The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

๑๔๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.90/2560 บริษัทบลูไลท์ อุตสาหกรรม จ ากัด โจทก์ นายโอภาส สายใจ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ระหว่างท างานในต าแหน่งพนักงานขาย จ าเลยท าบันทึกรับสภาพหนี้ ตกลงจะช าระหนี้ ๑๑๓,๘๘๘ บาท แก่โจทก์ หลังจากท าบันทึกรับสภาพหนี้ แล้วโจทก์ไม่สามารถติดต่อจ าเลยได้ ท าให้โจทก์เสียหาย ขอให้จ าเลยช าระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย แก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้เป็นนายจ้างกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ท าบันทึก รับสภาพหนี้อันเนื่องมาจากการปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและ ลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ต าแหน่งพนักงานขาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ จ าเลยท าบันทึกรับสภาพหนี้ ตกลงจะช าระหนี้ ๑๑๓,๘๘๘ บาท แก่โจทก์ แต่หลังจากท าบันทึก รับสภาพหนี้แล้วโจทก์ไม่สามารถติดต่อจ าเลยได้ ท าให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับช าระเงินดังกล่าว เมื่อค านวณ ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องจ านวน ๑๗,๓๑๗.๒๑ บาท แล้ว รวมเป็นค่าเสียหาย ๑๓๑,๒๐๕.๒๑ บาท ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๑๓๑,๒๐๕.๒๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๑๓,๘๘๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ ชั้นตรวจค าฟ้อง ศาลจังหวัดปทุมธานีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้วกรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ระหว่ำงท ำงำนในต ำแหน่งพนักงำนขำย จ ำเลยท ำบันทึก รับสภำพหนี้ ตกลงจะช ำระหนี้ ๑๑๓,๘๘๘ บำท แก่โจทก์ โดยปรำกฏตำมบันทึกในเอกสำรท้ำยบันทึก รับสภำพหนี้ว่ำจ ำเลยขำยสินค้ำโดยไม่ได้เข้ำเครื่องก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่โจทก์ หลังจำกท ำบันทึก รับสภำพหนี้แล้วโจทก์ไม่สำมำรถติดต่อจ ำเลยได้ ให้โจทก์เสียหำย ขอให้จ ำเลยช ำระเงินดังกล่ำวพร้อม ดอกเบี้ยแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ได้ท ำบันทึก รับสภำพหนี้อันเนื่องมำจำกกำรปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็น


๑๔๕ นำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)


๑๔๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.91/2560 นางวิบูลย์ศิริ คงพูล โจทก์ บริษัทแอสคอต อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดยูเคชั่น จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสำมท ำสัญญำจ้ำงโจทก์ท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำรโรงเรียน ระหว่ำง ท ำงำนจ ำเลยทั้งสำมเพิกเฉยต่อโครงกำรบริหำรกำรศึกษำที่โจทก์เสนอ กลั่นแกล้งให้โจทก์ไม่สำมำรถ ทนท ำงำนต่อไปได้ ขัดขวำงกำรปฏิบัติงำนและให้บุคคลอื่นปฏิบัติหน้ำที่แทนโจทก์ โจทก์ขอนัดประชุม เพื่อให้จ ำเลยทั้งสำมพิจำรณำผลงำนที่โจทก์เสนอแต่จ ำเลยทั้งสำมเพิกเฉยและไม่ประสงค์ให้โจทก์ ท ำงำนต่อไป กำรกระท ำของจ ำเลยทั้งสำมเป็นกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนและท ำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ จึงเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกจ ำเลยทั้งสำม เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยทั้งสำมมีนิติสัมพันธ์ เป็นลูกจ้ำงและนำยจ้ำงกัน จ ำเลยทั้งสำมไม่ปฏิบัติหน้ำที่ต่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้ำงให้ถูกต้องตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยทั้งสำมจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด มีจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นกรรมการ ผู้มีอ านาจ จ าเลยทั้งสามร่วมกันประกอบการค้าโดยจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติชื่อ โรงเรียนนานาชาติแอสคอต วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จ าเลยทั้งสามท าสัญญาจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งผู้จัดการโรงเรียน ได้รับค่าจ้าง เดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท ระหว่างท างาน จ าเลยทั้งสามเพิกเฉยต่อโครงการบริหารการศึกษาที่โจทก์เสนอ กลั่นแกล้งให้โจทก์ไม่สามารถทนท างานต่อไปได้ ขัดขวางการปฏิบัติงานและให้บุคคลอื่นปฏิบัติหน้าที่แทน โจทก์ กระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โจทก์ขอนัดประชุมเพื่อให้จ าเลยทั้งสามพิจารณาผลงานที่โจทก์เสนอ แต่จ าเลยทั้งสามเพิกเฉย โจทก์จึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีต ารวจนครบาลบางชัน และโจทก์ ขอถือเอาใบแจ้งความเป็นการแสดงเจตนาของจ าเลยทั้งสามว่าไม่ประสงค์ให้โจทก์ท างานต่อไป การกระท า ของจ าเลยทั้งสามเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานและท าละเมิดต่อโจทก์ท าให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงขอคิด ค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างถึงวันเกษียณอายุการท างาน ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ ค่าเสียหายจากการ สูญเสียรายได้จากการประกอบอาชีพที่ประเทศออสเตรเลีย ค่าเสียหายจากการซื้อบ้านและที่ดินเพื่อ ปฏิบัติงานในประเทศไทย รวมเป็นเงิน ๔๖,๘๗๒,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสามร่วมกันช าระเงิน ๔๖,๘๗๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระ เสร็จแก่โจทก์ จ าเลยทั้งสามให้การว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจ าเลยที่ ๑ ต่อศาลแรงงานกลาง คดีสามารถ ตกลงกันได้โดยจ าเลยที่ ๑ ช าระเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ และโจทก์ถอนฟ้อง ศาลแรงงานกลาง


๑๔๗ จึงมีค าสั่งจ าหน่ายคดีออกจากสารบบความ การที่โจทก์น ามูลหนี้เดิมที่ระงับแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้จึงไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ จ าเลยทั้งสามไม่ได้ผิดสัญญาจ้าง แรงงานหรือท าละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้อง การที่โจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีต ารวจนครบาล บางชันเป็นความเข้าใจฝ่ายเดียวของโจทก์ จึงไม่อาจถือเอาใบแจ้งความเป็นการแสดงเจตนาของจ าเลยทั้งสามว่า ไม่ประสงค์ให้โจทก์ท างานแต่อย่างใด จ าเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ขาดงานเกินกว่า ๓ วันท างาน โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดมีนบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาล แรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยทั้งสามท าสัญญาจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งผู้จัดการโรงเรียน ระหว่างท างาน จ าเลยทั้งสามเพิกเฉยต่อโครงการบริหารการศึกษาที่โจทก์เสนอ กลั่นแกล้งให้โจทก์ไม่สามารถทนท างาน ต่อไปได้ ขัดขวางการปฏิบัติงานและให้บุคคลอื่นปฏิบัติหน้าที่แทนโจทก์ โจทก์ขอนัดประชุมเพื่อให้จ าเลย ทั้งสามพิจารณาผลงานที่โจทก์เสนอแต่จ าเลยทั้งสามเพิกเฉยและไม่ประสงค์ให้โจทก์ท างานต่อไป การกระท าของจ าเลยทั้งสามเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานและท าละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงเรียกร้อง ค่าเสียหายจากจ าเลยทั้งสาม เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยทั้งสามมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างและ นายจ้างกัน จ าเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติหน้าที่ต่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างให้ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท า ละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสาม จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕)


๑๔๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.92/2560 นายเฉลิม นาใจคง โจทก์ นางสาวอรอนงค์ ธรรมทา จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ระหว่างท างานจ าเลยละทิ้งหน้าที่ ออกจากงานไปในระหว่างการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอันเป็นการผิดสัญญาจ้าง ท าให้โจทก์ เสียหายจึงขอให้จ าเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง แรงงานและใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาจ้างแรงงาน ข้อ ๑๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นผู้รับใบอนุญำตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชน ชื่อว่ำโรงเรียนวรวิมลศึกษำ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภำคม ๒๕๕๙ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนในต ำแหน่งครู มีก ำหนดระยะเวลำ ๑ ปี มีข้อตกลง ตำมสัญญำจ้ำงว่ำ จ ำเลยจะต้องไม่ลำออกหรือออกในระหว่ำงกำรปฏิบัติงำนที่ได้รับมอบหมำย นอกจำก กรณีจ ำเป็นและเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์เห็นชอบ มิฉะนั้นจะต้องชดใช้ค่ำเสียหำยเป็นเงิน ๒๕,๕๐๐ บำท แก่โจทก์ต่อมำวันที่ ๖ มีนำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยละทิ้งหน้ำที่ออกจำกงำนไปโดยผิดข้อสัญญำดังกล่ำวท ำให้ โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๒๕,๕๐๐ บำท แก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแขวงขอนแก่นเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำล แรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยละทิ้งหน้ำที่ออกจำกงำนไป ในระหว่ำงกำรปฏิบัติงำนที่ได้รับมอบหมำยอันเป็นกำรผิดสัญญำจ้ำง ท ำให้โจทก์เสียหำยจึงขอให้จ ำเลย ชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์ เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยไม่ปฏิบัติตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและใช้สิทธิเรียกร้อง ค่ำเสียหำยตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ข้อ ๑๑ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๔ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๔๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.93/2560 นายแพทย์อนุรักษ์ นุเสน โจทก์ นายวิโรจน์ วงศ์วราวิภัทร์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (2), 9, 49 โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นแพทย์เพื่อท ำหน้ำที่ปลูกถ่ำยเส้นผมและบริหำร จัดกำรคลินิก มีก ำหนดเวลำ ๕ ปี โจทก์ต้องวำงเงินประกันกำรท ำงำน ๕๐๐,๐๐๐ บำท โดยจ ำเลย ตกลงจะคืนให้เมื่อครบก ำหนดสัญญำหรือโจทก์ไม่ได้ท ำงำนกับจ ำเลยแล้ว ต่อมำจ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์ โดยไม่ได้บอกกล่ำวล่วงหน้ำและไม่เป็นธรรม ไม่คืนเงินประกันกำรท ำงำนให้โจทก์และเป็นกำรท ำละเมิด ต่อโจทก์ ทั้งยังจ่ำยค่ำจ้ำงเดือนมกรำคม ๒๕๕๙ ให้โจทก์ไม่ครบถ้วน เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์ กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้ำงและนำยจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำชดเชย หรือค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ค่ำจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำจ้ำงค้ำง และเรียกร้อง ให้จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำงคืนหลักประกันกำรท ำงำนหรือหลักประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำน อันเป็น กำรเรียกร้องสิทธิตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็น ลูกจ้ำงของจ ำเลยอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำแห่งคดี ที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครอง แรงงำน และเป็นคดีพิพำทเกี่ยวกับกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) และมำตรำ ๔๙ ______________________ โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยประกอบกิจการสถานพยาบาล "hhh natural hair transplant center" วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นแพทย์ เพื่อท าหน้าที่ปลูกถ่ายเส้นผมและบริหาร จัดการคลินิก ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท และค่าตอบแทนจากการปลูกถ่ายเส้นผมแต่ละรายการ มีก าหนดเวลา ๕ ปีโจทก์ต้องวางเงินประกันการท างาน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยจ าเลยตกลงจะคืนให้เมื่อครบ ก าหนดสัญญาหรือโจทก์ไม่ได้ท างานกับจ าเลยแล้ว วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๙ จ าเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้ บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นธรรม ไม่คืนเงินประกันการท างานให้โจทก์และเป็นการท าละเมิดต่อโจทก์ ทั้งยังจ่ายค่าจ้างเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ให้โจทก์ไม่ครบถ้วน ท าให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยคืนเงิน ประกันการท างาน ๕๐๐,๐๐๐ บาท จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๐๐,๐๐๐ บาท จ่ายค่าจ้างค้าง ๒๖,๖๖๖ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือค่าชดเชย ๔๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นแพทย์เพื่อท าหน้าที่ปลูกถ่ายเส้นผมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ท างานเฉพาะวันที่มีผู้ป่วยเท่านั้น โจทก์ต้องวางเงินประกันการท างาน ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อการเรียนรู้วิธีผ่าตัด โดยตกลงว่าหากโจทก์ออกจากงานก่อนครบก าหนดสัญญา จ าเลยจะไม่คืนเงิน ประกันการท างาน วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๙ โจทก์ออกจากงานไปเพราะไม่พอใจที่จะมีแพทย์ขอเข้าหุ้น


๑๕๐ ท ากิจการกับจ าเลยโจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างเดือนมกราคม ๒๕๕๙ เพียง ๒๗ วัน การที่โจทก์ออกจากงานไป เป็นการละทิ้งหน้าที่ จ าเลยจึงไม่ต้องคืนเงินประกันการท างานและเมื่อจ าเลยไม่ได้ท าละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ต้องจ่ายเงินตามค าฟ้องแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นแพทย์เพื่อท าหน้าที่ปลูกถ่ายเส้นผมและบริหารจัดการคลินิก มีก าหนดเวลา ๕ ปีโจทก์ต้องวางเงินประกันการท างาน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยจ าเลยตกลงจะคืนให้เมื่อครบ ก าหนดสัญญาหรือโจทก์ไม่ได้ท างานกับจ าเลยแล้ว ต่อมาจ าเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และไม่เป็นธรรม ไม่คืนเงินประกันการท างานให้โจทก์และเป็นการท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งยังจ่ายค่าจ้างเดือน มกราคม ๒๕๕๙ ให้โจทก์ไม่ครบถ้วน เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างและ นายจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่าชดเชยหรือค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้าง และเรียกร้องให้จ าเลยซึ่งเป็นนายจ้างคืนหลักประกัน การท างานหรือหลักประกันความเสียหายในการท างาน อันเป็นการเรียกร้องสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน และตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้างของจ าเลยอันจะท าให้มีสิทธิได้รับเงิน ตามฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหาแห่งคดีที่จะต้องได้รับการพิจารณาวินิจฉัยโดยองค์คณะ ผู้พิพากษาตามรูปคดีต่อไป คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) และ มาตรา ๔๙


๑๕๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.94/2560 บริษัทเวชวิวัฒน์นอร์ทอิสเทิร์น จ ากัด โจทก์ นางสาววนิดา ขจรจันทร์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจ าเลยท างาน ต าแหน่งพยาบาลประจ าศูนย์ไตเทียม ระหว่าง การท างาน จ าเลยรับทุนของโจทก์ไปอบรมหลักสูตรพยาบาลโดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อส าเร็จการศึกษาแล้ว จ าเลยยินยอมเข้าท างานกับโจทก์หรือท างานในศูนย์ไตที่เป็นสาขาหุ้นส่วนของโจทก์เป็นระยะเวลา ไม่น้อยกว่า ๒ ปี หากผิดข้อตกลงจ าเลยต้องชดใช้เงินพร้อมเบี้ยปรับ ๓๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ หลังจากจ าเลยอบรมหลักสูตรดังกล่าวเสร็จตามก าหนดระยะเวลาแล้ว จ าเลยเข้าท างานกับโจทก์ ไม่ครบก าหนดระยะเวลาตามสัญญาท าให้โจทก์เสียหาย เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างปฏิบัติ ผิดหน้าที่ตามสัญญาอบรมพยาบาลไตเทียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการท างานตามสัญญา จ้างแรงงาน และขอให้จ าเลยช าระค่าเสียหายตามสัญญาอบรมพยาบาลไตเทียมดังกล่าว คดีระหว่าง โจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีนี้จึงอยู่ในอ านาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อเดือนพฤษภำคม ๒๕๕๘ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำน ต ำแหน่งพยำบำลประจ ำ ศูนย์ไตเทียม ระหว่ำงกำรท ำงำนจ ำเลยรับทุนของโจทก์ไปอบรมหลักสูตรพยำบำลไตเทียม ณ มหำวิทยำลัย ขอนแก่น โดยมีข้อสัญญำว่ำเมื่อส ำเร็จกำรศึกษำแล้ว จ ำเลยยินยอมเข้ำท ำงำนกับโจทก์หรือท ำงำน ในศูนย์ไตที่เป็นสำขำหุ้นส่วนของโจทก์เป็นระยะเวลำไม่น้อยกว่ำ ๒ ปีหำกผิดข้อตกลงจ ำเลยต้องชดใช้เงิน พร้อมเบี้ยปรับ ๓๐๐,๐๐๐ บำท แก่โจทก์หลังจำกจ ำเลยอบรมหลักสูตรดังกล่ำวเสร็จตำมก ำหนดระยะเวลำ แล้วได้เข้ำท ำงำนกับโจทก์เมื่อเดือนธันวำคม ๒๕๕๘ ต่อมำเดือนสิงหำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยไม่เข้ำปฏิบัติงำน กับโจทก์และไม่แจ้งกำรลำออกจำกกำรท ำงำนอันเป็นกำรผิดข้อตกลง ท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับ จ ำเลยช ำระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันถัดจำกวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ชั้นตรวจค ำฟ้องศำลจังหวัดชัยภูมิเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำน ต ำแหน่งพยำบำลประจ ำศูนย์ไตเทียม ระหว่ำงกำรท ำงำน


๑๕๒ จ ำเลยรับทุนของโจทก์ไปอบรมหลักสูตรพยำบำล โดยมีข้อสัญญำว่ำเมื่อส ำเร็จกำรศึกษำแล้ว จ ำเลยยินยอม เข้ำท ำงำนกับโจทก์หรือท ำงำนในศูนย์ไตที่เป็นสำขำหุ้นส่วนของโจทก์เป็นระยะเวลำไม่น้อยกว่ำ ๒ ปี หำกผิดข้อตกลงจ ำเลยต้องชดใช้เงินพร้อมเบี้ยปรับ ๓๐๐,๐๐๐ บำท แก่โจทก์หลังจำกจ ำเลยอบรม หลักสูตรดังกล่ำวเสร็จตำมก ำหนดระยะเวลำแล้ว จ ำเลยเข้ำท ำงำนกับโจทก์ไม่ครบก ำหนดระยะเวลำตำม สัญญำท ำให้โจทก์เสียหำย เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำอบรม พยำบำลไตเทียม เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในกำรท ำงำนตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำน และขอให้จ ำเลยช ำระค่ำเสียหำยตำมสัญญำอบรมพยำบำลไตเทียมดังกล่ำว คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๕๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.95/2560 บริษัทเกษมกิจ ปัตตานี ปลาป่น จ ากัด โจทก์ นางสาวกนกนาฎหรือนางกนกนาฎ บริพันธ์หรือธนังธีระพงษ์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่จ าหน่ายเศษเหล็กหรือสิ่งของ เหลือใช้เก็บค่าเช่าบ้านภายในที่ดินของโจทก์และค่าไฟฟ้าจากโรงกลึงที่ใช้ไฟฟ้าของโจทก์ แล้วน าเงิน ส่งมอบแก่โจทก์ ระหว่างท างานจ าเลยไม่ได้ส่งมอบเงินจากการจ าหน่ายเศษเหล็ก และเงินจากค่าเช่าบ้าน และค่าไฟฟ้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ รวม ๗๒๐,๔๖๑ บาท ต่อมาจ าเลยลาออก จึงขอให้จ าเลยคืนเงิน ดังกล่าวแก่โจทก์เป็นการฟ้องเรียกร้องให้จ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจาก การปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง คดีระหว่างโจทก์ กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๕ พฤษภำคม ๒๕๓๗ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำรโรงงำน มีหน้ำที่จัดกำรเรื่องต่ำงๆ ภำยในโรงงำน จ ำหน่ำยเศษเหล็ก หรือสิ่งของเหลือใช้เก็บค่ำเช่ำบ้ำนภำยในที่ดิน ของโจทก์และค่ำไฟฟ้ำจำกโรงกลึงที่ใช้ไฟฟ้ำของโจทก์แล้วน ำเงินส่งมอบแก่โจทก์เดือนเมษำยน ๒๕๕๖ จ ำเลยลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงโจทก์ โจทก์ตรวจสอบพบว่ำจ ำเลยยังไม่ได้ส่งมอบเงินจำกกำรจ ำหน่ำย เศษเหล็ก และเงินจำกค่ำเช่ำบ้ำนและค่ำไฟฟ้ำดังกล่ำวให้แก่โจทก์รวม ๗๒๐,๔๖๑ บำท โจทก์ทวงถำม แล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๗๒๐,๔๖๑ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ จ ำเลยไม่เคยยึดถือครอบครองเงินจำกกำรจ ำหน่ำยเศษเหล็ก และเงิน จำกค่ำเช่ำบ้ำนและค่ำไฟฟ้ำตำมค ำฟ้องโจทก์ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขำดอำยุควำม คดีนี้อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนภำค ๙ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดตรังเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ วินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์มีหน้ำที่จ ำหน่ำยเศษเหล็กหรือสิ่งของ เหลือใช้เก็บค่ำเช่ำบ้ำนภำยในที่ดินของโจทก์และค่ำไฟฟ้ำจำกโรงกลึงที่ใช้ไฟฟ้ำของโจทก์แล้วน ำเงิน


๑๕๔ ส่งมอบแก่โจทก์ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยไม่ได้ส่งมอบเงินจำกกำรจ ำหน่ำยเศษเหล็ก และเงินจำกค่ำเช่ำบ้ำน และค่ำไฟฟ้ำดังกล่ำวให้แก่โจทก์รวม ๗๒๐,๔๖๑ บำท ต่อมำจ ำเลยลำออก จึงขอให้จ ำเลยคืนเงินดังกล่ำว แก่โจทก์เป็นกำรฟ้องเรียกร้องให้จ ำเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ชดใช้ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำรปฏิบัติ ผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)


๑๕๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.96/2560 บริษัทอาคาร 33 จ ากัด โจทก์ นางสาวพรรณริสรา ชื่นจิตรภิรมณ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9, 49 โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยเป็นที่ปรึกษำ ต ำแหน่งรองกรรมกำรผู้จัดกำร โจทก์ให้จ ำเลยใช้รถยนต์ ต่อมำเมื่อจ ำเลยสิ้นสุดกำรเป็นที่ปรึกษำโจทก์แล้วจ ำเลยไม่คืนรถยนต์แก่โจทก์ ท ำให้โจทก์ต้องขำดประโยชน์จำกกำรใช้รถยนต์คันดังกล่ำว ตำมค ำฟ้องโจทก์แม้จะไม่ได้บรรยำยว่ำ จ ำเลยเคยท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ แต่เมื่อพิจำรณำค ำให้กำรและฟ้องแย้งของจ ำเลยที่ว่ำ จ ำเลยเคย ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ โจทก์ให้จ ำเลยใช้รถยนต์ตำมฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิกำรตำมข้อตกลง เกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง ประกอบส ำเนำหนังสือรับรองกำรท ำงำน เอกสำรท้ำยค ำให้กำรและฟ้องแย้ง ซึ่งรับรองว่ำจ ำเลยท ำงำนเป็นลูกจ้ำงเต็มเวลำของโจทก์ มีอัตรำเงินเดือน ๑๒๐,๐๐๐ บำท และส ำเนำ หนังสือ เรื่อง ขอให้ส่งคืนรถยนต์ของบริษัทโดยโจทก์ขอให้จ ำเลยซึ่งเคยท ำงำนเป็นลูกจ้ำงคืนรถยนต์ ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำงแล้ว ข้อพิพำทในคดีนี้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จ ำเลยซึ่งเคยเป็น ลูกจ้ำงโจทก์คืนทรัพย์สินหรือชดใช้ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำรปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำม สัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ โจทก์จ้างจ าเลยเป็นที่ปรึกษา ต าแหน่งรอง กรรมการผู้จัดการ และให้จ าเลยใช้รถยนต์ยี่ห้อ Lexus หมายเลขทะเบียน ๓ กฐ – ๙๕๑๔ กรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ จ าเลยสิ้นสุดการเป็นที่ปรึกษาโจทก์แต่ไม่คืนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ทวงถาม แล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์คิดเป็นเงินเดือนละ ๒๕,๙๐๓ บาท เป็นเวลา ๑๐ เดือน ๒๓ วัน รวม ๒๗๘,๒๔๘.๓๔ บาท ขอให้บังคับจ าเลยคืนรถยนต์คันดังกล่าว หากคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคาเป็นเงิน ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท และช าระค่าขาดประโยชน์ ๒๗๘,๒๔๘.๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของค่าขาดประโยชน์ดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จ แก่โจทก์ จ าเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จ าเลยเคยท างานเป็นลูกจ้างโจทก์ คดีนี้จึงอยู่ในอ านาจของ ศาลแรงงาน การที่โจทก์ให้จ าเลยใช้รถยนต์ตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการตามข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้าง เมื่อจ าเลยสิ้นสุดการเป็นลูกจ้างได้แจ้งว่าจะน ารถยนต์ตามฟ้องคืนแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมรับคืน และยืนยันให้จ าเลยน าไปใช้แล้วค่อยน าไปคืน จ าเลยพร้อมคืนรถยนต์ให้โดยขอให้โจทก์น าเอกสารการเลิกจ้าง และจ่ายค่าชดเชยให้จ าเลย โจทก์ไม่ยอมรับรถยนต์คืน ท าให้จ าเลยต้องเสียค่าบ ารุงรักษารถยนต์ตามฟ้อง


๑๕๖ จ าเลยจึงฟ้องโจทก์ต่อศาลแรงงานกลางให้จ่ายค่าชดเชย ค่าตอบแทนพิเศษอื่น ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม และค่าบ ารุงรักษารถยนต์ตามฟ้องเป็นคดีหมายเลขด าที่ ๒๖๕๗/๒๕๖๐ การที่โจทก์น าคดี มาฟ้องจ าเลยท าให้จ าเลยเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ เสียค่าจ้างทนายความและเสียเวลา คิดเป็นค่าเสียหาย ๓๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ช าระค่าเสียหาย ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่จ าเลย ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จ้างจ าเลยเป็นที่ปรึกษา ต าแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ โจทก์ให้จ าเลยใช้รถยนต์ ต่อมาเมื่อจ าเลยสิ้นสุดการเป็นที่ปรึกษาโจทก์แล้วจ าเลยไม่คืนรถยนต์แก่โจทก์ ท าให้โจทก์ต้องขาด ประโยชน์จากการใช้รถยนต์คันดังกล่าว ตามค าฟ้องโจทก์แม้จะไม่ได้บรรยายว่าจ าเลยเคยท างานเป็นลูกจ้าง โจทก์ แต่เมื่อพิจารณาค าให้การและฟ้องแย้งของจ าเลยที่ว่า จ าเลยเคยท างานเป็นลูกจ้างโจทก์ โจทก์ให้ จ าเลยใช้รถยนต์ตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ประกอบส าเนา หนังสือรับรองการท างาน เอกสารท้ายค าให้การและฟ้องแย้งหมายเลข ๓ ซึ่งรับรองว่าจ าเลยท างานเป็น ลูกจ้างเต็มเวลาของโจทก์ มีอัตราเงินเดือน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และส าเนาหนังสือ เรื่อง ขอให้ส่งคืนรถยนต์ ของบริษัท เอกสารท้ายค าให้การและฟ้องแย้งหมายเลข ๑๑ โดยโจทก์ขอให้จ าเลยซึ่งเคยท างานเป็นลูกจ้าง คืนรถยนต์ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างแล้ว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จ าเลยซึ่งเคย เป็นลูกจ้างโจทก์คืนทรัพย์สินหรือชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕)


๑๕๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.97/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ สหกรณ์บริการพนักงานการไฟฟ้านครหลวง จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (2), 9 พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่ง ในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสม และก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ ต่อมำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่ เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำ บทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธี พิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในรัฐบาล มีหน้าที่ก ากับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส าหรับการใช้จ่ายในการคุ้มครอง ส่งเสริม สงเคราะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา และการประกอบอาชีพของคนพิการ ปี ๒๕๕๕ ถึงปี๒๕๕๙ จ าเลยเป็นนายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้าที่ต้องรับคนพิการเข้าท างานตามอัตราส่วน หรือให้สัมปทานหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ากองทุนดังกล่าว ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ และ กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก าหนดไว้ แต่จ าเลยด าเนินการให้สัมปทานและจัดสถานที่จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ ให้คนพิการไม่ชอบด้วยมาตรา ๓๕ โจทก์มีหนังสือขอให้ผู้แทนจ าเลยให้ถ้อยค าและแจ้งเตือนให้จ าเลยส่งเงิน ตามจ านวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ากองทุนดังกล่าวแล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย จ าเลยจึงต้องส่งเงินเข้า กองทุนดังกล่าวประจ าปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๙ เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๓,๓๑๑,๘๖๖.๒๐ บาท ขอให้ บังคับจ าเลยช าระเงิน ๓,๓๑๑,๘๖๖.๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๒,๖๘๙,๓๒๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์


๑๕๘ จ าเลยให้การว่า จ าเลยไม่ได้กระท าผิดต่อพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จ าเลยต้องน าเงินส่งเข้ากองทุน ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในการก าหนด แนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความเหมาะสมและก าหนด บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึง มาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างาน และการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสม กับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างาน ตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตาม มาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลือ อื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนด หน้าที่หลักของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ในการเข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการ รวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสม กับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ จะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่ง ของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒)


๑๕๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.98/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทบลู ฮาร์ท จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (2), 9 พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่ง ในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสม และก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ ต่อมำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำน ประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่ เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำ บทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำรเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในรัฐบาล มีหน้าที่ก ากับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส าหรับการใช้จ่ายในการคุ้มครอง ส่งเสริม สงเคราะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา และการประกอบอาชีพของคนพิการ ปี ๒๕๕๕ ปี ๒๕๕๘ และปี ๒๕๕๙ จ าเลยเป็นนายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้าที่ต้องรับคนพิการเข้าท างาน ตามอัตราส่วนหรือให้สัมปทานหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้า กองทุนดังกล่าว ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ถึง มาตรา ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก าหนดไว้ แต่จ าเลยไม่ด าเนินการ โจทก์มีหนังสือขอให้ผู้แทนจ าเลย ให้ถ้อยค าและแจ้งเตือนให้จ าเลยส่งเงินตามจ านวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ากองทุนดังกล่าวแล้ว แต่จ าเลยเพิกเฉย จ าเลยจึงต้องส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวประจ าปี ๒๕๕๕ ปี ๒๕๕๘ และปี ๒๕๕๙ เมื่อรวม ดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๔๐๗,๓๘๘.๖๐ บาท ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๔๐๗,๓๘๘.๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๓๓๕,๐๗๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า จ าเลยไม่ได้เป็นนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ หนึ่งร้อยคนขึ้นไป แต่เป็นเพียงคนกลางจัดหาผู้รับจ้างให้บุคคลที่สามอันมีลักษณะเป็นการจ้างท าของ จึงไม่มี


๑๖๐ หน้าที่ต้องน าเงินส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาล แรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล แรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในการก าหนด แนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความเหมาะสมและก าหนด บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึง มาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างาน และการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสม กับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างาน ตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตาม มาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลือ อื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนด หน้าที่หลักของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ในการเข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการ รวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสม กับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ จะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่ง ของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง แรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒)


๑๖๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.99/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทไรซ์ เอ็นจิเนียริ่ง ซัพพลาย จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มี ความเหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพ ของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์ การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือ ผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลัก ของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการเข้า ท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการรวมทั้ง ก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย


๑๖๒ สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในรัฐบาล มีหน้าที่ก ากับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส าหรับการใช้จ่ายในการคุ้มครอง ส่งเสริม สงเคราะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา และการประกอบอาชีพของคนพิการ ปี ๒๕๕๕ และ ปี ๒๕๕๖ จ าเลยเป็นนายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้าที่ต้องรับคนพิการเข้าท างานตาม อัตราส่วนหรือให้สัมปทานหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้า กองทุนดังกล่าว ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก าหนดไว้ แต่จ าเลยไม่ด าเนินการ โจทก์จึงมีหนังสือขอให้ผู้แทน จ าเลยให้ถ้อยค าและแจ้งเตือนให้จ าเลยส่งเงินตามจ านวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ากองทุนดังกล่าวแล้ว แต่จ าเลยเพิกเฉย จ าเลยต้องส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวประจ าปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้ว เป็นเงิน ๓๗๘,๙๒๗.๗๕ บาท ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๓๗๘,๙๒๗.๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๗๘,๑๓๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยขาดนัดยื่นค าให้การ ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มี ความเหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของ คนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การด าเนินการ ในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่ประสงค์ จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔


๑๖๓ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมา ช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิ ของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้อง ไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการเข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการรวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนา คุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงิน ที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒)


๑๖๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.100/25๖๐ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทจีเอส นีโอเทค (ประเทศไทย) จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มี ความเหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพ ของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์ การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือ ผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการ เข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการ รวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย


๑๖๕ สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐำนะเป็นกรมในรัฐบำล มีหน้ำที่ก ำกับดูแลกองทุน ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส ำหรับกำรใช้จ่ำยในกำรคุ้มครอง ส่งเสริม สงเครำะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภำพ กำรศึกษำ และกำรประกอบอำชีพของคนพิกำร ปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๙ จ ำเลยเป็นนำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้ำที่ต้องรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำม อัตรำส่วนหรือให้สัมปทำนหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำร มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ำ กองทุนดังกล่ำว ตำมที่พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก ำหนดไว้แต่จ ำเลยไม่ด ำเนินกำร โจทก์จึงมีหนังสือขอให้ผู้แทน จ ำเลยให้ถ้อยค ำและแจ้งเตือนให้จ ำเลยส่งเงินตำมจ ำนวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ำกองทุนดังกล่ำวแล้ว แต่จ ำเลยเพิกเฉย จ ำเลยจึงต้องส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวประจ ำปี ๒๕๕๕ ถึงปี๒๕๕๙ เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้ว เป็นเงิน ๑,๕๓๑,๘๗๓.๒๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑,๕๓๑,๘๗๓.๒๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๒๗๐,๒๐๐ บำท นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ จ ำเลยประกอบธุรกิจรับเหมำก่อสร้ำง ลักษณะงำนจึงไม่เหมำะสมที่จะจ้ำง หรือรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนได้นับแต่ปี๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๙ โจทก์ไม่เคยทวงถำมให้จ ำเลยต้องน ำเงินส่งเข้ำ กองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จ ำเลยจึงไม่สำมำรถเลือกให้สัมปทำน หรือจัดสถำนที่ จ ำหน่ำยสินค้ำ หรือบริกำรหรือช่วยเหลือประกำรอื่นแก่คนพิกำรในแต่ละปีได้โจทก์เพิ่งแจ้งจ ำเลยตำม หนังสือลงวันที่ ๙ พฤศจิกำยน ๒๕๕๙ หำกจ ำเลยต้องรับผิดคงต้องรับผิดเฉพำะเงินประจ ำปี ๒๕๕๙ เพียง ๔๓๘,๐๐๐ บำท เท่ำนั้น ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่ง ในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสมและ ก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติโดย ไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้เพื่อให้ เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิต คนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆรวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำรด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำน และกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำงที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำง หรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสม


๑๖๖ กับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำรเข้ำท ำงำน ตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำมมำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำม มำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำรตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือให้กำรช่วยเหลือ อื่นใดแก่คนพิกำรหรือผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำรในกำรท ำงำนและก ำหนด หน้ำที่หลักของนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำร ในกำรเข้ำท ำงำนและก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำร รวมทั้งก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร ต่อมำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็น ผู้รักษำกำรตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสม กับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำร จะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่ง ของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุน ดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒)


๑๖๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.101/25๖๐ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทเอ็น แอนด์ พี อินเตอร์เซอวิส จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มี ความเหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบ อาชีพของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์ การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถาน ประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุน ดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่จ าหน่าย สินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแล คนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของนายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการเข้าท างานและ ก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการรวมทั้งก าหนด มาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้รักษาการตาม มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วน ที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่า บทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ


๑๖๘ หรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐำนะเป็นกรมในรัฐบำล มีหน้ำที่ก ำกับดูแลกองทุน ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส ำหรับกำรใช้จ่ำยในกำรคุ้มครอง ส่งเสริม สงเครำะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภำพ กำรศึกษำ และกำรประกอบอำชีพของคนพิกำร ปี ๒๕๕๓ ถึง ปี๒๕๕๖ จ ำเลยเป็นนำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้ำที่ต้องรับคนพิกำรเข้ำท ำงำน ตำมอัตรำส่วนหรือให้สัมปทำนหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำร มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ำ กองทุนดังกล่ำว ตำมที่พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๓๓ ถึง มำตรำ ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก ำหนดไว้ แต่จ ำเลยไม่ด ำเนินกำร โจทก์จึงมีหนังสือขอให้ผู้แทน จ ำเลยให้ถ้อยค ำและแจ้งเตือนให้จ ำเลยส่งเงินตำมจ ำนวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ำกองทุนดังกล่ำวแล้ว แต่จ ำเลยเพิกเฉย จ ำเลยจึงต้องส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวประจ ำปี ๒๕๕๔ ถึงปี๒๕๕๖ เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้ว เป็นเงิน ๕๔๕,๑๗๘.๔๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๕๔๕,๑๗๘.๔๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๑๔,๖๔๐ บำท นับแต่ วันถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่ง ในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสม และก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพ ชีวิตคนพิกำรเพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำรด ำเนินกำรในกำรรับ คนพิกำรเข้ำท ำงำนและกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำงที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วน ที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำร เข้ำท ำงำนตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำม มำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำร เข้ำท ำงำนตำมมำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำร ตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือให้กำรช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำรหรือผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำร


๑๖๙ ในกำรท ำงำนและก ำหนดหน้ำที่หลักของนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำร ที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำรในกำรเข้ำท ำงำนและก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำรรวมทั้งก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร โดยรัฐมนตรีว่ำกำร กระทรวงแรงงำนและสวัสดิกำรสังคมได้ออกกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติ กำรฟื้นฟูสมรรถภำพคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๓๔ และต่อมำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็นผู้รักษำกำร ตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสม กับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำร จะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่ง ของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒)


๑๗๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.102/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทเดโม เพาเวอร์ (ประเทศไทย) จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำม เหมำะสมและก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือก ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและ พึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและ พัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพ ของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำร ด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนและกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำง ที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำน ตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุน ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำมมำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมมำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำรตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่ จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือให้กำรช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำรหรือ ผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำรในกำรท ำงำนและก ำหนดหน้ำที่หลักของ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำรในกำรเข้ำท ำงำน และก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำรรวมทั้ง ก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร โดยรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็น ผู้รักษำกำรตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วน ที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำ บทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ


๑๗๑ หรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในรัฐบาล มีหน้าที่ก ากับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส าหรับการใช้จ่ายในการคุ้มครอง ส่งเสริม สงเคราะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา และการประกอบอาชีพของคนพิการ ปี ๒๕๕๓ ถึงปี ๒๕๕๘จ าเลยเป็นนายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้าที่ต้องรับคนพิการเข้าท างานตาม อัตราส่วนหรือให้สัมปทานหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้า กองทุนดังกล่าว ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก าหนดไว้ แต่จ าเลยไม่ด าเนินการ โจทก์จึงมีหนังสือขอให้ผู้แทน จ าเลยให้ถ้อยค าและแจ้งเตือนให้จ าเลยส่งเงินตามจ านวนในแต่ละปี พร้อมดอกเบี้ยเข้ากองทุนดังกล่าวแล้ว แต่จ าเลยเพิกเฉย จ าเลยจึงต้องส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวประจ าปี ๒๕๕๔ ถึงปี ๒๕๕๘ เมื่อรวมดอกเบี้ย แล้วเป็นเงิน ๘,๓๕๒,๕๔๐.๐๑ บาท ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๘,๓๕๒,๕๔๐.๐๑ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖,๘๓๑,๕๒๒.๕๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า โจทก์ระบุจ านวนลูกจ้างของจ าเลยตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ ถึงปี ๒๕๕๘ โดยน า จ านวนพนักงานประจ ารวมกับจ านวนพนักงานชั่วคราว พนักงานช่วงปิดภาคเรียน และพนักงานฝึกงาน ซึ่งมีการจ้างงานระยะสั้นจึงท าให้มีจ านวนพนักงานคลาดเคลื่อนไม่แน่นอนและไม่ตรงตามเอกสารท้าย ค าฟ้อง จ าเลยจึงไม่ต้องส่งเงินพร้อมดอกเบี้ยเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความ เหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือก ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ ชีวิตคนพิการเพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การด าเนินการในการรับ คนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วน ที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการ


๑๗๒ เข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตาม มาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการ เข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการ ตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือ ให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างาน และก าหนดหน้าที่หลักของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ต่อคนพิการในการเข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ที่ไม่ด าเนินการรวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แรงงานและสวัสดิการสังคมได้ออกกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฟื้นฟู สมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. ๒๕๓๔ และต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้รักษาการตาม มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่ง เข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ รับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ รวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็น คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒)


๑๗๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.103/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทนิปปอนไกด์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความ เหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือก ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและ พึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพ ของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การ ด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้า กองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือ ผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการเข้าท างาน และก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการรวมทั้ง ก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วน ที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่า บทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ


๑๗๔ หรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐำนะเป็นกรมในรัฐบำล มีหน้ำที่ก ำกับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส ำหรับกำรใช้จ่ำยในกำรคุ้มครอง ส่งเสริม สงเครำะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภำพ กำรศึกษำ และกำรประกอบอำชีพของคนพิกำร ปี ๒๕๕๕ ถึงปี๒๕๕๗ จ ำเลยเป็นนำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้ำที่ต้องรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมอัตรำส่วน หรือให้สัมปทำนหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำร มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ำกองทุนดังกล่ำว ตำมที่พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก ำหนดไว้แต่จ ำเลยไม่ด ำเนินกำร โจทก์จึงมีหนังสือขอให้ผู้แทนจ ำเลยให้ถ้อยค ำ และแจ้งเตือนให้จ ำเลยส่งเงินตำมจ ำนวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ำกองทุนดังกล่ำวแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย จึงมีค ำสั่งอำยัดเงินในบัญชีธนำคำรของจ ำเลยและจ ำเลยต้องส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวประจ ำปี๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๗ เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๔๐๒,๘๗๖.๖๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๔๐๒,๘๗๖.๖๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๓๐๖,๖๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำ จะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยขำดนัดยื่นค ำให้กำร ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในกำร ก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสมและก ำหนด บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตำม วัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำรด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำร เข้ำท ำงำนและกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำงที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วน ที ่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับ คนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิต คนพิกำรตำมมำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์


๑๗๕ จะรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมมำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำรตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำง เหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือให้กำรช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำรหรือผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนด สิทธิของคนพิกำรในกำรท ำงำนและก ำหนดหน้ำที่หลักของนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้อง ไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำรในกำรเข้ำท ำงำนและก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำรรวมทั้งก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร ต่อมำ รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็นผู้รักษำกำรตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิต คนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะ ของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงิน ที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำรเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒)


๑๗๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.104/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทโอชิ ฟู้ดส์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มี ความเหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบ อาชีพของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์ การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่ เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถาน ประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือ ผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการ เข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการ รวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย


๑๗๗ สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในรัฐบาล มีหน้าที่ก ากับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส าหรับการใช้จ่ายในการคุ้มครอง ส่งเสริม สงเคราะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา และการประกอบอาชีพของคนพิการ ปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๘ จ าเลยเป็นนายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้าที่ต้องรับคนพิการเข้าท างานตาม อัตราส่วนหรือให้สัมปทานหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้า กองทุนดังกล่าว ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ถึง มาตรา ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก าหนดไว้ แต่จ าเลยไม่ด าเนินการ โจทก์จึงมีหนังสือขอให้ผู้แทน จ าเลยให้ถ้อยค าและแจ้งเตือนให้จ าเลยส่งเงินตามจ านวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ากองทุนดังกล่าว แล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย จ าเลยจึงต้องส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวประจ าปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๘ เมื่อรวม ดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๘๓๓,๔๖๖.๐๘ บาท ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๘๓๓,๔๖๖.๐๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๕๘,๐๙๕ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ โจทก์มีฐานะ เป็นนิติบุคคลนับแต่ปี ๒๕๕๘ จึงไม่มีอ านาจฟ้องให้จ าเลยช าระหนี้ที่เกิดในปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๘ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จ าเลยต้องน าเงินส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จ าเลยจึง ไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดช าระหนี้ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในการ ก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความเหมาะสมและก าหนด บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึง มาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การด าเนินการในการรับคนพิการ เข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วน ที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการ


๑๗๘ เข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับ คนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้อง ด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของ คนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการเข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการรวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ ต่อมารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวน คนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงิน ที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่า บทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงินให้แก่ โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒)


๑๗๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.106/2560 นายธนาธิป วโรรส โจทก์ ส านักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง, 49 โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ต าแหน่งครูประกาศนียบัตร วิชาชีพ ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอเมืองอุดรธานี ระหว่างการท างาน เลขานุการของผู้อ านวยการศูนย์แจ้งโจทก์ด้วยวาจาว่าให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการเลิกสัญญาจ้างโดยโจทก์มิได้ประพฤติผิดสัญญาจ้าง โจทก์เห็นว่าการกระท าดังกล่าว ไม่เป็นธรรมและท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ตามค าฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงนิติสัมพันธ์ ระหว่างโจทก์กับจ าเลยตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จ าเลย เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตาม สัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยเป็นนิติบุคคลตำมพระรำชบัญญัติระเบียบบริหำรรำชกำรกระทรวง ศึกษำธิกำร พ.ศ. ๒๕๔๖ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงชั่วครำว ต ำแหน่งครูประกำศนียบัตรวิชำชีพ ระหว่ำงเดือนเมษำยน ๒๕๕๙ ถึงเดือนตุลำคม ๒๕๕๙ ปฏิบัติงำน ณ ศูนย์กำรศึกษำนอกระบบและ กำรศึกษำตำมอัธยำศัยอ ำเภอเมืองอุดรธำนี ตกลงจ่ำยค่ำจ้ำงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บำท ระหว่ำงอำยุสัญญำจ้ำง เมื่อวันที่ ๓๐ กันยำยน ๒๕๕๙ เลขำนุกำรของผู้อ ำนวยกำรศูนย์กำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำ ตำมอัธยำศัยอ ำเภอเมืองอุดรธำนีแจ้งโจทก์ด้วยวำจำว่ำให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้ำที่อันเป็นกำรเลิกสัญญำจ้ำง โดยโจทก์มิได้ประพฤติผิดสัญญำจ้ำง โจทก์เห็นว่ำกำรกระท ำดังกล่ำวไม่เป็นธรรมและท ำให้โจทก์ได้รับ ควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยรับโจทก์กลับเข้ำท ำงำนต่อไปในอัตรำค่ำจ้ำงเดิม หรือให้ช ำระค่ำเสียหำย จำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ๑๒๐,๐๐๐ บำท แก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรและแก้ไขค ำให้กำรว่ำ จ ำเลยเป็นรำชกำรส่วนกลำงตำมพระรำชบัญญัติ ระเบียบบริหำรรำชกำรกระทรวงศึกษำธิกำร พ.ศ. ๒๕๔๖ มำตรำ ๙ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอ ำนำจศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ ส ำนักงำนส่งเสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำ ตำมอัธยำศัยอ ำเภอเมืองอุดรธำนีเป็นหน่วยงำนของจ ำเลย สัญญำจ้ำงโจทก์แสดงระยะเวลำจ้ำงถึงเดือน ตุลำคม ๒๕๕๙ โดยไม่ถูกต้องเพรำะเกินก ำหนดระยะเวลำจ้ำงของครึ่งหลังปีงบประมำณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จึงได้ มีกำรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นถึงเดือนกันยำยน ๒๕๕๙ ระหว่ำงโจทก์ท ำงำนในเดือนเมษำยน ๒๕๕๙ โจทก์ไม่มำ ปฏิบัติงำน ๕ วัน และมำท ำงำนสำย ๑ วัน จึงไม่ผ่ำนกำรประเมินเพื่อจ้ำงท ำงำนต่อในปีงบประมำณ


๑๘๐ พ.ศ. ๒๕๖๐ สัญญำจ้ำงโจทก์จึงสิ้นสุดในเดือนกันยำยน ๒๕๕๙ ตำมระยะเวลำจ้ำง โดยส ำนักงำนส่งเสริม กำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัยอ ำเภอเมืองอุดรธำนีมิได้เลิกจ้ำง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๔ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยเป็นนิติบุคคลตำมพระรำชบัญญัติระเบียบบริหำรรำชกำร กระทรวงศึกษำธิกำร พ.ศ. ๒๕๔๖ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงชั่วครำว ต ำแหน่งครูประกำศนียบัตร วิชำชีพ ระหว่ำงเดือนเมษำยน ๒๕๕๙ ถึงเดือนตุลำคม ๒๕๕๙ ปฏิบัติงำน ณ ศูนย์กำรศึกษำนอกระบบและ กำรศึกษำตำมอัธยำศัยอ ำเภอเมืองอุดรธำนีระหว่ำงกำรท ำงำน เลขำนุกำรของผู้อ ำนวยกำรศูนย์กำรศึกษำ นอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัยอ ำเภอเมืองอุดรธำนีแจ้งโจทก์ด้วยวำจำว่ำให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้ำที่ อันเป็นกำรเลิกสัญญำจ้ำงโดยโจทก์มิได้ประพฤติผิดสัญญำจ้ำง โจทก์เห็นว่ำกำรกระท ำดังกล่ำวไม่เป็นธรรม และท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ตำมค ำฟ้องของโจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงถึงนิติสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์กับ จ ำเลยตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยที่เกิดจำกกำรที่จ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๔๙ คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๘๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.107/2560 บริษัทเลค คอมมูนิเคชั่น จ ากัด โจทก์ นางสาวรัตน์ชดาวรรณ พรพิพัฒน์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1) (2), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยท าสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ จากการซื้อขายโทรศัพท์เคลื่อนที่และขอผ่อนช าระแก่โจทก์เป็นรายเดือน แต่จ าเลยผ่อนช าระหนี้ เพียงบางส่วน จึงเรียกร้องให้จ าเลยช าระหนี้ส่วนที่เหลือ แม้ข้อเท็จจริงตามค าฟ้องจะไม่ปรากฏว่าโจทก์ และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างและลูกจ้างต่อกัน แต่จ าเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จ าเลยเป็น พนักงานประจ าสาขาของโจทก์ หนี้ตามค าฟ้องเกิดจากการที่ลูกค้าไม่ช าระค่าสินค้าโทรศัพท์ โจทก์ ฟ้องเรียกร้องค่าสินค้าจากลูกค้าแล้วแต่ยังได้ท าสัญญาประนีประนอมยอมความให้จ าเลยและพนักงาน ประจ าสาขาอีก ๒ คน ลงลายมือชื่อยอมรับผิดรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของหนี้ที่ลูกค้าไม่ช าระ ค่าสินค้าด้วย จึงขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์คืนเงินประกันการท างานแก่จ าเลย อันเป็นกรณีที่จ าเลย กล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์ความเป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานและ หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามค าฟ้องโจทก์มีมูลหนี้จากการท างาน ทั้งยังกล่าวอ้างด้วยว่า โจทก์ปฏิบัติต่อจ าเลยไม่ถูกต้องจึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินประกันการท างานแก่จ าเลยตามกฎหมาย ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตาม สัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๔ มิถุนำยน ๒๕๕๗ จ ำเลยท ำสัญญำประนีประนอมยอมควำม ยอมรับว่ำเป็นหนี้จำกกำรซื้อขำยโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๒๔๕,๐๐๐ บำท ขอผ่อนช ำระแก่โจทก์เป็นรำยเดือน เดือนละไม่น้อยกว่ำ ๑,๕๐๐ บำท เริ่มช ำระงวดแรกวันที่ ๒๖ มีนำคม ๒๕๕๙ และงวดต่อไปทุกวันที่ ๑ ของทุกเดือน พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปีจนกว่ำจะครบ หำกผิดนัดงวดใดให้ถือว่ำผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์ด ำเนินคดีได้ทันทีต่อมำจ ำเลยผ่อนช ำระให้แก่โจทก์ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกำยน ๒๕๕๙ เป็นเงิน รวม ๙,๐๐๐ บำท แล้วผิดนัดไม่ผ่อนช ำระหนี้ที่ยังคงเหลือจ ำนวน ๒๓๖,๐๐๐ บำท โจทก์บอกกล่ำวให้ จ ำเลยรับผิดช ำระหนี้ตำมสัญญำแล้ว แต่จ ำเลยเพิกเฉย ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย เมื่อรวมต้นเงินและ ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องแล้วเป็นเงิน ๒๖๒,๕๕๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๒๖๒,๕๕๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๒๓๖,๐๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระ เสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรและฟ้องแย้งว่ำ จ ำเลยเป็นพนักงำนโจทก์มำเป็นเวลำประมำณ ๙ ปี ต ำแหน่งสุดท้ำยเป็นพนักงำนประจ ำสำขำ ได้รับค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำยเดือนละ ๑๓,๙๒๒ บำท โจทก์หักค่ำจ้ำง


๑๘๒ จ ำเลยประกันกำรท ำงำน ๕,๐๐๐ บำท ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยขำยส่งโทรศัพท์จ ำนวน ๖๒ เครื่อง แก่นำงอริสำ ชมเชย แต่นำงอริสำไม่โอนเงินช ำระหนี้ค่ำโทรศัพท์ตำมก ำหนด โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่ำเสียหำย จำกนำงอริสำ ศำลจังหวัดพระโขนงมีค ำพิพำกษำให้นำงอริสำช ำระหนี้๑,๓๗๖,๖๒๖ บำท พร้อมดอกเบี้ย แก่โจทก์ต่อมำโจทก์ท ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมให้จ ำเลยและพนักงำนประจ ำสำขำอีก ๒ คน ลงลำยมือชื่อยอมรับผิดรวมกันประมำณครึ่งหนึ่งของหนี้ที่นำงอริสำไม่ช ำระค่ำสินค้ำ โดยให้จ ำเลยรับผิด ๒๔๕,๐๐๐ บำท อันเป็นสัญญำที่โจทก์ก ำหนดขึ้นฝ่ำยเดียวโดยปรำศจำกมูลหนี้จริง เป็นกำรเอำเปรียบ พนักงำนซึ่งขัดต่อควำมสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชำชน ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ คืนเงินประกันกำรท ำงำน ๕,๐๐๐ บำท แก่จ ำเลย ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดพระโขนงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยท ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมยอมรับว่ำเป็นหนี้โจทก์จำก กำรซื้อขำยโทรศัพท์เคลื่อนที่และขอผ่อนช ำระแก่โจทก์เป็นรำยเดือน แต่จ ำเลยผ่อนช ำระหนี้เพียงบำงส่วน จึงเรียกร้องให้จ ำเลยช ำระหนี้ส่วนที่เหลือ แม้ข้อเท็จจริงตำมค ำฟ้องจะไม่ปรำกฏว่ำโจทก์และจ ำเลยมี นิติสัมพันธ์กำรเป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงต่อกัน แต่จ ำเลยให้กำรและฟ้องแย้งว่ำ จ ำเลยเป็นพนักงำนประจ ำ สำขำของโจทก์ หนี้ตำมค ำฟ้องเกิดจำกกำรที่ลูกค้ำไม่ช ำระค่ำสินค้ำโทรศัพท์ โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่ำสินค้ำ จำกลูกค้ำแล้วแต่ยังได้ท ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมให้จ ำเลยและพนักงำนประจ ำสำขำอีก ๒ คน ลงลำยมือชื่อยอมรับผิดรวมกันประมำณครึ่งหนึ่งของหนี้ที่ลูกค้ำไม่ช ำระค่ำสินค้ำด้วย จึงขอให้ยกฟ้องและ บังคับโจทก์คืนเงินประกันกำรท ำงำนแก่จ ำเลย อันเป็นกรณีที่จ ำเลยกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยมี นิติสัมพันธ์ควำมเป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและหนี้ตำมสัญญำประนีประนอมยอม ควำมตำมค ำฟ้องโจทก์มีมูลหนี้จำกกำรท ำงำน ทั้งยังกล่ำวอ้ำงด้วยว่ำโจทก์ปฏิบัติต่อจ ำเลยไม่ถูกต้อง จึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินประกันกำรท ำงำนแก่จ ำเลยตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็น คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)


๑๘๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.108/2560 บริษัทไทยไลอ้อน เมนทารี จ ากัด โจทก์ นายอนุสรณ์ ติยานนท์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจ าเลยเข้าท างาน ต าแหน่งผู้ช่วยนักบิน (ฝึกหัด) ระหว่างการท างาน โจทก์ออกค่าใช้จ่ายส่งจ าเลยไปฝึกอบรมเกี่ยวกับการควบคุมอากาศยาน โดยมีข้อตกลงว่าจ าเลย จะท างานให้โจทก์มีระยะเวลา ๑๐ ปี หากผิดข้อตกลงจ าเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายจากค่าใช้จ่ายที่ โจทก์เสียไปในการฝึกอบรมของจ าเลยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ต่อมาจ าเลยลาออกจากการท างาน เป็นการผิดข้อตกลงดังกล่าว ท าให้โจทก์เสียหายเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างปฏิบัติ ผิดหน้าที่ตามสัญญาฝึกอบรมส าหรับนักบิน เอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๕ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ข้อตกลงในการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานและขอให้จ าเลยช าระค่าเสียหายตามข้อตกลงดังกล่าว โดยจ าเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายจากการผิดสัญญาที่ให้ไว้ต่อจ าเลยระหว่าง การท างานตามสัญญาจ้างแรงงานเช่นกัน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎำคม ๒๕๕๘ โจทก์จ้ำงจ ำเลยเข้ำท ำงำน ต ำแหน่งผู้ช่วยนักบิน (ฝึกหัด) อัตรำเงินเดือน ๔๐,๐๐๐ บำท ระหว่ำงกำรท ำงำน โจทก์ออกค่ำใช้จ่ำยส่งจ ำเลยไปฝึกอบรมเกี่ยวกับ กำรควบคุมอำกำศยำน เป็นเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บำท โดยมีข้อตกลงว่ำจ ำเลยจะท ำงำนให้โจทก์มีระยะเวลำ ๑๐ ปี หำกผิดข้อตกลงจ ำเลยต้องชดใช้ค่ำเสียหำยจำกค่ำใช้จ่ำยที่โจทก์เสียไปในกำรฝึกอบรมของจ ำเลย พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปีต่อมำวันที่ ๓๑ สิงหำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยลำออกจำกกำรท ำงำน เป็นกำร ผิดข้อตกลงดังกล่ำวท ำให้โจทก์เสียหำย เมื่อหักจ ำนวนวันที่จ ำเลยท ำงำนแล้วคิดเป็นค่ำเสียหำย ๑,๓๒๕,๐๐๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑,๓๒๕,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจำก วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรและฟ้องแย้งว่ำ ค ำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ส่งจ ำเลยไปฝึกอบรมเกี่ยวกับกำร ควบคุมอำกำศยำนโดยสัญญำว่ำ ภำยหลังกำรฝึกอบรมเสร็จสิ้นจ ำเลยจะได้รับกำรฝึกอบรมในหลักสูตรอื่น ต่อไปเพื่อจะได้ชั่วโมงกำรบิน แต่โจทก์ผิดสัญญำโดยจัดตำรำงบินและจ่ำยค่ำจ้ำงให้จ ำเลยน้อยกว่ำพนักงำนอื่น ในต ำแหน่งหน้ำที่เดียวกันอย่ำงไม่เป็นธรรม ไม่จ่ำยเบี้ยเลี้ยงในระหว่ำงฝึกอบรม และไม่จ่ำยผลประโยชน์จำก ค่ำชั่วโมงบินให้จ ำเลย ทั้งยังเอำเปรียบจ ำเลยประกำรอื่นอีกจนเป็นเหตุให้จ ำเลยไม่สำมำรถท ำงำนต่อไปได้ จึงต้องลำออก กำรลำออกจึงเนื่องจำกควำมผิดของโจทก์เอง กำรฝึกอบรมเกี่ยวกับกำรควบคุมอำกำศยำนมี


๑๘๔ ก ำหนดเวลำเพียงประมำณ ๑ เดือน มีค่ำใช้จ่ำยไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บำท สัญญำจ้ำงที่โจทก์ท ำกับจ ำเลย ก ำหนดเวลำ ๖ ปีแต่สัญญำฝึกอบรมส ำหรับนักบินก ำหนดเวลำ ๑๐ ปี จึงลักลั่นและไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสัญญำ จ้ำงแรงงำน โจทก์จึงไม่มีอ ำนำจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์จ่ำยค่ำเสียหำยจำกกำรผิดสัญญำข้ำงต้น เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่ำจะช ำระเสร็จ แก่จ ำเลย โจทก์ให้กำรแก้ฟ้องแย้งว่ำ ค ำฟ้องแย้งจ ำเลยเคลือบคลุม หนังสือลำออกมีข้อควำมว่ำจ ำเลย จะไม่เรียกร้องเงินอื่นใดจำกโจทก์ จ ำเลยจึงไม่อำจฟ้องโจทก์เรียกค่ำเสียหำยตำมฟ้องแย้งได้ กำรก ำหนดอัตรำ เงินเดือนให้พนักงำนขึ้นอยู่กับประสบกำรณ์ ควำมสำมำรถ และกำรทุ่มเทกำรฝึกเพื่อให้ได้ชั่วโมงบินของ พนักงำนแต่ละคน จ ำเลยได้รับเงินเดือนในระหว่ำงเรียนกำรบินโดยไม่ได้ท ำงำนเป็นเวลำ ๑๐ เดือน อันเป็น ต้นทุนกำรฝึกอบรมที่โจทก์ไม่ได้รับประโยชน์ใดแต่จ ำเลยกลับน ำควำมรู้ควำมสำมำรถจำกกำรฝึกอบรมกับ โจทก์ไปท ำงำนกับสำยกำรบินอื่นที่เป็นคู่แข่งทำงกำรค้ำของโจทก์ โจทก์จัดกำรบินให้พนักงำนโดยกำร หมุนเวียนมิได้เลือกปฏิบัติ ขอให้ยกฟ้องแย้ง ระหว่ำงกำรพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยเข้ำท ำงำน ต ำแหน่งผู้ช่วยนักบิน (ฝึกหัด) ระหว่ำงกำรท ำงำน โจทก์ออกค่ำใช้จ่ำยส่งจ ำเลยไปฝึกอบรมเกี่ยวกับกำรควบคุมอำกำศยำน โดยมีข้อตกลงว่ำจ ำเลยจะท ำงำน ให้โจทก์มีระยะเวลำ ๑๐ ปี หำกผิดข้อตกลงจ ำเลยต้องชดใช้ค่ำเสียหำยจำกค่ำใช้จ่ำยที่โจทก์เสียไปในกำร ฝึกอบรมของจ ำเลยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ต่อมำจ ำเลยลำออกจำกกำรท ำงำน เป็นกำรผิดข้อตกลงดังกล่ำว ท ำให้โจทก์เสียหำยเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำฝึกอบรมส ำหรับ นักบิน เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๕ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และขอให้จ ำเลยช ำระค่ำเสียหำยตำมข้อตกลงดังกล่ำว โดยจ ำเลยให้กำรและฟ้องแย้งขอให้โจทก์จ่ำย ค่ำเสียหำยจำกกำรผิดสัญญำที่ให้ไว้ต่อจ ำเลยระหว่ำงกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเช่นกัน คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๑๘๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.109/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทอัลแฝบ (ประเทศไทย) จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มี ความเหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและ พึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพ ของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การ ด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่ เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือ ผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการ เข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการ รวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย


๑๘๖ สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐำนะเป็นกรมในรัฐบำล มีหน้ำที่ก ำกับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส ำหรับกำรใช้จ่ำยในกำรคุ้มครอง ส่งเสริม สงเครำะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภำพ กำรศึกษำ และกำรประกอบอำชีพของคนพิกำร ปี๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ จ ำเลยเป็นนำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้ำที่ต้องรับคนพิกำรเข้ำท ำงำน ตำมอัตรำส่วนหรือให้สัมปทำนหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำร มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ำ กองทุนดังกล่ำว ตำมที่พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก ำหนดไว้แต่จ ำเลยไม่ได้รับคนพิกำรเข้ำท ำงำนและไม่ได้ ส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว โจทก์มีหนังสือแจ้งเตือนให้จ ำเลยส่งเงินตำมจ ำนวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ย เข้ำกองทุนดังกล่ำวแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย จ ำเลยจึงต้องส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวประจ ำปี ๒๕๕๕ และ ปี ๒๕๕๖ รวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๑๘๙,๔๖๓.๘๘ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑๘๙,๔๖๓.๘๘ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำกต้นเงิน ๑๓๙,๐๖๕ บำท นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดพระโขนงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในกำรก ำหนด แนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสมและก ำหนด บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตำม วัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำรด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำร เข้ำท ำงำนและกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำงที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วน ที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำร เข้ำท ำงำนตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำม มำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำร เข้ำท ำงำนตำมมำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำร


๑๘๗ ตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือให้กำรช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำรหรือผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำร ในกำรท ำงำนและก ำหนดหน้ำที่หลักของนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำรในกำรเข้ำท ำงำนและก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำรรวมทั้งก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร ต่อมำ รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็นผู้รักษำกำรตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพ ชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำน ตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงิน ที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒)


๑๘๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.110/2560 บริษัทไอเดีย พรีเซนชั่น จ ากัด โจทก์ นายอันเดร หลุยส์ ลีเอท จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘, ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ โจทก์ประกอบกิจกำรเป็นตัวแทนนำยหน้ำจัดหำนักกีฬำอำชีพให้แก่ สมำคมหรือสโมสรกีฬำอำชีพ จ ำเลยซึ่งเป็นนักกีฬำฟุตบอลอำชีพ สัญชำติบรำซิล ได้ท ำข้อตกลง เป็นสัญญำจ้ำงโจทก์ให้เป็นตัวแทนจ ำเลยในกำรติดต่อเข้ำท ำสัญญำกับสโมสรต่ำง ๆ โดยมีเงื่อนไขว่ำ หำกจ ำเลยได้ลงนำมท ำสัญญำโดยตรงกับสโมสรโดยที่โจทก์ไม่ได้รับทรำบหรือไม่ได้รับควำมยินยอม จำกโจทก์ จ ำเลยจะต้องช ำระเงินค่ำเสียหำยจำกกำรผิดสัญญำแก่โจทก์ ต่อมำจ ำเลยลงนำมท ำสัญญำ โดยตรงกับสโมสรฟุตบอลชลบุรี อันเป็นกำรผิดข้อตกลงดังกล่ำวจึงต้องช ำระเงินค่ำเสียหำยแก่โจทก์ ตำมค ำฟ้องโจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์เป็นตัวแทนหรือนำยหน้ำของจ ำเลยในกำรจัดกำรเพื่อให้ จ ำเลยได้ท ำสัญญำกับสโมสรฟุตบอลเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกกำรผิดข้อตกลงตำมสัญญำ ดังกล่ำวจำกจ ำเลย ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์บรรพ ๓ เอกเทศสัญญำ ลักษณะ ๑๕ ตัวแทน หรือลักษณะ ๑๖ นำยหน้ำ โดยไม่ปรำกฏว่ำโจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและ ลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนแต่อย่ำงใด คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำท อย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการเป็นตัวแทนนายหน้าจัดหานักกีฬาอาชีพให้แก่สมาคมหรือ สโมสรกีฬาอาชีพ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จ าเลยซึ่งเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ สัญชาติบราซิล ได้ท าข้อตกลงเป็นสัญญาจ้างโจทก์ให้เป็นตัวแทนจ าเลยในการติดต่อเข้าท าสัญญากับสโมสรต่าง ๆ โดยมี เงื่อนไขว่าหากจ าเลยได้ลงนามท าสัญญาโดยตรงกับสโมสรโดยที่โจทก์ไม่ได้รับทราบหรือไม่ได้รับความ ยินยอมจากโจทก์ จ าเลยจะต้องช าระเงินค่าผิดสัญญา ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ จ าเลยลงนามท าสัญญาโดยตรงกับสโมสรฟุตบอลชลบุรี อันเป็นการผิดข้อตกลงดังกล่าว จึงต้องช าระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๓,๕๒๙,๗๐๐ บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓,๕๙๓,๕๒๔.๗๑ บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๓,๕๙๓,๕๒๔.๗๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓,๕๒๙,๗๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นตัวแทนนักกีฬาที่ได้รับอนุญาตจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ จึงไม่มีอ านาจเป็นตัวแทนนักกีฬาของจ าเลย โจทก์ฟ้องโดยบิดเบือนข้อความตามบันทึกข้อตกลงให้จ าเลย


๑๘๙ ต้องรับผิดโดยไม่สุจริต บันทึกข้อตกลงไม่ได้ก าหนดขอบอ านาจของโจทก์ว่าเป็นตัวแทนกิจการใดของจ าเลย คงก าหนดแต่เรื่องประโยชน์และเบี้ยปรับของโจทก์ ทั้งไม่ได้ก าหนดระยะเวลาไว้ จึงเป็นข้อสัญญา ที่ไม่เป็นธรรม บันทึกข้อตกลงตามค าฟ้องจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการเป็นตัวแทนนายหน้าจัดหานักกีฬาอาชีพให้แก่สมาคมหรือ สโมสรกีฬาอาชีพ จ าเลยซึ่งเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ สัญชาติบราซิล ได้ท าข้อตกลงเป็นสัญญาจ้างโจทก์ ให้เป็นตัวแทนจ าเลยในการติดต่อเข้าท าสัญญากับสโมสรต่าง ๆ โดยมีเงื่อนไขว่าหากจ าเลยได้ลงนาม ท าสัญญาโดยตรงกับสโมสรโดยที่โจทก์ไม่ได้รับทราบหรือไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จ าเลยจะต้องช าระ เงินค่าเสียหายจากการผิดสัญญาแก่โจทก์ ต่อมาจ าเลยลงนามท าสัญญาโดยตรงกับสโมสรฟุตบอลชลบุรี อันเป็นการผิดข้อตกลงดังกล่าวจึงต้องช าระเงินค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามค าฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นตัวแทนหรือนายหน้าของจ าเลยในการจัดการเพื่อให้จ าเลยได้ท าสัญญากับสโมสรฟุตบอลเพื่อใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการผิดข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวจากจ าเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๑๕ ตัวแทน หรือลักษณะ ๑๖ นายหน้า โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานแต่อย่างใด คดีระหว่างโจทก์กับ จ าเลยจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘


๑๙๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.111/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทเพอร์เฟค โซลูชั่น เอเชีย จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ ส่วนหนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มี ความเหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพ ของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์ การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือ ผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการ เข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการ รวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลย ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย


๑๙๑ สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐำนะเป็นกรมในรัฐบำล มีหน้ำที่ก ำกับ ดูแลกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส ำหรับกำรใช้จ่ำยในกำร คุ้มครอง ส่งเสริม สงเครำะห์ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภำพ กำรศึกษำ และกำรประกอบอำชีพของคนพิกำร ระหว่ำงปี๒๕๕๔ ถึงปี ๒๕๕๕ จ ำเลยเป็นนำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่สองร้อยคนขึ้นไป และระหว่ำงปี๒๕๕๕ ถึงปี๒๕๕๘ จ ำเลยเป็นนำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้ำที่ต้องรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำม อัตรำส่วนหรือให้สัมปทำนหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำร มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ำ กองทุนดังกล่ำว ตำมที่พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรพ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๓๓ ถึง มำตรำ ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก ำหนดไว้แต่จ ำเลยไม่ด ำเนินกำร โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งเตือนให้ จ ำเลยส่งเงินตำมจ ำนวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ำกองทุนดังกล่ำวแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย โจทก์มีค ำสั่ง อำยัดเงินในบัญชีธนำคำรของจ ำเลยเพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนแล้วแต่ยังไม่เพียงพอ จ ำเลยจึงต้องส่งเงิน เข้ำกองทุนดังกล่ำวประจ ำปี ๒๕๕๔ ถึงปี๒๕๕๘ เพิ่มขึ้นให้ครบถ้วน เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๖,๒๓๒,๑๒๗.๙๗ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๖,๒๓๒,๑๒๗.๙๗ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำกต้นเงิน ๕,๐๐๘,๗๗๑.๐๘ บำท นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จ แก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดพระโขนงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในกำร ก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสมและก ำหนด บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตำม วัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึง มำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำรด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำร เข้ำท ำงำนและกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำงที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วน ที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำร เข้ำท ำงำนตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำม


๑๙๒ มำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำร เข้ำท ำงำนตำมมำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำร ตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือ ให้กำรช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำรหรือผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำร ในกำรท ำงำนและก ำหนดหน้ำที่หลักของนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำรในกำรเข้ำท ำงำนและก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำรรวมทั้งก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร โดยรัฐมนตรีว่ำกำร กระทรวงแรงงำนและสวัสดิกำรสังคมได้ออกกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติ กำรฟื้นฟูสมรรถภำพคนพิกำร พ.ศ.๒๕๓๔ และต่อมำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็นผู้รักษำกำร ตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้ นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสม กับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำร จะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่ง ของกำรคุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครอง แรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒)


๑๙๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.112/2560 นายพินิจ ศรีสะอาด โจทก์ นายดิษฐวรรธ ธรรมคุณ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (1) (2), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง ระหว่างท างาน จ าเลยค้างจ่าย ค่าจ้างโจทก์นับแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท แล้วเพิกเฉย ไม่มอบหมายงานให้โจทก์อันเป็นการเลิกจ้างโจทก์ ต่อมาจ าเลยตกลงจะผ่อนช าระหนี้ค่าจ้างค้าง ดังกล่าวแก่โจทก์แต่จ าเลยผิดนัดท าให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างความสัมพันธ์ ตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่าจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยเป็นเจ้ำของและผู้บริหำรเดอะ แกรมเมอร์คลินิก อุดรธำนีเมื่อวันที่ ๑ มกรำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ต ำแหน่งที่ปรึกษำประจ ำคลินิก ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บำท ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงโจทก์นับแต่เดือนมีนำคม ๒๕๕๙ ถึงเดือนสิงหำคม ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บำท แล้วเพิกเฉยไม่มอบหมำยงำนให้โจทก์อันเป็นกำรเลิกจ้ำงโจทก์ โจทก์จึงฟ้อง จ ำเลยต่อศำลแรงงำนภำค ๔ ระหว่ำงกำรไกล่เกลี่ย จ ำเลยตกลงจะผ่อนช ำระหนี้ ๑๒๐,๐๐๐ บำท แก่โจทก์ โจทก์จึงถอนฟ้อง แต่จ ำเลยผิดนัดไม่ผ่อนช ำระหนี้ดังกล่ำว ท ำให้โจทก์เสียหำย เมื่อค ำนวณดอกเบี้ยนับแต่ วันผิดนัดถึงวันฟ้องจ ำนวน ๖,๐๐๐ บำท แล้ว รวมเป็นค่ำเสียหำย ๑๒๖,๐๐๐ บำท ขอให้บังคับจ ำเลย ช ำระเงิน ๑๒๖,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำกต้นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บำท นับถัดจำก วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแขวงอุดรธำนีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงโจทก์นับแต่ เดือนมีนำคม ๒๕๕๙ ถึงเดือนสิงหำคม ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บำท แล้วเพิกเฉยไม่มอบหมำยงำนให้ โจทก์อันเป็นกำรเลิกจ้ำงโจทก์ ต่อมำจ ำเลยตกลงจะผ่อนช ำระหนี้ค่ำจ้ำงค้ำงดังกล่ำวแก่โจทก์แต่จ ำเลยผิดนัด


Click to View FlipBook Version