The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

คำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

๒๔๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.135/2560 นายมงคล โพธิ์ย้อย โจทก์ บริษัทเครูบทอง จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ตำมหนังสือสัญญำจ้ำงเหมำงำนมีกำรตกลงรับจ้ำงเหมำค่ำแรง และแบ่งจ่ำยเป็น 3 งวด ตำมผลส ำเร็จของงำน ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์ให้โจทก์เป็นผู้จัดหำเองโดยไม่ปรำกฏว่ำโจทก์เป็น ลูกจ้ำงจ ำเลยทั้งสองหรือจะต้องอยู่ภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำหรือต้องปฏิบัติตำมค ำสั่งระเบียบ และข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำนของจ ำเลยทั้งสองอันเป็นข้อสำระส ำคัญของสัญญำจ้ำงแรงงำน แต่อย่ำงใด แม้หนังสือสัญญำจ้ำงเหมำงำนดังกล่ำวจะระบุว่ำโจทก์ยินดีและปฏิบัติตำมกฎระเบียบของ จ ำเลยทั้งสองและจ ำเลยทั้งสองมีสิทธิบอกเลิกสัญญำได้ทุกเมื่อหำกโจทก์ไม่ปฏิบัติตำมกฎระเบียบของ จ ำเลยที่ 1 ก็ตำม แต่ก็หำใช่พฤติกำรณ์ที่แสดงถึงอ ำนำจบังคับบัญชำของจ ำเลยทั้งสองที่มีต่อโจทก์ไม่ หำกแต่เป็นเพียงเรื่องกำรมุ่งเน้นเรื่องผลส ำเร็จของงำนเท่ำนั้น อีกทั้งเงินที่โจทก์ได้รับจ ำเลยทั้งสอง ก็ตกลงจ่ำยให้ตำมผลส ำเร็จของงำนในแต่ละงวดโดยไม่มีลักษณะเป็นเงินที่นำยจ้ำงและลูกจ้ำงตกลง จ่ำยกันเป็นกำรตอบแทนกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงส ำหรับระยะเวลำกำรท ำงำนปกติเป็นรำยเดือน หรือระยะเวลำอื่นหรือจ่ำยให้โดยค ำนวณตำมผลงำนที่ลูกจ้ำงท ำได้ในเวลำท ำงำนปกติของวันท ำงำน อันจะถือว่ำเป็นค่ำจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มำตรำ 5 ดังนั้น นิติสัมพันธ์ ระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงเป็นกำรจ้ำงท ำของหำใช่เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนไม่ คดีระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยทั้งสองไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัดประกอบกิจการให้บริการออกแบบ สิ่งปลูกสร้าง อาคารส านักงาน อาคารที่พักอาศัย อาคารชุด และอื่น ๆ มีจ าเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอ านาจ กระท าการแทนจ าเลยที่ ๑ จ าเลยที่ ๑ ท าสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยในโครงการ “โรงแรม นิยม และตลาดนิยม ๒ อุดรธานี” ซึ่งโจทก์เข้าท าสัญญาเป็นผู้รับเหมาค่าแรงงานจากจ าเลยที่ ๑ เกี่ยวกับ การก่อฉาบผนังชั้น ๒ ถึงชั้น ๔ ของตัวอาคาร ในวงเงิน ๗๒๙,๐๐๐ บาท จ าเลยที่ ๑ จึงมีสถานะเป็น ผู้รับเหมาชั้นต้นและโจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วง ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งจากเจ้าของโครงการดังกล่าวว่าจ าเลยที่ ๑ ขอเบิกค่างวดงานแล้วได้ทิ้งงานไปโดยไม่สุจริต และยังไม่จ่ายค่าจ้างเหมาส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ท าให้โจทก์ ได้รับความเสียหายโดยต้องใช้เงินส่วนตัวมาส ารองจ่ายให้แก่คนงานรวมทั้งค่าวัสดุอุปกรณ์เพื่อให้งานที่อยู่ ในความรับผิดชอบส าเร็จลุล่วงไป ๓๐๒,๗๒๑ บาท ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันช าระเงิน จ านวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์


๒๔๕ จ าเลยทั้งสองให้การว่า คดีไม่อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานเพราะโจทก์เป็น ผู้รับเหมางานบางส่วนจากจ าเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับการก่อฉาบอาคารตามหนังสือสัญญาจ้างเหมางาน ก่อฉาบอาคารซึ่งมีเงื่อนไขที่ผลส าเร็จของงานเป็นส าคัญ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองเป็น สัญญาจ้างท าของจ าเลยทั้งสองไม่มีอ านาจบังคับบัญชาโจทก์รวมทั้งลูกจ้างของโจทก์ โจทก์และจ าเลยทั้งสอง ไม่ได้เป็นลูกจ้างและนายจ้างกันตามกฎหมาย จ าเลยทั้งสองไม่ได้ค้างช าระเงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จ าเลยทั้งสองยื่นค าร้องว่า คดีไม่อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงาน ศาลแรงงานภาค ๔ เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัดประกอบกิจการ ให้บริการออกแบบ สิ่งปลูกสร้าง อาคารส านักงาน อาคารที่พักอาศัย อาคารชุด และอื่น ๆ มีจ าเลยที่ ๒ เป็น กรรมการผู้มีอ านาจกระท าการแทนจ าเลยที่ ๑ จ าเลยที่ ๑ ท าสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยใน โครงการ “โรงแรมนิยม และตลาดนิยม ๒ อุดรธานี” ซึ่งโจทก์เข้าท าสัญญาเป็นผู้รับเหมาค่าแรงงานจาก จ าเลยที่ ๑ เกี่ยวกับการก่อฉาบผนังชั้น ๒ ถึงชั้น ๔ ของตัวอาคาร ในวงเงิน ๗๒๙,๐๐๐ บาท ต่อมาจ าเลย ทั้งสองทิ้งงานและไม่ยอมจ่ายค่าจ้างเหมาส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ มีสถานะเป็นผู้รับเหมาชั้นต้น และโจทก์มีสถานะเป็นผู้รับเหมาช่วง ตามหนังสือสัญญาจ้างเหมางานก่อฉาบอาคาร เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ที่ท าขึ้นระหว่างโจทก์และ จ าเลยทั้งสองก็ตาม แต่เมื่อได้พิจารณาข้อสัญญาต่าง ๆ ตามหนังสือสัญญาจ้างเหมางานดังกล่าวแล้ว ได้ความว่า มีการตกลงรับจ้างเหมาค่าแรงก่อฉาบกัน ๒,๗๐๐ ตารางเมตร เป็นเงิน ๗๒๙,๐๐๐ บาท และแบ่งจ่าย เป็น ๓ งวด ตามผลส าเร็จของงาน ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์ให้โจทก์เป็นผู้จัดหาเอง โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ เป็นลูกจ้างจ าเลยทั้งสองหรือจะต้องอยู่ภายใต้อ านาจบังคับบัญชาหรือต้องปฏิบัติตามค าสั่งระเบียบและ ข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานของจ าเลยทั้งสองอันเป็นข้อสาระส าคัญของสัญญาจ้างแรงงานแต่อย่างใด แม้หนังสือสัญญาจ้างเหมางานดังกล่าวจะระบุว่าโจทก์ยินดีและปฏิบัติตามกฎระเบียบของจ าเลยทั้งสองและ จ าเลยทั้งสองมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อหากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของจ าเลยที่ ๑ ก็ตาม แต่ก็หาใช่พฤติการณ์ที่แสดงถึงอ านาจบังคับบัญชาของจ าเลยทั้งสองที่มีต่อโจทก์ไม่ หากแต่เป็นเพียงการ มุ่งเน้นเรื่องผลส าเร็จของงานเท่านั้น อีกทั้งเงินที่โจทก์ได้รับจ าเลยทั้งสองก็ตกลงจ่ายให้ตามผลส าเร็จ ของงานในแต่ละงวดโดยไม่มีลักษณะเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงจ่ายกันเป็นการตอบแทนการท างาน ตามสัญญาจ้างส าหรับระยะเวลาการท างานปกติเป็นรายเดือนหรือระยะเวลาอื่นหรือจ่ายให้โดยค านวณตาม ผลงานที่ลูกจ้างท าได้ในเวลาท างานปกติของวันท างานอันจะถือว่าเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจ าเลยทั้งสองจึงเป็นการจ้างท าของหาใช่ เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานไม่คดีระหว่างโจทก์และจ าเลยทั้งสองไม่มีลักษณะเป็นคดี พิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘


๒๔๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.136/2560 สหกรณ์การเกษตรเดชอุดม จ ากัด โจทก์ นายกิตติรัตน์ บัวงาม กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง ตำมค ำฟ้องโจทก์แม้จะกล่ำวอ้ำงว่ำลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง แต่โจทก์มิได้ฟ้องจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นมำรดำให้รับผิดในฐำนะ ทำยำทโดยธรรม แต่เป็นกำรฟ้องเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกจ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะสมำชิก ผู้เปิดบัญชีเงินฝำกกับโจทก์ที่ได้ท ำละเมิดกับโจทก์โดยตรง ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ละเมิด โดยไม่ปรำกฏว่ำโจทก์และจ ำเลยที่ ๒ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกัน แต่อย่ำงใด คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์จ ำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ถึงที่ ๗ เป็นลูกจ้ำง โจทก์จ ำเลยที่ ๑ เคยเป็นสำมีของนำงนพภำพร บัวงำมหรือญำนะพันธ์ ซึ่งเป็นเจ้ำหน้ำที่กำรเงินของโจทก์ ต่อมำวันที่ ๒๕ พฤษภำคม ๒๕๖๐ นำงนพภำพรถึงแก่ควำมตำย จ ำเลยที่ ๒ เป็นสมำชิกผู้เปิดบัญชีเงินฝำก กับโจทก์และเป็นมำรดำของนำงนพภำพร วันที่ ๓๑ มีนำคม ๒๕๕๙ โจทก์ปิดบัญชีประจ ำปีแล้วตรวจสอบ พบว่ำมีควำมผิดปกติของเงินในบัญชีเงินฝำกของโจทก์จึงตั้งคณะท ำงำนตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ำ ระหว่ำงวันที่ ๓๐ มิถุนำยน ๒๕๔๕ ถึงเดือนธันวำคม ๒๕๕๘ นำงนพภำพรร่วมกับจ ำเลยที่ ๑ รับเงินฝำก จำกสมำชิกและลงจ ำนวนเงินในสมุดรับฝำกแล้วเอำเงินทั้งหมดหรือบำงส่วนไปไม่น ำส่งเข้ำบัญชีโจทก์ หรือถอนเงินฝำกของสมำชิกที่มีบัญชีเงินฝำกไว้กับโจทก์แล้วปลอมลำยมือชื่อสมำชิกในใบถอนเงินแล้ว เอำเงินไป หรือในกรณีที่เจ้ำของบัญชีมำถอนเงินก็จะท ำใบถอนเงินลงจ ำนวนเงินมำกกว่ำที่เจ้ำของบัญชี ประสงค์แล้วเอำเงินส่วนต่ำงไป หรือท ำบันทึกยอดเงินอันเป็นเท็จลงในรำยกำรเคลื่อนไหวทำงระบบบัญชี ประจ ำวันว่ำมีสมำชิกถอนเงินและเขียนยอดเงินที่เอำไปในเอกสำรทำงบัญชีแล้วแจ้งฝ่ำยบัญชีปิดบัญชี ประจ ำวันโดยไม่มีเอกสำรกำรถอน แล้วยักยอกเงินไป รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๕,๘๒๕,๘๒๔.๑๔ บำท แล้วน ำเงินเข้ำบัญชีเงินฝำกของจ ำเลยที่ ๒ ที่เปิดไว้กับโจทก์ ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย จ ำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๗ ซึ่งเป็นเจ้ำหน้ำที่ในแผนกบัญชีกำรเงินและเป็นผู้บังคับบัญชำตำมสำยงำนประมำทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบทำงบัญชีโดยละเอียดจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันช ำระเงิน ๑๑๕,๘๒๕,๘๒๔ บำท โดยให้จ ำเลยที่ ๑ ร่วมกับจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ รับผิดในยอดเงินแต่ละจ ำนวนตำม ค ำขอท้ำยฟ้อง พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยที่ ๑ ให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้ำที่เกี่ยวข้องกับแผนกกำรเงิน ไม่มีส่วนรู้เห็น กำรกระท ำผิดของนำงนพภำพร บัวงำมหรือญำนะพันธ์ขอให้ยกฟ้อง


๒๔๗ จ ำเลยที่ ๒ ให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๒ ไม่ได้อยู่ในสภำพกำรจ้ำงงำนของโจทก์ จึงไม่อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน จ ำเลยที่ ๒ ไม่ได้กระท ำผิด ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๖ ให้กำรท ำนองเดียวกันว่ำ จ ำเลยที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๖ ปฏิบัติงำน ด้วยควำมซื่อสัตย์สุจริตและได้ตรวจสอบควำมถูกต้องของบันทึกรำยกำรรับจ่ำย ใบโอนบัญชีแยกประเภท กระทั่งส ำนักงำนตรวจบัญชีสหกรณ์จังหวัดอุบลรำชธำนีได้ตรวจสอบบัญชีประจ ำปีก็ไม่พบควำมผิดปกติ ทำงบัญชีจ ำเลยที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๖ ได้รำยงำนควำมเสียหำยให้คณะกรรมกำรโจทก์ทรำบและได้ติดตำมเงินคืน ให้แก่โจทก์บำงส่วน จ ำเลยที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๖ มิได้รู้เห็นในกำรกระท ำควำมผิดของนำงนพภำพร บัวงำมหรือญำนะพันธ์ เมื่อจ ำเลยที่ ๖ ตรวจสอบพบว่ำนำงนพภำพรกับพวกท ำควำมเสียหำยแก่โจทก์ก็ได้ ร่วมกับจ ำเลยที่ ๗ แก้ไขปัญหำจนติดตำมเงินคืนได้บำงส่วน ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๔ และที่ ๗ ให้กำรและฟ้องแย้งท ำนองเดียวกันว่ำ จ ำเลยที่ ๔ และที่ ๗ มิได้รู้เห็น ในกำรกระท ำควำมผิดของนำงนพภำพร บัวงำมหรือญำนะพันธ์ แต่ได้ปฏิบัติงำนด้วยควำมซื่อสัตย์สุจริต มำตลอดจนได้รับกำรเลื่อนต ำแหน่งมำโดยตลอด จ ำเลยที่ ๔ และที่ ๗ รับผิดชอบงำนหลำยด้ำน เมื่อ จ ำเลยที่ ๔ และที่ ๗ ตรวจสอบพบว่ำนำงนพภำพรกับพวกท ำควำมเสียหำยแก่โจทก์ก็ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหำ จนติดตำมเงินคืนได้บำงส่วน จ ำเลยที่ ๔ และที่ ๗ มิได้ปฏิบัติหน้ำที่บกพร่อง กำรที่โจทก์เลิกจ้ำงจ ำเลยที่ ๔ และที่ ๗ เป็นกำรเลิกจ้ำงโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำน และโดยไม่บอกกล่ำว ล่วงหน้ำให้ถูกต้อง ทั้งยังเป็นกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับโจทก์จ่ำยค่ำชดเชย เงินบ ำเหน็จ ค่ำเสียหำยจำกกำรไม่ได้ท ำงำนจนครบเกษียณอำยุกำรท ำงำน ค่ำเสียหำยต่อชื่อเสียง สินจ้ำงแทนกำร บอกกล่ำวล่วงหน้ำ และให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจ ำนองที่ดิน รำยละเอียดจ ำนวนเงินและที่ดินที่ต้อง จดทะเบียนไถ่ถอนเป็นไปตำมค ำขอท้ำยฟ้องแย้งของจ ำเลยที่ ๔ และที่ ๗ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๓ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ วินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำนำงนพภำพร บัวงำมหรือญำนะพันธ์เคยเป็น เจ้ำหน้ำที่กำรเงินของโจทก์ระหว่ำงปฏิบัติหน้ำที่ นำงนพภำพรร่วมกับจ ำเลยที่ ๑ รับเงินฝำกจำกสมำชิก แล้วลงจ ำนวนเงินในสมุดรับฝำก แล้วเอำเงินทั้งหมดหรือบำงส่วนไปไม่น ำส่งเข้ำบัญชีโจทก์หรือถอนเงินฝำก ของสมำชิกที่มีบัญชีเงินฝำกไว้กับโจทก์แล้วปลอมลำยมือชื่อสมำชิกในใบถอนเงินแล้วเอำเงินไป หรือในกรณี ที่เจ้ำของบัญชีมำถอนเงินก็จะท ำใบถอนเงินลงจ ำนวนเงินมำกกว่ำที่เจ้ำของบัญชีประสงค์แล้วเอำเงิน ส่วนต่ำงไป หรือท ำบันทึกยอดเงินอันเป็นเท็จลงในรำยกำรเคลื่อนไหวทำงระบบบัญชีประจ ำวันว่ำมีสมำชิก ถอนเงิน และเขียนยอดเงินที่เอำไปในเอกสำรทำงบัญชีแล้วแจ้งฝ่ำยบัญชีปิดบัญชีประจ ำวันโดยไม่มีเอกสำร กำรถอน แล้วยักยอกเงินไป รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๕,๘๒๕,๘๒๔.๑๔ บำท แล้วน ำเงินเข้ำบัญชีเงินฝำกของ จ ำเลยที่ ๒ ที่เปิดไว้กับโจทก์ ท ำให้โจทก์เสียหำย ตำมค ำฟ้องโจทก์แม้จะกล่ำวอ้ำงว่ำนำงนพภำพรซึ่งเป็น ลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง แต่โจทก์ มิได้ฟ้องจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นมำรดำของนำงนพภำพรให้รับผิดในฐำนะทำยำทโดยธรรมของนำงนพภำพร


๒๔๘ ซึ่งถึงแก่ควำมตำยในมูลหนี้เดิมที่นำงนพภำพรมีต่อโจทก์ แต่เป็นกำรฟ้องเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำย จำกจ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะเป็นสมำชิกผู้เปิดบัญชีเงินฝำกกับโจทก์ที่ได้ท ำละเมิดต่อโจทก์โดยตรง ตำมประมวล กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ละเมิด โดยไม่ปรำกฏว่ำโจทก์และจ ำเลยที่ ๒ มีนิติสัมพันธ์ เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนแต่อย่ำงใดคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงไม่มีลักษณะ เป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘


๒๔๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.137/2560 นายณัฐพิชญ์ ผลอนันต์ โจทก์ บริษัทอุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง โจทก์ตกลงท ำสัญญำจ้ำงแรงงำนเป็นลูกจ้ำงจ ำเลย และก ำหนดวันสิ้นสุดสัญญำจ้ำงแรงงำน ต ำแหน่งฝ่ำยจัดหำสปอนเซอร์ ก ำหนดเงินเดือนและค่ำตอบแทนกำรหำสปอนเซอร์ตำมปกตินิยม จ ำเลยไม่ได้จ่ำยสินจ้ำงกึ่งหนึ่งให้โจทก์ตำมปกติประเพณีของกำรจ่ำยสินจ้ำงให้พนักงำนฝ่ำยจัดหำ สปอนเซอร์ กำรกระท ำของจ ำเลยท ำให้โจทก์เสียหำย เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์กัน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของ จ ำเลยตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน อันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำ ของคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็น คดีพิพำทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกำยน ๒๕๕๙ โจทก์ตกลงท ำสัญญำจ้ำงแรงงำนเป็น ลูกจ้ำงจ ำเลย ก ำหนดวันเริ่มงำนวันที่ ๑ ธันวำคม ๒๕๕๙ และสิ้นสุดวันที่ ๑ กุมภำพันธ์ ๒๕๖๐ ต ำแหน่ง ฝ่ำยจัดหำสปอนเซอร์ ก ำหนดเงินเดือน เดือนละ ๑๖๕,๐๐๐ บำท และค่ำตอบแทนกำรหำสปอนเซอร์ ตำมปกตินิยม ต่อมำวันที่ ๑๕ ธันวำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยไม่ได้จ่ำยสินจ้ำงกึ่งหนึ่งให้โจทก์ตำมปกติประเพณี ของกำรจ่ำยสินจ้ำงให้พนักงำนฝ่ำยจัดหำสปอนเซอร์ โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย วันที่ ๒๖ ธันวำคม ๒๕๕๙ โจทก์จึงลำออก กำรกระท ำของจ ำเลยท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยค่ำจ้ำง ค่ำตอบแทนกำรหำสปอนเซอร์ค่ำเสียหำยจำกค่ำตั๋วเครื่องบิน ค่ำเช่ำที่พัก และค่ำเสียโอกำสจำกกำรไม่ได้ ท ำงำนจนครบก ำหนดตำมสัญญำ รวม ๘๕๕,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่ วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำสัญญำจ้ำงโจทก์ไม่ใช่สัญญำจ้ำงแรงงำน แต่เป็นสัญญำตัวแทนที่มีค่ำตอบแทน หรือมีบ ำเหน็จให้แก่ตัวแทน ตำมสัญญำดังกล่ำวโจทก์ไม่ต้องอยู่ภำยใต้กำรบังคับบัญชำของจ ำเลย ไม่มีก ำหนดเวลำท ำงำนที่แน่นอน โจทก์สำมำรถหำสปอนเซอร์ได้โดยอิสระและได้รับค่ำตอบแทนตำมสัดส่วน กำรท ำงำนได้โจทก์ไม่ได้รับสวัสดิกำรจำกจ ำเลยและไม่ได้อยู่ภำยใต้กฎหมำยว่ำด้วยกำรประกันสังคม คดีนี้ จึงไม่ใช่คดีแรงงำน ค่ำตอบแทนกำรหำสปอนเซอร์ตำมฟ้องไม่ได้มำจำกกำรท ำงำนของโจทก์โจทก์จึงไม่ได้ ท ำงำนให้บรรลุวัตถุประสงค์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่ำจ้ำง จ ำเลยไม่เคยตกลงจ่ำยค่ำตั๋วเครื่องบินและค่ำเช่ำบ้ำน แก่โจทก์เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะท ำงำนและบอกเลิกสัญญำเองจึงไม่มีสิทธิได้รับค่ำเสียโอกำสจำกกำรไม่ได้ ท ำงำนจนครบก ำหนดตำมสัญญำ ขอให้ยกฟ้อง


๒๕๐ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๓ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกำยน ๒๕๕๙ โจทก์ตกลงท ำสัญญำจ้ำงแรงงำนเป็นลูกจ้ำงจ ำเลย และก ำหนดวันสิ้นสุดสัญญำจ้ำงแรงงำนในวันที่ ๑ กุมภำพันธ์๒๕๖๐ ต ำแหน่งฝ่ำยจัดหำสปอนเซอร์ ก ำหนดเงินเดือนและค่ำตอบแทนกำรหำสปอนเซอร์ตำมปกตินิยม ต่อมำจ ำเลยไม่ได้จ่ำยสินจ้ำงกึ่งหนึ่ง ให้โจทก์ตำมปกติประเพณีของกำรจ่ำยสินจ้ำงให้พนักงำนฝ่ำยจัดหำสปอนเซอร์ โจทก์จึงลำออก กำรกระท ำ ของจ ำเลยท ำให้โจทก์เสียหำย ตำมค ำฟ้องโจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์กันตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำของคดีที่จะต้อง ได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็น คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)


๒๕๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.138/๒๕๖๐ นางสาวพัชรา สันติวงศ์วนิช โจทก์ นายณัทกฤช อัครวุฒิโชติ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (5), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเข้าท างานเป็นลูกจ้างโจทก์ ต าแหน่งพนักงานขาย มีหน้าที่ขายสินค้า และเก็บเงินค่าสินค้าหรือน าสินค้าที่ลูกค้าส่งคืนหรือเปลี่ยนส่งมอบแก่โจทก์ ต่อมาจ าเลยไม่เข้าท างาน โจทก์ตรวจสอบพบว่าจ าเลยเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าของโจทก์และยักยอกไปจ านวน ๓๐ ราย และเมื่อโจทก์ตรวจสอบย้อนหลังพบว่าจ าเลยทุจริตท าให้โจทก์เสียหายเพิ่มขึ้นอีก จึงขอให้จ าเลย ช าระค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามค าฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยมีนิติสัมพันธ์กัน ตามสัญญาจ้างแรงงาน เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินตามสัญญาจ้างแรงงานกับจ าเลย และเป็นการ กล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์กระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้าง ของจ าเลยตามสัญญาจ้างแรงงานอันจะท าให้มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริง ในเนื้อหาของคดีที่จะต้องได้รับการพิจารณาวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพากษาตามรูปคดีต่อไป คดีระหว่าง โจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิด แต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ประกอบธุรกิจจ ำหน่ำยผลิตภัณฑ์สินค้ำประเภทเครื่องส ำอำง ใช้ชื่อส ำนัก กำรค้ำว่ำ “เจเอชซีอินเตอร์เนชั่นแนล” เมื่อเดือนพฤษภำคม ๒๕๕๖ จ ำเลยเข้ำท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งพนักงำนขำย มีหน้ำที่ขำยสินค้ำและเก็บเงินค่ำสินค้ำหรือน ำสินค้ำที่ลูกค้ำส่งคืนหรือเปลี่ยนส่งมอบ แก่โจทก์ ต่อมำเดือนเมษำยน ๒๕๕๘ จ ำเลยไม่เข้ำท ำงำน โจทก์ตรวจสอบพบว่ำจ ำเลยเก็บเงินค่ำสินค้ำจำก ลูกค้ำของโจทก์และยักยอกไปจ ำนวน ๓๐ รำย เป็นเงิน ๑,๕๓๕,๒๑๕ บำท และเมื่อโจทก์ตรวจสอบ ย้อนหลังระหว่ำงเดือนมิถุนำยน ๒๕๕๗ ถึงเดือนเมษำยน ๒๕๕๘ พบว่ำจ ำเลยทุจริตท ำให้โจทก์เสียหำย เดือนละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท รวมเป็นเงิน ๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท แต่โจทก์ขอคิดเพียง ๕๐๐,๐๐๐ บำท โจทก์ ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยจ้ำงบุคคลภำยนอกตรวจสอบงำนของจ ำเลยเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บำท และเสียค่ำใช้จ่ำยใน กำรด ำเนินกำรทำงกฎหมำยกับจ ำเลยอีก ๑๐๐,๐๐๐ บำท รวมเป็นค่ำเสียหำยทั้งสิ้น ๒,๓๓๕,๒๑๕ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๒,๓๓๕,๒๑๕ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็น ต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ สัญญำจ้ำงโจทก์ไม่ใช่สัญญำจ้ำงแรงงำน เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๑ ไม่ได้แสดงที่อยู่ของโจทก์ไม่ได้ระบุชื่อส ำนักกำรค้ำว่ำ “เจเอชซี อินเตอร์เนชั่นแนล” จ ำเลยไม่ได้


๒๕๒ ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนในนำมลูกจ้ำงโจทก์จ ำเลยไม่ได้สมัครเข้ำท ำงำนกับโจทก์แต่สมัครเข้ำท ำงำน กับนำยจ้ำงอื่น คดีนี้จึงไม่ใช่คดีแรงงำน โจทก์ไม่มีอ ำนำจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ค่ำเสียหำยที่โจทก์ กล่ำวอ้ำงไม่มีอยู่จริง โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ทวงถำมก่อนจึงท ำให้เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยเข้ำท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งพนักงำนขำย มีหน้ำที่ขำยสินค้ำ และเก็บเงินค่ำสินค้ำหรือน ำสินค้ำที่ลูกค้ำส่งคืนหรือเปลี่ยนส่งมอบแก่โจทก์ต่อมำจ ำเลยไม่เข้ำท ำงำน โจทก์ ตรวจสอบพบว่ำจ ำเลยเก็บเงินค่ำสินค้ำจำกลูกค้ำของโจทก์และยักยอกไปจ ำนวน ๓๐ รำย และเมื่อโจทก์ ตรวจสอบย้อนหลังพบว่ำจ ำเลยทุจริตท ำให้โจทก์เสียหำยเพิ่มขึ้นอีก จึงขอให้จ ำเลยช ำระค่ำเสียหำยแก่โจทก์ ตำมค ำฟ้องโจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์กันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน เพื่อใช้ สิทธิเรียกร้องเงินตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนกับจ ำเลย และเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ กระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง ส่วนจ ำเลยจะเป็นลูกจ้ำงของโจทก์ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนอันจะท ำให้ มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำของคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัย โดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับ กำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)


๒๕๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.139/2560 นายจิรภัทร ปิตุภาคโยธิน โจทก์ บริษัทสยาม แอดวานซ์ เมเนจเม้นท์ จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (2), 9 วรรคสอง จ ำเลยที่ ๑ จ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ได้รับค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำย เดือนละ ๑๓๐,๐๐๐ บำท ระหว่ำงวันที่ ๑ กรกฎำคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๕ เมษำยน ๒๕๖๐ จ ำเลยที่ ๑ โดยจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็น กรรมกำร ไม่จ่ำยค่ำจ้ำงให้โจทก์ จึงขอให้จ ำเลยทั้งสองจ่ำยค่ำจ้ำงค้ำงจ่ำย เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์ กับจ ำเลยทั้งสอง มีนิติสัมพันธ์กันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำจ้ำงค้ำงจ่ำยตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยทั้งสอง อันจะท ำให้มีสิทธิได้รับค่ำจ้ำงค้ำงจ่ำยตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำของคดีที่จะต้องได้รับ กำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงเป็น คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ จ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้างต าแหน่ง สุดท้ายเป็นผู้อ านวยการฝ่ายบริหารบัญชีและการเงิน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๓๐,๐๐๐ บาท ก าหนดจ่ายทุกวันสิ้นเดือน ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๐ จ าเลยที่ ๑ โดย จ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการ ไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ เพียงแต่โอนเงินทดรองจ่ายให้โจทก์เพียง ๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑๕ ทุกระยะเวลา ๗ วัน นับแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ต่อมาวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๐ โจทก์ลาออก แต่จ าเลยทั้งสองยังคงไม่ช าระเงินดังกล่าว ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ๑,๒๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่ วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์และจ าเลยทั้งสองมิได้มีความสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้างแรงงาน แต่ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนเพื่อแบ่งผลประโยชน์ในการรับเหมาก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดา ซึ่งจ าเลยที่ ๑ รับเหมาร่วมกับบริษัทกว่างซีในชื่อกิจการร่วมกว่างซีสยาม จ าเลยทั้งสองไม่เคยจ้างโจทก์ท างานและจ่าย ค่าจ้างตามฟ้อง จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ต่อมาจ าเลยที่ ๑ ถูกยกเลิกสัญญารับเหมาก่อสร้างจึงไม่มีรายรับ ที่จะจ่ายให้โจทก์ที่เป็นหุ้นส่วน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง


๒๕๔ พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง ต าแหน่งสุดท้ายเป็นผู้อ านวยการฝ่ายบริหารบัญชีและ การเงิน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้าย เดือนละ ๑๓๐,๐๐๐ บาท ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๐ จ าเลยที่ ๑ โดยจ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการ ไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ จึงขอให้จ าเลยทั้งสองจ่าย ค่าจ้างค้างจ่าย ตามค าฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้าง แรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่าจ้างค้างจ่ายตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง แรงงาน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้างของจ าเลยทั้งสองอันจะท าให้มีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่ายตามฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหาของคดีที่จะต้องได้รับการพิจารณาวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพากษาตามรูปคดีต่อไป คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและ ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒)


๒๕๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.1๔๐/25๖๐ บริษัทไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จ ากัด (มหาชน) โจทก์ นายมหะเทพ สุขพันธุ์ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นพนักงานของโจทก์ ระหว่างท างานได้เบิกเงินค่าออกแบบงาน และประสานงานกับบุคคลภายนอก ๑,๒๐๕,๐๐๐ บาท แต่น าไปมอบแก่บุคคลภายนอกเพียง ๔๒๙,๘๕๐ บาท และเบียดบังเงินส่วนที่เหลือไป แล้วไม่คืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตามหนังสือยอมรับสารภาพผิดและ ขอชดใช้ความเสียหาย จึงขอให้จ าเลยคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์อันเป็นการฟ้องเรียกร้องให้จ าเลย ซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเป็นพนักงานของโจทก์ ต าแหน่งวิศวกรขาย มีหน้าที่ขาย เสนอและบริหาร การขาย ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๑๖,๐๐๐ บาท และค่าน้ ามันรถเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท เมื ่อวันที ่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จ าเลยเบิกเงินค่าออกแบบงานและประสานงานกับบุคคลภายนอก ๑,๒๐๕,๐๐๐ บาท แต่น าไปมอบแก่บุคคลภายนอกเพียง ๔๒๙,๘๕๐ บาท แล้วเบียดบังเงินส่วนที่เหลือไป ต่อมาจ าเลย ท าหนังสือยอมรับสารภาพผิดและขอชดใช้ความเสียหายโดยการผ่อนช าระคืนแก่โจทก์ แต่เมื่อถึงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ ่งเป็นก าหนดวันผ ่อนช าระเงินคืนงวดแรก จ าเลยผิดนัด โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จ าเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๘๐๐,๙๕๑.๗๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๗๗๕,๑๕๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว ่า จ าเลยเบิกเงินค ่าออกแบบงานและประสานงานกับ บุคคลภายนอก ๑,๒๐๕,๐๐๐ บาท แล้วน าไปมอบแก่บุคคลภายนอกครบถ้วน ไม่ได้เบียดบังเงินดังกล่าวตามฟ้อง จ าเลย ลงนามในหนังสือยอมรับสารภาพผิดและขอชดใช้ความเสียหายโดยไม่สมัครใจ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ระหว ่างพิจารณา จ าเลยยื ่นค าร้องว ่าคดีนี้เกิดแต ่มูลละเมิดระหว ่างนายจ้างและลูกจ้าง สืบเนื่องจากการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงไม่อยู่ในเขตอ านาจศาลจังหวัดปราจีนบุรีศาลจังหวัดปราจีนบุรี เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธาน ศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง


๒๕๖ พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นพนักงานของโจทก์ ระหว่างท างานได้เบิกเงิน ค่าออกแบบงานและประสานงานกับบุคคลภายนอก ๑,๒๐๕,๐๐๐ บาท แต่น าไปมอบแก่บุคคลภายนอก เพียง ๔๒๙,๘๕๐ บาท และเบียดบังเงินส่วนที่เหลือไปแล้วไม่คืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตามหนังสือ ยอมรับสารภาพผิดและขอชดใช้ความเสียหาย จึงขอให้จ าเลยคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ อันเป็นการฟ้อง เรียกร้องให้จ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕)


๒๕๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.1๔1/25๖๐ สหกรณ์การเกษตรเมืองแม่ฮ่องสอน จ ากัด โจทก์ นางสาวปราณี มีศรี จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างท าหน้าที่รักษาการแทนผู้จัดการ ระหว่างที่จ าเลยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ปรากฏว่ามีสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง สินค้าบริโภค และวัสดุ การเกษตร ขาดและเกินบัญชี จ าเลยยังได้ทุจริตท าเอกสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าปลอมโดยอ้างชื่อ บุคคลอื่นว่าเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าดังกล่าวของโจทก์ แล้วน าไปจ าหน่ายเป็นผลประโยชน์ของตนเอง ต่อมา จ าเลยได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างและไม่ช าระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จ าเลย เพิกเฉย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและ กระท าละเมิดเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดี พิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้าง และลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์กำรเกษตร เมื่อปี ๒๕๓๗ จ ำเลย เข้ำท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ วันที่ ๑ มิถุนำยน ๒๕๕๕ จ ำเลยให้โจทก์ท ำหน้ำที่รักษำกำรแทนผู้จัดกำรได้รับ เงินเดือน เดือนละ ๑๔,๓๗๐ บำท ระหว่ำงที่จ ำเลยปฏิบัติหน้ำที่รักษำกำรแทนผู้จัดกำรโจทก์ปรำกฏว่ำ มีสินค้ำประเภทวัสดุก่อสร้ำง สินค้ำบริโภค และวัสดุกำรเกษตร ขำดและเกินบัญชี จ ำเลยยังได้ทุจริต ท ำเอกสำรใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้ำปลอมโดยอ้ำงชื่อบุคคลอื่นว่ำเป็นผู้สั่งซื้อสินค้ำดังกล่ำวของโจทก์ แล้วน ำไปจ ำหน่ำยเป็นผลประโยชน์ของตนเอง รวมเป็นค่ำเสียหำยทั้งสิ้น ๑,๐๖๗,๔๖๓.๐๙ บำท ต่อมำ จ ำเลยได้ลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงและไม่ช ำระหนี้ดังกล่ำวแก่โจทก์ โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑,๐๖๗,๔๖๓.๐๙ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ ควำมเสียหำยตำมฟ้องโจทก์เกิดขึ้นก่อนที่จ ำเลยจะท ำหน้ำที่รักษำกำรแทน ผู้จัดกำร จ ำเลยไม่ได้กระท ำควำมผิดต่อโจทก์ วันที่ ๕ สิงหำคม ๒๕๕๖ จ ำเลยได้ลำออกและได้ฟ้องโจทก์ ต่อศำลแรงงำนภำค ๕ ซึ่งคดียุติโดยจ ำเลยตกลงให้โจทก์น ำเงินบ ำเหน็จพนักงำนของจ ำเลยหักกลบลบหนี้ และจ ำเลยได้ถอนฟ้องคดีดังกล่ำวหนี้ตำมฟ้องโจทก์จึงระงับไปแล้ว ฟ้องโจทก์ขำดอำยุควำม หนี้ที่โจทก์ฟ้อง เป็นสัญญำซื้อขำยไม่เกี่ยวกับกำรท ำงำน คดีนี้จึงไม่อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ ยกฟ้อง


๒๕๘ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๕ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้ำงท ำหน้ำที่รักษำกำรแทนผู้จัดกำร ระหว่ำง ที่จ ำเลยปฏิบัติหน้ำที่ดังกล่ำว ปรำกฏว่ำมีสินค้ำประเภทวัสดุก่อสร้ำง สินค้ำบริโภค และวัสดุกำรเกษตร ขำดและเกินบัญชี จ ำเลยยังได้ทุจริตท ำเอกสำรใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้ำปลอมโดยอ้ำงชื่อบุคคลอื่น ว่ำเป็นผู้สั่งซื้อสินค้ำดังกล่ำวของโจทก์ แล้วน ำไปจ ำหน่ำยเป็นผลประโยชน์ของตนเอง ต่อมำจ ำเลย ได้ลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงและไม่ช ำระหนี้ดังกล่ำวแก่โจทก์ โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิด เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนต่อโจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)


๒๕๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.1๔2/25๖๐ สหกรณ์นิคมชะอ า จ ากัด โจทก์ นางสาวประภาภรณ์ ตาลลักษณ์ กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) (๕), ๙ วรรคสอง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๖, ๑๐ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เข้าท างานเป็นลูกจ้างโจทก์ โดยมีจ าเลยที่ ๒ เป็น ผู้ค้ าประกันการท างานในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ระหว่างท างาน จ าเลยที่ ๑ ได้ท าละเมิดเบียดบัง ทรัพย์สินของโจทก์ประเภทปุ๋ย เคมีอาหารสัตว์ และสินค้าทั่วไป แล้วน าไปจ าหน่ายเป็นผลประโยชน์ ของตนเอง จ านวน ๗๐ รายการ รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๑๕๗,๖๔๘.๗๒ บาท โจทก์จึงฟ้อง ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว เป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ต่อโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตาม สัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องจ าเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ าประกัน การท างานของจ าเลยที่ ๑ ให้ร่วมรับผิดกับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นกรณีเกี่ยวเนื่องกับการผิดสัญญาจ้าง แรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ทั้งยังเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวด้วยความรับผิดตามประกาศกระทรวง แรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการท างาน หรือหลักประกันความเสียหาย ในการท างานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกาศโดยอาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๖ และ มาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ อีกด้วย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์นิคม เมื่อวันที่ ๘ เมษำยน ๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๑ เข้ำท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งเจ้ำหน้ำที่กำรตลำดและธุรกำร มีหน้ำที่ซื้อ ครอบครอง จ ำหน่ำยสินค้ำของโจทก์และน ำรำยได้ส่งมอบให้โจทก์โดยมีจ ำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำน ในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บำท ระหว่ำงวันที่ ๘ เมษำยน ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๑๙ ธันวำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๑ ได้ท ำละเมิดเบียดบังทรัพย์สินของโจทก์ประเภทปุ๋ย เคมี อำหำรสัตว์ และสินค้ำทั่วไปแล้วน ำไปจ ำหน่ำย เป็นผลประโยชน์ของตนเองจ ำนวน ๗๐ รำยกำร รวมเป็นค่ำเสียหำยทั้งสิ้น ๑๕๗,๖๔๘.๗๒ บำท ต่อมำ


๒๖๐ จ ำเลยที่ ๑ ลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงและไม่ช ำระหนี้ดังกล่ำวแก่โจทก์ โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยทั้งสอง เพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันช ำระเงิน ๑๖๘,๘๙๙.๗๒ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำกต้นเงิน ๑๕๗,๖๔๘.๗๒ บำท นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ชั้นตรวจค ำฟ้อง ศำลแรงงำนภำค ๗ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เข้ำท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ โดยมีจ ำเลยที่ ๒ เป็น ผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บำท ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยที่ ๑ ได้ท ำละเมิดเบียดบังทรัพย์สิน ของโจทก์ประเภทปุ๋ย เคมีอำหำรสัตว์ และสินค้ำทั่วไป แล้วน ำไปจ ำหน่ำยเป็นผลประโยชน์ของตนเอง จ ำนวน ๗๐ รำยกำร รวมเป็นค่ำเสียหำยทั้งสิ้น ๑๕๗,๖๔๘.๗๒ บำท โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสอง ชดใช้ค่ำเสียหำยดังกล่ำว เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนต่อโจทก์คดีระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องจ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของ จ ำเลยที่ ๑ ให้ร่วมรับผิดกับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นกรณีเกี่ยวเนื่องกับกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับ จ ำเลยที่ ๑ ทั้งยังเป็นกรณีพิพำทเกี่ยวด้วยควำมรับผิดตำมประกำศกระทรวงแรงงำน เรื่อง หลักเกณฑ์และ วิธีกำรเรียกหรือรับหลักประกันกำรท ำงำน หรือหลักประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำนจำกลูกจ้ำง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกำศโดยอำศัยอ ำนำจตำมควำมในมำตรำ ๖ และมำตรำ ๑๐ แห่งพระรำชบัญญัติ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ อีกด้วย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)


๒๖๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.1๔3/25๖๐ นางณัชชา วงค์ค าจันทร์ โจทก์ บริษัทแนชเชอเริลมีเดีย จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยทั้งสองจ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง ระหว่างท างานจ าเลยทั้งสอง เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด โจทก์จึงขอให้จ าเลยทั้งสองช าระค่าชดเชยสินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าท างานในวันหยุด ค่าจ้างส าหรับวันหยุด พักผ่อนประจ าปี ค่าตอบแทนการขาย และเงินทดรองจ่ายค่าน้ ามันรถยนต์ที่โจทก์จ่ายไปคืน และขอให้ จ าเลยทั้งสองแจ้งการสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์ต่อส านักงานประกันสังคมจังหวัดว่าเลิกจ้าง โจทก์โดยไม่มีความผิด เพื่อให้โจทก์มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ตามค าฟ้องโจทก์ เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์ในฐานะลูกจ้างกับนายจ้างกันตามสัญญาจ้าง แรงงาน เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินตามสัญญาจ้างแรงงานและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จากจ าเลยทั้งสอง และเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างปฏิบัติต่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง ไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้างของจ าเลยทั้งสองตามสัญญาจ้างแรงงานอันจะท าให้มีสิทธิตาม ฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหาของคดีที่จะต้องได้รับการพิจารณาวินิจฉัยโดยองค์คณะ ผู้พิพากษาตามรูปคดีต่อไป คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และตามกฎหมายว่าด้วย การประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ มีนำคม ๒๕๕๖ จ ำเลยทั้งสองจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ต ำแหน่ง ผู้จัดกำรเขตภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำย เดือนละ ๕๖,๘๐๐ บำท ก ำหนดจ่ำยค่ำจ้ำง ทุกวันที่ ๒๕ ของเดือน วันที่ ๑๙ มิถุนำยน ๒๕๖๐ จ ำเลยทั้งสองมีหนังสือเลิกจ้ำงโจทก์อ้ำงเหตุว่ำโจทก์ ฝ่ำฝืนค ำสั่งอันชอบด้วยกฎหมำยของนำยด ำรัส โรจนเสถียร ประธำนบริษัทจ ำเลยที่ ๑ และค ำสั่งของ จ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมกำรผู้จัดกำรและเป็นนำยจ้ำงละเลยไม่น ำพำต่อค ำสั่งดังกล่ำวเป็นอำจิณ เป็นกำรกระท ำ ผิดซ้ ำค ำเตือน โดยโจทก์ไม่ได้กระท ำดังกล่ำว กำรที่จ ำเลยทั้งสองเลิกจ้ำงโจทก์โดยโจทก์ไม่มีควำมผิด โจทก์ ย่อมมีสิทธิได้รับค่ำชดเชย สินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ และค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยทั้งสองไม่จัดให้โจทก์หยุดพักผ่อนประจ ำปีตำมกฎหมำย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่ำท ำงำน ในวันหยุดและค่ำจ้ำงส ำหรับวันหยุดพักผ่อนประจ ำปี โจทก์ยังมีสิทธิได้รับค ่ำตอบแทนกำรขำยและ เงินทดรองจ่ำยค่ำน้ ำมันรถยนต์ที่โจทก์จ่ำยไปคืน นอกจำกนั้นกำรที่จ ำเลยทั้งสองเลิกจ้ำงโจทก์โดยแจ้ง


๒๖๒ กำรสิ้นสภำพกำรเป็นลูกจ้ำงของโจทก์ต่อส ำนักงำนประกันสังคมไม่ถูกต้อง ท ำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้รับ ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่ำงงำน ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองช ำระเงินดังกล่ำวพร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีจำกต้นเงินตำมจ ำนวนที่ปรำกฏในค ำขอท้ำยค ำฟ้องทุกจ ำนวนนับแต่วันเลิกจ้ำง (วันที่ ๑๙ มิถุนำยน ๒๕๖๐) เป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์และให้จ ำเลยทั้งสองแจ้งกำรสิ้นสภำพกำรเป็นลูกจ้ำงของ โจทก์ต่อส ำนักงำนประกันสังคมจังหวัดว่ำเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่มีควำมผิด มิฉะนั้นให้ถือเอำค ำพิพำกษำ แทนกำรแสดงเจตนำของจ ำเลยทั้งสอง จ ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๑ โดยจ ำเลยที่ ๒ มีค ำสั่งเลิกจ้ำงโจทก์เพรำะโจทก์ฝ่ำฝืน ค ำสั่งอันชอบด้วยกฎหมำยของนำยด ำรัส โรจนเสถียร ประธำนบริษัทจ ำเลยที่ ๑ และค ำสั่งของจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนำยจ้ำง ละเลยไม่น ำพำต่อค ำสั่งดังกล่ำวเป็นอำจิณ เป็นกำรกระท ำผิดซ้ ำค ำเตือน และท ำงำน ไม่มีประสิทธิภำพ อันเป็นกำรฝ่ำฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ เป็นกรณีตำมพระรำชบัญญัติ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๑๑๙ (๔) และประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๕๘๓ จ ำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องจ่ำยค่ำชดเชย และสินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำแก่โจทก์กำรเลิกจ้ำงด้วยเหตุ ดังกล่ำวไม่ใช่กำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมและ เงินอื่นตำมฟ้อง ทั้งไม่มีอ ำนำจขอให้จ ำเลยทั้งสองแจ้งกำรสิ้นสภำพกำรเป็นลูกจ้ำงของโจทก์ต่อส ำนักงำน ประกันสังคมจังหวัด โจทก์ท ำงำนโดยไม่มีก ำหนดเวลำเคร่งครัด ไม่อยู่ภำยใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับ กำรท ำงำน หรืออ ำนำจบังคับบัญชำของจ ำเลยทั้งสอง จึงไม่ใช่ลูกจ้ำงของจ ำเลยทั้งสอง คดีนี้จึงไม่ใช่คดี แรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๔ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม ่ จึงส ่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสองจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยทั้งสองเลิกจ้ำงโจทก์โดย โจทก์ไม่มีควำมผิด โจทก์จึงขอให้จ ำเลยทั้งสองช ำระค่ำชดเชยสินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำเสียหำย จำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ค่ำท ำงำนในวันหยุด ค่ำจ้ำงส ำหรับวันหยุดพักผ่อนประจ ำปี ค่ำตอบแทนกำรขำย และเงินทดรองจ่ำยค่ำน้ ำมันรถยนต์ที่โจทก์จ่ำยไปคืน และขอให้จ ำเลยทั้งสองแจ้งกำรสิ้นสภำพกำรเป็น ลูกจ้ำงของโจทก์ต่อส ำนักงำนประกันสังคมจังหวัดว่ำเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่มีควำมผิด เพื่อให้โจทก์มีสิทธิได้รับ ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่ำงงำน ตำมค ำฟ้องโจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์ ในฐำนะลูกจ้ำงกับนำยจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องเงินตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมจำกจ ำเลยทั้งสอง และเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสองซึ่งเป็น นำยจ้ำงปฏิบัติต่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้ำงไม่ถูกต้องตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ และ พระรำชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยทั้งสองตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน อันจะท ำให้มีสิทธิตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำของคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัย โดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน และตำมกฎหมำยว่ำด้วย


๒๖๓ กำรประกันสังคม ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)


Click to View FlipBook Version