The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

๙๔ โจทก์ซื้อสินค้ำจำกร้ำนค้ำภำยนอกแล้วเป็นหนี้กำรค้ำต่อโจทก์หลำยรำยกำร เมื่อรวมค่ำปรับและดอกเบี้ย แล้วเป็นเงิน ๘๒,๖๘๖ บำท โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยไม่ปฏิบัติตำม ข้อตกลงในสิทธิสวัสดิกำรซึ่งโจทก์ในฐำนะนำยจ้ำงให้แก่จ ำเลยในฐำนะลูกจ้ำงอันเนื่องจำกกำรจ้ำง ซึ่งถือว่ำเป็นส่วนหนึ่งของสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๙๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๕๕/๒๕๖๐ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทจ๊อบ เอ็กซ์พลอเรอร์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 24, 33, 34, 35 พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มี ควำมเหมำะสมและก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มี กำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริม และพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบ อำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์ กำรด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนและกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำง ที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำน ตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุนส่งเสริมและ พัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำมมำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมมำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำรตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่ จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือให้กำรช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำรหรือ ผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำรในกำรท ำงำนและก ำหนดหน้ำที่หลักของ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำรในกำร เข้ำท ำงำนและก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำร รวมทั้งก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร โดยรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็น ผู้รักษำกำรตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำน ในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำง หรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วย


๙๖ สิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในรัฐบาล มีหน้าที่ก ากับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส าหรับการใช้จ่ายในการคุ้มครอง ส่งเสริม สงเคราะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา และการประกอบอาชีพของคนพิการ ปี๒๕๕๕ ถึง ปี ๒๕๕๙ จ าเลยเป็นนายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้าที่ต้องรับคนพิการเข้าท างาน ตามอัตราส่วนหรือให้สัมปทานหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้า กองทุนดังกล่าว ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ถึง มาตรา ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก าหนดไว้ แต่จ าเลยไม่ด าเนินการโจทก์จึงมีหนังสือขอให้ผู้แทน จ าเลยให้ถ้อยค าและแจ้งเตือนให้จ าเลยส่งเงินตามจ านวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ากองทุนดังกล่าวแล้ว แต่จ าเลยเพิกเฉย จ าเลยจึงต้องส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวประจ าปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๙เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้ว เป็นเงินรวม ๓,๙๒๕,๙๙๒.๑๕ บาท ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๓,๙๒๕,๙๙๒.๑๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓,๒๘๘,๒๘๕ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า จ าเลยเป็นบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ในการรับจ้างเหมาแรงงานเพื่อท างาน ในสถานประกอบกิจการของผู้ว่าจ้าง จ าเลยไม่มีสถานประกอบการเอง จึงไม่ใช่นายจ้างหรือสถานประกอบการ ที่ต้องน าเงินส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและไม่ต้องด าเนินการใดตามที่ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการพ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ และ กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก าหนดไว้แต่อย่างใด คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้มีความเหมาะสม และก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้ มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของ คนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงก าหนดหลักเกณฑ์การด าเนินการใน การรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับ


๙๗ คนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้อง ด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการ ในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการเข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการรวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ ชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงิน ที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒)


๙๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๕๖/25๖๐ นางกาญจนา ภักดี โจทก์ บริษัทเพียงไทยโลจีสติกส์ จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒), ๙ วรรคสอง การที่โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยทั้งสองจ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง ระหว่างท างาน โจทก์ส ารอง จ่ายเงินให้จ าเลยทั้งสองเพื่อน าไปใช้ในธุรกิจของจ าเลยทั้งสอง แต่จ าเลยทั้งสองคืนเงินให้โจทก์ไม่ครบ และโจทก์ยังได้โอนเงินเข้าบัญชีจ าเลยทั้งสองเพื่อวางประกันสินค้า แต่จ าเลยทั้งสองยังไม่คืนเงิน ดังกล่าวแก่โจทก์และจ าเลยทั้งสองยังค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ด้วย อันเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ กับจ าเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินตามสัญญาจ้างแรงงาน และเงินตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ สิงหำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยทั้งสองจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ต ำแหน่ง สุดท้ำยเป็นพนักงำนเดินเอกสำร ได้รับค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำย เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บำท ก ำหนดจ่ำยทุกวันที่ ๕ ของทุกเดือน ระหว่ำงวันที่ ๑ ธันวำคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๗ กุมภำพันธ์ ๒๕๖๐ โจทก์ส ำรองจ่ำยเงินให้ จ ำเลยทั้งสองเพื่อน ำไปใช้ในธุรกิจของจ ำเลยทั้งสองเป็นเงิน ๘๒๐,๕๓๘ บำท แต่จ ำเลยทั้งสองคืนเงิน ให้โจทก์เพียง ๔๙๑,๐๐๐ บำท ยังค้ำงอยู่ ๓๒๙,๕๓๘ บำท นอกจำกนั้นโจทก์ยังได้โอนเงินเข้ำบัญชี จ ำเลยทั้งสองเพื่อวำงประกันสินค้ำ ๒๐๐,๐๐๐ บำท และจ ำเลยทั้งสองยังค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงเดือนกุมภำพันธ์ ๒๕๖๐ แก่โจทก์อีก ๑๕,๐๐๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองจ่ำยเงินส ำรองจ่ำย ๓๒๙,๕๓๘ บำท เงินวำงประกันสินค้ำ ๒๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี และค่ำจ้ำงค้ำงจ่ำย ๑๕,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจ ำนวนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำ จะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๑ จดทะเบียนจัดตั้งวันที่ ๒๔ พฤษภำคม ๒๕๕๙ แต่โจทก์ ฟ้องว่ำระหว่ำงวันที่ ๑ ธันวำคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๗ กุมภำพันธ์๒๕๖๐ โจทก์ส ำรองจ่ำยเงินให้จ ำเลย ทั้งสองจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ท ำงำนอิสระโดยเพียงแต่ท ำงำนรับและปล่อยตู้สินค้ำตำมที่จ ำเลยที่ ๑ แจ้งเป็นครำวไป เมื่อด ำเนินกำรแล้วจ ำเลยที่ ๑ จะโอนเงินเข้ำบัญชีโจทก์ในแต่ละครำว โจทก์ไม่มีก ำหนด วันเวลำท ำงำนแน่นอน ไม่อยู่ภำยใต้ข้อบังคับระเบียบกำรบังคับบัญชำของจ ำเลยที่ ๑ ไม่มีวันหยุดวันลำ เงินที่จ ำเลยที่ ๑ จ่ำยให้เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บำท ไม่ใช่ค่ำจ้ำงแต่เป็นเพียงเงินที่ส ำรองค่ำใช้จ่ำยล่วงหน้ำ จ ำนวนเงินที่อ้ำงว่ำโจทก์ส ำรองจ่ำยเงินให้จ ำเลยทั้งสองเพื่อน ำไปใช้ในธุรกิจของจ ำเลยทั้งสองเป็นเงิน ๘๒๐,๕๓๘ บำท แต่จ ำเลยทั้งสองคืนเงินให้โจทก์เพียง ๔๙๑,๐๐๐ บำท ยังค้ำงอยู่ ๓๒๙,๕๓๘ บำท และ


๙๙ เงินวำงประกันสินค้ำ ๒๐๐,๐๐๐ บำท สูงเกินจริงและไม่ถูกต้อง สัญญำระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสอง เป็นสัญญำจ้ำงท ำของ โจทก์ท ำให้จ ำเลยทั้งสองเสียหำยด้ำนเอกสำร ๘๐๐,๐๐๐ บำท จ ำเลยที่ ๑ จึงเลิกจ้ำงโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๒ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำช บัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสองจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ระหว่ำงท ำงำน โจทก์ส ำรองจ่ำยเงินให้จ ำเลยทั้งสอง เพื่อน ำไปใช้ในธุรกิจของจ ำเลยทั้งสอง แต่จ ำเลยทั้งสองคืนเงินให้โจทก์ไม่ครบและโจทก์ยังได้โอนเงินเข้ำ บัญชีจ ำเลยทั้งสองเพื่อวำงประกันสินค้ำแต่จ ำเลยทั้งสองยังไม่คืนเงินดังกล่ำวแก่โจทก์ นอกจำกนั้น จ ำเลยทั้งสองยังค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงแก่โจทก์ด้วย ตำมค ำฟ้องโจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยทั้งสอง มีนิติสัมพันธ์กันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเงินตำมกฎหมำย ว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยทั้งสองอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้อง หรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำของคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำ ตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)


๑๐๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๕๗/25๖๐ สหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จ ากัด โจทก์ นางเนตรนภา สันติธรรม จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ระหว่างท างานจ าเลยกู้ยืมเงินโจทก์ซึ่งโจทก์ จัดให้เป็นสวัสดิการพนักงาน ต่อมาจ าเลยได้พ้นสภาพการเป็นลูกจ้างและไม่ช าระหนี้แก่โจทก์ เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างใช้สิทธิกู้ยืมเงินที่โจทก์จัดให้เป็นสวัสดิการพนักงานอันถือว่า เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกร้อง ให้จ าเลยช าระหนี้เงินกู้ยืมที่ค้างช าระตามข้อตกลงดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์กำรเกษตร จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งผู้จัดกำรใหญ่ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยกู้ยืมเงินโจทก์เพื่อซื้ออสังหำริมทรัพย์และช ำระหนี้เดิมและเพื่อ กำรไถ่ถอนจ ำนองจำกสถำบันกำรเงิน ๒ สัญญำ สัญญำแรกเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกำยน ๒๕๕๗ จ ำเลยกู้ยืม เงินไป ๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท แต่ช ำระคืนโจทก์เพียง ๔๑,๖๖๔ บำท เมื่อรวมต้นเงิน เบี้ยปรับและดอกเบี้ยแล้ว คงค้ำงช ำระอยู่ ๑,๐๒๕,๒๘๔ บำท สัญญำที่สอง เมื่อวันที่ ๘ ธันวำคม ๒๕๕๗ จ ำเลยกู้ยืมเงินไป ๘๘๔,๐๐๐ บำท แต่ช ำระคืนโจทก์เพียง ๓๖,๘๓๔ บำท เมื่อรวมต้นเงิน เบี้ยปรับและดอกเบี้ยแล้วคงค้ำงช ำระอยู่ ๙๐๖,๓๔๖ บำท รวมเป็นเงิน ๑,๙๓๑,๖๓๐ บำท ต่อมำจ ำเลยได้พ้นสภำพกำรเป็นลูกจ้ำงและไม่ช ำระหนี้ ดังกล่ำวแก่โจทก์โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑,๙๓๑,๖๓๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๔ ต่อปี และเบี้ยปรับอัตรำร้อยละ ๓ ต่อปี จำกต้นเงิน ๑,๘๐๕,๕๐๒ บำท นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ หนี้ตำมสัญญำกู้ยืมเงินเป็นสวัสดิกำรที่โจทก์สำมำรถหักจำกเงินเดือนจ ำเลยได้ แต่เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎำคม ๒๕๕๘ โจทก์เลิกจ้ำงจ ำเลย จ ำเลยไม่ได้รับเงินเดือนจึงไม่สำมำรถช ำระหนี้ได้ หนี้ตำมสัญญำกู้ยืมเงินฉบับแรกมีบุคคลเป็นผู้ค้ ำประกัน และหนี้ตำมสัญญำกู้ยืมเงินฉบับที่สอง มีหลักทรัพย์ เป็นรถยนต์ค้ ำประกัน กำรที่โจทก์ไม่ฟ้องผู้ค้ ำประกันและไม่บังคับจำกหลักทรัพย์ค้ ำประกันดังกล่ำวก่อน เป็นกำรใช้สิทธิไม่สุจริต เมื่อจ ำเลยไม่ได้ผิดสัญญำโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดเบี้ยปรับและดอกเบี้ย คดีนี้อยู่ใน อ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดเชียงรำยเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง


๑๐๑ พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งผู้จัดกำรใหญ่ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยกู้ยืมเงินโจทก์เพื่อซื้อ อสังหำริมทรัพย์และช ำระหนี้เดิมและเพื่อกำรไถ่ถอนจ ำนองจำกสถำบันกำรเงินแต่ช ำระคืนโจทก์ไม่ครบถ้วน ต่อมำจ ำเลยได้พ้นสภำพกำรเป็นลูกจ้ำงและไม่ช ำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถำมแล้ว แต่จ ำเลยเพิกเฉย เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงใช้สิทธิกู้ยืมเงินที่โจทก์จัดให้เป็นสวัสดิกำรพนักงำนอันถือว่ำ เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงและเป็นส่วนหนึ่งของสัญญำจ้ำงแรงงำน เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกร้องให้ จ ำเลยช ำระหนี้เงินกู้ยืมที่ค้ำงช ำระตำมข้อตกลงดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง ตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๐๒ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.58/2560 บริษัทบางกอกโซลาร์ พาวเวอร์ จ ากัด โจทก์ นายสาธิต วงษ์แดง จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำน ระหว่ำงกำรท ำงำนโจทก์ออกค่ำใช้จ่ำยส่งจ ำเลย ไปอบรมศึกษำดูงำนนอกสถำนที่ ๓ ครั้ง โดยมีข้อตกลงว่ำจ ำเลยจะน ำควำมรู้ประสบกำรณ์ที่ได้จำก กำรอบรมมำท ำงำนให้โจทก์มีระยะเวลำไม่น้อยกว่ำ ๑ ปี นับแต่วันเสร็จสิ้นกำรอบรมแต่ละครั้ง หำกผิด ข้อตกลงจ ำเลยต้องชดใช้ค่ำเสียหำยจำกค่ำใช้จ่ำยที่โจทก์เสียไปในกำรอบรมของจ ำเลยเป็นเงิน ๔ เท่ำ ต่อมำจ ำเลยลำออกจำกกำรท ำงำนอันเป็นกำรผิดข้อตกลงท ำให้โจทก์เสียหำย เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำบันทึกข้อตกลงกำรอนุญำตให้ไปศึกษำดูงำน ฝึกอบรม สัมมนำ ภำยในประเทศ และตำมหนังสือสัญญำกำรฝึกอบรมและดูงำนภำยในประเทศซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของข้อตกลงในกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและขอให้จ ำเลยช ำระค่ำเสียหำยตำมข้อตกลง ดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลำคม ๒๕๕๗ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำน ต ำแหน่งวิศวกรออกแบบ ระหว่ำงกำรท ำงำน โจทก์ออกค่ำใช้จ่ำยส่งจ ำเลยไปอบรมศึกษำดูงำนนอกสถำนที่ ๓ ครั้ง คือ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนำยน ๒๕๕๙ และวันที่ ๒๓ สิงหำคม ๒๕๕๙ อบรมสัมมนำ โดยบริษัทเอบีบี จ ำกัด และระหว่ำงวันที่ ๒๙ ตุลำคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๕ พฤศจิกำยน ๒๕๕๙ อบรมวิปัสสนำกรรมฐำนโดยยุวพุทธิกสมำคม แห่งประเทศไทย โดยมีข้อตกลงว่ำจ ำเลยจะน ำควำมรู้ประสบกำรณ์ที่ได้จำกกำรอบรม มำท ำงำนให้โจทก์มี ระยะเวลำไม่น้อยกว่ำ ๑ ปีนับแต่วันเสร็จสิ้นกำรอบรมแต่ละครั้ง หำกผิดข้อตกลงจ ำเลยต้องชดใช้ ค่ำเสียหำยจำกค่ำใช้จ่ำยที่โจทก์เสียไปในกำรอบรมของจ ำเลยเป็นเงิน ๔ เท่ำ ภำยในสำมสิบวัน ต่อมำ วันที่ ๑๘ มกรำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยลำออกจำกกำรท ำงำนเป็นกำรผิดข้อตกลงดังกล่ำวท ำให้โจทก์เสียหำย จ ำเลยต้องชดใช้ค่ำเสียหำยรวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๒๖,๐๔๘.๖๗ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๒๖,๐๔๘.๖๗ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๕,๔๐๑.๔๗ บำท นับแต่วันถัดจำก วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ชั้นตรวจค ำฟ้อง ศำลจังหวัดฉะเชิงเทรำเห็นว่ำกรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง


๑๐๓ พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจ าเลยท างาน ระหว่างการท างานโจทก์ออกค่าใช้จ่ายส่งจ าเลยไป อบรมศึกษาดูงานนอกสถานที่ ๓ ครั้ง โดยมีข้อตกลงว่าจ าเลยจะน าความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการอบรม มาท างานให้โจทก์มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๑ ปี นับแต่วันเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง หากผิดข้อตกลง จ าเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายจากค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไปในการอบรมของจ าเลยเป็นเงิน ๔ เท่า ต่อมาจ าเลย ลาออกจากการท างานอันเป็นการผิดข้อตกลงท าให้โจทก์เสียหาย เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้าง ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาบันทึกข้อตกลงการอนุญาตให้ไปศึกษาดูงาน ฝึกอบรม สัมมนา ภายในประเทศ เอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๖ และตามหนังสือสัญญาการฝึกอบรมและดูงานภายในประเทศ เอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๘ และหมายเลข ๑๐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการท างานตามสัญญา จ้างแรงงานและขอให้จ าเลยช าระค่าเสียหายตามข้อตกลงดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็น คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)


๑๐๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.59/๒๕๖๐ นายธวัชชัย ปิติสิทธิ์ โดยนางค า ปิติสิทธิ์ ผู้แทนโดยชอบธรรม โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจ ากัดอุบล วี.พี.เซ็นเตอร์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (5), ๙ วรรคสอง ตามค าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จ าเลยเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจ ากัดประกอบ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารตึกสามชั้นของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา อุบลราชธานี ของสถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต าบลในเมือง อ าเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีโจทก์เป็นลูกจ้างท าหน้าที่ก่ออิฐและ ฉาบผนังปูน ต่อมาระหว่างที่โจทก์ท างานดังกล่าวอยู่บริเวณชั้น ๓ ของอาคารได้มีลูกจ้างจ าเลย อีกกลุ่มหนึ่งก าลังเชื่อมเหล็กโครงสร้างหลังคาอยู่แล้วเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วออกจากสายไฟกระจายอยู่ บริเวณพื้นอาคารชั้น ๓ ที่มีสภาพเปียกน้ าเป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้าช็อตโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเป็นผู้พิการอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังของจ าเลยที่ได้ใช้ สายไฟฟ้าซึ่งมีสภาพเก่า ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยช าระค่าเสียหายที่ได้กระท า ละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้าง กันตามสัญญาจ้างแรงงาน ระหว่างท างานจ าเลยผู้เป็นนายจ้างได้กระท าละเมิดต่อโจทก์ด้วยความ ประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังโดยไม่ดูแลรักษาสายไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพดีและปลอดภัย คดี ระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างาน ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นผู้เยำว์และเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยของนำงค ำ ปิติสิทธิ์ จ ำเลยเป็น นิติบุคคลประเภทห้ำงหุ้นส่วนจ ำกัดประกอบธุรกิจรับเหมำก่อสร้ำง และเป็นผู้รับเหมำก่อสร้ำงอำคำร ตึกสำมชั้นของศูนย์วิทยำศำสตร์เพื่อกำรศึกษำ อุบลรำชธำนี ซึ่งตั้งอยู่ในสถำบันพัฒนำกำรศึกษำนอกระบบ และกำรศึกษำตำมอัธยำศัยภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ต ำบลในเมือง อ ำเภอเมืองอุบลรำชธำนี จังหวัด อุบลรำชธำนี โจทก์เป็นลูกจ้ำงจ ำเลยมีหน้ำที่ก่ออิฐและฉำบผนังปูน ต่อมำระหว่ำงที่โจทก์ก่ออิฐและ ฉำบผนังปูนอยู่บริเวณชั้น ๓ ของอำคำรดังกล่ำวได้มีลูกจ้ำงจ ำเลยอีกกลุ่มหนึ่งท ำกำรเชื่อมเหล็กโครงสร้ำง หลังคำโดยต่อสำยไฟขึ้นไปบริเวณหลังคำเหนือบริเวณชั้น ๓ ที่โจทก์ก ำลังท ำงำนอยู่ และด้วยควำมประมำท เลินเล่อปรำศจำกควำมระมัดระวังของจ ำเลยที่ได้ใช้อุปกรณ์สำยไฟซึ่งมีสภำพเก่ำในกำรต่อกระแสไฟฟ้ำ เพื่อเชื่อมเหล็กโครงสร้ำงหลังคำท ำให้มีกระแสไฟฟ้ำรั่วออกจำกสำยไฟดังกล่ำวกระจำยอยู่บริเวณพื้นอำคำร ชั้น ๓ ที่มีสภำพเปียกน้ ำ เป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้ำช็อตโจทก์ได้รับบำดเจ็บสำหัสไม่สำมำรถเคลื่อนไหว


๑๐๕ ร่ำงกำยได้จนต้องเป็นผู้พิกำรทำงกำรเคลื่อนไหวหรือทำงกำย อันเป็นกำรกระท ำละเมิด ท ำให้โจทก์ ได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระค่ำเสียหำย ๕๔๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่ำวนับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ จ ำเลยไม่ได้ประมำทเลินเล่อโดยได้ตรวจสอบสำยไฟให้อยู่ในสภำพดีใช้กำร ได้มำตลอด เหตุเกิดขึ้นเพรำะควำมประมำทเลินเล่อของโจทก์เองที่ไม่สวมรองเท้ำในขณะปฏิบัติหน้ำที่ ซึ่งจ ำเลยได้ตักเตือนอย่ำงเข้มงวดแล้ว ค่ำเสียหำยที่โจทก์เรียกมำสูงเกินควำมจริง อีกทั้งคดีนี้ก็อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดอุบลรำชธำนี เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทห้ำงหุ้นส่วนจ ำกัดประกอบธุรกิจ รับเหมำก่อสร้ำง และเป็นผู้รับเหมำก่อสร้ำงอำคำรตึกสำมชั้นของศูนย์วิทยำศำสตร์เพื่อกำรศึกษำ อุบลรำชธำนี ของสถำบันพัฒนำกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัยภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ต ำบลในเมือง อ ำเภอเมืองอุบลรำชธำนี จังหวัดอุบลรำชธำนี โดยมีโจทก์เป็นลูกจ้ำงท ำหน้ำที่ก่ออิฐและฉำบ ผนังปูน ต่อมำระหว่ำงที่โจทก์ท ำงำนดังกล่ำวอยู่บริเวณชั้น ๓ ของอำคำรได้มีลูกจ้ำงจ ำเลยอีกกลุ่มหนึ่งก ำลัง เชื่อมเหล็กโครงสร้ำงหลังคำอยู่แล้วเกิดกระแสไฟฟ้ำรั่วออกจำกสำยไฟกระจำยอยู่บริเวณพื้นอำคำรชั้น ๓ ที่ มีสภำพเปียกน้ ำเป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้ำช็อตโจทก์ได้รับบำดเจ็บสำหัสต้องเป็นผู้พิกำรอันเนื่องมำจำกควำม ประมำทเลินเล่อปรำศจำกควำมระมัดระวังของจ ำเลยที่ได้ใช้สำยไฟฟ้ำซึ่งมีสภำพเก่ำ ท ำให้โจทก์ได้รับควำม เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระค่ำเสียหำยที่ได้กระท ำละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยผู้เป็น นำยจ้ำงได้กระท ำละเมิดต่อโจทก์ด้วยควำมประมำทเลินเล่อปรำศจำกควำมระมัดระวังโดยไม่ดูแลรักษำ สำยไฟฟ้ำให้อยู่ในสภำพดีและปลอดภัย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำง นำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๕)


๑๐๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.60/2560 นายเร็ค บิดเนอร์ โจทก์ นายปัณชพัฒน์ เลิศธีรเรืองกุล จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จ้างจ าเลยเป็นตัวแทนด าเนินคดีและเรียกค่าเสียหายจาก นายโดมินิค แอนดรูว์ ลองสตาร์ฟ กับนางสาวศิริวรรณ สันป่าแก้ว ซึ่งหลอกลวงเอาทรัพย์สินของโจทก์ ไปในการท าธุรกิจ หลังจากรับเงินค่าจ้างไปแล้วจ าเลยเพียงแต่พาโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และจ าเลยได้ขอยืมเงินส ารองจากโจทก์แล้วไม่ติดต่อโจทก์อีก การด าเนินงานของจ าเลยควรได้รับ ค่าจ้างเพียงบางส่วน จึงขอให้บังคับจ าเลยคืนเงินค่าจ้างบางส่วนและเงินส ารองแก่โจทก์ ตามค าฟ้อง โจทก์แสดงให้เห็นว่าโจทก์ตกลงจ้างจ าเลยเพื่อเป็นตัวแทนในการด าเนินคดีและเรียกค่าเสียหาย จากบุคคลภายนอก และปรากฏตามสัญญาจ้างพร้อมค าแปลว่า โจทก์จ้างจ าเลยให้พบปะเจรจากับ ผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องเงินของโจทก์ที่ได้โอนจากต่างประเทศเพื่อท าธุรกิจในประเทศไทยประมาณ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้จ าเลยสืบค้นหาข้อมูล รวบรวมข้อมูล และหาโอกาสในการเรียกคืนเงิน ดังกล่าว นอกจากจ าเลยจะได้รับค่าจ้างแล้วยังจะได้รับเงินหรือทรัพย์สินอีกร้อยละยี่สิบจากที่ติดตามได้ โดยไม่ปรากฏว่าจ าเลยต้องอยู่ภายใต้อ านาจบังคับบัญชาของโจทก์อันเป็นลักษณะส าคัญของลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ประการใดสัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจ าเลยดังกล่าว จึงเป็นสัญญา ที่จ าเลยตกลงรับท าการสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนส าเร็จให้แก่โจทก์ แล้วโจทก์ตกลงจ่ายสินจ้างเพื่อผลส าเร็จ แห่งการที่ท านั้นแก่จ าเลย อันมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างท าของ โจทก์และจ าเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ เป็นนายจ้างกับลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์และจ าเลยไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาท อย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยเป็นตัวแทนด ำเนินคดีกับนำยโดมินิค แอนดรูว์ ลองสตำร์ฟ กับนำงสำวศิริวรรณ สันป่ำแก้ว เพื่อเรียกค่ำเสียหำยจำกกำรหลอกลวงเอำทรัพย์สินของโจทก์ ไปในกำรท ำธุรกิจ ตกลงค่ำจ้ำง ๑,๔๐๐,๐๐๐ บำท โดยแบ่งจ่ำยเป็นสำมงวด หลังจำกรับเงินค่ำจ้ำงไป ครบถ้วนแล้วจ ำเลยพำโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวนแล้วจ ำเลยขอยืมเงินส ำรองจำกโจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บำท จำกนั้นไม่ติดต่อโจทก์อีก กำรด ำเนินงำนของจ ำเลยจึงควรได้รับค่ำจ้ำงเพียง ๔๐๐,๐๐๐ บำท ส่วนเงินค่ำจ้ำงอีก ๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท และเงินส ำรอง ๑๐๐,๐๐๐ บำท ที่จ ำเลยรับไปแล้วนั้น เป็นส่วนที่เกินจำกผลงำนที่ควรจะได้รับจ ำเลยต้องคืนแก่โจทก์ โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้ บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑,๑๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์


๑๐๗ จ ำเลยให้กำรว่ำ จ ำเลยท ำงำนให้โจทก์จนส ำเร็จตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนแล้ว กำรที่ผู้หลอกลวง เอำทรัพย์สินของโจทก์ไปในกำรท ำธุรกิจไม่สำมำรถช ำระเงินคืนแก่โจทก์เป็นเรื่องนอกเหนือกำรบังคับ ของจ ำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่ำจ้ำงคืน จ ำเลยไม่เคยขอยืมเงินส ำรองจำกโจทก์ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยเป็นตัวแทนด ำเนินคดีและเรียกค่ำเสียหำยจำกนำยโดมินิค แอนดรูว์ ลองสตำร์ฟ กับนำงสำวศิริวรรณ สันป่ำแก้ว ซึ่งหลอกลวงเอำทรัพย์สินของโจทก์ไปในกำรท ำธุรกิจ หลังจำก รับเงินค่ำจ้ำงไปแล้วจ ำเลยเพียงแต่พำโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวน และจ ำเลยได้ขอยืมเงินส ำรอง จำกโจทก์แล้วไม่ติดต่อโจทก์อีก กำรด ำเนินงำนของจ ำเลยควรได้รับค่ำจ้ำงเพียงบำงส่วน จึงขอให้บังคับ จ ำเลยคืนเงินค่ำจ้ำงบำงส่วนและเงินส ำรองแก่โจทก์ ตำมค ำฟ้องโจทก์แสดงให้เห็นว่ำโจทก์ตกลงจ้ำงจ ำเลย เพื่อเป็นตัวแทนในกำรด ำเนินคดีและเรียกค่ำเสียหำยจำกบุคคลภำยนอก และปรำกฏตำมสัญญำจ้ำง พร้อมค ำแปล เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ ว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยให้พบปะเจรจำกับผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องเงิน ของโจทก์ที่ได้โอนจำกต่ำงประเทศเพื่อท ำธุรกิจในประเทศไทยประมำณ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท และให้จ ำเลย สืบค้นหำข้อมูล รวบรวมข้อมูล และหำโอกำสในกำรเรียกคืนเงินดังกล่ำว นอกจำกจ ำเลยจะได้รับค่ำจ้ำงแล้ว ยังจะได้รับเงินหรือทรัพย์สินอีกร้อยละยี่สิบจำกที่ติดตำมได้ โดยไม่ปรำกฏว่ำจ ำเลยต้องอยู่ภำยใต้อ ำนำจ บังคับบัญชำของโจทก์อันเป็นลักษณะส ำคัญของลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนแต่ประกำรใดสัญญำจ้ำง ระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยดังกล่ำว จึงเป็นสัญญำที่จ ำเลยตกลงรับท ำกำรสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนส ำเร็จให้แก่โจทก์ แล้วโจทก์ตกลงจ่ำยสินจ้ำงเพื่อผลส ำเร็จแห่งกำรที่ท ำนั้นแก่จ ำเลย อันมีลักษณะเป็นสัญญำจ้ำงท ำของ โจทก์และจ ำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์และ จ ำเลยไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดี แรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘


๑๐๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.61/2560 บริษัทซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) โจทก์ นายเทวา กันหาเรียง กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นพนักงำนโจทก์ ต ำแหน่งผู้จัดกำรสำขำชุมแพ จ ำเลยที่ ๑ ท ำสัญญำรับผิดชดใช้ควำมเสียหำยไว้แก่โจทก์ ยอมรับว่ำระหว่ำงที่จ ำเลยที่ ๑ ท ำงำน กับโจทก์ได้ก่อควำมเสียหำยแก่โจทก์ โดยมีจ ำเลยที่ ๒ ตกลงท ำสัญญำค้ ำประกันควำมรับผิด ของจ ำเลยที่ ๑ แต่จ ำเลยที่ ๑ ผ่อนช ำระหนี้เพียงบำงส่วน จึงเรียกร้องให้จ ำเลยทั้งสองช ำระหนี้ ส่วนที่เหลือ เป็นกรณีที่โจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกัน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน จ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำ ละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องให้จ ำเลยที่ ๒ รับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกันควำมรับผิดของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกำรไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เคยเป็นพนักงานโจทก์ ต าแหน่งผู้จัดการสาขาชุมแพ ระหว่างท างาน จ าเลยที่ ๑ ผิดสัญญาและได้ท าสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายไว้แก่โจทก์ ยอมรับว ่าระหว ่างท างาน ได้ก่อความเสียหายต่อโจทก์ รวมเป็นเงิน ๑๔๔,๓๐๐ บาท และในวันท าสัญญา จ าเลยที่ ๑ ได้ช าระเงิน ให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจ านวน ๑๒๔,๓๐๐ บาท ขอผ่อนช าระแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ภายในวันที่ ๓๐ ของเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไปจนกว่า จะครบ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์ด าเนินคดีได้ทันที โดยมีจ าเลยที่ ๒ ตกลงท าสัญญาค้ าประกันความรับผิด โดยสัญญาว่าหากจ าเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ช าระหนี้ให้แก่โจทก์ จ าเลยที่ ๒ จะเป็นผู้ช าระให้ทั้งสิ้น ต่อมาจ าเลยที่ ๑ ผ่อนช าระหนี้ให้แก่โจทก์ถึงงวดเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ รวมเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท แล้วผิดนัดไม่ผ่อนช าระหนี้ที่ยังคงเหลือจ านวน ๑๑๙,๓๐๐ บาท โจทก์บอกกล่าวให้จ าเลยที่ ๑ รับผิดช าระหนี้ตามสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายและให้จ าเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญาค้ าประกันแล้ว แต่จ าเลยทั้งสองเพิกเฉยท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อรวมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้อง แล้วเป็นเงิน ๑๓๕,๗๐๓ บาท ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองร่วมกันช าระเงิน ๑๓๕,๗๐๓ บาท พร้อมดอกเบี้ย


๑๐๙ อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๑๙,๓๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จ แก่โจทก์ ชั้นตรวจค าฟ้อง ศาลจังหวัดชุมแพเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นพนักงานโจทก์ ต าแหน่งผู้จัดการสาขาชุมแพ จ าเลยที่ ๑ ท าสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายไว้แก่โจทก์ ยอมรับว่าระหว่างที่จ าเลยที่ ๑ ท างานกับโจทก์ได้ก่อความ เสียหายแก่โจทก์ โดยมีจ าเลยที่ ๒ ตกลงท าสัญญาค้ าประกันความรับผิดของจ าเลยที่ ๑ แต่จ าเลยที่ ๑ ผ่อนช าระหนี้เพียงบางส่วน จึงเรียกร้องให้จ าเลยทั้งสองช าระหนี้ส่วนที่เหลือ เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน จ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้างเกี่ยวกับ การท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างาน ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องให้จ าเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะ ผู้ค้ าประกันความรับผิดของจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่าง โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)


๑๑๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.62/2560 นายสมฤทธิ์ ทองแย้ม โจทก์ นายปรีชา ถังสูงเนิน กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างจ าเลยที่ ๑ ตัดอ้อยโดยจ าเลยที่ ๑ ได้รับเงินค่าจ้างล่วงหน้า จากโจทก์แล้ว เพื่อเป็นประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ ดังกล่าว จ าเลยที่ ๒ ได้เข้าผูกพันตนเป็น ผู้ค้ าประกันร่วมรับผิดกับจ าเลยที่ ๑ ตามหนังสือสัญญาว่าจ้างแรงงาน เมื่อถึงก าหนดตัดอ้อย จ าเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ตัดอ้อยให้แก่โจทก์ ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์และ จ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน และจ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้าง ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างให้จ าเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ าประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่าง โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) เช่นเดียวกัน ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีอำชีพท ำไร่อ้อย เมื่อวันที่ ๑๑ เมษำยน ๒๕๕๙ โจทก์ตกลงว่ำจ้ำง จ ำเลยที่ ๑ ตัดอ้อยในฤดูหีบอ้อยระหว่ำงวันที่ ๑ ธันวำคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๑๐ เมษำยน ๒๕๖๐ ค่ำจ้ำง อัตรำมัดละ ๑.๕๐ บำท ซึ่งจ ำเลยที่ ๑ ได้รับค่ำจ้ำงล่วงหน้ำแล้ว ๑๐,๐๐๐ บำท โดยมีจ ำเลยที่ ๒ ผูกพันตน เป็นผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ยินยอมชดใช้ค่ำเสียหำยให้แก่โจทก์ เมื่อถึงก ำหนดตำมสัญญำ จ ำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ตัดอ้อยให้แก่โจทก์ ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกัน ช ำระเงิน ๑๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่ำว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ในชั้นตรวจฟ้อง ศำลจังหวัดชุมแพพิจำรณำแล้ว เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีอยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ตกลงว่ำจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ตัดอ้อยค่ำจ้ำงอัตรำมัดละ ๑.๕๐ บำท โดยจ ำเลยที่ ๑ ได้รับเงินค่ำจ้ำงล่วงหน้ำจำกโจทก์แล้ว ๑๐,๐๐๐ บำท เพื่อเป็นประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ดังกล่ำว จ ำเลยที่ ๒ ได้เข้ำผูกพันตนเป็นผู้ค้ ำประกันร่วมรับผิดกับจ ำเลยที่ ๑ ตำมหนังสือสัญญำว่ำจ้ำงแรงงำน


๑๑๑ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ เมื่อถึงก ำหนดตัดอ้อย จ ำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ตัดอ้อยให้แก่โจทก์ ท ำให้โจทก์ ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์และจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและ ลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และจ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ส่วนคดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ เป็นกรณีที่โจทก์กล่ำวอ้ำงให้จ ำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของ จ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธี พิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) เช่นเดียวกัน


๑๑๒ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๖๓/25๖๐ นายสมฤทธิ์ ทองแย้ม โจทก์ นายสายชล ถังสูงเนิน กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างจ าเลยที่ ๑ ตัดอ้อยค่าจ้างอัตรามัดละ ๑.๕๐ บาท โดย จ าเลยที่ ๑ ได้รับเงินค่าจ้างล่วงหน้าจากโจทก์แล้ว ๒๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นประกันการท างาน ของจ าเลยที่ ๑ ดังกล่าว จ าเลยที่ ๒ ได้เข้าผูกพันตนเป็นผู้ค้ าประกันร่วมรับผิดกับจ าเลยที่ ๑ ตาม หนังสือสัญญาว่าจ้างแรงงาน เมื่อถึงก าหนดตัดอ้อย จ าเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ตัดอ้อยให้แก่โจทก์ ท าให้โจทก์ ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์และจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์ เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน และจ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตามสัญญาดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตาม สัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างให้จ าเลยที่ ๒ ต้องรับผิด ในฐานะผู้ค้ าประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์ กับจ าเลยที่ ๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) เช่นเดียวกัน ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีอำชีพท ำไร่อ้อย เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนำยน ๒๕๕๙ โจทก์ตกลงว่ำจ้ำง จ ำเลยที่ ๑ ตัดอ้อยในฤดูหีบอ้อยระหว่ำงวันที่ ๑๕ ธันวำคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๑๐ เมษำยน ๒๕๖๐ ค่ำจ้ำง อัตรำมัดละ ๑.๕๐ บำท ซึ่งจ ำเลยที่ ๑ ได้รับค่ำจ้ำงล่วงหน้ำแล้ว ๒๐,๐๐๐ บำท โดยมีจ ำเลยที่ ๒ ผูกพันตน เป็นผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ยินยอมชดใช้ค่ำเสียหำยให้แก่โจทก์ เมื่อถึงก ำหนดตำมสัญญำ จ ำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ตัดอ้อยให้แก่โจทก์ ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกัน ช ำระเงิน ๒๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่ำว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ในชั้นตรวจฟ้อง ศำลจังหวัดชุมแพพิจำรณำแล้ว เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีอยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘


๑๑๓ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ตกลงว่ำจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ตัดอ้อยค่ำจ้ำงอัตรำมัดละ ๑.๕๐ บำท โดยจ ำเลยที่ ๑ ได้รับเงินค่ำจ้ำงล่วงหน้ำจำกโจทก์แล้ว ๒๐,๐๐๐ บำท เพื่อเป็นประกันกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ ดังกล่ำว จ ำเลยที่ ๒ ได้เข้ำผูกพันตนเป็นผู้ค้ ำประกันร่วมรับผิดกับจ ำเลยที่ ๑ ตำมหนังสือสัญญำว่ำจ้ำงแรงงำน เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ เมื่อถึงก ำหนดตัดอ้อย จ ำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ตัดอ้อยให้แก่โจทก์ ท ำให้โจทก์ ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์และจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำง และลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และจ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ส่วนคดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ เป็นกรณีที่โจทก์กล่ำวอ้ำงให้จ ำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำน ของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) เช่นเดียวกัน


๑๑๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.64/๒๕๖๐ นายเฉลิม นาใจคง โจทก์ นางสาวสุพัตรา สว่างเฟื่อง จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ระหว่างท างาน จ าเลยลาออกโดยไม่แจ้ง เป็นหนังสือให้โจทก์ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน และลาออกในระหว่างการปฏิบัติงานที่ได้ รับมอบหมายอันเป็นการผิดสัญญาจ้าง ท าให้โจทก์เสียหายจึงขอให้จ าเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงานและใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญา จ้างแรงงาน ข้อ ๘ และข้อ ๑๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นผู้รับใบอนุญำตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชน ชื่อว่ำโรงเรียนวรวิมลศึกษำ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภำคม ๒๕๖๐ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนในต ำแหน่งครูมีก ำหนดระยะเวลำ ๑ ปี มีข้อตกลง ตำมสัญญำจ้ำงว่ำ หำกจ ำเลยจะเลิกสัญญำต้องแจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทรำบล่วงหน้ำไม่น้อยกว่ำ ๓๐ วัน และจะต้องไม่ลำออกหรือออกในระหว่ำงกำรปฏิบัติงำนที่ได้รับมอบหมำย มิฉะนั้นจะต้องชดใช้ค่ำเสียหำย เป็นเงิน ๒๕,๕๐๐บำท แก่โจทก์ต่อมำวันที่ ๓ มิถุนำยน ๒๕๖๐ จ ำเลยลำออกโดยผิดข้อสัญญำดังกล่ำว ท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๒๕,๕๐๐ บำท แก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดชุมแพเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยลำออกโดยไม่แจ้ง เป็นหนังสือให้โจทก์ทรำบล่วงหน้ำไม่น้อยกว่ำ ๓๐ วัน และลำออกในระหว่ำงกำรปฏิบัติงำนที่ได้รับ มอบหมำยอันเป็นกำรผิดสัญญำจ้ำง ท ำให้โจทก์เสียหำย จึงขอให้จ ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์เป็นกำร กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยไม่ปฏิบัติตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ข้อ ๘ และข้อ ๑๑ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๔ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๑๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.65/๒๕๖๐ นายเฉลิม นาใจคง โจทก์ นางสาววิราวรรณ ประทีป จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ระหว่างท างานจ าเลยลาออกโดยไม่แจ้ง เป็นหนังสือให้โจทก์ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐วัน และลาออกในระหว่างการปฏิบัติงานที่ได้ รับมอบหมายอันเป็นการผิดสัญญาจ้าง ท าให้โจทก์เสียหายจึงขอให้จ าเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงานและใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญา จ้างแรงงาน ข้อ ๘ และข้อ ๑๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นผู้รับใบอนุญำตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชน ชื่อว่ำโรงเรียนวรวิมลศึกษำ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภำคม ๒๕๖๐ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนในต ำแหน่งครูมีก ำหนดระยะเวลำ ๑ ปีมีข้อตกลง ตำมสัญญำจ้ำงว่ำ หำกจ ำเลยจะเลิกสัญญำต้องแจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทรำบล่วงหน้ำไม่น้อยกว่ำ ๓๐ วัน และจะต้องไม่ลำออกหรือออกในระหว่ำงกำรปฏิบัติงำนที่ได้รับมอบหมำย มิฉะนั้นจะต้องชดใช้ค่ำเสียหำย เป็นเงิน ๒๕,๕๐๐ บำท แก่โจทก์ ต่อมำวันที่ ๓ มิถุนำยน ๒๕๖๐ จ ำเลยลำออกโดยผิดข้อสัญญำดังกล่ำว ท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๒๕,๕๐๐ บำท แก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดชุมแพเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำ ม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยลำออกโดยไม่แจ้งเป็นหนังสือ ให้โจทก์ทรำบล่วงหน้ำไม่น้อยกว่ำ ๓๐ วัน และลำออกในระหว่ำงกำรปฏิบัติงำนที่ได้รับมอบหมำย อันเป็นกำรผิดสัญญำจ้ำง ท ำให้โจทก์เสียหำย จึงขอให้จ ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยไม่ปฏิบัติตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ข้อ ๘ และ ข้อ ๑๑ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๔ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๑๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๖6/25๖๐ บริษัทเอเอ็มอี โปรเจคท์ 1 จ ากัด กับพวก โจทก์ นายคอลิน เจมส์ แชมเบอร์ส จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (5), 9 วรรคสอง โจทก์ทั้งสองบรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นประธำนกรรมกำรบริหำรของโจทก์ที่ ๒ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยเสนอให้โจทก์ที่ ๒ ช ำระเงินค่ำซื้อเรือชื่อ "มำนะที" แล้วจดทะเบียนเรือดังกล่ำว ในชื่อของจ ำเลยเพื่อจ ำเลยจะโอนเรือให้โจทก์ที่ ๑ ต่อไป แต่เมื่อโจทก์ที่ ๒ ช ำระเงินค่ำซื้อเรือแล้ว จ ำเลยกลับไม่ส่งมอบทะเบียนเรือและโอนชื่อทำงทะเบียนเรือให้แก่โจทก์ที่ ๑ จึงขอให้จ ำเลยโอน กรรมสิทธิ์เรือดังกล่ำวแก่โจทก์ที่ ๑ หรือคืนเงินแก่โจทก์ที่ ๒ เมื่อพิจำรณำค ำฟ้องโจทก์ทั้งสองประกอบ ส ำเนำจดหมำยพร้อมค ำแปล ที่ระบุว่ำจ ำเลยลำออกจึงไม่มีสิทธิได้รับค่ำชดเชยจำกโจทก์ที่ ๒ และ ส ำเนำหนังสือทวงถำมพร้อมค ำแปล ที่ระบุว่ำจ ำเลยได้ยุติกำรเป็นลูกจ้ำงของโจทก์ที่ ๒ เมื่อจ ำเลยได้ ลำออก และขอให้จ ำเลยคืนทรัพย์สินแก่โจทก์ที่ ๒ โดยไม่ปรำกฏว่ำโจทก์ทั้งสองบรรยำยฟ้องในท ำนอง ว่ำโจทก์ที่ ๑ เป็นนำยจ้ำงหรือมีอ ำนำจบังคับบัญชำจ ำเลยหรือไม่ อย่ำงไร จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสอง กล่ำวอ้ำงเพียงว่ำ โจทก์ที่ ๒ กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์กันในฐำนะนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำง แรงงำนเท่ำนั้น ส่วนโจทก์ที่ ๑ กับจ ำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กันในฐำนะนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำง แรงงำนแต่อย่ำงใด คดีระหว่ำงโจทก์ที่ ๑ กับจ ำเลยจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์ที่ ๒ กับจ ำเลย เมื่อโจทก์ทั้งสองกล่ำวอ้ำงในค ำฟ้องให้จ ำเลยซึ่ง เคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ที่ ๒ คืนทรัพย์สินหรือชดใช้ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำรปฏิบัติผิดหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นนำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์ที่ ๒ กับจ ำเลย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ทั้งสองเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ำกัด โจทก์ที่ ๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อ กำรผลิตและจ ำหน่ำยกระแสไฟฟ้ำ โจทก์ที่ ๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำรผลิต พัฒนำและรักษำอุปกรณ์ กำรผลิตพลังงำนทดแทน จ ำเลยเคยเป็นประธำนกรรมกำรบริหำรของโจทก์ที่ ๒ ปัจจุบันลำออกแล้ว ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยแจ้งโจทก์ที่ ๒ ว่ำโจทก์ที่ ๑ ประสงค์จะซื้อเรือชื่อ "มำนะที" เพื่อทดสอบกังหันผลิต กระแสไฟฟ้ำพลังงำนน้ ำแต่โจทก์ที่ ๑ ไม่อำจจัดเตรียมเอกสำรที่จ ำเป็นในกำรซื้อได้ทัน จ ำเลยจึงเสนอให้ โจทก์ที่ ๒ ช ำระเงินค่ำซื้อเรือ ๒,๘๐๐,๕๖๐ บำท แล้วจดทะเบียนเรือดังกล่ำวในชื่อของจ ำเลยเพื่อจ ำเลย


๑๑๗ จะโอนเรือให้โจทก์ที่ ๑ ต่อไป แต่เมื่อโจทก์ที่ ๒ ช ำระเงินค่ำซื้อเรือแล้วจ ำเลยกลับไม่ส่งมอบทะเบียนเรือ และโอนชื่อทำงทะเบียนเรือให้แก่โจทก์ที่ ๑ จึงเป็นกำรกระท ำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจ ำเลยโอน กรรมสิทธิ์เรือชื่อ "มำนะที" แก่โจทก์ที่ ๑ หำกจ ำเลยไม่ปฏิบัติตำมขอถือเอำค ำพิพำกษำแทนกำรแสดง เจตนำของจ ำเลยในกำรด ำเนินกำรโอนทะเบียนเรือชื่อ "มำนะที" แก่โจทก์ที่ ๑ หำกไม่สำมำรถคืนได้ขอให้ จ ำเลยช ำระเงิน ๒,๘๐๐,๕๖๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำ จะช ำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ จ ำเลยให้กำรว่ำ จ ำเลยเคยท ำงำนเป็นลูกจ้ำงและเป็นผู้ถือหุ้นของโจทก์ที่ ๒ โจทก์ทั้งสอง มีนิติบุคคลสัญชำติออสเตรเลียคือ เอเอ็มอีโฮลดิ้งส์ อินเวสเม้นต์ พีทีวำย ลิมิเต็ด เป็นผู้ถือหุ้นในโจทก์ที่ ๑ จ ำนวน ๑๙,๙๙๘ หุ้น จำกจ ำนวนหุ้นทั้งสิ้น ๒๐,๐๐๐ หุ้น และถือหุ้นในโจทก์ที่ ๒ จ ำนวน ๒๙,๕๖๑ หุ้น จำกจ ำนวนหุ้นทั้งสิ้น ๕๖,๐๐๐ หุ้น เอเอ็มอีโฮลดิ้งส์ อินเวสเม้นต์ พีทีวำย ลิมิเต็ด ได้พยำยำมโยกย้ำย ทรัพย์สินของโจทก์ที่ ๒ ไปยังโจทก์ที่ ๑ รวมทั้งเรือชื่อ "มำนะที" ด้วย ทั้งที่โจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จ่ำยเงินค่ำซื้อเรือ และโจทก์ที่ ๑ ก็มิได้มีสัญญำต่ำงตอบแทนกับโจทก์ที่ ๒ เรื่องกรรมสิทธิ์ของเรือแต่อย่ำงใด เพื่อมิให้ผู้ถือหุ้น ของโจทก์ที่ ๒ เสียหำย จ ำเลยจึงจดทะเบียนเรือดังกล่ำวในชื่อของจ ำเลยก่อนเพื่อรอกำรตกลงจำก ที่ประชุมผู้ถือหุ้นต่อไป คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ทั้งสองบรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นประธำนกรรมกำรบริหำรของโจทก์ที่ ๒ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลย เสนอให้โจทก์ที่ ๒ ช ำระเงินค่ำซื้อเรือชื่อ "มำนะที" แล้วจดทะเบียนเรือดังกล่ำวในชื่อของจ ำเลยเพื่อจ ำเลย จะโอนเรือให้โจทก์ที่ ๑ ต่อไป แต่เมื่อโจทก์ที่ ๒ ช ำระเงินค่ำซื้อเรือแล้วจ ำเลยกลับไม่ส่งมอบทะเบียนเรือ และโอนชื่อทำงทะเบียนเรือให้แก่โจทก์ที่ ๑ จึงขอให้จ ำเลยโอนกรรมสิทธิ์เรือดังกล่ำวแก่โจทก์ที่ ๑ หรือ คืนเงินแก่โจทก์ที่ ๒ เมื่อพิจำรณำค ำฟ้องโจทก์ทั้งสองประกอบส ำเนำจดหมำยพร้อมค ำแปล เอกสำรท้ำย ค ำฟ้องหมำยเลข ๑๒ ที่ระบุว่ำจ ำเลยลำออกจึงไม่มีสิทธิได้รับค่ำชดเชยจำกโจทก์ที่ ๒ และส ำเนำหนังสือ ทวงถำมพร้อมค ำแปล เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๑๔ ที่ระบุว่ำจ ำเลยได้ยุติกำรเป็นลูกจ้ำงของโจทก์ที่ ๒ เมื่อจ ำเลยได้ลำออก และขอให้จ ำเลยคืนทรัพย์สินแก่โจทก์ที่ ๒ โดยไม่ปรำกฏว่ำโจทก์ทั้งสองบรรยำยฟ้อง ในท ำนองว่ำโจทก์ที่ ๑ เป็นนำยจ้ำงหรือมีอ ำนำจบังคับบัญชำจ ำเลยหรือไม่ อย่ำงไร จึงเป็นกรณีที่โจทก์ ทั้งสองกล่ำวอ้ำงเพียงว่ำ โจทก์ที่ ๒ กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์กันในฐำนะนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำง แรงงำนเท่ำนั้น ส่วนโจทก์ที่ ๑ กับจ ำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กันในฐำนะนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำง แรงงำนแต่อย่ำงใดคดีระหว่ำงโจทก์ที่ ๑ กับจ ำเลยจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์ที่ ๒ กับจ ำเลย เมื่อโจทก์ทั้งสองกล่ำวอ้ำงในค ำฟ้องให้จ ำเลยซึ่งเคยเป็น ลูกจ้ำงโจทก์ที่ ๒ คืนทรัพย์สินหรือชดใช้ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำรปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำง แรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นนำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์ที่ ๒ กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำท


๑๑๘ เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)


๑๑๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.67 - 68/2560 นายสมาน ช านาญศิลป์ โจทก์ บริษัทวาย.วาย.เอส อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (2), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นพนักงานขับรถหัวลาก ระหว่างท างาน จ าเลยให้ โจทก์ท างานทุกวันโดยไม่มีวันหยุดและเกินกว่าเวลาท างานปกติต่อมาจ าเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระท าความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า จึงขอให้จ าเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าตอบแทนการท างานล่วงเวลาในวันท างานและค่าล่วงเวลาในวันหยุด เป็นการ กล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยมีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่าตอบแทน การท างานตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง แรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), (๒) ______________________ คดีทั้งสองส ำนวนนี้ ศำลแรงงำนกลำงสั่งให้รวมพิจำรณำเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสอง ส ำนวนว่ำ โจทก์ และเรียกจ ำเลยทั้งสองส ำนวนว่ำ จ ำเลย โจทก์ทั้งสองส ำนวนฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ กุมภำพันธ์ ๒๕๕๖ จ ำเลยรับโจทก์ เข้ำงำน ต ำแหน่งพนักงำนขับรถหัวลำก ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท และค่ำจ้ำงตำมผลงำนค ำนวณ จำกระยะทำงที่ขับรถได้กิโลเมตรละ ๑.๕๐ บำท เฉลี่ยแล้วเดือนละ ๑๘,๐๐๐ บำท รวมเป็นเงินเดือนละ ๒๓,๐๐๐ บำท ก ำหนดจ่ำยทุกวันสิ้นเดือน จ ำเลยก ำหนดเวลำท ำงำนปกติสัปดำห์ละ ๖ วัน วันอำทิตย์เป็น วันหยุดประจ ำสัปดำห์เริ่มท ำงำนตั้งแต่เวลำ ๘.๓๐ นำฬิกำ ถึง ๑๗.๓๐ นำฬิกำ แต่นับจำกวันเข้ำท ำงำนถึง วันฟ้อง จ ำเลยให้โจทก์ท ำงำนทุกวันโดยไม่มีวันหยุดและเกินกว่ำเวลำท ำงำนปกติวันละ ๑๖ ชั่วโมง รวม ๑๐,๔๐๐ ชั่วโมง จ ำเลยจึงต้องจ่ำยค่ำตอบแทนเป็นเงินเท่ำกับค่ำจ้ำงต่อชั่วโมงในวันท ำงำน รวม ๓๙๑,๖๘๗ บำท แก่โจทก์ตำมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๖ ต่อมำวันที่ ๒๓ พฤษภำคม ๒๕๕๘ จ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ กระท ำควำมผิดและไม่ได้บอกกล่ำวล่วงหน้ำท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยสินจ้ำงแทนกำร บอกกล่ำวล่วงหน้ำ ๒๘,๓๖๖ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จ่ำยค่ำชดเชย ๖๙,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี ดอกเบี้ยในเงินทั้งสองจ ำนวนนับแต่วันเลิกจ้ำงจนกว่ำจะช ำระเสร็จ และจ่ำยค่ำตอบแทนกำรท ำงำนล่วงเวลำในวันท ำงำนและค่ำล่วงเวลำในวันหยุด ๓๙๑,๖๘๗ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปีแก่โจทก์


๑๒๐ จ ำเลยทั้งสองส ำนวนให้กำรและแก้ไขค ำให้กำรว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนต ำแหน่งพนักงำน ขับรถสิบแปดล้อเพื่อขนส่งสินค้ำโดยไม่มีก ำหนดวันเวลำท ำงำนที่แน่นอน โจทก์สำมำรถเข้ำออกสถำนที่ ท ำงำนได้โดยอิสระ ไม่มีก ำหนดวันหยุดวันลำ กำรจ่ำยค่ำตอบแทนเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท เป็นเพียง ค่ำตอบแทนรำยเดือนล่วงหน้ำมิใช่เงินเดือน ไม่ได้มีข้อก ำหนดหรือกำรบังคับบัญชำให้ต้องประจ ำที่ท ำงำน เพียงแต่หำกมีค ำสั่งเรียกจำกจ ำเลย โจทก์จึงเข้ำมำท ำงำนโดยมุ่งควำมส ำเร็จของงำนที่โจทก์ต้องขับรถ น ำสินค้ำไปส่งมอบให้แก่ผู้รับสินค้ำตำมที่จ ำเลยก ำหนดพร้อมทั้งดูแลรักษำสินค้ำมิให้เสียหำย แล้วน ำรถ พร้อมกุญแจประจ ำรถส่งมอบคืนให้จ ำเลย จ ำเลยจะจ่ำยค่ำตอบแทนเหมำจ่ำยให้เป็นรำยเที่ยวงำน มีค่ำน้ ำมันรถและค่ำโทรศัพท์จ่ำยให้ตำมระยะทำง จ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์เพรำะโจทก์ไม่ส่งกุญแจประจ ำรถคืน แก่จ ำเลย ท ำให้จ ำเลยไม่สำมำรถน ำสินค้ำไปส่งมอบให้ลูกค้ำได้ทันก ำหนด สัญญำจ้ำงระหว่ำงโจทก์กับ จ ำเลยเป็นสัญญำจ้ำงท ำของ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนและโจทก์ไม่มีสิทธิ ได้รับเงินตำมฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำช บัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้วกรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นพนักงำนขับรถหัวลำก ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยให้โจทก์ท ำงำนทุกวัน โดยไม่มีวันหยุดและเกินกว่ำเวลำท ำงำนปกติต่อมำจ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระท ำควำมผิดและ ไม่ได้บอกกล่ำวล่วงหน้ำ จึงขอให้จ ำเลยจ่ำยสินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำชดเชย ค่ำตอบแทนกำร ท ำงำนล่วงเวลำในวันท ำงำนและค่ำล่วงเวลำในวันหยุด เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์ตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำตอบแทนกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำย ว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำแห่งคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำย ว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)


๑๒๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.69 - 80/2560 นายประสิทธิ์ ใช้เจริญ กับพวก โจทก์ บริษัทวาย.วาย.เอส อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒), 9 วรรคสอง โจทก์ทั้งสิบสองบรรยายฟ้องเป็นใจความท านองเดียวกันว่า จ าเลยจ้างโจทก์ทั้งสิบสอง ท างานเป็นพนักงานขับรถหัวลาก ระหว่างท างาน จ าเลยให้โจทก์ทั้งสิบสองท างานทุกวันโดยไม่มี วันหยุดและเกินกว่าเวลาท างานปกติต่อมาจ าเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบสองโดยโจทก์ทั้งสิบสอง ไม่ได้กระท าความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า จึงขอให้จ าเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าตอบแทนการท างานล่วงเวลาในวันท างาน ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และคืนเงิน หลักประกันการท างานแก่โจทก์ทั้งสิบสอง เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสิบสองกับจ าเลยมีนิติสัมพันธ์ ตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินและค่าตอบแทนการท างานกับให้คืนเงินหลักประกัน การท างานตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างโจทก์ทั้งสิบสอง กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ______________________ คดีทั้งสิบหกส ำนวน เดิมศำลแรงงำนกลำงมีค ำสั่งให้รวมพิจำรณำเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียก โจทก์เรียงตำมล ำดับส ำนวนว่ำ โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๖ ระหว่ำงกำรพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงมีค ำสั่งให้แยกคดีของโจทก์ที่ ๑๕ ออกไปพิจำรณำ ต่ำงหำก และโจทก์ที่ ๓ ที่ ๖ และที่ ๑๖ ขอถอนฟ้อง ศำลแรงงำนกลำงอนุญำต เหลือโจทก์รวม ๑๒ คน โจทก์ทั้งสิบสองส ำนวนฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องเป็นใจควำมท ำนองเดียวกันว่ำ จ ำเลยรับโจทก์ ทั้งสิบสองเข้ำท ำงำน ต ำแหน่งพนักงำนขับรถหัวลำก ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท และค่ำจ้ำงตำม ผลงำนค ำนวณจำกระยะทำงที่ขับรถได้กิโลเมตรละ ๑.๕๐ บำท จ่ำยทุกวันสิ้นเดือน ก ำหนดเวลำท ำงำนปกติ สัปดำห์ละ ๖ วัน วันอำทิตย์เป็นวันหยุดประจ ำสัปดำห์ เริ่มท ำงำนตั้งแต่เวลำ ๘.๓๐ นำฬิกำ ถึง ๑๗.๓๐ นำฬิกำ ระหว่ำงกำรท ำงำนบำงช่วงเวลำ จ ำเลยให้โจทก์ทั้งสิบสองท ำงำนทุกวันโดยไม่มีวันหยุด และเกินกว่ำเวลำท ำงำนปกติวันละ ๑๖ ชั่วโมง จ ำเลยจึงต้องจ่ำยค่ำตอบแทนเป็นเงินเท่ำกับค่ำจ้ำงต่อชั่วโมง ในวันท ำงำนแก่โจทก์ทั้งสิบสอง ตำมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตำมควำมใน พระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๖ ต่อมำจ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์ที่ ๑ โดยโจทก์ที่ ๑ ไม่ได้ กระท ำควำมผิดและไม่ได้บอกกล่ำวล่วงหน้ำ และไม่คืนเงินหลักประกันกำรท ำงำนให้โจทก์ที่ ๑ นอกจำกนั้น จ ำเลยยังหักเงินหลักประกันกำรท ำงำนของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ เกินอัตรำที่กฎหมำย ก ำหนด ท ำให้โจทก์ทั้งสิบสองเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยสินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ พร้อม


๑๒๒ ดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คืนเงินประกันกำรท ำงำน จ่ำยค่ำตอบแทนกำรท ำงำนล่วงเวลำในวันท ำงำน และค่ำล่วงเวลำในวันหยุด พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงินแต่ละจ ำนวนดังกล่ำวนับแต่ วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จและจ่ำยค่ำชดเชยแก่โจทก์ที่ ๑ และให้จ ำเลยจ่ำยค่ำตอบแทนกำรท ำงำน ล่วงเวลำในวันท ำงำน ค่ำล่วงเวลำในวันหยุด และคืนเงินหลักประกันกำรท ำงำน พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ ตำมค ำขอท้ำยฟ้อง ของโจทก์ทั้งสิบสอง จ ำเลยทั้งสิบสองส ำนวนให้กำรและแก้ไขค ำให้กำรว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ทั้งสิบสองท ำงำน ต ำแหน่งพนักงำนขับรถสิบแปดล้อเพื่อขนส่งสินค้ำโดยไม่มีก ำหนดวันเวลำท ำงำนที่แน่นอน โจทก์ทั้งสิบสอง สำมำรถเข้ำออกสถำนที่ท ำงำนได้โดยอิสระ ไม่มีก ำหนดวันหยุดวันลำ กำรจ่ำยค่ำตอบแทนเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท เป็นเพียงค่ำตอบแทนรำยเดือนล่วงหน้ำมิใช่เงินเดือน ไม่ได้มีข้อก ำหนดหรือกำรบังคับบัญชำ ให้ต้องประจ ำที่ท ำงำน เพียงแต่หำกมีค ำสั่งเรียกจำกจ ำเลย โจทก์ทั้งสิบสองจึงเข้ำมำท ำงำนโดยมุ่งควำมส ำเร็จ ของงำนที่โจทก์ทั้งสิบสองต้องขับรถน ำสินค้ำไปส่งมอบให้แก่ผู้รับสินค้ำตำมที่จ ำเลยก ำหนดพร้อมทั้งดูแล รักษำสินค้ำมิให้เสียหำย แล้วน ำรถพร้อมกุญแจประจ ำรถส่งมอบคืนให้จ ำเลย จ ำเลยจะจ่ำยค่ำตอบแทน เหมำจ่ำยให้เป็นรำยเที่ยวงำน มีค่ำน้ ำมันรถและค่ำโทรศัพท์จ่ำยให้ตำมระยะทำง โจทก์ทั้งสิบสองไม่ได้ ท ำงำนเกินเวลำท ำงำนปกติตำมฟ้อง จ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์ที่ ๑ เพรำะโจทก์ที่ ๑ ไม่เชื่อฟังค ำสั่งผู้บังคับบัญชำ ท ำให้จ ำเลยไม่สำมำรถน ำสินค้ำไปส่งมอบให้ลูกค้ำได้ทันก ำหนด จ ำเลยมีสิทธิหักเงินหลักประกันกำรท ำงำน โจทก์ทั้งสิบสองได้ตำมข้อตกลง สัญญำจ้ำงระหว่ำงโจทก์ทั้งสิบสองกับจ ำเลยเป็นสัญญำจ้ำงท ำของ คดีนี้ จึงไม่อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนและโจทก์ทั้งสิบสองไม่มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้อง ขอให้ ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้วกรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ทั้งสิบสองบรรยำยฟ้องเป็นใจควำมท ำนองเดียวกันว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ทั้งสิบสองท ำงำนเป็นพนักงำน ขับรถหัวลำก ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยให้โจทก์ทั้งสิบสองท ำงำนทุกวันโดยไม่มีวันหยุดและเกินกว่ำเวลำท ำงำน ปกติต่อมำจ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์ทั้งสิบสองโดยโจทก์ทั้งสิบสองไม่ได้กระท ำควำมผิดและไม่ได้บอกกล่ำว ล่วงหน้ำ จึงขอให้จ ำเลยจ่ำยสินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำชดเชย ค่ำตอบแทนกำรท ำงำนล่วงเวลำ ในวันท ำงำน ค่ำล่วงเวลำในวันหยุด และคืนเงินหลักประกันกำรท ำงำนแก่โจทก์ทั้งสิบสอง เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์ทั้งสิบสองกับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินและค่ำตอบแทนกำร ท ำงำนกับให้คืนเงินหลักประกันกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครอง แรงงำน ส่วนโจทก์ทั้งสิบสองจะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำแห่งคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์ทั้งสิบสองกับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและ


๑๒๓ ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)


๑๒๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.81/2560 บริษัทเอเชีย กรีน เอนเนอจีจ ากัด (มหาชน) โจทก์ นายวรวุธ พุทธิปัญญาภรณ์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนเป็นลูกจ้ำง โดยมีสัญญำจ้ำงแรงงำน ข้อ ๙ และ ข้อ ๑๑ ห้ำมจ ำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีธุรกิจร่วมทั้งทำงตรงและทำงอ้อมกับบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในลักษณะงำนหรือประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือที่มีลักษณะเป็นกำรแข่งขันกับโจทก์ ภำยในขอบเขตประเทศไทยและประเทศภูมิภำคเอเชียภำยในระยะเวลำ ๒ ปี นับแต่สัญญำจ้ำงสิ้นสุดลง หำกฝ่ำฝืนจะต้องช ำระค่ำเสียหำยหรือค่ำปรับตำมควำมเสียหำยที่เกิดขึ้นจริงพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หลังจำกที่จ ำเลยลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงโจทก์แล้ว จ ำเลยไปท ำงำนเป็นลูกจ้ำงของนำยจ้ำงอื่น ซึ่งประกอบธุรกิจกำรค้ำประเภทเดียวกันอันเป็นกำรแข่งขันกับโจทก์แล้วอำศัยข้อมูลลูกค้ำโจทก์ ช่วยให้บริษัทดังกล่ำวเสนอรำคำสินค้ำให้ลูกค้ำโจทก์ท ำให้โจทก์เสียหำย จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลย ปฏิบัติผิดข้อตกลงในสัญญำจ้ำงแรงงำนที่ให้ไว้ต่อโจทก์ในขณะที่มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงลูกจ้ำง ข้ออ้ำงที่อำศัยเป็นหลักแห่งข้อหำของโจทก์ตำมค ำฟ้องจึงสืบเนื่องมำจำกสัญญำจ้ำงแรงงำน ระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ โจทก์จ้างจ าเลยท างานเป็นลูกจ้าง ต าแหน่ง ผู้จัดการขายต่างประเทศประจ าภูมิภาค ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๘๒,๘๖๘ บาท ก าหนดจ่ายค่าจ้าง ทุกวันสิ้นเดือน ต าแหน่งของจ าเลยสามารถเข้าถึงความลับทางการค้าของโจทก์โจทก์จึงก าหนดสัญญาจ้าง โดยมีข้อสัญญาห้ามจ าเลยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีธุรกิจร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อมกับบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ใน ลักษณะงานหรือประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับโจทก์ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของ ผู้ถือหุ้น ที่ปรึกษา หรือกรรมการ ภายในขอบเขตประเทศไทยและประเทศภูมิภาคเอเชียภายใน ระยะเวลา ๒ ปีนับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลงไม่ว่าจะสิ้นสุดลงด้วยกรณีใดก็ตาม หากฝ่าฝืนจะต้องช าระ ค่าเสียหายหรือค่าปรับตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ต่อมาวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จ าเลยขอลาออกแล้วไปท างานเป็นลูกจ้างของบริษัทฟีโก้เมทเทิลส์แอนด์ไมเนอร์รอลส์ จ ากัด ซึ่งประกอบธุรกิจการค้าประเภทเดียวกับโจทก์อันมีลักษณะเป็นคู่แข่งขันทางการค้าของโจทก์แล้วอาศัย ข้อมูลลูกค้าโจทก์ช่วยให้บริษัทดังกล่าวเสนอราคาสินค้าให้ลูกค้าโจทก์ท าให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นการท า ละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงาน ขอให้ยกเลิกสัญญาจ้างระหว่างจ าเลยกับบริษัทฟีโก้เมทเทิลส์แอนด์


๑๒๕ ไมเนอร์รอลส์จ ากัด และบังคับจ าเลยช าระค่าเสียหาย ๕๒๕,๖๕๔.๑๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จ าเลยช าระเงินจึงไม่มีอ านาจฟ้อง เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ จ าเลยสมัครงานที่บริษัทโจทก์แต่โจทก์ยังไม่ได้ตกลงจ้างจ าเลย จ าเลยจึงไป สมัครงานและท างานที่บริษัทเอเชีย ไบโอแมส จ ากัด โจทก์กับจ าเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างและ ลูกจ้างต่อกัน สัญญาจ้างแรงงานที่มีเงื่อนไขข้อห้ามตามค าฟ้องไม่มีผลผูกพันและสิ้นผลไปแล้ว กระทั่งวันที่ ๑ กุมภาพันธ์๒๕๕๔ จ าเลยจึงได้ท างานกับโจทก์ในต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายต่างประเทศโดยไม่ได้ ท าสัญญาจ้างเป็นหนังสือ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จ าเลยลาออกโดยไม่ได้มีสัญญาจ้าง แรงงานห้ามการท างานใดตามค าฟ้อง จ าเลยจึงสามารถท างานเป็นลูกจ้างของบริษัทฟีโก้เมทเทิลส์แอนด์ ไมเนอร์รอลส์จ ากัด ได้โดยชอบ โจทก์บริหารกิจการขาดทุนเองโดยจ าเลยไม่ได้กระท าการใดอันเป็นการ ผิดสัญญาจ้างแรงงาน ค่าเสียหายตามฟ้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียตามปกติของการท างานและไม่มีหลักฐาน จ าเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแพ่ง ขอให้ ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจ าเลยท างานเป็นลูกจ้าง โดยมีสัญญาจ้างแรงงาน เอกสารหมาย จ.๓ ข้อ ๙ และ ข้อ ๑๑ ห้ามจ าเลยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีธุรกิจร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อมกับบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในลักษณะงาน หรือประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับโจทก์ภายในขอบเขตประเทศไทย และประเทศภูมิภาคเอเชียภายในระยะเวลา ๒ ปีนับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง หากฝ่าฝืนจะต้องช าระ ค่าเสียหายหรือค่าปรับตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หลังจากที่จ าเลยลาออกจาก การเป็นลูกจ้างโจทก์แล้ว จ าเลยไปท างานเป็นลูกจ้างของนายจ้างอื่นซึ่งประกอบธุรกิจการค้าประเภท เดียวกันอันเป็นการแข่งขันกับโจทก์แล้วอาศัยข้อมูลลูกค้าโจทก์ช่วยให้บริษัทดังกล่าวเสนอราคาสินค้าให้ ลูกค้าโจทก์ท าให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยปฏิบัติผิดข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงานที่ให้ไว้ ต่อโจทก์ในขณะที่มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างลูกจ้าง ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามค าฟ้อง จึงสืบเนื่องมาจากสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)


๑๒๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.8๒/2560 บริษัทไทยประกันชีวิต จ ากัด (มหาชน) โจทก์ นางสุภจิตหรือนางสาวรวิวรรณ สุธรรมหรือผิดผาด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ท ำสัญญำเป็นตัวแทนประกันชีวิต มีหน้ำที่ชักชวนให้ บุคคลมำท ำประกันชีวิต เรียกเก็บเงินค่ำเบี้ยประกันภัยแล้วน ำส่งให้โจทก์ หำกจ ำเลยที่ ๑ สำมำรถ ชักชวนให้บุคคลมำท ำประกันชีวิตได้โจทก์จะจ่ำยเงินค่ำบ ำเหน็จให้เป็นค่ำตอบแทน ซึ่งเมื่อพิจำรณำ ค ำฟ้องโจทก์ ประกอบข้อตกลงแต่งตั้งตัวแทนแล้ว ตำมสัญญำข้อ ๑ ระบุว่ำ บริษัทตกลงแต่งตั้งตัวแทนและ ตัวแทนตกลงรับเป็นตัวแทนท ำกำรติดต่อชักชวนให้บุคคลท ำสัญญำประกันชีวิตกับบริษัท แสดงให้เห็นว่ำ นิติสัมพันธ์ระหว่ำงบริษัทกับตัวแทนประกันชีวิตเป็นไปในฐำนะตัวกำรตัวแทน โดยจ ำเลยที่ ๑ ในฐำนะ ตัวแทนประกันชีวิต กระท ำกำรตำมอ ำนำจที่โจทก์ในฐำนะตัวกำรมอบหมำยเท่ำนั้น ไม่ใช่ในฐำนะบริษัท กับพนักงำนหรือลูกจ้ำง ดังนั้นแม้โจทก์จะให้ค่ำตอบแทนเป็นค่ำบ ำเหน็จและเงินผลประโยชน์แต่ก็เป็น ค่ำตอบแทนกำรท ำหน้ำที่เป็นตัวแทน ไม่มีลักษณะเป็นเงินที่นำยจ้ำงและลูกจ้ำงตกลงกันจ่ำยเป็น ค่ำตอบแทนในกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงโดยค ำนวณตำมผลงำนที่ลูกจ้ำงท ำได้เงินดังกล่ำวจึงไม่มี ลักษณะเป็น “ค่ำจ้ำง” ตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๕ ทั้งไม่ปรำกฏว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ต้องท ำงำนภำยใต้บังคับบัญชำของโจทก์อันเป็นลักษณะส ำคัญของลูกจ้ำงตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนแต่ประกำรใด ดังนั้น โจทก์กับจ ำเลยที่ ๑จึงไม่มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงตำม สัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ นั้น โจทก์ฟ้องจ ำเลยที่ ๒ ให้รับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกัน ควำมเสียหำยของจ ำเลยที่ ๑ เมื่อไม่ปรำกฏว่ำโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงกัน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนแล้ว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ เช่นกัน ______________________ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๗ จ าเลยที่ ๑ ท าสัญญาเป็นตัวแทนโจทก์ มีหน้าที่ ชักชวนให้บุคคลท าประกันชีวิต เรียกเก็บเงินค่าเบี้ยประกันภัยแล้วน าส่งให้โจทก์ หากจ าเลยที่ ๑ สามารถ ชักชวนให้บุคคลมาท าประกันชีวิตได้ โจทก์จะจ่ายเงินค่าบ าเหน็จให้เป็นค่าตอบแทน และหากจ าเลยที่ ๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยหรือหัวหน้าศูนย์ หรือผู้จัดการภาค หรือตัวแทนในสังกัดของจ าเลยที่ ๑ ชักชวนให้บุคคลท าประกันชีวิตได้ จ าเลยที่ ๑ จะได้รับเงินผลประโยชน์อีกต่างหากด้วย แต่ในกรณีที่โจทก์ ต้องคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้ขอประกันชีวิต ผู้เอาประกันชีวิต ไม่ว่าโดยเหตุใด จ าเลยที่ ๑ ตกลงคืนเงิน


๑๒๗ ค่าบ าเหน็จและผลประโยชน์ที่ได้รับไว้แก่โจทก์ และยังมีข้อตกลงว่าในกรณีที่จ าเลยที่ ๑ กระท าการใด ๆ ด้วยเจตนาหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จ าเลยที่ ๑ ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้เรียกคืนผลประโยชน์และตั้งหนี้ให้จ าเลยที่ ๑ รับผิดเป็นต้นไป โดยมีจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้ท าสัญญาค้ าประกันความรับผิดของจ าเลยที่ ๑ ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับ จ าเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในระหว่างท างาน จ าเลยที่ ๑ ชักชวนบุคคลมาท าประกันชีวิตกับ โจทก์รวม ๗ ราย โจทก์จ่ายเงินค่าบ าเหน็จและเงินผลประโยชน์ให้แก่จ าเลยที่ ๑ จ านวน ๗๔,๐๔๙ บาท ต่อมาผู้ขอเอาประกันชีวิตดังกล่าวบอกเลิกการขอท าประกันชีวิต โจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเบี้ยประกันให้แก่ ผู้เอาประกันรายดังกล่าวเต็มจ านวน และจ าเลยที่ ๑ ต้องคืนเงินและผลประโยชน์ที่ได้รับแก่โจทก์ซึ่ง จ าเลยที่ ๑ ช าระหนี้ให้โจทก์แล้วบางส่วน เป็นเงิน ๑๑,๗๐๒ บาท ยังมีหนี้เงินค้างช าระ ๖๒,๓๔๗ บาท และ ดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ท าหนังสือตั้งหนี้ให้จ าเลยที่ ๑ รับผิดถึงวันฟ้องอีก ๗๗,๑๕๖.๘๗ บาท รวม ๑๓๙,๕๐๓.๘๗ บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จ าเลยทั้งสองช าระหนี้แล้วแต่จ าเลยทั้งสองเพิกเฉย ท าให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองร่วมกันช าระเงิน ๑๓๙,๕๐๓.๘๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๒,๓๔๗ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ ระหว่างพิจารณา ศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ ท าสัญญาเป็นตัวแทนประกันชีวิต มีหน้าที่ชักชวนให้บุคคลมาท าประกันชีวิต เรียกเก็บเงินค่าเบี้ยประกันภัยแล้วน าส่งให้โจทก์ หากจ าเลยที่ ๑ สามารถชักชวนให้บุคคลมาท าประกันชีวิต ได้โจทก์จะจ่ายเงินค่าบ าเหน็จให้เป็นค่าตอบแทน ซึ่งเมื่อพิจารณาค าฟ้องโจทก์ ประกอบข้อตกลงแต่งตั้ง ตัวแทน เอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๔ แล้ว ตามสัญญาข้อ ๑ ระบุว่า บริษัทตกลงแต่งตั้งตัวแทนและ ตัวแทนตกลงรับเป็นตัวแทนท าการติดต่อชักชวนให้บุคคลท าสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท แสดงให้เห็นว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับตัวแทนประกันชีวิตเป็นไปในฐานะตัวการตัวแทน โดยจ าเลยที่ ๑ ในฐานะ ตัวแทนประกันชีวิต กระท าการตามอ านาจที่โจทก์ในฐานะตัวการมอบหมายเท่านั้น ไม่ใช่ในฐานะบริษัท กับพนักงานหรือลูกจ้าง ดังนั้นแม้โจทก์จะให้ค่าตอบแทนเป็นค่าบ าเหน็จและเงินผลประโยชน์แต่ก็เป็น ค่าตอบแทนการท าหน้าที่เป็นตัวแทน ไม่มีลักษณะเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็น ค่าตอบแทนในการท างานตามสัญญาจ้างโดยค านวณตามผลงานที่ลูกจ้างท าได้เงินดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็น “ค่าจ้าง” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ทั้งไม่ปรากฏว่าจ าเลยที่ ๑ ต้องท างาน ภายใต้บังคับบัญชาของโจทก์อันเป็นลักษณะส าคัญของลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ประการใด ดังนั้น โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงไม่มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับ จ าเลยที่ ๑ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ นั้น โจทก์ฟ้องจ าเลยที่ ๒ ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ าประกัน ความเสียหายของจ าเลยที่ ๑ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างกับลูกจ้างกัน


๑๒๘ ตามสัญญาจ้างแรงงานแล้ว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ เช่นกัน


๑๒๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.83/2560 นายถาวร คงสม โจทก์ นายชูเกียรติ ถาวรวสุ กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ จัดท าเอกสาร เผยแพร่ซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จไปยังบุคคลที่สามทั่วประเทศว่าโจทก์และคณะกรรมการสหภาพ แรงงานธนาคารกรุงเทพผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และจ าเลยทั้งสอง ได้ฟ้องร้องคณะกรรมการสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพซึ่งกระท าการแทนสหภาพแรงงาน ธนาคารกรุงเทพเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและฝ่าฝืนข้อบังคับสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ ทั้งเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะท าให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือ ถูกเกลียดชัง เป็นการท าละเมิดต่อโจทก์ท าให้โจทก์เสียหาย ตามค าฟ้องดังกล่าว แม้โจทก์จะกล่าวอ้าง ว่าจ าเลยทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพกระท าการฝ่าฝืนข้อบังคับสหภาพ แรงงานธนาคารกรุงเทพ แต่ก็เพื่อให้เห็นว่าการกระท าดังกล่าวเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือทางท ามาหาได้หรือทางเจริญโดยประการอื่นของโจทก์โดยตรง เป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยทั้งสองท าละเมิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ละเมิดโดยทั่วไป มิใช่การใช้สิทธิตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ จึงมิใช่คดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ และมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน และมิใช่มูลละเมิดระหว่างลูกจ้างกับลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้าง คดีระหว่างโจทก์กับ จ าเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ โจทก์เคยเป็นลูกจ้ำงของบริษัทธนำคำรกรุงเทพ จ ำกัด (มหำชน) และเคยเป็นกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ จ ำเลยทั้งสองเป็นสมำชิกและเคยเป็นกรรมกำร สหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ ระหว่ำงที่โจทก์และจ ำเลยทั้งสองด ำรงต ำแหน่งกรรมกำรสหภำพแรงงำน ธนำคำรกรุงเทพนั้น จ ำเลยทั้งสองท ำเอกสำรเผยแพร่ด้วยข้อควำมอันเป็นเท็จไปยังบุคคลที่สำม ทั่วประเทศว่ำโจทก์และคณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพผลักดันโครงกำรต่ำง ๆ โดยทุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เป็นกำรปลุกระดมให้สมำชิกเกลียดชังคณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ ท ำให้โจทก์ซึ่งเกษียณอำยุกำรท ำงำนและพ้นต ำแหน่งกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพต้องเสียหำย และเป็นเหตุให้โจทก์และจ ำเลยทั้งสองกับพวกมีคดีแพ่งและคดีอำญำต่อกันหลำยคดี กำรกระท ำของ จ ำเลยทั้งสองเป็นกำรใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นกำรใส่ควำมโจทก์ต่อบุคคลที่สำมโดยประกำรที่น่ำจะท ำให้โจทก์ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง หรือเป็นที่เสียหำยแก่ทำงท ำมำหำได้หรือทำงเจริญโดยประกำรอื่น


๑๓๐ อันเป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ เป็นกำรฝ่ำฝืนข้อบังคับสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ พระรำชบัญญัติ แรงงำนสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๕ และมำตรำ ๔๒๐ ถึง มำตรำ ๔๒๓ ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันช ำระค่ำเสียหำยจำกกำรกระท ำละเมิดเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บำทพร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ จ ำเลยทั้งสองน ำค ำพิพำกษำของศำลประกำศหนังสือพิมพ์ เป็นระยะเวลำไม่น้อยกว่ำ ๓ วัน ติดต่อกัน ลงประกำศในเฟซบุ๊ก กับหนังสือข่ำวสำรของสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ เป็นระยะเวลำไม่น้อยกว่ำ ๓ ฉบับ ติดต่อกัน จ ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องเพิ่มเติมเนื้อหำอันเป็นข้อควำมเท็จ ข้อควำมตำม เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๑ เพียงแต่ตั้งค ำถำม มิได้กล่ำวหำว่ำโจทก์ทุจริต จ ำเลยทั้งสองใช้สิทธิทำงศำล โดยชอบ โจทก์ไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ ฟ้องโจทก์ขำดอำยุควำม กำรกระท ำของจ ำเลยทั้งสองเป็นไปตำมกฎหมำย ทุกประกำรจึงไม่เป็นกำรกระท ำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ไม่ได้รับควำมเสียหำย คดีในส่วนของ พระรำชบัญญัติแรงงำนสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน โจทก์จึงไม่มี อ ำนำจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำจ ำเลยทั้งสองซึ่งเป็นกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ จัดท ำเอกสำรเผยแพร่ ซึ่งมีข้อควำมอันเป็นเท็จไปยังบุคคลที่สำมทั่วประเทศว่ำโจทก์และคณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำร กรุงเทพผลักดันโครงกำรต่ำง ๆ โดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และจ ำเลยทั้งสองได้ฟ้องร้องคณะกรรมกำร สหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพซึ่งกระท ำกำรแทนสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ เป็นกำรใช้สิทธิ โดยไม่สุจริตและฝ่ำฝืนข้อบังคับสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ ทั้งเป็นกำรใส่ควำมโจทก์ต่อบุคคลที่สำม โดยประกำรที่น่ำจะท ำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นกำรท ำละเมิดต่อโจทก์ท ำให้ โจทก์เสียหำย ตำมค ำฟ้องดังกล่ำว แม้โจทก์จะกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสองซึ่งเป็นกรรมกำรสหภำพแรงงำน ธนำคำรกรุงเทพกระท ำกำรฝ่ำฝืนข้อบังคับสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ แต่ก็เพื่อให้เห็นว่ำกำรกระท ำ ดังกล่ำวเป็นผลให้เกิดควำมเสียหำยแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือทำงท ำมำหำได้หรือทำงเจริญโดยประกำรอื่น ของโจทก์โดยตรง เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสองท ำละเมิดต่อโจทก์เป็นกำรส่วนตัว ตำมประมวล กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ละเมิดโดยทั่วไป มิใช่กำรใช้สิทธิตำมกฎหมำยว่ำด้วย แรงงำนสัมพันธ์ จึงมิใช่คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยแรงงำนสัมพันธ์ และมิใช่ คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงสืบเนื่องจำกข้อพิพำทแรงงำนหรือเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และมิใช่มูลละเมิดระหว่ำงลูกจ้ำงกับลูกจ้ำงที่เกิดจำกกำรท ำงำนในทำงกำรที่จ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘


๑๓๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.84/2560 นางวิมลพร วุฒิทวีวัฒน์ โจทก์ นางอิง ภาสกรนที กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. แรงงำนสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 5 โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นกรรมการบริษัทจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ จ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์ ท างานเป็นลูกจ้าง ต่อมาได้ปรับให้โจทก์เป็นพนักงานของจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ จ าเลยที่ ๑ มีข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างให้พนักงานมีสิทธิซื้อหุ้นในบริษัทจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยพนักงานจะได้รับ เงินปันผลส าหรับหุ้นบางประเภททุกเดือนเมื่อมีก าไร พนักงานจะพ้นจากการเป็นผู้ถือหุ้นเมื่อลาออก แต่จะได้รับค่าหุ้นคืนเต็มจ านวน โจทก์จึงได้ซื้อหุ้นในรอบและหุ้นนอกรอบจากจ าเลยที่ ๒ และซื้อหุ้น ในรอบจากจ าเลยที่ ๓ นอกจากนั้นในรอบปี ๒๕๕๘ โจทก์ยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลจากจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ แต่เมื่อโจทก์มีหนังสือถึงจ าเลยที่ ๑ ขอลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ และมีหนังสือขอให้จ าเลยทั้งสามปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวแล้ว แต่จ าเลยทั้งสาม เพิกเฉย ตามค าฟ้องโจทก์จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยทั้งสามผู้เป็นนายจ้างของโจทก์ตามพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามข้อตกลงของจ าเลยทั้งสามที่ให้ พนักงานมีสิทธิซื้อหุ้นโดยจะได้รับเงินปันผลและจะได้รับค่าหุ้นคืนเต็มจ านวนเมื่อลาออก ซึ่งถือเป็น ส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้างของ จ าเลยที่ ๑ และที่ ๓ หรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหาแห่งคดีที่จะต้องได้รับการพิจารณาวินิจฉัยโดย องค์คณะผู้พิพากษาตามรูปคดีต่อไป คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสามจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นกรรมกำรบริษัทจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เมื่อปี ๒๕๔๑ จ ำเลยที่ ๑ จ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ต ำแหน่งพนักงำนขำย ต่อมำได้ปรับให้โจทก์เป็นพนักงำนของจ ำเลยที่ ๒ และ ที่ ๓ มีหน้ำที่บริหำรงำนตลำด จ ำเลยที่ ๑ มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงให้พนักงำนมีสิทธิซื้อหุ้นในบริษัท จ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยพนักงำนจะได้รับเงินปันผลส ำหรับหุ้นบำงประเภททุกเดือนเมื่อมีก ำไร พนักงำน จะพ้นจำกกำรเป็นผู้ถือหุ้นเมื่อลำออกแต่จะได้รับค่ำหุ้นคืนเต็มจ ำนวน โจทก์จึงได้ซื้อหุ้นจำก จ ำเลยที่ ๒ คือหุ้นนอกรอบ เป็นเงิน ๙๐๐,๐๐๐ บำท และหุ้นในรอบ เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บำท และต่อมำ จ ำเลยที่ ๒ ได้เรียกเงินเพิ่มทุนจำกโจทก์อีก ๒ ครั้ง เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บำท และ ๖๐๐,๐๐๐ บำท แล้วได้ ลดทุนลงโดยโจทก์ยังคงมีเงินค่ำหุ้นในรอบเหลืออยู่ ๗๐๐,๐๐๐ บำท นอกจำกนั้นโจทก์ยังซื้อหุ้นในรอบจำก


๑๓๒ จ ำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐ บำท และต่อมำจ ำเลยที่ ๓ ได้เรียกเงินเพิ่มทุนจำกโจทก์อีก ๒ ครั้ง เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บำท และ ๒๐๐,๐๐๐ บำท แล้วได้ลดทุนลงโดยโจทก์ยังคงมีเงินค่ำหุ้นเหลืออยู่ ๑,๙๐๐,๐๐๐ บำท นอกจำกนั้นในรอบปี ๒๕๕๘ โจทก์ยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลจำกจ ำเลยที่ ๒ จ ำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บำท จำกจ ำเลยที่ ๓ จ ำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บำท ต่อมำวันที่ ๑๐ ธันวำคม ๒๕๕๙ โจทก์มีหนังสือ ถึงจ ำเลยที่ ๑ ขอลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ และมีหนังสือขอให้จ ำเลยทั้งสำม ปฏิบัติตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงดังกล่ำวแล้ว แต่จ ำเลยทั้งสำมเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คืนเงินค่ำหุ้นนอกรอบ ๙๐๐,๐๐๐ บำท เงินค่ำหุ้นในรอบ ๗๐๐,๐๐๐ บำท และเงินปันผล ๒๐๐,๐๐๐ บำท และขอให้บังคับจ ำเลยที่ ๑ และที่ ๓ คืนเงินค่ำหุ้นในรอบ ๑,๙๐๐,๐๐๐ บำท และเงินปันผล ๔๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีจำกเงินทุกจ ำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จ แก่โจทก์ จ ำเลยทั้งสำมให้กำรท ำนองเดียวกันว่ำ โจทก์ไม่ใช่ลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๑ และที่ ๓ โจทก์เคยเป็น ลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่มีหลักฐำนว่ำมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงตำมฟ้อง โจทก์ลงทุนถือหุ้น ในกิจกำรของจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ด้วยประสงค์จะได้รับแบ่งปันผลก ำไรจึงไม่ใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง คดีนี้ไม่อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นกรรมกำรบริษัทจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จ ำเลยที่ ๑ จ้ำงโจทก์ ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ต่อมำได้ปรับให้โจทก์เป็นพนักงำนของจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จ ำเลยที่ ๑ มีข้อตกลง เกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงให้พนักงำนมีสิทธิซื้อหุ้นในบริษัทจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยพนักงำนจะได้รับ เงินปันผลส ำหรับหุ้นบำงประเภททุกเดือนเมื่อมีก ำไร พนักงำนจะพ้นจำกกำรเป็นผู้ถือหุ้นเมื่อลำออกแต่จะ ได้รับค่ำหุ้นคืนเต็มจ ำนวน โจทก์จึงได้ซื้อหุ้นในรอบและหุ้นนอกรอบจำกจ ำเลยที่ ๒ และซื้อหุ้นในรอบจำก จ ำเลยที่ ๓ นอกจำกนั้นในรอบปี ๒๕๕๘ โจทก์ยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลจำกจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แต่เมื่อ โจทก์มีหนังสือถึงจ ำเลยที่ ๑ ขอลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ และมีหนังสือขอให้ จ ำเลยทั้งสำมปฏิบัติตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงดังกล่ำวแล้ว แต่จ ำเลยทั้งสำมเพิกเฉย ตำมค ำฟ้อง โจทก์จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสำมผู้เป็นนำยจ้ำงของโจทก์ตำมพระรำชบัญญัติแรงงำนสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มำตรำ ๕ ไม่ปฏิบัติหน้ำที่ให้ถูกต้องตำมข้อตกลงของจ ำเลยทั้งสำมที่ให้พนักงำนมีสิทธิซื้อหุ้น โดยจะได้รับเงินปันผลและจะได้รับค่ำหุ้นคืนเต็มจ ำนวนเมื่อลำออก ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญำจ้ำง แรงงำนและข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๑ และที่ ๓ หรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำแห่งคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสำม จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและ ตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๓๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.85/2560 นายสุรชาติ ยุตตานนท์ โจทก์ นายธีรวัฒน์ เอี่ยมละออ กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (5), 9 วรรคสอง โจทก์และจ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจ าเลยที่ ๒ ระหว่างการท างาน จ าเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์รับส่งของตามค าสั่งผู้จัดการสาขาโดยมีโจทก์เป็นผู้โดยสารนั่งซ้อนท้ายด้วยความ ประมาทปราศจากความระมัดระวังใช้ความเร็วสูง ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ตัดหน้า และเฉี่ยวชน รถยนต์บุคคลภายนอก เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลและ เป็นอัมพาตตั้งแต่ร่างกายส่วนคอลงมาจึงขอให้บังคับจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้กระท าละเมิดโดยตรงและ จ าเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างร่วมกันรับผิดกับจ าเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดซึ่งจ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้างกระท าไปในทางการที่จ้างของจ าเลยที่ ๒ ดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็น คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างลูกจ้างกับลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้าง ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์ กับจ าเลยที่ ๒ นั้น แม้โจทก์จะมิได้กล่าวในฟ้องว่าจ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างเป็นผู้กระท าละเมิด ต่อโจทก์โดยตรงแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างซึ่งออกค าสั่งให้จ าเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งจ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้างกระท าไปในทางการที่จ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับ การท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) เช่นกัน ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ โจทก์และจ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ ที่ร้ำน แมคโดนัลด์ สำขำห้ำงสรรพสินค้ำซีคอน บำงแค ระหว่ำงกำรท ำงำน เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๑ ขับรถจักรยำนยนต์รับส่งของตำมค ำสั่งผู้จัดกำรสำขำโดยมีโจทก์เป็นผู้โดยสำรนั่งซ้อนท้ำย ด้วยควำมประมำทปรำศจำกควำมระมัดระวังใช้ควำมเร็วสูง ฝ่ำฝืนสัญญำณไฟจรำจร ตัดหน้ำ และเฉี่ยวชน รถยนต์หมำยเลขทะเบียน ๔ฬ - ๔๘๔๗ กรุงเทพมหำนคร เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบำดเจ็บสำหัสต้องเข้ำรับ กำรรักษำพยำบำลและเป็นอัมพำตตั้งแต่ร่ำงกำยส่วนคอลงมำ กำรกระท ำของจ ำเลยที่ ๑ เป็นกำรกระท ำ ละเมิดในทำงกำรที่จ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ ท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่ำรักษำพยำบำลและค่ำดูแล ค่ำขำดรำยได้ค่ำทุพพลภำพ ค่ำทนทุกข์ทรมำนเสื่อมสุขภำพ และค่ำจ้ำง หมอนวดกระตุ้นกล้ำมเนื้อ รวมเป็นเงิน ๓๑,๔๕๘,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัด จำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์


๑๓๔ ชั้นไต่สวนค ำร้องขอยกเว้นค่ำธรรมเนียมศำล ศำลแพ่งธนบุรีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีนี้อยู่ ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ วินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำโจทก์และจ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ ระหว่ำงกำรท ำงำน จ ำเลยที่ ๑ ขับรถจักรยำนยนต์ รับส ่งของตำมค ำสั ่งผู้จัดกำรสำขำโดยมีโจทก์เป็นผู้โดยสำรนั ่งซ้อนท้ำยด้วยควำมประมำทปรำศจำก ควำมระมัดระวังใช้ควำมเร็วสูง ฝ่ำฝืนสัญญำณไฟจรำจร ตัดหน้ำ และเฉี่ยวชนรถยนต์บุคคลภำยนอก เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบำดเจ็บสำหัสต้องเข้ำรับกำรรักษำพยำบำลและเป็นอัมพำตตั้งแต่ร่ำงกำยส่วนคอ ลงมำ จึงขอให้บังคับจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้กระท ำละเมิดโดยตรงและจ ำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนำยจ้ำงร่วมกันรับผิด กับจ ำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่ำเสียหำยในผลแห่งละเมิดซึ่งจ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงกระท ำไปในทำงกำรที่จ้ำงของ จ ำเลยที่ ๒ ดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงลูกจ้ำงกับลูกจ้ำง ที่เกิดจำกกำรท ำงำนในทำงกำรที่จ้ำง ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ นั้น แม้โจทก์จะมิได้กล่ำวในฟ้องว่ำจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนำยจ้ำงเป็นผู้กระท ำละเมิดต่อโจทก์โดยตรง แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนำยจ้ำงซึ่งออก ค ำสั่งให้จ ำเลยที่ ๑ ขับรถจักรยำนยนต์ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งจ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงกระท ำไป ในทำงกำรที่จ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๕)


๑๓๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.86/2560 นายณัฐวัฒน์ ธนาสิริวัจน์ โจทก์ นางสาววรัญญา ปั่นศิริ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้างจ าเลยท างานตามโครงการออกบูทจ าหน่ายสินค้า ระหว่างท างาน จ าเลยขับรถยนต์กระบะของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตและด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ชนเสาไฟฟ้า เป็นการท าละเมิดให้โจทก์เสียหายและท าให้โจทก์ต้องขาดประโยชน์ระหว่างที่น ารถยนต์ กระบะคันดังกล่าวซ่อม จึงขอให้จ าเลยช าระค่าเสียหายแก่โจทก์ กรณีเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และ จ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน ขณะจ าเลยเป็นลูกจ้างได้ปฏิบัติ ผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่าง โจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนตำมโครงกำรออกบูทจ ำหน่ำยสินค้ำ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยำยน ๒๕๕๙ จ ำเลยกระท ำละเมิดต่อโจทก์ โดยจ ำเลยขับรถยนต์กระบะของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญำต และด้วยควำมประมำทเลินเล่ออย่ำงร้ำยแรงชนเสำไฟฟ้ำเสียหำยเป็นเงิน ๓๐๕,๖๐๕.๙๑ บำท ท ำให้โจทก์ ต้องขำดประโยชน์ระหว่ำงที่น ำรถยนต์กระบะคันดังกล่ำวซ่อมอีกเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บำท จ ำเลยจึงต้องใช้ ค่ำเสียหำยแก่โจทก์ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ และช ำระค่ำขำดประโยชน์เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำโจทก์จะซ่อมรถกระบะจนใช้งำนได้ตำมปกติ จ ำเลยให้กำรว่ำ เมื่อเดือนพฤษภำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยเข้ำท ำงำนที่บริษัทธนำสิริวัจน์ กรุ๊ป จ ำกัด ต ำแหน่งผู้จัดกำรทั่วไป ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๘,๐๐๐ บำท พร้อมที่พักและค่ำตอบแทนกำรขำย ภำยใต้กำรควบคุมบังคับบัญชำของโจทก์ซึ่งเป็นกรรมกำรบริษัทดังกล่ำว ระหว่ำงท ำงำน โจทก์สั่งกำรให้ จ ำเลยขับรถยนต์กระบะไปในทำงกำรที่จ้ำงของบริษัทธนำสิริวัจน์กรุ๊ป จ ำกัด เพื่อน ำสินค้ำไก่แท่ง ไปจัดแสดงและจ ำหน่ำยในโครงกำรมหกรรมสินค้ำส่งออกกลุ่มทวำรวดีที่จังหวัดสุพรรณบุรีระหว่ำงวันที่ ๑๔ ถึงวันที่ ๑๘ กันยำยน ๒๕๕๙ หลังกำรแสดงสินค้ำเสร็จสิ้นลงในเวลำกลำงคืนระหว่ำงกำรเดินทำงกลับ มีรถยนต์ไม่ทรำบหมำยเลขทะเบียนชนท้ำยรถยนต์กระบะที่จ ำเลยขับจนเสียหลักชนป้ำยบอกทำงเป็นเหตุ ให้รถยนต์กระบะเสียหำยและจ ำเลยได้รับบำดเจ็บ โจทก์และบริษัทธนำสิริวัจน์ กรุ๊ป จ ำกัด มิได้ให้กำร ช่วยเหลือค่ำรักษำพยำบำลแต่อย่ำงใดแต่กลับใช้สิทธิฟ้องจ ำเลยโดยไม่สุจริต ค่ำเสียหำยตำมฟ้องสูงเกินจริง คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง


๑๓๖ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแขวงรำชบุรีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้วกรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนตำมโครงกำรออกบูทจ ำหน่ำยสินค้ำ ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยขับรถยนต์ กระบะของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญำตและด้วยควำมประมำทเลินเล่ออย่ำงร้ำยแรงชนเสำไฟฟ้ำ เป็นกำร ท ำละเมิดให้โจทก์เสียหำยและท ำให้โจทก์ต้องขำดประโยชน์ระหว่ำงที่น ำรถยนต์กระบะคันดังกล่ำวซ่อม จึง ขอให้จ ำเลยช ำระค่ำเสียหำยแก่โจทก์ กรณีเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำง และลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ขณะจ ำเลยเป็นลูกจ้ำงได้ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)


๑๓๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.87/2560 นางฌาณภา ร่มฉัตรทอง โจทก์ นายชูเกียรติ ถาวรวสุ กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยทั้งสองจัดท าเอกสารซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จเผยแพร่ไปยังบุคคลที่สาม ทั่วประเทศว่าโจทก์และคณะกรรมการสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ ผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยทุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เป็นการทุจริตในสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะท าให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือ ถูกเกลียดชัง นอกจากนี้จ าเลยทั้งสองยังได้กระท าละเมิดต่อโจทก์โดยจัดประชุมคณะกรรมการสหภาพ แรงงานธนาคารกรุงเทพแล้วมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการลูกจ้างชุดใหม่ที่มีจ าเลยทั้งสองกับพวก ด ารงต าแหน่งและปลดโจทก์ออกจากการเป็นกรรมการลูกจ้างโดยขัดต่อกฎหมายแล้วแจ้งให้นายจ้าง ทราบเป็นผลให้นายจ้างเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาลแรงงานกลาง ท าให้โจทก์เสียหาย ตามค าฟ้องดังกล่าว แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยทั้งสองเคยเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน ธนาคารกรุงเทพ และจ าเลยทั้งสองกระท าการตามค าฟ้องในฐานะกรรมการสหภาพแรงงานธนาคาร กรุงเทพ แต่ก็เพื่อให้เห็นว่าการกระท าดังกล่าวเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือ ทางท ามาหาได้หรือทางเจริญโดยประการอื่นของโจทก์โดยตรง จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยทั้งสอง ท าละเมิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ละเมิด โดยทั่วไปมิใช่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้าง ทั้งมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายว่าด้วยแรงงาน สัมพันธ์ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์และมิใช่คดี อันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการท างาน ตามสัญญาจ้างแรงงาน และมิใช่มูลละเมิดระหว่างลูกจ้างกับลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีฐำนะเป็นลูกจ้ำงของบริษัทธนำคำรกรุงเทพ จ ำกัด (มหำชน) และเคยเป็น กรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ จ ำเลยทั้งสองเป็นสมำชิกและเคยเป็นกรรมกำรสหภำพแรงงำน ธนำคำรกรุงเทพ ระหว่ำงที่โจทก์และจ ำเลยทั้งสองด ำรงต ำแหน่งกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ นั้น จ ำเลยทั้งสองท ำเอกสำรด้วยข้อควำมอันเป็นเท็จเผยแพร่ไปยังบุคคลที่สำมทั่วประเทศว่ำโจทก์และ คณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพผลักดันโครงกำรต่ำง ๆ โดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็น กำรปลุกระดมให้สมำชิกเกลียดชังคณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพเป็นเหตุให้โจทก์และ จ ำเลยทั้งสองกับพวกมีคดีแพ่งและคดีอำญำต่อกันหลำยคดี อันเป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ เป็นกำรใส่ควำม


๑๓๘ โจทก์ต่อบุคคลที่สำมโดยประกำรที่น่ำจะท ำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง นอกจำกนี้ จ ำเลยทั้งสองกับพวกยังได้กระท ำละเมิดต่อโจทก์โดยจัดประชุมคณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำร กรุงเทพแล้วมีมติแต่งตั้งคณะกรรมกำรลูกจ้ำงชุดใหม่ที่มีจ ำเลยทั้งสองกับพวกด ำรงต ำแหน่งและปลดโจทก์ ออกจำกกำรเป็นกรรมกำรลูกจ้ำงโดยขัดต่อพระรำชบัญญัติแรงงำนสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มำตรำ ๔๘ ทั้งที่ โจทก์ยังมีสิทธิด ำรงต ำแหน่งกรรมกำรลูกจ้ำงอยู่จนครบวำระ แล้วจ ำเลยทั้งสองแจ้งกำรแต่งตั้ง คณะกรรมกำรลูกจ้ำงชุดใหม่ดังกล่ำวให้นำยจ้ำงทรำบ เป็นผลให้นำยจ้ำงเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่ต้องขออนุญำต จำกศำลแรงงำนกลำง กำรกระท ำของจ ำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๕ และมำตรำ ๔๒๐ ถึงมำตรำ ๔๒๓ ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันช ำระค่ำเสียหำยจำกกำร กระท ำละเมิดพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ น ำค ำพิพำกษำลงประกำศในหน้ำหนังสือพิมพ์เป็นระยะเวลำไม่น้อย กว่ำ ๓ วัน ติดต่อกัน และลงประกำศในหน้ำเฟซบุ๊กกับหนังสือข่ำวสำรของสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ ไม่น้อยกว่ำ ๓ ฉบับ ติดต่อกัน จ ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ สหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพเป็นผู้กระท ำกำรตำมฟ้อง จ ำเลย ทั้งสองใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมำยทุกประกำรจึงไม่เป็นกำรกระท ำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ไม่ได้รับ ควำมเสียหำย ฟ้องโจทก์เป็นข้อพิพำททำงแรงงำนจึงอยู่ในอ ำนำจของศำลแรงงำน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขำดอำยุควำม เป็นฟ้องซ้อน ฟ้องซ้ ำและด ำเนินกระบวนพิจำรณำซ้ ำ โจทก์จึงไม่มีอ ำนำจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีอยู่ในอ ำนำจของศำลแรงงำน หรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำน และวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจของศำลแรงงำนตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำจ ำเลยทั้งสองจัดท ำเอกสำรซึ่งมีข้อควำมอันเป็นเท็จเผยแพร่ไปยังบุคคลที่สำมทั่วประเทศว่ำ โจทก์และคณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพผลักดันโครงกำรต่ำง ๆ โดยทุจริตเพื่อประโยชน์ ส่วนตัว เป็นกำรทุจริตในสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ เป็นกำรใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และเป็นกำรใส่ควำม โจทก์ต่อบุคคลที่สำมโดยประกำรที่น่ำจะท ำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง นอกจำกนี้ จ ำเลยทั้งสองยังได้กระท ำละเมิดต่อโจทก์โดยจัดประชุมคณะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพแล้ว มีมติแต่งตั้งคณะกรรมกำรลูกจ้ำงชุดใหม่ที่มีจ ำเลยทั้งสองกับพวกด ำรงต ำแหน่งและปลดโจทก์ออกจำกกำร เป็นกรรมกำรลูกจ้ำงโดยขัดต่อกฎหมำยแล้วแจ้งให้นำยจ้ำงทรำบ เป็นผลให้นำยจ้ำงเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่ต้อง ขออนุญำตจำกศำลแรงงำนกลำง ท ำให้โจทก์เสียหำย ตำมค ำฟ้องดังกล่ำว แม้โจทก์จะกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์ และจ ำเลยทั้งสองเคยเป็นกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพและจ ำเลยทั้งสองกระท ำกำรตำม ค ำฟ้องในฐำนะกรรมกำรสหภำพแรงงำนธนำคำรกรุงเทพ แต่ก็เพื่อให้เห็นว่ำกำรกระท ำดังกล่ำวเป็นผลให้ เกิดควำมเสียหำยแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือทำงท ำมำหำได้หรือทำงเจริญโดยประกำรอื่นของโจทก์โดยตรง จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสองท ำละเมิดต่อโจทก์เป็นกำรส่วนตัว ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์ บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ละเมิดโดยทั่วไปมิใช่เกิดจำกกำรท ำงำน ในทำงกำรที่จ้ำง ทั้งมิใช่เป็นกำรใช้ สิทธิตำมกฎหมำยว่ำด้วยแรงงำนสัมพันธ์ จึงมิใช่คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วย แรงงำนสัมพันธ์ และมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงสืบเนื่องจำกข้อพิพำทแรงงำน


๑๓๙ หรือเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และมิใช่มูลละเมิดระหว่ำงลูกจ้ำงกับลูกจ้ำงที่เกิดจำกกำร ท ำงำนในทำงกำรที่จ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘


๑๔๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.88/2560 นายณกรณ์ อานาภรณ์ โจทก์ บริษัทแวนเทค อมตะ โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยซึ่งเคยเป็นนำยจ้ำงกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำง โดยน ำ ควำมเท็จร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวนว่ำโจทก์ยักยอกเงินท ำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ดังนี้ แม้โจทก์จะกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเคยเป็นนำยจ้ำงกระท ำละเมิดต่อโจทก์ในระหว่ำงที่มีนิติสัมพันธ์ เป็นนำยจ้ำงลูกจ้ำงกันก็ตำม แต่ข้ออ้ำงที่อำศัยเป็นหลักแห่งข้อหำตำมค ำฟ้องของโจทก์เป็นกำร กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยกระท ำละเมิดโดยร้องทุกข์ด ำเนินคดีอำญำท ำให้โจทก์เสียหำย อันเป็นกำรกล่ำวอ้ำง กำรกระท ำต่ำงหำกที่ไม่เกี่ยวข้องกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนโดยตรง จึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูล ละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนแต่เป็นกำรใช้สิทธิ เรียกร้องตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๒ หนี้ ลักษณะ ๕ ละเมิดทั่วไป คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยส่วนนี้จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โจทก์เข้าท างานกับบริษัทแวนเทค เวิล์ด ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จ ากัด และสิ้นสุดการท างานในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ เนื่องจากบริษัทดังกล่าว ปิดกิจการ ต่อมาในปี ๒๕๕๘ บริษัทดังกล่าวได้ควบรวมกับบริษัทฮิตาชิ ทรานสปอร์ต ซิสเต็ม แวนเทค (ประเทศไทย) จ ากัด โจทก์ได้เข้าท างานกับบริษัทฮิตาชิ ทรานสปอร์ต ซิสเต็ม แวนเทค (ประเทศไทย) จ ากัด ต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล กระทั่งเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ จึงโอนย้ายไปท างานกับจ าเลย ต่อมาวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จึงถูกกลั่นแกล้งโอนย้ายไปท างานที่บริษัทซูมิโตโม รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จ ากัด วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โจทก์ฟ้องบริษัทแวนเทค เวิล์ด ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จ ากัด ซึ่งมีกรรมการผู้มีอ านาจคนเดียวกันกับจ าเลยต่อศาลแรงงานภาค ๒ เพื่อเรียกค่าตอบแทนการท างาน จ าเลยจึงมีค าสั่งให้โจทก์ไปท างานที่ส านักงานใหญ่โดยไม่มอบหมายงานให้ ต่อมาจ าเลยมีค าสั่งพักงานโจทก์ เพื่อสอบสวนกรณีที่โจทก์ไม่น าเงินที่หักจากบัญชีเงินเดือนพนักงานจ านวน ๑๙,๐๐๐ บาท ส่งส านักงาน บังคับคดีจังหวัดชลบุรี และได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ยักยอกเงินดังกล่าว อันเป็นการ ท าละเมิดต่อโจทก์ ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จ าเลยเสนอว่าหาก โจทก์ลาออกและถอนฟ้องคดีแรงงานก็จะไม่ด าเนินคดีอาญาต่อโจทก์ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ จ าเลย เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระท าความผิด ขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และค่าเสียหายจากการท าละเมิด พร้อมดอกเบี้ย ตามค าขอท้ายฟ้องแก่โจทก์


๑๔๑ ชั้นตรวจค าฟ้อง ศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่า คดีนี้ในส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจ าเลย ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์ เป็นการท าละเมิดต่อโจทก์ท าให้โจทก์ได้รับความ เสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวน ให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดี แรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้ในส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์ เป็นการท าละเมิดต่อโจทก์ ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องส่วนนี้ว่า จ าเลยซึ่ง เคยเป็นนายจ้างกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโดยน าความเท็จร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ยักยอกเงิน ท าให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ดังนี้ แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเคย เป็นนายจ้างกระท าละเมิดต่อโจทก์ในระหว่างที่มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างลูกจ้างกันก็ตาม แต่ข้ออ้างที่อาศัย เป็นหลักแห่งข้อหาตามค าฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยกระท าละเมิด โดยร้องทุกข์ด าเนิน คดีอาญาท าให้โจทก์เสียหาย อันเป็นการกล่าวอ้างการกระท าต่างหากที่ไม่เกี่ยวข้องกับการท างานตาม สัญญาจ้างแรงงานโดยตรง จึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างาน ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๒ หนี้ ลักษณะ ๕ ละเมิดทั่วไป คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยส่วนนี้จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘


๑๔๒ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.89/2560 สหกรณ์การเกษตรท่ามะเขือ จ ากัด โจทก์ นางสาวรัตน์ฐาอรหรือบุษศกร พันธ์หอม กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (2) (5), 9 พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖, ๑๐ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ มีหน้ำที่เก็บรักษำเงินสดของสมำชิก ลูกหนี้ของโจทก์ ระหว่ำงปฏิบัติหน้ำที่มีเงินขำดหำยไปจำกบัญชีเงินสด ๗๘,๐๑๘.๖๔ บำท จ ำเลยที่ ๑ ยอมรับจะชดใช้เงินดังกล่ำวแก่โจทก์แต่ผิดนัดและผัดผ่อนเรื่อยมำ ท ำให้โจทก์เสียหำย เป็นกำร กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิด ต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โจทก์ฟ้องจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐำนะ ผู้ค้ ำประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดกับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นกรณี เกี่ยวเนื่องกับกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ ทั้งยังเป็นกรณีพิพำทเกี่ยวด้วย ควำมรับผิดตำมประกำศกระทรวงแรงงำน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกำรเรียกหรือรับหลักประกันกำร ท ำงำน หรือหลักประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำนจำกลูกจ้ำง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกำศโดยอำศัย อ ำนำจตำมควำมในมำตรำ ๖ และมำตรำ ๑๐ แห่งพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ อีกด้วย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนและเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ โจทก์จ้าง จ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้าง ต าแหน่งพนักงานบัญชี มีหน้าที่เก็บรักษาเงินสดของสมาชิกลูกหนี้ของโจทก์ โดยมี จ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ค้ าประกันความเสียหายในการท างานของจ าเลยที่ ๑ ต่อมาวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ โจทก์ตรวจสอบบัญชีเงินสดที่อยู่ในความรับผิดชอบของจ าเลยที่ ๑ แล้วพบว่ามีเงินขาดหายไป ๗๘,๐๑๘.๖๔ บาท จ าเลยที่ ๑ ยอมรับจะชดใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ภายในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ แต่ผิดนัด และผัดผ่อนเรื่อยมา ท าให้โจทก์เสียหาย เมื่อรวมดอกเบี้ยนับแต่วันที่๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ถึงวันฟ้องจ านวน ๕,๐๐๑.๗๔ บาท เป็นเงิน ๘๓,๐๒๐.๓๘ บาท ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสามร่วมกันช าระเงิน ๘๓,๐๒๐.๓๘


๑๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๗๘,๐๑๘.๖๔ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยทั้งสามให้การว่า จ าเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ตามค าสั่งของโจทก์ที่ให้จ าเลยที่ ๑ เอื้อประโยชน์แก่สมาชิกลูกหนี้ของโจทก์ โดยให้สมาชิกสามารถช าระดอกเบี้ยไปก่อนโดยยังไม่ต้องช าระ ต้นเงินแล้วให้มีสิทธิกู้ยืมเงินต่อไปอีกได้ เป็นเหตุให้ยอดเงินทางบัญชีไม่ตรงกับจ านวนเงินที่มีอยู่จริง เมื่อส านักงานตรวจสอบบัญชีจังหวัดก าแพงเพชรตรวจสอบพบ โจทก์จึงผลักภาระให้จ าเลยที่ ๑ ท าบันทึก ถ้อยค าหนังสือรับรองเงินสด จ าเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดตามบันทึกถ้อยค าหนังสือรับรองเงินสดดังกล่าว และจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็ไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ าประกันความเสียหายในการท างานของจ าเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดก าแพงเพชรเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ มีหน้าที่เก็บรักษาเงินสดของสมาชิก ลูกหนี้ของโจทก์ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่มีเงินขาดหายไปจากบัญชีเงินสด ๗๘,๐๑๘.๖๔ บาท จ าเลยที่ ๑ ยอมรับจะชดใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์แต่ผิดนัดและผัดผ่อนเรื่อยมา ท าให้โจทก์เสียหาย เป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็น นายจ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ โจทก์ฟ้องจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐานะ ผู้ค้ าประกันความเสียหายในการท างานของจ าเลยที่ ๑ ให้ร่วมรับผิดกับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นกรณีเกี่ยวเนื่องกับ การผิดสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ทั้งยังเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวด้วยความรับผิดตาม ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการท างาน หรือหลักประกัน ความเสียหายในการท างานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกาศโดยอาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ อีกด้วย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒)


Click to View FlipBook Version