The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

คําวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณคดีชํานัญพิเศษ แผนกคดีแรงงาน


สารบัญ คดีแรงงาน คําวินิจฉัยที่ เรื่อง หนา วร. 1/2560 หนังสือรับสภาพหนี้จากการทํางาน 1 วร. 2/2560 เลิกจางระหวางระยะเวลาทดลองงาน 3 วร. 3/2560 คําสั่งยึดหรืออายัดทรัพยของเลขาธิการสํานักงานประกันสังคม 5 วร. 4/2560 ค้ําประกันการทํางานของลูกจาง 7 วร. 5/2560 ลูกจางลาออกเนื่องจากคําสั่งยายสถานที่ทํางาน 9 วร. 6/๒๕๖๐ ลูกจางละทิ้งหนาที่และผิดนัดชําระหนี้ตามสัญญาจาง 12 วร. 8/2560 ประธานและรองประธานคณะกรรมการดําเนินการของสหกรณ การเกษตร 14 วร. 9/2560 เรียกสวนแพงกําไรและกําไรสะสมจากนายจาง 17 วร. 10/2560 ค้ําประกันการทํางานลูกจาง 21 วร. 11/๒๕๖๐ เผยแพรความลับทางธุรกิจ 24 วร. 12/2560 ผูจัดการแนะนําและขายสินคา 27 วร. 1๓/๒๕๖๐ ผูจัดการไดรับคาจางรายเดือนและคาจางตามผลงานที่ขายสินคาได ในราคาที่เพิ่มขึ้น 29 วร. 14/2560 สัญญาแตงตั้งตัวแทนประกันชีวิต 31 วร. 15/๒๕๖๐ สัญญารักษาความหลังเลิกจาง 34 วร. 16/2560 สหกรณฟองคณะกรรมการดําเนินการ ผูจัดการ และรองผูจัดการ ซึ่งปฏิบัติหนาที่โดยปราศจากความระมัดระวัง ไมรักษาผลประโยชน ของสหกรณและสมาชิกใหรับผิด 36 วร. 17/๒๕๖๐ ผูจัดการนิติบุคคลอาคารชุด 41 วร. 18-32/2560 ครูและบุคลากรทางการศึกษาขอใหโรงเรียนเอกชนรวมกับผิดกับ ลูกจาง 43 วร. 33/2560 คณะกรรมการดําเนินการทําใหสหกรณออมทรัพยเสียหาย 47


คําวินิจฉัยที่ เรื่อง หนา วร. 34/๒๕๖๐ ทวงถามใหลูกจางคืนเงินคา 50 วร. ๓5/๒๕๖๐ นําทรัพยที่รอการขายทอดตลาดของธนาคารไปขายโดยมิชอบ 51 วร. ๓๖/๒๕๖๐ สัญญารับจางรถบริการรับสงพนักงานบริษัท 54 วร. ๓๗/๒๕๖๐ ความรับผิดของผูค้ําประกันการทํางาน กรณีลูกจางยักยอก 56 วร. ๓๘/๒๕๖๐ สัญญาหามนําความลับทางธุรกิจไปเผยแพรแกบุคคลภายนอก 58 วร. ๓๙/๒๕๖๐ ขอเรียกคืนทรัพยสิน ขอมูลเอกสาร และเงิน จากลูกจาง 61 วร. 40/๒๕๖๐ ขอเรียกคาตอบแทนตามสัญญาจางแรงงาน 63 วร. 41/๒๕๖๐ ประธานเจาหนาที่บริหารบริษัท 65 วร. 42/๒๕๖๐ ความรับผิดทางอาญา 68 วร. 43/๒๕๖๐ นายจางนําความเท็จไปรองทุกขตอพนักงานสอบสวน 70 วร. ๔๔/๒๕๖๐ ลูกจางทํางานอื่นซึ่งลักษณะเชนเดียวกับการประกอบธุรกิจ ของนายจาง 72 วร. ๔๕-๔๖/2๕๖๐ นายจางประกาศใหบุคคลทั่วไปทราบวาลูกจางถูกเลิกจาง พรอมเหตุแหงการเลิกจาง 74 วร. 47/๒๕๖๐ ลูกจางเผยแพรขอมูลอันเปนความลับและทรัพยสินทางปญญา 76 วร. 48/2560 ละเมิดในทางการที่จาง 79 วร. 49/2560 ขอตกลงใหปฏิบัติภายหลังการสิ้นสุดของสัญญาจางแรงงาน 81 วร. 50/2560 ระเบียบรัฐวิสาหกิจ 83 วร. 51/๒๕๖๐ ลูกจางละทิ้งหนาที่และทําใหทรัพยสินของนายจางเสียหาย 85 วร. ๕๒/๒๕๖๐ ขอใหลูกจางและผูค้ําประกันรับผิด กรณีลูกจางรับสินคาไปแลวไม นําสงลูกคา หรือเก็บเงินคาสินคาจากลูกคาแลวไมสงคืนนายจาง 87 วร. ๕3/๒๕๖๐ เรียกใหคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดรับผิด 89 วร. ๕4/๒๕๖๐ สิทธิสวัสดิการลูกจาง 93


คําวินิจฉัยที่ เรื่อง หนา วร. 55/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 95 วร. ๕6/๒๕๖๐ เงินที่ลูกจางสํารองจายแทนนายจาง 98 วร. 57/2560 สวัสดิการพนักงาน 100 วร. 58/2560 นายจางสงลูกจางไปอบรมศึกษาดูงาน 102 วร. 59/2560 ชางฟองเรียกคาเสียหายอันเกิดแตมูลละเมิดจากผูรับเหมากอสราง 104 วร. 60/2560 ตัวแทนในการดําเนินคดีและเรียกคาเสียหาย 106 วร. 61/๒๕๖๐ ค้ําประกันการทํางานของลูกจาง 108 วร. 6๒/๒๕๖๐ ผิดสัญญารับจางตัดออย 110 วร. 63/๒๕๖๐ ผิดสัญญารับจางตัดออย 112 วร. 64/2560 ลูกจางลาออกโดยไมแจงลวงหนา 114 วร. 65/2560 โรงเรียนฟองขอใหบังคับครูชําระคาเสียหายจากการลาออก โดยผิดขอตกลงตามสัญญาจาง 115 วร. 66/๒๕๖๐ เรียกคาเสียหายจากอดีตประธานกรรมการบริหาร 116 วร. 67 - 68/๒๕๖๐ พนักงานขับรถหัวลาก 119 วร. 69 - 80/๒๕๖๐ พนักงานขับรถหัวลาก 121 วร. 81/2560 ขอสัญญาหามแขงขันกับนายจาง 124 วร. 82/2560 ขอตกลงแตงตั้งตัวแทนประกันชีวิต 126 วร. 83/2560 กรรมการสหภาพแรงงานทําละเมิด 129 วร. 84/2560 สิทธิซื้อหุนในบริษัทและรับเงินปนผล 131 วร. 85/2560 นายจางรวมรับผิดในการทําละเมิดของลูกจาง 133 วร. 86/2560 ลูกจางขับรถยนตของนายจางโดยประมาท 135 วร. 87/2560 ลูกจางถูกปลดออกจากการเปนกรรมการลูกจาง 137 วร. 88/2560 นายจางรองทุกขกลาวโทษลูกจาง 140


คําวินิจฉัยที่ เรื่อง หนา วร. 89/2560 ขอใหลูกจางและผูค้ําประกันชําระคาเสียหายระหวางการทํางาน 142 วร. 90/2560 บันทึกรับสภาพหนี้คาเสียหายระหวางทํางาน 144 วร. ๙๑/๒๕๖๐ ผูจัดการโรงเรียนถูกกลั่นแกลงใหไมสามารถทนทํางานตอไปได 146 วร. 92/2560 ลูกจางโรงเรียนเอกชนละทิ้งหนาที่ 148 วร. ๙3/๒๕๖๐ แพทยทําหนาที่ปลูกถายเสนผมและบริการจัดการคลินิก 149 วร. 94/2560 ลูกจางรับทุนไปศึกษาอบรมแลวใชทุนไมครบถวน 151 วร. 95/2560 เรียกเงินคืนจากผูจัดการโรงงาน 153 วร. 96/๒๕๖๐ ขอใหลูกจางคืนรถยนตและชําระคาขาดประโยชนจากการใชรถ 155 วร. 97/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 157 วร. ๙๘/๒๕๖๐ การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 159 วร. 99/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 161 วร. 100/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 164 วร. 101/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 167 วร. 102/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 170 วร. 103/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 173 วร. 104/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 176 วร. 106/๒๕๖๐ เลิกจางดวยวาจา 179 วร. 107/๒๕๖๐ หนี้จากการซื้อขายโทรศัพทเคลื่อนที่ 181 วร. 108/2560 คาใชจายฝกอบรมนักบิน 183 วร. 109/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 185 วร. 110/2560 นายหนาจัดหานักกีฬาอาชีพ 188 วร. 111/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 190


คําวินิจฉัยที่ เรื่อง หนา วร. 112/2560 นายจางเพิกเฉยไมมอบหมายงานใหลูกจาง 193 วร. 113 - 115/2560 หักกลบลบหนี้จากเงินโบนัสประจําป 195 วร. 116/๒๕๖๐ เรียกรองใหลูกจางและผูค้ําประกันชดใชคาเสียหาย 198 วร. 117/2560 การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 200 วร. 118/๒๕๖๐ สหกรณเรียกคาเสียหายจากอดีตรองผูจัดการและคณะกรรมการ สหกรณ 203 วร. 119/2560 ความรับผิดทางอาญา 205 วร. 120/2560 นายจางปดกิจการ 207 วร. 121/2560 นายจางปดกิจการ 209 วร. 122/2560 หนังสือเลิกจางกอนครบกําหนดเวลาจาง 211 วร. 123/2560 ขอใหเจาพนักงานชดใชคาเสียหายเนื่องจากถูกเลิกจาง 213 วร. 124 /๒๕๖๐ ลูกจางทําขอมูลการเบิกเงินเดือนโดยไมชอบ 216 วร. 125/2560 ลูกจางแกไขวันลาออกและแกไขฐานขอมูลเงินเดือนโดยไมชอบ 218 วร. 126/2560 ทําหนังสือรับสภาพหนี้หลังเลิกจาง 220 วร. 127/๒๕๖๐ การสงเงินเขากองทุนสงเสริมและพัฒนาคุณภาพ 222 วร. 128/2560 ประธานเจาหนาที่บริหารฟองเรียกคาเสียหายจากการเลิกจาง โดยไมเปนธรรม 225 วร. 129/2560 นําขอมูลอันเปนความลับของนายจางไปเปดเผย 227 วร. 130/2560 ลูกจางรับเหมาคาแรง 230 วร. 131/2560 ลูกจางของบริษัทรับจางปรับปรุงอาคาร 232 วร. 132/2560 แพทยฟองเรียกใหโรงพยาบาลชําระคาตรวจรักษาคนไข คาทําหัตถการ คาชดเชย และคาจาง 236 วร. 133/๒๕๖๐ รับจางขับรถขุดตักทราย 238 วร. 134/2560 ขอใหผูแทนนิติบุคคลรวมรับผิด 240


คําวินิจฉัยที่ เรื่อง หนา วร. 135/๒๕๖๐ รับจางเหมากอสรางอาคาร 244 วร. 136/๒๕๖๐ สหกรณฟองเรียกคาเสียหาย 246 วร. 137/๒๕๖๐ พนักงานฝายจัดหาสปอนเซอร 249 วร. 138/2560 เรียกคาเสียหายจากลูกจาง 251 วร. 139/๒๕๖๐ ลูกจางฟองเรียกคาจางคางจาย 253 วร. 140/๒๕๖๐ พนักงานตําแหนงวิศวกรขายเบียดบังคาออกแบบงานและ ประสานงานกับบุคคลภายนอกบางสวน แลวทําหนังสือ ยอมรับสารภาพผิด 255 วร. 141/2560 ผูรักษาการแทนผูจัดการสหกรณทําเอกสารสใบสั่งซื้อและ ใบสงสินคาปลอม 257 วร. 142/๒๕๖๐ สหกรณฟองเจาหนาที่การตลาดและธุรการที่นําสินคาไปจําหนาย เปนประโยชนตนเอง และฟองผูค้ําประกันการทํางานของลูกจาง ใหรวมรับผิด 259 วร. 143/๒๕๖๐ บริษัทเลิกจางผูจัดการเขตโดยไมมีความผิด 261


๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.1/2560 บริษัท ส.เจริญชัยค้าวัสดุก่อสร้าง จ ากัด โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจ ากัด รวงข้าวก่อสร้าง กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้ำงโจทก์ท ำหน้ำที่ขำยสินค้ำอันได้แก่วัสดุ ก่อสร้ำงของโจทก์ให้แก่จ ำเลยที่ 1 ซึ่งมีจ ำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดกำร โดยจ ำเลยที่ 3 จะยอมรับผิด ชดใช้ค่ำสินค้ำรวมทั้งดอกเบี้ยและค่ำเสียหำยอื่น ๆ ทั้งหมดหำกโจทก์ไม่ได้รับช ำระหนี้จำกจ ำเลยที่ 1 ตำมหนังสือรับสภำพหนี้และหนังสือรับสภำพควำมรับผิด ดังนี้กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงให้จ ำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ได้รับช ำระหนี้จำกลูกค้ำที่จ ำเลยที่ 3 ตกลงขำยวัสดุก่อสร้ำงให้อันเกิดจำก กำรท ำงำนของจ ำเลยที่ 3 ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ 3 จึงเป็นคดีพิพำท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำง และลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (1) (5) ______________________ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด มีวัตถุประสงค์ขายวัสดุก่อสร้าง จ าเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจ ากัดประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีจ าเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และหุ้นส่วนประเภทไม่จ ากัดความรับผิด จ าเลยที่ 3 เป็นพนักงานขายสินค้าของโจทก์และได้ตกลงขายวัสดุ ก่อสร้างให้แก่จ าเลยที่ 1 ต่อมาจ าเลยที่ 1 ไม่ช าระค่าสินค้าดังกล่าวแล้วจ าเลยที่ 1 โดยจ าเลยที่ 2 ตกลง ท าหนังสือรับสภาพหนี้ว่าเป็นหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างโจทก์ 222,450.23 บาท ตกลงจะผ่อนช าระเป็น รายเดือนเดือนละไม่ต่ ากว่า 20,000 บาท เริ่มช าระงวดแรกวันที่ 1 มิถุนายน 2558 จะช าระหนี้ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 โดยมีจ าเลยที่ 3 เข้าผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อช าระหนี้ ตามหนังสือรับสภาพความรับผิด หากจ าเลยที่ 1 ไม่ช าระ ปรากฏว่าจ าเลยทั้งสามผิดนัดไม่ช าระหนี้ท าให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสามร่วมกันช าระเงิน 222,450.23 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินจ านวนดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นค าให้การ จ าเลยที่ 3 ให้การว่า มูลคดีเกิดขณะจ าเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างโจทก์ หนังสือรับสภาพ ความรับผิดระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ 3 เป็นข้อพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างจึงอยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงาน อีกทั้งโจทก์บังคับให้จ าเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับผิดในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะให้ จ าเลยที่ 3 ออกจากงาน ดังนั้น หนังสือรับสภาพความรับผิดตามฟ้องจึงมิได้เกิดจากการแสดงเจตนา อันแท้จริงของจ าเลยที่ 3 และไม่ใช่หนังสือค้ าประกันที่จ าเลยที่ 3 ผูกพันตนเพื่อช าระหนี้หากจ าเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ช าระ โจทก์จึงไม่มีอ านาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง


๒ ระหว่างพิจารณา ศาลแขวงชลบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ 3 อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่จึงส่งส านวนมาให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษ วินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ 3 อยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างโจทก์ท าหน้าที่ ขายสินค้าอันได้แก่วัสดุก่อสร้างของโจทก์ให้แก่จ าเลยที่ 1 ซึ่งมีจ าเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยจ าเลยที่ 3 จะยอมรับผิดชดใช้ค่าสินค้ารวมทั้งดอกเบี้ยและค่าเสียหายอื่น ๆ ทั้งหมดหากโจทก์ไม่ได้รับ ช าระหนี้จากจ าเลยที่ 1 ตามหนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือรับสภาพความรับผิดเอกสารท้ายค าฟ้อง หมายเลข 3 และ 4 ดังนี้กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างให้จ าเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ได้รับช าระหนี้ จากลูกค้าที่จ าเลยที่ 3 ตกลงขายวัสดุก่อสร้างให้อันเกิดจากการท างานของจ าเลยที่ 3 ตามสัญญาจ้าง แรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ 3 จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5)


๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.2/2560 นายว่าที่ร้อยเอกศาสตรา ฐิติวัฒนา โจทก์ บริษัทสรีทสิสร์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (2), 9 วรรคสอง ตำมค ำฟ้องของโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยได้ว่ำจ้ำงโจทก์ท ำงำนในต ำแหน่งผู้จัดกำร ฝ่ำยเทคโนโลยีสำรสนเทศ ตกลงจ่ำยค่ำจ้ำงเป็นรำยเดือน นับแต่วันที่ ๑ ธันวำคม พ.ศ.๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑ ธันวำคม พ.ศ.๒๕๕๘ ซึ่งมีรำยละเอียดของสัญญำว่ำโจทก์จะต้องทดลองงำน ๑๑๙ วัน และระหว่ำงนี้ จ ำเลยอำจเลิกสัญญำได้และถ้ำโจทก์ผ่ำนกำรทดลองงำนจ ำเลยจะยืนยันกำรจ้ำงงำนเป็นลำยลักษณ์อักษร อีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งโจทก์จะต้องปฏิบัติตำมกฎและข้อบังคับของจ ำเลย จ ำเลยมีสิทธิมอบหมำยหรือ โอนงำนใหม่ให้โจทก์ได้หรือย้ำยโจทก์ไปท ำงำนที่ส ำนักงำนใหม่ก็ได้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่จ ำเลย ดังนี้ ตำมค ำฟ้องของโจทก์แสดงว่ำโจทก์หำได้มีอิสระในกำรท ำงำนโดยไม่ต้องปฏิบัติตำมกฎระเบียบข้อบังคับ เกี่ยวกับกำรท ำงำนหรือภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำของจ ำเลยไม่ หำกแต่โจทก์และจ ำเลยต่ำงมี นิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน เมื่อจ ำเลยบอกเลิกสัญญำจ้ำงและ ค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงและเงินอื่น ๆ ตำมค ำฟ้อง กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยผู้เป็นนำยจ้ำงไม่ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับ จ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรคุ้มครองแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัดได้ว่าจ้างโจทก์ท างานในต าแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ นับแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตกลงจ่าย ค่าจ้างเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท เมื่อครบก าหนดเวลาตามสัญญาจ้างดังกล่าวแล้วจ าเลยยังคงให้โจทก์ท างาน ในต าแหน่งดังกล่าวต่อไปตามอัตราค่าจ้างเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ จ าเลยมีหนังสือบอกเลิก สัญญาจ้างกับโจทก์อ้างว่าโจทก์ท างานเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่แล้วเสร็จซึ่งไม่เป็นความจริงและเป็น การกลั่นแกล้งโจทก์ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าจ้างค้างช าระ ๑๙๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีและเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวทุกระยะเวลา เจ็ดวัน ค่าชดเชย ๒๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวทุกระยะเวลาเจ็ดวัน ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ๔๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจ านวนดังกล่าวคืนเงินสะสม ๒๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงินจ านวนดังกล่าว ทั้งนี้นับแต่วันที่จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ (วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป จนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์และให้จ าเลยด าเนินการถอนการติดตั้งโปรแกรมที่โจทก์เป็น


๔ ผู้สร้างสรรค์และพัฒนาออกจากคอมพิวเตอร์ของจ าเลยทั้งหมด ห้ามจ าเลยและบริวารใช้โปรแกรมดังกล่าว อีกต่อไป จ าเลยให้การว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจ าเลยเป็นการจ้างเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เชื่อมโยงในหน่วยงานของจ าเลยทั้งองค์กรตั้งแต่การผลิตสินค้า บริหารสินค้าคงคลัง การจัดจ าหน่าย สินค้าทั้งสาขาในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย ซึ่งมีก าหนด ระยะเวลาการจ้างไว้ชัดเจนตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รวมเป็นเงิน ๑,๖๘๐,๐๐๐ บาท ตกลงแบ่งจ่ายค่าจ้างเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๗ โจทก์กับจ าเลยยังตกลงกันว่าหากโจทก์ท าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนบัญชีและงานฝ่ายผลิตไม่เสร็จก็จะ ยินยอมให้จ าเลยหักเงินไว้เป็นรายเดือน เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจ าเลยในฐานะผู้ว่าจ้างมีสิทธิยึดหน่วง สินจ้างไว้จนกว่าโจทก์ในฐานะผู้รับจ้างจะท างานเสร็จตามสัญญา อีกทั้งลักษณะการท างานของโจทก์นั้น จ าเลยไม่สามารถบังคับโจทก์ได้อย่างพนักงานทั่วไปของจ าเลยและโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการอื่น ๆ หากโจทก์ท างานล่าช้าและบกพร่องแล้วจ าเลยไม่สามารถลงโทษโจทก์ได้คงมีสิทธิ เพียงแต่ยึดหน่วงสินจ้างไว้จนกว่างานจะแล้วเสร็จหรือบอกเลิกสัญญาเท่านั้น สัญญาระหว่างโจทก์และ จ าเลยจึงเป็นสัญญาจ้างท าของไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลาง เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่จึงส่งส านวนมาให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยได้ว่าจ้างโจทก์ท างานในต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามสัญญาจ้างงานเอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๒ ซึ่งมีรายละเอียดของสัญญาว่าโจทก์จะต้อง ทดลองงาน ๑๑๙ วัน และระหว่างนี้จ าเลยอาจเลิกสัญญาได้และถ้าโจทก์ผ่านการทดลองงานจ าเลยจะยืนยัน การจ้างงานเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งโจทก์จะต้องปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับของจ าเลย จ าเลยมีสิทธิมอบหมายหรือโอนงานใหม่ให้โจทก์ได้หรือย้ายโจทก์ไปท างานที่ส านักงานใหม่ก็ได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่จ าเลย ดังนี้ตามค าฟ้องของโจทก์แสดงว่าโจทก์หาได้มีอิสระในการท างานโดยไม่ต้อง ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานหรือภายใต้อ านาจบังคับบัญชาของจ าเลยไม่ หากแต่ โจทก์และจ าเลยต่างมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อจ าเลยบอกเลิก สัญญาจ้างและค้างจ่ายค่าจ้างและเงินอื่น ๆ ตามค าฟ้อง กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยผู้เป็นนายจ้าง ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงาน และตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างโจทก์ กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมาย ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒)


๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.3/2560 นางสาวรังสิมา ครองสิริฤทธิ์ โจทก์ นางสาวภัทรธิดา แซ่อั้ง กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำโจทก์เป็นเจ้ำของและเป็นผู้จัดกำรร้ำนค้ำสวัสดิกำรภำยใน มหำวิทยำลัยรำชภัฏจันทรเกษม จ ำเลยที่ ๑ เป็นพนักงำนของโจทก์ ต ำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดกำรร้ำนค้ำ มีหน้ำที่ดูแลรับผิดชอบกำรขำยสินค้ำภำยในร้ำนค้ำและรับเงินจำกลูกค้ำ มีจ ำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ ำประกัน กำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยที่ ๑ ยักยอกเงินโจทก์หลำยครั้ง ต่อมำจ ำเลยที่ ๑ ท ำหนังสือรับสภำพหนี้ต่อโจทก์โดยตกลงจะช ำระเงินภำยในวันที่ ๑๕ พฤษภำคม ๒๕๕๘ แต่จ ำเลยที่ ๑ ไม่ช ำระเงินตำมก ำหนด ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกัน จ ำเลยที่ ๑ ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำ ละเมิดต่อโจทก์เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และหนี้ตำมหนังสือรับสภำพหนี้นั้นก็เป็นหนี้ ที่เกิดจำกกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และ เป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ส่วนคดี ระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ นั้น เป็นกรณีที่โจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกัน กำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค าฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้จัดการร้านค้าสวัสดิการภายใน มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม จ าเลยที่ ๑ เป็นพนักงานของโจทก์ ต าแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการร้านค้า มีหน้าที่ ดูแลรับผิดชอบการขายสินค้าภายในร้านค้าและรับเงินจากลูกค้า มีจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ าประกันการท างาน ของจ าเลยที่ ๑ ระหว่างท างานจ าเลยที่ ๑ ยักยอกเงินโจทก์หลายครั้งท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมา จ าเลยที่ ๑ ท าหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์โดยตกลงจะช าระเงินภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ แต่จ าเลยที่ ๑ ไม่ช าระเงินตามก าหนด โจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้วแต่จ าเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับ จ าเลยทั้งสองช าระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จ าเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นค าให้การ จ าเลยที่ ๒ ให้การว่า ตามค าฟ้องของโจทก์อ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างยักยอกเงินของโจทก์ ระหว่างท างานกับโจทก์ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาท แรงงานหรือเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีจึงอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน


๖ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) จ าเลยที่ ๑ ไม่ได้ยักยอกสินค้าในร้านค้าของโจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้ท าขึ้นโดยจ าเลยที่ ๑ ถูกข่มขู่ สัญญาค้ าประกัน ท าขึ้นก่อนจ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์ ทั้งไม่ระบุวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้ ลักษณะของมูลหนี้ จ านวนเงิน สูงสุดที่ค้ าประกันและระยะเวลาก่อหนี้ที่จะค้ าประกัน สัญญาค้ าประกันจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จ าเลยทั้งสอง ยื่นค าร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง (ที่ถูกคือ ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษ) วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ ศาลแพ่งจึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้จัดการร้านค้าสวัสดิการภายในมหาวิทยาลัย ราชภัฏจันทรเกษม จ าเลยที่ ๑ เป็นพนักงานของโจทก์ ต าแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการร้านค้า มีหน้าที่ดูแล รับผิดชอบการขายสินค้าภายในร้านค้าและรับเงินจากลูกค้า มีจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ าประกันการท างานของ จ าเลยที่ ๑ ระหว่างท างานจ าเลยที่ ๑ ยักยอกเงินโจทก์หลายครั้ง ต่อมาจ าเลยที่ ๑ ท าหนังสือรับสภาพหนี้ ต่อโจทก์โดยตกลงจะช าระเงินภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ แต่จ าเลยที่ ๑ ไม่ช าระเงินตามก าหนด ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้าง และลูกจ้างกัน จ าเลยที่ ๑ ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์เกี่ยวกับ การท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน และหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นก็เป็นหนี้ที่เกิดจากการกล่าวอ้างว่า จ าเลยที่ ๑ ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ นั้น เป็นกรณี ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ าประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)


๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.4/2560 บริษัท อาหารยอดคุณ จ ากัด โจทก์ นายธวัชชัย นราวิริยะกุล กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (2) (5), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงของโจทก์ท ำงำนในต ำแหน่งพนักงำน หน่วยรถเงินสด มีหน้ำที่ขำยสินค้ำและรับเงินค่ำสินค้ำจำกลูกค้ำ มีจ ำเลยที่ ๒ เข้ำผูกพันตนเป็น ผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ต่อมำปรำกฏว่ำจ ำเลยที่ ๑ เบิกสินค้ำประเภทขนมอบกรอบ ไปจ ำหน่ำยแล้วไม่ได้น ำส่งเงินค่ำสินค้ำดังกล่ำวและไม่ได้คืนสินค้ำที่ยังไม่จ ำหน่ำยให้แก่โจทก์ ท ำให้ โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์และจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็น นำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ต่อมำระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงไม่ปฏิบัติ หน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำน และเป็นกำรกล่ำวอ้ำงให้จ ำเลยที่ ๒ รับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็น คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำง นำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำน และวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ เป็นคดี พิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด มีวัตถุประสงค์ผลิตและจ าหน่ายอาหาร ส าเร็จรูป เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ โจทก์ตกลงจ้างจ าเลยที่ ๑ ท างานในต าแหน่งพนักงานหน่วยรถ เงินสดมีหน้าที่ขายสินค้าและรับเงินค่าสินค้าจากลูกค้า โดยมีจ าเลยที่ ๒ เข้าผูกพันตนเป็นผู้ค้ าประกัน การท างานของจ าเลยที่ ๑ โดยตกลงว่าหากจ าเลยที่ ๑ ท าให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ จ าเลยที่ ๒ ยินยอมรับผิดต่อโจทก์จ ากัดจ านวนไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาระหว่างวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จ าเลยที่ ๑ เบิกสินค้าประเภทขนมอบกรอบจากโจทก์ไปหลายรายการแจ้งว่าจะน าไป จ าหน่ายให้แก่ลูกค้าเป็นเงิน ๒๕๖,๐๕๘.๑๔ บาท และมีสินค้าที่จ าเลยที่ ๑ เคยเบิกไปแล้วยังไม่จ าหน่ายอีก ๒,๐๒๐.๐๑ บาท รวมเป็นเงิน ๒๕๘,๐๗๘.๑๕ บาท ซึ่งจ าเลยที่ ๑ จะต้องน าส่งเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ภายในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ แต่จ าเลยที่ ๑ ส่งคืนเพียงบางส่วนเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ คงค้างช าระเป็นเงิน ๒๔๓,๐๗๘.๑๕ บาท และดอกเบี้ย ๕,๒๕๗ บาท ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ บังคับจ าเลยทั้งสองร่วมกันช าระเงิน ๒๔๘,๓๓๕.๑๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๔๓,๐๗๘.๑๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์


๘ จ าเลยที่ ๒ ให้การว่า คดีอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน เพราะโจทก์เป็น นายจ้าง จ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของโจทก์โดยมีจ าเลยที่ ๒ เข้าผูกพันตนเป็นผู้ค้ าประกันการท างานของ จ าเลยที่ ๑ ต่อมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่จ าเลยที่ ๑ ไม่ได้น าส่งเงินค่าสินค้าและคืนสินค้าให้แก่โจทก์ คดีจึงมี มูลพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึง ไม่มีอ านาจฟ้องจ าเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดมีนบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนมาให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของโจทก์ท างานในต าแหน่งพนักงานหน่วยรถเงินสด มีหน้าที่ขายสินค้าและรับเงินค่าสินค้าจากลูกค้า มีจ าเลยที่ ๒ เข้าผูกพันตนเป็นผู้ค้ าประกันการท างานของ จ าเลยที่ ๑ โดยตกลงว่าหากจ าเลยที่ ๑ ท าให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ จ าเลยที่ ๒ ยินยอมรับผิดต่อโจทก์จ ากัดจ านวนไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาปรากฏว่าจ าเลยที่ ๑ เบิกสินค้าประเภท ขนมอบกรอบไปจ าหน่ายแล้วไม่ได้น าส่งเงินค่าสินค้าดังกล่าวและคืนสินค้าที่ยังไม่จ าหน่ายให้แก่โจทก์ ท าให้ โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๒๔๘,๓๓๕.๑๕ บาท ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์และจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน ต่อมาระหว่างท างานจ าเลยที่ ๑ ผู้เป็น ลูกจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างาน ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นการกล่าวอ้างให้จ าเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะผู้ค้ าประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒)


๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.5/2560 นายเสกสรร อันถาธาน โจทก์ บริษัทดูโฮม จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (2) ตำมค ำฟ้องของโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงที่สำขำอุดรธำนี ต ำแหน่งสุดท้ำยเจ้ำหน้ำที่พัฒนำกำรค้ำ ได้รับค่ำจ้ำงเดือนสุดท้ำย ๓๒,๐๐๐ บำท และได้จัดสวัสดิกำร ให้โจทก์ได้ใช้รถยนต์ เพื่อควำมสะดวกในกำรติดต่อกับลูกค้ำ ต่อมำจ ำเลยมีค ำสั่งย้ำยโจทก์ให้ไปปฏิบัติ หน้ำที่ที่ส ำนักงำนใหญ่ซึ่งอยู่จังหวัดอุบลรำชธำนีเพื่อทดแทนอัตรำว่ำงโดยไม่เปิดโอกำสให้โจทก์ ได้มีระยะเวลำเตรียมตัวทั้ง ๆ ที่โจทก์มีเหตุขัดข้องและควำมจ ำเป็นต้องดูแลครอบครัวจนโจทก์ต้องยื่น หนังสือลำออกอันเป็นกำรใช้อุบำยฉ้อฉลโจทก์โดยที่ควำมจริงแล้วจ ำเลยมีเจตนำเลิกจ้ำงโจทก์และ ไม่ต้องกำรจ่ำยเงินตำมกฎหมำย ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์ และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้ำงและนำยจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง และเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ จ ำเลยมีฐำนะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ำกัด เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎำคม ๒๕๕๑ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงที่สำขำอุดรธำนี ต ำแหน่งสุดท้ำยเจ้ำหน้ำที่ พัฒนำกำรค้ำ ได้รับค่ำจ้ำงเดือนสุดท้ำย ๓๒,๐๐๐ บำท ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยได้จัดสวัสดิกำรรถยนต์ยี่ห้อ ฟอร์ด หมำยเลขทะเบียน กอ ๘๐๐๒ ขอนแก่น ให้แก่โจทก์ เพื่อควำมสะดวกในกำรติดต่อกับลูกค้ำตำม พื้นที่ต่ำง ๆ ซึ่งรถยนต์ดังกล่ำวจ ำเลยซื้อด้วยเงินสดแล้วน ำมำตั้งเป็นยอดหนี้ให้โจทก์ผ่อนช ำระเป็นงวด ๆ โดยหักจำกค่ำจ้ำงของโจทก์แต่ละเดือน เดือนละ ๑๓,๓๒๓ บำท หำกโจทก์ช ำระค่ำงวดดังกล่ำวครบถ้วนแล้ว จ ำเลยจะด ำเนินกำรโอนหลักฐำนทำงทะเบียนเป็นชื่อโจทก์ ต่อมำวันที่ ๒๕ กันยำยน ๒๕๕๙ จ ำเลยมีค ำสั่ง ย้ำยโจทก์ให้ไปปฏิบัติหน้ำที่ที่ส ำนักงำนใหญ่ซึ่งอยู่จังหวัดอุบลรำชธำนี เพื่อทดแทนอัตรำว่ำงโดยให้มีผล ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยำยน ๒๕๕๙ ซึ่งไม่เปิดโอกำสให้โจทก์ได้มีระยะเวลำเตรียมตัวท ำให้มีผลกระทบต่อ ครอบครัวที่โจทก์มีภำระต้องดูแล จ ำเลยทรำบเหตุขัดข้องดังกล่ำวแล้ว แต่กลับเพิกเฉยและแจ้งว่ำหำกโจทก์ ไม่สำมำรถปฏิบัติตำมค ำสั่งได้ก็ให้ยื่นหนังสือลำออกอันเป็นกำรใช้อุบำยฉ้อฉลโจทก์จนโจทก์ต้องยื่นหนังสือ ลำออกแก่จ ำเลย โดยที่ควำมจริงแล้วจ ำเลยมีเจตนำเลิกจ้ำงโจทก์และไม่ต้องกำรจ่ำยเงินตำมที่กฎหม ำย ก ำหนด โดยคงจ่ำยค่ำชดเชยให้แก่โจทก์เพียง ๖๒,๐๐๐ บำท ซึ่งน้อยกว่ำจ ำนวนค่ำชดเชยที่ควรจะได้รับ ขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยเงินค่ำงวดรถยนต์ที่หักจำกค่ำจ้ำงของโจทก์รวมเป็นเงิน ๒๓๔,๘๒๔ บำท พร้อมดอกเบี้ย อัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี สินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ๓๗,๓๑๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕


๑๐ ต่อปี ค่ำชดเชยที่คงเหลืออีก ๑๙๓,๘๔๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี และค่ำเสียหำยจำก กำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ๒๒๔,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ตกลงเช่ำซื้อรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด หมำยเลขทะเบียน กอ ๘๐๐๒ ขอนแก่น จำกจ ำเลยในรำคำ ๗๙๙,๐๐๐ บำท เพื่อควำมสะดวกในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของโจทก์ โดยจ ำเลยมีระเบียบ ให้พนักงำนที่น ำรถยนต์ส่วนตัวมำใช้ในกิจกำรของจ ำเลยมีสิทธิเบิกจ่ำยค่ำตอบแทนได้ แต่ถ้ำเป็นพนักงำน ที่ได้ใช้รถยนต์หรือยำนพำหนะที่เป็นทรัพย์สินของจ ำเลยแล้วไม่สำมำรถเบิกจ่ำยค่ำตอบแทนได้จ ำเลยมี ค ำสั่งย้ำยโจทก์ให้ไปปฏิบัติหน้ำที่ที่ส ำนักงำนใหญ่ เนื่องจำกพนักงำนในต ำแหน่งหน้ำที่เดียวกันกับโจทก์ ที่ส ำนักงำนใหญ่มีเพียง ๑ คน และเป็นพนักงำนใหม่ จึงต้องกำรให้โจทก์มำปฏิบัติหน้ำที่เพียงชั่วครำว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่จ ำเลยเพรำะโจทก์เป็นผู้มีควำมรู้ควำมสำมำรถและประสบกำรณ์ในกำรท ำงำน มำนำน ค ำสั่งของจ ำเลยที่ให้ย้ำยโจทก์จึงเป็นกำรกระท ำโดยสุจริตและชอบธรรม เมื่อโจทก์มีเหตุขัดข้อง และควำมจ ำเป็นได้สมัครใจลำออกเอง จ ำเลยอนุญำตและได้จ่ำยเงินจ ำนวนหนึ่งเป็นกำรตอบแทนที่โจทก์ ปฏิบัติงำนให้แก่จ ำเลยมำนำนพอสมควร โดยไม่มีเจตนำใช้อุบำยฉ้อฉลโจทก์เพื่อหลีกเลี่ยงกำรปฏิบัติตำม กฎหมำย ดังนั้น จ ำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ำยเงินจ ำนวนใด ๆ ตำมฟ้อง อีกทั้งกรณีพิพำทเรื่องรถยนต์ดังกล่ำว ก็ไม่ใช่คดีแรงงำนจึงไม่อยู่ในเขตอ ำนำจของศำลแรงงำนภำค ๔ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๔ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ ตำมค ำฟ้องของโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงที่สำขำอุดรธำนีต ำแหน่งสุดท้ำย เจ้ำหน้ำที่พัฒนำกำรค้ำ ได้รับค่ำจ้ำงเดือนสุดท้ำย ๓๒,๐๐๐ บำท และได้จัดสวัสดิกำรให้โจทก์ได้ใช้รถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด หมำยเลขทะเบียน กอ ๘๐๐๒ ขอนแก่น เพื่อควำมสะดวกในกำรติดต่อกับลูกค้ำตำมพื้นที่ต่ำง ๆ โดยจ ำเลยซื้อรถยนต์ดังกล่ำวแล้วน ำรำคำมำตั้งเป็นยอดหนี้ให้โจทก์ผ่อนช ำระด้วยกำรหักเงินค่ำงวดรถยนต์ จำกค่ำจ้ำงของโจทก์เดือนละ ๑๓,๓๒๓ บำท หำกโจทก์ช ำระค่ำงวดครบถ้วนแล้วจ ำเลยจะด ำเนินกำร โอนหลักฐำนทำงทะเบียนเป็นชื่อโจทก์ ต่อมำจ ำเลยมีค ำสั่งย้ำยโจทก์ให้ไปปฏิบัติหน้ำที่ที่ส ำนักงำนใหญ่ ซึ่งอยู่จังหวัดอุบลรำชธำนีเพื่อทดแทนอัตรำว่ำงโดยไม่เปิดโอกำสให้โจทก์ได้มีระยะเวลำเตรียมตัวทั้ง ๆ ที่ โจทก์มีเหตุขัดข้องและควำมจ ำเป็นต้องดูแลครอบครัวจนโจทก์ต้องยื่นหนังสือลำออกอันเป็นกำรใช้อุบำย ฉ้อฉลโจทก์โดยที่ควำมจริงแล้วจ ำเลยมีเจตนำเลิกจ้ำงโจทก์และไม่ต้องกำรจ่ำยเงินตำมกฎหมำย ท ำให้โจทก์ ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้ำงและนำยจ้ำงกัน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ซึ่งในกำรปฏิบัติหน้ำที่ในทำงกำรที่จ้ำงนั้นจ ำเลยผู้เป็นนำยจ้ำงได้จัดสวัสดิกำรให้โจทก์ ได้มีรถยนต์ใช้ในกำรติดต่อกับลูกค้ำอันเป็นสภำพกำรจ้ำงอย่ำงหนึ่ง และเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยเลิกจ้ำง โจทก์โดยไม่เป็นธรรมด้วยกำรใช้อุบำยฉ้อฉลโจทก์โดยออกค ำสั่งย้ำยโจทก์ให้ไปปฏิบัติหน้ำที่ที่ ส ำนักงำนใหญ่ในระยะเวลำกระชั้นชิดจนโจทก์ต้องยื่นหนังสือลำออก โดยมีเจตนำเลิกจ้ำงโจทก์ และไม่ต้องกำรจ่ำยเงินตำมกฎหมำย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่


๑๑ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง และเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒)


๑๒ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.6/2560 บริษัทฟู้ดแลนด์ เกาะช้าง จ ากัด โจทก์ นายพอล เอมิล หรืออีสปีเกล จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (2) (5) โจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยผู้เป็นลูกจ้ำงปฏิบัติผิดหน้ำที่และกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับ กำรท ำงำนตำมสัญญำ โดยละทิ้งหน้ำที่เป็นเวลำสำมวันท ำงำนติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรและ ยังผิดนัดไม่ช ำระหนี้ที่เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงที่ค้ำงช ำระแก่โจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (1) (2) (5) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ำกัด มีวัตถุประสงค์จ ำหน่ำยเครื่องอุปโภค บริโภคและประกอบกิจกำรร้ำนอำหำร จ ำเลยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งผู้จัดกำรอำหำรและเครื่องดื่ม เมื่อวันที่ ๑ ธันวำคม ๒๕๕๘ จ ำเลยขอลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำง โดยให้มีผลในวันที่ ๓๑ ธันวำคม ๒๕๕๘ ปรำกฏว่ำนับแต่วันที่ ๑๑ ธันวำคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป จ ำเลยไม่ยอมมำท ำงำนตำมปกติโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทรำบ อันเป็นกำรละทิ้งหน้ำที่เป็นเวลำสำมวันท ำกำรติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งที่ช่วงระยะเวลำดังกล่ำว โจทก์ต้องเตรียมกำรจ ำหน่ำยอำหำรและเครื่องดื่มในเทศกำลวันคริสต์มำสและวันขึ้นปีใหม่ ท ำให้โจทก์ ไม่สำมำรถหำลูกจ้ำงที่มีควำมรู้ควำมสำมำรถมำท ำงำนแทนจ ำเลยได้ทัน เป็นเหตุให้ต้องสูญเสียค่ำใช้จ่ำย ในกำรเตรียมงำน ๒๓๐,๐๐๐ บำท และก ำไรที่จะได้รับ ๓๑๕,๐๐๐ บำท นอกจำกนี้ก่อนที่จ ำเลยจะขอ ลำออกโจทก์ออกเงินทดรองค่ำใช้จ่ำยในกำรท ำและขอใบอนุญำตท ำงำนให้แก่จ ำเลย ๓๕,๐๐๐ บำท ค่ำซ่อมรถยนต์ที่จ ำเลยขับเฉี่ยวชนโดยประมำท ๑๐๐,๐๐๐ บำท และเสียค่ำเช่ำรถยนต์มำใช้ระหว่ำงซ่อม ๔๐,๐๐๐ บำท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๒๐,๐๐๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงินจ ำนวนดังกล่ำว พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ในวันนัดชี้สองสถำนหรือสืบพยำนโจทก์จ ำเลยยื่นค ำร้องว่ำคดีอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำน ศำลจังหวัดตรำดเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนหรือไม่จึงส่งส ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำจ ำเลยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งผู้จัดกำรอำหำรและเครื่องดื่ม เมื่อวันที่ ๑ ธันวำคม


๑๓ ๒๕๕๘ จ ำเลยขอลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำง โดยให้มีผลในวันที่ ๓๑ ธันวำคม ๒๕๕๘ ปรำกฏว่ำนับแต่วันที่ ๑๑ ธันวำคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป จ ำเลยกลับละทิ้งหน้ำที่เป็นเวลำสำมวันท ำกำรติดต่อกันโดยไม่มีเหตุ อันสมควร ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์ เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยผู้เป็นลูกจ้ำงปฏิบัติผิดหน้ำที่และ กระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำ โดยละทิ้งหน้ำที่เป็นเวลำสำมวันท ำงำน ติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร และยังผิดนัดไม่ช ำระหนี้ที่เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงที่ค้ำงช ำระแก่ โจทก์คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและ คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) (๕)


๑๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.8/2560 สหกรณ์การเกษตรนครไทย จ ากัด โจทก์ นายอานนท์ เกตุสุธรรม กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ 7 และที่ 8 เป็นประธำนและรองประธำนคณะกรรมกำร ด ำเนินกำรของโจทก์โดยไม่ปรำกฏว่ำมีสัญญำจ้ำงพนักงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๗ และที่ 8 โจทก์กับ จ ำเลยที่ 7 และที่ 8 จึงหำมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนไม่ อีกทั้ง ก็ไม่ปรำกฏว่ำจ ำเลยที่ 7 และที่ 8 ได้รับค่ำตอบแทนจำกโจทก์เป็นค่ำตอบแทนในกำรท ำงำนตำม ข้อบังคับส ำหรับระยะเวลำกำรท ำงำนปกติเป็นรำยเดือนหรือระยะเวลำอื่นหรือจ่ำยให้โดยค ำนวณตำม ผลงำนที่จ ำเลยที่ 7 และที่ 8 ท ำได้ในเวลำท ำงำนปกติของวันท ำงำนอันเป็นค่ำจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มำตรำ 5 แม้กำรด ำเนินกำรในกิจกำรของโจทก์ที่เกี่ยวกับบุคคลภำยนอก จ ำเลยที่ 7 และที่ 8 ในฐำนะประธำนและรองประธำนคณะกรรมกำรด ำเนินกำรตำมล ำดับจะต้อง ลงลำยมือชื่อร่วมกับจ ำเลยที่ 1 ในฐำนะผู้จัดกำรตำมข้อบังคับโจทก์ก็ตำม ก็เป็นเพียงกำรกระท ำเพื่อให้ กิจกำรดังกล่ำวมีผลผูกพันโจทก์ตำมข้อบังคับเท่ำนั้น แต่หำมีผลท ำให้จ ำเลยที่ 7 และที่ 8 ในฐำนะ ประธำนและรองประธำนคณะกรรมกำรด ำเนินกำรกลับอยู่ภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำของโจทก์หรือเป็น ลูกจ้ำงโจทก์แต่อย่ำงใดไม่ ดังนั้นคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ 7 และที่ 8 จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำท อย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีฐำนะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์กำรเกษตรตำมพระรำชบัญญัติ สหกรณ์พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ตกลงว่ำจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ท ำหน้ำที่ต ำแหน่งผู้จัดกำร และที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ มีมติเลือกจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ เป็นประธำนและรองประธำนคณะกรรมกำรด ำเนินกำรตำมล ำดับ เพื่อเป็น ประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ดังกล่ำว มีจ ำเลยที่ ๒ น ำที่ดินตำมหนังสือรับรองกำรท ำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๓๐๓ ต ำบลนครชุม อ ำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มำจดทะเบียนจ ำนองไว้แก่โจทก์ในวงเงิน ๘๐,๐๐๐ บำท และจ ำเลยที่ ๓ น ำที่ดินตำมหนังสือรับรองกำรท ำประโยชน์(น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๓๐๔ ต ำบล นครชุม อ ำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มำจดทะเบียนจ ำนองไว้แก่โจทก์ในวงเงิน ๖๐,๐๐๐ บำท จ ำเลยที่ ๔ และนำยอุ่น วงพิมเสน ผู้ตำยตกลงเข้ำผูกพันตนเป็นผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ โดยยอมรับผิด ไม่จ ำกัดจ ำนวน ส่วนจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นบุตรและภริยำชอบด้วยกฎหมำยของนำยอุ่นตำมล ำดับ เมื่อวันที่ ๗ ตุลำคม ๒๕๕๔ จ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ ซึ่งมีหน้ำที่ตำมต ำแหน่งดังกล่ำวได้ร่วมกันกระท ำกำร ในนำมโจทก์ตกลงซื้อที่ดินไม่มีเอกสำรสิทธิของนำยสมพจน์ จ ำปำแก้ว เนื้อที่ ๑๖๐ ไร่ รำคำ ๑,๙๐๐,๐๐๐ บำท แต่หลังจำกท ำสัญญำโจทก์ไม่สำมำรถเข้ำครอบครองท ำประโยชน์ในที่ดินได้เนื่องจำกที่ดินดังกล่ำว


๑๕ อยู่ในเขตป่ำสงวนแห่งชำติและถูกเจ้ำพนักงำนตรวจยึดคืน ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ต่อมำจ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ ตกลงร่วมกันท ำหนังสือรับสภำพหนี้โดยรับว่ำจะผ่อนช ำระเงินค่ำซื้อที่ดินคืนให้แก่โจทก์ เป็นงวดรวม ๓ งวด แต่จ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ กลับผิดนัดไม่ช ำระหนี้ตำมหนังสือรับสภำพหนี้ดังกล่ำว โจทก์จึงขอคิดดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้อง ๑๑๕,๑๗๑.๒๓ บำท รวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น ๒,๐๑๕,๑๗๑.๒๓ บำท จ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐำนะผู้จ ำนอง จ ำเลยที่ ๔ ในฐำนะผู้ค้ ำประกัน กับจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ในฐำนะทำยำทโดยธรรมของนำยอุ่นผู้ค้ ำประกันต้องร่วมกันรับผิดตำมวงเงิน ต่อโจทก์ขอให้บังคับจ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ ร่วมกันช ำระเงิน ๒,๐๑๕,๑๗๑.๒๓ บำท พร้อมดอกเบี้ย อัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของเงินจ ำนวนดังกล่ำว จ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐำนะผู้จ ำนอง จ ำเลยที่ ๔ ในฐำนะ ผู้ค้ ำประกันกับจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ในฐำนะทำยำทโดยธรรมดังกล่ำวร่วมกันรับผิดตำมวงเงินคนละ ๖๑,๒๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของเงินจ ำนวนดังกล่ำว ทั้งนี้นับถัดจำกวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จ หำกจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ช ำระให้ยึดที่ดินตำมหนังสือรับรองกำรท ำ ประโยชน์(น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๓๐๓ และเลขที่ ๓๐๔ ต ำบลนครชุม อ ำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ออกขำยทอดตลำดน ำเงินมำช ำระหนี้ให้แก่โจทก์ จ ำเลยทั้งแปดให้กำรว่ำ โจทก์มีวัตถุประสงค์ในกำรซื้อที่ดินของสมำชิกโจทก์ทั้งที่ดินที่มี เอกสำรสิทธิและไม่มีเอกสำรสิทธิเพื่อป้องกันไม่ให้สมำชิกต้องสูญเสียที่ดินจำกกำรกว้ำนซื้อที่ดินของนำยทุน นอกพื้นที่อันส่งผลกระทบต่อควำมมั่นคงของโจทก์ จ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ ได้ตกลงซื้อที่ดินของ นำยสมพจน์ จ ำปำแก้ว ในนำมโจทก์ตำมวัตถุประสงค์ดังกล่ำว กำรที่เจ้ำพนักงำนตรวจยึดที่ดินดังกล่ำวคืน จึงไม่ใช่ควำมผิดของจ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ อีกทั้งหลังจำกท ำสัญญำแล้วโจทก์ก็ได้ให้นำยสมพจน์ตกลง ซื้อที่ดินนั้นคืนด้วยกำรผ่อนช ำระรำคำตำมวิธีปฏิบัติของโจทก์ แต่นำยสมพจน์ไม่ยอมซื้อคืน โจทก์จึงน ำที่ดิน ดังกล่ำวออกให้สมำชิกเช่ำท ำประโยชน์แทน นำยสมพจน์ต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่โจทก์กลับไม่ด ำเนินคดีแก่ นำยสมพจน์และยังแต่งตั้งให้นำยสมพจน์ด ำรงต ำแหน่งเลขำนุกำรคณะกรรมกำรด ำเนินกำรของโจทก์ อีกด้วย กำรที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นกำรใช้สิทธิไม่สุจริต หนังสือรับสภำพหนี้ตำมฟ้องตกเป็นโมฆะเพรำะเป็น กำรแสดงเจตนำลวงโดยโจทก์มิได้มีเจตนำจะให้จ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ ร่วมกันช ำระหนี้กันจริงเนื่องจำก โจทก์ได้รับประโยชน์จำกกำรให้เช่ำที่ดินนั้นแล้ว จ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐำนะผู้จ ำนองที่ดินเป็นประกัน จ ำเลยที่ ๔ ในฐำนะผู้ค้ ำประกัน กับจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ในฐำนะทำยำทโดยธรรมของนำยอุ่น วงพิมเสน ผู้ค้ ำประกันร่วมจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพรำะต่ำงได้จดทะเบียนจ ำนองที่ดินและตกลงค้ ำประกัน เพื่อเป็นประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ เฉพำะต ำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดกำรเท่ำนั้น โจทก์ไม่มีอ ำนำจฟ้อง จ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ เนื่องจำกจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ไม่ได้เป็นลูกจ้ำงโจทก์แต่เป็นเพียงประธำนและ รองประธำนคณะกรรมกำรด ำเนินกำรของโจทก์ตำมล ำดับเท่ำนั้น คดีของจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ จึงไม่ใช่ คดีแรงงำน และคดีโจทก์ขำดอำยุควำมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๖ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์ คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง


๑๖ พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ อยู่ใน อ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ แม้โจทก์จะบรรยำยฟ้องอ้ำงว่ำ เมื่อวันที่ ๗ ตุลำคม ๒๕๕๔ ระหว่ำง ที่จ ำเลยที่ ๑ ด ำรงต ำแหน่งผู้จัดกำร จ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ด ำรงต ำแหน่งประธำนและรองประธำน คณะกรรมกำรด ำเนินกำรของโจทก์ตำมล ำดับได้ร่วมกันกระท ำกำรในนำมโจทก์ตกลงซื้อที่ดินไม่มี เอกสำรสิทธิของนำยสมพจน์จ ำปำแก้ว แล้วหลังจำกท ำสัญญำโจทก์ไม่สำมำรถเข้ำครอบครองท ำประโยชน์ ในที่ดินดังกล่ำวได้จึงตกลงให้จ ำเลยที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่ำซื้อที่ดินให้แก่โจทก์ตำม หนังสือรับสภำพหนี้เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๑๘ ถึง ๒๐ ก็ตำม แต่คงได้ควำมว่ำเฉพำะจ ำเลยที่ ๑ เท่ำนั้นที่เป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งผู้จัดกำรตำมสัญญำจ้ำงพนักงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ เอกสำรท้ำย ค ำฟ้องหมำยเลข ๗ ส่วนจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ เป็นเพียงประธำนและรองประธำนคณะกรรมกำรด ำเนินกำร ของโจทก์ตำมล ำดับ โดยได้รับเลือกแต่งตั้งจำกที่ประชุมใหญ่ของสมำชิกและที่ประชุมของคณะกรรมกำร ดังกล่ำวตำมข้อบังคับโจทก์เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๔ หมวดที่ ๘ คณะกรรมกำร ข้อ ๖๘ โดยไม่ปรำกฏว่ำมีสัญญำจ้ำงพนักงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ เหมือนเช่นจ ำเลยที่ ๑ ด้วย ดังนั้นโจทก์กับจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ จึงหำมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนไม่ อีกทั้งก็ไม่ปรำกฏว่ำจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ได้รับค่ำตอบแทนจำกโจทก์เป็นค่ำตอบแทนในกำรท ำงำน ตำมข้อบังคับส ำหรับระยะเวลำกำรท ำงำนปกติเป็นรำยเดือนหรือระยะเวลำอื่นหรือจ่ำยให้โดยค ำนวณ ตำมผลงำนที่จ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ท ำได้ในเวลำท ำงำนปกติของวันท ำงำนอันเป็นค่ำจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๕ แม้กำรด ำเนินกำรในกิจกำรของโจทก์ที่เกี่ยวกับบุคคลภำยนอก จ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ในฐำนะประธำนและรองประธำนคณะกรรมกำรด ำเนินกำรตำมล ำดับจะต้องลงลำยมือชื่อ ร่วมกันกับจ ำเลยที่ ๑ ในฐำนะผู้จัดกำรตำมข้อบังคับโจทก์เอกสำรท้ำยค ำฟ้อง หมำยเลข ๔ หมวดที่ ๔ กำรด ำเนินงำน ข้อ ๑๒ ก็ตำมก็เป็นเพียงกำรกระท ำเพื่อให้กิจกำรดังกล่ำวมีผลผูกพันโจทก์ตำมข้อบังคับ เท่ำนั้น แต่หำมีผลท ำให้จ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ในฐำนะประธำนและรองประธำนคณะกรรมกำรด ำเนินกำร กลับอยู่ภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำของโจทก์หรือเป็นลูกจ้ำงโจทก์แต่อย่ำงใดไม่ ดังนั้นคดีระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยที่ ๗ และที่ ๘ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘


๑๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.9/2560 นายสันติ คุปครรชิตกุล โจทก์ บริษัท ไพร้ซ์สานนท์ประภาสและวีนน์ จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงจ ำเลยที่ 1 เมื่อจ ำเลยที่ 1 เลื่อนต ำแหน่งให้โจทก์ เป็นทนำยควำมระดับสูง/นักกฎหมำยระดับสูง ท ำให้โจทก์มีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งก ำไรจำกค่ำบริกำรที่ จ ำเลยที่ 1 เรียกเก็บจำกลูกค้ำตำมผลงำนที่โจทก์ท ำได้ตำมหลักเกณฑ์วิธีกำรค ำนวณส่วนแบ่งก ำไรที่ จ ำเลยที่ 1 เป็นผู้ก ำหนด ซึ่งจ ำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ก็ทรำบข้อตกลงเกี่ยวกับส่วนแบ่งดังกล่ำวระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยที่ 1 และจ ำเลยที่ 1 เองได้จัดสรรให้แก่โจทก์มำตลอด ก่อนเลิกจ้ำงจ ำเลยที่ 1 คงค้ำงช ำระ ส่วนแบ่งก ำไรและก ำไรสะสม เป็นกำรกล่ำวอ้ำงให้จ ำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันรับผิดจำกกำรที่จ ำเลยที่ 1 ผู้เป็นนำยจ้ำงปฏิบัติไม่ถูกต้องตำมข้อตกลงในกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีตำมค ำฟ้องโจทก์ ข้อ 2 ที่เกี่ยวกับเงินส่วนแบ่งก ำไรและก ำไรสะสมจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (1) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการ ให้ค าปรึกษาทางกฎหมายอรรถคดีแก ่บุคคลทั ่วไปทั้งในและนอกราชอาณาจักร มีจ าเลยที่ ๒ ถึงที ่ ๕ เป็นกรรมการผู้มีอ านาจกระท าการแทน จ าเลยที่ ๖ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยกองทุนส ารอง เลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ จ าเลยที่ ๗ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ประเภทจัดการกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ โจทก์ท างานเป็นลูกจ้างจ าเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ต าแหน่งทนายความ/นักกฎหมาย (Associate Lawyer) และได้เลื่อนต าแหน่งตามล าดับจนกระทั่งปี๒๕๔๕ จ าเลยที่ ๑ เลื่อนต าแหน่งให้โจทก์เป็นทนายความระดับสูง/นักกฎหมายระดับสูง (Partner) ซึ่งมีสิทธิได้รับ ส่วนแบ่งก าไรจากค่าบริการที่จ าเลยที่ ๑ เรียกเก็บจากลูกค้าตามผลงานที่โจทก์ท าได้ตามหลักเกณฑ์วิธีการ ค านวณส่วนแบ่งก าไรที่จ าเลยที่ ๑ ก าหนด และเดิมจ าเลยที่ ๑ ตกลงจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์เดือนละ ๔๑๐,๐๐๐ บาท ต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ โจทก์ได้รับการอนุมัติปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ระหว่างท างานโจทก์ได้ซื้อรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน ฌง ๒๙๔๐ กรุงเทพมหานคร ด้วยเงินค่าใช้จ่ายตามสิทธิแต่จดทะเบียนรถยนต์ไว้ในนามของจ าเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ร่วมกันเลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์ไม่ได้ประพฤติผิดอย่างร้ายแรงหรือ ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือค าสั่งของจ าเลยที่ ๑ อันชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติต่อโจทก์อย่างไม่เป็นธรรมเพื่อจ าเลยที่ ๑ จะได้


๑๘ ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือเงินจ านวนอื่นใดที่กฎหมายก าหนดหรือตามสัญญาที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับ และเป็นเหตุ ให้จ าเลยที่ ๖ และที่ ๗ ปฏิเสธไม่จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบที่โจทก์มีสิทธิได้รับ เต็มจ านวนตามข้อบังคับของจ าเลยที่ ๖ ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ร่วมกันจ่ายค่าชดเชย ๖,๒๖๑,๖๔๓.๗๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑๕ ของต้นเงินดังกล่าวทุกเวลาเจ็ดวัน สินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า ๙๘๐,๙๙๐.๗๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๗๘๓,๓๓๓.๓๙ บาท และเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑๕ ของต้นเงินดังกล่าวทุกเวลาเจ็ดวัน ค่าจ้างส าหรับวันหยุดพักผ่อนประจ าปี ๒๒๙,๕๙๓.๗๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑๘๓,๓๓๓.๓๗ บาท และเงินเพิ่ม อัตราร้อยละ ๑๕ ของต้นเงินดังกล่าวทุกเวลาเจ็ดวัน ค่าจ้างส าหรับวันหยุดพักผ่อนประจ าปีสะสม ๕,๒๘๐,๖๕๔.๐๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔,๒๑๖,๖๖๗.๕๑ บาท และเงินเพิ่ม อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวทุกเวลาเจ็ดวัน เงินส่วนแบ่งก าไรและก าไรสะสม ๕๕,๐๓๑,๖๗๒.๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๔๖,๙๔๓,๖๐๒.๘๔ บาท ค่าจ้างค้างจ่ายเดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นเงิน ๑๒๒,๘๘๐.๕๖ บาท ๑๒๐,๔๓๙.๔๘ บาท ๑๑๘,๒๕๗.๓๑ บาท ๑๑๕,๘๕๓.๒๒ บาท ๑๑๓,๖๗๑.๐๔ บาท ตามล าดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท ในแต่ละเดือน และเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑๕ ของต้นเงินดังกล่าวทุกเวลา เจ็ดวัน ค่าจ้างค้างจ่ายเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ รวมสิบสามวัน เป็นเงิน ๔๘,๘๔๐.๗๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๓๙,๐๐๐ บาท และเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑๕ ของต้นเงินดังกล่าว ทุกเวลาเจ็ดวัน ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ๑๒,๗๗๑,๗๘๐.๘๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าขาดประโยชน์จากเงินส่วนแบ่งก าไร ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ค่าเสียหายจากการกระท าละเมิด ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว ทั้งนี้ดอกเบี้ยและเงินเพิ่มแต่ละจ านวนดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จ และให้ร่วมกันออกใบรับรองการท างานและลักษณะงาน ให้แก่โจทก์ ให้จ าเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕ ร่วมกันจดทะเบียนโอนรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน ฌง ๒๙๔๐ กรุงเทพมหานคร เป็นชื่อโจทก์ โดยจ าเลยที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากไม่ด าเนินการดังกล่าว ให้ถือเอาค าพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ให้จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ร่วมกันโฆษณาค าพิพากษาของศาล พร้อมค าแปลเป็นภาษาอังกฤษลงประกาศในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์และเดลินิวส์ฉบับรายวันเป็นเวลา สิบห้าวันติดต่อกัน และให้แจ้งผลค าพิพากษาของศาลพร้อมค าแปลดังกล่าวให้แก่ลูกค้าจ าเลยที่ ๑ ทราบ พร้อมส่งส าเนาที่แจ้งให้โจทก์ทราบโดยจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ออกค่าใช้จ่าย ให้จ าเลยที่ ๖ และที่ ๗ ร่วมกัน จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบรวมเป็นเงิน ๔,๗๙๘,๐๑๕.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔,๕๒๖,๔๒๙.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๕ ที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของจ าเลยที่ ๑ ได้มีมติแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการ ผู้มีอ านาจท าการแทนจ าเลยที่ ๑ และเป็นผู้ถือหุ้นของจ าเลยที่ ๑ (Partner) ท าให้โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ไม่มีนิติสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างกันอีกนับแต่นั้นไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างแต่คงได้รับ ผลประโยชน์จากส่วนแบ่งก าไรตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของจ าเลยที่ ๑ และมีสิทธิเบิกเงินล่วงหน้า


๑๙ รายเดือนและเงินเบิกคืนค่าใช้จ่ายโดยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นหรือที่ประชุมของ คณะกรรมการจ าเลยที่ ๑ การจ่ายส่วนแบ่งก าไรดังกล่าวอยู่ในดุลพินิจของจ าเลยที่ ๑ และไม่มีข้อตกลงว่า จะจ่ายให้เฉพาะกรรมการผู้มีอ านาจคนใดคนหนึ่ง ต่อมาวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมใหญ่วิสามัญ ผู้ถือหุ้นของจ าเลยที่ ๑ ได้มีมติถอดถอนโจทก์ออกจากกรรมการผู้มีอ านาจท าการแทนเนื่องจากโจทก์ มีพฤติการณ์ก้าวร้าวไม่มีเหตุผลและไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ถือหุ้นและกรรมการคนอื่น ๆ โจทก์จึง กลับมาเป็นลูกจ้างของจ าเลยที่ ๑ อีกครั้งนับแต่วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นมา และได้รับค่าจ้าง เดือนละ ๔๑๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์กลับจงใจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานโดยมาท างานสาย และเลิกงานก่อนเวลาก าหนดจนจ าเลยที่ ๑ ต้องมีหนังสือเตือนหลายครั้งเพื่อให้โอกาสโจทก์ปรับปรุงแก้ไข ตนเอง แต่โจทก์ก็ไม่น าพาแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว จ าเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะเลิกจ้าง โจทก์และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างส าหรับวันหยุดพักผ่อนประจ าปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และเงินจ านวนอื่น ๆ พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง และโจทก์ต้องคืน บัตรอิเล็กทรอนิกส์เข้าออกส านักงานให้แก่จ าเลยที่ ๑ ส าหรับรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิหมายเลขทะเบียน ฌง ๒๙๔๐ กรุงเทพมหานคร นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของจ าเลยที่ ๑ ไม่ใช่ของโจทก์การที่โจทก์ครอบครอง รถยนต์ดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์ในการท างานให้แก่จ าเลยที่ ๑ เมื่อจ าเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์แล้วโจทก์ยัง ไม่ส่งมอบคืนท าให้จ าเลยที่ ๑ ต้องขาดประโยชน์จากการใช้สอยรถยนต์ดังกล่าว ค าฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับ ส่วนแบ่งก าไรและก าไรสะสมเป็นฟ้องเคลือบคลุมและเป็นข้อพิพาททางแพ่งระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น กับจ าเลยที่ ๑ ไม่ใช่คดีแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าจ้างส าหรับวันหยุดพักผ่อนประจ าปี ที่ใช้สิทธิเกินเป็นเงิน ๔๑๔,๖๔๖.๔๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่ วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จ ให้โจทก์ส่งมอบบัตรอิเล็กทรอนิกส์เข้าออกส านักงานคืนจ าเลยที่ ๑ ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีหากไม่ส่งมอบให้ชดใช้ค่าเสียหาย ๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ให้ส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน ฌง ๒๙๔๐ กรุงเทพมหานคร ในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้ดีหากไม่ส่งมอบให้ชดใช้ราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ทั้งนี้นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จ ให้ช าระค่าขาดประโยชน์ จากการใช้รถยนต์ดังกล่าว ๓๓๐,๐๐๐ บาท และค่าขาดประโยชน์เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องแย้ง เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้แก่จ าเลยที่ ๑ จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ให้การว่า จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ตามสัญญาจ้าง แรงงาน โจทก์จึงไม่มีอ านาจฟ้องจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ให้รับผิดเป็นการส่วนตัว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ เกี่ยวกับส่วนแบ่งก าไรและก าไรสะสมเป็นข้อพิพาททางแพ่งระหว่างโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นกับจ าเลยที่ ๑ ไม่ใช่คดีแรงงาน โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานและค าสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรม ซึ่งจ าเลยที่ ๑ ได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วแต่โจทก์ยังคงกระท าผิดซ้ าค าเตือนอีก จ าเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยชอบด้วยกฎหมายและไม่ต้องรับผิดเงินจ านวนใด ๆ ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๖ ให้การว่า จ าเลยที่ ๑ ได้เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ เกี่ยวกับการท างานหรือค าสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในเรื่องร้ายแรง โจทก์จึงไม่มี สิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ ขอให้ยกฟ้อง


๒๐ จ าเลยที่ ๗ ให้การว่า จ าเลยที่ ๑ มีหนังสือให้จ าเลยที่ ๗ ทราบว่าจ าเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์แล้ว เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เนื่องจากโจทก์กระท าผิดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานและ กระท าผิดซ้ าค าเตือน จ าเลยที่ ๗ จึงด าเนินการตามข้อบังคับกองทุนโดยการกระจายเงินสมทบและ เงินผลประโยชน์ของเงินสมทบกลับเข้ากองทุนเพื่อจัดสรรให้แก่สมาชิก โจทก์ต้องเรียกร้องเงินดังกล่าว จากจ าเลยที่ ๖ จึงไม่มีอ านาจฟ้องจ าเลยที่ ๗ ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจ าปีตามปกติโดยไม่เคยถูกเตือน เป็นหนังสือว่าใช้สิทธิเกิน จ าเลยที่ ๑ จึงเรียกค่าจ้างส าหรับวันหยุดพักผ่อนประจ าปีคืนไม่ได้ส่วนรถยนต์ ยี่ห้อมิตซูบิชิหมายเลขทะเบียน ฌง ๒๙๔๐ กรุงเทพมหานครเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งซื้อด้วยเงิน ตามสิทธิมาใช้สอยส่วนตัวไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการท างานให้แก่จ าเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องส่งมอบคืนและโจทก์ ส่งมอบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเข้าออกส านักงานคืนให้แก่จ าเลยที่ ๑ แล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง วันนัดไกล่เกลี่ยพิจารณาและก าหนดประเด็นข้อพิพาท จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ยื่นค าร้องว่า คดีตามค าฟ้องโจทก์ข้อ ๒ ที่เกี่ยวกับเงินส่วนแบ่งก าไรและก าไรสะสมไม่อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงาน ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีตามค าฟ้องโจทก์ข้อ ๒ ดังกล่าวอยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีตามค าฟ้องโจทก์ข้อ ๒ ที่เกี่ยวกับเงินส่วนแบ่ง ก าไรและก าไรสะสมอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ ท างานเป็นลูกจ้างจ าเลยที่ ๑ เมื่อจ าเลยที่ ๑ เลื่อนต าแหน่งให้โจทก์เป็นทนายความระดับสูง/นักกฎหมาย ระดับสูง (Partner) ท าให้โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งก าไรจากค่าบริการที่จ าเลยที่ ๑ เรียกเก็บจาก ลูกค้าตามผลงานที่โจทก์ท าได้ตามหลักเกณฑ์วิธีการค านวณส่วนแบ่งก าไรที่จ าเลยที่ ๑ เป็นผู้ก าหนด ซึ่งจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ก็ทราบข้อตกลงเกี่ยวกับส่วนแบ่งดังกล่าวระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ และจ าเลยที่ ๑ เองได้จัดสรรให้แก่โจทก์มาตลอด ก่อนเลิกจ้างจ าเลยที่ ๑ คงค้างช าระส่วนแบ่งก าไรและก าไรสะสม เป็นเงินทั้งสิ้น ๔๖,๙๔๓,๖๐๒.๘๔ บาท ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างให้จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ร่วมกันรับผิด จากการที่จ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นนายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องตามข้อตกลงในการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีตามค าฟ้องโจทก์ข้อ ๒ ที่เกี่ยวกับเงินส่วนแบ่งก าไรและก าไรสะสมจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)


๒๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.10/2560 บริษัทเนชั่นแมน (ไทยแลนด์) จ ากัด โจทก์ นายอภิชาติหรือธนาพิพัฒน์ กิมศรีหรือกิมสิริไพริน กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์และจ ำเลยที่ 1 มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้ำงไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับสัญญำจ้ำงแรงงำน แม้โจทก์กับจ ำเลยที่ 1 จะตกลงท ำสัญญำกู้ยืมเงิน และหนังสือรับสภำพหนี้กันไว้ก็ตำมแต่ก็มีมูลหนี้มำจำกกำรที่จ ำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ 1 จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (1) (5) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยที่ 2 นั้น เป็นกรณีที่โจทก์กล่ำวอ้ำงให้จ ำเลยที่ 2 รับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำน ของจ ำเลยที่ 1 ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ 1 คดีระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยที่ 2 จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด จ าเลยที่ ๑ เป็นพนักงานโจทก์ต าแหน่ง ผู้แทนฝ่ายขายต่างจังหวัดประจ าภาคอีสาน มีหน้าที่หาลูกค้า ขายสินค้าและเก็บเงินค่าสินค้า ทั้งยังต้องรับผิดหนี้ค่าสินค้าที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้จากลูกค้าด้วย โดยมีจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ าประกัน การท างานของจ าเลยที่ ๑ ดังกล่าว ระหว่างท างานจ าเลยที่ ๑ เบิกเงินเบี้ยเลี้ยงไปท ายอดขายสินค้า ให้ได้ตามเป้าหมายหลายครั้ง แต่ไม่ส าเร็จจึงตกลงท าสัญญากู้ยืมเงิน ๕๘๓,๖๐๒.๒๕ บาท ไว้แก่โจทก์ นอกจากนี้จ าเลยที่ ๑ ยังยักยอกสินค้าและค้างช าระหนี้ค่าสินค้าที่เรียกเก็บเงินไม่ได้พร้อมด้วยดอกเบี้ย ค่าสินค้าช ารุดที่รับคืนจากลูกค้าโดยโจทก์ไม่ยินยอม และค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่จ าเลยที่ ๑ ใช้สอย ตามหน้าที่รวมเป็นเงิน ๑,๖๖๗,๖๖๐.๘๓ บาท และเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จ าเลยที่ ๑ ไม่สามารถเรียกเก็บเงินค่าสินค้าและดอกเบี้ยจากลูกค้าได้อีกหลายรายเป็นเงิน ๖๙๔,๒๐๒.๓๑ บาท รวมเป็นเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จ าเลยที่ ๑ ต้องรับผิดทั้งสิ้น ๓,๑๑๔,๓๑๐.๑๒ บาท จ าเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ าประกันต้องร่วมรับผิดช าระเงินจ านวนดังกล่าวด้วย ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสอง ร่วมกันช าระเงิน ๓,๑๑๔,๓๑๐.๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจาก วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์เอารัดเอาเปรียบพนักงานทุกคนรวมทั้งจ าเลยที่ ๑ โดยมี ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมว่าหากขายสินค้าไม่ได้ตามเป้าหมายก็จะให้จ าเลยที่ ๑ ท าสัญญากู้ยืมเงิน


๒๒ หรือหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ทั้ง ๆ ที่จ าเลยที่ ๑ ไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์หรือเป็นหนี้อื่น ๆ ตามที่โจทก์อ้าง สัญญากู้ และหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องจึงเป็นนิติกรรมอ าพรางและเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ฟ้องโจทก์เป็น คดีแรงงานและขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาค้ าประกันเป็นเอกสารปลอมที่โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ร่วมกันจัดท าขึ้น จ าเลยที่ ๒ รู้จักจ าเลยที่ ๑ เนื่องจากจ าเลยที่ ๑ ชักชวนให้ขายสินค้าเพื่อหารายได้พิเศษ จึงได้มอบเอกสารส าคัญประจ าตัวให้แก่จ าเลยที่ ๑ โดยไม่มีเจตนาท าสัญญาค้ าประกันการท างานของ จ าเลยที่ ๑ จ าเลยที่ ๒ ประกอบอาชีพให้เช่ารถยนต์ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย มีรายได้ต่อเดือน ไม่ต่ ากว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่เมื่อถูกโจทก์ฟ้องท าให้เสื่อมเสียความน่าเชื่อถือมีรายได้ลดลงเหลือเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีด้วย รวมเป็นค่าเสียหายที่จ าเลยที่ ๒ ได้รับทั้งสิ้น ๓๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ช าระเงินจ านวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่จ าเลยที่ ๒ วันนัดไกล่เกลี่ย ให้การ และสืบพยาน จ าเลยที่ ๑ ยื่นค าร้องว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงาน ศาลจังหวัดนครปฐมเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นพนักงานโจทก์ต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายต่างจังหวัดประจ า ภาคอีสาน มีหน้าที่หาลูกค้า ขายสินค้าและเรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าเมื่อถึงก าหนดช าระ หากเรียกเก็บไม่ได้ต้องรับผิดด้วยการท าสัญญากู้ยืมและหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์โดยมีจ าเลยที่ ๒ เข้าผูกพันตนเป็นผู้ค้ าประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ ระหว่างท างานจ าเลยที่ ๑ ท าสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ หลายครั้งและมีหนี้ต้องรับผิดเป็นค่าสินค้าที่จ าเลยที่ ๑ ยักยอกไป ค่าสินค้าที่ไม่สามารถเรียกเก็บจาก ลูกค้าได้ค่าสินค้าช ารุดที่รับคืนจากลูกค้าโดยโจทก์ไม่ยินยอม ค่าดอกเบี้ยที่ลูกค้าค้างช าระ และค่าเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ที่จ าเลยที่ ๑ ใช้สอยตามหน้าที่ ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ๓,๑๑๔,๓๑๐.๑๒ บาท ดังนี้กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญา จ้างแรงงาน ระหว่างท างานจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท า ละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน แม้โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จะตกลง ท าสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือรับสภาพหนี้กันไว้ก็ตามแต่ก็มีมูลหนี้มาจากการที่จ าเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ นั้น เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างให้จ าเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะผู้ค้ าประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่อง กับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย


๒๓ สิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)


๒๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.11/2560 บริษัทเอ็มโอจี อินดัสทรี เทรนนิ่ง จ ากัด โจทก์ บริษัทพัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล เซฟตี้ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เคยมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำง และลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน เมื่อจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ลำออกจำกกำรเป็นพนักงำนโจทก์แล้ว ได้ร่วมกันปฏิบัติผิดหน้ำที่และกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนด้วยกำรจัดตั้งบริษัทจ ำเลยที่ ๑ ขึ้นเพื่อประกอบกิจกำรที่มีลักษณะเดียวกันแข่งขันกับโจทก์ โดยน ำควำมลับทำงธุรกิจของโจทก์เกี่ยวกับหลักสูตรกำรฝึกอบรมต่ำง ๆ ไปเผยแพร่หำประโยชน์จำก บุคคลภำยนอกและชักชวนลูกค้ำโจทก์ไปเป็นลูกค้ำจ ำเลยที่ ๑ รวมทั้งเรียกเก็บค่ำฝึกอบรมแต่ละ หลักสูตรต่ ำกว่ำที่โจทก์ก ำหนด แม้จ ำเลยที่ ๑ จะเป็นนิติบุคคลแยกต่ำงหำกจำกจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ก็ตำม แต่จ ำเลยที่ ๑ ก็เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่ต่ำงร่วมกันเป็นกรรมกำร ผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทนจ ำเลยที่ ๑ โดยมีจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นพนักงำนซึ่งจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ล้วนแต่เคยเป็นพนักงำนโจทก์ ดังนั้น กำรประกอบกิจกำรในทำงธุรกิจของจ ำเลยที่ ๑ อันเป็นกำร แข่งขันกับโจทก์โดยจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ดังกล่ำว ย่อมเป็นกรณีที่สืบเนื่องมำจำกกำรที่จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนที่ท ำไว้แก่โจทก์และเกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัดประกอบกิจการฝึกอบรมหลักสูตร เฉพาะด้านสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ให้บริการสอนหลักสูตรทักษะที่จ าเป็นในการท างาน ทั้งบนชายฝั่งและนอกชายฝั่งแก่อุตสาหกรรมด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศ จ าเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัดประกอบกิจการลักษณะเดียวกับโจทก์ดังกล่าว ส่วนจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เคยท างานเป็นพนักงานโจทก์ต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม ครูฝึกอาวุโส ฝ่ายซ่อมบ ารุง ผู้ช่วยฝ่าย ซ่อมบ ารุง และครูฝึกอบรม ตามล าดับ ซึ่งอ านาจหน้าที่ตามต าแหน่งของจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ นั้น ท าให้ทราบ ความลับทางธุรกิจของโจทก์ จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จึงตกลงว่าจะไม่น าความลับทางธุรกิจของโจทก์ไปเผยแพร่ แก่บุคคลภายนอก มิฉะนั้นจะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ ต่อมาจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ได้ลาออกจากการเป็นพนักงานโจทก์แล้วจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจ าเลยที่ ๑ ประกอบกิจการ ลักษณะเดียวกับโจทก์โดยต่างร่วมกันเป็นกรรมการผู้มีอ านาจกระท าการแทนจ าเลยที่ ๑ ส่วนจ าเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นพนักงาน มีที่ท าการตั้งอยู่ละแวกเดียวกับที่ท าการโจทก์ อีกทั้งจ าเลยที่ ๑ ยังเรียกเก็บ ค่าฝึกอบรมแต่ละหลักสูตรต่ ากว่าที่โจทก์ก าหนดเป็นเหตุให้ลูกค้าเปลี่ยนไปสมัครฝึกอบรมกับจ าเลยที่ ๑


๒๕ แทน ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้จ าเลยที่ ๓ ต้องรับผิด ค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ที่โจทก์ออกให้ระหว่างเป็นพนักงาน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับ จ าเลยทั้งหกร่วมกันช าระเงิน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ดังกล่าว ให้จ าเลยที่ ๓ ช าระเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ดังกล่าว ทั้งนี้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้มีค าสั่งห้ามจ าเลยที่ ๑ ประกอบกิจการลักษณะเดียวกันอันเป็นการแข่งขันกับโจทก์และมีค าสั่งห้ามจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ท าธุรกิจ หรือท างานเกี่ยวกับกิจการประเภทเดียวกับโจทก์ภายใน ๑ ปี นับแต่วันพ้นจากการเป็นพนักงานโจทก์ หากจ าเลยทั้งหกฝ่าฝืนค าสั่งห้ามดังกล่าวให้ร่วมกันช าระค่าเสียหาย ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ฝ่าฝืนค าสั่งห้าม จ าเลยทั้งหกให้การว่า จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไม่ได้ผิดสัญญาหรือกระท าละเมิดตามฟ้อง เพราะหลักสูตรที่โจทก์อ้างว่าเป็นความลับทางธุรกิจนั้นไม่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากหลักสูตรอื่น ๆ ที่เป็น มาตรฐานและได้แพร่หลายกันโดยทั่วไปซึ่งให้บริการแก่ผู้รับการฝึกอบรมอีกทั้งยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของ หลักสูตรดังกล่าวได้โดยไม่เป็นความลับ จ าเลยที่ ๑ ประกอบกิจการโดยสุจริต ไม่เคยเรียกเก็บค่าฝึกอบรม แต่ละหลักสูตรต่ ากว่าที่โจทก์ก าหนด และจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ก็ไม่เคยชักชวนลูกค้าโจทก์ไปเป็นลูกค้า จ าเลยที่ ๑ นอกจากนี้โจทก์กับจ าเลยที่ ๒ และที่ ๔ ถึงที่ ๖ ไม่ได้มีสัญญาหรือข้อตกลงใด ๆ ในการห้าม ประกอบกิจการลักษณะเดียวกัน ส่วนข้อห้ามมิให้จ าเลยที่ ๓ ประกอบกิจการในลักษณะเดียวกับโจทก์ ระหว่างที่ยังเป็นพนักงานหรือพ้นจากการเป็นพนักงานแล้ว ๑ ปี นั้น เป็นข้อตกลงที่เกินสมควรเพื่อรักษา ผลประโยชน์ของโจทก์เพียงล าพังฝ่ายเดียวจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์เรียกให้จ าเลยที่ ๓ รับผิดค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมเป็นสองเท่าของค่าใช้จ่ายจริงอันเป็น ข้อตกลงที่ก าหนดกันไว้ล่วงหน้ามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินควรและเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีอ านาจฟ้องจ าเลยที่ ๑ เพราะจ าเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างหรือมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ตามกฎหมาย คุ้มครองแรงงานหรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการจ้างแรงงานกับโจทก์ ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมและเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขด าที่ พ. ๓๔๕/๒๕๕๙ ของศาลจังหวัดพัทยา ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จ าเลยทั้งหกยื่นค าร้องว่า คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ไม่อยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่า คดีระหว่างโจทก์กับ จ าเลยที่ ๑ อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์ คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ อยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จ ากัดประกอบกิจการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะด้านสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ให้บริการสอน หลักสูตรทักษะที่จ าเป็นในการท างานทั้งบนชายฝั่งและนอกชายฝั่งแก่อุตสาหกรรมด้านปิโตรเลียมและ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศ เดิมจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นพนักงานโจทก์ต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม ครูฝึกอาวุโส ฝ่ายซ่อมบ ารุง ผู้ช่วยฝ่ายซ่อมบ ารุง และครูฝึกอบรม ตามล าดับ ต่อมาจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖


๒๖ ลาออกจากการเป็นพนักงานโจทก์แล้วจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจ าเลยที่ ๑ ประกอบกิจการ ลักษณะเดียวกับโจทก์ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงที่จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ รับว่าหลังจากพ้นสภาพการเป็น พนักงานโจทก์แล้วจะไม่น าความลับทางธุรกิจไปเผยแพร่แก่บุคคลภายนอกจนท าให้โจทก์ได้รับความ เสียหาย ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เคยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและ ลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ลาออกจากการเป็นพนักงานโจทก์แล้วได้ร่วมกัน ปฏิบัติผิดหน้าที่และกระท าละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานด้วยการ จัดตั้งบริษัทจ าเลยที่ ๑ ขึ้นเพื่อประกอบกิจการที่มีลักษณะเดียวกันแข่งขันกับโจทก์โดยน าความลับ ทางธุรกิจของโจทก์เกี่ยวกับหลักสูตรการฝึกอบรมต่าง ๆ ไปเผยแพร่หาประโยชน์จากบุคคลภายนอกและ ชักชวนลูกค้าโจทก์ไปเป็นลูกค้าจ าเลยที่ ๑ รวมทั้งเรียกเก็บค่าฝึกอบรมแต่ละหลักสูตรต่ ากว่าที่โจทก์ก าหนด แม้จ าเลยที่ ๑ จะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ก็ตาม แต่จ าเลยที่ ๑ ก็เป็นนิติบุคคล ที่จัดตั้งขึ้นโดยจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่ต่างร่วมกันเป็นกรรมการผู้มีอ านาจกระท าการแทนจ าเลยที่ ๑ โดยมี จ าเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นพนักงานซึ่งจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ล้วนแต่เคยเป็นพนักงานโจทก์ ดังนั้น การประกอบ กิจการในทางธุรกิจของจ าเลยที่ ๑ อันเป็นการแข่งขันกับโจทก์โดยจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ดังกล่าว ย่อมเป็น กรณีที่สืบเนื่องมาจากการที่จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ผิดสัญญาจ้างแรงงานที่ท าไว้แก่โจทก์และเกี่ยวเนื่องกับ สัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญา จ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕)


๒๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.12/๒๕๖๐ นายกฤตยา เจียมจุ้ย โจทก์ บริษัทซี เคม อินเตอร์เทรด จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำร มีหน้ำที่ออกไปพบลูกค้ำ เพื่อแนะน ำสินค้ำและขำยสินค้ำ ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ 28,000 บำท และค่ำจ้ำงจำกกำรค ำนวณ ตำมผลงำนที่โจทก์ขำยสินค้ำได้ในรำคำที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังได้ควำมตำมที่โจทก์แถลงอีกว่ำโจทก์ได้รับ เบี้ยเลี้ยงวันละ 800 บำท หำกหยุดงำนต้องโทรศัพท์แจ้งให้จ ำเลยทรำบก่อนล่วงหน้ำไม่น้อยกว่ำ 3 วัน มิฉะนั้นจ ำเลยจะไม่จ่ำยเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้ในวันที่ขำดงำนและถ้ำลูกค้ำไม่ช ำระค่ำสินค้ำไม่ว่ำ กรณีใด ๆ โจทก์จะต้องรับผิดชอบค่ำสินค้ำดังกล่ำวให้แก่จ ำเลย ต่อมำจ ำเลยมีค ำสั่งเลิกจ้ำงโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระท ำผิด ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลย มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนโดยโจทก์จะต้องอยู่ภำยใต้อ ำนำจ บังคับบัญชำหรือต้องปฏิบัติตำมค ำสั่งของจ ำเลยเกี่ยวกับกำรท ำงำนแล้วจ ำเลยตกลงจ่ำยค่ำตอบแทน ในกำรท ำงำนส ำหรับระยะเวลำกำรท ำงำนปกติเป็นรำยเดือนหรือระยะเวลำอื่นหรือจ่ำยให้โดย ค ำนวณตำมผลงำนที่โจทก์ท ำได้ในเวลำท ำงำนปกติของวันท ำงำนอันเป็นค่ำจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มำตรำ 5 และหำกโจทก์ไม่ท ำงำนหรือหยุดงำนโดยไม่แจ้งให้จ ำเลยทรำบ ก่อนจ ำเลยก็จะปฏิเสธไม่จ่ำยค่ำจ้ำงและเบี้ยเลี้ยงให้ เมื่อจ ำเลยมีค ำสั่งเลิกจ้ำงโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ กระท ำผิด คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน หรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดี แรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (1) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด ตกลงจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งผู้จัดการ มีหน้าที่ออกไปพบลูกค้าเพื่อแนะน าสินค้าและขายสินค้าในเขตจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัด พิจิตร จังหวัดก าแพงเพชร จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดสุโขทัย ได้รับค่าจ้างเดือนละ 28,000 บาท และ ค่าจ้างจากการค านวณตามผลงานที่โจทก์ขายสินค้าได้ในราคาที่เพิ่มขึ้น มีข้อตกลงว่าหากลูกค้าไม่ช าระ ค่าสินค้าไม่ว่ากรณีใด ๆ โจทก์จะต้องรับผิดชอบค่าสินค้านั้นให้แก่จ าเลย ต่อมาจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระท าผิด ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าจ้าง 133,800 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม 168,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจ านวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์


๒๘ ในชั้นตรวจฟ้อง ศาลแรงงานภาค 6 พิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งผู้จัดการ มีหน้าที่ออกไปพบลูกค้า เพื่อแนะน าสินค้าและขายสินค้า ได้รับค่าจ้างเดือนละ 28,000 บาท และค่าจ้างจากการค านวณ ตามผลงานที่โจทก์ขายสินค้าได้ในราคาที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังได้ความตามที่โจทก์แถลงอีกว่าโจทก์ได้รับเบี้ยเลี้ยง วันละ 800 บาท หากหยุดงานต้องโทรศัพท์แจ้งให้จ าเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน มิฉะนั้นจ าเลย จะไม่จ่ายเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้ในวันที่ขาดงานและถ้าลูกค้าไม่ช าระค่าสินค้าไม่ว่ากรณีใด ๆ โจทก์ จะต้องรับผิดชอบค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่จ าเลย ต่อมาจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระท าผิด ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้าง และลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานโดยโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้อ านาจบังคับบัญชาหรือต้องปฏิบัติตาม ค าสั่งของจ าเลยเกี่ยวกับการท างานแล้วจ าเลยตกลงจ่ายค่าตอบแทนในการท างานส าหรับระยะเวลา การท างานปกติเป็นรายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยค านวณตามผลงานที่โจทก์ท าได้ ในเวลาท างานปกติของวันท างานอันเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 และหากโจทก์ไม่ท างานหรือหยุดงานโดยไม่แจ้งให้จ าเลยทราบก่อนจ าเลยก็จะปฏิเสธไม่จ่ายค่าจ้าง และเบี้ยเลี้ยงให้ เมื่อจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระท าผิด คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็น คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (1)


๒๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.13/2560 นายกฤตยา เจียมจุ้ย โจทก์ บริษัทธันย์สตาร์ 2557 จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจ าเลยจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งผู้จัดการ มีหน้าที่ออกไปพบลูกค้า เพื่อแนะน าสินค้าและขายสินค้า ได้รับค่าจ้างรายเดือน และค่าจ้างจากการค านวณตามผลงานที่โจทก์ ขายสินค้าได้ในราคาที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังได้ความตามที่โจทก์แถลงอีกว่าโจทก์ได้รับเบี้ยเลี้ยงรายวัน หากหยุดงานต้องโทรศัพท์แจ้งให้จ าเลยทราบก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓ วัน มิฉะนั้นจ าเลยจะไม่จ่าย เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้ในวันที่ขาดงานและถ้าลูกค้าไม่ช าระค่าสินค้าไม่ว่ากรณีใด ๆ โจทก์จะต้อง รับผิดชอบค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่จ าเลย ต่อมาจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระท าผิด ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้าง และลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานโดยโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้อ านาจบังคับบัญชาหรือต้องปฏิบัติตาม ค าสั่งของจ าเลยเกี่ยวกับการท างานแล้วจ าเลยตกลงจ่ายค่าตอบแทนในการท างานส าหรับระยะเวลา การท างานปกติเป็นรายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยค านวณตามผลงานที่โจทก์ท าได้ในเวลา ท างานปกติของวันท างานอันเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ และหากโจทก์ไม่ท างานหรือหยุดงานโดยไม่แจ้งให้จ าเลยทราบก่อนจ าเลยก็จะปฏิเสธไม่จ่ายค่าจ้าง และเบี้ยเลี้ยงให้เมื่อจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระท าผิด คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด ตกลงจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งผู้จัดการ มีหน้าที่ออกไปพบลูกค้าเพื่อแนะน าสินค้าและขายสินค้าในเขตจังหวัดนครสวรรค์จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิจิตร จังหวัดก าแพงเพชร จังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดสุโขทัย ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๒๘,๐๐๐ บาท และค่าจ้าง จากการค านวณตามผลงานที่โจทก์ขายสินค้าได้ในราคาที่เพิ่มขึ้น มีข้อตกลงว่าหากลูกค้าไม่ช าระค่าสินค้า ไม่ว่ากรณีใด ๆ โจทก์จะต้องรับผิดชอบค่าสินค้านั้นให้แก่จ าเลย ต่อมาจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ มิได้กระท าผิด ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าจ้าง ๔๙,๖๒๐ บาท ค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ๑๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน แต่ละจ านวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ ในชั้นตรวจฟ้อง ศาลแรงงานภาค ๖ พิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีอยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง


๓๐ พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งผู้จัดการ มีหน้าที่ออกไปพบลูกค้าเพื่อแนะน าสินค้า และขายสินค้า ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๒๘,๐๐๐ บาท และค่าจ้างจากการค านวณตามผลงานที่โจทก์ ขายสินค้าได้ในราคาที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังได้ความตามที่โจทก์แถลงอีกว่าโจทก์ได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ ๘๐๐ บาท หากหยุดงานต้องโทรศัพท์แจ้งให้จ าเลยทราบก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓ วัน มิฉะนั้นจ าเลยจะไม่จ่าย เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้ในวันที่ขาดงานและถ้าลูกค้าไม่ช าระค่าสินค้าไม่ว่ากรณีใด ๆ โจทก์จะต้อง รับผิดชอบค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่จ าเลย ต่อมาจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระท าผิด ท าให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและ ลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานโดยโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้อ านาจบังคับบัญชาหรือต้องปฏิบัติตามค าสั่ง ของจ าเลยเกี่ยวกับการท างาน แล้วจ าเลยตกลงจ่ายค่าตอบแทนในการท างานส าหรับระยะเวลาการท างาน ปกติเป็นรายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยค านวณตามผลงานที่โจทก์ท าได้ในเวลาท างานปกติของ วันท างานอันเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ และหากโจทก์ไม่ ท างานหรือหยุดงานโดยไม่แจ้งให้จ าเลยทราบก่อนจ าเลยก็จะปฏิเสธไม่จ่ายค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยงให้ เมื่อจ าเลยมีค าสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระท าผิด คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)


๓๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.14/2560 บริษัทเอฟดับบลิวดีประกันชีวิต จ ากัด (มหาชน) โจทก์ นายสมภพ วงศ์วิชิต จ ำเลย พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง ตามค าฟ้องโจทก์อ้างว่าจ าเลยเป็นผู้มีความรู้ความช านาญและประสบการณ์ในการ คัดเลือกบุคคล รวมทั้งฝึกอบรมบุคคลที่มีใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถในการเสนอขายกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่บริษัทประกันชีวิตได้เสนอการให้บริการ ดังกล่าวแก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ตกลงตามที่จ าเลยเสนอโดยได้ท าสัญญาแต่งตั้งจ าเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ ตามสัญญาแต่งตั้งผู้อ านวยการฝ่ายตัวแทน สัญญาแต่งตั้งผู้บริหารตัวแทนประกันชีวิตและสัญญา แต่งตั้งตัวแทนประกันชีวิตซึ่งต่างล้วนแต่มีรายละเอียดในสัญญาระบุแจ้งชัดว่าความผูกพันระหว่างโจทก์ กับจ าเลยเป็นไปในฐานะตัวการกับตัวแทนรับมอบอ านาจเฉพาะการเท่านั้นมิใช่ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง และจ าเลยไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างผลประโยชน์และหรือสวัสดิการใด ๆ ที่โจทก์จัดให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจ าเลยจะต้องอยู่ในอ านาจบังคับบัญชาหรือต้องปฏิบัติตามค าสั่งระเบียบและข้อบังคับ เกี่ยวกับการท างานของโจทก์อันเป็นข้อสาระส าคัญของสัญญาจ้างแรงงานนอกเหนือไปจากที่ได้ระบุไว้ ในสัญญาดังกล่าวอีก ประกอบกับค่าตอบแทนที่จ าเลยได้รับจากโจทก์ก็ไม่มีลักษณะเป็นเงินที่นายจ้าง และลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการท างานตามสัญญาจ้างส าหรับระยะเวลาการท างานปกติ เป็นรายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยค านวณตามผลงานที่ลูกจ้างท าได้ในเวลาท างานปกติของ วันท างานจึงไม่มีลักษณะเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจ าเลยจึงหาใช่เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานไม่ คดี ระหว่างโจทก์และจ าเลยไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างใดอย่างหนึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล แรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท (มหำชน) จ ำกัด มีวัตถุประสงค์ด ำเนินกิจกำร รับประกันชีวิต เมื่อวันที่ ๔ ธันวำคม ๒๕๕๗ จ ำเลยซึ่งมีควำมรู้ควำมช ำนำญและประสบกำรณ์ในกำร คัดเลือกบุคคล รวมทั้งฝึกอบรมบุคคลที่มีใบอนุญำตเป็นตัวแทนประกันชีวิตเพื่อให้มีควำมรู้ควำมสำมำรถ ในกำรเสนอขำยกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่บริษัทประกันชีวิตได้เสนอให้บริกำรดังกล่ำวแก่โจทก์โดยจ ำเลย จะด ำเนินกำรสรรหำและคัดเลือกบุคคลที่มีใบอนุญำตเป็นตัวแทนประกันชีวิตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ โจทก์๒๕ คน ภำยในวันที่ ๓๑ ธันวำคม ๒๕๕๙ และนับแต่วันดังกล่ำวจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวำคม ๒๕๖๐ หำกจ ำนวนตัวแทนประกันชีวิตลดลงไม่ว่ำด้วยเหตุใดก็จะด ำเนินกำรสรรหำและคัดเลือกบุคคลเข้ำมำใหม่ เพื่อชดเชยให้ครบตำมจ ำนวนที่ตกลงไว้ค่ำบริกำรคิดเป็นรำยเดือน เดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บำท โจทก์ตกลง


๓๒ ว่ำจ้ำงให้จ ำเลยด ำเนินกำรดังกล่ำวและได้จ่ำยเงินค่ำจ้ำง ๑,๓๐๐,๐๐๐ บำท ให้แก่จ ำเลยโดยเมื่อวันที่ ๑ กุมภำพันธ์๒๕๕๘ โจทก์ท ำสัญญำรวม ๓ ฉบับ แต่งตั้งจ ำเลยเป็นผู้อ ำนวยกำรฝ่ำยตัวแทน ผู้บริหำร ตัวแทนประกันชีวิต และตัวแทนประกันชีวิต จ ำเลยรับว่ำหำกไม่สำมำรถปฏิบัติตำมข้อเสนอหรือไม่สำมำรถ สร้ำงผลงำนให้แก่โจทก์ได้ตำมเงื่อนไขและเป้ำหมำยที่ตกลงไว้แล้วก็ให้โจทก์บอกเลิกสัญญำได้และยินยอม ชดใช้ค่ำบริกำรและค่ำเสียหำยคืนให้แก่โจทก์ตำมสัดส่วนของงำนที่จ ำเลยไม่สำมำรถด ำเนินกำรได้ ต่อมำ ปรำกฏว่ำจ ำเลยไม่สำมำรถสรรหำและคัดเลือกบุคคลเข้ำเป็นตัวแทนประกันชีวิตของโจทก์ได้และไม่สำมำรถ สร้ำงผลงำนขำยกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่โจทก์ตำมเงื่อนไขและเป้ำหมำยที่ตกลงไว้ อีกทั้งเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนำยน ๒๕๕๙ จ ำเลยได้ลำออกจำกกำรเป็นตัวแทนประกันชีวิตของโจทก์กำรกระท ำของจ ำเลย ดังกล่ำวท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระค่ำเสียหำย ๑,๓๓๗,๓๙๗.๒๕ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐ บำท นับจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำ จะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ สัญญำระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยเป็นสัญญำจ้ำงแรงงำนไม่ใช่สัญญำให้บริกำร ดังที่โจทก์กล่ำวอ้ำง แต่ด้วยเหตุที่โจทก์ไม่สุจริตต้องกำรหลีกเลี่ยงกฎหมำยแรงงำนจึงบังคับให้จ ำเลย ท ำสัญญำให้บริกำรกำรสรรหำและคัดเลือกตัวแทนประกันชีวิตเพื่อโจทก์จะได้น ำเอำข้อตกลงเรื่องกำรชดใช้ ค่ำเสียหำยมำใช้บังคับแก่จ ำเลยซึ่งเป็นข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมและขัดต่อกฎหมำย สัญญำให้บริกำรดังกล่ำว จึงตกเป็นโมฆะ นอกจำกนี้โจทก์กับจ ำเลยได้ตกลงท ำสัญญำจ้ำงแรงงำนกันใหม่โดยมีค่ำจ้ำงเพิ่มขึ้น จำกเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บำท เป็นเดือนละ ๒๕๐,๐๐๐ บำท รวมทั้งค่ำพำหนะเดินทำงอีกเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บำท ดังนั้นข้อตกลงต่ำง ๆ ตำมสัญญำที่จ ำเลยเคยเสนอให้บริกำรกำรสรรหำและคัดเลือกตัวแทน ประกันชีวิตย่อมไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป ข้อพิพำทระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนหรือตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนซึ่งอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดนนทบุรีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ ตำมค ำฟ้องโจทก์อ้ำงว่ำจ ำเลยเป็นผู้มีควำมรู้ควำมช ำนำญและประสบกำรณ์ในกำรคัดเลือกบุคคล รวมทั้ง ฝึกอบรมบุคคลที่มีใบอนุญำตเป็นตัวแทนประกันชีวิตเพื่อให้มีควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรเสนอขำย กรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่บริษัทประกันชีวิตได้เสนอกำรให้บริกำรดังกล่ำวแก่โจทก์ตำมเอกสำรท้ำยค ำฟ้อง หมำยเลข ๓ ซึ่งโจทก์ตกลงตำมที่จ ำเลยเสนอโดยได้ท ำสัญญำแต่งตั้งจ ำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ตำมสัญญำ แต่งตั้งผู้อ ำนวยกำรฝ่ำยตัวแทนเอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๔ สัญญำแต่งตั้งผู้บริหำรตัวแทนประกันชีวิต เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๕ และสัญญำแต่งตั้งตัวแทนประกันชีวิตเอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๖ ซึ่งต่ำง ล้วนแต่มีรำยละเอียดในสัญญำข้อ ๒ และข้อ ๔ ระบุแจ้งชัดว่ำควำมผูกพันระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยเป็นไปใน ฐำนะตัวกำรกับตัวแทนรับมอบอ ำนำจเฉพำะกำรเท่ำนั้นมิใช่ในฐำนะนำยจ้ำงกับลูกจ้ำง และจ ำเลยไม่มีสิทธิ ได้รับค่ำจ้ำงผลประโยชน์และหรือสวัสดิกำรใด ๆ ที่โจทก์จัดให้แก่ลูกจ้ำงของโจทก์อีกทั้งไม่ปรำกฏว่ำจ ำเลย


๓๓ จะต้องอยู่ในอ ำนำจบังคับบัญชำหรือต้องปฏิบัติตำมค ำสั่งระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำนของ โจทก์อันเป็นข้อสำระส ำคัญของสัญญำจ้ำงแรงงำนนอกเหนือไปจำกที่ได้ระบุไว้ในสัญญำตำมเอกสำรท้ำยค ำ ฟ้องดังกล่ำวอีก ประกอบกับค่ำตอบแทนที่จ ำเลยได้รับจำกโจทก์ก็ไม่มีลักษณะเป็นเงินที่นำยจ้ำงและลูกจ้ำง ตกลงกันจ่ำยเป็นค่ำตอบแทนในกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงส ำหรับระยะเวลำกำรท ำงำนปกติเป็นรำยเดือน หรือระยะเวลำอื่นหรือจ่ำยให้โดยค ำนวณตำมผลงำนที่ลูกจ้ำงท ำได้ในเวลำท ำงำนปกติของวันท ำงำนจึงไม่มี ลักษณะเป็นค่ำจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๕ ดังนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่ำง โจทก์และจ ำเลยจึงหำใช่เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนไม่ คดีระหว่ำงโจทก์และจ ำเลย ไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘


๓๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.15/2560 บริษัทอาคาวิส สยาม จ ากัด โจทก์ นายสตีวาท แอนดริว มิทเซล จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 ตำมค ำฟ้องโจทก์บรรยำยแจ้งชัดว่ำโจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์กันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ซึ่งโจทก์ตกลงจ้ำงจ ำเลยท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำรเกี่ยวกับโครงสร้ำงพื้นฐำนแล้วจะช ำระค่ำจ้ำงให้เป็น รำยเดือนโดยมีข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำน ก ำหนดวันท ำงำน ควำมรับผิดชอบต่อหน้ำที่ ค่ำตอบแทน และผลประโยชน์ ชั่วโมงท ำงำน และระยะเวลำของกำรเลิกจ้ำงไว้ รวมทั้งยังมีสัญญำรักษำควำมลับ ระบุข้อตกลงห้ำมไม่ให้จ ำเลยกระท ำกำรอันเป็นกำรแข่งขันในระหว่ำงระยะเวลำกำรจ้ำงงำนและ ระยะเวลำสำมเดือนหลังจำกกำรจ้ำงสิ้นสุด อันถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญำจ้ำงแรงงำน เมื่อปรำกฏว่ำ ภำยในระยะเวลำสำมเดือนหลังจำกกำรจ้ำงสิ้นสุดแล้วจ ำเลยไปท ำงำนกับบริษัทซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง ที่ประกอบกิจกำรประเภทเดียวกับโจทก์ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่และกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำร ท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัดประกอบกิจการรับเขียนโปรแกรม ซอฟท์แวร์เกม รวมถึงการพัฒนาซอฟท์แวร์ เกมออนไลน์ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘ โจทก์ตกลงจ้าง จ าเลยท างานต าแหน่งผู้จัดการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มงานวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ค่าจ้างเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท หลังจากสามเดือน ค่าจ้างเป็นเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท โดยมีระยะเวลาการท างาน ๔๐ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีข้อตกลงตามสัญญารักษาความลับที่จ าเลยจะไม่กระท าการให้ค าปรึกษาหรือ รับการว่าจ้างจากผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ระหว่างระยะเวลาการจ้างงานและระยะเวลา สามเดือนหลังจากการจ้างสิ้นสุด ต่อมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จ าเลยได้ลาออกจากการเป็น พนักงานโจทก์เพื่อท างานกับบริษัทแซนต์บ๊อกซ์ โกลบอล จ ากัด ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งที่ประกอบกิจการ ประเภทเดียวกับโจทก์ภายในระยะเวลา ๓ เดือน หลังจากการจ้างสิ้นสุดอันเป็นการผิดสัญญาดังกล่าวท าให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า หัวหน้างานของจ าเลยได้ปฏิบัติแก่จ าเลยอย่างไม่เป็นธรรมและกดขี่บังคับ ให้จ าเลยลาออก จ าเลยจึงลาออกจากการเป็นพนักงานโจทก์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ จ าเลยไม่ได้ผิด


๓๕ สัญญาและไม่ได้ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากบริษัทแซนต์บ๊อกซ์ โกลบอล จ ากัด นายจ้างใหม่ ของจ าเลยให้บริการแก่ลูกค้าคนละระบบกับโจทก์ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จ าเลยจึงไม่สามารถน าข้อมูล ของโจทก์มาใช้ประโยชน์กับบริษัทดังกล่าวได้ อีกทั้งลูกค้าของบริษัทก็เป็นลูกค้าคนละกลุ่มกับโจทก์ จ าเลย จึงไม่ต้องรับผิดค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จ าเลยยื่นค าร้องว่า คดีอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ศาลแขวงดุสิต เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่ง ส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องโจทก์บรรยายแจ้งชัดว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้างแรงงานซึ่งโจทก์ตกลง จ้างจ าเลยท างานต าแหน่งผู้จัดการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานแล้วจะช าระค่าจ้างให้เป็นรายเดือนโดยมี ข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานตามเอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๓ ก าหนดวันท างาน ความรับผิดชอบ ต่อหน้าที่ ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ ชั่วโมงท างาน และระยะเวลาของการเลิกจ้างไว้ รวมทั้งยังมีสัญญา รักษาความลับตามเอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๔ ซึ่งข้อ ๔ ระบุข้อตกลงห้ามไม่ให้จ าเลยกระท าการ อันเป็นการแข่งขันในระหว่างระยะเวลาการจ้างงานและระยะเวลาสามเดือนหลังจากการจ้างสิ้นสุดโดยต้อง ไม่ควบคุมและให้ค าปรึกษาหรือได้รับการว่าจ้างจากผู้ประกอบธุรกิจที่แข่งขันกับโจทก์อันถือเป็นส่วนหนึ่ง ของสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อปรากฏว่าภายในระยะเวลาสามเดือนหลังจากการจ้างสิ้นสุดแล้วจ าเลยกลับไป ท างานกับบริษัทแซนต์บ๊อกซ์ โกลบอล จ ากัด ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งที่ประกอบกิจการประเภทเดียวกับโจทก์ ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติ ผิดหน้าที่และกระท าละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่าง โจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิด แต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕)


๓๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.16/๒๕๖๐ สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานการประปานครหลวง จ ากัด โจทก์ นายสมเกียรติ อมตะธงไชย กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (5), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติ สหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมการด าเนินการ ชุดที่ ๔๐ ซึ่งเลือกตั้งโดย สมาชิกของโจทก์ มีวาระด ารงต าแหน่งตามข้อบังคับโจทก์ โดยจ าเลยที่ ๑ เป็นประธานกรรมการ ด าเนินการ จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นรองประธานกรรมการ จ าเลยที่ ๖ เป็นเหรัญญิก จ าเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ เป็นกรรมการ จ าเลยที่ ๑๕ เป็นกรรมการและเลขานุการ ส่วนจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ โจทก์จ้างให้ ท าหน้าที่เป็นผู้จัดการและรองผู้จัดการ จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ในฐานะคณะกรรมการด าเนินการได้แต่งตั้ง ให้จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ที่ ๑๐ และที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมการอ านวยการ ระหว่างการด าเนินงาน จ าเลยทั้งสิบเจ็ดปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความระมัดระวังไม่รักษาผลประโยชน์ของโจทก์และสมาชิก ท าให้โจทก์เสียหายจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ซึ่งเป็นคณะกรรมการด าเนินการที่ได้ รับการเลือกตั้งจากสมาชิกของโจทก์ เป็นผู้ด าเนินกิจการและเป็นผู้แทนโจทก์ในกิจการอันเกี่ยวกับ บุคคลภายนอกตามข้อบังคับโจทก์ หมวด ๗ คณะกรรมการด าเนินการ ข้อ ๕๐ ได้แต่งตั้งให้จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ที่ ๑๐ และที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมการอ านวยการเพื่อด าเนินกิจการแทนคณะกรรมการด าเนินการ ตามข้อบังคับโจทก์หมวด ๗ ข้อ ๖๓ แต่จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความระมัดระวัง ไม่รักษาผลประโยชน์ของโจทก์และสมาชิกท าให้โจทก์เสียหายอันมีลักษณะเป็นการกระท าละเมิด ต่อโจทก์ แต่เมื่อข้อบังคับโจทก์ หมวด ๗ ข้อ ๕๖ ให้คณะกรรมการด าเนินการด าเนินกิจการทั้งปวง ของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อบังคับและตามมติของที่ประชุมใหญ่ รวมทั้ง "...(๑๓) พิจารณาให้ความ เที่ยงธรรมแก่บรรดาสมาชิก เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของสหกรณ์..." และตามข้อบังคับโจทก์หมวด ๗ ข้อ ๖๒ และข้อ ๖๓ ให้คณะกรรมการด าเนินการส่วนหนึ่งท าหน้าที่เป็นคณะกรรมการอ านวยการด้วย และให้อยู่ในต าแหน่งได้เท่ากับก าหนดเวลาของคณะกรรมการด าเนินการ เพื่อด าเนินกิจการแทน คณะกรรมการด าเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย อันแสดงให้เห็นว่าจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ มีอ านาจหน้าที่ ด าเนินกิจการแทนโจทก์ภายใต้การควบคุมของที่ประชุมใหญ่โดยมิได้มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง ของโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ จึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและ ลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน และไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ส าหรับคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้าง จ าเลยที่ ๑๖ ท างานเป็นผู้จัดการ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของจ าเลยที่ ๑ และจ้างจ าเลย ที่ ๑๗ ท างานเป็นรองผู้จัดการ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของจ าเลยที่ ๑๖ ตามค าบรรยาย ลักษณะงาน จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและ กระท าละเมิดเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑๖ และ


๓๗ ที่ ๑๗ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีฐำนะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตำมพระรำชบัญญัติ สหกรณ์พ.ศ. ๒๕๑๑ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมกำรด ำเนินกำร ชุดที่ ๔๐ ซึ่งเลือกตั้งโดย สมำชิกของโจทก์ มีวำระด ำรงต ำแหน่งตำมข้อบังคับโจทก์ โดยจ ำเลยที่ ๑ เป็นประธำนกรรมกำรด ำเนินกำร จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นรองประธำนกรรมกำร จ ำเลยที่ ๖ เป็นเหรัญญิก จ ำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ เป็นกรรมกำร จ ำเลยที่ ๑๕ เป็นกรรมกำรและเลขำนุกำร ส่วนจ ำเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ โจทก์จ้ำงให้ท ำหน้ำที่เป็นผู้จัดกำร และรองผู้จัดกำร จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ในฐำนะคณะกรรมกำรด ำเนินกำรได้แต่งตั้งให้จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ที่ ๑๐ และที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมกำรอ ำนวยกำร ระหว่ำงกำรด ำเนินงำน จ ำเลยทั้งสิบเจ็ดปฏิบัติหน้ำที่ โดยปรำศจำกควำมระมัดระวังไม่รักษำผลประโยชน์ของโจทก์และสมำชิกโดยจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ที่ ๑๐ และ ที่ ๑๕ ในฐำนะคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรมีมติอนุมัติให้น ำเงินของโจทก์ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท ฝำกกับ สหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด และมีมติอนุมัติเงินลงทุนในตั๋วสัญญำใช้เงิน ๕ ฉบับ เป็นเงิน ๕๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท และเพิ่มเติมอีก ๕ ฉบับ เป็นเงิน ๑๐๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท รวมเป็นเงิน ๑๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บำท และอนุมัติลงทุนเงินฝำก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บำท กับสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ในฐำนะคณะกรรมกำรด ำเนินกำรมีมติเห็นชอบ โดยจ ำเลยทั้งสิบเจ็ดประมำทเลินเล่อไม่ตรวจสอบ และประเมินฐำนะทำงกำรเงินของสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด และรำคำที่ดินที่น ำมำจ ำนอง ประกันเงินฝำกให้เป็นไปตำมระเบียบและข้อบังคับของโจทก์ต่อมำสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด ไม่ช ำระดอกเบี้ยและไม่คืนเงินทั้งหมดให้โจทก์ ท ำให้โจทก์เสียหำยเป็นเงิน ๓๐๖,๗๑๘,๗๕๓ บำท ขอให้ บังคับจ ำเลยทั้งสิบเจ็ดร่วมกันจ่ำยเงิน ๓๐๖,๗๑๘,๗๕๓ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๖ และที่ ๑๕ ให้กำรว่ำ โจทก์มิได้มอบอ ำนำจให้ผู้ใดฟ้องคดีนี้ จึงไม่มี อ ำนำจฟ้อง จ ำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๖ และที่ ๑๕ ในฐำนะคณะกรรมกำรด ำเนินกำรและในฐำนะคณะกรรมกำร อ ำนวยกำรได้พิจำรณำอนุมัติให้น ำเงินของโจทก์ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท ฝำกกับสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำ สวนจตุจักร จ ำกัด โดยรอบคอบ โดยมีที่ดินจ ำนองเป็นประกันเงินฝำก กำรอนุมัติเงินลงทุนในตั๋วสัญญำ ใช้เงินรวม ๑๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บำท และกำรอนุมัติลงทุนเงินฝำก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บำท กับสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำ สวนจตุจักร จ ำกัด ด ำเนินกำรไปตำมวัตถุประสงค์และข้อบังคับของโจทก์ ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องสหกรณ์ บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด ต่อศำลจังหวัดพระโขนง รวม ๔ คดี ต่อมำศำลจังหวัดพระโขนงมีค ำพิพำกษำ และพิพำกษำตำมยอม คดีอยู่ระหว่ำงกำรบังคับคดีและต่อมำคณะกรรมกำรด ำเนินกำรโจทก์ชุดต่อจำก จ ำเลยทั้งสิบเจ็ดได้มีมติให้กำรอนุมัติลงทุนเงินฝำก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บำท ด ำเนินกำรต่อ โจทก์จึงได้รับ ดอกเบี้ยจำกกำรลงทุน ๒๒,๐๙๖,๙๒๕.๖๓ บำท กำรที่โจทก์น ำคดีมำฟ้องจ ำเลยทั้งสิบเจ็ดให้รับผิดในเงิน


๓๘ ทั้งหมดจึงเป็นกำรใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์ส่วนของกำรอนุมัติเงินฝำกและลงทุนเงินฝำกเกินกว่ำ ๑ ปี จึงขำดอำยุควำมละเมิดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๒ ให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๒ ท ำงำนประจ ำเป็นผู้ช่วยผู้ว่ำกำรกำรประปำนครหลวง มีภำระ งำนต้องรับผิดชอบมำกจึงมิได้เข้ำพิจำรณำในกำรประชุมคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรและกำรประชุม คณะกรรมกำรด ำเนินกำรครั้งที่มีมติอนุมัติและเห็นชอบให้น ำเงินของโจทก์๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท ฝำกกับ สหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด มิได้เข้ำพิจำรณำในกำรประชุมคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรครั้งที่มีมติ อนุมัติเงินลงทุนในตั๋วสัญญำใช้เงิน ๕ ฉบับ เป็นเงิน ๕๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท และเพิ่มเติมอีก ๕ ฉบับ เป็นเงิน ๑๐๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท และมิได้เข้ำพิจำรณำในกำรประชุมคณะกรรมกำรด ำเนินกำรครั้งที่มีมติเห็นชอบใน ส่วนของเงินลงทุนในตั๋วสัญญำใช้เงินเพิ่มเติมในส่วนของ ๕ ฉบับหลังด้วย และมิได้เข้ำพิจำรณำในกำร ประชุมคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรครั้งที่มีมติอนุมัติลงทุนเงินฝำก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บำท กับสหกรณ์บริกำร ผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด จึงไม่ต้องรับผิดเป็นกำรส่วนตัว กำรด ำเนินกำรของคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรไม่มีเหตุ จงใจหรือประมำทเลินเล่อ แต่กลับท ำให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยจำกสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด รวม ๒๑,๑๗๔,๓๒๙.๗๖ บำท กำรมอบอ ำนำจให้ฟ้องคดีนี้ไม่ถูกต้องและคิดดอกเบี้ยเกินกว่ำที่กฎหมำยก ำหนด โจทก์มิได้บอกกล่ำวล่วงหน้ำก่อนฟ้อง ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมำยเลขด ำที่ พ.๙๙/๒๕๖๐ ของ ศำลแพ่ง กำรสอบสวนข้อเท็จจริงและมีมติให้ฟ้องคดีไม่ถูกต้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและฟ้องเกินกว่ำ ๑ ปี จึงขำดอำยุควำมละเมิดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๓ ให้กำรว่ำ มติคณะกรรมกำรด ำเนินกำรที่ให้ฟ้องคดีนี้ไม่ใช่เสียงข้ำงมำก ผู้รับมอบ อ ำนำจให้ฟ้องคดีนี้ไม่มีอ ำนำจฟ้อง จ ำเลยที่ ๓ กระท ำกำรภำยใต้กำรก ำกับและควบคุมแต่ไม่เคยมี ข้อทักท้วงจำกกรมส่งเสริมสหกรณ์ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมำยเลขด ำที่ พ.๙๙/๒๕๖๐ ของศำลแพ่ง จ ำเลยที่ ๓ กระท ำตำมระเบียบข้อบังคับและวัตถุประสงค์ของโจทก์โดยมิได้ประมำทเลินเล่อ โจทก์ฟ้อง เกินกว่ำ ๑ ปี จึงขำดอำยุควำมละเมิดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๕ ให้กำรว่ำ กำรประชุมคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรครั้งที่มีมติอนุมัติให้น ำเงินของโจทก์ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท ฝำกกับสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด นั้นมีสหกรณ์อื่นอีกหลำยแห่งขอให้โจทก์ น ำเงินฝำกในสหกรณ์ดังกล่ำวด้วย มีเพียงสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด มีที่ดินจ ำนองเป็นประกัน เงินฝำก แต่โจทก์ก็ได้เห็นชอบให้น ำเงินฝำกกับสหกรณ์ออมทรัพย์อื่น เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ครูพะเยำ จ ำกัด เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท นอกจำกกำรอนุมัติเงินลงทุนในตั๋วสัญญำใช้เงิน ๑๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บำท กับสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด แล้ว โจทก์ยังซื้อตั๋วสัญญำใช้เงินของสหกรณ์อื่นอีกหลำยแห่ง เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ต ำรวจแห่งชำติจ ำกัด เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท ส่วนกำรอนุมัติลงทุนเงินฝำก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บำท กับสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด นั้น คณะกรรมกำรชุดต่อมำได้อนุมัติกำรต่อ อำยุกำรฝำกเงินออกไปอีก กำรด ำเนินกำรของจ ำเลยทั้งสิบเจ็ดเป็นไปตำมระเบียบข้อบังคับและ วัตถุประสงค์ของโจทก์โดยมิได้ประมำทเลินเล่อ โจทก์ฟ้องเกินกว่ำ ๑ ปี จึงขำดอำยุควำมละเมิดแล้ว ขอให้ ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ ให้กำรว่ำ มติคณะกรรมกำรด ำเนินกำรที่ให้ฟ้องคดีนี้เพียงแต่มอบหมำย ผู้มีอ ำนำจในกำรด ำเนินคดีแทนโจทก์แต่มิได้กล่ำวถึงหนังสือมอบอ ำนำจว่ำให้ผู้ใดเป็นผู้ฟ้องและไม่มี หนังสือมอบอ ำนำจ จ ำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ กระท ำตำมระเบียบข้อบังคับและวัตถุประสงค์ของโจทก์โดยมิได้


๓๙ ประมำทเลินเล่อ กำรประชุมคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรและกำรประชุมคณะกรรมกำรด ำเนินกำรครั้งที่มีมติ อนุมัติและเห็นชอบให้น ำเงินของโจทก์ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท ฝำกกับสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด เพรำะมีหลักประกันและได้รับดอกเบี้ยในอัตรำสูงกว่ำกำรให้สมำชิกโจทก์กู้ยืม กำรอนุมัติเงินลงทุนใน ตั๋วสัญญำใช้เงิน ๑๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บำท และกำรอนุมัติลงทุนเงินฝำก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บำท กับสหกรณ์ บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด ด ำเนินกำรไปตำมวัตถุประสงค์และข้อบังคับของโจทก์ ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ฟ้องสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด ต่อมำศำลจังหวัดพระโขนงมีค ำพิพำกษำและพิพำกษำ ตำมยอม คดีอยู่ระหว่ำงกำรบังคับคดีกำรน ำคดีมำฟ้องจ ำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ อีกจึงเป็นกำรใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์ฟ้องเกินกว่ำ ๑ ปีจึงขำดอำยุควำมละเมิดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๑๖ ให้กำรว่ำ มติคณะกรรมกำรด ำเนินกำรที่ให้ฟ้องคดีนี้เพียงแต่มอบหมำยผู้มีอ ำนำจ ในกำรด ำเนินคดีแทนโจทก์แต่มิได้กล่ำวถึงหนังสือมอบอ ำนำจว่ำให้ผู้ใดเป็นผู้ฟ้องและไม่มีหนังสือ มอบอ ำนำจ โจทก์จึงไม่มีอ ำนำจฟ้อง จ ำเลยที่ ๑๖ เป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งผู้จัดกำร มีหน้ำที่ด ำเนินกำร ตำมข้อบังคับ ระเบียบ และมติคณะกรรมกำรด ำเนินกำร ไม่มีอ ำนำจอนุมัติกำรโอนเงินได้เอง กำรน ำเงิน ไปลงทุนฝำกกับสหกรณ์อื่นหรือกำรซื้อตั๋วสัญญำใช้เงินจะเป็นอ ำนำจของคณะกรรมกำรอ ำนวยกำร เป็นผู้พิจำรณำแล้วน ำเสนอให้คณะกรรมกำรด ำเนินกำรรับทรำบ กำรด ำเนินกำรของคณะกรรมกำร อ ำนวยกำรไม่มีเหตุจงใจหรือประมำทเลินเล่อ แต่กลับท ำให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยจำกสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำ สวนจตุจักร จ ำกัด รวม ๒๑,๑๗๔,๓๒๙.๗๖ บำท ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องสหกรณ์บริกำรผู้ค้ำสวนจตุจักร จ ำกัด ต่อมำศำลจังหวัดพระโขนงมีค ำพิพำกษำและพิพำกษำตำมยอม คดีอยู่ระหว่ำงกำรบังคับคดีกำรน ำคดี มำฟ้องจ ำเลยทั้งสิบเจ็ดอีกจึงเป็นกำรใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์ฟ้องเกินกว่ำ ๑ ปี จึงขำดอำยุควำมละเมิดแล้ว และคดีในส่วนของจ ำเลยที่ ๑๖ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๑๗ ให้กำรว่ำ โจทก์ไม่มีกำรประชุมคณะกรรมกำรด ำเนินกำรที่ให้ฟ้องคดีนี้และ ไม่มีหนังสือมอบอ ำนำจ โจทก์จึงไม่มีอ ำนำจฟ้อง กำรด ำเนินกำรของคณะกรรมกำรอ ำนวยกำรเป็นไปตำม ระเบียบข้อบังคับ จ ำเลยที่ ๑๗ เป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งรองผู้จัดกำร มีหน้ำที่ด ำเนินกำรตำมข้อบังคับ ระเบียบ และมติคณะกรรมกำรด ำเนินกำร และท ำงำนตำมที่จ ำเลยที่ ๑๖ มอบหมำย จ ำเลยที่ ๑๗ ท ำงำน ตำมขั้นตอนด้วยควำมระมัดระวังรอบคอบ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องเกินกว่ำ ๑ ปีจึงขำดอำยุควำม ละเมิดแล้วและคดีในส่วนของจ ำเลยที่ ๑๗ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีฐำนะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตำมพระรำชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมกำรด ำเนินกำร ชุดที่ ๔๐ ซึ่งเลือกตั้งโดยสมำชิกของโจทก์ มีวำระด ำรงต ำแหน่งตำมข้อบังคับโจทก์ โดยจ ำเลยที่ ๑ เป็นประธำนกรรมกำรด ำเนินกำร จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นรองประธำนกรรมกำร จ ำเลยที่ ๖ เป็นเหรัญญิก จ ำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ เป็นกรรมกำร จ ำเลยที่ ๑๕ เป็นกรรมกำรและเลขำนุกำร ส่วนจ ำเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ โจทก์จ้ำงให้ท ำหน้ำที่เป็นผู้จัดกำรและรองผู้จัดกำร


๔๐ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ในฐำนะคณะกรรมกำรด ำเนินกำรได้แต่งตั้งให้จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ที่ ๑๐ และที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมกำรอ ำนวยกำร ระหว่ำงกำรด ำเนินงำน จ ำเลยทั้งสิบเจ็ดปฏิบัติหน้ำที่โดยปรำศจำก ควำมระมัดระวังไม่รักษำผลประโยชน์ของโจทก์และสมำชิกท ำให้โจทก์เสียหำยจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลย ที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ซึ่งเป็นคณะกรรมกำรด ำเนินกำรที่ได้รับกำรเลือกตั้งจำกสมำชิกของโจทก์เป็นผู้ด ำเนินกิจกำร และเป็นผู้แทนโจทก์ในกิจกำรอันเกี่ยวกับบุคคลภำยนอกตำมข้อบังคับโจทก์ หมวด ๗ คณะกรรมกำร ด ำเนินกำร ข้อ ๕๐ ได้แต่งตั้งให้จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ที่ ๑๐ และที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมกำรอ ำนวยกำร เพื่อด ำเนินกิจกำรแทนคณะกรรมกำรด ำเนินกำรตำมข้อบังคับโจทก์หมวด ๗ ข้อ ๖๓ เอกสำรท้ำยค ำฟ้อง หมำยเลข ๒ แต่จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ปฏิบัติหน้ำที่โดยปรำศจำกควำมระมัดระวังไม่รักษำผลประโยชน์ของ โจทก์และสมำชิกท ำให้โจทก์เสียหำยอันมีลักษณะเป็นกำรกระท ำละเมิดต่อโจทก์ แต่เมื่อข้อบังคับโจทก์ หมวด ๗ ข้อ ๕๖ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ ให้คณะกรรมกำรด ำเนินกำรด ำเนินกิจกำรทั้งปวง ของโจทก์ให้เป็นไปตำมข้อบังคับและตำมมติของที่ประชุมใหญ่ รวมทั้ง "...(๑๓) พิจำรณำให้ควำมเที่ยงธรรม แก่บรรดำสมำชิก เจ้ำหน้ำที่ และลูกจ้ำงของสหกรณ์..." และตำมข้อบังคับโจทก์ หมวด ๗ ข้อ ๖๒ และ ข้อ ๖๓ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ ให้คณะกรรมกำรด ำเนินกำรส่วนหนึ่งท ำหน้ำที่เป็นคณะกรรมกำร อ ำนวยกำรด้วย และให้อยู่ในต ำแหน่งได้เท่ำกับก ำหนดเวลำของคณะกรรมกำรด ำเนินกำร เพื่อด ำเนินกิจกำร แทนคณะกรรมกำรด ำเนินกำรตำมที่ได้รับมอบหมำย อันแสดงให้เห็นว่ำจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ มีอ ำนำจหน้ำที่ ด ำเนินกิจกำรแทนโจทก์ภำยใต้กำรควบคุมของที่ประชุมใหญ่โดยมิได้มีฐำนะเป็นเจ้ำหน้ำที่หรือลูกจ้ำง ของโจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ จึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำง และลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ส ำหรับคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ นั้น เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลย ที่ ๑๖ ท ำงำนเป็นผู้จัดกำร อยู่ภำยใต้กำรบังคับบัญชำโดยตรงของจ ำเลยที่ ๑ และจ้ำงจ ำเลยที่ ๑๗ ท ำงำน เป็นรองผู้จัดกำร อยู่ภำยใต้กำรบังคับบัญชำโดยตรงของจ ำเลยที่ ๑๖ ตำมค ำบรรยำยลักษณะงำนเอกสำร ท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๕ และหมำยเลข ๖ จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ ปฏิบัติผิดหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนต่อโจทก์ คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕) วินิจฉัยว่ำ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ไม่อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำน แต่คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน


๔๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.17/2560 นายพุฒิพงศ์วุฒิอัศวพงศ์ โจทก์ นิติบุคคลอาคารชุด เชียงรายคอนโดเทล จ ำเลย พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจ าเลย ต าแหน่งผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด จ าเลย ประชุมใหญ่สามัญประจ าปี ๒๕๕๗ มีมติอนุมัติให้โจทก์ลาออกจากการเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไปและให้โจทก์รักษาการในต าแหน่งผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด หรือเป็นที่ปรึกษาออกไปอีก ๓ เดือน นับแต่วันที่ลาออกกับให้จ่ายเงินชดเชยเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๓ เดือน แก่โจทก์ แต่จ าเลยจ่ายให้โจทก์เพียง ๖๐,๐๐๐ บาท ยังคงค้างจ่ายอีก ๑๒๐,๐๐๐ บาท กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกัน จ าเลยซึ่งเป็น นายจ้างปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีระหว่างโจทก์กับ จ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยเป็นนิติบุคคลตำมพระรำชบัญญัติอำคำรชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ โจทก์เคยเป็น ลูกจ้ำงจ ำเลยต ำแหน่งผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุด เมื่อวันที่ ๑๕ มีนำคม ๒๕๕๗จ ำเลยประชุมใหญ่สำมัญ ประจ ำปี๒๕๕๗ มีมติอนุมัติให้โจทก์ลำออกจำกกำรเป็นผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุดตั้งแต่วันที่ ๑ เมษำยน ๒๕๕๗ เป็นต้นไปและให้โจทก์รักษำกำรในต ำแหน่งผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุดหรือเป็นที่ปรึกษำออกไปอีก ๓ เดือน นับแต่วันที่ลำออกกับให้จ่ำยเงินชดเชยเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บำท เป็นเวลำ ๓ เดือน แก่โจทก์ แต่จ ำเลย จ่ำยเงินชดเชยให้โจทก์เพียง ๖๐,๐๐๐ บำท ยังคงค้ำงจ่ำยอีก ๑๒๐,๐๐๐ บำท โจทก์บอกกล่ำวทวงถำม แล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยเงินดังกล่ำวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๕ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เคยเป็นลูกจ้ำงจ ำเลยต ำแหน่งผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุด จ ำเลยประชุมใหญ่สำมัญ ประจ ำปี๒๕๕๗ มีมติอนุมัติให้โจทก์ลำออกจำกกำรเป็นผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุดตั้งแต่วันที่ ๑ เมษำยน ๒๕๕๗ เป็นต้นไปและให้โจทก์รักษำกำรในต ำแหน่งผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุดหรือเป็นที่ปรึกษำออกไปอีก ๓ เดือน นับแต่วันที่ลำออกกับให้จ่ำยเงินชดเชยเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บำท เป็นเวลำ ๓ เดือน แก่โจทก์ แต่จ ำเลย


๔๒ จ่ำยให้โจทก์เพียง ๖๐,๐๐๐ บำท ยังคงค้ำงจ่ำยอีก ๑๒๐,๐๐๐ บำท กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลย มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกัน จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำงปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ท ำให้ โจทก์ได้รับควำมเสียหำย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๔๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.18 – ๓๒/2560 นางบัวแรง ดาทอง กับพวก โจทก์ นางสาวณัฐชยา กุลชล กับพวก จ ำเลย ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๕ พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (1) (2) (๕), 9 พ.ร.บ. โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๖, ๑๗, ๔๔, ๖๖ พ.ร.บ. โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๗๖, ๗๘, ๑๖๖ คดีของโจทก์ทั้งสิบห้ำส ำนวนส่วนที่เกี่ยวกับจ ำเลยที่ ๑ กำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ ในฐำนะ เป็นตัวแทนจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนำยจ้ำงและในฐำนะเป็นลูกจ้ำงปฏิบัติหน้ำที่ตำมค ำสั่งในทำงกำรที่จ้ำง ของจ ำเลยที่ ๒ ด้วยควำมประมำทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำซึ่งเป็นลูกจ้ำง ของจ ำเลยที่ 2 ดังกล่ำวถึงแก่ควำมตำยและบำดเจ็บ จึงฟ้องให้จ ำเลยที่ ๑ รับผิดตำมมูลหนี้ละเมิด ส่วนที่เกี่ยวกับจ ำเลยที่ 1 จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงลูกจ้ำงกับลูกจ้ำงที่เกิดจำกกำรท ำงำน ในทำงกำรที่จ้ำงตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (5) และให้จ ำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจ ำเลยที่ ๑ ในมูลหนี้ละเมิด แม้โจทก์ทั้งสิบห้ำจะมิได้ฟ้อง ว่ำจ ำเลยที่ ๒ เป็นผู้กระท ำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสิบห้ำโดยตรง แต่ตำมมำตรำ ๘ (๕) แห่งพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังหมำยถึงกรณีลูกจ้ำงผู้เสียหำยฟ้อง นำยจ้ำงให้รับผิดแห่งละเมิดที่ลูกจ้ำงด้วยกันได้กระท ำไปในทำงกำรที่จ้ำงอีกด้วย คดีของโจทก์ทั้งสิบห้ำ ส ำนวนส่วนที่เกี่ยวกับจ ำเลยที่ ๒ นี้ จึงเป็นคดีพิพำทอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและมูลละเมิดระหว่ำงลูกจ้ำงกับลูกจ้ำงที่เกิดจำกกำรท ำงำน ในทำงกำรที่จ้ำงตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๕) นอกจำกนี้คดีที่โจทก์ที่ ๓ ถึงที่ ๕ ฟ้องจ ำเลยที่ ๒ อ้ำงเหตุว่ำจ ำเลยที่ ๒ ไม่น ำส่งเงินสมทบ บุคลำกรทำงกำรศึกษำเข้ำกองทุนสงเครำะห์ กระทรวงศึกษำธิกำร ท ำให้นำงวรำพร คนแก้ว และ นำงสำวอ ำภำ หรสิทธิ์ ไม่มีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพและค่ำทดแทนตำมพระรำชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๗๖ และมำตรำ ๗๘ และเป็นกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำน ข้อ ๗ เป็นกำรกล่ำวอ้ำง ว่ำจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนำยจ้ำงของนำงวรำพรและนำงสำวอ ำภำ จงใจไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตำม พระรำชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ด้วย อีกทั้งคดีในส่วนที่โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ฟ้องให้จ ำเลยทั้งสองจ่ำยค่ำจ้ำงและ ค่ำชดเชยตำมระเบียบกระทรวงศึกษำธิกำร ว่ำด้วยกำรคุ้มครองกำรท ำงำนของครูใหญ่และครูโรงเรียน เอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อ ๑๑ และข้อ ๓๒ ซึ่งระเบียบฉบับนี้ออกโดยอำศัยอ ำนำจตำมควำมในมำตรำ ๖ มำตรำ ๑๗ มำตรำ ๔๔ และมำตรำ ๖๖ แห่งพระรำชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ซึ่งใช้บังคับ โดยอนุโลมตำมพระรำชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๑๖๖ นั้นถือได้ว่ำเป็นกำรเรียกร้อง สิทธิตำมกฎหมำยคุ้มครองแรงงำน จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วย


Click to View FlipBook Version