๑๙๔ ท ำให้โจทก์เสียหำย จึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่ำวอ้ำงควำมสัมพันธ์ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อใช้สิทธิเรียกร้อง ค่ำจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)
๑๙๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.113 - 115/2560 นายมงคล หาวิธี กับพวก โจทก์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (1) (๕), ๙ วรรคสอง โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องท านองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสามท างานเป็นพนักงานจ าเลย ระหว่างท างาน จ าเลยกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสามประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงท าให้จ าเลยได้รับความ เสียหายและตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและทางแพ่งต่อโจทก์ทั้งสาม ต่อมาได้มีค าสั่งลงโทษ ทางวินัยและทางแพ่งให้โจทก์ทั้งสามช าระค่าสินไหมทดแทนโดยจ าเลยใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ค่าเสียหาย ดังกล่าวจากเงินโบนัสประจ าปีของโจทก์ทั้งสามโดยมิชอบด้วยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และระเบียบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ฉบับที่ ๔๕ ว่าด้วย ความรับผิดทางละเมิดของพนักงาน ตามค าฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยผู้เป็น นายจ้างของโจทก์ทั้งสามตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายและตามระเบียบของจ าเลยซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง แรงงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และกระท าละเมิดเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้าง แรงงานต่อโจทก์ทั้งสาม คดีระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ คดีทั้งสำมส ำนวนนี้ศำลแรงงำนภำค ๔ มีค ำสั่งให้รวมพิจำรณำเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียก โจทก์เรียงตำมล ำดับส ำนวนว่ำโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และเรียกจ ำเลยทั้งสำมส ำนวนว่ำจ ำเลย โจทก์ทั้งสำมฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องท ำนองเดียวกันว่ำ จ ำเลยเป็นนิติบุคคลตำมพระรำชบัญญัติ ธนำคำรเพื่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร พ.ศ. ๒๕๐๙ โจทก์ทั้งสำมท ำงำนเป็นพนักงำนจ ำเลย ต ำแหน่งสุดท้ำยโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้ช่วยผู้อ ำนวยกำรธนำคำรเพื่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร จังหวัดร้อยเอ็ด โจทก์ที่ ๒ เป็นพนักงำนธุรกำร ๗ สำขำเชียงยืน โจทก์ที่ ๓ เป็นผู้ช่วยผู้จัดกำรสำขำบ้ำนเขื่อน ระหว่ำงที่ โจทก์ทั้งสำมปฏิบัติหน้ำที่ที่สำขำกุดรัง นำงนวลจันทร์ วิไลแก้ว พนักงำนกำรเงินสำขำกุดรัง กระท ำทุจริต แอบน ำเงินในตู้นิรภัยไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว จ ำนวน ๑๕,๒๔๓,๑๖๕ บำท จ ำเลยกล่ำวหำว่ำโจทก์ทั้งสำม ประมำทเลินเล่ออย่ำงร้ำยแรงท ำให้จ ำเลยได้รับควำมเสียหำยและตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนทำงวินัยและ ทำงแพ่งต่อโจทก์ทั้งสำม ต่อมำได้มีค ำสั่งลงโทษทำงวินัยให้ลดเงินเดือนโจทก์ที่ ๑ ร้อยละ ๕ ภำคทัณฑ์ โจทก์ที่ ๒ มีก ำหนด ๑ ปี และตัดเงินเดือนโจทก์ที่ ๓ ร้อยละ ๓ มีก ำหนด ๒ เดือน และได้มีค ำสั่งธนำคำร
๑๙๖ เพื่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตรที่ ๓๘๕๐ ที่ ๓๘๕๑ และที่ ๓๘๕๓/๒๕๕๗ ให้โจทก์ที่ ๑ ช ำระ ค่ำเสียหำยทำงแพ่ง ๒,๘๕๓,๔๙๙.๕๐ บำท โจทก์ที่ ๒ ช ำระ ๑,๔๒๖,๗๔๙.๗๕ บำท และโจทก์ที่ ๓ ช ำระ ๒,๘๕๓,๔๙๙.๕๐ บำท โดยจ ำเลยใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ค่ำเสียหำยดังกล่ำวจำกเงินโบนัสประจ ำปีของ โจทก์ที่ ๑ จ ำนวน ๓๗๓,๗๒๓.๔๒ บำท โจทก์ที่ ๒ จ ำนวน ๑๙๔,๗๐๔.๐๕ บำท และโจทก์ที่ ๓ จ ำนวน ๓๑๓,๑๖๒.๙๖ บำท โดยมิชอบ เพรำะสิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยดังกล่ำวยังมีข้อต่อสู้กันอยู่และท ำให้ โจทก์ทั้งสำมเดือดร้อน กำรกระท ำของโจทก์ทั้งสำมไม่ถึงกับเป็นกำรประมำทเลินเล่ออย่ำงร้ำยแรง และเมื่อจ ำเลยไม่น ำคดีฟ้องต่อศำลแรงงำนกลำงเพื่อเรียกค่ำเสียหำยดังกล่ำวภำยใน ๒ ปี จึงขำดอำยุควำม ตำมพระรำชบัญญัติควำมรับผิดทำงละเมิดของเจ้ำหน้ำที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และระเบียบธนำคำรเพื่อกำรเกษตร และสหกรณ์กำรเกษตร ฉบับที่ ๔๕ ว่ำด้วยควำมรับผิดทำงละเมิดของพนักงำน ขอให้เพิกถอนค ำสั่งธนำคำร เพื่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตรที่ ๓๘๕๐ ที่ ๓๘๕๑ และที่ ๓๘๕๓/๒๕๕๗ และบังคับให้จ ำเลยหยุด น ำมูลหนี้มำหักเงินรำยได้ในกำรท ำงำนของโจทก์ทั้งสำม และให้จ ำเลยคืนเงินแก่โจทก์ที่ ๑ จ ำนวน ๓๗๓,๗๒๓.๔๒ บำท โจทก์ที่ ๒ จ ำนวน ๑๙๔,๗๐๔.๐๕ บำท และโจทก์ที่ ๓ จ ำนวน ๓๑๓,๑๖๒.๙๖ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสำม จ ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ทั้งสำมเคยน ำประเด็นที่อำศัยเหตุอย่ำงเดียวกันกับคดีนี้ฟ้องจ ำเลย และต่อมำศำลแรงงำนภำค ๔ ได้มีค ำพิพำกษำให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดโดยโจทก์ทั้งสำมไม่อุทธรณ์ฟ้องของ โจทก์ทั้งสำมในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ ำและโจทก์ทั้งสำมไม่อำจกล่ำวอ้ำงว่ำสิทธิเรียกร้องค่ำสินไหมทดแทนของ โจทก์ทั้งสำมยังมีข้อต่อสู้หรือมูลหนี้ยังไม่ยุติ โจทก์ทั้งสำมจึงไม่มีอ ำนำจน ำคดีมำฟ้องจ ำเลยอีก โจทก์ทั้งสำม ไม่ได้ฟ้องเพิกถอนค ำสั่งธนำคำรเพื่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตรที่ ๓๘๕๐ ที่ ๓๘๕๑ และที่ ๓๘๕๓/๒๕๕๗ ภำยในหนึ่งปี คดีของโจทก์ทั้งสำมจึงขำดอำยุควำมแล้ว จ ำเลยมีสิทธิเรียกให้โจทก์ทั้งสำม ช ำระค่ำสินไหมทดแทนจำกกำรกระท ำโดยประมำทเลินเล่ออย่ำงร้ำยแรงภำยใน ๑๐ ปี กำรเรียกร้อง ค่ำสินไหมทดแทนจำกโจทก์ทั้งสำมจึงไม่ขำดอำยุควำม ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนภำค ๔ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ทั้งสำมบรรยำยฟ้องท ำนองเดียวกันว่ำ โจทก์ทั้งสำมท ำงำนเป็นพนักงำนจ ำเลย ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยกล่ำวหำว่ำโจทก์ทั้งสำมประมำทเลินเล่ออย่ำงร้ำยแรงท ำให้จ ำเลยได้รับควำมเสียหำยและ ตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนทำงวินัยและทำงแพ่งต่อโจทก์ทั้งสำม ต่อมำได้มีค ำสั่งลงโทษทำงวินัยและ ทำงแพ่งให้โจทก์ทั้งสำมช ำระค่ำสินไหมทดแทนโดยจ ำเลยใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ค่ำเสียหำยดังกล่ำว จำกเงินโบนัสประจ ำปีของโจทก์ทั้งสำมโดยมิชอบด้วยพระรำชบัญญัติควำมรับผิดทำงละเมิดของเจ้ำหน้ำที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และระเบียบธนำคำรเพื่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร ฉบับที่ ๔๕ ว่ำด้วยควำมรับผิด ทำงละเมิดของพนักงำน ตำมค ำฟ้องโจทก์ทั้งสำมจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยผู้เป็นนำยจ้ำงของโจทก์ ทั้งสำมตำมพระรำชบัญญัติแรงงำนรัฐวิสำหกิจสัมพันธ์พ.ศ. ๒๕๔๓ มำตรำ ๖ ไม่ปฏิบัติหน้ำที่ให้ถูกต้อง ตำมกฎหมำยและตำมระเบียบของจ ำเลยซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญำจ้ำงแรงงำนและข้อตกลงเกี่ยวกับ
๑๙๗ สภำพกำรจ้ำง และกระท ำละเมิดเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนต่อโจทก์ทั้งสำม คดีระหว่ำง โจทก์ทั้งสำมกับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมข้อตกลง เกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงสืบ เนื่องเกี่ยวกับ กำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)
๑๙๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.116/2560 บริษัทซิงเกอร์ประเทศไทย จ ากัด (มหาชน) โจทก์ นายเสกสรร นันทะเสน กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ต าแหน่งประจ าร้านซิงเกอร์เชียงค า ระหว่างท างาน จ าเลยที่ ๑ ท าสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายไว้แก่โจทก์ยอมรับว่าระหว่างที่ จ าเลยที่ ๑ ท างานได้ก่อความเสียหายแก่โจทก์โดยมีจ าเลยที่ ๒ ท าสัญญาค้ าประกันความรับผิดของ จ าเลยที่ ๑ แต่จ าเลยที่ ๑ ผ่อนช าระหนี้เพียงบางส่วน จึงเรียกร้องให้จ าเลยทั้งสองช าระหนี้ส่วนที่เหลือ เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญา จ้างแรงงาน จ าเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ ผู้เป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงเป็น คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องให้จ าเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะผู้ค้ าประกันความรับผิดของจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็น คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) เช่นกัน ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งประจ ำร้ำนซิงเกอร์เชียงค ำ ระหว่ำง ท ำงำน จ ำเลยที่ ๑ ท ำควำมเสียหำยแก่โจทก์และได้ท ำสัญญำรับผิดชดใช้ควำมเสียหำยไว้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๒๐,๘๐๐ บำท ขอผ่อนช ำระเป็นรำยเดือน เดือนละไม่น้อยกว่ำ ๗,๐๐๐ บำท ภำยในวันที่ ๓๐ ของเดือน เริ ่มตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษำยน ๒๕๕๙ เป็นต้นไปจนกว่ำจะครบ หำกผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่ำผิดนัด ทั้งหมดและยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต ่อปีโดยมีจ ำเลยที ่ ๒ ท ำสัญญำค้ ำประกัน กำรช ำระหนี้ดังกล่ำว ต่อมำจ ำเลยที่ ๑ ผ่อนช ำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียง ๗,๐๐๐ บำท แล้วผิดนัดไม่ผ่อนช ำระหนี้ ที่ยังคงเหลือจ ำนวน ๑๑๓,๘๐๐ บำท โจทก์บอกกล่ำวทวงถำมให้จ ำเลยทั้งสองช ำระหนี้ดังกล่ำวแล้ว แต่จ ำเลยทั้งสองเพิกเฉย ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย เมื่อรวมดอกเบี้ยนับแต ่วันผิดนัดถึงวันฟ้องแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๓๗,๙๘๒ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันช ำระเงิน ๑๓๗,๙๘๒ บำท พร้อมดอกเบี้ย อัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๑๓,๘๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์
๑๙๙ ชั้นตรวจค ำฟ้อง ศำลจังหวัดเชียงค ำเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ เคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งประจ ำร้ำนซิงเกอร์เชียงค ำ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยที่ ๑ ท ำสัญญำรับผิดชดใช้ควำมเสียหำยไว้แก่โจทก์ยอมรับว่ำระหว่ำงที่จ ำเลยที่ ๑ ท ำงำนได้ก่อ ควำมเสียหำยแก่โจทก์โดยมีจ ำเลยที่ ๒ ท ำสัญญำค้ ำประกันควำมรับผิดของจ ำเลยที่ ๑ แต่จ ำเลยที่ ๑ ผ่อนช ำระหนี้เพียงบำงส่วน จึงเรียกร้องให้จ ำเลยทั้งสองช ำระหนี้ส่วนที่เหลือ เป็นกรณีที่โจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ โจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ มีนิติสัมพันธ์เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน จ ำเลยที่ ๑ ผู้เป็น ลูกจ้ำงไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ผู้เป็นนำยจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำน ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕) ส่วนคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องให้จ ำเลยที่ ๒ รับผิดในฐำนะ ผู้ค้ ำประกันควำมรับผิดของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกำรไม่ปฏิบัติหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำง แรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) เช่นกัน
๒๐๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.117/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทสเกล พล็อตติ้ง เซ็นเตอร์ จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งยกเลิก พระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. ๒๕๓๔ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในการก าหนด แนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความเหมาะสมและก าหนด บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไป ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์การด าเนินการในการ รับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะ ของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้างหรือเจ้าของสถาน ประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนา คุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้า กองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือ ผู้ดูแลคนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการ เข้าท างานและก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการ รวมทั้งก าหนดมาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็น ผู้รักษาการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงาน ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่าบทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลย
๒๐๑ ส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐำนะเป็นกรมในรัฐบำล มีหน้ำที่ก ำกับดูแลกองทุนส่งเสริม และพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส ำหรับกำรใช้จ่ำย ในกำรคุ้มครอง ส่งเสริม สงเครำะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภำพ กำรศึกษำ และกำรประกอบอำชีพของคนพิกำร ปี๒๕๕๔ จ ำเลย เป็นนำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปมีหน้ำที่ต้องรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนจ ำนวน ๓ คน ตำมอัตรำส่วนหรือให้สัมปทำนหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำร มิฉะนั้นจะต้องส่งเงิน ๑๗๔,๑๐๕ บำท ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ำกองทุนดังกล่ำว ตำมที่พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก ำหนดไว้ แต่จ ำเลยไม่ด ำเนินกำร โจทก์มีหนังสือแจ้งเตือนให้จ ำเลยส่งเงินเมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๒๔๕,๗๙๘.๑๐ บำท เข้ำกองทุน ดังกล่ำวประจ ำปี ๒๕๕๔ แล้ว แต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๒๔๕,๗๙๘.๑๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑๗๔,๑๐๕ บำท นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดพระโขนงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งยกเลิกพระรำชบัญญัติกำรฟื้นฟู สมรรถภำพคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๓๔ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริม และพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสมและก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และ ควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพ เพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆ รวมทั้ง เป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำว จึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำรด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนและกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำงที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำร รับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำ กองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำมมำตรำ ๒๔ (๕) และมำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมมำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน
๒๐๒ เข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำรตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่ จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำน หรือให้กำรช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำรหรือผู้ดูแล คนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำรในกำรท ำงำนและก ำหนดหน้ำที่หลักของนำยจ้ำงหรือ เจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำรในกำรเข้ำท ำงำนและก ำหนด มำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำรรวมทั้งก ำหนดมำตรกำร ให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร โดยรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็นผู้รักษำกำรตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวง ก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรและ หน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่ง เข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำน ประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับผู้ปฏิบัติงำนในสถำน ประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุน ส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำรคุ้มครอง แรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒)
๒๐๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.118/2560 สหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครสวรรค์ จ ากัด โจทก์ นายอนุสรณ์ จันทรส กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8, 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติ สหกรณ์พ.ศ. ๒๕๑๑ จ าเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์ ต าแหน่งรองผู้จัดการ ระหว่างท างาน จ าเลยที่ ๑ ร่วมกับจ าเลยอื่นจัดให้มีการแก้ไขระเบียบโจทก์ให้เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างที่ลาออกได้รับค่าชดเชย ต่อมา จ าเลยที่ ๑ ลาออกและได้รับค่าชดเชย ท าให้โจทก์และสมาชิกต้องเสียหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดเกี่ยวกับการ ท างานตามสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ ซึ่งเป็นนายจ้าง ส่วนจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ นั้น โจทก์เพียงแต่ ฟ้องว่าจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นคณะกรรมการด าเนินการที่ได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกของโจทก์ซึ่งตาม ระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครสวรรค์จ ากัด ว่าด้วยเจ้าหน้าที่และลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๗ จ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีอ านาจหน้าที่ด าเนินกิจการแทนโจทก์โดยมิได้มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของโจทก์ ดังนั้นเมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความระมัดระวังไม่รักษา ผลประโยชน์ของโจทก์และสมาชิกท าให้โจทก์เสียหายอันเป็นการกระท าละเมิดต่อโจทก์ คดีระหว่าง โจทก์กับจ าเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการ ท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน และไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีฐำนะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตำมพระรำชบัญญัติ สหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ จ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงโจทก์ต ำแหน่งรองผู้จัดกำร จ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็น คณะกรรมกำรด ำเนินกำรซึ่งเลือกตั้งโดยสมำชิกของโจทก์ มีวำระด ำรงต ำแหน่งตำมข้อบังคับโจทก์ โดย จ ำเลยที่ ๒ เป็นประธำนคณะกรรมกำรกฎหมำยและติดตำม จ ำเลยที่ ๓ เป็นประธำนกรรมกำร ระหว่ำง ท ำงำน จ ำเลยทั้งสำมไม่ปฏิบัติตำมระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำนของโจทก์ โดยจ ำเลยที่ ๑ ร่วมกับจ ำเลยที่ ๒ แก้ไขระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครสวรรค์ จ ำกัด ว่ำด้วยเจ้ำหน้ำที่และลูกจ้ำง พ.ศ. ๒๕๕๗ จำกเดิมที่ระบุให้เจ้ำหน้ำที่หรือลูกจ้ำงที่ลำออกไม่ได้รับค่ำชดเชย แก้ไขเป็นว่ำมีสิทธิได้รับค่ำชดเชย แล้วสอดแทรกกำรเสนอแก้ไขเข้ำสู่วำระกำรประชุมคณะกรรมกำรด ำเนินกำร จ ำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นประธำน แต่ปฏิบัติหน้ำที่โดยปรำศจำกควำมระมัดระวังไม่ตรวจสอบกำรเสนอแก้ไขท ำให้คณะกรรมกำรด ำเนินกำร ลงมติผ่ำนที่ประชุมให้แก้ไขได้โดยผิดหลง ต่อมำจ ำเลยที่ ๑ ลำออกและได้รับค่ำชดเชย ๘๔๙,๓๕๐ บำท ท ำให้โจทก์และสมำชิกต้องเสียหำย เมื่อรวมดอกเบี้ย ๑๘๕,๗๙๕ บำท แล้วเป็นเงิน ๑,๐๓๕,๑๔๕ บำท
๒๐๔ ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสำมร่วมกันช ำระเงิน ๑,๐๓๕,๑๔๕ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๘๔๙,๓๕๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ ชั้นตรวจค ำฟ้อง ศำลแรงงำนภำค ๖ มีค ำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ส ำหรับจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เนื่องจำกไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ โจทก์อุทธรณ์ค ำสั่ง ศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงำนเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีในส่วนของจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์ คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีในส่วนของจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีฐำนะเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ตำม พระรำชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. ๒๕๑๑ จ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งรองผู้จัดกำรจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นคณะกรรมกำรด ำเนินกำรซึ่งเลือกตั้งโดยสมำชิกของโจทก์ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยที่ ๑ ร่วมกับจ ำเลยที่ ๒ แก้ไขระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครสวรรค์ จ ำกัด ว่ำด้วยเจ้ำหน้ำที่และลูกจ้ำง พ.ศ. ๒๕๕๗ จำกเดิม ที่ระบุให้เจ้ำหน้ำที่หรือลูกจ้ำงที่ลำออกไม่ได้รับค่ำชดเชย แก้ไขเป็นว่ำมีสิทธิได้รับค่ำชดเชย แล้วสอดแทรก กำรเสนอแก้ไขเข้ำสู่วำระกำรประชุมคณะกรรมกำรด ำเนินกำร จ ำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นประธำนแต่ปฏิบัติหน้ำที่ โดยปรำศจำกควำมระมัดระวังไม่ตรวจสอบกำรเสนอแก้ไขท ำให้คณะกรรมกำรด ำเนินกำรลงมติ ผ่ำนที่ประชุมให้แก้ไขได้โดยผิดหลง ต่อมำจ ำเลยที่ ๑ ลำออกและได้รับค่ำชดเชย ท ำให้โจทก์และสมำชิก ต้องเสียหำย จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้ำงโจทก์ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และกระท ำละเมิดเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง ส่วนจ ำเลยที่ ๒ และ ที่ ๓ นั้น โจทก์มิได้ฟ้องว่ำมีฐำนะเป็นลูกจ้ำงโจทก์ เพียงแต่ฟ้องว่ำจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นคณะกรรมกำร ด ำเนินกำรที่ได้รับกำรเลือกตั้งจำกสมำชิกของโจทก์เท่ำนั้น เมื่อพิจำรณำระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครู นครสวรรค์จ ำกัด ว่ำด้วยเจ้ำหน้ำที่และลูกจ้ำง พ.ศ. ๒๕๕๗ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๖ ข้อ ๔ ที่ก ำหนดให้คณะกรรมกำรด ำเนินกำร หมำยถึง คณะกรรมกำรด ำเนินงำนสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครสวรรค์ จ ำกัด ต่ำงหำกจำกที่ก ำหนดให้เจ้ำหน้ำที่และลูกจ้ำง หมำยถึง ผู้ที่สหกรณ์จ้ำงไว้ปฏิบัติงำนในสหกรณ์ ออมทรัพย์ครูนครสวรรค์จ ำกัด และระเบียบดังกล่ำวก ำหนดให้คณะกรรมกำรด ำเนินกำรมีอ ำนำจ ด ำเนินกำร เช่น กำรก ำหนดต ำแหน่งเจ้ำหน้ำที่และลูกจ้ำง เลื่อนค่ำจ้ำง ก ำหนดแบบประเมินผลกำร ปฏิบัติงำน และจ่ำยเงินโบนัส ซึ่งแสดงให้เห็นว่ำจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีอ ำนำจหน้ำที่ด ำเนินกิจกำรแทน โจทก์โดยมิได้มีฐำนะเป็นเจ้ำหน้ำที่หรือลูกจ้ำงของโจทก์ ดังนั้นเมื่อโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ปฏิบัติหน้ำที่โดยปรำศจำกควำมระมัดระวังไม่รักษำผลประโยชน์ของโจทก์และสมำชิกท ำให้โจทก์เสียหำย อันเป็นกำรกระท ำละเมิดต่อโจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำท อย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘
๒๐๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.119/2560 นายสิริพงศ์ พันสวัสดิ์ โจทก์ นายภูภาร สมาทา กับพวก จ ำเลย ป.อ. มาตรา 353, 83 ป.วิ.อ. มาตรา 158 พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8, 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องจ าเลยทั้งสามเป็นคดีอาญาและมีค าขอท้ายค าฟ้องอาญาให้ลงโทษจ าเลย ทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๓, ๘๓ แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า โจทก์ประสงค์ ให้จ าเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในทางอาญาเท่านั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นสมาชิกสหภาพ แรงงานโตโยต้า ประเทศไทย ซึ่งมีจ าเลยที่ ๑ เป็นประธาน จ าเลยที่ ๒ เป็นเลขาธิการ และจ าเลยที่ ๓ เป็นเหรัญญิก ก็เพื่อให้เห็นว่าจ าเลยทั้งสามอาศัยโอกาสจากการมีหน้าที่บริหารทรัพย์สินของสหภาพ แรงงานโตโยต้า ประเทศไทย กระท าความผิดทางอาญา ท าให้โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ดังกล่าวต้องเสียหาย อันเป็นการบรรยายถึงการกระท าทั้งหลายที่อ้างว่าจ าเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระท าผิด ตลอดจนข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระท านั้น ๆ อีกทั้งบุคคล หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) เมื่อศาลแรงงาน มีอ านาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ซึ่งเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับความรับผิดในทางแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึง ความรับผิดทางอาญาด้วย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสามจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นสมำชิกสหภำพแรงงำนโตโยต้ำ ประเทศไทย ซึ่งมีจ ำเลยที่ ๑ เป็นประธำน จ ำเลยที่ ๒ เป็นเลขำธิกำร และจ ำเลยที่ ๓ เป็นเหรัญญิก จ ำเลยทั้งสำมมีหน้ำที่บริหำรทรัพย์สินของ สหภำพแรงงำนโตโยต้ำ ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวำคม ๒๕๕๙ เวลำกลำงวัน จ ำเลยทั้งสำมร่วมกันซื้อ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๒๒ และเลขที่ ๖๒๖๖ ต ำบลสองคลอง อ ำเภอบำงประกง จังหวัดฉะเชิงเทรำ แล้วจ ำนองที่ดินเฉพำะส่วนเป็นเงิน ๑,๑๐๖,๐๐๐ บำท และ ๒๔๔,๐๐๐ บำท ตำมล ำดับ แล้วจ ำเลยทั้งสำม โดยทุจริตไม่น ำเงินทั้งหมดเข้ำบัญชีธนำคำรของสหภำพแรงงำนโตโยต้ำ ประเทศไทย ท ำให้เสียหำย แก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของสหภำพแรงงำนโตโยต้ำ ประเทศไทย ขอให้ลงโทษจ ำเลยทั้งสำม ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๓๕๓, ๘๓
๒๐๖ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศำลจังหวัดฉะเชิงเทรำเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องจ ำเลยทั้งสำมเป็นคดีอำญำและมีค ำขอท้ำยค ำฟ้องอำญำให้ลงโทษจ ำเลยทั้งสำมตำมประมวล กฎหมำยอำญำ มำตรำ ๓๕๓, ๘๓ แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่ำ โจทก์ประสงค์ให้จ ำเลยทั้งสำมร่วมกันรับผิด ในทำงอำญำเท่ำนั้น กำรที่โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำโจทก์เป็นสมำชิกสหภำพแรงงำนโตโยต้ำ ประเทศไทย ซึ่งมี จ ำเลยที่ ๑ เป็นประธำน จ ำเลยที่ ๒ เป็นเลขำธิกำร และจ ำเลยที่ ๓ เป็นเหรัญญิก ก็เพื่อให้เห็นว่ำจ ำเลยทั้งสำม อำศัยโอกำสจำกกำรมีหน้ำที่บริหำรทรัพย์สินของสหภำพแรงงำนโตโยต้ำ ประเทศไทยกระท ำควำมผิดทำงอำญำ ท ำให้โจทก์ซึ่งเป็นสมำชิกสหภำพแรงงำนดังกล่ำวต้องเสียหำย อันเป็นกำรบรรยำยถึงกำรกระท ำทั้งหลำย ที่อ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสำมได้ร่วมกันกระท ำผิดตลอดจนข้อเท็จจริงและรำยละเอียดเกี่ยวกับวันเวลำและสถำนที่ ซึ่งเกิดกำรกระท ำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ ๑๕๘ (๕) เมื่อศำลแรงงำนมีอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำเฉพำะคดีที่บัญญัติไว้ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ซึ่งเป็นคดีที่พิพำทเกี่ยวกับควำมรับผิด ในทำงแพ่งเท่ำนั้น ไม่รวมถึงควำมรับผิดทำงอำญำด้วย คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสำมจึงไม่มีลักษณะ เป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘
๒๐๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.120/2560 นายปิยะเทพ คุ้มเสนียด โจทก์ บริษัทคอนแม็ค (ไทยแลนด์) จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1) (2), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์เป็นที่ปรึกษา จ าเลยตกลงว่าหากจ าเลยเลิกสัญญา โดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือเลิกกิจการไม่ว่าด้วยเหตุใดจะจ่ายค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนชดใช้ค่าเสียหาย หรือค่าชดเชยแก่โจทก์ต่อมาจ าเลยปิดกิจการ โจทก์ทวงถามให้จ าเลยจ่ายค่าจ้างแล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ตามค าฟ้องโจทก์แม้จะมิได้แสดงให้เห็นว่าจ าเลยตกลงจ้าง โจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง แต่ปรากฏจากส าเนาสัญญาจ้างผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลหรือจ้างที่ปรึกษา ข้อ ๑.๒ ว่า โจทก์จะต้องปฏิบัติงานตามระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ของจ าเลย และข้อ ๓.๕ ว่า เครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุอุปกรณ์ที่โจทก์ใช้ปฏิบัติงานเป็นของจ าเลย จึงแสดงให้เห็นว่าโจทก์ต้อง ท างานภายใต้อ านาจบังคับบัญชาของจ าเลยอันเป็นลักษณะส าคัญของลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน อีกทั้งตามส าเนาหนังสือเลิกจ้าง ระบุว่า จ าเลยประสงค์จะเลิกกิจการและจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย แก่โจทก์ และตามส าเนาข้อตกลงการรับเงินและรักษาความลับ ระบุว่า จ าเลยซึ่งเป็นนายจ้าง ได้ จ่ายเงินรายได้สุทธิหลังจากหักเงินสมทบกองทุนประกันสังคม สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และ ค่าชดเชยแก่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงาน อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้าง แรงงาน เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจ าเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์จึงเป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยซึ่งเป็นนายจ้าง ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่าง โจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมาย ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ มีนำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยจ้ำงโจทก์เป็นที่ปรึกษำมีหน้ำที่ให้ค ำปรึกษำ ควบคุมดูแลงำน ประสำนงำน มีก ำหนดเวลำ ๕ ปี ตกลงค่ำจ้ำงเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บำท และจ ำเลยตกลงว่ำ หำกจ ำเลยเลิกสัญญำโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือเลิกกิจกำรไม่ว่ำด้วยเหตุใด จ ำเลยจะจ่ำยค่ำจ้ำง หรือ ค่ำตอบแทนชดใช้ค่ำเสียหำย หรือค่ำชดเชยแก่โจทก์ ต่อมำวันที่ ๒๗ กรกฎำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยปิดกิจกำร โจทก์ทวงถำมให้จ ำเลยจ่ำยค่ำจ้ำงแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระค่ำจ้ำง ๔,๒๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันพิพำกษำเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ท ำงำนภำยใต้กำรบังคับบัญชำของจ ำเลย ใช้อุปกรณ์เครื่องมือของ จ ำเลย กำรท ำงำนมิได้มุ่งผลส ำเร็จของงำน สัญญำระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยเป็นสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีนี้จึงอยู่
๒๐๘ ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน สัญญำจ้ำงโจทก์ท ำงำนท ำขึ้นโดยกรรมกำรจ ำเลยที่ลงนำมไม่มี ควำมรู้ภำษำไทยและสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เพียงพอ ข้อสัญญำจ้ำงโจทก์ท ำงำนดังกล่ำวไม่เป็นธรรมกับ จ ำเลย โจทก์กับจ ำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมควำมกันแล้วโดยโจทก์ได้รับเงินบำงส่วนแล้วไม่ติดใจ เรียกร้องเงินใดจำกจ ำเลยอีก โจทก์จึงไม่มีอ ำนำจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำศำลจังหวัดชลบุรีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติ จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์เป็นที่ปรึกษำ จ ำเลยตกลงว่ำหำกจ ำเลยเลิกสัญญำโดยไม่มีเหตุ อันสมควรหรือเลิกกิจกำรไม่ว่ำด้วยเหตุใดจะจ่ำยค่ำจ้ำง หรือค่ำตอบแทนชดใช้ค่ำเสียหำย หรือค่ำชดเชย แก่โจทก์ต่อมำจ ำเลยปิดกิจกำร โจทก์ทวงถำมให้จ ำเลยจ่ำยค่ำจ้ำงแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับ จ ำเลยจ่ำยค่ำจ้ำงแก่โจทก์ตำมค ำฟ้องโจทก์แม้จะมิได้แสดงให้เห็นว่ำจ ำเลยตกลงจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็น ลูกจ้ำง แต่ปรำกฏจำกส ำเนำสัญญำจ้ำงผู้เชี่ยวชำญรำยบุคคลหรือจ้ำงที่ปรึกษำ เอกสำรท้ำยค ำฟ้อง หมำยเลข ๒ ข้อ ๑.๒ ว่ำ โจทก์จะต้องปฏิบัติงำนตำมระเบียบและข้อบังคับต่ำง ๆ ของจ ำเลย และข้อ ๓.๕ ว่ำเครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุอุปกรณ์ที่โจทก์ใช้ปฏิบัติงำนเป็นของจ ำเลย จึงแสดงให้เห็นว่ำโจทก์ต้องท ำงำน ภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำของจ ำเลยอันเป็นลักษณะส ำคัญของลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน อีกทั้งตำมส ำเนำ หนังสือเลิกจ้ำง เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๓ ฉบับแรก ระบุว่ำ จ ำเลยประสงค์จะเลิกกิจกำรและจะจ่ำย ค่ำชดเชยตำมกฎหมำยแก่โจทก์ และตำมส ำเนำข้อตกลงกำรรับเงินและรักษำควำมลับ เอกสำรท้ำยค ำฟ้อง หมำยเลข ๓ ฉบับที่สอง ระบุว่ำ จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำง ได้จ่ำยเงินรำยได้สุทธิหลังจำกหักเงินสมทบกองทุน ประกันสังคม สินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ และค่ำชดเชยแก่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงำน อันแสดงให้เห็นว่ำ โจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์กันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน เมื่อโจทก์ฟ้องว่ำจ ำเลยไม่จ่ำยค่ำจ้ำงให้โจทก์จึงเป็น กำรกล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำงไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรคุ้มครองแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดี แรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)
๒๐๙ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.121/2560 นายรับเสด็จ ภูริสุพัฒนภาคิน โจทก์ บริษัทคอนแม็ค (ไทยแลนด์) จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1) (2), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์เป็นที่ปรึกษา จ าเลยตกลงว่าหากจ าเลยเลิกสัญญา โดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือเลิกกิจการไม่ว่าด้วยเหตุใดจะจ่ายค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนชดใช้ค่าเสียหาย หรือค่าชดเชยแก่โจทก์ ต่อมาจ าเลยปิดกิจการ โจทก์ทวงถามให้จ าเลยจ่ายค่าจ้างแล้วแต่จ าเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ ตามค าฟ้องโจทก์แม้จะมิได้แสดงให้เห็นว่าจ าเลยตกลงจ้าง โจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง แต่ปรากฏจากส าเนาสัญญาจ้างผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลหรือจ้างที่ปรึกษา ข้อ ๑.๒ ว่า โจทก์จะต้องปฏิบัติงานตามระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ของจ าเลย และข้อ ๓.๕ ว่า เครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุอุปกรณ์ที่โจทก์ใช้ปฏิบัติงานเป็นของจ าเลย จึงแสดงให้เห็นว่าโจทก์ต้อง ท างานภายใต้อ านาจบังคับบัญชาของจ าเลยอันเป็นลักษณะส าคัญของลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจ าเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์จึงเป็นการกล่าวอ้างว่า จ าเลยซึ่งเป็นนายจ้างไม่ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับ จ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ กุมภำพันธ์๒๕๖๐ จ ำเลยจ้ำงโจทก์เป็นที่ปรึกษำ มีหน้ำที่ให้ค ำปรึกษำ ควบคุมดูแลงำน ประสำนงำน มีก ำหนดเวลำ ๗ ปี ตกลงค่ำจ้ำงเดือนละ ๑๗๐,๐๐๐ บำท และจ ำเลยตกลงว่ำหำกจ ำเลยเลิกสัญญำโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือเลิกกิจกำรไม่ว่ำด้วยเหตุใด จ ำเลย จะจ่ำยค่ำจ้ำง หรือค่ำตอบแทนชดใช้ค่ำเสียหำย หรือค่ำชดเชยแก่โจทก์ ต่อมำวันที่ ๒๗ กรกฎำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยปิดกิจกำร โจทก์ทวงถำมให้จ ำเลยจ่ำยค่ำจ้ำงแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระ ค่ำจ้ำง ๑๔,๕๓๐,๘๓๑.๕๑ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๔,๔๕๐,๐๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ท ำงำนภำยใต้กำรบังคับบัญชำของจ ำเลย ใช้อุปกรณ์เครื่องมือของ จ ำเลย กำรท ำงำนมิได้มุ่งผลส ำเร็จของงำน สัญญำระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยเป็นสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีนี้จึงอยู่ ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน กำรงำนที่โจทก์ท ำให้จ ำเลยไม่เป็นไปตำมที่ตกลง โจทก์ชี้ชวน ให้จ ำเลยซื้อเครื่องจักรเกินควำมจ ำเป็นและต้องเสียเงินมัดจ ำสูงเป็นกำรไม่รักษำประโยชน์ให้จ ำเลย ทั้งยัง ท ำสัญญำเช่ำรถโดยเสียเปรียบกับบริษัทที่ภริยำโจทก์เป็นกรรมกำรอันเป็นกำรแข่งขันและกระท ำกำร
๒๑๐ อันเป็นปรปักษ์กับจ ำเลย สัญญำจ้ำงโจทก์ท ำงำนท ำขึ้นโดยกรรมกำรจ ำเลยที่ลงนำมไม่มีควำมรู้ภำษำไทย และสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เพียงพอ ข้อสัญญำจ้ำงโจทก์ท ำงำนดังกล่ำวไม่เป็นธรรมแก่จ ำเลยและท ำขึ้น โดยจ ำเลยส ำคัญผิดในสำระส ำคัญ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดชลบุรีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนหรือไม่จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์เป็นที่ปรึกษำ จ ำเลยตกลงว่ำหำกจ ำเลยเลิกสัญญำโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือเลิกกิจกำรไม่ว่ำด้วยเหตุใด จะจ่ำยค่ำจ้ำง หรือค่ำตอบแทนชดใช้ค่ำเสียหำย หรือค่ำชดเชยแก่โจทก์ ต่อมำ จ ำเลยปิดกิจกำร โจทก์ทวงถำมให้จ ำเลยจ่ำยค่ำจ้ำงแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยค่ำจ้ำง แก่โจทก์ ตำมค ำฟ้องโจทก์แม้จะมิได้แสดงให้เห็นว่ำจ ำเลยตกลงจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง แต่ปรำกฏจำก ส ำเนำสัญญำจ้ำงผู้เชี่ยวชำญรำยบุคคลหรือจ้ำงที่ปรึกษำ เอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ ข้อ ๑.๒ ว่ำ โจทก์ จะต้องปฏิบัติงำนตำมระเบียบและข้อบังคับต่ำง ๆ ของจ ำเลย และข้อ ๓.๕ ว่ำ เครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุ อุปกรณ์ที่โจทก์ใช้ปฏิบัติงำนเป็นของจ ำเลย จึงแสดงให้เห็นว่ำโจทก์ต้องท ำงำนภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำ ของจ ำเลยอันเป็นลักษณะส ำคัญของลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน เมื่อโจทก์ฟ้องว่ำจ ำเลยไม่จ่ำยค่ำจ้ำงให้ โจทก์จึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำ จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำงไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำม กฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำน และวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)
๒๑๑ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.122/2560 หม่อมราชวงศ์ศศิพฤนท์ จันทรทัต โจทก์ บริษัททีทีแอนด์ทีจ ากัด (มหาชน) กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ต าแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีก าหนดเวลา ๓ ปี ต่อมาจ าเลยที่ ๒ มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบก าหนดเวลาจ้าง จึงขอให้จ าเลย ทั้งสองจ่ายค่าตอบแทนพิเศษจากการเลิกสัญญาก่อนครบก าหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างดังกล่าว เป็นการกล่าวอ้างว่าจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างโจทก์โดยตรงและจ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ผู้กระท าการแทนจ าเลยที่ ๑ อันมีฐานะเป็นนายจ้างโจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์ กับจ าเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่า ปี ๒๕๕๑ ศาลล้มละลายกลางมีค าสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจ าเลยที่ ๑ และต่อมา ได้มีค าสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจ าเลยที่ ๑ เด็ดขาด จ าเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจ าเลยที่ ๑ จึงมีอ านาจจัดการกิจการและจ าหน่ายทรัพย์สินของจ าเลยที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗ จ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ต าแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีก าหนดเวลา ๓ ปี ก าหนดค่าจ้างเดือนละ ๗๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจ าเลยที่ ๒ มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ โจทก์จึงยื่นค าร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ซึ่งต่อมาพนักงานตรวจแรงงานได้มี ค าสั่งให้จ าเลยที่ ๑ โดยจ าเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างส าหรับวันหยุดพักผ่อนประจ าปี แก่โจทก์ในฐานะลูกจ้าง แต่โจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนพิเศษจากการที่จ าเลยทั้งสองยกเลิกสัญญาก่อน ครบก าหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้าง ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ๗,๓๒๖,๖๖๖.๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ เมื่อศำลล้มละลำยกลำงได้มีค ำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขำดจ ำเลยที่ ๑ แล้ว การเรียกร้องสิทธิในค่าตอบแทนพิเศษของโจทก์ต้องด าเนินการขอรับช าระหนี้ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๙๒ คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวพันกับคดีตามกฎหมายว่าด้วย ล้มละลาย ซึ่งอยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลล้มละลายกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลาย และวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ การเลิกจ้างโจทก์ไม่ได้เกิดจากเจตนาของนายจ้างแต่จ าเลยที่ ๑ ที่ถูกค าสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่มีอ านาจประกอบกิจการตามปกติ จ าเลยที่ ๒ จึงมีอ านาจเพียงจัดการ กิจการที่ค้างอยู่ของจ าเลยที่ ๑ ให้เสร็จสิ้นไปเท่านั้น และแม้ว่าศาลแรงงานกลางจะรับคดีนี้ไว้พิจารณาและ
๒๑๒ มีค าพิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินตามฟ้องก็ไม่มีผลผูกพันกองทรัพย์สินของจ าเลยที่ ๑ เพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีแพ่ง เกี่ยวกับทรัพย์สินของจ าเลยที่ ๑ ที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลในระหว่างที่มีค าสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ จ้ำงโจทก์เป็นลูกจ้ำง ต ำแหน่งประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำร มีก ำหนดเวลำ ๓ ปี ต่อมำ จ ำเลยที่ ๒ มีหนังสือเลิกจ้ำงโจทก์ก่อนครบก ำหนดเวลำจ้ำง จึงขอให้จ ำเลยทั้งสองจ่ำยค่ำตอบแทนพิเศษ จำกกำรเลิกสัญญำก่อนครบก ำหนดระยะเวลำตำมสัญญำจ้ำงดังกล่ำว เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็น นำยจ้ำงโจทก์โดยตรงและจ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้ำพนักงำนพิทักษ์ทรัพย์ผู้กระท ำกำรแทนจ ำเลยที่ ๑ อันมีฐำนะ เป็นนายจ้างโจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตาม สัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญา จ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) อนึ่ง ค าวินิจฉัยดังกล่าว คงพิจารณาเฉพาะแต่ข้ออ้างตามค าฟ้องของโจทก์เท่านั้น ส่วนที่ จ าเลยทั้งสองให้การต่อสู้และเป็นปัญหาพิพาทว่า โจทก์มีอ านาจฟ้องจ าเลยทั้งสองหรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมาย ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาจะต้องพิจารณาวินิจฉัยตามรูปคดีต่อไป
๒๑๓ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.123/2560 นายเฉลิมพล กฤตภาสพงศ์ โจทก์ ส านักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (5), 9 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างและเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับบริหารของบริษัท โชคสมุทร มารีน จ ากัด นายจ้าง ระหว่างท างาน โจทก์ยื่นค าร้องต่อจ าเลยที่ ๑ เพื่อให้ตรวจสอบระบบ น้ าดับเพลิงในสถานประกอบการของนายจ้าง จ าเลยที่ ๑ จึงส่งเจ้าพนักงานเข้าตรวจความปลอดภัย ตามค าร้องของโจทก์ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เจ้าพนักงานได้เปิดเผยต่อนายจ้างว่าเหตุที่เข้าตรวจสอบ เพราะมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับระบบน้ าดับเพลิง เป็นเหตุให้นายจ้างเลิกจ้างโจทก์ การกระท าของ เจ้าพนักงานดังกล่าวเป็นการท าละเมิดให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้จ าเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ของเจ้าพนักงานดังกล่าวร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานในสังกัด ของจ าเลยที่ ๑ ใช้อ านาจหน้าที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นการกระท าละเมิดต่อโจทก์ จึงขอให้จ าเลยทั้งสาม รับผิดในผลแห่งการกระท าละเมิดของเจ้าพนักงานในสังกัดที่กระท าให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น จากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อย่างไร ก็ตาม แม้ว่าพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ จะเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ กับจ าเลยทั้งสามมีนิติสัมพันธ์กันในฐานะนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์ และจ าเลยทั้งสามจึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาท แรงงานหรือเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างลูกจ้าง กับลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เคยเป็นลูกจ้ำงของบริษัทโชคสมุทร มำรีน จ ำกัด นำยจ้ำง ระหว่ำงท ำงำน ได้รับหน้ำที่เป็นเจ้ำหน้ำที่ควำมปลอดภัยระดับบริหำรและเป็นคณะกรรมกำรสวัสดิกำรในสถำน ประกอบกำร โจทก์ยื่นค ำร้องต่อจ ำเลยที่ ๑ เพื่อให้ตรวจสอบระบบน้ ำดับเพลิงในสถำนประกอบกำร ของนำยจ้ำง จ ำเลยที่ ๑ จึงส่งเจ้ำพนักงำนเข้ำตรวจควำมปลอดภัยตำมค ำร้องของโจทก์ ระหว่ำงปฏิบัติ หน้ำที่ เจ้ำพนักงำนได้เปิดเผยต่อนำยจ้ำงว่ำเหตุที่เข้ำตรวจสอบเพรำะมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับระบบ น้ ำดับเพลิง เป็นเหตุให้นำยจ้ำงเลิกจ้ำงโจทก์ กำรกระท ำของเจ้ำพนักงำนดังกล่ำวเป็นกำรท ำละเมิดให้โจทก์ เสียหำย เจ้ำพนักงำนดังกล่ำวอยู่ในสังกัดของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นส่วนรำชกำรระดับจังหวัดของจ ำเลยที่ ๒ และจ ำเลยที่ ๒ เป็นส่วนรำชกำรระดับกรมของจ ำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นส่วนรำชกำรระดับกระทรวง ขอให้บังคับ
๒๑๔ จ ำเลยทั้งสำมร่วมกันชดใช้ค่ำเสียหำยจำกกำรขำดรำยได้ จำกกำรไม่ได้โบนัสประจ ำปี และจำกกำรที่โจทก์ เสียชื่อเสียง เสียสุขภำพกำยใจ รวมเป็นเงิน ๘,๐๓๗,๙๓๐ บำทพร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยทั้งสำมให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ได้รับค ำร้องเรียนจำกโจทก์ให้ตรวจสอบระบบน้ ำดับเพลิง ในบริษัทโชคสมุทร มำรีน จ ำกัด จึงได้ให้เจ้ำพนักงำนเข้ำตรวจสอบ โดยแจ้งสำเหตุกำรตรวจสอบแก่ตัวแทน นำยจ้ำงว่ำมีกำรร้องเรียนดังกล่ำว จำกกำรตรวจสอบพบว่ำบริษัทโชคสมุทร มำรีน จ ำกัด ประกอบกิจกำร รับฝำกอำหำรแช่แข็งมิได้ใช้สำรไวไฟหรือสำรติดไฟท ำควำมเย็น จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องมีระบบน้ ำดับเพลิง ต่อมำโจทก์ยื่นค ำร้องต่อคณะกรรมกำรแรงงำนสัมพันธ์ กล่ำวหำว่ำบริษัทโชคสมุทร มำรีน จ ำกัด กระท ำ กำรอันไม่เป็นธรรม และยื่นค ำร้องต่อจ ำเลยที่ ๑ ว่ำถูกบริษัทโชคสมุทร มำรีน จ ำกัด เลิกจ้ำงโดยมีสำเหตุ จำกกำรร้องเรียนหรือให้ข้อมูลเรื่องควำมปลอดภัย ตำมพระรำชบัญญัติควำมปลอดภัย อำชีวอนำมัย และ สภำพแวดล้อมในกำรท ำงำน พ.ศ. ๒๕๕๔ มำตรำ ๔๒ เจ้ำพนักงำนของจ ำเลยที่ ๑ พิจำรณำพยำนหลักฐำน ประกอบค ำสั่งคณะกรรมกำรแรงงำนสัมพันธ์ ที่ ๒/๒๕๖๐ แล้วเห็นว่ำ บริษัทโชคสมุทร มำรีน จ ำกัด เลิกจ้ำงโจทก์เพรำะโจทก์มีพฤติกรรมไม่เหมำะสมและมีปัญหำในกำรท ำงำนร่วมกับผู้บริหำร มิได้มีสำเหตุ จำกกำรร้องเรียนหรือให้ข้อมูลเรื่องควำมปลอดภัย ตำมพระรำชบัญญัติควำมปลอดภัย อำชีวอนำมัย และสภำพแวดล้อมในกำรท ำงำน พ.ศ. ๒๕๕๔ มำตรำ ๔๒ กำรแจ้งข้อมูลของเจ้ำพนักงำนของจ ำเลยที่ ๑ แก่ตัวแทนนำยจ้ำง ว่ำจ ำเลยที่ ๑ ได้รับค ำร้องเรียนจำกโจทก์ให้ตรวจสอบระบบน้ ำดับเพลิงในบริษัท โชคสมุทร มำรีน จ ำกัด เป็นเพียงกำรให้ข้อเท็จจริงเพื่อให้ทรำบเหตุผลในกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมที่กฎหมำย ก ำหนดโดยมิได้ระบุชื่อหรือบุคคลใดให้หมำยควำมถึงโจทก์ แต่เป็นโจทก์ที่ยอมรับต่อบริษัทโชคสมุทร มำรีน จ ำกัด ด้วยตนเองว่ำเป็นผู้ร้องเรียน จึงถือไม่ได้ว่ำกำรให้ข้อเท็จจริงของเจ้ำพนักงำนของจ ำเลยที่ ๑ เป็นสำเหตุให้บริษัทโชคสมุทรมำรีน จ ำกัด เลิกจ้ำงโจทก์และท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างการพิจารณา ศาลแรงงานกลางเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างและเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับบริหารของบริษัท โชคสมุทร มารีน จ ากัด นายจ้าง ระหว่างท างาน โจทก์ยื่นค าร้องต่อจ าเลยที่ ๑ เพื่อให้ตรวจสอบระบบ น้ าดับเพลิงในสถานประกอบการของนายจ้าง จ าเลยที่ ๑ จึงส่งเจ้าพนักงานเข้าตรวจความปลอดภัย ตามค าร้องของโจทก์ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เจ้าพนักงานได้เปิดเผยต่อนายจ้างว่าเหตุที่เข้าตรวจสอบเพราะมี ผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับระบบน้ าดับเพลิง เป็นเหตุให้นายจ้างเลิกจ้างโจทก์ การกระท าของเจ้าพนักงานดังกล่าว เป็นการท าละเมิดให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้จ าเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าพนักงานดังกล่าว ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานในสังกัดของจ าเลยที่ ๑ ใช้อ านาจหน้าที่ ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นการกระท าละเมิดต่อโจทก์ จึงขอให้จ าเลยทั้งสามรับผิดในผลแห่งการกระท าละเมิดของเจ้าพนักงาน ในสังกัดที่กระท าให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิด
๒๑๕ ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ จะเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจ าเลยทั้งสามมีนิติสัมพันธ์กันในฐานะนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้าง แรงงาน คดีระหว่างโจทก์และจ าเลยทั้งสามจึงมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง สืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่างลูกจ้างกับลูกจ้างที่เกิดจากการท างานในทางการที่จ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕)
๒๑๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.1๒๔/2560 บริษัทยูนิเวอร์แซล เมทริกซ์ เทคโนโลยี จ ากัด โจทก์ นางสาวจินตนา ค ามณี จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ระหว่างท างาน ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ จ าเลยโดยทุจริตปราศจากความยินยอมของโจทก์ท าข้อมูลตกเบิก เงินเดือนของตนย้อนหลังเพิ่มจากเงินเดือนที่มีสิทธิได้รับ และท าบันทึกฐานเงินเดือนของตนเพิ่มขึ้น จากที่มีสิทธิได้รับแล้วน าเงินดังกล่าวไป ต่อมาจ าเลยลาออก จึงขอให้จ าเลยคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ เป็นการฟ้องเรียกร้องให้จ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติ ผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (5) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๔ ธันวำคม ๒๕๕๖ โจทก์จ้ำงจ ำเลยท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำรบริหำร ทรัพยำกรมนุษย์ ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๖๐,๐๐๐ บำท มีหน้ำที่ดูแลงำนจัดท ำเงินเดือนพนักงำนของโจทก์ จ ำเลยโดยทุจริตปรำศจำกควำมยินยอมของโจทก์ท ำข้อมูลตกเบิกเงินเดือนของตนย้อนหลังเพิ่มจำก เงินเดือนอีกเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บำท ตั้งแต่เดือนมกรำคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนพฤษภำคม ๒๕๕๗ และท ำบันทึก ฐำนเงินเดือนของตนเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บำท ตั้งแต่เดือนมิถุนำยน ๒๕๕๗ ถึงเดือนพฤศจิกำยน ๒๕๕๗ ต่อมำเดือนธันวำคม ๒๕๕๗ โจทก์ตกลงปรับเงินเดือนให้พนักงำนเพิ่มขึ้นในอัตรำร้อยละสำมโดยให้ มีผลย้อนหลังถึงเดือนพฤษภำคม ๒๕๕๗ จ ำเลยจึงทุจริตท ำข้อมูลตกเบิกเงินเดือนของตนย้อนหลังตั้งแต่ เดือนพฤษภำคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนพฤศจิกำยน ๒๕๕๗ จำกที่มีสิทธิได้รับเดือนละ ๑๒,๖๐๐ บำท เป็นเดือนละ ๒๑,๐๐๐ บำท และท ำบันทึกฐำนข้อมูลเงินเดือนตั้งแต่เดือนธันวำคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมิถุนำยน ๒๕๕๙ ของตนเพิ่มขึ้นจำกที่มีสิทธิได้รับอีกเดือนละ ๔๑,๒๐๐ บำท เป็นเงินที่จ ำเลยรับไปทั้งสิ้น ๑,๒๓๑,๒๐๐ บำท รวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงิน ๑,๓๒๙,๖๑๑ บำท โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉยและได้ลำออกจำกกำร เป็นลูกจ้ำงโจทก์ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑,๓๒๙,๖๑๑ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๒๓๑,๒๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์มอบหมำยให้จ ำเลยดูแลงำนทรัพยำกรมนุษย์ของโจทก์และบริษัทใน เครือของโจทก์อีก ๒ แห่ง ต่อมำโจทก์ยังได้มอบหมำยให้จ ำเลยท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำรฝ่ำยบริหำรทั่วไป เพิ่มขึ้นอีก จึงได้ตกลงเพิ่มเงินเดือนให้จ ำเลยจำกที่ได้รับเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บำท เป็น ๑๐๐,๐๐๐ บำท โดย มีผลย้อนหลังถึงเดือนมกรำคม ๒๕๕๗ ต่อมำเมื่อโจทก์ตกลงปรับเงินเดือนให้พนักงำนเพิ่มขึ้นในอัตรำร้อย
๒๑๗ ละสำมโดยให้มีผลย้อนหลังถึงเดือนพฤษภำคม ๒๕๕๗ จ ำเลยจึงมีสิทธิรับเงินเดือนเพิ่มอีกเดือนละ ๔๑,๒๐๐ บำท จ ำเลยจึงมิได้ทุจริตต่อโจทก์ฟ้องโจทก์ขำดอำยุควำม คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำล แรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ระหว่ำงท ำงำน ตั้งแต่เดือนมกรำคม ๒๕๕๗ ถึง เดือนมิถุนำยน ๒๕๕๙ จ ำเลยโดยทุจริตปรำศจำกควำมยินยอมของโจทก์ท ำข้อมูลตกเบิกเงินเดือนของตน ย้อนหลังเพิ่มจำกเงินเดือนที่มีสิทธิได้รับ และท ำบันทึกฐำนเงินเดือนของตนเพิ่มขึ้นจำกที่มีสิทธิได้รับแล้วน ำ เงินดังกล่ำวไป รวมเป็นเงินที่จ ำเลยเอำไปทั้งสิ้น ๑,๒๓๑,๒๐๐ บำท ต่อมำจ ำเลยลำออก จึงขอให้จ ำเลยคืน เงินดังกล่ำวแก่โจทก์เป็นกำรฟ้องเรียกร้องให้จ ำเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ชดใช้ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำก กำรปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง คดีระหว่ำงโจทก์กับ จ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำ คดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)
๒๑๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.125/25๖๐ บริษัทยูนิเวอร์แซล เมทริกซ์ เทคโนโลยี จ ากัด โจทก์ นางสาวจินตนา ค ามณี กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕), ๙ วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ระหว่างท างาน จ าเลยทั้งสอง ร่วมกันกระท าละเมิดต่อโจทก์โดยจ าเลยที่ ๑ แก้ไขวันลาออกของจ าเลยที่ ๒ และแก้ไขฐานข้อมูล เงินเดือนของจ าเลยที่ ๒ เป็นเหตุให้จ าเลยที่ ๒ ได้รับเงินเดือนในเดือนที่ลาออกและได้รับเงินเดือน ย้อนหลังเพิ่มขึ้นเดือนละ ๗,๒๐๐ บาท รวม ๗ เดือน เป็นเงิน ๑๐๒,๖๐๐ บาท แล้วโอนเข้าบัญชีเงินฝาก ของจ าเลยที่ ๒ จึงขอให้จ าเลยทั้งสองคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าระหว่างที่จ าเลยที่ ๑ ท างานเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ร่วมกับจ าเลยที่ ๒ ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิด ต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเป็นเหตุให้จ าเลยที่ ๒ ซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์รับเงินค่าจ้างตอบแทนการท างาน ไปโดยไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตาม สัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๔ ธันวำคม ๒๕๕๖ โจทก์จ้ำงจ ำเลยที่๑ ท ำงำนต ำแหน่งผู้จัดกำร บริหำรทรัพยำกรมนุษย์ มีหน้ำที่บริหำรงำนบุคคลและจัดท ำบันทึกฐำนข้อมูลเงินเดือนพนักงำน จ ำเลยที่ ๒ เคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ต ำแหน่งผู้จัดกำรส่วนติดตั้ง และได้ลำออกจำกกำรเป็นพนักงำนเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวำคม ๒๕๕๗ ระหว่ำงกลำงเดือนธันวำคม ๒๕๕๗ ถึงปลำยเดือนธันวำคม ๒๕๕๗ จ ำเลยทั้งสองร่วมกันท ำละเมิด ต่อโจทก์โดยจ ำเลยที่ ๑ แก้ไขวันลำออกของจ ำเลยที่ ๒ เป็นวันที่ ๑ มกรำคม ๒๕๕๘ และแก้ไขฐำนข้อมูล เงินเดือนของจ ำเลยที่ ๒ ให้ยังคงได้รับเงินเดือนของเดือนธันวำคม ๒๕๕๗ เป็นเงิน ๕๒,๒๐๐ บำท และให้ จ ำเลยที่ ๒ ได้รับเงินเดือนย้อนหลังตั้งแต่เดือนพฤษภำคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนพฤศจิกำยน ๒๕๕๗ เพิ่มขึ้น เดือนละ ๗,๒๐๐ บำท รวมเป็นเงิน ๑๐๒,๖๐๐ บำท แล้วโอนเข้ำบัญชีเงินฝำกของจ ำเลยที่ ๒ โจทก์ทวง ถำมให้จ ำเลยทั้งสองคืนเงินดังกล่ำวแล้วแต่จ ำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันช ำระเงิน ๑๒๒,๓๓๒ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑๐๒,๖๐๐ บำท นับแต่วันถัดจำก วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ เดือนธันวำคม ๒๕๕๗ โจทก์ขึ้นเงินเดือนให้จ ำเลยที่ ๒ และให้จ ำเลยที่ ๒ ได้รับเงินเดือนย้อนหลังตั้งแต่เดือนพฤษภำคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนพฤศจิกำยน ๒๕๕๗ เพิ่มขึ้นเดือนละ ๗,๒๐๐ บำท แม้จ ำเลยที่ ๒ จะยื่นใบลำออกวันที่ ๑๖ ธันวำคม ๒๕๕๗ แต่ยังคงท ำงำนถึงวันที่ ๑ มกรำคม ๒๕๕๘ จึงมีสิทธิ ได้รับเงินเดือนของเดือนธันวำคม ๒๕๕๗ จ ำเลยที่ ๑ จึงแก้ไขใบลำออกให้ตรงตำมควำมเป็นจริง จ ำเลยที่ ๑
๒๑๙ ไม่ได้ร่วมท ำละเมิดต่อโจทก์โจทก์น ำควำมเท็จฟ้องจ ำเลยทั้งสองโดยไม่สุจริต คดีนี้ขำดอำยุควำมและอยู่ใน อ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแขวงพระนครเหนือเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสองเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยทั้งสองร่วมกันกระท ำละเมิด ต่อโจทก์โดยจ ำเลยที่ ๑ แก้ไขวันลำออกของจ ำเลยที่ ๒ และแก้ไขฐำนข้อมูลเงินเดือนของจ ำเลยที่ ๒ เป็นเหตุ ให้จ ำเลยที่ ๒ ได้รับเงินเดือนในเดือนที่ลำออกและได้รับเงินเดือนย้อนหลังเพิ่มขึ้นเดือนละ ๗,๒๐๐ บำท รวม ๗ เดือน เป็นเงิน ๑๐๒,๖๐๐ บำท แล้วโอนเข้ำบัญชีเงินฝำกของจ ำเลยที่ ๒ จึงขอให้จ ำเลยทั้งสอง คืนเงินดังกล่ำวแก่โจทก์เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำระหว่ำงที่จ ำเลยที่ ๑ ท ำงำนเป็นลูกจ้ำงโจทก์ได้ร่วมกับจ ำเลยที่ ๒ ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำงเป็นเหตุให้จ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์รับเงินค่ำจ้ำงตอบแทนกำรท ำงำนไปโดยไม่ถูกต้องตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน คดีระหว่ำง โจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิดแต่ มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕)
๒๒๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.126/2560 บริษัทซันชายเจริญ อินเตอร์ฟู๊ด จ ากัด โจทก์ นายประสิทธิ์หรือตะวัน สมนาค จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยเป็นพนักงานและเป็นตัวแทนโจทก์ ระหว่างท างาน จ าเลย รับสินค้าประเภทน้ าผลไม้บรรจุภัณฑ์ไปจ าหน่ายและรับเงินค่าสินค้าแล้วไม่น าส่งคืนโจทก์ ต่อมาจ าเลย ท าหนังสือรับสภาพหนี้ แต่จ าเลยผิดนัดไม่ช าระหนี้ดังกล่าวท าให้โจทก์เสียหาย แต่ปรากฏข้อเท็จจริง ที่คู่ความแถลงรับกันว่า ขณะเกิดเหตุจ าเลยท างานเป็นลูกจ้างโจทก์และต้องท างานภายใต้ระเบียบและ ข้อบังคับเกี่ยวกับการท างานของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าจ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติ ผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตาม สัญญาจ้างแรงงาน แม้ภายหลังจ าเลยได้ท าหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ แต่หาท าให้หนี้เดิมระงับ สิ้นไปไม่ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค าฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๐ จ าเลยเป็นพนักงานโจทก์ ต าแหน่งพนักงานขายสินค้า ระหว่างวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ จ าเลยเป็น ตัวแทนโจทก์รับสินค้าประเภทน้ าผลไม้บรรจุภัณฑ์ไปจ าหน่ายและรับเงินค่าสินค้า ๑๑ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท แล้วไม่น าส่งคืนโจทก์ โจทก์จึงให้จ าเลยพ้นสภาพพนักงาน และเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ จ าเลยท าหนังสือรับสภาพหนี้ ตกลงจะช าระหนี้ทั้งหมดคืนแก่โจทก์ แต่จ าเลยผิดนัดท าให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้รับช าระเงินดังกล่าว เมื่อค านวณดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้อง จ านวน ๓๐๙,๓๗๕ บาท แล้ว รวมเป็น ค่าเสียหาย ๑,๘๐๙,๓๗๕ บาท ขอให้บังคับจ าเลยช าระเงิน ๑,๘๐๙,๓๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า จ าเลยช าระเงินตามฟ้องโดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของกรรมการบริษัทโจทก์ และช าระเป็นเงินสดครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ในวันนัดชี้สองสถำน คู่ควำมแถลงรับข้อเท็จจริงว่ำ ขณะเกิดเหตุจ ำเลยท ำงำนเป็นลูกจ้ำง โจทก์ต ำแหน่งพนักงำนขำยสินค้ำ ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บำท และมีสิทธิได้รับค่ำตอบแทนกำรขำย ก ำหนดจ่ำยทุกวันที่ ๒๗ ของเดือน หำกไม่ไปท ำงำนจะต้องลำงำน จ ำเลยต้องท ำงำนภำยใต้ระเบียบและ ข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำนของโจทก์ ศาลจังหวัดนนทบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน หรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง
๒๒๑ พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า แม้ โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จ าเลยเป็นพนักงานและเป็นตัวแทนโจทก์ ระหว่างท างาน จ าเลยรับสินค้าประเภท น้ าผลไม้บรรจุภัณฑ์ไปจ าหน่ายและรับเงินค่าสินค้าแล้วไม่น าส่งคืนโจทก์ ต่อมาจ าเลยท าหนังสือ รับสภาพหนี้ แต่จ าเลยผิดนัดไม่ช าระหนี้ดังกล่าวท าให้โจทก์เสียหาย แต่ปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลง รับกันว่า ขณะเกิดเหตุจ าเลยท างานเป็นลูกจ้างโจทก์และต้องท างานภายใต้ระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับ การท างานของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าจ าเลยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้าง แรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน แม้ภายหลังจ าเลยได้ท าหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ แต่หาท าให้หนี้เดิมระงับสิ้นไปไม่ คดีระหว่างโจทก์ กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕)
๒๒๒ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.127/2560 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โจทก์ บริษัทโทเทิล โซลูชั่น ซีคิวริตี้ ซิสเท็มส์ แอนด์ เซอร์วิส จ ากัด จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 8 (2), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 23, 33, 34, 35 พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วน หนึ่งในการก าหนดแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความ เหมาะสมและก าหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือก ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพเพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและ พึ่งตนเองได้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มาตรา ๒๓ จึงก าหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อด าเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมการประกอบอาชีพ ของคนพิการด้วย มาตรา ๓๓ ถึงมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงได้ก าหนดหลักเกณฑ์ การด าเนินการในการรับคนพิการเข้าท างานและการส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้าง ที่เป็นคนพิการ โดยมาตรา ๓๓ ก าหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างาน ตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ หากนายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าท างานตามจ านวนที่ก าหนดจะต้องส่งเงินเข้ากองทุน ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา ๒๔ (๕) และมาตรา ๓๔ หรือหากนายจ้างหรือ เจ้าของสถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าท างานตามมาตรา ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงิน เข้ากองทุนดังกล่าวตามมาตรา ๓๔ จะต้องด าเนินการตามมาตรา ๓๕ โดยอาจให้สัมปทานจัดสถานที่ จ าหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงานหรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแล คนพิการแทน อันเป็นการก าหนดสิทธิของคนพิการในการท างานและก าหนดหน้าที่หลักของนายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในการเข้าท างานและ ก าหนดมาตรการเชิงลงโทษแก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่ไม่ด าเนินการรวมทั้งก าหนด มาตรการให้รางวัลแก่นายจ้างที่ด าเนินการ ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเป็นผู้รักษาการ ตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวงก าหนดจ านวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าท างาน และจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการเข้าท างานตามลักษณะของงานในอัตราส่วน ที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการรวมทั้งก าหนดจ านวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของ สถานประกอบการจะต้องน าส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จึงถือได้ว่า บทบัญญัติข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองแรงงานคนพิการ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ าเลยส่งเงิน ให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ากองทุนดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ
๒๒๓ หรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลมีฐำนะเป็นกรมในรัฐบำล มีหน้ำที่ก ำกับดูแลกองทุนส่งเสริมและ พัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนส ำหรับกำรใช้จ่ำยในกำรคุ้มครอง ส่งเสริม สงเครำะห์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภำพกำรศึกษำ และกำรประกอบอำชีพของคนพิกำร ปี๒๕๕๕ ถึงปี๒๕๕๙ จ ำเลยเป็น นำยจ้ำงซึ่งมีลูกจ้ำงตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปจึงมีหน้ำที่ต้องรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมอัตรำส่วน หรือให้สัมปทำนหรือช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิกำร มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเข้ำกองทุนดังกล่ำว ตำมที่พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก ำหนดไว้แต่จ ำเลยไม่รับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมอัตรำส่วนไม่ด ำเนินกำร ให้สัมปทำนและจัดสถำนที่จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำรให้คนพิกำร และไม่ส่งเงินเข้ำกองทุน จึงไม่ชอบด้วย มำตรำ ๓๕ โจทก์มีหนังสือแจ้งเตือนให้จ ำเลยส่งเงินตำมจ ำนวนในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ยเข้ำกองทุน ดังกล่ำวแล้วแต่จ ำเลยเพิกเฉย จ ำเลยจึงต้องส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวประจ ำปี ๒๕๕๕ ถึงปี๒๕๕๙ เมื่อรวม ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วเป็นเงิน ๑,๕๘๕,๔๖๓.๙๓ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยช ำระเงิน ๑,๕๘๕,๔๖๓.๙๓ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑,๒๘๖,๖๒๕ บำท นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยขำดนัดยื่นค ำให้กำร ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดพระโขนงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่ง ในกำรก ำหนดแนวทำงและวิธีกำรในกำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรให้มีควำมเหมำะสม และก ำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และควำมคุ้มครองคนพิกำรเพื่อมิให้มีกำรเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมเพรำะเหตุสภำพทำงกำยหรือสุขภำพเพื่อให้คนพิกำรมีคุณภำพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ดังกล่ำว มำตรำ ๒๓ จึงก ำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิต คนพิกำร เพื่อด ำเนินกำรในเรื่องต่ำง ๆรวมทั้งเป็นทุนส่งเสริมกำรประกอบอำชีพของคนพิกำรด้วย มำตรำ ๓๓ ถึงมำตรำ ๓๕ แห่งพระรำชบัญญัติดังกล่ำวจึงได้ก ำหนดหลักเกณฑ์กำรด ำเนินกำรในกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำน และกำรส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวเพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้ำงที่เป็นคนพิกำร โดยมำตรำ ๓๓ ก ำหนดให้นำยจ้ำง หรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสม กับผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำร หำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่รับคนพิกำรเข้ำท ำงำน ตำมจ ำนวนที่ก ำหนดจะต้องส่งเงินเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำรตำมมำตรำ ๒๔ (๕) และ มำตรำ ๓๔ หรือหำกนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรไม่ประสงค์จะรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำม
๒๒๔ มำตรำ ๓๓ และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำวตำมมำตรำ ๓๔ จะต้องด ำเนินกำรตำมมำตรำ ๓๕ โดยอำจให้สัมปทำนจัดสถำนที่จ ำหน่ำยสินค้ำหรือบริกำร จัดจ้ำงเหมำช่วงงำน ฝึกงำนหรือให้กำรช่วยเหลือ อื่นใดแก่คนพิกำรหรือผู้ดูแลคนพิกำรแทน อันเป็นกำรก ำหนดสิทธิของคนพิกำรในกำรท ำงำนและก ำหนด หน้ำที่หลักของนำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิกำร ในกำรเข้ำท ำงำนและก ำหนดมำตรกำรเชิงลงโทษแก่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรที่ไม่ด ำเนินกำร รวมทั้งก ำหนดมำตรกำรให้รำงวัลแก่นำยจ้ำงที่ด ำเนินกำร ต่อมำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงแรงงำนซึ่งเป็น ผู้รักษำกำรตำมมำตรำ ๓๓ และมำตรำ ๓๔ ได้ออกกฎกระทรวงก ำหนดจ ำนวนคนพิกำรที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของ สถำนประกอบกำรและหน่วยงำนของรัฐจะต้องรับเข้ำท ำงำน และจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำน ประกอบกำรจะต้องน ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้นำยจ้ำง หรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรรับคนพิกำรเข้ำท ำงำนตำมลักษณะของงำนในอัตรำส่วนที่เหมำะสมกับ ผู้ปฏิบัติงำนในสถำนประกอบกำรรวมทั้งก ำหนดจ ำนวนเงินที่นำยจ้ำงหรือเจ้ำของสถำนประกอบกำรจะต้อง น ำส่งเข้ำกองทุนส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพชีวิตคนพิกำร จึงถือได้ว่ำบทบัญญัติข้ำงต้นเป็นส่วนหนึ่งของกำร คุ้มครองแรงงำนคนพิกำร เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จ ำเลยส่งเงินให้แก่โจทก์เพื่อส่งเงินเข้ำกองทุนดังกล่ำว คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๒)
๒๒๕ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.128/2560 นายไต้ ชอง อี โจทก์ บริษัทกรีน รีซอร์สเซส จ ากัด (มหาชน) จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (๑), 9 วรรคสอง, 49 โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง ต าแหน่งกรรมการผู้จัดการ ต่อมา เปลี่ยนเป็นต าแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจ าเลยยกเลิก สัญญาจ้าง เป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์และจ าเลยมีนิติสัมพันธ์ เป็นลูกจ้างและนายจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน จ าเลยผู้เป็นนายจ้างไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญา จ้างแรงงานและเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จึงขอให้บังคับจ าเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง โดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ต ำแหน่ง กรรมกำรผู้จัดกำรต่อมำเปลี่ยนเป็นต ำแหน่งประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำร ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บำท ต่อมำวันที่ ๒๗ กุมภำพันธ์ ๒๕๖๐ จ ำเลยยกเลิกสัญญำจ้ำงโจทก์โดยที่โจทก์มิได้กระท ำผิดวัตถุประสงค์ หรือมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตำมพระรำชบัญญัติบริษัทมหำชนจ ำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ มำตรำ ๖๘ จึงเป็น กำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๔๙ ขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงโดยไม่เป็นธรรม ๑๘,๔๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับจำกวันเลิกจ้ำงจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรและแก้ไขค ำให้กำรว่ำ กำรจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นกำรจ้ำงท ำของ โจทก์ไม่ได้ท ำงำน ภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำของจ ำเลย จึงไม่ใช่ลูกจ้ำงของจ ำเลย โจทก์บริหำรงำนไม่สอดคล้องกับนโยบำย และธุรกิจหลักของจ ำเลย ท ำผลงำนไม่เป็นไปตำมเป้ำหมำย แม้กำรจ้ำงโจทก์จะไม่ใช่กำรจ้ำงแรงงำน แต่จ ำเลยได้จ่ำยค่ำชดเชยให้แล้ว ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ต ำแหน่งกรรมกำรผู้จัดกำร ต่อมำเปลี่ยนเป็นต ำแหน่ง
๒๒๖ ประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำร ได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บำท ต่อมำจ ำเลยยกเลิกสัญญำจ้ำง เป็นกำร เลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่เป็นธรรมตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๔๙ เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์และจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้ำงและนำยจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน จ ำเลยผู้เป็นนำยจ้ำงไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จึงขอให้ บังคับจ ำเลยจ่ำยค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงโดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็น คดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) อนึ่ง ค ำวินิจฉัยดังกล่ำว คงพิจำรณำเฉพำะแต่ข้อกล่ำวอ้ำงตำมค ำฟ้องของโจทก์เท่ำนั้น ส่วนที่ จ ำเลยให้กำรต่อสู้และเป็นปัญหำพิพำทว่ำ โจทก์เป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนหรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมำยซึ่งองค์คณะผู้พิพำกษำจะต้องพิจำรณำวินิจฉัยตำมรูปคดีต่อไป
๒๒๗ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.129/2560 บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จ ากัด (มหาชน) โจทก์ นางสาวสิทธิพร แสงพุ่ง กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยทั้งสามเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ระหว่างท างาน จ าเลยทั้งสาม ร่วมกันส่งข้อมูลรายชื่อผู้แนะน าการลงทุนและค่าตอบแทนการขายของผู้แนะน าการลงทุน ข้อมูลธุรกิจ หลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นความลับทางธุรกิจของโจทก์ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แก่พนักงาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จ ากัด ซึ่งประกอบธุรกิจเช่นเดียวกับโจทก์ ใช้ทรัพยากรของโจทก์ช่วยเหลือบุคคลที่จะเข้าซื้อหุ้นเพื่อถือครอง กิจการและช่วยจัดท าแผนการด าเนินธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จ ากัด ทั้งยังเข้าถึงข้อมูลอันเป็นความลับของโจทก์และคัดลอกข้อมูลความลับในระบบ คอมพิวเตอร์ของโจทก์อันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานและท าละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ท าให้ โจทก์เสียหายทางการเงินและธุรกิจ เป็นการฟ้องเรียกร้องให้จ าเลยทั้งสามซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ชดใช้ ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกระท าละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นนายจ้าง ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากการที่โจทก์ต้องจ้างที่ปรึกษากฎหมายและ ผู้ช านาญการตรวจสอบเกี่ยวกับการกระท าผิดของจ าเลยทั้งสาม เป็นเงิน ๒๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่มีมูลหนี้จากกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจ าเลยทั้งสามกระท าความผิด ดังกล่าวด้วย การที่โจทก์ฟ้องให้จ าเลยทั้งสามร่วมกันช าระค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและ ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) วินิจฉัยว่า ค่าเสียหายตามค าฟ้องโจทก์ส่วนที่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย จากการที่โจทก์ต้องจ้างที่ปรึกษากฎหมายและผู้ช านาญการตรวจสอบเกี่ยวกับการกระท าผิด ของจ าเลยทั้งสาม เป็นเงิน ๒๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ______________________ โจทก์ฟ้องและแก้ไขค ำฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสำมเคยเป็นพนักงำนโจทก์จ ำเลยที่ ๑ มีต ำแหน่ง เป็นผู้อ ำนวยกำรและหัวหน้ำฝ่ำยธุรกำรหลักทรัพย์จ ำเลยที่ ๒ มีต ำแหน่งเป็นประธำนเจ้ำหน้ำที่ฝ่ำย ปฏิบัติกำรและประธำนเจ้ำหน้ำที่ฝ่ำยกำรเงิน จ ำเลยที่ ๓ มีต ำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมกำรผู้จัดกำรและ หัวหน้ำฝ่ำยตรำสำรอนุพันธ์ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยทั้งสำมร่วมกันส่งข้อมูลรำยชื่อผู้แนะน ำกำรลงทุนและ ค่ำตอบแทนกำรขำยของผู้แนะน ำกำรลงทุน ข้อมูลธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญำซื้อขำยล่วงหน้ำซึ่งเป็น ควำมลับทำงธุรกิจของโจทก์ ทำงจดหมำยอิเล็กทรอนิกส์แก่พนักงำน และประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำรของ
๒๒๘ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้ำ (ประเทศไทย) จ ำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเช่นเดียวกับโจทก์ ใช้ทรัพยำกรของโจทก์ ช่วยเหลือบุคคลที่จะเข้ำซื้อหุ้นเพื่อถือครองกิจกำรและช่วยจัดท ำแผนกำรด ำเนินธุรกิจสัญญำซื้อขำย ล่วงหน้ำของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้ำ (ประเทศไทย) จ ำกัด ทั้งยังเข้ำถึงข้อมูลอันเป็นควำมลับของโจทก์ และคัดลอกข้อมูลควำมลับในระบบคอมพิวเตอร์ของโจทก์อันเป็นกำรกระท ำควำมผิดตำมบทบัญญัติ ของกฎหมำยหลำยฉบับเพื่อแสวงหำประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมำย เป็นกำรผิดสัญญำ จ้ำงแรงงำนและท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง ท ำให้โจทก์เสียหำยทำงกำรเงินและธุรกิจ จ ำเลยทั้งสำม จึงต้องร่วมกันชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยจำกกำรท ำละเมิดที่เป็นผลให้ยอดรวมปริมำณ กำรซื้อขำยหลักทรัพย์และรำยได้ตอบแทนนำยหน้ำซื้อขำยหลักทรัพย์ส่วนแบ่งตลำด และค่ำเสียโอกำส ในกำรประกอบธุรกิจ เป็นเงิน ๕๕๕,๙๔๘,๙๙๙ บำท และค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยจำกกำรที่ โจทก์ต้องจ้ำงที่ปรึกษำกฎหมำยและผู้ช ำนำญกำรตรวจสอบเกี่ยวกับกำรกระท ำผิดของจ ำเลยทั้งสำม เป็นเงิน ๒๒,๒๐๐,๐๐๐ บำท รวมเป็นเงิน ๕๗๘,๑๔๘,๙๙๙ บำท ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสำมร่วมกันช ำระ เงิน ๕๗๘,๑๔๘,๙๙๙ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะ ช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยที่ ๑ ให้กำรและฟ้องแย้งว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ท ำงำนกับโจทก์โดยได้รับกำรประเมิน กำรท ำงำนอยู่ในขั้นดีมำกมำตลอด จ ำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระท ำควำมผิดตำมฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและ ขำดอำยุควำมแล้ว ข้อมูลต่ำง ๆ ตำมค ำฟ้องเป็นเพียงข้อมูลทั่วไปไม่ใช่ข้อมูลลับ จ ำเลยที่ ๑ ไม่ได้ร่วมกับ จ ำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และบุคคลภำยนอกท ำละเมิดต่อโจทก์ ค่ำเสียหำยตำมฟ้องเป็นค่ำเสียหำยซ้ ำซ้อนและ สูงเกินส่วนเป็นกำรใช้สิทธิฟ้องโดยไม่สุจริต โจทก์เลิกจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ โดยไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้องและ บังคับโจทก์จ่ำยค่ำชดเชย ค่ำจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ค่ำจ้ำงส ำหรับวันหยุดพักผ่อนประจ ำปี ค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงโดยไม่เป็นธรรม เงินสมทบและผลประโยชน์เงินเพิ่มและดอกเบี้ยแก่จ ำเลยที่ ๑ จ ำเลยที่ ๒ ให้กำรว่ำ กำรแปลภำษำไทยของเอกสำรท้ำยค ำฟ้องไม่ถูกต้อง ข้อมูลต่ำง ๆ ตำมค ำฟ้องเป็นเพียงข้อมูลทั่วไปไม่ใช่ข้อมูลลับ จ ำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมกับจ ำเลยที่ ๑ และที่ ๓ และ บุคคลภำยนอกท ำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขำดอำยุควำมแล้ว ค่ำเสียหำยตำมฟ้อง เป็นค่ำเสียหำยซ้ ำซ้อนและสูงเกินส่วนเป็นกำรใช้สิทธิฟ้องโดยไม่สุจริต จ ำเลยที่ ๒ ไม่ได้กระท ำควำมผิด ตำมฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๓ ให้กำรว่ำ ปี๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๓ ลำออกจำกกำรเป็นพนักงำนโจทก์แล้วไปท ำงำน กับบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้ำ (ประเทศไทย) จ ำกัด ระหว่ำงท ำงำนกับโจทก์ จ ำเลยที่ ๓ ไม่เคยกระท ำ ควำมผิดตำมฟ้อง ทั้งไม่ได้ร่วมกับจ ำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และบุคคลภำยนอกท ำละเมิดต่อโจทก์ ค่ำเสียหำย ตำมฟ้องไกลเกินเหตุและไม่ได้เกิดขึ้นจริงเป็นค่ำเสียหำยซ้ ำซ้อน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำค่ำเสียหำยตำมค ำฟ้องโจทก์ส่วนที่ เรียกค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยจำกกำรที่โจทก์ต้องจ้ำงที่ปรึกษำกฎหมำยและผู้ช ำนำญกำร ตรวจสอบเกี่ยวกับกำรกระท ำผิดของจ ำเลยทั้งสำม เป็นเงิน ๒๒,๒๐๐,๐๐๐ บำท อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง
๒๒๙ พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ ค่ำเสียหำยตำมค ำฟ้องโจทก์ส่วนที่เรียก ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยจำกกำรที่โจทก์ต้องจ้ำงที่ปรึกษำกฎหมำยและผู้ช ำนำญกำรตรวจสอบ เกี่ยวกับกำรกระท ำผิดของจ ำเลยทั้งสำม เป็นเงิน ๒๒,๒๐๐,๐๐๐ บำท อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ ของศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จ ำเลยทั้งสำมเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ระหว่ำงท ำงำน จ ำเลยทั้งสำม ร่วมกันส่งข้อมูลรำยชื่อผู้แนะน ำกำรลงทุนและค่ำตอบแทนกำรขำยของผู้แนะน ำกำรลงทุน ข้อมูลธุรกิจ หลักทรัพย์และสัญญำซื้อขำยล่วงหน้ำ ซึ่งเป็นควำมลับทำงธุรกิจของโจทก์ ทำงจดหมำยอิเล็กทรอนิกส์ แก่พนักงำน และประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำรของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้ำ (ประเทศไทย) จ ำกัด ซึ่งประกอบ ธุรกิจเช่นเดียวกับโจทก์ ใช้ทรัพยำกรของโจทก์ช่วยเหลือบุคคลที่จะเข้ำซื้อหุ้นเพื่อถือครองกิจกำรและช่วย จัดท ำแผนกำรด ำเนินธุรกิจสัญญำซื้อขำยล่วงหน้ำของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้ำ (ประเทศไทย) จ ำกัด ทั้งยังเข้ำถึงข้อมูลอันเป็นควำมลับของโจทก์และคัดลอกข้อมูลควำมลับในระบบคอมพิวเตอร์ของโจทก์อัน เป็นกำรผิดสัญญำจ้ำงแรงงำนและท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง ท ำให้โจทก์เสียหำยทำงกำรเงินและ ธุรกิจ เป็นกำรฟ้องเรียกร้องให้จ ำเลยทั้งสำมซึ่งเคยเป็นลูกจ้ำงโจทก์ชดใช้ค่ำเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำร ปฏิบัติผิดหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและกระท ำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำง ค่ำสินไหมทดแทน เพื่อควำมเสียหำยจำกกำรที่โจทก์ต้องจ้ำงที่ปรึกษำกฎหมำยและผู้ช ำนำญกำรตรวจสอบเกี่ยวกับกำรกระท ำ ผิดของจ ำเลยทั้งสำม เป็นเงิน ๒๒,๒๐๐,๐๐๐ บำท จึงเป็นส่วนหนึ่งของค่ำเสียหำยที่มีมูลหนี้จำกกรณี ที่โจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำจ ำเลยทั้งสำมกระท ำควำมผิดดังกล่ำวด้วย กำรที่โจทก์ฟ้องให้จ ำเลยทั้งสำมร่วมกันช ำระ ค่ำสินไหมทดแทนส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและเป็นคดีอันเกิด แต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำงและลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๕) วินิจฉัยว่ำ ค่ำเสียหำยตำมค ำฟ้องโจทก์ส่วนที่เรียกค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยจำก กำรที่โจทก์ต้องจ้ำงที่ปรึกษำกฎหมำยและผู้ช ำนำญกำรตรวจสอบเกี่ยวกับกำรกระท ำผิดของจ ำเลยทั้งสำม เป็นเงิน ๒๒,๒๐๐,๐๐๐ บำท อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน
๒๓๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.130/2560 นายบรรจบ เบื้องสุวรรณ์ โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจ ากัดอิฉิโร่ การโยธา กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1, 12 โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้รับเหมำชั้นต้นว่ำจ้ำงโจทก์ให้เป็นผู้รับเหมำช่วงโครงกำร อนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ ำหนองลำดควำยของกรมทรัพยำกรน้ ำ ก ำหนดจ่ำยค่ำจ้ำงเป็นงวด รวม ๕ งวด เมื่องำนแล้วเสร็จ จ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะผู้รับมอบอ ำนำจจ ำเลยที่ 1 จ่ำยค่ำจ้ำงให้โจทก์เพียงบำงส่วน ยังค้ำงอีก ๑๔๓,๘๕๐ บำท จึงขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองช ำระเงินส่วนที่ค้ำงดังกล่ำว เมื่อพิจำรณำ ค ำฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์มิได้บรรยำยฟ้องให้ได้ควำมว่ำโจทก์และจ ำเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์ เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน และโจทก์ก็มิได้บรรยำยฟ้องให้เห็นว่ำโจทก์ เป็นลูกจ้ำงรับเหมำค่ำแรง เพื่อฟ้องขอให้จ ำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจกำรและถือว่ำเป็นนำยจ้ำง ตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๑๑/๑ ให้ต้องรับผิดต่อโจทก์ และตำม ค ำฟ้องก็มิใช่กรณีที่ผู้รับเหมำชั้นต้นหรือผู้รับเหมำช่วงไล่เบี้ยเงินที่ได้จ่ำยให้ลูกจ้ำงของผู้รับเหมำช่วง ถัดลงมำซึ่งเป็นนำยจ้ำงคืน ตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๑๒ แต่ตำม ค ำฟ้องเป็นกรณีที่แสดงให้เห็นว่ำ โจทก์ตกลงรับท ำกำรงำนสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนส ำเร็จแก่จ ำเลยที่ ๑ แล้ว จ ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รับมอบอ ำนำจจำกจ ำเลยที่ ๑ จะจ่ำยสินจ้ำงเพื่อผลส ำเร็จแห่งกำรที่ท ำนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยทั้งสองจึงมุ่งเน้นถึงควำมส ำเร็จของงำนเป็นส ำคัญ ทั้งไม่ปรำกฏว่ำ จ ำเลยทั้งสองมีอ ำนำจบังคับบัญชำสั่งกำรหรือควบคุมวิธีกำรท ำงำนของโจทก์แต่อย่ำงใด จึงเป็น กำรฟ้องเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๓ เอกเทศสัญญำ ลักษณะ ๗ จ้ำงท ำของ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ ______________________ โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจ ากัด มีจ าเลยที่ ๒ เป็นผู้รับ มอบอ านาจจากจ าเลยที่ ๑ ให้จ่ายเงินแก่โจทก์ จ าเลยที่ ๑ รับเหมากรมทรัพยากรน้ าก่อสร้างโครงการ อนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ าหนองลาดควาย ที่จังหวัดสกลนคร จ าเลยที่ ๑ ว่าจ้างโจทก์ให้รับเหมาค่าแรง ท าบล็อกคอนเวิร์สของโครงการดังกล่าว โดยจ าเลยที่ ๑ มีสถานะเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นและโจทก์มีสถานะ เป็นผู้รับเหมาช่วง ตกลงเหมาค่าแรง ๕ งวด ก าหนดจ่ายเมื่องานแล้วเสร็จเป็นงวด ๆ รวมเป็นเงิน ๖๕๐,๐๐๐ บาท เริ่มท างานตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ เมื่องานแล้วเสร็จ จ าเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียงบางส่วน ยังค้างอีก ๑๔๓,๘๕๐ บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จ าเลยทั้งสองเพิกเฉย
๒๓๑ ขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองร่วมกันช าระเงิน ๑๔๓,๘๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่ วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยทั้งสองให้การว่า จ าเลยที่ ๑ ไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ให้รับเหมาค่าแรงท าบล็อกคอนเวิร์ส ของโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ าหนองลาดควาย แต่ได้ว่าจ้างนายนวย หลงทอง เป็นผู้ด าเนินงานและ โจทก์เป็นลูกจ้างแรงงานของนายนวย โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจ าเลยที่ ๑ ส่วนจ าเลยที่ ๒ เป็นเพียงญาติ ของผู้จัดการจ าเลยที่ ๑ จึงมิได้เป็นนายจ้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอ านาจฟ้องจ าเลยทั้งสอง โจทก์รับเงินค่าจ้าง ของคนงานแทนนายนวยไปแล้วแต่ไม่น าไปจ่ายให้คนงานอื่น ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานภาค ๔ เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณา พิพากษาของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้รับเหมาช่วงท าบล็อกคอนเวิร์ส ของโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ าหนองลาดควายซึ่งจ าเลยที่ ๑ รับเหมาก่อสร้างจากกรมทรัพยากรน้ า ก าหนดจ่ายค่าจ้างเป็นงวด รวม ๕ งวด เมื่องานแล้วเสร็จ จ าเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียงบางส่วน ยังค้างอีก ๑๔๓,๘๕๐ บาท จึงขอให้บังคับจ าเลยทั้งสองช าระเงินส่วนที่ค้างดังกล่าว เมื่อพิจารณาค าฟ้อง ของโจทก์แล้ว โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ได้ความว่าโจทก์และจ าเลยทั้งสองมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและ ลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงาน และโจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าโจทก์เป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรง เพื่อฟ้องขอให้จ าเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการและถือว่าเป็นนายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ ให้ต้องรับผิดต่อโจทก์ และตามค าฟ้องก็มิใช่กรณีที่ผู้รับเหมาชั้นต้นหรือ ผู้รับเหมาช่วงไล่เบี้ยเงินที่ได้จ่ายให้ลูกจ้างของผู้รับเหมาช่วงถัดลงมาซึ่งเป็นนายจ้างคืน ตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒ แต่ตามค าฟ้องเป็นกรณีที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์ตกลงรับท าการงาน สิ่งใดสิ่งหนึ่งจนส าเร็จแก่จ าเลยที่ ๑ แล้วจ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รับมอบอ านาจจากจ าเลยที่ ๑ จะจ่ายสินจ้าง เพื่อผลส าเร็จแห่งการที่ท านั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจ าเลยทั้งสองจึงมุ่งเน้นถึงความส าเร็จของงาน เป็นส าคัญ ทั้งไม่ปรากฏว่าจ าเลยทั้งสองมีอ านาจบังคับบัญชาสั่งการหรือควบคุมวิธีการท างานของโจทก์ แต่อย่างใด จึงเป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ เอกเทศ สัญญา ลักษณะ ๗ จ้างท าของ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘
๒๓๒ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.131/2560 นางสาวถาวร สัมโย โจทก์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จ ากัด (มหาชน) จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) (5), 9 วรรคสอง พ.ร.บ. ควำมปลอดภัย อำชีวอนำมัย และสภำพแวดล้อมในกำรท ำงำน พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา 4, 6 วรรคหนึ่ง, 8, 14, 17 พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ มีวัตถุประสงค์ในการวางมาตรการควบคุม ก ากับ ดูแล และบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างานอย่างเหมาะสม ส าหรับป้องกัน สงวนรักษาทรัพยากรบุคคลอันเป็น ก าลังส าคัญของชาติโดยพระราชบัญญัตินี้ก าหนดให้นายจ้างมีหน้าที่จัดและดูแลสถานประกอบกิจการ และลูกจ้างให้มีสภาพการท างานและสภาพแวดล้อมในการท างานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ ส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติงานของลูกจ้างมิให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจและสุขภาพ อนามัย รวมทั้งต้องบริหาร จัดการ และด าเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการท างานตามมาตรฐานที่ก าหนดในกฎกระทรวง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยจ้างบริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ปรับปรุงและบ ารุงรักษาระบบระงับอัคคีภัยห้องเก็บเอกสารภายในอาคารส านักงานใหญ่ ของจ าเลยด้วยระบบไนโตรเจนและระบบน้ าชนิดชะลอน้ าเข้า เพื่อทดแทนระบบระงับอัคคีภัยแบบ ไพโรเจนซึ่งหมดอายุการใช้งานแล้ว บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ให้นางวิลัย ขันทอง ซึ่งเป็นลูกจ้าง เข้าไปท างานเป็นผู้ช่วยช่างในสถานประกอบกิจการของจ าเลย ระหว่างท างาน ระบบระงับอัคคีภัยแบบ ไพโรเจนท างานขึ้นโดยอัตโนมัติและพ่นแก๊สแอโรซอลซึ่งเป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของ สิ่งมีชีวิตเป็นเหตุให้นางวิลัยถึงแก่ความตาย ขอให้จ าเลยในฐานะนายจ้างของนางวิลัยตามนิยามใน มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ รับผิดจากการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ของนายจ้างที่ต้องด าเนินการตามมาตรา ๑๔ และ มาตรา ๑๗ โดยจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาของนางวิลัย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่านางวิลัยและ จ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและท าละเมิด เป็นเหตุให้นางวิลัยซึ่งเป็นลูกจ้างถึงแก่ความตาย คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วย สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________
๒๓๓ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาของนางวิลัย ขันทอง ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ จ าเลยจ้างบริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ปรับปรุงและบ ารุงรักษาระบบ ระงับอัคคีภัยห้องเก็บเอกสารภายในอาคารส านักงานใหญ่ของจ าเลยด้วยระบบไนโตรเจนและระบบน้ า ชนิดชะลอน้ าเข้า เพื่อทดแทนระบบระงับอัคคีภัยแบบไพโรเจนซึ่งหมดอายุการใช้งานแล้ว บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ให้นางวิลัยเข้าไปท างานเป็นผู้ช่วยช่างในสถานประกอบกิจการของจ าเลย ระหว่างท างาน ระบบระงับอัคคีภัยแบบไพโรเจนท างานขึ้นโดยอัตโนมัติและพ่นแก๊สแอโรซอลซึ่งเป็นสารพิษที่เป็นอันตราย ต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตเป็นเหตุให้นางวิลัยถึงแก่ความตาย การที่จ าเลยไม่แจ้งให้นางวิลัยทราบก่อนว่า ห้องเก็บเอกสารยังคงมีระบบระงับอัคคีภัยแบบไพโรเจนท างานอยู่และมิได้ปิดระบบการท างาน ไม่แจกคู่มือ การปฏิบัติงานในสภาพการณ์ดังกล่าว ไม่ติดประกาศหรือสัญลักษณ์เตือนถึงอันตราย ไม่ติดป้ายบอกทางออก ฉุกเฉินและมีทางเข้าออกทางเดียว เป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๗ และเป็นกรณีที่จ าเลยซึ่งถือเป็น นายจ้างตามความหมายของมาตรา ๔ ท าละเมิดต่อนางวิลัยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะและต้องเสีย ค่าใช้จ่ายจากการปลงศพนางวิลัยขอให้บังคับจ าเลยช าระค่าอุปการะเลี้ยงดู ๖๗๒,๐๐๐ บาท และค่าปลงศพ ๑๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๓๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จแก่โจทก์ จ าเลยให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า นางวิลัย ขันทอง เป็นลูกจ้างจ าเลย ตามพระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๔ จึงเป็นคดีที่อยู่ใน อ านาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน จ าเลยท าสัญญาจ้างท าของกับบริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ให้บริษัทดังกล่าวปรับปรุงและบ ารุงรักษาระบบระงับอัคคีภัยห้องเก็บเอกสารภายในอาคารส านักงานใหญ่ ของจ าเลย การที่นางวิลัยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวก็ไม่ท าให้จ าเลยมีฐานะเป็นนายจ้างของ นางวิลัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และ พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ แต่อย่างใด จ าเลยมีการบริหารอาคารโดยจ้างบริษัทโจนส์ แลง ลาซาลล์ แมนเนจเม้นท์ จ ากัด เฝ้าระวังเพลิงไหม้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง มีการตรวจตราบ ารุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัยโดยบริษัทยูนิทรีโอ จ ากัด อยู่เป็นประจ า มีบริษัทสยาม แอดมินนิสเทรทีฟ แมนเนจเม้นท์ จ ากัด รับผิดชอบแผนปฏิบัติการกู้ภัยฉุกเฉิน ห้องเก็บ เอกสารจ าเป็นต้องจ ากัดช่องทางเข้าออกเพื่อรักษาเอกสารส าคัญแต่จ าเลยได้ติดป้ายเตือนอันตราย มีทางหนีไฟ และมีมาตรการควบคุมที่หน้าประตูทางเข้าแล้ว ทั้งยังจัดอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยและ แจกคู่มือปฏิบัติแก่พนักงานของบริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด เหตุที่ระบบระงับอัคคีภัยแบบไพโรเจน ท างานขึ้นโดยอัตโนมัติและพ่นแก๊สแอโรซอลซึ่งเป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตเกิดจาก พนักงานของบริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด เจาะผนังโดยไม่ป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นควัน เมื่อระบบ เตือนภัยดังขึ้นนางวิลัยไม่รีบอพยพจากห้องดังกล่าวจึงเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อเอง แม้จ าเลยจะปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ และกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติงานภายในอาคารส านักงานของจ าเลยโดยถูกต้อง ทุกประการแล้วและมิได้ประมาทเลินเล่อ แต่จ าเลยก็ได้ช่วยค่าปลงศพและช่วยเหลือเยียวยาแก่โจทก์แล้ว
๒๓๔ บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ซึ่งเป็นนายจ้างของนางวิลัยจึงต้องรับผิดชอบต่อนางวิลัยต่อไป โจทก์ใช้สิทธิ ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งส านวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙ วรรคสอง พิเคราะห์แล้ว กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอ านาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ มีวัตถุประสงค์ในการวางมาตรการควบคุม ก ากับ ดูแล และบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างานอย่างเหมาะสม ส าหรับป้องกัน สงวนรักษาทรัพยากรบุคคลอันเป็นก าลัง ส าคัญของชาติเนื่องจากในปัจจุบันมีการน าเทคโนโลยีเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ สารเคมี และสารเคมี อันตรายมาใช้ในกระบวนการผลิต การก่อสร้าง และบริการแต่ขาดการพัฒนาความรู้ความเข้าใจควบคู่กันไป ท าให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานในด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย สภาพแวดล้อมในการท างาน และก่อให้เกิด อันตรายจากการท างาน จนถึงแก่บาดเจ็บ พิการ ทุพพลภาพ เสียชีวิต หรือเกิดโรคอันเนื่องจากการท างาน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นด้วย ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มีหลักการส่วนใหญ่เป็นเรื่องการคุ้มครองแรงงานทั่วไปและมีขอบเขตจ ากัดไม่สามารถก าหนดกลไกและ มาตรการบริหารงานความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจ าเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้มี กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างานเป็นการเฉพาะ พระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ จึงถือได้ว่าเป็นกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงานที่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ ท างาน พระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๔ นิยามค าว่า “นายจ้าง” หมายความว่า นายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองแรงงานและให้หมายความรวมถึง ผู้ประกอบกิจการซึ่งยอมให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดมาท างานหรือ ท าผลประโยชน์ให้แก่หรือในสถานประกอบกิจการ ไม่ว่าการท างานหรือการท าผลประโยชน์นั้นจะเป็น ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการนั้น หรือไม่ก็ตาม และนิยามค าว่า “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับความยินยอมให้ท างานหรือท าผลประโยชน์ให้แก่หรือในสถานประกอบ กิจการของนายจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม และก าหนดหน้าที่ของนายจ้างตามมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๘ ให้นายจ้างมีหน้าที่จัดและดูแลสถานประกอบกิจการและลูกจ้างให้มีสภาพการท างานและ สภาพแวดล้อมในการท างานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ ส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติงานของลูกจ้างมิให้ ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจและสุขภาพอนามัย รวมทั้งต้องบริหาร จัดการ และด าเนินการ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างานตามมาตรฐานที่ก าหนดในกฎกระทรวง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จ าเลยจ้างบริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ปรับปรุงและบ ารุงรักษาระบบระงับ อัคคีภัยห้องเก็บเอกสารภายในอาคารส านักงานใหญ่ของจ าเลยด้วยระบบไนโตรเจนและระบบน้ าชนิดชะลอ น้ าเข้า เพื่อทดแทนระบบระงับอัคคีภัยแบบไพโรเจนซึ่งหมดอายุการใช้งานแล้ว บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จ ากัด ให้นางวิลัย ขันทอง ซึ่งเป็นลูกจ้าง เข้าไปท างานเป็นผู้ช่วยช่างในสถานประกอบกิจการของจ าเลย
๒๓๕ ระหว่างท างาน ระบบระงับอัคคีภัยแบบไพโรเจนท างานขึ้นโดยอัตโนมัติและพ่นแก๊สแอโรซอลซึ่งเป็นสารพิษ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตเป็นเหตุให้นางวิลัยถึงแก่ความตาย ขอให้จ าเลยในฐานะนายจ้างของ นางวิลัยตามนิยามในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ รับผิดจากการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ของนายจ้างที่ต้องด าเนินการตาม มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๗ โดยจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาของนางวิลัย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่า นางวิลัยและจ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๔ จ าเลยซึ่งเป็นนายจ้างไม่แจ้งให้นางวิลัยซึ่งเป็น ลูกจ้างทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการท างานและไม่แจกคู่มือปฏิบัติงานให้นางวิลัยก่อนที่จะเข้า ท างานตามมาตรา ๑๔ ไม่ติดประกาศสัญลักษณ์เตือนอันตรายและเครื่องหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างาน รวมทั้งข้อความแสดงสิทธิและหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง ตามมาตรา ๑๗ เป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอันเป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และท าละเมิดเป็นเหตุให้นางวิลัยซึ่งเป็นลูกจ้างถึงแก่ความตาย โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมของนางวิลัย จึงฟ้องให้จ าเลยรับผิดตามมูลหนี้ดังกล่าว คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือ หน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๕)
๒๓๖ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.132/๒๕๖๐ นางสาวมณีชนก ส ามณี โจทก์ บริษัทบางกอก เชน ฮอสปิทอล จ ากัด (มหาชน) จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (2), ๙ วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้าง ท าหน้าที่แพทย์ประจ าแผนกเวชปฏิบัติทั่วไป ระหว่างการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน จ าเลยไม่จ่ายค่าตรวจรักษาคนไข้ที่จ่ายค่ารักษาเป็นเงินสด ค่าตรวจรักษาคนไข้ที่จ่ายค่ารักษาเป็นเงินสดนอนพักรักษาในโรงพยาบาล และค่าท าหัตถการให้แก่โจทก์ ตามสัญญาดังกล่าว ทั้งยังหักค่าจ้างโจทก์ไปเกินกว่าสิทธิที่จะหักได้ ต่อมาเมื่อสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง จ าเลยไม่จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ จึงขอให้จ าเลยจ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กับ จ าเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้างและนายจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานเพื่อเรียกร้องให้จ าเลยซึ่งเป็น นายจ้างจ่ายค่าตรวจรักษาคนไข้ที่จ่ายค่ารักษาเป็นเงินสด ค่าตรวจรักษาคนไข้ที่จ่ายค่ารักษาเป็นเงินสด นอนพักรักษาในโรงพยาบาล และค่าท าหัตถการ และใช้สิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและค่าจ้างแก่โจทก์ อันเป็นการเรียกร้องสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้างของจ าเลยอันจะท าให้มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงในเนื้อหา แห่งคดีที่จะต้องได้รับการพิจารณาวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพากษาตามรูปคดีต่อไป คดีระหว่างโจทก์กับ จ าเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๓ ตุลำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ท ำหน้ำที่แพทย์ ประจ ำแผนกเวชปฏิบัติทั่วไปได้รับค่ำจ้ำงเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บำท ก ำหนดจ่ำยค่ำจ้ำงทุกวันที่ ๑๐ ของ เดือน โดยมีข้อตกลงว่ำหำกโจทก์ตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสด จะได้รับค่ำตรวจรักษำรำยละ ๒๐๐ บำท หำกโจทก์ตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสดและนอนพักรักษำในโรงพยำบำลจะได้รับ ค่ำตรวจรักษำรำยละ ๒๔๐ บำท หำกโจทก์ท ำหัตถกำรแก่คนไข้ในศูนย์เหมำจ่ำย จะได้รับส่วนแบ่งร้อยละ ๓๒ ของค่ำบริกำรที่จ ำเลยก ำหนด แต่หำกโจทก์ท ำหัตถกำรแก่คนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสดจะได้รับส่วน แบ่งร้อยละ ๘๐ ของค่ำบริกำรที่จ ำเลยก ำหนด ระหว่ำงก ำหนดเวลำจ้ำงนับแต่วันที่ ๓ ตุลำคม ๒๕๕๙ ถึง วันที่ ๓๑ มีนำคม ๒๕๖๐ โจทก์ตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสด ๑๓๙ รำย มีสิทธิได้รับค่ำตรวจ รักษำ ๒๗,๘๐๐ บำท ตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสดนอนพักรักษำในโรงพยำบำล ๒๑ รำย มีสิทธิได้รับค่ำตรวจรักษำ ๕,๐๔๐ บำท ท ำหัตถกำรให้แก่คนไข้ในศูนย์เหมำจ่ำย ๖๓ ครั้ง มีสิทธิได้รับส่วน แบ่งเป็นเงิน ๒๔,๐๒๕.๖๐ บำท และท ำหัตถกำรให้แก่คนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสด ๓๓ ครั้ง มีสิทธิได้รับ
๒๓๗ ส่วนแบ่งเป็นเงิน ๓๙,๓๘๔ บำท รวมเป็นเงิน ๖๓,๔๐๙.๖๐ บำท นอกจำกนั้นระหว่ำงเดือนธันวำคม ๒๕๕๙ ถึงเดือนมีนำคม ๒๕๖๐ จ ำเลยหักค่ำจ้ำงโจทก์เกินสิทธิไปเป็นเงิน ๔๖,๔๗๓.๓๔ บำท และเมื่อ สัญญำจ้ำงสิ้นสุด โจทก์มีสิทธิได้รับค่ำชดเชยไม่น้อยกว่ำค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำย ๓๐ วัน เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บำท แต่จ ำเลยไม่จ่ำยเงินทั้งหมดแก่โจทก์ท ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยจ่ำยค่ำตรวจรักษำคนไข้ที่ จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสด ๒๗,๘๐๐ บำท ค่ำตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสดนอนพักรักษำใน โรงพยำบำล ๕,๐๔๐ บำท ค่ำท ำหัตถกำรให้แก่คนไข้๖๓,๔๐๙.๖๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จ่ำยค่ำจ้ำง ๔๖,๔๗๓.๓๔ บำท และค่ำชดเชย ๑๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี ดอกเบี้ยทุกจ ำนวนให้นับแต่วันฟ้องจนกว่ำจะช ำระเสร็จแก่โจทก์ จ ำเลยให้กำรและแก้ไขค ำให้กำรว่ำ จ ำเลยประกอบกิจกำรโรงพยำบำลเอกชนใช้ชื่อว่ำ โรงพยำบำลเกษมรำษฎร์เมื่อวันที่ ๓๐ กันยำยน ๒๕๕๙ โจทก์ตกลงใช้สถำนที่ของจ ำเลยตรวจรักษำคนไข้ และจ ำเลยตกลงประกันรำยได้ค่ำตรวจรักษำเดือนละไม่ต่ ำกว่ำ ๑๐๐,๐๐๐ บำท แก่โจทก์ เงินที่โจทก์ได้รับ จึงไม่ใช่ค่ำจ้ำง สัญญำระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยจึงเป็นสัญญำทำงธุรกิจ มิใช่ข้อพิพำทแรงงำน จ ำเลยหักเงิน ประกันรำยได้จำกกำรที่โจทก์ขำดงำน ท ำงำนสำย และออกก่อนเวลำตำมสัญญำโดยถูกต้อง สัญญำจ้ำง โจทก์มีก ำหนดระยะเวลำจ้ำงเป็นครั้งครำวไม่เกิน ๒ ปี และเลิกจ้ำงตำมก ำหนดเวลำนั้น จ ำเลยจึงไม่ต้องจ่ำย ค่ำชดเชยแก่โจทก์จ ำเลยจ่ำยค่ำตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสด ค่ำตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำย ค่ำรักษำเป็นเงินสดนอนพักรักษำในโรงพยำบำล และค่ำท ำหัตถกำรแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแรงงำนกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำล แรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ จ ำเลยจ้ำงโจทก์ท ำงำนเป็นลูกจ้ำง ท ำหน้ำที่แพทย์ประจ ำแผนกเวชปฏิบัติทั่วไป ระหว่ำงกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมเอกสำรท้ำยค ำฟ้องหมำยเลข ๒ จ ำเลยไม่จ่ำยค่ำตรวจรักษำ คนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสด ค่ำตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสดนอนพักรักษำในโรงพยำบำล และค่ำท ำหัตถกำรให้แก่โจทก์ตำมสัญญำดังกล่ำว ทั้งยังหักค่ำจ้ำงโจทก์ไปเกินกว่ำสิทธิที่จะหักได้ ต่อมำ เมื่อสัญญำจ้ำงแรงงำนสิ้นสุดลง จ ำเลยไม่จ่ำยค่ำชดเชยแก่โจทก์ จึงขอให้จ ำเลยจ่ำยเงินดังกล่ำวแก่โจทก์ เป็นกำรกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กับจ ำเลยมีนิติสัมพันธ์เป็นลูกจ้ำงและนำยจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนเพื่อ เรียกร้องให้จ ำเลยซึ่งเป็นนำยจ้ำงจ่ำยค่ำตรวจรักษำคนไข้ที่จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสด ค่ำตรวจรักษำคนไข้ที่ จ่ำยค่ำรักษำเป็นเงินสดนอนพักรักษำในโรงพยำบำล และค่ำท ำหัตถกำร และใช้สิทธิเรียกร้องค่ำชดเชยและ ค่ำจ้ำงแก่โจทก์ อันเป็นกำรเรียกร้องสิทธิตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรคุ้มครอง แรงงำน ส่วนโจทก์จะเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยอันจะท ำให้มีสิทธิได้รับเงินตำมฟ้องหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงใน เนื้อหำแห่งคดีที่จะต้องได้รับกำรพิจำรณำวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพำกษำตำมรูปคดีต่อไป คดีระหว่ำงโจทก์ กับจ ำเลยจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนและตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรคุ้มครองแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) และ (๒)
๒๓๘ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.133/2560 นายคะนอง จูรัตน์ โจทก์ นายธนวัฒน์มิ่งเมือง กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มาตรา 8, 9 วรรคสอง จ ำเลยที่ 1 รับจ้ำงขับรถขุดไฮดรอลิกของโจทก์เพื่อตักทรำย แต่ไม่ปรำกฏว่ำจ ำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้ำงหรือจะต้องอยู่ภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำหรือหรือต้องปฏิบัติตำมค ำสั่งระเบียบ และข้อบังคับ เกี่ยวกับกำรท ำงำนของโจทก์อันเป็นข้อสำระส ำคัญของสัญญำจ้ำงแรงงำนแต่อย่ำงใด ส่วนค่ำตอบแทน ที่จ ำเลยที่ 1 จะได้รับจำกโจทก์ก็ไม่ปรำกฏว่ำมีลักษณะเป็นเงินที่นำยจ้ำงและลูกจ้ำงตกลงจ่ำยกัน เป็นกำรตอบแทนกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงส ำหรับระยะเวลำกำรท ำงำนปกติเป็นรำยเดือน หรือระยะเวลำอื่นหรือจ่ำยให้โดยค ำนวณตำมผลงำนที่ลูกจ้ำงท ำได้ในเวลำท ำงำนปกติของวันท ำงำน อันจะถือว่ำเป็นค่ำจ้ำงตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. 2541 มำตรำ 5 ดังนั้น นิติสัมพันธ์ ระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยที่ 1 จึงหำใช่เป็นำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนไม่ คดีระหว่ำง โจทก์และจ ำเลยทั้งสองไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้ง ศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. 2522 มำตรำ 8 ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์รถขุดไฮดรอลิก ยี่ห้อ โคมัตสุซึ่งเช่ำซื้อ จำกบริษัทโคมัตสุ บำงกอกลิสซิ่ง จ ำกัด จ ำเลยที่ ๑ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยของจ ำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๑ รับจ้ำงขับรถดังกล่ำวเพื่อตักทรำยให้แก่โจทก์ด้วยควำมประมำทเลินเล่อ ปรำศจำกควำมระมัดระวังซึ่งบุคคลในภำวะเช่นนั้นจะต้องมีตำมวิสัยและพฤติกำรณ์แต่จ ำเลยที่ ๑ หำได้ใช้ ควำมระมัดระวังให้เพียงพอไม่ โดยจ ำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยควำมคึกคะนองออกนอกเส้นทำงที่จะตักทรำย ลงไปในสระน้ ำ ทั้ง ๆ ที่จ ำเลยที่ ๑ ทรำบดีว่ำสภำพรถขุดไฮดรอลิกของโจทก์ไม่สำมำรถลงน้ ำได้ เมื่อน้ ำท่วม เครื่องยนต์และรถอยู่ห่ำงจำกฝั่งประมำณ ๓๐ เมตร จ ำเลยที่ ๑ กลับหลบหนีท ำให้รถได้รับควำมเสียหำย โจทก์ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยในกำรซ่อม ๒๐๐,๐๐๐ บำท ค่ำขำดประโยชน์จำกกำรใช้สอยรถ ๕๐,๐๐๐ บำท ค่ำเสื่อมรำคำและค่ำเช่ำรถขุดไฮดรอลิกของบุคคลภำยนอกระหว่ำงซ่อม ๕๐,๐๐๐ บำท รวมเป็นค่ำเสียหำย ทั้งสิ้น ๓๐๐,๐๐๐ บำท จ ำเลยที่ ๒ ในฐำนะมำรดำชอบด้วยกฎหมำยของจ ำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดจำกกำร กระท ำละเมิดของจ ำเลยที่ ๑ ด้วย ขอให้บังคับจ ำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันช ำระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่ำว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จ แก่โจทก์ จ ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ วันเกิดเหตุลูกจ้ำงโจทก์ที่ท ำหน้ำที่ขับรถขุดไฮดรอลิกไม่มำท ำงำน โจทก์จึงโทรศัพท์แจ้งให้จ ำเลยที่ ๑ ไปท ำหน้ำที่ขับรถแทนโดยตักทรำยในสระที่มีน้ ำท่วมขังอยู่ แต่บริเวณ ที่ต้องขับรถผ่ำนมีลักษณะเป็นถนนกลำงบ่อหรือสระที่มีน้ ำท่วมขัง ท ำให้รถลื่นไถลไม่สำมำรถขับต่อไปได้ เพรำะปริมำณน้ ำในพื้นที่ดังกล่ำวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้รถขุดไฮดรอลิกของโจทก์จมน้ ำอยู่กลำงสระ
๒๓๙ จ ำเลยที่ ๑ ไม่ได้จงใจหรือกระท ำโดยประมำทเลินเล่อเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับควำมเสียหำย แต่ได้กระท ำไปตำมค ำสั่งของโจทก์จ ำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแขวงนครสวรรค์ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำ พิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ ศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ วันเกิดเหตุจ ำเลยที่ ๑ รับจ้ำงขับรถขุดไฮดรอลิกของโจทก์ เพื่อตักทรำย ซึ่งจ ำเลยที่ ๑ ได้รับจ้ำงท ำงำนดังกล่ำวให้แก่โจทก์มำแล้วหลำยครั้ง แต่ไม่ปรำกฏว่ำจ ำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้ำงหรือจะต้องอยู่ภำยใต้อ ำนำจบังคับบัญชำหรือต้องปฏิบัติตำมค ำสั่งระเบียบ และข้อบังคับเกี่ยวกับ กำรท ำงำนของโจทก์อันเป็นข้อสำระส ำคัญของสัญญำจ้ำงแรงงำนแต่อย่ำงใด ส่วนค่ำตอบแทน ที่จ ำเลยที่ ๑ จะได้รับจำกโจทก์ก็ไม่ปรำกฏว่ำมีลักษณะเป็นเงินที่นำยจ้ำงและลูกจ้ำงตกลงจ่ำยกันเป็นกำร ตอบแทนกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงส ำหรับระยะเวลำกำรท ำงำนปกติเป็นรำยเดือนหรือระยะเวลำอื่นหรือ จ่ำยให้โดยค ำนวณตำมผลงำนที่ลูกจ้ำงท ำได้ในเวลำท ำงำนปกติของวันท ำงำนอันจะถือว่ำเป็นค่ำจ้ำงตำม พระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๕ ดังนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยที่ ๑ จึงหำใช่เป็นนำยจ้ำงและลูกจ้ำงกันตำมสัญญำจ้ำงแรงงำนไม่ คดีระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยทั้งสอง ไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพำทอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดี แรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘
๒๔๐ ค ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษที่ วร.134/๒๕๖๐ นายสมสุข เกียรติสารสกุล โจทก์ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จ ากัด (มหาชน) กับพวก จ ำเลย พ.ร.บ. จัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (5), ๙ วรรคสอง ตามค าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภท บริษัทมหาชนจ ากัด มีจ าเลยที่ ๒ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีอ านาจ บังคับบัญชาสูงสุดแก่พนักงานและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ของจ าเลยที่ ๑ รวมทั้งการสอบสวนเพื่อลงโทษ ทางวินัยและเลิกจ้าง โจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลยที่ ๑ ถูกร้องเรียนว่าได้จัดซื้ออุปกรณ์โรงกลั่นเอื้อประโยชน์ แก่พวกพ้องโดยไม่มีมูลความจริง และเป็นเหตุให้จ าเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมเพราะจ าเลยที่ ๑ โดยจ าเลยที่ ๒ มิได้ท าการสอบสวนตามข้อบังคับ เกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงานหรือเงื่อนไขในการจ้างแรงงานอันมีผลผูกพันโจทก์ จ าเลยที่ ๑ และจ าเลยที่ ๒ อยู่ในขณะเลิกจ้าง ท าให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ กรณีจึงเป็นการกล่าวอ้าง ให้จ าเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์อันสืบเนื่องมาจากการที่จ าเลยที่ ๒ ได้กระท าแทนจ าเลยที่ ๑ ตามอ านาจ หน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๑ แม้จ าเลยที่ ๒ จะอ้างว่ากระท าการในฐานะ ผู้แทนนิติบุคคลตามขอบอ านาจหน้าที่จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวและจ าเลยที่ ๒ ไม่ใช่ลูกจ้าง จ าเลยที่ ๑ ก็ตาม โจทก์ก็มีอ านาจฟ้องจ าเลยที่ ๒ เพราะถือว่าจ าเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างโจทก์ด้วยตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ คดีระหว่างโจทก์กับจ าเลยที่ ๒ จึงเป็นคดี พิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็น คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการท างานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๕) ______________________ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นลูกจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหำชนจ ำกัด มีจ ำเลยที่ ๒ เป็นประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำรและกรรมกำรผู้จัดกำรใหญ่ มีอ ำนำจบังคับบัญชำสูงสุดแก่ พนักงำนและเจ้ำหน้ำที่ต่ำง ๆ ของจ ำเลยที่ ๑ จ ำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนส ำรองเลี้ยงชีพตำม พระรำชบัญญัติกองทุนส ำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งโจทก์ได้เป็นสมำชิกตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนำยน ๒๕๓๗ โดยจ ำเลยที่ ๑ หักค่ำจ้ำงของโจทก์เพื่อสะสมในกองทุนและจ่ำยเงินสมทบให้ตำมอัตรำที่ตกลงกัน เมื่อสิ้นสุด กำรจ้ำงจ ำเลยที่ ๓ จะจ่ำยเงินสะสม เงินสมทบและผลประโยชน์ให้แก่โจทก์ โจทก์เป็นลูกจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ประเภทรำยเดือน ต ำแหน่งสุดท้ำยผู้จัดกำรส่วนตรวจสอบและรับประกันคุณภำพ ได้รับค่ำจ้ำงอัตรำสุดท้ำย เดือนละ ๒๐๑,๔๓๘ บำท เบี้ยเลี้ยงที่พักอำศัยเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บำท เบี้ยเลี้ยงโทรศัพท์เคลื่อนที่เดือนละ ๕๐๐ บำท มีหน้ำที่และควำมรับผิดชอบ (๑) จัดให้มีกำรตรวจสอบวัสดุที่สั่งซื้อเข้ำมำใช้ในโครงกำรของ จ ำเลยที่ ๑ (๒) ควบคุมดูแลบัญชีสินค้ำที่อนุมัติให้ซื้อได้ และตรวจสอบประเมินสินค้ำใหม่ที่จะน ำเข้ำไปใน
๒๔๑ บัญชีสินค้ำที่อนุมัติให้ซื้อได้ และ (๓) ให้ค ำปรึกษำด้ำนเทคนิคและป้องกันควำมเสื่อมของอุปกรณ์เครื่องจักร อันเนื่องมำจำกกำรกัดกร่อน รวมทั้งแนะน ำวัสดุที่เหมำะสมตลอดจนให้ค ำปรึกษำในฐำนะผู้เชี่ยวชำญพิเศษ ด้ำนวัสดุโลหะ เป็นต้น โดยไม่มีอ ำนำจหน้ำที่เกี่ยวกับกำรจัดซื้อวัสดุหรืออุปกรณ์ดังกล่ำว เมื่อประมำณ กลำงเดือนธันวำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๑ อ้ำงว่ำได้รับเอกสำรร้องเรียนจำกผู้ถือหุ้นรำยหนึ่งว่ำมีกำรจัดซื้อ อุปกรณ์โรงกลั่นเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องในรำคำแพง แต่ได้สินค้ำคุณภำพปำนกลำงกึ่งต่ ำ โดยอ้ำงถึง พนักงำน ชื่อย่อ “๒ส” เป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกสอบสวนหำข้อเท็จจริงโดยคณะบุคคลที่จ ำเลยที่ ๑ มอบหมำยและถูกจ ำเลยที่ ๑ เลิกจ้ำงอ้ำงว่ำโจทก์กระท ำผิดตำมข้อบังคับของจ ำเลยที่ ๑ ข้อ ๑๐.๒.๑ อัน เป็นกำรทุจริตต่อหน้ำที่หรือกระท ำผิดอำญำโดยเจตนำแก่บริษัทด้วยกำรส่งข้อมูลใบเสนอรำคำสินค้ำและ ตำรำงเปรียบเทียบรำคำสินค้ำของจ ำเลยที่ ๑ ไปให้บริษัทคู่ค้ำที่สนิทสนมกับโจทก์ ผลักดันให้มีกำรไป ตรวจสอบโรงงำนที่บริษัทคู่ค้ำเป็นผู้จ ำหน่ำย สนองตอบค ำร้องของบริษัทคู่ค้ำ และไปเที่ยวต่ำงประเทศโดย บริษัทคู่ค้ำดังกล่ำวเป็นผู้ออกค่ำใช้จ่ำย ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นควำมจริงเพรำะโจทก์ไม่ได้กระท ำผิดตำมที่ จ ำเลยที่ ๑ กล่ำวอ้ำง แต่จ ำเลยที่ ๑ กลับเลิกจ้ำงโจทก์โดยไม่จ่ำยค่ำชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใด ๆ ตำม กฎหมำยให้แก่โจทก์อันเป็นกำรเลิกจ้ำงโดยไม่เป็นธรรม อีกทั้งกำรสอบสวนหำข้อเท็จจริงและกำรสอบสวน ทำงวินัยเพื่อลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นอ ำนำจหน้ำที่ของจ ำเลยที่ ๒ นั้นก็มิได้มีกำรปฏิบัติให้ถูกต้องตำมข้อบังคับ เกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมข้อก ำหนดจ ำเลยที่ ๑ ว่ำด้วยเรื่องกระบวนกำรในกำรด ำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นกำรกระท ำละเมิดต่อโจทก์ ส่วนจ ำเลยที่ ๓ ไม่ปฏิบัติตำมข้อบังคับของจ ำเลยที่ ๓ ที่จะต้องจ่ำยเงิน ในส่วนที่จ ำเลยที่ ๑ สมทบ พร้อมทั้งผลประโยชน์ต่ำง ๆ จำกเงินสมทบดังกล่ำวให้แก่โจทก์ ท ำให้โจทก์ได้รับ ควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ ำเลยที่ ๑ ช ำระค่ำเสียหำย ๑๐,๙๓๓,๒๑๒ บำท สินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำ ๓๑๘,๘๘๔ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๐,๖๕๓,๐๒๔ บำท และต้นเงิน ๓๑๐,๗๑๓ บำท แต่ละจ ำนวนตำมล ำดับ ค่ำชดเชย ๒,๓๓๖,๑๒๔ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒,๒๑๙,๓๘๐ บำท ให้จ ำเลยที่ ๒ ช ำระค่ำเสียหำยจำกกำรกระท ำละเมิดเป็นกำรส่วนตัว ๑๐,๒๖๓,๐๑๓ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท และให้จ ำเลยที่ ๓ จ่ำยเงินสมทบของจ ำเลยที่ ๑ และผลประโยชน์จำกเงินสมทบดังกล่ำว ๓,๙๓๖,๗๖๖.๙๑ บำท พร้อมดอกเบี้ย อัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่ำว ทั้งนี้นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช ำระเสร็จ จ ำเลยที่ ๑ ให้กำรว่ำ เมื่อประมำณเดือนธันวำคม ๒๕๕๙ จ ำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือร้องเรียน จำกผู้ถือหุ้นรำยย่อยว่ำมีกำรจัดซื้ออุปกรณ์โรงกลั่นเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องในส่วนที่เกี่ยวกับอ ำนำจหน้ำที่ ของโจทก์ จึงได้มอบหมำยให้หน่วยงำนตรวจสอบภำยในตำมขั้นตอนแล้วปรำกฏว่ำข้อร้องเรียนดังกล่ำวมีมูล ควำมจริง และได้เป็นข่ำวเผยแพร่ตำมสื่อต่ำง ๆ ซึ่งอำจมีผลกระทบต่อจ ำเลยที่ ๑ จ ำเลยที่ ๑ โดยจ ำเลยที่ ๒ จึงมีค ำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรสอบสวนหำข้อเท็จจริงขึ้นตำมข้อก ำหนดว่ำด้วยเรื่องกระบวนกำรในกำร ด ำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้วพบว่ำโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับกำรกระท ำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง กล่ำวคือ โจทก์ได้ส่งข้อมูลใบเสนอรำคำสินค้ำและตำรำงเปรียบเทียบรำคำสินค้ำของจ ำเลยที่ ๑ ให้แก่บริษัท ล็อควูด วำล์ว (ประเทศไทย) จ ำกัด คู่ค้ำที่โจทก์มีควำมสนิทสนม และผลักดันให้มีกำรไปตรวจสอบโรงงำน ของบริษัทดังกล่ำวโดยได้ส่งข้อมูลภำยในของจ ำเลยที่ ๑ ให้บริษัททรำบ พร้อมทั้งสนองตอบค ำร้องของ บริษัทรวมทั้งลงนำมในเอกสำรแจ้งผลกำรอนุมัติให้แก่บริษัทดังกล่ำว และได้เดินทำงไปท่องเที่ยวโดยบริษัท ดังกล่ำวเป็นผู้ออกค่ำใช้จ่ำย พฤติกำรณ์ดังกล่ำวของโจทก์ถือว่ำโจทก์กระท ำผิดและฝ่ำฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับ
๒๔๒ กำรท ำงำนของจ ำเลยที่ ๑ อย่ำงร้ำยแรง ทุจริตต่อหน้ำที่ หรือกระท ำผิดอำญำโดยเจตนำแก่นำยจ้ำง จงใจ ท ำให้นำยจ้ำงได้รับควำมเสียหำย และฝ่ำฝืนข้อก ำหนดว่ำด้วยมำตรฐำนควำมประพฤติและกำรกระท ำที่เป็น ควำมผิดทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๔ จ ำเลยที่ ๑ จึงชอบที่จะเลิกจ้ำงโจทก์ได้โดยไม่จ ำต้องจ่ำยเงินแต่ละจ ำนวน ตำมฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๒ ให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๒ เป็นกรรมกำรผู้มีอ ำนำจของจ ำเลยที่ ๑ ซึ่งได้รับแต่งตั้ง โดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น และได้กระท ำกำรในฐำนะผู้แทนนิติบุคคลตำมขอบอ ำนำจหน้ำที่ จ ำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว นิติสัมพันธ์ระหว่ำงจ ำเลยที่ ๑ และจ ำเลยที่ ๒ เป็นกำรจ้ำงท ำของ กล่ำวคือ เป็นกำรบริหำรจัดกำรบริษัทจ ำเลยที่ ๑ ตำมพระรำชบัญญัติบริษัทมหำชนจ ำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ และประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๗๐ อันมุ่งถึงผลส ำเร็จของงำนให้เป็นไปตำมนโยบำยและ เป้ำหมำยของบริษัท จ ำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ลูกจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ คดีระหว่ำงโจทก์และจ ำเลยที่ ๒ จึงไม่ใช่คดีแรงงำน กำรกระท ำของจ ำเลยที่ ๒ ไม่เป็นกำรโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีพฤติกำรณ์ที่ส่อไปในทำงทุจริตและ เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องจึงไม่มีสิทธิเรียกค่ำเสียหำยใด ๆ จำกจ ำเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง จ ำเลยที่ ๓ ให้กำรว่ำ จ ำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตำมพระรำชบัญญัติกองทุน ส ำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยแต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์จัดกำรลงทุน เอ็มเอฟซี จ ำกัด (มหำชน) เป็น ผู้บริหำรจัดกำรซึ่งจะต้องจ่ำยเงินจำกกองทุนให้แก่ลูกจ้ำงตำมหลักเกณฑ์และวิธีกำรที่ก ำหนดในข้อบังคับ ของกองทุนโดยข้อบังคับกองทุนของจ ำเลยที่ ๓ ข้อ ๘.๑ ก ำหนดให้บริษัทจัดกำรจ่ำยเงินตำมที่คณะกรรมกำร กองทุนได้มีค ำสั่งแจ้งมำเท่ำนั้น แต่เนื่องจำกพฤติกำรณ์ของโจทก์เป็นกำรกระท ำผิดวินัยร้ำยแรง ทุจริต ต่อหน้ำที่ จงใจท ำให้จ ำเลยที่ ๑ ได้รับควำมเสียหำยหรือโจทก์ประพฤติปฏิบัติตนอันไม่สมแก่กำรปฏิบัติ หน้ำที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงิน สมทบตำมข้อบังคับกองทุนของจ ำเลยที่ ๓ ดังกล่ำว ขอให้ยกฟ้อง ระหว่ำงพิจำรณำ จ ำเลยที่ ๒ ยื่นค ำร้องว่ำ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ ไม่อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำน ศำลแรงงำนภำค ๒ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ อยู่ในอ ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนหรือไม่ จึงส่งส ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ วินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๙ วรรคสอง พิเครำะห์แล้ว กรณีมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ อยู่ในอ ำนำจ พิจำรณำพิพำกษำของศำลแรงงำนตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ หรือไม่ เห็นว่ำ ตำมค ำฟ้องโจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์เป็นลูกจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ซึ่ง เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหำชนจ ำกัด มีจ ำเลยที่ ๒ เป็นประธำนเจ้ำหน้ำที่บริหำรและกรรมกำร ผู้จัดกำรใหญ่ มีอ ำนำจบังคับบัญชำสูงสุดแก่พนักงำนและเจ้ำหน้ำที่ต่ำง ๆ ของจ ำเลยที่ ๑ รวมทั้งกำร สอบสวนเพื่อลงโทษทำงวินัยและเลิกจ้ำง โจทก์เป็นลูกจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ประเภทรำยเดือน ต ำแหน่งสุดท้ำย ผู้จัดกำรส่วนตรวจสอบและรับประกันคุณภำพซึ่งมีอ ำนำจหน้ำที่ (๑) จัดให้มีกำรตรวจสอบวัสดุที่สั่งซื้อ เข้ำมำใช้ในโครงกำรของจ ำเลยที่ ๑ (๒) ควบคุมดูแลบัญชีสินค้ำที่อนุมัติให้ซื้อได้ และตรวจสอบประเมิน สินค้ำใหม่ที่จะน ำเข้ำไปในบัญชีสินค้ำที่อนุมัติให้ซื้อได้ และ (๓) ให้ค ำปรึกษำด้ำนเทคนิคและป้องกันกำร เสื่อมของอุปกรณ์เครื่องจักรอันเนื่องมำจำกกำรกัดกร่อน รวมทั้งแนะน ำวัสดุที่เหมำะสมตลอดจนให้ ค ำปรึกษำในฐำนะผู้เชี่ยวชำญพิเศษด้ำนวัสดุโลหะ เป็นต้น โดยไม่มีอ ำนำจหน้ำที่เกี่ยวกับกำรจัดซื้อวัสดุหรือ
๒๔๓ อุปกรณ์ดังกล่ำว แต่โจทก์กลับถูกร้องเรียนว่ำได้จัดซื้ออุปกรณ์โรงกลั่นเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องโดยไม่มีมูล ควำมจริง และเป็นเหตุให้จ ำเลยที่ ๑ เลิกจ้ำงโจทก์อันเป็นกำรไม่ชอบด้วยกฎหมำยและเป็นกำรเลิกจ้ำงโดย ไม่เป็นธรรมเพรำะจ ำเลยที่ ๑ โดยจ ำเลยที่ ๒ มิได้ท ำกำรสอบสวนตำมข้อก ำหนดจ ำเลยที่ ๑ ว่ำด้วยเรื่อง กระบวนกำรในกำรด ำเนินกำรทำงวินัย พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำม สัญญำจ้ำงแรงงำนหรือเงื่อนไขในกำรจ้ำงแรงงำนอันมีผลผูกพันโจทก์ จ ำเลยที่ ๑ และจ ำเลยที่ ๒ อยู่ในขณะ เลิกจ้ำง ท ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ กรณีจึงเป็นกำรกล่ำวอ้ำงให้จ ำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์ อันสืบเนื่องมำจำกกำรที่จ ำเลยที่ ๒ ได้กระท ำแทนจ ำเลยที่ ๑ ตำมอ ำนำจหน้ำที่ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๑ แม้จ ำเลยที่ ๒ จะอ้ำงว่ำกระท ำกำรในฐำนะผู้แทนนิติบุคคลตำมขอบอ ำนำจ หน้ำที่จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวและจ ำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ลูกจ้ำงจ ำเลยที่ ๑ ก็ตำม โจทก์ก็มีอ ำนำจฟ้อง จ ำเลยที่ ๒ เพรำะถือว่ำจ ำเลยที่ ๒ เป็นนำยจ้ำงโจทก์ด้วยตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ มำตรำ ๕ คดีระหว่ำงโจทก์กับจ ำเลยที่ ๒ จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้ำที่ตำมสัญญำ จ้ำงแรงงำนหรือตำมข้อตกลงเกี่ยวกับสภำพกำรจ้ำง และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่ำงนำยจ้ำง และลูกจ้ำงเกี่ยวกับกำรท ำงำนตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและ วิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๘ (๑) (๕)