๔๔ กำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒) ______________________ คดีทั้งสิบห้าส านวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ ตามล าดับส านวนว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ และเรียกจ าเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทุกส านวนว่า จ าเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ทั้งสิบห้าส านวนฟ้องเป็นใจความท านองเดียวกันว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นมารดาและโจทก์ที่ ๒ เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนันทิภัคค์ ธัญจิราธนานันต์ โจทก์ที่ ๓ เป็นบุตร และโจทก์ที่ ๔ เป็น สามีของนางวราพร คนแก้ว โจทก์ที่ ๕ เป็นพี่ชายร่วมมารดาเดียวกันกับนางสาวอ าภา หรสิทธิ์ โจทก์ที่ ๖ เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ที่ ๗ เป็นมารดาของนางสาวกุลธิดา โยธี โจทก์ที่ ๘ เป็นมารดาและ โจทก์ที่ ๙ เป็นบุตรของนางสาวเลขา โต๊ะสะและห์ โจทก์ที่ ๑๐ เป็นสามี โจทก์ที่ ๑๑ เป็นมารดา โจทก์ที่ ๑๒ และที่ ๑๓ เป็นบุตรของนางสาวเยาวลักษณ์ อุยตระกูล นางสาวนันทิภัคค์ นางสาวกุลธิดา นางสาวเลขา นางสาวเยาวลักษณ์ โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ท างานเป็นครูลูกจ้าง ส่วนนางวราพรและนางสาวอ าภา ท างาน เป็นบุคลากรทางการศึกษาของจ าเลยที่ ๒ ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทโรงเรียนเอกชน โดยมีจ าเลยที่ ๑ เป็นผู้อ านวยการโรงเรียน มีอ านาจสั่งการแทนจ าเลยที่ ๒ ให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาปฏิบัติตาม ค าสั่งได้ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ จ าเลยที่ ๑ ได้รับค าสั่งจากนายกฤษณะ ควรประเสริฐ ผู้รับใบอนุญาต ซึ่งกระท าการแทนจ าเลยที่ ๒ สั่งการให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมสัมมนาที่จังหวัดระยอง เมื่อเสร็จสิ้นการสัมมนาระหว่างเดินทางกลับจากจังหวัดระยองมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร จ าเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ตู้ หมายเลขทะเบียน ฮย – ๖๔๒๓ กรุงเทพมหานคร ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ชนแท่งคอนกรีตกั้นกลางถนน เป็นเหตุให้นางสาวนันทิภัคค์ นางวราพร นางสาวอ าภา นางสาวกุลธิดา นางสาวเลขา นางสาวเยาวลักษณ์ และเด็กหญิงกัญญภัค คนแก้ว ถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ บาดเจ็บ การกระท าของจ าเลยที่ ๑ เป็นการละเมิดในทางการที่จ้างของจ าเลยที่ ๒ นอกจากนั้น จ าเลยที่ ๒ ไม่น าส่งเงินสมทบบุคลากรทางการศึกษาเข้ากองทุนสงเคราะห์ กระทรวงศึกษาธิการ ท าให้ นางวราพร และนางสาวอ าภาไม่มีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพและค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติโรงเรียน เอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๗๖ และมาตรา ๗๘ และเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ข้อ ๗ นอกจากนั้น จ าเลยที่ ๒ ยังได้เลิกจ้างโจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ท าให้โจทก์ดังกล่าวเสียโอกาสและขาดรายได้จากการเป็นครู จ าเลยทั้งสองยังค้างจ่ายค่าจ้างบางส่วนและจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ด้วย โจทก์ที่ ๑๕ ต้องทุพพลภาพเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานร่างกาย จึงขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย ขอให้บังคับ จ าเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายในการท าศพ ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดู เงินทุนเลี้ยงชีพ ค่าทดแทน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียโอกาสและขาดประโยชน์ ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย และค่าเสียหาย จากความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานร่างกาย พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสิบห้าส านวน รายละเอียดตามค าขอ ท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละส านวน จ าเลยที่ ๑ ให้การว่า จ าเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ตู้ตามค าสั่งนายกฤษณะ ควรประเสริฐ เป็นการ กระท าในทางการที่จ้างและในกิจการของจ าเลยที่ ๒ ด้วยความระมัดระวังใช้ความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมาย ก าหนด สาเหตุของอุบัติเหตุเกิดจากยางรถยนต์ตู้ระเบิดท าให้จ าเลยที่ ๑ ไม่สามารถควบคุมรถยนต์ตู้ได้
๔๕ จึงเสียหลักพลิกคว่ า เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย หลังเกิดเหตุบริษัทธนชาตประกันภัย จ ากัด (มหาชน) และบริษัทเจ้าพระยาประกันภัย จ ากัด (มหาชน) ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสิบห้าแล้ว การเรียก ค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสิบห้าส านวนจึงสูงเกินส่วนและเป็นค่าเสียหายซ้ าซ้อน ในส่วนของค่าเสียโอกาสและ ขาดประโยชน์เป็นหน้าที่ของจ าเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ขอให้ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๒ ให้การและแก้ไขค าให้การว่า จ าเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถยนต์ตู้ตามค าสั่งนายกฤษณะ ควรประเสริฐ ในทางการที่จ้างและในกิจการของจ าเลยที่ ๒ แต่เป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวส่วนตัว โดยผู้ร่วมเดินทางขออนุญาตใช้รถยนต์ตู้ของจ าเลยที่ ๒ เป็นพาหนะในการเดินทาง หลังเกิดเหตุจ าเลยที่ ๒ ช่วยเหลือค่าท าศพและค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บแล้ว โจทก์ทั้งสิบห้ายังได้รับชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทผู้รับประกันภัยแล้ว การเรียกค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสิบห้าส านวน จึงสูงเกินส่วน ในส่วนที่อ้างว่าจ าเลยที่ ๒ ไม่ได้หักเงินสมทบน าส่งกองทุนสงเคราะห์ กระทรวงศึกษาธิการ ท าให้นางวราพร คนแก้ว และนางสาวอ าภา หรสิทธิ์ ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ นั้นก็ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าจ าเลยที่ ๒ มีหน้าที่ต้องน าส่งในอัตราใด เพียงใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ที่ ๑๔ ไม่ยอมไปรับค่าจ้างค้างเอง ส่วนของโจทก์ที่ ๑๕ จ าเลยที่ ๒ จ่ายให้แล้ว หลังเกิดเหตุโจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ละทิ้งหน้าที่ติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสามวัน จ าเลยที่ ๒ จึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย คดีนี้มิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับ การท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงไม่อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า นางสาวนันทิภัคค์ ธัญจิราธนานันต์ นางสาวเลขา โต๊ะสะและห์ นางสาวกุลธิดา โยธี นางสาวเยาวลักษณ์ อุยตระกูล โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ท างานเป็นครูลูกจ้าง ส่วนนางวราพร คนแก้ว และ นางสาวอ าภา หรสิทธิ์ ท างานเป็นบุคลากรทางการศึกษาของจ าเลยที่ ๒ ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภท โรงเรียนเอกชน โดยมีจ าเลยที่ ๑ เป็นผู้อ านวยการโรงเรียน มีอ านาจสั่งการแทนจ าเลยที่ ๒ ให้ครูและ บุคลากรทางการศึกษาปฏิบัติตามค าสั่งได้ จ าเลยที่ ๑ ได้รับค าสั่งจากนายกฤษณะ ควรประเสริฐ ผู้รับใบอนุญาต ซึ่งกระท าการแทนจ าเลยที่ ๒ สั่งการให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมสัมมนาที่จังหวัดระยอง ระหว่างเดินทางกลับจากจังหวัดระยองมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร จ าเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ตู้ด้วยความ ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงชนแท่งคอนกรีตกั้นกลางถนน เป็นเหตุให้นางสาวนันทิภัคค์ นางวราพร นางสาวอ าภา นางสาวกุลธิดา นางสาวเลขา นางสาวเยาวลักษณ์ และเด็กหญิงกัญญภัค คนแก้ว ถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ บาดเจ็บ คดีของโจทก์ทั้งสิบห้าส านวน ส่วนที่เกี่ยวกับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นตัวแทนจ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้าง และในฐานะเป็นลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ตามค าสั่งในทางการที่จ้างของจ าเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทเลินเล่อ จนเป็นเหตุให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาดังกล่าวถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ ในฐานะทายาทโดยธรรมของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ถึงแก่ความตายและโจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕
๔๖ ผู้บาดเจ็บจึงฟ้องให้จ าเลยที่ ๑ รับผิดตามมูลหนี้ละเมิด คดีส่วนนี้จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง ลูกจ้างกับลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) และคดีในส่วนของจ าเลยที่ ๒ โจทก์ทั้งสิบห้าส านวนฟ้อง จ าเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างของจ าเลยที่ ๑ และในฐานะเป็นนายจ้างของครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังกล่าวที่ถึงแก่ความตายและในฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด ซึ่งจ าเลยที่ ๑ ลูกจ้างของจ าเลยที่ ๒ ได้กระท าไปในทางการที่จ้างและกระท าละเมิดเกี่ยวกับการท างานตาม สัญญาจ้างแรงงานต่อครูและบุคลากรทางการศึกษาดังกล่าวที่ถึงแก่ความตายและในฐานะเป็นนายจ้างของ โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ และต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดกับจ าเลยที่ ๑ ตามบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ ในฐานะทายาทโดยธรรมของครูและบุคลากร ทางการศึกษาที่ถึงแก่ความตายและโจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ผู้บาดเจ็บจึงฟ้องให้จ าเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับ จ าเลยที่ ๑ ในมูลหนี้ละเมิด แม้โจทก์ทั้งสิบห้าจะมิได้ฟ้องว่าจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้กระท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งสิบห้า โดยตรงแต่ตามมาตรา ๘ (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังหมายถึงกรณีลูกจ้างผู้เสียหายฟ้องนายจ้างให้รับผิดแห่งละเมิดที่ลูกจ้างด้วยกันได้กระท าไปในทางการ ที่จ้างอีกด้วย คดีของโจทก์ทั้งสิบห้าส านวนส่วนที่เกี่ยวกับจ าเลยที่ ๒ นี้ จึงเป็นคดีพิพาทอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานและมูลละเมิดระหว่างลูกจ้างกับ ลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) นอกจากนี้คดีที่โจทก์ที่ ๓ ถึงที่ ๕ ฟ้องจ าเลยที่ ๒ อ้างเหตุว่าจ าเลยที่ ๒ ไม่น าส่ง เงินสมทบบุคลากรทางการศึกษาเข้ากองทุนสงเคราะห์ กระทรวงศึกษาธิการ ท าให้นางวราพร คนแก้ว และ นางสาวอ าภา หรสิทธิ์ ไม่มีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพและค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๗๖ และมาตรา ๗๘ และเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ข้อ ๗ เป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างของนางวราพรและนางสาวอ าภา จงใจไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๓ ถึงที่ ๕ เสียหายและปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้าง แรงงานต่อนางวราพรและนางสาวอ าภา โจทก์ที่ ๓ ถึงที่ ๕ ในฐานะทายาทโดยธรรมของนางวราพรและ นางสาวอ าภาจึงฟ้องให้จ าเลยที่ ๑ รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีของโจทก์ที่ ๓ ถึงที่ ๕ ส่วนที่ เกี่ยวกับจ าเลยที่ ๒ นี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ด้วย อีกทั้งคดีในส่วนที่โจทก์ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ฟ้องให้จ าเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการ คุ้มครองการท างานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อ ๑๑ และข้อ ๓๒ ซึ่งระเบียบฉบับนี้ ออกโดยอาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๖ มาตรา ๑๗ มาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ซึ่งใช้บังคับโดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๖ นั้นถือได้ว่าเป็นการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒)
๔๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๓๓/๒๕๖๐ สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานการประปานครหลวง จ ากัด โจทก์ นายสมศักดิ์ภู่ธงชัยฤทธิ์กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕), 9 โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ซึ่งเป็นคณะกรรมการด าเนินการที่ได้รับการ เลือกตั้งจากสมาชิกของโจทก์ เป็นผู้ด าเนินกิจการและเป็นผู้แทนโจทก์ในกิจการอันเกี่ยวกับ บุคคลภายนอก จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความระมัดระวัง ไม่รักษาผลประโยชน์ ของโจทก์และสมาชิก ท าให้โจทก์เสียหายอันมีลักษณะเป็นการกระท าละเมิดต่อโจทก์ แต่เมื่อข้อบังคับ โจทก์ หมวด ๗ ข้อ ๕๖ ให้คณะกรรมการด าเนินการด าเนินกิจการทั้งปวงของโจทก์ให้เป็นไปตาม ข้อบังคับ และตามมติของที่ประชุมใหญ่ รวมทั้ง "...(๑๓) พิจารณาให้ความเที่ยงธรรมแก่บรรดาสมาชิก เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของสหกรณ์..." อันแสดงให้เห็นว่าจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ มีอ านาจหน้าที่ด าเนิน กิจการแทนโจทก์ภายใต้การควบคุมของที่ประชุมใหญ่โดยมิได้มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างของโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ จึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน และไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ส าหรับคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ นั้น โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ 16 เป็นผู้จัดกำร จ ำเลยที่ 17 เป็นรองผู้จัดกำร เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ ปฏิบัติ ผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนต่อโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน หรือเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมการด าเนินการชุดที่ ๔๑ ซึ่งเลือกตั้งโดยสมาชิกของโจทก์ มี วาระด ารงต าแหน่งตามข้อบังคับโจทก์ โดยจ าเลยที่ ๑ เป็นประธานกรรมการด าเนินการ จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นรองประธานกรรมการ จ าเลยที่ ๖ เป็นเหรัญญิก จ าเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ เป็นกรรมการ จ าเลยที่ ๑๕ เป็นกรรมการและเลขานุการส่วนจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ โจทก์จ้างให้ท าหน้าที่เป็นผู้จัดการและ รองผู้จัดการ จ าเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ ถึงที่ ๑๑ ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ เคยเป็นคณะกรรมการด าเนินการ ชุดที่ ๔๐ โดยจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ ท าหน้าที่เป็นผู้จัดการและรองผู้จัดการในคณะกรรมการชุดที่ ๔๐ ด้วย เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๕ คณะกรรมการอ านวยการ ชุดที่ ๔๐ อนุมัติลงทุนเงินฝาก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๔๘ กับสหกรณ์บริการผู้ค้าสวนจตุจักร จ ากัด คณะกรรมการด าเนินการ ชุดที่ ๔๐ มีมติเห็นชอบ ต่อมา เดือนกุมภาพันธ์๒๕๕๖ คณะกรรมการด าเนินการ ชุดที่ ๔๑ อนุมัติให้ต่ออายุฝากเงิน ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับสหกรณ์บริการผู้ค้าสวนจตุจักร จ ากัด ระยะเวลา ๖ เดือน คณะกรรมการด าเนินการชุดที่ ๔๐ และ ชุดที่ ๔๑ จ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ กระท าโดยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบและประเมินฐานะทางการเงิน ของสหกรณ์บริการผู้ค้าสวนจตุจักร จ ากัด และราคาที่ดินที่น ามาจ านองประกันเงินฝากให้เป็นไปตาม ระเบียบและข้อบังคับของโจทก์ต่อมาสหกรณ์บริการผู้ค้าสวนจตุจักร จ ากัด ไม่คืนเงินทั้งหมดให้โจทก์ การกระท าของจ าเลยทั้งสิบเจ็ดท าให้โจทก์เสียหาย หากไม่อนุมัติให้ต่ออายุฝากเงิน โจทก์จะได้รับเงินคืน ภายในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ หากน าฝากธนาคารจะได้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง ๖๒๗,๑๓๘ บาท ขอให้ บังคับจ าเลยทั้งสิบเจ็ดร่วมกันช าระเงิน ๖๒๗,๑๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๐.๓๗๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๖ ให้การและแก้ไขค าให้การท านองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์มิได้มอบอ านาจเป็นหนังสือให้ผู้ใดฟ้องคดีนี้ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องคณะกรรมการด าเนินการ ชุดที่ ๔๐ ขอให้ช าระดอกเบี้ยจากต้นเงิน ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นคดีหมายเลขด าที่ พ.๗๒/๒๕๖๐ ต่อศาลแพ่ง การฟ้องให้จ าเลยทั้งสิบเจ็ดช าระดอกเบี้ยในช่วงเวลาเดียวกันจากเงินดังกล่าวอีกจึงเป็น ฟ้องซ้อนและเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายก าหนด ก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวก่อน จึงไม่มี อ านาจฟ้อง จ าเลยทั้งสิบเจ็ดพิจารณาอนุมัติให้ลงทุนเงินฝาก ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับสหกรณ์บริการ ผู้ค้าสวนจตุจักร จ ากัด โดยรอบคอบมีที่ดินจ านองเป็นประกันเงินฝาก เป็นการด าเนินการไปตาม วัตถุประสงค์และข้อบังคับและตามทางปฏิบัติที่ผ่านมาของโจทก์ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องสหกรณ์บริการ ผู้ค้าสวนจตุจักร จ ากัด ต่อมาศาลจังหวัดพระโขนงพิพากษาให้สหกรณ์บริการผู้ค้าสวนจตุจักร จ ากัด ช าระเงิน ๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์โจทก์จึงมิได้รับความเสียหาย โจทก์ฟ้องเกินกว่า ๑ ปี จึงขาดอายุความละเมิดแล้วและคดีในส่วนของจ าเลยที่ ๑๖ อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๑๗ ให้การว่า โจทก์ไม่มีการประชุมคณะกรรมการด าเนินการที่ให้ฟ้องคดีนี้และ ไม่มีหนังสือมอบอ านาจ โจทก์จึงไม่มีอ านาจฟ้อง การด าเนินการของคณะกรรมการด าเนินการเป็นไปตาม ระเบียบข้อบังคับ จ าเลยที่ ๑๗ เป็นลูกจ้างโจทก์ต าแหน่งรองผู้จัดการ มีหน้าที่ด าเนินการตามข้อบังคับ ระเบียบ และมติคณะกรรมการด าเนินการ และท างานตามที่จ าเลยที่ ๑๖ มอบหมาย จ าเลยที่ ๑๗ ท างาน ตามขั้นตอนด้วยความระมัดระวังรอบคอบ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องเกินกว่า ๑ ปีจึงขาดอายุความ ละเมิดแล้วและคดีในส่วนของจ าเลยที่ ๑๗ อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ เป็นคณะกรรมการด าเนินการ ชุดที่ ๔๑ ซึ่งเลือกตั้งโดยสมาชิกของโจทก์ มีวาระ
๔๙ ด ารงต าแหน่งตามข้อบังคับโจทก์โดยจ าเลยที่ ๑ เป็นประธานกรรมการด าเนินการ จ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นรองประธานกรรมการ จ าเลยที่ ๖ เป็นเหรัญญิก จ าเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๔ เป็นกรรมการ จ าเลยที่ ๑๕ เป็นกรรมการและเลขานุการ ส่วนจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ โจทก์จ้างให้ท าหน้าที่เป็นผู้จัดการและ รองผู้จัดการ ระหว่างการด าเนินงาน จ าเลยทั้งสิบเจ็ดปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความระมัดระวังไม่รักษา ผลประโยชน์ของโจทก์และสมาชิกท าให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ซึ่งเป็น คณะกรรมการด าเนินการ ชุดที่ ๔๑ ที่ได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกของโจทก์เป็นผู้ด าเนินกิจการและเป็น ผู้แทนโจทก์ในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอกตามข้อบังคับโจทก์ หมวด ๗ คณะกรรมการด าเนินการ ข้อ ๕๐ เอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๒ แต่จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจาก ความระมัดระวังไม่รักษาผลประโยชน์ของโจทก์และสมาชิกท าให้โจทก์เสียหายอันมีลักษณะเป็นการกระท า ละเมิดต่อโจทก์แต่เมื่อข้อบังคับโจทก์หมวด ๗ ข้อ ๕๖ เอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๒ ให้คณะกรรมการ ด าเนินการด าเนินกิจการทั้งปวงของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อบังคับและตามมติของที่ประชุมใหญ่ รวมทั้ง "...(๑๓) พิจารณาให้ความเที่ยงธรรมแก่บรรดาสมาชิก เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของสหกรณ์..." อันแสดง ให้เห็นว่าจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ มีอ านาจหน้าที่ด าเนินกิจการแทนโจทก์ภายใต้การควบคุมของที่ประชุมใหญ่ โดยมิได้มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของโจทก์คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๕ จึงมิใช่ คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน และไม่มีลักษณะ เป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ส าหรับคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้าง จ าเลยที่ ๑๖ ท างานเป็นผู้จัดการ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของจ าเลยที่ ๑ และจ้างจ าเลยที่ ๑๗ ท างานเป็นรองผู้จัดการ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของจ าเลยที่ ๑๖ ตามค าบรรยายลักษณะงาน เอกสารท้ายค าฟ้องหมายเลข ๔ และหมายเลข ๕ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ ปฏิบัติ ผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑๖ และที่ ๑๗ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับ การท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕)
๕๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๓4/๒๕๖๐ บริษัทไทยฟู้ดส์ สไวน อินเตอร์เนชั่นแนล จ ากัด โจทก์ นายเฉลิม ชุมประเสริฐ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างแล้ว แต่โจทก์จ่าย ค่าจ้างให้จ าเลยไปโดยผิดหลง จึงทวงถามให้จ าเลยคืนค่าจ้าง เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเคยเป็น ลูกจ้างรับเงินค่าจ้างตอบแทนการท างานไปโดยไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์และ จ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ จ าเลยเริ่มท างานเป็นพนักงานบริษัทไทย ฟู้ดส์ สไวน ฟาร์ม จ ากัด ต าแหน่งเจ้าหน้าที่ขายชิ้นส่วนสุกร ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๑๙,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ จ าเลยได้ย้ายมาท างานกับโจทก์ ระหว่างท างาน จ าเลยละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันท างาน ติดต่อกัน วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โจทก์จึงเลิกจ้างจ าเลย โจทก์จ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ รวม ๔๔,๖๓๓.๓๕ บาท ให้จ าเลยไปโดยผิดหลง โจทก์ทวงถามให้ จ าเลยคืนค่าจ้างดังกล่าวแล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วจ าเลยต้องคืนเงินให้โจทก์ ๔๗,๒๒๓.๘๘ บาท ขอให้บังคับจ าเลยจ่ายเงิน ๔๗,๒๒๓.๘๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๔๔,๖๓๓.๓๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะช าระเสร็จและให้จ าเลยช าระค่าฤชาธรรมเนียมและ ค่าทนายความแก่โจทก์ ชั้นตรวจค าฟ้อง ศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างแล้ว แต่โจทก์จ่ายค่าจ้างให้จ าเลยไป โดยผิดหลง จึงทวงถามให้จ าเลยคืนค่าจ้าง เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างรับเงินค่าจ้างตอบแทน การท างานไปโดยไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์และจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)
๕๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๓๕/๒๕๖๐ ธนาคารออมสิน โจทก์ นายประกายเพชร ศรีงาม กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕), ๙ ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ เคยเป็นพนักงำนโจทก์ต ำแหน่งผู้ช่วยผู้อ ำนวยกำร ฝ่ำยบริหำรคดี มีหน้ำที่ดูแลงำนด้ำนบริหำรคดีและบังคับคดีลูกหนี้ที่ผิดนัดช ำระหนี้ได้กระท ำกำร อันทุจริตโดยร่วมกับจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แอบอ้ำงขำยวัสดุโครงสร้ำง เช่น ไม้ โครงเหล็ก และวงกบ ของสิ่งปลูกสร้ำงพร้อมอยู่อำศัยบนที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินรอกำรขำยทอดตลำดของโจทก์ในรำคำต่ ำกว่ำ รำคำประเมินโดยจ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะตัวแทนของจ ำเลยที่ ๓ เป็นผู้ขำยฝ่ำยหนึ่ง และจ ำเลยที่ ๔ เป็นผู้ซื้ออีกฝ่ำยหนึ่ง มีจ ำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ว่ำจ้ำงให้คนงำนท ำกำรรื้อถอนท ำลำยสิ่งปลูกสร้ำงเพื่อ เอำวัสดุโครงสร้ำงดังกล่ำว กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ส่วนจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แม้จะมิได้มีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้ำงโจทก์ แต่โจทก์บรรยำยฟ้องอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกับจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ที่มีอ ำนำจหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนในกำรดูแล ทรัพย์สินของโจทก์เพื่อกำรบังคับคดีโดยตรงกระท ำละเมิดต่อโจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๕) เช่นเดียวกัน ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. ๒๔๘๙ จ าเลยที่ ๑ เคยเป็นพนักงานโจทก์ต าแหน่งผู้ช่วยผู้อ านวยการฝ่ายบริหารคดีมีหน้าที่ดูแลงานด้านบริหารคดีและบังคับคดี ลูกหนี้ที่ผิดนัดช าระหนี้ ได้กระท าการอันทุจริตต่อหน้าที่โดยร่วมกับจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แอบอ้างขายวัสดุ โครงสร้าง เช่น ไม้ โครงเหล็ก และวงกบ ของสิ่งปลูกสร้างพร้อมอยู่อาศัยบนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๑๖๐๗, ๔๑๖๐๙, ๔๑๖๑๐ และ ๖๘๘ ต าบลพิกุลออก อ าเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ซึ่งเป็นทรัพย์สินรอการขาย ทอดตลาดของโจทก์และมีราคาประเมิน ๔,๖๙๒,๐๐๐ บาท แต่ได้ตกลงซื้อขายกันเพียง ๒๕๐,๐๐๐ บาท โดย มีจ าเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนของจ าเลยที่ ๓ เป็นผู้ขาย จ าเลยที่ ๔ เป็นผู้ซื้อและได้วางมัดจ าด้วยการโอน เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท เข้าบัญชีเงินฝากของจ าเลยที่ ๕ แล้วจ าเลยที่ ๕ โอนเงินดังกล่าว ๓๐,๐๐๐ บาท เข้า บัญชีเงินฝากของจ าเลยที่ ๑ ส่วนราคาซื้อขายที่เหลืออีก ๒๐๐,๐๐๐ บาท จ าเลยที่ ๔ ช าระให้แก่จ าเลยที่ ๑ จากนั้นจ าเลยที่ ๔ และที่ ๕ ได้ว่าจ้างให้คนงานเข้าท าการรื้อถอนท าลายสิ่งปลูกสร้างเพื่อเอาวัสดุโครงสร้าง
๕๒ ดังกล่าว การกระท าของจ าเลยทั้งห้า ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยทั้งห้าร่วมกันช าระ ค่าเสียหาย ๕,๐๕๕,๔๖๙.๓๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔,๖๙๒,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยที่ ๑ ให้การว่า จ าเลยที่ ๑ ไม่เคยรู้จักจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ มาก่อน จ าเลยที่ ๑ ไม่ใช่ คู่สัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโจทก์ หากแต่เป็นจ าเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนของจ าเลยที่ ๓ เป็นผู้ขายฝ่ายหนึ่ง และจ าเลยที่ ๔ เป็นผู้ซื้ออีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจ าเลยดังกล่าวได้ตกลงซื้อขายกันเองโดยจ าเลยที่ ๑ ไม่ได้ มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ที่โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจ าเลยที่ ๑ เป็นเงินที่ลูกความช าระค่า ว่าความให้แก่นายนที แผนทัด ซึ่งเป็นทนายความที่จ าเลยที่ ๑ รู้จัก และนายนทีได้แอบอ้างจ าเลยที่ ๑ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือแล้วหลอกลวงจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เพื่อเสนอขายทรัพย์สินของโจทก์ จ าเลยที่ ๑ ไม่ได้กระท าละเมิด ขอให้ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๓ ให้การว่า จ าเลยที่ ๓ ไม่เคยรู้จักจ าเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ มาก่อน และไม่เคย มอบอ านาจให้จ าเลยที่ ๒ ท าสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๔ ให้การว่า จ าเลยที่ ๔ มีอาชีพรับซื้อตึกเก่าและถูกจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ หลอกลวง ด้วยการเสนอขายวัสดุโครงสร้าง เช่น ไม้ โครงเหล็ก และวงกบของสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ ให้แก่จ าเลยที่ ๔ ซึ่งจ าเลยที่ ๔ ตกลงซื้อโดยสุจริตเพราะเข้าใจและหลงเชื่อว่าจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ มีอ านาจ ขายทรัพย์สินดังกล่าวได้ในฐานะตัวแทนโจทก์ ส่วนราคาที่ซื้อขายกัน ๒๕๐,๐๐๐ บาท เป็นราคาปกติ ของการซื้อขายเพื่อรื้อถอน ภายหลังเมื่อจ าเลยที่ ๔ ทราบว่าถูกจ าเลยที่ ๑ กับพวกหลอกลวงได้แจ้งความ ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานต ารวจให้ด าเนินคดีแก่จ าเลยที่ ๑ กับพวก ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง จ าเลยที่ ๔ ไม่ได้ กระท าละเมิด ขอให้ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๕ ให้การว่า จ าเลยที่ ๕ ไม่ได้ว่าจ้างหรือสั่งการหรือร่วมกับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้คนงานท าการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ จ าเลยที่ ๕ เพียงแต่แนะน าให้จ าเลยที่ ๔ รู้จักกับจ าเลยที่ ๑ และจ าเลยที่ ๕ ยังถูกจ าเลยที่ ๑ หลอกลวงในการซื้อขายทรัพย์สินของโจทก์ โดยไม่รู้ว่าจ าเลยที่ ๑ มีอ านาจ กระท าการแทนโจทก์เพียงใด พฤติการณ์ของจ าเลยที่ ๑ ดังกล่าวเกิดจากโจทก์เองที่ไม่สอดส่องดูแล การท างานของจ าเลยที่ ๑ และปล่อยปละละเลยให้จ าเลยที่ ๑ แอบอ้างต าแหน่งหน้าที่การงานแสวงหา ผลประโยชน์จากบุคคลภายนอกผู้กระท าการโดยสุจริต จ าเลยที่ ๕ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดนนทบุรี เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเคยเป็นพนักงานโจทก์ต าแหน่งผู้ช่วยผู้อ านวยการฝ่ายบริหารคดี มีหน้าที่ดูแลงานด้านบริหารคดีและบังคับคดีลูกหนี้ที่ผิดนัดช าระหนี้ได้กระท าการอันทุจริตโดยร่วมกับจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แอบอ้างขายวัสดุโครงสร้าง เช่น ไม้ โครงเหล็ก และวงกบ ของสิ่งปลูกสร้างพร้อมอยู่อาศัยบนที่ดิน โฉนดเลขที่ ๔๑๖๐๗, ๔๑๖๐๙, ๔๑๖๑๐ และ ๖๘๘ ต าบลพิกุลออก อ าเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก อันเป็น ทรัพย์สินรอการขายทอดตลาดของโจทก์ในราคาเพียง ๒๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งต่ ากว่าราคาประเมินโดยจ าเลยที่ ๒
๕๓ ในฐานะตัวแทนของจ าเลยที่ ๓ เป็นผู้ขายฝ่ายหนึ่งและจ าเลยที่ ๔ เป็นผู้ซื้ออีกฝ่ายหนึ่ง มีจ าเลยที่ ๔ และที่ ๕ ว่าจ้างให้คนงานท าการรื้อถอนท าลายสิ่งปลูกสร้างเพื่อเอาวัสดุโครงสร้างดังกล่าว ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าว อ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ผู้ เป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ส่วนจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แม้จะมิได้มีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างโจทก์ แต่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ร่วมกับจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ที่มีอ านาจหน้าที่ตาม สัญญาจ้างแรงงานในการดูแลทรัพย์สินของโจทก์เพื่อการบังคับคดีโดยตรงกระท าละเมิดต่อโจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับ การท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 8 (5) เช่นเดียวกัน
๕๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๓๖/๒๕๖๐ นายธีรภัทรหรือภูมิภัทร วงษ์ไทยเจริญ โจทก์ บริษัทศรีทอง คาร์เรนท์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒), ๙, ๔๙ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำงเลิกจ้ำงโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโดยไม่เป็นธรรมและเลิกจ้ำง ก่อนครบก ำหนดเวลำตำมสัญญำจ้ำง จึงขอให้จ ำเลยจ่ำยค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ค่ำเสียหำยจำกกำรผิดสัญญำจ้ำงที่ให้โจทก์ท ำงำนไม่ครบตำมก ำหนดที่ตกลงกันไว้ และคืนเงินประกัน กำรท ำงำนและค่ำด ำเนินกำรแก่โจทก์ เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ค่ำเสียหำยและค่ำด ำเนินกำร จำกกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำน และเรียกร้องให้นำยจ้ำงคืนหลักประกันกำรท ำงำนหรือหลักประกันควำม เสียหำยในกำรท ำงำนตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลย อันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำแห่งคดีที่จะต้องได้รับกำร พิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนและเป็น คดีพิพำทเกี่ยวกับกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดี แรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) และมำตรำ ๔๙ ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ กันยำยน ๒๕๕๗ จ ำเลยท ำสัญญำจ้ำงโจทก์ท ำงำน ต ำแหน่งพนักงำน ขับรถ ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๙๔,๕๐๐ บำท ก ำหนดระยะเวลำจ้ำง ๕ ปีซึ่งจะครบก ำหนดตำมสัญญำวันที่ ๓๑ สิงหำคม ๒๕๖๒ โดยจ ำเลยเก็บเงินประกันกำรท ำงำน ๑๔๗,๐๐๐ บำท และค่ำด ำเนินกำร ๒๐,๐๐๐ บำท วันที่ ๒ สิงหำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์ อ้ำงเหตุว่ำโจทก์ขับรถฝ่ำฝืนสัญญำณจรำจรโดยไม่เป็นควำมจริง จึงเป็นกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมและเป็นกำรเลิกจ้ำงโจทก์ก่อนครบก ำหนดตำมสัญญำจ้ำงท ำให้โจทก์เสียหำย ก่อนฟ้องจ ำเลยจ่ำยเงินประกันกำรท ำงำนและค่ำด ำเนินกำรให้โจทก์แล้วบำงส่วน ขอให้บังคับจ ำเลย จ่ำยค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ๕๐๐,๐๐๐ บำท ค่ำเสียหำยจำกกำรผิดสัญญำ ๓,๔๐๒,๐๐๐ บำท และคืนเงินประกันกำรท ำงำนและค่ำด ำเนินกำร ๑๓๗,๖๐๐ บำทพร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ จ ำเลยท ำสัญญำรับจ้ำงรถบริกำรรับส่งพนักงำนกับกลุ่มบริษัทโกลว์เอสพีพี๑ จ ำกัด รวม ๕ บริษัท แต่จ ำเลยมีรถไม่เพียงพอจึงเชิญชวนบุคคลภำยนอกเข้ำร่วมบริกำรกับจ ำเลย โจทก์ จึงเข้ำท ำสัญญำตำมหนังสือสัญญำจ้ำงขนส่งกับจ ำเลย โดยโจทก์จะต้องจัดหำรถยนต์ตู้พร้อมคนขับและ มีอุปกรณ์ต่ำง ๆ ตำมเงื่อนไขที่บริษัทโกลว์เอสพีพี๑ จ ำกัด ก ำหนดไว้โจทก์สำมำรถเลือกระยะทำงหรือ ก ำหนดเวลำรับส่งพนักงำนเองได้โจทก์ต้องวำงเงินประกันควำมเสียหำยต่อบริษัทโกลว์เอสพีพี๑ จ ำกัด
๕๕ เป็นเงิน ๑๑๗,๖๐๐ บำท หลังท ำสัญญำแล้วโจทก์มีพฤติกรรมที่ผิดสัญญำโดยขับรถฝ่ำสัญญำณไฟจรำจร ใช้ควำมเร็วเกินก ำหนด ดัดแปลงเลขไมล์จ ำเลยตักเตือนแล้วแต่โจทก์ยังคงกระท ำควำมผิด จึงได้เลิกสัญญำ และคืนเงินประกันกำรท ำงำนครึ่งหนึ่งให้โจทก์โจทก์จึงมิใช่ลูกจ้ำงจ ำเลย ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๒ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำช บัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำงเลิกจ้ำงโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโดยไม่เป็นธรรมและเลิกจ้ำงก่อนครบก ำหนดเวลำ ตำมสัญญำจ้ำง จึงขอให้จ ำเลยจ่ำยค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ค่ำเสียหำยจำกกำรผิดสัญญำจ้ำง ที่ให้โจทก์ท ำงำนไม่ครบตำมก ำหนดที่ตกลงกันไว้และคืนเงินประกันกำรท ำงำนและค่ำด ำเนินกำรแก่โจทก์ เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกกำร เลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ค่ำเสียหำยและค่ำด ำเนินกำรจำกกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำน และเรียกร้องให้นำยจ้ำง คืนหลักประกันกำรท ำงำนหรือหลักประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำนตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำ แห่งคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรคุ้มครองแรงงำนและเป็นคดีพิพำทเกี่ยวกับกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรม ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) และมำตรำ ๔๙
๕๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๓๗/๒๕๖๐ สหกรณ์การเกษตรเมืองสระแก้ว จ ากัด โจทก์ นางสาวสมพิศ ด่านพงษ์พันธ์ จ ำเลย พ.ร.บ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๐ พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒), ๙ โจทก์ฟ้องว่ำ นำงสำวน้ ำอ้อย หน้ำนวล เคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งเจ้ำหน้ำที่กำรตลำด โดยมีจ ำเลยและนำงน้อมจิตร์ หำญประสพ เป็นผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของนำงสำวน้ ำอ้อย ระหว่ำงท ำงำน นำงสำวน้ ำอ้อยยักยอกเงินโจทก์ นำงสำวน้ ำอ้อยและนำงน้อมจิตร์ได้น ำเงินบำงส่วนมำคืนโจทก์แล้ว แต่จ ำเลย ในฐำนะผู้ค้ ำประกันอีกคนหนึ่งไม่ช ำระเงินแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ นำงสำวน้ ำอ้อยซึ่งเคย เป็นลูกจ้ำงโจทก์ประพฤติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง เมื่อโจทก์ฟ้องให้จ ำเลยรับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของนำงสำวน้ ำอ้อยซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญำ จ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับนำงสำวน้ ำอ้อย ทั้งยังเป็นกรณีนำยจ้ำงเรียกหรือรับหลักประกันกำรท ำงำน หรือหลักประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำนโดยกำรค้ ำประกันด้วยบุคคลจำกลูกจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติ คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๑๐ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยและนำงน้อมจิตร์ หำญประสพ ท ำสัญญำค้ ำประกันกำรท ำงำนของนำงสำว น้ ำอ้อย หน้ำนวล ลูกจ้ำงต ำแหน่งเจ้ำหน้ำที่กำรตลำด (ฝ่ำยปั๊ม) หรือต ำแหน่งอื่นที่ได้รับแต่งตั้งหรือ มอบหมำยจำกคณะกรรมกำรด ำเนินกำรหรือผู้จัดกำรสหกรณ์กำรเกษตรเมืองสระแก้ว จ ำกัด ไว้กับโจทก์ ต่อมำนำงสำวน้ ำอ้อยยักยอกเงินโจทก์ พนักงำนอัยกำรจังหวัดสระแก้วยื่นฟ้องนำงสำวน้ ำอ้อยเป็นจ ำเลย ต่อศำลจังหวัดสระแก้วฐำนยักยอกทรัพย์ นำงสำวน้ ำอ้อยและนำงน้อมจิตร์ได้น ำเงินบำงส่วนมำคืนโจทก์แล้ว แต่จ ำเลยในฐำนะผู้ค้ ำประกันอีกคนหนึ่งไม่ช ำระเงินแก่โจทก์ โจทก์บอกกล่ำวทวงถำมให้จ ำเลยช ำระเงิน ๒๓๗,๒๙๐.๖๐ บำท แล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงินดังกล่ำวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรและฟ้องแย้งว่ำ จ ำเลยไม่ได้ลงลำยมือชื่อในสัญญำค้ ำประกันกำรท ำงำน สัญญำ ค้ ำประกันกำรท ำงำนเป็นกำรค้ ำประกันกำรจ้ำงแรงงำน คดีนี้จึงอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน กำรฟ้องคดีของโจทก์เป็นกำรกระท ำละเมิดต่อจ ำเลยขอให้ยกฟ้อง และขอให้โจทก์ชดใช้ค่ำเสียหำยจำกกำร กระท ำละเมิดพร้อมดอกเบี้ยแก่จ ำเลย ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดสระแก้ว เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง
๕๗ พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ นำงสำวน้ ำอ้อย หน้ำนวล เคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งเจ้ำหน้ำที่กำรตลำด (ฝ่ำยปั๊ม) โดยมี จ ำเลยและนำงน้อมจิตร์ หำญประสพ เป็นผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของนำงสำวน้ ำอ้อย ระหว่ำงท ำงำน นำงสำวน้ ำอ้อยยักยอกเงินโจทก์ นำงสำวน้ ำอ้อยและนำงน้อมจิตร์ได้น ำเงินบำงส่วนมำคืนโจทก์แล้ว แต่จ ำเลยในฐำนะผู้ค้ ำประกันอีกคนหนึ่งไม่ช ำระเงินแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำนำงสำวน้ ำอ้อย ซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ประพฤติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง เมื่อโจทก์ฟ้องให้จ ำเลยรับผิดในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำนของนำงสำวน้ ำอ้อยซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสัญญำ จ้ำงแรงงำนระหว่ำงโจทก์กับนำงสำวน้ ำอ้อยทั้งยังเป็นกรณีนำยจ้ำงเรียกหรือรับหลักประกันกำรท ำงำนหรือ หลักประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำนโดยกำรค้ ำประกันด้วยบุคคลจำกลูกจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครอง แรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๑๐ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำน และวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒)
๕๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๓๘/๒๕๖๐ บริษัทเอ็มโอจี อินดัสตรี เทรนนิ่ง จ ากัด โจทก์ บริษัทพัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล เซพตี้ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕), ๙ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประกอบกิจกำรในลักษณะเดียวกับโจทก์ โดยมี จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเคยเป็นพนักงำนบริษัทโจทก์เป็นกรรมกำรบริษัท และมีจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ซึ่งเคยเป็นพนักงำนโจทก์เข้ำท ำงำนเป็นพนักงำนจ ำเลยที่ ๑ ด้วย ระหว่ำงจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ท ำงำน กับโจทก์ มีสัญญำระบุว่ำ จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จะไม่น ำควำมลับทำงธุรกิจของโจทก์หรือเอำหลักสูตร กำรเรียนกำรสอนไปเผยแพร่แก่บุคคลภำยนอก แต่จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ กลับร่วมกันจัดตั้งบริษัทจ ำเลยที่ ๑ เพื่อประกอบกิจกำรในลักษณะเดียวกับโจทก์แล้วลำออกจำกบริษัทโจทก์เพื่อไปท ำงำนที่บริษัทจ ำเลยที่ ๑ และได้ลอกเลียนหลักสูตรกำรฝึกอบรมอันเป็นสิทธิเฉพำะของโจทก์ไปเป็นของตนและร่วมกันโฆษณำ หลักสูตรกำรฝึกอบรมว่ำได้รับกำรรับรองมำตรฐำนจำกสถำบันฝึกอบรมนอกชำยฝั่งของสหรำชอำณำจักร (OPITO) โดยมีอัตรำค่ำฝึกอบรมที่มีรำคำต่ ำกว่ำโจทก์ทั้งที่หลำยหลักสูตรยังไม่ได้รับกำรรับรอง ท ำให้ ลูกค้ำบริษัทโจทก์หลงเชื่อและถอนกำรฝึกอบรมแล้วเปลี่ยนไปฝึกอบรมกับจ ำเลยที่ ๑ เป็นกำรแสวงหำ ประโยชน์ในทำงกำรค้ำโดยรู้อยู่แล้วว่ำเป็นสิทธิเฉพำะของโจทก์และจงใจแย่งลูกค้ำไปจำกโจทก์โดยจงใจ ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำยอันเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เคยมีนิติสัมพันธ์ เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ได้ปฏิบัติผิดข้อตกลงในสัญญำ จ้ำงแรงงำนที่ให้ไว้ต่อโจทก์ในขณะที่มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงลูกจ้ำงและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็น นำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน แม้จ ำเลยที่ ๑ จะเป็นนิติบุคคลแยกต่ำงหำกจำก จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ก็ตำม แต่จ ำเลยที่ ๑ ก็เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยมีจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่ต่ำงร่วมกัน เป็นกรรมกำรผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทนจ ำเลยที่ ๑ โดยมีจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นพนักงำน ซึ่งจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ล้วนแต่เคยเป็นพนักงำนโจทก์ ดังนั้น กำรประกอบกิจกำรในทำงธุรกิจของจ ำเลยที่ ๑ อันเป็นกำรแข่งขันกับโจทก์โดยจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ดังกล่ำวย่อมเป็นกรณีที่สืบเนื่องมำจำกกำรที่จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนที่ท ำไว้แก่โจทก์และเกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิด แต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ประกอบธุรกิจเป็นผู้อบรมหลักสูตรเฉพำะทำงและได้รับอนุญำตให้ประกอบ ธุรกิจฝึกอบรมเกี่ยวกับอำชีวอนำมัย ระบบควำมปลอดภัยในกำรท ำงำนทั้งบนบกและนอกชำยฝั่ง รวมทั้ง เป็นที่ปรึกษำให้กลุ่มที่ท ำงำนเกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมภำยใต้กำรรับอนุญำตของมูลนิธิเพื่อสถำบันพัฒนำ
๕๙ บุคลำกรด้ำนปิโตรเลียม กรมเชื้อเพลิงพลังงำน กระทรวงพลังงำน หลักสูตรของโจทก์ได้รับกำรรับรอง มำตรฐำนจำกสถำบันฝึกอบรมนอกชำยฝั่งของสหรำชอำณำจักร (OPITO) สถำบันฝึกอบรมและพัฒนำ บุคลำกรด้ำนปิโตรเลียม (TPTI) และกรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เคยเป็น พนักงำนบริษัทโจทก์โดยมีสัญญำระบุว่ำจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จะไม่น ำควำมลับทำงธุรกิจของโจทก์ หรือเอำหลักสูตรกำรเรียนกำรสอนไปเผยแพร่แก่บุคคลภำยนอก ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ร่วมกัน จัดตั้งบริษัทจ ำเลยที่ ๑ เพื่อประกอบกิจกำรในลักษณะเดียวกับโจทก์แล้วจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ได้ลำออกจำก บริษัทโจทก์เพื่อไปท ำงำนที่บริษัทจ ำเลยที่ ๑ โดยจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นกรรมกำรบริษัทด้วย จ ำเลยทั้งหก จงใจกระท ำละเมิดและผิดสัญญำต่อโจทก์โดยลอกเลียนหลักสูตรกำรฝึกอบรมอันเป็นสิทธิเฉพำะของโจทก์ ไปเป็นของตนและร่วมกันโฆษณำหลักสูตรกำรฝึกอบรมว่ำได้รับกำรรับรองมำตรฐำนจำกสถำบันฝึกอบรม นอกชำยฝั่งของสหรำชอำณำจักร (OPITO) โดยมีอัตรำค่ำฝึกอบรมที่มีรำคำต่ ำกว่ำโจทก์ทั้งที่หลำยหลักสูตร ยังไม่ได้รับกำรรับรอง ท ำให้ลูกค้ำบริษัทโจทก์หลงเชื่อและถอนกำรฝึกอบรมแล้วเปลี่ยนไปฝึกอบรมกับ จ ำเลยที่ ๑ เป็นกำรแสวงหำประโยชน์ในทำงกำรค้ำโดยรู้อยู่แล้วว่ำเป็นสิทธิเฉพำะของโจทก์และจงใจแย่ง ลูกค้ำไปจำกโจทก์โดยจงใจท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งหกร่วมกันช ำระเงิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่ โจทก์ให้จ ำเลยทั้งหกระงับกำรด ำเนินกิจกำรซึ่งได้ลอกเลียนหลักสูตรกำรฝึกอบรมทั้งหมดอันเป็นสิทธิ เฉพำะของโจทก์ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ให้กำรและแก้ไขค ำให้กำรท ำนองเดียวกันว่ำ โจทก์ไม่มีอ ำนำจฟ้อง ค ำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้บรรยำยว่ำหลักสูตรของโจทก์มีหลักสูตรใดบ้ำง หลักสูตรที่โจทก์อ้ำงว่ำ เป็นสิทธิเฉพำะของโจทก์นั้นโจทก์ไม่ได้น ำไปจดทะเบียนสิทธิบัตรหรือลิขสิทธิ์ น่ำจะไม่ได้เป็นควำมลับ ทำงกำรค้ำแต่เป็นงำนสำธำรณะที่สำมำรถเข้ำถึงได้ จ ำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประกอบกิจกำรในลักษณะเดียวกับ โจทก์และจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ไม่ได้ร่วมกันลอกเลียนหลักสูตรของโจทก์จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันคิดและ ก ำหนดอัตรำค่ำฝึกอบรมด้วยควำมรู้ควำมสำมำรถ ทักษะและประสบกำรณ์ของตนเองโดยไม่ได้ลอกเลียน จำกผู้ใด จ ำเลยที่ ๑ ได้รับกำรรับรองมำตรฐำนจำกสถำบันฝึกอบรมนอกชำยฝั่งของสหรำชอำณำจักร (OPITO) แล้ว และท ำตำมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกำรฝึกอบรมของสถำบันดังกล่ำวหรือสถำบันอื่น ก่อนหน้ำนี้ จ ำเลยที่ ๑ เพียงแต่เตรียมกำรและแจ้งแก่ลูกค้ำว่ำยังไม่เริ่มรับสมัครกำรฝึกอบรมและไม่เคยโฆษณำว่ำ ผ่ำนกำรรับรองมำตรฐำนก่อนเริ่มรับสมัครกำรฝึกอบรม โจทก์ท ำบันทึกข้อตกลงเลิกจ้ำงจ ำเลยที่ ๕ และ ที่ ๖ โดยจ ำกัดสิทธิหรือเสรีภำพในกำรประกอบวิชำชีพอันไม่เป็นธรรม จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไม่เคย น ำควำมลับทำงกำรค้ำหรือทำงธุรกิจหรือหลักสูตรกำรเรียนกำรสอนของโจทก์ไปเผยแพร่แก่จ ำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่ำเสียหำยตำมค ำฟ้อง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ อยู่ในเขตอ ำนำจของ ศำลแรงงำนภำค ๒ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดพัทยำเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ
๖๐ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประกอบกิจกำรในลักษณะเดียวกับโจทก์โดยมีจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเคยเป็นพนักงำนบริษัทโจทก์เป็นกรรมกำรบริษัท และมีจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ซึ่งเคยเป็นพนักงำนโจทก์ เข้ำท ำงำนเป็นพนักงำนจ ำเลยที่ ๑ ด้วย ระหว่ำงที่จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ท ำงำนกับโจทก์มีสัญญำระบุว่ำจ ำเลย ที่ ๒ ถึงที่ ๖ จะไม่น ำควำมลับทำงธุรกิจของโจทก์หรือเอำหลักสูตรกำรเรียนกำรสอนไปเผยแพร่ แก่บุคคลภำยนอก แต่จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ กลับร่วมกันจัดตั้งบริษัทจ ำเลยที่ ๑ เพื่อประกอบกิจกำรในลักษณะ เดียวกับโจทก์แล้วลำออกจำกบริษัทโจทก์เพื่อไปท ำงำนที่บริษัทจ ำเลยที่ ๑ และได้ลอกเลียนหลักสูตร กำรฝึกอบรมอันเป็นสิทธิเฉพำะของโจทก์ไปเป็นของตนและร่วมกันโฆษณำหลักสูตรกำรฝึกอบรมว่ำได้รับ กำรรับรองมำตรฐำนจำกสถำบันฝึกอบรมนอกชำยฝั่งของสหรำชอำณำจักร (OPITO) โดยมีอัตรำ ค่ำฝึกอบรมที่มีรำคำต่ ำกว่ำโจทก์ทั้งที่หลำยหลักสูตรยังไม่ได้รับกำรรับรอง ท ำให้ลูกค้ำบริษัทโจทก์หลงเชื่อ และถอนกำรฝึกอบรมแล้วเปลี่ยนไปฝึกอบรมกับจ ำเลยที่ ๑ เป็นกำรแสวงหำประโยชน์ในทำงกำรค้ำ โดยรู้อยู่แล้วว่ำเป็นสิทธิเฉพำะของโจทก์และจงใจแย่งลูกค้ำไปจำกโจทก์โดยจงใจท ำให้โจทก์ได้รับ ควำมเสียหำย อันเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เคยมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำง กันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ได้ปฏิบัติผิดข้อตกลงในสัญญำจ้ำงแรงงำนที่ให้ไว้ต่อโจทก์ ในขณะที่มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนด้วยกำรจัดตั้งบริษัทจ ำเลยที่ ๑ ขึ้นเพื่อประกอบกิจกำรที่มีลักษณะเดียวกันแข่งขัน กับโจทก์และน ำควำมลับทำงธุรกิจของโจทก์เกี่ยวกับหลักสูตรกำรฝึกอบรมต่ำง ๆ ไปเผยแพร่หำประโยชน์ จำกบุคคลภำยนอกและชักชวนลูกค้ำโจทก์ไปเป็นลูกค้ำจ ำเลยที่ ๑ รวมทั้งเรียกเก็บค่ำฝึกอบรมแต่ละ หลักสูตรต่ ำกว่ำโจทก์แม้จ ำเลยที่ ๑ จะเป็นนิติบุคคลแยกต่ำงหำกจำกจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ก็ตำม แต่จ ำเลยที่ ๑ ก็เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยมีจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่ต่ำงร่วมกันเป็นกรรมกำรผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทน จ ำเลยที่ ๑ โดยมีจ ำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นพนักงำน ซึ่งจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ล้วนแต่เคยเป็นพนักงำนโจทก์ ดังนั้น กำรประกอบกิจกำรในทำงธุรกิจของจ ำเลยที่ ๑ อันเป็นกำรแข่งขันกับโจทก์โดยจ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ดังกล่ำวย่อมเป็นกรณีที่สืบเนื่องมำจำกกำรที่จ ำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนที่ท ำไว้แก่โจทก์และ เกี่ยวเนื่องกับสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)
๖๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๓๙/๒๕๖๐ บริษัทแอดวานซ์ มารีน อีเนอร์จี้ จ ากัด โจทก์ นายคอลิน เจมส์ แชมเบอร์ส จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕), ๙ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งประธำนกรรมกำรบริหำร ของโจทก์ ระหว่ำงท ำงำน โจทก์ให้จ ำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์และเอกสำรข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับกิจกำรของโจทก์ โดยจ ำเลยอนุมัติสั่งซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่กับอนุมัติซื้อคอมพิวเตอร์และ ระบบคอมพิวเตอร์อีก ๓ เครื่อง นอกจำกนี้จ ำเลยยังน ำเอกสำรข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกำรของโจทก์ไป และน ำเงินของโจทก์จ่ำยเป็นค่ำเดินทำงไปประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งจ่ำยค่ำเช่ำที่พักและค่ำมัดจ ำที่พัก โดยไม่มีสิทธิ ต่อมำจ ำเลยลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงโจทก์แล้วแต่ไม่คืนทรัพย์สิน ข้อมูลเอกสำร และเงินดังกล่ำวแก่โจทก์ จึงขอให้จ ำเลยคืนเงิน ข้อมูลเอกสำร และทรัพย์สินดังกล่ำวแก่โจทก์ อันเป็น กำรฟ้องเรียกร้องให้จ ำเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ชดใช้ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำรปฏิบัติผิดหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็น คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำง นำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำจ ำเลยเคยเป็นประธำนกรรมกำรบริหำรของโจทก์ ระหว่ำงท ำงำนเป็นลูกจ้ำง โจทก์ให้ จ ำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์และเอกสำรข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกำรของโจทก์ โดยจ ำเลยอนุมัติสั่งซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่กับอนุมัติซื้อคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์อีก ๓ เครื่อง นอกจำกนี้จ ำเลยยังน ำเงินของโจทก์จ่ำยเป็นค่ำเดินทำงไปประเทศออสเตรเลีย ๗๐,๐๐๐ บำท จ่ำยค่ำเช่ำ ที่พักและค่ำมัดจ ำที่พัก ๗๒๐,๐๐๐ บำท โดยไม่มีสิทธิทั้งยังน ำเอกสำรข้อมูลที่เกี่ยวกับกิจกำรของโจทก์ไป ต่อมำจ ำเลยลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงโจทก์แต่ไม่คืนทรัพย์สิน ข้อมูลเอกสำรและเงินดังกล่ำวแก่โจทก์ ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๘๑๐,๒๙๑.๑๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๗๙๐,๐๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จ ำเลยคืน โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์ เอกสำรและข้อมูลที่เกี่ยวกับกิจกำรของโจทก์ รำยละเอียดปรำกฏตำมค ำขอท้ำยฟ้องของโจทก์หำกไม่สำมำรถคืนได้ขอให้ช ำระเงิน ๕๖๙,๕๔๑.๑๑ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ จ ำเลยเคยท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์จ ำเลยสั่งซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่กับอนุมัติซื้อ คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์อีก ๓ เครื่อง เพื่อใช้ในกิจกำรของโจทก์เมื่อโจทก์เลิกจ้ำง จ ำเลย ได้คืนให้โจทก์แล้ว จ ำเลยไม่ได้น ำเอกสำรข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกำรของโจทก์ไป จ ำเลยเดินทำงไปประเทศ
๖๒ ออสเตรเลียเพื่อเจรจำธุรกิจของโจทก์ซึ่งเบิกจ่ำยค่ำเดินทำงได้ ค่ำที่พักจ ำเลยก็สำมำรถเบิกจ่ำยได้ตำมสัญญำจ้ำง แรงงำน ส่วนเงินมัดจ ำโจทก์ชอบที่จะเรียกคืนจำกผู้ให้เช่ำเอง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งประธำนกรรมกำรบริหำรของโจทก์ ระหว่ำง ท ำงำนโจทก์ให้จ ำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์และเอกสำรข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกำรของโจทก์ โดยจ ำเลยอนุมัติสั่งซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่กับอนุมัติซื้อคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์อีก ๓ เครื่อง นอกจำกนี้จ ำเลยยังน ำเอกสำรข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกำรของโจทก์ไปและน ำเงินของโจทก์จ่ำยเป็นค่ำเดินทำง ไปประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งจ่ำยค่ำเช่ำที่พักและค่ำมัดจ ำที่พักโดยไม่มีสิทธิ ต่อมำจ ำเลยลำออกจำกกำร เป็นลูกจ้ำงโจทก์แล้วแต่ไม่คืนทรัพย์สิน ข้อมูลเอกสำร และเงินดังกล่ำวแก่โจทก์ จึงขอให้จ ำเลยคืนเงิน ข้อมูลเอกสำร และทรัพย์สินดังกล่ำวแก่โจทก์อันเป็นกำรฟ้องเรียกร้องให้จ ำเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ชดใช้ ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำรปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็น นำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็น คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)
๖๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๔๐/๒๕๖๐ นายเกลน นอร์แมน ไทเลอร์ โจทก์ บริษัทปรนันท์จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒), 9 โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ท ำงำนกับจ ำเลยต ำแหน่งวิศวกรออกแบบผลิตภัณฑ์ด้ำนพลำสติก ระหว่ำงท ำงำนจ ำเลยไม่จ่ำยเงินเดือน ค่ำที่พัก และค่ำอ ำนวยควำมสะดวกแก่โจทก์ โดยจะน ำไปใช้ ท ำให้ธุรกิจของจ ำเลยเติบโต ต่อมำจ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่ำวล่วงหน้ำและไม่ได้ให้เหตุผล ในกำรเลิกจ้ำง โจทก์จึงเรียกร้องค่ำจ้ำงค้ำง สินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ และค่ำชดเชย เป็นกำร กล่ำวอ้ำงควำมสัมพันธ์ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครอง แรงงำนและตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงิน ตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหำของคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะ ผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำน และวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว ่าเมื ่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔ โจทก์เข้าท างานกับจ าเลย ต าแหน ่งวิศวกร ออกแบบผลิตภัณฑ์ด้านพลาสติก ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าที่พักและ ค ่าอ านวยความสะดวกเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ กรรมการบริษัทจ าเลยขอไม่จ่าย เงินเดือน ค่าที่พักและค่าอ านวยความสะดวกแก่โจทก์เพื่อน าไปใช้ให้ธุรกิจของจ าเลยเติบโต โจทก์ยินยอม แต่หลังจากนั้นปรากฏว่าจ าเลยไม่ได้ด าเนินการ ต่อมาวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ได้ให้เหตุผลในการเลิกจ้าง ขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าจ้างค้างตั้งแต่เดือน มิถุนายน ๒๕๕๔ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชย รวมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วเป็นเงิน ทั้งสิ้น ๔๔,๘๕๘,๑๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๘,๓๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า จ าเลยไม่เคยตกลงจ่ายค่าที่พักและค่าอ านวยความสะดวกแก่โจทก์กรรมการ บริษัทจ าเลยไม่เคยขอไม่จ่ายเงินเดือน ค่าที่พัก และค่าอ านวยความสะดวกโดยอ้างจะน าไปใช้ท าให้ธุรกิจ ของจ าเลยเติบโตแต่อย่างใด แต่โจทก์ต่างหากที่ขอให้จ าเลยช่วยเหลือทางการเงินแล้วไม่สามารถน าเงิน ช าระคืนได้ กรรมการบริษัทจ าเลยจึงน าหุ้นที่โจทก์ถืออยู่ในบริษัทจ าเลยมาหักช าระหนี้ตามข้อตกลง ท าให้ โจทก์ไม่พอใจและฟ้องจ าเลย ต ่อมาศาลจังหวัดพระโขนงและศาลจังหวัดมีนบุรีมีค าพิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้เป็นลูกจ้างจ าเลยแต่โจทก์เป็นนายจ้างของกรรมการบริษัทจ าเลยและมีธุรกิจส่ว นตัวตั้งแต่
๖๔ ปี๒๕๔๕ จ าเลยจึงไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ สิทธิเรียกร้องในส่วนของค่าจ้างและดอกเบี้ยขาดอายุความ คดีนี้ไม่อยู่ ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ท างานกับจ าเลย ต าแหน่งวิศวกรออกแบบผลิตภัณฑ์ด้านพลาสติก ระหว่างท างาน จ าเลยไม ่จ ่ายเงินเดือน ค ่าที ่พักและค่าอ านวยความสะดวกแก่โจทก์ โดยจะน าไปใช้ท าให้ธุรกิจของ จ าเลยเติบโต แต่จ าเลยไม่ได้ด าเนินการ ต่อมาจ าเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ได้ ให้เหตุผลในการเลิกจ้าง โจทก์จึงเรียกร้องค่าจ้างค้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชย เป็นการกล่าวอ้างความสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง แรงงานและตามสัญญาจ้างแรงงาน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้างของจ าเลยอันจะท าให้มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้อง หรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหาของคดีที่จะต้องได้รับการพิจารณาวินิจฉัยโดยองค์คณะ ผู้พิพากษาตามรูปคดีต่อไป คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒)
๖๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.41/2560 นายมณเฑียร อินทร์น้อย โจทก์ บริษัทบ้านราชประสงค์ จ ากัด (มหาชน) กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ 8 (1) (2), ๙ วรรคสอง ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ จ าเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ท างานต าแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ บริหารมีอ านาจบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารทุกฝ่าย ท าหน้าที่เป็นที่ปรึกษาบริษัทดูแลและสนับสนุน การด าเนินธุรกิจและโครงการต่าง ๆ ของจ าเลยที่ ๑ โดยโจทก์ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามค าสั่งและภายใต้ บังคับบัญชาของจ าเลยที่ ๒ ได้รับค่าจ้างและค่าตอบแทนพิเศษตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเพิ่มเติม เพื่อจูงใจให้โจทก์อยู่ปฏิบัติงานในโครงการต่าง ๆ จนส าเร็จบรรลุผลตามเป้าหมาย ซึ่งโจทก์ได้ด าเนินการ บริหารจัดการจนท าให้จ าเลยทั้งสองมีผลก าไรจากโครงการต่าง ๆ หลายร้อยล้านบาท แต่จ าเลยทั้งสอง กลับค้างจ่ายค่าจ้าง และเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังได้ผิดนัดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับ ค่าตอบแทน ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยทั้งสอง มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน จ าเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างได้ค้างจ่าย ค่าจ้างและผิดนัดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับค่าตอบแทนดังกล่าวอันสืบเนื่องมาจากสภาพการจ้างและ เลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างโดยไม่ชอบ อันเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงานและ ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ หรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ส่วนโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างต่อกันและนิติสัมพันธ์ระหว่าง โจทก์กับจ าเลยทั้งสองจะเป็นการจ้างท าของหรือจ้างแรงงานตามที่จ าเลยทั้งสองให้การต่อสู้ เป็นเรื่องที่ องค์คณะผู้พิพากษาจะได้พิจารณาและวินิจฉัยต่อไปตามรูปคดี ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหำชนจ ำกัด ประกอบ กิจกำรซื้อ ขำย เช่ำ อสังหำริมทรัพย์เพื่อกำรพักอำศัย มีจ ำเลยที่ ๒ เป็นกรรมกำรผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทน เมื่อประมำณกลำงปี ๒๕๕๓ จ ำเลยที่ ๑ โดยจ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทนจ ำเลยที่ ๑ และ ในฐำนะส่วนตัวได้จ้ำงโจทก์ท ำงำนต ำแหน่งประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำรมีอ ำนำจบังคับบัญชำเจ้ำหน้ำที่ ฝ่ำยบริหำรทุกฝ่ำยและท ำหน้ำที่เป็นที่ปรึกษำบริษัทดูแลและให้กำรสนับสนุนกำรด ำเนินธุรกิจและโครงกำร ต่ำง ๆ ของจ ำเลยที่ ๑ ประกอบด้วยโครงกำรบ้ำนนวธำรำ โครงกำรดิ เอ็นเนอร์จี้ หัวหิน โครงกำรบ้ำนหัวหิน อำเคเดีย และกิจกำรในเครือของจ ำเลยที่ ๑ พร้อมทั้งให้ค ำปรึกษำวำงกลยุทธ์และยุทธศำสตร์เพื่อเสนอแนะ ให้แก่กรรมกำรผู้จัดกำร ซึ่งโจทก์ต้องปฏิบัติหน้ำที่ตำมค ำสั่งและภำยใต้บังคับบัญชำของจ ำเลยที่ ๒ โดย
๖๖ ประจ ำอยู่ที่โครงกำรบ้ำนนวธำรำ ได้รับค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำยเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บำท และจ ำเลยทั้งสอง ยังมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงเพิ่มเติมหำกโจทก์ปฏิบัติงำนจนส ำเร็จบรรลุผลตำมเป้ำหมำยโดยตกลง ให้ค่ำตอบแทนในโครงกำรบ้ำนนวธำรำ ริเวอร์ไลฟ์ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท สิทธิกำรเช่ำในโครงกำร ศิลำปุระ หรือบ้ำนหัวหิน อำเคเดีย ๑ หลัง และค่ำตอบแทนร้อยละ ๑๐ ของผลก ำไรในโครงกำรซื้อที่ดิน จำกบรรษัทบริหำรสินทรัพย์ไทย (บสท.) เพื่อพัฒนำและประสบผลส ำเร็จ ซึ่งโจทก์ได้บริหำรจัดกำร จนประสบควำมส ำเร็จตำมเป้ำหมำยแล้ว แต่จ ำเลยทั้งสองกลับค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงและเลิกจ้ำงโจทก์โดยโจทก์ ไม่ได้กระท ำผิดและไม่ได้บอกกล่ำวล่วงหน้ำ อันเป็นกำรเลิกจ้ำงโดยไม่เป็นธรรม และผิดนัดไม่ช ำระ ค่ำตอบแทนตำมข้อตกลงดังกล่ำว ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันหรือ แทนกันจ่ำยค่ำจ้ำงค้ำงช ำระ ๑,๖๐๐,๐๐๐ บำท ค่ำชดเชย ๒,๔๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่ำว สินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ๘๐๐,๐๐๐ บำท ค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำง โดยไม่เป็นธรรม ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท และค่ำตอบแทนตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงเพิ่มเติม ๔๙๔,๓๑๖,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่ำวแต่ละจ ำนวน ทั้งนี้นับแต่ วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยทั้งสองให้กำรและแก้ไขค ำให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ตกลงรับโจทก์ท ำงำนเป็นที่ปรึกษำ ในกำรประกอบธุรกิจของจ ำเลยที่ ๑ ต ำแหน่งประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำร มีหน้ำที่ให้ค ำปรึกษำและแนะน ำ แนวทำงกำรด ำเนินธุรกิจแก่คณะกรรมกำรบริหำรและประธำนคณะกรรมกำรบริหำรของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งโจทก์ มีอิสระในกำรท ำงำนโดยไม่ต้องอยู่ภำยใต้กฎระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ และ จ ำเลยทั้งสองไม่มีอ ำนำจบังคับบัญชำควบคุมกำรท ำงำนของโจทก์ แต่โจทก์มีหน้ำที่ต้องท ำงำนให้เกิด ผลส ำเร็จตำมเป้ำหมำยเท่ำนั้น โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้ำงจ ำเลยทั้งสอง นิติสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยทั้งสอง เป็นกำรจ้ำงท ำของไม่ใช่กำรจ้ำงแรงงำน จ ำเลยที่ ๒ กระท ำในฐำนะกรรมกำรผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทน จ ำเลยที่ ๑ ไม่ใช่กระท ำในฐำนะส่วนตัว ต่อมำประมำณปี ๒๕๕๖ ถึงปลำยปี ๒๕๕๘ โจทก์ไม่มำท ำงำนและ ไม่มีผลงำนส ำเร็จตำมเป้ำหมำยที่ตกลงไว้กับจ ำเลยทั้งสอง อีกทั้งยังไปรับจ้ำงเป็นผู้บริหำรและคณะกรรมกำร ผู้มีอ ำนำจของบริษัทเคซี พร๊อพเพอร์ตี้ จ ำกัด (มหำชน) ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งที่ประกอบกิจกำรเช่นเดียวกับ จ ำเลยที่ ๑ ท ำให้จ ำเลยที่ ๑ ได้รับควำมเสียหำย จ ำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดตำมฟ้อง และฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ จ ำเลยทั้งสองยื่นค ำร้องขอให้ส่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษเป็น ผู้วินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจศำลแรงงำนหรือไม่ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีอยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหำชนจ ำกัด ประกอบกิจกำรซื้อ ขำย เช่ำ อสังหำริมทรัพย์เพื่อกำรพักอำศัย มีจ ำเลยที่ ๒ เป็นกรรมกำรผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทน จ ำเลยทั้งสอง ว่ำจ้ำงโจทก์ท ำงำนต ำแหน่งประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำรมีอ ำนำจบังคับบัญชำเจ้ำหน้ำที่ฝ่ำยบริหำรทุกฝ่ำย ท ำหน้ำที่เป็นที่ปรึกษำบริษัทดูแลและสนับสนุนกำรด ำเนินธุรกิจและโครงกำรต่ำง ๆ ของจ ำเลยที่ ๑
๖๗ ประกอบด้วยโครงกำรบ้ำนนวธำรำ โครงกำรดิ เอนเนอร์จี้ หัวหิน โครงกำรบ้ำนหัวหิน อำเคเดีย และกิจกำร ในเครือของจ ำเลยที่ ๑ โดยโจทก์ต้องปฏิบัติหน้ำที่ตำมค ำสั่งและภำยใต้บังคับบัญชำของจ ำเลยที่ ๒ ได้รับ ค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำยเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บำท และค่ำตอบแทนพิเศษตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง เพิ่มเติมเพื่อจูงใจให้โจทก์อยู่ปฏิบัติงำนในโครงกำรต่ำง ๆ จนส ำเร็จบรรลุผลตำมเป้ำหมำย แบ่งเป็น ค่ำตอบแทนในโครงกำรบ้ำนนวธำรำ ริเวอร์ไลฟ์ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท สิทธิกำรเช่ำในโครงกำรศิลำปุระ หรือบ้ำนหัวหิน อำเคเดีย ๑ หลัง และค่ำตอบแทนร้อยละ ๑๐ ของผลก ำไรในโครงกำรซื้อที่ดินจำก บรรษัทบริหำรสินทรัพย์ไทย (บสท.) เพื่อพัฒนำและประสบผลส ำเร็จ ซึ่งโจทก์ได้ด ำเนินกำรบริหำรจัดกำรจน ท ำให้จ ำเลยทั้งสองมีผลก ำไรจำกโครงกำรต่ำง ๆ หลำยร้อยล้ำนบำท แต่จ ำเลยทั้งสองกลับค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำง และเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังได้ผิดนัดไม่ปฏิบัติตำมข้อตกลงเกี่ยวกับค่ำตอบแทนดังกล่ำว ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์และจ ำเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์เป็น นำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน จ ำเลยทั้งสองผู้เป็นนำยจ้ำงได้ค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงและผิดนัด ไม่ปฏิบัติตำมข้อตกลงเกี่ยวกับค่ำตอบแทนดังกล่ำวอันสืบเนื่องมำจำกสภำพกำรจ้ำงและเลิกจ้ำงโจทก์ซึ่ง เป็นลูกจ้ำงโดยไม ่ชอบ อันเป็นกำรไม ่ปฏิบัติให้ถูกต้องตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรคุ้มครองแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำง แรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำงและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๒) ส่วนโจทก์กับ จ ำเลยทั้งสองจะเป็นนำยจ้ำงหรือลูกจ้ำงต่อกันและนิติสัมพันธ์ระหว ่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจะเป็น กำรจ้ำงท ำของหรือจ้ำงแรงงำนตำมที ่จ ำเลยทั้งสองให้กำรต ่อสู้เป็นเรื่องที ่องค์คณะผู้พิพำกษำจะได้ พิจำรณำและวินิจฉัยต่อไปตำมรูปคดี
๖๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.42/2560 นายศรชัย สงขวัญ โจทก์ บริษัทเวสท์ เอ็น จ ากัด กับพวก จ ำเลย ป.วิ.พ. มาตรา 158 (5) พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘, 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องจ ำเลยทั้งห้ำเป็นคดีอำญำและมีค ำขอท้ำยค ำฟ้องอำญำว่ำกำรกระท ำของจ ำเลย ทั้งห้ำถือว่ำเป็นควำมผิด ขอให้ลงโทษจ ำเลยทั้งห้ำตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๗๐, ๑๑๘ วรรคหนึ่ง (๕), ๑๔๔, ๑๕๘ ประกอบประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๘๓, ๙๑ ซึ่งแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่ำ โจทก์ประสงค์ให้จ ำเลยทั้งห้ำร่วมกันรับผิดในทำงอำญำเท่ำนั้น กำรที่โจทก์บรรยำยฟ้องเกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งห้ำว่ำเป็นนำยจ้ำงลูกจ้ำงกัน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและจ ำเลยทั้งห้ำมีหน้ำที่ต้องจ่ำยค่ำจ้ำงและค่ำชดเชยให้โจทก์ ก็เป็นกำร บรรยำยฟ้องถึงกำรกระท ำทั้งหลำยที่อ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งห้ำได้ร่วมกันกระท ำผิดตลอดจนข้อเท็จจริง และรำยละเอียดเกี่ยวกับเวลำและสถำนที่ซึ่งเกิดกำรกระท ำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ ๑๕๘ (๕) เมื่อศำลแรงงำนมีอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำเฉพำะคดีที่บัญญัติไว้ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ซึ่งเป็นคดีที่พิพำทเกี่ยวกับควำมรับผิดในทำงแพ่งเท่ำนั้น ไม่รวมถึงควำมรับผิด ทำงอำญำด้วย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งห้ำจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ____________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด มีจ าเลยที่ ๓ ที่ ๔ และ นายนภัทร ณ ล าพูน เป็นกรรมการผู้มีอ านาจ จ าเลยที่ ๒ เคยเป็นกรรมการผู้มีอ านาจในช่วงเวลาที่โจทก์ ท างานกับจ าเลยที่ ๑ จ าเลยที่ ๕ เป็นผู้บริหารและเป็นเจ้าของบริษัทจ าเลยที่ ๑ โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของ บริษัทเดวา ดีเวลลอปเม้นท์ จ ากัด (มหาชน) ต าแหน่งวิศวกรออกแบบ ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ได้ย้ายไปท างานกับจ าเลยที่ ๑ จ าเลยทั้งห้าร่วมกันเจตนากระท าผิดกฎหมายอาญาต่อโจทก์ต่างกรรมต่างวาระ โดยไม่จ่ายค่าจ้างประจ าเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ประจ าเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ประจ าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และประจ าเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ จ าเลยทั้งห้าเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ ท าให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษจ าเลยทั้งห้าตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๐, ๑๑๘ วรรคหนึ่ง (๕), ๑๔๔, ๑๕๘ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลจังหวัดนนทบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง
๖๙ พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องจ าเลยทั้งห้าเป็นคดีอาญาและมีค าขอท้ายค าฟ้องอาญาว่าการกระท าของจ าเลยทั้งห้าถือว่า เป็นความผิด ขอให้ลงโทษจ าเลยทั้งห้าตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๐, ๑๑๘ วรรคหนึ่ง (๕), ๑๔๔, ๑๕๘ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ซึ่งแสดงให้เห็น โดยชัดแจ้งว่า โจทก์ประสงค์ให้จ าเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดในทางอาญาเท่านั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้อง เกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งห้าว่าเป็นนายจ้างลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานและ จ าเลยทั้งห้ามีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยให้โจทก์ ก็เป็นการบรรยายฟ้องถึงการกระท าทั้งหลาย ที่อ้างว่าจ าเลยทั้งห้าได้ร่วมกันกระท าผิดตลอดจนข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ ซึ่งเกิดการกระท านั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) เมื่อศาลแรงงานมีอ านาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ซึ่งเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับความรับผิด ในทางแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงความรับผิดทางอาญาด้วย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งห้าจึงไม่มีลักษณะ เป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘
๗๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.43/2560 นายทวีป บุญโยทก กับพวก โจทก์ บริษัทวิวพอยทส์ จ ากัด กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 โจทก์ทั้งสองฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสองซึ่งเคยเป็นนำยจ้ำงกระท ำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็น ลูกจ้ำง โดยน ำควำมเท็จร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวนว่ำโจทก์ทั้งสองกับพวกร่วมกันลักทรัพย์นำยจ้ำง และปลอมเอกสำร ท ำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และต้องเสียค่ำใช้จ่ำยในกำรแก้ ข้อกล่ำวหำ ดังนี้ แม้โจทก์ทั้งสองจะกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสองซึ่งเคยเป็นนำยจ้ำงกระท ำละเมิดต่อโจทก์ ทั้งสองซึ่งเคยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้ำงนำยจ้ำงกันก็ตำม แต่ข้ออ้ำงที่อำศัยเป็นหลักแห่งข้อหำตำมค ำฟ้อง ของโจทก์ทั้งสองเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสองกระท ำละเมิดโดยร้องทุกข์ด ำเนินคดีอำญำจนท ำให้ โจทก์ทั้งสองเสียหำย อันเป็นกำรกล่ำวอ้ำงกำรกระท ำต่ำงหำกที่ไม่เกี่ยวข้องกับกำรท ำงำนตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนโดยตรง แต่เป็นกำรใช้สิทธิเรียกร้องตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๒ หนี้ ลักษณะ ๕ ละเมิด คดีระหว่ำงโจทก์ทั้งสองกับจ ำเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ______________________ โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด มีจ าเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มี อ านาจกระท าการแทน เมื่อปี ๒๕๔๖ จ าเลยทั้งสองจ้างโจทก์ที่ ๑ ท างานต าแหน่งชิปปิ้ง ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๒๒,๐๐๐ บาท และจ้างโจทก์ที่ ๒ ท างานต าแหน่งพนักงานบัญชี ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๑๘,๐๐๐ บาท โจทก์ทั้งสองได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนกันยายน ๒๕๕๙ จ าเลยทั้งสองกระท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองโดยน าความเท็จร้องทุกข์ต่อพนักงาน สอบสวนว่า โจทก์ทั้งสองกับพวกร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างและปลอมเอกสาร ท าให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ข้อกล่าวหา ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองร่วมกันช าระ ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท และช าระแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมประกาศขอขมาโจทก์ทั้งสองทางหนังสือพิมพ์ด้วยค่าใช้จ่ายของจ าเลยทั้งสอง จ าเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างจ าเลยที่ ๑ แต่ไม่เคยเป็นลูกจ้างจ าเลยที่ ๒ หลังจากโจทก์ทั้งสองลาออก จ าเลยที่ ๒ ตรวจสอบพบว่าโจทก์ทั้งสอง และนางสาววาสนา เชาวน์เกษม ร่วมกันลักสมุดเช็คและปลอมเช็คของจ าเลยที่ ๒ แล้วเรียกเก็บเงิน จึงได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน จ าเลยทั้งสองใช้สิทธิโดยสุจริตและจ าเลยที่ ๒ ไม่ได้กระท าในฐานะส่วนตัวจึงไม่เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ทั้งสองเกี่ยวกับการจ้างแรงงาน มูลคดีที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงไม่อยู่
๗๑ ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ส่วนค่าใช้จ่ายในการแก้ข้อกล่าวหาก็มิใช่ค่าเสียหายจาก มูลละเมิด ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานภาค ๕ เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จ าเลยทั้งสองซึ่งเคยเป็นนายจ้างกระท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้าง โดยน า ความเท็จร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสองกับพวกร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างและปลอมเอกสาร ท าให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ข้อกล่าวหา ดังนี้ แม้โจทก์ทั้งสองจะกล่าวอ้างว่าจ าเลยทั้งสองซึ่งเคยเป็นนายจ้างกระท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเคยมี นิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างนายจ้างกันก็ตาม แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามค าฟ้องของโจทก์ทั้งสอง เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยทั้งสองกระท าละเมิดโดยร้องทุกข์ด าเนินคดีอาญาจนท าให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย อันเป็นการกล่าวอ้างการกระท าต่างหากที่ไม่เกี่ยวข้องกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานโดยตรง แต่เป็น การใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๒ หนี้ ลักษณะ ๕ ละเมิด คดีระหว่าง โจทก์ทั้งสองกับจ าเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘
๗๒ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.44/2560 นายกิตติ จิตตรีประเสริฐ โจทก์ นายพิชัย แซ่ลิ่ม จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1), 9 โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์จ้ำงจ ำเลยปฏิบัติหน้ำที่แพทย์เพื่อท ำกำรตรวจรักษำคนไข้เกี่ยวกับผิวหนัง มีก ำหนดเวลำ ๕ ปี นับแต่วันที่ ๒๓ เมษำยน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๓ เมษำยน ๒๕๖๐ จ ำเลยตกลงท ำงำน ๕ วันต่อสัปดำห์ และไม่ไปท ำงำนที่อื่นหรือผิดข้อตกลงอื่น แต่ปรำกฏว่ำจ ำเลยลำงำนและขำดงำนหลำยวัน และตั้งแต่เดือนกันยำยน ๒๕๕๙ จ ำเลยท ำงำนเพียง ๔ วันต่อสัปดำห์ โดยวันพฤหัสบดีของแต่ละสัปดำห์ จ ำเลยไปท ำงำนที่สถำนพยำบำลอื่นอันมีลักษณะงำนเช่นเดียวกับโจทก์ ท ำให้โจทก์เสียหำย โจทก์จึงมี หนังสือไล่ออกซึ่งระบุว่ำ จ ำเลยผิดข้อตกลงร่วมงำนและมำตรฐำนกฎระเบียบทั่วไป โดยละทิ้งกำรงำน และกระท ำกำรอันไม่สมควรแก่กำรปฏิบัติหน้ำที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต อันเป็นกำรไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๕๘๓ และเป็นกำรกระท ำควำมผิดร้ำยแรงตำม พระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๑๑๙ และพระรำชบัญญัติแรงงำนสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มำตรำ ๑๒๓ จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดข้อตกลงซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของสัญญำจ้ำงแรงงำนอันเป็นกำรฝ่ำฝืนกฎหมำยแรงงำนดังกล่ำวและเรียกร้องค่ำเสียหำยตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการสถานพยาบาล "พรเกษมคลินิกเวช" ได้ท าบันทึกข้อตกลง ร่วมงานกับจ าเลยซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อท าการตรวจรักษาคนไข้ ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท มีก าหนดเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๐ จ าเลย ต้องท างาน ๕ วันต่อสัปดาห์โดยมีวันอังคารและวันเสาร์เป็นวันหยุดประจ าสัปดาห์ จ าเลยตกลงจะไม่ไป ท างานที่อื่นหรือผิดข้อตกลงอื่น มิฉะนั้นโจทก์สามารถเลิกการร่วมงานและเรียกร้องค่าเสียหายจากจ าเลยได้ แต่ระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ จ าเลยลางานและขาดงานหลายวัน และ ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๙ จ าเลยท างานเพียง ๔ วันต่อสัปดาห์ โดยวันพฤหัสบดีของแต่ละสัปดาห์จ าเลย ไปท างานที่คลินิกแคร์อันมีลักษณะงานเช่นเดียวกับโจทก์ การกระท าของจ าเลยเป็นการผิดข้อตกลงร่วมงาน ท าให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินรวม ๒,๑๗๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า จ าเลยปฏิบัติงานในฐานะแพทย์และผู้ร่วมงานกับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลง ร่วมงาน จึงไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานกฎระเบียบทั่วไปที่ใช้กับลูกจ้างทั่วไปของโจทก์แต่ไม่ได้น ามาใช้ บังคับกับแพทย์ จ าเลยลางานตามวิธีปฏิบัติโดยชอบและได้หาแพทย์อื่นมาอยู่เวรแทนโดยโจทก์ไม่เคย ว่ากล่าวตักเตือนหรือแจ้งให้ทราบว่าเป็นการผิดระเบียบแต่อย่างใด จ าเลยแจ้งโจทก์ขอปรับลดวันท างาน
๗๓ จาก ๕ วันต่อสัปดาห์ เป็น ๔ วันต่อสัปดาห์ และวันพฤหัสบดีของแต่ละสัปดาห์จ าเลยไปท างานที่คลินิกแคร์ เพื่อช่วยงานอาจารย์แพทย์ที่เคยสอนจ าเลยในระหว่างที่อาจารย์แพทย์ข้อเท้าแพลงเท่านั้นโดยมิได้มีเจตนา ไปท างานชั่วคราวหรืองานประจ าแต่อย่างใด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินส่วนและไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดพระโขนงเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจ าเลยปฏิบัติหน้าที่แพทย์เพื่อท าการตรวจรักษาคนไข้เกี่ยวกับผิวหนังมีก าหนดเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๐ จ าเลยตกลงท างาน ๕ วันต่อสัปดาห์ และไม่ไปท างานที่อื่นหรือผิดข้อตกลงอื่น แต่ปรากฏว่าจ าเลยลางานและขาดงานหลายวันและตั้งแต่เดือน กันยายน ๒๕๕๙ จ าเลยท างานเพียง ๔ วันต่อสัปดาห์ โดยวันพฤหัสบดีของแต่ละสัปดาห์จ าเลยไปท างานที่ สถานพยาบาลอื่นอันมีลักษณะงานเช่นเดียวกับโจทก์ ท าให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงมีหนังสือไล่ออกตาม เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖ ซึ่งระบุว่า จ าเลยผิดข้อตกลงร่วมงานและมาตรฐานกฎระเบียบทั่วไป โดยละทิ้ง การงานและกระท าการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต อันเป็น การไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ และเป็นการกระท าความผิดร้ายแรงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติผิดข้อตกลงซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแรงงานดังกล่าวและเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาจ้าง แรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) อนึ่ง ค าวินิจฉัยดังกล่าว คงพิจารณาเฉพาะแต่ข้ออ้างตามค าฟ้องของโจทก์เท่านั้น ส่วนที่จ าเลย ให้การต่อสู้และเป็นปัญหาพิพาทว่า จ าเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งองค์คณะผู้พิพากษา จะต้องพิจารณาวินิจฉัยตามรูปคดีต่อไป
๗๔ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.45 - 46/2560 นายธวรรษชัย กิจธรรมพิทักษ์ กับพวก โจทก์ บริษัทสามคิว โซลูชั่น จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 โจทก์ทั้งสองฟ้องว่ำ จ ำเลยเลิกจ้ำงโจทก์ทั้งสองโดยกล่ำวหำว่ำโจทก์ทั้งสองจัดซื้ออุปกรณ์ และกล่องบรรจุชิ้นส่วนของสินค้ำในรำคำสูงผิดปกติโดยมีส่วนได้รับผลประโยชน์ แล้วประกำศให้พนักงำน ของจ ำเลยและบุคคลภำยนอกทรำบ เป็นกำรใส่ควำมท ำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงเกียรติคุณอันเป็น กำรละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกจ ำเลย เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่ำวอ้ำงถึง ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์ทั้งสองกับจ ำเลยในฐำนะลูกจ้ำงกับนำยจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน เพื่อใช้ สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกกำรที่โจทก์ทั้งสองกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยกระท ำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับ กำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์ทั้งสองกับจ ำเลยส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดี แรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕) ______________________ คดีทั้งสองส านวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีค าสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ ตามล าดับส านวนว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ และเรียกจ าเลยทุกส านวนว่าจ าเลย โจทก์ทั้งสองฟ้องท านองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ จ าเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเข้าท างาน ต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด และต าแหน่งผู้ช่วย ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๗๘,๘๐๐ บาท และเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ตามล าดับ ระหว่างท างานโจทก์ทั้งสองออกเงินทดรองจ่ายในกิจการของจ าเลยไปแล้วยังไม่ได้รับคืน ต่อมา จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองจัดซื้ออุปกรณ์และกล่องบรรจุชิ้นส่วนของสินค้า Q turf ในราคาสูงผิดปกติโดยมีส่วนได้รับผลประโยชน์ แล้วประกาศให้พนักงานของจ าเลยและบุคคลภายนอกทราบ เป็นการใส่ความท าให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงเกียรติคุณอันเป็นการละเมิด และจ าเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจ าเลยคืนเงินทดรองจ่ายแก่โจทก์ทั้งสองและจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และจ่ายค่าเสียหาย จากการกระท าละเมิดแก่โจทก์ทั้งสองคนละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จ าเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองมีหน้าที่จัดซื้ออุปกรณ์และกล่องบรรจุชิ้นส่วนของสินค้า Q turf จากบริษัทเค.ที.เค บรรจุภัณฑ์ จ ากัด และจัดพิมพ์สติกเกอร์จากบริษัทสติกเกอร์ แอนด์ เลเบิ้ล จ ากัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตโดยตรงเพื่อใช้ในกิจการจ าเลย แต่โจทก์ทั้งสองกลับร่วมกันจัดซื้อในนามร้านพอยท์ ครีเอชั่น ดีไซน์ แล้วจึงจ าหน่ายต่อให้จ าเลยในราคาสูงผิดปกติโดยมีข้อสงสัยว่าโจทก์ทั้งสองจะมีส่วนได้รับ ผลประโยชน์ อันเป็นการจงใจท าให้จ าเลยได้รับความเสียหายและเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการท างาน
๗๕ เป็นกรณีร้ายแรง จ าเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองแต่ไม่ได้ประกาศให้พนักงานของจ าเลยและ บุคคลภายนอกทราบ คดีส่วนที่โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจ าเลยประกาศการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองให้พนักงานของ จ าเลยและบุคคลภายนอกทราบท าให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงเกียรติคุณไม่อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงาน จ าเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง การกระท าของโจทก์ทั้งสอง ข้างต้นเป็นการกระท าละเมิดต่อจ าเลย อีกทั้งโจทก์ที่ ๑ ยังได้จัดซื้อกล่องบรรจุสินค้าจากบริษัททวีผล อินเตอร์พริ้นท์ จ ากัด ในนามบริษัทวันน์จิต จ ากัด และท าลายข้อมูลทางการตลาดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ท าให้จ าเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองจ่ายค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะช าระเสร็จ แก่จ าเลย โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้ง ปฏิเสธความรับผิดตามฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจ าเลย ในส่วนที่โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จ าเลยประกาศการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองให้พนักงานของจ าเลยและ บุคคลภายนอกทราบ เป็นการใส่ความท าให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นการกระท าละเมิดต่อ โจทก์ทั้งสองนั้น อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์ คดีช านัญพิเศษวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจ าเลยในส่วนที่โจทก์ทั้งสอง ฟ้องว่า จ าเลยประกาศการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองให้พนักงานของจ าเลยและบุคคลภายนอกทราบ เป็นการใส่ความ ท าให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นการกระท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองนั้น อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองจัดซื้อ อุปกรณ์และกล่องบรรจุชิ้นส่วนของสินค้า Q turf ในราคาสูงผิดปกติโดยมีส่วนได้รับผลประโยชน์ แล้วประกาศให้พนักงานของจ าเลยและบุคคลภายนอกทราบ เป็นการใส่ความท าให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียง เกียรติคุณอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเรียกร้องค่าเสียหายจากจ าเลย เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้าง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจ าเลยในฐานะลูกจ้างกับนายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน เพื่อใช้สิทธิ เรียกร้องค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าจ าเลยกระท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับการท างาน ตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจ าเลยส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างาน ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕)
๗๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.47/2560 บริษัทยูรีเทค กราวด์ เอ็นจิเนียริ่ง จ ากัด โจทก์ นายอภิวิชญ์หรือนายสุรพงศ์ สวัสดิ์วุฒิชัยกุล จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา ๘ (๑) (๕), 9 วรรคสอง ตำมค ำฟ้องของโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ำกัด ในเครือ บริษัทเมนมำร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวำย ลิมิเต็ด ประกอบกิจกำรให้บริกำรซ่อมบ ำรุงเสริมควำมมั่นคง ปรับระดับพื้นคอนกรีตและโครงสร้ำงที่เกิดกำรทรุดตัว โดยบริษัทเมนมำร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวำย ลิมิเต็ด เป็นผู้คิดสร้ำงสรรค์กรรมวิธีในกำรเจำะดินและฉีดสำรเคมีเข้ำไปใต้พื้นดินบริเวณที่ทรุดเพื่อปรับ พื้นดินด้ำนล่ำงให้สูงขึ้นเสริมสร้ำงควำมเข็งแรงในชั้นดินท ำให้สำมำรถรับน้ ำหนักได้มำกขึ้น จ ำเลย เคยเป็นพนักงำนของบริษัทดังกล่ำวแล้วภำยหลังโอนย้ำยมำท ำงำนกับโจทก์ ต ำแหน่งสุดท้ำยเป็น ผู้จัดกำรฝ่ำยขำยและโครงกำร ได้รับอัตรำค่ำจ้ำงสุดท้ำยเดือนละ ๑๐๘,๐๐๐ บำท ซึ่งจ ำเลยตกลง จะไม่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นควำมลับและทรัพย์สินทำงปัญญำเกี่ยวกับกรรมวิธีและขั้นตอน กำรซ่อมบ ำรุงเสริมควำมมั่นคงปรับระดับพื้นคอนกรีตและโครงสร้ำงที่เกิดกำรทรุดตัวให้แก่ บุคคลภำยนอก และจ ำเลยต้องไม่เป็นกรรมกำรและผู้ถือหุ้นในบริษัทอื่นที่ประกอบกิจกำร ลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์ แต่ปรำกฏว่ำเมื่อจ ำเลยลำออกจำกกำรเป็นพนักงำนของโจทก์แล้ว ได้ผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนและจงใจกระท ำละเมิดท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำยด้วยกำรเป็นกรรมกำร ผู้มีอ ำนำจกระท ำกำรแทนและผู้ถือหุ้นของบริษัทเทสล่ำ เอ็นจิเนียริ่ง จ ำกัด ซึ่งประกอบกิจกำรลักษณะ เช่นเดียวกับโจทก์ และได้น ำกรรมวิธีและขั้นตอนกำรซ่อมบ ำรุงเสริมควำมมั่นคงปรับพื้นระดับคอนกรีต และโครงสร้ำงที่เกิดกำรทรุดตัว ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นควำมลับและทรัพย์สินทำงปัญญำของโจทก์ และบริษัทเมนมำร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวำย ลิมิเต็ด ไปใช้ในกิจกำรของบริษัทดังกล่ำว ท ำให้โจทก์ ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำง และลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน จ ำเลยซึ่งเป็นลูกจ้ำงได้ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์ และจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับ สภำพกำรจ้ำง และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด ในเครือบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด ประกอบกิจการให้บริการซ่อมบ ารุงเสริมความมั่นคงปรับระดับพื้นคอนกรีตและโครงสร้าง ที่เกิดการทรุดตัว และเสริมสร้างรากฐานโครงสร้างที่อยู่อาศัย โดยบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด เป็นผู้คิดสร้างสรรค์กรรมวิธีในการเจาะดินและฉีดสารเคมีเข้าไปใต้พื้นดินบริเวณที่ทรุดเพื่อให้ท าปฏิกิริยา
๗๗ กับพื้นดินด้านล่างจนเกิดการขยายตัวและดันบริเวณด้านล่างให้สูงขึ้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งในชั้นดิน ท าให้สามารถรับน้ าหนักได้มากขึ้น ซึ่งกรรมวิธีและขั้นตอนดังกล่าวเป็นข้อมูลอันเป็นความลับทางการค้า และโจทก์ได้รับอนุญาตให้น ารูปภาพการ์ตูน สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณาต่าง ๆ ของบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด ผู้เป็นเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาในงานรูปภาพแสดงกรรมวิธี และขั้นตอนการซ่อมบ ารุงดังกล่าวมาใช้ประกอบการจัดท าสื่อโฆษณาเพื่อเสนอบริการให้แก่ลูกค้า จ าเลย ท างานกับโจทก์ ต าแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและโครงการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๐๘,๐๐๐ บาท และมีข้อตกลงห้ามมิให้จ าเลยซึ่งได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้กรรมวิธีและขั้นตอน การซ่อมบ ารุงจากผู้เชี่ยวชาญของโจทก์และบริษัทดังกล่าว เปิดเผยข้อมูลอันเป็นความลับและทรัพย์สิน ทางปัญญาของโจทก์และบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด ให้แก่บุคคลภายนอก หรือประกอบ กิจการใด ๆ โดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อแข่งขันกับโจทก์และบริษัทดังกล่าว ต่อมาจ าเลยลาออกจากการเป็น พนักงานของโจทก์แล้วได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานและจงใจกระท าละเมิดท าให้โจทก์และบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด ได้รับความเสียหาย กล่าวคือ จ าเลยได้เป็นกรรมการผู้มีอ านาจกระท าการแทน และผู้ถือหุ้นของบริษัทเทสล่า เอ็นจิเนียริ่ง จ ากัด ซึ่งประกอบกิจการลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์ และพยายาม ชักชวนพนักงานและลูกจ้างของโจทก์ให้ลาออกไปท างานกับบริษัทดังกล่าว ทั้งจ าเลยยังน ากรรมวิธี และขั้นตอนการซ่อมบ ารุงเสริมความมั่นคงปรับระดับพื้นคอนกรีตและโครงสร้างที่เกิดการทรุดตัวซึ่งเป็น ข้อมูลอันเป็นความลับและทรัพย์สินทางปัญญาของโจทก์และบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด ไปใช้ประกอบธุรกิจและเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก ท าให้ลูกค้าของโจทก์และบุคคลภายนอกเข้าใจว่า บริษัทเทสล่า เอ็นจิเนียริ่ง จ ากัด เป็นบริษัทในเครือของโจทก์ ขอให้บังคับจ าเลยช าระค่าเสียหาย ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ และให้จ าเลยหยุดการกระท าอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานและเป็นการ กระท าละเมิดดังกล่าว หากฝ่าฝืนให้จ าเลยช าระค่าเสียหายเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจ าเลยจะหยุดกระท าการดังกล่าว จ าเลยให้การว่า โจทก์และจ าเลยไม่เคยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นส่วนหนึ่ง ของสัญญาจ้างแรงงานต่อกัน จ าเลยไม่ได้ผิดสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดให้โจทก์ได้รับ ความเสียหายตามฟ้อง ข้อตกลงที่ห้ามมิให้จ าเลยประกอบกิจการลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์เป็นการจ ากัด สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพการงาน ท าให้จ าเลยต้องรับภาระมากกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ ตามปกติ อันมีลักษณะเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม หลังจากจ าเลยออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์แล้ว นายดีน เขตสาลี เพื่อนจ าเลยได้ชักชวนให้มาร่วมท าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในนามบริษัทเทสล่า เอ็นจิเนียริ่ง จ ากัด โดยจ าเลยมิได้น ากรรมวิธีและขั้นตอนการซ่อมบ ารุงปรับระดับพื้นคอนกรีตและโครงสร้างที่เกิด การทรุดตัวของโจทก์มาใช้ในกิจการของบริษัท อีกทั้งกรรมวิธีและขั้นตอนดังกล่าวที่โจทก์อ้างว่า เป็นความลับนั้นก็มีการใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายนานแล้ว จึงไม่ใช่ข้อมูลอันเป็นความลับทางการค้า และทรัพย์สินทางปัญญาตามที่อ้าง และมูลคดีที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุแห่งการฟ้องร้องจ าเลยนั้นเป็นข้อพิพาท เกี่ยวกับความลับทางการค้าและลิขสิทธิ์ซึ่งอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศไม่มีลักษณะเป็นคดีแรงงานจึงไม่อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
๗๘ โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินจริงโดยกล่าวอ้างลอย ๆ หากจ าเลยต้องรับผิดคงรับผิดเพียงไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลาง เห็นว่า คดีมีปัญหาว่า คดีอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า ตามค าฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ ากัด ในเครือบริษัท เมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด ประกอบกิจการให้บริการซ่อมบ ารุงเสริมความมั่นคง ปรับระดับพื้น คอนกรีตและโครงสร้างที่เกิดการทรุดตัว โดยบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด เป็นผู้คิด สร้างสรรค์กรรมวิธีในการเจาะดินและฉีดสารเคมีเข้าไปใต้พื้นดินบริเวณที่ทรุดเพื่อปรับพื้นดินด้านล่าง ให้สูงขึ้นเสริมสร้างความเข็งแรงในชั้นดินท าให้สามารถรับน้ าหนักได้มากขึ้น จ าเลยเคยเป็นพนักงาน ของบริษัทดังกล่าวแล้วภายหลังโอนย้ายมาท างานกับโจทก์ ต าแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและ โครงการ ได้รับอัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๑๐๘,๐๐๐ บาท ซึ่งจ าเลยตกลงจะไม่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็น ความลับและทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับกรรมวิธีและขั้นตอนการซ่อมบ ารุงเสริมความมั่นคงปรับระดับพื้น คอนกรีตและโครงสร้างที่เกิดการทรุดตัวให้แก่บุคคลภายนอก และจ าเลยต้องไม่เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น ในบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์ แต่ปรากฏว่าเ มื่อจ าเลยลาออกจากการ เป็นพนักงานของโจทก์แล้วได้ผิดสัญญาจ้างแรงงานและจงใจกระท าละเมิดท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ด้วยการเป็นกรรมการผู้มีอ านาจกระท าการแทนและผู้ถือหุ้นของบริษัทเทสล่า เอ็นจิเนียริ่ง จ ากัด ซึ่งประกอบกิจการลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์ และได้น ากรรมวิธีและขั้นตอนการซ่อมบ ารุงเสริมความมั่นคง ปรับพื้นระดับคอนกรีตและโครงสร้างที่เกิดการทรุดตัว ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นความลับและทรัพย์สิน ทางปัญญาของโจทก์และบริษัทเมนมาร์ค คอร์ปอเรชั่น พีทีวาย ลิมิเต็ด ไปใช้ในกิจการของบริษัทดังกล่าว ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้าง และลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน จ าเลยซึ่งเป็นลูกจ้างได้ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและ กระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์และจ าเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕)
๗๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๔๘/๒๕๖๐ นายวิรัตน์ หนูกลับ โจทก์ นางสาวฐิติรัตน์ ยิ้มสรวล กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า นางสาวมณฑา ใจแจ้ง และจ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจ าเลยที่ ๒ ระหว่าง การท างาน จ าเลยที่ ๑ ขับรถยกของซึ่งเป็นเครื่องจักรกลด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ทับขาซ้ายของนางสาวมณฑา เป็นเหตุให้นางสาวมณฑาบาดเจ็บต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลและ ต่อมาได้ถึงแก่ความตาย การกระท าของจ าเลยที่ ๑ เป็นการกระท าละเมิดในทางการที่จ้างของจ าเลยที่ ๒ โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมของนางสาวมณฑาจึงฟ้องให้จ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้กระท าละเมิดโดยตรง และจ าเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างร่วมกันรับผิดกับจ าเลยที่ ๑ ในผลแห่งละเมิดซึ่งจ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้าง กระท าไปในทางการที่จ้างดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่างลูกจ้างกับลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์และจ าเลยที่ ๒ นั้น แม้โจทก์จะมิได้กล่าวในฟ้องว่าจ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างเป็นผู้กระท าละเมิดต่อนางสาวมณฑาโดยตรง แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งจ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้าง กระท าไปในทางการที่จ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพาทอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) เช่นกัน ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยของนำงสำวมณฑำ ใจแจ้ง นำงสำวมณฑำ และจ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ ระหว่ำงกำรท ำงำน เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวำคม ๒๕๕๘ จ ำเลยที่ ๑ ขับรถยกของซึ่งเป็นเครื่องจักรกลด้วยควำมประมำทปรำศจำกควำมระมัดระวังทับขำซ้ำยของ นำงสำวมณฑำ เป็นเหตุให้นำงสำวมณฑำบำดเจ็บต้องเข้ำรับกำรรักษำพยำบำลและต่อมำได้ถึงแก่ควำมตำย กำรกระท ำของจ ำเลยที่ ๑ เป็นกำรกระท ำละเมิดในทำงกำรที่จ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ ท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ำยค่ำรักษำพยำบำล ค่ำเดินทำงและต้องหยุดงำนเพื่อเฝ้ำไข้ค่ำท ำศพ ค่ำสูญเสียรำยได้ และค่ำเสียหำยต่อจิตใจ รวมเป็นเงิน ๒,๐๓๘,๔๐๔.๒๕ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำ ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำกต้นเงิน ๑,๘๙๖,๑๙๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยที่ ๑ ขำดนัดยื่นค ำให้กำร จ ำเลยที่ ๒ ให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ขับรถยกของตำมหลักเกณฑ์และขั้นตอนกำรท ำงำน โดยค ำนึงถึงควำมปลอดภัยของผู้อื่นแล้ว แต่นำงสำวมณฑำ ใจแจ้ง เดินมำในเวลำที่จ ำเลยที่ ๑ ถอยรถยก
๘๐ ของนำงสำวมณฑำจึงมีส่วนในกำรกระท ำผิดและเป็นเหตุสุดวิสัยโดยมิได้เกิดจำกกำรกระท ำละเมิด ของจ ำเลยทั้งสอง ควำมตำยของนำงสำวมณฑำเกิดจำกเหตุแทรกแซงอื่น จ ำเลยที่ ๒ ได้ช่วยเหลือจัดงำนศพ และโจทก์ได้รับเงินตำมพระรำชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ไปครบถ้วนแล้ว คดีโจทก์ขำดอำยุควำม ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดสุรำษฎร์ธำนีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ นำงสำวมณฑำ ใจแจ้ง และจ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ ระหว่ำงกำรท ำงำน จ ำเลยที่ ๑ ขับรถยกของซึ่งเป็นเครื่องจักรกลด้วยควำมประมำทปรำศจำกควำมระมัดระวังทับขำซ้ำยของนำงสำวมณฑำ เป็นเหตุให้นำงสำวมณฑำบำดเจ็บต้องเข้ำรับกำรรักษำพยำบำลและต่อมำได้ถึงแก่ควำมตำย กำรกระท ำของ จ ำเลยที่ ๑ เป็นกำรกระท ำละเมิดในทำงกำรที่จ้ำงของจ ำเลยที่ ๒ โจทก์ในฐำนะทำยำทโดยธรรมของ นำงสำวมณฑำจึงฟ้องให้จ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้กระท ำละเมิดโดยตรงและจ ำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนำยจ้ำงร่วมกัน รับผิดกับจ ำเลยที่ ๑ ในผลแห่งละเมิดซึ่งจ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงกระท ำไปในทำงกำรที่จ้ำงดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงลูกจ้ำงกับลูกจ้ำงที่เกิดจำกกำรท ำงำน ในทำงกำรที่จ้ำง ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยที่ ๒ นั้นแม้โจทก์จะมิได้กล่ำวในฟ้องว่ำจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนำยจ้ำงเป็น ผู้กระท ำละเมิดต่อนำงสำวมณฑำโดยตรง แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนำยจ้ำงร่วมรับผิดในผล แห่งละเมิดซึ่งจ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้ำงกระท ำไปในทำงกำรที่จ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดี พิพำทอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๕) เช่นกัน
๘๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.49/2560 บริษัทเฟิร์ส แปซิฟิค ฮาริสัน จ ากัด โจทก์ นางสาววรรณวดี พ่วงศิริ จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยท างานเป็นลูกจ้างโจทก์ โดยมีสัญญาจ้างแรงงาน ข้อ ๑๕.๒ ระบุว่า "พนักงานตกลงไม่ไปรับจ้างท างานในทุกอาคารที่เคยปฏิบัติหน้าที่กับบริษัทมาแล้ว ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการไปรับจ้างท างานในฐานะลูกจ้างของอาคารนั้นโดยตรง หรือลูกจ้างของบุคคลใด ก็ตาม เว้นแต่พ้นก าหนดระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่สิ้นสุดการเป็นพนักงาน หากฝ่าฝืนยินยอมช าระ ค่าเสียหายให้บริษัทเป็นเงินจ านวนยี่สิบ (๒๐) เท่าของเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ได้รับจากบริษัท" หลังจากที่จ าเลยลาออกจากการเป็นลูกจ้างโจทก์แล้ว จ าเลยกระท าผิดสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวโดย ไปท างานเป็นลูกจ้างของนายจ้างใหม่ที่ได้ท างานบริหารอาคารชุดซิตี้ ลิฟวิ่ง ต่อจากโจทก์ ท าให้โจทก์ เสียหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยปฏิบัติผิดข้อตกลงตามสัญญาจ้างแรงงานที่ให้ไว้ต่อโจทก์ ในขณะที่มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างลูกจ้าง ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามค าฟ้อง จึงสืบเนื่องมาจากสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ ระหว่ำงเดือนสิงหำคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎำคม ๒๕๕๙ นิติบุคคล อำคำรชุด ซิตี้ลิฟวิ่ง ท ำสัญญำจ้ำงโจทก์บริหำรอำคำรชุดซิตี้ลิฟวิ่ง วันที่ ๑ สิงหำคม ๒๕๕๕ โจทก์จึงจ้ำง จ ำเลยท ำงำนเป็นผู้จัดกำรอำคำรชุดดังกล่ำว ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บำท โดยมีสัญญำจ้ำงก ำหนด ว่ำจ ำเลยต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของโจทก์ให้แก่บุคคลใด และภำยในก ำหนดเวลำหนึ่งปีนับแต่วันสิ้นสุดกำร เป็นพนักงำน จ ำเลยจะไม่รับจ้ำงท ำงำนในทุกอำคำรที่เคยปฏิบัติหน้ำที่กับโจทก์มำแล้ว ไม่ว่ำจะในฐำนะ ลูกจ้ำงของอำคำรนั้นโดยตรงหรือของบุคคลใดก็ตำม หำกฝ่ำฝืนจะต้องช ำระค่ำเสียหำยให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐ เท่ำ ของเงินเดือนเดือนสุดท้ำยที่ได้รับจำกโจทก์ต่อมำวันที่ ๓๑ กรกฎำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยขอลำออก แล้วไปท ำงำนเป็นลูกจ้ำงของนำยจ้ำงใหม่ที่ได้ท ำงำนบริหำรอำคำรชุดซิตี้ลิฟวิ่ง ต่อจำกโจทก์ในต ำแหน่ง ผู้จัดกำรอำคำร จึงเป็นกำรฝ่ำฝืนสัญญำจ้ำงดังกล่ำว ท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระค่ำเสียหำย ให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐ เท่ำ ของเงินเดือนเดือนสุดท้ำยที่ได้รับจำกโจทก์เป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บำท พร้อม ดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ ปี ๒๕๔๙ นิติบุคคลอำคำรชุดซิตี้ลิฟวิ่ง ท ำสัญญำจ้ำงบริษัทพลัส พร็อพเพอร์ ตี้จ ำกัด บริหำรจัดกำรอำคำร บริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้จ ำกัด จ้ำงจ ำเลยท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำรอำคำรชุด ซิตี้ลิฟวิ่ง กระทั่งปี ๒๕๕๕ โจทก์ได้เข้ำท ำสัญญำจ้ำงกับนิติบุคคลอำคำรชุดซิตี้ลิฟวิ่ง บริหำรอำคำรชุด ซิตี้ลิฟวิ่ง โจทก์จึงจ้ำงจ ำเลยท ำงำนต่อไปในต ำแหน่งเดิม งำนที่โจทก์ท ำเป็นงำนต่อเนื่องที่ต้องส่งมอบงำน
๘๒ ให้บริษัทอื่นที่คณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดซิตี้ลิฟวิ่ง จ้ำงมำรับงำนต่อจำกโจทก์ ดังนั้นกำรที่โจทก์ ท ำสัญญำจ้ำงก ำหนดให้จ ำเลยจะต้องไม่รับจ้ำงท ำงำนกับนำยจ้ำงอื่นในทุกอำคำรที่เคยปฏิบัติหน้ำที่ กับโจทก์มำแล้ว จึงเป็นสัญญำที่ไม่เป็นธรรม ตำมพระรำชบัญญัติว่ำด้วยข้อสัญญำที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ และค่ำเสียหำยดังกล่ำวเป็นเบี้ยปรับ เมื่อโจทก์ไม่ได้เสียหำยจ ำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ แก่โจทก์นอกจำกนั้นระหว่ำงท ำงำนโจทก์ค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำง จ ำเลยจึงบอกเลิกสัญญำจ้ำงได้โดยไม่ต้องจ่ำย ค่ำเสียหำยให้โจทก์คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดมีนบุรีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ โดยมีสัญญำจ้ำงแรงงำน เอกสำรท้ำยค ำฟ้อง หมำยเลข ๔ ข้อ ๑๕.๒ ระบุว่ำ "พนักงำนตกลงไม่ไปรับจ้ำงท ำงำนในทุกอำคำรที่เคยปฏิบัติหน้ำที่กับบริษัท มำแล้ว ทั้งนี้ไม่ว่ำจะเป็นกำรไปรับจ้ำงท ำงำนในฐำนะลูกจ้ำงของอำคำรนั้นโดยตรงหรือลูกจ้ำงของบุคคลใด ก็ตำม เว้นแต่พ้นก ำหนดระยะเวลำหนึ่งปีนับแต่วันที่สิ้นสุดกำรเป็นพนักงำน หำกฝ่ำฝืนยินยอมช ำระ ค่ำเสียหำยให้บริษัทเป็นเงินจ ำนวนยี่สิบ (๒๐) เท่ำของเงินเดือนเดือนสุดท้ำยที่ได้รับจำกบริษัท" หลังจำกที่ จ ำเลยลำออกจำกกำรเป็นลูกจ้ำงโจทก์แล้ว จ ำเลยกระท ำผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนดังกล่ำวโดยไปท ำงำนเป็น ลูกจ้ำงของนำยจ้ำงใหม่ที่ได้ท ำงำนบริหำรอำคำรชุดซิตี้ ลิฟวิ่ง ต่อจำกโจทก์ ท ำให้โจทก์เสียหำย จึงเป็นกำร กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยปฏิบัติผิดข้อตกลงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนที่ให้ไว้ต่อโจทก์ในขณะที่มีนิติสัมพันธ์เป็น นำยจ้ำงลูกจ้ำง ข้ออ้ำงที่อำศัยเป็นหลักแห่งข้อหำของโจทก์ตำมค ำฟ้องจึงสืบเนื่องมำจำกสัญญำจ้ำงแรงงำน ระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำง แรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑)
๘๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.50/2560 นางอติภา แสงงาม โจทก์ การประปาส่วนภูมิภาค จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. แรงงำนรัฐวิสำหกิจสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖ โจทก์ฟ้องว่ำ ระหว่ำงที่โจทก์ท ำงำนกับจ ำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลตำมพระรำชบัญญัติ กำรประปำส่วนภูมิภำค พ.ศ. ๒๕๒๒ จ ำเลยกล่ำวหำว่ำโจทก์ประมำทเลินเล่ออย่ำงร้ำยแรงท ำให้จ ำเลย ได้รับควำมเสียหำย ต่อมำจ ำเลยมีค ำสั่งให้โจทก์ช ำระค่ำเสียหำยแก่จ ำเลยและให้โจทก์ท ำหนังสือแจ้ง จ ำเลยให้ชะลอหรือระงับกำรจ่ำยเงินค่ำตอบแทนควำมชอบในกำรท ำงำนกรณีเกษียณอำยุรำชกำรใน ระหว่ำงกำรอุทธรณ์ค ำสั่งไว้ก่อน ต่อมำโจทก์มีหนังสือขอยกเลิกกำรชะลอหรือระงับกำรจ่ำยเงิน ค่ำตอบแทนควำมชอบในกำรท ำงำนแล้ว จึงขอให้จ ำเลยจ่ำยเงินดังกล่ำวแก่โจทก์ ซึ่งจ ำเลยให้กำรว่ำ กองกฎระเบียบและอุทธรณ์ร้องทุกข์ของจ ำเลยเห็นว่ำโจทก์ต้องชดใช้เงินแก่จ ำเลยตำมจ ำนวนที่จ ำเลย ชะลอหรือระงับกำรจ่ำยไว้จึงไม่สมควรเพิกถอนกำรจ่ำยเงินตำมที่โจทก์ขอและให้ด ำเนินคดีทำงแพ่งต่อ โจทก์จ ำเลยจึงไม่เพิกถอนหนังสือยินยอมให้จ ำเลยชะลอหรือระงับกำรจ่ำยเงินค่ำตอบแทนควำมชอบ ในกำรท ำงำนดังกล่ำว ตำมค ำฟ้องโจทก์จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยผู้เป็นนำยจ้ำงของโจทก์ตำม พระรำชบัญญัติแรงงำนรัฐวิสำหกิจสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๔๓ มำตรำ ๖ ไม่ปฏิบัติหน้ำที่ให้ถูกต้องตำม ระเบียบของจ ำเลยซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญำจ้ำงแรงงำนและข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและ ตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า ปี ๒๕๕๑ โจทก์ท างานกับจ าเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการประปา ส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ ต าแหน่งหัวหน้างานอ านวยการการประปาส่วนภูมิภาคสาขากาฬสินธุ์ ระหว่าง ท างานจ าเลยกล่าวหาว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงท าให้จ าเลยได้รับความเสียหาย ต่อมาได้ตั้ง คณะกรรมการสอบสวนโจทก์และมีค าสั่งให้โจทก์ช าระค่าเสียหาย ๔๗๙,๘๖๓.๕๙ บาท จ าเลยให้โจทก์ ท าหนังสือแจ้งจ าเลยให้ชะลอหรือระงับการจ่ายเงินค่าตอบแทนความชอบในการท างานกรณีเกษียณ อายุราชการในระหว่างการอุทธรณ์ค าสั่งไว้ก่อน แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังคงพิจารณาอุทธรณ์ ไม่แล้วเสร็จ โจทก์จึงมีหนังสือขอยกเลิกการชะลอหรือระงับการจ่ายเงินค่าตอบแทนความชอบในการท างาน ดังกล่าว แต่จ าเลยเพิกเฉยและไม่จ่ายค่าตอบแทนความชอบในการท างานให้โจทก์ ขอให้บังคับจ าเลยจ่าย ค่าตอบแทนความชอบในการท างาน ๔๗๙,๘๖๓.๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วัน ฟ้องจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์
๘๔ จ าเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นพนักงานจ าเลยและเป็นผู้บังคับบัญชาของนายไกรลาส ชื่นชม แต่กลับปล่อยปละละเลยเป็นเหตุให้นายไกรลาสแก้ไขปริมาณในใบเบิกพัสดุให้มียอดต่างจากที่ผู้ขอเบิก ในใบขอเบิกและน าวัสดุจากคลังพัสดุไปใช้โดยขาดการควบคุม เป็นเหตุให้จ าเลยเสียหายเป็นเงิน ๗๙๙,๗๗๒.๖๖ บาท เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จ าเลยจึงมีค าสั่งให้โจทก์ต้องรับผิด จ านวน ร้อยละยี่สิบของค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๕๙,๙๕๔.๕๓ บาท ต่อมากรมบัญชีกลางแจ้งผลการพิจารณา ว่าโจทก์จะต้องรับผิดเพิ่มเป็นจ านวนร้อยละหกสิบของค่าเสียหาย จ าเลยจึงได้มีค าสั่งให้โจทก์จ่าย ค่าเสียหายเพิ่มเป็นเงิน ๔๗๙,๘๖๓.๕๙ บาท ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โจทก์อุทธรณ์ค าสั่งดังกล่าวและได้ท าบันทึกยินยอมให้จ าเลยชะลอหรือระงับการจ่ายเงิน ค่าตอบแทนความชอบในการท างานกรณีเกษียณอายุราชการในระหว่างการอุทธรณ์ค าสั่ง ต่อมา กองกฎระเบียบและอุทธรณ์ร้องทุกข์ของจ าเลยเห็นว่าโจทก์ต้องชดใช้เงินแก่จ าเลยตามจ านวนที่จ าเลย ชะลอหรือระงับการจ่ายไว้จึงไม่สมควรเพิกถอนการจ่ายเงินตามที่โจทก์ขอและให้ด าเนินคดีทางแพ่ง ต่อโจทก์ จ าเลยจึงไม่เพิกถอนหนังสือยินยอมให้จ าเลยชะลอหรือระงับการจ่ายเงินค่าตอบแทนความชอบ ในการท างานดังกล่าว และคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างที่โจทก์ท างานกับจ าเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ จ าเลยกล่าวหาว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงท าให้จ าเลยได้รับความเสียหาย ต่อมา จ าเลยมีค าสั่งให้โจทก์ช าระค่าเสียหายแก่จ าเลยและให้โจทก์ท าหนังสือแจ้งจ าเลยให้ชะลอหรือระงับการ จ่ายเงินค่าตอบแทนความชอบในการท างานกรณีเกษียณอายุราชการในระหว่างการอุทธรณ์ค าสั่งไว้ก่อน ต่อมาโจทก์มีหนังสือขอยกเลิกการชะลอหรือระงับการจ่ายเงินค่าตอบแทนความชอบในการท างานแล้ว จึงขอให้จ าเลยจ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ซึ่งจ าเลยให้การว่า สิทธิได้รับเงินดังกล่าวของพนักงานเป็น หลักเกณฑ์เกี่ยวกับสภาพการจ้าง ที่ก าหนดไว้ในระเบียบการประปาส่วนภูมิภาคว่าด้วยขั้นตอนและวิธีการ จ่ายเงินค่าชดเชยและเงินค่าตอบแทนความชอบในการท างานของพนักงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามค าฟ้องโจทก์ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยผู้เป็นนายจ้างของโจทก์ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามระเบียบของจ าเลยซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง แรงงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑)
๘๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.51/๒๕๖๐ บริษัทดีไวเซอร์ จ ากัด โจทก์ นางสวนีย์ บุญมาศ กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (5), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ระหว่างท างาน จ าเลยทั้งสอง ขาดงานไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้า โจทก์จึงต้องจ้างรถบรรทุกรับจ้างขนส่งอุปกรณ์และจ้างบุคคลภายนอก ท างานแทนจ าเลยทั้งสอง นอกจากนี้จ าเลยทั้งสองยังท าให้รถกระบะของโจทก์เสียเนื่องจากการเติม น้ ามันเครื่องยนต์มากเกินกว่ามาตรฐาน ท าให้โจทก์เสียหายทั้งทางทรัพย์สินและจิตใจ จึงขอให้จ าเลย ทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ กรณีเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์ เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน ขณะจ าเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างได้ปฏิบัติผิดหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์ กับจ าเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิด แต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๔ กุมภำพันธ์๒๕๕๖ โจทก์จ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ท ำงำนต ำแหน่งพนักงำน ติดตั้งอุปกรณ์ และจ้ำงจ ำเลยที่ ๒ ท ำงำนต ำแหน่งหัวหน้ำช่ำงติดตั้งงำน ในกำรท ำงำนจ ำเลยที่ ๒ จะขับ รถกระบะของโจทก์ขนอุปกรณ์กำรท ำงำนโดยจ ำเลยที่ ๑ ติดตำมไปด้วยเพื่อน ำอุปกรณ์จัดซุ้มแสดงสินค้ำ ส่งมอบให้ลูกค้ำ วันที่ ๒ มกรำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยที่ ๑ ลำงำนกะทันหันอ้ำงว่ำญำติของจ ำเลยที่ ๒ ป่วย แล้วจ ำเลยทั้งสองได้ขำดงำนไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้ำ เป็นเหตุให้ระหว่ำงวันที่ ๔ ถึงวันที่ ๗ มกรำคม ๒๕๖๐ โจทก์ไม่สำมำรถน ำอุปกรณ์จัดซุ้มแสดงสินค้ำส่งมอบให้ลูกค้ำทันก ำหนด โจทก์จึงต้องจ้ำงรถบรรทุกรับจ้ำง ขนส่งอุปกรณ์และจ้ำงบุคคลภำยนอกท ำงำนแทนจ ำเลยทั้งสอง เป็นเงิน ๒๘,๐๐๐ บำท และเป็นผลให้โจทก์ ต้องเสียหำยต่อสภำพจิตใจ คิดเป็นเงิน ๓๒,๐๐๐ บำท กระทั่งวันที่ ๘ มกรำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยทั้งสองยังคง ขำดงำน โจทก์จึงมีหนังสือเลิกจ้ำงจ ำเลยทั้งสอง นับแต่วันที่ ๔ มกรำคม ๒๕๖๐ นอกจำกนี้จ ำเลยทั้งสอง ยังท ำให้รถกระบะของโจทก์เสียเนื่องจำกกำรเติมน้ ำมันเครื่องยนต์มำกเกินกว่ำมำตรฐำน โจทก์ต้องเสีย ค่ำใช้จ่ำยเป็นค่ำรถลำกและค่ำซ่อมแซมรวม ๙๒,๙๙๖.๖๕ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันช ำระเงิน ๑๕๕,๑๖๕.๘๔ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๕๒,๙๙๖.๖๕ บำท นับถัดจำก วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์
๘๖ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแขวงพระนครเหนือเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสองเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยทั้งสองขำดงำนไปโดยไม่แจ้ง ล่วงหน้ำ โจทก์จึงต้องจ้ำงรถบรรทุกรับจ้ำงขนส่งอุปกรณ์และจ้ำงบุคคลภำยนอกท ำงำนแทนจ ำเลยทั้งสอง นอกจำกนี้จ ำเลยทั้งสองยังท ำให้รถกระบะของโจทก์เสียเนื่องจำกกำรเติมน้ ำมันเครื่องยนต์มำกเกินกว่ำ มำตรฐำน ท ำให้โจทก์เสียหำยทั้งทำงทรัพย์สินและจิตใจ จึงขอให้จ ำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ำยค่ำเสียหำย แก่โจทก์ กรณีเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำม สัญญำจ้ำงแรงงำน ขณะจ ำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้ำงได้ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและท ำละเมิด ต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)
๘๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.52/2560 ห้างหุ้นส่วนจ ากัด ย่งเส็ง อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง หรือบริษัทย่งเส็ง อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง จ ากัด โจทก์ นางสาวนภาพร วรรณโวหาร กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖, ๑๐ พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา ๘ (๑) (๒) (5), 9 โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงโจทก์ มีจ ำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำน ระหว่ำงกำรท ำงำน จ ำเลยที่ ๑ รับสินค้ำไปจ ำหน่ำยและเก็บเงินค่ำสินค้ำจำกลูกค้ำแล้วไม่ส่งคืนโจทก์ แต่น ำไปใช้ส่วนตัวและรับสินค้ำไปแล้วไม่น ำส่งลูกค้ำ เป็นเหตุให้สินค้ำสูญหำย ท ำให้โจทก์เสียหำย เป็นเงิน ๗๒๒,๕๑๓.๕๙ บำท เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและ ลูกจ้ำงกัน จ ำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำง เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดี แรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องจ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะผู้ค้ ำประกันกำรท ำงำน ของจ ำเลยที่ ๑ ให้ร่วมรับผิดกับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นกรณีเกี่ยวเนื่องกับกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ ทั้งยังเป็นกรณีพิพำทเกี่ยวด้วยควำมรับผิดตำมประกำศกระทรวงแรงงำน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกำรเรียกหรือรับหลักประกันกำรท ำงำนหรือหลักประกันควำมเสียหำยในกำรท ำงำน จำกลูกจ้ำง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกำศโดยอำศัยอ ำนำจตำมควำมในมำตรำ ๖ และมำตรำ ๑๐ แห่ง พระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ อีกด้วย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพำท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำม กฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โจทก์จ้างจ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้าง ท าหน้าที่รับ สินค้าไปจ าหน่ายและเก็บเงินค่าสินค้าส่งคืนโจทก์ โดยมีจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ าประกันการท างาน ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จ าเลยที่ ๑ รับสินค้าไปจ าหน่ายและเก็บเงินค่าสินค้า จากลูกค้าแล้วไม่ส่งคืนโจทก์แต่กลับน าไปใช้ส่วนตัวและรับสินค้าไปแล้วไม่น าส่งลูกค้าเป็นเหตุให้สินค้าสูญหาย รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๗๒๒,๕๑๓.๕๙ บาท ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองร่วมกันช าระเงิน ๘๒๔,๙๗๖.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๗๒๒,๕๑๓.๕๙ บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะช าระเสร็จแก่โจทก์
๘๘ จ าเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ให้การ จ าเลยที่ ๒ ให้การว่า สัญญาค้ าประกันการท างานของจ าเลยที่ ๑ เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ และเป็นเอกสารปลอม เพราะในวันที่โจทก์ จ้างจ าเลยที่ ๑ ท างานนั้นจ าเลยที่ ๒ มิได้ลงชื่อในสัญญาค้ าประกัน นอกจากนี้เมื่อโจทก์รับจ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างแล้วได้แจ้งยกเลิกการค้ าประกันด้วยบุคคลแล้วหักค่าจ้างจ าเลยที่ ๑ เป็นเบี้ยประกันภัย ให้บุคคลภายนอกรับประกันภัยแทน หากจ าเลยที่ ๒ ต้องรับผิดก็ไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวัน โดยเฉลี่ยที่จ าเลยที่ ๑ ได้รับเท่านั้น คดีนี้เป็นคดีละเมิด การที่โจทก์ฟ้องจ าเลยทั้งสองเป็นคดีจ้างแรงงาน จึงไม่อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานภาค ๗ เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์ มีจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ าประกันการท างาน ระหว่างการท างาน จ าเลยที่ ๑ รับสินค้าไปจ าหน่ายและเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าแล้วไม่ส่งคืนโจทก์แต่น าไปใช้ส่วนตัวและ รับสินค้าไปแล้วไม่น าส่งลูกค้า เป็นเหตุให้สินค้าสูญหาย ท าให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๗๒๒,๕๑๓.๕๙ บาท เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกัน จ าเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้าง แรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องจ าเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ าประกันการท างานของ จ าเลยที่ ๑ ให้ร่วมรับผิดกับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นกรณีเกี่ยวเนื่องกับการผิดสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับ จ าเลยที่ ๑ ทั้งยังเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวด้วยความรับผิดตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และ วิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการท างานหรือหลักประกันความเสียหายในการท างานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกาศโดยอาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ อีกด้วย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒)
๘๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๕๓/๒๕๖๐ นิติบุคคลอาคารชุดศรีธนาคอนโดมิเนียม 2 กับพวก โจทก์ นายกิตติพงศ์ จรัญวาศน์ กับพวก จ ำเลย พันต ารวจตรีวชิระ ศรีนวลไชย จ ำเลยร่วม ป.พ.พ. มาตรา 420 พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘, ๙ วรรคสอง โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จ าเลยทั้งสี่สมคบกันเพื่อให้จ าเลยที่ ๔ ได้เงินโจทก์ที่ ๑ ไปโดยฉ้อฉล โดยจ าเลยที่ ๔ ซึ่งเคยเป็นพนักงานโจทก์ที่ ๑ ยื่นค าร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานขอให้โจทก์ที่ ๑ จ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้าง ค่าท างานในวันหยุด พร้อมดอกเบี้ยและ เงินเพิ่ม ต่อมาจ าเลยที่ ๒ ยอมรับต่อพนักงานตรวจแรงงานว่าโจทก์ที่ ๑ ค้างจ่ายค่าจ้างเป็นเหตุให้ พนักงานตรวจแรงงานมีค าสั่งให้โจทก์ที่ ๑ จ่ายเงินตามที่จ าเลยที่ ๔ ยื่นค าร้องดังกล่าว แล้วจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดศรีธนาคอนโดมิเนียม ๒ ปกปิดไม่น าเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่ สามัญเพื่อให้เจ้าของห้องร่วมพิจารณาฟ้องเพิกถอนค าสั่งพนักงานตรวจแรงงาน แต่กลับไปเจรจา ท าข้อตกลงหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อจ่ายเงินให้จ าเลยที่ ๔ แล้วเบิกเงินจากบัญชีเงินฝาก โจทก์ที่ ๑ จ านวน ๑,๓๓๔,๙๙๙ บาท เกินอ านาจที่ก าหนดในข้อบังคับโจทก์ที่ ๑ วางที่ส านักงานสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่เพื่อให้จ าเลยที่ ๔ รับไปท าให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย และตามค าร้อง ขอเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจ าเลยร่วม ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ จ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ ขอให้ เรียกพันต ารวจตรีวชิระ ศรีนวลไชย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดดังกล่าวเข้ามาเป็น จ าเลยร่วม แม้ตามค าฟ้องและค าร้องดังกล่าวจะกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ าเลยร่วมซึ่งเป็น คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดจากการแต่งตั้งโดยที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมปฏิบัติไม่ชอบด้วย อ านาจหน้าที่ตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดศรีธนาคอนโดมิเนียม ๒ ข้อที่ ๑๙ ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่า โจทก์ที่ ๑ กับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ าเลยร่วมมีนิติสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างต่อกันอย่างไร แม้ว่าตามค าฟ้องจะกล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ ๒ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด แต่ปรากฏ จากรายการจดทะเบียนแต่งตั้ง เปลี่ยนแปลงกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดและเปลี่ยนแปลงผู้จัดการ นิติบุคคลอาคารชุด ว่า โจทก์ที่ ๒ กับบุคคลอื่นได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด แทนจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ าเลยร่วม โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ ๒ กับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และ จ าเลยร่วมมีนิติสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างต่อกันในช่วงเวลาใด อย่างไร เช่นกัน ตามค าฟ้อง ของโจทก์ทั้งสองและตามค าร้องขอเรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจ าเลยร่วมดังกล่าวจึงเป็นการตั้งรูปคดี เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องต่อจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ว่าด้วยละเมิด ตามมาตรา ๔๒๐ โดยขอให้จ าเลยร่วมต้องร่วมรับผิดด้วย คดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับ จ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ าเลยร่วมจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ส าหรับคดีระหว่างโจทก์ทั้งสอง กับจ าเลยที่ ๔ นั้น ขณะที่จ าเลยที่ ๔ ยื่นค าร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและท าข้อตกลงหรือสัญญา
๙๐ ประนีประนอมยอมความกับจ าเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ นั้น โจทก์ทั้งสองกับจ าเลยที่ ๔ ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ ในลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้างต่อกัน ทั้งตามค าฟ้องโจทก์ทั้งสองยังเป็นการกล่าวอ้างถึงการกระท า ของจ าเลยที่ ๔ ต่างหากหลังสิ้นสุดสัญญาจ้างแรงงานโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท างานตามสัญญา จ้างแรงงานโดยตรง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๔ กระท าละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง แต่ก็มิใช่คดีอันเกิด แต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์ ทั้งสองกับจ าเลยที่ ๔ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ เช่นกัน ______________________ โจทก์ทั้งสองฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสี่สมคบกันเพื่อให้จ ำเลยที่ ๔ ได้เงินโจทก์ที่ ๑ ไปโดยฉ้อฉล โดยเมื่อวันที่ ๗ เมษำยน ๒๕๕๘ จ ำเลยที่ ๔ ซึ่งเคยเป็นพนักงำนโจทก์ที่ ๑ ท ำหน้ำที่เป็นผู้จัดกำรนิติบุคคล อำคำรชุด ยื่นค ำร้องต่อพนักงำนตรวจแรงงำน ส ำนักงำนสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำนจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้โจทก์ที่ ๑ จ่ำยค่ำชดเชย ค่ำจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำจ้ำงค้ำง ค่ำท ำงำนในวันหยุด พร้อม ดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม จ ำเลยที่ ๒ ยอมรับต่อพนักงำนตรวจแรงงำนว่ำโจทก์ที่ ๑ ค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงเป็นเหตุให้ พนักงำนตรวจแรงงำนมีค ำสั่งให้โจทก์ที่ ๑ จ่ำยเงินตำมที่จ ำเลยที่ ๔ ยื่นค ำร้องดังกล่ำว แล้วจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นประธำนคณะกรรมกำรได้ร่วมกับจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นคณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุด ศรีธนำคอนโดมิเนียม ๒ ปกปิดไม่น ำเรื่องเข้ำที่ประชุมใหญ่สำมัญเพื่อให้เจ้ำของห้องร่วมพิจำรณำ ฟ้องเพิกถอนค ำสั่งพนักงำนตรวจแรงงำน แต่กลับไปเจรจำท ำข้อตกลงหรือสัญญำประนีประนอมยอมควำม เพื่อจ่ำยเงินให้จ ำเลยที่ ๔ แล้วเบิกเงินจำกบัญชีเงินฝำกโดยเกินอ ำนำจที่ก ำหนดในข้อบังคับของโจทก์ที่ ๑ จ ำนวน ๑,๓๓๔,๙๙๙ บำท วำงที่ส ำนักงำนสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำนจังหวัดเชียงใหม่เพื่อให้ จ ำเลยที่ ๔ รับไป ท ำให้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ในฐำนะผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุดและเป็นเจ้ำของห้องใน อำคำรชุดศรีธนำคอนโดมิเนียม ๒ เสียหำย ขอให้เพิกถอนข้อตกลงหรือสัญญำประนีประนอมยอมควำม เพื่อจ่ำยเงินให้จ ำเลยที่ ๔ และบังคับจ ำเลยทั้งสี่ร่วมกันช ำระค่ำเสียหำย ๑,๓๓๔,๙๙๙ บำท พร้อมดอกเบี้ย อัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้กำรท ำนองเดียวกันว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ท ำหน้ำที่ตำมข้อบังคับที่ก ำหนด หน้ำที่คณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดศรีธนำคอนโดมิเนียม ๒ โดยสุจริตเพื่อป้องกันควำมเสียหำยที่จะเกิด แก่โจทก์ที่ ๑ อันเกิดจำกกำรกระท ำของคณะกรรมกำรชุดเดิมที่เจตนำไม่จ่ำยค่ำจ้ำงให้จ ำเลยที่ ๔ เป็นกำร ปฏิบัติตำมมติที่ประชุมคณะกรรมกำรที่ให้เบิกจ่ำยเงินตำมค ำสั่งพนักงำนตรวจแรงงำน ส ำนักงำนสวัสดิกำร และคุ้มครองแรงงำนจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งต้องด ำเนินกำรโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดควำมเสียหำยจำกกำรต้องเสีย เงินเพิ่มและดอกเบี้ยอีกทั้งกำรไม่ปฏิบัติตำมจะมีโทษทำงอำญำ จ ำเลยที่ ๒ ให้ข้อเท็จจริงต่อพนักงำน ตรวจแรงงำนตำมที่รับทรำบมำ โจทก์ที่ ๑ ไม่มีข้อบังคับจ ำกัดจ ำนวนเงินที่สำมำรถเบิกถอนจำกบัญชี เงินฝำกเพื่อกำรจัดกำรเรื่องทั่วไปของโจทก์ที่ ๑ โจทก์ทั้งสองอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสี่สมคบกันเพื่อให้จ ำเลยที่ ๔ ได้เงินโจทก์ที่ ๑ ไปโดยฉ้อฉลแต่ฟ้องคดีนี้โดยไม่ได้บอกล้ำงโมฆียกรรมก่อนและโจทก์ที่ ๒ เป็นเพียงเจ้ำของ ห้องชุดซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกำรบริหำรจึงไม่มีอ ำนำจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
๙๑ จ ำเลยที่ ๔ ให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๔ ยื่นค ำร้องต่อพนักงำนตรวจแรงงำน ส ำนักงำนสวัสดิกำรและ คุ้มครองแรงงำนจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้โจทก์ที่ ๑ จ่ำยค่ำชดเชย ค่ำจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำจ้ำง ค้ำง ค่ำท ำงำนในวันหยุด พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม ตำมสิทธิอันจะพึงได้โดยชอบ จ ำเลยที่ ๔ มิได้ มีส่วนเกี่ยวข้องหรือร่วมกับจ ำเลยอื่นฉ้อฉลโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่น ำคดีไปสู่ศำลเพื่อเพิกถอนค ำสั่ง พนักงำนตรวจแรงงำนภำยในสำมสิบวันจึงพ้นก ำหนดเวลำฟ้องแล้ว ข้ออ้ำงที่อำศัยเป็นหลักแห่งข้อหำ และค ำขอบังคับของโจทก์ทั้งสองอยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ จ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นค ำร้องขอให้ศำลมีค ำสั่งเรียกพันต ำรวจตรีวชิระ ศรีนวลไชย เข้ำมำเป็นจ ำเลยร่วม ศำลอนุญำต จ ำเลยร่วมให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นคณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดศรีธนำ คอนโดมิเนียม ๒ ร่วมมือกับจ ำเลยที่ ๔ ฉ้อฉลโดยเบิกเงินจำกบัญชีเงินฝำกโจทก์ที่ ๑ จ ำนวน ๑,๓๓๔,๙๙๙ บำท เกินอ ำนำจที่ก ำหนดในข้อบังคับโจทก์ที่ ๑ โดยอำศัยค ำสั่งพนักงำนตรวจแรงงำน ส ำนักงำนสวัสดิกำร และคุ้มครองแรงงำนจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเครื่องมือเพื่อให้จ ำเลยที่ ๔ รับเงินดังกล่ำวไป จ ำเลยร่วมซึ่งเป็น คณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดศรีธนำคอนโดมิเนียม ๒ ได้คัดค้ำนกำรกระท ำของจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ มำตลอดจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจ ำเลยทั้งสี่ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว เห็นว่ำ โจทก์ทั้งสองฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสี่สมคบกันเพื่อให้จ ำเลยที่ ๔ ได้เงินโจทก์ ที่ ๑ ไปโดยฉ้อฉล โดยจ ำเลยที่ ๔ ซึ่งเคยเป็นพนักงำนโจทก์ที่ ๑ ยื่นค ำร้องต่อพนักงำนตรวจแรงงำนขอให้ โจทก์ที่ ๑ จ่ำยค่ำชดเชย ค่ำจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำจ้ำงค้ำง ค่ำท ำงำนในวันหยุด พร้อมดอกเบี้ย และเงินเพิ่ม ต่อมำจ ำเลยที่ ๒ ยอมรับต่อพนักงำนตรวจแรงงำนว่ำโจทก์ที่ ๑ ค้ำงจ่ำยค่ำจ้ำงเป็นเหตุให้ พนักงำนตรวจแรงงำนมีค ำสั่งให้โจทก์ที่ ๑ จ่ำยเงินตำมที่จ ำเลยที่ ๔ ยื่นค ำร้องดังกล่ำว แล้วจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นคณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดศรีธนำคอนโดมิเนียม ๒ ปกปิดไม่น ำเรื่องเข้ำ ที่ประชุมใหญ่สำมัญเพื่อให้เจ้ำของห้องร่วมพิจำรณำฟ้องเพิกถอนค ำสั่งพนักงำนตรวจแรงงำน แต่กลับไป เจรจำท ำข้อตกลงหรือสัญญำประนีประนอมยอมควำมเพื่อจ่ำยเงินให้จ ำเลยที่ ๔ แล้วเบิกเงินจำกบัญชี เงินฝำกโจทก์ที่ ๑ จ ำนวน ๑,๓๓๔,๙๙๙ บำท เกินอ ำนำจที่ก ำหนดในข้อบังคับโจทก์ที่ ๑ วำงที่ส ำนักงำน สวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำนจังหวัดเชียงใหม่เพื่อให้จ ำเลยที่ ๔ รับไปท ำให้โจทก์ทั้งสองเสียหำย และตำม ค ำร้องขอเรียกบุคคลภำยนอกเข้ำมำเป็นจ ำเลยร่วม ลงวันที่ ๒ พฤศจิกำยน ๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ขอให้เรียกพันต ำรวจตรีวชิระ ศรีนวลไชย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดดังกล่ำวเข้ำมำ เป็นจ ำเลยร่วม แม้ตำมค ำฟ้องและค ำร้องดังกล่ำวจะกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ ำเลยร่วมซึ่งเป็น คณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดจำกกำรแต่งตั้งโดยที่ประชุมใหญ่เจ้ำของร่วมปฏิบัติไม่ชอบด้วยอ ำนำจ หน้ำที่ตำมข้อบังคับของนิติบุคคลอำคำรชุดศรีธนำคอนโดมิเนียม ๒ ข้อที่ ๑๙ เอกสำรท้ำยค ำฟ้อง หมำยเลข ๗ ก็ตำม แต่ไม่ปรำกฏว่ำโจทก์ที่ ๑ กับจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ ำเลยร่วมมีนิติสัมพันธ์ในฐำนะ นำยจ้ำงและลูกจ้ำงต่อกันอย่ำงไร แม้ว่ำตำมค ำฟ้องจะกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์ที่ ๒ ได้รับกำรแต่งตั้งให้เป็น ผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุด แต่ปรำกฏจำกรำยกำรจดทะเบียนแต่งตั้ง เปลี่ยนแปลงกรรมกำรนิติบุคคล
๙๒ อำคำรชุด และเปลี่ยนแปลงผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำรชุด เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๑ ว่ำ โจทก์ที่ ๒ กับ บุคคลอื่นได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมกำรนิติบุคคลอำคำรชุดแทนจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ ำเลยร่วม โดยไม่ปรำกฏว่ำโจทก์ที่ ๒ กับจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ ำเลยร่วมมีนิติสัมพันธ์ในฐำนะนำยจ้ำงและลูกจ้ำง ต่อกันในช่วงเวลำใด อย่ำงไร เช่นกัน ตำมค ำฟ้องของโจทก์ทั้งสองและตำมค ำร้องขอเรียกบุคคลภำยนอก เข้ำเป็นจ ำเลยร่วมดังกล่ำวจึงเป็นกำรตั้งรูปคดีเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องต่อจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ตำมประมวล กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ว่ำด้วยละเมิด ตำมมำตรำ ๔๒๐ โดยขอให้จ ำเลยร่วมต้อง ร่วมรับผิดด้วย คดีระหว่ำงโจทก์ทั้งสองกับจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และจ ำเลยร่วมจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำท อย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ส ำหรับคดีระหว่ำงโจทก์ทั้งสองกับจ ำเลยที่ ๔ นั้น ขณะที่จ ำเลยที่ ๔ ยื่นค ำร้องต่อพนักงำนตรวจแรงงำน และท ำข้อตกลงหรือสัญญำประนีประนอมยอมควำมกับจ ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ นั้น โจทก์ทั้งสองกับจ ำเลยที่ ๔ ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ในลักษณะเป็นนำยจ้ำงลูกจ้ำงต่อกัน ทั้งตำมค ำฟ้องโจทก์ทั้งสองยังเป็นกำรกล่ำวอ้ำงถึง กำรกระท ำของจ ำเลยที่ ๔ ต่ำงหำกหลังสิ้นสุดสัญญำจ้ำงแรงงำนโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกำรท ำงำนตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนโดยตรง แม้จะเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๔ กระท ำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง แต่ก็มิใช่คดี อันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์ ทั้งสองกับจ ำเลยที่ ๔ จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำน และวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ เช่นกัน
๙๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.๕๔/๒๕๖๐ สหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จ ากัด โจทก์ นางเนตรนภา สันติธรรม จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ต าแหน่งผู้จัดการใหญ่ ระหว่างท างาน จ าเลย ใช้สิทธิสวัสดิการโจทก์ซื้อสินค้าจากร้านค้าภายนอกแล้วเป็นหนี้การค้าต่อโจทก์หลายรายการ เมื่อรวม ค่าปรับและดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๘๒,๖๘๖ บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย เป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสิทธิสวัสดิการซึ่งโจทก์ในฐานะนายจ้างให้แก่จ าเลยในฐานะลูกจ้าง อันเนื่องจากการจ้างซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยคดีระหว่าง โจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์กำรเกษตร ได้จัดสวัสดิกำรให้ลูกจ้ำงที่ประสงค์ จะซื้อสินค้ำจำกร้ำนค้ำภำยนอกสำมำรถน ำรำยกำรสินค้ำมำตั้งเบิกค่ำสินค้ำกับโจทก์แล้วเอำเงินสดของโจทก์ ไปจ่ำยค่ำสินค้ำได้ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งผู้จัดกำรใหญ่ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยใช้สิทธิสวัสดิกำร โจทก์ดังกล่ำวซื้อสินค้ำจำกร้ำนค้ำภำยนอกแล้วเป็นหนี้กำรค้ำต่อโจทก์หลำยรำยกำร เมื่อรวมค่ำปรับและ ดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๘๒,๖๘๖ บำท โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๘๒,๖๘๖ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๐ ต่อปีและค่ำปรับอัตรำร้อยละ ๓ ต่อปีจำกต้นเงิน ๗๔,๓๑๕ บำท นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ หนี้ตำมฟ้องเป็นสวัสดิกำรที่โจทก์สำมำรถหักจำกเงินเดือนจ ำเลยได้ แต่เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎำคม ๒๕๕๘ โจทก์เลิกจ้ำงจ ำเลยโดยไม่เป็นธรรมก่อนหนี้ดังกล่ำวจะถึงก ำหนดช ำระ จ ำเลยจึงไม่สำมำรถช ำระหนี้ได้กำรกระท ำของโจทก์เป็นกำรใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เมื่อจ ำเลยไม่ได้ผิดสัญญำ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดค่ำปรับและดอกเบี้ย ขณะท ำงำนโจทก์หักเงินเดือนจ ำเลยเป็นหลักประกันกำรท ำงำน หกสิบเท่ำของอัตรำค่ำจ้ำงรำยวันเป็นเงิน ๑๑๐,๑๘๐ บำท จ ำเลยขอหักกลบลบหนี้กับหนี้ตำมฟ้อง คดีนี้ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดเชียงรำยเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งผู้จัดกำรใหญ่ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยใช้สิทธิสวัสดิกำร