเป็น แนวความคิดด้านการจัดการที่ได้รับความยอม รับมาจนถึงปัจจุบันโดยหลักการแล้วการจัดการ แบบยึดวัตถุประสงค์คือการจัดการซึ่งให้บุคลากรมี ส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายในการทำงาน สำหรับช่วงเวลาหนึ่ง ๆและมีการให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับความก้าวหน้าของการทำงานเป็นระยะกล่าว อีกนัยหนึ่งก็คือ การจัดการแบบยึดวัตถุประสงค์มุ่งเน้นการใช้เป้าหมายเพื่อจูงใจและกระตุ้นบุคลากร แทนที่จะพยายามเข้าไปควบคุมการทำงานของบุคลากร การจัดการแบบนี้จะเริ่มต้นโดยการแปลงวัตถุประสงค์การดำเนินงานขององค์การ ให้เป็น วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเจาะจงสำหรับหน่วยงานและบุคลากรแต่ละคนวัตถุประสงค์ใหญ่ขององค์การจะถูก แปลงเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะของหน่วยงานในแต่ละระดับอันได้แก่ฝ่าย แผนก และบุคลากรแต่ละคน ผลลัพธ์ของกระบวนการนี้คือการเชื่อมประสานวัตถุประสงค์จากหน่วยงานระดับบนสู่หน่วยงานระดับล่าง ลงมาและสำหรับบุคลากรแต่ละคนก็จะมีวัตถุประสงค์ในการทำงานของตนเองถ้าบุคลากรแต่ละคนประสบ ความสำเร็จในการทำงานก็จะทำให้แผนกของตนบรรลุเป้าหมายอันจะทำให้องค์การบรรลุเป้าหมาย โดยรวมไปด้วย โดยทั่วไปแล้วการจัดการแบบยึดวัตถุประสงค์จะมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการคือเป้าหมายที่ ชัดเจนเจาะจง การตัดสินใจแบบให้บุคลากรมีส่วนร่วม ช่วงเวลาที่กำหนดแน่นอน และการให้ข้อมูล เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการทำงาน(Carroll & Tosi, 1973) 1. เป้าหมายที่ชัดเจนเจาะจง (goal specificity)การกำหนดเป้าหมายจะต้องมีลักษณะที่ ชัดเจนสามารถวัดได้และประเมินผลได้ตัวอย่างเช่นเพื่อลดค่าใช้จ่ายของแผนกลง7% หรือเพื่อปรับปรุง การให้บริการของบริษัทโดยจะต้องส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าภายในหนึ่งวันหลังจากได้รับใบสั่งซื้อสินค้าหรือ เพื่อเพิ่มคุณภาพของการผลิตโดยจะต้องมีอัตราสินค้าไม่ได้มาตรฐานต่ำกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ 2. การตัดสินใจแบบให้บุคลากรมีส่วนร่วม (participative decision making)ทั้งผู้บริหาร และบุคลากรจะมีส่วนร่วมกันในการกำหนดเป้าหมาย มิใช่การสั่งให้บุคลากรปฏิบัติตามเป้าหมายที่ ผู้บริหารเป็นผู้กำหนดแต่ฝ่ายเดียว 3. ช่วงเวลาที่กำหนดแน่นอน(an explicit time period) เป้าหมายแต่ละขั้นจะมีช่วงเวลาที่ ได้รับการกำหนดไว้แน่นอนว่าจะต้องบรรลุผลเมื่อไรซึ่งโดยปกติแล้วอาจจะเป็นสามเดือนหกเดือนหรือ หนึ่งปี 4. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการทำงาน (performance feedback)การ จัดการแบบยึดวัตถุประสงค์จะมีการบอกให้บุคลากรทราบเป็นระยะ ๆ ว ่าการทำงานของเขามี ความก้าวหน้าไปมากเพียงไร เพื่อให้บุคลากรมีการตรวจสอบและปรับปรุงการปฏิบัติงานของตน ้้้้้้้


118 | แรงจูงใจในการทำ งาน 125 หนึ่งปี 4. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการทำงาน (performance feedback)การ จัดการแบบยึดวัตถุประสงค์จะมีการบอกให้บุคลากรทราบเป็นระยะ ๆ ว ่าการทำงานของเขามี ความก้าวหน้าไปมากเพียงไร เพื่อให้บุคลากรมีการตรวจสอบและปรับปรุงการปฏิบัติงานของตน ตลอดเวลาการให้ข้อมูลนี้จะให้ทั้งแก่ผู้บริหารและบุคลากรระดับต่าง ๆตัวอย่างเช่นผู้อำนวยการฝ่ายขาย ก็จะได้รับทราบรายงานการขายเป็นระยะ ๆ เพื่อควบคุมให้การดำเนินงานบรรลุตามแผนส่วนพนักงานขาย แต่ละคนก็จะได้รับทราบยอดขายของตนเองเป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกัน การจัดการแบบยึดวัตถุประสงค์นับว่าได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในหน่วยงานภาครัฐและ เอกชนอย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าองค์การทุกแห่งจะประสบความสำเร็จในการใช้การจัดการแบบ ยึดวัตถุประสงค์จากการวิเคราะห์บริษัทเหล่านั้นพบว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมิได้เป็นเพราะการจัดการ แบบยึดวัตถุประสงค์โดยตรง แต่เป็นเพราะขาดความร่วมมือสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร การตั้งความ คาดหวังไว้สูงเกินไปและการไม่จ่ายรางวัลสำหรับการทำงานสำเร็จตามที่ฝ่ายบริหารได้สัญญาไว้ สรุป แรงจูงใจในการทำงานคือ พลังที่มีแหล่งกำเนิดทั้งจากภายในและภายนอกตัวบุคคลซึ่งกระตุ้น ให้เกิดพฤติกรรมการทำงานรวมทั้งกำหนดรูปแบบทิศทางความเข้ม และระยะเวลาของพฤติกรรมการ ทำงานนั้นนักจิตวิทยาได้เสนอทฤษฎีที่อธิบายเกี่ยวกับแรงจูงใจในการทำงานไว้หลายทฤษฎีทฤษฎีความ ต้องการตามลำดับขั้นได้จำแนกความต้องการของมนุษย์ไว้ห้าขั้นส่วนทฤษฎีสองปัจจัยเสนอว่าแรงจูงใจ ในการทำงานของคนเกิดขึ้นจากกลุ่มปัจจัยที่แยกจากกัน2 กลุ่ม ที่เรียกว่าปัจจัยป้องกันและปัจจัยจูงใจ สำหรับทฤษฎีการเสริมแรง เสนอว่า แรงจูงใจและพฤติกรรมของบุคคลจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เรียกว่า การเสริมแรง ทฤษฎีการตั้งเป้าหมายมีสาระสำคัญว่า เป้าหมายที่มีความชัดเจนเจาะจงและความน่าท้าทายจะ นำไปสู่ผลการปฏิบัติงานที่ดีกว่าเป้าหมายที่ง่ายเป้าหมายที่ขาดความชัดเจนและการไม่มีเป้าหมายทฤษฎี ความคาดหวังเสนอว่าหากบุคคลเชื่อว่าความพยายามของตนจะทำให้มีระดับการปฏิบัติงานที่ดีซึ่งจะ นำไปสู่การได้รับผลลัพธ์ที่น่าปรารถนาบุคคลนั้นก็จะมีแรงจูงใจในการทำงานสูงส่วนทฤษฎีความเสมอ ภาคเสนอว่าบุคคลจะรับรู้ว่าตนได้รับความยุติธรรม หากอัตราส่วนของผลลัพธ์ที่ตนได้รับจากองค์การกับ สิ่งที่ได้ลงทุนไปในการทำงาน มีความเหมาะสมและเป็นธรรมเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงานที่ทำงาน คล้ายกันสำหรับทฤษฎีคุณลักษณะของงานมีความเชื่อว่าคุณลักษณะของงาน 5 ประการสามารถทำให้ บุคคลมีแรงจูงใจในการทำงานได้ กลยุทธ์การจูงใจบุคลากรอาจจำแนกได้เป็นสามประการคือการจูงใจด้วยรางวัลตอบแทนการ จูงใจด้วยลักษณะการทำงานและการจูงใจด้วยรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม คําถามประจําบท 1. แรงจูงใจในการทำงานคืออะไรและแบ่งออกเป็นกี่ประเภท 2. ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นมีสาระสำคัญอย่างไร 3. หากต้องการจูงใจบุคคลตามแนวคิดทฤษฎี2 ปัจจัยจะต้องทำอย่างไร 4. ทฤษฎีความคาดหวังเสนอว่าบุคคลจะต้องมีความเชื่ออะไรจึงจะเกิดแรงจูงใจ


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 119 จิตวิทยาองคการ 1265. ทฤษฎีความเสมอภาคสามารถนำไปอธิบายพฤติกรรมการทำงานของบุคคลได้อย่างไร 6. การประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจในการทำงานสามารถกระทำได้อย่างไรบ้าง


120 | แรงจูงใจในการทำ งาน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 121


122 | แรงจูงใจในการทำ งาน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 129123 ทัศนคติต่องานและองค์การ 6 วัตถุประสงค์ หลังจากอ่านบทนี้แล้วผู้อ่านสามารถ : • อธิบายความหมายและทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจในงาน • ระบุผลของความพึงพอใจในงานที่มีบุคคล • บรรยายความหมายของความผูกพันต่องานและต่อองค์การ • ระบุผลของความผูกพันต่องานและต่อองค์การที่มีพฤติกรรมการทำงาน • อธิบายความหมายและประเภทของการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การ • บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การกับพฤติกรรม การทำงาน


124 | ทัศนคติต่องานและองค์การ


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology)131 | 125 ปัจจุบันผมทำงานที่บริษัทเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวให้มีความสุขเท่านั้นครับผมพูด เลยว่าสมัยทำงานใหม่ๆผมเป็นคนหนึ่งที่ทำงานเอาเป็นเอาตายรักงานรักบริษัทแต่มันก็เหมือน รักข้างเดียวครับบริษัทไม่ค่อยจะเหลียวแลคุณหรอกเวลามีปัญหา เวลาที่ต้องเผชิญปัญหาคนที่ อยู่เคียงข้างผมคือครอบครัวครับไม่ใช่บริษัท เคยทุ่มเททำงานงกๆ7วันต่อสัปดาห์เพื่อบริษัทติดต่อกันหลายเดือนบริษัทตอบแทน ผมด้วยการลดโบนัสขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าชาวบ้านเพราะโปรเจ็กที่ทำ (หลายคนนะ) ได้กำไร น้อย เคยทำงานจนป่วยต้องผ่าตัดหัวหน้าโทรมาคำแรกที่ทักคือ "กลับมาทำงานได้เมื่อไร" พอบอกว่าต้องพักเท่านี้วันไป พี่แกตอบกลับมา "แล้วงานใครจะทำ" แหม่อยากจะ...ซักที ปัจจุบันออกไปอยู่บริษัทฝรั่งทำแค่ตามหน้าที่ เลิกทุ่มเทกับบริษัทใช้ชีวิตกับครอบครัว มีความสุขชีวิตดี๊ดีว่ะคุณ (ที่มา : https://pantip.com/topic/32240125) ข้อความข้างต้นของพนักงานคนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติเชิงลบต่องานและองค์การ ซึ่งอาจ กล่าวได้ว่า เป็นผลมาจากประสบการณ์ที่บุคคลนี้ได้รับระหว่างการเป็นพนักงานในองค์การประเด็นสำคัญ คือองค์การจะทำอย่างไร เพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกต่องานและองค์การ เนื่องจากทัศนคติของบุคคลเป็น ปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมการทำงานของบุคคลและประสิทธิผลขององค์การหากบุคคลมี ความรู้สึกต่องานและองค์การในทางลบเช่นเบื่องานรู้สึกว่าองค์การขาดความยุติธรรม ไม่รู้สึกจงรักภักดี ต่อองค์การ ฯลฯบุคคลนั้นก็ย่อมขาดความตั้งใจและความทุ่มเทในการทำงานขาดงานบ่อยซึ่งย่อมส่งผล เสียต่อการดำเนินงานและประสิทธิผลขององค์การในที่สุดดังนั้นในบทนี้จะได้กล่าวถึงทัศนคติต่องานและ องค์การที่สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ความพึงพอใจในงานความผูกพันต่อองค์การ และการรับรู้ความยุติธรรม ในองค์การ ความพึงพอใจในงาน ความพึงพอใจในงานนับได้ว่าเป็นมโนทัศน์หนึ่งที่ได้รับความสนใจและ การวิจัยค้นคว้าจากนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1973-1999 มีงานวิจัยเกี่ยวกับความพึงพอใจในงานตีพิมพ์ในวารสารทาง วิชาการต่าง ๆ ถึง 7,856 เรื่อง (Judge et al., 2001) ดังนั้นความพึงพอใจใน งานจึงเป็นมโนทัศน์ที่มีบทบาทสำคัญในทฤษฎีและแบบจำลองต่าง ๆ เกี่ยวกับ ทัศนคติและพฤติกรรมของบุคคลในองค์การนอกจากนั้นการวิจัยเกี่ยวกับความพึงพอใจในงานยังมี ความสำคัญในเชิงการประยุกต์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคคลและประสิทธิผลขององค์การอีกด้วย ความพึงพอใจในงาน(job satisfaction) หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่องาน รวมทั้ง องค์ประกอบต่าง ๆ ในการทำงานเช่นลักษณะงานผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานสภาพแวดล้อมในการ ทำงาน ผลตอบแทน ฯลฯ (George & Jones, 1999) ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่องานนี้สามารถ


126 | ทัศนคติต่องานและองค์การ จิตวิทยาองคการ 132 เปลี่ยนแปลงไปได้ตามเวลาและสถานการณ์และระดับของความพึงพอใจในงานมีได้ตั้งแต่ความรู้สึกไม่พึง พอใจ(dissatisfaction) จนถึงความรู้สึกพึงพอใจ(satisfaction)กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความรู้สึกไม่พึง พอใจและความรู้สึกพึงพอใจมิได้เป็นมโนทัศน์ที่แยกออกจากกันหากแต่เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันบนแนว ระนาบ(continuum) เดียวกัน(Judge et al., 2001) นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าความพึงพอใจในงานเป็นมโน ทัศน์กว้าง(global concept) ซึ่งประกอบด้วยหลายมิติSmithet al. (1969) ได้จำแนกมิติพื้นฐานออกเป็น 5 ด้านได้แก่ค่าตอบแทนการเลื่อนตำแหน่ง เพื่อนร่วมงานการบังคับบัญชาและลักษณะงานและ Locke (1976) ได้เพิ่มมิติอีกสามด้านได้แก่ความยอมรับ สภาพการทำงาน และองค์การและการจัดการ นอกจากนั้น ยังมีการจำแนกความพึงพอใจในงานออกเป็นองค์ประกอบภายในงาน (intrinsic) และ ภายนอกงาน(extrinsic) โดยลักษณะงานเพื่อนร่วมงานและการบังคับบัญชา จัดว่าเป็นองค์ประกอบ ภายในงานส่วนค่าตอบแทนและการเลื่อนตำแหน่งจัดว่าเป็นองค์ประกอบภายนอกงาน คำชี้แจง ขอให้ท่านตอบคำถาม โดยการขีด ü ลงในช่องที่ตรงกับความคิดเห็นของท่านมากที่สุด § ท่านรู้สึกพึงพอใจต่อสิ่งต่าง ๆต่อไปนี้มากน้อยเพียงไร ข้อความ ระดับความพึงพอใจ ไม่พอใจ อย่างยิ่ง ไม่พอใจ ตัดสิน ใจไม่ได้/ เฉยๆ พอใจ พอใจ อย่างยิ่ง 1. สภาพแวดล้อมในการทำงาน €  ‚ ƒ „ 2. เพื่อนร่วมงาน €  ‚ ƒ „ 3. การยกย่องชมเชยเมื่อทำงานได้ผลดี €  ‚ ƒ „ 4. ผู้บังคับบัญชาโดยตรง €  ‚ ƒ „ 5. ปริมาณความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย €  ‚ ƒ „ 6. อัตราค่าตอบแทน €  ‚ ƒ „ 7. โอกาสในการใช้ความสามารถของตนเอง €  ‚ ƒ „ 8. โอกาสการเลื่อนตำแหน่ง €  ‚ ƒ „ 9. การบริหารจัดการของหน่วยงาน €  ‚ ƒ „ 10. ความมั่นคงในงาน €  ‚ ƒ „ 11. อิสระในการเลือกวิธีการทำงานของตนเอง €  ‚ ƒ „ 12. ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับพนักงาน €  ‚ ƒ „ 13. วิธีการบริหารงานขององค์การ €  ‚ ƒ „ 14. การให้ความใส่ใจต่อข้อเสนอแนะที่ให้แก่ องค์การ €  ‚ ƒ „ 15. ความหลากหลายของงานที่ได้รับมอบหมาย €  ‚ ƒ „ การแปลความหมาย : นำคะแนนตั้งแต่ข้อที่ 1-15 มารวมกันจากนั้นหารด้วย15คะแนนที่ได้จะมี ความหมายดังนี้ 0-.80 = ต่ำที่สุด .81-1.60 = ต่ำ 1.61-2.40 = ปานกลาง 2.41-3.20 = สูง 3.21-4.00 = สูงที่สุด กรอบที่ 6.1 แบบประเมินความพึงพอใจในงาน (แปลจาก Warret al., 1979)


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 127 ทัศนคติต่องานและองค์การ 133 ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจในงาน นักจิตวิทยาได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจในงานไว้หลายทฤษฎีซึ่งสามารถจำแนกออก ได้เป็น 3 กลุ่มคือทฤษฎีที่เน้นสถานการณ์ทฤษฎีที่เน้นคุณลักษณะของบุคคลและทฤษฎีที่เน้นปฏิสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลกับสถานการณ์(ภาพที่6.1) ภาพที่6.1เปรียบเทียบทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจในงาน ทฤษฎีที่เน้นสถานการณ์ ทฤษฎีที่เน้นสถานการณ์(situational theories) เป็นทฤษฎีที่เสนอว่าความพึงพอใจในงานเป็น ผลมาจากธรรมชาติของตัวงานและองค์ประกอบอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับงานทฤษฎีที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ ทฤษฎีสองปัจจัย(two-factor theory) และทฤษฎีคุณลักษณะของงาน(job characteristics model) ซึ่ง ได้กล่าวถึงโดยละเอียดไปแล้วในบทที่ว่าด้วยแรงจูงใจในการทำงานอย่างไรก็ตาม อาจกล่าวโดยสรุปได้ ว่าทฤษฎีสองปัจจัยเสนอแนะว่าหากต้องการทำให้บุคคลเกิดความพึงพอใจในงาน องค์การจะต้องให้ ปัจจัยจูงใจ(motivator factors)ที่เหมาะสมแก่บุคคลเช่นการทำให้ลักษณะงานน่าสนใจและท้าทายหรือ การทำให้บุคคลรู้สึกประสบความสำเร็จในการทำงานแต่การให้ปัจจัยป้องกัน(hygiene factors) เป็นสิ่งที่ ป้องกันมิให้บุคคลเกิดความไม่พึงพอใจในงานเท่านั้น


128 | ทัศนคติต่องานและองค์การ จิตวิทยาองคการ 134 แม้ว่าทฤษฎีสองปัจจัยจะดูน่าเชื่อถือ แต่ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการอย่างมาก กล่าวคือการวิจัยหลายเรื่องที่กระทำซ้ำเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีไม่พบผลที่สอดคล้องกับแนวคิดของทฤษฎีนี้ ในทางตรงกันข้าม การวิจัยกลับพบว่าทั้งปัจจัยจูงใจและปัจจัยป้องกันต่างก็มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ และความไม่พึงพอใจเช่นเดียวกัน(Carroll, 1973) และในระยะตั้งแต่ปีค.ศ. 1971 เป็นต้นมาก็ไม่ปรากฏ ว่ามีการวิจัยเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้อีกเลย ส่วนทฤษฎีคุณลักษณะของงานเสนอว่าคุณลักษณะของงาน5 ประการสามารถทำให้บุคคลมี แรงจูงใจและความพึงพอใจในการทำงานได้คุณลักษณะของงานทั้งห้าประกอบด้วยความหลากหลายของ ทักษะ (skill variety) เอกลักษณ์ของงาน(task identity) ความสำคัญของงาน(task significance)ความ มีอิสระ (autonomy)การได้ข้อมูลย้อนกลับ(feedback)การวิจัยหลายเรื่องได้พบผลที่สนับสนุนแนวคิด ของทฤษฎีนี้กล่าวคือได้พบว่าคุณลักษณะของงานทั้งห้ามีความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในงาน โดยมีค่าสหสัมพันธ์เท่ากับ .50 (Frye, 1996) นอกจากนั้น การวิจัยที่ได้ศึกษาในหลายองค์การและใน งานหลายประเภทได้พบว่า ในบรรดาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน ไม่ว่าจะเป็นการบังคับบัญชา ค่าตอบแทนโอกาสการเลื่อนตำแหน่ง เพื่อนร่วมงาน พนักงานมักจะประเมินว่าปัจจัยด้านคุณลักษณะของ งานเป็นปัจจัยด้านที่สำคัญที่สุด(Judge & Church, 2000) และเป็นปัจจัยที่สามารถพยากรณ์ความพึง พอใจในงานและการคงอยู่ในองค์การได้ดีที่สุด (Fried & Ferris, 1987) อย่างไรก็ตาม แม้ว ่าจะมี ผลการวิจัยสนับสนุนทฤษฎีนี้แต่ก็ยังข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของงานกับ ความพึงพอใจในงานมีลักษณะสองทิศทาง (bidirectional) ซึ่งทำให้ไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่นอนว่า คุณลักษณะของงานเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในงาน(James & Tetrick, 1986) ทฤษฎีที่เน้นคุณลักษณะของบุคคล ทฤษฎีที่เน้นคุณลักษณะของบุคคล (dispositional theories) เพิ่งมีพัฒนาการเมื่อไม่นานมานี้โดยมีแนวคิดว่าความ พึงพอใจในงานมีที่มาจากคุณลักษณะภายในของบุคคล เช่น ลักษณะบุคลิกภาพ (personality) ลักษณะอารมณ์เชิงบวกและเชิง ลบ(positive and negative affectivity) นักวิชาการบางคนถึงกับ เสนอแนะว่า ความพึงพอใจในงานอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก ลักษณะทางพันธุกรรม ยกตัวอย่างเช่น Arveyet al. (1989) ซึ่งได้ เปรียบเทียบความพึงพอใจในงานระหว่างคู่แฝดแท้(identical twins) ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูแยกจากกันและ ได้พบว่าระดับความพึงพอใจในงานของคู่แฝดแท้เหล่านี้มีความสัมพันธ์กันแม้จะยังสรุปไม่ได้อย่างแน่นอน ว่าลักษณะทางพันธุกรรมเป็นสาเหตุของความพึงพอใจในงานหรือไม่แต่ก็มีการวิจัยอีกหลายเรื่องที่บ่งชี้ว่า คุณลักษณะของบุคคลมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในงานซึ่งจะได้กล่าวถึงดังต่อไปนี้ 1. ลักษณะบุคลิกภาพ นักวิชาการได้พบว่าจากการศึกษาแบบระยะยาวความพึงพอใจในงาน ของบุคคลมีความคงที่ค่อนข้างมากตลอดช่วงเวลาของการศึกษาซึ่งอาจเป็นผลมาจากลักษณะบุคลิกภาพ ของบุคคล(Schneider & Dachler, 1978) ต่อมา Staw and Ross (1985) ก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่ม คนที่มีการเปลี่ยนประเภทของงานหรือเปลี่ยนนายจ้าง และได้พบว่าความพึงพอใจในงานของคนกลุ่มนี้มี ความคงที่แม้จะมีการเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนนายจ้างก็ตาม คณะวิจัยได้สรุปว่าความพึงพอใจในงานมี สาเหตุส่วนหนึ่งจากลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลกล่าวคือบางคนมีแนวโน้มที่จะชอบงานที่ทำแต่บางคน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 129 ทัศนคติต่องานและองค์การ 135 ก็มีแนวโน้มที่จะไม่ชอบงานที่ทำไม่ว่าจะเป็นงานใดก็ตาม การวิจัยอีกหลายเรื่องก็ได้พบผลที่คล้ายคลึงกัน ว่าความพึงพอใจในงานมีความคงที่แม้จะมีการเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนองค์การก็ตาม (Gerhart, 1987; Guptaet al., 1992)นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานที่ยืนยันเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ผลการประเมินลักษณะ บุคลิกภาพที่กระทำในช่วงวัยรุ่นสามารถพยากรณ์ความพึงพอใจในงานของบุคคลได้ในอีก 50 ปีต่อมา (Staw et al., 1986) การวิจัยแบบอภิมานของ Judgeet al. (2002) ได้บ่งชี้ว่าลักษณะบุคลิกภาพที่มี ความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในงานได้แก่ ลักษณะบุคลิกภาพด้านการเปิดเผยตนเอง (extraversion) และด้านความสำนึกผิดชอบ(conscientiousness) แต่ลักษณะบุคลิกภาพด้านความ หวั่นไหวทางอารมณ์(neuroticism) มีความสัมพันธ์ทางลบกับความพึงพอใจในงาน 2. ลักษณะอารมณ์เชิงบวกและเชิงลบ ผู้ที่มีลักษณะอารมณ์เชิงบวกจะเป็นผู้ที่มีพลังงานสูง กระตือรือร้นและร่าเริง ส่วนผู้ที่มีลักษณะอารมณ์เชิงลบเป็นผู้ที่มักวิตกกังวลทุกข์ใจง่าย และซึมเศร้า Thoresen and Judge (1997 cited in Staw, 2004) ได้ทบทวนงานวิจัย 29 เรื่องที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะ อารมณ์เชิงบวก และลักษณะอารมณ์เชิงลบอีก 41 เรื่อง และได้พบว ่าลักษณะอารมณ์เชิงบวกมี ความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในงาน (r= .52)และลักษณะอารมณ์เชิงลบมีความสัมพันธ์ทาง ลบกับความพึงพอใจในงาน (r= -.40) ทฤษฎีที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสถานการณ์ ทฤษฎีที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กับสถานการณ์(interactive theories) มีแนวคิด ว่าความพึงพอใจในงานเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ ระหว ่างคุณลักษณะของบุคคลกับสถานการณ์ แม้ว่าจะมีหลายทฤษฎีแต่ทฤษฎีที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือ ทฤษฎีการรับรู้คุณค่า (value-percept theory) ซึ่ง Locke (1976) ได้เสนอว่า การรับรู้ คุณค่าของแต่ละบุคคลจะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าปัจจัยใดที่ทำให้บุคคลนั้นเกิดความพึงพอใจในงานกล่าวคือ หากบุคคลรับรู้ว่ามิติของงานที่มีความสำคัญต่อตนเองยังไม่ได้รับการตอบสนองบุคคลนั้นก็จะเกิดความไม่ พึงพอใจในงานโดยเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ S = (Vc – P) x Vi ความพึงพอใจในงาน= (สิ่งที่ต้องการ – สิ่งที่ได้รับ) x ความสำคัญ โดย S คือความพึงพอใจในงาน Vcคือปริมาณความต้องการ P คือปริมาณของคุณค่าที่งานนั้นให้แก่บุคคล Viคือความสำคัญของคุณค่านั้นตามการรับรู้ของบุคคล


130 | ทัศนคติต่องานและองค์การ จิตวิทยาองคการ 136 ดังแสดงในภาพที่6.2 ทฤษฎีการรับรู้คุณค่าทำนายว่า ความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่ ต้องการกับสิ่งที่ได้รับจะก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจในงานก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นมีความสำคัญต่อบุคคลโดยจะมี การพิจารณามิติเกี่ยวกับงานหลายมิติในการประเมินความพึงพอใจในงานของตนดังนั้นจึงต้องมีการ คำนวณผลลัพธ์ของสมการนี้สำหรับมิติแต่ละด้านสำหรับความตรงของทฤษฎีนี้การวิจัยหลายเรื่องได้พบ ผลที่สนับสนุนแนวคิดของทฤษฎีนี้(Riceet al., 1991) ภาพที่6.2ทฤษฎีการรับรู้คุณค่า ผลของความพึงพอใจในงานที่มีต่อบุคคล การวิจัยจำนวนมากได้ศึกษาผลกระทบของความพึงพอใจในงานที่มีต่อบุคคลซึ่งสามารถสรุปได้ ดังต่อไปนี้ 1. การปฏิบัติงาน(job performance)นับตั้งแต่การวิจัย“Hawthorne Studies”ที่มีชื่อเสียง ทำให้นักจิตวิทยาหันมาให้ความสนใจกับสมมติฐานที่ว่า “พนักงานที่มีความสุขคือผู้ที่ทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ”การวิจัยแบบอภิมานของ Iaffaldano and Muchinsky (1985) ได้สรุปว่าความพึงพอใจใน งานกับการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์ทางบวกแต่ค่าสหสัมพันธ์อยู่ในระดับต่ำ (r= .17) และไม่มีคุณค่า มากพอในเชิงปฏิบัติอย่างไรก็ตาม Judgeet al. (2001) ได้ทำการวิจัยแบบอภิมานอีกครั้งหนึ่ง โดยได้ สังเคราะห์ผลการวิจัยจำนวน 311 เรื่อง รวมทั้งได้แก้ไขข้อผิดพลาดบางประการของการวิจัยครั้งก่อนและ ได้พบว่าค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในงานกับการปฏิบัติงานเท่ากับ .30 นอกจากนั้นยังพบว่าค่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองในงานที่มีความซับซ้อนจะมีค่าสูงกว่าในงานที่ไม่ซับซ้อน ดังนั้น คณะวิจัยจึงได้สรุปว่าความพึงพอใจในงานกับการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลาง


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 131 ทัศนคติต่องานและองค์การ 137 อย่างไรก็ตาม การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองนี้มีความเป็นไปได้ในสองทาง (ดูภาพที่ 6.3) คือทางที่หนึ่งความพึงพอใจในงานนำไปสู่การปฏิบัติงานที่ดีขึ้นกล่าวคือ พนักงานที่มีความพึงพอใจ ในงานจะทุ่มเทให้แก่การทำงานและได้ผลการทำงานที่ดีขึ้นทางที่สองการปฏิบัติงานที่ดีนำไปสู่ความพึง พอใจในงานกล่าวคือ พนักงานที่ทำงานได้ดีย่อมมีแนวโน้มจะได้รับรางวัลจากการปฏิบัติงานของตนซึ่ง ทำให้เกิดความพึงพอใจในงานตามมา Jacobs and Solomon (1977) ได้ทำการวิจัยเพื่อพิสูจน์คำอธิบาย ทางที่สองนี้และได้พบผลที่สนับสนุนคำอธิบายดังกล่าว ภาพที่6.3แบบจำลองความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในงานกับการปฏิบัติงาน 2. ความพึงพอใจในชีวิต (life satisfaction)การวิจัยได้พบว่า ความพึงพอใจในงานมี ความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในชีวิตของบุคคล (Taitet al., 1989) เนื่องจากงานเป็นส่วน สำคัญของชีวิตดังนั้นการที่บุคคลมีความพึงพอใจในงานจึงส่งผลให้มีความพึงพอใจในชีวิตตามไปด้วย รวมทั้งอาจเป็นไปได้ด้วยว่าความพึงพอใจในชีวิตทำให้บุคคลมีความพึงพอใจในงานของตนเนื่องจาก ผลการวิจัยได้พบว่าตัวแปรทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์แบบสองทาง (reciprocal) 3. การขาดงานและการลาออกจากงาน(absenteeism and turnover)ทั้งสองพฤติกรรม นี้เป็นพฤติกรรมถอยหนี (withdrawal behavior) ของพนักงานที่ใช้เมื่อเผชิญกับสภาพการทำงานที่ทำให้ เกิดความทุกข์การวิจัยได้พบว่า ยิ่งบุคคลมีความไม่ชอบงานของตนเองมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการลาออก จากงานมากขึ้นเท่านั้น โดยความสัมพันธ์ระหว ่างความพึงพอใจในงานกับการลาออกจากงานมี ค่าประมาณ -.40 (Hom & Kinicki, 2001) ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในงานกับการขาด งานมีค่าประมาณ -.25 (Judge et al., 2001) คลิปเพื่อการเรียนรู้6-1 คลิปนี้เป็นตัวอย่างขององค์การที่ทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจในงานและเกิดความผูกพัน ต่อองค์การผู้อ่านสามารถเข้าไปชมได้โดย สแกน QR code ที่แสดงอยู่นี้


132 | ทัศนคติต่องานและองค์การ จิตวิทยาองคการ 138 ความผูกพันต่องาน Kahn (1990) เป็นคนแรกที่ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ ความผูกพันต่องาน(work engagement) โดยกล่าวว่า “ผู้ที่มีความ ผูกพันต่องานจะอุทิศตนเองทั้งในด้านร่างกาย ปัญญา และอารมณ์ ขณะที่กำลังปฏิบัติภาระหน้าที่ของตน” (หน้า694) ผู้ที่มีความผูกพัน ต่องานจะทุ่มเทความมานะพยายามให้แก่งานเป็นอย่างมากเพราะ พวกเขารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับงาน อย่างไรก็ตาม การศึกษา เกี่ยวกับความผูกพันต่องานได้แบ่งออกเป็น2 แนวทาง แนวทางแรก มีความเชื่อว่าความผูกพันต่องานเป็นด้านตรงข้ามของภาวะหมดไฟ (burnout) ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ประการคือ(1) ความเหนื่อยหน่ายและหมดกำลังใจในการทำงาน (2) การมีทัศนคติทางลบต่อผู้อื่นและ (3) ความรู้สึกล้มเหลวในการทำงานดังนั้นการวัดความผูกพันต่องานจึงประเมินจากคะแนนที่ตรงข้ามกับ ภาวะหมดไฟ (Maslach & Leiter, 1997) ส่วนแนวทางที่สอง มีความเชื ่อว่าความผูกพันต่องานเป็น คุณลักษณะที่เป็นอิสระและแตกต่างจากภาวะหมดไฟ และมีความหมายว่า “ภาวะทางจิตใจที่รู้สึกพึงพอใจ และเต็มอิ่มในงานซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการมีพลังเต็มเปี่ยม (vigor) การอุทิศตน (dedication) และการมี ใจจดจ่อ(adsorption)” (Schaufeliet al., 2002, p. 74) ความผูกพันต่องานมิได้เป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม แต่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องยาวนานและมีองค์ประกอบทั้งทางด้านพฤติกรรม (การมีพลังเต็มเปี่ยม) ด้านอารมณ์ (การอุทิศ ตน) และด้านปัญญา (การมีใจจดจ่อ) การมีพลังเต็มเปี่ยมจะแสดงออกมาให้เห็นจากการที่บุคคลมี พลังงานในการทำงานในระดับสูง และมีความยืดหยุ่นในขณะทำงาน มีความเต็มใจที่จะทุ่มเทความ พยายามในการทำงานและมีความยืนหยัดต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นการอุทิศตนหมายถึงการนำตนเองเข้าไป เกี่ยวข้องกับงานอย่างแน่นแฟ้นรู้สึกถึงความสำคัญของงานกระตือรือร้น มีแรงบันดาลใจ มีความภูมิใจ และรู้สึกถึงความท้าทายของงานการมีใจจดจ่อจะสะท้อนให้เห็นจากการมีสมาธิใส่ใจในงานอย่างแน่วแน่ และรู้สึกมีความสุขในการทำงานของตนจนรู้สึกว่าเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วและยากที่ถอนตัวจากงาน ที่ทำอยู่ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการมีพลังและการอุทิศตนเป็นด้านตรงข้ามของความเหนื่อยหน่ายและการ มีทัศนคติทางลบซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของภาวะหมดไฟ ทฤษฎีความผูกพันต่องาน นักวิชาการได้เสนอแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความผูกพันต่องานหลากหลายแนวทาง ซึ่งอาจ สรุปได้ว่ามีอย่างน้อย2แนวคิดดังต่อไปนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับเงื่อนไขทางจิตวิทยา Kahn (1990) ได้เสนอว่าการที่บุคคลจะมีความผูกพันต่องานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทาง จิตวิทยา 3 ประการคือ (1) ความรู้สึกมีความหมายต่อตนเอง (meaningfulness) (2) ความรู้สึก ปลอดภัย(safety) และ (3) การมีความพร้อม (availability) เงื่อนไขทั้งสามประการมีรายละเอียดดังนี้ (1) ความรู้สึกมีความหมายต่อตนเอง หมายถึงการที่บุคคลรู้สึกว่างานนั้นคุ้มค่า มีประโยชน์ และมีคุณค่าซึ่งเกิดจากการที่งานนั้นมีคุณลักษณะที่สามารถให้รางวัลทางจิตใจแก่บุคคลนั้นได้เช่นเป็น งานที่มีความท้าทาย ได้ใช้ทักษะที่หลากหลาย มีอำนาจตัดสินใจด้วยตนเองนอกจากนั้นอาจเป็นงานที่ ส่งเสริมความมีเกียรติการได้เห็นคุณค่าในตนเองและสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของตนเอง (กรอบที่ 6.1)


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 133 ทัศนคติต่องานและองค์การ 139 (2) ความรู้สึกปลอดภัย หมายถึง การที่บุคคลรู้สึกว่าตนเองสามารถแสดงความเป็นตัวของ ตัวเองได้โดยปราศจากความกลัวว่าจะได้รับผลทางลบต่อภาพลักษณ์สถานภาพ หรืออาชีพของตนกล่าว อีกนัยหนึ่งบุคคลจะต้องมีความไว้วางใจในสภาพแวดล้อมของการทำงานจนรู้สึกว่าสามารถแสดงตัวตนที่ แท้จริงออกมาได้โดยไม่ต้องรู้สึกหวาดกลัวสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ปลอดภัยจึงได้แก่การมีความ ไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันระหว่างเพื่อนร่วมงานการมีผู้บังคับบัญชาที่ให้ความสนับสนุนลูกน้อง และการมี วัฒนธรรมองค์การที่เปิดโอกาสให้บุคคลได้แสดงความเป็นตัวของตัวเอง (3) การมีความพร้อม หมายถึงการที่บุคคลรู้สึกว่าตนเองมีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการทำงาน นั้นไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางกายหรือทรัพยากรทางจิตใจกล่าวคือบุคคลจะต้องรู้สึกว่าตนเองสามารถที่ จะนำเอาพลังกายและพลังใจของตนเองมาใช้ในการทำงานนั้นรวมทั้งมีความเชื่อมั่นในความสามารถของ ตนด้วย ช่างก่ออิฐสามคนทำงานอยู่ใกล้กันคนแรกทำอย่างเนือยนายก่ออิฐได้ไม่กี่ก้อนก็พักแล้ว ปล่อยเวลาผ่านไปนานถึงเริ่มก่ออิฐใหม่คนที่สองท่าทางขยันกว่าคนแรก แต่ทำไปก็ดูนาฬิกาไป หน้าตาไม่ค่อยสดใสส่วนคนที่สามนั้นทำงานอย่างกระฉับกระเฉง แม้เหงื่อจะท่วมตัว แต่ก็มีสีหน้า แช่มชื่น เมื่อไปถามทั้งสามคนว่า เขากำลังทำอะไรอยู่คนแรกตอบว่า “ผมกำลังก่ออิฐ ”คนที่สอง ตอบว่า “ผมกำลังก่อกำแพง”ส่วนคนที่สามตอบว่า “ผมกำลังสร้างวัดครับ” ทั้งสามคนทำงานอย่างเดียวกันแต่อากัปกิริยาและความรู้สึกแตกต่างกันสองคนแรกนั้น นอกจากเห็นว่างานของตนไม่ได้มีคุณค่ามากไปกว่าการก่ออิฐก่อกำแพงแล้วลึกๆก็คิดว่างานที่ กำลังทำอยู่เป็นแค่อาชีพที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเท่านั้นตรงข้ามกับคนที่สามซึ่งเห็นว่าตนกำลัง สิ่งที่มีคุณค่าต่อศาสนา เขาไม่ได้คิดว่าตนกำลังประกอบอาชีพเท่านั้นแต่เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ ส่วนรวม มีส่วนในการทำบุญมหากุศลเขาจึงทำด้วยความกระตือรือร้นไม่รู้จักเหนื่อยทั้ง ๆที่อาจ ทำมากกว่าอีกสองคนด้วยซ้ำ (ที่มา : พระไพศาลวิสาโล) 2. แบบจำลองข้อเรียกร้องและทรัพยากรในงาน Bakker and Demerouti (2017) ได้เสนอแบบจำลองข้อเรียกร้องและทรัพยากรในงาน (job demands-resources model)ดังแสดงในภาพที่6.4โดยมีข้อสันนิษฐานดังต่อไปนี้ ข้อสันนิษฐานแรกทรัพยากรในงาน (job resources) เช่นการสนับสนุนทางสังคมจากเพื่อน ร่วมงานและผู้บังคับบัญชาการได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานการได้ใช้ทักษะที่หลากหลาย และการมีอิสระในงานเป็นปัจจัยเริ่มต้นที่นำไปสู่ความผูกพันต่องาน ข้อสันนิษฐานที่สองคือทรัพยากรใน งานจะโดดเด่นและมีอิทธิพลมากขึ้นเมื่อบุคลากรต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องจากงานที่มากขึ้น (เช่น ภาระ งานความกดดันทางจิตใจ) ข้อสันนิษฐานที่สามคือทรัพยากรส่วนบุคคล (personal resources) เป็นอีก ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความผูกพันต่องานกล่าวคือบุคคลที่มีลักษณะมองโลกแง่ดี (optimism) มีความ เชื่อในประสิทธิภาพแห่งตน (self-efficacy) สามารถปรับใจสู่สมดุล (resilience) และมีความภาคภูมิใจ กรอบที่ 6.1 ตัวอย่างความผูกพันต่องานอันเนื่องมาจากความรู้สึกว่างานมีความหมาย


134 | ทัศนคติต่องานและองค์การ จิตวิทยาองคการ 140 ในตน (self-esteem) จะมีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในงานและมีความผูกพันต่อ งานสูงกว่าผู้ที่ไม่มีลักษณะดังกล่าว ภาพที่6.4แบบจำลองความผูกพันต่องาน จากภาพที่6.4จะเห็นได้ว่าทั้งทรัพยากรในงานและทรัพยากรส่วนบุคคลมีอิทธิพลร่วมกันในการ ก่อให้เกิดความผูกพันต่องานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่บุคคลต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องจากงานสูง จากนั้นเมื่อบุคคลเกิดความผูกพันต่องานก็จะส่งผลทางบวกต่อการปฏิบัติงานซึ่งการที่บุคคลมีผลการ ปฏิบัติงานที่ดีก็จะมีผลย้อนกลับทำให้บุคคลสามารถเสริมสร้างทรัพยากรในงานและทรัพยากรส่วนบุคคล ให้เพิ่มมากขึ้นและทำให้เกิดความผูกพันต่องานเพิ่มมากขึ้นอีก


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 135


136 | ทัศนคติต่องานและองค์การ จิตวิทยาองคการ 142 กับผู้อื่นบ่อยครั้ง ชอบการกระตุ้นท้าทาย และมีแนวโน้มที่จะมองโลกในแง่ดีซึ่งลักษณะเหล่านี้เป็น ประโยชน์ต่อการแสวงหาความสนับสนุนทางสังคมจากเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา รวมทั้งการขอ รับทราบข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานด้วยนอกจากนั้นบุคคลที่มีลักษณะบุคลิกภาพแบบ เปิดเผยตนเองยังมีแนวโน้มที่จะมองว่าข้อเรียกร้องจากงานเป็นความท้าทายในงานอีกด้วยการวิจัยแบบ อภิมาน(meta-analysis) ของ Halbesleben (2010) ได้พบว่าการมองโลกในแง่ดีและความเชื่อเกี่ยวกับ ความสามารถของตน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันต่องานในทำนองเดียวกัน Christianet al. (2011)ก็ได้พบว่าลักษณะบุคลิกภาพแบบการมีความสำนึกผิดชอบ(conscientiousness)อารมณ์เชิง บวก(positive affect)และบุคลิกภาพเชิงรุก(proactive personality) ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ ความผูกพันต่องาน Mäkikangas et al. (2013) ได้ชี้ ว่า ลักษณะบุคลิกภาพด้านการเปิดเผยตนเองความ มั ่นคงทางอารมณ์และการมีสำนึกผิดชอบ มี ความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันต่องาน นอกจากนั้น การวิจัยยังได้พบความสัมพันธ์ ระหว่างความผูกพันต่องานกับคุณลักษณะส่วน บุคคลอื่นๆ เช่นความเชื่อเกี่ยวกับความสามารถ ของตนการมองโลกในแง่ดีความภาคภูมิใจในตนเอง (Xanthopoulou et al.,2007) Mäkikangaset al. (2013) ได้เสนอแนะว่าบุคคลที่มีความเชื่อเกี่ยวกับความสามารถของตน มองโลกในแง่ดีและมีความ มั่นคงทางอารมณ์จะมีวิธีการที่ดีในการจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆกล่าวคือบุคคลเหล่านี้จะคาดหวังว่า สิ่งต่าง ๆจะดำเนินไปด้วยดีแต่ก็ยอมรับว่าความล้มเหลวผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา และมองว่าตนเอง สามารถจะเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมชีวิตของตนเองได้ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะทำให้บุคคลสามารถรับมือกับ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี 2. ปัจจัยด้านสถานการณ์ ปัจจัยด้านสถานการณ์ในที่นี้เกี่ยวข้องสถานการณ์การทำงานของ บุคคลซึ่งส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคลเกิดความผูกพันต่องานการวิจัยได้พบว่าการได้รับการสนับสนุนทาง สังคมจากเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา มีส่วนช่วยให้บุคคลเกิดความผูกพันต่องาน(Schaufeli & Bakker, 2004) ในทำนองเดียวกันการวิจัยของ Bakkeret al. (2007) ซึ่งศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นครู ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษาในประเทศฟินแลนด์ได้พบว่าทรัพยากรในงานซึ่งได้แก่ การได้รับการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชาการได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นและบรรยากาศองค์การ เป็นสิ่งที่ ช่วยลดผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่ไม่ดีของนักเรียนและส่งเสริมให้ครูเกิดความผูกพันต่อ งานส่วนการวิจัยระยะยาวของ Maunoet al. (2007) ซึ่งศึกษาการทำงานของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ ในประเทศฟินแลนด์ได้พบว่า พนักงานที่รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจการควบคุมในงานสูง (ในปี2003) มีระดับ ความผูกพันต่องาน (ในปี2005) สูงกว ่าพนักงานที ่รู้สึกว ่าตนเองมีอำนาจการควบคุมในงานต่ำ นอกจากนั้นการวิจัยแบบอภิมานของ Christian et al. (2011)ก็ได้ยืนยันว่าคุณลักษณะของงานที่บุคคล ได้รับมอบหมาย (ซึ่งได้แก่งานที่ได้ใช้ทักษะที่หลากหลายความสำคัญของงานการมีอิสระในการตัดสินใจ การได้รับข้อมูลย้อนกลับ) รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนทางสังคมจากเพื่อนร่วมงานการมีสัมพันธภาพที่ ดีกับผู้บังคับบัญชา เป็นปัจจัยที่ทำนายความผูกพันต่องานดังนั้นอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าคุณลักษณะของ งานรวมทั้งสถานการณ์ในการทำงานที่ดีมีส่วนช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคลเกิดความผูกพันต่องาน


จิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology) | 137 ทัศนคติต่องานและองค์การ 143 ผลของความผูกพันต่องาน นักวิชาการได้ศึกษาผลที่เกิดจากการที่พนักงานมีความผูกพันต่องานในแง่มุมต่าง ๆ เช่นด้าน อารมณ์และพฤติกรรม และด้านผลการดำเนินงานขององค์การ 1. ด้านอารมณ์และพฤติกรรม การวิจัยได้ พบว่าพนักงานที่มีความผูกพันต่องานจะมีความ กระตือรือร้นและอารมณ์ทางบวกมากกว่าพนักงานที่ขาด ความผูกพันต่องาน ตัวอย่างเช่น Schaufeli and Van Rhenen (2006) ได้พบว่าผู้บริหารที่มีความผูกพันต่อ งานมีความร่าเริงกระตือรือร้นและมีพลังในการทำงาน สูงกว่าผู้บริหารที่ขาดความผูกพันต่องานส่วน Bakker and Xanthopoulou (2013) ได้พบว่าครูใหญ่ของ โรงเรียนที่มีความผูกพันต่องานได้รับการประเมินจากครูในโรงเรียนว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง กว่าครูใหญ่ที่ขาดความผูกพันต่องานนอกจากนั้นการวิจัยยังได้พบว่าพนักงานที่มีความผูกพันต่องานจะมี การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากกว่าพนักงานที่ขาดความผูกพันต่องาน(Bakkeret al.,2012) 2. ด้านผลการดำเนินงานขององค์การ การวิจัยได้พบความสัมพันธ์ระหว่างความผูกพันต่อ งานกับผลการปฏิบัติงานดังเช่น Halbesleben and wheeler (2008) ซึ่งศึกษาพนักงานจำนวน587 คน ได้พบว่าความผูกพันต่องานสามารถทำนายการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินด้วย ตนเองหรือจากเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาการวิจัยยังได้พบว่าความผูกพันต่องานสามารถทำนาย ความพึงพอใจของลูกค้าและผลการดำเนินงานขององค์การได้ด้วย ตัวอย่างเช่น Xanthopoulouet al. (2009) ซึ่งศึกษาบริษัทที่ขายอาหารจานด่วนแห่งหนึ่ง ได้พบความสัมพันธ์ทางบวกระหว่างความผูกพันต่อ งานกับผลตอบแทนทางการเงิน ส่วน Salanovaet al. (2005) ก็ได้พบความสัมพันธ์ทางบวกระหว่าง ความผูกพันต่องานกับบรรยากาศการให้บริการลูกค้าซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำนายความภักดีของลูกค้า นอกจากนั้นการวิจัยแบบอภิมานของ Harteret al. (2002) ได้พบว่าความผูกพันต่องานมีความสัมพันธ์ กับอัตรากำไรของบริษัทและความภักดีของลูกค้า Bakker (2009) ได้อธิบายว่าการที่พนักงานที่มีความผูกพันต่องานสามารถทำงานและสร้าง ผลงานได้ดีกว่าผู้ที่ขาดความผูกพันต่องานเนื่องจากเหตุผล4 ประการคือ (1) พนักงานที่มีความผูกพัน ต่องานมีอารมณ์ทางบวกซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถค้นหาความคิดใหม่ๆ และหาทรัพยากรที่ใช้ในการ ทำงานเพิ่มเติม (2) พวกเขามีสุขภาพที่ดีกว่าทำให้สามารถอุทิศตนให้แก่งานได้มากกว่า (3) พวกเขา มองหาข้อมูลย้อนกลับในการทำงานและการสนับสนุนจากผู้อื่น เพื่อที่จะสร้างทรัพยากรในการทำงาน เพิ่มเติม และ (4) พวกเขามีความสามารถที่จะถ่ายทอดความผูกพันต่องานของตนเองไปสู่เพื่อนร่วมงาน ซึ่งทำให้การทำงานของทีมดีขึ้น ความผูกพันต่อองค์การ ความผูกพันต่อองค์การ (organizational commitment) หมายถึง ภาวะที่บุคคลมีความรู้สึกยึด มั่นในองค์การของตนยอมรับเป้าหมายขององค์การ เต็มใจที่จะทุ่มเทความอุตสาหะในการทำงานให้แก่ องค์การและปรารถนาที่จะอยู่ในองค์การต่อไป(Steers & Porter, 1979) แม้ว่าบุคคลจะแสดงความผูกพันต่อองค์การให้เห็นในรูปของการคงความเป็นสมาชิกองค์การแต่ Allen and Meyer (1990) ได้เสนอว่า ความผูกพันต่อองค์การของแต่ละบุคคลอาจมีลักษณะและที่มา


138 | ทัศนคติต่องานและองค์การ


Click to View FlipBook Version